๙๔ ชีวิตท่ีสรางสรรค สดใสและสขุ สนั ต หรือนาํ คนมาเขาสูท างที่ถูกคอื มรรคนน้ั เพราะคนทว่ั ไปอาจจะยงั ไมไ ดเขา มา ท่มี รรค หรือถา เขายงั อยูในทางคือมรรคขน้ั ตน เราก็ตองใหก าํ ลงั เกือ้ หนนุ เขา เพราะฉะนั้น ธรรมหรือปจ จัยทีจ่ ะนําเขา สูมรรค จงึ สําคญั อยางย่งิ แทนที่จะมัวมองแตม รรค ตอ งมองใหถ งึ ตวั ทีจ่ ะนาํ เขาสมู รรค ทพี่ ระ พุทธเจา ทรงเรียกวา บพุ นมิ ติ แหง มรรค คือ ธรรมะขอทวี่ า เม่อื มันเกดิ ข้นึ แลว ก็แนใจไดเ ลยวา บุคคลนน้ั จะเขาไปสมู รรค หรอื มรรคจะเกิดขึน้ แกเขา เหมอื นอยา งท่พี ระพุทธองคต รัสวา เปรยี บเหมอื นวา กอ นทด่ี วงอาทติ ยจ ะอทุ ยั มแี สงอรณุ ขนึ้ มากอ นหรอื ปรากฏใหเ หน็ กอ น ฉนั ใด เมอ่ื มรรคจะเกดิ ขน้ึ แกบ คุ คลหรอื แกภ กิ ษุ กม็ ธี รรม เชน กลั ยาณมติ ตตา คอื ความมกี ลั ยาณมติ ร ปรากฏเกดิ ขน้ึ มากอ น ฉนั นน้ั ธรรมะประเภทน้ี เราจะตอ งเอาใจใสก นั ใหม าก เพราะเมอ่ื คนยงั อยหู า ง ไกล เขาไมร จู กั มรรค ยงั ไมเ จอมรรค ยงั ไมเ ขา มาหามรรคเลย เขาจะเดินไป ในมรรคไดอยา งไร เหมอื นคนเขายงั ไมร วู า ทางอยทู ไ่ี หน เรม่ิ ตนที่ไหน จะให เขาเดินทางไปไดอยางไร เพราะฉะนัน้ เราจงึ ตองพาเขาเขามาท่ีมรรคกอ น แลวทั้งหมดน้ีเราจะตองมองวา ทุกอยางที่มีที่จัดกันอยูในพระพุทธ- ศาสนา เปน สวนชกั นํา เกือ้ หนนุ เก้อื กลู เพื่อใหค นมาเขา สูม รรค และเดินไป ในมรรคน้ัน ที่เขาจะกาวหนาไปๆ ดวยการฝกศึกษาพัฒนาตามระบบแหง ไตรสิกขา จนกวาจะถึงจุดหมาย ถา เราทํางานเปนระบบ เรยี กเต็มวาเปนระบบความสัมพันธ ทุกอยา ง จะเชอื่ มโยงกนั มจี ดุ รว มรวมถงึ กนั และเปน ไปดว ยดี นเี้ ปน แงค ดิ ประการหนงึ่ คอื การมองใหเ หน็ ความเปน อันหน่ึงอนั เดยี วกนั เมอ่ื มองเห็นจดุ รวมของงานพระศาสนา กเ็ ห็นตัวพระพทุ ธศาสนาทัง้ หมด แลว การทํางานกจ็ ะชดั
ภาค ๒ มองคนใหถงึ ธรรม(ชาติ) -E- มนุษยเปนสตั วท ป่ี ระเสรฐิ ดวยการศกึ ษา* ธรรมชาตพิ ิเศษทเ่ี ปน สวนเฉพาะของมนษุ ย คอื เปน สัตวท ฝ่ี กได จะพดู วา เปนสตั วท่พี ัฒนาได เปน สตั วท ีศ่ กึ ษาได หรือ เปน สัตวท่เี รยี นรไู ด กม็ ีความหมายอยา งเดียวกนั จะเรียกวาเปนสตั วพ ิเศษก็ได คือแปลกจากสัตวอน่ื ในแงที่วาสตั วอื่น ฝกไมได หรือฝกแทบไมได แตมนุษยน้ีฝกได และพรอมกันน้ันก็เปน สัตวท่ีตองฝกดวย พดู สนั้ ๆ วา มนุษยเ ปน สัตวท ี่ฝกได และตองฝก สตั วอ่ืนแทบไมตองฝก เพราะมนั อยไู ดดว ยสัญชาตญาณ เกิดมาแลว เรยี นรูจากพอแมน ดิ หนอ ย ไมนานเลย มันก็อยูรอดได อยา งลูกววั คลอด ออกมาสกั ครหู นงึ่ ก็ลุกขึน้ เดินได ไปกับแมแ ลว ลูกหานออกจากไขเชา วนั นนั้ พอสายหนอ ยกว็ ง่ิ ตามแมล งไปในสระนาํ้ วง่ิ ได วา ยนา้ํ ได หากนิ ตามพอ แมข องมนั ได แตมันเรียนรไู ดน ดิ เดยี ว แคพ อกินอาหาร เปน ตน แลว กอ็ ยู ดว ยสญั ชาตญาณไปจนตลอดชวี ติ เกดิ มาอยา งไรกต็ ายไปอยา งนน้ั หมนุ เวยี น กันตอ ไป ไมสามารถสรางโลกของมนั ตางหากจากโลกของธรรมชาติ * เนือ้ หาแตน ้ไี ปจนจบหนงั สอื นี้ คัดจาก \"บทเพิม่ เติม: ชวี ติ ทเ่ี ปน อยดู ี ดวยมกี ารศึกษาทัง้ ๓ ทที่ าํ ใหพ ฒั นาครบ ๔ (มรรคมอี งค ๘ Å สกิ ขา ๓ Æ ภาวนา ๔)\" ในหนงั สอื พทุ ธธรรม ฉบบั เดมิ (พมิ พค รง้ั ท่ี ๑๐, ส.ค. ๒๕๔๔) หนา ๓๔๓–๓๗๔
๙๖ ชวี ติ ท่สี รา งสรรค สดใสและสขุ สันต แตม นษุ ยน ต้ี อ งฝก ตอ งเรยี นรู ถา ไมฝ ก ไมเ รยี นรู กอ็ ยไู มไ ด ไมต อ ง พดู ถงึ วา จะอยดู ี แมแ ตร อดกอ็ ยไู มไ ด มนษุ ยจ งึ ตอ งอยกู บั พอ แมห รอื ผเู ลย้ี ง เปน เวลานบั สบิ ป ระหวา งนก้ี ต็ อ งฝก ตอ งหดั ตอ งเรยี นรไู ป แมแ ตก นิ นงั่ นอน ขบั ถา ย เดนิ พดู ทกุ อยา งตอ งฝก ทง้ั นนั้ มองในแงน เ้ี หมอื นเปน สตั วท ดี่ อ ย แตเ มอื่ มองในแงบ วก วา ฝก ได เรยี นรไู ด กก็ ลายเปน แงเ ดน คอื พอ ฝก เรม่ิ เรียนรูแลว คราวนี้มนษุ ยก็เดินหนา มีปญญาเพิม่ พนู ข้นึ พดู ได สือ่ สารได มคี วามคิดสรางสรรค ประดษิ ฐอะไรๆ ได มคี วามเจริญท้งั ในทาง นามธรรม และทางวตั ถธุ รรม สามารถพัฒนาโลกของวัตถุ เกดิ เทคโนโลยี ตา งๆ มีศลิ ปวทิ ยาการ เกดิ เปนวฒั นธรรม อารยธรรม จนกระทั่งเกดิ เปน โลกของมนษุ ยซ อนขนึ้ มา ทามกลางโลกของธรรมชาติ สัตวอ ื่นอยางดี ที่ฝกพิเศษไดบ า ง เชน ชาง มา ลิง เปน ตน ก็ ๑. ฝก ตัวเองไมไ ด ตอ งใหม นษุ ยฝ ก ให ๒. แมม นษุ ยจ ะฝกให กฝ็ กไดใ นขอบเขตจํากัด แตมนุษยฝ กตัวเองได และฝก ไดแทบไมมีท่ีส้ินสดุ การฝก ศกึ ษาพัฒนาตน จึงทําใหมนษุ ยกลายเปน สตั วทป่ี ระเสรฐิ เลิศ สูงสุด ซ่งึ เปนความเลศิ ประเสรฐิ ทสี่ ัตวท ั้งหลายอนื่ ไมมี หลกั ความจรงิ น้ีสอนวา มนษุ ยม ใิ ชจ ะประเสริฐขึ้นมาเองลอยๆ แต ประเสรฐิ ไดด วยการฝก ถาไมฝ กแลว จะดอ ยกวาสตั วดิรัจฉาน จะต่าํ ทราม ยิง่ กวา หรอื ไมกท็ ําอะไรไมเ ปน เลย แมจะอยูรอดกไ็ มได ความดีเลศิ ประเสรฐิ ของมนษุ ยนน้ั จึงอยทู ีก่ ารเรยี นรูฝกศึกษาพัฒนา ตนขนึ้ ไป มนษุ ยจะเอาดไี มได ถาไมมกี ารเรียนรฝู กฝนพัฒนาตน เพราะ ฉะน้นั จึงตองพดู ใหเ ต็มวา “มนษุ ยเ ปนสตั วประเสริฐดว ยการฝก ” ไมควรพูดแควา มนุษยเปนสัตวประเสริฐ ซึง่ เปนการพูดท่ีตกหลน
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๙๗ บกพรอ ง เพราะวา มนษุ ยน ี้ ตอ งฝก จงึ จะประเสรฐิ ถา ไมฝ ก กไ็ มป ระเสรฐิ คาํ วา “ฝก ” นี้ พดู ตามคาํ หลักแทๆ คือ สกิ ขา หรือศึกษา ถาพดู อยางสมยั ใหม กไ็ ดแกค ําวา เรียนรู และ พฒั นา พดู รวมๆ กนั ไปวา เรียน รฝู กหัดพัฒนา หรือ เรยี นรฝู ก ศกึ ษาพัฒนา ศักยภาพของมนุษย คือจดุ เรม่ิ ของพระพทุ ธศาสนา ความจรงิ แหงธรรมชาตขิ องมนษุ ยใ นขอ ที่วา มนุษยเปน สตั วท ่ีฝก ได นี้ พระพุทธศาสนาถือเปน หลักสาํ คัญ ซ่ึงสัมพนั ธกบั ความเปน พระศาสดา และการทรงทาํ หนาทขี่ องพระพุทธเจา ดงั ที่ไดเ นนไวในพทุ ธคณุ บททีว่ า อนตุ ตฺ โร ปุรสิ ทมมฺ สารถิ สตฺถา เทวมนสุ สฺ านํ “เปนสารถีฝกคนทค่ี วรฝก ผยู อดเยี่ยม เปน ศาสดา ของเทวะและมนษุ ยทัง้ หลาย” [ม.ม.ู ๑๒/๙๕/๖๗] มีพุทธพจนมากมาย ที่เนนย้ําหลักการฝกฝนพัฒนาตนของมนุษย และเราเตือน พรอมทั้งสงเสริมกําลังใจ ใหทุกคนมุงมั่นในการฝกศึกษา พฒั นาตนจนถงึ ท่ีสดุ เชน วรมสสฺ ตรา ทนตฺ า อาชานยี า จ สนิ ธฺ วา กุ ชฺ รา จ มหานาคา อตตฺ ทนโฺ ต ตโต วรํ “อสั ดร สนิ ธพ อาชาไนย กุญชร และชางหลวง ฝก แลว ลว นดเี ลิศ แตค นท่ฝี ก ตนแลวประเสรฐิ กวา(ทั้งหมด)นั้น” [ข.ุ ธ.๒๕/๓๓/๕๗] ทนโฺ ต เสฏโ มนสุ เฺ สส.ุ “ในหมูมนษุ ย ผปู ระเสรฐิ สุด คือคนที่ฝกแลว ” [ขุ.ธ.๒๕/๓๓/๕๗]
๙๘ ชวี ติ ทสี่ รางสรรค สดใสและสุขสนั ต วชิ ชฺ าจรณสมปฺ นโฺ น โส เสฏโ เทวมานเุ ส. “ผถู ึงพรอมดว ยวิชชาและจรยิ ะ เปนผปู ระเสรฐิ สุด ทัง้ ในหมูมนษุ ยแ ละมวลเทวา” [สํ.น.ิ ๑๖/๗๒๔/๓๓๑] อตตฺ า หิ อตตฺ โน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สยิ า อตตฺ นา หิ สทุ นเฺ ตน นาถํ ลภติ ทลุ ลฺ ภํ “ตนแลเปน ทพี่ งึ่ ของตน แทจ รงิ นนั้ คนอนื่ ใครเลา จะเปน ทพี่ ง่ึ ได มตี นทฝี่ ก ดแี ลว นน่ั แหละ คอื ไดท พี่ งึ่ ซงึ่ หาไดย าก” [ข.ุ ธ. ๒๕/๒๒/๓๖] มนสุ สฺ ภตู ํ สมพฺ ทุ ธฺ ํ อตตฺ ทนตฺ *ํ สมาหติ ํ . . . เทวาป ตํ นมสสฺ นตฺ ิ . . . . . . . . . . . . . . “พระสมั พทุ ธเจา ทงั้ ทเี่ ปน มนษุ ยน แี่ หละ แตท รงฝก พระ องคแ ลว มพี ระหฤทยั ซงึ่ อบรมถงึ ทแ่ี ลว แมเ ทพทงั้ หลายกน็ อ ม นมสั การ” [อง.ฺ ปจฺ ก.๒๒/๓๑๔/๓๘๖] คาถานี้เปนการใหกําลังใจแกมนุษยวา มนุษยที่ฝกแลวน้ัน เลิศ ประเสรฐิ จนกระทัง่ แมแ ตเทวดาและพรหมกน็ อ มนมัสการ ความหมายทต่ี องการในท่ีนี้ กค็ อื การมองมนษุ ยว าเปนสัตวท ฝี่ ก ได และมคี วามสามารถในการฝก ตวั เองไดจนถงึ ทส่ี ดุ แตต องฝกจงึ จะเปน อยาง นนั้ ได และกระตุน เตือนใหเ กดิ จิตสาํ นกึ ตระหนกั ในการท่ีจะตอ งปฏิบตั ิตาม หลักแหงการศึกษาฝก ฝนพัฒนาตนน้ัน ถาใชค าํ ศพั ทส มัยปจ จบุ นั กพ็ ดู วา มนษุ ยมีศกั ยภาพสูง มคี วาม * ทนั ตะ มาจาก ทมะ ทแี่ ปลวา การฝก ซึง่ เปน อีกคําหน่งึ ทใ่ี ชแทนสิกขาได [ทันตะ คือคน ที่ฝกหรือศึกษาแลว ถา เปนคนผทู ่จี ะตอ ง(ไดรับการ)ฝก กเ็ ปน ทัมมะ (อยางในบท พุทธคุณที่ยกมาใหดขู างตน)]
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๙๙ สามารถทีจ่ ะฝก ศกึ ษาพัฒนาตนไดจนถงึ ข้ันเปน พุทธะ ศักยภาพนเี้ รียกวา โพธิ ซ่ึงแสดงวาจดุ เนนอยูท่ีปญ ญา เพราะโพธิ น้นั แปลวา ปญญาตรัสรู คอื ปญ ญาทท่ี าํ ใหม นษุ ยกลายเปน พุทธะ ในการศึกษาตามหลักพทุ ธศาสนาหรือการปฏิบตั ธิ รรมนั้น สิง่ สาํ คญั ที่ จะตองมีเปนจดุ เริม่ ตน คือ ความเชอ่ื ในโพธนิ ้ี ท่ีเรยี กวา โพธศิ รัทธา ซง่ึ ถอื วา เปน ศรัทธาพืน้ ฐาน เมือ่ มนุษยเ ชอื่ ในปญญาทท่ี ําใหมนุษยเปนพุทธะไดแลว เขาก็พรอมที่ จะศึกษาฝกฝนพัฒนาตนตอ ไป ตามทก่ี ลา วมานจ้ี ะเหน็ วา คาํ วา โพธิ นน้ั ใหจ ดุ เนน ทงั้ ในดา นของศกั ย- ภาพทม่ี นุษยฝ กไดจ นถึงที่สุด และในดานของปญ ญา ใหเห็นวาแกนนําของ การฝกศึกษาพัฒนาน้ันอยูท่ีปญญา และศักยภาพสูงสุดก็แสดงออกท่ี ปญญา เพราะตวั แทนหรอื จดุ ศูนยร วมของการพฒั นาอยทู ปี่ ญ ญา เพอื่ จะใหโ พธินี้ปรากฏขึ้นมา ทาํ บุคคลใหกลายเปน พทุ ธะ เราจงึ ตอง มีกระบวนการฝกหรือพฒั นาคน ท่ีเรียกวาสกิ ขา ซ่งึ กค็ อื การศกึ ษา สิกขา คอื กระบวนการการศึกษา ทฝี่ กหรอื พฒั นามนุษย ใหโพธิ ปรากฏขนึ้ จนในทส่ี ดุ ทาํ ใหมนุษยน้นั กลายเปนพทุ ธะ ชวี ิตท่ดี ี คือชวี ิตท่ีศกึ ษา เมือ่ พฒั นาคนดวยไตรสิกขา ชีวิตกก็ าวไปในอรยิ มรรคา ชวี ติ น้นั เปน อนั เดียวกนั กบั การศึกษา เพราะชวี ิตคอื การเปนอยู และ การทชี่ วี ติ เปน อยดู าํ เนนิ ไป กค็ อื การทต่ี อ งเคลอื่ นไหว พบประสบการณใ หมๆ และเจอสถานการณใหมๆ ซงึ่ จะตอ งรูจ กั ตอ งเขาใจ ตอ งคดิ ตอ งปฏิบัติ หรอื จัดการอยางใดอยางหน่งึ หรือหาทางแกไ ขปญหาใหผานรอดหรอื ลลุ วง ไป ทําใหตองมกี ารเรียนรู มกี ารพิจารณาแกปญ หาตลอดเวลา ทั้งหมดนี้พดู
๑๐๐ ชีวิตที่สรา งสรรค สดใสและสขุ สนั ต สน้ั ๆ ก็คือสิกขา หรอื การศึกษา ดังน้นั เมอ่ื ยงั มชี วี ติ อยู ถาจะเปน อยไู ด หรอื จะเปน อยใู หดี ก็ตอ ง สกิ ขาหรอื ศึกษาตลอดเวลา พดู ไดว า ชวี ติ คือการศึกษา หรอื ชีวิตที่ดีคือ ชีวติ ทมี่ ีการศึกษา มีการเรยี นรู หรอื มกี ารฝก ฝนพัฒนาไปดว ย การศกึ ษาตลอดชวี ิตในความหมายท่ีแท คอื อยางน้ี ถาจะพูดใหหนกั แนน ก็ตองวา “ชีวิต คือการศึกษา” พดู อีกอยางหนึ่งวา การดาํ เนนิ ชวี ติ ท่ดี ี จะเปน ชวี ติ แหงสิกขาไปในตวั ชีวติ ขาดการศกึ ษาไมได ถาขาดการศกึ ษากไ็ มเ ปนชวี ิตที่ดี ทีจ่ ะอยไู ดอ ยางดี หรือแมแ ตจ ะอยใู หร อดไปได ตรงนเี้ ปน การประสานเปน อนั เดยี วกนั ระหวา ง การศกึ ษาพฒั นามนษุ ย หรอื การเรยี นรฝู ก ฝนพฒั นาคน ที่เรยี กวา สิกขา กบั การดําเนินชีวติ ทด่ี ีของ มนุษย ที่เรียกวามรรค คือการดาํ เนินชวี ิตชนดิ ท่ีมีการศกึ ษาพฒั นาชวี ติ ไป ดว ยในตวั จึงจะเปน ชีวติ ทด่ี ี สิกขา ก็คือการพฒั นาตัวเองของมนุษย ใหด าํ เนนิ ชวี ติ ไดด ีงามถูก ตอง ทําใหมีวถิ ชี วี ิตท่ีเปน มรรค สว น มรรค กค็ อื ทางดาํ เนนิ ชวี ติ หรอื วถิ ชี วี ติ ทถี่ กู ตอ งดงี ามของมนษุ ย ซ่ึงเปนวิถีชีวติ แหง การเรยี นรฝู กฝนพัฒนาตนคอื สกิ ขา มรรค กบั สิกขา จงึ ประสานเปน อนั เดียวกนั จงึ ใหค วามหมายไดว า สกิ ขา/การศกึ ษา คอื การเรยี นรทู จ่ี ะใหส ามารถ เปน อยไู ดอยางดี หรอื ฝกใหส ามารถมีชีวติ ทดี่ ี เปน อันวา ชวี ติ คอื การศึกษาน้ี เปนของแนนอน แตป ญหาอยทู ี่วา เรา จะศกึ ษาเปน หรือไม ถา คนไมรูจ ักศึกษา กม็ ีชวี ติ เปลาๆ หมายความวา พบ ประสบการณใ หมๆ ก็ไมไดอ ะไร เจอสถานการณใหมๆ ก็ไมรจู ะปฏิบตั อิ ยา ง ไรใหถูกตอง ไมม กี ารเรียนรู ไมมีการพัฒนา ไมมีการแกปญ หา เปน ชวี ิตที่
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๐๑ เลอ่ื นลอย เปน ชีวิตท่ไี มด ี ไมมีการศกึ ษา ทางธรรมเรยี กวา “พาล” แปลวา มีชวี ติ อยูเพียงแคด ว ยลมหายใจเขา ออก เพราะมองความจรงิ อยางนี้ ทางธรรมจงึ จดั ไวใ หการศกึ ษา กับชวี ิต ที่ดี เปนเรอื่ งเดยี วกนั หรอื ตอ งไปดวยกนั ทานถอื วา ชีวิตนเี้ หมือนกบั การเดินทางกา วไปๆ และในการเดินทาง นั้นก็พบอะไรใหมๆ อยูเรอ่ื ย จึงเรยี กวา “มรรค” หรอื “ปฏปิ ทา” แปลวา ทางดาํ เนนิ ชวี ิต หรือเรยี กวา “จรยิ /จริยะ” แปลวา การดาํ เนินชีวิต มรรค หรือ ปฏิปทา จะเปนทางดําเนินชวี ิต หรอื วิถชี ีวิตท่ีดี จรยิ ะ จะเปน การดาํ เนนิ ชวี ิตที่ดี ก็ตองมสี กิ ขา คือการศึกษา เรยี นรู และพัฒนา ตนเองตลอดเวลา ดังกลาวแลว มรรคที่ถูกตอง เรียกวา “อริยมรรค” (มรรคาอนั ประเสรฐิ หรอื ทาง ดําเนินชวี ติ ท่ีประเสริฐ) ก็เปน จริยะทีด่ ี เรียกวา “พรหมจรยิ ะ” (จริยะอยา ง ประเสริฐ หรอื การดําเนนิ ชีวติ ที่ประเสรฐิ ) ซึง่ กค็ ือมรรค และจรยิ ะ ท่ีเกิด จากสิกขา หรือประกอบดว ยสกิ ขา สิกขา ท่ีจะใหเกิดมรรค หรือจริยะอนั ประเสรฐิ คือสกิ ขาทีเ่ ปน การ ฝกฝนพัฒนาคนครบทงั้ ๓ ดา นของชวี ิต ซ่ึงเรยี กวา ไตรสิกขา แปลวา การ ศกึ ษาทั้ง ๓ ทจ่ี ะกลาวตอ ไป ชีวติ มี ๓ ดา น การฝกศกึ ษากต็ องประสานกนั ๓ สว น พัฒนาคนแบบองครวม จึงเปนเรื่องธรรมดาของการศกึ ษา ชีวิต และการดําเนนิ ชวี ติ ของมนษุ ยน ้นั แยกไดเ ปน ๓ ดา น คือ ๑. ดานสัมพันธกับส่ิงแวดลอม การดาํ เนินชีวิตตองติดตอส่ือสาร สัมพันธก บั โลก หรือสงิ่ แวดลอมนอกตวั โดยใช
๑๐๒ ชวี ติ ทสี่ รางสรรค สดใสและสุขสนั ต ก) ทวาร/ชองทางรับรแู ละเสพความรสู ึก* ท่ีเรียกวา อนิ ทรยี คือ ตา หู จมกู ลิน้ กาย (รวม ใจ ดว ยเปน ๖) ข) ทวาร/ชองทางทาํ กรรม** คือ กาย วาจา โดย ทํา และพูด (รวม ใจ-คิด ดว ยเปน ๓) ส่ิงแวดลอมที่มนุษยติดตอส่ือสารสัมพันธน้ัน แยกไดเปน ๒ ประเภท คอื ๑) ส่ิงแวดลอมทางสงั คม คือเพ่ือนมนุษย ตลอดจนสรรพสตั ว ๒) สิง่ แวดลอ มทางวตั ถุ หรือทางกายภาพ มนุษยควรจะอยรู ว มกบั เพ่ือนมนษุ ยแ ละเพื่อนรวมโลกดวยดี อยา ง เกื้อกูลกัน เปนสว นรวมท่สี รา งสรรคของสังคม และปฏิบัติตอสิง่ แวดลอม ทางวตั ถุ ตง้ั ตน แตก ารใชต า หู ดู ฟง ทงั้ ดา นการเรยี นรู และการเสพอารมณ ใหไ ดผ ลดี รจู กั กนิ อยู แสวงหา เสพบรโิ ภคปจ จยั ๔ เปน ตน อยา งฉลาด ให เปนคุณแกตน แกสังคม และแกโ ลก อยางนอยไมใ หเปน การเบยี ดเบียน ๒. ดานจติ ใจ ในการสัมพนั ธก ับสิ่งแวดลอ มหรอื แสดงออกทุกคร้งั จะมกี ารทํางานของจิตใจ และมอี งคป ระกอบดา นจิตเกยี่ วของ เรม่ิ แตตอ งมี เจตนา ความจงใจ ต้งั ใจ หรือเจตจํานง และมแี รงจูงใจอยา งใดอยางหนงึ่ พรอ มทัง้ มีความรูส ึกสุข หรือทกุ ข สบาย หรอื ไมส บาย และปฏิกริ ิยาตอ จาก สขุ -ทุกขนน้ั เชน ชอบใจ หรอื ไมช อบใจ อยากจะได อยากจะเอา หรืออยาก จะหนี หรืออยากจะทําลาย ซ่ึงจะมีผลชกั นําพฤติกรรมท้ังหลาย ตั้งแตจ ะให ดูอะไร หรอื ไมด อู ะไร จะพูดอะไร จะพูดกบั ใคร วา อยา งไร ฯลฯ ๓. ดา นปญญา ในการสมั พนั ธกบั สิง่ แวดลอ มหรือแสดงออกทกุ คร้ัง ก็ตาม เมอื่ มีภาวะอาการทางจิตใจอยา งหนง่ึ อยา งใด กต็ าม องคป ระกอบอกี * เรียกโดยศัพทว า ผสั สทวาร หรอื สมั ผสั สทวาร หรอื ปสาททวาร ** เรยี กโดยศัพทว า กรรมทวาร (กาย และ วาจา มีคําเรยี กเฉพาะอกี วา โจปนทวาร)
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๐๓ ดานหนึ่งของชีวิต คอื ความรูความเขา ใจ ความคดิ ความเชื่อถอื เปนตน ที่ เรียกรวมๆ วา ดานปญญา กเ็ ขามาเก่ยี วขอ ง หรือมบี ทบาทดวย เรม่ิ ตงั้ แตว า ถา มปี ญ ญา กแ็ สดงออกและมภี าวะอาการทางจติ อยา งหนง่ึ ถา ขาดปญ ญา กแ็ สดงออกและมภี าวะอาการทางจติ อกี อยา งหนง่ึ เรามคี วามรู ความเขา ใจเรอ่ื งนนั้ แคไหน มีความเชอ่ื มีทศั นคติ มีความยึดถืออยางไร เรา ก็แสดงออกหรอื มองส่งิ นน้ั ไปตามแนวคดิ ความเขา ใจ หรอื แมก ระทง่ั คา นยิ มอยา งนน้ั ทาํ ใหช อบใจ ไมชอบใจ มีสุขมที กุ ขไ ปตามนนั้ และเมื่อเรามอง เห็น เรารู เขาใจอยางไร แคไ หน เรากแ็ สดงออกหรือมพี ฤติกรรมของเรา ไป ตามความรคู วามเขา ใจ และภายในขอบเขตของความรูข องเรานั้น ถา ปญ ญา ความรู ความเขา ใจเกดิ มากขน้ึ หรอื เราคดิ เปน กท็ าํ ใหเ รา ปรบั แกพ ฤตกิ รรมและจติ ใจของเราใหม เชน เจอประสบการณท ไี่ มด ี เรารสู กึ ไมช อบใจ พอไมช อบใจ กท็ กุ ข แตถ า เกดิ ปญ ญาคดิ ไดข น้ึ มาวา สงิ่ ทไี่ มด หี รอื ไมช อบนนั้ ถา เราเรยี นรู เรากไ็ ดค วามรู พอมองในแงเ รยี นรู กก็ ลายเปน ได ความไมช อบใจหายไป กลายเปน ชอบสง่ิ ทเี่ คยไมช อบ พอไดค วามรกู เ็ กดิ ความ สขุ จากทกุ ขก เ็ ปลยี่ นเปน สขุ ปฏกิ ริ ยิ าทแ่ี สดงออกมาทางพฤตกิ รรมกเ็ ปลยี่ นไป ในชวี ติ ประจาํ วนั หรอื ในการประกอบอาชีพการงาน เมอื่ เจอคนหนา บ้ึง พดู ไมด ี ถาเรามองตามความชอบใจ-ไมช อบใจ ไมใชปญญา เรากโ็ กรธ แตพอใชโ ยนโิ สมนสกิ าร มองตามเหตปุ จจยั คิดถึงความเปนไปไดแงตางๆ เชน วา เขาอาจจะมีเรอื่ งทุกข ไมสบายใจอยู เพยี งคิดแคน ้ี ภาวะจติ ก็อาจจะ พลกิ เปล่ยี นไปเลย จากโกรธก็กลายเปน สงสาร อยากจะชวยเขาแกปญ หา ปญ ญาเปน ตวั ชน้ี าํ บอกทาง ใหแ สงสวา ง ขยายขอบเขต ปรบั แกจ ติ ใจ และพฤตกิ รรม และปลดปลอ ยใหหลดุ พน หนา ทส่ี าํ คญั ของปญ ญา คอื ปลดปลอ ย ทาํ ใหเ ปน อสิ ระ ตวั อยา งงา ยๆ เพยี งแคไ ปทไ่ี หน เจออะไร ถา ไมร วู า คอื อะไร ไมร จู ะปฏบิ ตั ติ อ มนั อยา งไร หรอื
๑๐๔ ชีวติ ที่สรางสรรค สดใสและสุขสนั ต พบปญ หา ไมร วู ธิ แี กไ ข จติ ใจกเ็ กดิ ความอดึ อดั รสู กึ บบี คน้ั ไมส บายใจ นคี่ อื ทกุ ข แตพ อปญ ญามา รวู า อะไรเปน อะไร จะทาํ อยา งไร กโ็ ลง ทนั ที พฤตกิ รรม ติดตนั อยู พอปญ ญามา กไ็ ปได จติ ใจอดั อัน้ อยู พอปญญามา กโ็ ลงไป องคประกอบของชีวิต ๓ ดา นนี้ ทาํ งานไปดว ยกนั ประสานกันไป และเปน เหตปุ จจัยแกก นั ไมแ ยกตา งหากจากกนั การสมั พนั ธก บั โลกดว ยอนิ ทรยี แ ละพฤตกิ รรมทางกายวาจา (ดา นท่ี ๑) จะเปน ไปอยา งไร กข็ นึ้ ตอ เจตนา ภาวะและคณุ สมบตั ขิ องจติ ใจ (ดา นที่๒) และ ทําไดภายในขอบเขตของปญ ญา (ดา นที่๓) ความตงั้ ใจและความตองการเปนตน ของจิตใจ (ดา นที่ ๒) ตอ ง อาศยั การส่ือทางอินทรียและพฤติกรรมกายวาจาเปนเครอ่ื งสนอง (ดา นท่ี ๑) ตองถูกกําหนดและจํากัดขอบเขตตลอดจนปรับเปลี่ยนโดยความเช่ือถือ ความคดิ เหน็ และความรคู วามเขา ใจทม่ี อี ยแู ละทเ่ี พม่ิ หรอื เปลย่ี นไป (ดา นที่๓) ปญญาจะทาํ งานและจะพฒั นาไดดหี รือไม (ดา นที่ ๓) ตอ งอาศัย อนิ ทรยี เชน ดู ฟง อาศัยกายเคลือ่ นไหว เชน เดินไป จับ จดั คน ฯลฯ ใช วาจาสื่อสารไถถ ามไดดีเพียงใด โดยมที ักษะแคไ หน (ดา นที่ ๑) ตองอาศยั ภาวะและคณุ สมบตั ิของจติ ใจ เชน ความสนใจ ใฝใจ ความมใี จเขมแข็งสู ปญหา ความขยนั อดทน ความรอบคอบ มสี ติ ความมใี จสงบแนว แน มี สมาธิ หรอื ไมเ พยี งใด เปน ตน (ดานท่ี๒) นค้ี อื การดาํ เนนิ ไปของชวี ติ ทอี่ งคป ระกอบ ๓ ดา นทาํ งานไปดว ยกนั อาศยั กนั ประสานกนั เปน ปจ จยั แกก นั ซง่ึ เปน ความจรงิ ของชวี ติ นนั้ ตามธรรมดาของ มนั เปน เรอื่ งของธรรมชาติ และจงึ เปน เหตผุ ลทบี่ อกอยใู นตวั วา ทาํ ไมจะตอ ง แยกชวี ติ หรอื การดาํ เนนิ ชวี ติ เปน ๓ ดา น จะแบง มากหรอื นอ ยกวา นไี้ มไ ด เมอ่ื ชีวิตที่ดาํ เนนิ ไปมี ๓ ดา นอยางน้ี การศึกษาทฝ่ี ก คนใหดาํ เนินชวี ติ ไดดี กต็ องฝก ฝนพัฒนาท่ี ๓ ดา นของชวี ิตนนั้
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๐๕ ดังนนั้ การฝก หรือศกึ ษา คอื สิกขา จึงแยกเปน ๓ สว น ดังทเี่ รียกวา ไตรสิกขา เพอ่ื ฝกฝนพฒั นา ๓ ดา นของชวี ิตน้ัน ใหตรงกัน แตเปนการ พัฒนาพรอมไปดว ยกันอยางประสานเปน ระบบสัมพันธอ ันหน่ึงอันเดยี ว ไตรสิกขา: ระบบการศกึ ษา ซึ่งพัฒนาชีวิตทีด่ ําเนนิ ไปทั้งระบบ ในระบบการดําเนนิ ชีวติ ๓ ดา น ที่กลาวแลว นัน้ เมอื่ ศกึ ษาฝกชวี ติ ๓ ดา นนนั้ ไปแคไหน ก็เปน อยูด าํ เนินชีวติ ท่ีดไี ดเ ทานน้ั ฝก อยางไร ก็ไดอ ยาง น้นั หรือสกิ ขาอยางไร กไ็ ดม รรคอยางน้ัน สิกขา คอื การศึกษา ที่ฝก อบรมพัฒนาชวี ิต ๓ ดานน้นั มดี ังน้ี ๑. สกิ ขา/การฝก ศกึ ษา ดา นสมั พนั ธก บั สง่ิ แวดลอ ม จะเปน สงิ่ แวด ลอ มทางสงั คม คอื เพอ่ื นมนษุ ย ตลอดจนสรรพสตั ว หรอื สง่ิ แวดลอ มทางวตั ถุ กต็ าม ดว ยอนิ ทรยี (เชน ตา ห)ู หรอื ดว ยกาย วาจา กต็ าม เรยี กวา ศลี (เรยี ก เตม็ วา อธสิ ลี สกิ ขา) ๒. สิกขา/การฝกศึกษา ดานจิตใจ เรียกวา สมาธิ (เรียกเต็มวา อธิจิตตสกิ ขา) ๓. สิกขา/การฝกศึกษา ดานปญญา เรียกวา ปญญา (เรียกเต็มวา อธิปญ ญาสกิ ขา) รวมความวา การฝกศกึ ษาน้นั มี ๓ อยาง เรยี กวา สิกขา ๓ หรือ ไตรสิกขา คอื ศลี สมาธิ ปญ ญา ซึง่ พดู ดวยถอยคําของคนยคุ ปจจบุ นั วา เปน ระบบการศกึ ษาทีท่ าํ ใหบ คุ คลพฒั นาอยางมบี ูรณาการ และใหม นษุ ยเปน องครวมท่ีพัฒนาอยางมีดุลยภาพ เมอ่ื มองจากแงข องสกิ ขา๓ จะเหน็ ความหมายของสกิ ขาแตล ะอยา ง ดงั นี้ ๑. ศลี คอื สิกขาหรือการศึกษาทฝ่ี ก ในดา นการสมั พนั ธต ดิ ตอ ปฏิบตั ิ จัดการกับสิง่ แวดลอม ทั้งทางวัตถุและทางสังคม ทงั้ ดวยอนิ ทรียต างๆ และ
๑๐๖ ชวี ิตทส่ี รา งสรรค สดใสและสุขสนั ต ดวยพฤติกรรมทางกาย-วาจา พดู อีกอยา งหนง่ึ วา การมีวิถีชีวิตทปี่ ลอดเวร ภัยไรก ารเบยี ดเบียน หรอื การดาํ เนนิ ชวี ิตท่ีเก้อื กลู แกสังคม และแกโลก ๒. สมาธิ คือ สกิ ขาหรอื การศึกษาทฝ่ี ก ในดานจติ หรือระดบั จิตใจ ไดแ กก ารพฒั นาคณุ สมบัตติ างๆ ของจติ ทงั้ – ในดา นคณุ ธรรม เชน เมตตา กรณุ า ความมไี มตรี ความเหน็ อกเหน็ ใจ ความเอ้ือเฟอเผ่ือแผ ความสุภาพออนโยน ความเคารพ ความซื่อสัตย ความกตัญู ในดา นความสามารถของจิต เชน ความเขมแขง็ มั่นคง ความเพียร พยายาม ความกลา หาญ ความขยนั ความอดทน ความรับผิดชอบ ความมงุ ม่นั แนวแน ความมีสติ สมาธิ และ ในดา นความสุข เชน ความมปี ตอิ ่มิ ใจ ความมีปราโมทยร าเริงเบกิ บานใจ ความสดช่นื ผอ งใส ความรสู กึ พอใจ พูดสน้ั ๆ วา พฒั นาคุณภาพ สมรรถภาพ และสขุ ภาพของจติ ๓. ปญญา คือ สิกขาหรือการศึกษาท่ีฝกหรือพัฒนาในดานการรู ความจริง เริม่ ต้ังแตความเช่ือท่ีมเี หตุผล ความเหน็ ท่ีเขาสูแ นวทางของความ เปน จริง การรจู ักหาความรู การรูจกั คดิ พจิ ารณา การรจู ักวนิ ิจฉยั ไตรต รอง ทดลอง ตรวจสอบ ความรเู ขา ใจ ความหย่งั รเู หตุผล การเขาถึงความจริง การนําความรูมาใชแ กไ ขปญหา และคิดการตา งๆ เฉพาะอยา งยงิ่ เนน การรตู รงตามความเปน จรงิ หรอื รเู หน็ ตามทม่ี นั เปน ตลอดจนรแู จง ความจรงิ ทเ่ี ปน สากลของสง่ิ ทงั้ ปวง จนถงึ ขนั้ รเู ทา ทนั ธรรมดา ของโลกและชีวิต ท่ีทําใหมีจิตใจเปนอิสระ ปลอดปญหา ไรทุกข เขาถึง อิสรภาพโดยสมบูรณ หลกั ท้งั ๓ ประการแหง ไตรสิกขา ท่ีกลา วมาน้ี เปนการศกึ ษาท่ีฝกคน ใหเจรญิ พัฒนาข้ึนไปในองคป ระกอบทั้ง ๓ ดานของชีวิตทดี่ ีงาม ท่ไี ดกลา ว
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๐๗ แลว ขางตน ย้ําอีกครง้ั หนึ่งวา การฝก ศกึ ษาท่ีจะใหม ชี ีวติ ทดี่ งี าม เปนสิกขา ชวี ติ ดี งามที่เกดิ จากการฝก ศกึ ษานั้น เปน มรรค ระบบแหง สกิ ขา เรมิ่ ดว ยจดั ปรบั พน้ื ทใี่ หพ รอ มทจี่ ะทาํ งานฝก ศกึ ษา ไตรสิกขา เปนการศกึ ษา ๓ ดา น ท่พี ัฒนาชวี ิตไปพรอมกนั ท้งั ระบบ แตถามองหยาบๆ เปน ภาพใหญ ก็มองเหน็ เปน การฝกศึกษาทด่ี ําเนนิ ไปใน ๓ ดา น/ขน้ั ตอน ตามลาํ ดบั (มองไดท ง้ั ในแงป ระสานกนั และเปน ปจ จยั ตอ กนั ) ศลี เปน เหมอื นการจดั ปรบั พนื้ ทแ่ี ละบรเิ วณแวดลอ ม ใหส ะอาดหมด จดเรยี บรอ ยราบรน่ื แนน หนามนั่ คง มสี ภาพทพ่ี รอ มจะทาํ งานไดค ลอ งสะดวก สมาธิ เปน เหมอื นการเตรียมตัวของผทู ํางานใหมีเร่ียวแรงกําลงั ความ ถนัดจัดเจนทพ่ี รอมจะลงมอื ทํางาน ปญ ญา เปนเหมอื นอปุ กรณทจ่ี ะใชทํางานนั้นๆ ใหสําเรจ็ เชน จะตัดตนไม: ไดพน้ื เหยียบยนั ท่แี นนหนามน่ั คง (ศลี ) + มกี ําลงั แขนแข็งแรงจับมดี หรือขวานไดถ นดั มนั่ (สมาธ)ิ + อปุ กรณค ือมดี หรือขวานท่ีใชต ัดน้นั ไดขนาด มีคณุ ภาพดแี ละลับไวคมกรบิ (ปญ ญา) Æไดผลคือตดั ไมส ําเร็จโดยไมย าก อีกอุปมาหน่ึงท่ีอาจจะชวยเสริมความชัดเจน บา นเรอื นทอี่ ยทู ท่ี าํ งาน ฝาผพุ นื้ ขรขุ ระหลงั คารวั่ รอบอาคารถนนหนทาง รกรงุ รงั ทง้ั เปน ถน่ิ ไมป ลอดภยั (ขาดศลี ) Æการจดั แตง ตง้ั วางสง่ิ ของเครอื่ งใช จะเตรยี มตวั อยหู รอื ทาํ งาน อดึ อดั ขดั ขอ ง ไมพ รอ ม ไมส บาย ไมม นั่ ใจไปหมด (ขาดสมาธ)ิ Æการเปน อยแู ละทาํ งานคดิ การทงั้ หลาย ไมอ าจดาํ เนนิ ไปไดด ว ยดี (ขาดปญญา) Æชวี ิตและงานไมส ัมฤทธ์ิลุจุดหมาย
๑๐๘ ชวี ิตท่ีสรางสรรค สดใสและสุขสันต เนอื่ งจากไตรสกิ ขา เปน หลกั ใหญท คี่ รอบคลมุ ธรรมภาคปฏบิ ตั ทิ ง้ั หมด ในทนี่ จ้ี งึ มใิ ชโ อกาสทจ่ี ะอธบิ ายหลกั ธรรมหมวดนไ้ี ดม าก โดยเฉพาะขน้ั สมาธิ และปญญาที่เปนธรรมละเอียดลึกซึ้ง จะยงั ไมพ ูดเพ่ิมเตมิ จากที่ไดอธบิ ายไป แลว แตใ นขนั้ ศีลจะพูดเพ่ิมอีกบาง เพราะเก่ียวของกับคนทวั่ ไปมาก และจะ ไดเปนตัวอยา งแสดงใหเห็นความสัมพันธร ะหวา งสิกขาทง้ั ๓ ดานนน้ั ดวย การฝก ศกึ ษาในขนั้ ศลี มหี ลกั ปฏบิ ตั ทิ สี่ าํ คญั ๔ หมวด คอื * ๑. วนิ ยั บญั ญตั ิ เปน เครอ่ื งมอื สาํ คญั ขน้ั แรกทใ่ี ชใ นการฝก ขนั้ ศลี มี ตงั้ แตว นิ ยั แมบ ท** ของชมุ ชนใหญน อ ย ไปจนถงึ วนิ ยั สว นตวั ในชวี ติ ประจาํ วนั วินยั บัญญัติ คือการจดั ต้งั วางระบบระเบยี บแบบแผนเกย่ี วกบั การ ดาํ เนนิ ชวี ติ และการอยรู วมกนั ของหมูมนษุ ย เพอื่ จดั ปรับเตรียมสภาพชวี ิต สังคมและส่ิงแวดลอม รวมท้ังลักษณะแหงความสัมพันธตางๆ ใหอยูใน ภาวะทเ่ี หมาะและพรอมท่จี ะเปน อยู ปฏบิ ตั ิกิจ และดําเนนิ การตางๆ เพอื่ เกือ้ หนนุ กันใหก าวหนาไปอยา งไดผลดีท่สี ุด สจู ดุ หมายของชีวิต ของบุคคล ของ องคกร ของชุมชน ตลอดจนของสงั คมทง้ั หมดไมว า ในระดบั ใดๆ โดยเฉพาะ สําคัญที่สุด เพ่ือเอื้อโอกาสใหแตละบุคคลฝกศึกษาพัฒนาชีวิตของเขาให ประณตี ประเสรฐิ ที่จะไดประโยชนส งู สุดทจ่ี ะพงึ ไดจ ากการที่ไดม ีชวี ติ เปน อยู วนิ ยั พนื้ ฐานหรอื ขน้ั ตน สดุ ของสงั คมมนษุ ย ไดแ ก ขอ ปฏบิ ตั ทิ จี่ ะไม ใหม กี ารเบยี ดเบยี นกนั ๕ ประการ คอื * ศลี ๔ หมวดน้ี ตามปกตทิ า นแสดงไวเ ปน ขอ ปฏบิ ตั ขิ องพระภกิ ษุ เรยี กวา ปารสิ ทุ ธศิ ลี ๔ มชี อื่ ท่ี เรยี งตามลาํ ดบั คอื ๑. ปาตโิ มกขสงั วรสลี ๒. อนิ ทรยี สงั วรสลี ๓. อาชวี ปารสิ ทุ ธสิ ลี และ ๔. ปจ จยั สนั นสิ สติ สลี หรอื ปจ จยั ปฏเิ สวนสลี (เชน วสิ ทุ ธฺ .ิ ๑/๑๘–๕๖) ทท่ี า นเรยี งขอ ๓. ไวก อ นขอ ๔. นน้ั เหน็ ไดว า เปน ไปตามลาํ ดบั ทเ่ี ปน จรงิ คอื ขอ ๓. เปน เรอื่ งของปจ จยั ปรเิ ยสนา คอื การแสวงหา ปจ จยั ซงึ่ มากอ นปจ จยั ปฏเิ สวนา คอื การเสพปจ จยั แตใ นทน่ี ้ี มงุ ใหค ฤหสั ถน าํ มาปฏบิ ตั ใิ หเ หมาะ กบั ตนดว ย โดยเรมิ่ ตงั้ แตว ยั เดก็ จงึ เรยี กโดยชอ่ื ทคี่ นุ แกค นทวั่ ไป และเรยี งอาชวี ะเปน ขอ สดุ ทา ย ** วนิ ยั แมบทของพระภกิ ษุ เรียกวา ภกิ ขุปาตโิ มกข (ภกิ ขุปาฏิโมกข ก็ใช)
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๐๙ ๑. เวน การทาํ รา ยรา งกายทาํ ลายชวี ติ ๒. เวน การละเมดิ กรรมสทิ ธใิ์ นทรพั ยส นิ ๓. เวน การประพฤตผิ ดิ ทางเพศและละเมดิ ตอ คคู รองของผอู นื่ ๔. เวน การพดู เทจ็ ใหร า ยหลอกลวง และ ๕. เวน การเสพสรุ ายาเมาสงิ่ เสพตดิ ทที่ าํ ลายสตสิ มั ปชญั ญะ แลว นาํ ไป สกู ารกอ กรรมชว่ั อยา งอน่ื เรมิ่ ตง้ั แตค กุ คามตอ ความรสู กึ มน่ั คงปลอดภยั ของ ผรู ว มสงั คม ขอ ปฏบิ ตั พิ นื้ ฐานชดุ นี้ ซง่ึ เรยี กงา ยๆ วา ศลี ๕ เปน หลกั ประกนั ที่ รักษาสังคมใหม่ันคงปลอดภัย เพียงพอท่ีมนุษยจะอยูรวมกันเปนปกติสุข และดาํ เนนิ ชวี ติ ทาํ กจิ การตา งๆ ใหเ ปน ไปไดด ว ยดพี อสมควร นบั วา เปน วนิ ยั แมบ ทของคฤหสั ถ หรอื ของชาวโลกทงั้ หมด ไมค วรมองวนิ ยั วาเปนการบบี บงั คบั จํากดั แตพ ึงเขาใจวา วนิ ยั เปน การ จัดสรรโอกาส หรอื จดั สรรส่ิงแวดลอ มหรอื สภาวะทางกายภาพใหเ อือ้ โอกาส แกการที่จะดําเนินชีวิตและกิจการตา งๆ ใหไดผ ลดีทสี่ ดุ ต้ังแตเรอื่ งงายๆ เชน การจัดส่ิงของเคร่ืองใชเตียงตั่งโตะเกาอ้ีในบานใหเปนที่เปนทางทําให หยิบงายใชค ลอ งน่งั เดนิ ยืนนอนสะดวกสบาย การจดั เตรยี มวางสง เครอื่ งมือ ผาตัดของศัลยแพทย การจัดระเบียบจราจรบนทองถนน วินัยของทหาร วนิ ยั ของขา ราชการ ตลอดจนจรรยาบรรณของวชิ าชพี ตา งๆ ในวงกวาง ระบบเศรษฐกิจ ระบบสงั คม ระบบการเมืองการปกครอง ตลอดจนแบบแผนทุกอยางท่ีอยูตัวกลายเปนวัฒนธรรม รวมอยูในความ หมายของคาํ วา “วินยั ” ทง้ั สน้ิ สาระของวินัย(บัญญัติ) คอื การอาศยั (ความรูใน)ธรรมคือความจรงิ ของสิ่งท้งั หลายตามที่มันเปน อยู มาจดั สรรต้ังวางระเบยี บระบบตางๆ ขน้ึ เพือ่ ใหม นษุ ยไดประโยชนส ูงสุดจากธรรมคือความจริงนนั้
๑๑๐ ชีวิตทสี่ รา งสรรค สดใสและสุขสนั ต พระพุทธเจา ทรงมุงจะใหค นจาํ นวนมาก ไดประโยชนจ ากธรรมทีพ่ ระ องคไดตรัสรู จงึ ทรงตั้งชมุ ชนเรยี กวาสังฆะขนึ้ โดยบญั ญตั วิ นิ ยั คอื จัดต้ัง วางระเบยี บระบบตา งๆ ที่จะใหส ังฆะนนั้ เปน แหลง ทผ่ี สู มคั รเขา มา ไดม คี วาม เปน อยู มวี ถิ ชี วี ติ มกี จิ หนา ท่ี มรี ะบบการอยรู ว มกนั การดาํ เนนิ กจิ การงาน การ สมั พนั ธก นั เองและสมั พนั ธก บั บคุ คลภายนอก มวี ธิ แี สวงหาจดั สรรแบง ปน และ บรโิ ภคปจ จยั ๔ และการจดั สรรสภาพแวดลอ มทกุ อยา งทเี่ ออ้ื เกอื้ กลู เหมาะกนั พรอ มทง้ั ปด กน้ั ชอ งโหวโ อกาสทจี่ ะกอ เกอื้ แกก ารทเ่ี สอ่ื มเสยี หาย ทาํ ทกุ อยา ง ใหอ าํ นวยโอกาสมากทส่ี ดุ แกก ารทแี่ ตล ะบคุ คลจะฝก ศกึ ษาพฒั นาตน ให เจริญในไตรสิกขากา วหนา ไปในมรรค และบรรลผุ ลทพี่ งึ ไดจ ากชีวิตที่ดงี าม ประเสรฐิ เขา ถึงธรรมสงู สดุ ทงั้ วิชชา วิมตุ ติ วสิ ุทธิ สันติ นพิ พาน กบั ทงั้ ให ชุมชนแหงสังฆะนั้นเปนแหลงแผธรรมเพ่ือขยายประโยชนสุขใหกวางขวาง ออกไปโดยรอบและทั่วไปในโลก พดู สน้ั ๆ การจดั ตง้ั วางระเบยี บระบบแกช มุ ชนหรอื สงั ฆะดงั วา น้ี คอื วนิ ยั โดยนยั นี้ วนิ ยั (บญั ญตั )ิ จงึ เปน จดุ เรม่ิ ตน ในกระบวนการฝก ศกึ ษาพฒั นา มนษุ ย เปนกระบวนการพน้ื ฐานในการฝก พฤติกรรมทีด่ ี และจัดสรรสภาพ แวดลอ ม ทีจ่ ะปอ งกนั ไมใหมีพฤตกิ รรมทีไ่ มด ี แตใ หเอื้อตอการมพี ฤตกิ รรม ทด่ี ที ีพ่ งึ ประสงค พรอ มทัง้ ฝก คนใหค นุ กับพฤตกิ รรมทีด่ ี จนพฤติกรรมเคย ชนิ ทีด่ ีนัน้ กลายเปนพฤตกิ รรมเคยชนิ และเปนวถิ ชี ีวิตของเขา ตลอดจนการ จดั ระเบยี บระบบท้งั หลายทั้งปวงในสงั คมมนษุ ยเพ่อื ใหเกดิ ผลเชนนั้น เม่ือใดการฝกศึกษาไดผล จนพฤติกรรมท่ีดีตามวินัย กลายเปน พฤติกรรมเคยชนิ อยูต ัว หรอื เปนวถิ ชี ีวติ ของบุคคล เมอื่ นน้ั กเ็ กิดเปน ศีล
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๑๑ ชวี ติ ทงั้ ๓ ดา น การศกึ ษาทง้ั ๓ ขนั้ ประสานพรอ มไปดว ยกนั ๒. อินทรยี สงั วร แปลตามแบบวา การสาํ รวมอินทรีย หมายถงึ การใชอ นิ ทรีย เชน ตาดู หูฟง อยางมีสติ มิใหถ ูกความโลภ ความโกรธ ความแคน เคอื ง ความหลง ความรษิ ยา เปน ตน เขา มาครอบงาํ แตใ ชใ หเ ปน ใหไ ดป ระโยชน โดยเฉพาะใหเ กดิ ปญ ญา รคู วามจรงิ และไดข อ มลู ขา วสารตรง ตามสภาวะ ท่จี ะนําไปใชในการแกป ญหาและทาํ การสรางสรรคต างๆ ตอ ไป ควรทราบวา เพื่อความเขา ใจงา ยสําหรับคนท่วั ไป โดยสรปุ อินทรยี คอื ตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ ทําหนา ท่ี ๒ อยา ง คอื ๑) หนา ทรี่ ู คือรบั รขู อ มลู ขาวสาร เชน ตาดู รูวาเปนอะไร วาเปน นาฬกิ า เปน กลอ งถายรปู เปน ดอกไม ใบไมสีเขียว สแี ดง สเี หลือง รูปรา ง ยาวสนั้ ใหญเ ลก็ หไู ดย นิ เสยี งวา ดงั เบา เปน ถอ ยคาํ สอ่ื สารวา อยา งไร เปน ตน ๒) หนาท่ีรูสึก หรือรับความรูสึก พรอมกับรับรูขอมูลเราก็มีความ รูสกึ ดว ย บางทตี วั เดน กลบั เปน ความรูสึก เชน เหน็ แลวรูส กึ สบายหรือไม สบาย ถกู ตาไมถูกตา สวยหรอื นา เกลียด ถกู หไู มถ กู หู เสียงนมุ นวลไพเราะ หรอื ดังแสบแกวหูราํ คาญ เปน ตน • หนา ทีด่ า นรู เรียกงา ยๆ วา ดานเรียนรู หรือศกึ ษา • หนา ท่ีดา นรูสึก เรียกงายๆ วา ดานเสพ พูดสัน้ ๆ วา อินทรียทาํ หนา ท่ี ๒ อยา ง คอื ศึกษา กับ เสพ ถาจะใหชีวิตของเราพัฒนา จะตองใชอ นิ ทรยี เพือ่ รหู รือศกึ ษาใหมาก มนษุ ยท ไี่ มพ ัฒนา จะใชอนิ ทรยี เ พอื่ เสพความรสู ึกเปน สวนใหญ บางทแี ทบ ไมใ ชเพ่อื การศึกษาเลย เม่อื มงุ แตจ ะหาเสพความรสู กึ ทถ่ี ูกหู ถูกตา สวยงาม สนนุ สนานบนั เทงิ เปน ตน ชีวติ ก็วนุ วายอยูก ับการวง่ิ ไลหาส่งิ ทีช่ อบใจ และ ด้ินรนหลีกหนีส่ิงท่ไี มชอบใจ วนเวียนอยแู คความชอบใจ-ไมชอบใจ รกั -ชงั
๑๑๒ ชีวิตที่สรางสรรค สดใสและสุขสนั ต ตดิ ใจ-เกลยี ดกลวั หลงใหล-เบอื่ หนา ย แลว กฝ็ ากความสขุ ความทกุ ขข องตน ไวใ หข นึ้ กับสง่ิ เสพบริโภค เมอ่ื เวลาผา นไป ชวี ติ ทไี่ มไ ดฝ ก ฝนพฒั นา กไ็ มเ หน็ ประจกั ษศ กั ยภาพท่ี ตนมี และไมม อี ะไรทจี่ ะใหแ กโ ลกนี้ หรอื แกส งั คม การเกดิ มาไดเ สพ กลาย เปน ความสญู เปลา ถา ไมม วั หลงตดิ อยกู บั การหาเสพความรสู กึ ทเี่ ปน ไดแ คน กั บรโิ ภค แต รจู กั ใชอ นิ ทรยี เ พอื่ ศกึ ษา สนองความตอ งการรหู รอื ความใฝร ู กจ็ ะใชต า หู เปน ตน ไปในทางการเรยี นรู และจะพฒั นาไปเรอื่ ยๆ ปญ ญาจะเจรญิ งอกงาม ความใฝร ใู ฝส รา งสรรคจ ะเกดิ ขนึ้ กลายเปน นกั ผลติ นกั สรา งสรรค และจะได พบกบั ความสขุ อยา งใหมๆ ทพ่ี ฒั นาขยายขอบเขตและประณตี ยงิ่ ขนึ้ พรอ มกบั ความใฝร ใู ฝส รา งสรรคท ก่ี า วหนา ไป เปน ผมู ชี วี ติ ทดี่ งี าม และมคี ณุ คา แกส งั คม ๓. ปจ จยั ปฏเิ สวนา คือการเสพบริโภคปจจยั ๔ รวมท้ังสิง่ ของ เคร่อื งใชท ้ังหลาย ตลอดจนเทคโนโลยี ศลี ในเรอื่ งนี้ คอื การฝก ศกึ ษาใหร จู กั ใชส อยเสพบรโิ ภคสงิ่ ตา งๆ ดว ย ปญ ญาทรี่ เู ขา ใจคณุ คา หรอื ประโยชนท แี่ ทจ รงิ ของสง่ิ นนั้ ๆ เรม่ิ ตง้ั แตอ าหาร ก็ พจิ ารณารเู ขา ใจความจรงิ วา รบั ประทานเพอ่ื เปน เครอ่ื งหลอ เลย้ี งชวี ติ ใหร า ง กายมสี ขุ ภาพแขง็ แรง ชว ยใหส ามารถดาํ เนนิ ชวี ติ ทดี่ งี าม อยา งทต่ี รสั ไวว า ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี พจิ ารณาโดยแยบคายแลว จงึ เสพ(นงุ หม )จวี ร เทา ทวี่ า เพอ่ื ปอ งกนั ความหนาว รอ น สมั ผสั แหง เหลอื บ ยงุ ลม แดด และสตั วเ ลอ้ื ยคลาน เทา ทว่ี า เพอ่ื ปกปด อวยั วะทค่ี วรละอาย พจิ ารณาโดยแยบคายแลว จงึ เสพ(ฉนั )อาหารบณิ ฑบาต มิ ใชเ พอ่ื สนกุ มใิ ชเ พอื่ มวั เมา มใิ ชเ พอ่ื สวยงาม มใิ ชเ พอื่ โออ วด แต เสพ(ฉนั ) เทา ทว่ี า เพอื่ ใหร า งกายนดี้ าํ รงอยไู ด เพอ่ื ยงั ชวี ติ ใหเ ปน ไป เพอื่ ระงบั ความหวิ เพอื่ เกอื้ หนนุ ชวี ติ ทป่ี ระเสรฐิ ดว ยการปฏบิ ตั ิ
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๑๑๓ ดงั น้ี เราจะกาํ จดั เวทนาเกา (ความไมสบายเพราะความหวิ ) เสยี ดว ย จะไมใ หเ วทนาใหม (เชนความอดึ อดั แนน จกุ เสยี ด) เกดิ ขน้ึ ดว ย เรา กจ็ ะมชี วี ติ ดาํ เนนิ ไป พรอ มทง้ั ความไมม โี ทษ และความอยผู าสกุ * การบริโภคดวยปญญาอยางนี้ ทานเรียกวาเปนการรูจักประมาณใน การบรโิ ภค หรอื การบรโิ ภคพอดี หรือกินพอดี เปน การบริโภคท่ีคุมคา ได ประโยชนอยา งแทจริง ไมสนิ้ เปลือง ไมสูญเปลา และไมเกิดโทษ อยางทีบ่ าง คนกนิ มาก จายแพง แตกลบั เปนโทษแกร า งกาย เมอื่ จะซอื้ หาหรอื เสพบรโิ ภคอะไรกต็ าม ควรฝก ถามตวั เองวา เราจะใช มันเพ่ืออะไร ประโยชนที่แทจริงของส่ิงนี้คืออะไร แลวซ้ือหามาใชใหได ประโยชนท แ่ี ทจ รงิ นน้ั ไมบ รโิ ภคเพยี งดว ยตณั หาและโมหะ เพยี งแคต นื่ เตน เหน็ แกค วามโกเ ก เหมิ เหอ ไปตามกระแสคา นยิ มเปน ตน โดยไมไ ดใ ชป ญ ญาเลย พงึ ระลกึ ไวว า การเสพบรโิ ภค และเรอื่ งเศรษฐกจิ ทง้ั หมด เปน ปจ จยั คอื เปน เครอ่ื งเกอื้ หนนุ การพฒั นาชวี ติ ทด่ี งี าม ไมใ ชเ ปน จดุ หมายของชวี ติ ชวี ติ มใิ ชจ บทนี่ ่ี ชวี ติ ไมใ ชอ ยแู คน ี้ เม่ือปฏบิ ัติถูกตอ งตามหลกั นี้ ก็จะเปนคนทก่ี นิ อยูเปน เปนผมู ศี ีลอีก ขอหนึง่ ๔. สัมมาอาชวี ะ คอื การหาเล้ียงชีพโดยทางชอบธรรม ซึง่ เปนศีล ขอสําคญั อยางหน่งึ เมื่อนาํ มาจัดเขา ชดุ ศลี ๔ ขอน้ี และเนนสําหรับพระภิกษุ ทา นเรียกวา “อาชวี ปาริสทุ ธ”ิ (ความบริสทุ ธแ์ิ หง อาชวี ะ) เปนเรอ่ื งของความ สจุ รติ เกยี่ วกบั ปจ จยั ปรเิ ยสนา คอื การแสวงหาปจ จยั (ตอ เนอ่ื งกบั ขอ ๓ ปจจัยปฏิเสวนา คอื การใชส อยเสพบริโภคปจ จัย) ศีลขอ นี้ ในขัน้ พนื้ ฐาน หมายถึงการเวน จากมจิ ฉาชีพ ไมป ระกอบ อาชีพทผ่ี ดิ กฎหมาย ผดิ ศลี ธรรม แตหาเลีย้ งชพี โดยทางสจุ รติ * ม.ม.ู ๑๒/๑๔/๑๗
๑๑๔ ชีวติ ที่สรางสรรค สดใสและสขุ สนั ต วา โดยสาระ คอื ไมป ระกอบอาชพี ทเ่ี ปน การเบยี ดเบยี น กอ ความเดอื ด รอ นเสยี หายแกช วี ติ อนื่ และแกส งั คม หรอื ทจี่ ะทาํ ชวี ติ จติ ใจ และสงั คมให เสอ่ื มโทรมตกตาํ่ ดงั นนั้ สาํ หรบั คฤหสั ถ จงึ มพี ทุ ธพจนแ สดงอกรณยี วณิชชา คอื การคาขายทีอ่ ุบาสกไมพึงประกอบ ๕ อยาง* ไดแ ก การคา อาวุธ การคา มนษุ ย การคาสตั วข ายเพือ่ ฆา เอาเนอ้ื การคา ของเมา (รวมทง้ั ส่งิ เสพติดท้ัง หลาย) และการคายาพิษ เม่อื เวนมจิ ฉาชีพ กป็ ระกอบสัมมาชพี ซึ่งเปน การงานทเ่ี ปนไปเพอ่ื แก ปญหาและชว ยสรางสรรคเก้อื กูลแกชีวิตและสังคมอยา งใดอยางหนึง่ อันจะ ทําใหเกดิ ปต ิและความสขุ ไดทุกเวลา ไมวาระลกึ นกึ ข้นึ มาคราวใด กอ็ ิม่ ใจ ภูมิใจวาเราไดทําชีวิตใหมีคุณคาไมวางเปลา ซึ่งจะเปนปจจัยหนุนใหเจริญ กาวหนายงิ่ ขน้ึ ไปในมรรค โดยเฉพาะระดบั จิตใจหรอื สมาธิ สัมมาชีพ นอกจากเปนอาชีพการงานที่เปนประโยชนแกชีวิตและ สังคมแลว ยงั เปน ประโยชนในดา นการศึกษาพัฒนาชวี ติ ของตนเองดวย ซ่งึ ผทู ํางานควรต้งั ใจใชเปนโอกาสในการพฒั นาตน เชน เปน แดนฝกฝนพฒั นา ทกั ษะตา งๆ ฝก กายวาจากิริยามารยาท พัฒนาความสามารถในการสื่อสาร สมั พันธกับเพ่ือนมนุษย ฝก ความเขมแข็งขยนั อดทน ความมวี นิ ัย ความรับ ผดิ ชอบ ความมฉี ันทะ มสี ติ และสมาธิ พฒั นาความสุขในการทาํ งาน และ พฒั นาดา นปญญา เรียนรูจากทุกสิง่ ทุกเรอื่ งที่เก่ยี วของเขา มา คิดคนแกไข ปรบั ปรุงการงาน และการแกป ญ หาตา งๆ ทั้งน้ี ในความหมายที่ลึกลงไป การเลย้ี งชีวิตดวยสัมมาชพี ทานรวม ถึงความขยันหม่ันเพียร และการปฏิบัติใหไดผลดีในการประกอบอาชีพท่ี สจุ ริต เชน ทาํ งานไมใ หค ัง่ คางอากูล เปนตน ดวย * อง.ฺ ปจฺ ก.๒๒/๑๗๗/๒๓๓
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๑๕ อาชพี การงานนัน้ เปน กจิ กรรมทคี่ รองเวลาสวนใหญแหง ชวี ติ ของเรา ถา ผูใดมโี ยนิโสมนสกิ าร คิดถูก ปฏบิ ัติถูก ตอ อาชีพการงานของตน นอก จากไดบาํ เพ็ญประโยชนเ ปน อนั มากแลว ก็จะไดประโยชนจากการงานนัน้ ๆ มากมาย ทาํ ใหงานน้ันเปนสว นแหง สิกขา เปนเครอ่ื งฝกฝนพัฒนาชีวิตของ ตนใหก า วไปในมรรคไดด ว ยดี การฝก ศกึ ษาในดา นและในขนั้ ศลี ๔ ประเภท ทก่ี ลา วมานี้ จะตอ งเอา ใจใสใ หค วามสาํ คญั กนั ใหม าก เพราะเปน ทที่ รงตวั ปรากฏตวั ของวถิ ชี วี ติ ดงี าม ทเ่ี รยี กวา มรรค และเปน พน้ื ฐานของการกา วไปสสู กิ ขาคอื การศกึ ษาทสี่ งู ขนึ้ ไป ถา ขาดพนื้ ฐานนแี้ ลว การศกึ ษาขนั้ ตอ ไปกจ็ ะงอ นแงน รวนเร เอาดไี ดย าก สว นสิกขาดานจิตหรอื สมาธิ และดานปญญา ทีเ่ ปนเร่อื งลึกละเอยี ด กวา งขวางมาก จะยงั ไมก ลา วเพ่มิ จากทีพ่ ดู ไปแลว กอ นจะผา นไป มขี อ ควรทาํ ความเขา ใจทส่ี าํ คญั ในตอนน้ี ๒ ประการ คอื ๑. ในแงไตรสกิ ขา หรอื ในแงความประสานกันของสิกขาท้ัง ๓ ได กลาวแลว วา ชวี ิตคนทงั้ ๓ ดาน คือ การสมั พนั ธก ับโลก จติ ใจ และความรู ความคดิ ทํางานประสานเปนปจจยั แกกัน ดังนนั้ การฝกศึกษาทง้ั ๓ ดา น คอื ศลี สมาธิ และปญ ญา ก็จงึ ดําเนินไปดว ยกัน ทีพ่ ดู วา สกิ ขา/ฝก ศึกษาขั้นศีลนี้ มิใชหมายความวาเปนเรอื่ งของศีล อยา งเดียว แตหมายความวา ศีลเปน แดนหรือดา นทีเ่ รากาํ ลงั เขามาปฏิบัตจิ ัด การหรอื ทาํ การฝกอยูในตอนนข้ี ณะนี้ แตต วั ทาํ งานหรือองคธ รรมท่ีทาํ งานใน การฝก ก็มคี รบท้งั ศลี สมาธิ และปญ ญา ถา มองดใู หด ี จะเหน็ ชัดวา ตวั ทํางานสําคญั ๆ ในการฝกศลี น้ี ก็คือ องคธ รรมฝายจิตหรอื สมาธิ และองคธรรมฝา ยปญ ญา ดงู ายๆ ท่ศี ีลขอ อินทรยี สงั วรน้ัน ตวั ทาํ งานหลักกค็ อื สติ ซงึ่ เปนองค
๑๑๖ ชวี ติ ที่สรางสรรค สดใสและสขุ สันต ธรรมฝายจิตหรือหมวดสมาธิ และถา การฝก ศกึ ษาตรงน้ถี กู ตอ ง ก็ปญญา นนั่ แหละทีท่ าํ งานมาก มาใชป ระโยชนและเดินหนา พดู ดวยภาษางายๆ วา ในขน้ั ศลี น้ี ธรรมฝายจติ /สมาธิ และปญญา มาทาํ งานกบั เร่อื งรปู ธรรม ในแดนของศลี เพือ่ ชว ยกันฝก ฝนพัฒนาศีล และ ในการทํางานน้ี ทัง้ สมาธิและปญญาก็ฝก ศกึ ษาพฒั นาตวั มนั เองไปดวย ในขนั้ หรือดา นอน่ื ๆ ก็เชน เดยี วกนั ทง้ั ศีล สมาธิ และปญ ญา ตา งก็ ชวยกนั รว มกันทาํ งานประสานกันตามบทบาทของตนๆ ๒. ในแงม รรค หรือในแงคณุ สมบัตภิ ายในของชีวิต ขณะทมี่ ีการ ฝกศึกษาดว ยไตรสิกขานั้น ถา มองเขาไปในชวี ิตที่ดาํ เนนิ อยู คือมรรคทร่ี ับ ผลจากการฝก ศกึ ษาของสกิ ขา ก็จะเห็นวา กระบวนธรรมของการดาํ เนินชีวิต กก็ า วไปตามปกติของมนั โดยมีปญ ญาในช่อื วา สัมมาทิฏฐเิ ปน ผนู าํ กระบวน ของชีวติ นน้ั ท้ัง ๓ ดา น สมั มาทฏิ ฐนิ ม้ี องเหน็ รูเขาใจอยา งไรเทาไร กค็ ดิ พูด ทําดําเนนิ ชวี ติ ไปในแนวทางนั้นอยา งน้นั และไดแ คน ้ัน แตเม่อื การฝกศึกษาของไตรสิกขาดําเนินไป ปญญาช่อื สมั มาทฏิ ฐิน้นั ก็พัฒนาตัวมันเองดวยประสบการณทั้งหลายจากการฝกศึกษาน้ัน เฉพาะ อยางยิ่งดวยการทํางานคิดวิจัยสืบคนไตรตรองของสัมมาสังกัปปะ ทําให มองเห็นรูเขาใจกวางลึกชดั เจนทัว่ ตลอดถึงความจริงย่งิ ขนึ้ ๆ แลวก็จดั ปรับ นํากระบวนธรรมกา วหนาใหเปนมรรคทีส่ มบูรณใกลจ ดุ หมายยง่ิ ขน้ึ ๆ ไป การศกึ ษาจะดาํ เนนิ ไป มีปจ จัยชวยเกื้อหนนุ ขอยอ นยาํ้ วา มรรค คอื การดาํ เนนิ ชวี ติ หรอื วถิ ชี วี ติ ทด่ี ี แตจ ะดาํ เนนิ ชวี ติ ดไี ดก ต็ อ งมกี ารฝก ฝนพฒั นา ดงั นน้ั จงึ ตอ งมกี ารฝก ศกึ ษาทเี่ รยี กวา สกิ ขา มรรค เปนจดุ หมายของ สิกขา การที่ใหมีไตรสิกขา ก็เพือ่ ใหค นมี ชวี ิตที่เปนมรรค และกา วไปในมรรคน้นั
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๑๗ ดว ยการฝกตามระบบแหงไตรสกิ ขา องค ๘ ของมรรคจะเกิดข้นึ เปน คณุ สมบตั ิของคน และเจรญิ พฒั นา ทาํ ใหมชี ีวิตดี ทีเ่ ปน มรรค และกา วไป ในมรรคน้ัน อยางไรก็ดี กระบวนการแหงสกิ ขา มิใชว า จะเร่มิ ข้ึนมาและคืบหนา ไป เองลอยๆ แตตอ งอาศยั ปจจัยเกือ้ หนุนหรอื ชวยกระตุน เนอ่ื งจากปจ จยั ทว่ี า นเี้ ปน ตวั นาํ เขา สสู กิ ขา จงึ จดั วา อยใู นขน้ั กอ นมรรค และการนาํ เขาสสู กิ ขานี้เปน เร่อื งสาํ คัญมาก ดวยเหตุน้ีจงึ ทาํ ใหแ บง กระบวน การแหง การศกึ ษาออกเปน ๒ ขัน้ ตอนใหญ คือ ขั้นนาํ เขาสูสกิ ขา และ ขน้ั ไตรสิกขา ๑. ขั้นนาํ สูสิกขา หรือ การศกึ ษาจดั ต้ัง ขั้นกอนที่จะเขาสูไตรสิกขา เรียกอีกอยางหน่ึงวา ขน้ั กอ นมรรค เพราะมรรค หรือเรยี กใหเต็มวา มรรคมอี งค ๘ นั้น กค็ อื วิถแี หงการดาํ เนิน ชีวิต ทเี่ กดิ จากการฝก ศึกษาตามหลักไตรสกิ ขานั่นเอง เมื่อมองในแงของมรรค ก็เริม่ จากสมั มาทฏิ ฐิ คือความเหน็ ชอบ ซึ่ง เปน ปญ ญาในระดบั หน่งึ ปญญาในขั้นนี้ เปนความเช่ือและความเขาใจในหลักการทั่วๆ ไป โดยเฉพาะความเช่ือวา สงิ่ ทงั้ หลายเปนไปตามเหตุปจ จัย หรอื การถือหลักการ แหง เหตปุ จ จยั ซึ่งเปนความเช่อื ทีเ่ ปน ฐานสําคัญของการศึกษา ทจี่ ะทําใหม ี การพฒั นาตอไปได เพราะเมอ่ื เชื่อวาสิง่ ทั้งหลายเปนไปตามเหตปุ จ จยั พอมี อะไรเกดิ ขน้ึ ก็ตอ งคิดคน สบื สาวหาเหตุปจ จยั และตองปฏิบัตใิ หส อดคลอ ง กบั เหตุปจจยั เชน ทําเหตุปจ จัยทีจ่ ะใหเ กดิ ผลท่ีตอ งการ การศึกษาก็เดินหนา ในทางตรงขา ม ถา มีทฏิ ฐคิ วามคิดเหน็ เชือ่ ถือทีผ่ ดิ ก็จะตดั หนทางท่ี จะพัฒนาตอไป เชน ถา เชือ่ วาสิ่งท้งั หลายจะเปนอยา งไรก็เปนไปเองแลว แต
๑๑๘ ชีวติ ทสี่ รางสรรค สดใสและสขุ สนั ต โชค หรือเปนเพราะการดลบนั ดาล คนกไ็ มตอ งศึกษาพฒั นาตน เพราะไมรู จะพัฒนาไปทาํ ไม ดังนั้น ในกระบวนการฝกศึกษาพัฒนาคน เมื่อเร่ิมตนจึงตองมี ปญญาอยบู า ง น่ันคอื ปญ ญาในระดับของความเช่อื ในหลักการท่ีถูกตอ ง ซึง่ เม่อื เช่ือแลวกจ็ ะนําไปสกู ารศึกษา คราวน้ี สิ่งทีต่ อ งพิจารณาตอ ไป กค็ อื สมั มาทิฏฐิ ซง่ึ เปน ฐานหรอื เปน จดุ เรม่ิ ใหค นมกี ารศกึ ษาพฒั นาตอ ไปไดน ี้ จะเกดิ ขนึ้ ในตวั บคุ คลไดอ ยา ง ไร หรอื ทําอยา งไรจะใหบคุ คลเกิดมสี มั มาทิฏฐิ ในเรอ่ื งน้ี พระพทุ ธเจา ไดต รสั แสดง ปจ จยั แหง สมั มาทฏิ ฐิ ๒ อยา ง* คอื ๑. ปจ จยั ภายนอก ไดแ ก ปรโตโฆสะ ๒. ปจ จยั ภายใน ไดแก โยนโิ สมนสกิ าร ตามหลักการน้ี การมสี มั มาทฏิ ฐิอาจเริ่มจากปจจัยภายนอก เชน พอ แม ครอู าจารย ผูใหญ หรือวฒั นธรรม ซึง่ ทําใหบ ุคคลไดร บั อิทธพิ ลจาก ความเช่อื แนวคดิ ความเขาใจ และภูมิธรรมภมู ิปญญา ทถี่ า ยทอดตอ กันมา ถาส่ิงที่ไดรับจากการแนะนําสั่งสอนถายทอดมาน้ันเปนสิ่งที่ดีงามถูก ตอ ง อยใู นแนวทางของเหตผุ ล ก็เปน จดุ เร่ิมของสมั มาทิฏฐิ ที่จะนําเขาสู กระแสการพฒั นาหรอื กระบวนการฝกศกึ ษา ในกรณอี ยา งน้ี สัมมาทิฏฐเิ กิด จากปจ จัยภายนอกที่เรียกวา ปรโตโฆสะ ถาไมเชนน้นั บคุ คลอาจเขาสูกระแสการศกึ ษาพัฒนาโดยเกิดปญ ญา ทเี่ รยี กวาสัมมาทฏิ ฐนิ น้ั ดวยการใชโยนิโสมนสิการ คอื การรูจกั คดิ รจู กั พจิ ารณาดวยตนเอง แตคนสวนใหญจะเขาสูกระแสการศึกษาพัฒนาดวยปรโตโฆสะ เพราะคนที่มีโยนโิ สมนสิการแตแ รกเรม่ิ นนั้ หาไดยาก * องฺ.ทุก.๒๐/๓๗๑/๑๑๐
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๑๑๙ “ปรโตโฆสะ” แปลวา เสยี งจากผอู ่ืน คืออทิ ธพิ ลจากภายนอก เปน คาํ ทม่ี คี วามหมายกลางๆ คอื อาจจะดหี รอื ชวั่ ถกู หรอื ผดิ กไ็ ด ถา ปรโตโฆสะ นน้ั เปนบคุ คลทดี่ ี เราเรียกวา กัลยาณมติ ร ซ่ึงเปน ปรโตโฆสะชนดิ ท่มี คี ุณภาพ โดยเฉพาะทไี่ ดเ ลือกสรรกล่ันกรองแลว เพื่อใหม าทาํ งานในดานการศกึ ษา ถาบคุ คลและสถาบนั ท่ีมบี ทบาทสาํ คญั มากในสงั คม เชน พอแม ครู อาจารย สื่อมวลชน และองคก รทางวัฒนธรรม เปนปรโตโฆสะทด่ี ี คอื เปน กัลยาณมิตร กจ็ ะนาํ เด็กไปสสู ัมมาทิฏฐิ ซง่ึ เปนฐานของการพฒั นาตอ ไป อยา งไรกต็ าม คนทพี่ ฒั นาดแี ลว จะมคี ณุ สมบตั ทิ ส่ี าํ คญั คอื พง่ึ ตนได โดยมีอิสรภาพ แตคุณสมบัติน้ีจะเกิดข้ึนตอเมื่อเขารูจักใชปจจัยภายใน เพราะถา เขายังตอ งอาศัยปจจยั ภายนอก ก็คอื การที่ยงั ตอ งพ่ึงพา ยงั ไมเ ปน อิสระ จึงยงั ไมสามารถพ่ึงตนเองได ดงั น้ัน จดุ เนน จงึ อยทู ป่ี จ จยั ภายใน แตเราอาศัยปจจัยภายนอกมาเปนสอื่ ในเบ้ืองตน เพือ่ ชวยจัดสรรสง่ิ แวดลอมที่เอ้ือและปจจัยเกื้อหนุนท้ังหลาย โดยเฉพาะการท่ีจะชักนําใหผู เรียนสามารถใชโ ยนโิ สมนสกิ าร ท่เี ปนปจ จยั ภายในของตัวเขาเอง เม่ือรหู ลกั นแี้ ลว เราก็ดําเนินการพฒั นากลั ยาณมติ รข้นึ มาชวยชักนํา คนใหร จู กั ใชโ ยนโิ สมนสกิ าร นอกจากปรโตโฆสะท่เี ปนกัลยาณมติ ร และโยนิโสมนสิการ ซึ่งเปน องคป ระกอบหลกั ๒ อยา งนแ้ี ลว ยงั มอี งคป ระกอบเสริมทีช่ วยเก้อื หนุนใน ขั้นกอนเขาสูมรรคอกี ๕ อยาง จึงรวมท้งั หมดมี ๗ ประการ องคธ รรมเกอื้ หนนุ ทงั้ ๗ ทก่ี ลา วมานนั้ มชี อ่ื เรยี กวา บพุ นมิ ติ ของมรรค* เพราะเปน เครือ่ งหมายบง บอกลว งหนา ถงึ การทีม่ รรคจะเกดิ ข้นึ หรือเปนจุด เรมิ่ ทจี่ ะนําเขาสมู รรค อาจเรียกเปนภาษางายๆ วา แสงเงนิ แสงทองของ * ข.ุ ม.๑๙/๑๒๙-๑๓๗/๓๖–๓๗ (คาํ แปลแบบชว ยจาํ นาํ มาจากหนงั สอื ธรรมนญู ชวี ติ พ.ศ. ๒๕๔๒)
๑๒๐ ชวี ิตทสี่ รางสรรค สดใสและสุขสนั ต (วิถ)ี ชวี ติ ทีด่ ีงาม หรือเรียกในแงสิกขาวา รงุ อรุณของการศึกษา ดงั น้ี ๑. กัลยาณมติ ตตา (มกี ัลยาณมิตร=แสวงแหลง ปญ ญาและแบบอยาง ทดี่ )ี ไดแ ก ปรโตโฆสะทดี่ ี ซง่ึ เปน ปจจยั ภายนอก ที่ไดกลา วแลว ๒. ศลี สมั ปทา (ทําศีลใหถึงพรอ ม=มวี นิ ัยเปน ฐานของการพฒั นาชีวติ ) คอื ประพฤตดิ ี มีวนิ ยั มรี ะเบยี บในการดําเนนิ ชวี ิต ตั้งอยูในความสุจริต และมีความสมั พนั ธทางสังคมทดี่ ที ่เี ก้ือกูล ๓. ฉนั ทสมั ปทา (ทําฉนั ทะใหถึงพรอม=มีจิตใจใฝรใู ฝส รางสรรค) คือ พอใจใฝร กั ในความรู อยากรใู หจ รงิ และปรารถนาจะทาํ สง่ิ ทง้ั หลายใหด งี าม** ๔. อตั ตสมั ปทา (ทาํ ตนใหถ งึ พรอ ม=มงุ มนั่ ฝก ตนจนเตม็ สดุ ภาวะทคี่ วาม เปน คนจะใหถ ึงได) คอื การทาํ ตนใหถ ึงความสมบูรณแ หง ศักยภาพของความ เปน มนษุ ย โดยมีจติ สาํ นึกในการที่จะฝกฝนพฒั นาตนอยเู สมอ ๕. ทฏิ ฐสิ มั ปทา (ทําทิฏฐใิ หถึงพรอ ม=ถอื หลกั เหตปุ จ จยั มองอะไรๆ ตาม เหตแุ ละผล) คือ มคี วามเชอื่ ที่มีเหตุผล ถอื หลักความเปนไปตามเหตุปจจยั ๖. อปั ปมาทสมั ปทา (ทําความไมประมาทใหถึงพรอม=ตั้งตนอยูใน ความไมป ระมาท) คือ มสี ติครองตัว เปน คนกระตือรอื รน ไมเฉอ่ื ยชา ไม ปลอยปละละเลย โดยเฉพาะมจี ิตสาํ นึกตระหนกั ในความเปลี่ยนแปลง ซึ่ง ทําใหเ ห็นคณุ คา ของกาลเวลา และรูจักใชเ วลาใหเ ปน ประโยชน ๗. โยนโิ สมนสกิ ารสมั ปทา (ทําโยนิโสมนสิการใหถึงพรอม=ฉลาดคิด * ฉันทะ เปนธรรมทส่ี ําคญั ยิง่ อยา งหนึ่ง มคี วามหมายเปน ภาษาบาลีวา “กตฺตกุ มยฺ ตา” แปล * วา ความเปน ผใู ครเพ่ือจะทํา คอื ตอ งการทาํ หรอื อยากทํา ไดแ กก ารมคี วามปรารถนาดีตอ ทุกส่ิงทกุ อยา งทีพ่ บเห็นเกยี่ วขอ ง และอยากจะทําใหส งิ่ นน้ั ๆ ดงี ามสมบูรณเ ตม็ ตามภาวะที่ ดีท่ีสุดของมนั ฉนั ทะ เปนธรรมทีพ่ ฒั นาโดยอาศยั ปญญา และพึงพฒั นาขึ้นมาแทนท่ี หรอื อยา งนอ ยให ดลุ กับ ตณั หา (ความอยากเกย่ี วกบั ตัวตน เชน อยากได อยากเสพ อยากเปน อยากคง อยูตลอดไป อยากสูญสลายหรืออยากทาํ ลาย)
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๒๑ แยบคายใหไ ดประโยชนและความจริง) รจู กั คดิ รจู กั พจิ ารณา มองเปน คดิ เปน เห็นสิ่งทง้ั หลายตามท่มี นั เปน ไป ในระบบความสมั พันธแหงเหตุปจ จัย รู จักสอบสวนสบื คน วเิ คราะหวิจัย ใหเ หน็ ความจรงิ หรือใหเหน็ แงดา นทจ่ี ะทํา ใหเปนประโยชน สามารถแกไขปญ หาและจดั ทาํ ดําเนินการตา งๆ ใหส าํ เรจ็ ได ดวยวธิ กี ารแหงปญญา ทจี่ ะทาํ ใหพึง่ ตนเองและเปน ท่พี งึ่ ของคนอน่ื ได ในการศึกษาน้นั ปจ จยั ตัวแรก คือกัลยาณมิตร อาจชวยชักนาํ หรอื กระตนุ ใหเ กดิ ปจจยั ตวั อื่น ต้งั แตต ัวที่ ๒ จนถงึ ตวั ท่ี ๗ การที่จะมีกลั ยาณมิตรน้ัน จัดแยกไดเปน การพฒั นา ๒ ขั้นตอน ขน้ั แรก กัลยาณมิตรนั้นเกิดจากผอู ่นื หรอื สงั คมจัดให ซ่งึ จะทําใหเ ดก็ อยูในภาวะทีเ่ ปน ผรู ับ และยังมกี ารพง่ึ พามาก ขน้ั ทสี่ อง เมื่อเด็กพฒั นามากขึ้น คือรูจักใชโยนโิ สมนสกิ ารแลว เด็ก จะมองเห็นคุณคาของแหลงความรู และนิยมแบบอยางที่ดี แลวเลือกหา กลั ยาณมิตรเอง โดยรูจกั ปรกึ ษาไตถ าม เลอื กอานหนังสือ เลอื กชมรายการ โทรทัศนทีด่ ีมีประโยชน เปนตน พัฒนาการในข้ันท่ีเด็กเปนฝายเลือกคบหากัลยาณมิตรเองน้ี เปน ความหมายของความมีกัลยาณมิตรที่ตองการในที่นี้ และเม่ือถึงขั้นนี้แลว เด็กจะทําหนาที่เปนกัลยาณมิตรของผูอ่ืนไดดวย อันนับเปนจุดสําคัญของ การทจ่ี ะเปนผูมีสวนรวมในการสรางสรรคและพฒั นาสังคม ถาบุคคลมีปจ จยั ๗ ขอ น้ีแลว กเ็ ชื่อมนั่ ไดว าเขาจะมีชวี ติ ทด่ี ีงาม และ กระบวนการศึกษาจะเกดิ ขนึ้ อยางแนนอน เพราะปจจัยเหลา น้ีเปนสวนขยาย ของมรรค หรอื ของไตรสิกขาน้นั เอง ทีย่ ื่นออกมาเชือ่ มตอ เพอ่ื รับหรือดึงคน เขา สูก ระบวนการฝกศกึ ษาพฒั นา โดยเปน ทัง้ ตัวชกั นาํ เขา สไู ตรสกิ ขา และ เปน ตวั เรง และคอยเสรมิ ใหก ารฝก ศกึ ษาของไตรสกิ ขาเดนิ หนา ไปดว ยดี
๑๒๒ ชวี ติ ท่ีสรางสรรค สดใสและสุขสนั ต การศกึ ษา[ทส่ี งั คม]จดั ตงั้ ตอ งไมบ ดบงั การศกึ ษาทแี่ ทข องชวี ติ การศึกษาท่ีจัดทํากันอยางเปนงานเปนการ เปนกิจการของรัฐของ สังคม ก็คือการยอมรับความสาํ คญั และดําเนินการในข้ันของ ปจ จยั ขอ ที่ ๑ คือ ความมกี ัลยาณมติ ร ทเี่ ปน ปจจยั ภายนอก นัน่ เอง ปจ จยั ขอ ท่ี ๑ นเ้ี ปน เรอื่ งใหญ มคี วามสาํ คญั มาก รฐั หรอื สงั คมนน่ั เอง ทาํ หนา ทเ่ี ปน กลั ยาณมติ ร ดว ยการจดั สรรและจดั เตรยี มบคุ ลากรทจ่ี ะดาํ เนนิ บท บาทของกลั ยาณมติ ร เชน ครอู าจารย ผบู รหิ าร พรอ มทงั้ อปุ กรณ และปจ จยั เกอ้ื หนนุ ตา งๆ ถงึ กบั ตอ งจดั เปน องคก รใหญโ ต ใชจ า ยงบประมาณมากมาย ถาไดก ัลยาณมติ รท่ีดี มีคณุ สมบตั ิทเ่ี หมาะ และมคี วามรเู ขา ใจชดั เจน ในกระบวนการของการศึกษา สํานึกตระหนักตอหนาท่ีและบทบาทของตน ในกระบวนการแหง สกิ ขานน้ั มีเมตตา ปรารถนาดตี อ ชีวติ ของผเู รยี นดวยใจ จรงิ และพรอมท่ีจะทําหนา ทข่ี องกลั ยาณมติ ร กจิ การการศกึ ษาของสงั คมก็ จะประสบความสาํ เรจ็ ดว ยดี ดงั น้ัน การสรา งสรรจัดเตรียมกัลยาณมติ ร จึงเปนงานใหญทีส่ าํ คญั ยง่ิ ซงึ่ ควรดาํ เนนิ การใหถกู ตอ ง อยางจรงิ จงั ดวยความไมป ระมาท อยางไรก็ดี จะตอ งระลึกตระหนักไวต ลอดเวลาวา การพยายามจดั ให มปี รโตโฆสะทด่ี ี ดว ยการวางระบบองคก รและบคุ ลากรกลั ยาณมติ รขนึ้ ทงั้ หมด นี้ แมจะเปนกิจการทางสังคมที่จําเปนและสาํ คญั อยางยงิ่ และแมจะทาํ อยา ง ดเี ลศิ เพยี งใด ก็อยใู นขัน้ ของการนาํ เขาสูการศกึ ษา เปน ข้ันตอนกอนมรรค และเปน เรอ่ื งของปจ จัยภายนอกท้ังนน้ั พดู สัน้ ๆ วา เปน การศึกษาจดั ต้ัง การศกึ ษาจดั ตงั้ กค็ ือ กระบวนการชว ยชกั นาํ คนเขา สูก ารศึกษา โดย การดําเนนิ งานของกลั ยาณมิตร ในกระบวนการศึกษาจัดต้ังนี้ ผูทําหนาที่เปนกัลยาณมติ ร และผู
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๑๒๓ ทาํ งานในระบบจดั สรรปรโตโฆสะ ท้ังหมด พงึ ระลึกตระหนักตอหลักการ สําคญั บางอยาง เพือ่ ความมนั่ ใจในการทจ่ี ะปฏบิ ตั ใิ หถ กู ตอง และปอ งกัน ความผดิ พลาด ดังตอไปนี้ • โดยหลักการ กระบวนการแหงการศึกษาดําเนินไปในตัวบุคคล โดยสัมพันธก ับโลก/สิ่งแวดลอ ม/ปจ จัยภายนอก ท้ังในแงร ับเขา แสดงออก และปฏิสมั พันธ สาํ หรับคนสวนใหญ กระบวนการแหงการศึกษาอาศยั การโนม นําและ เก้ือหนุนของปจจัยภายนอกเปนอยางมาก ถามีแตปจจัยภายนอกที่ไมเอื้อ คนอาจจะหมกจมตดิ อยใู นกระบวนการเสพความรสู กึ และไมเ ขา สกู ารศกึ ษา เราจึงจัดสรรปจจัยภายนอก ท่ีจะโนมนําและเก้ือหนุนปจจัยภายในท่ีดีให พฒั นาขนึ้ มา ซงึ่ จะนาํ เขาเขา สกู ารศกึ ษา และกา วไปในทางชวี ติ ทเ่ี ปน มรรค • โดยความมุงหมาย เราจัดสรรและเปนปจจัยภายนอกในฐานะ กัลยาณมิตร ทีจ่ ะโนม นาํ ใหป จ จยั ภายในทด่ี พี ฒั นาขน้ึ มาในตวั เขาเอง และ เก้ือหนนุ ใหก ระบวนการแหงการศกึ ษาในตวั ของเขา พาเขากา วไปในมรรค พดู ส้ันๆ วา ตวั เราทีเ่ ปนปจจยั ภายนอกน้ี จะตองตอหรอื จุดไฟปจ จัย ภายในของเขาขึ้นมาใหไ ด ความสําเร็จอยูท่เี ขาเกิดมปี จจยั ภายใน (โยนิโส- มนสิการ และบุพนมิ ิตแหงมรรคขออนื่ ๆ อีก ๕) ซ่งึ จะนําเขาเขาสูกระบวนการ แหง การศกึ ษา (ศลี สมาธิ ปญญา) ทท่ี ําใหเ ขากา วไปในมรรค ดว ยตวั เขาเอง • โดยขอบเขตบทบาท ระลกึ ตระหนกั ชดั ตอ ตาํ แหนงหนาท่ขี องตน ในฐานะกัลยาณมติ ร/ปจ จยั ภายนอก ทจ่ี ะชว ย(โนมนําเกื้อหนนุ )ใหเขาศึกษา สิกขาอยูท่ีตัวเขา มรรคอยใู นชวี ติ ของเขา เราตอ งจดั สรรและเปนปจจยั ภาย นอกทด่ี ีที่สดุ แตป จ จัยภายนอกท่วี า “ดที สี่ ดุ ” นั้น อยทู ่หี นุนเสริมปจ จยั ภายในของ เขาใหพ ฒั นาอยางไดผ ลที่สดุ และใหเ ขาเดินไปไดเ อง ไมใ ชว าดจี นกลายเปน
๑๒๔ ชีวติ ทีส่ รางสรรค สดใสและสุขสนั ต ทาํ ใหเ ขาไมตอ งฝก ไมต อ งศกึ ษา ไดแ ตพ่งึ พาปจจัยภายนอกเร่ือยไป คิดวาดี แตท่แี ทเ ปนการกาวกา ยกดี ขวางลวงลํา้ และครอบงําโดยไมร ูตัว • โดยการระวงั จดุ พลาด ระบบและกระบวนการแหง การศกึ ษา ทีร่ ฐั หรือสังคมจัดขน้ึ มาทั้งหมด เปนการศึกษาจดั ตัง้ ความสาํ เร็จของการศกึ ษา จดั ตง้ั น้ี อยทู กี่ ารเชอ่ื มประสานหรอื ตอ โยง ใหเ กดิ มแี ละพฒั นาการศกึ ษาแท ขน้ึ ในตวั บคุ คล อยา งทก่ี ลา วแลว ขา งตน เร่ืองน้ี ถา ไมร ะวงั จะหลงเพลินวาได “จัด” การศึกษาอยา งดีทส่ี ุด แต การศกึ ษากจ็ บอยแู คก ารจดั ตงั้ การศกึ ษาทแ่ี ทไ มพ ฒั นาขนึ้ ไปในเนอ้ื ตวั ของคน แมแ ตก ารเรียนอยางมคี วามสุข กอ็ าจจะเปนความสขุ แบบจดั ตงั้ ท่ี เกดิ จากการจดั สรรปจ จัยภายนอก ในกระบวนการของการศึกษาจดั ตั้ง ใน ชนั้ เรียนหรือในโรงเรียน เปน ตน ถงึ แมนกั เรียนจะมีความสขุ จรงิ ๆ ในบรรยากาศและสภาพแวดลอมที่ จดั ตงั้ นนั้ แตถ า เด็กยงั ไมเ กิดมีปจ จยั ภายในที่จะทาํ ใหเ ขาสามารถมแี ละสรา ง ความสขุ ได เม่อื เขาออกไปอยกู ับชวี ติ จริง ในโลกแหง ความเปนจรงิ ที่ไมเ ขา ใครออกใคร ไมมใี ครตามไปเอาอกเอาใจ หรอื ไปจดั สรรความสุขแบบจัดตัง้ ให เขากจ็ ะกลายเปน คนทไ่ี มม ีความสขุ ซ้าํ รา ยความสุขท่เี กดิ จากการจดั ตงั้ นั้น อาจทาํ ใหเ ขาเปน คนมีความสุข แบบพง่ึ พา ทีพ่ ึ่งตนเองไมไดใ นการที่จะมีความสขุ ตอ งอาศัยการจัดต้งั อยู เรอ่ื ยไป และกลายเปน คนทม่ี คี วามสุขไดยาก หรือไมส ามารถมีความสขุ ได ในโลกแหงความปนจริง อาจกลาวถึงความสัมพันธระหวางการศึกษาจัดต้ังของสังคม กับ การศึกษาท่แี ทข องชวี ติ ทีด่ เู หมือนยอนแยง กัน แตตอ งทําใหเปนอยา งน้ัน จริงๆ ซงึ่ เปน ตัวอยา งของขอเตือนใจไวปองกันความผิดพลาด ดงั นี้ ๑) (ปจจัยภายนอก) จัดสรรใหเด็กไดรับสิ่งแวดลอมและปจจัยเอื้อ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๑๒๕ ทุกอยางทด่ี ีท่ีสดุ ๒) (ปจจัยภายใน) ฝกสอนใหเด็กสามารถเรียนรูอยูดีเฟนหาคุณคา ประโยชนไดจ ากสิง่ แวดลอ มและสภาพทุกอยา ง แมแ ตท ี่เลวรา ยที่สุด ๒. ขนั้ ไตรสกิ ขา หรอื กระบวนการศกึ ษาทแี่ ทข องธรรมชาติ ขนั้ ตอนน้ี เปน การเขา สูกระบวนการฝก ศึกษา ท่ีเปนกิจกรรมแหง ชีวิต ของแตละบุคคล ในระบบแหง ไตรสกิ ขา คือ การฝก ศึกษาพัฒนาความ สมั พันธก บั ส่งิ แวดลอม พัฒนาจติ ใจ และพัฒนาปญ ญา ตามหลกั แหง ศลี สมาธิ และปญญา ท่ีไดพดู ไปกอนนีแ้ ลว ระบบไตรสกิ ขาเพ่อื การพฒั นาอยางองคร วมในทุกกจิ กรรม ไดกลา วแลว วา ในกระบวนการพัฒนาของไตรสิกขาน้นั องคท ง้ั ๓ คอื ศีล สมาธิ ปญญา จะทํางานประสานโยงสง ผลตอกัน เปน ระบบและ กระบวนการอนั หน่ึงอนั เดียว แตเ มื่อมองไตรสกิ ขาน้ี โดยภาพรวม ท่เี ปน ระบบใหญข องการฝก ก็ จะเห็นองค ๓ น้ันเดนขึน้ มาทีละอยาง จากหยาบแลวละเอยี ดประณตี ข้นึ ไป เปน ชว งๆ หรือเปน ขนั้ ๆ ตามลาํ ดบั คอื ชว งแรก เดนออกมาขา งนอก ท่ีอนิ ทรยี และกายวาจา ก็เปนขนั้ ศีล ชวงทีส่ อง เดนดา นภายใน ทจ่ี ิตใจ ก็เปน ข้นั สมาธิ ชวงทสี่ าม เดน ท่คี วามรคู วามคิดเขาใจ ก็เปนขั้น ปญญา แตใ นทุกขน้ั น้ันเอง องคอ ีก ๒ อยางก็ทํางานรวมอยูด ว ยโดยตลอด หลกั การทั้งหมดน้ี ไดอธบิ ายขา งตนแลว แตมีเรอ่ื งท่ีขอพดู แทรกไว อยางหนึง่ เพอื่ เสรมิ ประโยชนใ นชวี ิตประจําวัน คอื การทาํ งานของกระบวน การฝกศึกษาพัฒนา ท่อี งคท้งั สาม ท้ัง ศีล สมาธิ ปญ ญา ทํางานอยดู วยกัน
๑๒๖ ชวี ติ ที่สรา งสรรค สดใสและสขุ สันต โดยประสานสมั พนั ธเ ปน เหตปุ จ จยั แกก ัน การปฏิบัติแบบทีว่ าน้ี ก็คือ การนําไตรสิกขาเขาสูก ารพิจารณาของ โยนิโสมนสิการ หรอื การโยนโิ สมนสกิ ารในไตรสกิ ขา ซง่ึ ควรปฏิบตั ใิ หไ ด เปนประจํา และเปน สิ่งท่ปี ฏิบัติไดจริงโดยไมยากเลย ดังนี้ ในการกระทาํ ทกุ ครงั้ ทุกอยา ง ไมว า จะแสดงพฤตกิ รรมอะไร หรอื มี กจิ กรรมใดๆ ก็ตาม เราสามารถฝก ฝนพัฒนาตน และสํารวจตรวจสอบตน เอง ตามหลักไตรสิกขาน้ี ใหม กี ารศกึ ษาครบทง้ั ๓ อยาง ท้ัง ศลี สมาธิ และ ปญญา พรอ มกันไปทกุ ครง้ั ทุกคราว คอื เม่อื ทําอะไรก็พจิ ารณาดวู า พฤตกิ รรม กจิ กรรม หรอื การกระทาํ ของเราครั้งนี้ จะเปนการเบียด เบียน ทาํ ใหเ กดิ ความเดอื ดรอนแกใ ครหรือไม จะกอ ใหเกิดความเสอ่ื มโทรม เสยี หายอะไรๆ บา งไหม หรือวา เปน ไปเพื่อความเกอ้ื กูล ชว ยเหลอื สงเสริม และสรา งสรรค (ศลี ) ในเวลาทจ่ี ะทาํ น้ี จติ ใจของเราเปน อยา งไร เราทาํ ดว ยจติ ใจทเี่ หน็ แกต วั มงุ รา ยตอ ใคร ทาํ ดว ยความโลภ โกรธ หลง หรอื ไม หรอื ทาํ ดว ยเมตตา มคี วาม ปรารถนาดี ทาํ ดว ยศรทั ธา ทาํ ดว ยสติ มคี วามเพยี ร มคี วามรบั ผดิ ชอบ เปน ตน และในขณะทที่ าํ สภาพจติ ใจของเราเปน อยา งไร เรา รอ น กระวนกระวาย ขนุ มวั เศรา หมอง หรอื วา มจี ติ ใจทสี่ งบ รา เรงิ เบกิ บาน เปน สขุ เอบิ อม่ิ ผอ งใส (สมาธ)ิ เรื่องท่ที าํ ครัง้ น้ี เราทาํ ดวยความรคู วามเขาใจชดั เจนดแี ลว หรือไม เรา มองเหน็ เหตุผล รเู ขา ใจหลักเกณฑแ ละความมุงหมาย มองเห็นผลดผี ลเสีย ทอ่ี าจจะเกดิ ขน้ึ และหนทางแกไขปรับปรงุ พรอ มดีหรือไม (ปญ ญา) ดว ยวธิ ีปฏบิ ัตอิ ยางน้ี คนทีฉ่ ลาดจึงสามารถฝก ศึกษาพัฒนาตน และ สํารวจตรวจสอบวัดผลการพฒั นาตนไดเ สมอตลอดทุกครง้ั ทกุ เวลา เปน การ บําเพ็ญไตรสกิ ขาในระดบั รอบเลก็ (คอื ครบสกิ ขาท้ังสาม ในพฤติกรรมเดยี ว หรอื กจิ กรรมเดยี ว)
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๒๗ พรอ มกนั นน้ั การศึกษาของไตรสกิ ขาในระดับข้ันตอนใหญ กค็ อ ยๆ พัฒนาข้ึนไปทีละสวนดวย ซ่ึงเมื่อมองดูภายนอก ก็เหมือนศึกษาไปตาม ลาํ ดบั ทลี ะอยา งทลี ะขน้ั ยง่ิ กวา นน้ั ไตรสกิ ขาในระดบั รอบเลก็ นี้ กจ็ ะชว ยให การฝก ศกึ ษาไตรสกิ ขาในระดบั ขน้ั ตอนใหญย งิ่ กา วหนา ไปดว ยดมี ากขนึ้ ในทางยอ นกลับ การฝกศกึ ษาไตรสกิ ขาในระดบั ขนั้ ตอนใหญ ก็จะสง ผลใหการฝกศึกษาไตรสิกขาในระดบั รอบเลก็ มคี วามชดั เจนและสมบูรณย ่ิง ขึ้นดวยเชนกัน ตามท่ีกลาวมาน้ี ตองการใหมองเห็นความสัมพันธอยางอิงอาศัยซ่ึง กันและกันขององคประกอบที่เรยี กวาสิกขา ๓ ในกระบวนการศึกษาและ พฒั นาพฤตกิ รรม เปน การมองรวมๆ อยางสมั พนั ธถึงกนั หมด ระบบการฝก ของไตรสกิ ขา ออกผลมาคือวถิ ีชวี ิตแหง มรรค* สรปุ วา ในระบบการฝก ศกึ ษา ทจ่ี ัดเปน ชว งกวางๆ โดยมุงเอาส่งิ ทจี่ ะ ตอ งปฏบิ ัติเดนชัดเปนตอนๆ ซ่งึ เรยี งลาํ ดบั ในรปู ทเ่ี รียกวา ไตรสิกขา (the Threefold Training) คอื การศกึ ษา ทงั้ ๓ นน้ั มหี วั ขอ ชอ่ื เตม็ ตามหลกั ดงั น้ี ๑. อธิศีลสิกขา การฝก ศึกษาดานอินทรีย พฤตกิ รรมทางกายวาจา และอาชพี ใหม ีชวี ติ สจุ ริตดงี ามเก้อื กลู (Training in Higher Morality) ๒. อธจิ ติ ตสิกขา การฝกศกึ ษาดานสมาธิ หรอื พฒั นาจติ ใจ ใหม คี ณุ ธรรม ความสามารถ และความสขุ ยง่ิ ขนึ้ ไป (Training in Higher Mentality) ๓. อธปิ ญ ญาสกิ ขา การฝก ศกึ ษาดา นปญ ญา ใหร คู ดิ เขา ใจมองเหน็ ตาม เปน จรงิ มจี ติ เปน อสิ ระ เปน อยดู ว ยปญ ญา (TraininginHigherWisdom) ไตรสกิ ขา น้ี เมอ่ื นาํ มาแสดงเปน คาํ สอนในภาคปฏบิ ตั ทิ วั่ ๆ ไป ไดป รากฏ * เฉพาะหวั ขอ น้ี (๓ หนา ) เปน สว นแทรกจาก พทุ ธธรรม ฉบบั เดมิ นนั้ เอง หนา ๒๒๗–๒๒๘
๑๒๘ ชีวิตทสี่ รางสรรค สดใสและสขุ สันต ในหลกั ทเี่ รยี กวา โอวาทปาตโิ มกข (พทุ ธโอวาททเ่ี ปน หลกั ใหญ ๓ อยา ง) คอื ** ๑. สพพฺ ปาปสสฺ อกรณํ การไมท ําความชั่วทั้งปวง (ศลี ) ๒. กสุ ลสสฺ ปู สมปฺ ทา การบาํ เพญ็ ความดใี หเ พยี บพรอ ม (สมาธ)ิ ๓. สจติ ตฺ ปรโิ ยทปนํ การทําจิตของตนใหผ องใส (ปญญา) ไตรสกิ ขาทเ่ี อามรรคมาจดั ระบบขนึ้ นี้ แสดงขอ ปฏบิ ตั พิ รอ มบรบิ รู ณท กุ อยา ง ทจี่ ะใหเ กดิ ผลสาํ เรจ็ ตามกระบวนการพฒั นาคน จนถงึ จดุ หมายทไ่ี รท กุ ข พดู ใหเ ขาใจงายๆ วา เอาองคประกอบทงั้ ๘ ของมรรค จัดปรบั ใสเขา ไปในระบบการศึกษาทค่ี รบองค ๓ ของไตรสกิ ขา เมอ่ื ฝก คนใหศ กึ ษา หรือคนศกึ ษาโดยฝก ตน ตามหลักไตรสิกขา ก็ ทําใหช ีวิตของเขาเจรญิ งอกงามกา วไปในทางถกู ตอ ง ที่เรียกวา มรรค พดู อยางภาพพจนวา เอาการศึกษาท้ัง ๓ ของไตรสิกขา ใสเ ขาไปใน ตัวคน (หรือเอาคนใสเขาไปในกระบวนการของไตรสิกขา) ผลออกมา คอื การเดินหนาไปในทางหรอื วิถีชีวิตดงี ามแหงมรรค หรือในการดาํ เนินชวี ิตอนั ประเสรฐิ คอื พรหมจรยิ ะ พดู ใหงา ยวา เอาคนใสก ารศกึ ษา ผลออกมาคอื ชวี ติ ทเ่ี ปน อยดู ี พูดสัน้ ทส่ี ุดวา ฝก ดว ยไตรสกิ ขา ชวี ติ กเ็ ดนิ หนา ไปในมรรค ไตรสิกขา นี้ เรยี กวาเปน “พหุลธมั มีกถา” คอื คาํ สอนธรรมทพี่ ระพุทธ- เจาทรงแสดงบอ ย และมพี ทุ ธพจนแสดงความตอเน่อื งกนั ของกระบวนการ ศกึ ษาฝกอบรมท่ีเรยี กวา ไตรสิกขา ดงั น้ี ศลี เปน อยา งน้ี สมาธิเปน อยา งนี้ ปญ ญา เปน อยา งน;ี้ สมาธิ ที่ ศลี บม แลว ยอ มมผี ลมาก มอี านสิ งสม าก, ปญ ญา ทส่ี มาธบิ ม แลว ยอ มมผี ลมาก มอี านสิ งสม าก, จติ ทป่ี ญ ญาบม แลว ยอ มหลดุ พน * ท.ี ม.๑๐/๕๔/๕๗; ข.ุ ธ.๒๕/๒๔/๓๙; การจัดเขา ในไตรสิกขาอยางน้ี ถอื ตาม วสิ ทุ ธฺ ิ.๑/๖ *
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๑๒๙ จากอาสวะโดยสน้ิ เชงิ คอื จากกามาสวะ ภวาสวะ และอวชิ ชาสวะ* ความสัมพันธแบบตอเนื่องกันของไตรสกิ ขานี้ มองเหน็ ไดงายแมใน ชวี ิตประจําวนั กลาวคอื (ศีลÆสมาธิ) เม่ือประพฤติดี มีความสัมพันธงดงาม ไดทํา ประโยชน อยา งนอยดาํ เนินชีวิตโดยสุจริต ม่ันใจในความบรสิ ุทธิข์ องตน ไม ตอ งกลวั ตอการลงโทษ ไมส ะดงุ ระแวงตอ การประทษุ รายของคูเ วร ไมหวนั่ หวาดเสียวใจตอเสียงตําหนิหรือความรูสึกไมยอมรับของสังคม และไมมี ความฟุงซานวุนวายใจเพราะความรูสึกเดือดรอนรังเกียจในความผิดของตน เอง จิตใจกเ็ อบิ อมิ่ ช่ืนบานเปน สขุ ปลอดโปรง สงบ และแนวแน มงุ ไปกับ สงิ่ ทค่ี ิด คําท่ีพดู และการท่ที ํา (สมาธÆิ ปญ ญา) ยงิ่ จติ ไมฟ งุ ซา น สงบ อยตู วั ไรส งิ่ ขนุ มวั สดใส มงุ ไปอยา งแนว แนเ ทา ใด การรบั รกู ารคดิ พนิ จิ พจิ ารณามองเหน็ และเขา ใจสงิ่ ตา งๆ กย็ งิ่ ชดั เจน ตรงตามจรงิ แลน คลอ ง เปน ผลดใี นทางปญ ญามากขน้ึ เทา นน้ั อปุ มาในเรอื่ งนี้ เหมอื นวา - ตั้งภาชนะนํา้ ไวด ว ยดีในท่เี รียบรอ ย ไมไปแกลงสัน่ หรอื เขยา มนั (ศลี ) - เม่อื น้ําไมถ ูกกวน คน พดั หรอื เขยา สงบนงิ่ ผงฝุน ตา งๆ กน็ อนกน หาย ขุน นา้ํ กใ็ ส (สมาธิ) - เม่ือน้ําใส กม็ องเหน็ สงิ่ ตางๆ ไดช ัดเจน (ปญญา) ในการปฏิบตั ิธรรมสูงข้ึนไป ทถี่ งึ ข้ันจะใหเกดิ ญาณ อันรแู จงเห็นจรงิ จนกาํ จดั อาสวกเิ ลสได กย็ ่ิงตอ งการจิตทีส่ งบนิง่ ผองใส มีสมาธแิ นวแนยง่ิ ขนึ้ ไปอกี ถงึ ขนาดระงบั การรบั รทู างอายตนะตา งๆ ไดห มด เหลอื อารมณห รอื สง่ิ ทก่ี าํ หนดไวใ ชง านแตเ พยี งอยา งเดยี ว เพอื่ ทาํ การอยา งไดผ ล จนสามารถ กาํ จัดกวาดลางตะกอนทน่ี อนกน ไดหมดส้นิ ไมใ หม ีโอกาสขุน อกี ตอ ไป * ท.ี ม.๑๐/๑๑๑/๑๔๓
๑๓๐ ชีวิตท่ีสรา งสรรค สดใสและสขุ สนั ต การที่จัดวางระบบการศึกษาใหคนพัฒนาอยางนี้ ก็เปนไปตามธรรม ชาติแหงชีวิตของมนุษย และการท่ีธรรมดาแหง ความเปนมนษุ ยเ อ้ือที่จะให เปน อยา งนน้ั ดงั นัน้ จึงจะตองเขาใจระบบการศึกษาดงั กลาว บนฐานแหง การรเู ขาใจความจริงแหงธรรมชาติของมนุษย อยางท่ีวามา ปฏิบตั กิ ารฝกศึกษาดวยสิกขา แลววัดผลดว ยภาวนา ไดอธิบายแลว ขา งตน วา สกิ ขา ทีท่ านจัดเปน ๓ อยาง ดังท่เี รียกวา “ไตรสกิ ขา” น้นั ก็เพราะเปนไปตามความเปนจริงในการปฏิบัติ ซ่งึ เปน เรอื่ ง ธรรมดาแหง ธรรมชาติของชวี ติ นเ้ี อง กลาวคือ ในเวลาฝก ศึกษา สกิ ขา ๓ ดาน จะทํางานประสานสัมพันธก ัน ซง่ึ ในขณะหน่ึงๆ (ในกรณที ่ีครบเต็มทถี่ ึง ขั้นออกมาสัมพนั ธก บั ภายนอก) กม็ ี ๓ ดาน ดังเชน ในขณะท่ีสมั พันธกบั ส่งิ แวดลอ ม ไมว า จะเปนวตั ถุหรอื บุคคล ไมวาจะดว ยอินทรยี เชน ตา หู หรอื ดวยกาย-วาจา (ดานศลี ) ก็ตองมเี จตนา แรงจูงใจ และสภาพจติ อยา งใดอยางหน่งึ (ดา นจิตหรือสมาธ)ิ และตองมี ความคิดเหน็ เชอื่ ถอื รเู ขาใจในระดบั ใดระดบั หนงึ่ (ปญญา) นี้เปนเรื่องของธรรมภาคปฏิบัติ ซ่ึงตองทําใหสอดลองตรงกันกับ ระบบความเปน ไปของสภาวะในธรรมชาติ แตยงั มีธรรมประเภทอืน่ ซึ่งแสดงไวดว ยความมุงหมายทตี่ า งออกไป โดยเฉพาะทโ่ี ยงกบั เรอ่ื งสกิ ขา ๓ น้ี ก็คอื หลักภาวนา ๔ เม่ือปฏิบตั ิแลว ก็ควรจะมกี ารวดั หรอื แสดงผลดว ย เร่อื งการศกึ ษาน้ี กท็ าํ นองนน้ั เมื่อฝกศึกษาดวยสกิ ขา ๓ แลว ก็ตามมาดวยหลกั ที่จะใชวัด ผล คอื ภาวนา ๔ ตอนปฏบิ ตั กิ ารฝก สกิ ขามี ๓ แตท าํ ไมตอนวดั ผล ภาวนามี ๔ ไมเ ทา กนั ทาํ ไม (ในเวลาทาํ การฝก ) จงึ จดั เปน สกิ ขา ๓ และ (ในเวลาวดั ผล
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๑๓๑ ของคนทไี่ ดร บั การฝก ) จงึ จดั เปน ภาวนา ๔? อยางทีช่ แี้ จงแลว วา ธรรมภาคปฏิบตั กิ าร ตองจัดใหต รงสอดคลอง กบั ระบบความเปน ไปของธรรมชาติ แตต อนวดั ผลไมตองจัดใหตรงกันก็ได เพราะวตั ถปุ ระสงคอ ยูท ่จี ะมองดูผลท่ีเกิดขึน้ แลว ซึง่ มงุ จะใหเ หน็ ชดั เจนใน แตละสว นแตล ะตอนทด่ี ู ตอนน้ถี าแยกละเอียดออกไป กจ็ ะย่งิ ดี นแ่ี หละคือ เหตุผลทวี่ า หลกั วดั ผลคอื ภาวนา เพ่ิมเปน ๔ ขอใหด ูความหมายและหวั ขอ ของภาวนา ๔ นนั้ กอน “ภาวนา” แปลวา ทําใหเจรญิ ทาํ ใหเปน ทําใหม ีขน้ึ หรือฝก อบรม ใน ภาษาบาลี ทานใหค วามหมายวา ภาวนา = “วฑฺฒนา” คอื วัฒนา หรือพฒั นา นน่ั เอง ภาวนานี้เปน คําหนึง่ ที่มคี วามหมายใชแ ทนกันไดกับ “สกิ ขา” ภาวนา จดั เปน ๔ อยา ง คอื ๑. กายภาวนา การพัฒนากาย คอื การมคี วามสมั พันธทเ่ี ก้อื กูลกบั สง่ิ แวดลอมทางกายภาพ หรอื ทางวัตถุ ๒. ศลี ภาวนา การพฒั นาศีล คือ การมีความสัมพนั ธทเ่ี กอ้ื กูลกับส่ิง แวดลอ มทางสังคม คือเพ่อื นมนุษย ๓. จิตภาวนา การพฒั นาจิต คอื การทาํ จติ ใจใหเ จรญิ งอกงามขึน้ ใน คุณธรรม ความดงี าม ความเขมแข็งม่นั คง และความเบิกบานผอ งใสสงบสขุ ๔. ปญ ญาภาวนา การพัฒนาปญ ญา คือ การเสรมิ สรา งความรูค วาม คิดความเขาใจ และการหย่ังรูความจริง อยางท่ีกลาวแลววา ภาวนา ๔ นี้ ใชใ นการวดั ผล เพอื่ ดวู า ดา นตางๆ ของการพฒั นาชวี ิตของคนนน้ั ไดร ับการพัฒนาครบถวนหรือไม ดงั น้ัน เพอ่ื จะดใู หชัด ทา นไดแ ยกบางสว นละเอียดออกไปอกี สว นทแ่ี ยกออกไปอีกนี้ คือ สกิ ขาขอที่ ๑ (ศีล) ซ่ึงในภาวนา แบงออก ไปเปน ภาวนา ๒ ขอ คือ กายภาวนา และ ศลี ภาวนา
๑๓๒ ชีวติ ที่สรา งสรรค สดใสและสุขสนั ต ทําไมจึงแบง สกิ ขาขอ ศีล เปนภาวนา ๒ ขอ ? ทีจ่ รงิ สิกขาดา นที่ ๑ คือศลี น้นั มี ๒ สวนอยูแ ลว ในตัว เม่ือจัดเปน ภาวนา จงึ แยกเปน ๒ ไดท ันที คือ ๑. ศลี ในสวนทีส่ มั พันธกบั สงิ่ แวดลอ มทางกาย (ท่เี รียกวาสงิ่ แวด ลอมทางกายภาพ) ไดแกความสัมพันธกับวัตถุหรือโลกของวัตถุและธรรม ชาตสิ วนอ่ืน ทไี่ มใชมนุษย เชน เรอื่ งปจ จัย ๔ สงิ่ ท่เี ราบรโิ ภคใชสอยทกุ อยา ง และธรรมชาตแิ วดลอ มทั่วๆ ไป สว นนแ้ี หละ ท่แี ยกออกไปจัดเปน กายภาวนา ๒. ศีล ในสวนท่สี มั พนั ธก ับสง่ิ แวดลอ มทางสงั คม คือบคุ คลอน่ื ใน สังคมมนุษยดวยกัน ไดแกความเก่ียวของสัมพันธอยูรวมกันดวยดีในหมู มนษุ ย ท่ีจะไมเบียดเบียนกนั แตช ว ยเหลือเก้อื กลู กนั สว นนี้ แยกออกไปจัดเปน ศลี ภาวนา ในไตรสิกขา ศลี ครอบคลุมความสมั พนั ธก บั สงิ่ แวดลอ ม ทงั้ ทางวัตถุ หรอื ทางกายภาพ และทางสงั คม รวมไวใ นขอ เดียวกัน แตเมื่อจดั เปนภาวนา ทา นแยกกันชดั ออกเปน ๒ ขอ โดยยกเรอื่ ง ความสัมพนั ธกบั สิง่ แวดลอ มในโลกวัตถุ แยกออกไปเปนกายภาวนา สวน เรอื่ งความสัมพนั ธก ับเพือ่ นมนษุ ยใ นสังคม จัดไวในขอ ศีลภาวนา ทําไมตอนทีเ่ ปนสกิ ขาไมแยก แตตอนเปนภาวนาจึงแยก? อยา งทก่ี ลาวแลววา ในเวลาฝก หรือในกระบวนการฝก ศกึ ษา องคท ัง้ ๓ อยา งของไตรสกิ ขา จะทํางานประสานไปดวยกัน ในศลี ท่ีมี ๒ สวน คอื ความสมั พันธกับสิง่ แวดลอมดา นกายภาพใน โลกวตั ถุ และความสัมพันธก ับมนษุ ยในสงั คมน้นั สว นทส่ี ัมพนั ธแตละครัง้ จะเปนอันใดอนั หนงึ่ อยางเดียว ในกรณหี น่งึ ๆ ศลี อาจจะเปนความสมั พนั ธดา นท่ี ๑ (กายภาพ) หรือ
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๓๓ ดา นท่ี ๒ (สงั คม) ก็ได แตต องอยางใดอยา งหนงึ่ ดังน้นั ในกระบวนการฝกศึกษาของไตรสิกขา ที่มอี งคประกอบท้ัง สามอยา งทํางานประสานเปนอนั เดยี วกนั นั้น จงึ ตอ งรวมศีลท้ัง ๒ สวนเปน ขอเดียว ทําใหสกิ ขามีเพยี ง ๓ คือ ศลี สมาธิ ปญญา แตใ นภาวนาไมมีเหตบุ งั คบั อยา งนน้ั จึงแยกศลี ๒ สวนออกจากกัน เปนคนละขออยางชัดเจน เพื่อประโยชนในการตรวจสอบ จะไดวัดผลดู จาํ เพาะใหช ดั ไปทีละอยา งวา ในดานกาย ความสัมพนั ธกับสภาพแวดลอ ม ทางวัตถุ เชนการบรโิ ภคปจจยั ๔ เปนอยางไร ในดา นศีล ความสัมพนั ธก บั เพอ่ื นมนุษยเ ปน อยา งไร เปน อนั วา หลักภาวนา นิยมใชในเวลาวดั หรอื แสดงผล แตใ นการฝก ศกึ ษาหรอื ตวั กระบวนการฝกฝนพัฒนา จะใชเปน ไตรสิกขา เนื่องจากภาวนาทานนิยมใชในการวัดผลของการศึกษาหรือการ พฒั นาบคุ คล รปู ศัพทท่ีพบจึงมกั เปนคาํ แสดงคุณสมบตั ขิ องบคุ คล คอื แทน ทีจ่ ะเปน ภาวนา ๔ (กายภาวนา ศลี ภาวนา จิตภาวนา และ ปญญาภาวนา) ก็ เปล่ียนเปน ภาวติ ๔ คือ ๑. ภาวติ กาย มกี ายทีพ่ ัฒนาแลว (=มกี ายภาวนา) คือ มีความ สัมพนั ธกบั สิ่งแวดลอ มทางกายภาพในทางทีเ่ ก้ือกูลและไดผ ลดี เรม่ิ แตร จู ัก ใชอินทรยี เชน ตา หู ดู ฟง เปนตน อยางมสี ติ ดเู ปน ฟง เปน ใหไ ดปญญา บรโิ ภคปจ จยั ๔ และสิ่งของเคร่ืองใช ตลอดจนเทคโนโลยี อยางฉลาด ได ผลตรงเตม็ ตามคุณคา ๒. ภาวติ ศีล มีศีลที่พฒั นาแลว (=มีศีลภาวนา) คอื มพี ฤติกรรมทาง สังคมท่ีพัฒนาแลว ไมเบียดเบียนกอความเดือดรอนเวรภยั ตัง้ อยูในวินัย และมีอาชีวะท่ีสุจริต มีความสัมพันธทางสังคมในลักษณะทเี่ กือ้ กลู สราง สรรคแ ละสง เสริมสนั ติสุข
๑๓๔ ชวี ิตที่สรางสรรค สดใสและสุขสนั ต ๓. ภาวติ จติ มจี ติ ทพ่ี ฒั นาแลว (=มจี ิตภาวนา) คอื มีจิตใจที่ฝกอบรม ดีแลว สมบูรณดว ยคณุ ภาพจิต คือ ประกอบดว ยคุณธรรม เชน มเี มตตา กรุณา เอ้อื อารี มีมุทิตา มีความเคารพ ออ นโยน ซ่ือสัตย กตัญู เปนตน สมบรู ณด ว ยสมรรถภาพจติ คือ มจี ติ ใจเขมแขง็ ม่ันคง มีความเพียร พยายาม กลาหาญ อดทน รบั ผดิ ชอบ มีสติ มีสมาธิ เปนตน และ สมบรู ณด ว ยสุขภาพจิต คือ มีจิตใจท่รี า เริง เบกิ บาน สดช่ืน เอิบอิ่ม ผองใส และสงบ เปนสุข ๔. ภาวิตปญญา มีปญญาท่ีพัฒนาแลว (=มีปญ ญาภาวนา) คือรูจกั คิด รูจกั พิจารณา รจู กั วินจิ ฉยั รูจ ักแกป ญหา และรจู ักจดั ทาํ ดําเนินการตา งๆ ดวยปญญาท่ีบริสุทธิ์ ซึง่ มองดรู ูเขาใจเหตุปจ จยั มองเหน็ สิง่ ทั้งหลายตาม เปน จรงิ หรอื ตามทมี่ นั เปน ปราศจากอคตแิ ละแรงจงู ใจแอบแฝง เปน ผทู ก่ี เิ ลส ครอบงาํ บญั ชาไมไ ด เปน อยดู ว ยปญ ญารเู ทา ทนั โลกและชวี ติ เปน อสิ ระ ไรท กุ ข ผูมีภาวนา ครบท้ัง ๔ อยา ง เปนภาวติ ท้งั ๔ ดา นนี้แลวโดยสมบรู ณ เรยี กวา \"ภาวติ ัตตะ\" แปลวาผไู ดพฒั นาตนแลว ไดแ กพระอรหนั ต เปน อเสขะ คอื ผจู บการศกึ ษาแลว ไมต อ งศกึ ษาอีกตอ ไป กถํ ภควา ภาวติ ตโฺ ต ฯ ภควา ภาวติ กาโย ภาวิตสีโล ภาวิตจิตฺโต ภาวติ ปโฺ … [ข.ุ จ.ู ๓๐/๑๔๘/๗๑] “พระผมู พี ระภาค ทรงเปน ภาวติ ตั ต (มีพระองคท ่ีทรงเจริญ หรือพัฒนาแลว ) อยา งไร? พระผมู พี ระภาคทรงเปน ภาวติ กาย ภาวติ สลี ภาวติ จติ ภาวติ ปญ ญา … (มพี ระวรกาย มศี ลี มจี ติ มปี ญ ญา … ที่เจรญิ พฒั นาแลว)”* * ขยายความตอ ไปอกี วา ทรงเจรญิ โพธปิ ก ขยิ ธรรม ๓๗ ประการแลว
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141