Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 413631

413631

Published by sarunyatuinui, 2020-04-30 03:56:44

Description: 413631

Search

Read the Text Version

ความสามารถดา้ นไวยากรณภ์ าษาองั กฤษและการจดั การเรยี นการสอนไวยากรณภ์ าษาอังกฤษ ระดับช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 โรงเรยี นในสงั กดั สานักงานเขตพนื้ ทก่ี ารศึกษามธั ยมศกึ ษาเขต 16 English Grammar Ability and Grammar Learning and Teaching at Matthayomsuksa 3 Level in the Secondary Educational Service Area Office 16 กาโสม หมาดเดน็ Kasom Matden วิทยานิพนธ์นเี้ ป็นส่วนหนง่ึ ของการศึกษาตามหลักสตู รปริญญาศิลปศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษเปน็ ภาษานานาชาติ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ A Thesis Submitted in Partial Fulfillment of the Requirements for the Degree of Master of Arts in Teaching English as an International Language Prince of Songkla University 2559 ลขิ สทิ ธข์ิ องมหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์

(1) ความสามารถดา้ นไวยากรณ์ภาษาอังกฤษและการจดั การเรยี นการสอนไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ ระดับช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรียนในสังกดั สานักงานเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษามธั ยมศึกษาเขต 16 English Grammar Ability and Grammar Learning and Teaching at Matthayomsuksa 3 Level in the Secondary Educational Service Area Office 16 กาโสม หมาดเด็น Kasom Matden วิทยานิพนธ์นเี้ ปน็ สว่ นหน่งึ ของการศึกษาตามหลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาการสอนภาษาองั กฤษเป็นภาษานานาชาติ มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร์ A Thesis Submitted in Partial Fulfillment of the Requirements for the Degree of Master of Arts in Teaching English as an International Language Prince of Songkla University 2559 ลิขสิทธขิ์ องมหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์

(2) ชือ่ วทิ ยานิพนธ์ ความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษและการจัดการเรียนการสอนไวยากรณ์ ภาษาอังกฤษระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3โรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา มัธยมศึกษาเขต 16 ผ้เู ขียน นางสาวกาโสม หมาดเดน็ สาขาวิชา การสอนภาษาอังกฤษเปน็ ภาษานานาชาติ _____________________________________________________________________ อาจารย์ทปี่ รกึ ษาวทิ ยานิพนธ์หลกั คณะกรรมการสอบ ................................................................ ...............................................ประธานกรรมการ (รองศาสตราจารย์ ดร. นสิ ากร จารุมณ)ี (ดร. พทิ ยาธร แกว้ คง) .............................................................กรรมการ (รองศาสตราจารย์ ดร. นิสากร จารุมณี) .............................................................กรรมการ (ดร. สติ า มูสกิ รังษี) บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อนุมัติให้นับวิทยานิพนธ์ฉบับน้ีเป็น ส่วนหน่ึงของการศึกษา ตามหลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาองั กฤษ เป็นภาษานานาชาติ ............................................................. (รองศาสตราจารย์ ดร. ธรี พล ศรชี นะ) คณบดีบัณฑติ วทิ ยาลยั

(3) ขอรบั รองวา่ ผลงานวิจยั นี้มาจากการศึกษาวจิ ยั ของนักศึกษาเอง และไดแ้ สดงความขอบคณุ บคุ คลท่มี ี สว่ นชว่ ยเหลือแล้ว ลงช่ือ ..................................................... (รองศาสตราจารย์ ดร. นสิ ากร จารุมณ)ี อาจารย์ท่ปี รึกษาวิทยานิพนธ์หลกั ลงชื่อ................................... (นางสาวกาโสม หมาดเดน็ ) นักศกึ ษา

(4) ข้าพเจ้าขอรับรองว่า ผลงานวิจัยนี้ไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งในการอนุมัติปริญญาในระดับใดมาก่อน และไม่ไดถ้ กู ใช้ในการยื่นขออนุมตั ิปริญญาในขณะน้ี ลงชอ่ื ................................... (นางสาวกาโสม หมาดเดน็ ) นกั ศึกษา

(5) ชอ่ื วิทยานิพนธ์ ความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษและการจัดการเรียนการสอน ไวยากรณภ์ าษาอังกฤษ ระดบั ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 3 โรงเรียนในสงั กัด สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามธั ยมศึกษาเขต 16 ผเู้ ขยี น นางสาวกาโสมหมาดเดน็ สาขาวชิ า การสอนภาษาองั กฤษเปน็ ภาษานานาชาติ ปกี ารศกึ ษา 2558 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งน้ีมุ่งศึกษา 1) ระดับความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ 2) ความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถด้านไวยากรณ์กับทักษะการอ่านและการเขียน 3) รูปแบบ เทคนิคการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ 4) ปัญหาในการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ 5) ระดับความ พึงพอใจต่อการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ และ 6) ความต้องการเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษของ นักเรียนระดับช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 16 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยนี้ได้แก่ ครู จานวน 76 คนและนักเรียนจานวน 370 คน กาหนดขนาดกลุ่ม ตัวอย่างตามตาราง Krejcie and Morgan (1970) และคัดเลือกโดยใช้วิธีการสุ่มแบบง่าย เคร่ืองมือ ทใ่ี ช้ในการวิจัยคือ แบบทดสอบความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ แบบทดสอบทักษะการอ่าน และแบบทดสอบทักษะการเขียน โดยอิงเกณฑ์การทดสอบตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และแบบสัมภาษณ์แบบก่ึงโครงสร้างสาหรับครู และนักเรียน สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ( x ) ค่าส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) คา่ ร้อยละ ค่าสมั ประสิทธสิ์ หสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson’s Correlation) และวิเคราะห์ข้อมูลเชิง คุณภาพโดยการจัดกลุ่ม สรุปประเด็นและใชข้ ้อค้นพบสนบั สนนุ ข้อมูลเชิงปริมาณ ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถด้านไวยากรณ์ ทักษะการอ่านและทักษะการเขียน ภาษาอังกฤษของนักเรียนอยู่ในระดับต่า และระดับความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ มีความสัมพันธ์ทางบวกกับทักษะการอ่านและทักษะการเขียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.01 สาหรับรูปแบบ วิธีการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษที่ครูผู้สอนใช้มาก คือการใช้กิจกรรมรูปแบบต่างๆ ที่น่าสนใจ เพื่อให้นักเรียนเข้าใจเนื้อหาได้โดยง่าย ประเด็นปัญหาที่ประสบมากท่ีสุดในการสอน ไวยากรณ์คือ นักเรียนไม่สนใจเรียน มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการเรียนไวยากรณ์และมีพื้นฐานความรู้ด้าน ไวยากรณ์ต่า แต่อย่างไรก็ตามนักเรียนส่วนใหญ่มีความพึงพอใจที่ครูใช้กิจกรรมท่ีหลากหลายในการ สอนไวยากรณ์และ นักเรียนยืน ยันความต้องการเรียนไวยากรณ์ผ่านรูปแบบกิจกรร มและเทคนิ ค

(6) การสอนที่หลากหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้สื่อและกิจกรรมทีม่ ีความน่าสนใจทจ่ี ะช่วยให้เรยี นรไู้ ด้ งา่ ยขึ้น คาสาคัญ: ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ, ความสามารถด้านไวยากรณ์, ทักษะการอ่าน, ทักษะการเขียน, การสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ, ปัญหาการสอนไวยากรณ์, ความพึงพอใจต่อการสอนไวยากรณ์, ความต้องการเรยี นไวยากรณ์

Thesis Title (7) Author English Grammar Ability and Grammar Learning and Teaching at Major Program Matthayomsuksa 3 Level in the Secondary Educational Service Academic Year Area Office 16 Ms. KasomMatden Teaching English as an International Language 2015 ABSTRACT The purposes of this study were to investigate 1) students’ English grammar ability, 2) its relationship with reading and writing skills, 3) teachers’ approaches in teaching English grammar, 4) problems related to grammar teaching, 5) students’ satisfactory level towards study, and 6) students’ needs in English grammar study at Matthayomsuksa 3 level in the Secondary Educational Service Area office 16 (SEA 16). The subject included 76 English teachers and 370 students. The sample size was determined by employing the sampling method proposed by Krejcie and Morgan (1970). The sample random sampling was used to obtain each subject. The instruments were a test of English grammar, a reading test, and a writing test in which the test items were based on the Ministry of Education’s curriculum specification, two five-point rating scale questionnaires, and semi-structured interviews. The statistics used were mean ( x ), standard deviation (S.D.), percentage, and Pearson’s correlation. Qualitative data were categorized, summarized, and used to complement quantitative data. The results of this study showed that the levels of students’ English grammar ability, reading and writing skills were lowand there were positive relationships between English grammar ability and reading skill, and between English grammar ability and writing skill. The correlation was significant at the 0.01 level. Most teachers used various techniques and interesting activities to facilitate students’ learning of grammar.The most serious problems in teaching were from students’ lacking of attention, negative attitude towards English grammar, and poor English grammar knowledge. However, most students were satisfied with the variety of

(8) grammar teaching activities provided. Students confirmed their needs in studying grammar through different techniques and a variety of learning activities, especially the use of teaching aids and interesting tasks variety facilitating their learning experience. Keywords: English grammar, English grammar ability, reading skill, writing skill, English grammar teaching, teaching problems, students’ satisfactory, grammar study needs

(9) กิตตกิ รรมประกาศ วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ สาเร็จด้วยด้วยความอนุเคราะห์จากบุคคลหลายท่านที่ได้ให้ ความช่วยเหลืออย่างดยี ิ่งจึงทาใหเ้ สร็จลลุ ่วงไดด้ ้วยดี ผู้วิจัยซาบซึ้งอย่างทส่ี ุดและขอขอบพระคุณมา ณ ท่ีนี้ ขอขอบพระคุณรองศาสตราจารย์ ดร.นิสากร จารุมณี อาจารย์ท่ีปรึกษา วิทยานิพนธ์เป็นอย่างยิ่ง ซ่ึงท่านเป็นผู้ทุ่มเทเสียสละเวลาในการให้คาแนะนา คาปรึกษา การ ตรวจสอบ และแก้ไขข้อผิดพลาดอย่างละเอียดในทุกขนั้ ตอน พร้อมท้งั ใหก้ าลังใจ ช่วยผลักดันให้ผ้วู จิ ัย มคี วามอดทนตอ่ อปุ สรรค มคี วามเพยี รพยายามจนทาใหว้ ทิ ยานิพนธ์เสร็จสมบรู ณ์ ขอขอบพระคณุ ดร.พิทยาธร แก้วคง และดร.สิตา มูสกิ รังษี ประธานและกรรมการ สอบวิทยานิพนธ์ ที่กรุณาเสียสละเวลาตรวจสอบ ให้คาแนะนา และข้อเสนอแนะท่ีเป็นประโยชน์ใน การแกไ้ ข ปรับปรงุ วิทยานิพนธใ์ หส้ มบูรณย์ ง่ิ ข้ึน ขอขอบพระคุณคณาจารย์ในหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการสอน ภาษาอังกฤษเป็นภาษานานาชาตทิ ุกท่าน ท่ีได้ประสิทธปิ ระสาทวชิ าความรู้ ฝกึ ฝนทกั ษะ กระบวนการ คดิ อบรมตกั เตือน และคอยใหก้ าลังใจตลอดระยะเวลาการศกึ ษาระดับบัณฑติ ศกึ ษา ขอขอบคุณครูและนักเรียนผู้มีส่วนร่วมในงานวิจัย จากโรงเรียนในสังกัดสานักงาน เขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 16 (สงขลา-สตลู ) ทีใ่ ห้ความร่วมมือในการเกบ็ ข้อมูลงานวิจัยเป็น อยา่ งดี จนทาใหก้ ารศึกษาครง้ั น้สี าเร็จลลุ ่วงไปด้วยดี ท้ายท่ีสุดวิทยานิพนธ์ฉบับน้ีจะไม่สามารถเสร็จลุล่วงไปได้หากขาดบิดามารดาผู้ให้ กาเนิดและบุคคลในครอบครัว ผู้คอยอย่เู คียงข้างสนับสนุนผู้วจิ ัยทั้งกาลังกาย กาลังใจและกาลังทรพั ย์ รวมท้ังเพ่ือนร่วมรุ่นหลักสูตร M.A.TEIL 2014 ทุกคน ที่คอยช่วยเหลือ ให้กาลังใจ และเป็น แรงผลักดันทาใหผ้ วู้ จิ ัยมีความมุ่งมัน่ ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ ตั้งแต่วนั แรกจนถงึ วันสาเรจ็ การศึกษา กาโสม หมาดเดน็

สารบัญ (10) บทคดั ย่อ หน้า ABSTRACT กติ ติกรรมประกาศ (5) สารบญั (7) รายการตาราง (9) รายการแผนภมู ภิ าพ (10) รายการผลงานทตี่ ีพมิ พ์ (13) รายการผลงานการประชุมวชิ าการ (14) สาเนาหนงั สือตอบรับจากวารสาร (15) สาเนาหนงั สือตอบรับการประชุมวิชาการ (16) เนือ้ หา (17) (18) 1.บทนา 2.วตั ถปุ ระสงค์การวจิ ัย 1 3.วธิ ดี าเนินการวจิ ยั 6 8 3.1 กล่มุ ตัวอยา่ ง 8 3.2 เคร่อื งมือการวิจัย 8 3.3 วธิ ีการเก็บข้อมูล 13 3.4 การวเิ คราะห์ขอ้ มลู 13 4. ผลการศกึ ษาและการอภิปรายผล 14 4.1 ผลการศึกษา 14 4.1.1 ความสามารถด้านไวยากรณ์ ทกั ษะการอา่ น 14 และทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ 4.1.2 ความสมั พนั ธ์ระหว่างความสามารถด้านไวยากรณ์ 16 ภาษาองั กฤษกบั ทักษะการอ่านและทักษะการเขียน 17 4.1.3 รูปแบบเทคนคิ วธิ ีการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ 19 4.1.4 ปญั หาในการสอนไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ 4.1.5 ความพึงพอใจต่อรปู แบบ เทคนคิ วธิ กี ารสอน 21 ไวยากรณภ์ าษาอังกฤษ

สารบัญ (ตอ่ ) (11) 4.1.6 ความตอ้ งการในการเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ หนา้ 4.2 อภปิ รายผลการวจิ ัย 23 4.2.1 ความสามารถดา้ นไวยากรณ์ทักษะการอา่ น 25 และทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ 4.2.2 ความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถดา้ นไวยากรณ์ 25 ภาษาอังกฤษกบั ทักษะการอ่านและทกั ษะการเขยี น 4.2.3 รปู แบบ เทคนคิ วิธกี ารสอนไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ 26 4.2.4 ปญั หาในการสอนไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ 27 4.2.5 ความพึงพอใจต่อรปู แบบ เทคนคิ วธิ กี ารสอนของครู 27 4.2.6 ความตอ้ งการในการเรียนไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ 28 5. สรปุ ผลการวจิ ยั และขอ้ เสนอแนะ 28 5.1 สรปุ ผลการวจิ ัย 29 5.2 ขอ้ เสนอแนะ 29 5.2.1 ขอ้ เสนอแนะในการจัดการเรยี นการสอน 31 5.2.2 ขอ้ เสนอแนะในการทาวจิ ัยครง้ั ตอ่ ไป 31 เอกสารอ้างองิ 32 ภาคผนวก 33 ภาคผนวก (1) เครื่องมือวจิ ัย 37 ก แบบทดสอบความสามารถด้านไวยากรณภ์ าษาองั กฤษ 37 ข แบบสอบถามรูปแบบเทคนคิ วธิ กี ารจัดการเรียนการสอน 37 ไวยากรณ์ภาษาองั กฤษและปัญหาในการสอนไวยากรณ์ ภาษาอังกฤษ (สาหรบั ครู) 48 ค แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจดั การเรียนการสอน ไวยากรณ์ภาษาองั กฤษและความตอ้ งการเรียนไวยากรณ์ 54 ภาษาอังกฤษ (สาหรบั นักเรยี น) ง แบบสัมภาษณ์รปู แบบเทคนิค วธิ ีการจัดการเรียนการสอน 60 ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษและปัญหาในการสอน ไวยากรณภ์ าษาอังกฤษ (สาหรบั ครู)

สารบญั (ตอ่ ) (12) จ แบบสัมภาษณค์ วามพงึ พอใจของนกั เรยี นต่อเทคนิค หนา้ วิธสี อนไวยากรณ์ภาษาองั กฤษของครแู ละความต้องการเรียน ไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ (สาหรบั นกั เรียน) 63 ภาคผนวก (2) บทความวจิ ัย 66 บทความ 1 ความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ และความสมั พันธ์ระหว่างความสามารถดา้ นไวยากรณ์ 66 กับทกั ษะการอ่านและการเขยี น บทความ 2 การศึกษาเทคนิควธิ กี ารสอนไวยากรณภ์ าษาองั กฤษ 81 ระดบั ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรยี นในสังกดั สานักงานเขตพ้นื ที่ 94 การศึกษามธั ยมศึกษา เขต 16 ประวัติผู้เขียน

รายการตาราง (13) ตาราง หนา้ 1 ความสัมพนั ธร์ ะหว่างความสามารถด้านไวยากรณ์ 16 ภาษาอังกฤษกบั ทักษะการอ่านและทักษะการเขียน 17 19 2 รูปแบบ เทคนิควิธีการจัดการเรยี นการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ 21 3 ปญั หาท่ปี ระสบในการจัดการเรียนการสอนไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ 23 4 ความพึงพอใจต่อรูปแบบ เทคนคิ วิธสี อนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ 5 ความตอ้ งการเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ]

รายการแผนภมู ภิ าพ (14) แผนภมู ิ หน้า 1 ระดบั ความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ 14 2 ระดบั ความสามารถดา้ นการอ่าน 15 3 ระดับความสามารถดา้ นการเขียน 16

(15) รายการผลงานทีต่ พี มิ พ์ กาโสม หมาดเด็น, และนิสากร จารุมณี. (……). ความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ และความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถด้านไวยากรณ์กับทักษะการอ่านและการเขียน. วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, _____ (อยู่ระหว่างการพิจารณาของ ผ้ทู รงคณุ วฒุ ิ).

(16) รายการผลงานการประชุมวชิ าการ กาโสม หมาดเด็น, และนิสากร จารุมณี. (2559). การศึกษาเทคนิควิธีการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษาเขต 16. บทความนาเสนอในท่ีประชุมวิชาการระดับชาติของสมาชิกเครือข่ายความร่วมมือ วิชาการ-วิจัย สายมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ครั้งท่ี 9 ภายใต้แนวคิด “พลัง มนุษยศาสตร์ พลังสังคมศาสตร์ พลังแห่งความสุขท่ียั่งยืน”, จัดโดยมหาวิทยาลัยนเรศวร ระหวา่ งวันที่ 24-25 มีนาคม 2559. ณ โรงแรมทอ็ ปแลนด์ จังหวดั พษิ ณุโลก. หน้า 241-252.

(17) สาเนาหนังสือตอบรับจากวารสาร

(18) สาเนาหนังสอื ตอบรับการประชุมวชิ าการ

(19)

1 1. บทนำ ภ าษ า อั งก ฤ ษ เป็ น ภ าษ า ส าก ล ที่ นิ ย ม ใช้ กั น อ ย่ างแ พ ร่ห ล าย ภ า ษ าห น่ึ งข อ งโล ก ในปัจจุบัน (Crystal, 1997) เพื่อประโยชน์ในด้านต่างๆ เช่น การติดต่อส่ือสาร การศึกษา การประกอบอาชีพ การแข่งขันด้านเศรษฐกิจ นอกจากน้ียังเป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดวัฒนธรรม และเอกลักษณ์ไปสู่สังคมโลกด้วย ทั้งนี้ Kirkpatrick (2010) กล่าวว่า ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลาง ของผู้คนในกลุ่มประเทศอาเซียนและในกฎบัตรอาเซียนข้อท่ี 34 ยังกาหนดภาษาองั กฤษให้เป็นภาษา ท่ีใช้ในการทางานภาษาอังกฤษจึงเปรียบเสมือนเครื่องมืออันดับหนึ่งในการติดต่อสื่อสารระหว่าง กันสาหรับประชากรอาเซียนและประชากรทว่ั โลก ประเทศไทยซ่ึงเป็นหนง่ึ ในสมาชิกของกลมุ่ ประเทศ อาเซียนและของโลก จึงมีความจาเป็นท่ีจะต้องเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ด้วยความสาคัญดังกล่าวน้ี กระทรวงศึกษาธิการ (2552) จัดให้มีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในฐานะภาษาต่างประเทศในทุก ระดับช้ัน โดยจัดการเรียนการสอนให้มีความสอดคล้องและเหมาะสมกับสภาพสังคมปัจจุบันมากขึ้น เพื่อมุ่งหวังให้ผู้เรยี นในศตวรรษที่ 21 สามารถนาทักษะความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวติ ประจาวันได้อย่าง มีประสิทธิภาพทั้งในด้านการประกอบอาชีพ การศึกษาต่อในระดับท่สี ูงขึน้ ทง้ั สามารถใช้ภาษาในการ ถา่ ยทอดความรู้ ความคิด และวัฒนธรรมไทยไปสสู่ ังคมโลกและเพอื่ สนองนโยบายการพัฒนาประเทศ ใหท้ ดั เทียมกับนานาประเทศ จากบทบาทและความสาคัญของการใช้ภาษาอังกฤษดังกล่าว จึงจาเป็นสาหรับผู้ใช้ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองหรือภาษาต่างประเทศที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษให้ คล่องแคล่วและถูกต้อง ตามหลักไวยากรณ์ (Peirce, 1989; De Wet, 2002) ในการส่ือสารภาษาอังกฤษให้เกิดประสิทธิภาพ และประสบความสาเร็จน้ันต้องอาศัยความเข้าใจทางด้านไวยากรณ์เป็นหลัก เพราะไวยากรณ์ คอื กฎเกณฑ์ของภาษา ซ่งึ รวมถึง เสียง คาศพั ท์ กลุ่มคาประโยค หลักการใชค้ า และการจดั วางคาเข้า ด้วยกันให้เป็นรูปประโยคท่ีสามารถสื่อสารกันได้อย่างเข้าใจ (Harmer, 1987;Thornbury, 2000; Nunan, 2003; Cowan, 2008) จึงกล่าวได้ว่า ไวยากรณ์เป็นแกนหลักของการเรียนการสอน ภาษาอังกฤษ ถ้าขาดความรู้ด้านระบบไวยากรณ์ภาษาอังกฤษแล้วผู้ท่ีเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษา ท่ีสองจะไม่เข้าใจและไม่สามารถสื่อสารในระดับสูงได้ ไวยากรณ์ถือเป็นเคร่ืองมือสาคัญในการช่วย สนับสนุนการส่ือสารท้ัง 4 ทักษะ คือ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน (Long and Richards ,1987; Dickins and Woods, 1988; Parrott, 2000) การเรียนรู้รูปแบบโครงสร้างภาษาเป็นสิ่ง สนับสนุนความสามารถในการนาภาษาไปใช้ได้ถูกต้องตามกฎบรรทัดฐานของภาษา กล่าวคือหาก ผู้เรียนภาษามีความรู้หรือความสามารถด้านไวยากรณ์ในระดับดี ก็จะสามารถใช้ภาษาอังกฤษท้ังใน ทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนได้ดีเช่นกัน (Nunan, 2004) สอดคล้องกับ Canale and Swain (1980) และ Zhang and Min-Yan (2009) ที่ระบุว่า ส่ิงที่เป็นปัจจัยสาคัญในการพูดให้

2 ประสบผลสาเร็จ คือ ความรู้ด้านคาศัพท์และไวยากรณ์ การรู้โครงสร้างไวยากรณ์ดีช่วยให้ผู้พูด สามารถเข้าใจรูปแบบของคา ประโยค และสามารถคิดสร้างประโยคได้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ ทั้งยังสามารถพูดส่ือสารได้อย่างคล่องแคล่ว (Fluency) และใช้ภาษาอย่างถูกต้อง (Accuracy) สาหรับบทบาทไวยากรณ์ในการอ่าน กล่าวคือผู้เรียนจะสามารถเข้าใจบทอ่านได้ดีข้ึนหากมีความรู้ ความเข้าใจในหลักไวยากรณ์ดี เพราะไวยากรณ์ชว่ ยให้ผู้อ่านสามารถมองเห็นหน้าที่ของคา โครงสรา้ ง ประโยค ซึ่งช่วยให้การอ่านมีประสิทธิภาพมากข้ึน (Mccarthy, 2000) และสาหรับในการเขียน ไวยากรณ์สนับสนุนการเขียนเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากผู้เรียนมีความรู้และแม่นยาในการใช้ไวยากรณ์ ก็จะช่วยให้ผู้เรียนคิด วิเคราะห์ และประเมินการใช้คา ท้ังยังสามารถใช้ไวยากรณ์ท่ีเหมาะสมในงาน เขยี น (Derewianka, 2008) สอดคลอ้ งกับ นเรศ สุรสิทธ์ิ (2547) ที่กลา่ วว่า การใช้ภาษาทถ่ี ูกต้องเป็น ส่ิงที่สาคัญมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการอ่านและเขียนซ่ึงเน้นความรู้ ความเข้าใจท่ีถูกต้องทางด้าน หลักภาษาและไวยากรณ์มากกว่าการฟังและการพูด ทั้งน้ีผู้เรียนภาษาอังกฤษที่มีพื้นฐานไวยากรณ์ดี จะสามารถเรียนภาษาอังกฤษ ทั้งการพูด การอ่าน การเขียนได้เร็วกว่าและดีกว่าผู้ที่ไม่รู้หรือรู้ ไวยากรณ์อังกฤษน้อย ด้วยเหตุน้ีในการจัดการเรียนการสอนครูจาเป็นต้องสอนกฎโครงสร้างอย่าง ล ะ เอี ย ด แ ล ะ ถู ก ต้ อ ง (Burges and Etherington, 2002; Ebsworth and Schweers, 1997; Potgieter and Conradie, 2013) ถึงแม้ว่าหลักสูตรการเรียนการสอนของประเทศไทยจะให้ความสาคัญกับวิชา ภาษาอังกฤษและการพัฒนาทักษะดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามการเรียนไวยากรณ์เป็นปัญหาสาหรับ นักเรียนไทยเพราะนักเรียนคิดว่าไวยากรณ์เป็นสิ่งท่ียากน่าเบ่ือ และกิจกรรมการสอนในชั้นเรียนไม่ น่าสนใจ ทาให้นักเรียนขาดแรงจูงใจในการเรียน จึงส่งผลให้นักเรียนขาดประสิทธิภาพในทักษะอื่น ด้วยเช่นกัน (Musigrungsi, 2002) นอกจากน้ีจากการสารวจความสามารถทางภาษาอังกฤษต้ังแต่ ปี 2009-2015 ของบริษัท Education First ซ่ึงเป็นผู้นาด้านการเรียนต่อต่างประเทศ และการ แลกเปล่ียนวัฒนธรรมท่ัวโลก ท่ีได้จัดอันดับระดับทักษะความสามารถด้านภาษาอังกฤษ จาก แบบทดสอบวัดระดับ (Placement test) ท่มี กี ารวดั ท้งั ความสามารถด้านไวยากรณ์ คาศัพท์ การอ่าน และการฟังผลปรากฏว่า ประเทศไทยมีผลคะแนนอยู่ในระดับต่ามากติดต่อกันจนถึงปัจจุบัน (ดัชนีความสามารถทางภาษาอังกฤษ, 2558) และย่ิงไปกว่าน้ันผลคะแนนการทดสอบทางการศึกษา แห่งชาติขั้นพื้นฐาน (Ordinary National Educational Test : ONET) ที่จัดสอบโดยสถาบันการ ทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) พบว่าคะแนนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนทั่วประเทศต่ากว่า เกณฑ์ ซ่ึงประเมินได้จากคะแนนเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง ต้ังแต่ปีการศึกษา 2555-2557 อยู่ท่ีร้อยละ 28.71, 30.35 และ 27.46 ตามลาดับซ่ึงถือว่าต่ากว่าเกณฑ์การประเมินท่ีสถาบันการทดสอบทาง การศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) กาหนดไว้ ทั้งยังสอดคล้องกับรายงานผลการวิเคราะห์คุณภาพผู้เรียนใน มิติ O-NET ปีการศึกษา 2557 ของสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 16 ซ่ึงได้

3 เปรียบเทียบผลการทดสอบทางการศึกษาระดั บชาติข้ันพ้ืนฐาน ปีการศึกษา 2556-2557 ชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 3 กับระดับประเทศ ระดับสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐานและระดับ สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 16 พบว่าระดับประเทศมีค่าคะแนนเฉลี่ยวิชา ภาษาอังกฤษอยู่ท่ี 30.35 และ 27.46 ตามลาดับ ซึ่งมีค่าคะแนนพัฒนาเท่ากับ -2.89 ระดับสานักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐานมีค่าคะแนนเฉล่ียวิชาภาษาอังกฤษอยู่ท่ี 29.99 และ 27.90 ตามลาดับ ซ่ึงมีค่าคะแนนพัฒนาเท่ากับ -2.90 และระดับสานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 16 มีค่าคะแนนเฉลี่ยวชิ าภาษาอังกฤษอยู่ท่ี 31.29 และ 27.70 ตามลาดับ ซ่ึงมีค่าคะแนนพัฒนา เท่ากับ -3.59 จากผลดังที่ได้กล่าวมาชี้ให้เห็นว่า ค่าคะแนนเฉล่ียและค่าคะแนนพัฒนาของวิชา ภาษาอังกฤษอยู่ระดับต้องปรับปรุงในทุกระดับ จึงจาเป็นอย่างย่ิงท่ีควรเร่งรัดพัฒนาทักษะต่างๆ ทางด้านภาษาอังกฤษ (สานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษามัธยมศึกษา เขต 16, 2557) จากสภาพปัญหาดังกล่าวอาจมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการจัดการเรียนการสอน ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ดังท่ี Markley (2004) กล่าวว่าพฤติกรรมการสอนของผู้สอนก็เป็น องค์ประกอบหน่ึงที่มีผลต่อการเรียนรู้ภาษาและการประสบความสาเร็จในการเรยี นรู้ภาษา เน่ืองจาก พฤติกรรมการสอนของผู้สอนท้ังในด้านวิธีการและกระบวนการสอน การใช้ภาษา การปฏิบัติตน ในการสอน การใช้สอื่ การสอน ฯลฯ สามารถบ่งบอกและมีความสัมพันธ์กับการเรยี นรู้ของผู้เรยี นทาให้ ผู้เรียนเกิดทัศนะหรือเจตคติต่อการเรียนภาษาและส่งผลต่อการเรียนรู้ได้ เช่นเดียวกับ ฟาฏินา วงศ์เลขา (2553) ระบุว่า ครูผู้สอนถือเป็นบุคคลสาคัญในการถ่ายทอดวิชาความรู้แก่ผู้เรียน ดังนั้นจึง ควรมีการปรับเปลี่ยนวิธีการสอน ใฝ่เรียนรู้ตลอดเวลา แสวงหาเทคนิควิธีสอนใหม่ๆ และจัดกิจกรรม การเรียนรู้ท่ีหลากหลาย และ Morelli (2003) กล่าวว่า การสอนภาษาอังกฤษให้ได้ผลดีนั้นครู จาเป็นต้องรู้วิธีการสอนและต้องสอนไวยากรณ์ด้วยวิธีการสอนทหี่ ลากหลายโดยคานึงถึงนกั เรยี นเป็น หลัก เพื่อสนับสนุน ส่งเสริม และสร้างบรรยากาศการเรียนให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในการเรียน ไวยากรณภ์ าษาอังกฤษอย่างแท้จรงิ Nunan (1991) Gorner, Philips, and Walters (1995) และ Thornbury (2000) อธิบายถึงวิธีการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษว่ามี 2 วิธีดังน้ี วิธีแรกคือแบบนิรนัย เป็นวิธีสอนที่ ประยุกต์มาจากการสอนแบบไวยากรณ์และการแปล (Grammar Translation) มี 3 ข้ันตอนหลักคือ 1) ครูนาเสนอกฎโครงสร้างไวยากรณ์ 2) ครูให้ตัวอย่างโดยเน้นตรงส่วนโครงสร้างไวยากรณ์ และ 3) นักเรียนทาแบบฝึกหัดและสร้างประโยคจากกฎที่เรียนมาด้วยตัวเองซึ่งครูผู้สอนมักใช้วิธีการแปล จากภาษาท่ีสองเป็นภาษาที่หน่ึง เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจความหมายของเน้ือหาที่เรียน วิธีท่ีสองคือ แบ บอุปนัย Gorner, Philips, and Walters (1995) Nunan (1999) และ Thornbury (2000) อธบิ ายว่า การสอนแบบอุปนัยเป็นกระบวนการสอนที่สอนจากรายละเอียดไปหาข้อสรุป กล่าวคือครู จะให้ตัวอย่างหลายๆประโยค ซ่ึงในตัวอย่างประโยคจะมีโครงสร้างไวยากรณ์เป้าหมายตาม

4 จุดประสงค์การสอน จากนั้นนักเรียนศึกษาค้นหาเปรียบเทียบหรือวิเคราะห์โครงสร้างไวยากรณ์ ในประโยคเหล่านั้นจนสามารถสรุปหลักการหรือกฎเกณฑ์ได้ด้วยตนเอง และท้ายท่ีสุดนักเรยี นฝึกหัด แตง่ ประโยคดว้ ยตัวเองโดยใช้โครงสรา้ งท่ีค้นพบ Ellis (2002) แสดงความเห็นเพ่ิมเติมว่าการสอนแบบเน้นโครงสร้าง มีข้อจากัด กล่าวคือผู้เรียนจานวนมากไม่สามารถใช้ภาษาเพื่อการส่ือสารในชีวิตประจาวันได้จริง อย่างไรก็ตาม การท่ีผู้เรียนจะสามารถประสบความสาเร็จจากการสอนวิธีน้ีหรือไม่ข้ึนอยู่กับผู้สอนเป็นสาคัญ ผู้สอน บางท่านสามารถใช้วิธีการสอนน้ีเพ่ือให้ผู้เรียนสามารถนาไปใช้เพ่ือการสอื่ สารไดเ้ ช่นกัน นอกจากนี้ยัง ข้นึ อย่กู บั ตัวผู้เรียนเองด้วย Ellis (2002) ย้าวา่ ผู้เรียนจานวนมากทั่วโลกประสบผลสาเรจ็ ในการเรียนรู้ ภาษาด้วยวิธีการเน้นโครงสร้างและยังพบว่าผู้เรียนที่ประสบความสาเร็จจากการสอนวิธีนี้มักมี ความชอบในการเรียนภาษาอยู่ก่อนแล้ว อย่างไรก็ดี Oxford and Lee (2007) ได้เสนอความเห็นว่า ผู้เรียนภาษาที่สองที่เป็นเด็กและผู้ใหญ่มีวิธีการเรียนรู้และชอบวิธีการเรียนรู้ภาษาที่สองแตกต่างกัน เช่นผู้เรียนท่ีเป็นผู้ใหญ่ชอบการเรียนรู้แบบ Focus on forms – explicit- deductive mode การเรยี นร้ภู าษาท่ีสองลักษณะนผี้ ู้เรียนชอบการเนน้ ที่โครงสรา้ งภาษาและการจากฎผเู้ รยี นภาษาทส่ี อง บางคนร้สู ึกว่าหากไม่มีการสอนหลกั หรือกฎไวยากรณ์ก่อนจะรสู้ ึกราวกับว่าไม่ได้เรียนรู้ภาษานั้นอย่าง แท้จริง แต่ในบางวัฒนธรรมผู้เรียนมีความเชื่อว่าการสอนภาษาท่ีสองบางวิธี เช่น การเรียนรู้ทางอ้อม (implicit learning) เป็นการสอนภาษาจริงๆเพราะการสอนแบบน้ีเน้นการสอนเรื่องการสื่อสารด้าน ความหมาย (meaning focus) ไม่มีการอธิบายถึงโครงสร้างไวยากรณ์และกฎการใช้ นั่นคือการสอน ไวยากรณ์แบบเน้นความหมาย เป็นวิธีสอนทีเ่ น้นใช้ภาษาเพ่ือการสอ่ื สาร โดยไม่เนน้ รูปแบบของภาษา แต่จะมุ่งไปที่ผู้เรียนและกระบวนการเรียนรู้ภาษา Krashen and Terrell (1983) อธิบายว่า วิธีการ สอนดังกล่าวนี้เป็นการเรียนภาษาตามแนวทางแบบธรรมชาติ (Natural Approach) ซึ่งเป็นแนวการ สอนที่เช่ือว่าการท่ีจะบรรลุจุดมุ่งหมายของการสอนภาษาท่ีสอง ผู้สอนต้องจัดการเรียนการสอน เพ่ือช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนให้ง่ายและเร็วข้ึน เน้นการใช้ภาษาเพื่อส่ือความ หมาย (meaning) และเน้นหน้าที่ (function) ของภาษา ให้ผู้เรียนได้มีโอกาสใช้ภาษาในสถานการณ์ ท่ีเหมือนจริง ท้ังนี้ Krashen (1982) และ Krashen (1985) ให้ความเห็นว่า ผู้เรียนภาษาสามารถ เรียนรู้ภาษาเป้าหมายอย่างรู้ตัว นั่นคือ “conscious learning” เม่ือถูกกระตุ้นจากการที่ใส่ข้อมูลท่ีมี ความหมาย ที่เรียกกันว่า “comprehensible input” สาหรับการสอนไวยากรณ์ แบบเน้น ความหมายหรือแนวทางธรรมชาติ ผู้สอนจะจัดกิจกรรมการเรียนการสอนท่ีใช้ภาษาเป้าหมายให้มาก ท่ีสุดในช้ันเรียน โดยเน้นเกี่ยวกับส่ิงท่ีอยู่ใกล้ตัวหรือสิ่งท่ีนักเรียนประสบอยู่ในชีวิตประจาวันและเน้น การฝึกภาษาแบบท่ีเจ้าของภาษาใช้ในการสื่อความหมายในชีวิตจริง เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึก เคยชินกับภาษาอังกฤษ ซึ่งแต่ละคร้ังท่ีฝึกผู้สอนจะต้องต้ังจุดประสงค์ท่ีแน่นอนว่าต้องการจะฝึกให้ใช้

5 ภาษาเพ่ือความหมายอะไร ใช้ในสถานการณ์ใดและผู้สอนอาจเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ใช้ภาษาอังกฤษ ให้มากทีส่ ดุ โดยอาศัยกิจกรรมคหู่ รือกิจกรรมกลมุ่ ผลการวิจัยหลายช้ิน แสดงให้เห็นว่าครูและนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาและ มัธยมศึกษาส่วนใหญ่ให้ความสาคัญกับไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เพราะเช่ือมั่นว่าไวยากรณ์จาเป็นใน ทกุ ๆทักษะทั้งทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน และครูนิยมใช้วิธีการสอนแบบดงั้ เดิม คือ การสอนแบบเน้นโครงสร้างไวยากรณ์ (deductive approach) ถึงแม้ว่าหลักสูตรจะเน้นกิจกรรมการ สอนภาษาเพ่ือการส่ือสารก็ตาม และมีความเห็นสอดคล้องกันว่า วิธีการสอนดังกล่าวมีประสิทธิภาพ สามารถเพิ่มผลสัมฤทธิ์ในการเรียนของนักเรียนได้ และทาให้นักเรียนสามารถประสบความสาเร็จใน การเรียนภาษาอังกฤษมากกว่าวิธีการสอนแบบอ่ืนๆ (Rajkhowa and Das, 2015; Uysal and Bardakci, 2014; McClure, 2006; Borg and Burn, 2008; Musigrungsi, 2002) ขณะเดียวกัน Borg and Burn (2008) ระบุว่ายังมีครูบางส่วนท่ีให้ความสาคัญกับการสอนไวยากรณ์แบบอุปนัย (inductive approach) และเห็นว่าต้องสอนไวยากรณ์ร่วมในทุกๆทักษะ (ฟัง พูด อ่าน เขียน) แต่ อย่างไรก็ตาม Krashen (1988) ได้เสนอแนวคิดว่าการจัดการเรียนการสอนไวยากรณ์ให้ได้ผลดีน้ัน คือ การท่ีครูใช้ภาษาเป้าหมาย (Target language) เป็นสื่อในการสอนอย่างสม่าเสมอ จุดประสงค์ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความเคยชินกับภาษานั้นๆ แนวคิดดังกล่าวน้แี ตกต่างกับผลการวจิ ัยของ Rajkhowa and Das (2015) ทพ่ี บวา่ ครสู ่วนใหญ่มักใช้ภาษาทหี่ น่ึงในการอธบิ ายไวยากรณ์ภาษาองั กฤษเนื่องจาก ผู้เรียนมีความแตกต่างด้านระดับความรู้ทางภาษาอังกฤษ ซึ่งวิธีการสอนดังกล่าวสามารถช่วยให้ ผู้เรยี นเขา้ ใจรายละเอียดของโครงสร้างภาษาอังกฤษอยา่ งแทจ้ ริง นอกจากนี้องค์ประกอบสาคัญท่ีส่งผลต่อการเรียนรู้ภาษาของผู้เรียนคือ ครูผู้สอน เพราะหากผู้สอนมีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนไวยากรณ์ ภาษาอังกฤษ โดยใช้วิธีการสอน ท่ีน่าสนใจ มีความหลากหลาย เหมาะกับระดับหรือความต้องการของผู้เรียน และผู้เรียนมีความพึง พอใจต่อวิธีการสอนท่ีครูเลือกใช้ อาจเป็นแนวทางที่จะทาให้ผู้เรียนประสบความสาเร็จในการเรียนรู้ ภาษาอังกฤษได้ (ฟาฏินา วงศ์เลขา, 2553; ปองรัตน์ ศรีสืบ, และปัญชลี วาสนสมสิทธ์ิ , 2553; ธีราภรณ์ พลายเล็ก, 2555; Markley, 2004; Morelli, 2003; Jacobovits, 1971; Stevens, 1987; Pawlak, 2009) จากงานวิจัยที่ผ่านมาสรุปได้ว่า ครูผู้สอนส่วนใหญ่เห็นว่าไวยากรณ์เป็นความรู้ พื้นฐานสาคัญในการเรยี นรู้ภาษาอังกฤษท่ีผู้เรียนจาเป็นต้องเรียนรู้ เพราะสามารถนาความรู้ด้านน้ีไป พัฒนาทักษะอ่ืนๆได้ นอกจากน้ีครูนิยมการสอนไวยากรณ์แบบดั้งเดิมหรือแบบเน้นโครงสรา้ งมากกว่า การสอนแบบเน้นเพ่ือการสื่อสาร แต่อย่างไรก็ตามครูประสบปัญหาในด้านการใช้ภาษาท่ีสองในการ สอน ครูและนักเรียนเห็นว่าไวยากรณ์มีความสาคัญต่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษและสามารถเช่ือมโยง ไปส่กู ารพัฒนาทกั ษะการฟงั การพูด การอ่าน และการเขียนให้เกดิ ประสิทธภิ าพได้

6 จากความสาคัญของทักษะด้านไวยากรณ์ที่ส่งผลต่อการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ ด้านอื่นๆ และจากภาวะวิกฤติโดยรวมของคะแนนพัฒนาวิชาภาษาอังกฤษของสานักงานเขตพื้นท่ี การศึกษามัธยมศึกษา เขต 16 จึงจาเป็นต้องศึกษาความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ซ่ึงเปรียบเสมอื นแกนหลกั ของการพฒั นาความสามารถทางภาษาอังกฤษว่าอยใู่ นระดับใดและส่งผลต่อ การพัฒนาทักษะอ่ืนๆในปัจจุบันหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างย่ิงทักษะการอ่านและการเขียนครูใช้วิธีการ สอนแบบใด ประสบปัญหาใดบ้าง นักเรียนมีความพึงพอใจเพียงใด และมีความต้องการเรียนอย่างไร เพอื่ นาผลการวิจยั มาเป็นแนวทางในการปรบั ปรุง พฒั นาการเรยี นการสอนต่อไป งานวิจัยน้ีจึงมุ่งศึกษาภาพรวมของการจัดการเรียนการสอนในสานักงานเขตพ้ืนท่ี การศึกษามัธยมศึกษาเขต 16 ซ่ึงอยู่ในภาวะวิกฤตของการพัฒนาภาษาอังกฤษว่านักเรียน มีความสามารถระดับใด ครูจัดการเรียนการสอนอย่างไร นกั เรียนมคี วามพึงพอใจหรือไม่ และนักเรียน มคี วามตอ้ งการเรียนแบบใด เพอื่ นาผลการวิจัยท่ไี ดใ้ นทกุ มิตมิ าเป็นแนวทางในการแกป้ ัญหาต่อไป 2. วัตถุประสงค์กำรวจิ ัย งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ และการจัดการเรียนการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ โดยกาหนดขอบเขตศึกษาในระดับชั้น มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนในสังกดั สานักงานเขตพ้นื ท่ีการศึกษามธั ยมศึกษา เขต 16 การศึกษาครั้งน้ี มเี ป้าหมายเพอื่ ตอบคาถามวิจยั ดงั ตอ่ ไปนี้ 2.1 นกั เรียนระดบั ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 3 มีความสามารถดา้ นไวยากรณภ์ าษาอังกฤษ ระดบั ใด 2.2 ระดบั ความสามารถด้านไวยากรณ์มีความสัมพนั ธ์กบั ความสามารถดา้ นการอ่าน และการเขียนหรือไม่ 2.3 ครใู ช้เทคนิควธิ ีสอนแบบใดบา้ งในการสอนไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ 2.4 ครปู ระสบปัญหาใดบา้ งในการสอนไวยากรณภ์ าษาอังกฤษ 2.5 นกั เรยี นพงึ พอใจต่อเทคนิควธิ ีสอนไวยากรณภ์ าษาอังกฤษเพียงใด 2.6 นกั เรียนตอ้ งการเรียนไวยากรณโ์ ดยวธิ กี ารแบบใดบ้าง

7 นยิ ำมศัพท์เฉพำะและข้อตกลงในกำรใช้คำ ในงานวจิ ยั ครั้งน้ีผู้วิจยั ได้ให้คานิยามศพั ท์และข้อตกลงในการใชค้ า ดังน้ี สำนกั งำนเขตพ้ืนที่กำรศึกษำมธั ยมศึกษำ เขต 16 หมำยถึง เขตพื้นที่การศึกษาการปกครองที่จัดแบ่งโดยสานักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งมีพ้ืนท่ีรับผิดชอบคือจังหวัดสงขลาและสตูล มีโรงเรียนในสังกัดทั้งหมด 54 โรงเรยี น (จงั หวดั สงขลา จานวน 43 โรงเรยี นและจังหวัดสตลู จานวน 11 โรงเรียน) ควำมสำมำรถด้ำนไวยำกรณ์ภำษำอังกฤษ หมำยถึง ระดับความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปที ี่ 3 โรงเรียนในสงั กดั สานกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 16 โดยประเมินจาก ผลคะแนนที่ได้จากการทาแบบทดสอบความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ซ่ึงออกแบบตาม หลักสูตรมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดของระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ข้อสอบดังกล่าวน้ีมุ่งวัด ความสามารถด้านไวยากรณ์ ท้ังท่ีเป็นแบบเฉพาะประเด็น (discrete points) และความสามารถด้าน ไวยากรณ์ที่แฝงอยใู่ นบทอา่ น (reading texts) และในงานเขียนของนกั เรียนเอง (written texts) กำรจัดกำรเรยี นกำรสอนไวยำกรณภ์ ำษำอังกฤษ หมำยถึง รูปแบบเทคนิค และวิธีการจัดการเรียนการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ในรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากมุมมองของครูผู้สอนและนักเรียน โรงเรียนสงั กดั สานักงานเขตพื้นทีก่ ารศึกษามธั ยมศึกษา เขต 16 ค ว ำ ม พึ ง พ อ ใ จ ต่ อ รู ป แ บ บ เท ค นิ ค วิ ธี ก ำ ร จั ด ก ำ ร เรี ย น ก ำ ร ส อ น ไ ว ย ำ ก ร ณ์ ภำษำองั กฤษ หมำยถึง ความพึงพอใจของนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ต่อรูปแบบเทคนิค และวิธีการจัดการเรียนการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษของครูโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพื้นที่ การศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 16 ควำมต้องกำรกำรจดั กำรเรียนกำรสอนไวยำกรณ์ภำษำองั กฤษ หมำยถึง ความต้องการของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ในรูปแบบเทคนิค และวิธีการจัดการเรียนการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษของครูโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ี การศึกษามัธยมศึกษา เขต 16

8 3. วธิ ดี ำเนินกำรวิจัย 3.1 ประชำกรและกลุ่มตวั อย่ำง ประชากรของงานวิจัยคร้ังนี้ ได้แก่ ครูผู้สอนวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐานระดับช้ัน มัธยมศึกษาปีท่ี 3 จานวน 96 คน และนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จานวน 10,753 คน ซึ่งกาลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 16 (จังหวัดสงขลา และจังหวัดสตลู ) ในปีการศึกษา 2558 กลุ่มตัวอยา่ งของงานวิจัยครั้งน้ี คือ ครูผู้สอนวิชาภาษาอังกฤษ พ้ืนฐาน ระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 จานวน 76 คน และนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 จานวน 370 คน ผู้วิจัยดาเนินการกาหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้ตารางการกาหนดขนาดสัดส่วนของกลุ่ม ตัวอย่างของ Krejcie และ Morgan (1970) จากนั้นใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย (simple random sampling) 3.2 เครอ่ื งมือกำรวจิ ัย เครื่องมือในงานวิจัยน้ีมีจานวนทั้งส้ิน 5 ชุด โดยมีรายละเอียดการพัฒนาและ ตรวจสอบคณุ ภาพเครอ่ื งมือ ดงั ต่อไปนี้ 1. แบบทดสอบควำมสำมำรถภำษำองั กฤษ กำรสร้ำงและกำรตรวจสอบคุณภำพ ผู้วิจัยสร้างแบบทดสอบโดยการศึกษาจากหลักสูตรและตัวชี้วัดวิชาภาษาอังกฤษ พื้นฐานของนกั เรยี น ระดบั ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 แบบทดสอบแบง่ เปน็ 3 ตอน ดังตอ่ ไปนี้ ตอนท่ี 1: ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เป็นข้อสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบจานวน 40 ข้อโดยผวู้ ิจยั มจี ุดประสงคว์ ดั ระดับความรคู้ วามเข้าใจด้านไวยากรณ์ภาษาองั กฤษแบบเจาะจงประเด็น (discrete points) ใช้เวลาสอบ 40 นาที โดยมปี ระเดน็ ดังตอ่ ไปน้ี ข้อ ประเด็นไวยำกรณ์ จำนวน คะแนน ขอ้ ประเด็นไวยำกรณ์ จำนวน คะแนน ที่ ข้อ ที่ ข้อ 4 4 1. Tense 4 4 6. Subject verb agreement 4 4 4 4 2. Determiner 4 4 7. Reported speech 4 4 4 4 3. Voice 4 4 8. Preposition 4. Question Tag 4 4 9. Conditional 5. Relative pronoun/clause 4 4 10. Modifier

9 ตอนที่ 2: ทักษะการอ่าน (Cloze test) เป็นข้อสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จานวน 2 เร่ืองๆ ละ 10 ข้อ รวมท้ังสิ้น 20 ข้อ ใช้เวลาสอบ 30 นาที ผู้วิจัยเลือกใช้ cloze test เน่ืองจากเป็นรูปแบบข้อสอบแบบ global test ท่ีสามารถวัดความเข้าใจการอ่านและ ความรู้ ไวยากรณ์ได้ ตอนที่ 3: ทักษะการเขียน เป็นข้อสอบแบบอัตนัย ให้นักเรียนเขียนเรียงความเชิง เรื่องเล่าตามหัวข้อท่ีระบุ คือ My favorite trip โดยกาหนดความยาวประมาณ 8-10 บรรทัดและใช้ เวลาในการเขียนภายใน 50 นาที หัวข้อท่ีกาหนดน้ีอิงกับหลกั สูตรตามระดับของนักเรียน โดยมีเกณฑ์ การประเมนิ งานเขยี นดงั ตารางตอ่ ไปน้ี เกณฑ์กำรประเมินควำมสำมำรถด้ำนกำรเขียน ประเด็น ระดับคณุ ภำพ / ระดบั คะแนน คะแนนรวม กำร 10 9-10 7-8 5-6 3-4 1-2 ประเมนิ เนอ้ื หา เน้อื หาสอดคลอ้ ง เน้อื หาสอดคลอ้ ง เน้อื หา เนือ้ หาไม่ สอดคลอ้ งกบั กบั หัวขอ้ ทเี่ ขยี น กับหัวขอ้ ทีเ่ ขียน สอดคลอ้ งกบั สอดคลอ้ ง 1. เนื้อหา หวั ข้อทเี่ ขยี น หรอื เรอื่ งทก่ี าหนด หรอื เร่อื งที่ หวั ขอ้ ท่ีเขียน กบั หัวขอ้ ที่ หรอื เรือ่ งที่ เปน็ ส่วนใหญ่ กาหนดในระดบั หรอื เรือ่ งที่ เขยี นหรือ กาหนด มใี จความสาคัญท่ี พอใช้ กาหนด เรื่องท่ี ทัง้ หมด ชัดเจนสมบรู ณใ์ น มใี จความสาคัญ เลก็ น้อย กาหนด มีใจความ ระดบั คอ่ นข้างดี ท่ีชดั เจนสมบรู ณ์ สามารถจับ ไมส่ ามารถ สาคัญที่ ในระดบั ปาน ใจความสาคัญ จบั ใจความ ชัดเจน กลาง ไดบ้ างประเดน็ สาคญั ได้ สมบูรณ์ 2. การ งานเขยี นมี งานเขยี นมกี าร งานเขยี นมีการ งานเขยี นมกี าร งานเขยี นไม่ 10 เรยี บ การเรยี บเรียง เรยี บเรียง ลาดับ เรียบเรยี ง ลาดับ เรยี บเรยี ง มกี ารเรียบ เรยี งความ ลาดบั เน้อื หา เนอ้ื หาไดต้ อ่ เนื่อง เน้ือหาได้ ลาดับเนือ้ หาได้ เรียง ลาดับ คิด ได้ต่อเน่อื ง เป็นส่วนใหญ่มี ต่อเนอ่ื งในระดับ อยา่ งต่อเนอื่ ง เนื้อหาได้ ทงั้ หมด มี ความนา่ สนใจและ พอใช้ มีความ เล็กนอ้ ยมีความ อยา่ ง ความ นา่ ตดิ ตามในระดับ น่าสนใจและน่า น่าสนใจและนา่ ตอ่ เน่อื งไม่มี นา่ สนใจและ ค่อนขา้ งดีและน่า ติดตามในระดับ ติดตามในระดับ ความ น่าติดตามใน ติดตามในระดบั ปานกลาง ตา่ นา่ สนใจ ระดับดมี าก คอ่ นขา้ งดี และน่า ติดตาม

10 ประเด็น ระดับคณุ ภำพ / ระดับคะแนน คะแนนรวม กำร 9-10 7-8 5-6 3-4 1-2 ประเมนิ ใช้ไวยากรณ์ ใช้ไวยากรณ์ ใชไ้ วยากรณ์ ใชไ้ วยากรณ์ ใชไ้ วยากรณ์ 10 3. การใช้ ถูกตอ้ ง ถกู ตอ้ งเปน็ สว่ น ถกู ตอ้ งในระดบั และ/หรือสะกด และ/หรอื 30(100%) ภาษา ทัง้ หมดและ ใหญ่และ/หรือไม่มี พอใช้ และ คาผดิ เกนิ กวา่ สะกดคาผิด ไมม่ ี ขอ้ ผดิ พลาดในการ หรือไมม่ ี 5 แห่ง เปน็ จานวน ข้อผิดพลาด สะกดคาเลก็ น้อย ขอ้ ผิดพลาดใน มาก ในการสะกด หรอื ไม่เกนิ 3 แหง่ การสะกดคาปาน คา กลาง หรือไมเ่ กนิ 5 แห่ง รวม หมายเหตุ: ปรบั จากเกณฑข์ อง O’Malley และ Pierce (1996) และคู่มือครู รายวชิ าภาษาอังกฤษ SPRINT 3 (2557) ช่วงคะแนน เกณฑก์ ำรตดั สินคุณภำพ 90 ขึ้นไป 70 – 89 ระดบั คุณภำพ 50 – 69 ความสามารถด้านการเขยี นอยู่ในระดับดมี าก 30 – 49 ความสามารถด้านการเขยี นอยใู่ นระดบั ดี ความสามารถด้านการเขียนอยู่ในระดบั พอใช้ ≥ 29 ความสามารถด้านการเขยี นอยู่ในระดับน้อย ความสามารถด้านการเขียนอยใู่ นระดับน้อยมาก แบบทดสอบความสามารถภาษาอังกฤษดังกล่าวได้รับการตรวจสอบคุณภาพความ เท่ียงตรง ทางด้านภาษา เนือ้ หา จากผทู้ รงคุณวุฒิ โดยมีค่า IOC เท่ากับ 0.8 - 1.0 และปรับปรุงก่อน นาเคร่ืองมือไปทดลองใช้กับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่ การศึกษามัธยมศึกษา เขต 16 ท่ีไม่อยู่ในกลุ่มตัวอย่าง จานวน 30 คน เพ่ือวิเคราะห์หาค่าความ เชื่อม่ันก่อนนาไปใช้จริง ซึ่งพบค่าความยากง่าย (P) มีค่าเท่ากับ 0.4 และค่าอานาจจาแนก (R) มีค่า เท่ากบั 0.20 (ภาคผนวก ก: แบบทดสอบความสามารถภาษาอังกฤษ)

11 2. แบบสอบถำมรูปแบบเทคนิควิธีกำรจัดกำรเรียนกำรสอนไวยำกรณ์ ภำษำอังกฤษและปญั หำในกำรสอนไวยำกรณภ์ ำษำองั กฤษ กำรสรำ้ งและกำรตรวจสอบคุณภำพ แบบสอบถามความคิดเห็นและปัญหาต่อรูปแบบ วิธีการจัดการเรียนการสอน ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ใช้สอบถามครูผู้สอนแบ่งเป็น 3 ตอนคือ ตอนท่ี 1 รูปแบบและเทคนิควิธีการ จัดการเรียนการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษของครู ประกอบด้วยข้อคาถามที่ออกแบบตามหลักการ สอนแบบนิรนยั (deductive approach) และแบบอุปนยั (inductive approach) ตอนท่ี 2 ปญั หาที่ เก่ียวข้องกับการจัดการเรียนการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ และตอนที่ 3 ข้อเสนอแนะอื่นๆ แบบสอบถามตอนที่ 1 และตอนที่ 2 เป็นแบบประเมินค่า 5 ระดับ (Likert’s scale) และตอนที่ 3 เปน็ คาถามแบบปลายเปิด แบบสอบถามดังกล่าวได้รับการตรวจสอบคุณภาพความเที่ยงตรง ทางด้านภาษา เนื้อหา จากผู้ทรงคุณวุฒิ โดยมีค่า IOC เท่ากับ 0.8 - 1.0 และปรับปรุงก่อนนาเครื่องมือไปทดลองใช้ กับครูผู้สอน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 16 ท่ีไม่อยู่ในกลุ่มตัวอย่าง จานวน 30 คน เพ่ือวิเคราะห์หาค่าความเชื่อม่ันก่อนนาไปใช้จริง ซ่ึง พบว่าแบบสอบถามเทคนิควิธีการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ มีค่าเท่ากับ 0.782 และปัญหาที่ครู ประสบในการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ มีค่าเท่ากับ 0.934 (ภาคผนวก (1) ข: แบบสอบถาม รูปแบบเทคนิค วิธีการจัดการเรียนการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษและปัญหาในการสอนไวยากรณ์ ภาษาองั กฤษ) 3. แบบสอบถำมควำมพึงพอใจต่อกำรจัดกำรเรียนกำรสอนไวยำกรณ์ ภำษำอังกฤษและควำมต้องกำรเรยี นไวยำกรณ์ภำษำองั กฤษ กำรสร้ำงและกำรตรวจสอบคุณภำพ แบบสอบถามชุดนี้ใช้สอบถามนักเรียน แบ่งเป็น 4 ตอนคือ ตอนที่ 1 รูปแบบและ เทคนิควิธีการจดั การเรียนการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษของครู ตอนท่ี 2 ความต้องการของนกั เรยี น ในการเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ และตอนท่ี 3 ข้อเสนอแนะอื่นๆ แบบสอบถามตอนที่ 1 และตอน ที่ 2 เป็นแบบประเมนิ ค่า 5 ระดบั (Likert’s scale) และตอนท่ี 3 เปน็ คาถามแบบปลายเปิด แบบสอบถามดังกล่าวได้รับการตรวจสอบคุณภาพความเท่ียงตรง ทางด้านภาษา เน้ือหา จากผู้ทรงคุณวุฒิ โดยมีค่า IOC เท่ากับ 0.8 - 1.0 และปรับปรุงก่อนนาเคร่ืองมือไปทดลองใช้ กับนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 16 ท่ีไม่อยู่ในกลุ่มตัวอย่าง จานวน 30 คน เพื่อวิเคราะห์หาค่าความเช่ือมั่นก่อนนาไปใช้จริง ซ่ึง พบว่าแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนต่อเทคนิควิธีสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ มีค่าเท่ากับ

12 0.928 และความต้องการเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ มีค่าเท่ากับ 0.877 (ภาคผนวก (1) ค: แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษและความต้องการ เรยี นไวยากรณภ์ าษาอังกฤษ) แบบสอบถามท้ัง 2 ชุด ประกอบด้วย คาถามปลายเปิดและคาถามแบบมาตราส่วน ประมาณค่าจานวน 5 ระดับ คือ 5 = มากท่ีสุด 4 = มาก 3 = ปานกลาง 2 = น้อย และ 1 = น้อย ท่ีสุด ซึ่งมีเกณฑ์การแปลความตามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (Five point Likert Scale) ดงั ต่อไปนี้ ระดบั คะแนน คำ่ เฉล่ีย รปู แบบเทคนิค/ ปัญหำ/ 5 4.51 - 5.00 ควำมพงึ พอใจ/ควำมต้องกำร 4 3.51 - 4.50 3 มากทีส่ ดุ 2 2.51 - 3.50 มาก 1 1.51 - 2.50 ปานกลาง 1.00 - 1.50 น้อย นอ้ ยท่สี ุด 4. แบบสัมภำษณ์กง่ึ โครงสรำ้ งสำหรบั ครู แบบสัมภาษณ์เป็นคาถามปลายเปิด ผู้วจิ ัยถามความคิดเห็นเพิ่มเตมิ เกี่ยวกับรูปแบบ เทคนิควิธีการจัดการเรียนการสอนและปัญหาท่ีครูประสบในการจัดการเรียนการสอนไวยากรณ์ ภาษาอังกฤษ จานวน 7 คาถาม (ภาคผนวก (1) ง: แบบสัมภาษณ์รูปแบบเทคนิควิธีการจัดการเรียน การสอนและปัญหาในการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ) 5. แบบสมั ภำษณ์กงึ่ โครงสร้ำงสำหรับนักเรียน แบบสัมภาษณ์เป็นคาถามปลายเปดิ ผู้วจิ ัยถามความคิดเหน็ เพิ่มเตมิ เก่ียวกับรูปแบบ เทคนิควิธีการจัดการเรียนการสอน ปัญหาท่ีนักเรียนประสบในการเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษและ ความต้องการที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ จานวน 5 คาถาม (ภาคผนวก (1) จ: แบบสัมภาษณ์ความพึงพอใจของนักเรียนต่อรูปแบบเทคนิควิธีการสอนไวยากรณ์ ภาษาอังกฤษของครูและความต้องการเรียนไวยากรณภ์ าษาอังกฤษ)

13 3.3 วธิ ีกำรเกบ็ ขอ้ มูล การเกบ็ รวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอยา่ ง ดาเนินการระหว่างเดือนสงิ หาคม 2558 ถงึ เดอื นกนั ยายน 2558 ซงึ่ อยูใ่ นภาคการศึกษาท่ี 1 ปีการศึกษา 2558 โดยมีรายละเอียดดังน้ี 1. ทาหนังสอื ถึงผู้อานวยการโรงเรียน ครู และแจ้งนักเรยี นกลมุ่ ตวั อยา่ งเพื่อตดิ ต่อ ขอความรว่ มมือ ในการเกบ็ ข้อมูลประกอบการวิจัย 2. จัดสง่ แบบสอบถามทางไปรษณีย์ถึงผู้อานวยการโรงเรยี นเพ่อื ขอความร่วมมือแจก แบบสอบถามกับครูและนักเรียนตามจานวนกลุ่มเป้าหมาย พร้อมท้ังรวบรวมส่งคืนผู้วิจัยภายในเวลา ท่กี าหนด โดยผู้วิจยั นัดแนะไปรบั แบบสอบถามคืนดว้ ยตนเอง 3. นัดหมายวัน เวลาสัมภาษณ์ครู จานวน 10 คนและนักเรียน จานวน 10 คน ท่ียินดีใหส้ ัมภาษณ์เพ่มิ เติม ผู้วจิ ัยใช้เวลาสัมภาษณ์คนละประมาณ 20 นาที โดยมีการจดบันทึกข้อมูล และอัดเสียงระหว่างการสัมภาษณ์ และนัดหมายวัน เวลาดาเนินการทดสอบกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง จานวน 370 คน ที่กระจายอยู่ในโรงเรียน10 แห่ง โดยขอทดสอบในคาบเรียนรายวิชาภาษาอังกฤษ พ้ืนฐานหรือคาบท่ีเหมาะสมโดยครูผู้สอนและผู้วิจัยเป็นผู้คุมสอบ ท้ังน้ีการนัดหมายเร่ืองวัน เวลา และสถานท่ใี นการจัดสอบเปน็ ไปตามความสะดวกของแต่ละโรงเรยี น 5. ดาเนินการทดสอบระดับความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษของนักเรียน ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในช่วงเดือนตุลาคม 2558 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2558 มีนักเรียน กลุ่มเป้าหมายเขา้ รบั การทดสอบท้งั สนิ้ จานวน 370 คน 6. รวบรวมข้อมูลที่ได้จากกลุ่มตัวอย่างท้ังจากแบบสอบถาม การสัมภาษณ์ครูและ นักเรียน และแบบทดสอบ โดยแยกเป็นความสามารถในด้านการอ่าน การเขียน และด้านไวยากรณ์ ภาษาองั กฤษ เพอื่ นามาวเิ คราะห์ข้อมูล 3.4 กำรวเิ ครำะห์ข้อมูล ผูว้ ิจัยไดร้ ับแบบสอบถามครูคืนทั้งหมด 76 ชุด (100%) แบบสอบถามนักเรียน 311 ชุด (84%) และแบบทดสอบความสามารถภาษาอังกฤษที่สมบูรณ์ จานวน 258 ฉบับ (70%) จากน้ัน ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณจากแบบสอบถาม โดยคานวณค่าเฉลี่ย ( x ) และค่าส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) เพื่อหาค่าความคิดเห็นจากแบบสอบถามของครูและนักเรียน ดาเนินการจัดกลุ่ม และหาค่าเฉล่ียของข้อมูลจากคาถามปลายเปิดในแบบสอบถามและสาหรับข้อมูลที่ได้จากการ สมั ภาษณ์ ผู้วจิ ยั สรปุ ประเด็น เพื่อใช้อธบิ ายประกอบขอ้ มูลเชงิ ปริมาณ

14 สาหรับแบบทดสอบดาเนินการตรวจดังนี้ 1) ผู้วิจัยตรวจข้อสอบไวยากรณ์ (40 ข้อ) และทักษะการอ่าน (20 ข้อ) ซ่ึงเป็นข้อสอบปรนัยด้วยตนเอง 2) อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิระดับปริญญา เอก ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนทักษะการเขียน จานวน 2 ท่าน เป็นผู้ตรวจข้อสอบเรียงความ ตามเกณฑ์การประเมินที่เป็นข้อกาหนดของงานวิจัยนี้ ผู้วิจัยหาค่าความสัมพันธ์ของผลคะแนนท่ีได้ จากการตรวจของผู้ทรงคุณวุฒิพบวา่ การให้คะแนนเป็นไปในทิศทางเดยี วกนั (r = 0.58) หลังจากน้ัน ดาเนินการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อคานวณค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย ( x ) ค่าส่วน เบีย่ งเบนมาตรฐาน (S.D.) และค่าสัมประสิทธ์ิสหสมั พันธแ์ บบเพยี ร์สัน เพอื่ หาคา่ ระดับความสามารถ ดา้ นไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ และคา่ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาองั กฤษกับ ทักษะการอา่ นและการเขียนของนกั เรยี น 4. ผลกำรศกึ ษำและกำรอภปิ รำยผล 4.1 ผลกำรศึกษำ การศึกษาความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษและการจัดการเรียนการสอน ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา มธั ยมศึกษา เขต 16 ปรากฏผลดังต่อไปน้ี 4.1.1 ควำมสำมำรถดำ้ นไวยำกรณ์ภำษำองั กฤษ ทกั ษะกำรอ่ำนและทักษะกำร เขยี น แผนภมู ิ 1: ระดับความสามารถดา้ นไวยากรณภ์ าษาอังกฤษ (N=258) 1. 107925863410000000000...........0000000000000000000000 Scores (%) 37.21 45.25 37.31 31.49 41.67 48.06 37.02 44.09 39.88 46.32 30.43

15 จากแผนภูมิ 1 ผลการวิจัยช้ีให้เห็นว่า ในภาพรวมนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ในสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 16 มีระดับคะแนนความสามารถด้าน ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษอยู่ในระดับน้อย (ร้อยละ 39.88) และเม่ือพิจารณารายประเด็นจะเห็นได้ว่า ประเด็นที่นักเรียนได้คะแนนสูงสุดคือ Preposition (ร้อยละ 48.06) รองลงมาคือ Tense (ร้อยละ 46.32) และประเด็นที่ได้คะแนนน้อยท่ีสุดคือ Reported speech (ร้อยละ 30.43) ระดับคะแนน ไวยากรณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงภาวะที่เป็นปัญหา เน่ืองจากคะแนนทั้งโดยภาพรวมและประเด็น ยอ่ ยต่ากว่าคร่ึงคอ่ นขา้ งมาก แผนภมู ิ 2: ระดบั ความสามารถดา้ นการอ่าน (N=258) Scores (%) 23.37 28.37 25.87 100.00 Content Grammar Total 90.00 80.00 70.00 60.00 50.00 40.00 30.00 20.00 10.00 .00 \\ จากแผนภูมิ 2 พบว่า ในภาพรวมนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนใน สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 16 มีคะแนนระดับความเข้าใจในบทอ่านอยู่ใน ระดับน้อยมาก (ร้อยละ 25.87) และเมื่อวิเคราะห์แยกประเด็นพบว่า ความเข้าใจด้านเน้ือหา (content) อยู่ท่ีระดับร้อยละ 23.37 และความรู้ด้านโครงสร้างไวยากรณ์ในเนื้อหา อยู่ที่ร้อยละ 28.37 เทา่ นน้ั

16 แผนภูมิ 3: ระดับความสามารถด้านการเขียน (N=258) Scores (%) 39.55 21.38 34.88 100.00 การเรยี บเรียงความคิด การใชภ้ าษา Total 90.00 80.00 70.00 60.00 50.00 43.70 40.00 30.00 20.00 10.00 .00 เนื้อหา จากแผนภูมิ 3 พบว่า ในภาพรวมความสามารถในการเขียนของนักเรียนระดับช้ัน มัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษาเขต 16 มีผลคะแนนอยู่ ในระดับน้อย (ร้อยละ 34.88) และเม่ือพิจารณาแต่ละประเด็นของงานเขียนพบว่า นักเรียนมีผล คะแนนด้านเน้ือหามากที่สุด (ร้อยละ 43.70) รองลงมาคือประเด็นการเรียบเรียงความคิด (ร้อยละ 39.55) สว่ นประเด็นดา้ นการใชภ้ าษาหรอื ไวยากรณ์มีผลคะแนนนอ้ ยทส่ี ุด (ร้อยละ 21.38) 4.1.2 ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงควำมสำมำรถด้ำนไวยำกรณ์ภำษำอังกฤษกับทักษะ กำรอ่ำนและทักษะกำรเขยี น ตำรำง 1: ความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษกับทักษะการอ่านและ ทกั ษะการเขียน ควำมสมั พันธร์ ะหวำ่ งคะแนนไวยำกรณ์ คะแนนกำรอำ่ น คะแนนกำรเขียน กับคะแนนกำรอ่ำนและกำรเขียน R p-value R p-value .405** 0.00 .372** 0.00 คะแนนไวยำกรณ์ หมายเหตุ: **มีระดับนัยสาคัญทางสถิตทิ ่ี 0.01

17 จากตาราง 1 ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษมี ความสมั พันธท์ างบวกกบั คะแนนการอา่ นและคะแนนการเขียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 (r=.405, p-value=0.00 และ r=.372 , p-value=0.00) ซึ่งหมายความว่า หากนักเรียนมีคะแนน ไวยากรณภ์ าษาอังกฤษสูงก็มีความเป็นไปได้วา่ คะแนนการอ่านและคะแนนการเขียนจะสูงด้วย ในทาง ตรงกันข้าม หากนักเรียนมีคะแนนไวยากรณ์ต่าก็มีความเป็นไปได้ว่าจะทาให้นักเรียนมีคะแนนการ อ่านและคะแนนการเขยี นตา่ ด้วยเช่นกนั ผลการทาแบบทดสอบชี้ให้เห็นวา่ คะแนนความสามารถดา้ นไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ทักษะการอ่านและทักษะการเขียนของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนในสังกัด สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 16 อยู่ในระดับน้อยมาก จาเป็นต้องปรับปรุงเน่ืองจาก ความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษส่งผลต่อทักษะการอ่านและการเขียนของนักเรียน และเมื่อ วิเคราะห์วิธีการสอนและปัญหาในการสอนไวยากรณ์ของครู ปรากฏผลดังต่อไปนี้ 4.1.3 รูปแบบเทคนิค วิธกี ำรสอนไวยำกรณ์ภำษำองั กฤษ ตำรำง 2: รปู แบบเทคนิค วธิ ีการสอนไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ (N=76) ขอ้ ท่ี ในกำรสอนไวยำกรณ์ทำ่ นใชร้ ปู แบบ เทคนคิ วธิ กี ำรสอน x S.D. แปลผล 1. ข้าพเจ้าสอนโดยเรม่ิ จากอธิบายหลกั โครงสรา้ งไวยากรณ์ 3.68 .97 มาก และยกตัวอย่างประโยคแลว้ ให้นกั เรยี นทาแบบฝึกหัด ขา้ พเจา้ สอนโดยเร่มิ จากให้ตัวอยา่ งประโยคและวลอี ย่างพอเพยี ง 2. และใหน้ ักเรียนชว่ ยกันสรปุ เป็นหลักและกฎเกณฑ์ 3.89 .79 มาก แลว้ จึงให้ทาแบบฝกึ หดั 3. ข้าพเจ้าสอนแทรกหลกั โครงสรา้ งไวยากรณ์ เมอ่ื มโี ครงสรา้ งนนั้ ๆ 4.05 .63 มาก ปรากฏอยู่ในเน้อื หาหรือกิจกรรมการเรียนการสอน ขา้ พเจา้ สอนไวยากรณภ์ าษาอังกฤษโดยใชเ้ ทคนิคต่างๆ 4. เพอื่ ใหน้ กั เรียนเขา้ ใจเนือ้ หางา่ ยข้ึน เช่น การยกตัวอย่าง 4.07 .79 มาก การใชค้ าถาม เป็นตน้ 5. ข้าพเจ้าให้นกั เรียนพดู หรอื เขียนประโยคหรือวลีในโครงสรา้ ง 3.53 .74 มาก ภาษาที่ตอ้ งการซา้ หลายๆครัง้ จนจาได้ ข้าพเจา้ ให้นักเรยี นพดู หรอื เขยี นประโยคหรือวลีในโครงสรา้ ง 6. ภาษาที่ตอ้ งการซา้ หลายๆครง้ั จนจาไดแ้ ล้วใหใ้ ช้คาใหมเ่ ข้าเทียบ 3.53 .74 มาก แทน

18 ขอ้ ที่ ในกำรสอนไวยำกรณ์ทำ่ นใชร้ ปู แบบ เทคนิควิธกี ำรสอน x S.D. แปลผล 2.84 1.11 ปานกลาง 7. ข้าพเจ้าให้นักเรยี นทารายงานเกย่ี วกบั หลักโครงสรา้ ง 3.78 .90 มาก ไวยากรณ์ในเรื่องทกี่ าหนด 2.89 .96 ปานกลาง 3.09 1.09 ปานกลาง 8. ขา้ พเจ้าใช้ชดุ ฝึกหรือแบบฝกึ รูปแบบต่างๆใหน้ ักเรียนไดฝ้ ึก 3.55 .81 มาก 3.78 .69 มาก 9. ข้าพเจ้าให้นักเรยี นแปลประโยคจากภาษาไทยเปน็ ภาษาองั กฤษ เพอ่ื ฝึกใชโ้ ครงสร้างประโยคทีส่ อน 3.62 .85 มาก 10. ข้าพเจ้าใหน้ ักเรียนแปลประโยคจากภาษาองั กฤษเปน็ 3.29 .95 ปานกลาง ภาษาไทย เพอ่ื ฝึกใช้โครงสรา้ งประโยคท่สี อน 3.78 .89 มาก 3.43 1.07 ปานกลาง 11. ข้าพเจา้ อธิบายโครงสรา้ งไวยากรณ์ทลี ะประเด็นอยา่ งละเอียด 3.00 .94 ปานกลาง 3.84 .82 มาก 12. ขา้ พเจา้ ใหน้ ักเรยี นเขยี นแตง่ ประโยคตามโครงสรา้ ง 2.88 .97 ปานกลาง ทปี่ รากฏในแบบฝึกหดั ในตาราเรยี น 3.57 .84 มาก ขา้ พเจา้ ให้นกั เรียนเขยี นประโยคสั้นๆอธิบายรปู ภาพ 4.15 .75 มาก 3.53 0.87 มำก 13. โดยใช้ภาษาอังกฤษอย่างอสิ ระ หลงั จากนั้นจงึ ช่วยสรุป แก้ไขให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ 14. ข้าพเจา้ จดั สถานการณห์ รือเงื่อนไขการสื่อสารดว้ ย ภาษาองั กฤษแล้วจงึ ร่วมกนั สรปุ เปน็ หลักไวยากรณ์ 15. ขา้ พเจ้าช่วยแก้ไขขอ้ ผดิ พลาดดา้ นไวยากรณ์ ในงานเขียนรายบุคคล 16. ข้าพเจ้าชว่ ยแก้ไขข้อผดิ พลาดด้านไวยากรณ์ ในงานเขียนรายกลุม่ 17. ขา้ พเจ้าสอนไวยากรณ์ผา่ นกิจกรรมการเล่นเกม 18. ขา้ พเจา้ ใช้ภาษาไทยในการอธิบายและสอนกฎไวยากรณ์ 19. ขา้ พเจ้าใชภ้ าษาอังกฤษเป็นส่ือในการอธิบาย และสอนกฎไวยากรณ์ 20. ข้าพเจา้ จัดกจิ กรรมโดยให้นักเรียนนาประเดน็ ไวยากรณ์ ไปฝึกใชใ้ นทักษะอื่นๆ (ฟัง พูด อ่าน เขียน) วธิ กี ารสอน / กิจกรรมอื่นๆ ท่ีข้าพเจา้ ใช้ 21. ไดแ้ ก่ เพือ่ นช่วยเพ่ือน กจิ กรรมกลุ่ม แสดงบทบาทสมมติ สอนผ่านเพลง สือ่ ทีน่ า่ สนใจ และอปุ กรณจ์ ริงทท่ี นั สมัย ค่ำเฉล่ยี รวม

19 ตาราง 2 แสดงให้เห็นว่า เทคนิควิธีการสอนท่ีครูผู้สอน ระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 16 ใช้อยู่ในระดับมากในการสอน ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ คือ วิธีสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน กิจกรรมกลุ่ม แสดงบทบาทสมมติ สอนผ่าน เพลง และใช้สื่อที่น่าสนใจ อุปกรณ์จริงที่ทันสมัย (ข้อ 21 x = 4.15, S.D.= 0.75) วิธีสอนโดยใช้ เทคนิคต่างๆ เพื่อให้นักเรียนเข้าใจเน้ือหาง่ายข้ึน เช่น การยกตัวอย่าง การ.ใช้คาถาม เป็นต้น (ข้อ 4 x = 4.07, S.D.= 0.79) และวิธีสอนแบบแทรกหลักโครงสรา้ งไวยากรณ์ เมื่อมีโครงสร้างนัน้ ๆ ปรากฏ อยู่ในเน้ือหาหรือกิจกรรมการเรียนการสอน (ข้อ 3 x = 4.05, S.D.= 0.63) ส่วนเทคนิควิธีการสอน อื่นๆ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งเม่ือพิจารณารายข้อพบว่า เทคนิคการสอนที่ครูใช้อยู่ในสาม อันดับสุดท้าย คือเทคนิควิธีการสอนที่เกี่ยวกับการทารายงานหลักโครงสร้างไวยากรณ์ในเร่ืองท่ี กาหนด (ข้อ 7 x = 2.84, S.D.= 1.11) วิธีสอนท่ีใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อในการอธิบายและสอน กฎไวยากรณ์ (ข้อ 19 x = 2.88, S.D.= 0.97) และวิธีสอนท่ีให้นักเรียนแปลประโยคจากภาษาไทย เปน็ ภาษาอังกฤษ เพื่อฝึกใชโ้ ครงสรา้ งประโยคทส่ี อน (ข้อ 9 x = 2.89, S.D.= 0.96) นอกจากนี้ผลจากการสัมภาษณ์พบว่า เทคนิคการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษท่ีครู จานวนหนึ่งนิยมใช้ คิดเป็นร้อยละ 40 คือ การสอนโดยให้ตัวอย่างประโยคหลายๆประโยคและให้ นักเรียนช่วยกันสรุปกฎเกณฑ์ แล้วจึงให้ทาแบบฝึกหัด และครูร้อยละ 20 ใช้วิธีการสอนโดยให้ นกั เรยี นทาความเข้าใจจากใบความรู้ ช่วยกนั สรปุ ความเข้าใจ เนน้ อธบิ าย และทาแบบฝึกหดั ซา้ ๆ 4.1.4 ปัญหำในกำรสอนไวยำกรณ์ภำษำอังกฤษ ตำรำง 3: ปญั หาในการจัดการเรยี นการสอนไวยากรณภ์ าษาองั กฤษ (N=76) ขอ้ ท่ี ปญั หำในกำรสอนไวยำกรณ์ภำษำองั กฤษ x S.D. แปลผล 4.04 .89 มาก 1. นักเรยี นขาดแรงจงู ใจและมกั คิดว่าไวยากรณ์ 3.70 .98 มาก เปน็ เรอื่ งน่าเบื่อหน่าย 3.67 1.01 มาก 3.01 1.04 ปานกลาง 2. นักเรยี นสามารถท่องกฎไวยากรณ์ได้แตน่ าไปใช้ 3.45 1.04 ปานกลาง ในทกั ษะอน่ื ไมไ่ ด้ 3. ขา้ พเจ้ากลวั นกั เรียนจะไมเ่ ข้าใจหากอธิบาย เปน็ ภาษาองั กฤษ 4. ขา้ พเจา้ มคี วามยุ่งยากในการอธิบายให้นักเรียน เขา้ ใจหลักภาษาองั กฤษ 5. ข้าพเจา้ ต้องใชเ้ วลานานในการสอนไวยากรณ์ เพอื่ การเขียนภาษาองั กฤษ

20 ข้อท่ี ปญั หำในกำรสอนไวยำกรณ์ภำษำองั กฤษ x S.D. แปลผล 1.01 ปานกลาง 6. กจิ กรรมการสอนไม่หลากหลายเพราะต้องเน้นอธิบาย 3.21 กฎโครงสร้าง 1.16 ปานกลาง กจิ กรรมการสอนไมเ่ น้นการสอนภาษาองั กฤษเพอ่ื 1.01 ปานกลาง 1.07 น้อย 7. การสอื่ สาร เพราะข้าพเจา้ จาเปน็ ต้องเน้นกิจกรรม 3.01 1.22 ปานกลาง การสอนไวยากรณ์มากกวา่ ทักษะอื่นๆ เพือ่ ให้ 1.07 น้อย 1.05 น้อย นกั เรยี นสามารถทาข้อสอบวดั ผลระดับชาตไิ ด้ 1.06 น้อย 1.04 นอ้ ย 8. ขา้ พเจา้ ขาดความรู้เกย่ี วกบั เทคนคิ การสอนหรือการ 2.55 1.15 มาก จดั กิจกรรมการฝกึ ไวยากรณ์ทเี่ หมาะสมกับผเู้ รยี น 0.64 มากทสี่ ุด 9. ข้าพเจ้าขาดแหล่งความรเู้ ก่ยี วกบั เทคนิคการสอน 2.39 1.02 ปำนกลำง หรือการจัดกจิ กรรมที่เหมาะสมกับผูเ้ รียน 10. ข้าพเจ้าขาดสือ่ อเิ ล็กทรอนิกส์ในการสอนภาษา 2.55 เช่น คอมพวิ เตอร์ อนิ เตอร์เน็ต 11. ขา้ พเจ้าขาดทักษะในการใช้สือ่ ต่างๆ เชน่ 2.11 คอมพวิ เตอร์ อินเตอรเ์ นต็ 12. ข้าพเจา้ ไม่สามารถสรา้ งส่อื การเรยี นไวยากรณ์ 2.41 ภาษาอังกฤษท่ีนา่ สนใจได้ 13. ข้าพเจา้ ขาดความรู้ในการสรา้ งแบบทดสอบ 2.12 ไวยากรณภ์ าษาอังกฤษ 14. ขา้ พเจ้าขาดความมั่นใจในความรแู้ ละการใช้ 2.34 ไวยากรณภ์ าษาอังกฤษในบางประเดน็ ขนาดของชน้ั เรียนหรือจานวนของนักเรยี นมากเกินไป 15. ทาใหข้ ้าพเจา้ ไม่สามารถจัดกิจกรรมการสอนภาษาที่ 3.54 เหมาะสมกับผ้เู รยี นได้ ปญั หาอ่ืนๆ ไดแ้ ก่ นักเรยี นไม่สนใจเรียน มที ัศนคติท่ี 16. ไม่ดตี ่อการเรยี นไวยากรณ์ มีพน้ื ฐานความรู้ด้าน 4.64 ไวยากรณต์ า่ และครตู ้องใชเ้ วลานานในการอธิบาย ไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ ค่ำเฉลี่ยรวม 3.04

21 จากตาราง 3 โดยภาพรวมปัญหาการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ อยู่ในระดับปาน กลาง ( x =3.04, S.D.=1.02) แต่ปัญหาส่วนใหญ่ท่ีครูผู้สอนประสบมากท่ีสุด ซ่ึงได้จากคาถาม ปลายเปิดในแบบสอบถามคอื ปัญหาเนื่องจากตัวผู้เรียน ได้แก่ นักเรียนไม่สนใจเรียน มีทัศนคติท่ีไม่ดี ต่อการเรียนไวยากรณ์ มีพื้นฐานความรู้ด้านไวยากรณ์ต่า และครูต้องใช้เวลานานในการอธิบาย ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ (ข้อ 16 x =4.64, S.D.= 0.64) ปัญหารองลงมาคือ นักเรียนขาดแรงจูงใจ และมักคิดว่าไวยากรณ์เป็นเร่ืองน่าเบื่อหน่าย (ข้อ 1 x =4.04, S.D.=0.89) ในส่วนของปัญหาท่ี เกี่ยวข้องกับความสามารถด้านการสอนไวยากรณ์ของครูอยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 23.71) และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อย่อยพบว่า ปัญหาท่ีเก่ียวข้องกับทักษะด้านการจัดกิจกรรมการสอน การสรา้ งและใช้สอ่ื การสอนไวยากรณ์ภาษาองั กฤษอยใู่ นระดับน้อย (รอ้ ยละ 18.52) นอกจากนี้ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากการสัมภาษณ์พบว่า ครูร้อยละ 40 ได้ย้าว่า ปัญหาที่ประสบในการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ คือ นักเรียนมีพ้ืนฐานความรู้ด้านไวยากรณ์ต่า และร้อยละ 30 ให้ความเห็นว่า นักเรียนไม่สามารถนาความรู้ด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษที่เรียนไป ประยกุ ต์กับการเรียนทักษะอนื่ ๆ ในวิชาภาษาอังกฤษได้ แม้ว่าปัญหาในการสร้างและใช้ส่ือในการสอนไวยากรณ์จะอยู่ในระดับน้อย ผู้สอน จานวนมากเสนอแนะและแสดงความคิดเห็นเพ่ิมเติมเกี่ยวกับ การจัดการเรียนการสอนไวยากรณ์ ภาษาอังกฤษว่า หน่วยงานควรจัดให้มีการพัฒนาครูผู้สอนในด้านการผลิตสื่อการสอนไวยากรณ์ ภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ นอกจากน้ีควรแบ่งนักเรียนตามระดับความสามารถ และส่งเสริมนักเรียนให้ พัฒนาความสามารถยิ่งขึ้น ส่วนนักเรียนที่มีพื้นฐานความรู้ไวยากรณ์ต่า ควรสอนซ่อมเสริม ปรับ พ้นื ฐานใหม่ และควรสรา้ งเจตคติท่ดี ีแกน่ ักเรียนในการเรียนไวยากรณภ์ าษาอังกฤษ เมอื่ พิจารณาในมุมมองของนักเรียนผลการวิเคราะห์ความพงึ พอใจและความต้องการ เรยี นไวยากรณ์ของนักเรยี นมีดงั น้ี 4.1.5 ควำมพึงพอใจต่อรูปแบบ เทคนคิ วธิ ีสอนไวยำกรณภ์ ำษำองั กฤษ ตำรำง 4: ความพงึ พอใจตอ่ รปู แบบ เทคนคิ วิธีสอนไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ (N = 311) ขอ้ ที่ ควำมพึงพอใจกับวธิ กี ำรสอน x S.D. แปลผล มาก 1. ครูสอนโดยเรมิ่ จากอธบิ ายหลักโครงสรา้ งไวยากรณ์ 4.01 .85 ยกตัวอยา่ งประโยคแล้วให้นกั เรียนทาแบบฝึกหัด มาก ครสู อนโดยเริม่ จากใหต้ วั อย่างประโยคและวลีอย่างพอเพยี ง 2. และให้นักเรยี นชว่ ยกันสรุปเป็นหลกั และกฎเกณฑ์แล้วจงึ ให้ 3.88 .87 ทาแบบฝึกหัด

22 ข้อที่ ควำมพึงพอใจกับวธิ ีกำรสอน x S.D. แปลผล 3. ครูสอนหลักโครงสรา้ งไวยากรณโ์ ดยแทรกอย่ใู นเนื้อหา 4.04 .85 มาก และกิจกรรมการเรยี นการสอน 4. ครูใหน้ กั เรียนพดู หรอื เขียนประโยคหรอื วลีในโครงสร้าง 3.79 .93 มาก ภาษาทต่ี อ้ งการซ้าหลายๆคร้งั จนจาได้ ครใู ห้นกั เรียนพดู หรอื เขยี นประโยคหรอื วลใี นโครงสร้าง 5. ภาษาที่ต้องการซ้าหลายๆคร้ังจนจาไดแ้ ลว้ ให้ใชค้ าใหม่เขา้ 3.78 .90 มาก เทียบแทน 6. ครใู ห้นักเรียนทารายงานเกยี่ วกบั หลักโครงสรา้ งไวยากรณ์ 3.53 1.02 มาก ในเร่อื งที่กาหนด 7. ครูใช้ชดุ ฝกึ หรอื แบบฝึกรูปแบบตา่ งๆใหน้ ักเรียนได้ฝึกหดั 3.97 .91 มาก 8. ครใู ห้นักเรียนแปลประโยคจากภาษาไทยเปน็ ภาษาองั กฤษ 3.78 .88 มาก 9. ครูอธิบายโครงสร้างไวยากรณ์ทีละประเด็นอย่างละเอยี ด 3.94 .90 มาก 10. ครใู หน้ ักเรยี นเขียนแตง่ ประโยคตามโครงสรา้ งท่ีปรากฏใน 3.82 .94 มาก แบบฝึกหดั ในตาราเรยี น ครูให้นักเรียนเขียนประโยคสั้นๆอธบิ ายรูปภาพโดยใช้ 11. ภาษาอังกฤษอยา่ งอสิ ระหลงั จากนนั้ ครูจงึ ชว่ ยสรปุ แก้ไขให้ 4.00 .92 มาก ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ภายหลัง 12. ครูจดั สถานการณ์หรือเง่ือนไขการสือ่ สารดว้ ยภาษาองั กฤษ 3.89 .91 มาก แล้วจงึ รว่ มกนั สรุปเป็นหลกั ไวยากรณ์ 13. ครูชว่ ยแกไ้ ขข้อผิดพลาดด้านไวยากรณใ์ นงานเขียน 3.88 .93 มาก รายบคุ คล 14. ครูชว่ ยแก้ไขข้อผดิ พลาดดา้ นไวยากรณ์ในงานเขียนรายกล่มุ 3.84 .96 มาก 15. ครูสอนไวยากรณ์ผา่ นกิจกรรมการเลน่ เกม 3.75 1.12 มาก 16. ครใู ชภ้ าษาไทยในการอธิบายและสอนกฎไวยากรณ์ 3.99 .93 มาก 17. ครูใช้ภาษาอังกฤษเป็นส่อื ในการอธบิ ายและสอน 3.76 .92 มาก กฎไวยากรณ์ 18. ครจู ดั กิจกรรมโดยใช้ประเด็นไวยากรณ์ในการฝึกทักษะอื่นๆ 4.02 .85 มาก (ฟังพูดอ่านเขยี น) 19. วิธีการสอน / กิจกรรมอื่นๆที่ครูใช้ ไดแ้ ก่ ใชเ้ พลงสืน่ ่าสนใจ 4.20 .62 มาก เทคนิคการจา การทาแบบฝึกหดั ซา้ ๆการนาเสนอ

23 ข้อท่ี ควำมพงึ พอใจกับวิธกี ำรสอน x S.D. แปลผล 0.90 มำก หน้าช้ันเรียนการอธิบายอย่างละเอียด การแสดงบทบาท สมมติ การสอนนอกเวลาเรียน เทคนิคเพื่อนช่วยเพื่อน การทางานกลุ่มและการฝึกเขยี นประโยคจากเรื่องทีเ่ รยี น ค่ำเฉลยี่ รวม 3.88 จากตาราง 4 พบวา่ โดยภาพรวมนกั เรียนมีความพึงพอใจต่อรปู แบบเทคนคิ วิธีสอน ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษของครูในระดับมากทั้งหมด ( x = 3.88, S.D.= 0.90) และเมื่อพิจารณารายข้อ พบว่า ประเด็นท่ีนักเรียนมีความพึงพอใจต่อรูปแบบ วิธีการสอนของครูในระดับมากสามอันดับแรก คือ ประเด็นเพิ่มเติมอื่นๆ จากคาถามปลายเปิดคือ วิธีการสอน/กิจกรรมอื่นๆ ที่ครูใช้ ได้แก่ ส่ือ น่าสนใจ เพลง เทคนิคการจา การทาแบบฝึกหัดซ้าๆ การนาเสนอหน้าชั้นเรียน การอธิบายอย่าง ละเอียด การแสดงบทบาทสมมติ การสอนนอกห้องเรียน เทคนิคเพอ่ื นช่วยเพ่ือน การทางานกลุ่มและ การฝึกเขียนประโยคจากเร่ืองท่ีเรยี น เป็นประเด็นทน่ี ักเรียนมีความพงึ พอใจมากทม่ี ีคา่ เฉลยี่ สูงสดุ (ข้อ 19 x = 4.20, S.D.= 0.62) ครูสอนหลักโครงสร้างไวยากรณ์โดยแทรกอยู่ในเนื้อหาและกิจกรรมการ สอน (ข้อ 3 x = 4.04, S.D.= 0.85) และครูจัดกิจกรรมการสอนโดยใช้ประเด็นไวยากรณ์ในการฝึก ทกั ษะอื่นๆ (ฟงั พดู อา่ น เขยี น) (ข้อ 18 x = 4.02, S.D.= 0.85) อย่างไรก็ดีผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์นักเรียนเก่ียวกับ รูปแบบ เทคนิควิธีการสอนทีค่ รสู ่วนใหญ่ใช้ นักเรียนร้อยละ 50 ระบุว่า สอนแบบอธิบายโครงสร้างยกตัวอย่าง และทาแบบฝึกหัด ซ่ึงเม่ือสอบถามความพึงพอใจต่อการสอนไวยากรณ์แบบดังกล่าวพบว่า อยู่ใน ระดบั ปานกลาง (ร้อยละ 40) และระดบั นอ้ ย (รอ้ ยละ 30) 4.1.6 ควำมตอ้ งกำรในกำรเรยี นไวยำกรณ์ภำษำอังกฤษ ตำรำง 5: ความต้องการเรยี นไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ (N=311) ขอ้ ที่ ควำมตอ้ งกำรให้ครใู ชว้ ิธีกำรสอน x S.D. แปลผล .85 มาก 1. ข้าพเจ้าต้องการเรยี นไวยากรณ์โดยเริม่ จากการอธิบายหลกั 4.18 โครงสร้างไวยากรณ์ ให้ตัวอย่างประโยค แล้วทาแบบฝึกหัด .84 มาก 4.09 ขา้ พเจา้ ต้องการเรียนไวยากรณ์โดยเริ่มจากการใหด้ ูตวั อยา่ ง 2. ประโยคหลายๆประโยค และชว่ ยกันสรปุ เป็นหลกั หรอื กฎเกณฑแ์ ล้วทาแบบฝกึ หัด

24 ขอ้ ที่ ควำมตอ้ งกำรใหค้ รใู ชว้ ธิ ีกำรสอน x S.D. แปลผล .84 มาก 3. ขา้ พเจา้ ต้องการให้ครูแทรกการสอนไวยากรณ์ในกจิ กรรม 4.14 .90 มาก การสอนเพ่ือการสื่อสาร 4.14 .88 มาก 4.28 .88 มาก 4. ขา้ พเจ้าต้องการใหม้ ีการฝึกพูดหรือเขยี นประโยคหรือวลีใน 4.37 โครงสรา้ งภาษาที่ต้องการซ้าหลายๆครั้ง จนสามารถจาได้ 4.21 5. ขา้ พเจ้าต้องการใหค้ รูอธบิ ายโครงสร้างไวยากรณท์ ีละ ประเดน็ อย่างละเอยี ด 4.12 3.90 6. ขา้ พเจา้ ต้องการให้ครูสอนไวยากรณผ์ า่ นกจิ กรรมท่ีเน้น 4.31 ความสนุกสนาน เชน่ เกม เพลง เปน็ ต้น 4.23 4.22 ข้าพเจา้ ต้องการฝกึ เขยี นประโยคสน้ั ๆอธบิ ายรูปภาพโดยใช้ .82 มาก 7. ภาษาอังกฤษอยา่ งอิสระเมอื่ การเขียนสาเร็จครชู ว่ ยสรปุ 4.26 4.20 แกไ้ ขไวยากรณ์ใหถ้ ูกต้อง 4.50 8. ข้าพเจา้ ต้องการให้ครูใชภ้ าษาไทยในการอธิบายกฎ 4.73 .88 มาก โครงสรา้ ง ไวยากรณภ์ าษาอังกฤษ .90 มาก 9. ข้าพเจา้ ต้องการให้ครูใชภ้ าษาองั กฤษในการอธิบายกฎ .83 มาก โครงสรา้ ง ไวยากรณภ์ าษาอังกฤษ .84 มาก 10. ขา้ พเจ้าต้องการฝกึ แปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย .89 มาก 11. ขา้ พเจา้ ต้องการฝกึ แปลจากภาษาไทยเปน็ ภาษาองั กฤษ ขา้ พเจ้าต้องการใชค้ วามรดู้ า้ นไวยากรณใ์ นการฝึกแตง่ 12. ประโยคใหม่ๆด้วยตนเอง แล้วครตู รวจแกไ้ ขขอ้ ผิดพลาดให้ ถกู ต้อง 13. ขา้ พเจา้ ต้องการเรียนไวยากรณ์ผ่านบทอา่ นทีน่ า่ สนใจ แล้ว .80 มาก สรุปกฎเกณฑ์การใช้ภายหลงั 14. ข้าพเจ้าต้องการเรียนไวยากรณเ์ ฉพาะบางเรอื่ งทส่ี ามารถ .85 มาก นาไปใช้ได้จรงิ ในชวี ติ ประจาวัน 15. ขา้ พเจา้ ต้องการให้มีการจัดกิจกรรมการสอนไวยากรณใ์ น .71 มาก รูปแบบทห่ี ลากหลาย ไม่น่าเบื่อ ความต้องการในวธิ กี ารสอน / กิจกรรมการสอนอื่นๆ .47 มาก 16. ได้แก่ การสอนผา่ นกจิ กรรมและสอ่ื นา่ สนใจ การอธบิ าย ท่ีสดุ อย่างละเอียด การทาแบบฝึกหดั ซา้ ๆ

25 ข้อท่ี ควำมต้องกำรให้ครใู ชว้ ิธกี ำรสอน x S.D. แปลผล การจัดกจิ กรรมทสี่ ามารถติดต่อส่อื สารกับชาวต่างชาตเิ พื่อ ฝึกสิง่ ที่เรยี นมาและใชเ้ ทคนิคการจาไวยากรณ์ คำ่ เฉลย่ี รวม 4.24 0.82 มำก จากตาราง 5 แสดงให้เห็นว่า โดยภาพรวมนักเรียนมีความต้องการเรียนไวยากรณ์ ภาษาอังกฤษอยู่ในระดับมากทุกด้าน ( x = 4.24, S.D. = 0.82) ส่วนวิธีการสอนท่ีนักเรียนมีความ ต้องการมากที่สุดในการเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ คือ การสอนผ่านกิจกรรมและสื่อน่าสนใจ การอธิบายอย่างละเอียด การทาแบบฝึกหัดซ้าๆ ให้มีกิจกรรมท่ีสามารถติดต่อส่ือสารกับชาวต่างชาติ เพอ่ื ฝึกสง่ิ ท่เี รยี นมา และใชเ้ ทคนิคการจาไวยากรณ์ (ขอ้ 16 x = 4.73, S.D. = 0.47) นอกจากน้ีผลจาการสัมภาษณ์พบว่า นักเรียนร้อยละ 73 ต้องการให้ครูใช้เทคนิค การสอนดีๆ เช่น เทคนิคการจา เล่นเกม เน้นความสนุก ไม่น่าเบื่อและอาจใช้สื่อท่ีน่าสนใจ เพ่ือกระตุ้นความสนใจของนักเรียน และร้อยละ 27 อยากให้มีกิจกรรมที่ฝึกความม่ันใจในการใช้ ไวยากรณ์ภาษาองั กฤษมากข้ึน เช่น การแสดงละคร เข้าค่ายภาษาองั กฤษ เปน็ ต้น 4.2 อภิปรำยผลกำรวิจยั 4.2.1 ควำมสำมำรถด้ำนไวยำกรณ์ ทักษะกำรอ่ำนและทักษะกำรเขียน ภำษำอังกฤษ ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนในสังกัดสานักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 16 (จังหวัดสงขลาและสตูล) มีความสามารถด้านไวยากรณ์ ภาษาอังกฤษ ทักษะการอ่านและทักษะการเขียนอยู่ในระดับน้อย กล่าวคือไวยากรณ์ ร้อยละ 39.88 การอ่าน ร้อยละ 25.87 และการเขียน ร้อยละ 34.88 และเมื่อพิจารณาประเด็นการเอาความรู้ ไวยากรณ์มาตีความส่ิงท่ีอ่านหรือการใช้ความรู้ไวยากรณ์เพ่ือการเขียนพบว่า อยู่ในระดับที่ต่ามาก เช่นกัน (ร้อยละ 28.57 และร้อยละ 21.38 ตามลาดับ) ซ่ึงนับว่าระดับความสามารถด้านไวยากรณ์ ภาษาอังกฤษ ท้ังทักษะการอ่านและทักษะการเขียนอยู่ในระดับท่ีค่อนข้างวิกฤติ สอดคล้องกับ ผลการวิจัยของ ชฎาพร วจนะคัมภีร์ (2554) ซ่ึงศึกษาเก่ียวกับระดับความรู้พ้ืนฐานด้านไวยากรณ์ ภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนปร้ินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จังหวัด เชียงใหม่ จานวน 285 คนพบว่า นักเรยี นส่วนใหญ่มีความร้พู ื้นฐานไวยากรณ์ภาษาองั กฤษอยู่ในระดับ ต่ากว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ผู้วิจัยกาหนดไว้ ซึ่งเม่ือผู้เรียนมีพ้ืนฐานไวยากรณ์ต่า ทาให้ความสามารถใน การเข้าใจภาษาอังกฤษน้อยลงเช่นกัน ตัวอย่างเช่น นักเรียนไม่สามารถอ่านสื่อการเรียนการสอนท่ีมี

26 คาอธิบายเป็นภาษาอังกฤษได้ เนื่องจากไม่เข้าใจความหมาย เป็นต้น และสอดคล้องกับ Dickins and Woods (1988) ที่ระบุว่า หากนักเรียนขาดความรู้หรือมีความรู้ด้านไวยากรณ์ต่าจะทาให้ไม่สามารถ เขา้ ใจและไม่สามารถประสบความสาเร็จในการส่อื สารทัง้ ทักษะการฟงั การพูด การอ่านและการเขยี น ด้วยเช่นกัน และหากนักเรียนเกิดความเข้าใจในรูปแบบการใช้ภาษา ก็จะสามารถนาความรู้ไปใช้งาน ได้จริง ซ่ึงอาจกล่าวได้ว่า ระดับความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษส่งผลต่อทุกทักษะ (ฟัง พูด อา่ น เขยี น) ของนักเรียน 4.2.2 ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงควำมสำมำรถด้ำนไวยำกรณ์ภำษำอังกฤษกับทักษะ กำรอ่ำนและทักษะกำรเขียน ผลการวจิ ัยแสดงให้เห็นว่า ความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาองั กฤษมีความสัมพันธ์ กับทักษะการอ่านและทักษะการเขียนของนักเรียน ซึ่งสามารถอธิบายได้ว่า หากนักเรียนมีคะแนน ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษสูงก็มีแนวโน้มว่าคะแนนการอ่านและคะแนนการเขียนจะสูงด้วย ในทาง ตรงกันข้าม หากนักเรียนมีคะแนนไวยากรณ์ต่าก็มีแนวโน้มจะทาให้นักเรียนมีคะแนนการอ่านและ คะแนนการเขียนต่าด้วยเช่นกัน ผลดังกล่าวสอดคล้องกับ นเรศ สุรสิทธ์ิ (2547) Maccarthy (2000) Nunan (2004) และ Derewianka (2008) ท่ีระบุไปในทิศทางเดียวกันว่า ผู้เรียนภาษาอังกฤษที่มี พื้นฐานทางด้านไวยากรณ์ในระดับดีก็จะสามารถเรียนรู้และใช้ภาษาอังกฤษท้ังทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ได้ดีกว่าหรือเร็วกว่าผู้ท่ีไม่รู้หรือรู้ไวยากรณ์อังกฤษน้อย เช่นเดียวกันกับ Shanahan (2013) ทกี่ ลา่ ววา่ ความรู้ด้านการใชโ้ ครงสรา้ งไวยากรณ์เป็นองคป์ ระกอบสาคัญที่จะชว่ ย ให้นักเรียนรู้ถึงลักษณะประโยคและเข้าใจประโยคที่อ่าน ทาให้ประสบความสาเร็จในการอ่านมากข้ึน ท้ังน้ี Hafiz and Tudor (1990) ระบุว่า ผู้เรียนสามารถเช่ือมโยงความรู้ ประสบการณ์จากการเรียน ภาษาอังกฤษถ่ายโอนไปสู่ทักษะการอ่านและการเขียนได้ และเช่นเดียวกัน เกศินี บารุงไทย (2554) (อ้างถึงใน Siriluck, 1983) กล่าวว่า จาเป็นอย่างยิ่งสาหรับผู้เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาท่ีสองหรือ ภาษาต่างประเทศท่ีจะต้องฝึกฝนทักษะการเขียนอย่างสม่าเสมอ เพราะการฝึกเขียนเป็นประจา จะทาให้ผู้เรียนเกิดความเคยชินกับกฎเกณฑ์ หน้าท่ีของภาษา และกลวิธีการเขียนในรูปแบบต่าง ๆ สรุปโดยภาพรวมอาจกล่าวได้ว่า ความรู้ด้านไวยากรณ์ช่วยทาให้ผู้อ่านสามารถมองเห็นหน้าท่ีของคา โครงสร้างประโยคท่ีปรากฏในบทอ่าน และช่วยสนับสนุนผู้เขียนให้เกิดการคิดวิเคราะห์และสามารถ ประเมินหรือเลือกไวยากรณ์ท่ีเหมาะสมกับบริบทในงานเขียน ส่งผลให้การอ่านและการเขียนมี ประสิทธิภาพมากขน้ึ

27 4.2.3 รปู แบบเทคนิค วิธกี ำรสอนไวยำกรณ์ภำษำองั กฤษ ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า โดยภาพรวมครูผู้สอนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้นื ท่กี ารศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 16 (จังหวดั สงขลาและสตูล) ใช้เทคนิค วิธีการสอนไวยากรณ์ที่มีความหลากหลาย เพ่ือกระตุ้นความสนใจนักเรียนในการเรียนไวยากรณ์ให้ มากข้ึน จะเห็นได้ว่ารูปแบบ เทคนิคการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษส่วนใหญ่ที่ครูใช้ในปปัจจุบัน คือวิธีการสอนท่ีผสมผสานระหว่างแบบนิรนัย (Deductive approach) และอุปนัย (Inductive approach) ท้ังนี้ผลการวิจัยแตกต่างจาก Musigrungsi (2002) ท่ีค้นพบว่า การสอนไวยากรณ์ ภาษาอังกฤษในโรงเรียนมัธยมศึกษาของรัฐบาลในเขตการศึกษา 2 ครูผู้สอนยังคงใช้วิธีการสอนแบบ ดั้งเดิม (Traditional approach) ในการสอนภาษาอังกฤษ ซ่ึงอาจได้รับอิทธิพลมาจากประสบการณ์ การเรียนของครูผสู้ อน ข้อค้นพบนอ้ี ธิบายได้วา่ อาจเป็นผลมาจากการท่หี ลักสตู รกาหนดใหม้ ีการสอน แบบเน้นภาษาเพื่อการสื่อสาร (Communicative language approach) หรือครูได้รับการอบรม วิธีการสอนใหม่ๆ ทาให้ตระหนักถึงทฤษฎีและรูปแบบ วิธีการสอนที่นาไปสู่การปฏิบัติในชั้นเรียน ทีเ่ ปลยี่ นไปจากเดิม ถึงแม้ว่าวิธีก ารส อน ท่ีค รูใช้ ใน ปั จจุบัน แต กต่างไป จากวิธีการสอน แบ บ เดิ ม แล ะ นกั เรยี นส่วนใหญ่ระบุไปในทิศทางเดยี วกันวา่ ครมู ีการใช้วิธีการสอนที่มคี วามหลากหลายและน่าสนใจ มากขึ้น แตเ่ ม่ือวเิ คราะห์ดูระดับความสามารถดา้ นไวยากรณ์ภาษาอังกฤษทั้งทักษะการอ่านและทักษะ การเขียนพบว่าอยู่ในระดับต่า จึงสรุปได้ว่า รูปแบบ วิธีการสอนที่ครูใช้ในปัจจุบันยังไม่สามารถเพ่ิม ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษของนักเรียนให้สูงขึ้นได้ ดังนั้นอาจเป็นไปได้ ดังท่ี Ellish (2002) กล่าวว่า การประสบความสาเร็จในการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษนั้นขึ้นอยู่กับ ทั้งตัวผู้สอนและผู้เรียนเป็นสาคัญ ผู้เรียนท่ีสามารถประสบความสาเร็จในการเรียนมักพบว่าเป็นผู้ท่ีมี ความชอบและสนใจในภาษาองั กฤษอยูก่ ่อนแลว้ 4.2.4 ปัญหำในกำรสอนไวยำกรณภ์ ำษำองั กฤษ ผลการศึกษาพบว่า ปัญหาหลักท่ีครูผู้สอนประสบมากที่สุด เป็นประเด็นที่มีสาเหตุ มาจากตัวผู้เรียนเป็นส่วนใหญ่ กล่าวคือนักเรียนมีพ้ืนฐานความรู้ไวยากรณ์ต่า นักเรียนไม่สนใจเรียน มีทัศนคติท่ีไม่ดีต่อการเรียนไวยากรณ์ ขาดแรงจูงใจในการเรียนไวยากรณ์คิดว่าไวยากรณ์เป็นเรื่องน่า เบื่อหน่าย และไม่สามารถนาความรู้ด้านไวยากรณ์ไปประยุกต์ใช้ในทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนได้ ยกเว้นการสอบเข้าในระดับที่สูงข้ึนเท่าน้ัน ซึ่งสอดคล้องกับ Musigrungsi (2002) ท่ีระบุว่า การเรียนไวยากรณ์เป็นปัญหาสาหรับเด็กไทย เพราะนักเรียนคิดว่าไวยากรณ์เป็นส่ิงที่ยาก น่าเบอ่ื และนาไปใช้ในทกั ษะการส่อื สารไม่ได้

28 จากผลการวิจัยดังกล่าวเม่ือวิเคราะห์ร่วมกับรูปแบบเทคนิคการสอน ท่ีครูระบุว่า มีการปรับเปล่ียนรูปแบบท่ีแตกต่างไปจากเดิมให้มีความหลากหลายมากข้ึน แต่กลับพบว่าครูยัง ประสบกับปัญหาการสอนไวยากรณ์เช่นเดิม จึงอาจกล่าวได้ว่า รปู แบบเทคนิควธิ กี ารสอนทีถ่ ูกเลอื กใช้ ในปัจจุบันยังไม่สามารถแก้ปัญหาการสอนไวยากรณ์และพัฒนาตัวผู้เรียนได้ ซึง่ สอดคล้องกับงานวิจัย ของ ลลิดา ภู่ทอง (2553) ท่ีระบุว่า แม้ว่าครูจะได้เรียนรู้วิธีหรือเทคนิคในการจัดกิจกรรมต่างๆ จาก การเข้าสัมมนาเก่ียวกับการ จัดการเรียนการสอนและนาความรู้ดังกล่าวมาปรับใช้กับผู้เรียน ก็ตาม แต่สิ่งสาคัญที่ครูยังขาดคือ ระยะเวลาและประสบการณ์ในการจัดการ เพราะในการสอนภาษาจาเป็น จะต้องใช้ทักษะ ความรู้ และเทคนิคการสอนตลอดจนถึงความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษ ประกอบด้วย จึงกล่าวได้ว่าข้อจากัดในการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษอาจส่งผลต่อการจัด กิจกรรมการเรยี นการสอนไวยากรณภ์ าษาอังกฤษ 4.2.5 ควำมพึงพอใจตอ่ รปู แบบเทคนคิ วิธกี ำรสอนของครู ผลวิจัยแสดงให้เห็นว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อรูปแบบเทคนิค วิธีการสอน ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษของครูอยู่ในระดับมาก คือ การสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ ครูมีความรู้ใน เร่ืองที่จะสอนเป็นอย่างดี และมีเทคนิคการสอนที่หลากหลายและน่าสนใจ ผลดังกล่าวสอดคล้องกับ รูปแบบการสอนที่ครูระบุว่าตนใช้ในการสอน และข้อมูลจากการสัมภาษณ์นักเรียนพบว่า นักเรียน จานวนหนึ่งค่อนข้างพอใจต่อการสอนของครู แต่ผลดังกล่าวนี้กลับตรงกันข้ามกับคะแนนระดับ ความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษท้ังทักษะการอ่านและทักษะการเขียน ท่ีผลปรากฏว่าอยู่ใน ระดับต้องปรับปรุง ดังน้ันจึงสรุปได้ว่า แม้นักเรียนจะมีความพึงพอใจต่อรูปแบบเทคนิค วิธีการสอน ของครู แต่อย่างไรก็ตามวิธีการดังกลา่ วยังไม่สามารถแก้ปัญหาหรือพัฒนาความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับ ไวยากรณ์ภาษาองั กฤษของผูเ้ รียนได้ 4.2.6 ควำมตอ้ งกำรในกำรเรียนไวยำกรณ์ภำษำอังกฤษ ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า นักเรียนท้ังหมดต้องการจะเรียนโดยให้ครูใช้กิจกรรมท่ี หลากหลาย เช่น การเล่นเกม การแสดงบทบาทสมมติ และการสอนโดยใช้เทคนิคในการจา เพราะจะทาให้การเรียนการสอนน่าสนใจมากขึ้นและสามารถในไปใช้ในการสอบประเมินความรู้ หรือการสอบเข้าเพื่อศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นได้ สอดคล้องกับ ปองรัตน์ ศรีสืบ และปัญชลี วาสนสมสิทธิ์ (2553) ท่ีผลการวิจยั แสดงให้เห็นว่า กิจกรรมและส่ือการเรียนการสอนท่ีหลากหลายจะ สามารถกระตุ้นและดึงดูดความสนใจของนักเรียนได้ดแี ละส่งผลต่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้ประสบ ความสาเร็จมากขึ้น และดังเช่น Bloom (1976) กล่าวว่า ครูท่ีสามารถจัดเตรียมกิจกรรมท่ี หลากหลาย ใช้เทคนิคการสอนท่ีน่าสนใจ และเหมาะสมกับความสนใจของเด็กจะทาให้นักเรียนมี

29 ความสนใจ มีความสุขในการเรียน มีความต้ังใจในการเรียน และจะส่งผลให้กิจกรรมการเรียนรู้มี ประสิทธภิ าพมากขึน้ ผลการวิจัยน้ีสอดคล้องกันระหว่างความพึงพอใจกับความต้องการของนักเรียนที่ แสดงให้เห็นว่า ครูมีการใช้รูปแบบเทคนิควิธีการสอนไวยากรณ์ท่ีน่าสนใจและมีความหลากหลาย แต่อย่างไรก็ตามจากการสัมภาษณ์นักเรียนเสนอให้จัดกิจกรรมการสอนที่เน้นความเข้าใจมากกว่าน้ี และฝึกความมั่นใจในการใช้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ดังน้ันอาจสรุปได้ว่า นอกจากการเลือกกิจกรรม การสอนที่นักเรียนพึงพอใจ และตรงตามความต้องการของผู้เรียนแล้วน้ัน ครูผู้สอนยังต้องคานึงถึง ความเหมาะสมและประสิทธิผลของรูปแบบเทคนิค วิธีการสอนของกิจกรรมท่ีเลือกใช้สอนด้วยว่าจะ ทาให้นักเรียนสามารถเรียนร้หู รือเขา้ ใจเนอื้ หาทีเ่ รยี นเพียงใด 5. สรุปผลกำรวจิ ยั และขอ้ เสนอแนะ 5.1 สรุปผลกำรวจิ ัย จากผลการวิจัย สามารถสรุปประเดน็ สาคญั ได้ดงั น้ี 5.1.1 ควำมสำมำรถด้ำนไวยำกรณ์ ทักษะกำรอ่ำนและทักษะกำรเขียน ภำษำองั กฤษ ผลการศึกษาระดับความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ด้านทักษะการอ่าน และทักษะการเขียนของนักเรียน ระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่ การศึกษามัธยมศึกษา เขต 16 (จังหวัดสงขลาและสตูล) พบว่ามีผลคะแนนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ความรู้ไวยากรณ์ท่ีใช้ในทักษะการอ่านและการใช้ความรู้ไวยากรณ์เพื่อการเขียนอยู่ในระดับที่ต่ามาก อาจกลา่ วไดว้ ่า ระดบั ความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ทง้ั ทักษะการอ่านและทักษะการเขยี น อยใู่ นภาวะท่คี อ่ นข้างวกิ ฤติ 5.1.2 ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงควำมสำมำรถด้ำนไวยำกรณ์ภำษำอังกฤษกับทักษะ กำรอ่ำนและทกั ษะกำรเขียน ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า ความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษมีความสัมพันธ์ กับทักษะการอ่านและทักษะการเขียนของนักเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ี 0.01 ซึ่งสามารถ อธิบายได้ว่า หากนักเรียนมีคะแนนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษสูงก็มีความเป็นไปได้ว่าคะแนนการอ่าน และคะแนนการเขียนจะสูงด้วย ในทางตรงกันข้ามหากนักเรียนมีคะแนนไวยากรณ์ต่าก็มีความเป็นไป ได้วา่ คะแนนการอ่านและคะแนนการเขยี นของนักเรยี นจะตา่ ดว้ ยเชน่ กนั

30 5.1.3 รูปแบบเทคนคิ วิธีกำรสอนไวยำกรณภ์ ำษำองั กฤษ ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า โดยภาพรวมครูผู้สอนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 16 (จังหวัดสงขลาและสตูล) ใช้รูปแบบ เทคนิคการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษท่ีผสมผสานระหว่างวิธีการสอนแบบนิรนัย (Deductive approach) กับวิธีการสอนแบบอุปนัย (Inductive approach) เน่ืองจากมีการใช้ กิจกรรมเสริมความเข้าใจผ่านสื่อต่างๆ และแทรกการสอนไวยากรณ์ท่ีปรากฏในเนื้อหาแทนลักษณะ การสอนแบบเดิม ท้งั น้เี พอ่ื กระต้นุ ความสนใจนกั เรียนในการเรยี นไวยากรณ์ให้มากข้นึ 5.1.4 ปญั หำในกำรสอนไวยำกรณ์ภำษำองั กฤษ ผลการวิจัยปรากฏว่า ปัญหาหลักท่ีครูระบุเป็นประเด็นท่ีมีสาเหตุมาจากตัวผู้เรียน เปน็ ส่วนใหญ่ กล่าวคือนักเรียนมีพื้นฐานความรไู้ วยากรณ์ตา่ นกั เรียนไมส่ นใจเรยี น มีทัศนคตทิ ีไ่ ม่ดีต่อ การเรียนไวยากรณ์ ขาดแรงจูงใจในการเรียนไวยากรณ์และมักคิดว่าไวยากรณ์เป็นเร่ืองน่าเบื่อหน่าย ไม่สามารถนาไปประยุกต์ใช้ในทักษะภาษาอังกฤษอื่นๆ ได้ นอกจากใช้เพื่อการสอบเข้าในระดับท่ี สูงขึน้ เท่าน้นั 5.1.5 ควำมพึงพอใจตอ่ รูปแบบเทคนคิ วิธกี ำรสอนของครู ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อรูปแบบเทคนิค วิธีการสอนไวยากรณ์ ภาษาอังกฤษของครูในระดับมาก เพราะครูใช้เทคนิคการสอนท่ีน่าสนใจ ใช้กิจกรรมหลากหลาย รูปแบบ ผลดังกลา่ วสอดคลอ้ งกับรูปแบบการสอนที่ครรู ะบุว่าใช้ในการสอน 5.1.6 ควำมต้องกำรในกำรเรียนไวยำกรณ์ภำษำองั กฤษ ผลการวิจัยด้านความต้องการเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษพบว่า นักเรียนท้ังหมด เสนอให้ครูใช้กิจกรรมท่ีหลากหลายในการสอน เช่น การเล่นเกม การแสดงบทบาทสมมติ และการ สอนโดยใช้เทคนิคในการจา เพราะจะทาให้การเรียนการสอนน่าสนใจมากขึ้น และสามารถในไปใช้ใน การสอบประเมินความร้หู รือการสอบเข้าเพ่ือศึกษาต่อในระดบั ท่ีสูงขึน้ ได้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook