Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิทยาศาสตร์ระดับ ปวช.

วิทยาศาสตร์ระดับ ปวช.

Description: คู่มือวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาอาชีพธุรกิจและบริการ
โดย สำนักพิมพ์พัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.)

Search

Read the Text Version

หนังสือเลม่ น้ีเรยี บเรียงตามจุดประสงค์รายวิชา สมรรถนะรายวชิ า รหสั วชิ า และค�ำ อธิบายรายวชิ า หลกั สูตรประกาศนียบตั รวิชาชีพ (ปวช.) พทุ ธศกั ราช 2556 2000-1303 ของสำ�นกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา กระทรวงศกึ ษาธิการ วิทยาศาสตร์ หมวดวชิ า ทักษะชีวิต กลมุ่ วิชา ประกาศล�ำ ดบั ท่ี 4 สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) วิทยาศาสตร์ เพือ่ พฒั นาอาชีพธุรกิจและบรกิ าร ไดผ้ า่ นการตรวจประเมินคณุ ภาพจากส�ำ นกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา ประจำ�ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 ครงั้ ที่ 1 (ปรบั ปรุง) ผู้แตง่ ปทั มนนั ท์ แกว้ ประดับ

สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.)รหสั วิชา 2000-1303 ชอ่ื วชิ า วทิ ยาศาสตร์เพือ่ พัฒนาอาชพี ธุรกจิ และบริการ ตรงตามจดุ ประสงคร์ ายวชิ า สมรรถนะรายวิชา และคำ�อธิบายรายวชิ า หลักสูตรประกาศนยี บัตรวิชาชพี พุทธศักราช 2556 สำ�นกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา กระทรวงศึกษาธกิ าร ผ้แู ตง่ ปัทมนนั ท์ แก้วประดับ บรรณาธกิ าร ดร.รตั นา ปานเรยี นแสน ผู้ตรวจ ประภาพรรณ เบญจรตั นาภรณ์ ปีทพี่ มิ พ์ 2559 พมิ พ์คร้งั ท ่ี 1 จ�ำ นวนท่พี ิมพ์ 5,000 เลม่ ราคา 114 บาท ISBN 978-616-05-2274-3 จดั พมิ พ์และจดั จ�ำ หน่ายโดย สำ�นกั พมิ พ์ บรษิ ัทพฒั นาคณุ ภาพวชิ าการ (พว.) จ�ำ กดั 701 ถนนนครไชยศร ี แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรงุ เทพฯ 10300 โทร. 0-2243-8000 (อัตโนมัติ 15 สาย), 0-2243-1805 แฟกซ:์ ทุกหมายเลข, แฟกซ์อัตโนมัติ: 0-2241-4131, 0-2243-7666 website : www.iadth.com สงวนลขิ สทิ ธ์ิ สำ�นักพมิ พ์ บรษิ ทั พฒั นาคุณภาพวชิ าการ (พว.) จำ�กัด

สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.)คำ� น�ำ หนังสือเรียนวิชา วิทยาศาสตร์เพ่ือพัฒนาอาชีพธุรกิจและบริการ รหัสวิชา 2000-1303 จัดทำ�ขึ้น ตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2556 ของสำ�นักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เพ่ือตอบสนองวัตถุประสงค์ของหลักสูตรฯ ในการผลิตกำ�ลังคนระดับฝีมือท่ีมี สมรรถนะวิชาชีพ มีคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ สามารถนำ�ไปใช้ในการประกอบอาชีพ ได้ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงานในลักษณะผู้ปฏิบัติหรือผู้ประกอบอาชีพอิสระได้ ท้ังนี้เนื้อหา และกิจกรรมต่างๆ ล้วนมุ่งสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นการปฏิบัติจริง ให้ผู้เรียน มีความรู้ความเข้าใจในวิธีการและมีทักษะทางด้านวิชาชีพ สามารถปฏิบัติงานในบริบทต่างๆ ได้อย่าง มีประสิทธิภาพ รวมถึงการประยุกต์ใช้ความรู้และทักษะไปสู่บริบทใหม่ เกิดความรับผิดชอบต่อตนเอง และผู้อ่ืน มีเจตคติและกิจนิสัยที่เหมาะสมในการเป็นสมาชิกของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC)  หนังสือเรียนวิชา วิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาอาชีพธุรกิจและบริการ รหัสวิชา 2000-1303 เล่มน้ี ได้จัดทำ�ขึ้นโดยผ่านการวิเคราะห์ความสอดคล้องของเนื้อหาให้ตรงตามจุดประสงค์รายวิชา สมรรถนะ รายวิชา และคำ�อธิบายรายวิชาท่ีกำ�หนดไว้ในหลักสูตรฯ แต่ละหน่วยการเรียนรู้ มีเนื้อหาสาระ กิจกรรม ตรวจสอบความเข้าใจ ใบช่วยสอนและกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ เพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้และ ฝกึ ทกั ษะท่ีเหมาะสม โดยมุง่ หวังใหผ้ ู้เรยี นได้ศึกษาและเกิดการเรียนรสู้ ูงสุด สำ�นักพิมพ์ บริษัทพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) จำ�กัด หวังเป็นอย่างย่ิงว่าหนังสือเรียนเล่มน้ี จะช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาสาระของวิชา สามารถพัฒนากระบวนการเรียนรู้ และความคิด รวมท้ังสามารถนำ�ความรู้และสมรรถนะที่เกิดขึ้นไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำ�วันได้ สมดงั เจตนารมณ์ของหลกั สตู รฯ และการปฏริ ปู การศึกษาอย่างครบถ้วนทุกประการ สำ�นกั พิมพ์ บริษทั พัฒนาคุณภาพวชิ าการ (พว.) จำ�กดั

ค�ำอธบิ ายรายวิชา รหัสวิชา 2000-1303 ชื่อวชิ า วทิ ยาศาสตร์เพ่ือพัฒนาอาชีพธุรกิจและบริการ 1-2-2 สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.)จุดประสงคร์ ายวชิ าเพือ่ ให้ 1. มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ เทคโนโลยีชีวภาพ จุลินทรีย์ในอาหาร ปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์ ยางและพอลิเมอร์ สารชีวโมเลกุลในอาหาร คลื่นแม่เหล็ก ไฟฟา้ พลังงานนวิ เคลยี ร์ 2. มีทักษะการคำ�นวณหาโอกาสของลักษณะการถ่ายทอดทางพันธุกรรม การจำ�แนกส่ิงมีชีวิต การทดลองจุลินทรีย์ในอาหาร การเลือกใช้เทคโนโลยีชีวภาพ การทดลองสมบัติของสารไฮโดรคาร์บอน การทดสอบสมบัติทางกายภาพของพอลิเมอร์ การทดสอบสารชีวโมเลกุลในอาหาร การวิเคราะห์ผลของ คลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟ้าต่อมนุษย์ และพลังงานนิวเคลียร์ 3. มีเจตคติที่ดีตอ่ วิชาวทิ ยาศาสตร์และกิจนสิ ัยที่ดใี นการท�ำ งาน สมรรถนะรายวชิ า 1. แสดงความรู้และปฏิบัติเก่ียวกับหลักการทางพันธุกรรม เทคโนโลยีชีวภาพและจุลินทรีย์ใน อาหาร 2. แสดงความรูแ้ ละปฏิบัติเกี่ยวกบั ปโิ ตรเคมีและผลติ ภัณฑ์ 3. แสดงความรู้และปฏิบัตเิ ก่ยี วกับสารชีวโมเลกุลของอาหาร 4. แสดงความรูแ้ ละปฏิบตั เิ กย่ี วกับคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้า 5. แสดงความรู้และปฏิบัติเกี่ยวกับหลกั การของพลงั งานนวิ เคลียร์ ค�ำอธบิ ายรายวชิ า ศึกษาและปฏิบัติเก่ียวกับ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ เทคโนโลยีชีวภาพ จุลินทรีย์ในอาหาร ปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์ ยางและพอลิเมอร์ สารชีวโมเลกุลใน อาหาร คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า พลงั งานนิวเคลยี รต์ อ่ การดำ�รงชีวติ

ตารางวเิ คราะห์ความสอดคลอ้ งของเนื้อหากบั จุดประสงคร์ ายวชิ า สมรรถนะรายวิชา และจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม รหัสวิชา 2000-1303 ชือ่ วชิ า วิทยาศาสตรเ์ พอื่ พัฒนาอาชีพธรุ กิจและบรกิ าร 1-2-2 ความจำ�สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.)จดุ ประสงค์จุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม ความเ ้ขาใจรายวชิ าพุทธพิ ิสัย (60) การประ ุยก ์ตใ ้ช การ ิวเคราะห์ชอื่ หนว่ ยสมรรถนะรายวิชา การประเ ิมน ความ ิคดสร้างสรร ์ค จิตพิ ัสย (20) ทักษะพิสัย (20) รวม ำล� ัดบความสำ� ัคญ 1 2 3 1 2 3 4 5 1. การถา่ ยทอดลกั ษณะ ทางพันธกุ รรม ✓ ✓ ✓ ✓ 4 4 1 1 3 3 16 1 2. ความหลากหลาย ✓ ✓ ✓ ✓ 2 2 1 1 2 2 10 3 ทางชวี ภาพ 3. เทคโนโลยชี วี ภาพ ✓ ✓ ✓ ✓ 2 2 1 1 2 2 10 3 4. จุลนิ ทรีย์ในอาหาร ✓ ✓ ✓ ✓ 2 2 2 2 3 3 14 2 5. ปิโตรเลียมและ ✓ ✓ ✓ ✓ 2 2 1 1 2 2 10 3 ผลติ ภัณฑ ์ 6. ยางและพอลิเมอร ์ ✓ ✓ ✓ ✓ 2 2 1 1 2 2 10 3 7. สารชวี โมเลกลุ ✓ ✓ ✓ ✓ 2 2 1 1 2 2 10 3 ในอาหาร 8. คล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟา้ ✓ ✓ ✓ ✓ 2 2 1 1 2 2 10 3 9. พลังงานนิวเคลียร์ ✓ ✓ ✓ ✓ 2 2 1 1 2 2 10 3 รวม 20 20 10 10 20 20 100 ลำ�ดบั ความส�ำ คญั 1 1 2 2 1 1 หมายเหตุ ความจำ� (Remembering), ความเขา้ ใจ (Understanding), การประยกุ ต์ใช้ (Applying), การวิเคราะห์ (Analysing), การประเมิน (Evaluating), ความคิดสรา้ งสรรค์ (Creating) (ที่มา: Bloom’s Revised Taxonomy)

สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.)สารบญั หนา้ หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 1 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธกุ รรม 9 1. ลกั ษณะทางพนั ธุกรรม 11 2. ยีนและโครโมโซม 16 3. สงิ่ ก�ำ หนดเพศในมนษุ ย์ 21 4. โครงสร้างพื้นฐานของดเี อน็ เอ 30 5. ความผดิ ปกตขิ องโครโมโซมในมนุษย์ 32 6. เมนเดลบิดาแหง่ วิชาพนั ธศุ าสตร์ 36 7. การถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม 40 8. พงศาวล ี 45 9. การกลาย 50 51 10. ปจั จัยทท่ี �ำ ใหเ้ กิดวิวัฒนาการ 58 กิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจ 61 กจิ กรรมส่งเสรมิ การเรยี นรู้ 62 แบบทดสอบ 64 หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 2 ความหลากหลายทางชีวภาพ 66 1. อาณาจกั รโมนีรา 67 2. อาณาจกั รโพรทสิ ตา 69 3. อาณาจกั รฟังไจ 69 4. อาณาจักรพืช 74 5. อาณาจักรสตั ว ์ 81 กจิ กรรมตรวจสอบความเข้าใจ 83 กจิ กรรมส่งเสริมการเรียนรู้ 84 แบบทดสอบ

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 3 เทคโนโลยีชีวภาพ สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.)หนา้ 1. ความหมายและความสำ�คญั ของเทคโนโลยีชวี ภาพ 85 2. เทคโนโลยีชวี ภาพเพอ่ื เพ่มิ ผลผลิตของสตั ว์ 3. เทคโนโลยชี วี ภาพเพื่อเพ่มิ ผลผลิตของพชื 87 กิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ 87 กจิ กรรมสง่ เสริมการเรียนรู ้ 95 แบบทดสอบ 100 102 หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี 4 จุลนิ ทรยี ์ในอาหาร 103 1. การน�ำ จุลนิ ทรีย์ไปใชใ้ นอาหาร 105 2. ผลกระทบของจุลนิ ทรยี ใ์ นอาหาร 3. สาเหตุของการเกดิ อาหารเปน็ พษิ และการป้องกนั อนั ตราย 107 115 จากจุลนิ ทรยี ใ์ นอาหาร กิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจ 117 กิจกรรมสง่ เสริมการเรยี นร้ ู 124 แบบทดสอบ 126 127 หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 5 ปโิ ตรเลียมและผลติ ภัณฑ์ 129 1. น้ํามนั ดบิ และแกส๊ ธรรมชาติ 2. การกล่ันน้ํามนั 132 3. สารประกอบไฮโดรคาร์บอนและผลิตภัณฑป์ ิโตรเคมี 133 กจิ กรรมตรวจสอบความเข้าใจ 137 กจิ กรรมส่งเสริมการเรียนร ู้ 140 แบบทดสอบ 142 143 หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 6 ยางและพอลิเมอร์ 145 1. ประเภทของพอลิเมอร์ 2. การเกดิ พอลิเมอร ์ 147 3. พลาสติก 152 4. ยาง 154 5. เสน้ ใยสังเคราะห ์ 162 กจิ กรรมตรวจสอบความเข้าใจ 163 กิจกรรมสง่ เสริมการเรยี นรู้ 165 แบบทดสอบ 167 168

หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 7 สารชีวโมเลกลุ ในอาหาร สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.)หนา้ 1. ลิพิด 170 2. โปรตนี 3. คาร์โบไฮเดรต 174 กิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจ 184 กิจกรรมสง่ เสริมการเรียนรู้ 191 แบบทดสอบ 203 205 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 8 คล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟา้ 206 1. สมบัตขิ องคลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า 208 2. คลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟ้าในชวี ติ ประจำ�วนั กิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจ 210 กิจกรรมส่งเสรมิ การเรียนรู้ 214 แบบทดสอบ 219 221 หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 9 พลงั งานนวิ เคลียร ์ 222 1. โครงสร้างอะตอม 224 2. กมั มนั ตภาพรังสี 3. ปฏกิ ิรยิ านิวเคลียร์ 226 4. กัมมันตภาพรงั สแี ละพลงั งานนิวเคลียร์กบั ชีวิตประจำ�วัน 229 กิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ 234 กจิ กรรมสง่ เสริมการเรียนรู้ 238 แบบทดสอบ 248 250 บรรณานกุ รม 251 253

1หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.)การถา่ ยทอดลักษณะ ทางพันธกุ รรม สาระส�ำ คัญ ลักษณะทางพันธุกรรมของมนุษย์ สัตว์ และพืช สามารถถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งไปยังรุ่นต่อไป ไดห้ ลายลกั ษณะ เชน่ สีสัน รูปรา่ ง ลกั ษณะโครงร่าง โครงสรา้ งของล�ำ ตน้ รปู ร่างของใบ ดอก ผล สาระการเรยี นรู้ 1. ลักษณะทางพันธกุ รรม 2. ยีนและโครโมโซม 3. สงิ่ ก�ำ หนดเพศในมนุษย์ 4. โครงสร้างพน้ื ฐานของดีเอน็ เอ 5. ความผดิ ปกติของโครโมโซมในมนุษย์ 6. เมนเดลบดิ าแหง่ วิชาพันธศุ าสตร์ 7. การถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม 8. พงศาวลี 9. การกลาย 10. ปจั จัยทีท่ �ำ ใหเ้ กิดวิวฒั นาการ

สมรรถนะประจำ�หน่วย 1. แสดงความรแู้ ละปฏิบัตเิ กีย่ วกบั การถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม 2. ประยกุ ต์ความรู้เรอื่ งการถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรม ไปใชใ้ นชีวิตประจำ�วันและการประกอบอาชีพ จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. อธบิ ายลักษณะทางพันธุกรรมได้ 2. อธิบายเกี่ยวกับยีนและโครโมโซมได้ 3. อธิบายสิ่งก�ำ หนดเพศในมนษุ ย์ได้ 4. อธิบายโครงสรา้ งพื้นฐานของดเี อ็นเอได้ 5. อธิบายความผิดปกติของโครโมโซมในมนุษยไ์ ด้ 6. อธบิ ายเรอ่ื งเมนเดลได้ 7. อธบิ ายการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรมได้ 8. อธบิ ายเรอ่ื งพงศาวลไี ด้ 9. อธบิ ายเรื่องการกลายได้ 10. อธิบายปจั จัยท่ีทำ�ให้เกิดวิวัฒนาการได้ 11. มเี จตคตทิ ีด่ ีในการเรียนเร่อื งการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม และรกั ษ์ค่านิยมหลกั 12 ประการ ของไทย สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) ผงั สาระการเรียนรู้ ลกั ษณะทางพันธกุ รรม ยนี และโครโมโซม สิง่ กำ�หนดเพศในมนษุ ย์ โครงสร้างพื้นฐานของดเี อน็ เอ การถ่ายทอด ความผิดปกตขิ องโครโมโซมในมนุษย์ ลกั ษณะทางพันธุกรรม เมนเดลบิดาแหง่ วิชาพนั ธศุ าสตร์ การถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม พงศาวลี การกลาย ปัจจยั ทท่ี ำ�ให้เกิดวิวฒั นาการ

นวิ คลโี อลสั (Nucleolus) อยภู่ ายในนวิ เคลยี สของเซลลพ์ วกยคู ารโิ อต (Eukaryotic cell) ไมม่ ี การถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม 13 เยอื่ หมุ้ ล้อมรอบ สามารถยอ้ มตดิ สีได้ นิวคลโี อลสั ประกอบไปดว้ ย DNA ทม่ี ียนี ในการสรา้ ง rRNA (เพอ่ื นำ�ไปสรา้ งไรโบโซม), สารประเภท RNA, ฟอสโฟโปรตีน และองคป์ ระกอบอนื่ ๆ นิวคลีโอลสั มสี ว่ นชว่ ยในการสรา้ งหรอื สงั เคราะหโ์ ปรตนี ค�ำ ถามท้ายกิจกรรม 1. ลักษณะทางพนั ธกุ รรมอะไรบา้ งท่ีมีอิทธิพลจากพนั ธกุ รรมเพยี งอย่างเดียว (แนวทางการตอบ หม่เู ลอื ด ตง่ิ หู ตาสองชัน้ ตาช้ันเดียว ลักยิ้ม ผมตรง ผมหยักศก) 2. ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมอะไรบ้างท่มี อี ทิ ธิพลจากพนั ธกุ รรมและสงิ่ แวดลอ้ ม (แนวทางการตอบ ความสงู สตปิ ัญญา สีผวิ นํา้ หนัก) สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) 1.1 ลกั ษณะพันธุกรรมกบั ส่งิ แวดล้อม สิ่งท่ีเรียกว่าลักษณะทางพันธุกรรมนั้นมีมากมายสามารถตรวจสอบได้ด้วยวิธีการต่างๆ หลายวิธี เช่น ลักษณะพันธุกรรมที่เป็นความสูง สีผิว เป็นลักษณะพันธุกรรมที่สามารถสังเกตได้ด้วยตา แต่ลักษณะพันธุกรรมที่เป็นหมู่เลือดไม่สามารถสังเกตได้ด้วยตา ต้องทดสอบด้วยสารเคมีจึงจะทราบ ความแตกตา่ งของหมเู่ ลอื ดแต่ละคน หรอื โครงสรา้ งเล็กๆ ของเซลล์ เชน่ จำ�นวนนวิ คลีโอลสั ตอ้ งสอ่ งดว้ ย กล้องจุลทรรศน์จึงจะพบความแตกต่างหรือโครงสร้างของ DNA ท่ีต้องตรวจสอบด้วยวิธีการทาง วิทยาศาสตร์จึงจะทราบ โดย DNA  ที่อยู่ในนิวเคลียสของทุกคนจะได้รับถ่ายทอดครึ่งหนึ่งมาจากพ่อ และอีกคร่ึงหน่ึงจากแม่  ดังนั้น DNA ในแต่ละคนจะไม่ซํ้ากัน ยกเว้นในกรณีแฝดที่มาจากไข่และอสุจิ ตวั เดียวกนั เปน็ ตน้ ลักษณะทางพันธุกรรมอาจเป็นส่ิงท่ีเล็กละเอียดระดับเซลล์ไปจนกระท่ังเป็นโครงสร้าง ขนาดใหญ่ ลักษณะท่ีสามารถศึกษาได้ละเอียดถึงระดับโมเลกุลหรือปฏิกิริยาเคมีภายในเซลล์น้ัน ย่อมได้รับอิทธิพลจากส่ิงแวดล้อมน้อยลง เช่น ลักษณะผิวเผือกเป็นลักษณะทางพันธุกรรมท่ีเกิดจาก การขาดเอนไซม์ที่ใช้ในการสังเคราะห์เมลานินซ่ึงเป็นรงควัตถุ➀ สีดำ� ผู้ที่มีความผิดปกติเช่นน้ีจึงไม่มี รงควัตถุในเซลล์ผวิ หนัง เสน้ ผม และนยั นต์ า ลักษณะนี้จึงไม่ขน้ึ อย่กู ับอทิ ธิพลของส่งิ แวดล้อมภายนอก ส่วนลักษณะที่ต้องผ่านกระบวนการต่างๆ หลายข้ันตอน ย่อมมีโอกาสได้รับอิทธิพลจากส่ิงแวดล้อม มากขึ้น เช่น ความสูง สติปัญญา เป็นลักษณะทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเจริญเติบโต กระบวนการสรา้ งฮอร์โมนในร่างกายและส่ิงแวดล้อมภายนอก ได้แก่ อาหาร การเล้ียงดู เปน็ ตน้ ดว้ ยเหตนุ ี้ ความแตกตา่ งของลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมของสงิ่ มชี วี ติ จงึ มใิ ชจ่ ะขนึ้ อยกู่ บั พนั ธกุ รรมทง้ั หมด แตม่ สี ว่ นหนง่ึ ขึน้ อยูก่ บั สง่ิ แวดล้อม ซง่ึ จะมากหรอื นอ้ ยขน้ึ อยกู่ บั ขัน้ ตอนท่ีทำ�ให้เกิดลกั ษณะพนั ธุกรรมน้นั ๆ 1.2 การแปรผันของลักษณะทางพนั ธุกรรม สงิ่ มชี วี ติ ตา่ งชนดิ กนั มคี วามแตกตา่ งกนั มากกวา่ สง่ิ มชี วี ติ ชนดิ เดยี วกนั บคุ คลเชอ้ื ชาตเิ ดยี วกนั ย่อมคล้ายกันมากกว่าบคุ คลต่างเช้อื ชาตกิ นั บุคคลท่เี กดิ จากพ่อแม่เดียวกนั ยอ่ มคลา้ ยกันมากกวา่ บุคคล ท่ีไม่ได้เกิดจากพ่อแม่เดียวกัน ความแตกต่างเหล่านี้เกิดเน่ืองจากพันธุกรรมท่ีแตกต่างกัน เรียกว่า ความแปรผันทางพนั ธุกรรม (Genetic Variation) สผำ�ู้สหอรนับ ➀ รงควตั ถุ (Pigment) ตามความหมายของพจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. 2554 หมายถงึ สีตา่ งๆ

การถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม 15 วิธีทำ� ตอนท่ี 2 1. ผูเ้ รยี นบันทึกหมู่เลือดของเพือ่ นรว่ มชัน้ เรียนจำ�นวน 10 คน 2. เขียนกราฟแสดงหม่เู ลือดของผ้เู รยี นทั้ง 10 คน ตัวอยา่ งตารางบันทึกผล ลักษณะการแปรผัน (ตอนที่ 2) ชอ่ื ผู้เรียน สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.)หมเู่ ลอื ด ช่ือผเู้ รียน หม่เู ลอื ด 1. 6. 2. 7. 3. 8. 4. 9. 5. 10. ค�ำ ถามทา้ ยกจิ กรรม 1. กราฟที่ได้มลี กั ษณะอยา่ งไร 2. กราฟทไี่ ดเ้ หมือนหรือแตกต่างจากกราฟส่วนสงู อย่างไร คำ�ถามชวนคิด • นอกจากลักษณะท่ีกล่าวข้างต้น ให้ผู้เรียนบอกลักษณะทางพันธุกรรมท่ีมีความแปรผัน ตอ่ เน่อื ง และลักษณะพนั ธกุ รรมที่มีความแปรผนั ไม่ตอ่ เน่อื งอ่นื ๆ วา่ มีอะไรบ้าง (แนวทางการตอบ ลักษณะทมี่ คี วามแปรผนั ตอ่ เนือ่ ง ไดแ้ ก่ ความสูง สติปัญญา สีผวิ นํ้าหนกั สผำ�ู้สหอรนับ ลักษณะที่มีความแปรผนั ไม่ต่อเน่อื ง ได้แก่ ห่อล้ินได้ หอ่ ลน้ิ ไม่ได้)

18 วิทยาศาสตร์เพ่อื พฒั นาอาชพี ธุรกิจและบริการ คำ�ถามทา้ ยกจิ กรรม 1. ภาพที่ศึกษามีลักษณะอยา่ งไร (แนวทางการตอบ ข้นึ อยกู่ บั ดลุ ยพนิ ิจของผ้สู อน) 2. ผู้เรยี นคิดวา่ ส่ิงมีชวี ติ แตล่ ะชนดิ มีจำ�นวนโครโมโซมเท่ากนั หรอื ไม่ อย่างไร (แนวทางการตอบ ไมเ่ ทา่ กนั เชน่ มนษุ ยม์ โี ครโมโซมรา่ งกาย 46 โครโมโซม แตล่ งิ มโี ครโมโซมรา่ งกาย 48 โครโมโซม) สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) โดยท่ัวไปส่ิงมีชีวิตแต่ละชนิดพันธุ์หรือสปีชีส์ (species) จะมีจำ�นวนโครโมโซมคงท่ี ดังแสดง ในตารางที่ 1 ตารางท่ี 1 จ�ำ นวนโครโมโซมในเซลล์รา่ งกายและเซลล์สบื พันธขุ์ องสง่ิ มชี วี ติ ต่างๆ ส่ิงมชี ีวิต จ�ำ นวนโครโมโซม ในเซลลร์ ่างกาย (โครโมโซม) ในเซลลส์ บื พันธุ์ (โครโมโซม) ถัว่ ลนั เตา 14 7 หวั หอม 16 8 ขา้ วโพด 20 10 แตงโม 22 11 มะเขอื เทศ 24 12 ยงุ กน้ ปล่อง 6 3 แมลงหว ี่ 8 4 แมลงวนั 12 6 ตวั ไหม 56 28 กบ 26 13 ไก ่ 78 39 หนู 42 21 กระต่าย 44 22 สุนัข 78 39 แมว 76 38 ม้า 64 32 วัว 60 30 ลิง 48 24 ผสำ�ู้สหอรนับ มนุษย์ 46 23

การถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม 19 คำ�ถามชวนคิด ศกึ ษาตารางแล้วตอบค�ำ ถามต่อไปนี้ (แนวทางการตอบขน้ึ อยกู่ บั ดลุ ยพนิ จิ ของผสู้ อน) • สงิ่ มชี วี ติ ชนดิ ใดมจี �ำ นวนโครโมโซมในเซลลข์ องรา่ งกายมากทสี่ ดุ และนอ้ ยทสี่ ดุ เรยี งตามล�ำ ดบั (แนวทางการตอบ • ส่ิงมชี ีวติ แต่ละชนิดมีจำ�นวนโครโมโซมในเซลล์รา่ งกายไมเ่ ทา่ กัน เพราะเหตุใด เพราะเปน็ สง่ิ มชี วี ติ • ผเู้ รยี นคิดว่าจ�ำ นวนโครโมโซมสมั พนั ธ์กับขนาดของรา่ งกายหรือไม่ อยา่ งไร ตา่ งสปชี สี ์กัน) สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) (แนวทางการตอบ ไมส่ ัมพันธ์กัน กิจกรรมท่ี 1.4 การจดั เรยี งคูโ่ ครโมโซม วสั ดอุ ปุ กรณ์ แผนภาพโครโมโซมของมนุษย์จำ�นวน 46 โครโมโซม โครโมโซมมนุษย์ สผำ�ู้สหอรนับ

การถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม 23 ผสู้ อนต้ังค�ำ ถามถามผเู้ รยี นวา่ การแบง่ เซลลค์ อื อะไร พ่อ แม่ ผูเ้ รียนรว่ มก นั อภิปรายแ ละแสดงคว ามคดิ เห็น โครโมโซมของพ่อแม่ 44+xy 44+xx เซลลส์ บื พันธุข์ องพอ่ แม ่ 22+x 22+y 22+x 22+x ลกู ทีไ่ ดม้ ีโอกาสดงั น ี้ 44+xx 44+xx 44+xy 44+xy จีโนไทปม์ ีสัดส่วนดงั น ี้ 44+xx : 44+xy = 2 : 2 = 1 : 1 ฟีโนไทปม์ ีสดั สว่ นดังน ้ี เพศหญงิ : เพศชาย = 1 : 1 สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) ดังนั้นโอกาสทจี่ ะเกิดลกู เพศชายหรือเพศหญิงนน้ั มีเทา่ ๆ กัน คอื 1/2 หรือรอ้ ยละ 50 ค�ำ ถามชวนคดิ (แนวทางการตอบ ข้ึนอยู่กบั โครโมโซมของพอ่ ถ้าลูกไดร้ ับโครโมโซม y จากพ่อ และ x จากแม่ ลกู ท่ีเกดิ จะเป็นเพศชาย แตถ่ ้าลกู ได้รับโครโมโซม x จากพอ่ และ x จากแม่ ลูกทเ่ี กดิ จะเป็นเพศหญงิ ) • ถ้าเซลล์ร่างกายของสัตว์ชนิดหนึ่งมีโครโมโซมเป็น 20 โครโมโซม เซลล์สืบพันธ์ุของสัตว์ ชนิดนั้นมโี ครโมโซมเป็นเท่าใด (แนวทางการตอบ 10 โครโมโซม) • การมีลกู เป็นเพศชายหรอื เพศหญิงน้นั ข้นึ อยูก่ บั เหตุผลใด จงอภิปราย • ชายคนหน่ึงเป็นโรคทางพันธุกรรมที่ถ่ายทอดทางโครโมโซม x โรคน้ีจะถ่ายทอดไปยัง ลูกชายได้หรือไม่ เพราะเหตุใด (แนวทางการตอบ ไม่ได้ เนื่องจากเป็นโรคที่ถกู ควบคมุ ด้วยยีนด้อย บนโครโมโซม x ซงึ่ ลูกชายจะได้โครโมโซม y จากพอ่ และ x จากแม่ 3.1 การแบ่งเซลล์ ลกู จะมโี ครโมโซมเพศคอื xy) เซลล์รา่ งกายและเซลล์สืบพันธุม์ รี ายละเอยี ด ดังนี้ 3.1.1 การแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซิส (Mitosis) เปน็ การแบง่ เซลล์เพ่ือการสืบพนั ธ์ใุ นสิง่ มีชวี ติ เซลลเ์ ดยี ว และการแบ่งเซลล์เพ่อื เพมิ่ จำ�นวนเซลลข์ องรา่ งกาย (somatic cell) ของส่งิ มีชีวติ หลายเซลล์ กจิ กรรมท่ี 1.5 การแบง่ เซลล์ของปลายรากหอม วสั ดอุ ปุ กรณ์ 1 กล้อง ผสำ�ู้สหอรนับ 1. กล้องจุลทรรศน์ 1 ชดุ 2. สไลด์พร้อมกระจกปดิ สไลด์ 1 อัน 3. หลอดหยด 1 อัน 4. ตะเกยี งแอลกอฮอล์ 1 ใบ 5. ใบมดี โกน 1 หวั 6. หอมใหญห่ รือหอมแดง (ท่มี ีราก) การแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซสิ แบ่งเพ่อื สรา้ งเซลลส์ ืบพันธ์ุ (sperm และ egg) ในพืช เน้อื เยื่อเจริญปลายยอดและปลายรากของพืช

การถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม 27 การแบง่ ไซโทพลาซึมในเซลลพ์ ชื และเซลล์สตั ว์จะแตกตา่ งกัน ดังตารางที่ 3 ตารางท่ี 3 เปรียบเทยี บความแตกตา่ งระหว่างการแบง่ ไซโทพลาซึมในเซลลพ์ ืชกับเซลล์สัตว์ เซลลพ์ ชื เซลล์สัตว์ เซลลพ์ ชื ไมค่ อดตรงกลางเขา้ หากนั เหมอื นเซลลส์ ตั ว์ เย่ือหุ้มเซลล์จะคอดเข้าไปในบริเวณกลางเซลล์ สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) แตจ่ ะเกดิ แผน่ กนั้ เซลลห์ รอื เซลลเ์ พลท (cell plate) แยกไซโทพลาซึมออกเป็นสองส่วน จนเกิดเป็น ขึ้นตรงแนวกลางเซลล์ แล้วขยายออกไปจนชน 2 เซลลส์ มบรู ณ์ กับผนังเซลล์เดิมทำ�ให้ไซโทพลาซึมแยกออกเป็น 2 สว่ น และเกดิ เป็น 2 เซลลใ์ หม่ในทีส่ ุด โครโมโซม แนวของเซลล์เพลท การแบ่งไซโทพลาซมึ ของเซลล์พชื การแบ่งไซโทพลาซมึ ของเซลลส์ ตั ว์ ค�ำ ถามชวนคดิ (แนวทางการตอบ ขนึ้ อยกู่ บั ดลุ ยพนิ จิ ของผสู้ อน) • หลังจากการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสเสร็จสิ้นลงจะได้เซลล์ใหม่ก่ีเซลล์ และจำ�นวนโครโมโซม เปน็ เท่าใดของเซลลเ์ ริ่มตน้ (แนวทางการตอบ ได้เซลลใ์ หม่สองเซลล์ จำ�นวนโครโมโซมเทา่ กับเซลลเ์ รมิ่ ตน้ • การจ�ำ ลองโครโมโซมมีความสำ�คญั ต่อการแบง่ เซลล์อยา่ งไร • ถา้ ใสส่ ารที่ท�ำ ลายไมโทตกิ สปนิ เดลิ ลงไปในระหวา่ งการแบ่งเซลลจ์ ะมผี ลอย่างไร (แนวทางการตอบ ไม่มไี มโทตกิ สปนิ เดิลไปเกาะทีเ่ ซนโทรเมยี ร์ โครมาทิดไม่สามารถแยกจากกนั ได้) ผสำ�ู้สหอรนับ

การถา่ ยทอดลักษณะทางพันธกุ รรม 29 1) ไมโอซสิ I (Meiosis I) เปน็ การแบง่ เซลลส์ บื พนั ธรุ์ ะยะแรก เพอ่ื ลดจ�ำ นวนโครโมโซม จาก 2n เหลือ n แบ่งเป็นระยะต่างๆ ดงั น้ี (1) ระยะอนิ เตอร์เฟส (Interphase) เป็นระยะทโ่ี ครโมโซมหดสนั้ และจำ�ลองตัวเอง ข้ึนมาอีก 1 ชุด โดย 1 โครโมโซมประกอบดว้ ย 2 โครมาทดิ และตดิ กันที่ตำ�แหนง่ เซนโทรเมียร์ (2) ระยะโพรเฟส I (Prophase I) โครโมโซมที่มีรูปร่างลักษณะและขนาดเท่ากัน เรียกว่า ฮอมอโลกสั โครโมโซม จะมาจับเข้าคู่กัน เกิดไซแนปซิสและครอสซิงโอเวอร์ (3) ระยะเมทาเฟส I (Metaphase I) เยอ่ื หมุ้ นวิ เคลยี สสลายไป ไมโทตกิ สปนิ เดลิ จะ มาเกาะทเี่ ซนโทรเมยี รข์ องแตล่ ะโครโมโซม ฮอมอโลกสั โครโมโซมจะเรยี งตวั กนั ตามแนวกง่ึ กลางของเซลล์ (4) ระยะแอนาเฟส I (Anaphase I) ไมโทติกสปินเดิลจะหดสั้นดึงฮอมอโลกัส โครโมโซมให้แยกออกจากกนั ไปคนละขวั้ ของเซลล์ (5) ระยะเทโลเฟส I (Telophase I) โครโมโซมจะคลายตัวออกมีลักษณะเปน็ เส้นใย นวิ คลโี อลสั และเย่อื หมุ้ นวิ เคลียสเริม่ ปรากฏ จำ�นวนโครโมโซมจะลดลงจาก 2n เหลอื n สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) ไซแนปซิส (Synapsis) คือการที่ฮอมอโลกัสโครโมโซมมาจับเข้าคู่กัน โดยแนบชิดตามความยาว ครอสซิงโอเวอร์ (Crossing Over) เป็นการแลกเปล่ียนช้ินส่วน ของโครมาทิดของโครโมโซมคนละโครโมโซม ทำ�ให้เกิดการแปรผัน ลักษณะตา่ งๆ ของสงิ่ มีชวี ติ 2) ไมโอซิส II (Meiosis II) เป็นข้ันตอนทโ่ี ครมาทดิ ของแต่ละโครโมโซมแยกจากกนั ไปอยู่คนละขั้วของเซลล์แบง่ เป็นระยะต่างๆ ดงั นี้ (1) ระยะโพรเฟส II (Prophase II) โครโมโซมจะหดส้ันเข้า เยื่อหุ้มนวิ เคลียสและ นวิ คลโี อลสั เรม่ิ สลายไป (2) ระยะเมทาเฟส II (Metaphase II) โครโมโซมมาเรยี งตัวกงึ่ กลางของเซลล์ (3) ระยะแอนาเฟส II (Anaphase II) ไมโทติกสปินเดิลจะหดตัวสั้นดึงโครมาทิด ใหแ้ ยกไปอยูค่ นละข้วั ของเซลล์ ทำ�ให้จ�ำ นวนโครโมโซมเพ่ิมจาก n เป็น 2n (4) ระยะเทโลเฟส II (Telophase II) โครโมโซมท่ีแยกไปคนละข้ัวของเซลล์จะ คลายตวั ออกมลี กั ษณะเปน็ เสน้ ใย เยื่อหุ้มนิวเคลียสเริม่ ปรากฏ การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสท้ังสองระยะ เริ่มต้น 1 เซลล์ จะได้เซลล์ใหม่ 4 เซลล์ แตล่ ะเซลล์มีโครโมโซมครง่ึ หนึง่ ของเซลลเ์ ดิม คำ�ถามชวนคิด • ระยะเมทาเฟสของไมโอซสิ I และไมโอซสิ II แตกต่างกนั อย่างไร ผสำ�ู้สหอรนับ (แนวทางการตอบ ข้นึ อย่กู ับดลุ ยพินจิ ของผ้สู อน)

การถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม 33 มโี ครโมโซม x เกนิ มา 1 โครโมโซม ดังนัน้ โครโมโซมจึงเปน็ แบบ 44+xxy ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งอายมุ ารดากับการเกดิ กลุม่ อาการดาวนใ์ นลกู เป็นดงั กราฟต่อไปน้ี ร้อยละ 4 การเกดิ สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.)3 กลุม่ อาการดาวนใ์ นลกู 2 1 05 15 25 35 45 อายุของมารดา (ป)ี ภาพท่ี 1.16 ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งร้อยละการเกิดกลมุ่ อาการดาวนใ์ นลูกกับอายุของมารดา ค�ำ ถามชวนคดิ • จากกราฟ สรปุ ผลได้อย่างไร (แนวทางการตอบ เมื่ออายุเพ่ิมขน้ึ อัตราร้อยละการเกดิ กล่มุ อาการดาวน์ในลูกก็มากขึ้น) 5.2 กลุม่ อาการคลายนเ์ ฟลเตอร์ (Klinefelter’s Syndrome) เป็นความผิดปกติที่เกิดกับเพศชาย โดยมีลักษณะรูปร่างสูง หน้าอกโต เป็นหมัน และอาจมี สตปิ ัญญาอ่อน ซึ่งพบประมาณ 1.3 คนต่อผู้ชาย 1,000 คน สาเหตุเน่อื งจากมโี ครโมโซมเพศผิดปกติ คอื มโี ครโมโซม x เกินมา 1 โครโมโซมจงึ มจี ำ�นวน 47 โครโมโซม x xy ภาพท่ี 1.17 กลุ่มอาการคลายนเ์ ฟลเตอร์ สผำ�ู้สหอรนับ

คารโิ อไทป์ คอื การจดั ล�ำ ดบั โครโมโซมตามขนาดและรปู รา่ งโดยอาศยั ตำ�แหนง่ การถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม 35 ต่างๆ บนโครโมโซมเพอื่ ชว่ ยศึกษารายละเอียดของโครโมโซมแตล่ ะแทง่ กจิ กรรมที่ 1.6 ลักษณะกลุ่มอาการดาวน์และจ�ำ นวนโครโมโซมของคนเปน็ โรค วสั ดุอุปกรณ์ 1. ภาพหนา้ ของคนเป็นโรคกลมุ่ อาการดาวน์ 2. ภาพลายมอื และลายเท้าของคนเปน็ โรคกล่มุ อาการดาวน์ 3. ภาพโครโมโซมหรือคาริโอไทป์ (Karyotype) ของคนเป็นโรคกลมุ่ อาการดาวน์ สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) ภาพที่ 1.20 หน้าของคนเป็นโรค ภาพที่ 1.21 ลายมอื และลายเทา้ ของ ภาพที่ 1.22 โครโมโซมของคน กล่มุ อาการดาวน์ คนเปน็ โรคกลุ่มอาการดาวน์ เปน็ โรคกลมุ่ อาการดาวน์ วธิ ีทำ� 1. ศึกษาลักษณะหนา้ ตาของคนเป็นโรคกล่มุ อาการดาวน์ 2. ศึกษาลกั ษณะมือและเท้าของคนเป็นโรคกลมุ่ อาการดาวน์ 3. ศกึ ษาจ�ำ นวนโครโมโซมของคนเปน็ โรคกลมุ่ อาการดาวน์ 4. บันทึกผลในตาราง ตัวอย่างตารางบันทึกผล ลกั ษณะและจ�ำ นวนโครโมโซมของคนเป็นโรคกลุม่ อาการดาวนล์ กั ษณะต่างๆ ลักษณะตา่ งๆ จ�ำ นวนโครโมโซม ใบหน้า ฝ่ามือ/ฝ่าเท้า ค�ำ ถามทา้ ยกิจกรรม สผำ�ู้สหอรนับ • เดก็ ท่ีเป็นโรคกลมุ่ อาการดาวน์จะมลี กั ษณะหน้าตาเปน็ อย่างไร (แนวทางการตอบ ศีรษะเล็กกลม ด้ังจมูกแบน ตาชข้ี ้ึน ลน้ิ จุกปาก) • เดก็ หญงิ และเด็กชายที่เปน็ โรคกลมุ่ อาการดาวน์มโี ครโมโซมเป็นอยา่ งไร (แนวทางการตอบ โครโมโซมค่ทู ่ี 21 เกินมา 1 โครโมโซม จงึ มีโครโมโซมทง้ั หมดเป็น 47 โครโมโซม) • ผู้เรยี นคดิ ว่าสาเหตขุ องโรคกลุ่มอาการดาวน์คอื อะไร (แนวทางการตอบ เกิดจากการที่เซลล์ไข่ของมารดาแบ่งตัวค้างอยู่ในระยะแรกของไมโอซิสเป็นเวลานานกว่า จะแบ่งตัวตอ่ ไปจนเป็นเซลลไ์ ข่ หรอื อ่นื ๆ ขึ้นอยกู่ บั ดลุ ยพนิ ิจของผูส้ อน)

38 วิทยาศาสตร์เพือ่ พัฒนาอาชีพธรุ กจิ และบริการ ตารางที่ 4 ลกั ษณะของลูกรนุ่ ท่ี 1 รนุ่ ท่ี 2 และอัตราส่วนของลกู รนุ่ ที่ 2 ทไ่ี ด้จากการทเ่ี มนเดลน�ำ ลกั ษณะ บางอย่างมาทดลอง ลักษณะทศ่ี กึ ษา รนุ่ พ่อแม่ รุน่ ที่ 1 รนุ่ ที่ 2 อตั ราส่วน 1. สขี องดอก (P) (F1) (F2) ร่นุ ท่ี 2 2. ตำ�แหนง่ ของดอก มสี มี ว่ งทงั้ หมด 3.15 : 1 3. สีของเนอ้ื เมลด็ มว่ ง ขาว ม่วง 705 4. รูปร่างของเมล็ด ขาว 224 สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.)5. รูปร่างของฝกั 6. สีของฝกั ทกี่ ่ิง ที่ยอด ที่กง่ิ ทั้งหมด ทีก่ ิง่ 615 2.97 : 1 7. ความยาวของลำ�ต้น ที่ยอด 207 เหลอื ง เขยี ว มสี ีเหลืองทง้ั หมด เหลอื ง 6,022 3.01 : 1 เขียว 2,001 กลม ขรุขระ กลมทงั้ หมด กลม 5,474 2.96 : 1 ขรุขระ 1,850 อวบ แฟบ อวบท้งั ต้น อวบ 882 2.95 : 1 แฟบ 299 เขียว เหลอื ง มสี ีเขียวทั้งหมด เขยี ว 428 2.82 : 1 เหลอื ง 152 สูง เต้ยี สงู ทงั้ หมด สูง 787 2.84 : 1 เต้ยี 277 คำ�ถามชวนคิด ศึกษาขอ้ มลู จากตาราง แล้วตอบคำ�ถามตอ่ ไปนี้ • ลกั ษณะท่ีปรากฏในรุ่นที่ 1 มกี ่ีลกั ษณะ อะไรบ้าง (แนวทางการตอบ ขึ้นอยกู่ บั ดุลยพนิ ิจของผู้สอน) • ลกั ษณะท่ปี รากฏในร่นุ ท่ี 2 มีก่ลี กั ษณะ อะไรบ้าง (แนวทางการตอบ ขน้ึ อยู่กบั ดุลยพินิจของผสู้ อน) • อัตราสว่ นของลกั ษณะต่างๆ ของรุ่นท่ี 2 เปน็ อย่างไร (แนวทางการตอบ ข้ึนอย่กู บั ดลุ ยพินิจของผสู้ อน) • ลักษณะที่เกิดใหม่ในรุ่นที่ 1 และลักษณะท่ีเกิดใหม่ในรุ่นที่ 2 เม่ือนำ�มาเปรียบเทียบกัน เปน็ อยา่ งไร (แนวทางการตอบ ข้นึ อยู่กับดลุ ยพนิ ิจของผูส้ อน) ผสำ�ู้สหอรนับ

การถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรม 39 ในการผสมทกุ ลักษณะรุ่นพ่อแม่ (Parental Generation เขียนยอ่ วา่ ร่นุ P) มีลักษณะทแ่ี ตกต่าง กัน 2 ลกั ษณะ เชน่ ตน้ สูงกบั ตน้ เตี้ย แต่รุ่นลูก (First Filial Generation เขยี นย่อว่ารนุ่ F1) พบว่าลักษณะ ของพ่อหรือแม่หายไป 1 ลกั ษณะ คอื ลักษณะต้นเต้ยี หายไปเหลอื แต่ต้นสงู เพยี งลกั ษณะเดยี ว แต่พอถึง รุ่นหลาน (Second Filial Generation เขียนย่อว่ารุ่น F2) ซึ่งเป็นรุ่นท่ีเกิดจาก F1 ผสมกันเอง พบว่า ลักษณะต้นเต้ียที่หายไปในรุ่น F1 กลับมาปรากฏอีกคร้ังหนึ่ง โดยมีอัตราส่วนของลักษณะต้นสูงต่อ ลักษณะตน้ เต้ียในรุ่น F2 ประมาณ 3 : 1 ลกั ษณะที่ปรากฏในรุ่นที่ 1 (F1) และมีโอกาสปรากฏในรุน่ ต่อๆ ไปได้ เรียกว่า ลกั ษณะเด่น (dominance) เชน่ ลกั ษณะต้นสูง เปน็ ตน้ สว่ นลกั ษณะทีป่ รากฏในรนุ่ ที่ 2 (F2) และมีโอกาสปรากฏในรุ่นตอ่ ไปได้น้อยกว่า เรยี กวา่ ลกั ษณะดอ้ ย (recessive) เช่น ลักษณะตน้ เตย้ี เปน็ ต้น สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) คำ�ถามชวนคิด • อมัตีคร่าปาสร่วะนมขาณองเทจำ�่านไรวน(แลนวักทษางณกาะรเตดอ่นบตข่อึ้นอลยักกู่ ษับดณลุ ะยดพนิ้อจิยขใอนงผรสูุ้่นอนF)2 ท่ีได้จากการศึกษาของเมนเดล • ถ้าผู้เรียนนำ�พืชที่มีเมล็ดรูปร่างกลมรีผสมกับเมล็ดแบนได้ลูกรุ่นแรกเมล็ดแบน ถ้าผสม ตเมอ่ นไเปดไลดท้ F�ำ ก2 าจระทมดีลลกั อษงณผะสอมยพา่ นังไธร์ุถบั่ว้าจงำ�แนลวะนม2อี 8ตั 7รคาสร่วัง้ นเพเท่อื ่าเใหดตผุ ลใดด(แลุ นยวพทินางิจกขาอรงตผอูส้ บอนข)ึ้นอยู่กับ (แนวทางการตอบ ข้ึนอย่กู บั ดลุ ยพินจิ ของผสู้ อน) • 6.2 จโี นไทปแ์ ละฟโี นไทป์ เมนเดลให้เหตุผลเพื่ออธิบายปรากฏการณ์ท่ีเกิดจีโนไทป์และฟีโนไทป์ข้ึนดังน้ี ลักษณะทาง พนั ธกุ รรมทกุ ลกั ษณะมอี ยภู่ ายในเซลลข์ องสง่ิ มชี วี ติ ทกุ เซลล์ แตล่ ะลกั ษณะมหี นว่ ยเฉพาะท�ำ หนา้ ทกี่ �ำ หนด ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม เรยี กวา่ ยนี แตล่ ะลกั ษณะมยี นี ทก่ี �ำ หนดลกั ษณะอยกู่ นั เปน็ คู่ อาจเปน็ ยนี ทก่ี �ำ หนด ลักษณะเด่นทั้งคู่ ลักษณะด้อยทั้งคู่ หรือท้ังลักษณะเด่นและลักษณะด้อย การท่ีเมนเดลให้เหตุผลเช่นน้ี เพราะตน้ ถวั่ ทกุ ตน้ ในลกู รนุ่ F1 แสดงลกั ษณะเดน่ อยา่ งเดยี วนน้ั สามารถใหล้ กู ทมี่ ลี กั ษณะเดน่ และลกั ษณะ ด้อยในลูกรนุ่ F2 ได้ แสดงว่าต้นถั่วในลกู รนุ่ F1 จะตอ้ งมียีนท่ีก�ำ หนดลักษณะเดน่ และลกั ษณะดอ้ ยอยกู่ นั เปน็ คู่ ยนี ท่ีกำ�หนดลักษณะด้อยจะไมแ่ สดงออกในลกู รุ่น F1 แต่จะปรากฏใหเ้ ห็นในลูกรุ่น F2 ในการศกึ ษา นิยมใช้สัญลักษณ์เป็นอักษรตัวใหญ่แทนยีนท่ีก�ำ หนดลักษณะเด่น และใช้อักษรตัวเล็กแทนยีนท่ีก�ำ หนด ลกั ษณะดอ้ ย เชน่ ลักษณะสงู ใชแ้ ทนดว้ ย T ลักษณะเตี้ยใชแ้ ทนดว้ ย t แต่เนื่องจากยีนทกี่ ำ�หนดลกั ษณะ ต่างๆ อยู่กันเป็นคู่และท�ำ งานรว่ มกนั จึงเขยี นสญั ลกั ษณ์เปน็ อักษรคกู่ ัน เช่น TT Tt tt ลักษณะของยีนที่อยู่ด้วยกันเป็นคู่ เรียกว่า จีโนไทป์ (genotype) ถ้าจีโนไทป์มียีนทั้งคู่ เหมอื นกนั เช่น เปน็ TT หรือ tt เรยี กวา่ พนั ธ์แุ ท้ หรือฮอมอไซกัส (homozygous) แตถ่ ้าจีโนไทป์มยี ีน ทงั้ คูแ่ ตกตา่ งกัน เช่น Tt เรยี กวา่ พนั ธท์ุ าง หรอื เฮเทอโรไซกสั (heterozygous) สผำ�ู้สหอรนับ

40 วิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาอาชพี ธรุ กจิ และบรกิ าร ลักษณะท่ีปรากฏให้เห็นภายนอกเป็นการแสดงออกของยีน เช่น ลักษณะต้นสูง ลักษณะ ต้นเตยี้ เรียกว่า ฟโี นไทป์ (phenotype) เช่น ลักษณะจีโนไทป์ TT Tt จะมฟี ีโนไทปเ์ ปน็ ตน้ สูง ลักษณะ จีโนไทป์ tt จะมีลกั ษณะฟโี นไทปเ์ ป็นต้นเตี้ย เป็นต้น คำ�ถามชวนคิด • ผเู้ รยี นคดิ วา่ สง่ิ มชี วี ติ ทม่ี ฟี โี นไทปเ์ หมอื นกนั จ�ำ เปน็ จะตอ้ งมจี โี นไทปเ์ หมอื นกนั หรอื ไม่ อยา่ งไร (แนวทางการตอบ ไมจ่ �ำ เปน็ เชน่ ตน้ ถว่ั มจี โี นไทป์ TT และ Tt แตแ่ สดงฟโี นไทปอ์ ยา่ งเดยี ว คอื ลกั ษณะตน้ สงู ) สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) 7. การถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตมีหลายลักษณะ ในการถ่ายทอดแต่ละครั้งอาจ พจิ ารณาเพยี งลกั ษณะเดยี ว เรยี กวา่ การผสมพจิ ารณาลกั ษณะเดยี ว (monohybrid cross) หรอื พจิ ารณา สองลกั ษณะ เรียกว่า การผสมพิจารณาสองลักษณะ (dihybrid cross) หรืออาจพิจารณาสามลกั ษณะ เรยี กว่า การผสมพิจารณาสามลักษณะ (trihybrid cross) 7.1 การถ่ายทอดลักษณะเด่นสมบูรณ์ (Complete Dominance) การผสมพิจารณา ลักษณะเดยี ว ยนี เปน็ หน่วยพันธกุ รรมทำ�หน้าท่ีก�ำ หนดลกั ษณะทางพันธกุ รรมแต่ละลกั ษณะ และถา่ ยทอด ไปยังลูกหลานได้ทางเซลล์สืบพันธ์ุ ข้อมูลที่เมนเดลรวบรวมจากการทดลองผสมพันธุ์ต้นถั่วชี้ให้เห็น แบบแผนของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ดังนัน้ ในร่นุ F1 มีอตั ราส่วนของลกั ษณะเดน่ : ลกั ษณะ ด้อย เป็น 1 : 0 แม้ว่าลักษณะด้อยจะไม่ปรากฏให้เห็นในลูกรุ่น F1 แต่ก็ไม่ได้หายไปเลย ยีนที่กำ�หนด ลักษณะด้อยยงั คงแฝงอยแู่ ละไปแสดงออกในลกู ร่นุ F2 ทำ�ให้มอี ัตราส่วนของลักษณะเด่น : ลักษณะดอ้ ย เป็น 3 : 1 ถว่ั ตน้ สงู × ถ่วั ต้นเตีย้ TT × tt รุ่นพ่อแม่ (P) เซลล์สบื พนั ธุ์ T , T × t , t หรอื อาจเขยี น T , T × t , t ผสำ�ู้สหอรนับ

การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรม 45 คำ�ถามชวนคิด (แนวทางการตอบมฟี โี นไทป์3ชนดิ ไดแ้ ก่สแี ดงชมพูและขาวในอตั ราสว่ น1:2:1) • การผสมดอกบานเยน็ สีแดงกับสีขาวไดล้ กู รุน่ ท่ี 1 สีชมพทู ั้งหมด ถ้าผสมตอ่ ไปได้ F2 มฟี โี นไทปก์ ช่ี นดิ อตั ราสว่ นเป็นอย่างไรบา้ ง • ถ้าผู้เรียนนำ�ดอกบานเย็นสีชมพูไปผสมกับดอกบานเย็นสีแดงจะได้ลูกมีลักษณะอย่างไรบ้าง สัดส่วนเท่าใด (แนวทางการตอบ มีฟโี นไทป์ 2 ชนดิ ได้แก่ สแี ดงและชมพู ในอัตราสว่ น 2 : 2) สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) • ถ้าผู้เรียนน�ำ โคสนี าํ้ ตาลไปผสมกบั โคสีขาวจะไดล้ ูกมีลกั ษณะอย่างไรบ้าง สดั สว่ นเทา่ ใด (แนวทางการตอบ มีฟโี นไทป์ 2 ชนดิ ไดแ้ ก่ สีนํา้ ตาลและขาว ในอตั ราส่วน 2 : 2) 8. พงศาวลี ผสู้ อนตั้งคำ�ถามถามผูเ้ รยี นว่า พงศาวลคี อื อะไร ผู้เรียนร่วมกันอภิปรายและแสดงความคิดเหน็ การศึกษาแบบแผนการถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมในสิ่งมีชวี ิตทว่ั ๆ ไป จะศึกษาจากการทดลอง ในสง่ิ มีชวี ิตที่มีขนาดเล็ก แพรพ่ ันธเ์ุ รว็ มลี กู มาก และอายขุ ัยสัน้ เชน่ ต้นถ่วั แมลงหวี่ เป็นตน้ แตก่ ารศึกษา การถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรมในมนุษย์ใช้การทดลองไม่ได้ เน่ืองจากมนุษย์มีอายุขัยยาวและมนุษย์มี การเลอื กคแู่ ตง่ งานดว้ ยตนเอง จงึ ไมส่ ามารถบงั คบั ใหม้ นษุ ยท์ ม่ี ลี กั ษณะทเ่ี ราตอ้ งการศกึ ษาแตง่ งานกนั ได้ นอกจากน้ีมนุษย์มีลูกจำ�นวนน้อยจึงยากท่ีจะสังเกตการถ่ายทอดลักษณะในหลายช่ัวอายุคน ดังน้ัน การศึกษาการถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรมในมนุษย์ จึงศึกษาจากการสืบประวัติผู้ป่วยในครอบครัวที่มี ลักษณะตามทตี่ อ้ งการศกึ ษา พงศาวลี (Pedigree) หรอื พนั ธปุ ระวัติ เปน็ แผนภาพท่แี สดงการสบื สายพันธ์หุ รือแผนภาพลำ�ดับ เครือญาติท่ีได้จากการศึกษาการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม โดยการเก็บข้อมูลของมนุษย์ใน ครอบครัวหลายๆ ชว่ั อายุคนแล้วนำ�มาเขียนเปน็ แผนภาพ โดยใชส้ ญั ลกั ษณ์ตา่ งๆ ดังน้ี หมายถึง ผู้ชาย ผสำ�ู้สหอรนับ หมายถงึ ผหู้ ญงิ หมายถึง ผู้ชายหรือผหู้ ญงิ ทมี่ ีความผิดปกติ หมายถึง ผชู้ ายหรือผู้หญงิ ที่ตายแล้ว หมายถึง ผู้ชายและผหู้ ญิงแต่งงานกนั หมายถงึ ผู้ชายและผู้หญิงท่เี ปน็ เครอื ญาตแิ ตง่ งานกัน หมายถึง ผูห้ ญงิ ท่เี ปน็ พาหะ หมายถงึ แฝดทเี่ กิดจากไขใ่ บเดียว (แฝดรว่ มไข่) หมายถึง แฝดทเ่ี กิดจากไข่คนละใบ (แฝดต่างไข)่ หมายถึง ผู้ชายและผหู้ ญงิ แตง่ งานกนั แลว้ มีบตุ ร 3 คน เปน็ หญิง 1 คน 2 เป็นชาย 2 คน

46 วิทยาศาสตร์เพอ่ื พฒั นาอาชพี ธุรกิจและบรกิ าร ตัวอย่าง พงศาวลี 1 จากพงศาวลี พ่อ แม่ มลี ักษณะปกติ รุ่นลกู มีทัง้ เพศชาย และเพศหญิงบางคนที่ผิดปกติ รุ่นหลานมีทั้งเพศชายและ เพศหญงิ ทม่ี ลี ักษณะทีผ่ ิดปกติและลักษณะปกติ แสดงว่าลักษณะน้ีถูกควบคุมโดยยีนด้อยในโครโมโซม ร่างกาย และพบไดใ้ นเพศชายและเพศหญงิ บางรุ่น สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) (แนวทางการตอบ ถูกควบคุมด้วยยีนด้อยท่ีอยู่บนโครโมโซม x จึงถ่ายทอดและปรากฏในเพศชายได้ เน่ืองจากเพศชาย มโี ครโมโซม x ตวั เดยี ว ถา้ ผดิ ปกตจิ ะแสดงออกทนั ที ในขณะทเี่ พศหญงิ มโี ครโมโซม x สองตวั ตอ้ งผดิ ปกตทิ ง้ั คจู่ งึ แสดงอาการ หากมีโครโมโซม x ทผ่ี ดิ ปกตเิ พยี ง 1 โครโมโซม เพศหญงิ จะเป็นพาหะ หรืออ่นื ๆ ขึ้นอย่กู ับดุลยพินจิ ของผสู้ อน) ตวั อยา่ ง พงศาวลี 2 รุ่นลูก จากพงศาวลี พ่อมีลักษณะผิดปกติ แต่แม่ปกติ ปกติทุกคน รุ่นหลานผู้ชายผิดปกติบางคน ผู้หญิงปกติ ทุกคน แสดงว่าลักษณะน้ีถูกควบคุมโดยยีนด้อยในโครโมโซม และพบไดใ้ นเพศชายบางรุน่ คำ�ถามชวนคดิ ศึกษาพงศาวลตี อ่ ไปนแ้ี ลว้ ตอบค�ำ ถาม • ลักษณะที่แสดงในพงศาวลนี ้ีถกู ควบคมุ ดว้ ยยีนในโครโมโซมชนดิ ใดเพราะเหตใุ ด • เขียนจโี นไทป์ก�ำ กับพงศาวลขี า้ งต้น 8.1 การถา่ ยทอดลกั ษณะพันธุกรรมทางโครโมโซม xy xcx สผำ�ู้สหอรนับ xcx xy xcy xcx xx xx xcy xy xcx xy xcx xcy

48 วิทยาศาสตรเ์ พื่อพฒั นาอาชีพธรุ กจิ และบรกิ าร (แนวทางการตอบ เปน็ โรคทถี่ กู ควบคมุ ดว้ ยยนี ดอ้ ยบนโครโมโซม x ใน ค�ำ ถามชวนคดิ เพศชายมโี ครโมโซมเพศเปน็ xyจงึ มโี อกาสเปน็ โรคไดม้ ากกวา่ เพศหญงิ ) • เพราะเหตใุ ดโรคฮโี มฟเิ ลยี จงึ เกดิ ขึ้นกบั เชือ้ พระวงศท์ เี่ ป็นชายเทา่ น้ัน • เพราะเหตุใดซาร์วิตซ์จึงเป็นโรคฮีโมฟิเลียทั้งๆ ท่ีพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา และยายไม่ได้เป็น โรคฮีโมฟิเลยี (แนวทางการตอบ พระมารดาของซาร์วติ ซ์ เป็นพาหะโรคฮโี มฟเิ ลยี ) • เพราะเหตุใดพระราชโอรสและพระราชนัดดาที่เป็นผู้ชายของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดท่ี 7 จึงไม่เป็น โรคฮโี มฟิเลยี (แนวทางการตอบ เนื่องจากไม่มยี นี ดอ้ ยท่ที �ำ ใหเ้ ปน็ โรคฮีโมฟเิ ลยี อยู่บนโครโมโซม) • ผู้ชายทีเ่ ป็นโรคฮีโมฟเิ ลียไดร้ ับยีนท่ีเป็นโรคจากพอ่ หรอื แมเ่ พราะเหตใุ ด สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) 8.2 การถา่ ยทอดลกั ษณะหมู่เลอื ด (แนวทางการตอบ แม่ เนื่องจากลูกชายจะได้รับ โครโมโซม y จากพอ่ และ x จากแม)่ ยีนทีก่ �ำ หนดลกั ษณะหมู่เลือด A, B, O ของมนษุ ยม์ ี 3 อลั ลีล คอื IA IB และ i ทั้ง 3 อลั ลีล ทำ�หนา้ ที่ควบคมุ การสังเคราะห์แอนติเจนบนผิวเซลลเ์ มด็ เลอื ดแดง ดงั นี้ อัลลลี IA ท�ำ หนา้ ทสี่ งั เคราะห์แอนติเจนชนิด A อลั ลลี IB ท�ำ หนา้ ทสี่ งั เคราะหแ์ อนตเิ จนชนิด B อัลลีล i ไม่สามารถสังเคราะหแ์ อนตเิ จนทั้งสองชนิดได้ ดงั น้นั จีโนไทปแ์ ละฟีโนไทปข์ องหม่เู ลือด A, B, O จงึ เปน็ ดงั ตาราง ตารางท่ี 5 จโี นไทปแ์ ละฟโี นไทป์ของหมู่เลือด A, B, O จีโนไทป์ ฟีโนไทป์ IAIA หรอื IAi หมเู่ ลือด A IBIB หรอื IBi หมู่เลือด B IAIB หมเู่ ลือด AB ii หมเู่ ลอื ด O หมู่เลือดของมนุษย์เป็นลักษณะเฉพาะของแต่ละคนไม่มีการเปลี่ยนแปลง และลักษณะน้ี ได้รับการถ่ายทอดจากพ่อและแม่ ดังนั้นจึงสามารถนำ�หมู่เลือด A, B, O ไปใช้พิสูจน์ความสัมพันธ์ของ การเปน็ พอ่ แมแ่ ละลูกได้ สผำ�ู้สหอรนับ

50 วิทยาศาสตร์เพือ่ พัฒนาอาชีพธุรกจิ และบริการ ค�ำ ถามทา้ ยกิจกรรม 1. ผู้เรยี นคิดว่า หมเู่ ลอื ด A, B, O สามารถบอกความสัมพนั ธ์ของพ่อแม่ลูกไดแ้ น่นอนหรอื ไม่ (แนวทางการตอบ ไม่แน่นอน เนื่องจากในหมู่เลือดหนึ่งอาจมีจีโนไทป์ได้หลายแบบ เช่น ลูกที่มีหมู่เลือด O (ii) อาจจะมาจากพอ่ แมท่ ม่ี ีหมู่เลอื ด IBi Ö ii หรือ IAi Ö ii หรือ ii Ö ii กไ็ ด้ หรอื อ่นื ๆ ขึ้นอยูก่ ับดุลยพินิจของผ้สู อน) 2. พ่อแม่คใู่ ดทมี่ ีโอกาสที่จะมลี กู หม่เู ลือดหลากหลายชนิดท่ีสดุ เพราะเหตใุ ด (แนวทางการตอบ หมเู่ ลอื ด A และ B) สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) 9. การกลาย ผู้สอนต้ังคำ�ถามถามผู้เรียนว่า ผู้เรียนคิดว่าการกลายคืออะไรและ เกดิ จากอะไรไดบ้ า้ ง ผ้เู รียนร่วมกันอภปิ รายและแสดงความคดิ เหน็ ลักษณะทางพันธุกรรมที่ถ่ายทอดจากบรรพบุรุษอาจเปล่ียนแปลงได้ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงหน่วย พนั ธุกรรมจากลักษณะเดมิ ให้กลายเปน็ ลักษณะใหมท่ ผี่ ิดไปจากเดิม เรียกวา่ การกลาย (Mutation) การกลายเป็นสาเหตุของความแตกต่างกันในสิ่งมีชีวิต การกลายเกิดข้ึนได้เองตามธรรมชาติท้ังใน มนษุ ย์ สตั ว์ และพชื และเป็นปจั จยั สำ�คญั ทที่ �ำ ใหเ้ กิดการผนั แปรของลักษณะตา่ งๆ และเกิดวิวฒั นาการ ของสิง่ มชี วี ิต การกลายทเี่ กดิ ขึน้ เองตามธรรมชาตมิ กั เกิดในอตั ราท่ีตํา่ มาก การผนั แปรของลกั ษณะต่างๆ จึงเป็นไปอย่างช้าๆ การกลายอาจทำ�ให้เกิดท้ังลักษณะที่เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมใน ขณะน้ันๆ ก็ได้ โดยทั่วไปส่ิงมีชีวิตท่ีมีลักษณะไม่เหมาะสมมักจะไม่สามารถด�ำ รงชีวิตอยู่ได้ ดังนั้นจึงนับ ไดว้ า่ การกลายเป็นวธิ ีการคดั เลอื กพันธุ์ของธรรมชาติ การกลายเกิดขึ้นได้กับทั้งเซลล์ร่างกายและเซลล์สืบพันธ์ุ ถ้าเกิดข้ึนกับเซลล์ร่างกายการผันแปร ของลักษณะตา่ งๆ จะมคี วามเฉพาะตวั เช่น การเกิดมะเรง็ ผวิ หนังไม่ถ่ายทอดไปยังลูกหลาน แตถ่ ้าเกิดข้นึ กับเซลลส์ บื พันธ์ุ การผันแปรของลกั ษณะตา่ งๆ จะสามารถถา่ ยทอดไปยังลูกหลานได้ นอกจากการกลายจะเกิดข้ึนได้เองตามธรรมชาติแล้ว ยังสามารถชักนำ�ให้เกิดข้ึนได้โดยวิธีต่างๆ ดังท่ีนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันได้ทดลองทำ�ให้เกิดการกลายในแมลงหว่ีโดยใช้รังสีเอกซ์ และพบว่า แมลงหว่ีที่ได้รับรังสีเอกซ์จะเกิดการกลายในอัตราท่ีสูงกว่าที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติหลายเท่า ในปัจจุบัน นอกจากจะใช้รังสีเอกซ์เป็นตัวทำ�ให้เกิดการกลายกับพืชหรือสัตว์ทดลองแล้ว ยังอาจใช้รังสีชนิดอ่ืนๆ เช่น รังสีแกมมา รังสีอัลตราไวโอเลต สารเคมีบางชนิด เป็นต้น รวมถึงอุณหภูมิท่ีสูงมากหรือต่ํามากท่ี เป็นตัวทำ�ให้เกดิ การกลายได้ทง้ั สน้ิ สารเคมีท่ีทำ�ให้เกิดการกลายมหี ลายชนดิ ไดแ้ ก่ ยารกั ษาโรค สารทก่ี ำ�จดั แมลงศัตรูพืช สารกันบดู สารผสมอาหาร และสารเสพติดบางชนิด สารเคมีเหล่านี้เป็นสารท่ีมนุษย์สร้างข้ึน ควรท่ีจะใช้ด้วย ผสำ�ู้สหอรนับ ความระมัดระวัง และต้องปฏิบัติตามข้อแนะนำ�อย่างเคร่งครัด มิฉะน้ันจะเกิดอันตรายแก่ผู้ใช้และอาจ

การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรม 51 ทำ�ให้เกิดความพิการในลูกหลานต่อไปได้ การใช้สารเคมีในการกำ�จัดแมลงศัตรูพืชจะมีแมลงส่วนหนึ่งที่ รอดตาย เพราะร่างกายเกิดการกลายที่ทำ�ให้สามารถทนต่อสารเคมีได้อยู่ก่อนแล้ว สมบัติความทนต่อ สารเคมีของแมลงศัตรูพืชจะถูกถ่ายทอดต่อไปยังลูกหลานได้มากขึ้น เพราะแมลงธรรมดาส่วนใหญ่ตาย ไปแล้ว จึงทำ�ให้เกดิ ปัญหากบั เกษตรกรในการใชส้ ารเคมีในการฆ่าแมลง หรอื ท�ำ ลายแมลงเหล่าน้ีเพิม่ มาก ข้ึนเร่ือยๆ บางครั้งการกลายในพืชและสัตว์อาจทำ�ให้ได้ลูกที่มีลักษณะทางพันธุกรรมที่ผิดปกติ ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์จึงใช้ผลจากการเกิดการกลายเพ่ือคัดเลือกลักษณะดีๆ ไว้ใช้ประโยชน์ เช่น การนำ� รงั สแี กมมามาใช้ท�ำ ให้เกิดขา้ วพันธุ์ใหมๆ่ ขึ้น เช่น พันธ์ุ กข 6 เป็นพันธุ์ขา้ วเหนียว ซ่ึงเกดิ จากการน�ำ ข้าว พันธ์ขุ าวดอกมะลิ 105 มาอาบรังสแี กมมา เปน็ ตน้ สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) ค�ำ ถามชวนคิด • สาเหตทุ ่ีทำ�ให้เกดิ การกลายมีอะไรบ้าง(แนวทางการตอบ เกดิ ขึน้ เองตามธรรมชาติ สารเคมี และรังสตี า่ งๆ) • การกลายที่เกิดในมนุษย์เป็นผลดีหรือผลเสียอยา่ งไรบ้าง (แนวทางการตอบมผี ลดใี นการปรบั ตวั เขา้ หาสภาพแวดลอ้ ม 10. ปจั จยั ทท่ี �ำ ให้เกดิ วิวัฒนาการ ที่อาศัย แต่ผลเสีย เช่น การเกิดลักษณะทางพันธุกรรม ทีผ่ ิดปกติ หรืออน่ื ๆ ขึน้ อยกู่ บั ดลุ ยพินจิ ของผสู้ อน) นักพันธุศาสตร์เชิงประชากรให้ความหมายของวิวัฒนาการว่าเป็นการเปล่ียนแปลงความถ่ีของยีน ในประชากร ถ้าจำ�นวนความถ่ีของยีนหรือสัดส่วนของจีโนไทป์ไม่มีการเปล่ียนแปลงรุ่นแล้วรุ่นเล่า ส่ิงมีชีวิต คงไม่มีวิวัฒนาการ แต่ในสภาพธรรมชาติมปี ัจจัยหลายอยา่ งท�ำ ใหค้ วามถขี่ องยีนเปลย่ี นไปและเปน็ ปัจจัย ทที่ ำ�ใหเ้ กดิ ววิ ัฒนาการ ประกอบดว้ ย 10.1 การคดั เลือกโดยธรรมชาติ การคัดเลอื กโดยธรรมชาตมิ ีปัจจัยสำ�คัญ คือ ความสามารถในการสบื พนั ธุ์ของสิง่ มีชวี ติ นั้น เพ่ือการถ่ายทอดลักษณะท่ีแตกต่างจากที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติไปสู่ลูกหลานของสิ่งมีชีวิตนั้น ภายใต้ สภาพแวดล้อมท่ีอาศัยอยู่ ผลของการคัดเลือกโดยธรรมชาติก่อให้เกิดการปรับตัว เพ่ือให้เข้ากับ สภาพแวดล้อมเหล่าน้ัน เช่น การปรับตัวของผีเสื้อกลางคืนที่มีสีเหมือนกับต้นไม้ท่ีอาศัยอยู่ จึงสามารถ รอดจากการถูกนกจับกินได้ ผีเสื้อสีดำ�และสีเทาเมื่ออาศัยอยู่บนต้นไม้ท่ีเปลือกสีดำ� ผีเสื้อสีดำ�จะมี โอกาสอยู่รอดมากกว่าผีเสื้อสีเทา หรือความทนทานต่อยาปฏิชีวนะของแบคทีเรีย โดย เจ. เลเดอร์เบิร์ก (J. Ledeuberg) และ อี.เลเดอร์เบิร์ก (E. Ledeuberg) นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันได้ทำ�การทดลอง เลี้ยงแบคทีเรียในอาหารท่ีมียาปฏิชีวนะพบว่าแบคทีเรียบางชนิดสามารถเจริญเติบโตได้ ในขณะท่ีบางชนิด ไม่สามารถเจรญิ เตบิ โตไดแ้ ละตายไป และเม่ือเลย้ี งตอ่ ไปเรื่อยๆ จะพบว่าแบคทเี รยี ท่ีต้านทานยาปฏิชวี นะ มีปริมาณเพิ่มข้ึน จึงสรุปผลการทดลองว่า การต้านทานยาปฏิชีวนะของแบคทีเรียเกิดจากการคัดเลือก สผำ�ู้สหอรนับ โดยธรรมชาติ ซ่ึงจะต้องเกิดการเปล่ียนแปลงทีย่ ีน

สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.)58 วิทยาศาสตร์เพือ่ พฒั นาอาชพี ธุรกิจและบรกิ าร กจิ กรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ คำ�ชี้แจง กจิ กรรมตรวจสอบความเขา้ ใจเปน็ กจิ กรรมฝกึ ทกั ษะเฉพาะดา้ นความร-ู้ ความจำ� เพอื่ ใชใ้ น การตรวจสอบความเขา้ ใจตามจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. จงอธบิ ายค�ำ ต่อไปนี้ (จ.1, จ.2, จ.3, จ.4, จ.5, จ.6, จ.7, จ.8, จ.9, จ.10) 1.1 มวิ เทชัน 1.2 ลกั ษณะเด่น 1.3 จโี นไทป์ 1.4 ฟีโนไทป์ 1.5 พนั ธุ์แท ้ 1.6 สปชี สี ์ 1.7 ไมโอซสิ 1.8 ความแปรผนั 1.9 ไทมนี 1.10 ดเี อ็นเอ (แนวทางการตอบ 1.1 มิวเทชันหรือการกลายพันธุ์ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงลักษณะพันธุกรรมและลักษณะที่เปลี่ยนแปลง สามารถถา่ ยทอดจากช่วั อายุหนึ่งได้ 1.2 ลักษณะเด่น คือ ลักษณะทป่ี รากฏออกมาในรุ่นลกู หรอื รนุ่ ตอ่ ๆ ไปเสมอ 1.3 จีโนไทป์ คอื ลักษณะหรือแบบของยนี ทค่ี วบคุมลกั ษณะของสงิ่ มีชีวติ 1.4 ฟโี นไทป์ คอื ลักษณะของส่งิ มชี ีวิตที่ปรากฏออกมาเนอ่ื งจาก การแสดงออกของยนี และอทิ ธพิ ลของสิง่ แวดล้อม 1.5 พันธุ์แท้ คอื ลกั ษณะของจโี นไทป์ท่ีมยี ีนทั้งคเู่ หมือนกัน ซงึ่ อาจเปน็ ยีนท่ีมีลักษณะเด่นทั้งคู่ ลักษณะด้อยท้ังคู่ 1.6 สปีชีส์ คือ กลุ่มของส่ิงมีชีวิตที่มีลักษณะทางพันธุกรรมคล้ายคลึงกัน ท�ำ ให้ สามารถผสมพันธ์ุและถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมให้ลูกหลานได้ปกติ โดยท่ีลูกไม่เป็นหมัน 1.7 ไมโอซิส คือ การแบ่ง เซลลเ์ พ่อื สร้างเซลลส์ ืบพันธุข์ องสตั ว์ 1.8 ความแปรผนั คือ ความแตกตา่ งอันเนื่องจากมีลักษณะพนั ธกุ รรมแตกตา่ งกนั 1.9 ไทมนี คอื เบสชนดิ ไพรมิ ดิ นี เป็นโครงสร้างพน้ื ฐานของดีเอน็ เอ 1.10 ดเี อน็ เอ (deoxyribonucleic acid) เปน็ กรดนิวคลิอกิ ที่ทำ�หน้าที่เก็บข้อมูลทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต ส่วนใหญ่อยู่ในรูปโครโมโซม ซ่ึงอยู่ในนิวเคลียสภายในเซลล์ของส่ิงมีชีวิต หรืออน่ื ๆ ข้นึ อยกู่ ับดลุ ยพนิ ิจของผู้สอน) 2. ค�ำ กล่าวต่อไปนี้ “สิง่ มีชวี ติ ขนาดใหญจ่ ะมีจำ�นวนโครโมโซมมาก” ผเู้ รยี นคิดวา่ เปน็ จริงหรือไม่ อยา่ งไร (จ.1) (แนวทางการตอบ ไม่จริง ขนาดของสงิ่ มีชีวติ ไมไ่ ด้สัมพนั ธก์ ับจ�ำ นวนโครโมโซม ยกตวั อย่างเชน่ วัวมีโครโมโซม 60 โครโมโซม ในขณะทไี่ ก่ซึ่งมขี นาดตัวเล็กกว่าววั มีโครโมโซม 78 โครโมโซม หรืออน่ื ๆ ขึ้นอยู่กบั ดุลยพนิ ิจของผสู้ อน) ผสำ�ู้สหอรนับ จ. หมายถึง ตรงตามจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 ขอ้ ท่ี ...

การถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม 59 3. ศกึ ษาภาพโครโมโซมทางซา้ ยแลว้ ตอบค�ำ ถาม ภาพโครโมโซมน้ี เป็นโครโมโซมของส่ิงมีชีวิตชนิดใด เพศใด และทราบได้ อย่างไร (จ.1) (แนวทางการตอบ โครโมโซมของมนษุ ย์ เหน็ ไดจ้ ากมี 23 คู่ และเปน็ เพศชาย เน่ืองจากโครโมโซมคทู่ ี่ 23 เปน็ xy) สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) ภาพท่ี 1.31 ตัวอย่างโครโมโซม 4. ดอกไม้ชนิดหนึ่ง ดอกสีขาวเป็นลักษณะด้อย ดอกสีม่วงเป็นลักษณะเด่น ถ้าผสมดอกสีขาวและ ดอกสมี ว่ งพนั ธุแ์ ท้จะไดด้ อกสีอะไร จงเขยี นจโี นไทป์ของรุ่นพ่อแม่ และลูก (จ.2) (แนวทางการตอบ ได้ดอกสมี ่วงทงั้ หมด หากก�ำ หนดจีโนไทป์รนุ่ พอ่ แม่ โดยให้ T แทน ดอกสมี ่วง และ t แทนดอกสขี าว ได้ลกู มีจโี นไทป์เปน็ Tt ทกุ ต้น) 5. นายด�ำ และนางแดง มสี ผี วิ ปกติ มลี ูกคนแรกเป็นผวิ เผือก ถา้ สีผิวปกตเิ ป็นลักษณะเด่นและผวิ เผอื ก เป็นลักษณะดอ้ ย ใหต้ อบค�ำ ถามตอ่ ไปน้ี (จ.2) 5.1 จโี นไทป์ของนายดำ�และนางแดงเปน็ อย่างไร (แนวทางการตอบ กำ�หนดให้ A เป็นสีผิวปกติ และ a เป็นผิวเผือก หากบิดามารดามีสีผิวปกติ แต่มีลูกเป็นผิวเผือก จะเขยี นจโี นไทป์ของนายดำ�ได้ คอื Aa และของนางแดงได้ คอื Aa) 5.2 ลูกคนตอ่ ไปจะมโี อกาสผิวเผอื กในอัตราส่วนเท่าใด (แนวทางการตอบ ร้อยละ 25 (1 ใน 4) โดยคิดจาก Aa Ö Aa ได้รุ่นลูกมีจีโนไทป์เป็น AA Aa Aa aa โดยท่ี aa คือลักษณะด้อยหรอื ผิวเผอื ก) 6. ดีเอ็นเอ ประกอบด้วยสายยาวเหมือนเส้นด้าย 2 สาย ถ้าสายหนึ่งประกอบด้วยลำ�ดับเบสต่อไปน้ี (จ.4) A C G T T A G A G C T C A T สผำ�ู้สหอรนับ อกี สายหน่ึงจะประกอบด้วยเบสอะไรบ้าง (แนวทางการตอบ TGCAATCTCGAGTA)

สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.)60 วทิ ยาศาสตรเ์ พอ่ื พฒั นาอาชพี ธุรกิจและบริการ 7. ลักษณะผิวปกติในมนุษย์เป็นลักษณะเด่น ลักษณะผิวเผือกเป็นลักษณะด้อย นายกนก ผิวปกติ แต่มีแม่ผิวเผือก ส่วนนางสาววัน ผิวเผือกเหมือนพ่อ เม่ือนายกนกและนางสาววันแต่งงานกัน โอกาสทล่ี กู คนแรกของนายกนกและนางสาววัน จะมีผิวเผอื กเหมือนแม่ ยา่ และ ตา เปน็ เท่าใด (จ.5) (แนวทางการตอบ ก�ำ หนดให้ A แทนสผี วิ ปกติ และ a แทนผวิ เผอื ก นายกนกมสี ผี วิ ปกติแตม่ แี มผ่ วิ เผอื ก จโี นไทปข์ องนาย กนกจงึ เปน็ Aa สว่ นนางสาววนั มีผวิ เผือก จโี นไทป์ของนางสาววนั จึงเปน็ aa เมือ่ นายกนกและนางสาววันแต่งงานกัน โอกาสที่ จะได้ลูกผวิ เผือกเป็นดังน้ี Aa Aa aa aa คอื รอ้ ยละ 50 (1 ใน 2)) 8. ชาวนาปลูกแตงโมไว้ท่ีขอบสระนํ้า ได้ผลออกมารูปร่างต่างกัน บ้างกลม บ้างรี และมีลวดลาย บนเปลือกสีเขยี วสลับสขี าว บา้ งแถบสใี หญ่ บ้างแถบสีเล็ก เปน็ เพราะเหตุใด จงอธิบาย (จ.6) (แนวทางการตอบ ขึน้ อยู่กบั ดลุ ยพินจิ ของผสู้ อน) 9. นายดาวเดน่ มีลักษณะนิว้ มอื ส้ัน หางตาชีข้ ้นึ ล้ินจกุ คบั ปาก ศีรษะแบนมาตง้ั แตเ่ ลก็ ลกั ษณะดงั กลา่ ว เกดิ จากสาเหตใุ ด (จ.8) (แนวทางการตอบ โรคดาวนซ์ นิ โดรมเปน็ ความผดิ ปกตขิ องพนั ธกุ รรมทเี่ ปน็ มาแตก่ �ำ เนดิ เกดิ จากความผดิ ปกตขิ องโครโมโซม ค่ทู ่ี 21 เกนิ มา 1 แทง่ ) 10. การใชเ้ ทคโนโลยีชวี ภาพในประเทศไทยมคี วามกา้ วหนา้ หรือไม่ อยา่ งไร (จ.10) (แนวทางการตอบ ขึ้นอยู่กับดลุ ยพินิจของผู้สอน) ผสำ�ู้สหอรนับ

การถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม 61 กิจกรรมสง่ เสริมการเรียนรู้ คำ�ชแ้ี จง กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ประกอบด้วยกิจกรรมหลากหลายท่ีฝึกทักษะทุกด้าน ตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมเพ่ือให้เกิดสมรรถนะในการเรียนรู้ สามารถปฏิบัติกิจกรรม ทง้ั ในและนอกสถานท่ตี ามความเหมาะสมของผเู้ รียนและสิ่งแวดล้อมของสถานศกึ ษา สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) 1. ให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่มเป็น 10 กลุ่ม จับสลากเลือกหัวข้อตามสาระการเรียนรู้ ร่วมกันศึกษาข้อมูลจาก แหล่งเรียนรู้ต่างๆ และจัดทำ�ป้ายความรู้ พรอ้ มส่งตวั แทนน�ำ เสนอขอ้ มลู หนา้ ชนั้ เรยี นกลุม่ ละ 3-5 นาที 2. ให้ผู้เรียนเขียนผังความคิดเร่ืองการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม พร้อมระบุประโยชน์ท่ีได้รับ จากการเรยี น 3. ให้ผูเ้ รียนหาขา่ วเกยี่ วกับการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรมทผี่ ู้เรียนสนใจ 1 ขา่ ว แล้ววเิ คราะห์ขา่ ว กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้เป็นกิจกรรมที่ผู้สอนให้ผู้เรียนปฏิบัติทุกข้อหรือเลือกปฏิบัติเป็นบางข้อตาม ความเหมาะสม โดยผู้สอนให้คะแนนการทำ�กิจกรรมตามเกณฑ์ของใบสรุปผลการทำ�กิจกรรม และ สามารถนำ�ผลการทำ�กิจกรรมไปเทียบกับการให้คะแนนกับตารางวิเคราะห์ความสอดคล้องของเนื้อหากับ จุดประสงคร์ ายวิชา สมรรถนะรายวิชา และจดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรมได้ สรุปผลการท�ำกิจกรรม ค�ำชีแ้ จง ให้ผเู้ รียนประเมนิ ผลการท�ำกิจกรรม โดยเขียนเครอื่ งหมาย ✓ ลงในชอ่ ง ตามความเป็นจรงิ ความรู้ (K) ทกั ษะ (P) คุณลกั ษณะ (A) เกณฑ์การประเมนิ ความร ู้ ความเขา้ ใจ การปฏบิ ัติงานที่ได้รับ การมีมนุษยสัมพันธ์ใน ท�ำ เครือ่ งหมาย ✓ การน�ำ ไปใช้ การวิเคราะห์ มอบหมายเสรจ็ ตามเวลา การปฏบิ ัตกิ จิ กรรม ในแต่ละตอน 3 ข้อ การสงั เคราะห์ ทกี่ ำ�หนด ความมวี ินัย ตรงตอ่ เวลา คอื ผา่ นการประเมิน การประเมินคา่ การปฏิบตั งิ านด้วยความ ความซื่อสตั ยส์ ุจริต ในการทำ�งาน 1. ความรู้ (K) การศึกษาคน้ ควา้ ละเอยี ด รอบคอบ ปลอดภัย ประพฤตติ นดว้ ยความ ผ่าน ไม่ผ่าน การแสวงหาแหล่งข้อมลู เรียบร้อย สวยงาม และการรวบรวมข้อมูล ความสมบูรณ์ของงาน ถกู ต้องตามศีลธรรม 2. ทักษะ (P) การแสดงความคดิ เห็น การปฏบิ ตั งิ านท่ีท�ำ ใหเ้ กดิ อนั ดีงาม อยา่ งมีเหตผุ ล หรือแสดง สมรรถนะแกผ่ ้เู รยี น เจตคติที่ดีในการปฏบิ ตั ิ ผา่ น ไม่ผา่ น กจิ กรรม ขน้ั ตอนและกระบวนการ ทักษะการวางแผน การคดิ ความพอเพียงและความ 3. คณุ ลกั ษณะ (A) ท�ำ กิจกรรม สรา้ งสรรค์ การออกแบบ ผ่าน ไมผ่ า่ น การหาประสบการณ์ การผลิต พอประมาณ ความรู้ใหม ่ การตดั สินใจในการแก้ปัญหา หมายเหตุ เกณฑ์การประเมินผลการทำ�กิจกรรม มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินว่า ผู้เรียนเกิดสมรรถนะจากการเรียนรู้ ตามบริบทต่างๆ หรือไม่ โดยแบ่งเป็น 3 ด้าน คือ ความรู้หรือพุทธิพิสัย = Knowledge (K) ทักษะหรือ ทักษะพสิ ัย = Practice (P) คณุ ลกั ษณะหรอื จิตพสิ ัย = Attitude (A) ผสำ�ู้สหอรนับ

62 วทิ ยาศาสตร์เพ่อื พฒั นาอาชีพธรุ กจิ และบริการ แบบทดสอบ จงนำ�ค�ำ ตอบไปเตมิ หนา้ ข้อให้ถกู ต้อง ค. เซลล์ ง. การกลาย ช. สปชี ีส์ ก. โรคตาบอดส ี ข. สิง่ แวดล้อมภายนอก ญ. กลมุ่ อาการดาวน์ จ. ความแปรผันทางพนั ธุกรรม ฉ. ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม ซ. DNA ฌ. กลุ่มอาการเทอรเ์ นอร ์ สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) จ 1. การเกดิ และการถ่ายเทเคลอ่ื นย้ายยีนระหวา่ งกนั และกัน ง 2. ลกั ษณะใหมท่ ผี่ ดิ ไปจากเดิมของสิง่ มีชีวติ ช 3. ความแตกต่างท่ีเกิดจากพนั ธุกรรมที่แตกต่างกัน ก 4. ลกั ษณะดอ้ ยของผ้ทู ่มี โี ครโมโซม xCxC ข 5. อาหาร การเลีย้ งดู การศกึ ษา ที่อยอู่ าศยั ยารักษาโรค ฌ 6. มีสาเหตุเกิดจากโครโมโซมมี 45 โครโมโซม ญ 7. มสี าเหตุเกิดจากโครโมโซมมี 47 โครโมโซม ฉ 8. ลักษณะบางอยา่ งท่ถี า่ ยทอดจากปู่ ย่า ตา ยาย ค 9. หนว่ ยพ่้นื ฐานสำ�หรับสงิ่ มชี วี ติ ซ 10. สารเคมที ีท่ �ำ หนา้ ทเี่ ปน็ สารพันธุกรรม ผสู้ อนใหผ้ ู้เรียนท�ำ แบบทดสอบ จากนนั้ ใหผ้ ูเ้ รยี นแลกกนั ตรวจค�ำ ตอบ โดยผูส้ อนเป็นผูเ้ ฉลย ผสำ�ู้สหอรนับ

การถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรม 63 แบบประเมินตนเอง ค�ำชี้แจง ตอนท่ี 1 ให้ผู้เรียนประเมนิ ผลการเรียนรู้ โดยเขียนเครือ่ งหมาย ✓ลงในช่องระดบั คะแนน และเตมิ ข้อมลู ตามความเป็นจริง ระดบั คะแนนตอนที่ 1 5 : มากทส่ี ดุ 4 : มาก 3 : ปานกลาง 2 : น้อย 1 : ควรปรับปรุง ตอนท่ี 2 ให้ผเู้ รยี นน�ำคะแนนจากแบบทดสอบมาเติมลงในช่องว่าง และเขียนเครื่องหมาย ✓ ลงในช่องสรุปผล สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) ตอนที่ 1 (ผลการเรียนร)ู้ ตอนท่ี 2 (แบบทดสอบ) รายการ 5 4 3 2 1 แบบทดสอบ ตอนที่ 1 1. ผ้เู รยี นมีความรู้ ความเขา้ ใจในเนื้อหา คะแนน 2. ผเู้ รยี นได้ท�ำกจิ กรรมทส่ี อดคล้องกบั เน้ือหา (ข้อละ 1 คะแนน) และจุดประสงค์การเรียนรู้ แบบทดสอบ ตอนที่ 2 คะแนน 3. ผู้เรียนได้เรยี นและท�ำกิจกรรมท่ีส่งเสรมิ กระบวนการคิด (ขอ้ ละ 1 คะแนน) เกิดการค้นพบความรู้ สรปุ ผล 4. ผูเ้ รียนสามารถประยกุ ต์ความรู้เพอืี่ ใชป้ ระโยชนใ์ นชีวิตประจ�ำวันได้ 9-10 (ดมี าก) 7-8 (ด)ี 5. ผูเ้ รียนได้เรียนรูอ้ ะไรจากการเรียน 6. ผู้เรียนตอ้ งการท�ำสิ่งใดเพ่ือพฒั นาตนเอง 5-6 (พอใช)้ ตํา่ กวา่ 5 7. ความสามารถที่ถือวา่ ผ่านเกณฑป์ ระเมนิ ของผเู้ รยี น คอื (ควรปรับปรงุ ) ผสำ�ู้สหอรนับ

สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) 2หน่วยการเรียนรู้ท่ี ความหลากหลายทางชีวภาพ สาระสำ�คญั สิ่งมชี วี ติ ในโลกมีหลายล้านชนดิ อาจมีรูปร่างหน้าตา พฤติกรรม หรอื ท่อี ยู่อาศัยแตกต่างกันไป แต่ถ้าพิจารณาอย่างละเอียด ส่ิงมีชีวิตเหล่าน้ีจะมีความคล้ายคลึงและความแตกต่างกัน นักวิทยาศาสตร์จึงแบ่งส่ิงมีชีวิตออกเป็นกลุ่มๆ ส่ิงมีชีวิตที่มีความคล้ายคลึงกันจะจัดไว้ในกลุ่มเดียวกัน โดยจัดเป็นกลุ่มใหญๆ่ ได้ 5 กล่มุ เรยี กแตล่ ะกลมุ่ วา่ อาณาจกั ร สาระการเรียนรู้ 1. อาณาจกั รโมนรี า 2. อาณาจกั รโพรทิสตา 3. อาณาจกั รฟังไจ 4. อาณาจักรพชื 5. อาณาจักรสตั ว์

ความหลากหลายทางชวี ภาพ 65 สมรรถนะประจำ�หนว่ ย 1. แสดงความร้แู ละปฏบิ ัติเก่ยี วกับความหลากหลายทางชวี ภาพ 2. ประยุกต์ความรู้เรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ ไปใช้ในชีวิตประจ�ำ วันและการประกอบ อาชพี จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. อธบิ ายเก่ยี วกับอาณาจกั รโมนรี าได้ 2. อธิบายเก่ียวกบั อาณาจกั รโพรทิสตาได้ 3. อธบิ ายเก่ยี วกับอาณาจกั รฟังไจได้ 4. อธิบายเกีย่ วกบั อาณาจกั รพชื ได้ 5. อธิบายเกี่ยวกบั อาณาจักรสตั ว์ได้ 6. มีเจตคติทีด่ ีในการเรียนเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ และรกั ษค์ า่ นิยมหลัก 12 ประการ ของไทย สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) ผังสาระการเรียนรู้ อาณาจักรโมนรี า ความหลากหลาย อาณาจักรโพรทิสตา อาณาจักรฟังไจ ทางชวี ภาพ อาณาจักรพืช อาณาจักรสัตว์

ความหลากหลายทางชีวภาพ 67 ค�ำ ถามชวนคิด (แนวทางการตอบ กล้องจลุ ทรรศน)์ • ถา้ ผเู้ รยี นตอ้ งการศกึ ษาแบคทเี รยี อยา่ งละเอยี ด ผเู้ รยี นจะใชเ้ ครอื่ งมอื ชนดิ ใดทม่ี ใี นสถานศกึ ษา • ผูเ้ รยี นคิดว่าแบคทเี รียมปี ระโยชนห์ รือไม่ อย่างไร (แนวทางการตอบ มปี ระโยชน์ คือ ใช้ฟอกหนัง ผลติ • ผู้เรยี นคดิ วา่ แบคทีเรียมีโทษหรอื ไม่ อย่างไร ยาปฏชิ วี นะ ผลิตอาหารหมัก) 2. อาณาจักรโพรทิสตาสถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.)(แนวทางการตอบ โทษของแบคทีเรีย คือทำ�ให้เกิดโรค ในคนและสัตว์ เช่น ไทฟอยด์ อหิวาตกโรค ปอดบวม ไอกรน บาดทะยกั ทำ�ให้อาหารบูดเนา่ ทำ�ให้ฟนั ผุ) สิ่งมีชีวิตในอาณาจักรน้ีมีเซลล์ท่ีมีนิวเคลียสที่แท้จริง คือ มีเยื่อหุ้มนิวเคลียส อาศัยอยู่ในนำ้�หรือ ภายในสิ่งมีชีวิตชนิดอ่ืน บางชนิดกินอาหารได้โดยรับอาหารเข้าเซลล์ บางชนิดมีคลอโรฟิลล์สามารถ สังเคราะห์ดว้ ยแสงได้เหมอื นพชื ส่งิ มชี วี ติ ในอาณาจักรนี้แบ่งเป็นหลายกลมุ่ ไดแ้ ก่ 2.1 กลมุ่ คล้ายสัตว์ ไดแ้ ก่ โพรโทซวั (Protozoa) สิง่ มีชวี ติ ในกลุ่มนเ้ี คลื่อนที่ได้โดยใช้อวัยวะแบบต่างๆ ดังน้ี 2.1.1 พวกมีเท้าเทยี ม เช่น อะมีบา เปน็ ต้น 2.1.2 พวกมีซีเลยี เปน็ ขนเล็กๆ สนั้ ๆ เชน่ พารามีเซยี ม เป็นต้น 2.1.3 พวกมีแฟลเจลลัม เปน็ โครงสรา้ งทม่ี ลี กั ษณะเปน็ เส้นยาวๆ เชน่ ยกู ลนี า เป็นตน้ 2.1.4 พวกไม่มีโครงสร้างในการเคลื่อนที่ พวกน้ีจะดำ�รงชีวิตเป็นปรสิตทั้งหมด เช่น พลาสโมเดยี ม เปน็ ตน้ พลาสโมเดยี ม เปน็ เชอื้ ก่อโรคมาลาเรีย โดยมยี ุงก้นปล่องเปน็ พาหะนำ�เชื้อจากผ้ปู ว่ ยมาลาเรยี ไปยังผู้อน่ื อะมบี า พารามีเซยี ม ยูกลีนา พลาสโมเดยี ม ภาพที่ 2.2 อาณาจักรโพรทสิ ตากลุ่มคล้ายสัตว์

68 วทิ ยาศาสตร์เพอื่ พฒั นาอาชพี ธรุ กจิ และบรกิ าร 2.2 กลุ่มคล้ายพชื ไดแ้ ก่ สาหร่าย สิง่ มชี วี ติ ในกลุม่ น้เี ปน็ โพรทสิ ตาท่ีมีขนาดใหญ่ พบในสระหรือทะเล มีคลอโรฟลิ ล์ สามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้ ไมม่ ใี บ ไมม่ ีลำ�ต้น และไมม่ รี ากเหมือนพชื สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.)คลอเรลลาอลุ วา อะเชตะบูลาเรีย ภาพท่ี 2.3 อาณาจกั รโพรทสิ ตากลุม่ คล้ายพืช 2.3 กลมุ่ ราเมอื ก (Slime Molds) ราเมือกจะอยู่เป็นอิสระ ดำ�รงชีวิตโดยการย่อยสลาย ตัวอย่างเช่น สเตโมนิติส เป็นต้น บางชนดิ ท�ำ ใหเ้ กิดโรคกบั พชื เชน่ ไฟซารัม สเตโมนติ สิ ไฟซารัม ภาพท่ี 2.4 อาณาจักรโพรทิสตากลุ่มราเมือก ค�ำ ถามชวนคิด • สิ่งมีชีวิตกลุ่มคล้ายสัตว์ในอาณาจักรโพรทิสตาแบ่งออกเป็นกลุ่มเล็กๆ ใช้อะไรเป็นเกณฑ์ใน การแบง่ (แนวทางการตอบ ใชอ้ วยั วะในการเคลอื่ นที่เป็นเกณฑ)์ • สงิ่ มชี วี ติ กลมุ่ คลา้ ยพชื ในอาณาจกั รโพรทสิ ตามคี ลอโรฟลิ ลแ์ ละสามารถสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงได้ เพราะเหตุใดจงึ ไมจ่ ดั อยู่ในอาณาจกั รพืช (แนวทางการตอบ ขึน้ อยู่กับดุลยพินจิ ของผสู้ อน)

ความหลากหลายทางชวี ภาพ 69 3. อาณาจกั รฟังไจ อาณาจักรฟังไจ ไดแ้ ก่ เห็ด รา ยีสต์ สิง่ มชี ีวิตพวกนปี้ ระกอบดว้ ยใยบางๆ เรียกว่า ไฮฟา (hypha) บางชนิดเหมอื นพชื แต่ไม่มีคลอโรฟลิ ล์ สบื พันธ์ุโดยการสร้างสปอรท์ ี่เจรญิ ไปเปน็ รากล่มุ ใหญ่ ราบางชนิด เป็นปรสิตอาศัยอยู่บนสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น เช่น ราแป้งสีขาวบนใบผักบุ้ง เป็นต้น บางชนิดอยู่ภายใน ส่ิงมีชีวิตอื่น ทำ�ให้เกิดโรค เช่น วัณโรคปอดบางชนิด เป็นต้น บางชนิดกินซากของส่ิงมีชีวิตที่ตายแล้ว เช่น ราขนมปงั ราที่ท�ำ ใหผ้ ลไมเ้ นา่ เสีย ราทีใ่ ช้ในอุตสาหกรรมการหมักตา่ งๆ เป็นตน้ บางชนดิ เป็นอาหาร โดยตรง ตวั อยา่ งเชน่ เหด็ เป็นต้น 10 μm สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) เหด็ ราบนผลส้ม ยีสต์ ภาพที่ 2.5 อาณาจักรฟงั ไจ ค�ำ ถามชวนคิด • เหด็ รา สงั เคราะห์ด้วยแสงไดห้ รอื ไม่ เพราะเหตุใด (แนวทางการตอบ ไมไ่ ด้ เพราะไมม่ คี ลอโรฟลิ ล)์ • ยีสต์มปี ระโยชน์หรอื ไม่ อยา่ งไร 4. อาณาจักรพืช (แนวทางการตอบ ท�ำ ขนมปงั หมกั ท�ำ เบยี ร์ ไวน์ นอกจากนยี้ สี ตย์ งั เปน็ จลุ นิ ทรยี ์ ทม่ี ีโปรตนี สงู นำ�มาใชเ้ ป็นอาหารเสริมโปรตนี สำ�หรบั คนและสตั ว)์ พืชมีมากมายหลายชนิด ประมาณ 240,000 สปีชีส์กระจัดกระจายท่ัวไปท้ังบนบก ในนํ้าจืดและ นํ้าเค็ม ทุกชนิดมีคลอโรฟิลล์จึงสามารถสร้างอาหารได้เอง นักวิทยาศาสตร์บางท่านแบ่งพืชเป็น 2 กลุ่ม โดยใช้การมเี นอื้ เย่อื ล�ำ เลยี งเปน็ เกณฑ์ ไดแ้ ก่ 4.1 พชื ท่ไี ม่มเี นอื้ เยื่อล�ำ เลยี ง พชื กลมุ่ นเี้ ปน็ พชื ทอี่ ยใู่ นทช่ี นื้ ใบมลี กั ษณะบาง ไมม่ ลี �ำ ตน้ หรอื รากทแ่ี ทจ้ รงิ สรา้ งเซลลส์ บื พนั ธุ์ บริเวณปลายยอด ลมจะพาสปอร์ปลิวไปตกบริเวณท่ีเหมาะสมและงอกเป็นต้นใหม่ปกคลุมผิวดินและ เกบ็ ความช้นื ให้แก่ดนิ พชื กล่มุ นี้ ได้แก่ มอสส์ ลิเวอรเ์ วิรต์

70 วิทยาศาสตร์เพอื่ พฒั นาอาชีพธุรกจิ และบริการ สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) มอสส์ ลเิ วอร์เวริ ์ต ภาพที่ 2.6 พืชท่ไี ม่มเี นอื้ เยอ่ื ลำ�เลียง 4.2 พชื ท่มี เี น้อื เยือ่ ล�ำ เลยี ง แบง่ เปน็ 2 กลุม่ คือ 4.2.1 พืชท่ีมีเนื้อเยื่อลำ�เลียงไม่มีเมล็ด เป็นพืชที่มีลำ�ต้นแข็งแรง มีรากและใบที่มีลักษณะ หนา มีไขเคลือบใบเพื่อลดการสูญเสียน้ำ� ภายในลำ�ต้นมีท่อลำ�เลียงน้ำ� เรียกว่า ไซเล็ม (xylem) และ ทอ่ ล�ำ เลยี งอาหาร เรยี กวา่ โฟลเอม็ (phloem) พชื ในกลมุ่ นแี้ พรพ่ นั ธโ์ุ ดยการสรา้ งสปอรใ์ ตใ้ บแกท่ ม่ี ลี กั ษณะ แตกต่างจากใบอ่อนซ่ึงม้วนงอ เม่ือสปอร์งอกถึงระยะท่ีมีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ จะผสมพันธุ์ได้ต้นใหม่ ตอ่ ไป พชื กลุ่มน้ี ไดแ้ ก่ เฟริ ์น ตน้ เฟิร์น ใบออ่ นของเฟริ น์ ใบแกข่ องเฟริ น์ ท่มี ีอับสปอร์ใต้ใบ ภาพที่ 2.7 ลกั ษณะล�ำ ต้น ใบอ่อน และใบแกข่ องเฟิร์น ค�ำ ถามชวนคิด • มอสส์สรา้ งสปอร์ท่ีส่วนใด (แนวทางการตอบ บริเวณปลายยอด) • มอสสม์ ปี ระโยชนห์ รอื ไม่ อย่างไร (แนวทางการตอบ เกบ็ ความชน้ื ใหแ้ ก่ดิน) • ใบอ่อนและใบแก่ของเฟิรน์ เหมอื นหรอื แตกตา่ งกนั อยา่ งไร (แนวทางการตอบ ใบอ่อนจะม้วนงอ ส่วน • เฟิร์นมปี ระโยชน์หรือไม่ อยา่ งไร ใบแก่ไมม่ ้วนงอและมีการสร้างสปอร์ใต้ใบ) (แนวทางการตอบ ประดบั สวน วัสดุจกั สาน และเป็นอาหาร)

72 ผู้สอนต้ังคำ�ถามถามผู้เรียนว่า นอกจากพืชใบเล้ียงคู่ท่ียกตัวอย่างมาแล้ว วิทยาศาสตรเ์ พอื่ พัฒนาอาชีพธุรกจิ และบริการ ผเู้ รยี นรจู้ กั พชื ใบเลยี้ งคชู่ นดิ ใดอกี บา้ ง ผเู้ รยี นรว่ มกนั อภปิ รายและแสดงความ คิดเหน็ (ต้นถวั่ ต้นพริก ตน้ นอ้ ยหน่า ต้นขนนุ ตน้ ละมดุ ตน้ ลำ�ไย ต้นฝรง่ั ) สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.)ตัวอยา่ งพืช มดี อกชนดิ ต่างๆ ภาพที่ 2.9 พชื มดี อกชนดิ ตา่ งๆ พืชใบเลี้ยงคู่ (Dicot) เป็นพืชท่ีเอ็มบริโอมีใบเลี้ยงสองใบ เส้นใบเป็นร่างแห รากเป็นระบบรากแก้ว เช่น ต้นกุหลาบ ต้นชบา ต้นมะม่วง เปน็ ต้น พชื ใบเลย้ี งเดย่ี ว (Monocot) เปน็ พชื ทเ่ี อม็ บรโิ อมใี บเลยี้ งเพยี ง ใบเดียว เสน้ ใบเรยี งแบบขนาน รากเป็นระบบรากฝอย ลำ�ต้นมี ข้อปล้องเหน็ ไดช้ ัดเจน เชน่ ต้นไผ่ ต้นอ้อย ต้นมะพรา้ ว ตน้ ข้าว เป็นตน้ คำ�ถามชวนคดิ (แนวทางการตอบ มอสส์และลิเวอร์เวิรต์ เป็นพืชไมม่ เี นอ้ื เยอ่ื ลำ�เลียงเหมือนพืชชนิดอืน่ ๆ) • มอสส์ ลเิ วอร์เวริ ์ตตา่ งจากพชื ชนดิ อื่นอยา่ งไร (แนวทางการตอบ สปอร์ ซง่ึ มปี ระโยชน์คือเปน็ เซลลส์ ืบพนั ธ์ุ • ใตใ้ บแกข่ องเฟริ น์ มีจดุ สนี �ำ้ ตาลแก่เปน็ กลุ่มๆ คืออะไร มปี ระโยชน์หรอื ไม่ อย่างไร • มอสสก์ ับเฟิรน์ แตกต่างกันอยา่ งไร (แนวทางการตอบ มอสส์ ไม่มเี น้อื เยอ่ื ลำ�เลยี ง ส่วนเฟิร์นมเี นอื้ เยอื่ ลำ�เลียงไซเล็มและโฟลเอม็ ผสู้ อนตัง้ ค�ำ ถามถามผู้เรยี นวา่ นอกจากพืชใบเลี้ยงเดย่ี วทย่ี กตัวอย่างมาแล้ว ผเู้ รียนรจู้ ักพืชใบเลี้ยงเด่ียวชนิดใดอีกบา้ ง ผู้เรียน ร่วมกนั อภิปรายและแสดงความคิดเห็น (ตน้ ขา้ วโพด ต้นพทุ ธรกั ษา ต้นกระชาย ต้นตะไคร้ ต้นหญา้ คา)

ความหลากหลายทางชีวภาพ 73 กิจกรรมท่ี 2.1 ลักษณะของพชื ใบเล้ียงค่แู ละใบเลีย้ งเด่ียว วัสดอุ ปุ กรณ์ 1. พืชใบเลีย้ งคขู่ นาดเล็ก 1-2 ต้น 2. พชื ใบเล้ียงเดีย่ วขนาดเล็ก 1-2 ต้น 3. กระดาษฟลปิ ชาร์ต 1 แผน่ 4. ปากกาเมจกิ 1 ดา้ ม วิธีทำ� 1. ศกึ ษาลักษณะของพชื ใบเล้ียงคู่ 2. ศึกษาลกั ษณะของพชื ใบเลยี้ งเดย่ี ว 3. เปรยี บเทียบลักษณะของพืชใบเลีย้ งคูแ่ ละใบเลย้ี งเดี่ยว บันทกึ ผล คำ�ถามท้ายกจิ กรรม 1. ลกั ษณะทผี่ ู้เรยี นสังเกตเห็นในพชื ใบเล้ยี งคู่และพืชใบเลย้ี งเดี่ยวมอี ะไรบ้าง (แนวทางการตอบ ข้นึ อย่กู บั ดลุ ยพนิ จิ ของผู้สอน) 2. ลักษณะท่ีสังเกตเห็นเหมือนหรอื แตกตา่ งกันอย่างไร (แนวทางการตอบ ข้นึ อยกู่ ับดุลยพินิจของผสู้ อน) 3. จงสรุปผลการท�ำ กจิ กรรม (แนวทางการตอบ ข้ึนอยกู่ ับดลุ ยพนิ จิ ของผสู้ อน) 4. จงยกตวั อย่างพืชใบเลย้ี งคู่ และใบเลี้ยงเดีย่ ว อย่างละ 3 ชนดิ (แนวทางการตอบ ข้นึ อยูก่ ับดลุ ยพินิจของผ้สู อน) สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.)

78 วทิ ยาศาสตร์เพอื่ พฒั นาอาชีพธุรกจิ และบริการ ผูส้ อนตัง้ คำ�ถามถามผูเ้ รียนวา่ ในชีวิตประจำ�วันผู้เรยี นพบเห็นสัตวเ์ ลีย้ ง ลกู ดว้ ยนาํ้ นมบา้ งหรอื ไม่ ผเู้ รยี นรว่ มกนั อภปิ รายและแสดงความคดิ เหน็ 5.7.3 สตั วเ์ ลอื้ ยคลาน เปน็ สตั วท์ ม่ี ผี วิ หนงั แห้ง มีเกล็ดเพื่อลดการสูญเสียน้ำ�จึงสามารถมีชีวิต ในบริเวณแห้งแล้งและขาดนำ้�ได้ หายใจด้วยปอด การปฏิสนธิเกดิ ภายในตวั ของเพศเมีย ไข่มเี ปลอื กเหนยี ว ตัวอยา่ งเช่น งู จงิ้ เหลน กงิ้ ก่า ตกุ๊ แก จระเข้ ต๊กุ แก จระเข้ สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) ภาพที่ 2.19 สตั วเ์ ล้อื ยคลาน 5.7.4 นก เป็นสัตว์ที่มีขนและปีก ส่วนใหญ่ บินได้ ไม่มีฟัน แต่มีจะงอยปากที่ปรับให้เหมาะกับอาหาร ชนิดต่างๆ ภายในปอดมีถุงลมหลายถุงติดต่อกันเพื่อ ช่วยในการหายใจและระบายความร้อน มีการปฏิสนธิ นกกระจอกเทศ เพนกวนิ ภายใน ไข่มเี ปลือกแขง็ หมุ้ เพือ่ ป้องกันภัย ภาพท่ี 2.20 นกชนิดตา่ งๆ สัตว์ปีกที่บินไม่ได้มักมีขนาดใหญ่ ว่ิงเร็ว บินได้ระยะสั้นๆ ตัวอย่างเช่น นกกระจอกเทศ นกกวี ี นกอมี ู เปน็ ตน้ บางชนิดมรี ยางคค์ ู่หลังลกั ษณะคลา้ ยใบพาย (flipper) ใชส้ �ำ หรบั ว่ายนำ�้ ไมม่ ีถุงลม ตัวอยา่ งเชน่ เพนกวนิ เป็นต้น 5.7.5 สัตว์เลยี้ งลกู ดว้ ยนำ้�นม สตั ว์กลมุ่ น้ี มีนำ้�นมท่ีผลิตจากต่อมนำ้�นมสำ�หรับเลี้ยงลูก มีขนเป็น เส้นๆ ปกคลุมผิวลำ�ตัว ส่วนใหญ่มีใบหู หายใจด้วย ปอด ปฏิสนธิภายใน สัตว์กลุ่มนี้แบ่งเป็นหลายกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มท่ีออกลูกเป็นไข่ ไม่มีใบหู มีต่อมนำ้�นมท่ี ผิวหนังรวมเป็นกระจุก ให้ลูกอ่อนได้อาศัยเลียกิน จิงโจ้ ตนุ่ ปากเป็ด ตัวอย่างเช่น ตุ่นปากเป็ด เป็นต้น กลุ่มที่ออกลูก ภาพท่ี 2.21 สัตวเ์ ล้ยี งลูกดว้ ยนม เป็นตัว และมถี งุ หนา้ ท้องใชเ้ ลี้ยงลกู ตัวอย่างเชน่ จิงโจ้ หมีโคลา เป็นต้น กลุ่มท่ีออกลูกเป็นตัว มีรกติดต่อ (แนวทางการตอบ ปะการังเป็นสัตว์ องค์ประกอบเป็น ระหว่างแม่และลูก ตัวอย่างเช่น ค้างคาว ช้าง วาฬ หินปูน มีประโยชน์คือ เป็นแหล่งท่ีอยู่ของสัตว์ เปน็ ตน้ ลดความรนุ แรงของคล่นื นำ�มาสกัดเปน็ ครมี ทากนั แดด) ค�ำ ถามชวนคดิ • ปะการังคอื อะไร มีประโยชน์หรอื โทษอยา่ งไร • หนอนมกี ารด�ำ รงชีวติ เป็นปรสิตทุกชนิดหรือไม่ (แนวทางการตอบ ไมท่ กุ ชนิด เช่น ไส้เดือนดินไมเ่ ปน็ ปรสิต) • สัตว์เล้ยี งลูกดว้ ยนำ้�นมเป็นสัตวเ์ ลือดอุ่น หมายความวา่ อยา่ งไร (แนวทางการตอบ สตั วเ์ ลย้ี งลกู ดว้ ยนา้ํ นมเปน็ สตั วเ์ ลอื ดอนุ่ คอื เปน็ สตั วท์ อ่ี ณุ หภมู ริ า่ งกายคงที่ ไมเ่ ปลยี่ นตามสภาพแวดลอ้ ม

80 วทิ ยาศาสตร์เพอ่ื พัฒนาอาชพี ธุรกจิ และบรกิ าร กจิ กรรมท่ี 2.2 การจำ�แนกสัตว์อารโ์ ทรพอด วสั ดุอปุ กรณ์ 1 ภาพ 2. ภาพก้ิงกอื 1 ภาพ 1. ภาพปู 1 ภาพ 4. ภาพแมงมมุ 1 ภาพ 3. ภาพตะขาบ 1 ภาพ 6. กระดาษฟลปิ ชารต์ 1 แผน่ 5. ภาพมด 1 ดา้ ม 7. ปากกาเมจกิ สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) ปู ก้ิงกือ ตะขาบ แมงมุม มด วีธีทำ� 1. ศกึ ษาลกั ษณะของสิ่งมชี วี ติ ตามภาพ 2. สงั เกตจำ�นวนขาของสงิ่ มชี ีวติ จำ�แนกประเภทของส่ิงมชี วี ติ บนั ทกึ ผลการสงั เกต คำ�ถามท้ายกจิ กรรม 1. ถ้าผู้เรียนแบ่งกล่มุ สิ่งมชี วี ติ ตามภาพ โดยใชข้ าเป็นเกณฑ์จะแบ่งได้กก่ี ลมุ่ อะไรบา้ ง (แนวทางการตอบ ขนึ้ อยกู่ ับดุลยพินจิ ของผู้สอน) 2. ส่ิงมชี ีวิตตามภาพ มีประโยชน์และโทษหรือไม่ อย่างไร (แนวทางการตอบ ขึน้ อย่กู ับดลุ ยพนิ จิ ของผสู้ อน)

สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) ความหลากหลายทางชีวภาพ 81 กิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ คำ�ชแ้ี จง กจิ กรรมตรวจสอบความเขา้ ใจเปน็ กจิ กรรมฝกึ ทกั ษะเฉพาะดา้ นความร-ู้ ความจำ� เพอ่ื ใชใ้ น การตรวจสอบความเขา้ ใจตามจุดประสงค์การเรียนรู้ 1. จงรวบรวมความรเู้ กี่ยวกบั อาณาจกั รโมนีรา โพรทสิ ตา พชื ฟังไจ และสตั ว์ แล้วท�ำ เป็นผังมโนทศั น์ รูปแบบใดกไ็ ด้ (จ.1, จ.2, จ.3, จ.4, จ.5) (แนวทางการตอบ ขน้ึ อย่กู ับดลุ ยพนิ จิ ของผ้สู อน) 2. ใหผ้ ู้เรยี นอธิบายอาณาจกั รโพรทสิ ตาโดยสงั เขป (จ.2) (แนวทางการตอบ อาณาจักรโพรทิสตา หรือ กลุ่มโพรทิสต์ เป็นพวกส่ิงมีชีวิตเซลล์เดียวหรือหลายเซลล์ท่ีมีเยื่อหุ้มนิวเคลียส แต่เซลล์ยงั ไมม่ ีการจดั ตัวกนั เปน็ เน้ือเยอื่ ดงั เช่นพืชและสัตว์ หรืออื่นๆ ข้นึ อยูก่ ับดุลยพินิจของผสู้ อน) 3. พชื ช้ันสงู มีตน้ แกมโี ทไฟตห์ รอื ไม่ อย่างไร (จ.3) (แนวทางการตอบ มี ในพืชชั้นสูง เชน่ พืชดอก มีระยะแกมโี ทไฟต์เช่นกนั แตจ่ ะมีขนาดเล็กลงมากเมอ่ื เทยี บกบั มอสสแ์ ละเฟริ น์ ในพืชชน้ั สูงจะมรี ะยะสปอโรไฟต์ท่เี ด่นชดั กวา่ หรอื อื่นๆ ข้ึนอยู่กับดุลยพินจิ ของผ้สู อน) 4. ส่วนต่างๆ ของพืชบางชนิดมีประโยชน์ต่อผู้ใช้มากมาย ให้ผู้เรียนยกตัวอย่างชื่อพืชและส่วนท่ีมี ประโยชน์น้ันประมาณ 10 ชนิด พร้อมท้ังระบุว่าเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์อย่างไรแล้วนำ�เสนอเป็น ผังมโนทัศน์ (จ.3) (แนวทางการตอบ ขนึ้ อย่กู บั ดุลยพนิ ิจของผูส้ อน) 5. ใหผ้ ู้เรยี นอธิบายเก่ียวกบั อาณาจักรฟังไจ โดยสังเขป (จ.4) (แนวทางการตอบ สิ่งมีชีวิตท่อี ยใู่ นอาณาจักรฟงั ไจ ประกอบด้วย รา เห็ด และยสี ต์ สง่ิ มีชีวิตในอาณาจักรฟังไจมีลักษณะเซลล์ เป็นแบบ Eucaryotic cell คอื มีเย่อื หุม้ นิวเคลยี ส ไม่มคี ลอโรฟิลล์ ด�ำ รงชวี ติ เป็นผูย้ ่อยสลายอินทรีย์ท่เี น่าเปื่อย ผนงั เซลล์เป็น สารไคตนิ กับเซลลโู ลส มที ั้งเซลลเ์ ดียวและเปน็ เสน้ ใยเลก็ เรยี กวา่ ไฮฟา หรอื อนื่ ๆ ขึ้นอยู่กบั ดลุ ยพินจิ ของผ้สู อน) จ. หมายถึง ตรงตามจุดประสงค์การเรียนรู้ หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 2 ข้อท่ี ...

82 วิทยาศาสตรเ์ พื่อพฒั นาอาชีพธุรกจิ และบริการ 6. ใหผ้ ู้เรียนศึกษาคน้ ควา้ เพม่ิ เตมิ เกี่ยวกบั พยาธติ ืดหมใู นหวั ข้อต่อไปน้ี (จ.5) การดำ�รงชวี ิต ผูถ้ กู อาศยั วงจรชีวิต (แนวทางการตอบ คนได้รบั พยาธิเขา้ ไปในรา่ งกาย โดยการกนิ เน้ือหมสู ุกๆ ดิบๆ ทม่ี ตี วั อ่อน (หมสู าคู (Measly pork)) อยู่ พยาธจิ ะเจรญิ เปน็ ตวั แก่ในลำ�ไส้เลก็ ของคน สร้างปล้อง และยาวออกไปเรอื่ ย ๆ (อาจยาวถงึ 4 เมตรและอาศยั อยใู่ นลำ�ไสเ้ ลก็ ของคนไดน้ านถงึ 25 ป)ี ไขพ่ ยาธติ ดื หมจู ะออกมากบั อจุ จาระของคนและปะปนอยใู่ นดนิ เมอ่ื หมกู นิ อาหารทม่ี ไี ข่ พยาธปิ ะปนเขา้ ไป เปลอื กไขแ่ ละเยอ่ื หมุ้ ตวั ออ่ นจะถกู ยอ่ ยโดยนาํ้ ยอ่ ยในกระเพาะอาหารของหมู จากนน้ั ตวั ออ่ นทอี่ อกจากไขจ่ ะไปเปน็ หมสู าคอู ยตู่ ามกลา้ มเนอ้ื สมอง และตบั ของหม)ู 7. ใหผ้ เู้ รยี นจ�ำ แนกประเภทของสง่ิ มีชวี ิตตอ่ ไปน้ี (จ.5) เป๋าฮอ้ื ปลงิ แมงดา สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) (แนวทางการตอบ เปา๋ ฮือ้ อยูใ่ นไฟลัมมอลลัสกา เปน็ หอยทะเลฝาเดียว ปลิง อยูใ่ นไฟลมั แอเนลิดา เปน็ หนอน มลี ักษณะลำ�ตัว วงแหวนหรอื ปลอ้ ง แมงดา อย่ใู นไฟลัมอารโ์ ทรพอด ไม่มกี ระดกู สนั หลงั มีขาเป็นข้อและลำ�ตัวแบ่งเปน็ ปลอ้ ง หรอื อนื่ ๆ ข้นึ อยู่ กับดลุ ยพินจิ ของผสู้ อน) 8. ในปัจจบุ นั สงิ่ มชี ีวติ ในไฟลมั อารโ์ ทรพอดมจี ำ�นวนลดลงมาก ผูเ้ รยี นคิดว่ามีสาเหตุมาจากอะไร มีผลกระทบอยา่ งไร จะแกป้ ญั หานีไ้ ดอ้ ยา่ งไร (จ.5) (แนวทางการตอบ ขึ้นอยู่กบั ดลุ ยพินิจของผสู้ อน) 9. แมลงมีการเจริญเติบโตแบบใดบ้าง จงอธบิ ายโดยสงั เขป (จ.5) (แนวทางการตอบ 4 แบบ คือ 1. ไม่เปลี่ยนรูปร่าง ตัวอ่อนกลายเป็นตัวเต็มวัยโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง 2. เปล่ียนแปลง ทลี ะน้อย ตวั อ่อนและตวั เตม็ วยั โดยรวมเหมอื นกนั แตม่ ีลกั ษณะบางอย่างต่างกัน 3. เปล่ียนแปลงแบบไม่สมบรู ณ์ พบในกลมุ่ ของแมลงตัวอ่อน อยู่ในนา้ํ ใชเ้ หงือกชว่ ยหายใจ ตวั เตม็ วยั อยู่บนบก มปี ีก 4. เปลยี่ นแปลงรูปร่างแบบสมบรู ณ์ พบสว่ นใหญ่ เริม่ จากไขเ่ ปน็ ตวั ออ่ นเรยี กวา่ หนอน มีการลอกคราบเป็นดักแด้ และลอกคราบอีกครง้ั เปน็ ตวั เต็มวยั ) 10. ไวรัสมีประโยชนห์ รอื โทษอย่างไร จงอธิบายโดยสังเขป (จ.5) (แนวทางการตอบ ไวรสั กอ่ ใหเ้ กิดทง้ั ประโยชนแ์ ละโทษ โทษของไวรสั ท�ำ ใหเ้ กดิ โรคท้ังในคน สัตว์ และพืช ท�ำ ใหเ้ กิดการเจบ็ ปว่ ย และเสยี ชวี ิต หากระบาดจะมีผลต่อจ�ำ นวนประชากรของส่ิงมีชวี ติ นั้นๆ ในระบบนิเวศ แต่อย่างไรก็ตาม ไวรสั ก็มีประโยชน์เช่น กัน ไวรัสสามารถนำ�มาผลิตวัคซีนหรือกระตุ้นภูมิคุ้มกันของสิ่งมีชีวิต ใช้ในงานพันธุวิศวกรรม หรืออ่ืนๆ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ ของผูส้ อน)

ความหลากหลายทางชวี ภาพ 83 กจิ กรรมสง่ เสริมการเรยี นรู้ ค�ำ ชแี้ จง กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ประกอบด้วยกิจกรรมหลากหลายที่ฝึกทักษะทุกด้าน ตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมเพ่ือให้เกิดสมรรถนะในการเรียนรู้ สามารถปฏิบัติกิจกรรม ท้งั ในและนอกสถานท่ตี ามความเหมาะสมของผ้เู รยี นและส่งิ แวดลอ้ มของสถานศกึ ษา สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) 1. ให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่มเป็น 5 กลุ่ม จับสลากเลือกหัวข้อตามสาระการเรียนรู้ ร่วมกันศึกษาข้อมูลจาก แหล่งเรยี นรู้ตา่ งๆ และจัดทำ�แผ่นพบั พรอ้ มภาพประกอบ 2. ให้ผู้เรียนเลือกอาณาจักรของส่ิงมีชีวิตท่ีสนใจ 1 อาณาจักร และเขียนอธิบายเก่ียวกับอาณาจักรน้ี โดยสงั เขป พรอ้ มท้ังระบเุ หตุผลท่เี ลอื ก 3. ให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3-5 คน ร่วมกันศึกษาความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตใกล้สถานศึกษา หรอื ชุมชนของผ้เู รยี น โดยรว่ มกันจดั ทำ�แผนภาพและนำ�เสนอข้อมลู หน้าชน้ั เรยี น กลุม่ ละ 3-5 นาที กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้เป็นกิจกรรมท่ีผู้สอนให้ผู้เรียนปฏิบัติทุกข้อหรือเลือกปฏิบัติเป็นบางข้อตาม ความเหมาะสม โดยผู้สอนให้คะแนนการทำ�กิจกรรมตามเกณฑ์ของใบสรุปผลการทำ�กิจกรรม และ สามารถนำ�ผลการทำ�กิจกรรมไปเทียบกับการให้คะแนนกับตารางวิเคราะห์ความสอดคล้องของเน้ือหากับ จดุ ประสงค์รายวิชา สมรรถนะรายวิชา และจุดประสงค์เชงิ พฤตกิ รรมได้ สรปุ ผลการท�ำกจิ กรรม ค�ำช้แี จง ใหผ้ เู้ รยี นประเมินผลการท�ำกจิ กรรม โดยเขยี นเคร่ืองหมาย ✓ ลงในช่อง ตามความเปน็ จรงิ ความรู้ (K) ทักษะ (P) คณุ ลกั ษณะ (A) เกณฑก์ ารประเมนิ ความร ู้ ความเขา้ ใจ การปฏิบัติงานทไ่ี ด้รับ การมมี นุษยสมั พันธ์ใน ท�ำ เครื่องหมาย ✓ การน�ำ ไปใช้ การวิเคราะห์ มอบหมายเสรจ็ ตามเวลา การปฏบิ ัตกิ ิจกรรม ในแตล่ ะตอน 3 ข้อ การสงั เคราะห์ ที่กำ�หนด ความมวี ินัย ตรงต่อเวลา คอื ผา่ นการประเมิน การประเมนิ คา่ การปฏบิ ตั งิ านดว้ ยความ ความซอื่ สัตยส์ จุ รติ ละเอียด รอบคอบ ปลอดภยั ในการท�ำ งาน 1. ความรู้ (K) การศึกษาค้นคว้า เรียบรอ้ ย สวยงาม ประพฤติตนดว้ ยความ ผ่าน ไม่ผา่ น การแสวงหาแหล่งข้อมลู และการรวบรวมขอ้ มูล ความสมบูรณ์ของงาน ถูกตอ้ งตามศลี ธรรม 2. ทกั ษะ (P) การแสดงความคดิ เหน็ การปฏิบัตงิ านทท่ี ำ�ใหเ้ กิด อนั ดงี าม อยา่ งมเี หตุผล หรือแสดง สมรรถนะแก่ผเู้ รียน เจตคตทิ ่ดี ีในการปฏบิ ัติ ผา่ น ไมผ่ ่าน กิจกรรม ข้นั ตอนและกระบวนการ ทกั ษะการวางแผน การคิด ความพอเพียงและความ 3. คุณลกั ษณะ (A) ท�ำ กจิ กรรม สร้างสรรค์ การออกแบบ ผา่ น ไมผ่ า่ น การหาประสบการณ์ การผลติ พอประมาณ ความรูใ้ หม ่ การตดั สนิ ใจในการแก้ปัญหา หมายเหตุ เกณฑ์การประเมินผลการทำ�กิจกรรม มีวัตถุประสงค์เพ่ือประเมินว่า ผู้เรียนเกิดสมรรถนะจากการเรียนรู้ ตามบริบทต่างๆ หรือไม่ โดยแบ่งเป็น 3 ด้าน คือ ความรู้หรือพุทธิพิสัย = Knowledge (K) ทักษะหรือ ทักษะพิสัย = Practice (P) คณุ ลักษณะหรือจิตพิสัย = Attitude (A)

84 วิทยาศาสตร์เพอ่ื พฒั นาอาชีพธุรกจิ และบรกิ าร แบบทดสอบ จงน�ำ ค�ำ ตอบด้านขวาไปเตมิ หนา้ ข้อความใหถ้ ูกต้อง ก. 1. อยใู่ นกลุ่มราเมือก ก. ไฟซารัม ซ. 2. อย่ใู นกลุ่มเอไคโนเดิร์ม ข. อะมีบา ข. 3. มเี ทา้ เทียม ค. หมึกกลว้ ย ค. 4. อยู่ในกลมุ่ มอลลัส ง. ปรสติ ง. 5. ไมม่ ีโครงสรา้ งในการเคลื่อนที่ จ. กะพรุน ช. 6. พชื ทไ่ี มม่ ีเนือ้ เยื่อลำ�เลยี ง ฉ. แปะก๊วย ฌ. 7. อยู่ในอาณาจกั รฟงั ไจ ช. มอสส์ ฎ. 8. มีลักษณะคลา้ ยพืช ซ. ปลงิ ทะเล ฉ. 9. พืชทีม่ เี มล็ดไมม่ สี ่ิงหอ่ ห้มุ ฌ. ยีสต์ จ. 10. อยู่ในกลุ่มไนดาเรีย ญ. ฉลาม ผสู้ อ นให ผ้ เู้ รยี นท�ำ แ บบท ดสอ บจาก นนั้ ใ หผ้ เู้ ร ยี นแ ลกกนั ฎ. คลอเรลลา ตรวจคำ�ตอบ โดยผู้สอนเปน็ ผเู้ ฉลย สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) แบบประเมินตนเอง ค�ำชแี้ จง ตอนที่ 1 ใหผ้ เู้ รียนประเมนิ ผลการเรียนรู้ โดยเขียนเครอื่ งหมาย ✓ลงในช่องระดบั คะแนน และเติมข้อมูลตามความเป็นจรงิ ระดบั คะแนนตอนที่ 1 5 : มากท่ีสดุ 4 : มาก 3 : ปานกลาง 2 : นอ้ ย 1 : ควรปรับปรงุ ตอนที่ 2 ใหผ้ เู้ รยี นน�ำคะแนนจากแบบทดสอบมาเตมิ ลงในชอ่ งวา่ ง และเขยี นเครือ่ งหมาย ✓ ลงในช่องสรปุ ผล ตอนท่ี 1 (ผลการเรยี นรู)้ ตอนที่ 2 (แบบทดสอบ) รายการ 5 4 3 2 1 แบบทดสอบ ตอนท่ี 1 1. ผูเ้ รียนมีความรู้ ความเขา้ ใจในเนอื้ หา คะแนน (ขอ้ ละ 1 คะแนน) 2. ผเู้ รยี นไดท้ �ำกจิ กรรมทสี่ อดคล้องกบั เน้ือหา แบบทดสอบ ตอนท่ี 2 และจุดประสงค์การเรยี นรู้ คะแนน 3. ผเู้ รยี นไดเ้ รยี นและท�ำกจิ กรรมทสี่ ง่ เสรมิ กระบวนการคดิ (ข้อละ 1 คะแนน) เกิดการคน้ พบความรู้ สรปุ ผล 4. ผู้เรียนสามารถประยกุ ต์ความร้เู พ่ีอื ใชป้ ระโยชนใ์ นชีวิตประจ�ำวนั ได้ 9-10 (ดมี าก) 5. ผเู้ รยี นไดเ้ รียนร้อู ะไรจากการเรยี น 7-8 (ด)ี 6. ผเู้ รียนตอ้ งการท�ำสงิ่ ใดเพื่อพัฒนาตนเอง 5-6 (พอใช้) 7. ความสามารถทถี่ ือว่าผา่ นเกณฑป์ ระเมนิ ของผูเ้ รียน คอื ต่าํ กวา่ 5 (ควรปรับปรุง)

3หน่วยการเรยี นรทู้ ่ีสถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.)เทคโนโลยชี วี ภาพ สาระสำ�คัญ ปจั จบุ นั มกี ารนำ�เทคโนโลยชี วี ภาพมาใชใ้ นการเพมิ่ ผลผลติ โดยปรบั ปรงุ เทคโนโลยดี า้ นปรมิ าณ และคณุ ภาพ เพอ่ื เพม่ิ ผลผลิตของสัตวแ์ ละพชื ซงึ่ ทำ�ใหเ้ กดิ ความหลากหลายเป็นอย่างมาก สาระการเรียนรู้ 1. ความหมายและความส�ำ คญั ของเทคโนโลยีชีวภาพ 2. เทคโนโลยีชีวภาพเพ่อื เพิม่ ผลผลติ ของสตั ว์ 3. เทคโนโลยีชีวภาพเพ่อื เพ่ิมผลผลิตของพืช สมรรถนะประจำ�หน่วย 1. แสดงความรู้และปฏบิ ตั เิ กี่ยวกบั เทคโนโลยชี ีวภาพ 2. ประยุกตค์ วามรเู้ รือ่ งเทคโนโลยชี ีวภาพ ไปใชใ้ นชีวติ ประจำ�วันและการประกอบอาชพี

86 วิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาอาชพี ธุรกจิ และบรกิ าร จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายความหมายและความส�ำ คญั ของเทคโนโลยชี ีวภาพได้ 2. อธบิ ายเทคโนโลยชี วี ภาพเพื่อเพิ่มผลผลติ ของสัตวไ์ ด้ 3. อธบิ ายเทคโนโลยีชีวภาพเพอ่ื เพ่ิมผลผลิตของพืชได้ 4. มเี จตคติที่ดีในการเรยี นเรอ่ื งเทคโนโลยีชีวภาพ และรกั ษค์ ่านยิ มหลัก 12 ประการของไทย ผงั สาระการเรยี นรู้ สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) เทคโนโลยี ความหมายและความส�ำ คญั ของเทคโนโลยชี ีวภาพ ชีวภาพ เทคโนโลยีชีวภาพเพอื่ เพิม่ ผลผลิตของสตั ว์ เทคโนโลยชี วี ภาพเพื่อเพิม่ ผลผลติ ของพชื

สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) เทคโนโลยีชีวภาพ 89 โคแม่พันธุ์ที่จะเก็บไข่เพ่ือให้ไข่เจริญและตกไข่ แล้วฉีดฮอร์โมนให้แก่โคที่จะต้องทำ�หน้าที่เป็น ตัวอุ้มท้องให้เสมือนกับว่ามีการต้ังท้อง ต่อจากน้ันนำ�ตัวอสุจิของโคพ่อพันธุ์ผสมกับไข่ของโคแม่พันธุ์ ภายนอกรา่ งกาย หรือในหลอดแก้ว หรือจานเพาะเชอ้ื เลี้ยงตวั ออ่ นระยะหนง่ึ จนเปน็ ตัวอ่อนท่ี เรียกว่า บลาสโทซิสต์ ซึ่งจะฝังตัวท่ีผนังมดลูกได้ไปใส่ให้กับโคเพศเมียท่ีเตรียมไว้สำ�หรับทำ�หน้าท่ีต้ังท้อง หรือการถา่ ยฝากตัวอ่อน ถ้าการถา่ ยฝากตวั ออ่ นสำ�เรจ็ โคทที่ �ำ หนา้ ท่ีตัง้ ท้องก็จะตง้ั ท้องไปตลอดจนถึง คลอด ซ่งึ เมือ่ คลอดลูกออกมา ลกู ทีไ่ ดก้ ็จะเป็นโคพันธดุ์ ตี ามพนั ธุกรรมของตวั อสุจแิ ละไข่ทเ่ี ก็บมาจาก โคพันธุ์ดีของพ่อพันธุ์แม่พันธ์ุ ข้อดีของการถ่ายฝากตัวอ่อน คือ สามารถใช้แม่โคพันธุ์พื้นเมือง ของเกษตรกรเป็นผู้ต้ังท้อง โดยใช้ไข่และตัวอสุจิของโคพันธุ์ดีปฏิสนธิภายนอกร่างกายแล้วถ่ายฝาก ไปยงั โคแมพ่ นั ธ์ุของเกษตรกรได้ ลกู ทเ่ี กิดมาก็จะเป็นพันธุ์ดี เป็นผลใหไ้ ม่ต้องใช้แมโ่ คพันธด์ุ หี ลายๆ ตวั ในการต้งั ทอ้ ง ส่วนขอ้ เสยี คอื การถา่ ยฝากตวั ออ่ นต้องกระทำ�โดยนกั วทิ ยาศาสตรห์ รอื ผทู้ ีช่ ำ�นาญมากๆ เท่าน้ัน และมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แต่ได้ผลในอัตราท่ีไม่สูงมากนัก เทคนิคและวิธีการนี้จึงเป็นการทำ� ในหอ้ งทดลองมากกวา่ การน�ำ ไปปฏิบตั จิ ริง วิธีทำ� 1. ให้ผู้เรียนศึกษารายละเอียดเก่ียวกับการถ่ายฝากตัวอ่อนในโคจากข้อมูลเร่ืองการถ่ายฝาก ตวั อ่อนทก่ี ำ�หนดใหข้ ้างต้น 2. ใหน้ ำ�ความรทู้ ่ีได้มาเขยี นสรุปเป็นผงั ความคดิ ในรูปแบบใยแมงมุม พรอ้ มระบายสใี หส้ วยงาม คำ�ถามท้ายกจิ กรรม 1. การถ่ายฝากตัวอ่อนในโคใช้โคกีต่ ัว แต่ละตัวทำ�หน้าท่อี ะไรบ้าง (แนวทางการตอบ 3 ตัว คอื พ่อพันธุ์และแมพ่ นั ธ์ุ และโคอีก 1 ตัว เปน็ ตัวอมุ้ ทอ้ ง) 2. การถา่ ยฝากตัวอ่อนต้องใชฮ้ อร์โมนชว่ ยบา้ งหรือไม่ อย่างไร (แนวทางการตอบ ฉีดฮอร์โมนใหก้ ับโคแม่พนั ธุ์ที่จะเก็บไข่เพอื่ ใหไ้ ข่เจรญิ และตกไข่ แล้วฉีดให้กบั โคที่ต้องท�ำ หน้าท่ี เป็นตวั อ้มุ ทอ้ งให้เสมือนกับว่าตง้ั ทอ้ ง) 3. การถ่ายฝากตัวออ่ นมีประโยชนต์ อ่ การปศสุ ัตว์ของไทยและของโลกอย่างไร (แนวทางการตอบ ข้อดี คือ ไดโ้ คพันธ์ดุ ี แตม่ ีขอ้ เสีย คอื คา่ ใชจ้ า่ ยสงู หรืออื่นๆ ขึน้ อย่กู ับดุลยพินจิ ของผู้สอน)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook