1 แผนการจดั การเรยี นร้รู ายวิชา รายวิชา วทิ ยาศาสตร์ พว21001 ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนต้น จำนวน 5 หนว่ ยกติ ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โดย นายนรินทรธ์ ร พัฒนไชยการ ตำแหนง่ ครผู ู้ช่วย ศูนย์การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั อำเภอบางปลาม้า สำนกั งาน กศน.จังหวัดสพุ รรณบรุ ี
คำนำ แผนการจัดการเรียนรู้ เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับครูที่จะทำให้การจัดการเรียนรู้บรรลุเป้าหมายที่ ต้องการ เป็นการวางแผนไว้ล่วงหน้าโดยศึกษาในเรื่อง สาระพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 (ฉบับ ปรับปรุง พ.ศ. 2545) หมวด 3 ระบบการศึกษา และ หมวด 4 แนวการจัดการศึกษาทุกมาตรากรอบของการจัด การศึกษาตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เอกสารเกี่ยวกับการ ประกันคุณภาพการศึกษา โดยจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับมาตรฐานเอกสารเกี่ยวกับเนื้อหาในรายวิชาที่ จดั การเรยี นรู้ และศกึ ษาหาข้อมลู จากแหล่งเรียนรู้ตา่ ง ๆ วธิ กี ารจดั การเรียนรแู้ บบตา่ ง ๆ ซง่ึ เนน้ ผู้เรยี นเปน็ สำคัญและ รูปแบบการเรียนรู้ โดยกำหนดใหใ้ ช้รปู แบบการจัดกระบวนการเรียนรู้ กศน. (ONIE MODEL) ซง่ึ มี 4 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 การกำหนดสภาพ ปัญหา ความต้องการในการเรียนรู้ (O : Orientation) ขั้นตอนที่ 2 การแสวงหา ข้อมูลและจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) ขั้นตอนที่ 3 การปฏิบัติและนำไปประยุกต์ใช้ (I : Implementation) ขั้นตอนที่ 4 การประเมินผล (E : Evaluation) แผนการเรียนรู้จะทำให้ครูได้คู่มือการจัดการ เรยี นรู้ ทำใหด้ ำเนนิ การจัดการเรียนรู้ได้ครบถว้ นตรงตามหลักสูตรและจัดการเรยี นรู้ได้ตรงเวลาและมุ่งหวังให้ผู้เรียนทุก คนมีความรู้ความสามารถฝึกทักษะเพื่อประเมินความรู้ความเข้าใจในการศึกษานำไปใช้ในการเรียนรู้ และใช้ใน ชวี ติ ประจำวนั ได้ ในการจดั ทำแผนการเรยี นรดู้ ังกล่าว สำเร็จลงไดด้ ้วยความรว่ มมือจากข้าราชการ ผูบ้ ริหาร นักวชิ าการ และ ครู กศน. ทไ่ี ด้เสนอแนะความคิดเหน็ อนั เป็นประโยชน์ยิ่งต่อการพัฒนาเปน็ แผนการจัดการเรยี นรู้ ขอขอบคณุ ในความ ร่วมมอื มาในโอกาสน้ี คณะผ้จู ดั ทำ
สารบญั หนา้ 1 คำอธิบายรายวชิ าและรายละเอียดคำอธิบายรายวิชา 10 ผลการวิเคราะห์รายละเอยี ดคำอธบิ ายรายวชิ า แผนการจัดการเรียนรู้แบบพบกลุ่ม 19 29 แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 14 เรอ่ื ง แรงและพลงั งานเพ่ือชีวิต 66 แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 15 เรอ่ื ง ดาราศาสตร์เพ่ือชีวิต ดวงดาวเพื่อชวี ติ แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 16 เรอ่ื ง วิทยาศาสตร์กบั ชอ่ งทางการประกอบอาชีพ 75 แผนการจัดการเรียนรู้แบบเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง 80 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 14 เรือ่ ง แรงและพลังงานเพ่ือชีวิต 83 แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 15 เรื่อง ดาราศาสตร์เพื่อชีวติ ดวงดาวเพือ่ ชวี ติ 86 แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 16 เร่ือง วทิ ยาศาสตรก์ บั ช่องทางการประกอบอาชีพ บรรณานกุ รม
1 คาํ อธบิ ายรายวชิ า พว21001 วิทยาศาสตรจ์ าํ นวน 4 หนว่ ยกิต ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ มาตรฐานการเรยี นรรู้ ะดบั มคี วามรู้ความเขา้ ใจทักษะและเห็นคุณค่าเก่ียวกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีส่งิ มชี วี ติ ระบบ นเิ วศทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ มในท้องถ่ินและประเทศสารแรงพลงั งานกระบวนการเปลย่ี นแปลงของโลก และ ดาราศาสตร์มจี ติ วิทยาศาสตรแ์ ละนําความรู้ไปใช้ประโยชนใ์ นการดาํ เนนิ ชีวติ และการพฒั นาสอู่ าชพี ชา่ งไฟฟา้ ศกึ ษาและฝกึ ทกั ษะเกย่ี วกับเร่ืองต่อไปนี้ 1. กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ธรรมชาติของวทิ ยาศาสตร์ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เจตคติทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และโครงงาน วทิ ยาศาสตร์ 2. สิ่งมชี วี ิตและสงิ่ แวดล้อม เซลล์ กระบวนการดาํ รงชีวิตของพชื และสัตว์ ระบบนิเวศ โลก บรรยากาศ ปรากฏการณ์ ทางธรรมชาติ ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ ม 3. สารเพื่อชีวติ การจําแนกสาร ธาตุและสารประกอบ สารละลาย กรด-เบส สารและ ผลติ ภัณฑใ์ นชีวิต 4. แรงและพลงั งานเพ่ือชีวิต แรงและการใช้ประโยชนข์ องแรง งานและพลงั งาน 5. ดาราศาสตร์เพ่ือชีวติ ดวงดาวกบั ชวี ิต 6. วทิ ยาศาสตรก์ ับช่องทางในการประกอบอาชีพ ความร้เู ก่ยี วกับชา่ งไฟฟ้า การบรหิ ารจดั การ และการบรกิ าร โครงงานวทิ ยาศาสตร์สอู่ าชพี คําศัพท์ทางไฟฟ้า เพื่อใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ความรู้ ความ เข้าใจ ความคิด และทักษะ มีความสามารถในการตดั สินใจ นําความร้ไู ปใชใ้ นชวี ิตประจําวัน มจี ติ วิทยาศาสตร์ คุณธรรม จรยิ ธรรม และค่านยิ มที่เหมาะสม การจดั ประสบการณก์ ารเรียนร้ ให้ผูเ้ รียน ศกึ ษา ค้นคว้า สํารวจ ตรวจสอบ ทดลอง จําแนก อธิบาย อภปิ ราย นาํ เสนอด้วยการจัด กระบวนการเรยี นรูด้ ้วยการพบกลุ่ม การสอนเสริม การเรียนรดู้ ้วยตนเอง การรายงาน การศึกษา จากแหล่ง เรียนรู้ ประสบการณต์ รงโดยใช้สถานการณจ์ รงิ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ และประสบการณจ์ ากผเู้ รียน การวัดและประเมินผล ประเมนิ จากการสงั เกต การอภิปราย การสัมภาษณ์ ทักษะปฏบิ ตั ิ รายงานการทดลอง การมีส่วนร่วมใน กิจกรรมการเรยี นรู้ ผลงาน การทดสอบ การประเมนิ การนาํ ไปใช้ประโยชน์ในชวี ติ ประจาํ วนั
2 รายละเอียดคาํ อธบิ ายรายวิชา พว21001 วทิ ยาศาสตร์ จํานวน 4 หนว่ ยกิต ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น มาตรฐานที่การเรียนร้รู ะดับ มีความรู้ความเข้าใจทักษะและเห็นคุณค่าเกี่ยวกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีสิ่งมีชีวิตระบบนิเวศ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นและประเทศสารแรงพลังงานกระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลกและ ดาราศาสตร์มีจติ วิทยาศาสตร์และนาํ ความรไู้ ปใช้ประโยชน์ในการดําเนนิ ชีวิต และการพัฒนาสู่อาชีพชา่ งไฟฟา้ ท่ี หัวเรอ่ื ง ตัวชี้วดั เนอ้ื หา จำนวน (ชว่ั โมง) 1 กระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ และ เทคโนโลยี 1.1 กระบวนการ 1. อธบิ ายธรรมชาติและความสำคญั 1. กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 5 ทางวิทยาศาสตร์ ของวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีได้ 1.1 ความหมายและความสำคัญของ และเทคโนโลยี 2. อธิบายกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วทิ ยาศาสตร์ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ 1.2 กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 1.2.1 วิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์ และเจตคติทางวทิ ยาศาสตร์ได้ 5 ขั้น 3. นำความรู้ และกระบวนการทาง 1.2.2 ทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ไปใช้แกป้ ญั หาต่างๆ ได้ วิทยาศาสตร์ 13 ทักษะ 4. อธบิ ายความหมาย ความสำคัญ 1.2.3 เจตคติทางวิทยาศาสตร์ และความสัมพนั ธ์ของเทคโนโลยตี ่อ 6 ลักษณะ ชวี ิต และสงั คมได้ 2. เทคโนโลยี 5. นำความรู้ และเลือกใช้เทคโนโลยี 2.1 ความหมาย และความสัมพันธ์ ได้อยา่ งเหมาะสม ของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยตี ่อชวี ิต 6. เลือกใช้วสั ดุ และอุปกรณ์ทาง และสงั คม วทิ ยาศาสตร์ได้อยา่ งถกู ต้องและ 2.2 ความก้าวหนา้ ของเทคโนโลยี เหมาะสม ในปจั จบุ นั 7. เกิดเจตคตทิ างวิทยาศาสตร์ 2.3 เทคโนโลยกี ับการประกอบ 8. มจี ิตวิทยาศาสตร์ อาชพี และการนำเทคโนโลยไี ปใชใ้ น ชวี ิต 3. วัสดุ และอุปกรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ 3.1 ประเภทของวัสดุและอุปกรณ์ 3.2 วิธใี ช้วัสดุ และอุปกรณ์
3 ท่ี หัวเร่ือง ตัวชว้ี ัด เนอื้ หา จำนวน 1.2 โครงงาน (ช่วั โมง) วิทยาศาสตร์ 1. อธิบายประเภท เลอื กหวั ข้อ 1. โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 5 2 สิ่งมีชวี ติ และ สงิ่ แวดล้อม วางแผน วิธที ำ นำเสนอและ 1.1 ประเภทของโครงงาน 2.1 เซลล์ ประโยชนข์ องโครงงานได้ 1.2 การเลอื กหัวข้อโครงงาน 2.2 กระบวนการ ดำรงชีวติ ของพชื 2. วางแผนการทำโครงงานได้ 1.3 การวางแผนการกระทำ และสตั ว์ 3. ทำโครงงานวทิ ยาศาสตร์กลมุ่ ได้ โครงงาน 4. อธิบายและบอกแนวได้ในการนำ 1.4 การนำเสนอโครงงาน ผลจากโครงงานไปใช้ได้ 1.5 ประโยชน์ของโครงงานเพื่อ 5. นำความรเู้ กย่ี วกับวทิ ยาศาสตร์ การพัฒนาคณุ ภาพชีวิต กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และ โครงงานไปใช้ได้ 1. อธิบายลกั ษณะ โครงสรา้ ง 1. ลกั ษณะ รปู รา่ งของเซลลพ์ ืชและสตั ว์ 10 องค์ประกอบ และหน้าท่ขี องเซลล์ได้ 1.1 สงิ่ มีชวี ิตเซลล์เดยี ว 2. เปรียบเทยี บความแตกตา่ งระหว่าง 1.2 ส่ิงมีชีวิตหลายเซลล์ เซลล์พชื และเซลล์สตั วไ์ ด้ 2. องค์ประกอบโครงสรา้ ง และหน้าที่ ของเซลล์พืชและเซลลส์ ตั ว์ 3. กระบวนการทีส่ ารผ่านเซลล์ 3.1 การแพร่ 3.2 การออสโมซสิ 1. อธบิ ายกระบวนการแพร่และ 1. การดำรงชวี ติ ของพชื 20 ออสโมซสิ ได้ 1.1 ระบบการลำเลยี งน้ำ อาหาร 2. อธบิ ายโครงสรา้ งและการทำงาน และแรธ่ าตุของพืช ของระบบลำเลียงในพชื ได้ 1.2 โครงสร้างและการทำงานของ 3. อธิบายความสำคัญและปจั จยั ท่ี ระบบลำเลยี งน้ำในพชื จำเปน็ สำหรับกระบวนการสังเคราะห์ 1.3 โครงสรา้ งและการทำงานของ ดว้ ยแสงได้ ระบบลำเลียงอาหารในพชื 4. อธิบายโครงสร้างและการทำงานของ 1.4 กระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสง ระบบสืบพนั ธุ์ในพชื ในทอ้ งถิน่ ได้ 1.4.1 ความสำคัญของกระบวนการ 5. อธิบายการทำงานของระบบตา่ งๆ สงั เคราะหด์ ว้ ยแสง ในสัตวไ์ ด้ 1.4.2 ปจั จัยที่จำเป็นสำหรับ กระบวนการสงั เคราะห์ ดว้ ยแสง 1.5 ระบบสบื พันธ์ุในพืช
4 ที่ หวั เร่อื ง ตวั ชี้วัด เนอ้ื หา จำนวน (ชัว่ โมง) 1.5.1 โครงสรา้ งและการทำงาน ของระบบสืบพนั ธ์ขุ องพืชไร้ ดอก 1.5.2 โครงสรา้ งและการทำงาน ของระบบสืบพันธ์ุของพชื มี ดอก 2. การดำรงชีวิตของสตั ว์ 2.1 โครงสรา้ งและการทำงานของ ระบบตา่ งๆ ของสตั ว์ 2.1.1 ระบบหายใจ 2.1.2 ระบบย่อยอาหาร 2.1.3 ระบบขับถา่ ย 2.1.4 ระบบสืบพนั ธ์ ฯลฯ 2.3 ระบบนิเวศ 1. อธบิ ายเกี่ยวกบั ความสัมพันธข์ อง 1. ความสมั พันธ์ของสิง่ มีชีวติ ตา่ งๆ ใน 10 ส่ิงมีชวี ิตตา่ งๆ ในระบบนิเวศใน ระบบนิเวศ ท้องถนิ่ และการถา่ ยทอดพลังงานได้ 2. การถ่ายทอดพลงั งาน 2. อธบิ ายและเขียนแผนภมู ิ แสดง 3. สายใยอาหาร สายใยอาหารของระบบนเิ วศตา่ งๆ ใน 4. วฏั จกั รของน้ำ ท้องถิ่นได้ 5. วฏั จกั รคาร์บอน 3. อธบิ ายวฏั จักรของนำ้ และคารบ์ อนได้ 2.4 โลก บรรยากาศ 1. บอกส่วนประกอบและวธิ กี ารแบ่ง 1.โลก 20 ปรากฏการณ์ ช้ันของโลกได้ 1.1โลก สว่ นประกอบและการแบง่ ทางธรรมชาติ 2. อธบิ ายการเปล่ียนแปลงของเปลอื กโลก ช้นั ของโลก ส่งิ แวดล้อม และ โดยกระบวนการต่าง ๆ ได้ 1.2 ทรพั ยากรธรณีในท้องถ่ิน และ ทรัพยากรธรรมชาติ 3. บอกองค์ประกอบและการแบง่ ช้ัน ประเทศ บรรยากาศได้ 1.3 การเปลย่ี นแปลงของเปลอื กโลก 4. บอกความหมายและความสำคัญ 1.3.1 กระบวนการยกตัว และ ของอณุ หภมู ิ การยุบตวั ความชน้ื และความกดอากาศได้ 1.3.2 การผพุ ังอยู่กบั ท่ี 5. อธิบายความสมั พนั ธ์ของอุณหภมู ิ 1.3.3 การกร่อน ความชืน้ และความกดอากาศตอ่ ชีวิต 1.3.4 การพัดพา ความเป็นอยู่ได้ 1.3.5 การทบั ถม
5 ที่ หวั เรอื่ ง ตวั ชวี้ ดั เนื้อหา จำนวน (ชว่ั โมง) 6. บอกชนดิ ของลมได้ 1.3.6 กรณศี กึ ษาภัยจากการ 7. อธิบายอทิ ธิพลของลมตอ่ เปลีย่ นแปลงของเปลือกโลก มนษุ ยแ์ ละสงิ่ แวดลอ้ มได้ เชน่ แผ่นดนิ ไหวการเกิด 8. บอกวิธีการป้องกนั ภยั ทีเ่ กิดจาก ปรากฏการณ์สนึ ามิ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาตไิ ด้ 2. บรรยากาศ 9. บอกประโยชน์ของการพยากรณ์ 2.1 ชน้ั บรรยากาศ องค์ประกอบ อากาศได้ และการแบ่งช้ันบรรยากาศ 10. อธบิ าย เกี่ยวกบั สภาพ ปัญหา 2.2 อณุ หภูมิ ความช้ืน และความ การใช้และการแก้ไขส่งิ แวดลอ้ ม และ กดอากาศในท้องถิน่ ทรัพยากรธรรมชาติในท้องถนิ่ และ 2.3 ความสมั พันธข์ องอุณหภูมิ ประเทศ ความช้นื และความกดอากาศ ทม่ี ี 11. อธบิ าย สรุปแนวคดิ ในการรกั ษา ผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ สมดลุ ของระบบนิเวศ การอนุรกั ษ์ 3. ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ สิง่ แวดลอ้ มและการใช้ 3.1 ชนดิ ของลม ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยง่ั ยืนได้ 3.1.1 ลมมรสุม 3.1.2 ลมพายหุ มุน เขตร้อน ฯลฯ 3.1.3 กรณีศึกษาการเกดิ พายุ นากีส พายุงวงช้าง พายุนาคเล่นนำ้ ฯลฯ 3.2 อิทธิพลของลมต่อ มนษุ ยแ์ ละสง่ิ แวดล้อม 3.3 การป้องกันภยั ที่เกิดจาก ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ 3.4 ความสำคัญและประโยชนข์ อง การพยากรณ์อากาศ 4. ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละ สง่ิ แวดล้อม 4.1 การใช้และปัญหาเกย่ี วกับ ทรพั ยากรธรรมชาติของทอ้ งถ่ินและ ประเทศ
6 ท่ี หัวเรือ่ ง ตวั ชี้วดั เน้อื หา จำนวน (ชว่ั โมง) 3 สารเพอ่ื ชีวิต 3.1 สารและการ 4.2 การดูแลรักษา จำแนกสาร 3.2 ธาตุและ ทรัพยากรธรรมชาติในทอ้ งถ่ิน สารประกอบ 4.2.1 ขยะ 4.2.2 น้ำเสีย 4.2.3 ดินถล่ม 4.2.4 การกัดเซาะชายฝงั่ ฯลฯ 4.3 สภาพสง่ิ แวดล้อมในท้องถ่ิน และประเทศ 4.4 ปัญหาและการแก้ไข สงิ่ แวดลอ้ มในท้องถิน่ และประเทศ 4.5 การอนรุ ักษ์สิ่งแวดล้อมและ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยัง่ ยืน 4.6 สภาวะโลกร้อน สาเหตแุ ละ ผลกระทบ การป้องกนั และแกไ้ ข ปญั หาโลกรอ้ น 1. อธบิ ายสมบัตทิ างกายภาพและ 1. สมบัตขิ องสาร 10 สมบตั ิทางเคมีได้ 1.1 สมบตั ทิ างกายภาพของสาร 2. อธบิ ายความแตกต่าง และจำแนก 1.2 สมบตั ทิ างเคมีของสาร ธาตุ สารประกอบ สารละลาย และ 2. เกณฑใ์ นการจำแนกสาร สารผสมได้ 2.1 ใช้สถานะ 3. จำแนกสารโดยใชเ้ น้อื สารและ 2.2 ใชเ้ น้ือสาร สถานะเป็นเกณฑ์ได้ 3. สมบตั ขิ องธาตุ สารประกอบ สารละลาย สารผสม 1. อธบิ ายและจำแนกธาตุ 1. ความหมายและสมบัติของธาตุ 10 สารประกอบ โลหะ อโลหะ และโลหะ กัมมันตรงั สี ก่งึ อโลหะได้ 2. สมบัตขิ องโลหะ อโลหะ และโลหะ 2. บอกผลกระทบทเี่ กิดจากธาตุ กง่ึ อโลหะ กัมมนั ตรงั สีได้ 3. ธาตกุ ัมมนั ตรงั สี 3. อธบิ ายการเกิดสารประกอบได้ 4. สารประกอบ 4. บอกธาตุและสารประกอบทีใ่ ชใ้ น 4.1 ความหมาย ชีวิตประจำวนั ได้ 4.2 การเกิดสารประกอบ
7 ท่ี หัวเร่อื ง ตวั ชว้ี ัด เนอ้ื หา จำนวน 3.3 สารละลาย (ชวั่ โมง) 3.4 สารและ 4.3 ธาตุและสารในชีวติ ประจำวนั ผลิตภณั ฑ์ในชีวติ 1. อธิบายสมบัติและองคป์ ระกอบ 1. สารละลาย 10 4 แรงและพลงั งาน เพ่ือชวี ิต ของสารละลายได้ 1.1 สมบัตขิ องสารละลาย และ 2. อธบิ ายปจั จยั ทมี่ ผี ลตอ่ การละลาย องค์ประกอบของสารละลาย ของสารได้ 1.2 ความสามารถในการละลาย 3. หาความเข้มข้นของสารละลายได้ ของสาร 4. อธิบายและเตรียมสารละลายบาง 1.3 ปจั จยั ทม่ี ผี ลต่อการละลายของสาร ชนดิ ได้ 1.4 ความเขม้ ข้นของสารละลาย 5. อธิบายและจำแนกกรด เบส และ 1.5 การเตรยี มสารละลาย เกลอื ได้ 2. กรด-เบส 6. อธิบายและตรวจสอบความเป็น 2.1 ความหมายและสมบัติของ กรด-เบส ของสารได้ กรด-เบส และเกลือได้ 7. อธิบายการใช้กรด-เบส บางชนดิ ใน 2.2 ความเป็นกรด-เบสของสาร ชวี ติ ได้ 2.3 กรด – เบส ของสารใน ชวี ิตประจำวัน 2.4 กรณศี ึกษากรด-เบสท่มี ีผลต่อ คณุ สมบัติของดิน 1. อธบิ ายสาระและสารสังเคราะหไ์ ด้ 1. สาร 10 2. อธิบายการใช้สารและผลติ ภณั ฑ์ 1.1 สารอาหาร ของสารบางชนดิ ในชวี ิตประจำวนั 1.2 สารปรุงแตง่ และเลอื กใชไ้ ด้ 1.3 สารปนเป้ือน 3. อธบิ ายผลกระทบทเ่ี กดิ จากการใช้ 1.4 สารเจือปน สาร และผลิตภัณฑท์ ่ีมตี ่อชวี ติ และ 1.5 สารพิษ สิ่งแวดล้อม 2. สารสงั เคราะห์ 2.1 ประเภท และการเกิด 2.2 สมบตั ิและประโยชน์ 3. สารและผลิตภัณฑท์ ี่ใชใ้ นชีวิต 4. การเลอื กใช้สารในชีวติ 5. ผลกระทบที่เกิดจากการใช้สารตอ่ ชวี ิตและสิง่ แวดล้อม
8 ที่ หัวเรอ่ื ง ตวั ชี้วัด เนอ้ื หา จำนวน (ชวั่ โมง) 4.1 แรงและการใช้ 1. ระบปุ ระเภทและความหมายของ 1. แรง 20 ประโยชน์ แรงประเภทตา่ งๆ ได้ 1.1 ความหมายและหนว่ ยของแรง 2. อธบิ ายการกระทำของแรงและ 1.2ผลการกระทำของแรง โมเมนต์ของแรงได้ 2.โมเมนต์ 3. บอกระบุประโยชนข์ องแรงใน 1.2 ความหมายและ ชนิดของ ชวี ิตประจำวันได้ โมเมนต์ 4. การหาคา่ ผลจากการกระทบของ 2.2 การหาค่าโมเมนต์ แรง และโมเมนต์ได้ 2.3 การใชโ้ มเมนต์ใน 5. ใหค้ วามรใู้ นเรือ่ งโมเมนตใ์ น ชวี ิตประจำวันได้ ชีวติ ประจำวนั ได้ 4.2 งานและ 1. อธิบายความหมายของงานและ 1. ความหมายของงานและพลังงาน 20 พลังงาน พลังงานในรูปแบบต่างๆได้ 2. รูปของพลังงาน 2. การต่อวงจรไฟฟ้าอย่างงา่ ยได้ 3.ไฟฟ้า 3. ใชก้ ฎของโอหม์ ในการคำนวณได้ 3.1 พลงั งานไฟฟา้ 4. บอกวิธีการอนรุ ักษ์และประหยัด 3.2 กฎของโอห์ม พลงั งานได้ 3.3 การต่อความตา้ นทานแบบตา่ ง ๆ 5. อธิบายสมบตั ิของแสง พลงั 3.4 การหาค่าความต้านทาน งานความร้อน และนำประโยชน์ 3.5 ไฟฟา้ ในชวี ติ ประจำวนั ไปใช้ในชีวิตประจำวนั ได้ 3.6 การอนรุ กั ษ์พลังงานไฟฟ้า 6. อธบิ ายพลังงานทดแทน และเลอื ก 4. แสง ใช้ได้ 4.1 แสง และสมบัตขิ องแสง 4.2 เลนส์ 4.3 ประโยชน์ และโทษของแสง 5. พลงั งานความรอ้ น และแหลง่ กำเนดิ 5.1 พลงั งานความร้อน และ แหล่งกำเนิด 5.2 อุณหภูมิ และการวัด การขยายตัวของวัตถุ 5.3 การนำไปใชป้ ระโยชน์ 5.4 พลังงานทดแทนและ การใช้ประโยชน์ เช่น เอททานอล ไบโอดเี ซล พลังงานนิวเคลยี ร์ฯลฯ
9 ท่ี หัวเรื่อง ตัวชีว้ ัด เนื้อหา จำนวน (ชว่ั โมง) 5 ดาราศาสตร์เพ่ือ ชวี ติ ดวงดาวกบั 1. ระบุชอื่ ของกล่มุ จักราศีได้ 1. กลุ่มดาวจกั ราศี 10 ชีวติ 2. อธบิ ายวธิ ีการหาดาวเหนือได้ 2. การสังเกตตำแหน่งของดาวฤกษ์ 3. อธบิ ายการใช้แผนที่ดาวได้ 3. วิธกี ารหาดาวเหนอื 4. อธิบายประโยชนจ์ ากกลมุ่ ดาวฤกษ์ 4. แผนทด่ี าว ต่อการดำรงชีวติ ประจำวันได้ 5. การใชป้ ระโยชน์จากกลุ่มดาวฤกษ์ 6 วิทยาศาสตรก์ บั อธิบาย การออกแบบ วางแผน 1. ประเภทของไฟฟ้า ช่องทางในการ ทดลอง ทดสอบ ปฏบิ ัติการเรื่อง 2. วัสดุอปุ กรณเ์ คร่ืองมือช่างไฟฟ้า ประกอบอาชีพ ไฟฟ้าไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งและปลอดภยั คิด 3. วัสดอุ ปุ กรณท์ ่ีใชใ้ นวงจรไฟฟา้ (หมายเหตุ : บูรณา วิเคราะห์ เปรียบเทียบข้อดี ข้อเสยี 4. การต้อวงจรไฟฟ้าอยา่ งงา่ ย การใช้เวลา ของการตอ้ วงจรไฟฟา้ แบบอนุกรม 5. กฎของโอห์ม การเรยี นการสอน แบบขนาน แบบผสม ประยุกต์ และ 6. การเดินสายไฟฟ้าอย่างง่าย ในมาตรฐานการ เลือกใชค้ วามรู้และอาชีพชา่ งไฟฟ้าให้ 7. การใช้เครอื่ งใชไ้ ฟฟ้าอยา่ งงา่ ย เรยี นรู้ เรอื่ ง แรง เหมาะสมกับด้าน บริหารจดั การและ 8. ความปลอดภัยและอบุ ตั เิ หตุ จาก และ พลังงานเพื่อ การบริการ อาชพี ช่างไฟฟ้า ชีวติ ในหัวข้อ 9. การบริหารจัดการและกาบริการ พลังงาน ไฟฟ้า 10. โครงงานวทิ ยาศาสตรส์ ่อู าชพี 10 ช่ัวโมง) 11. คําศพั ทท์ างไฟฟ้า
10 ผลการวิเคราะห์รายละเอยี ดคำอธิบายรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ พว21001 ออกแบบแผนการจดั การ ท่ี ตวั ชวี้ ดั เนื้อหา จำนวน เรยี นรู้ (ชัว่ โมง) พบกลุ่ม เรียนรู้ดว้ ย ตนเอง 1 1. อธิบายธรรมชาตแิ ละ 1. กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 5 ความสำคญั ของวทิ ยาศาสตร์ 1.1 ความหมายและความสำคัญ √ และเทคโนโลยี ของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี √ 2. อธบิ ายกระบวนการทาง 1.2 กระบวนการทาง √ วิทยาศาสตร์ วิธีการทาง วิทยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการ 1.2.1 วิธีการทาง √ ทางวทิ ยาศาสตร์และเจตคตทิ าง วิทยาศาสตร์ 5 ขนั้ วทิ ยาศาสตร์ 1.2.2 ทักษะกระบวนการทาง √ √ 3. นำความรู้ และกระบวนการ วิทยาศาสตร์ 13 ทักษะ ทางวิทยาศาสตร์ไปใช้แก้ปัญหา 1.2.3 เจตคติทาง √ ต่างๆ วิทยาศาสตร์ 6 ลักษณะ 4. เกดิ เจตคตทิ างวทิ ยาศาสตร์ 1.2.4 จติ วทิ ยาศาสตร์ 5.มีจติ วิทยาศาสตร์ 2. เทคโนโลยี 6. อธิบายความหมาย 2.1 ความหมาย และ ความสำคญั และความสัมพนั ธ์ ความสัมพนั ธ์ของวิทยาศาสตร์และ ของเทคโนโลยตี ่อชีวิตและสังคม เทคโนโลยีต่อชวี ติ และสงั คม 7. นำความรู้ และเลอื กใช้ 2.2 ความกา้ วหน้าของ √ เทคโนโลยีไดอ้ ย่างเหมาะสม เทคโนโลยีในปัจจบุ นั 8. เลอื กใชว้ ัสดุ และอปุ กรณ์ทาง 2.3 เทคโนโลยีกับการประกอบ √ วิทยาศาสตรไ์ ด้อย่างถูกต้องและ อาชพี และการนำเทคโนโลยีไปใช้ เหมาะสม ในชวี ติ 3. วัสดุ และอปุ กรณ์ทาง √ วทิ ยาศาสตร์ 3.1 ประเภทของวัสดุและอปุ กรณ์ 3.2 วิธใี ช้วัสดุและอปุ กรณ์
11 ออกแบบแผนการจดั การ ที่ ตวั ชี้วัด เนื้อหา จำนวน เรยี นรู้ (ช่ัวโมง) พบกลุ่ม เรียนรู้ดว้ ย ตนเอง 1. อธิบายประเภท เลอื กหัวข้อ 1. โครงงานวิทยาศาสตร์ 5 วางแผน วิธีทำ นำเสนอและ 1.1 ประเภทของโครงงาน √ ประโยชนข์ องโครงงาน 1.2 การเลอื กหัวข้อโครงงาน √ 2. วางแผนการทำโครงงาน 1.3 การวางแผนการทำโครงงาน √ 3. ทำโครงงานวิทยาศาสตร์กลมุ่ 1.4 การนำเสนอโครงงาน √ √ 4. อธิบายและบอกแนวไดใ้ นการ 1.5 ประโยชน์ของโครงงานเพื่อ นำผลจากโครงงานไปใช้ การพัฒนาคณุ ภาพชวี ิต 5. นำความรูเ้ กย่ี วกับ วทิ ยาศาสตร์ กระบวนการทาง วิทยาศาสตรแ์ ละโครงงานไปใช้ 1. อธิบายกระบวนการแพร่ 1. การดำรงชีวติ ของพชื 20 และออสโมซสิ 1.1 ระบบการลำเลยี งน้ำ √ 2. อธบิ ายโครงสรา้ งและการ อาหาร และแรธ่ าตุของพืช ทำงานของระบบลำเลยี งในพืช 1.2 โครงสร้างและการทำงาน √ 3. อธิบายความสำคัญและปัจจยั ของระบบลำเลยี งน้ำในพชื ท่จี ำเป็นสำหรบั กระบวนการ 1.3 โครงสร้างและการทำงาน √ สังเคราะหด์ ้วยแสง ของระบบลำเลียงอาหารในพืช 4. อธบิ ายโครงสรา้ งและการ 1.4 กระบวนการสงั เคราะหด์ ้วยแสง √ ทำงานของระบบสบื พันธ์ุพชื ใน 1.4.1ความสำคัญของ √ ทอ้ งถน่ิ กระบวนการสงั เคราะห์ดว้ ยแสง 5. อธิบายการทำงานของระบบ 1.4.2 ปจั จยั ท่ีจำเปน็ √ ตา่ งๆ ในสัตว์ สำหรบั กระบวนการสังเคราะห์ ด้วยแสง √ 1.5 ระบบสืบพันธุ์ในพืช √ 1.5.1 โครงสร้างและการทำงาน ของระบบสบื พนั ธข์ุ องพชื ไรด้ อก √ 1.5.2 โครงสร้างและการทำงาน ของระบบสบื พนั ธุ์ของพืชมดี อก √ 2. การดำรงชีวติ ของสัตว์ √
12 ออกแบบแผนการจดั การ ที่ ตัวชี้วดั เนือ้ หา จำนวน เรยี นรู้ (ชว่ั โมง) พบกลุ่ม เรียนรู้ดว้ ย ตนเอง 2.1 โครงสร้างและการทำงาน ของระบบต่างๆ ของสัตว์ √ 2.1.1 ระบบหายใจ √ 2.1.2 ระบบยอ่ ยอาหาร √ 2.1.3 ระบบขบั ถ่าย √ 2.1.4 ระบบสืบพนั ธ์ ฯลฯ 1. อธบิ ายเกยี่ วกบั ความสัมพันธ์ 1. ความสัมพันธ์ของสง่ิ มีชวี ิตต่างๆ 10 √ ของสิง่ มีชวี ติ ตา่ งๆ ในระบบ ในระบบนเิ วศ √ นิเวศในทอ้ งถิ่น และการ 2. การถ่ายทอดพลงั งาน √ ถา่ ยทอดพลังงาน 3. สายใยอาหาร 2. อธิบายและเขยี นแผนภูมิ 4. วัฏจกั รของนำ้ √ แสดงสายใยอาหารของระบบ 5. วัฏจกั รคารบ์ อน √ นเิ วศต่างๆ ในท้องถิน่ 3. อธบิ ายวฏั จกั รของนำ้ และ คาร์บอน 1. บอกสว่ นประกอบและวธิ กี าร 1.โลก 20 แบ่งชั้นของโลก 1.1โลก สว่ นประกอบและการ √ √ 2. อธิบายการเปล่ยี นแปลงของ แบง่ ช้ันของโลก เปลอื กโลกโดยกระบวนการ 1.2 ทรัพยากรธรณีในท้องถน่ิ ตา่ งๆ และประเทศ 3. บอกองคป์ ระกอบและการ 1.3 การเปล่ียนแปลงของเปลอื กโลก √ แบ่งชน้ั บรรยากาศ 1.3.1 กระบวนการยกตัว √ 4. บอกความหมายและ √ ความสำคญั ของอณุ หภมู ิ และการยบุ ตวั 1.3.2 การผพุ งั อย่กู บั ที่ ความชื้นและความกดอากาศ 1.3.3 การกร่อน √ 5. อธบิ ายความสัมพันธ์ของ 1.3.4 การพัดพา √ อุณหภมู ิ ความชนื้ และความกด 1.3.5 การทับถม √ อากาศตอ่ ชวี ิตความเป็นอยู่ 1.3.6 กรณีศึกษาภัยจาก 6. บอกชนดิ ของลม การเปล่ยี นแปลงของเปลือกโลก
13 ออกแบบแผนการจัดการ ที่ ตัวชวี้ ดั เน้อื หา จำนวน เรยี นรู้ (ชั่วโมง) พบกลุ่ม เรียนรู้ดว้ ย ตนเอง 7. อธิบายอิทธิพลของลมตอ่ เช่น แผน่ ดินไหว การเกิด มนุษย์และสง่ิ แวดลอ้ ม ปรากฏการณ์ สึนามิ 8. บอกวธิ กี ารปอ้ งกันภัยทเ่ี กิด 2. บรรยากาศ จากปรากฏการณท์ างธรรมชาติ 2.1 ชน้ั บรรยากาศ √ 9. บอกประโยชนข์ องการ องคป์ ระกอบ และการแบ่งชัน้ พยากรณอ์ ากาศ บรรยากาศ 10. อธิบาย เก่ียวกบั สภาพ 2.2 อณุ หภูมิ ความชน้ื และ √ ปัญหา การใช้และการแกไ้ ข ความกดอากาศในทอ้ งถิ่น √ สิ่งแวดล้อม และ 2.3 ความสัมพันธข์ องอณุ หภูมิ ทรัพยากรธรรมชาติในทอ้ งถ่ิน ความช้ืนและความกดอากาศ ที่มี และประเทศ ผลกระทบต่อชีวติ ความเป็นอยู่ √ √ 11.อธบิ าย สรุปแนวคิดในการ 3. ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ รักษาสมดลุ ของระบบนิเวศ การ 3.1 ชนิดของลม อนรุ ักษส์ งิ่ แวดลอ้ มและการใช้ 3.1.1 ลมมรสุม √ ทรพั ยากรธรรมชาติอยา่ งย่งั ยืน 3.1.2 ลมพายุหมนุ เขตรอ้ น ฯลฯ √ 3.1.3 กรณีศึกษาการเกดิ พายุ √ นากสี พายุงวงชา้ ง พายุนาคเล่นน้ำ ฯลฯ 3.2 อิทธพิ ลของลมต่อมนุษย์ และ สง่ิ แวดล้อม √ 3.3 การป้องกันภัยที่เกิดจาก √ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ 3.4 ความสำคัญและประโยชน์ของ √ การพยากรณ์อากาศ 4. ทรัพยากรธรรมชาติและ √ ส่ิงแวดล้อม 4.1 การใช้และปญั หาเกี่ยวกบั √ ทรัพยากรธรรมชาติของท้องถ่ินและ ประเทศ
14 ออกแบบแผนการจดั การ ที่ ตัวชีว้ ดั เนอ้ื หา จำนวน เรียนรู้ (ชว่ั โมง) พบกลุ่ม เรียนรู้ดว้ ย ตนเอง 4.2 การดูแลรักษาทรัพยากร ธรรมชาติในท้องถิ่น √ 4.2.1 ขยะ √ 4.2.2 น้ำเสยี √ 4.2.3 ดินถล่ม 4.2.4 การกัดเซาะชายฝั่ง √ ฯลฯ √ 4.3 สภาพส่ิงแวดล้อมในท้องถิ่น √ และประเทศ 4.4 ปัญหาและการแก้ไข √ สิง่ แวดล้อมในท้องถน่ิ และประเทศ 4.5 การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการ √ ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอยา่ งยั่งยืน 4.6 สภาวะโลกร้อน สาเหตุและ √ ผลกระทบ การป้องกันและแก้ไข ปัญหาโลกร้อน 3 1. อธบิ ายสมบัติทางกายภาพ 1.สมบตั ขิ องสาร 10 และสมบัติทางเคมี 1.1สมบัติทางกายภาพของสาร √ 2. อธิบายความแตกตา่ ง และ 1.2สมบตั ิทางเคมขี องสาร √ จำแนกธาตุ สารประกอบ 2. เกณฑใ์ นการจำแนกสาร สารละลาย และสารผสม 2.1 ใช้สถานะ √ 3. จำแนกสารโดยใชเ้ นือ้ สาร 2.2 ใช้เน้อื สาร √ และสถานะเปน็ เกณฑ์ 3. สมบัติของธาตุ สารประกอบ √ สารละลาย สารผสม 1. อธิบายและจำแนกธาตุ 1. ความหมายและสมบตั ขิ องธาตุ 10 √ สารประกอบ โลหะ อโลหะ และ กมั มนั ตรังสี √ √ โลหะกึ่งอโลหะ 2. สมบตั ิของโลหะ อโลหะ และ 2. บอกผลกระทบท่เี กิดจากธาตุ โลหะกงึ่ อโลหะ กมั มันตรงั สี 3. ธาตกุ ัมมันตรังสี
15 ออกแบบแผนการจัดการ ที่ ตวั ชว้ี ดั เนอ้ื หา จำนวน เรยี นรู้ (ชั่วโมง) พบกลุ่ม เรียนรู้ดว้ ย ตนเอง 3. อธิบายการเกิดสารประกอบ 4. สารประกอบ √ 4. บอกธาตุและสารประกอบท่ี 4.1 ความหมาย √ √ ใช้ในชีวิตประจำวนั 4.2 การเกิดสารประกอบ 4.3 ธาตแุ ละสารในชวี ติ ประจำวนั 1. อธิบายสมบัติและ 1. สารละลาย 10 √ องคป์ ระกอบของสารละลาย 1.1 สมบตั ขิ องสารละลาย และ √ 2. อธบิ ายปจั จัยที่มีผลตอ่ การ องคป์ ระกอบของสารละลาย ละลายของสาร 1.2 ความสามารถในการ √ 3. หาความเข้มข้นของ ละลายของสาร สารละลาย 1.3 ปจั จัยท่มี ผี ลตอ่ การละลาย 4. อธบิ ายและเตรยี มสารละลาย ของสาร √ บางชนดิ 1.4 ความเข้มขน้ ของ 5. อธิบายและจำแนกกรด เบส สารละลาย และเกลือ 1.5 การเตรยี มสารละลาย √ 6. อธิบายและตรวจสอบความ 2. กรด-เบส √ เป็นกรด-เบส ของสาร √ 7. อธิบายการใช้กรด-เบส บาง 2.1 ความหมายและสมบัตขิ อง กรด-เบส และเกลือได้ ชนิดในชวี ติ 2.2 ความเป็นกรด-เบสของสาร √ 2.3 กรด – เบส ของสารใน ชีวติ ประจำวัน √ 2.4 กรณีศึกษากรด-เบสท่ีมผี ลตอ่ คุณสมบัติของดิน 1. อธบิ ายสาระและสาร 1. สาร 10 √ สงั เคราะห์ 1.1 สารอาหาร √ 2. อธบิ ายการใชส้ ารและ 1.2 สารปรุงแตง่ √ ผลิตภัณฑข์ องสารบางชนดิ ใน 1.3 สารปนเป้อื น √ ชวี ติ ประจำวันและเลอื กใช้ 1.4 สารเจอื ปน √ 1.5 สารพษิ √
16 ออกแบบแผนการจัดการ ที่ ตัวชว้ี ัด เน้อื หา จำนวน เรียนรู้ (ชัว่ โมง) พบกลุ่ม เรียนรู้ดว้ ย ตนเอง 3. อธบิ ายผลกระทบที่เกดิ จาก 2. สารสังเคราะห์ √ การใชส้ าร และผลติ ภัณฑท์ ่ีมีต่อ 2.1 ประเภท และการเกิด √ ชีวิตและส่งิ แวดล้อม 2.2 สมบตั แิ ละประโยชน์ √ 3. สารและผลิตภัณฑ์ทีใ่ ช้ในชีวิต √ 4. การเลือกใช้สารในชวี ติ √ 5. ผลกระทบท่ีเกดิ จากการใช้สาร √ ต่อชีวติ และสงิ่ แวดลอ้ ม 4 1. ระบปุ ระเภทและความหมาย 1. แรง 10 ของแรงประเภทต่างๆ 1.1 ความหมายและหน่วยของ √ 2. อธบิ ายการกระทำของแรง แรง √ และโมเมนต์ของแรง 1.2 ผลการกระทำของแรง 3. บอกระบปุ ระโยชน์ของแรงใน 2.โมเมนต์ √ ชวี ิตประจำวนั 2.1 ความหมายและ ชนดิ ของ √ √ 4. การหาค่าผลจากการกระทบ โมเมนต์ ของแรง และโมเมนต์ 2.2 การหาคา่ โมเมนต์ 5. ให้ความรูใ้ นเร่ืองโมเมนตใ์ น 2.3 การใช้โมเมนต์ในชีวิตประจำวัน ชีวติ ประจำวนั ได้ 1. อธิบายความหมายของงาน 1. ความหมายของงานและ 20 √ และพลงั งานในรปู แบบต่างๆ พลงั งาน √ √ 2. การตอ่ วงจรไฟฟ้าอย่างงา่ ย 2. รปู ของพลังงาน √ 3. ใช้กฎของโอห์มในการคำนวณ 3.ไฟฟา้ 4. บอกวิธีการอนรุ ักษ์และ 3.1 พลังงานไฟฟ้า ประหยดั พลังงาน 3.2 กฎของโอห์ม √ 5. อธิบายสมบัตขิ องแสง พลัง 3.3 การตอ่ ความต้านทานแบบ √ งานความร้อน และนำประโยชน์ ตา่ งๆ ไปใชใ้ นชวี ิตประจำวัน 3.4 การหาคา่ ความต้านทาน √ 6. อธิบายพลงั งานทดแทน และ 3.5 ไฟฟา้ ในชวี ติ ประจำวนั √ √ เลอื กใช้ 3.6 การอนรุ กั ษพ์ ลังงานไฟฟ้า 4. แสง
17 ออกแบบแผนการจัดการ ท่ี ตัวชีว้ ัด เน้ือหา จำนวน เรียนรู้ (ช่ัวโมง) พบกลุ่ม เรียนร้ดู ้วย ตนเอง 4.1 แสง และสมบัตขิ องแสง √ 4.2 เลนส์ √ 4.3 ประโยชน์ และโทษของ √ แสง 5. พลงั งานความร้อน และ √ แหล่งกำเนิด 5.1 พลังงานความร้อน และ √ แหลง่ กำเนิด √ 5.2 อณุ หภูมิ และการวดั การขยายตวั ของวตั ถุ 5.3 การนำไปใชป้ ระโยชน์ 5.4 พลังงานทดแทนและการใช้ ประโยชน์ เช่น เอททานอล ไบโอ ดเี ซล พลังงานนวิ เคลียรฯ์ ลฯ 5 1. ระบุช่ือของกลุ่มจักราศี 1. กล่มุ ดาวจกั ราศี 10 √ √ 2. อธิบายวธิ กี ารหาดาวเหนอื 2. การสังเกตตำแหน่งของดาว 10 √ √ 3. อธิบายการใช้แผนทด่ี าว ฤกษ์ √ 4. อธิบายประโยชนจ์ ากกลุม่ ดาว 3. วิธีการหาดาวเหนือ ฤกษ์ต่อการดำรงชีวิต ประจำวัน 4. แผนท่ีดาว √ 5. การใชป้ ระโยชน์จากกลมุ่ ดาว √ ฤกษ์ √ √ 6 อธบิ าย การออกแบบ วางแผน 1. ประเภทของไฟฟ้า ทดลอง ทดสอบ ปฏิบัตกิ ารเรื่อง 2. วสั ดอุ ุปกรณเ์ ครื่องมือช่างไฟฟ้า ไฟฟ้าไดอ้ ยา่ งถูกต้องและ 3. วสั ดอุ ปุ กรณท์ ีใ่ ชใ้ นวงจรไฟฟา้ ปลอดภยั คดิ วิเคราะห์ 4. การตอ่ วงจรไฟฟ้าอย่างง่าย เปรียบเทยี บข้อดี ข้อ ของการ 5. กฎของโอหม์ ตอ่ วงจรไฟฟ้าแบบอนุกรม 6. การเดนิ สายไฟฟ้าอย่างง่าย
18 ออกแบบแผนการจัดการ ที่ ตัวชว้ี ัด เนื้อหา จำนวน เรียนรู้ แบบขนาน แบบผสม ประยกุ ต์ 7. การใชเ้ ครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ อยา่ งง่าย (ชั่วโมง) พบกลุ่ม เรยี นรู้ดว้ ย และเลอื กใชค้ วามรู้ และ อาชีพ 8. ความปลอดภัยและอุบัตเิ หตุ ตนเอง ช่างไฟฟ้า ใหเ้ หมาะสม กบั ดา้ น จากอาชีพช่างไฟฟ้า บรหิ ารจดั การและการบรกิ าร 9. การบรหิ ารจัดการและการ √ บรกิ าร 10. โครงงานวิทยาศาสตร์สอู่ าชีพ √ 11. คาํ ศัพทท์ างไฟฟา้ √ √ √
19 แผนการจดั การเรยี นรู้ รายวชิ า พว21001 วทิ ยาศาสตร์ ระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้น จำนวน 4 หน่วยกติ ครั้งที่ 14 จำนวน....6….ช่ัวโมง แบบพบกลุ่ม จำนวน....6….ช่วั โมง เรอื่ ง 1. แรงและการใช้ประโยชน์ 2. งานและพลงั งาน ตัวช้วี ัด 1. แรงและการใช้ประโยชน์ 1.1 ระบุประเภทและความหมายของแรงประเภทต่างๆ ได้ 1.2 อธบิ ายการกระทำของแรงและโมเมนตข์ องปรงได้ 1.3 บอกระบปุ ระโยชนข์ องแรงในชีวิตประจำวนั ได้ 1.4 การหาคา่ ผลจากการกระทบของแรงและโมเมนต์ได้ 1.5 ใหค้ วามรูใ้ นเรื่องโมเมนต์ในชีวติ ประจำวนั ได้ 2. งานและพลังงาน 2.1 อธบิ ายความหมายของงานและพลงั งานในรปู แบบต่าง ได้ 2.2 การตอ่ วงจรไฟฟ้าอย่างง่ายได้ 2.3 ใชก้ ฎของโอห์มในการคำนวณได้ 2.4 บอกวธิ กี ารอนุรักษแ์ ละประหยดั พลังงานได้ 2.5 อธบิ ายสมบตั ขิ องแสง พลงั งานความร้อน และนำประโยชน์ไปใช้ในชวี ติ ประจำวนั ได้ 2.6 อธบิ ายพลังงานทดแทน และเลือกใชไ้ ด้ เนื้อหา แรงและการใชป้ ระโยชน์ 1. แรง 1.1 ความหมายและหน่วยของแรง 1.2 ผลการกระทำของแรง 2. โมเมนต์ 2.1 ความหมายและชนดิ ของโมเมนต์ 2.2 การหาคา่ โมเมนต์ 2.3 การใชโ้ มเมนตใ์ นชีวติ ประจำวนั ได้ งานและพลงั งาน 1. ความหมายของงานและพลงั งาน 2. รปู ของพลงั งาน 3. ไฟฟา้
20 3.1 พลังงานไฟฟ้า 3.2 กฎของโอห์ม 3.3 การตอ่ ความตา้ นทานแบบตา่ งๆ 3.4 การหาค่าความต้านทาน 3.5 ไฟฟ้าในชีวิตประจำวนั 3.6 การอนรุ ักษ์พลงั งานไฟฟ้า 4. แสง 4.1 แสงและสมบตั ิของแสง 4.2 เลนส์ 4.3 ประโยชน์และโทษของแสง 5. พลังงานความร้อนและแหล่งกำเนดิ 5.1 พลงั งานความร้อน และแหล่งกำเนิด 5.2 อณุ หภูมิ และการวดั การขยายตวั ของวัตถุ 5.3 การำไปใช้ประโยชน์ 5.4 พลังงานทดแทนและการใช้ประโยชน์ เช่น เอทานอล ไบโอดีเซล พลงั งาน นวิ เคลยี ร์ ฯลฯ ขั้นตอนการจัดกระบวนการเรยี นรู้ ข้นั ท่ี 1 การกำหนดสภาพปญั หา ความตอ้ งการในการเรยี นรู้ ครูพูดคุยกับผู้เรียนและครูถามเรื่องโมเมนต์พร้อมมาตรฐานและชี้แจงตัวชี้วัดของหน่วยการเรียนรู้ จากนั้นครูยกตัวอยา่ งสิ่งที่เกี่ยวข้องกับโมเมนต์ที่ใช้ในชวี ิตประจำวันครูและผู้เรียนรวบรวมข้อมูลของหลักการ โมเมนต์ ขั้นท่ี 2 การแสวงหาข้อมูลและจดั การเรยี นรู้ 1.ครูให้ผู้เรียนดูสื่อการสอน เรื่อง แรงและพลังงานเพื่อชีวิต จากนั้นผู้เรียนและครูร่วมกันสรุปเรื่อง แรงและพลังงานเพ่อื ชีวติ 2. ให้ผเู้ รยี นแบ่งกลุม่ ศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากแหลง่ เรียนรู้ อินเทอรเ์ น็ต ห้องสมุด กศน.ตำบล - แรงและการใชป้ ระโยชน์ -งานและพลังงาน 3. สรุปความร้ทู ี่ไดร้ ว่ มกนั โดยใช้ แผนผังความคิด ขั้นท่ี 3 การปฏบิ ัติและนำไปประยุกตใ์ ช้ ครูให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบย่อย และใบงาน พร้อมสรุปเนื้อหาร่วมกันในรูปแบบ 2 3 4 ตามหลัก ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
21 ขนั้ ที่ 4 การประเมินผล 1. ใบงานและแบบทดสอบย่อย 2. แผนผงั ความคิด สอ่ื 1. หนังสือเรยี น 2. อินเทอรเ์ น็ต 3. คลปิ วิดิโอ เรื่อง แรงและพลงั งานเพื่อชวี ิต 4.ใบความรู้ การวัดผลประเมินผล 1. ใบงาน/แบบทดสอบยอ่ ย 2. แผนผังความคดิ
22 ใบความรู้ คร้งั ที่ 14 วชิ า พว21001 วทิ ยาศาสตร์ ระดบั ม.ต้น เร่ือง โมเมนต์ของแรง 1. ความหมายของโมเมนต์ โมเมนต์ของแรง หรอื โมเมนต์ หมายถึง ผลคณู ของแรงกบั ระยะตงั้ ฉากจากแนวแรงถงึ จุดหมุน มีหนว่ ยเป็น นวิ ตนั -เมตร โมเมนต(์ นิวตัน-เมตร) = แรง(นิวตัน) X ระยะตั้งฉากจากแนวแรงถึงจุดหมนุ (เมตร) 2. ชนิดของโมเมนต์ โมเมนตข์ องแรงแบ่งตามทิศการหมุนไดเ้ ปน็ 2 ชนดิ 1. โมเมนต์ทวนเขม็ นาฬกิ า 2. โมเมนต์ตามเข็มนาฬิกา 3. หลกั การของโมเมนต์ ถ้ามแี รงหลายแรงกระทำต่อวัตถุช้ินหน่ึง แล้วทำให้วตั ถนุ นั้ สมดลุ จะได้วา่ ผลรวมของโมเมนต์ทวนเข็มนาฬิกา = ผลรวมของโมเมนต์ตามเข็มนาฬิกา 4. โมเมนต์ในชวี ิตประจำวัน โมเมนตเ์ กยี่ วขอ้ งกับกิจกรรมต่างๆ ในชีวติ ประจำวันของเราเปน็ อย่างมาก แมแ้ ต่การเคลือ่ นไหวของ อวัยวะบางส่วนของร่างกาย การใชเ้ คร่อื งใชห้ รืออปุ กรณ์ตา่ งๆ หลายชนิด 5. ประโยชน์โมเมนต์ จากหลักการของโมเมนต์จะพบวา่ เม่ือมีแรงขนาดต่างกนั มากระทำต่อวัตถุคนละด้านกับจุดหมนุ ท่ี ระยะห่างจากจุดหมุนต่างกัน วัตถุนนั้ กส็ ามารถอยูใ่ นภาวะสมดลุ ได้ หลกั การของโมเมนตจ์ ึงชว่ ยใหเ้ ราออกแรง นอ้ ยๆ แต่สามารถยกน้ำหนักมากๆ ได้ โมเมนต์ (Moment) หมายถึง ผลของแรงที่กระทาต่อวตั ถหุ มุนไปรอบจุดคงที่ ซึ่งเรียกวา่ จดุ ฟลั คมั (Fulcrum) คา่ ของโมเมนต์ หาได้จากผลคูณของแรงที่มากระทากับระยะทีว่ ดั จากจดุ ฟลั ครมั มาตั้งฉากกับแนวแรง ดังสูตร M = F x S หรือ ทศิ ทางของโมเมนต์ มี 2 ทิศทาง คือ 1. โมเมนตต์ ามเข็มนาฬกิ า คาน A B มจี ดุ หมนุ ท่ี F มแี รงมากระทบท่ี ปลายคาน A จะเกดิ โมเมนต์ตามเขม็ นาฬิกา 2. โมเมนต์ทวนเขม็ นาฬกิ า คาน A B มจี ุดหมุนท่ี F มีแรงมากระทาที่ปลายคาน B จะเกิดโมเมนต์ทวนเข็มนาฬกิ า รูปแสดงทิศทางของโมเมนต์ จากภาพ F เป็นจุดหมนุ เอาวัตถุ W วางไว้ทป่ี ลายคานข้างหน่งึ ออกแรงกดทป่ี ลายคานอีกข้างหน่งึ เพ่ือให้ไม้ อยใู่ นแนวระดับพอดี โมเมนตต์ ามเข็มนาฬิกา = WxL2 (นิวตัน-เมตร) โมเมนต์ทวนเขม็ นาฬิกา = ExL1 (นวิ ตัน-เมตร)
23 กฎของโมเมนต์ เมื่อวัตถุหนงึ่ ถูกกระทาด้วยแรงหลายแรง แลว้ ทาใหว้ ตั ถุนนั้ อยู่ในสภาวะสมดุล (ไม่เคลื่อนท่ี และไมห่ มุน) จะได้วา่ ผลรวมของโมเมนตท์ วนเข็มนาฬิกา = ผลรวมของโมเมนต์ตามเขม็ นาฬกิ า คาน หลักการของโมเมนต์ เรานามาใช้กบั อปุ กรณ์ทเ่ี รยี กวา่ คาน (lever) หรอื คานดดี คานงดั คานเปน็ เครือ่ งกลชนดิ หน่งึ ทีใ่ ช้ดดี งัดวัตถใุ ห้เคล่ือนทร่ี อบจดุ หมด (fulcrum) มลี กั ษณะเป็นแทง่ ยาว หลักการทางาน ของคานใช้หลกั ของโมเมนต์ รูปแสดงลักษณะของคาน ถ้าโจทย์ไม่กำหนดน้าหนักคานมาให้แสดงว่าคานไม่มนี ้าหนัก จากรปู กำหนดให้ W = แรงความตา้ นทาน หรือ นา้ หนกั ของวตั ถุ E = แรงความพยายาม หรือแรงทีก่ ระทาต่อคาน a = ระยะตงั้ ฉากจากจุดหมนุ ถงึ แรง ต้านทาน b = ระยะทางตั้งฉากจากจุดหมุนถงึ แรงพยายาม โดยมี F (Fulcrum) เปน็ จดุ หมนุ หรอื จดุ ฟัลกรมั เมื่อคานอยใู่ นภาวะสมดุล โมเมนต์ตามเขม็ นาฬิกา = โมเมนต์ ทวนเข็มนาฬิกา W x a = E x b การจำแนกคาน คานจำแนกได้ 3 ประเภทหรอื 3 อนั ดับดังนี้ 1. คานอนั ดบั ท่ี 1 เปน็ คานทีม่ จี ุด (F) อยู่ระหวา่ ง แรงความพยายาม (E) และแรงความต้านทาน (W) เช่น กรรไกรตัดผ้า กรรไกรตัดเลบ็ คีมตดั ลวด เรอื แจว ไม้ กระดก เปน็ ตน้ 2. คานอนั ดบั 2 เป็นคานทีม่ ีแรงความตา้ นทาน (W) อยรู่ ะหว่างแรงความพยายาม (E) และจุดหมุน (F) เชน่ ท่ี เปดิ ขวดนา้ อดั ลม รถเข็นทราย ท่ตี ดั กระดาษ เป็นต้น 1. คานอันดับที่ 3 เป็นคานท่ีมแี รงความพยายาม (E) อยรู่ ะหว่างแรงความต้านทาน (W) และจุดหมุน (F) เชน่ ตะเกยี บ คีมคบี ถ่าน แหนบ เปน็ ตน้ การผ่อนแรงของคาน จะมคี ่ามากหรือน้อยโดยดูจากระยะ E ถงึ F และ W ว่าถา้ ระยะ EF ยาวหรอื สน้ั กว่า ระยะ WF ถา้ ในกรณีท่ยี าวกว่ากจ็ ะช่วยผ่อนแรง ถา้ สัน้ กวา่ ก็จะไม่ผ่อนแรง หลักการและขน้ั ตอนการคำนวณเรือ่ งคานและโมเมนต์ 1. วาดรปู คาน พร้อมกบั แสดงตำแหนง่ ของแรงที่กระทาบนคานท้ังหมด 2. หาตำแหนง่ ของจุดหมนุ หรือจุดฟลั ครัม ถา้ ไม่มีให้สมมติข้ึน 3. ถ้าโจทยไ์ มบ่ อกนา้ หนักของคานมาให้ เราไมต่ ้องคิดนา้ หนักของคานและ ถือวา่ คานมีขนาดสมำ่ เสมอกนั ตลอด 4. ถ้าโจทยบ์ อกนา้ หนักคานมาใหต้ อ้ งคิดนา้ หนักคานดว้ ย โดยถอื ว่าน้าหนกั ของคานจะอยจู่ ดุ กึ่งกลางคาน เสมอ 5. เมอื่ คานอยู่ในสภาวะสมดุล โมเมนต์ทวนเขม็ นาฬกิ าเทา่ กับโมเมนต์ตามเข็มนาฬิกา 6. โมเมนตท์ วนเข็มนาฬิกา หรอื โมเมนตต์ ามเข็มนาฬิกามคี ่าเทา่ กบั ผลบวกของโมเมนต์ย่อยแต่ละชนดิ การใช้โมเมนตใ์ นชวี ิตประจาวัน ความรเู้ กีย่ วกับเรื่องของโมเมนต์ สามารถนาไปใช้ในชีวติ ประจาวนั ในดา้ น ตา่ งๆ มากมาย เชน่ การเล่นกระดานหก การหาบของ ตราชงั่ จีน การแขวนโมบาย ท่ีเปิดขวด รถเข็น คมี ท่ีตดั กระดาษ เป็นตน้ หรอื ในการใช้เชือกหรือสลิงยดึ คานเพ่ือวางคานย่นื ออกมาจากกำแพง
24 ใบงาน คร้งั ท่ี 14 วิชา พว21001 วทิ ยาศาสตร์ ระดับ ม.ตน้ ช่อื – นามสกุล ................................................................................... กศน.ตำบล .......................................... คำสั่ง จงอ่านโจทย์และตอบคำถามท่กี ำหนดให้ 1.โมเมนต์ คอื อะไร มีกี่ชนิด ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. 2. คานยาว 4 เมตร นำไปงดั ก้อนหินหนัก 400 N ให้เคล่ือนท่ี ถา้ ต้องการออกแรงเพยี ง 100 N ควรจะนำ ก้อนหิน ก้อนเล็กๆ มาหนุนไม้ท่ีตำแหน่งใด (แสดงวธิ ีทำ) .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. 3. การใช้โมเมนต์ในชีวิตประจำวนั สามารถนำไปใช้ในด้านตา่ งๆ มากมาย จงยกตัวอยา่ ง ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. .................................................
25 เฉลยใบงานเร่อื งโมเมนต์ คำสั่ง จงอา่ นโจทย์และตอบคำถามทกี่ ำหนดให้ 1.โมเมนต์ คอื อะไร มีก่ีชนดิ เฉลย โมเมนต์ หมายถงึ ผลคูณของแรงกับระยะต้งั ฉากจากแนวแรงถงึ จดุ หมุน มหี นว่ ยเป็น นิวตนั -เมตร โมเมนต์(นวิ ตัน-เมตร) = แรง(นิวตัน) X ระยะตั้งฉากจากแนวแรงถึงจดุ หมุน(เมตร) ชนดิ ของโมเมนต์ โมเมนต์ของแรงแบ่งตามทศิ การหมุนได้เป็น 2 ชนดิ 1. โมเมนตท์ วนเขม็ นาฬิกา 2. โมเมนตต์ ามเข็มนาฬิกา 2. คานยาว 4 เมตร นำไปงัดก้อนหินหนกั 400 N ใหเ้ คล่ือนท่ี ถา้ ตอ้ งการออกแรงเพยี ง 100 N ควรจะนำก้อน หินก้อนเลก็ ๆ มาหนุนไมท้ ตี่ ำแหนง่ ใด เฉลย ผลรวมของโมเมนต์ทวนเขม็ นาฬิกา = ผลรวมของโมเมนตต์ ามเข็มนาฬิกา (M ตาม = M ทวน) 400 (4 - X) = 100X 1600 - 400X = 100X X = 3.2 m ดงั น้ัน จะต้องนำก้อนหนิ เล็กหนนุ ไมห้ ่างจากก้อนหิน 3.2 m ตอบ 3. การใชโ้ มเมนตใ์ นชวี ิตประจำวนั สามารถนำไปใชใ้ นชวี ติ ประจำวนั ในดา้ นตา่ งๆ มากมาย ยกตวั อย่าง การเลน่ กระดานหก การหาบของ ตราช่ังจีน การแขวนโมบาย ทเ่ี ปิดขวด รถเขน็ คมี ท่ตี ัดกระดาษ เป็นตน้ หรอื ในการใช้เชอื กหรือสลิงยึดคานเพ่ือวางคานยื่นออกมาจากกำแพง
26 แบบทดสอบย่อย คร้งั ที่ 14 วิชา พว21001 วทิ ยาศาสตร์ ระดบั ม.ตน้ ชือ่ – นามสกุล.................................................................................. กศน.ตำบล.......................................... ข้อสอบปรนัย 5 ขอ้ คำสงั่ ใหน้ ักศกึ ษาเลือกข้อท่ีถูกต้องท่ีสุดเพียงคำตอบเดยี ว แบบทดสอบย่อยมที ั้งหมด 5 ข้อ ขอ้ 1. ถา้ โยนวตั ถุขึ้นในแนวด่ิง การเคล่อื นทข่ี องวตั ถจุ ะเป็นอย่างไร ก. วตั ถมุ คี วามเรว็ คงตัว ข. วัตถุคอ่ ยๆ ลดความเรว็ ลง ค. วัตถุมคี วามเร็วมากขึ้น ง. วตั ถุเคลื่อนทเ่ี รว็ และช้าสลับกนั ข้อ 2. นักวทิ ยาศาสตรท์ ่ีศึกษาเกี่ยวกบั แรงและการเคลอ่ื นทีค่ อื ใคร ก. นวิ ตนั ข. ดารว์ ิน ค. เมลเดล ง. เอกิสัน ข้อ 3. ขอ้ ใดเป็นความหมายของคำว่าโมเมนต์ ก. ผลคณู ของแรงกบั ระยะทาง ข. ผลบวกของแรงกบั ระยะทาง ค. ผลคูณของแรงกับระยะทางตามแนวแรง ง. ผลคูณของแรงกบั ระยะตัง้ ฉากจากจุดหมนุ ไปยังแนวแรง ขอ้ 4. คมี สำหรับตดั ลวด ทำขึ้นโดยอาศยั ก. หลกั ของงาน ข. หลักของโมเมนต์ ค. กฎการคงท่ีของพลังงาน ง. ใช้หลักท้ังสามข้อข้างต้น ข้อ 5. ภาวะสมดุลของโมเมนตต์ รงกับข้อใด ก. คานอยูน่ ิ่งในแนวระนาบ ข. จดุ หมนุ ของคานอยู่ท่ีกง่ึ กลางคาน ค. คานมีลักษณะตรงและโตสม่ำเสมอ ง. เมื่อเปน็ โมเมนต์ทหี่ มุนตามเข็มนาฬิกา
27 ข้อสอบอัตนัย จำนวน 2 ข้อ 1. จงบอกความหมายของงานและพลังงาน ............................................................................................................................. ................................................. ................................................................................................................................................ .............................. .................................................................................................... .......................................................................... ............................................................................................................................. ................................................. ................................................................................................................................... ........................................... ....................................................................................... ....................................................................................... ............................................................................................................................. ................................................. 2. กฎของโอห์มคอื อะไร จงอธบิ ายมาพอสงั เขป ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................................................. ................. ................................................................................................................. ............................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. .................................................
28 เฉลยแบบทดสอบย่อย ครง้ั ท่ี 14 วชิ า พว21001 วิทยาศาสตร์ ระดบั ม.ตน้ ข้อสอบปรนัย เฉลยแบบทดสอบย่อย 1. ตอบ ข 2. ตอบ ง 3. ตอบ ง 4. ตอบ ข 5. ตอบ ก ข้อสอบอตั นัย แนวตอบ 1. งาน คือ ผลของแรงท่ีกระทำบนวัตถุ และทำใหว้ ัตถุเคล่ือนท่ีไปตามแนวแรง ซงึ่ เปน็ ปริมาณสเกลาร์ มีหน่วยเปน็ นิวตันเมตร (N.m)หน่วยนี้มีชือ่ ใหม่ว่า จูล (Joule, J) ในกรณีแรง F ที่มากระทำเป็นแรงคงตัวและ การกระจัด S ของวัตถุอยู่ในแนวเดียวกับแรง ปริมาณงานที่แรง F กระทำจะมีค่าเท่ากับ ผลคูณระหวา่ งขนาดของแรงและขนาดของการกระจดั พลังงาน หมายถึงความสามารถซึ่งมีอยู่ในตัวของสิ่งที่อาจให้แรงงานได้ หรือ อังกฤษ: Energy เป็น กำลังงานที่ใชใ้ นช่วงเวลาหนึ่ง หรือระยะทางหนึ่ง มีค่าเป็น จูล หรือ Joule ในทางฟิสิกส์ พลังงานเป็นหนึ่งใน คุณสมบัติเชิงปริมาณพื้นฐานที่อธิบายระบบทางกายภาพหรือสถานะของวัตถุ พลังงานสามารถเปลี่ยนรูป (แปลงรูป)ได้หลายรูปแบบที่แต่ละแบบอาจจะชัดเจนและสามารถวัดได้ในหลายรูปแบบที่แตกต่างกัน กฎของ การอนุรักษ์พลังงานระบุว่า พลังงาน(ทั้งหมด)ของระบบสามารถเพิ่มหรือลดได้โดยการถ่ายโอนเข้าหรือออก จากระบบเท่านั้น พลังงานทั้งหมดของระบบใดๆสามารถคำนวณได้โดยการรวมกันอย่างง่ายๆ เมื่อมัน ประกอบด้วยชิ้นส่วนทีไ่ ม่มีการปฏสิ ัมพันธ์ทั้งหลายหรือมีหลายรูปแบบของพลงั งานทีแ่ ตกตา่ งกัน รูปแบบของ พลังงานทั่วไปประกอบด้วยพลังงานจลน์ของวัตถุเคลื่อนที่, พลังงานที่แผ่รังสีออกมาโดยแสงและการแผ่รังสี ของแม่เหล็กไฟฟ้าอื่นๆ และประเภทต่างๆของพลงั งานศักย์ เช่นแรงโน้มถ่วงและความยืดหยุ่น ประเภททั่วไป ของการถ่ายโอนและการเปลี่ยนแปลงพลังงานประกอบด้วยกระบวนการ เช่นการให้ความร้อนกับวัสดุ, การ ปฏบิ ัติงานทางกลไกบนวัตถ,ุ การสร้างหรือการใชพ้ ลังงานไฟฟา้ และปฏิกริ ยิ าทางเคมีจำนวนมาก 2. กฎของโอห์ม จอร์จ ไซมอน โอห์ม(George Simon Ohm) นักฟิสิกส์ ชาวเยอรมันได้ค้นพบ ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณของ ไฟฟ้าทั้ง 3 ตัว คือ ระหว่างกระแสไฟฟ้า ( I ) แรงดันไฟฟ้า ( E ) และตัว ต้านทาน ( R )และได้สรุปค่าความสัมพันธ์ ดังกล่าวไว้ว่า “กระแสไฟฟ้านั่นวงจรไฟฟ้านั้น จะแปรผัน ตรงกับ แรงดันของแหล่งจ่ายไฟฟ้าแต่จะแปรผกผนั กบั ค่า ความตา้ นทานในวงจรไฟฟา้ ” ดงั สมการ เมือ่ I = กระแสไฟฟา้ มีหนว่ ยเปน็ แอมปแ์ ปร์ (A) E = แรงดนั ไฟฟ้ามหี นว่ ยเป็นโวลต์ (V) R = ความต้านทานมหี น่วยเป็น โอหม์ ()
29 แผนการจดั การเรยี นรู้ รายวชิ า พว21001 วทิ ยาศาสตร์ ระดับมัธยมศกึ ษาตอนตน้ จำนวน 4 หน่วยกิต ครง้ั ท่ี 15 จำนวน....6......ชั่วโมง แบบพบกลุ่ม จำนวน....6......ชั่วโมง เรอ่ื ง ดาราศาสตรเ์ พ่ือชีวิต ดวงดาวกบั ชวี ิต ตัวชว้ี ัด 1. อธิบายวิธีการหาดาวเหนือ 2. อธิบายการใช้แผนทีด่ าว 3. อธิบายประโยชน์จากกลุ่มดาวฤกษ์ต่อการดำรงชีวติ ประจำวนั เนอ้ื หา ดาราศาสตร์เพื่อชีวิต ดวงดาวกบั ชีวติ 1. วิธกี ารหาดาวเหนอื 2. แผนที่ดาว 3. การใช้ประโยชนจ์ ากกลุ่มดาวฤกษ์ ขน้ั ตอนการจดั กระบวนการเรียนรู้ ข้นั ท่ี 1 การกำหนดสภาพปญั หา ความตอ้ งการในการเรียนรู้ ครูพดู คยุ กบั ผู้เรยี น เรือ่ งวธิ กี ารหาดาวเหนอื แผนท่ีดาว และการใชป้ ระโยชน์จากกลุ่มดาวฤกษแ์ ละให้ ผ้เู รียนใหผ้ ู้ศึกษาจาก ขนั้ ท่ี 2 การแสวงหาข้อมูลและจดั การเรยี นรู้ 1. ครูเรม่ิ เข้าสบู่ ทเรยี นโดยการสนทนา ซักถามเกี่ยวกบั กลุ่มดาวทผี่ เู้ รียนรู้จกั โดยใหผ้ เู้ รยี นชว่ ยกันบอก ชอ่ื ดาวตา่ ง ๆ พร้อมท้งั ชมคลิปวดิ โี อ เรอ่ื งดาราศาสตร์เพื่อชวี ิต ดวงดาวกบั ชวี ติ 2. ครใู ห้ผู้เรยี นแบ่งกลมุ่ ให้ศึกษาหัวข้อดงั ต่อไปน้ี - วธิ ีการหาดาวเหนอื -. แผนที่ดาว - การสงั เกตตำแหนง่ ของดาวฤกษ์ 3.ให้ผู้เรียนส่งตัวแทนแต่ละกลุ่มมาออกนำเสนอ หน้าชั้นเรียน และร่วมกันวิเคราะห์องค์ความรู้ที่ได้ จากการค้นคว้าครงั้ นี้ ขน้ั ที่ 3 การปฏิบัติและนำไปประยกุ ต์ใช้ ครแู ละผเู้ รียนรว่ มกนั สรุปในเรอื่ งวิธีการหาดาวเหนือ แผนท่ีดาว และการใชป้ ระโยชน์จากดาวฤกษ์ ในรปู แบบ 2 3 4 ตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง และให้ผ้เู รยี นทำแบบทดสอบยอ่ ย และใบงาน
30 ขน้ั ที่ 4 การประเมนิ ผล 1. ใบงาน 2. แบบทดสอบย่อย สอ่ื 1. หนังสอื เรยี น 2. อนิ เทอร์เน็ต 3. คลิปวดิ โี อ เร่อื งดาราศาสตรเ์ พ่อื ชวี ติ ดวงดาวกบั ชวี ติ 4. ใบความรู้ การวดั ผลประเมินผล 1. ใบงาน 2. แบบทดสอบย่อย
31 ใบความรู้ จกั ราศี จักรราศี (Zodiac - มาจากภาษากรกี ζῳδιακός หมายถึง \"สตั ว\"์ ) เปน็ แถบสมมติบนท้องฟ้าที่ มขี อบเขตประมาณ 8 องศา ค่อนไปทางเหนือและใตข้ องแนวเสน้ ทางท่ีดวงอาทิตย์ปรากฏเคลื่อนผ่าน (สรุ ยิ วถิ ี) ซึ่งครอบคลุมแนวเส้นทางปรากฏของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์ในระบบสุริยจักรวาลอีก 7 ดวง คอื ดาวพธุ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยเู รนัส และดาวเนปจูน ส่วนดาวพลโู ตนั้น ความ เอียงของวงโคจรมีค่ามากดาวพลโู ตจึงมเี ส้นทางปรากฏหา่ งจากสุรยิ วิถี กลุม่ ดาวจกั รราศี กล่มุ ดาวจกั รราศี หมายถึง กลุ่มดาวฤกษ์จำนวน 12 กลุ่ม ทอี่ ยหู่ ่างไกลจากดวงอาทติ ย์ออกไป ซ่ึงเม่ือ มองจากโลกจะเห็นกลุ่มดาวเหล่านี้ ปรากฏแตกตา่ งกันไปตามชว่ งระยะเวลาของเดือน ซึง่ มนษุ ยใ์ นสมัยโบราณ ก็จินตนาการรูปร่างของกลุ่มดาวเปน็ สิ่งต่างๆ และมีการค้นพบ รูปของกลุ่มดาวจักรราศีวาดอยู่บนโลงศพของ มัมมี่ของชาวอียิปต์โบราณด้วย ต่อมามนุษย์ได้แบ่งกลุ่มดาวฤกษ์ที่อยู่ตามแนวทางเดินของดวงอาทิตย์ ท่ี เรียกว่า เส้นสุริยะวิถี ออกเป็น 12 กลุ่ม จริงๆแล้ว กลุ่มดาวดังกล่าวไม่ได้อยู่บนแนวสุริยวิถีพอดี แต่จะอยู่ ในช่วงแถบกว้างประมาณ 18 อาศา ผ่านแนวสุริยวิถี โดยมี12 กลุ่มดาว แต่ละกลุ่มดาวห่างกัน ประมาณ 30 องศาเมื่อประมาณ 1000 ปีก่อนคริสตศักราช กลุ่มดาวกลุ่มแรก ที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ผ่าน จุดที่สุริยะวิถี เคล่อื นทต่ี ดั กบั เสน้ ศูนย์สูตรฟา้ พอดี ในเร่ิมต้นของฤดรู ้อน คือ กลุม่ ดาวแกะ (Aries) กลุ่มดาวแกะจึงถูกเรียกใน สมัยนั้นว่า March Equinox หรือ 0 Aries กลุ่มดาวถัดมา คือ กลุ่มดาววัว, กลุ่มดาวคนคู่, กลุ่มดาวปู, กลุ่ม ดาวสิงห์, กลุ่มดาวผูห้ ญงิ สาว,กลุ่มดาวคันชั่ง, กลมุ่ ดาวแมงป่อง, กลุ่มดาวคนยิงธนู, กลุม่ ดาวมกร, กลุ่มดาวคน แบกหม้อน้ำ และกลุ่มดาวปลาคู่ รวมเป็น 12 กลุ่มดาวจักรราศีต่อมา เมื่อประมาณ ค .ศ. 0 จุด Equinox ดังกล่าวได้ขยับ มาอยู่ในกลุ่มดาวปลาคู่ (Pisces) เข้าสู่ยุคที่เรียกว่า the Age of Pisces หรือ ยคุ the New Great Age นน่ั เอง และคาดวา่ ประมาณปี ค.ศ.2600 จุดดงั กล่าวจะขยบั เข้าสูก่ ลุม่ ดาวคนแบก หม้อน้ำ (Aquarius) เริ่มต้นยุคที่เรียกว่า the Age of Aquariusโดยทุกๆประมาณ 2100 ปี จุด Equinox จะ ขยับไปทางทิศตะวันตกทีละ 1 จักรราศีนั่นเองเนื่องจากโลกโคจรไปรอบๆดวงอาทิตย์ โดยที่แกนโลกเอียงทำ มุมประมาณ 23.5 องศา กับ แนวตง้ั ฉากกับแนวการเคล่ือนที่ของโลก รอบดวงอาทิตย์ แกนดงั กล่าวไม่ได้เอียง คงที่ แต่จะส่ายเช่นเดียวกับแกนของลูกข่าง ที่ส่ายในขณะที่หมุน และเคลื่อนที่ไปรอบๆ เพียงแต่ขนาดของวง โคจร ที่โลกเคลื่อนที่ มีขนาดใหญ่กว่ามาก ทำให้คาบเวลาในการส่าย ใช้เวลานานถึง 26,000 ปี ซึ่งปัจจุบัน แกนขว้ั ฟ้าเหนอื ช้ไี ปใกลก้ บั ดาวเหนือ (Polaris) และจะช้ีไปใกลด้ าวเหนอื มากที่สุด ประมาณปี ค.ศ.2100 และ ในอีกประมาณ 13,000 ปีจากปัจจุบัน แกนขั้วฟ้าเหนือ จะชี้ไปใกล้ดาววีกา (Vega) ในกลุ่มดาว พิณ (Lyra) แทน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ ทำให้จุด Vernal Equinox ค่อยๆขยับ ไปทางทิศตะวันตกช้าๆ ปีละ ประมาณ 50 ฟิลิปดา (50/3600 องศา) นั่นเอง ในอดีตกาล ดาวขั้วฟ้าเหนือของชาวอียิปต์โบราณ ประมาณ 4800 ปีมาแลว้ คือ ดาวทูบาน (Thuban) ในกลมุ่ ดาวมังกร(Draco) ซึง่ เปน็ ดาวดวงท่ี 3 นับจากหาง รูปมังกร ซ่ึงทำให้ปิระมดิ ของชาวอยี ิปต์ มชี ่องจากภายใน ช้ไี ปดาวทูบานนัน่ เอง
32 12 กลมุ่ ดาวจักรราศี 1. กลมุ่ ดาวแกะ (ARIES ) - ราศี เมษ (13 เมษายน - 13 พฤษภาคม) กลุ่มดาวแกะ เป็นกลุ่มดาวทางซีกฟ้าด้านเหนืออยู่ถัดจากกลุ่มดาวปลาไปทางทิศตะวันออกดวง อาทิตย์จะผ่านกลุ่มดาวแกะระหว่างวันที่ 19 เมษายน ถึง 14 พฤษภาคม กลุ่มดาวแกะประกอบด้วยดาวฤกษ์ 4 ดวงเป็นอย่างน้อย โดย 3 ดวงแรกเป็นส่วนของหัวแกะ ( Hamal เป็นดาวฤกษ์สีเหลืองมีความสว่าง 2.00 อยู่ ห่างจากโลกประมาณ 66 ปีแสง ชื่อดาว หมายถึง Lamp , Sheraton มีความสว่าง 2.64 อยู่ห่างจากโลก ประมาณ 60 ปีแสง ชื่อดาว หมายถึง Mark หรอื Sign เนือ่ งจากจดุ March Equinox หรอื 0 Aries อยู่ใกลก้ ับ ดาวดวงนี้มากที่สุด ในช่วง 300-400 ปีก่อนคริสต์ศักราช , Aries มีความสว่าง 4.0 อยู่ห่างจากโลก ประมาณ 148 ปีแสง ) และอีก 1 ดวงเป็นสะโพกของแกะ กลุ่มดาวแกะจะขึ้นทางจุดทิศตะวันออกเฉียงไป ทางเหนือเล็กน้อยประมาณ 22.5 องศา และจะปรากฏบนท้องฟ้านานวันละ 12 ชั่วโมง กลุ่มดาวแกะเมื่อครั้ง สมัยกรีกโบราณ (1000 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เคยเป็นกลุ่มดาวที่แนวการเคล่ือนที่ของดวงอาทิตย์ตัดกับแนวเสน้ ศนู ย์สตู รฟ้าพอดีในฤดใู บไมผ้ ลิ ( ราววันที่ 21 มนี าคมของทุกปี ) เราเรยี กจุดนี้ว่า The March Equinox หรอื 0 Aries หรือปัจจุบันเรียกว่า The Vernal Equinox ในปัจจุบัน จุดดังกล่าวได้ขยับไปอยู่ในกลุ่มดาวปลาคู่ ( Pisces ) 2. กล่มุ ดาววัว ( TAURUS ) – ราศพี ฤษภ (14 พฤษภาคม - 13 มิถนุ ายน)
33 กลุ่มดาวววั เปน็ กลมุ่ ดาวที่สังเกตเห็นได้ง่าย มีดาวฤกษ์เรยี งกันเปน็ รปู ตัววอี ย่างน้อย 9 ดวง เป็นกลุ่มดาวทาง ฟ้าซีกเหนือ โดยจะปรากฏขึ้นทางทิศตะวันออกเฉยี งไปทางทิศเหนือ คนไทยโบราณเรียกกลุ่มดาววัวนี้ว่า ดาว ไมค้ ำ้ เกวียน หรอื ดาวธง ดวงอาทิตย์จะเคลื่อนทผี่ ่านกลุ่มดาววัวระหวา่ งวนั ท่ี 14 พฤษภาคม ถึง 21 มิถุนายน ในกลุ่มดาววัวจะมีดาวฤกษ์สีส้มแดงสว่างที่สุดอยู่หนึ่งดวงเป็นตาขวาของวัว ชื่อว่า ดาวอัลดิบะ แรน (ALDEBARAN) หรอื ดาวโรหณิ ี (ความสว่าง 0.85) มคี วามหมายวา่ ผู้ตดิ ตามเพราะดาวดวงน้ีอยู่ตามหลัง กลุ่มดาวลูกไก่ห่างไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 15 องศา จะเป็นกระจุกดาวเปิดที่มีชื่อว่า กระจุก ดาวลูกไก่ (PLEIADES) หรือ ดาวเจ็ดสาวพี่น้องตามนิทานของกรีก ซึ่งประกอบด้วยดาวฤกษ์นับร้อยดวง แต่ สามารถเหน็ ชดั ได้ดว้ ยตาเปล่าเปน็ ดาวสวา่ งมาก 6 ดวงและสวา่ งน้อย 1 ดวง ซงึ่ ดาวทสี่ วา่ งท่ีสุดในกระจุกดาว นีเ้ ปน็ ดาวฤกษ์สวา่ งสขี าว ชื่อวา่ ดาวอัลซโี ยน (ALCYONE) ในกลุ่มดาววัว ประกอบด้วยดาวและกระจุกดาวฤกษ์ที่สำคัญดังน้ี Aldebaran ดาวอัลเดบารอน หรือชื่อไทยว่า ดาวตาวัว เป็นดาวฤกษ์แปรแสงสีแดงสม้ มีความสว่างระหว่าง 0.75-0.95 เปน็ ดาวฤกษ์ท่ีสวา่ งเป็นอนั ดบั 5 ของทอ้ งฟ้า ตอนกลางคืน อยู่ห่างจากโลกประมาณ 65 ปีแสง ชื่อดาว Aldebaran หมายถึง ผู้ติดตาม เนื่องจากมันขึ้น-ตกตาม กระจุกดาวลูกไก่นั่นเอง นอกจากนี้ ดาวตาวัว ยังเป็นดาวหนึ่งในสี่ของดาวราชาทั้งส่ี (The Four Royal Stars) ซึ่งประกอบด้วย ดาวหัวใจสิงห์ ดาวตาวัว ดาวปาริชาต และดาวโฟมาออท ซึ่งแต่ละดวงจะแบ่งเสน้ รอ บวงท้องฟ้าออกเป็น 4 ส่วน โดยอยู่ห่างพอๆกันประมาณครึ่งท้องฟ้า (90 องศา) ทำให้เรามองเห็นดาวราชา อย่างน้อย 1 คู่เสมอElnath ดาวเอลแนต มีความสว่าง 1.65 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 131 ปีแสง ชื่อดาว หมายถึง ส่วนปลายของอาวุธ (The butting one) ซึ่งอยู่ในตำแหน่งปลายเขาของวัวด้านเหนือ เดิมเคยเป็น ดาว ร่วมกับกลุ่มดาวสารถี แตป่ จั จบุ นั ถูกจดั ให้อยใู่ นกลมุ่ ดาววัวTaurus ดาวเซตา้ วัว เป็นดาวคู่ 2 ดวง มคี วาม สว่าง 3.0 และ 5.0 โคจรซึ่งกันและกัน อยู่ห่างจากโลกประมาณ 417ปีแสง ชื่อดาว อยู่ในตำแหน่งปลายเขา ของววั ด้านใต้ M1 - The Crab Nebula เนบวิ ลารูปปู - มองเห็นได้ด้วยกล้องสองตา อยดู่ า้ นบนของปลายเขา ด้านใต้ ปัจจุบัน เป็นซากของ Supernova ที่เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.1597 (ค.ศ.1054) ซึ่งมองเห็นได้ชัดเจนนาน
34 หลายปี ที่ชื่อเนบิวลารูปปูเน่อื งจาก มรี ูปรา่ งคล้ายปนู ่นั เอง M45 - Pleiadesกระจุกดาวลกู ไกเ่ ปน็ กระจุกดาวท่ี มีชื่อเสียง และอยู่ใกล้โลกมากที่สุด ห่างจากโลกประมาณ 212 ปีแสง มีความสว่างประมาณ 2.87 ดาวที่สว่าง ที่สุดในกลุ่มกระจุกดาว คือ ดาวอัลซีโอเน (Alcyone) กระจุกดาวลูกไก่ อยู่ในตำแหน่งของโหนกวัว สามารถ เห็นได้ด้วยตาเปล่า 6-8 ดวง ส่วนชื่อ พลิอะดีส (Pleiades) เป็นภาษาละติน หมายถึง ลูกสาวทั้งเจ็ด (The seven sisters) ของ Titan Atlas และ PleioneThe Hyadesกระจุกดาวไฮแอดส์ (หรือสามเหลี่ยม หน้าวัว) เป็นกระจุกดาวเปิดที่เห็นได้ชัดเจนด้วยตาเปล่า เรียงกันเป็นรูปหน้าวัว (ตัว V) ไม่รวมดาวตาวัว ส่วน คนไทยจะเห็นเป็นรูปธง จึงเรียกว่า \"กลุ่มดาวธง\" ห่างจากโลกประมาณ 140 ปีแสง มีความสว่าง ประมาณ 0.5 ชอื่ กระจกุ ดาว \"ไฮแอดส์\" (Hyades) หมายถึง Rainy onesเน่ืองจาก จะเรมิ่ มองเห็นกลุ่มดาววัว ในชว่ งสิ้นเดอื นพฤษภาคม โดยมาพรอ้ มกบั ฝน หรอื พายุน่นั เอง 3. กลุม่ ดาวคนคู่ ( GEMINI ) – ราศเี มถนุ (14 มถิ ุนายน - 14 กรกฎาคม) กลุ่มดาวคนคู่ เป็นกลุ่มดาวที่อยู่ถัดจากกลุ่มดาววัวไปทางทิศตะวันออก ประกอบด้วยดาวฤกษ์อย่าง น้อย 8 ดวงเรียงกันเป็นรูปคนคู่ หรือ ฝาแฝด มีชื่อว่า คาสเตอร์ ( CASTER ) เป็นดาวฤกษ์แฝดหกซึ่งเป็นดาว ดวงที่ 5 ในกลุ่มดาวคนคู่ และ พอลลักซ์ ( POLLUX ) ซงึ่ เปน็ ดาวดวงที่ 4 ในกลมุ่ ดาวคนคู่ ดวงอาทิตย์จะผ่าน เข้าสู่กลุ่มดาวคนคู่ระหว่างวันที่ 21 มิถุนายน ถึง 21 กรกฎาคม เป็นกลุ่มดาวที่เห็นชัดตลอดคืนในฤดูหนาว โดยเฉพาะเดือนมกราคมจะเหน็ อยู่ตลอดท้งั คืน
35 กลุ่มดาวคนคู่ เป็นกลุ่มดาวอันดับที่สามของกลุ่มดาวจักรราศี เนื่องจากเป็นกลุ่มดาวที่อยู่ในแนวสุริย วิถี อยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ของกลุ่มดาวนายพราน (Orion) โดยมีดาวฤกษ์สุกสว่างที่สังเกตง่ายและ อยู่ใกล้กัน 2 ดวง คือ ดาวคาสเตอร์ (Caster)และ ดาวพอลลักซ์ (Pollux) อยู่บนทางช้างเผือก (The Milky Way) สว่ นคนไทยเหน็ กลุม่ ดาวคนคู่ เรยี งกันเปน็ สเี่ หลี่ยมผนื ผา้ คลา้ ยโลงศพ จงึ เรยี กช่ือกลมุ่ ดาวนวี้ า่ กลมุ่ ดาว โลงศพ และเห็นดาวสามดวงที่อยู่ตรงด้านข้างโลงเหมือน นกกาที่มาเกาะโลงอยู่ แล้วเรียกกลุ่มดาวดังกล่าว ว่า กลุ่มดาวกา เราสามารถเห็นกลุ่มดาวคนคู่ ขึ้นไปสูงสุดกลางท้องฟ้า ราวเที่ยงคืนของเดือนมกราคม ประกอบด้วยกลุ่มดาวที่สำคัญดังน้ี Caster ดาวคาสเตอร์ เป็นดาวฤกษ์ในระบบดาวคู่ (Double Star) ที่ ม อ ง เ ห ็ น ไ ด ้ ด ้ ว ย ต า เ ป ล ่ า โ ด ย 2 ด ว ง แ ร ก (ช ื ่ อ Caster A แ ล ะ Caster B) ม ี ค ว า ม ส ว ่ า ง เท่ากับ 1.94 และ 2.92 ตามลำดับ โดยโคจรรอบกันและกันประมาณ 510 ปีต่อรอบ อยู่ห่างจากโลก ประมาณ 52 ปีแสง ดาวคาสเตอร์ เป็นศีรษะของหนึ่งในสองคนของคนคู่ Pollux เป็นดาวฤกษส์ ีเหลอื ง มคี วาม สว่างเท่ากับ 1.14อยู่ห่างจากโลกประมาณ 34 ปีแสง ชาวอารบิก เรียกดาวพอลลักซ์ อีกชื่อหนึ่ง ว่า Rasalgeuse หมายถึง ศีรษะของคนคู่ Alhena เป็นดาวฤกษ์สีเหลือง มีความสว่างประมาณ 1.93 อยู่ห่าง จากโลกประมาณ 105 ปีแสง M35 เป็นกระจุกดาวเปิด (Open Cluster) ในกลุ่มดาวคนคู่ มองเห็นค่อนข้าง ยากด้วยตาเปล่า อยู่เหนือดาวเอตาประมาณ 2 องศา ประกอบด้วยดาวฤกษ์สว่างประมาณ 200 ดวงขึ้นไป มี ความสว่างประมาณ 5.1 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 2200 ปแี สง 4. กลุ่มดาวปู ( CANCER ) – ราศีกรกฎ (15 กรกฎาคม - 16 สงิ หาคม)
36 กลุม่ ดาวปู เป็นกลุ่มดาวที่ถดั มาจากกลุ่มดาวคนคู่ทางทิศตะวันออก ดวงอาทิตย์จะผ่านกลุ่มดาวปู ระหว่างวันที่ 21 กรกฎาคม ถึง 11 สงิ หาคม กลุม่ ดาวปูประกอบไปด้วยดาวฤกษ์แสงริบหรี่อย่างน้อย 5 ดวงทำ ใหม้ องเห็นได้ยาก แตใ่ นต้นเดอื นกุมภาพนั ธ์จะเหน็ ได้ตลอดคนื ในกลุ่มดาวปนู จี้ ะมฝี ้าขาวๆอยู่ เรียกว่า กระจุก ดาวรวงผึ้ง ( PRAESEPE ) หรือ ที่คนไทยเรียกว่า กระจุกดาวปุยฝ้าย ซึ่งเป็นกระจุกดาวเปิดประกอบไปด้วย ดาวฤกษจ์ ำนวนมาก และสามารถมองเหน็ ได้ด้วยตาเปลา่ กลุ่มดาวปู เปน็ กล่มุ ดาวท่มี คี วามสว่างน้อยท่ีสุดในกลมุ่ ดาวจักรราศี ซึ่งไม่มดี าวดวงใดในกลมุ่ ดาวเลย ที่มีความ สว่างน้อยกว่า 4.0 กลุ่มดาวปู อยู่ระหว่างกลุ่มดาวคนคู่ (Gemmini) และกลุ่มดาวสิงโต (Leo) โดยกลุ่มดาวปู จะขึ้นไปสูงสุดกลางท้องฟ้าประมาณเที่ยงคืนของปลายเดือนมกราคมและต้นเดือนกุมภาพันธ์ มีกลุ่มดาวที่ สำคัญ ดังนี้ Acubens เป็นดาวฤกษ์สีน้ำเงินขาว มีความสว่างประมาณ 4.3 ชื่อดาว หมายถึง ก้ามปู (The Claw) Altarf มีความสว่างประมาณ 3.52 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 290 ปีแสง ชื่อดาว หมายถึง ปลายขา ปู Asellus Borealis เป็นดาวฤกษ์สีเหลืองมีความสว่างประมาณ 4.7 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 230 ปีแสง หมายถึง ลา (The Assess) Asellus Austrailis เป็นดาวฤกษ์สีเหลือง มีความสว่างประมาณ 4.2 อยู่ห่างจาก โลกประมาณ 220 ปแี สง M44 - The Beehive Cluster or Praesepe Open Cluster กระจกุ ดาวรวงผ้ึง เป็น กระจุกดาวเปิดที่มองเห็นได้ดว้ ยตาเปล่า โดยจะมองเหน็ เป็นฝ้า มขี นาดของเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3 เท่า ของดวงจันทร์ (ประมาณ 80 ลิปดา) ประกอบด้วยดาวฤกษ์เกือบ 100 ดวง มีความสว่างปรากฏ ประมาณ 3.1 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 520 ปีแสง ชื่อกระจุกดาว หมายถึง รางหญ้า (The Manger) นิทาน ดาว ปูถูกจูโน (Juno) ส่งให้ไปทำร้ายเฮอร์คิวลิส (Hercules) ที่กำลังต่อสู้กับงูไฮดรา (Hydra) แต่ไม่สำเร็จ ใน ทสี่ ดุ จโู นจึงนำไปไว้บนทอ้ งฟ้า กลายเปน็ กลุม่ ดาวปู
37 5. กล่มุ ดาวสงิ โต ( LEO ) – ราศสี งิ ห์ (17 สิงหาคม - 16 กนั ยายน) กลุ่มดาวสงิ โต ประกอบด้วยดาวฤกษ์อยา่ งน้อย 9 ดวง ดวงอาทิตย์จะเคลื่อนที่ผ่านกลุ่มดาวราศีสิงห์ระหว่าง วันที่ 11 สิงหาคม ถึง 17 กันยายน เป็นกลุ่มดาวที่สังเกตได้ง่ายบนฟ้า เพราะมีดาวฤกษ์ดวงใหญ่สีน้ำเงินขาว สว่างที่สุดในกลุ่มดาวนี้ 1 ดวง อยู่ตรงบริเวณหน้าอกของสิงโต เรียกว่า ดาวเรกิวลุส ( REGULUS ) หรือ ดาว หัวใจสิงห์ มีความสว่างถึง 1.35 และ ตรงปลายหางของสิงโตจะมีดาวฤกษ์สว่างสีขาวอีก 1 ดวง เรียกว่า ดาว หางสิงห์ ( DENEBOLA ) มีความสว่าง 2.14 ในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 นั้น ดวงจันทร์จะปรากฏเต็มดวง บริเวณหัวของสงิ โต ทเ่ี รียกวา่ มาฆฤกษ์ กลุ่มดาวสิงโต เป็นกลุ่มดาวอันดับที่ห้าของกลุ่มดาวจักรราศี เป็นกลุ่มดาวที่อยู่ในแนวสุริยวิถีที่สังเกต และ จดจำได้ง่ายโดยรูปสิงโตของกลุ่มดาวสิงโต จะหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ดาวในส่วนหัวของสิงโตจะเรียงกัน เปน็ รปู เครอ่ื งหมายคำถามกลับดา้ น(Reversed Question Mark) โดยมีดาวฤกษ์สุกสว่างคือ ดาวเรกูลัส ซึ่งจะ อยู่ตรงตำแหน่งหัวใจของสิงโต จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า ดาวหัวใจสิงห์ มีดาวที่สำคัญดังนี้ Regulus or Cor
38 Leonic ดาวหัวใจสิงห์ (ดาวเรกูลัส) เป็นดาวฤกษ์สีน้ำเงิน-ขาวที่อยู่บนแนวสุริยวิถี มีความสว่าง ประมาณ 1.35 เป็นดาวฤกษ์ที่สว่างเป็นอันดับ 21 ของท้องฟ้าตอนกลางคืน อยู่ห่างจากโลกประมาณ 77 ปี แสง ชื่อดาว Regulus หมายถึง หัวใจสิงห์ เป็นดาวหนึ่งในสี่ของดาวราชาทั้งส่ี (The Four Royal Stars) ซึ่ง ประกอบด้วย ดาวหัวใจสิงห์ ดาวตาววั ดาวปารชิ าต และดาวโฟมาออท ซึ่งแต่ละดวงจะแบ่งเส้นรอบวงท้องฟ้า ออกเป็น 4 สว่ น โดยอยหู่ า่ งพอๆกันประมาณครึง่ ท้องฟา้ (90 องศา) ทำใหเ้ รามองเห็นดาวราชาอย่างน้อย 1 คู่ เสมอ นอกจากนี้ดาวหัวใจสิงห์เป็นดาวคู่โดยโคจรรอบดาวฤกษ์อีกดวงซึ่งกันและกันพอมองเห็นได้ด้วยกล้อง สองตา Denebola ดาวเดเนบโบลา มีความสว่างประมาณ 2.14 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 36 ปีแสง ชื่อดาว หมายถึง หางสิงโต (The lion's tail) ซึ่งอยู่ในตำแหน่งหางสงิ โตพอดโี ดยดาว Denebola เป็นดาวคู่เช่นกันแต่ ไม่สามารถเห็นดาวคู่ได้ด้วยกล้องดูดาวขนาดเล็ก Algieba ดาวอัลจีบา เป็นดาวคู่ มีความสว่าง ประมาณ 2.2 และ 3.47 สามารถเห็นดาวคู่ได้ด้วยกล้องดูดาวขนาดเล็กอยู่ห่างจากโลกประมาณ 126 ปีแสง โคจรรอบซึ่งกันและกันโดยใช้เวลาประมาณ 620 ปีต่อรอบ ชื่อดาวหมายถึง หน้าผาก (The Forehead) แต่ จริงๆแล้วอยู่ในตำแหน่งคอของสิงโต นอกจากนี้เราสามารถเห็นฝนด าวตกสิงโต (Leonid Meteor Shower) ได้ตรงตำแหน่งประมาณ 2 องศาไปทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของดาวดวงนี้โดยจะเห็นมากสุด ทุก 33 ปีโดยครั้งล่าสุดเมื่อปี พ.ศ.2542 (ค.ศ.1999) Adhafera ดาวแอดฮาเฟอรา เป็นดาวคู่เช่นกันอยู่ห่าง จากโลกประมาณ 260 ปีแสงโดยที่อีกดวงมีความสว่างประมาณ 6 พอมองเห็นดาวคู่ได้ด้วยกล้องสอง ตา M95 M96 M105 - The Galaxy M95 และ M96 เป็นกาแลกซีแบบกังหัน (Spiral Galaxy) ส่วน M105 เป็นกาแลกซีแบบทรงกลม (Elliptical Galaxy) กล้องสองตา อยู่ห่างจากดาวหัวใจสิงห์ ไปทาง ตะวันออก ประมาณ 9 องศาอยู่ห่างจากโลกประมาณ 30 ล้านปีแสงจากกาแลกซีทางช้างเผือกมีความสว่าง ประมาณ 9.7, 9.2 และ 9.3 ตามลำดับ นิทานดาว สิงโต เป็นราชาหรือเจ้าแห่งสัตว์ป่าของโลก ออกล่าเหยื่อรบกวนชาวบ้าน จึงถูกฆ่าโดย เฮอร์คิวลิส (Hercules) แต่เนื่องจากสิงโตตัวนี้ มีหนังหนาและเหนียว ฟันแทงไม่เข้า จึงถูกเฮอร์คิวลิสฆ่า โดย ล็อคคอด้วยมือเปล่า (Headlock) จากนั้นเฮอร์คิวลิสก็ถลกหนัง โดยใช้เล็บของสิงโตเอง จากนั้น ก็เอาหนังมา ทำเครื่องแต่งกาย และเกราะ ทำให้เฮอร์คิวลิสดูน่าเกรงขาม จากนั้น Selene เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ ได้นำ สิงโตขึ้นไปอยู่บนท้องฟ้า เป็นหนึ่งในกลุ่มดาวจักราศี โดยที่สิงโตจะวิ่งหนีเฮอร์คิวลิสตลอดเวลา โดยสิงโตอยู่ สูงสุดบนท้องฟา้ ในขณะทเ่ี ฮอร์คิวลิสกำลงั ขน้ึ และตกในขณะทเ่ี ฮอรค์ วิ ลสิ อยู่สงู สุดบนทอ้ งฟ้าเสมอ
39 6. กลมุ่ ดาวหญงิ สาวพรหมจารี ( VIRGO ) – ราศีกนั ย์ (17 กันยายน - 16 ตุลาคม) กลุ่มดาวหญิงสาวพรหมจารี เป็นกลุ่มดาวจักรราศีที่ดวงอาทิตย์จะเคลือ่ นที่ผ่านระหวา่ งวนั ที่ 17 กันยายน ถึง วันที่ 1 พฤศจิกายน ถือว่าเป็นกลุ่มดาวจักรราศีที่ดวงอาทิตย์ใช้เวลาเคลื่อนที่ผ่านนานที่สุด คือ 46 วัน รองลงมาคือ กลมุ่ ดาววัว 39 วนั ประกอบดว้ ยดาวฤกษ์เรยี งต่อกนั อยา่ งน้อย 11 ดวง มีกล่มุ ดาวท่ีสว่าง มากอยู่ 6 ดวงเรียงกันเปน็ รูปตัววาย ดาวฤกษ์ที่สว่างทีส่ ดุ คือ ดาวสไปก้า ( SPICA ) เปน็ ดาวฤกษ์สีขาวเหลือง มีหมายถึง รวงข้าวสาลีที่หญิงสาวถือไว้ในมีซ้าย มีความสว่าง 0.97 และอยู่ใต้เส้นสุริยะวิถีเล็กน้อย เมื่อถึงวัน เพญ็ ข้ึน 15 คำ่ เดอื น 5 ดวงจนั ทรจ์ ะตรงกับดาวสไปกา้ พอดี จงึ เรยี กว่า จติ รฤกษ์ กลุ่มดาวหญิงสาว หรือกลุ่มดาวหญงิ สาวพรหมจารี เป็นกลุ่มดาวอันดบั ที่หกของกลุ่มดาวจกั รราศี มีพื้นที่ใหญ่ เป็นอนั ดับที่สองรองจากกลุ่มดาวงูไฮดรา (Hydra) กลุม่ ดาวหญิงสาว อยู่ทางซีกฟ้าใต้ มลี ำตัวทอดยาวขนานไป ตามแนวสุริยวิถี (อยู่ด้านเหนือของสรุ ิยะวิถี) มีดาวฤกษ์สุกสว่าง คือ ดาวรวงข้าว เป็นดาวฤกษ์ท่ีเห็นได้เด่นชัด และหาได้ง่าย โดยกลุ่มดาวหญิงสาว จะขึ้นไปสูงสุดกลางท้องฟ้า ประมาณเที่ยงคืนของเดือนเมษายน มีดาวท่ี สำคัญ ดังน้ี Spica ดาวรวงข้าว หรือดาวสไปกา เป็นดาวแปรแสง มคี วามสวา่ งระหวา่ ง 0.97-1.04 อยู่ห่างจาก โลกประมาณ 262 ปีแสง ดาวรวงข้าว อยู่ในตำแหน่งก้านของรวงข้าว ที่หญิงสาวถือไว้ด้วยมือซ้าย คำ วา่ Spica มาจากภาษาอารบกิ หมายถงึ ไม่สามารถสไู้ ด้ (Defenceless or unarmed one) เน่อื งจากไมม่ ีดาว
40 ฤกษ์ที่สว่างใดใกล้เคียงบริเวณนั้นและถ้ามองไปตามแนวสุริยวิถีจะพบว่า ดาวรวงข้าวจะอยู่ประมาณกึ่งกลาง ระหว่าง ดาวหวั ใจสงิ ห์ และดาวปารชิ าตโดยห่างไปประมาณ 50 องศา Zavijava ดาวซานซิ จาวา เปน็ ดาวฤกษ์ สีเหลืองมีความสว่างประมาณ 3.8 ปัจจุบันจุด Autumnal Equnix ก็อยู่ใกล้กับดาวดวงนี้มาก ที่สุด Porrima ดาวพอร์ริมา เป็นดาวคู่ มีความสว่างรวมประมาณ 2.76 สามารถเห็นทั้งคู่ได้ด้วยกล้องดูดาวหรือ กล้องโทรทรรศน์ขนาดเล็กทั้งคู่มีความสว่างประมาณ 3.5 ทั้งสองดวง โคจรรอบซึ่งกันและกัน ใช้เวลา ประมาณ 169 ปีต่อรอบอยู่ห่างจากโลกประมาณ 39 ปีแสง ชื่อดาว พอร์ริมา เป็นชื่อเทพธิดาแห่งการทำนายใน สมัยโรมัน (the Roman Goddess of Prophecy) ดาวดวงนี้ มีอกี ช่ือหนึ่งว่า Carmenta Auva เปน็ ดาวฤกษ์ยักษ์สี แ ด ง ม ี ค ว า ม ส ว ่ า ง ป ร ะ ม า ณ 3.38 อ ย ู ่ ห ่ า ง จ า ก โ ล ก ป ร ะ ม า ณ 202 ป ี แ ส ง ม ี อ ี ก ช ื ่ อ ห นึ่ ง ว่า Minalava Vindemiatrix ดาววินดามิอาทริกซ์ มีความสว่างประมาณ 2.83 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 102 ปี แสง อยู่ในตำแหน่งแขนขวาของหญิงสาว ชื่อดาวมาจากภาษาละติน หมายถึง ผู้เก็บเกีย่ วต้นองุ่น (The femaie grape-gatherer) ซึ่งในอดีต ดาวดวงนี้เป็นสัญญาณบอกถึง การเข้าสู่ฤดูการทำไวน์นั่นเอง The Virgo Cluster of Galaxies กระจกุ กาแล็กซใี นกลมุ่ ดาวหญิงสาวเป็นกระจุกดาวท่ีมีกาแล็กซีจำนวนมาก ในกลุ่มดาว หญิงสาว อยู่ในบริเวณศีรษะของหญิงสาว ระหว่างกลุ่มดาวผมของเบเรนิซ (Coma Berenices)และกลุ่มดาว นกกา (Corvus) ห่างจากโลกโดยเฉลี่ยประมาณ 65 ปีแสง มีความสว่างระหว่างช่วง 8.6-11.9 ได้แก่ M49, M58, M59, M60, M61, M84, M86, M87, M89, M90, M104 เป็นต้น M87 - The Virgo A Galaxy มีชื่อ ว่า The Virgo A Galaxy มีความสว่างประมาณ 8.6 เป็นกาแล็กซีแบบทรงกลม (The Elliptical Galaxy) ประเภท E0 ท่ีสว่างท่ีสุด ในกล่มุ ดาวหญิงสาว อยู่ระหว่างแนวต่อระหว่าง กลุ่มดาวหญงิ สาว และกลุ่ม ดาวผมของเบเรนิซ (Coma Berenices) และจะมีกาแล็กซี และกระจุกดาวทรงกลมมากมาย รอบๆบริเวณ น้ี M104 - The Sombrero Galaxy เป็นกาแล็กซีที่มีความสว่าง อยู่ในอันดับต้นๆ ของกลุ่มดาวหญิงสาวเป็น กาแลก็ ซแี บบมีแขน (Spiral Galaxy) ประเภท Sa ถ้ากลอ้ งโทรทรรศน์ มีกำลงั ขยายพอ จะเห็นเปน็ แถบดำ คาดอยู่ กลางกาแล็กซนี ี้ อย่รู ะหว่างแนวต่อระหว่าง กลุ่มดาวหญิงสาว และกลมุ่ ดาวนกกา (Corvus) นทิ านดาว เทพธิดาแอสเตรยี เปน็ ลูกสาวของจูปเิ ตอร์และเทมสิ เธอลงมาจากสวรรค์ พร้อมนอ้ งสาว ช่ือว่า พูดซิ เิ ตรยี ท้ังคู่ไรเ้ ดียงสา ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ เทพธดิ าแอสเตรยี เปน็ เทพธิดาแห่งความยตุ ธิ รรม เธอ ปรารถนาใหโ้ ลกร่มเย็น ไม่เบียดเบียนกันและกัน แต่มนุษย์กลับรบราฆ่าฟันกัน ขโมยข้าวของ กดขี่ข่มเหง เธอ ทนไม่ได้จึงหนีเข้าไปอยู่ในป่า จนในที่สุด ต้องหนีกลับสวรรค์ โดยจะปรากฏให้เห็นเฉพาะ คนที่รักและใฝ่หา สันติภาพ กับความยุติธรรมเท่าน้ัน และเพื่อเป็นเครื่องเตือนสติ เธอจึงบดรวงข้าว แล้วหว่านเมล็ดข้าว ไปรอบ ฟา้ กลายเป็นทางชา้ งเผือกท่สี วยงาม รม่ เย็น และสันตสิ ุข
41 7. กลุม่ ดาวคันชงั่ ( LIBRA ) – ราศีตลุ (17 ตุลาคม - 15 พฤศจกิ ายน) กลุ่มดาวคันชั่ง เป็นกลุ่มดาวที่เป็นสิ่งของกลุ่มดาวเดียวในกลุ่มดาวจักรราศี เป็นกลุ่มดาวซีกฟ้า ดา้ นทิศใต้ อยถู่ ัดจากหวั แมงปอ่ งไปทางทศิ ตะวันตก ประกอบด้วยดาวฤกษแ์ สงริบหรี่อย่างน้อย 6 ดวง เรยี งกัน คล้ายว่าวปักเป้า ดวงอาทิตย์จะผ่านกลุ่มดาวคันชั่ง ระหว่างวันที่ 1 ถึง 21 พฤศจิกายน มองเห็นได้ไม่ชัดเจน บนท้องฟ้า ต้องใช้กลุ่มดาวแมงป่อง หรือ กลุ่มดาวรวงข้าวช่วยในการค้นหา ซึ่งสามารถเห็นกลุ่มดาวคันชั่งได้ ตลอดคืนในเดือนพฤษภาคม 8. กลมุ่ ดาวแมงป่อง ( SCOPIUS ) – ราศีพิจิก (16 พฤศจกิ ายน - 15 ธนั วาคม) กลุ่มดาวแมงปอ่ ง ปรากฏอย่ทู างตะวนั ตกของกลุม่ ดาวคนยงิ ธนู เป็นกล่มุ ดาวทางซกี ฟ้าด้านใต้ ซงึ่ ดวง อาทิตย์จะโคจรผ่านระหว่างวันที่ 23 ถึง 30 พฤศจิกายน กลุ่มดาวแมงป่องประกอบด้วยดาวฤกษ์อย่างน้อย 15 ดวง โดยดวงที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดเป็นดาวฤกษ์สีแดง ชื่อ แอนทาเรส ( ANTARES ) แปลว่า คู่แข่งของดาวอังคาร
42 เป็นดาวแปรแสงแฝดคู่ขนาดยักษ์ มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 700 เท่าของดวงอาทิตย์ คนไทยเรียกดาวดวงนี้ว่า ดาว ปารชิ าต กลุ่มดาวแมงปอ่ ง เปน็ กลุม่ ดาวทม่ี ดี าวฤกษเ์ รียงตวั ปรากฏเปน็ รปู แมงป่องอยา่ งชดั เจนมาก ปรากฏอยู่ ทางทิศตะวันตกของกลุม่ ดาวคนยงิ ธนู ทางซีกฟ้าด้านใต้และเป็นกลุ่มดาวแนวกาแลก็ ซี่ทางช้างเผือก ( The Milky Way ) พาดผ่าน ดวงอาทิตย์จะผ่านกลุ่มดาวแมงป่องระหว่างวันที่ 23 ถึง 30 พฤศจิกายน กลุ่มดาวแมงป่อง ประกอบไปดว้ ยดาวฤกษ์อย่างน้อย 15 ดวง โดย 3 ดวงแรกเปน็ หวั ถดั ไปอกี 4 ดวงเป็นลำตัว และทเ่ี หลือเป็นส่วน หาง กลุ่มดาวแมงป่องนี้จะอยู่บนท้องฟ้านานถึงคืนละ 8 ชั่วโมง ดาวที่สำคัญในกลุ่มดาวแมงป่อง มี ดังนี้ Antares ดาวแอนทาเรส เป็นดาวฤกษ์ยักษ์สีแดง ( Supergiant ) มีขนาดใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ ประมาณ 700 เท่า เปน็ ดาวคู่ มคี วามสวา่ ง 0.9 ซึง่ เป็นดาวฤกษท์ สี่ วา่ งเปน็ อันดับ 15 ของทอ้ งฟา้ ตอนกลางคืน อยู่ ห่างจากโลกประมาณ 604 ปีแสง ชื่อดาวหมายถึง คู่แข่งของดาวอังคาร ( the Rival to Ares ) เนื่องจากมีสีแดง คล้ายดาวอังคารนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีอีกชื่อหนึ่งว่า Cor Scorpii ซึ่งหมายถึง หัวใจแมงป่อง ( the Heart of Scorpion ) ส่วนคนไทยเรียกชื่อดาวดวงนี้ว่า ดาวปาริชาต Acrab or Graffias เป็นดาวในระบบดาวคู่ท่ีอยู่ใกล้กัน มาก มคี วามสว่าง 2.62 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 530 ปีแสง Dschubba เปน็ ดาวในระบบดาวคู่ทอ่ี ยใู่ กลก้ ันมาก มี ความสว่าง 2.32 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 522 ปีแสง ชื่อดาวหมายถึง หน้าผากของแมงป่อง ( the Forehead of the Scorpion )Shaula เป็นดาวแปรแสง มีความสว่าง 1.59-1.65 คาบประมาณ 0.21 วันอยู่ห่างจากโลก ประมาณ 359 ปีแสง ชื่อดาวหมายถึง หางเหล็กไนของแมงป่อง ( Sting ) Sargas มีความสว่าง 1.87 อยู่ห่างจาก โลกประมาณ 272 ปีแสง Lesath มีความสว่าง 2.69 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 518 ปีแสง นอกจากนี้ในกลุ่มดาว แมงป่องยังมีกระจกุ ดาวและเนบิวลาทสี่ ำคัญ ดงั น้ี M6เป็นกระจกุ ดาวเปิดมคี วามสว่างประมาณ 4.2 พอมองเห็นได้ ดว้ ยตาเปลา่ M7เปน็ กระจุกดาวเปดิ มคี วามสว่างประมาณ 3.3 ซ่ึงสวา่ งกวา่ M6 พอมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าIC4606 The Red Nebulaเป็นเนบิวลาสีแดง ( The reddish Nebula )อยู่รอบๆดาวปาริชาตมองเห็นได้ด้วยกล้องดูดาว หา่ งจากโลกประมาณ 7,000 ปี IC4604 The Bluish Purple Nebulaเป็นเนบิวลาสีมว่ ง อยรู่ อบๆดาวโรห์ซง่ึ จรงิ ๆ แล้วอยู่ในกลุ่มดาวคนแบกงูแต่อยู่ใกล้ IC4606 ซึ่งเหนือขึ้นไปเพียงเล็กน้อยประมาณ 3 องศาจากดาวปาริชาต เท่านน้ั มองเหน็ ได้ด้วยกลอ้ งดูดาว
43 นิทานดาว แมงป่องเป็นสัตว์ที่จีอา (Gaea) เทพเจ้าแห่งโลก ส่งให้ไปทำร้ายนายพราน Orion ทำให้ นายพรานต้องหนีแมงป่อง (สาเหตุมาจากการที่นายพรานโอ้อวดกับเทพีแห่งการล่าสัตว์หรือดวงจันทร์ว่าผู้ใดล่า สัตวเ์ กง่ กว่ากัน จนภายหลังในขณะทน่ี ายพรานกำลังหนีแมงปอ่ งอยูก่ ถ็ กู เทพีแห่งการล่าสตั ว์ยิงธนใู สจ่ นถึงแก่ความ ตาย โดยทีเ่ ทพีแห่งการลา่ สัตวไ์ มไ่ ด้ตงั้ ใจทจ่ี ะฆ่านายพราน) แมว้ ่าจะกลายเป็นกลุ่มดาวบนท้องฟ้าไปแล้วนายพราน ก็ยังคงหนีแมงป่องอยู่ โดยกลุ่มดาวแมงป่องจะขึ้นในขณะที่กลุ่มดาวนายพรานกำลังตกลับขอบฟ้าอยู่ทิศตรงข้าม กนั ตลอดกาล 9. กลุ่มดาวคนยิงธนู ( SAGITTARIUS ) – ราศีธนู (16 ธันวาคม - 14 มกราคม) กลุ่มดาวคนยิงธนู อยู่ถดั จากกล่มุ ดาวแมงปอ่ งไปทางทิศตะวันออก ประกอบดว้ ยดาวฤกษเ์ รียงกัน อย่างน้อย 8 ดวง คล้ายกับกาต้มน้ำ ไม่มีดาวดวงใดเด่นมากนัก ดวงอาทิตย์จะโคจรผ่านกลุ่มดาวคนยิงธนู ระหวา่ งวันท่ี 19 ธนั วาคม ถึง 21 มกราคม ซ่ึงกล่มุ ดาวคนยิงธนเู ป็นกลมุ่ ดาวทีอ่ ยใู่ จกลางทางชา้ งเผือก
44 กลุ่มดาวคนยิงธนู เป็นกลุ่มดาวอันดับที่เก้าของกลุ่มดาวจักรราศีโดยกลุ่มดาวคนยิงธนูจะเป็นรปู สัตว์ในเทพนิยาย เป็นครึ่งม้าครึ่งคน เหมือนกลุ่มดาวม้าครึ่งคน (Centaurus) เพียงแต่คนยิงธนเู ปน็ นายพราน จึงมักจะสับสนกันบ่อย กลุ่มดาวคนยิงธนูจะหันปลายธนู ไปทางกลุ่มดาวแมงป่อง (Scorpius) แต่กลุ่มดาวท่ี คอ่ นขา้ งสุกสวา่ งจริงๆ ของกลุม่ ดาวน้ี เรามักจะเห็นเปน็ รปู กาตม้ น้ำหันไปทางกลุ่มดาวแมงป่องมากกว่าโดยจะ ขึ้นไปสูงสุดกลางท้องฟ้าประมาณเที่ยงคืนของต้นเดือนกรกฎาคม มีดาวที่สำคัญ ดังน้ี Rakbatเป็นดาวฤกษ์สี น้ำเงิน-ขาว มีความสว่างไม่มากนักเพียงประมาณ 4.1 เท่านั้น ชื่อดาว หมายถึง หัวเข่า (The Knee) Arkab Prior Arkab Posterior เ ป ็ น ด า ว ฤ ก ษ ์ ส ี น ้ ำ เ ง ิ น -ข า ว ม ี ค ว า ม ส ว ่ า ง ไ ม ่ ม า ก น ั ก เ ช ่ น ก ั น เ พ ี ย ง ประมาณ 4.3 และ 4.5 เท่านั้น Alnasl เป็นดาวฤกษ์สีเหลืองมีความสว่างประมาณ 2.99 อยู่ห่างจากโลก ประมาณ 96 ปแี สง ดาวดวงน้ี มอี กี ชื่อหนง่ึ ว่า Nash หมายถงึ หวั ลกู ศรธนู Kaus Australis เป็นดาวฤกษ์สีน้ำเงิน- ขาว มีความสว่างประมาณ 1.85 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 145 ปีแสง ชื่อดาว หมายถึง ด้านใต้ของคันธนู(The Southern Bow) เน่อื งจากตำแหน่งของดาว อยู่ในตำแหน่งด้านล่างของคันธนนู ั่นเอง Kaus Meridionalis มีความ สว่างประมาณ 2.70 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 306 ปีแสง ชื่อดาว หมายถึง กลางของคันธนู (The Middle Bow) เนื่องจากตำแหน่งของดาวอยู่ในตำแหน่งกลางคันธนู Kaus Borealis มีความสว่างประมาณ 2.81 อยู่ห่าง จากโลกประมาณ 77 ปีแสง ชื่อดาว หมายถึง ด้านเหนือของคันธนู (The Northern Bow) เนื่องจากตำแหน่งของ ดาว อยู่ในตำแหน่งด้านบนของคันธนู Nunki เป็นดาวฤกษ์สีน้ำเงิน-ขาว มีความสว่างประมาณ 2.02 อยู่ห่างจาก โลกประมาณ 224 ปแี สง อยู่ในตำแหนง่ มอื ขวาของคนยิงธนูที่กำลังง้างธนู ชื่อดาวดวงน้ี ต้ังแต่สมัยบาบิโลเนียน หมายถึง ดาวที่ขึ้นมาก่อนในทะเล (the Star Preclaiming the Sea) เนื่องจากกลุ่มดาวที่จะปรากฏตามมา ล้วนเป็นกลุ่มดาวที่อยู่กับในทะเลทั้งสิ้น ได้แก่ กลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ (Aquarius) กลุ่มดาวแพะทะเล หรือ มังกร (Capricornus) กลุ่มดาว ปลาโ ลมา (Delphius) กลุ่มดาว ปลาว าฬ (Cetus) กลุ่มดาว ปลา คู่ (Pisces) กลุ่มดาวปลาทางใต้ (Piscis Austrinus) Ascella มีความสว่างปรากฏ 2.60 อยู่ห่างจากโลก ประมาณ 89 ปีแสง ชื่อดาว มาจากภาษาละติน หมายถึง ไหล่ (Armpit) Albaldah เป็นฤกษ์ในระบบดาว คู่ 3 ดวง มีความสว่างประมาณ 2.89 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 440 ปีแสง M8 - The Lagoon Nebula ลา กูนเนบิวลา เป็นเนบิวลาสว่าง มีความสว่างประมาณ 5.8 มองเห็นได้ด้วยกล้องสองตา M22 - Globular Cluster เป็นกระจุกดาวทรงกลม มีความสว่างประมาณ 5.1 มองเห็นได้ด้วยกล้องสองตาM24 - Open Cluster เป็นกระจุกดาวเปิด มีความสว่างประมาณ 4.5 พอมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า M25 - Open Cluster เปน็ กระจกุ ดาวเปิด มีความสว่างประมาณ 4.6 พอมองเหน็ ได้ดว้ ยตาเปล่า
45 10. กล่มุ ดาวมงั กร หรือ แพะทะเล ( CAPRICORNUS ) – ราศมี งั กร (15 มกราคม - 12 กุมภาพันธ์) กลุ่มดาวมกร หรือ กลุ่มดาวแพะทะเล เป็นกลุ่มดาวจกั รราศีที่อยูถ่ ัดจากกลุ่มดาวคนยิงธนูไปทาง ทิศตะวันออก ประกอบดว้ ยดาวฤกษเ์ รียงตวั อย่างน้อย 9 ดวง เป็นรูปสามเหลี่ยมด้านโคง้ มองเห็นได้ไม่ชัดเจน ดวงอาทิตย์จะโคจรผ่านกลุ่มดาวมกรระหว่างวันที่ 21 มกราคม ถึง 16 กุมภาพันธ์ กลุ่มดาวมกรจะอยู่เหนือ ขอบฟา้ ต้ังแตข่ ้นึ ถงึ ลบั ขอบฟ้านานประมาณ 10 ชั่วโมง 11. กลุ่มดาวคนแบกหมอ้ น้ำ ( AQUARIUS ) – ราศกี ุมภ์ (13 กุมภาพนั ธ์ - 13 มนี าคม)
46 กลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ เป็นกลุ่มดาวจักรราศีที่อยู่ทางซีกฟ้าด้านใต้ อยู่ถัดจากกลุ่มดาวมกรไป ทางทิศตะวนั ออก ประกอบไปดว้ ยดาวฤกษ์แสงริบหรอ่ี ยา่ งน้อย 13 ดวงมองเห็นไดไ้ ม่ชดั เจนนกั ดวงอาทิตย์จะ ผ่านกลมุ่ ดาวนรี้ ะหวา่ งวนั ที่ 16 กมุ ภาพันธ์ ถงึ 13 มนี าคมปรากฏอยู่บนท้องฟา้ นานประมาณ 10 ช่ัวโมง กลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ เป็นกลุ่มดาวอันดับที่สิบเอ็ดของกลุ่มดาวจักรราศีเป็นกลุ่มดาวที่ค่อนข้างหายาก เนื่องจากไม่มีดาวฤกษ์ดวงใด ในกลุ่มที่มีความสว่างปรากฏสว่างกว่า 2.9 เลย คนโบราณเห็นเป็นรูปคนแบก หม้อน้ำกำลังเทน้ำลงในแม่น้ำ Fluvius Aquarii ซึ่งหมายถึง The River of Aquarius ซึ่งสายน้ำจะไหล ผ่าน กลุ่มดาวปลาทางใต้ (Piscis Austrinus) ที่มีดาวฤกษ์สุกสว่างคือ ดาวโฟมาลออท (Fomalhaut) ขึ้นไปสูงสุด กลางท้องฟ้าประมาณเที่ยงคืนของปลายเดือนสิงหาคม ต้นเดือนกันยายน มีดาวที่สำคัญ ดังน้ี Sadalmelik เป็นดาวฤกษ์สีเหลือง มีความสว่างประมาณ 2.96 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 756 ปีแสง อยู่ใน ตำแหน่งไหล่ขวาของคนแบกหม้อน้ำ ชื่อดาว มาจากภาษาอารบิก หมายถึง ดาวโชคดีของกษัตริย์ (the Lucky Stats of the King) Sadalsuud เป็นดาวฤกษ์สีเหลือง มีความสว่างประมาณ 2.91 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 612 ปี แสง อยู่ในตำแหน่งไหล่ซ้าย ของคนแบกหม้อน้ำ ชื่อดาว มาจากภาษาอารบิก หมายถึง โชคดีที่สุดของความ โชคดี (the Luckiest of the Lucky) NGC7293 - The Helix Nebula เป็นเนบิวลาดวงดาว(Planetary Nebula) ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ของเราที่สุดมีความสว่างประมาณ 6 มองเห็นได้ด้วยกล้องสองตาโดยจะมขี นาด ราวเส้นผ่านศูนย์กลางของดวงจันทร์ หา่ งจากโลกประมาณ 300 ปีแสง นิทานดาว ชาวบาบิโลเนียนโบราณ ประมาณ 2000 ปีก่อนคริสตศักราช มองเห็นเป็นรูปหม้อ น้ำ ที่มีน้ำล้นออกมา และแทนด้วยสัญลักษณ์ ของคนแบกหม้อน้ำ (Aquarius) ซึ่งในเดือนที่ 11 ของชาวบา บิโลเนียน (หรือระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์) จะเป็นช่วงที่ฝนตกหนักในรอบปี ส่วนชาวอียิปต์โบราณ เห็นเปน็ รปู เทพเจา้ Hapi ซงึ่ เป็นเทพเจ้าแห่งแมน่ ำ้ ไนล์ ซ่งึ เป็นผู้ใหน้ ำ้ เพอ่ื การดำรงชวี ติ ของมนุษยโ์ ลก
47 12. กลมุ่ ดาวปลาคู่ ( PISCES ) – ราศีมีน (14 มนี าคม - 12 เมษายน) กลุ่มดาวปลาคู่ เป็นกลุ่มดาวที่อยู่ทางเหนือของเส้นศูนย์สูตรฟ้า ปลาตัวหนึ่งอยู่ถัดจากสี่เหลี่ยม ของกลุ่มดาวม้ามปี ีกไปทางใต้ อกี ตัวหน่ึงอย่ถู ัดไปทางทศิ ตะวนั ออก ประกอบดว้ ยดาวฤกษ์แสงรบิ หรี่อย่างน้อย 15 ดวง ดวงที่ 1 ถึง 6 เป็นปลาตัวแรก และ ดวงที่ 14 ถึง 15 เป็นปลาตัวที่ 2 ดวงอาทิตย์จะผ่านกลุ่มดาวน้ี ระหว่างวันที่ 13 มีนาคม ถึง 19 เมษายน ดวงอาทิตย์จะอยู่บนเส้นศูนย์สูตรฟ้าในวันที่ 21 มีนาคม ซึ่งอยู่ใน กลุ่มดาวปลาคู่ วันนี้จะเป็นวันที่ดวงอาทิตย์ขึ้นตรงจุดตะวันออกพอดี และ ตกตรงจุดตะวันตกพอดี เรียกว่า วันอิควินอกซ์ ( EQUINOX ) ซึ่งกลางวันจะยาวนานเท่ากับกลางคืน กลุ่มดาวปลาคู่จะปรากฏอยู่บน ฟา้ นานราว 9 ช่ัวโมง
Search