Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นาเชือก_v3

นาเชือก_v3

Published by thanakit ritsri, 2023-07-21 08:09:15

Description: นาเชือก_v3

Search

Read the Text Version

คมู่ ือหลกั สูตรท้องถ่ิน แบบบูรณาการ การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมอิ ากาศ พืน้ ท่ีตำบลนาเชือก อำเภอนาเชือก จังหวัดมหาสารคาม เครือข่ายนักวจิ ยั สหวทิ ยาการ หน่วยปฏบิ ตั กิ ารวิจยั การเปลย่ี นแปลงสภาพภมู ิอากาศ การบรรเทา และการปรับตัว (CMARE) คณะส่งิ แวดลอ้ มและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม

คมู่ ือหลักสูตรท้องถ่ิน “การปรับตัวตอ่ การเปลยี่ นแปลงสภาพภูมอิ ากาศ” พืน้ ที่ตำบลนาเชือก อำเภอนาเชอื ก จังหวัดมหาสารคาม @สงวนลขิ สทิ ธ์ิ โดยเครอื ข่ายหนว่ ยปฏบิ ตั ิการวจิ ัยการเปลย่ี นแปลงสภาพภมู อิ ากาศ การบรรเทา และการปรับตวั (CMARE) พิมพค์ ร้ังที่ 1 เดือนพฤศจกิ ายน พ.ศ. 2563 จำนวน 3 เลม่ พิมพค์ ร้ังที่ 2 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2566 จำนวน 3 เลม่ ท่ีปรึกษา ผูอ้ ำนวยการโรงเรยี นนาเชอื กพทิ ยาสรรค์ ดร.ปราณี รตั นธรรม คณะพีเ่ ล้ยี งพัฒนาหลักสตู ร อาจารย์ ดร.ธายกุ ร พระบำรงุ คณะส่งิ แวดลอ้ มและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม อาจารย์ ดร.พมิ พ์พร ภคู รองเพชร คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม อาจารย์ ดร.อจั ฉรยิ า อิสสระไพบลู ย์ คณะการบัญชีและการจดั การ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม ครอู อกแบบหลักสูตรและนำไปใช้ในการจดั การเรยี นและการสอน นางรัชนี เปาะศิริ กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี นายยงยทุ ธ วงผักเบยี้ กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี นางสาวธญั ญาณี ดพี ลงาม กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี นายศุฑาวฒั น์ ไชยสา กลุ่มสาระการเรยี นรสู้ ังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม นางนุชรินทร์ ปนี ะกาตาโพธ์ิ กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาต่างประเทศ นางประภสั สร ปะวะโท กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศ นายสทุ ธพิ งษ์ บรรยงค์ กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศ คณะครภู ูมปิ ญั ญา เจ้าหน้าทีพ่ ฒั นาชุมชน นางนริ งรอง เลยี งลลิ า หวั หนา้ เขตห้ามลา่ สตั ว์ป่าดูนลำพนั นายสมพร พงษธ์ นาคม ครู/ปราชญท์ ้องถิน่ นายบัวเรียน วาปสี า ผ้แู ทนเกษตรกร นายเลียบ นามปราศยั กำนันตำบลนาเชอื ก นายสพุ รรณ ประทมุ โต ประธานคณะกรรมการพฒั นาสตรอี ำเภอนาเชอื ก นางวลิ าวรรณ พพิ ัฒนช์ ยั กร ปราชญส์ มุนไพร นางอสุ า วาปีนงั ออกแบบกราฟกิ สาขาวิชาเทคโนโลยมี ลั ตมิ ิเดยี อาจารยเ์ อกลักษณ์ แสงเดือนฉาย คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวทิ ยาลัยศรีปทมุ บคุ ลากรทางการศกึ ษา โรงเรยี นผดุงนารี จังหวดั มหาสารคาม นายธนกิจ ฤทธศ์ิ รี หนว่ ยงานสนับสนนุ สำนกั งานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วจิ ัย และนวตั กรรม (สป.อว)

ก คำนำ เครือข่ายหน่วยปฏิบัติการวิจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การบรรเทา และการปรับตัว (CMARE) ได้พัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นแบบบูรณาการด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้ครูในกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ และกลุ่มภาษา ทั้งไทยและต่างประเทศ ได้นำไป เป็นคู่มือในการสอน โดยสาระในหลักสูตร เป็นการบูรณาการระหว่างชุดความรู้ท้องถิ่น และความรู้ สมัยใหม่ที่ครอบคลุมทั้งมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ รวมถึงการจัดการเรียนและการสอน ของโรงเรียน ตามมาตรฐานการเรียนรู้ในกลุ่มสาระดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้เรียน ได้พัฒนาความรู้ ทักษะด้านวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ควบคู่กัน เกิดความภาคภมิใจในถิ่นกำเนิดและสามารถพัฒนา ผลิตภัณฑ์ที่เป็นอัตลักษณ์ของท้องถิ่นและสามารถสื่อสารเรื่องราวให้สังคมภายนอกรับรู้ได้ โดยอาศัย เทคโนโลยดี ิจิทลั ทีม่ ีอยู่ ท้งั แอปพลเิ คชันมอื ถอื และสือ่ ออนไลน์ต่าง ๆ นอกจากนี้ เครือข่ายฯ ยังได้ปรับปรุงและพัฒนาสื่อการสอนด้านวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ครู ได้ใช้ นําไปใช้ในการจัดการเรียนและการสอน ตามกิจกรรมการเรียนที่เป็นผลจากการจัดการองค์ความรู้ รว่ มกบั ชุมชน และออกแบบให้เอ้อื ต่อการพฒั นาตรรกะของผู้เรยี นตามแนวทาง STEM หลักสูตรนี้ มุ่งเน้นให้ครูและนกั เรยี น ได้เข้าใจรากฐานของพื้นทีใ่ นมติ ิต่าง ๆ สํารวจและตรวจวัด คุณภาพสิ่งแวดล้อม เก็บข้อมูลจากบทเรียนการเรียนรู้ในรูปแบบฐานข้อมูล เพื่อใช้สร้างความเข้าใจต้นทุน ทรัพยากร วิถีชีวิตของคนและสภาพแวดล้อมในท้องถิ่น เพื่อพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศท่เี กิดขึน้ ในแบบแผนชีวติ ใหม่ ทีถ่ ูกคกุ คามดว้ ยภยั ธรรมชาติ คณะผู้จัดทํา หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หลักสูตรท้องถิ่นแบบบูรณาการที่พัฒนาขึ้นนี้จะช่วยนำพา ให้เยาวชนได้เข้าใจพื้นที่ที่ตนเองอาศัย ตระหนักถึงคุณค่า และอุทิศตนเป็นส่วนหน่ึงในการประยุกต์ใช้ บทเรยี นการเรียนรู้ เพ่ือแก้ไขปญั หาของทอ้ งถนิ่ ของตนเองอย่างย่ังยนื คณะผู้จัดทำ

ข สารบัญ บทที่ หน้า คำนำ ก สารบัญ ข สารบัญตาราง . ง สารบัญภาพ 1 สภาพทวั่ ไปของพนื้ ท่ี …………………………………………………………………………………….. ประวตั ิความเป็นมาของพ้ืนท่ีนาเชอื ก ทรพั ยากรธรรมชาติ แหล่งนำ้ สภาพทางธรณีวทิ ยา ทรัพยากรดิน สภาพภูมิอากาศ ภัยธรรมชาติ แหลง่ อาหารทีโ่ ดดเด่น 2 ความเป็นอยู่ ประเพณี และวฒั นธรรม …………………………………………………………….. คำขวัญของอำเภอนาเชือก สภาพทางเศรษฐกจิ และสงั คม สาธารณปู โภค ประเพณแี ละวัฒนธรรม 3 สาเหตุ ผลกระทบ และการปรบั ตัว กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภมู ิอากาศ ……………… ภาวะโลกร้อนและการเปลีย่ นแปลงสภาพภูมิอากาศ ก๊าซเรอื นกระจกที่ทวั่ โลกใหค้ วามสำคัญ สาเหตุของการเปลยี่ นแปลงสภาพภมู ิอากาศ ผลกระทบจากการเปล่ียนแปลงสภาพภมู ิอากาศต่อระบบนิเวศและสิง่ แวดล้อม การตอบสนองต่อการเปลีย่ นแปลงสภาพภูมอิ ากาศ 4 กิจกรรมการเรียนรูเ้ พื่อการปรับตัวกบั การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมอิ ากาศเชงิ บรู ณาการ กิจกรรมท่ี 1 กจิ กรรมท่ี 2 กจิ กรรมที่ 3 กจิ กรรมท่ี 4 เอกสารอ้างองิ .....................................................................................................................

สารบญั ตาราง ค ตาราง หน้า 1 พืน้ ท่ีแลง้ ซ้ำซาก ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ปี พ.ศ. 2557 41 2 ประเพณีและวัฒนธรรมของชุมชนนาเชือก 3 ผลติ ภัณฑท์ โี่ ดดเดน่ ในแตล่ ะหมบู่ า้ น 4 ศักยภาพในการทำใหเ้ กิดภาวะโลกรอ้ นของแต่ละกา๊ ซเรอื นกระจก 5 การเพิ่มมูลคา่ ของขยะ 6 การนำขยะกลับมาใช้ประโยชน์ 7 ระดบั ไนโตรเจน 8 ระดับความเป็นกรดเป็นดา่ งของดิน (pH) 9 คา่ การนำไฟฟ้าของดนิ ระดบั ความเคม็ และผลกระทบต่อกลมุ่ พืช 10 คา่ การนำไฟฟา้ ของสารละลายดนิ ท่ีได้จากการวัดด้วยอัตราสว่ น 1:5 ตามประเภท ของเน้ือดิน ณ อุณหภมู ิอ้างอิง 25 องศาเซลเซียส 11 ระดับอนิ ทรยี วัตถุในดิน 12 ปรมิ าณฟอสฟอรัสทเ่ี ป็นประโยชน์ต่อพชื 13 ปริมาณโพแทสเซียมท่ีเปน็ ประโยชนต์ อ่ พืช 14 ปรมิ าณแคลเซยี มและแมกนเี ซียม 15 ปรมิ าณจุลธาตุอาหารพชื 16 มาตรฐานคณุ ภาพดินทใ่ี ช้ประโยชน์เพื่อการอยอู่ าศยั และเกษตรกรรม 17 มาตรฐานคุณภาพดินท่ใี ช้ประโยชนเ์ พื่อการอ่นื นอกเหนอื จาก การอยู่อาศัย และเกษตรกรรม 18 วธิ ีการรกั ษาตวั อยา่ งดิน 19 Tangent 20 สมการแอลโลเมตรกิ ทใี่ ชใ้ นการคำนวณหามวลชวี ภาพของต้นไมใ้ นปา่ ธรรมชาติ ชนิดตา่ ง ๆ มขี นาด DBH มากกวา่ 4.5 เซนติเมตร และของไม้ไผ่ 21 ชนิดของสัตวห์ น้าดนิ ท่ีพบในระดบั คุณภาพนำ้ ต่าง ๆ 22 ประเภทแหล่งน้ำตามการใชป้ ระโยชน์ 23 มาตรฐานคุณภาพน้ำในแหลง่ นำ้ ผิวดิน 24 มาตรฐานคณุ ภาพนำ้ บาดาลที่ใช้บริโภค 25 มาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศ (Ambient Air Quality Standards) สำหรับบางสารมลพิษ 26 ตวั อย่างการคำนวณคาร์บอนฟุตพริน้ ทอ์ ยา่ งงา่ ยของผลิตภัณฑน์ มกลอ่ ง 27 บนั ทกึ คา่ ใชจ้ ่าย

สารบัญภาพ ง ภาพท่ี หนา้ 1 แผนทอ่ี ำเภอนาเชอื ก จงั หวดั มหาสารคาม 2 ขอบเขตตำบลนาเชือก 3 เขตหา้ มลา่ สตั ว์ป่าดนู ลำพัน 4 ปูทลู กระหม่อม 5 พน้ื ที่ป่าไม้ของจังหวดั มหาสารคาม 6 ธปู ฤาษี 7 เส้นทางศกึ ษาธรรมชาติ 8 รกฟา้ 9 ไผป่ า่ 10 หว้า 11 สะแบง 12 ปรู๋ 13 เท้ายายม่อม 14 กวาวเครือ 15 กำแพงเจ็ดชนั้ 16 ว่านแผน่ ดินเย็น 17 งูเหลอื ม 18 นกแซงแซว หางบ่วงใหญ่ 19 นกบงั้ รอกใหญ่ 20 นกกะปดู 21 แย้ 22 กระรอก 23 ตวั เงินตวั ทอง 24 พังพอน 25 อ่างเก็บนำ้ ห้วยคอ้ 26 ธรณีวิทยาจังหวดั มหาสารคาม 27 กลมุ่ ชดุ ดิน ตำบลนาเชือก 28 พนื้ ทเี่ ปา้ หมายในการแก้ไขปัญหาทรัพยากรน้ำบรเิ วณอา่ งเกบ็ นำ้ ห้วยคอ้ 29 ภัยแล้ง 30 นำ้ ท่วม 31 ปลาบู่ 32 สาหร่ายเหด็ ลาบ 33 ว่านแผน่ ดินเย็น (Nervilia aragoana Gaudich)

จ ภาพที่ หน้า 34 ท่ารำปูทูลกระหม่อม 35 ท่พี กั สงฆ์เกาะโนนข่า 36 วดั หนองเลา 37 พระโพธิญาณ 38 ศาลเจ้าป่คู ่ืน 39 ศาลเจ้าป่หู นองอดุ ม 40 บอ่ นำ้ ศักด์สิ ิทธ์ิ 41 ลายขอขจร 42 บทเรียนจากการจัดการองค์ความรู้ โดยชมุ ชนมสี ว่ นรว่ ม 43 บรรยากาศกิจกรรมการจัดการความรู้ 44 การเกดิ ปรากฏการณเ์ รือนกระจก 45 ความหมายของปรากฎการณ์เรอื นกระจก 46 ประมาณกา๊ ซเรือกระจกแต่ละชนดิ 47 กราฟแสดงความสมั พันธ์ระหว่างปรมิ าณก๊าซเรอื นกระจกในช้นั บรรยากาศ และอุณหภมู ิ เฉลย่ี ของโลก 48 สาเหตุของโลกร้อนจากการทำลายโอโซน 49 ช้ันบรรยากาศ 50 การปลดปลอ่ ยกา๊ ซเรอื นกระจกทางตรง 51 ปรมิ าณการปล่อยก๊าซเรอื นกระจกของโลก แยกตามประเภทของกิจกรรม 52 ก๊าซเรือนกระจก 53 ตัวอยา่ งกิจกรรมในชวี ิตประจำวนั ทป่ี ลอ่ ย CO2 54 ปรมิ าณการปล่อย CO2 6 อนั ดบั ของโลก 55 ปริมาณการปล่อย CO2 56 อัตราการปล่อยก๊าซ CO2 ของประเทศไทย 57 อากาศแปรปรวน น้ำทะเลสูง 58 เปรยี บเทยี บจำนวนประชากรท่ีขาดแคลนน้ำกบั อุณหภมู ิท่ีเพ่ิมข้ึน 59 ผลกระทบต่อการสูญพันธ์ของส่งิ มชี ีวติ ในภมู ภิ าคตา่ ง ๆ 60 ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศต่อเศรษฐกจิ สงั คม วัฒนธรรม การเมือง 61 โลกรอ้ นมผี ลกระทบอย่างไรในประเทศไทย 62 ตัวอยา่ งข้อมูลจาก Windy App 63 เชอื ก 64 ต้นกลา้ (Seedlings) ของเชอื ก 65 แนวคิดการจัดการขยะ 66 ความสัมพนั ธข์ องปจั จยั ตา่ ง ๆ ในดิน

ฉ ภาพท่ี หน้า 67 หลกั พที ากอรัส 68 การวางแปลงแบบออกฉาก 69 ตำแหน่งวัดความโตทีร่ ะดบั ตา่ ง ๆ ของตน้ ไม้ทม่ี ีลักษณะพิเศษ และในพื้นทที่ ี่มคี วามลาด 70 การวดั ความสงู ของตน้ ไม้โดยการใช้ไคลโนมเิ ตอร์ 71 การใช้ไคลโนมิเตอร์ 72 Hypsometer-Clinometer 73 วิธกี ารตรวจสอบเนือ้ ดนิ อย่างงา่ ย 74 เคร่อื งมอื วัดคุณภาพดนิ เบื้องต้น 75 ลักษณะท่ัวไปของปทู ูลกระหม่อม 76 ระยะต่าง ๆ ของไขป่ ทู ูลกระหมอ่ ม 77 ลำดับของความเสีย่ งในการสูญพันธ์ุ 78 วฏั จกั รของน้ำ 79 นาฬิกาสัตวห์ นา้ ดิน 80 ไมโครพลาสติกในสิ่งแวดลอ้ ม 81 การปนเปอ้ื นไมโครพลาสตกิ ในสิ่งแวดลอ้ ม 82 มลพิษทางอากาศจากกิจกรรมเผา 83 ระดบั ความเขม้ ข้นของฝนุ่ ละอองขนาดเลก็ 84 เครอ่ื งมอื ตรวจวดั คุณภาพน้ำ 85 การเก็บตวั อยา่ งตะกอนดิน 86 หลกั คดิ ของ BCG Model 87 เปรยี บเทียบหลักการ Linear Economy และ Circular Economy 88 ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง 89 คาร์บอนฟตุ พรนิ้ ท์อย่างงา่ ยของผลิตภณั ฑ์นมกล่อง 90 ตวั อยา่ ง Mobile Application สำหรบั จัดการบัญชรี ายรบั -รายจา่ ย 91 ตวั อย่างแบรนด์ OTOP 92 ตัวอยา่ งแบบโลโก้ของสนิ ค้าชุมชน 93 ขนั้ ตอนการขอรับการรบั รองมาตรฐานผลติ ภณั ฑ์ชมุ ชน

บทที่ 1 “สภาพทัว่ ไปของพ้นื ที่ อาเภอนาเชอื ก”

บทที่ 1 สภาพทัว่ ไปของพ้นื ที่ ◼ ประวัติความเปน็ มาของพ้ืนที่นาเชอื ก นาเชือก ตั้งเป็นตำบล ประมาณ ปี พ.ศ. 2453 โดยชาวบ้าน อพยพมาจากอำเภอจตุรพักตร์ พิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด และอำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม สภาพป่า เป็นป่าเชือกจำนวนมาก ซึ่งชาวบ้าน เรียกว่าต้นรกฟ้า ปัจจุบันแบ่งเขตปกครอง 18 หมู่บ้าน อยู่ในเขตเทศบาลตำบล 4 หมู่บ้าน องค์การบริหารส่วนตำบล 14 หมบู่ ้าน สภาพภูมิประเทศที่ลุ่มและที่ดอนสลับกัน เนื้อที่ ประมาณ 44,106,250 ไร่ ตำบลนาเชือก เปน็ ท่ีตง้ั ของท่วี า่ การอำเภอนาเชอื ก สว่ นราชการ รฐั วสิ าหกิจและเอกชนหลายแหง่ ภาพที่ 1 แผนทอ่ี ำเภอนาเชือก จงั หวดั มหาสารคาม ◼ ลกั ษณะภูมปิ ระเทศ เป็นพื้นทรี่ าบสูง ไมม่ ภี เู ขา ไม่มแี มน่ ้ำสำคัญไหลผา่ น สภาพปา่ ไม้เปน็ ปา่ เบญจพรรณ มีความสูงเหนือระดบั น้ำทะเล ประมาณ 130-230 เมตร ภาพท่ี 2 ขอบเขตตำบลนาเชอื ก

◼ ทรัพยากรธรรมชาติ จังหวัดมหาสารคาม มีพื้นที่ป่าไม้ จำนวน 133,663.77 ไร่ หรือ ร้อยละ 3.81 ของพื้นที่ทั้งหมด ของจังหวัดมหาสารคาม สำหรับพื้นที่เทศบาลตำบลนาเชือก มีป่าชุมชน ได้แก่ โคกสาธารณะกุดรัง โคกสาธารณะนาเชอื ก และโคกสาธารณะขิงแคง เขตหา้ มล่าสตั วป์ า่ ดูนลำพัน ภาพที่ 3 เขตห้ามล่าสัตวป์ ่าดนู ลำพัน ท่ีมา: สำนักงานสง่ เสรมิ การปกครองทอ้ งถน่ิ จังหวดั มหาสารคาม ป่าดูนลำพัน เดิมเป็นที่สาธารณะประโยชน์ ที่มีประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ตั้งอยู่ตำบล นาเชือก อำเภอนาเชือก จังหวัดมหาสารคาม เมื่อปี พ.ศ. 2536 ได้มีการค้นพบปูน้ำจืดที่มีสีสันสวยงาม พันธุ์ใหม่ของโลก (ชาวบ้านเรียกว่า ปูแป้ง) โดยศาสตราจารย์ไพบูลย์ นัยเนตร ภาควิชาชีววิทยา คณะวทิ ยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รว่ มกับผู้เช่ียวชาญจากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางธรรมชาติ ประเทศเนเธอร์แลนด์ และเป็นปีที่ปีที่สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงเจริญพระชนมายุครบ 36 พรรษา จึงได้ขอ พระราชทานชื่อ “ปูทูลกระหม่อม” จากสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อคั รราชกมุ ารี กรมพระศรสี วางควฒั น วรขัตติยราชนารี ปา่ ดนู ลำพัน มลี ักษณะโดดเดน่ ทางระบบนเิ วศวทิ ยา เป็นปา่ พรนุ ้ำจดื ทม่ี ี ตานำ้ ผุดขึน้ มากลางป่า ซงึ่ มีน้ำไหลเฉพาะที่ตลอดเวลาหรือทเี่ รียกวา่ ป่าน้ำซบั การผุดของตาน้ำเป็นท่มี าของคำว่า “ดูน” ในภาษา อีสาน และในหนองน้ำน้ันก็เต็มไปดว้ ยตน้ ธูปฤาษี ซ่งึ ภาษาอีสานเรียกว่า “ตน้ ลำพนั ” เปน็ ป่าที่อุดมสมบูรณ์ เป็นที่อยู่ของสัตว์ป่า เช่น ปูทูลกระหม่อม กระรอกขาว ปลาคอกั้ง งูขา นก และแลน และอุดมไปด้วยพืช สมุนไพร เช่น เถาพันซ้าย กวาวเครือ องุ่นป่า ว่านแผ่นดินเย็นฯ และเห็ดลาบ โดยเป็นทีอ่ ยูอ่ าศัยแห่งเดยี ว ของปูทลู กระหมอ่ ม เมือ่ ปี พ.ศ. 2539 กรมป่าไม้ ไดส้ ่งเจ้าหน้าทเี่ ข้ามาทำการสำรวจพน้ื ทีป่ ่า พบวา่ ป่าดูน ลำพัน นอกจากจะเป็นถิ่นอาศัยแห่งเดียวของปูทูลกระหม่อมแล้ว พื้นที่ แห่งนี้ ยังมีความหลากหลายทาง ธรรมชาติทั้งพืชและสัตว์ป่า จึงได้กำหนดให้เป็นเขตห้ามล่าสัตว์ป่าดูนลำพัน ตามพระราชบัญญัติสงวน และคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2542 เนื้อท่ี

รวม 343 ไร่ และได้กำหนดให้ปูทูลกระหม่อมเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองลำดับที่ 14 ของสัตว์ป่าจำพวก ไมม่ ีกระดกู สันหลงั เม่ือปี พ.ศ. 2543 จากการสำรวจนบั จำนวนปูทูลกระหม่อม ระหว่างวนั ที่ 15-21 พฤษภาคม พ.ศ. 2546 เจ้าหน้าท่ี สำรวจสามารถเข้าถึงพ้ืนท่ีและตรวจ นับจำนวนรปู ทู ลู กระหม่อมได้ 23,488 รู ในพ้ืนที่ 120 ไร่ ซึ่งรวมกับ บริเวณที่เป็นป่าหญ้ารกทึบซึ่งผู้สำรวจไม่สามารถเข้าถึงในพื้นที่อีก 42 ไร่ ซึ่งมีจำนวนปูอาศัยอยู่น้อย จึงใช้วิธกี ารสุ่มตัวอย่างพน้ื ท่ี 1 ไรต่ ่อจำนวนปู 10 ตัว สรุปว่าจำนวนปูทูลกระหมอ่ มที่สำรวจในปี พ.ศ.2546 ในพื้นที่รวมทั้งหมด 162 ไร่ คือ 23,908 ตัว ปัจจุบัน มีจำนวน 60,200 ตัว โดยสำรวจในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2563 คำบอกเล่าปา่ ดูนลำพัน จากการให้สัมภาษณ์ของยายคำพู โง่นมณี อายุ 105 ปี (ปัจจุบัน เสียชีวิตแล้ว) เป็นที่รู้จักดี ให้ความเคารพนับถือ ย่าพูได้เล่าให้เราฟังว่า ดูนลำพันนี้ ตามตำนานที่เล่ากันมาตั้งแต่ครั้งสมัยที่คุณย่าพู ยังเป็นเด็กนั้น เล่ากันว่า ดูนลำพัน เกิดขึ้นจากการแข่งขันบั้งไฟของท้าวผาแดงกับเจ้าเมือ งต่าง ๆ เพื่อแย่งชิงนางไอ่ และบั้งไฟของทา้ วผาแดงได้ตกลงไปในดูนจนสุดหางของบั้งไฟ จึงก่อให้เกดิ ดูนลำพันข้นึ มา จนกระทั่งทุกวันนี้ และครั้งนั้นได้มีชาวบ้านได้เคยเห็นรูขนาดใหญ่ในหนองน้ำกลางดูนลำพัน ในทุกวันพระ จะมีน้ำพุ่ง จากรูที่นั่นและปรากฏเห็นพญานาค 2 ตัว ซ่ึงเชื่อกันว่าเป็นพญานาคคู่ผัวเมีย ซึ่งก็คือ ทา้ วผาแดงและนางไอ่นัน่ เอง ย่าพู เล่าอีกว่าลักษณะของตัวพญานาคที่เห็นนั้น ตัวผู้จะมีส่วนหัวเป็นสีแดง ตัวเมียจะมีหงอน เป็นสีเหลือง ชาวบ้านที่พบเห็นจะกราบไหว้บูชาและขอพร เพราะถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเป็นบุญ ย่ิงนักทต่ี นได้เหน็ และทางน้ำทล่ี าดยาวจากหนองน้ำกลางดนู ลำพันไปจรดกบั หนองอุดมน้ันเช่ือกันว่าเป็นหาง ของพญานาคท้าวผาแดงที่ฟาดลงมาอย่างแรงจึงทำให้เกิดทางน้ำขึ้น ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของป่าดูนลำพัน และทางน้ำนจี้ ะมนี ำ้ ไหลน้ำซึมอยู่ตลอดทั้งปี ในบางครั้ง ทุกคืนที่เป็นคืนเดือนเพ็ญจะมีชาวบ้าน ซึ่งบังเอิญผ่านไปเห็น ได้พบกระต่าย 2 ตัว อยู่ที่ปากทางเข้าป่าดนู ลำพัน และเชื่อกันว่ากระต่ายน้อย 2 ตัวนั้นคือทหารอารักษ์ ปกป้องรักษาป่าดูนลำพัน เช่นเดียวกันกับความเชื่อเรื่องเกี่ยวกับเสือสมงิ ที่คุม้ ครองป่าดนู ลำพัน ชาวบ้านมักเรียกกันว่า “เสือบักเบี้ยว” ซึ่งได้มีผู้พบเห็นเสือบักเบี้ยวนี้เดินอยู่รอบ ๆ บริเวณไร่นาของชาวบ้านที่อยู่รอบ ๆ ป่าดูนลำพัน และยิ่งไปกว่านั้นคือ หากปีไหนที่ชาวบ้าน ได้พบเห็นเสือบักเบี้ยว ในปีนั้น เชื่อกันว่าจะมีนำ้ ทำนา ฝนตกต้อง ตามฤดกู าลและเป็นปีท่ีอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธ์ุธัญญาหารต่าง ๆ และหากปีไหนชาวบา้ นไม่ได้พบเห็นเสือ บักเบี้ยวปีนั้นฝนจะแล้ง ทำนาไม่ได้ข้าวตามเท่าที่ควร อาหารจะขาดแคลน จากคำบอกเล่าของย่าพู เสือบัก เบ้ียวนีจ้ ะมาในลกั ษณะเปน็ เสอื ขาเปข๋ ้างหน่ึง และในบางครั้งจะมาใหเ้ หน็ ในลกั ษณะเป็นมนษุ ย์ เสือบักเบ้ียวน้ี เชื่อกันว่าเป็นเสืออารักษ์ ซึ่งอาศัยอยู่ในป่าดูนลำพัน คอยปกป้องคุ้มครองทุกชีวติ ในป่าดูนลำพันส่ิงศักดิ์สิทธิ์ ทอี่ ยใู่ นป่าดนู ลำพันน้นั ปจั จุบันน้ี ได้ตง้ั ขนึ้ เป็นศาลเจา้ พอ่ เพอื่ เปน็ ท่ีเคารพสกั การะของนักท่องเท่ียวที่มาเท่ียว ชมและผูพ้ บเห็น ยา่ พูบอกว่า พอ่ ปู่อุดมนีช้ าวบา้ นเชอื่ กันว่า ศกั ดส์ิ ิทธิย์ ิ่งนกั เป็นเจา้ ท่ีในป่าดูนลำพัน ซึ่งหาก ผใู้ ด เคารพนบั ถือก็จะพบเห็นแต่สงิ่ ท่ีดงี าม

เมื่อครั้งท่ีย่าพูอายุประมาณ 23-27 ปี เคยได้ไปเก็บหน่อไม้ท่ีดูนลำพันแล้วเกิดปาฏิหาริย์ มีงูยักษ์ ปรากฏข้นึ ตอ่ หน้าซึ่งกำลังเลือ้ ยคลานอยบู่ นต้นไม้ตดิ กับก่อไผ่ ทย่ี า่ พกู ับน้องสาวไปเก็บหน่อไม้ ด้วยความตกใจ ยา่ พไู ดอ้ ธษิ ฐานถงึ สง่ิ ศักดส์ิ ทิ ธิ์ทีอ่ ยูใ่ นป่าดนู ลำพนั รวมถงึ ขอโทษท่ีล่วงล้ำเข้ามาโดยไม่ขออนญุ าตเสียก่อน ย่าพู และน้องสาวได้นั่งลงกราบไหว้อธิษฐานไหว้พ่อปู่อุดม จากนั้นงูยักษ์ที่ปรากฏอยู่อย่างไม่มีทีท่าว่าจะไปไหน ก็หายไปในพริบตา มีชาวบ้านได้ขุดพบถ้วยจานชามต่าง ๆ ในดูนลำพันหลายชิ้น ย่าพูบอกว่า เมื่อย่าพูยังเด็ก อยู่ ซึ่งก็นับเป็นร้อยปีมาแล้ว แม่ของย่าพู ได้เล่าให้ฟังว่า มีคนแปดศอก เมื่อครั้งสมัยโบราณ ได้เคยมาอาศัย อยทู่ ี่ป่าดนู ลำพัน จงึ เชอื่ กันวา่ เปน็ ถว้ ยจานชามมนษุ ยแ์ ปดศอกได้ป้ันข้นึ มาเพื่อใชใ้ นชวี ติ ประจำวัน จากการให้สัมภาษณ์ของพ่อใหญ่สัว ปาทะโน ชาวนาเชือก ได้เล่าให้ฟังว่า การไม่เคารพ การลบหลู่ในดูนลำ พนั ซง่ึ ถอื ว่าเปน็ สถานที่อนั ศักด์ิสิทธิ์น้ี เคยมีชาวบ้านจะไปสับ หนอ่ ไมใ้ นปา่ ดนู โดยไม่ขออนญุ าตเสยี กอ่ น และไมน่ บั ถือวา่ ส่ิง ศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิทีอ่ ยใู่ นดูนน้ันมจี ริง ได้ปรากฏว่ามีงูยักษ์เลื้อยอยู่ตาม ต้นไผ่ที่ชาวบ้านกำลังจะไปสับหน่อไม้ และอีกเหตุการณ์หนึ่ง คือมีคนที่นำเอา “ปูแป้ง” หรือ “ปูทูลกระหม่อม” นี้ออกไป จากพนื้ ที่ปา่ ดนู ลำพัน ประมาณ 2-3 ตวั หลังจากท่ไี ด้นำปูแป้ง ภาพที่ 4 ปูทลู กระหม่อม ออกจากปา่ ดนู ลำพันได้ 1 วัน ชาวบา้ นผู้นัน้ ไดป้ ระสบอุบัตเิ หตุ ที่มา: สำนกั งานส่งเสรมิ การปกครองท้องถิ่น เสยี ชวี ติ ตรงบรเิ วณทางโคง้ ใกล้กับป่าดูนลำพัน นับว่าป่าดูนลำ พันแห่งนีเ้ ป็นสถานทศ่ี กั ด์ิสทิ ธิ์ ซ่ึงชาวบา้ นและบคุ คลทวั่ ไป จงั หวดั มหาสารคาม ให้ความเคารพยำเกรง มาตั้งแต่ในอดีตจนกระทั่งถึงในปัจจุบันนี้ เพราะความเชื่อในเรื่องของความศักดิ์สิทธ์ิ จึงทำให้ปูทูลกระหม่อมยังคงหลงเหลอื ใหล้ ูกหลานไดด้ สู ืบมาจนถึงทุกวนั นี้

ภาพท่ี 5 พ้นื ทีป่ า่ ไมข้ องจังหวดั มหาสารคาม ทมี่ า: กรมป่าไม้ (2557)

ธูปฤาษี ภาพท่ี 6 ธปู ฤาษี ทมี่ า: https://medthai.com/ธปู ฤาษี ธูปฤาษี (Typha angustifolia L.) จัดอยู่ในวงศ์ธูปฤาษี (TYPHACEAE) มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า กกช้าง กกธูป เฟื้อ เฟื้อง หญ้าเฟื้อง หญ้ากกช้าง หญ้าปรือ (ภาคกลาง), หญ้าสลาบหลวง หญ้าสะลาบ หลวง (ภาคเหนอื ), ปรอื (ภาคใต)้ เปน็ ตน้  ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของธปู ฤาษี ต้นธูปฤาษี มีถิ่นกำเนิดในทวีปยุโรปและอเมริกา จัดเป็นไม้ล้มลุกมีอายุหลายปี เหง้ากลม แทงหน่อขึ้นเป็นระยะสั้น ๆ ลำต้นตั้งตรง มีความสูงประมาณ 1.5-3 เมตร เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ชุ่มน้ำ ขยายพันธุ์ด้วยผลหรือเมล็ด พบขึ้นตามหนองน้ำ ลุ่มน้ำทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม ตามทะเลสาบหรือริมคลอง รวมไปถึงตามที่โล่งทั่ว ๆ ไป มีเขตการกระจายพันธุ์ทั่วโลกในเขตร้อนและในเขตอบอุ่น สำหรับในประเทศ ไทยสามารถพบได้ทัว่ ทุกภูมิภาค ใบธูปฤาษี ใบเป็นใบเดี่ยว มีกาบใบเรียงสลับในระนาบเดียวกัน ลักษณะใบเป็นรูปแถบ มีความกว้างประมาณ 1.2-1.8 เซนติเมตรและยาวประมาณ 50-120 เซนติเมตร (บ้างว่า 2 เมตร) แผ่นใบด้านบนมีลักษณะโค้งเล็กน้อยเพราะมีเซลล์หยุ่นตัวคล้ายฟองน้ำหมุนอยู่กลางใบ ส่วนด้านล่าง ของใบมลี กั ษณะแบน ดอกธูปฤาษี ออกดอกเป็นช่อแบบเชิงลด ลักษณะเป็นรูปทรงกระบอก ช่วงดอกเพศผู้ มีความยาวประมาณ 8-40 เซนติเมตร มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางช่อประมาณ 0.2-0.7 เซนติเมตร และมีใบประดับประมาณ 1-3 ใบ หลุดร่วงได้ ส่วนช่วงดอกเพศเมียจะมีความยาวประมาณ 5-30 เซนติเมตร มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของช่อประมาณ 0.6-2 เซนติเมตร มักแยกออกจากส่วนดอกเพศผู้ ดว้ ยส่วนของกา้ นช่อดอกทเ่ี ป็นหมนั ท่ีมีความยาวประมาณ 2.5-7 เซนตเิ มตร ดอกมขี นาดเลก็ ไมม่ ีกลบี เล้ียง และกลีบดอก เกสรเพศผู้ส่วนมากแล้วจะมี 3 อัน มีขนขึ้นล้อมรอบ ก้านเกสรเพศผู้จะสั้น มีอับเรณูยาว ประมาณ 1.5-2 มิลลิเมตร ส่วนดอกเพศเมียจะมีใบประดับย่อยเป็นรูปเส้นด้าย มีรังไข่เป็นรูปกระสวย ก้านของรังไข่เรียวและยาวประมาณ 5 มิลลิเมตร มีขนยาว ส่วนก้านเกสรเพศเมียจะยาวประมาณ

1-1.5 มิลลิเมตร มีขนสั้นกว่าก้านของรังไข่ ยอดเกสรมีลักษณะเป็นรูปแถบหรือรูปใบหอก และยังสามารถ ออกดอกไดต้ ลอดท้งั ปี  สรรพคุณของธูปฤาษี อับเรณูและลำต้นใช้เป็นยารักษาโรคทางเดินปัสสาวะ (ลำต้น, อับเรณู) บ้างก็ว่าลำต้นใต้ดิน และรากสามารถนำมาใช้เป็นยาบำบัดโรคบางชนิดได้ เช่น การช่วยขับปัสสาวะ (ลำต้น, ราก) ลำต้นธูปฤาษี ชว่ ยเพม่ิ นำ้ นมของสตรีหลงั การคลอดบุตร (ลำตน้ )  ประโยชนข์ องธูปฤาษี 1. ยอดอ่อน ใช้รับประทานได้ทั้งสดและทำใหส้ กุ 2. แป้งท่ี ได้จากลำตน้ ใต้ดนิ และรากสามารถใช้บรโิ ภคได้ 3. ต้นธปู ฤาษี นำมาใชเ้ ปน็ อาหารสำหรบั สัตว์เลยี้ งหรอื สตั ว์เค้ยี วเอือ้ งได้ 4. ใบธูปฤาษี มีความยาวและเหนียวจึงนิยมนำมาใช้มุงหลังคา และสามารถนำมาใช้สาน ตะกร้า ทำเส่อื ทำเชอื กได้อกี ดว้ ย 5. ช่อดอกแห้ง สามารถนำมาใช้เป็นไม้ประดับ ส่วนในประเทศอินเดีย จะใช้ก้านของช่อดอก มาทำปากกา 6. เยื่อของต้นธูปฤาษีสามารถนำมาใช้ทำกระดาษและทำใยเทียมได้ โดยมีเส้นใยมาก ถึงร้อยละ 40 มีความชื้นของเส้นใย 8.9% ลิกนิก 9.6% ไข 1.4% เถ้า 2% เซลลูโลส 63% และมีเฮมิเซลลโู ลส 8.7% 7. เส้นใยที่ได้จะมีสีขาวหรือสีน้ำตาลอ่อน สามารถนำมาใช้ทอเป็นผ้าเพื่อใช้สำหรับแทนฝ้าย หรอื ขนสัตว์ได้ 8. ดอกของต้นธูปฤาษี สามารถใช้กำจัดคราบน้ำมันได้เป็นอย่างดี โดยน้ำหนักของดอก ต้นธูปฤาษี 100 กรมั สามารถชว่ ยกำจัดคราบนำ้ มันไดม้ ากกว่า 1 ลติ ร 9. ต้นธูปฤาษี สามารถช่วยบำบัดน้ำเสียตามแหล่งต่าง ๆ และสามารถเจริญเติบโตได้ดี แม้จะอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำเสียตามชุมชนหรอื ตามแหล่งน้ำจากโรงงานต่าง ๆ และยังทำให้น้ำเสียในบริเวณ นั้นมีคุณภาพที่ดีขึ้น มีศักยภาพในการลดค่าความเป็นกรดด่างของน้ำ ช่วยปรับเปลี่ยนสีของน้ำ ท่ีไมพ่ งึ ประสงคใ์ ห้จางลง และช่วยลดความเปน็ พษิ ในนำ้ ได้ 10. ตน้ ธูปฤาษี มรี ะบบรากทด่ี ี จึงชว่ ยป้องกันการพงั ทลายของดนิ ตามชายน้ำได้ 11. ซากของธูปฤาษี สามารถนำมาใช้เป็นวัสดุคลุมดินสำหรับไม้ยืนต้นตามสวนผลไม้ต่าง ๆ เพอื่ ชว่ ยลดการสูญเสียความช้ืนออกจากผิวดนิ และช่วยลดการชะล้างหนา้ ดินจากนำ้ ฝนได้ 12. ต้นธูปฤาษี สามารถชว่ ยกำจัดไนโตรเจนจากน้ำเสยี ในที่ลุม่ ต่อไร่ได้สูงถึง 400 กิโลกรัม/ปี และยังช่วยดูดเก็บกักธาตุโพแทสเซียมต่อไร่ได้สูงถึง 690 กิโลกรัมต่อปี จึงจัดเป็นพืชอีกชนิดหน่ึง ทอ่ี าจมบี ทบาทเปน็ พืชเศรษฐกิจได้ในอนาคต 13. ธูปฤาษี อาจช่วยทำให้วัฏจักรของแร่ธาตุอาหารในดินสมบูรณ์ขึ้น เพราะมีแร่ธาตุอาหาร หลายชนิด เม่อื ตน้ ธปู ฤาษีตายลงหรือถกู กำจัดกจ็ ะเกิดการยอ่ ยสลาย ทำใหแ้ ร่ธาตุอาหารกลบั สดู่ ิน ทำให้ดิน มคี วามสมบรู ณ์ สามารถทำการเพาะปลกู ได้

14. ธูปฤาษี สามารถช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุในดินได้ เพราะมีแร่ธาตุอาหารหลากหลายชนิด การไถกลบเศษซากของต้นธูปฤาษีก็เท่ากับเป็นการเพิ่มอินทรียวัตถุลงในดิน และจะเป็นประโยชน์แก่พืช ทปี่ ลูกโดยตรง จึงเหมือนกบั การทำปุ๋ยพืชสดโดยการไถกลบดนิ 15. ใช้เปน็ ปุ๋ยพืชสดหรือใช้ทำปุย๋ หมักบำรงุ ดนิ ได้ 16. ใชส้ ำหรบั เปน็ เชื้อเพลิง โดยตน้ ธูปฤาษีมีปริมาณของโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตค่อนข้างสูง กากทเี่ หลือจากการสกัดเอาโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตออกแลว้ ใชแ้ บคทีเรียที่ไม่ใช้ออกซิเจนย่อย จะให้แก๊ส มเี ทนซงึ่ ใช้สำหรับเปน็ เชือ้ เพลิงได้ เส้นทางศึกษาธรรมชาติ ภาพท่ี 7 เสน้ ทางศกึ ษาธรรมชาติ ในเขตป่าดูนลำพัน เป็นเส้นทางศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพ สภาพป่าเป็นป่าพรุน้ำจืด และป่าเบญจพรรณความชื้นสูง พบชนิดพันธุ์ไม้กว่า 246 ชนิด และพืชสมุนไพรอีกเป็นจำนวนมาก และที่สำคัญเป็นที่อยู่อาศัยของปูทูลกระหม่อม ซึ่งเป็นปูป่าที่สีสันสวยงาม มีที่เดียวในโลก อยู่ที่อำเภอ นาเชือก จังหวดั มหาสารคามแห่งน้ี  พรรณพชื ทโี่ ดดเดน่ ในป่าดูนลำพนั รกฟ้า หรือ เชือก (Terminalia alata Heyne ex Roth) เป็นพืช ในสกุลสมอ ลักษณะเป็นไม้ต้นผลัดใบขนาดใหญ่ สูง 20–30 เมตร เปลือกต้นขรุขระสีเทาดำ ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียง ตรงกันข้าม ใบตอนบนออกเรยี งสลับกัน รูปขอบขนานหรือขอบขนาน แกมรูปไข่ ขนาด 5–10 x 10–15 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบมนหรือเบี้ยว แผ่นใบหนา มีต่อม 1 คู่ที่แผ่นใบด้านล่างใกล้ โคนใบ ดอกออกเป็นช่อเชิงลดแยกแขนงตามซอกใบหรือปลายยอด ดอกย่อยมีขนาดเล็ก ไม่มีกลีบดอก กลีบเลี้ยงโคนเชื่อมติดกัน ปลาย แยกเปน็ กลบี รูปสามเหลยี่ ม 5 กลบี เกสรตวั ผมู้ ี 10 อัน รงั ไขม่ ี 1 ช่อง ผลเป็นผลแห้งไม่แตก ขนาด 2.5–5 x 4–6 เซนติเมตร มีปีกเป็นครีบ หนา 5 ปีก ภายในผลมีเมล็ด 1 เมล็ด เปลือกรกฟ้ามีรสฝาดเฝื่อน ต้ม

ดม่ื แกท้ ้องร่วง แก้ปวดเมอ่ื ย ขบั ปัสสาวะ และฆา่ เชือ้ รา รากมีรสเฝื่อน ใชข้ ับเสมหะ ในทางพระพุทธศาสนา ในพระไตรปิฎก ฉบับธรรมทาน หัวข้อ “อัชชุนปุปผิยเถราปทาน” ได้กล่าวถึง ผลแห่งการถวาย “ดอกรกฟ้าขาว (ต้นอชั ชุนะ)” บูชาของพระอัชชนุ ปุปผิยเถระ ไว้วา่ … ภาพท่ี 8 รกฟา้ “...ครงั้ นัน้ เราเป็นกนิ นรอยู่ท่ีใกลฝ้ ั่งแมน่ ้ำจันทภาคา ไดเ้ หน็ พระสยัมภูพุทธเจ้าผู้ปราศจากกิเลส ธุลี มีความเลื่อมใสมีใจโสมนัส เกิดความปราโมทย์ ประนมอัญชลีแล้วถือเอาดอกรกฟ้าขาวมาบูชา พระสยัมภู ด้วยกรรมที่เราทำไว้ดีแล้วนั้น และด้วยการตั้งเจตจำนงไว้ เราละร่างกินนรแล้ว ได้ไปสวรรค์ ช้นั ดาวดงึ ส์ เราได้เป็นจอมเทพเสวยราชสมบัติในเทวโลก 36 ครั้ง ได้เปน็ พระเจ้าจักรพรรดเิ สวยราชสมบัติ อันใหญ่ 10 ครั้ง ได้เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์โดยคณนานับมิได้ พืชอันหว่านในเนื้อนาอันดี คือ พระสยัมภู ได้สำเร็จผลเป็นอันดีแก่เราแล้ว กุศลของเรามีอยู่ เราบวชเป็นบรรพชิตทุกวันนี้ เราควร แก่การบูชาในศาสนาของพระศากยบตุ ร เราเผากเิ ลสท้ังหลายแล้ว ฯลฯ พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ...” ไผ่ป่า Bambusa arundinacea Willd. วงศ์ ภาพท่ี 9 ไผป่ า่ GRAMINEAE ต้น ไผ่ขนาดใหญล่ ำออ่ นมสี เี ขยี วลำแก่จะมีสเี ขียวเหลือง มีหนามและมีแขนงรกแน่น ปล้องมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10-18 ซม. ต้นสูงประมาณ 5-10 เมตร. ใบ แตกกิ่งแขนงเล็ก ๆ จากข้างต้น แยกออกจากปล้องเป็นใบประกอบจำนวน 3-5 ใบ รูปร่างคล้ายหอก ปลายใบแหลม เส้นใบเรียงขนานกับเส้นกลางใบ มีกาบใบยาวหุ้ม ปล้องของกิ่ง ดอก ออกดอกเป็นช่อสีขาวมีเปลือกหุ้มดอกสีคล้ายฟาง ข้าว ออกดอกพร้อมกันทั้งต้นหลังจากนั้นจะตาย ทั้งกอ เมล็ดคล้าย เมล็ดขา้ ว หว้า Syzygium cumini เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ สูง 10-35 เมตร ลำต้นเปลาตรง เปลือกต้น คอ่ นข้างเรยี บสีเทาอ่อน มกี งิ่ ก้านมาก แขง็ แรง ปลายก่ิงห้อยยอ้ ยลง ใบดกหนา ทำให้เปน็ ทรงพุ่มรูปไข่แน่น ทึบ ลักษณะใบ ใบอ่อนจะแตกสีแดงเรื่อ ๆ ใบแก่หนา ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเป็นคู่ ๆ เรียงตรงข้าม รูปใบรี หรือรูปไข่กลับ เกลี้ยงเป็นมัน เส้นแขนงใบละเอียดอ่อนและเรียงขนานกัน มีจุดน้ำมันที่บริเวณขอบใบ ลักษณะดอก เป็นดอกช่อ ออกเป็นกระจุกที่ซอกใบหรือปลายยอด กลีบดอกสีขาวหรือสีเหลืองอ่อน ฐานรองดอกรูปกรวย มีกลีบเลี้ยงส่ีกลีบ กลีบดอกสี่กลีบ มีเกสรตัวผู้จำนวนมาก ออกดอกและติดผล ราวเดือน ธันวาคม-มิถุนายน ลักษณะผล ผลอ่อนสีเขียว พอเริ่มแก่ออกสีชมพู สีม่วงแดงแล้วเปลี่ยนเป็นสี ม่วงดำ รูปรีแกมรูปไข่หรือรูปกระสวย สีม่วงแดง ฉ่ำน้ำ ผิวเรียบมัน ใช้กินได้มีรสเปรี้ยว ผลแก่ราวเดือน พฤษภาคม มีเมลด็ 1 เมล็ด รปู ไข่

ภาพท่ี 10 หวา้ สะแบง Dipterocarpus intricatus เป็นไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญส่ ูง 20-30 เมตรผลัดใบ เรือนยอดแผ่กว้างเป็นพุ่มกลม ลำต้นเปลาตรงเปลือกหนาสีน้ำตาลปนเทาหนา 2-3 ซม. แตกเป็นสะเก็ด และเป็นร่องลึกยาวตาม ลำต้นใบเดี่ยวเรียงสลับใบรูปไข่กว้าง 10-20 ซมยาว 15-25 ซม. ปลายใบมนโคน ใบกว้างหรือหยักเว้าเข้าผิวใบมีขนสากสีเทาทั้ง 2 ด้านแผ่นใบหนาขอบใบมีขนสั้นนุ่มเส้นแขนง ใบข้างละ 9-14 เส้นก้านใบยาว 3-4 ซมมีขนแน่นดอกสีชมพูออกรวมเป็นช่อสั้น ๆ ตามซอกใบกลีบเลี้ยง โคนเชื่อมติดกันปลาย 5 แฉกยาวไม่เท่ากันและมีสันหยักเป็นลอนบริเวณโคนกลีบ กลีบดอก 5 กลีบโคน กลีบเกยซ้อนเวียนเป็นรูปกังหันดอกบานเต็มที่กว้าง 2.5-3.5 ซม. ผลแห้งแบบมีปีกค่อนข้างกลมมีกลีบคด พับไปมาตามยาวตวั ผล 5 ครบี ปีกค่ยู าวถงึ 10 ซม. ภาพท่ี 11 สะแบง

ปรู๋ Alangium salviifolium (L.f.) Wangerin. subsp. hexapetalum Wangerin เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูง 5-15 เมตร เปลือกสีน้ำตาลเทา เรียบหรือแตกเป็นสะเก็ด แก่นสี น้ำตาล กระพี้สีค่อนข้างเหลือง กิ่งอ่อนและใบอ่อนมีขน ใบเดี่ยว เรียงสลบั แผ่นใบรูปไข่กลบั รูปขอบขนาน หรอื รูปหอกกลับ กวา้ ง 2.5-7 เซนติเมตร ยาว 5-15 เซนติเมตร ปลายกว้างและเป็นติ่งสั้น โคนสอบ เรียว ขอบใบเรียบ มีเส้นแขนงใบ 3-5 เส้นออกจากโคนใบ เห็นชัดมาก บริเวณท้องใบ ก้านใบยาว 0.5-1 เซนติเมตร ดอกช่อ สีขาวนวล กลิ่น หอมอ่อน ๆ ออกเป็นกระจกุ ตามก่ิงเหนือรอยแผลใบ กลีบดอกโคนเชื่อม ติดกันปลายแยก 5-7 กลีบ กลีบเลี้ยง ส่วนโคนกลีบจะเชื่อมติดกันเป็น ท่อรูปกรวย ส่วนปลายกลีบจะแยกออกเป็นแฉก ขนาดยาวประมาณ 0.2-0.5 เซนติเมตร ดอกมีขนขึ้นประปราย ผล รูปกลมรี ออกเป็น กระจกุ กวา้ งประมาณ 1 เซนติเมตร ยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร สุกสี ดำ ปลายผลมกี ลีบเลี้ยง และกลางผลจะมีสนั แข็งตลอดความยาวของผล ผลรสหวานอมเปรยี้ ว รบั ประทานได้ ภาพท่ี 12 ปรู๋  สมุนไพรในปา่ ดูนลำพัน เท้ายายม่อม Tacca leontopetaloides เป็นพืชในวงศ์ Taccaceae เป็นพืชที่มีหัว มีใบ 1-3 ใบ แต่ละใบจักเป็นสามแฉก เว้าแบบขนนก ดอกเป็นช่อยาว แต่ละช่อมีดอกย่อย 20 - 40 ดอก ผล กลม หัวของพืชชนิดนี้นำไปทำแป้งที่เรียกแป้งเท้ายายม่อม เท้ายายม่อม เป็นไม้ล้มลุกอายุยืน ไม่มีลำต้น เหง้าใต้ดินเป็นหัว กลมแบนหรือรีกว้าง เปลือกหัวบาง ผิวเรียบ เมื่ออ่อนสีขาว แก่แล้วเป็นสีเทาหรือสี นำ้ ตาล เนื้อหัวสขี าว ฉำ่ นำ้ เล็กนอ้ ย ดอกสเี หลอื งหรือเขียวแกมมว่ งเข้ม ผลสีสม้ อ่อน มีเมล็ดมาก เมลด็ แบน หัวสดรับประทานไม่ได้ มีรสขม แต่สามารถสกัดแป้งมาใช้ประโยชน์ได้ แป้งที่ได้ใช้ทำขนมปัง พุดดิ้งและ ขนมไดห้ ลายชนิด ในฟิจินำแป้งท่ยี ังไม่ไดต้ ากแหง้ ห่อใบไมน้ ำไปฝังดิน ภาพที่ 13 เทา้ ยายม่อม

กวาวเครือแดง Butea superba Roxb. จัดเป็นไม้เถา ยืนต้นขนาดใหญ่ อายุยิ่งมากเท่าไหร่เถา ก็จะยิ่งใหญ่และกลายเป็นต้น แตย่ งั สง่ เถาเล้ือยไปพาดพนั ตามตน้ ไม้ท่ีอยู่ในบริเวณใกล้ ๆ ลกั ษณะของ ใบคลา้ ยใบทองกวาว แตใ่ บจะใหญ่กว่ามาก แต่ถ้าเปน็ ใบอ่อนจะมีขนาด เท่ากับใบพลวงหรือใบของต้นสักส่วนต้นหากใช้มีดฟันจะมียางสีแดง คล้ายโลหิตออกมาหากขุดโคนต้น ก็จะพบรากขนาดใหญ่เท่าน่องขา เลื้อยออกมาจากต้นโดยรอบ มีความยาวประมาณ 2 วา ขึ้นอยู่กับอายุ และขนาดของลำต้น ช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ จะออกดอก เป็นสีส้มเหลืองคล้ายดอกทองกวาว บานสะพรั่งอยู่บนยอดดอย แต่ในปัจจุบันใช่ว่าจะหาได้ง่ายนักเพราะมีไม่มากเท่ากวาวเครือขาว สรรพคุณของกวาวเครือ มีรสเย็นเบื่อเมา สรรพคุณช่วยบำรุงสุขภาพ ร่างกาย และใช้เป็นยาอายุวัฒนะกวาวเครือแดง เป็นสมุนไพรที่ช่วยทำ ใหเ้ ซลลต์ า่ ง ๆ ในรา่ งกายมีอายุยนื ยาวขนึ้ ชว่ ยทำให้รา่ งกายและเนอื้ เย่ือ เส่ือมช้าลง ภาพที่ 14 กวาวเครอื กำแพงเจ็ดชั้น Salacia chinensis เป็นไม้พุ่มรอเลื้อย หรอื ไมเ้ ล้ือยเนอื้ แขง็ ในวงศ์ Celastraceae เปลือกลำตน้ เรยี บสีเทา นวลหรอื สีน้ำตาลอมขาว เปลือกลอ่ นงา่ ย เนื้อไม้มวี งปสี นี ้ำตาลแดง เข้มจำนวนหลายชั้นเห็นชัดเจน เรียงซ้อนกันเป็นชั้น 7-9 ชั้น ใบเดี่ยว ผิวใบเรียบเป็นมัน แผ่นใบห่อเข้าเล็กน้อย ดอกเดี่ยว ออกตามง่ามใบหรือซอกกิ่ง สีเขียวอมเหลือง เนื้อผลสีขาว กำแพงเจ็ดชั้นเป็นพืชที่นำไปใช้เป็นพืชสมุนไพรอย่างแพร่หลาย โดยทั่วไปใช้ ต้น ต้มน้ำดื่ม หรือดองสุรา แก้ปวดเมื่อย บำรุงโลหิต ฟอกโลหิต แก้โลหิตเป็นพิษหรือเป็นส่วนผสมของยาระบาย รักษาโรคตับอักเสบ แก้หืด แก้เบาหวาน ราก ใช้ต้มหรือดองสุรา ดมื่ ขบั โลหติ ระดู บำรุงโลหิต แก้ลมอัมพฤกษ์ รักษาโรคตา ภาพท่ี 15 กำแพงเจ็ดชั้น ว่านแผ่นดนิ เยน็ Kaempferia galanga L. (ช่อื พอ้ งวิทยาศาสตร์ Kaempferia marginata Carey ex Roscoe) จัดอยู่ในวงศ์ขิง (ZINGIBERACEAE) จัดเป็นพืชลม้ ลุก มีอายุราวหนึ่งปี ทั้งเปราะหอม ขาวและเปราะหอมแดง เป็นไม้ลงหัวจำพวกมหากาฬ มีลำต้นเป็นหัวอยู่ใต้ดิน หรือที่เรียกว่า “เหง้า” เน้ือ ภายในของเหง้ามีสีเหลืองอ่อนและมีสีเหลืองเข้มตามขอบนอก และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มีรสเผ็ดขม เป็นพืชที่ชอบดินร่วนปนทราย มีความชุ่มชื้นพอเพียง เจริญเติบโตได้ดีในที่ร่ม เจริญเติบโตในช่วงฤดูฝน พอย่างเข้าฤดูหนาวต้นและใบจะโทรมไป และพบได้มากทางภาคเหนือ ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ด

หรอื แยกหวั สรรพคณุ ใช้เปน็ ยาแก้ปวดศีรษะ คลายเครยี ด ดว้ ยการใช้ทงั้ หัวและใบนำมาโขลก ใสน่ ้ำพอชุ่ม แล้วเอาไปชุบนำมาใช้คลุมหัว หรือจะใช้เฉพาะหัวนำมาตำคั้นเอาน้ำไปผสมกับแป้งหรือว่านหูเสือ ก็จะได้ แป้งดินสอพองไวท้ าขมบั แก้อาการปวดศีรษะ ภาพท่ี 16 วา่ นแผ่นดนิ เย็น ภาพที่ 17 งูเหลือม  สัตว์ปา่ ท่พี บในป่าดูนลำพนั ภาพท่ี 18 นกแซงแซว งูเหลือม เป็นงูที่มีขนาดใหญ่และยาวที่สุดในโลก หางบว่ งใหญ่ มีปากใหญ่ ฟันแหลมคม ขากรรไกร แข็งแรงมาก พื้นตัวสีน้ำตาลแดง มีลายแบ่งเป็นวงมีหลายสี ที่หัวมีเส้นศรสีดำจนเกือบถึงปลายปาก ส่วนท้องสีขาวมีทุกภาคในประเทศไทย พม่า มาเลเซีย และสิงคโปร์กิน สัตว์แทบทุกชนิด เช่น เก้ง สุนัข กระต่าย หนู ไก่ เป็ด นก บางครั้ง ก็จับปลากนิ โดยงูเหลือมเป็นงไู ม่มีพิษ เล้ือยชา้ ๆ ดุ ออกหากินกลางคืน หากินทั้งบนบกและในน้ำ อาศัยนอนตามโพรงดินโพรงไม้ในที่มืด และเย็น หลาย ๆ วันจึงจะออกหากินครั้งหนึ่ง ปัจจุบัน เป็นสัตว์ป่า คุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 นกแซงแซวหางบ่วงใหญ่ เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 ลักษณะทั่วไปนั้นเมื่อโตเต็มวัยจะมีความยาววัดจากปลายปากจรดหาง ประมาณ 62 เซนติเมตร เป็นความยาวของหางกว่าขึ้น มีขนสีดำเงา เหลอื บนำ้ เงนิ ตลอดชว่ งบนของลำตัว สว่ นลำตวั ชว่ งลา่ งน้นั มสี ีดำเหลือบ มีขนหงอนสนั้ ๆ ขึน้ อยอู่ ย่างหนาแน่นบรเิ วณหนา้ ผาก ปากหนา สันปาก ด้านบนจะโค้งลง งองุ้มเล็กน้อย และเมื่อนกแซงแซวหางบ่วงใหญ่มีอายุ ครบปขี ้ึนไป จะมีขนหางคสู่ องข้างยาวและยน่ื ออกมาซงึ่ เปน็ ลักษณะเด่น ของนกสายพันธุ์นี้ นกแซงแซวหางบ่วงใหญ่ เป็นนกประจำถิ่นของ ประเทศในแถบเอเชีย เช่น ประเทศอินเดีย ประเทศจีนในตอนใต้ ประเทศอนิ โดนีเซีย หมเู่ กาะนิโคบาร์ หมูเ่ กาะอันดามัน เป็นต้น

นกบั้งรอกใหญ่ มีลักษณะทั่วไป คือ ปากเขียวขุ่น หนัง ภาพท่ี 19 นกบ้งั รอกใหญ่ รอบตาแดงมีขนสีขาวโดยรอบ หัวสีเทาอ่อน ปีกและหลังสีน้ำตาล ภาพท่ี 20 นกกะปดู เหลือบเขียว ลำตัวด้านล่างเทาแซมขีดดำเลก็ ๆ หางยาวมาก ปลายหาง ขาว ขนาดลำตวั : 53 – 59 เซนตเิ มตร เสยี งร้อง: แหบ ส้ัน “ต็อก-ต็อก” หรือ “เอาะ-เอาะ”ถิ่นอาศัย: ชายป่า สวนผลไม้ ที่ราบถึงความสูง 1,600 เมตร นกประจำถนิ่ พบบ่อยมาก นกกะปูด ในประเทศไทยมีทั่วไปทุกภาค ชอบอยู่ตามป่า ต่ำและป่าภูเขา อาศัยตามพุ่มไม้รก ๆ ใกล้น้ำ มักหากินตามลำพัง ตัวเดียว บางครั้งจะพบเป็นคู่ เป็นนกที่บินไม่ค่อยเก่งนัก ไม่ชอบบิน อาศัยบนต้นไม้สูง ๆ อาหารของนกกะปูดใหญ่ ได้แก่ สัตว์เลื้อยคลาน เล็ก ๆ และแมลงต่าง ๆ ผสมพันธ์ุประมาณต้นฤดูฝน ทำรงั อยู่ตามพุ่มไม้ รก ๆ โดยนำกิ่งไม้มาขัดสานกันเป็นรูปกลม ๆ มีทางเข้าด้านข้าง วางไข่ ครัง้ ละประมาณ 3-4 ฟอง แย้ เปน็ สตั ว์เลอ้ื ยคลานจำพวกกิ้งก่าประเภทหน่ึง จัดเปน็ สัตวท์ ี่อยู่ในสกุล Leiolepis ในวงศ์ Agamidae วงศ์ย่อย Leiolepidinae พบทั้งหมด 8 ชนิด สำหรับในประเทศไทยพบทั้งหมด 4 ชนิด มีลักษณะเด่นคือ มีสีสวยสด และลำตัวไม่มีปุ่มหนาม แย้ทุกชนิดเป็นสัตว์ที่หากินและอาศัยอยู่ ในพื้นดิน ไม่ขึ้นต้นไม้อย่างสัตว์เลื้อยคลานชนิดอื่น โดยเฉพาะพื้นดินที่เป็นที่แห้งแล้งลักษณะดินปนทราย ที่อยู่ของแย้เป็นรู ลึกประมาณ 1 ฟุต เป็นโพรงข้างใน สามารถกลับตัวได้ ที่ปากรูจะมีรอยของหางแย้ เป็นรอยยาว ๆ และจะมีรูพิเศษอีกรูหนึ่ง ที่ใช้ป้องกันตัว เมื่อถูกศัตรูรุกรานเข้ารูด้านหนึ่ง แย้สามารถหลบ รอดออกไปอกี รหู นึ่งได้อย่างแยบยล ภาพที่ 21 แย้ ภาพท่ี 22 กระรอก กระรอก เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีขนาดลำตัวเล็ก ขนปุยปกคลุมทั่วทั้งร่างกาย นัยน์ตา กลมดำ หางเป็นพวงฟู กระรอกเป็นสัตว์ที่คล่องแคล่วว่องไวมาก อาหารของกระรอกคือ ผลไม้ และเมล็ด พชื เปน็ หลัก แตก่ ระรอกก็ยงั ชอบกินแมลงด้วยเหมือนกัน โดยเฉพาะกระรอกขนาดใหญ่อยา่ งพญากระรอก นั้นบางครั้งก็ยังกินไข่นกเป็นอาหารอีกด้วยด้วยความน่ารักของกระรอก ทำให้กระรอกหลายชนิดนิยม เป็นสตั ว์เลย้ี งของมนษุ ย์ เพอื่ ความเพลิดเพลนิ

ตัวเงินตัวทอง เป็นกิ้งก่าขนาดใหญ่ ความยาว 2.5–3 เมตร เป็นสัตวใ์ นตระกูลนี้มีความใหญ่ เป็นอันดับสองรองจากมังกรโกโมโด (V. komodoensis) โครงสร้างลำตัวประกอบไปด้วยกระดูกเล็ก ภายใต้ผิวหนังที่เต็มไปด้วยเกล็ดที่เป็นปุ่มนูนขึ้นมา เกล็ดมีการเชื่อมต่อกันตลอดทั้งตัว ไม่มีต่อมเหง่ือ แต่มีต่อมน้ำมันใช้สำหรับการป้องกันการสูญเสยี น้ำ ช่วยให้อยู่บนบกได้ยาวนานมากขึ้น มีลิ้นแยกเป็นสอง แฉกคล้ายงู ใช้สำหรับรับกลิ่นซึ่งสามารถรับรู้ได้ถึงอาหารเป็นระยะทางไกลหลายเมตร โดยสัมผัสกับ โมเลกุลของกลิ่น ปลายลิ้นจะสัมผัสกับประสาทที่ปลายปากเพื่อส่งต่อข้อมูลไปยังสมอง หางยาวมีขนาด พอ ๆ กับความยาวลำตัว เป็นอวัยวะสำคัญสำหรับการทรงตัวและเคลื่อนที่ มีฟันที่มีลักษณะที่คล้าย ใบเลื่อยเหมาะสำหรับการบดกินอาหารที่มีความอ่อนนุ่มโดยเฉพาะ ชอบอาศัยอยู่บริเวณใกล้แหล่งน้ำ ว่ายน้ำเก่งและดำน้ำนาน อุปนิสัยเป็นสัตว์ที่หากินอย่างสงบตามลำพัง จะมารวมตัวกันก็ต่อเมื่อพบกับ อาหาร และมนี ิสัยต่นื คน พังพอน พงั พอนมรี ูปร่างโดยรวม เปน็ สตั ว์ขนาดเลก็ มีลำตัวเพรียวยาว ช่วงขาสั้นแต่แข็งแรง มเี ล็บทแ่ี ขง็ แรงและแหลมคม หางยาว ใบหูเล็ก ส่วนใบหนา้ แหลม ในปากมีฟันแหลมคมประมาณ 33-34 ซ่ี ซึง่ นบั วา่ ใกล้เคียงกบั วงศ์ชะมดและอีเหน็ มลี ำตัวยาวตง้ั แต่ 43 เซนติเมตร จนถงึ 1 เมตร น้ำหนัก 320 กรมั จนถึง มากกว่า 5 กิโลกรัม พังพอนส่วนใหญ่มีขนที่หยาบสีน้ำตาลหรือสีเทา ในบางชนิด จะเป็นขนสีอ่อน และมลี ายปลอ้ งสีคลำ้ พาดเปน็ ลายขวางหรือลายต้ังเป็นทางยาว พังพอนโดยมากจะมีพฤติกรรมอยู่รวมกัน เป็นฝงู หรอื อยูล่ ำพงั เพียงตัวเดียว หรอื อยูก่ นั เป็นกลุ่ม พงั พอน มักหากินในเวลากลางคนื โดยกินอาหารได้ หลากหลาย ตั้งแต่ ผลไม้, ลูกไม้, แมลง, สัตว์ทั้งมีกระดูกสันหลังและไม่มีกระดูกสันหลังขนาดเล็กต่าง ๆ รวมถงึ แมงมุม แมงปอ่ ง และงูหรือกิ้งก่าอกี ดว้ ย อีกทงั้ พงั พอนเปน็ สตั ว์ท่ีมีความปราดเปรยี วว่องไว สามารถ พองขนให้ตัวมีขนาดใหญ่ขึ้นได้เพื่อขู่ศัตรู และมีภูมิคุ้มกันพิษงูอยู่ในตัว จึงสามารถสู้กับงูพิษได้เป็นอย่างดี ด้วยการหลอกล่อให้งูเหนื่อย และฉวยโอกาสเข้ากัดที่ลำคอจนตาย แต่ถ้าหากถูกกัดเข้าอย่างจัง ก็ทำให้ถึง ตายได้เชน่ กัน ภาพท่ี 23 ตวั เงินตัวทอง ภาพท่ี 24 พงั พอน

◼ แหล่งน้ำ อ่างเก็บน้ำห้วยคอ้ ภาพที่ 25 อา่ งเกบ็ น้ำหว้ ยคอ้ จากการทำโครงงานศึกษาค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่น จากการศึกษาจากบุคคล ที่มีความรู้ในท้องถิ่น พบว่า หมู่บ้านหนองแสง ตำบลนาเชือก จังหวัดมหาสารคาม เป็นหมู่บ้านที่เก่าแก่ หมู่บ้านหนึ่งของอำเภอนาเชือก จังหวัดมหาสารคาม ตั้งเป็นหมู่บ้านมานานมากกว่า 100 ปีมาแล้ว โดยมีชาวบ้านที่ย้ายมาจากอำเภอกระนวล จังหวัดรอ้ ยเอ็ด ตั้งฐานบริเวณนี้ โดยชื่อบ้านหนองแสง มาจาก ท้ายหมูบ่ า้ น มหี นองน้ำท่มี ตี ้นแสงขึ้นอย่จู ำนวนมาก ด้วยบาั นหนองแสงมีอัตลกั ษณ์ คือ อ่างเก็บน้ำห้วยค้อ แต่ก่อนที่จะสร้างอ่างเดิม ที่แห่งนี้เป็นทุ่งนาของชาวบ้านทั้งบ้านหนองแสง บ้านของเราในบ้านหนองเลา และบ้านเห็ดไค และบริเวณนั้น มีลำห้วยใหญ่พาดผา่ นเรยี กกันวา่ หว้ ยค้อ สาเหตุที่ตัง้ ชื่อว่าอา่ งเกบ็ นำ้ หว้ ย ค้อ เพราะว่าตั้งซ่ือตามห้วยที่พาดผา่ น จึงมีห้วย และได้มาเป็นอ่างเก็บน้ำหว้ ยค้อในปัจจบุ ัน ซึ่งอ่างเก็บนำ้ ห้วยค้อ เริ่มก่อตั้งในปี พ.ศ. 2509 และสร้างปี พ.ศ. 2511 และมีเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ ทำให้ มีการปรับปรุงอ่างเก็บน้ำห้วยค้อ ขึ้นในปี พ.ศ. 2515 และพัฒนาการท่องเที่ยว คือ พัทยานาเชือกในปี พ.ศ.2540 และมีการตั้งสะพานไม้ฮักนะนาเชือกในปี พ.ศ. 2561 รับการพระราชทานพันธุ์สัตว์น้ำ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ พระราชชนนีพันปี หลวง สมเดจ็ พระกนิษฐาธริ าชเจ้า และไดร้ ับพระราชทานตลอดทุก ๆ ปถี ึงปจั จุบัน ทอดกฐินทางน้ำ รำบชู า แม่คงคาบชู าพญานาคที่พักสงฆ์เกาะโนนข่า อ่างเกบ็ นำ้ หว้ ยค้อ ดร.ปราณี รัตนธรรม ผ้อู ำนวยการโรงเรียน นาเชอื กพิทยาสรรค์ ได้นำคณะครู และนักเรยี น รว่ มกับกลมุ่ คนรกั นาเชอื ก และสำนักงานวัฒนธรรมจงั หวัด มหาสารคาม ได้บูรณาการร่วมกับเครือข่ายวัฒนธรรมอันประกอบด้วย กลุ่มคนรักนาเชือก กลุ่มศิลปิน พื้นบ้าน ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ได้จัดทำโครงการอนุรักษ์และสืบสาน ประเพณีท้องถิ่นแห่กฐินทางน้ำ ณ ที่พักสงฆ์เกาะโนนข่า อ.นาเชือก จ.มหาสารคาม (เกาะโนนข่า) จัดข้ึน ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ปีนี้ตรงกับ วันที่ 31 เดือนตุลาคม 2563 (เป็นวัดทอดถวายกฐิน) ซึ่งตรงกับ

วันลอยกระทงตามความเชื่อว่าการได้ร่วมทำบุญบูชาพญานาค และสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง เป็นเสมือน การได้อุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร สัมภเวสีทั้งหลายทั้งปวง ทั้งยังได้ร่วมลอยกระทง เพื่อขอขมา ต่อพระแม่คงคาอีกด้วย ประเพณีกฐินทางน้ำ เป็นประเพณีการทำบุญของไทยมาตั้งแต่โบราณ และได้ถือ ปฏิบัติสืบต่อมากันมาในระยะเวลาที่กำหนดให้ในปีหนึ่ง ๆ เรียกว่า “กฐินบาล” เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดอื น 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดอื น 12 จะทำก่อนหรอื หลงั จากวนั น้ันไม่ได้ ซง่ึ มีท้งั กฐินที่พระมหากษัตริย์ทรง บำเพ็ญพระราชกุศลไปจนถึงกฐินราษฎร โดยในพื้นที่ที่มีการสัญจรทางน้ำมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีวิถีชีวิต ที่มีความผูกพันกับแม่น้ำหรืออ่างเก็บน้ำ และมีสำนักสงฆ์ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ เมื่อประชาชนในชุมชน ทำบุญ ก็จะใช้การสัญจรทางน้ำ เช่น การทำบุญตักบาตร การทอดกฐินทางน้ำ ก็จะมีการประดับประดาเรือ ให้สวยงาม จัดเป็นขบวนแห่ไปตามท้องน้ำแม่น้ำ ซึ่งในปัจจุบันนี้เริ่มสูญหายไป จึงได้ฟื้นฟูประเพณี นี้ให้คงอยู่สืบต่อไป ประเพณีการแห่เรือองค์ หมายถึง องค์กฐิน หรือ องค์ผ้าป่า กำหนดจัดในช่วง ออกพรรษาประมาณเดือน 11 และเดือน 12 ซึ่งเป็นฤดูน้ำ หลาก และเป็นช่วงระยะเวลาที่สามารถ จะทอดกฐินหรือทอดผ้าป่าได้โดยไม่จำกัดเวลารวมทั้งเชื่อว่าจะได้อานิสงส์ในการทำบุญมาก ความสำคัญ ประเพณีเรือองค์ คือประเพณีการทอดกฐินหรือทอดผ้าป่าทางน้ำโดยอาศัยขบวนเรือที่เรียกว่า ขบวนเรือ องค์กฐินหรือขบวนเรือองค์ผ้าป่า แห่ขึ้นล่องตามลำน้ำไปถวายองค์กฐินหรือองค์ผ้าป่าตามวัดซึ่งอยู่แถวริม แม่น้ำ ลำคลอง หรือใกล้ ๆ แม่น้ำนั่นเองส่วนประวัติความเป็นมาของเรือองค์นี้ มีผู้สันนิษฐานว่าน่าจะได้ แบบอย่างการเสด็จทอดกฐินของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินในสมัยอยุธยาเป็นต้นมา ซึ่งโปรดที่จะเสด็จมาทอดผ้า พระกฐินทางชลมารค ภายในงานมีการร่วมมือร่วมใจของการเตรียมกองบุญกฐิน มีการรำบูชาแม่คงคา ในขบวนมีการแต่งกายผ้าชุดพนื้ เมืองและขบวนเรอื ของกองกฐนิ จากทกุ ภาคสว่ น มมี โหรีสนุกสนาน บรรเลง โดยคณะกลองยาววงปูแป้งของโรงเรียนนาเชือกพิทยาสรรค์ ซึ่งเป็นการสืบสานประเพณีอันงดงามอย่าง แทจ้ ริง พ.ศ. 2562 มกี ุฏิ 1 หลัง พระจำพรรษา 1 รูป พระสรุ ัตน์ จารุธโม พรรษา 6 มหี ้องน้ำ 3 หอ้ ง มเี รือ 1 ลำ พ.ศ. 2563 มีกุฏริ วม 5 หลงั พระจำพรรษา 5 รปู ◼ สภาพทางธรณีวทิ ยา (Geographic Conditions) ทรัพยากรธรณี หมายถึง ทรัพย์อันอยู่ใต้แผ่นดิน เช่น แร่ธาตุ หิน ดิน กรวด ทราย น้ำบาดาล ถ่านหิน หินน้ำมัน ปิโตรเลียม และซากดึกดำบรรพ์ ซึ่งมีคุณประโยชน์อย่างยิ่งต่อสิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้น มาบนโลก  หมวดหนิ มหาสารคาม (Kms) หมวดหนิ มหาสารคามต้ังช่ือตามจงั หวัดมหาสารคาม โดยมชี ้ันหินแบบฉบบั อยู่ท่ีหลุมเจาะ น้ำบาดาลหมายเลข F-34 บริเวณบ้านเชียงเหียน อําเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม อายุของหมวดหิน มหาสารคามได้จากลำดับชั้นหิน การศึกษาเรณูวิทยาและการศึกษาสนามแม่เหล็กโบราณพบว่ า มอี ายคุ รเี ทเชยี สตอนปลาย ความหนาและการแผ่กระจาย พบการแผ่กระจายตัวในพื้นราบที่ระดับความสูงประมาณ 170 เมตร จากระดบั น้ำทะเลปานกลาง บรเิ วณอำเภอเชียงยืน อำเภอบรบือ อำเภอแกดำ อำเภอวาปีปทุม อำเภอนาดูน และอำเภอพยคั ฆภมู พิ ิสัย

ลักษณะทางกายภาพของชั้นหิน จากข้อมูลหลุมเจาะต่าง ๆ ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน โดยเฉพาะหลุมเจาะสํารวจโพแทช 194 หลุม และข้อมูลที่มีผู้ศึกษามาก่อน หมวดหินมหาสารคามโดยรวม มลี กั ษณะทางกายภาพและลำดับชนั้ หินจากลา่ งขน้ึ บนดงั นี้ คอื 1. แอนไฮไดรต์ชัน้ ฐาน หนาประมาณ 1-3 เมตร 2. เกลือหินชั้นล่าง ประกอบด้วย แร่เกลือหินและแร่โพแตส ความหนารวมประมาณ 300-400 เมตร 3. หินโคลนชั้นล่าง สีน้ำตาลแกมแดง น้ำตาลแกมม่วง สีเทาดำ มีจุดสีเขียวอยู่ทั่วไป มีสายแร่คารน์ าไลตแ์ ละเฮไลต์อยูท่ ว่ั ไป ความหนาอยู่ระหวา่ ง 10-80 เมตร 4. เกลือหินชั้นกลาง ส่วนใหญ่ประกอบด้วยแร่เฮไลต์บางครั้ง พบแร่แอนไฮไดรต์ บางครง้ั พบแร่แอนไฮไดรต์หรือแร่ยบิ ซมั อย่ดู ้วย ความหนาอยปู่ ระมาณ 20-80 เมตร 5. หินโคลนชั้นกลาง มีลักษณะคล้ายหินโคลนชั้นล่าง แต่ไม่มีสายแร่คาร์นาไลต์ หนา ประมาณ 20-70 เมตร 6. เกลือหินชั้นบนนั้น ประกอบด้วยเกลือหิน แร่ยิบซัมและแอนไฮไดรต์ชั้นบางแทรก หนาประมาณ 5-20 เมตร ขอบเขตของหมวดหินมหาสารคาม ส่วนใหญจ่ ะเป็นเขตพื้นท่ดี ินเค็ม เน่อื งจากชั้นหนิ เคลย์ ซึ่งมีเกลืออยู่ในเนื้อหินเมื่อโผล่พ้นพื้นดินเกลือที่อยู่ในเนื้อหินจะแยกตัวออกมา นอกจากนั้น ชั้นเกลือหิน ของหมวดหินมหาสารคาม ซ่งึ มีคุณสมบัติละลายน้ำได้ดี มกั จะเคล่อื นท่ีไปตามรอยแตกของชั้นหินในสภาพ ของน้ำที่มีความเค็มสูงเข้ามาในชั้นน้ำใต้ดินและขึ้นสู่ผิวดิน เมื่อน้ำแห้ง จะทิ้งคราบเกลือสีขาวพบเห็นได้ ทั่วไป  หมวดหินภูทอก (Kpt) หมวดหินภูทอกในความหมายเดมิ เป็นหมวดหนิ ที่ประกอบไปดว้ ยหินทราย เป็นส่วนใหญ่ ที่โผล่ให้เห็นในพื้นที่บริเวณที่ราบสูงโคราชบริเวณขอบแอ่งด้านทิศเหนือ ของแอ่งอุดรธานี-สกลนคร โดยมีชั้นหินแบบฉบับอยู่ที่ภูทอกน้อย อําเภอศรีวิไล จังหวัดหนองคาย ปัจจุบัน พบหมวดหิน ภูทอก แผ่กระจายอย่างกว้างขวางบริเวณตอนกลางของที่ราบสูงโคราช เช่นที่จังหวัดขอนแก่น กาฬสินธุ์ นครราชสีมา ร้อยเอ็ด รวมทัง้ จังหวดั มหาสารคาม ลกั ษณะทางกายภาพของช้นั หนิ หมวดหนิ ภทู อกในพื้นท่ี จงั หวัดมหาสารคาม ประกอบด้วย หินทราย แทรกชนั้ อยู่กับหินทรายแป้ง หนิ โคลน และหนิ หินเคลย์สีแดง อิฐ สีน้ำตาลแดง หินทรายขนาด เม็ดละเอียด แสดงชั้นเฉียงระดับขนาดเล็ก และแถบชั้นบาง ขนาดชั้นปานกลางถึงหนา ประกอบด้วย ควอตซ์ไมกา และเหล็กออกไซด์ตัวเชื่อมประสานเป็นแร่เหล็ก ความหนาและการแผ่กระจาย หมวดหินภทู อก เป็นหมวดหินที่พบแผ่กระจายบริเวณตอนกลาง ๆ ของพ้ืนที่ จังหวัด ครอบคลมพื้นที่ประมาณ 40% ของพื้นที่ มักพบเป็นพื้นที่เนินสูง ที่ระดับความสูงประมาณ 170 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลางขึ้นไป ในเขตพื้นที่อําเภอกุดรัง อําเภอบรบือ อําเภอนาเชือก เป็นต้น

 ตะกอนร่วนยุคควอเทอรนารี (Q) ตะกอนร่วน หมายถึง กรวด ทราย ดิน และดินเหนียว ที่ยังไม่แข็งตัวกลายเป็นหิน อายุประมาณ 1.8 ล้านปีจนถึงปัจจุบัน (ยุคควอเทอร์นารี) พบกระจายตัวเป็นบริเวณกว้างทางตอนเหนือ ของจังหวัดตามแนวลำน้ำชีและแม่นำ้ สาขา สามารถจาํ แนกตะกอนรวนในพ้ืนท่ี โดยอาศัยชนิดของตะกอน และสภาวะแวดลอ้ มของการตกตะกอนออกเปน็ 2 หน่วยตะกอนย่อย คอื 1. หนว่ ยตะกอนตะพกั ลานำ้ (Qt) ตะกอนตะพักลําน้ำปรากฏเป็นพื้นที่เนินกระจายตัวในพื้นที่บริเวณอำเภอเชียงยืน ประกอบด้วย กรวด ศิลาแลง ไม้กลายเปน็ หินอลุ กมณี (Tektite) ปิดทบั ดว้ ยชัน้ ตะกอนก่ึงแข็งของตะกอน ทรายปนทรายแป้ง สีแดง และสีเหลือง ดินที่พบบริเวณนี้ มีธาตุอาหารอุดมสมบูรณ์พอสมควร ปลูกพืชไร่ พืน้ ที่บรเิ วณน้ีไมอ่ ยู่ในเขตน้ำท่วม-ขังเหมาะสำหรับเป็นที่อยู่อาศยั 2. หนว่ ยตะกอนน้ำพา (Qa) พบแผ่กระจายบริเวณที่ราบลุ่มของแม่น้ำชีเป็นสวนใหญ่ ในเขตอำเภอโกสุมพิสัย อำเภอเมืองมหาสารคาม และในบางส่วนเป็นตะกอนที่ราบลุ่มแม่น้ำมูลในพื้นที่อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย ประกอบด้วย ตะกอนกรวด ทราย ทรายแป้ง และดินเหนียว เกิดจากน้ำพัดพากรวด หิน ดิน ทราย ไป สะสมตัวลักษณะเป็นภูมิประเทศที่ราบริมแม่น้ำ พื้นที่ราบนี้ มักเป็นแหล่งสะสมตัวของชั้นทรายแม่น้ำ โดยทั่วไป สภาพดินเป็นดินร่วนทีม่ ีแร่ธาตุที่จำเป็นต่อพืชอุดมสมบูรณ์เหมาะต่อการเพาะปลกู แต่เนื่องจาก เป็นที่ราบ จึงมักประสบกับน้ำท่วมขังในช่วงฤดูฝนเป็นประจำ และในบางพื้นที่อาจมีสภาพเป็นดินเค็ม เน่ืองจากถกู รองรบั ด้วยหมวดหนิ มหาสารคาม ซึ่งมเี กลอื หินแทรกอยู่

แผนท่ีทางธรณีวทิ ยา จงั หวดั มหาสารคาม

ภาพที่ 26 ธรณีวทิ ยาจงั หวัดมหาสารคาม ทีม่ า: กรมทรพั ยากรธรณี (2552)



◼ ทรพั ยากรดนิ สำหรับพื้นที่ตำบลนาเชือก กลุ่มชุดดินในพื้นที่ลุ่ม พบได้ทุกภาค ในบริเวณที่ลุ่ม การระบายน้ำ ของดินไม่ดี มักมีน้ำแช่ขังในฤดูฝน ไม่เหมาะสำหรับเพาะปลูกพืชไร่ ไม้ผล และไม้ยืนต้น และดินในพื้นที่ ดอนเขตดินแห้ง เขตดินแห้ง เป็นเขตพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่ส่วนใหญ่ของภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ และภาคกลาง โดยทั่วไปมีฝนตกน้อยและตกกระจายไม่สม่ำเสมอ ปริมาณฝนตก เฉล่ยี นอ้ ยกวา่ 1,500 มลิ ลิเมตรตอ่ ปี  กลมุ่ ชุดดินที่ 18 ชุดดิน: ชุดดินชลบุรี (Cb) ชุดดินไชยา (Cya) ชุดดินโคกสำโรง (Ksr) และ ชุดดินเขาย้อย (Kyo) ลักษณะเด่น: กลุ่มดินร่วนละเอียดลึกมากที่เกิดจากตะกอนลำน้ำ ปฏิกิริยาดินเป็นกลาง หรือเปน็ ด่าง การระบายนำ้ เร็วถึงคอ่ นข้างเร็ว ความอดุ มสมบรู ณต์ ำ่ ถงึ ปานกลาง ปัญหา: ความอุดมสมบูรณ์ต่ำ บางพื้นที่ขาดแคลนน้ำนาน และน้ำท่วมขังในฤดูฝน ทำความเสียหายกับพชื ท่ีไม่ชอบนำ้ แนวทางการจัดการ: ปลูกข้าว ไถกลบตอซัง ปล่อยทิ้งไว้ 3-4 สัปดาห์ หรือไถกลบปุ๋ยพืช สด (หว่านโสนอัฟริกนั หรือโสนอนิ เดยี 4-6 กิโลกรมั /ไร่ ไถกลบเมื่ออายุ 50-70 วนั ปลอ่ ยไว้ 1-2 สัปดาห์) รว่ มกับการใชป้ ุ๋ยอนิ ทรียน์ ้ำหรือปุ๋ยเคมีสูตร 16-16-8 ใสป่ ยุ๋ แต่งหน้าหลังปักดำ 35-45 วัน พัฒนาแหล่งน้ำ ไว้ใช้ในช่วงที่ข้าวขาดน้ำหรือใช้ทำนาครั้งที่ 2 หรือปลูกพืชไร่ พืชผักหรือพืชตระกูลถั่วหลังเก็บเกี่ยวข้าว โดยทำร่องแบบเต้ีย ปรับปรุงดนิ ด้วยปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก 2-3 ตนั /ไร่ ร่วมกบั ปุ๋ยเคมหี รอื ปุ๋ยอนิ ทรยี น์ ำ้ ปลูกพืชไร่ พืชผักหรือไมผ้ ล ยกร่องกว้าง 6-8 เมตร คูน้ำกว้าง 1.0-1.5 เมตร ลึก 0.5-1.0 เมตร และมีคันดนิ อดั แน่นล้อมรอบ เพื่อปอ้ งกนั น้ำท่วมขงั ปรบั ปรงุ ดนิ ด้วยปุย๋ หมกั หรือปุ๋ยคอก 2-3 ตัน/ไร่ ร่วมกับปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยอินทรีย์น้ำ หรือขุดหลุมปลูกขนาด 50x50x50 ซม. ปรับปรุงหลุมปลูกด้วยปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยคอก 20-35 กิโลกรัม/หลุม ในช่วงเจริญเติบโต ก่อนเก็บผลผลิตและภายหลังเก็บผลผลิต มีการใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกร่วมกับปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยอินทรีย์น้ำ พัฒนาแหล่งน้ำและจัดระบบการให้น้ำ ในแปลงปลูก  กลุ่มชดุ ดินที่ 22 ชุดดิน: ชุดดนิ น้ำกระจาย (Ni) ชุดดนิ สนั ทราย (Sai) และชดุ ดินสีทน (St) ลักษณะเด่น: กลุ่มดินร่วนหยาบลึกมากที่เกิดจากตะกอนลำน้ำเนื้อหยาบ ปฏิกิริยาดิน เป็นกรดจัดถึงเป็นกลาง การระบายนำ้ เร็วถึงคอ่ นข้างเร็ว ความอุดมสมบรู ณ์ตำ่ ปัญหา: เนื้อดินค่อนข้างเป็นทราย ความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ขาดแคลนน้ำนาน และน้ำท่วม ขังในฤดฝู น ทำความเสียหายกับพืชที่ไม่ชอบนำ้ แนวทางการจัดการ: ปลูกข้าว ไถกลบตอซัง ปล่อยทิ้งไว้ 3-4 สัปดาห์ หรือไถกลบปุ๋ยพืช สด (โสนอัฟริกัน หรือโสนอินเดีย 4-6 กิโลกรัม/ไร่ ไถกลบเมื่ออายุ 50-70 วัน ปล่อยไว้ 1-2 สัปดาห์) รว่ มกับการใชป้ ุ๋ยอินทรียน์ ้ำหรือปุ๋ยเคมสี ูตร 16-16-8 ใสป่ ยุ๋ แตง่ หน้าหลังปกั ดำ 35-45 วัน พัฒนาแหล่งน้ำ ไว้ใช้ในช่วงที่ข้าวขาดน้ำหรือใช้ทำนาครั้งที่ 2 หรือปลูกพืชไร่ พืชผักหรือพืชตระกูลถั่วหลังเก็บเกี่ยวข้าว โดยทำร่องแบบเตย้ี ปรบั ปรุงดนิ ด้วยปยุ๋ หมกั หรอื ปยุ๋ คอก 2-3 ตนั /ไร่ รว่ มกับปุ๋ยเคมีหรือปยุ๋ อนิ ทรยี ์น้ำ

ปลูกพืชไร่ พชื ผกั หรอื ไม้ผล ยกร่องกวา้ ง 6-8 เมตร คนู ้ำกวา้ ง 1.0-1.5 เมตร ลกึ 0.5-1.0 เมตร และมีคนั ดินอดั แน่นล้อมรอบ ปรบั ปรุงดนิ ดว้ ยปุย๋ หมกั หรอื ปยุ๋ คอก 2-3 ตนั /ไร่ ร่วมกับปยุ๋ เคมหี รอื ปุ๋ย อินทรีย์น้ำ หรือขุดหลุมปลูกขนาด 50x50x50 ซม. ปรับปรุงหลุมปลูกด้วยปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก 20-35 กิโลกรัม/หลุม ในช่วงเจริญเติบโต ก่อนเก็บผลผลิตและภายหลังเก็บผลผลิต ใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก ร่วมกับปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยอินทรีย์น้ำ ตามชนิดพืชที่ปลูก พัฒนาแหล่งน้ำชลประทานและจัดระบบการให้น้ำ ในแปลงปลูก  กลุ่มชดุ ดินท่ี 24 ชุดดนิ : ชุดดินบ้านบึง (Bbg) ชุดดนิ ท่าอเุ ทน (Tu) และชดุ ดินอุบล (Ub) ลักษณะเด่น: กลุ่มดินทรายลึกมากเกิดจากตะกอนลำน้ำที่มีเนื้อดินเป็นดินทรายหนา ปฏิกริ ิยาดนิ เป็นกรด การระบายนำ้ ค่อนขา้ งเลวถึงดปี านกลาง ความอดุ มสมบูรณ์ต่ำ ปัญหา: เนื้อดินเป็นดินทราย ความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ขาดแคลนน้ำ และน้ำท่วมขังในฤดฝู น ทำความเสยี หายกบั พืชท่ีไมช่ อบน้ำ แนวทางการจัดการ: ปลูกข้าว ไถกลบตอซัง ปล่อยไว้ 3-4 สัปดาห์ หรือไถกลบปุ๋ยพืชสด ร่วมกับการใช้ปุ๋ยอินทรีย์น้ำหรือปุ๋ยเคมีสูตร 16-16-8 (หว่านโสนอัฟริกันหรือโสนอินเดีย 6-8 กิโลกรัม/ไร่ ไถกลบเมื่ออายุ 50-70 วัน ปล่อยไว้ 1-2 สัปดาห์) พัฒนาแหล่งน้ำชลประทานไว้ใช้ในช่วงที่ข้าวขาดน้ำ หรือใช้ปลูกพืชไร่ พืชผักหรือพืชตระกูลถั่วหลังเก็บเกี่ยวข้าว โดยทำร่องแบบเตี้ย ปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยคอก 3-4 ตัน/ไร่ ร่วมกับปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยอินทรีย์น้ำ ปลูกพืชไร่ พืชผัก หรือไม้ผล ยกร่องกว้าง 6-8 เมตร คูน้ำกว้าง 1.0-1.5 เมตร ลึก 0.5-1.0 เมตร และมีคันดินอัดแน่นล้อมรอบ เพื่อป้องกันน้ำท่วมขัง ปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยหมกั หรือปุ๋ยคอก 3-4 ตัน/ไร่ ร่วมกับปุ๋ยเคมีหรือปุย๋ อินทรีย์น้ำ หรือขุดหลุมปลูกขนาด 75x75x75 ซม. พร้อมปรับปรุงหลุมปลูกด้วยอินทรียวัตถุ ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกร่วมกับปุ๋ยเคมี 25-50 กิโลกรัม/หลมุ ในช่วงเจริญเตบิ โต ก่อนเก็บผลผลิตและภายหลังเกบ็ ผลผลิต ใช้ปุ๋ยหมักหรอื ปุ๋ยคอกรว่ มกบั ปยุ๋ เคมตี ามชนิดพืชท่ปี ลูก พฒั นาแหล่งน้ำและจดั ระบบการใหน้ ้ำในแปลงปลกู  กลุ่มชุดดนิ ที่ 37 ชุดดิน: ชุดดินบอ่ ไทย (Bo) ชุดดินนาคู (Nu) และชดุ ดินทบั เสลา (Tas) ลักษณะเด่น: กลุ่มดินร่วนหยาบลึกปานกลาง ที่เกิดจากการสลายตัวหรือพัดพาตะกอน เนื้อหยาบ มาทับถมบนชั้นหินผุในช่วงความลึก 50-100 ซม. จากผิวดิน ปฏิกิริยาดินเป็นกรดจัดมาก การระบายนำ้ ดีถึงดปี านกลาง ความอุดมสมบรู ณ์ตำ่ ปญั หา: ดินปนทราย ความอุดมสมบรู ณ์ตำ่ ขาดแคลนน้ำ ในพื้นทท่ี ม่ี ีความลาดชนั ดินง่าย ตอ่ การถูกชะล้างพงั ทลายสูญเสยี หนา้ ดนิ แนวทางการจัดการ: ปลูกพืชไร่หรือพืชผัก เลือกพื้นที่ค่อนข้างราบเรียบ ปรับปรุงดิน ด้วยปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก 2-3 ตัน/ไร่ หรือไถกลบปุ๋ยพืชสด (หว่านเมล็ดถั่วพร้า 8-10 กิโลกรัม/ไร่ เมล็ดถั่วพุ่ม 6-8 กิโลกรัม/ไร่ หรือปอเทือง 4-6 กิโลกรัม/ไร่ ไถกลบระยะออกดอก ปล่อยไว้ 1-2 สัปดาห์) ร่วมกับปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยอนิ ทรียน์ ้ำ มวี สั ดคุ ลมุ ดิน ปลูกพืชหมุนเวียน หรือปลกู พชื สลบั เป็นแถบ พัฒนาแหล่ง นำ้ และจดั ระบบการใหน้ ำ้ ในแปลงปลกู

ปลูกไม้ผล ขุดหลุมปลูกขนาด 50x50x50 ซม. ปรบั ปรงุ หลุมปลกู ดว้ ยป๋ยุ หมักหรือปุ๋ยคอก 20-35 กโิ ลกรัม/หลมุ รว่ มกบั ปยุ๋ เคมีหรือปุ๋ยอนิ ทรียน์ ้ำ มีระบบอนุรกั ษ์ดินและนำ้ เช่น ทำขั้นบันได คันดิน ปลูกพืชคลุมดิน ปลูกพืชแซม วัสดุคลุมดิน ทำแนวรั้วหรือทำฐานหญ้าแฝกเฉพาะต้น ในช่วงเจริญเติบโต กอ่ นเก็บผลผลติ และภายหลังเก็บผลผลิต ใชป้ ยุ๋ หมกั หรือปุ๋ยคอกร่วมกบั ปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยอินทรีย์นำ้ ตามชนิด พชื ท่ีปลกู พฒั นาแหล่งน้ำและจัดระบบการให้น้ำในแปลงปลกู  กลุ่มชุดดินที่ 40 ชุดดิน: ชุดดินจักราช (Ckr) ชุดดินชุมพวง (Cpg) ชุดดินหุบกระพง (Hg) ชุดดินห้วยแถลง (Ht) ชดุ ดินสันปา่ ตอง (Sp) และชุดดนิ ยางตลาด (Yl) ลักษณะเดน่ :กลมุ่ ดินรว่ นหยาบลึกถงึ ลกึ มากทีเ่ กดิ จากตะกอนลำนำ้ หรอื วตั ถตุ ้นกำเนิดเนื้อ หยาบ ปฏิกิริยาดินเป็นกรดจดั หรือเปน็ กลาง การระบายน้ำดถี งึ ดปี านกลาง ความอุดมสมบรู ณต์ ำ่ ปัญหา: ดินปนทราย ความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ขาดแคลนน้ำ ในพื้นที่ที่มีความลาดชัน ดินงา่ ยต่อการถูกชะลา้ งพงั ทลายสญู เสียหน้าดนิ แนวทางการจัดการ: ปลูกพืชไร่หรือพืชผัก เลือกพื้นที่ค่อนข้างราบเรียบ ปรับปรุงดิน ด้วยปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก 2-3 ตัน/ไร่ หรือไถกลบปุ๋ยพชื สด (หว่านเมล็ดถั่วพร้า 8-10 กิโลกรัม/ไร่ เมล็ดถั่ว พุ่ม 6-8 กิโลกรัม/ไร่ หรือปอเทือง 4-6 กิโลกรัม/ไร่ ไถกลบระยะออกดอก ปล่อยไว้ 1-2 สัปดาห์) ร่วมกับปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยอินทรีย์น้ำ มีวัสดุคลุมดิน ปลูกพืชหมุนเวียน หรือปลูกพืชสลับเป็นแถบ พัฒนา แหล่งนำ้ และจดั ระบบการใหน้ ้ำในแปลงปลกู ปลูกไมผ้ ล ขุดหลุมปลูกขนาด 50x50x50 ซม. ปรบั ปรุงหลุมปลกู ดว้ ยปยุ๋ หมักหรือปุ๋ยคอก 20-35 กโิ ลกรมั /หลมุ รว่ มกับปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยอนิ ทรีย์นำ้ มีระบบอนุรกั ษด์ ินและน้ำ เชน่ ทำขั้นบันได คันดิน ปลูกพืชคลุมดิน ปลูกพืชแซม วัสดุคลุมดิน ทำแนวรั้วหรือทำฐานหญ้าแฝกเฉพาะต้น ในช่วงเจริญเติบโต กอ่ นเกบ็ ผลผลิตและภายหลังเก็บผลผลิต ใช้ปุ๋ยหมกั หรอื ปุ๋ยคอกร่วมกับปุย๋ เคมหี รือปยุ๋ อินทรีย์น้ำ ตามชนิด พืชที่ปลูก พฒั นาแหลง่ น้ำและจดั ระบบการใหน้ ้ำในแปลงปลกู  กลุ่มชดุ ดนิ ท่ี 41 ชุดดิน: ชุดดนิ บา้ นไผ่ (Bpi) ชุดดินคำบง (Kg) และชุดดนิ มหาสารคาม (Msk) ลักษณะเด่น: กลุ่มดินทรายหนาปานกลาง ที่เกิดจากตะกอนลำน้ำหรือตะกอนเนื้อหยาบ ทับอยู่บนชั้นดินท่ีมเี นือ้ ดินเป็นดินร่วนปนดินเหนยี ว หรือดินร่วนเหนยี วปนทรายแป้ง ปฏิกิริยาดนิ เป็นกรด เล็กน้อยถึงเป็นกลาง การระบายนำ้ ดี อยบู่ นช้นั ดินท่ีมีการระบายน้ำดีปานกลาง ความอุดมสมบูรณ์ตำ่ ปญั หา: ดินทรายหนาปานกลาง ความอดุ มสมบรู ณต์ ่ำ ขาดแคลนนำ้ นาน ในระยะท่ีฝนตก หนักจะมีน้ำขงั หรอื เกิดการชะล้างพงั ทลายสญู เสยี หนา้ ดิน เกิดเป็นร่องทวั่ ไปในแปลงปลกู แนวทางการจัดการ: ปลูกพืชไร่หรือพืชผัก จัดระบบการปลูกพืชหมุนเวียนตลอดทั้งปี ปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก 3-4 ตัน/ไร่ หรือไถกลบปุ๋ยพืชสด (หว่านเมล็ดถั่วพร้า 10-12 กิโลกรัม/ไร่ เมล็ดถั่วพุ่ม 8-10 กิโลกรัม/ไร่ หรือปอเทือง 6-8 กิโลกรัม/ไร่ ไถกลบระยะออกดอก ปล่อยไว้ 1-2 สัปดาห)์ รว่ มกบั การใชป้ ุ๋ยเคมีหรือปุย๋ อนิ ทรยี ์นำ้ มีวัสดุคลมุ ดินหรอื ปลูกพืชสลับเป็นแถบ พัฒนาแหล่ง น้ำและจัดระบบการให้น้ำในแปลงปลูก ในพื้นที่ต่ำควรทำร่องหรือทางระบายน้ำ เพื่อป้องกันน้ำขังบริเวณ รากพืช ปลูกไม้ผล ขุดหลุมปลูกขนาด 75x75x75 ซม. ปรับปรุงหลุมปลูกด้วยปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก

25-50 กิโลกรัม/หลุม ทำร่องระบายน้ำระหว่างแถวปลูก เพื่อป้องกันน้ำขังบริเวณรากพืช ปลูกพืชคลุมดนิ วัสดุคลุมดิน หรือปลูกพืชแซม ทำแนวรั้วหรือทำฐานหญ้าแฝกเฉพาะต้น พัฒนาแหล่งน้ำและระบบ การใหน้ ำ้ ในแปลงปลกู ในชว่ งเจรญิ เตบิ โต ก่อนเกบ็ ผลผลิตและภายหลังเกบ็ ผลผลิต ใชป้ ยุ๋ หมักหรือปุ๋ยคอก รว่ มกบั ปุ๋ยเคมหี รอื ปยุ๋ อนิ ทรียน์ ำ้ ตามชนิดพืชที่ปลกู พฒั นาแหล่งนำ้ และจัดระบบการใหน้ ้ำในแปลงปลกู  กลมุ่ ชุดดนิ ท่ี 44 ชดุ ดิน: ชุดดนิ จันทกึ (Cu) ชดุ ดินดา่ นขดุ ทด (Dk) และชดุ ดนิ นำ้ พอง (Ng) ลักษณะเด่น: กลุม่ ดนิ ทรายหนาท่เี กิดจากตะกอนลำนำ้ หรือตะกอนเนอ้ื หยาบ ปฏิกริ ยิ าดนิ เปน็ กรดเล็กนอ้ ยถงึ เปน็ กลาง การระบายนำ้ คอ่ นข้างมาก ความอดุ มสมบูรณต์ ำ่ ปัญหา :ดินทรายหนา ความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ขาดแคลนน้ำนาน หน้าดินง่ายต่อการถูก ชะล้างพงั ทลาย สญู เสยี หน้าดนิ เกิดเป็นรอ่ งทั่วไปในแปลงปลูก แนวทางการจัดการ: ปลูกพืชไร่หรือพืชผัก จัดระบบการปลูกพืชให้หมุนเวียนตลอดทั้งปี ปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก 3-4 ตัน/ไร่ หรือไถกลบปุ๋ยพืชสด (หว่านเมล็ดถั่วพร้า 10-12 กิโลกรัม/ไร่ เมล็ดถั่วพุ่ม 8-10 กิโลกรัม/ไร่ หรือปอเทือง 6-8 กิโลกรัม/ไร่ ไถกลบระยะออกดอก ปล่อยไว้ 1-2 สัปดาห์) รว่ มกบั การใช้ป๋ยุ เคมีหรือปุ๋ยอนิ ทรยี ์นำ้ มีวสั ดุคลมุ ดินหรอื ปลูกพืชสลบั เปน็ แถบ พัฒนาแหล่ง นำ้ และจดั ระบบการให้น้ำในแปลงปลูก ปลกู ไม้ผล ขุดหลุมปลูกขนาด 75x75x75 ซม.ปรบั ปรงุ หลุมปลกู ดว้ ยปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก 25-50 กิโลกรัม/หลมุ ปลูกพชื คลมุ ดิน วัสดคุ ลุมดนิ ปลูกพืชแซม ทำแนวร้วั หรือทำฐานหญ้าแฝกเฉพาะต้น ในชว่ งเจรญิ เตบิ โต กอ่ นเก็บผลผลิตและภายหลังเก็บผลผลิต มีการใชป้ ยุ๋ เคมรี ่วมกับการใช้ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ย คอก ตามชนดิ พชื ทป่ี ลูก พฒั นาแหล่งนำ้ และจัดระบบการให้น้ำในแปลงปลกู

ภาพท่ี 27 กลุ่มชุดดิน ตำบลนาเชือก ที่มา: กรมพัฒนาท่ดี นิ (2563)

◼ สภาพภมู อิ ากาศ ลักษณะภูมิอากาศของจังหวัดมหาสารคาม ขึ้นอยู่กับอิทธิพลของมรสุมที่พัดประจำฤดูกาล 2 ชนิด คือ มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งพัดพามวลอากาศเย็นและแห่งจากประเทศจีนเข้าปกคลุม ประเทศไทยตั้งแต่ประมาณกลางเดือนตุลาคมถึงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งอยู่ในช่วงฤดูหนาว ของประเทศไทย ทำให้จังหวัดมหาสารคามมีอากาศหนาวเย็นและแห้งทั่วไป ส่วนมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ที่พัดพามวลอากาศชื้นจากทะเลและมหาสมุทรเข้าปกคลมุ ประเทศไทยในช่วงฤดูฝน (ประมาณกลางเดือน พฤษภาคมถึงประมาณกลางเดือนตุลาคม) ทำให้มีฝนตกชุกทั่วไปตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป โดยตำบลโคกกอ่ มีลักษณะฝนตกสลับกบั อากาศแห้ง (Wet and Dry Climate) มีปริมาณนำ้ ฝนเฉล่ียต่อปี อยู่ประมาณ 118 มลิ เิ มตร/ปี อณุ หภูมิเฉลย่ี ตลอดปี อยทู่ ปี่ ระมาณ 28 องศาเซลเซียส ในชว่ งเดอื นเมษายน ของทุกปี โดยจะมีอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย ประมาณ 39 องศาเซลเซียส ส่วนอุณหภูมิต่ำสุด วัดได้ในช่วงเดือน มกราคม อยู่ประมาณ 15 องศาเซลเซียส มีฤดูกาลต่าง ๆ แบ่งเป็น 3 ฤดู ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม ไปจนถึงเดือนมิถุนายน ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ไปจนถึงเดือนตุลาคม และฤดูหนาว เริ่มตั้งแต่ เดอื นพฤศจกิ ายนไปจนเดือนกุมภาพนั ธ์  ฤดกู าล ฤดูกาลของจังหวัดมหาสารคาม พิจารณาตามลักษณะของลมฟ้าอากาศของประเทศไทย สามารถแบง่ ออกไดเ้ ป็น 3 ฤดู ดังน้ี 1. ฤดูหนาว เริ่มต้นประมาณกลางเดือนตุลาคมถึงประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงทีม่ รสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลมุ ประเทศไทยและบรเิ วณความกดอากาศสูงจากประเทศ จีนที่มีคุณสมบัติเย็นจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนในช่วงดังกล่าว ทำให้อากาศโดยทั่วไปบริเวณ จังหวัดมหาสารคามจะหนาวเย็นและแห่ง โดยมีอากาศหนาวจัดในบางวัน โดยเฉพาะในช่วงเดือนธันวาคม ถึงมกราคมจะเปน็ ช่วงท่มี อี ากาศหนาวเย็นมากท่สี ุด 2. ฤดูร้อน เริ่มต้นประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ถึงกลางเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นที่มี อากาศร้อนอบอ้าวโดยทวั่ ไป โดยเฉพาะเดือนเมษายนจะเป็นเดอื นท่ีมอี ากาศร้อนอบอ้าวท่สี ุดของปี 3. ฤดูฝน เรม่ิ ต้นประมาณกลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนตุลาคม เป็นช่วงที่มรสุม ตะวันตกเฉียงใต้พัดเอาความชืน้ จากทะเลและมหาสมุทรมาปกคลุมประเทศไทย โดยมีร่องความกดอากาศ ต่ำที่พาดอยู่ บริเว ณภ าคใต้ ของประเทศไทยจะเลื่อนขึ้นมาพาดผ่ านบริเวณภ าคเ หนื อ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ทำให้อากาศเริ่มชุ่มชื้นและมีฝนตกชุกตั้งแต่ประมาณ กลางเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป โดยเฉพาะเดือนกันยายนเป็นเดือนที่มีฝนตกชุกหนาแน่นมากที่สุด ในรอบปี แต่อย่างไรก็ตามนอกจากปัจจัยดังกล่าวที่ทำให้มีฝนตกชุกแล้วยังขึ้นอยู่กับอิทธิพลของพายุหมุน เขตร้อนที่เคลื่อนตัวเข้าใกล้หรือเข้าสู่ประเทศไทยในช่วงดังกล่าวด้วย อุณหภูมิ เนื่องจากลักษณะพื้นที่ ของจังหวัดมหาสารคามเป็นที่ราบสูงไม่มีภูเขา อากาศจึงไม่ร้อนอบอ้าวมากนักในช่วง ฤดูร้อน และอากาศ ค่อนขา้ งหนาวเยน็ ในช่วงฤดูหนาว อุณหภมู ิเฉลี่ยตลอดทัง้ ปี 27.1 องศาเซลเซียส อุณหภมู ติ ำ่ สุด เฉลี่ย 22.0 องศาเซลเซยี ส และอณุ หภมู ิสงู สุดเฉลยี่ 32.8 องศาเซลเซยี ส เดอื นเมษายนเป็นเดือนท่ีมีอากาศร้อนอบอ้าว มากที่สุดในรอบปี วัดอุณหภูมิสูงที่สุดที่ตรวจวัดได้ 43.3 องศาเซลเซียส เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2562

ส่วนในช่วงฤดูหนาวจะมีอากาศหนาวเย็นมากที่สุดในเดือนธันวาคม วัดอุณหภูมิต่ำที่สุดได้ 5.3 องศา เซลเซียส เมื่อวนั ที่ 25 ธันวาคม 2542  ฝน เนื่องจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือล้อมรอบไปด้วยเทือกเขา โดยมีเทือกเขาเพชรบูรณ์ อยู่ทางทิศตะวันตกและเทือกเขาดงพญาเย็นอยู่ทางทิศใต้ของจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งเป็นแนวกัน ไม่ให้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดเข้าปกคลุมบริเวณจังหวัดมหาสารคามได้เต็มที่ในช่วงฤดูฝน ทำให้กลุ่มฝน ส่วนใหญ่ จะพัดไปตกทางด้านตะวันตกและ ด้านใต้ของเทือกเขา ทำให้ปริมาณฝนเฉลี่ยตลอดปี ของจังหวัดมหาสารคามอยู่ระหว่าง 1,000-1,200 มิลลิเมตร โดยปริมาณฝนเฉลี่ย 1,201.9 มิลลิเมตร และจำนวนวันที่ฝนตก 102 วัน โดยเดือนกันยายนเป็นเดือนที่มีฝนตกชุกมาก ที่สุดในรอบปี ปริมาณฝน มากทีส่ ุดใน 1 วัน เคยวดั ได้ 183.7 มิลลิเมตร เมอื่ วันที่ 30 สิงหาคม 2562  พายุหมุนเขตรอ้ น พายุหมุนเขตร้อนที่เคลื่อนตัวผ่านหรือเข้าสู่จังหวัดมหาสารคาม มีแหล่งกำเนิดจากทะเล จีนใต้และมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือด้านตะวันตก โดยเคลื่อนตัวผ่านประเทศเวียดนาม กัมพูชา และลาว ก่อนจะเข้าสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ของประเทศไทย ซึ่งทำให้พายุมีกําลังอ่อนลงอยู่ในขัน้ พายุดีเปรสชนั เป็นส่วนใหญ่ ทำให้ไมก่ ่อให้เกิดความเสยี หายมากนกั แต่ยังคงทำให้เกิดฝนตกหนกั ถงึ หนกั มากจนก่อให้เกิด น้ำท่วมฉับพลันได้ในบางพื้นที่สำหรับช่วงเวลาที่พายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนตัวผ่านจังหวัดมหาสารคาม เริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน โดยเฉพาะเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคม เป็นช่วงที่พายุหมุนเขตร้อน มีโอกาสเคลื่อนเข้าสู่จังหวัดมหาสารคามได้มากที่สุดจากสถิติในคาบ 69 ปตี ง้ั แต่ พ.ศ. 2494-2562 พบว่าพายุหมนุ เขตร้อนทเี่ คลื่อนตวั ผ่านจังหวัดมหาสารคามมที ้ังหมด 11 ลูก และส่วนใหญ่ มีกําลังแรงเป็นพายุดีเปรสชัน โดยเคลื่อนเข้ามาในเดือนกรกฎาคม 1 ลูก (2505) เดือน กันยายน 5 ลูก (2501, 2521(2), 2556, 2559) เดือนตุลาคม 3 ลูก (2506, 2510, 2529) และเดอื นพฤศจกิ ายน 2 ลกู (2527, 2539) ◼ ภยั ธรรมชาติ จังหวัดมหาสารคาม ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ ประกอบด้วย น้ำท่วมและน้ำแล้ง โดยเฉพาะบริเวณลุ่มน้ำแม่น้ำชีตอนบนและบริเวณแม่น้ำชีตอนกลาง สำหรับพื้นที่ตำบลโคกก่อ จัดเป็น พื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมและน้ำแล้ง ซึ่งจำเป็นต้องมีการแก้ไข เพื่อให้สอดรับกับความต้องการ ใช้ทงั้ เพ่ือการอุปโภคบริโภคและการเกษตร

ตารางที่ 1 พน้ื ทแ่ี ล้งซ้ำซาก ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ ปี พ.ศ. 2557 ระดบั ความรุนแรงต่อการเกิดภัยแลง้ ตำบล ตั้งแต่ 6 คร้งั ขนึ้ ไปใน 4-5 ครง้ั ไม่เกนิ 3 ครั้ง เนื้อท่ี (ไร่) 4,862 รอบ 10 ปี ในรอบ 10 ปี ในรอบ 10 ปี นาเชอื ก 87 1,453 3,322 ท่มี า: กรมพฒั นาที่ดิน (2557) ภาพที่ 28 พืน้ ท่เี ปา้ หมายในการแก้ไขปญั หาทรัพยากรนำ้ บรเิ วณอา่ งเก็บนำ้ ห้วยค้อ ทมี่ า: กรมชลประทาน (2561)

ภาพท่ี 29 ภยั แลง้ ภาพที่ 30 น้ำท่วม ◼ แหล่งอาหารท่โี ดดเดน่ ปลาบู่ ภาพท่ี 31 ปลาบู่ ท่ีมา: https://www.fisheries.go.th/if-suratthani/1plaboo.htm ปลาบู่ หรือ บู่ทราย บู่จาก บู่ทอง บู่เอื้อย บู่สิงโต มีชื่อสามัญว่า Sand Goby, Marbled Sleepy Goby และชื่อวิทยาศาสตร์ Oxyleotris mamorata Bleeker ปลาบู่เป็นปลาที่มีความสำคัญ ทางเศรษฐกิจชนดิ หนง่ึ ซ่งึ ผลผลติ ส่วนใหญ่ ถกู สง่ ออกไปจำหน่ายตา่ งประเทศสามารถ ทำรายไดเ้ ข้าประเทศ แตล่ ะปมี ีมูลคา่ หลายสิบลา้ นบาท ไดแ้ ก่ ฮอ่ งกง สงิ คโปร์ มาเลเซีย ฯลฯ เนื่องจากความต้องการปลาบู่ทราย จากต่างประเทศมีเพิ่มขึ้นทุกปีเป็นผลให้ปลาบู่ทรายมีราคาแพงขึ้น ในอดีตการเลี้ยงปลาบู่ทรายนิยมเลี้ยง กันมากในกระชังแถบลุ่มน้ำและลำน้ำสาขาบริเวณภาคกลาง ตั้งแต่จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี เรื่อยมาจนถึงจังหวัดปทุมธานี โดยมีจังหวัดนครสวรรค์ เป็นแหล่งเลี้ยงส่งออกที่ใหญ่ที่สุด สำหรับปัญหา การเลีย้ งปลาบู่ทรายขณะนม้ี ี 3 ประการ คือ 1. พันธปุ์ ลาที่นับวันจะหายาก ไม่เพยี งพอต่อความตอ้ งการ 2. ผู้เลยี้ งยงั ขาดความรูแ้ ละเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการเพาะเลยี้ ง 3. สภาพสิง่ แวดล้อมเปลี่ยนแปลง ไมเ่ อ้อื อำนวยตอ่ การเพาะเล้ียงปลา

สาหรา่ ยเห็ดลาบ สาหร่ายชนิดนี้ คือ สาหร่ายสีน้ำเงินแกมเขียว (Blue- green alga, Cyanobacterium) ทม่ี คี วามสามารถในการตรงึ ไนโตรเจน เนื่องจากสาหร่ายมีลักษณะเป็นแผ่นวุ้นแบบบางคล้ายเห็ดหูหนูสีเขียว ที่ขึ้นบนดิน และชาวบ้าน นิยมเก็บไปทำลาบ จึงได้ชื้อประจำท้องถิ่นวา่ เห็ดลาบ ภูมิปัญญาท้องถิ่น เชื้อว่า สาหร่ายเห็ดลาบ เป็นยาเย็น ช่วยรักษาระบบกระเพาะอาหารและลำไส้ เพื่ออนุรักษ์ภูมิปัญญา ท ้ อ ง ถิ่ น แ ล ะ ใ ช ้ ป ร ะ โ ย ช น ์ จ า ก ส า ห ร ่ า ย เ ห ็ ด ล า บ อ ย ่ า ง ย ั ่ ง ยื น ผลการวิเคราะห์คุณค่าทางอาหารของสาหร่ายเห็ดลาบจากแหล่ง ธรรมชาติ พบว่า มีโปรตีนร้อยละ 20 พบว่า มีโปรตีน ร้อยละ 20 มีกรดอะมิโนจำเป็นอยู่ครบถ้วน มีไขมันต่ำเพียง ร้อยละ 0.02 และมีใยอาหารสูงถึงร้อยละ 43 ส่วนสาหร่ายเห็ดลาบ ที่ได้จาก การเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการด้วยสูตรอาหารที่เหมาะสม พบว่า มีวิตามินเอเพิ่มเป็น 9 เท่า มีกรดอะมิโนจำเป็นเมไทโอนีน และทริป โพเฟน เพิม่ เปน็ ประมาณ 5 และ 3 เทา่ ตามลำดบั ในขณะทม่ี ใี ยอาหาร เพียง 1 ใน 16 ส่วนของตัวอย่างจากแหล่งธรรมชาติ นับว่า ผลิตภัณฑ์ อาหารจากสาหร่ายที่ผลิตออกมาเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยลดความอ้วนได้ ภาพท่ี 32 สาหรา่ ยเหด็ ลาบ สาหร่ายเห็ดลาบ (Nostoc Commune Voucher, Cyanophyta) เป็นสาหร่ายสีน้ำเงิน แกมเขยี วที่รบั ประทานได้ สำรวจพบในพ้นื ท่ีดนิ เคม็ ของป่าเอกลักษณ์ “ดูนลำพนั ” อำเภอนาเชือก จังหวัด มหาสารคาม ในฤดูฝนชาวบ้านนิยมเก็บมาบริโภคทำให้เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ เนื่องจากสาหร่ายชนิดนี้ จะแพร่และขยายพันธุ์ต่อได้เฉพาะในฤดูฝนเท่านั้น โครงการนี้จึงมีวัตถุประสงค์ที่จะทำการศึกษาข้อมูล พื้นฐาน อาหารที่เหมาะสมในการเพาะเลี้ยงสาหร่ายเห็ดลาบและพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร เพื่อเพิ่ม มูลค่าอันจะนำมาซึ่งการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรสาหร่ายเห็ดลาบอย่างยั่งยืน ผลการวิเคราะห์ตัวอย่าง ดินที่สำรวจพบสาหร่ายเห็ดลาบ 3 แห่ง คือ ป่าดูนลำพัน และที่ดินด้านทิศเหนือและใต้ของป่า พบว่า เป็นดินร่วนปนทราย มีค่าความเป็นกรด-เบส ในช่วง 7.8-8.4 มีความเค็ม และค่าการนำไฟฟ้าที่เท่ากัน คือ 0.3 กรัมต่อลิตร และ 7.2 ไมโครซีเมนส์ต่อเซนติเมตร ตามลำดับ มีปริมาณธาตุอาหาร โปแตสเซียม แคลเซียม ซลั เฟอร์ และโซเดยี มในปริมาณท่ีใกลเ้ คียงกนั แต่มปี ริมาณธาตอุ าหารไนโตรเจน และฟอสฟอรัส แตกต่างกันในช่วงกว้าง คือ 76-352 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และ 185-809 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ตามลำดับ ผลวิเคราะห์คุณค่าทางอาหารของสาหร่ายเห็ดลาบจากแหล่งธรรมชาติ พบว่า มีโปรตีน 20% โดยมีกรด อะมิโนจำเป็นอยู่ครบถ้วน มีไขมันต่ำ เพียง 0.02% และมีใยอาหารสูงถึง 43% ส่วนสาหร่ายเห็ดลาบที่ได้ จากการเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการด้วยสูตรอาหารที่เหมาะสม (BGA ดัดแปลง) พบว่า มีวิตามินเอเพิ่ม เป็น 9 เท่า มีกรดอะมิโนจำเป็น เมไทโอนีน ลูซีน และทริปโตเฟน เพิ่มเป็นประมาณ 5,2 และ 3 เท่า ตามลำดับ ในขณะทีม่ ใี ยอาหารเพียง 1 ใน 17 สว่ นของตวั อย่างจากแหล่งธรรมชาติ

ว่านแผน่ ดนิ เย็น ก.ใบ ข.การแทงดอก ค.ลักษณะดอก ภาพที่ 33 ว่านแผน่ ดนิ เยน็ (Nervilia aragoana Gaudich) ทีม่ า: เพจ Forest Herbarium-BKF ว่านแผ่นดินเย็น หรือ ว่านพระฉิม (Nervilia aragoana Gaudich) ชื่อวงศ์ ORCHIDACEAE หรือบัวสันโดษ อยู่ในกลุ่มกล้วยไม้ดิน เป็นพืชมีดอกในวงศ์กล้วยไม้ ใบบาง เกลี้ยง เป็นรูปหัวใจหรอื เกอื บกลม บางชนิดมีจุดประสีม่วงเป็นแถวกลางใบ ดอกชอ่ ก้านตรง ดอกในช่ออยหู่ ่างกัน ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ (Botanical Characteristics): กล้วยไม้ดินล้มลุก อายุหลายปี มีหัวใต้ดินใบเดี่ยว มี 1 ใบ รูปหัวใจหรือรูปเกือบกลม ชูขึ้นเหนือดิน กว้างได้ถึง 12 ซม. ยาวได้ถึง 16 ซม. สีเขียว พบบ้างที่มีจุดประสีม่วงเข้ม แผ่นใบพับจีบคล้ายพัด ดอกช่อ แบบช่อกระจะ แทงช่อดอกก่อนยอด อ่อน ยาวได้ถึง 30 ซม. ดอกย่อยมี 3 - 20 ดอก กลีบเลี้ยงและกลีบดอกด้านข้างสีเขียวอ่อน กลีบปาก แยกเปน็ 3 พู สขี าว มขี นครุยผลแหง้ แตก รปู ทรงรี สีเขยี วแกมน้ำตาล เมลด็ ขนาดเล็กจำนวนมาก การกระจายพันธุ์ (Distribution) พบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หมู่เกาะในมหาสมุทร แปซิฟกิ และออสเตรเลยี ออกดอกชว่ งเดือนกุมภาพนั ธถ์ งึ พฤษภาคม

บทที่ 2 “ความเป็นอยู่ ประเพณี และวฒั นธรรม”

บทที่ 2 ความเป็นอยู่ ประเพณี และวฒั นธรรม จากการจัดการความร้เู พอ่ื สะท้อนบทเรียน เพอ่ื จัดทำหลกั สูตรท้องถิน่ แบบบูรณาการ การปรบั ตัว กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ วันที่ 18 กันยายน 2563 ณ ห้องประชุมโรงเรียนนาเชือกพิทยาสรรค์ สามารถสรุปเปน็ ชดุ ความรู้ไดด้ งั น้ี ◼ คำขวัญของอำเภอนาเชือก “ปลาบูเ่ น้ือหวาน ถ่ินฐานปทู ูลกระหม่อม งามพร้อมผ้าไหม น้ำใสหว้ ยค้อ” ◼ สภาพทางเศรษฐกิจและสังคม สภาพเศรษฐกิจ โดยทั่วไปของเทศบาลตำบลนาเชือก ส่วนใหญ่ มีอาชีพพาณิชยกรรม เกษตรกรรม และรับราชการ มีลักษณะเป็นกึ่งเมืองกึ่งชนบท เป็นแหล่งรับซ้ือผลผลิตทางการเกษตรและจำหน่ายสินค้า อุปโภคบริโภค ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวันและการประกอบอาชีพ มีสถานประกอบการด้าน พาณชิ ยกรรม คือ ➢ สถานบี รกิ ารนำ้ มัน จำนวน 4 แหง่ ➢ ตลาดสดเทศบาล จำนวน 1 แห่ง ท่ผี อ่ นผัน (ตลาดเยน็ ) จำนวน 2 แหง่ 60 แทน่ แท่นตลาดสด จำนวน 127 แทน่ แทน่ หลังเกา่ จำนวน 49 แทน่ กรรมการตลาดสด จำนวน 20 คน ➢ รา้ นค้าทว่ั ไป/ร้านอาหาร จำนวน 260 แหง่ ➢ ตลาดนดั จำนวน 1 แหง่ (ตลาดนัดนาเชอื ก) มที กุ วนั ท่ี 10 และวันท่ี 27 ของทกุ เดอื น ➢ ตลาดคลองถม 1 แห่ง มีทุกวนั ศุกร์ ➢ โรงฆ่าสตั วเ์ ทศบาลตำบลนาเชอื ก จำนวน 1 แห่ง ➢ ร้านสะดวกซอื้ จำนวน 20 แหง่ ➢ สวนสนุก จำนวน 1 แห่ง ➢ โรงแรม จำนวน 1 แหง่ ➢ สถานประกอบการด้านบริการในเขตเทศบาล ประกอบดว้ ย ธนาคาร 3 แห่ง สหกรณ์ 1 แหง่ ➢ ธนาคารกรงุ ไทย สาขานาเชอื ก จำนวน 1 แห่ง ➢ ธนาคารเพอื่ การเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขานาเชอื ก จำนวน 1 แหง่ ➢ ธนาคารออมสิน สาขานาเชอื ก จำนวน 1 แห่ง

➢ สหกรณ์การเกษตร จำนวน 1 แห่ง ➢ ตู้ ATM ธนาคารกรุงไทย จำนวน 2 แห่ง ธนาคารเพอ่ื การเกษตรและสหกรณ์ จำนวน 2 แห่ง ธนาคารออมสิน จำนวน 2 แห่ง ◼ สาธารณปู โภค จำนวนครัวเรือน ที่มีไฟฟ้าใช้ในเขตองค์การบริหารส่วนตำบล 888 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 100 จำนวนบา้ นทมี่ โี ทรศพั ท์ 70 หลงั คาเรอื น คิดเปน็ รอ้ ยละ 40.00 ของจำนวนหลงั คาเรือน ◼ ประเพณแี ละวัฒนธรรม ประชาชน นับถือและปฏิบัติสืบทอดประเพณีท้องถิ่นหรือเรียกว่า ฮีตสิบสอง และวัฒนธรรม ที่สืบต่อกันมา เช่น งานบุญเบิกบ้าน (บุญซำฮะ) ประเพณีบุญเลี้ยงบ้าน ประเพณีสงกรานต์ประเพณีแห่เทียน พรรษา ทอดเทียนโฮม ทำบุญทอดกฐินสามัคคี ประเพณีลอยกระทง ฯลฯ นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาท่ารำปู ทูลกระหม่อม เพื่อแสดงในงานต่าง ๆ ซึ่งผู้พัฒนาต้นฉบับ คือ อาจารย์สังวร ปิดตาทะสา เจ้าของโรงเรียน วรัญญาวทิ ย์ ต.นาเชือก สำหรบั การบวงสรวง ภาพที่ 34 ทา่ รำปูทลู กระหมอ่ ม

เพลงปทู ูลกระหมอ่ ม อัลบั้ม: ปทู ูลกระหมอ่ ม ศลิ ปนิ : ขวญั ชัย ขนั สาลี ผลงาน: วาสนา ทบศรี ท่ีปรกึ ษา: อ.บญุ เลิศ ปะระตะโก อ.ธนวัน จนั ศักด์ิ ผอ.บรรจง สรุ มณี อ.บัวเรียน วาปีสา (เกริ่น) เหมือนฟ้าบันดาลให้ลูกหลานบ้านเรา สมบัติหมู่เฮาชาวมหาสารคาม มีมรดก ตกทอดมานาน ชาวมหาสารคามตอ้ งช่วยกันหวงแหน มีสิง่ กำเนดิ เกิดขึ้นคบู่ ้าน มหศั จรรย์ชว่ ยกันหวงแหน ส่งิ ที่กำเนิดเกดิ ขน้ึ ในแดน เราควร หวงแหนเอาไว้เถิดหนา นาเชือกถ่ินเกิดกำเนดิ สิ่งน้ี ฮือ…..ฮอื ….. ฮือ…. นาเชือกถิ่นเกดิ กำเนดิ สิ่งนี้ ที่พวกเรามเี รา ควรรกั ษา ป่แู ป้งสวยสดุ ทีผ่ ุดขนึ้ มา ดจุ พรเท วา ประทานให้มี เป็นปูสวย สุดประดุจแต้มแต่ง เหมือนฟ้าจำแลง มากมายหลายสี ขาว เหลือ และมว่ ง โชตช่วงปฐพี เป็นปูหลายสี หน่ึงในโลกกา เราจงภมู ใิ จไวเ้ ถิดพ่นี ้อง ฮือ…ฮอื ….ฮอื …… เรา จงภูมใิ จไว้เถดิ พีน่ อ้ ง ช่ือเสียงเราก้องดงั ไปท่วั หล้า ปทู ูลกระหม่อม งามพร้อมโสภา ช่วยกันรักษาอนุรักษ์ให้ดี เพื่อลูกหลานเรา ต่อไปภายหน้า ขึ้นชื่อลือชา สง่าราศี สมดังคำว่านา เชอื กเรามี คำขวญั เขา้ ทีทม่ี ีนี้ไง ปลาบ่เู นอื้ หวาน ถิ่นฐานงามพร้อม ปูทูลกระหม่อม งามพร้อมผ้า ไหม น้ำใสในอ่างห้วยค้อนั้นไง เหมือนกับน้ำใจชาวนาเชือกเรา ขอกรอบลงตรงเบี้ยงยุคลบาท ฮอื ….ฮือ…..ฮือ…. ขอกราบ ลงตรงเบื้องยุคลบาท ขอน้อมอภิวาทใต้บาทจอมขวัญ ฟ้าหญิง ทรงโปรด พระราชทานนาม เป็นมิ่งขวัญศิริมงคล ปูทูลกระหม่อมงามพร้อมในศัพท์ ประชา น้อมรับ โดยจติ กุศล ดว้ ยเกลา้ ดว้ ยกระหมอ่ มพรอ้ มแลว้ ทุกคน ขออทุ ศิ ตนเทดิ พระบารมี

ท่พี ักสงฆ์เกาะโนนขา่ ภาพที่ 35 ทีพ่ ักสงฆ์เกาะโนนข่า เกาะข่า (หรือเกาะโนนข่า) เดิมเป็นเนินดินที่เกิดตามธรรมชาติ ที่ได้กลายเป็นเกาะ ซึ่งสันนิษฐาน ว่า เกิดจากการสร้างสันอ่างเก็บน้ำห้วยค้อ ในปี พ.ศ. 2511 ทำน้ำถูกกักเก็บไว้และกลายเป็นเกาะขึ้นมา โดยไดเ้ ข้าไปใชป้ ระโยชน์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 เป็นท่พี ักสงฆ์ จากหลักฐานการจารึกบนพนื้ ปูน และคำว่า ข่า นั้น มาจากคำว่า มะค่าโมง (Afzelia xylocarpa (Kurz) Craib) วงศ์ Fabaceae ซึ่งเป็นพรรณไม้ที่พบบนเกาะ แห่งนี้ ปัจจุบัน มีต้นขนาดใหญ่ จำนวน 2 ต้น และกล้าไม้จำนวนมากที่ขึ้นอยู่ สำหรับพื้นที่นี้ เป็นที่อยู่อาศัย ของสัตว์น้ำนา ๆ ชนิด เช่น ปลาบู่ กุ้งใหญ่ และด้วยความศรัทธาของชาวบ้าน ได้สร้างศาลปู่ตา “ปู่สี” เพื่อเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านได้เคารพและสักการะบูชา และคอยปกปักษ์ รักษา และคุ้มครองให้เกาะ และแหล่งน้ำแห่งนี้ให้มีความอุดมสมบูรณ์ เป็นรากฐานของความเป็นอยู่ที่ดีของชาวอำเภอนาเชือกและพื้นท่ี ใกล้เคียงสืบไป จากการสัมภาษณ์ พระสุรัตน์ จารุธมฺโม อายุ 31 ปี ที่พักสงฆ์เกาะโนนข่า บ้านหัวหนองคู ต.เขวาไร่ อ.นาเชือก จ.มหาสารคาม

วดั หนองเลา ภาพท่ี 36 วดั หนองเลา วัดหนองเลา ตั้งอยู่ทิศตะวันตกของบ้านหนองเลา หมู่ 9 ตำบลหนองเม็ก อำเภอนาเชือก จังหวัด มหาสารคาม สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2428 โดยชาวบ้านหนองเลาและหลวงปู่พัน ธมฺธโร เจ้าคณะหมวดอำเภอ วาปีปทมุ ซง่ึ เปน็ ปฐมเจ้าอาวาสรปู แรกของวัดหนองเลา พระอุโบสถ (สิมมหาอุด) วัดหนองเลา เป็นอุโบสถมหาอุดเก่าแก่ทรงคุณค่ากว่า 200 ปี ขึ้นทะเบียน เป็นมรดกของชาติโดยกรมศิลปากร อุโบสถ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2440 โดยหลวงปู่พัน ธมฺธโรและชาวบ้าน รูปทรงเป็นทรงขันหมาก ไม่มีหน้าต่าง (โบสถ์มหาอุด) มีประตูด้านเดียว หันหน้าอุโบสถไปทางทิศตะวันตก ผูกพัทธสีมาเรียบร้อยเมื่อปี พ.ศ.2448 และหลวงปู่พัน ธมฺธโร ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ในปีเดียวกันน้ี โดยมคี วามโดดเดน่ คือ 1. ตามความเชื่อโบราณ การสร้างอุโบสถ จะไม่สร้างเห็นหน้าไปทางทิศตะวันตก เพราะเมื่อ ประดิษฐานพระประธานแล้วพระประธานจะหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ซึ่งเชื่อกันว่าไม่เป็นมงคล แต่พระอโุ บสถแหง่ นี้หันหนา้ ไปทางทศิ ตะวนั ตก มคี วามหมายวา่ หากพระประธานเหน็ หนา้ ไปทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นทางที่พระอาทิตย์ขึ้น ถือเป็นการรับ เปรียบดังการรับแสงพระอาทิตย์ก่อนกระทำการใด ๆ แต่การที่พระประธานหันหน้าไปทางทิศตะวันตก เปรียบดังพระองค์ตัดการรับทั้งหมด มีแต่การให้เท่าน้ัน และพระอุโบสถนี้ถือเป็นพระอุโบสถที่ศักดิ์สิทธิ์ มีคนเคารพสักการะ เพราะเป็นโบสถ์มหาอุดที่สร้างข้ึน ตามตำราแตโ่ บราณ และไดผ้ ่านการประกอบพิธสี งั ฆกรรมมาหลายครง้ั จนเกิดความเปน็ สริ ิมงคล 2. พระประธานที่ประดิษฐานในอุโบสถนามว่า “พระโพธิญาณ” เป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูน ทรงนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายและขวาวางบนพระเพลา หน้าตักกว้าง 2 เมตร ศิลปะแบบเชียงรุ้ง ทรงเครื่อง มงกุฎ อายุมากกว่า 200 ปี พระอุโบสถนี้ถือว่าเป็นพระอุโบสถทีศ่ ักดิ์สิทธ์ิยิง่ แห่งหนึ่ง เล่ากันว่าในสมัยพระครู สมณกิจโกศล (หลวงป่ทู อง) การบวชพระทุกรูปในจงั หวัดมหาสารคาม จะประกอบพิธกี ันทว่ี ดั แหง่ นี้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook