Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore มิติที่4การวัดประเมิน

มิติที่4การวัดประเมิน

Published by moetpr2514, 2020-06-28 09:37:22

Description: มิติที่4การวัดประเมิน

Search

Read the Text Version

คำนำ สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 2 ได้ดำเนินการขับเคล่ือนนโยบาย ๖ มิติ คุณ ภ าพ สู่ก ารป ฏิ บั ติ โดยมี วัต ถุป ระส งค์ เพื่ อสร้างความเข้าใจให้ คณ ะกรรม การและบุ คล าก ร ที่เก่ียวข้อง นำไปใช้ในการปฏิบัติหน้าท่ีให้มีคุณ ภาพประสิทธิผลย่ิงขึ้น ซึ่งประกอบด้วย มิติท่ี ๑ การพัฒ นาหลักสูตรสถานศึกษา มิติท่ี ๒ การจัดการเรียนรู้ มิติที่ ๓ การใช้สื่อ/เทคโนโลยี มิติที่ ๔ การวัดผลประเมินผล มิตทิ ่ี ๕ การนิเทศภายใน และมติ ิท่ี ๖ การวิจัยในชน้ั เรียน และในปีงบประมาณ 256๓ ได้มี การดำเนินการจัดทำคู่มือการวัดผลประเมินผลการเรียนรู้ ในมิติที่ ๔ เพื่อให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาได้ นำไปใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัตงิ านให้เกิดผลดีแกผ่ ู้ทเ่ี กีย่ วข้องให้มากทส่ี ดุ ในการน้ี สำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 2 ขอขอบคุณคณะกรรมการและ บคุ ลากรทางการศึกษา และผูม้ ีส่วนเก่ียวขอ้ งทุกฝ่ายซึ่งให้ความร่วมมือจน ทำให้เอกสารเล่มน้ีสำเร็จลุล่วงดว้ ยดีมา ณ โอกาสนี้ กลุม นิเทศ ตดิ ตามและประเมินผลการจดั การศึกษา สํานักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษาอุดรธานี เขต 2

สารบัญ เรอื่ ง หน้า การวัดและประเมินผลการเรียนร.ู้ .......................................................................................................... ๑ หลักการดำเนินการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ ............................................................................ ๒ แนวทางการนำผลการประเมินมาใชพ้ ฒั นาผเู้ รยี น ............................................................................... ๔ แนวปฏบิ ตั กิ ารวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ ............................................................................................................................ ... ๖ การพัฒนาเครอื่ งมือวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ................................................................................. ๔๖ การประเมินตามสภาพจริง .................................................................................................................... ๖๑ บทสรปุ ................................................................................................................................................... ๖๗

๑ การวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ บทนำ การพัฒนาคุณภาพการจัดการเรยี นรู้ท่ีมีประสทิ ธภิ าพเป็นการดำเนนิ การตามองค์ประกอบ สำคัญ 3 องค์ประกอบ คือ วัตถปุ ระสงค์การศึกษา (Educational Objectives) การจัดประสบการณ์ การเรยี นรู้ (Learning Experiences) และการวดั และประเมินผล (Evaluation) ซงึ่ รจู้ ักกนั โดยทั่วไปวา่ OLE(O= Objectives , L = Learning experiences , E = Evaluation) ดังน้นั จึงกล่าวไดว้ า่ การวัดและประเมินผลเป็นองคป์ ระกอบ หน่ึงท่ีมคี วามสำคญั กบั การจดั การเรียนรู้ โดยท่ีการวัดและ ประเมินผลจะเปน็ การตรวจสอบคุณภาพการจัด การศกึ ษา ตรวจสอบคุณภาพของผู้เรยี นมีคุณภาพ ตรงตามเปา้ หมายของหลักสูตรสถานศึกษามากน้อยเพยี งใด ขอ้ มลู ผลการวดั และประเมินผลจะช่วย ให้ผมู้ สี ่วนเกี่ยวขอ้ งกับการจดั การศึกษา ได้เห็นวา่ การบรหิ ารจดั การศึกษา การจัดการเรียนรทู้ ีผ่ ่านมา น้ันมีความเหมาะสมเพยี งใด มีข้อบกพร่องในการดำเนนิ งานในแตล่ ะขัน้ ตอนอย่างไร เพ่อื ท่ีจะเป็น ข้อมูลประกอบการพฒั นา ปรับปรงุ และควบคมุ การดำเนินงานให้มีคุณภาพบรรลตุ ามเป้าหมาย การวัดและประเมินผลตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน พทุ ธคักราช 2551 เป็นภารกจิ สำคญั ของสถานศกึ ษาทจี่ ะต้องดำเนนิ การตามหลักการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ ที่ประกอบดว้ ย การประเมนิ ผลระดับขัน้ เรียน ระดบั สถานศึกษา ระดบั เขตพ้ืนทีก่ ารศกึ ษา และ ระดับชาติ สถานศึกษาควรยดึ หลกั การวดั และประเมินผล ที่มุ่งใหเ้ ปน็ การวดั และประเมนิ ผล เพอ่ื พัฒนาผเู้ รยี น เพื่อปรับปรงุ การจัดการเรียนรู้ โดยการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรใู้ นขนั้ เรียน สามารถดำเนนิ การเปน็ 3 ระยะ คือ ก่อนเรียนรู้ ระหวา่ งเรยี นรู้ และหลงั เรียนรู้ อนง่ึ การวัดและประเมินผลมีความจำเป็นและมีประโยชนต์ อ่ ผ้บู ริหารสถานศกึ ษา ครูผูส้ อน ผเู้ รียน และผูป้ กครอง ดังน้นั ผ้มู สี ว่ นเกีย่ วขอ้ งกับการพฒั นาคณุ ภาพการจัดการเรยี นรู้ การพฒั นาคุณภาพผเู้ รยี น น่าจะมี ความรู้ ความเขา้ ใจ แนวคิด หลกั การและวิธกี ารในการวัดและประเมนิ ผลทถ่ี ูกต้องเหมาะสมกับสภาพ บรบิ ท ของสถานศึกษาและผู้เรยี น เพอื่ ประโยชน์ในการพฒั นาคุณภาพการศกึ ษาในภาพรวม โดยมี สาระสำคญั ของ การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ ประกอบด้วยสาระสำคัญ ดังนี้ ความหมายของการวัดผลและประเมินผล การวัดและประเมนิ ผล ประกอบด้วย คำวา่ “วัดผล” และ คำวา่ “ประเมนิ ผล” ซ่ึงมี นกั การศึกษา ได้ใหค้ วามหมายไว้ ดงั น้ี การวัดผล ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า measurement อทุ ุมพร จามรมาน (2530 : 15) กลา่ วว่า การวดั คือ การกำหนดตวั เลขให้กับลักษณะตาม กฎทกี่ ำหนด สมคักดิ์ สินธรุ เวชญ์ (2531 : 60) กลา่ ววา่ การวัด (measurement) หมายถงึ กระบวนการ หรอื วธิ ีการใด ๆทจ่ี ะให้ได้มาซ่ึงปริมาณจำนวนหนง่ึ อันมคี วามหมายแทนขนาด สมรรถภาพท่ีเป็น นามธรรมของสิ่งที่วัด บญุ ธรรม กิจปรีดาบริสทุ ธ์ิ (2535 : 5) กลา่ วว่า การวดั เป็นกระบวนการเชิงปริมาณใน การกำหนด ค่าเปน็ ตวั เลขหรือสัญลักษณ์ที่มคี วามหมายแทนคุณลกั ษณะของส่ิงทวี่ ดั โดยอาศยั กฎเกณฑ์อยา่ งใดอย่างหนงึ่ จากแนวคิดดงั กล่าวขา้ งด้นสรุปได้ว่าการวดั ผล หมายถึงกระบวนการกำหนดตวั เลขหรอื สัญลกั ษณ์ ให้กับบคุ คล สิง่ ของหรอื เหตุการณอ์ ยา่ งมีกฎเกณฑ์ เพ่อื ใหไ้ ดข้ ้อมูลที่แทนปรมิ าณหรือคณุ ภาพของคุณลกั ษณะท่ีจะวดั ความหมายของการประเมินผล การประเมินผล ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า evaluation ซงึ่ มคี ำอ่ืนๆ ทม่ี ีความหมาย ใกลเ้ คยี ง และ เกยี่ วข้องกันหลายคำ เชน่ assessment, adaptation และ follow up ซึง่ มผี ู้ให้ ความหมายไว้แตกตา่ งกนั ดังน้ี เยาวดี รางชยั กุล(2542 : 23)กลา่ วว่า การประเมนิ ผล(assessment) หมายถึง กระบวนการของการ

๒ รวบรวมข้อมลู ใหเ้ ปน็ ระบบระเบียบ เพ่อื ใชเ้ ป็นแนวทางสำหรับนำไปส่กู ารตัดสนิ ใจใน ขั้นประเมนิ ผล ซึง่ เปน็ กระบวนการตัดสินคุณคา่ ของสิง่ ใดสิง่ หนงึ่ อย่างมหี ลกั เกณฑ์โดยใชข้ ้อมลู จาก assessment สมหวงั พิธยิ านวุ ฒั น์. (2544:20) กลา่ ววา่ การประเมนิ หมายถึง กระบวนการใช้ดลุ ยพินจิ (judgment) และ/หรอื ค่านิยมและข้อจำกดั ตา่ ง ๆ ในการพิจารณาตดั สินคุณค่าของส่ิงใดส่งิ หนึ่ง โดยการ เปรยี บเทยี บผลทีว่ ัดได้กับเกณฑท์ ี่กำหนดไว้ เกณฑ์ทกี่ ำหนดอาจเปน็ เกณฑ์แบบสมั พันธห์ รือ อิงกลมุ่ หรือเกณฑ์ สมบรู ณ์ (absolute criteria) จากแนวคิดดงั กลา่ วข้างดน้ สรุปไดว้ า่ การประเมินผล คอื กระบวนการค้นหาหรือพิจารณา อย่างมีกฎเกณฑ์ เพ่ือนำไปสู่การตดั สินคณุ คา่ ของส่ิงใดส่งิ หนง่ึ สรปุ ความหมายของการวดั ผลและประเมินผล หมายถึง กระบวนการกำหนดตัวเลขหรือ สัญลกั ษณ์ ให้กับส่งิ ใดสิง่ หน่ึง เพอ่ื ให้ได้ข้อมลู ที่แทนปริมาณ หรือคุณภาพของคุณลกั ษณะท่ีด้องการวัด และนำไปสกู่ าร ตัดสนิ ใจหรอื พจิ ารณาให้คณุ ค่าของสิง่ นัน้ การประเมินจึงเป็นการนำผลจากการวัดมา ตดั สินใจโดยใช้ ดุลยพินิจ ของผ้ปู ระเมินเทยี บกบั เกณฑ์ จุดมุ่งหมายของการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ การวดั และประเมินผลการเรียนร้ขู องผเู้ รียนต้องอยู่บนหลกั การพื้นฐาน 2 ประการ คือ การประเมนิ เพื่อพฒั นาผเู้ รยี น และเพื่อตดั สินผลการเรยี น ในการพัฒนาคุณภาพการเรยี นร้ขู องผูเ้ รยี น ให้ประสบผลสำเรจ็ น้นั ผู้เรยี นจะต้องไดร้ บั การพฒั นาและประเมนิ ตามตัวชีว้ ดั เพื่อใหบ้ รรลุตาม มาตรฐานการเรียนรู้ สะท้อนสมรรถนะ สำคญั และคุณลกั ษณะอนั พึงประสงคข์ องผู้เรียนซ่งึ เปน็ เป้าหมายหลักในการวัดและประเมินผล การเรียนรู้ ในทุกระดับไมว่ ่าจะเปน็ ระดับขนั้ เรยี น ระดบั สถานศกึ ษา ระดบั เขตพ้ืนที่การศึกษา และระดับชาติ การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้เป็น กระบวนการพฒั นาคุณภาพผู้เรียน โดยใช้ผลการประเมินเป็นขอ้ มลู และสารสนเทศ ที่แสดงพฒั นาการ ความกา้ วหน้าและความสำเรจ็ ทางการเรียนของผูเ้ รียน ตลอดจนข้อมูลท่ีเปน็ ประโยชน์ ต่อการส่งเสริม ให้ผ้เู รยี นเกดิ การพฒั นาและเรยี นรูอ้ ย่างเต็มตามศักยภาพ หลกั การดำเนินการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 เปน็ กระบวนการเกบ็ รวบรวม ตรวจสอบ ดีความผลการเรยี นรู้ และพัฒนาการดา้ นต่างๆ ของผเู้ รียนตามมาตรฐาน การเรยี นรู้/ตวั ช้ีวดั ของหลกั สูตร นำผลไปปรับปรงุ พัฒนาการจดั การเรียนรแู้ ละ ใช้เปน็ ข้อมูลสำหรับการตัดสิน ผลการเรียน สถานศึกษาต้องมีกระบวนการจัดการที่เปน็ ระบบ เพื่อให้การดำเนินการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ เปน็ ไปอย่างมคี ุณภาพและประสทิ ธภิ าพ และให้ผล การประเมินตรงตามความรู้ ความสามารถท่แี ท้จริงของผูเ้ รยี น ถูกต้องตามหลักการวดั และประเมนิ ผล การเรยี นรู้ รวมทงั้ สามารถรองรับ การประเมนิ ภายในและการประเมนิ ภายนอก ตามระบบประกัน คุณภาพการศึกษาได้ สถานศึกษาจึงควรกำหนดหลกั การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ เพ่ือเป็นแนวทาง ในการตดั สินใจเก่ียวกับการวดั และประเมินผลการเรียนรูต้ ามหลักสูตรสถานศกึ ษา ดงั น้ี 1. สถานศกึ ษาเป็นผู้รับผดิ ชอบการวดั และการประเมินผลการเรียนรขู้ องผู้เรยี น โดยเปดิ โอกาสให้ผ้ทู ่ี เกย่ี วขอ้ งมสี ว่ นรว่ ม 2. การวดั และการประเมินผลการเรยี นรู้ มีจดุ มุ่งหมายเพ่อื ปรับปรงุ พัฒนาผเู้ รียนพัฒนาการจดั การเรยี นรู้ และตัดสนิ ผลการเรยี น 3. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ต้องสอดคลอ้ งและครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ชีว้ ดั ตามกลุ่ม สาระการเรยี นรทู้ ่ีกำหนดในหลักสตู รสถานศึกษา และจดั ให้มกี ารประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขยี น คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ ตลอดจนกจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รียน

๓ 4. การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรเู้ ปน็ สว่ นหนึง่ ของกระบวนการจดั การเรยี นการสอนต้อง ดำเนินการ ดว้ ยเทคนิควิธกี ารทห่ี ลากหลาย เพ่ือให้สามารถวดั และประเมินผลผ้เู รียนได้อยา่ งรอบด้าน ท้งั ดา้ นความรู้ ความคดิ กระบวนการ พฤติกรรมและเจตคติ เหมาะสมกับส่งิ ท่ตี อ้ งการวัด ธรรมชาติ วิชา และระดับชน้ั ของผเู้ รยี น โดยต้งั อย่บู นพืน้ ฐานความเท่ียงตรง ยุติธรรม และเชื่อถือได้ 5. การประเมินผู้เรยี นพจิ ารณาจากพฒั นาการของผูเ้ รยี น ความประพฤติ การสงั เกตพฤติกรรม การเรยี นรู้ การร่วมกิจกรรมและการทดสอบควบคู่ไปในกระบวนการเรียนการสอนตามความเหมาะสม ของแตล่ ะระดับและรปู แบบการศกึ ษา 6. เปิดโอกาสใหผ้ ้เู รยี นและผูม้ สี ่วนเกย่ี วขอ้ งตรวจสอบผลการประเมินผลการเรียนรู้ 7. ใหม้ ีการเทยี บโอนผลการเรยี นระหวา่ งสถานศึกษาและรูปแบบการศึกษาต่างๆ 8. ใหส้ ถานศกึ ษาจัดทำเอกสารหลกั ฐานการศึกษา เพ่ือเป็นหลักฐานการประเมนิ ผลการเรียนรู้ รายงานผลการเรียน แสดงวุฒิการศึกษาและรับรองผลการเรียนของผเู้ รียน ภารกิจในการวัดและประเมินผลการเรยี นของสถานศึกษา มดี งั น้ี 1. จดั ทำระเบยี บว่าด้วยการวัดและประเมินผลการเรยี นของสถานศกึ ษา 2. กำหนดเกณฑ์สำหรับตดั สินการประเมินการผา่ นตวั ชี้วัด 3. กำหนดเกณฑ์การประเมิน ให้ระดบั ผลการเรียนตามกลุม่ สาระการเรยี นรู้ การประเมนิ การอา่ น คิดวิเคราะห์ และเขยี น การประเมนิ คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ และกิจกรรมพฒั นาผเู้ รียน 4. จัดให้มกี ารวัดและประเมินผลระหว่างเรียนควบคู่กับการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ประเมนิ ผลระหวา่ ง การเรยี นการสอน และประเมินผลเม่อื สิ้นสดุ การเรียนการสอน 5. ประเมนิ ตดั สนิ ผลการเรียนรายวชิ า 6. ประเมินสรปุ ผลการเรียน เพื่อการเลื่อนชนั้ เรียนและจบระดับการศกึ ษา 7. นำผลการประเมนิ ไปวเิ คราะห์เพอื่ พัฒนาการศึกษา 8. จดั ทำเอกสารหลกั ฐานการศึกษา 9. และอื่น ๆ ตามความเหมาะสม ระดบั ของการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ แบ่งออกเปน็ 4 ระดบั ได้แก่ 1. การประเมินระดับชน้ั เรยี น เปน็ การวัดและประเมนิ ผลที่อยใู่ นกระบวนการจัดการเรยี นรู้ ผูส้ อน ดำเนินการเปน็ ปกติ และสมำ่ เสมอ ในการจัดการเรยี นการสอน ใชเ้ ทคนิคการประเมินอย่าง หลากหลาย เชน่ การซกั ถาม การสังเกต การตรวจการบา้ น การประเมินโครงงาน การประเมนิ ชน้ิ งาน/ภาระงาน แฟม้ สะสมงาน การใชแ้ บบทดสอบ ฯลฯ โดยผู้สอนเป็นผู้ประเมนิ เองหรือเปิด โอกาส ใหผ้ ู้เรยี นประเมนิ ตนเอง เพื่อนประเมนิ เพ่ือน ผู้ปกครองรว่ มประเมิน ในกรณีที่ไม่ผา่ นตัวชวี้ ดั ใหม้ กี ารสอนซ่อมเสรมิ การประเมินระดบั ชิ้นเรยี น เปน็ การตรวจสอบว่า ผเู้ รยี นมีพัฒนาการ ความก้าวหนา้ ในการเรยี นรู้ อันเปน็ ผลมาจากการจดั กจิ กรรมการเรียน การสอนหรือไม่ และมากน้อย เพียงใด มสี งิ่ ท่ีจะต้องได้รบั การพัฒนาปรับปรุงและสง่ เสริมในด้านใด นอกจากน้ี ยังเปน็ ข้อมลู ให้ผูส้ อน ใชป้ รับปรงุ การเรียนการสอนของตนด้วย ทงั้ นี้โดยสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ และตัวชีว้ ัด 2. การประเมินระดับสถานศกึ ษา เป็นการประเมินทส่ี ถานศกึ ษาดำเนินการเพื่อตดั สนิ ผล การเรยี น ของผเู้ รียนเป็นรายปี/รายภาค ผลการประเมนิ การอ่าน คิดวเิ คราะห์และเขยี น คุณลักษณะ อนั พึงประสงค์ และกิจกรรมพฒั นาผเู้ รียน นอกจากนีเ้ พ่ือให้ไดข้ ้อมูลเก่ยี วกบั การจัดการศึกษาของ สถานศึกษาวา่ ส่งผลต่อ การเรียนรู้ของผูเ้ รยี นตามเป้าหมายหรอื ไม่ ผู้เรียนมจี ดุ พัฒนาในด้านใด รวมทั้งสามารถนำผลการเรียนของผู้เรยี น ในสถานศึกษาเปรียบเทียบกับเกณฑ์ระดับชาติ ผลการประเมนิ ระดับสถานศึกษาจะเป็นข้อมูลและสารสนเทศ เพื่อการปรบั ปรงุ นโยบาย หลักสตู ร โครงการ หรอื วิธีการจัดการเรยี นการสอน ตลอดจนเพอ่ื การจัด

๔ ทำแผนพฒั นาคณุ ภาพการศึกษาของสถานศึกษา ตามแนวทางการประกันคุณภาพการศึกษา และการรายงานผล การจัดการศกึ ษาตอ่ คณะกรรมการ สถานศึกษา สำนักงานเขตพืน้ ที่การศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ช้นั พนื้ ฐาน ผู้ปกครอง และชมุ ชน 3. การประเมินระดับเขตพื้นที่การศกึ ษา เป็นการประเมนิ คณุ ภาพผู้เรียนในระดับเขตพ้นื ท่ี การศึกษา ตามมาตรฐานการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาชน้ั พนื้ ฐาน เพอื่ ใช้เป็นข้อมลู พน้ื ฐานในการพัฒนา คณุ ภาพการศึกษาของเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ตามภาระความรับผิดชอบ สามารถ ดำเนนิ การโดยประเมินคุณภาพ ผลสมั ฤทธ์ขิ องผู้เรยี นดว้ ยข้อสอบมาตรฐานทีจ่ ดั ทำและดำเนินการ โดยเขตพนื้ ท่กี ารศกึ ษาหรือดว้ ยความรว่ มมือ กบั หน่วยงานต้นสงั กัดในการดำเนินการจดั สอบ นอกจากน้ียงั ได้จากการตรวจสอบ ทบทวนขอ้ มลู จากการประเมนิ ระดับสถานศึกษาในเขตพนื้ ที่การศึกษา 4. การประเมนิ ระดบั ชาติ เป็นการประเมนิ คุณภาพผู้เรยี นในระดบั ชาตติ ามมาตรฐาน การเรียนรู้ ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาช้นั พืน้ ฐาน สถานศกึ ษาต้องจัดให้ผู้เรียนทุกคนท่ีเรียน ในชน้ิ ประถมศึกษาปที ี่ 3 ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 6 ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 และช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 6 เข้ารบั การประเมิน ผลจากการประเมนิ ใชเ้ ปน็ ขอ้ มูลในการเทียบเคียงคุณภาพการศึกษาระดบั ตา่ ง ๆ เพือ่ นำไปใชใ้ นการวางแผนยกระดบั คณุ ภาพ การจัดการศึกษา ตลอดจนเป็นข้อมูลสนับสนุน การตดั สินใจในระดบั นโยบายของประเทศ ขอ้ มลู การประเมนิ ในระดบั ต่างๆ ขา้ งด้น เปน็ ประโยชน์ตอ่ สถานศึกษาในการตรวจสอบทบทวนพัฒนาคณุ ภาพผูเ้ รยี น ถือเป็นภาระ ความรบั ผดิ ชอบของ สถานศึกษาท่จี ะต้องจัดระบบดแู ลช่วยเหลือ ปรบั ปรุงแก้ไข ส่งเสริมสนับสนนุ เพ่อื ใหผ้ เู้ รยี น ไดพ้ ัฒนาเต็มตามศักยภาพบนพน้ื ฐาน ความแตกตา่ งระหว่างบุคคลทจี่ ำแนกตามสภาพปัญหา และความต้องการ ไดแ้ ก่ กลุ่มผเู้ รยี นทั่วไป กลมุ่ ผเู้ รยี นทีม่ ีความสามารถพิเศษ กลมุ่ ผู้เรยี นทีม่ ผี ลส้มฤทธท์ิ างการเรยี นตำ่ กลมุ่ ผู้เรียน ท่มี ปี ญั หาดา้ นวนิ ยั และพฤติกรรม กลุ่มผูเ้ รยี นทปี่ ฏเิ สธโรงเรียน กลมุ่ ผู้เรียนทม่ี ปี ญั หาทาง เศรษฐกิจ และสงั คม กลมุ่ พิการทางร่างกาย และสติปญั ญาเป็นตน้ ข้อมูลจากการประเมิน จึงเป็นหัวใจของสถานศกึ ษา ในการดำเนนิ การชว่ ยเหลอื ผู้เรียนไดท้ ันทวงที เปิดโอกาสใหผ้ ู้เรยี นได้รับการพัฒนา และประสบความสำเรจ็ ในการเรยี น แนวทางการนำผลการประเมนิ มาใชพ้ ัฒนาผเู้ รยี นใหเ้ ตม็ ศักยภาพ การนำผลการประเมนิ ไปใช้เพ่ือพัฒนาผู้เรยี น เพ่ือการปรับปรุงการเรยี นการสอน จำแนกตามระยะเวลา ของการประเมนิ เป็น 3 ระยะ ดงั นี้ 1. การประเมนิ ผลก่อนการเรียนการสอน เป็นการประเมนิ ผลยอ่ ยทีม่ ีจุดมุ่งหมาย เพื่อศกึ ษาพ้นื ฐาน ความรู้ของผเู้ รียนว่า มีเพยี งพอที่จะเรยี นรู้ในเร่ืองที่จะเรยี นต่อไปหรือไม่ อย่างไร เป็นการประเมนิ ผล เพอ่ื จัดตำแหนง่ และเพื่อการวินิจฉยั ผลการประเมนิ สามารถนำมาใชป้ ระโยชน์ ดงั นี้ 1.1 จดั ผูเ้ รยี น ผู้สอนสามารถนำข้อมูลท่ีเป็นผลของการประเมินมาใชจ้ ำแนกผเู้ รียนออกเป็นกลมุ่ ๆ ได้ โดยการจดั ผู้เรียนที่มีความรู้หรอื ขีดความสามารถใกลเ้ คยี งกนั ไว้ด้วยกนั เพื่อประโยชน์ในการจดั การเรยี นการสอน ให้เหมาะสมสอดคล้องกับผู้เรยี นแตล่ ะกลมุ่ 1.2 จดั สอนซ่อมเสรมิ ผู้สอนสามารถนำขอ้ มลู ทีเ่ ป็นผลของการประเมนิ มาจัดสอน ซ่อมเสริม ให้แก่ ผู้เรียนในสว่ นทผ่ี ้เู รียนยังขาดตกบกพร่องอยู่ จนมีความรเู้ พียงพอที่จะเรียนต่อไปได้ เช่น สอนตวั ต่อตวั ระหว่าง ผสู้ อนกบั ผูเ้ รียน สอนเป็นกลุ่มย่อยสำหรบั ผูเ้ รียนทม่ี ปี ัญหาเหมอื น ๆ กัน 1.3 วางแผนการสอน ผูส้ อนสามารถนำข้อมูลท่ีเปน็ ผลของการประเมินมาใชเ้ ปน็ แนวทาง ในการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนทเี่ หมาะสมกบั ความสามารถของผู้เรียนได้ 2. การประเมนิ ผลระหวา่ งการเรียนการสอน เป็นการประเมินผลย่อยท่ีมจี ุดมุ่งหมาย เพื่อศกึ ษาผลการ เรียนรู้ และการเปล่ยี นแปลงพฤติกรรมด้านต่างๆ ของผเู้ รียน เปน็ การประเมินผลในแต่ละหน่วยย่อยของเน้ือหา โดยมงุ่ ปรับปรุงคณุ ภาพการเรียนการสอน ใหเ้ ป็นไปตามจุดมุง่ หมายท่ีกำหนดไว้ ผลการประเมนิ สามารถนำมาใช้

๕ ประโยชน์ ดงั นี้ 2.1 ปรบั ปรุงการเรียนของผเู้ รยี น ผลทีไ่ ดจ้ ากการประเมนิ ทำให้ทราบความรู้ ความสามารถ ในการเรียนรูข้ องผู้เรยี น ว่าผ่านจุดประสงค์ที่กำหนดไวห้ รือไม่ มีข้อบกพร่องอะไรท่ี จะต้องแก่ไขปรบั ปรงุ เพ่ือพฒั นาการเรยี นใหด้ ขี ้นึ 2.2 ปรบั ปรุงการสอนของผสู้ อน ผลทไ่ี ดจ้ ากการประเมนิ สามารถใชเ้ ปน็ แนวทางใน การวางแผน การสอนของผ้สู อนให้เหมาะสม และสอดคล้องกบั การเรียนรู้ของผเู้ รียน เพื่อให้ผู้เรียนมีความร้คู วามสามารถสงู สุด 2.3 จัดสอนซอ่ มเสริม ผลทไ่ี ดจ้ ากการประเมนิ จะทำใหผ้ สู้ อนทราบวา่ ผูเ้ รยี นรหู้ รอื ไม่รู้ อะไร มขี ้อบกพร่องอยา่ งไร จะนำข้อมูลทีเ่ ป็นผลจากการประเมินมาพจิ ารณาจัดสอนซ่อมเสรมิ ให้ เช่น ใหผ้ เู้ รยี นที่เรยี น เก่งช่วยสอนผูเ้ รียนท่ยี งั ไมบ่ รรลุจดุ ประสงค์ เป็นตน้ 2.4 พัฒนาคณุ ลักษณะด้านคณุ ธรรมจรยิ ธรรม และคา่ นิยมของผู้เรยี นผลการประเมินจะทำให้ทราบว่า ผเู้ รยี นมีคุณลักษณะดา้ นคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยม ที่กำหนดไว้หรอื ไม่หากพบวา่ ผู้เรยี นมพี ฤติกรรม ท่เี ปน็ คณุ ลักษณะที่ไม่เหมาะสม ผู้สอนจะไดว้ างแนวทางแก้ไข 3. การประเมนิ ผลเม่ือส้ินสุดการเรยี นการสอน เปน็ การประเมนิ ผลสรปุ ซึ่งมจี ดุ มุ่งหมาย เพ่ือสรุป ผลการเรยี นรู้ของผูเ้ รียนในแต่ละรายวิชา เพื่อใชต้ ัดสินวา่ ผ้เู รยี นมคี วามรู้ ความสามารถใน เนื้อหาวชิ าท่ีไดเ้ รยี น ไปแล้วมากน้อยเพียงใด ผลของการประเมินสามารถนำมาใช้ประโยชน์ ดงั นี้ 3.1 ปรับปรุงการเรยี นของผูเ้ รียน ผลของการประเมนิ จะทำใหผ้ ู้เรียนทราบระดบั ความรู้ ความสามารถ ของตนเองว่ามีมากน้อยเพยี งใด มีขอ้ บกพร่องอะไรทย่ี ังตอ้ งแก้ไขปรับปรุงอกี 3.2 ปรับปรงุ การสอนของผสู้ อน ผลของการประเมิน จะทำใหผ้ สู้ อนทราบวา่ การสอนของตนบรรลุ จุดมุง่ หมายของหลกั สูตรหรือไม่ มากนอ้ ยเพียงใด และยังนำไปสู่การปรับปรุงวธิ ีสอนให้ เหมาะสม สอดคล้อง กับกิจกรรมการเรยี นการสอน และผ้เู รยี นไดม้ ากทส่ี ุด 3.3 จดั สอนซ่อมเสรมิ ผลของการประเมินใชป้ ระกอบการตัดสินวา่ จะให้ผ้เู รียนเลื่อนไปเรยี น ชน้ั ท่ีสูงกว่าหรือไม่ ซึง่ ผู้สอนอาจพจิ ารณาจัดสอนซ่อมเสรมิ ให้แกผ่ เู้ รยี น เชน่ ให้ทำกจิ กรรม เพิม่ เติม โดยทำที่บา้ น หรือทโี่ รงเรียน แลว้ แตค่ วามเหมาะสม 3.4 ตำแหนง่ ผูเ้ รียน ผลการประเมินทำใหท้ ราบว่าความรู้ ความสามารถหรือ คุณลกั ษณะของผ้เู รยี น อยู่ในตำแหน่งใดของกลมุ่ เม่ือเปรียบเทียบกัน เป็นการจำแนกผเู้ รยี นตาม ความรู้ ความสามารถ 3.5 เปรยี บเทียบพัฒนาการของผู้เรียน ผลของการประเมนิ ทำให้ทราบว่า ผูเ้ รยี นแตล่ ะคน หรอื แต่ละห้อง มีพฒั นาการขึ้นจากเดมิ มากน้อยเพยี งใด ประโยชนท์ ไี่ ดจ้ ากการนำผลประเมินไปใช้ เพื่อปรบั ปรงุ การเรียนการสอนน้ัน การประเมินผล ยอ่ ยจะมี ประโยชนต์ อ่ การเรยี นการสอนมากกวา่ การประเมินผลสรปุ เพราะผ้เู รยี นมีโอกาสแก้ไข ปรับปรงุ ผลการเรยี น ของตนเองเป็นระยะๆ อย่างต่อเน่อื ง การนำผลการประเมนิ ไปใช้ เพือ่ การพฒั นาคุณภาพและมาตรฐานการศกึ ษาของสถานศึกษามี เปา้ หมาย ดังน้ี 1. เพื่อการพฒั นามาตรฐานการศึกษา เป็นการยืนยันผลและการสรา้ งความม่ันใจวา่ การเรียน การสอน ในสถานศกึ ษาเพ่ือนำไปสกู่ ารพฒั นาคุณภาพผูเ้ รียน 2. เพื่อการจดั ทำแผนปรบั ปรงุ คุณภาพการศกึ ษา โดยอาศยั ข้อมลู และผลการประเมินมาช่วย ในการตัดสินใจเพ่ือนำไปส่กู ารประกนั คุณภาพ 3. เพ่ือการรายงานคุณภาพประจำปี โดยพจิ ารณาผล สรุปจากการตรวจสอบ และทบทวน คณุ ภาพ ภายใน เพ่อื เป็นข้อมูลยอ้ นกลบั สำหรบั การปรับปรงุ และพัฒนา 4. เพอ่ื ประเมนิ ประสิทธภิ าพการดำเนนิ งานของระบบประกนั คุณภาพ โดยอาศยั ผลจากการวัดและ

๖ ประเมินเพือ่ การตรวจสอบประสิทธภิ าพของการดำเนินงาน และคณุ ภาพการจัดการศึกษา ตามระบบประเมนิ คุณภาพทีก่ ำหนด แนวปฏิบตั ิการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 หลักการดำเนินการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ .. เป็นกระบวนการเกบ็ รวบรวม ตรวจสอบ ตคี วามผลการเรียนรู้ และพฒั นาการดา้ นตา่ งๆ ของผเู้ รยี น ตามมาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ชี้วัดของหลักสตู ร นำผลไปปรับปรุงพัฒนาการจัดการเรียนรู้ และใช้เป็นข้อมูลสำหรับ การตดั สินผลการเรียน สถานศกึ ษาตอ้ งมีกระบวนการทเี่ ป็นระบบ เพื่อให้การดำเนินการวัดและประเมนิ ผล การเรียนรู้เปน็ ไปอย่างมีคุณภาพและประสทิ ธิภาพ และให้ผลการประเมินตรงตามความร้คู วามสามารถท่ีแท้จริง ของผเู้ รยี น ถูกตอ้ งตามหลักการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ รวมท้งั สามารถรองรบั การประเมินภายใน และการประเมินภายนอกตามระบบประกนั คุณภาพได้ องค์ประกอบของการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ การเรยี นรู้ 8 กลุ่มสาระการเรยี นรู้ การวดั และประเมนิ ผลการเรียนร้ดู ว้ ยวธิ กี ารท่ีหลากหลาย โดยการวัดและประเมินการเรียนรู้ อย่างต่อเน่ืองไปพร้อมกบั การจดั การเรียนการสอน ให้ความสำคญั กับการประเมินระหวา่ งเรยี นมากกวา่ การประเมินปลายปี เพื่อให้ได้ผลการประเมินที่สะท้อนความรู้ ความสามารถทแ่ี ทจ้ รงิ ของผเู้ รยี นและใชเ้ ป็นข้อมูล เพอื่ ประเมนิ การเลอื่ นช้ัน และจบการศึกษาระดบั ต่างๆ การอ่าน คดิ วิเคราะห์และเขียน การประเมินมคี วามต่อเน่ืองและสรุปผลเป็นรายปี/รายภาค เพ่อื วินิจฉยั และใช้เปน็ ข้อมูลใน การพฒั นาผ้เู รียนและการประเมินการเลือ่ นชั้น ตลอดจนการจบการศึกษาระดบั ตา่ งๆ คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ การประเมนิ ให้ประเมินแต่ละคณุ ลักษณะ รวบรวมผลการประเมินจากทกุ ฝา่ ย และแหล่งข้อมูล หลายแหล่ง เพอ่ื ให้ไดข้ ้อมลู นำมาสกู่ ารสรุปผลเป็นรายปี/รายภาค และใช้เปน็ ข้อมลู เพอ่ื ประเมนิ การเลอื่ นชั้น และการจบการศึกษาระดับต่างๆ กจิ กรรมพฒั นาผ้เู รยี น การประเมินการปฏิบตั ิกิจกรรม และผลงานของผูเ้ รียน และเวลาในการเข้ารว่ มกิจกรรมตามเกณฑ์ ทกี่ ำหนดไว้ในแต่ละกิจกรรม และใชเ้ ปน็ ข้อมลู ประเมนิ การเลื่อนช้ันเรยี น และการจบการศึกษาระดบั ต่าง ๆ เกณฑ์การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ระดับประถมศกึ ษาและมธั ยมศกึ ษา ระดบั ประถมศึกษา ระดบั มัธยมศึกษา 1. การตดั สินผลการเรียน 1. การตดั สินผลการเรยี น ๑.๑ ผูเ้ รียนต้องมเี วลาเรยี นไม่น้อยกวา่ ร้อยละ 8๐ ๑.๑ ผู้เรยี นตอ้ งมเี วลาเรยี นตลอด ของเวลาเรียนทัง้ หมด ภาคเรยี นไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ๑.๒ ผู้เรียนต้องได้รับการประเมนิ ทกุ ตวั ชี้วดั และ ของเวลาเรียนทง้ั หมดในรายวิชานัน้ ผ่านตามเกณฑ์สถานศึกษากำหนด ๑.๒ (เหมอื นระดับประถมศกึ ษา) ๑.๓ ผู้เรียนตอ้ งไดร้ บั การตัดสนิ ผลการเรียน ๑.๓ (เหมอื นระดบั ประถมศึกษา) ทุกรายวชิ า (เหมือนระดับประถมศกึ ษา) ๑.๔ ผู้เรียนต้องได้รับการประเมิน และมผี ลการประเมิน ผ่าน ตามเกณฑ์ท่ีสถานศึกษากำหนดในการอา่ นคำวเิ คราะหแ์ ละเขียน คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ และกจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รียน

๗ (ต่อ) ระดับมัธยมศกึ ษา การตดั สินผลการเรยี น ตัดสินเป็นรายวิชา ระดับประถมศกึ ษา โดยใชผ้ ลการประเมินระหว่างภาค และปลายภาค ตามสัดสว่ นที่สถานศึกษากำหนด ทุกรายวิชา การตัดสนิ ผลการเรยี น ตดั สินเป็นรายวิชาโดยใช้ผล ตอ้ งได้รบั การตัดสนิ และให้ระดับผลการเรียน การประเมินระหว่างปี และปลายปี ตามสดั ส่วนที่ ผ้เู รยี น ตอ้ งผ่านทุกรายวิชาพ้ืนฐาน สถานศึกษา กำหนดทุกรายวิชา ตอ้ งไดร้ บั การตดั สิน ใหผ้ ลการเรยี นตามแนวทางการให้ระดบั ผลการเรยี น ๒.๑ ระดบั ผลการเรียนรายวชิ า (ผา่ น/ไมผ่ ่าน) ตามท่สี ถานศึกษา กำหนด และผเู้ รยี นต้องผา่ น ผ่านร้อยละ 50 ข้นึ ไป ตามสถานศกึ ษา ทกุ รายวิชาพ้ืนฐาน กำหนดให้ระดับผลการเรยี น 8 ระดับ กรณีไม่สามารถ 2. การให้ระดับผลการเรยี น ให้ระดับผลการเรียนเป็น 8 ระดบั ได้ ๒.๑ ระดับผลการเรียนรายวิชา (ผ่าน/ไม่ผ่าน) ให้ใช้ตัวอกั ษรระบุเงื่อนไข เชน่ “ร” “มส” ผา่ นรอ้ ยละ 50 ขึ้นไป ตามสถานศกึ ษา ๒.๒(เหมือนระดับประถมศึกษา) กำหนดให้ ระดบั ผลการเรียน หรือระดับคุณภาพ การ ปฏบิ ตั ิของผเู้ รียน เปน็ ระบบตัวเลข ระบบตวั อักษร ๒.๓(เหมือนระดับประถมศึกษา) ระบบรอ้ ยละ และระบบ ทใี่ ช้คำสำคญั สะท้อนมาตรฐาน ๒.๔ (เหมือนระดบั ประถมศึกษา) การเปล่ียนผลการเรียน “0” “ร” “มส” “มผ” ๒.๒ ประเมนิ การอา่ น คดิ วเิ คราะห์ และเขยี น 3. การเลอื่ นชั้นสนิ้ ปีการศึกษา เกณฑ์การเลื่อนชั้น (ผา่ น/ไม่ ผา่ น) กรณผี ่านการประเมนิ ใหร้ ะดบั การ มีดังน้ี ประเมนิ เป็น ดเี ยีย่ ม ดี และผ่าน 3.1 (ไมม่ )ี ๒.๓ ประเมนิ คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ 3.2 รายวิชาพื้นฐาน และรายวิชาเพม่ิ เดมิ ได้รับ (ผา่ น/ไม่ผา่ น) กรณีผ่านการประเมินให้ระดับการ การตดั สินผลการเรียนผ่านตามเกณฑท์ ีส่ ถานศกึ ษากำหนด ประเมินเป็น ดีเยี่ยม ดี และผ่าน ๓.๓ (เหมือนระดบั ประถมศึกษา) ระดับผลการเรียนเฉลี่ยในปีการศึกษานั้น ๒.๔ ประเมนิ กิจกรรมพัฒนาผู้เรยี น(ผา่ น/ไมผ่ า่ น) ควรไดไ้ ม่ตำ่ กวา่ 1.00 การเปลย่ี นผลการเรยี น (ไมม่ ี) 4. การเรียนซำ้ ชนั้ มี 2 ลักษณะ ดังนี้ 3. การเลื่อนชนั้ สิ้นปกี ารศึกษา เกณฑ์การเลอ่ื นชัน้ ๔.๑ มรี ะดบั ผลการเรียนเฉล่ียในปกี ารศึกษาน้ัน มดี งั น้ี ตำ่ กว่า 1.00 และมแี นวโนม้ วา่ จะเปน็ ปัญหาต่อ ๓.๑ เวลาเรียนไมน้อยกว่ารอ้ ยละ 80 การเรยี นในระดับสูงข้ึน ของเวลาเรียนทง้ั หมด มีผลการประเมนิ ผ่านทุกรายวิชา พนื้ ฐาน ๔.๒ มรี ะดบั ผลการเรียน“0” “ร” “มส”เกนิ ครึ่ง หนึ่ง ของรายวชิ าทล่ี งทะเบียนเรยี นในปกี ารศึกษาน้นั 3.2 มผี ลการประเมินผา่ นทุกรายวิชาพืน้ ฐาน 3.3 มีผลการประเมินผา่ นการประเมินการอา่ น คดิ วเิ คราะห์ และเขียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์และ กิจกรรมพัฒนา ผ้เู รยี น 4. การเรยี นซำ้ ช้ัน ไม่ผา่ นรายวชิ าจำนวนมาก และมแี นวโนม้ วา่ จะเปน็ ปัญหาตอ่ การเรียน ในระดบั สูงข้ึน

๘ (ต่อ) ระดบั ประถมศึกษา ระดับมัธยมศกึ ษา 5.การสอนซ่อมเสริม เพ่ือแก้ไขขอ้ บกพร่องและพฒั นา 5. การสอนซ่อมเสริม ให้ผเู้ รียนสามารถบรรลุมาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องและพฒั นาให้ผ้เู รียนสามารถ ที่กำหนดไว้ บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้/ตัวช้วี ดั ทก่ี ำหนดไว้ - ผูเ้ รยี นไดร้ ะดับผลการเรยี น “0” ให้จัด การสอนซ่อม-เสรมิ ก่อนสอบแก้ตัว - กรณผี ลการเรียน “ไมผ่ า่ น”สามารถจัดสอน ซอ่ มเสริม ในภาคฤดรู ้อนเพื่อแกไ้ ขผลการเรยี น (ดุลยพนิ ิจ ของสถานศกึ ษา) 6. เกณฑ์การจบ 6.เกณฑก์ ารจบ ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น 6.1 เรยี นรายวชิ าพื้นฐาน และรายวชิ า/กิจกรรม 6.1 เรียนรายวชิ าพนื้ ฐาน และรายวิชาเพม่ิ เติม เพิม่ เติม ตามโครงสรา้ งเวลาเรียนทีห่ ลักสตู รแกนกลาง โดยเปน็ รายวิชาพื้นฐาน 66 หน่วยกิต และรายวชิ า การศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐานกำหนด เพม่ิ เติม ตามท่ีสถานศึกษากำหนด ๖.๒ ตอ้ งมผี ลการประเมินรายวิชาพนื้ ฐานผ่านเกณฑ์ ๖.๒ ต้องไดห้ นว่ ยกิต ตลอดหลักสูตรไม่น้อยกวา่ การประเมนิ ตามทสี่ ถานศึกษากำหนด 77 หนว่ ยกิต - รายวิชาพ้ืนฐาน 66 หนว่ ยกิต - รายวิชาเพม่ิ เตมิ ไม่น้อยกวา่ 11 หน่วยกติ ๖.๓ มีผลการประเมนิ การอ่าน คดิ วเิ คราะห์ การ ๖.๓ (เหมอื นระดับประถมศกึ ษา) เขียน ในระดับผา่ นเกณฑ์ การผ่านเกณฑ์การประเมิน ตามท่สี ถานศกึ ษากำหนด ๖.๔ มีผลการประเมนิ มผี ลการประเมินคุณลกั ษณะ ๖.๔ (เหมอื นระดบั ประถมศกึ ษา) อนั พงึ ประสงค์ ในระดับผา่ นเกณฑ์การประเมิน ๖.๕ (เหมือนระดบั ประถมศึกษา) ตามทส่ี ถานศึกษากำหนด ๖.๕ เขา้ รว่ มกิจกรรมพัฒนาผ้เู รียน และมีผล การประเมินการผ่านเกณฑ์การประเมิน ตามที่สถานศกึ ษากำหนด การรายงานผลการเรียน . การรายงานผลการเรยี น เพ่ือเป็นการส่ือสารให้ผ้ปู กครอง และผเู้ รียนทราบความก้าวหนา้ ในการเรยี นร้ขู องผ้เู รยี น ซ่ึงสถานศกึ ษาต้องสรุปผลการประเมิน จัดทำเอกสารรายงานซ่ึงสามารถเลือก ลักษณะ ข้อมูลสำหรบั การรายงานได้หลายรูปแบบ และรายงานให้ผปู้ กครองทราบเป็นระยะๆ หรืออยา่ งนอ้ ยภาคเรยี น ละ 1 คร้ัง . ขอ้ มูลในการรายงานผลการเรียน ไดแ้ ก่ ข้อมลู ระดับชั้นเรียน ระดับสถานศึกษา ระดับเขตพนื้ ที่ การศกึ ษา ระดับชาติ และพฒั นาการของผู้เรยี นด้านอื่นๆ การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ในชัน้ เรยี น จำแนกประเภทได้ ดงั น้ี 1. การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้จำแนกตามขนั้ ตอนการจดั การเรียนการสอน ก่อนเรยี น ระหวา่ งเรียน และหลงั เรียน มี 4 ประเภท ดงั น้ี

๙ ๑.๑ การประเมินเพือ่ จดั วางตำแหนง่ (Placement Assessment) เป็นการประเมินก่อน เริ่มเรยี น เพือ่ ต้องการข้อมูลที่แสดงความพร้อม ความสนใจ ระดบั ความรูแ้ ละทักษะพน้ื ฐานทจ่ี ำเป็น ตอ่ การเรียน เพื่อให้ ผู้สอนนำไปใชก้ ำหนดวัตถปุ ระสงค์ของการเรยี นรู้ วางแผน และออกแบบกระบวนการเรียนการสอน ที่เหมาะสม กบั ผเู้ รียนท้งั รายบุคคล รายกล่มุ และรายช้นั เรียน ๑.๒ การประเมินเพอ่ื วนิ ิจฉัย (Diagnostic Assessment) เปน็ การเกบ็ ข้อมูลเพ่อื ค้นหาวา่ ผเู้ รยี น รอู้ ะไรมาบ้าง เกย่ี วกบั สง่ิ ทจ่ี ะเรียน ส่งิ ที่รู้มาก่อนนถ้ี ูกตอ้ งหรอื ไม่ จงึ เป็นการใช้ในลักษณะ ประเมนิ กอ่ นเรียน นอกจากน้ียงั ใช้ เพ่ือหาสาเหตุของปัญหาหรืออปุ สรรคต่อการเรยี นรขู้ องผเู้ รียนเปน็ รายบุคล ท่มี ักจะเป็นเฉพาะ เร่อื ง เช่น ปญั หาการออกเสียงไมช่ ัด แล้วหาวธิ ีปรบั ปรุง เพื่อให้ผเู้ รยี นสามารถพฒั นาและเรยี นร้ชู ัน้ ต่อไป ๑.๓ การประเมินผลยอ่ ย (Formative Assessment) เปน็ การประเมนิ เพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ (assessment for learning) ที่ดำเนนิ การอย่างต่อเน่ือง ตลอดการเรยี นการสอนโดยมิใช่ ใช้แตก่ ารทดสอบ ระหว่างเรยี นเปน็ ระยะๆ อย่างเดยี ว แตเ่ ปน็ การท่ีครเู กบ็ ขอ้ มลู การเรยี นรู้ของผูเ้ รียน อย่างไม่เปน็ ทางการด้วย ขณะท่ใี ห้ผู้เรยี นทำภาระงานตามท่ีกำหนด ครูสังเกต ซักถาม จดบนั ทกึ แลว้ วเิ คราะห์ขอ้ มลู วา่ ผ้เู รยี นเกดิ การเรียนรูห้ รอื ไม่ จะต้องใหผ้ ู้เรียนปรับปรงุ อะไร หรือผู้สอนปรับปรงุ อะไร เพ่ือใหเ้ กดิ ความก้าวหน้า ในการเรียนรู้ ตามมาตรฐาน/ตัวช้ีวดั การประเมนิ ระหวา่ งเรยี น ดำเนินการได้หลายรปู แบบ เชน่ การใหข้ ้อแนะนำ ข้อสังเกต ในการนำเสนอผลงาน การพูดคุยระหว่างผสู้ อนกบั ผู้เรยี นเป็นกลมุ่ หรอื รายบุคคล การสัมภาษณ์ ตลอดจน การวิเคราะห์ผลการสอบ เปน็ ต้น ๑.๔ การประเมนิ สรุปผลการเรยี นรู้ (Summative Assessment) มักเกิดข้นึ เม่อื จบหน่วย การเรียนรู้ เพ่ือตรวจสอบผลการเรยี นรขู้ องผ้เู รยี นตามตวั ช้ีวดั และยังใชเ้ ปน็ ข้อมูลในการเปรียบเทยี บ กับการประเมินก่อนเรยี น ทำให้ทราบพฒั นาการของผเู้ รียน ยงั เปน็ การตรวจสอบผลสมั ฤทธิ์ของผเู้ รียน ตอนปลายปี/ปลายภาค อีกด้วย การประเมินสรปุ ผลการเรียนรู้ ใชว้ ิธีการ และเคร่อื งมอื ประเมนิ ได้ อย่างหลากหลาย โดยปกติมกั ดำเนนิ การอย่างเปน็ ทางการ มากกว่าการประเมนิ ระหว่างเรยี น 2. การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ จำแนกตามวิธกี ารแปลความหมายผลการเรียนรู้ 2.1 การวัดและประเมนิ แบบองิ กลมุ่ (Norm-Referenced Assessment) เปน็ การวัดและประเมนิ ผล การเรยี นรู้ เพ่ือนำเสนอผลการตดั สนิ ความสามารถ หรือผลสัมฤทธ์ิของผู้เรียน โดยเปรียบเทยี บกนั เองภายในกลุ่ม หรือในชัน้ เรียน 2.2 การวัดและประเมนิ แบบอิงเกณฑ์ (Criterion-Referenced Assessment) เปน็ การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ เพ่ือนำเสนอผลการตดั สนิ ความสามารถ หรอื ผลสมั ฤทธ์ิของผู้เรยี น โดยเปรยี บเทียบ กบั เกณฑท์ ่ีกำหนดข้นึ วธิ กี ารและเครอ่ื งมือวดั และประเมินผลการเรียนรู้ 1.วธิ ีการและเคร่ืองมือวดั และประเมนิ ผลแบบเป็นทางการ (Formal Assessment) เป็นการได้มาซึ่งข้อมลู ผลการเรียนรทู้ นี่ ยิ มใช้กันมาแตด่ ั้งเดิม เหมาะสำหรับการประเมนิ เพอ่ื ตดั สินมากกว่า เพ่อื ประเมินพฒั นาการผ้เู รยี น หรือเพื่อหาจุดบกพรอ่ งในการนำไปปรบั ปรงุ การจดั การเรียนการสอน 2.วิธกี ารและเคร่ืองมือวัดและประเมนิ ผลแบบไมเ่ ป็นทางการ (Informal Assessment) เป็นการได้มา ซง่ึ ข้อมูลผลการเรยี นร้ทู ่ีเนน้ ผู้เรยี นเป็นรายบคุ คล จากแหลง่ ขอ้ มูลหลากหลายทผ่ี ู้สอน เกบ็ รวบรวม ตลอดเวลา เพือ่ พฒั นาการและแก้ไขปัญหาการเรยี นรู้ของผู้เรียน ปรบั การเรียนการสอนให้เหมาะสมข้อมลู ท่ีได้ จะเปน็ ประโยชน์ในการพฒั นาการเรียนรขู้ องผูเ้ รยี นเปน็ รายบุคคล มคี วามยืดหยนุ่ ตามสถานการณ์ และบรบิ ท วธิ กี ารประเมินมวี ธิ ีการทห่ี ลากหลาย เช่น การสงั เกตพฤติกรรม การสอบปากเปลา่ การพูดคุย การใช้ คำถาม การเขยี นสะท้อนการเรยี นรู้ การประเมินการปฏิบตั ิ การประเมินด้วยแฟ้มสะสมงาน การวัดและประเมนิ ด้วยแบบทดสอบ การประเมินด้านความรสู้ ึกนึกคิด การประเมนิ ตามสภาพจรงิ การประเมินตนเองของผูเ้ รยี น

๑๐ การประเมนิ โดยเพ่ือน เป็นต้น เครื่องมอื ที่ใชใ้ นการประเมนิ เช่น แบบทดสอบ แบบวัดพฤติกรรมเชงิ จรยิ ธรรม แบบสอบถาม แบบสังเกต แบบสมั ภาษณ์ แบบตรวจสอบรายการ แบบบันทึกพฤติกรรม แบบบันทึกการเข้ารว่ มกจิ กรรม แบบมาตรประมาณคา่ แบบประเมินภาระงาน/ช้ันงาน เปน็ ต้น เอกสารหลกั ฐานการศกึ ษา .. เอกสารหลกั ฐานการศึกษา ถือเปน็ เอกสารสำคัญที่สถานศึกษาต้องจัดทำขน้ึ เพื่อใช้ในการดำเนินงาน ในดา้ นตา่ งๆ ของการจัดการศึกษา ดงั น้ี .. - บันทกึ ข้อมลู ในการดำเนินการจัดการเรียนการสอน และประเมินผลการเรยี น ได้แก่ แบบบันทกึ ผล การเรยี นประจำรายวิชา .. - ติดตอ่ สือ่ สาร รายงานขอ้ มลู และผลการเรยี นของผู้เรียน ไดแ้ ก่ แบบรายงานประจำตวั นักเรยี น ระเบยี นสะสม - จัดทำ และออกหลักฐานแสดงวฒุ ิ และหรือรับรองผลการเรยี นของผู้เรียน ได้แก่ ระเบียน แสดงผล การเรียน ประกาศนยี บตั ร แบบรายงานผสู้ ำเรจ็ การศึกษา และใบรบั รองผลการเรียน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 กำหนดเอกสารหลักฐานการศึกษา ทสี่ ถานศึกษาจะตอ้ งดำเนินการเป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. เอกสารหลกั ฐานการศกึ ษาท่ีกระทรวงศกึ ษาธกิ ารกำหนด 1.1 ระเบียนแสดงผลการเรยี น (ปพ.1) เปน็ เอกสารสำหรับบนั ทึกข้อมูลผลการเรียน ของผเู้ รยี น ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 ได้แก่ ผลการเรียนตาม กลมุ่ สาระการเรียนรู้ ผลการประเมนิ การอา่ น คิดวเิ คราะห์และเขยี น ผลการประเมินคณุ ลักษณะอัน พึงประสงค์ และผลการประเมนิ กิจกรรมพฒั นาผเู้ รยี น สถานศกึ ษาจะต้องจัดทำและออกเอกสารนี้ ให้ผเู้ รยี นเปน็ รายบุคคล เม่ือผเู้ รยี นจบ การศกึ ษาแตล่ ะระดับ หรือเมื่อผู้เรยี นออกจากสถานศึกษา เพอ่ื ใช้แสดงผลการเรยี นหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขัน้ พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 และใชเ้ ป็นหลักฐาน แสดงวฒุ ิการศกึ ษา เพ่ือสมัครเขา้ ศึกษาต่อ สมคั รงานหรือ ขอรบั สทิ ธิประโยชนอ์ ื่นใดท่ีพึงมีพึงไดต้ ามวุฒิการศึกษานนั้ 1.2 ประกาศนยี บตั ร (ปพ.2) เปน็ เอกสารแสดงวุฒิการศึกษา ท่ีมอบใหแ้ กผ่ ู้จบการศึกษาภาคบงั คับ และผู้สำเร็จการศึกษาข้นั พื้นฐาน ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 เพื่อประกาศ และรับรองวฒุ กิ ารศึกษาของผู้สำเร็จการศกึ ษาตามวุฒิแหง่ ประกาศนยี บัตรนนั้ ประกาศนียบตั รสามารถนำไปใช้ ประโยชน์ ดังนี้ - ใชเ้ ปน็ หลักฐานแสดงวุฒิการศกึ ษา เพ่ือสมคั รเข้าศึกษาตอ่ สมัครงานหรือขอรบั สิทธิประโยชน์ อืน่ ใดท่ีพึงมีพึงได้ตามวฒุ กิ ารศกึ ษาแหง่ ประกาศนยี บัตรนนั้ - ตรวจสอบวฒุ ิทางการศึกษาของผเู้ รียน 1.3 แบบรายงานผสู้ ำเรจ็ การศึกษา (ปพ.๓) เปน็ เอกสารสำหรบั อนมุ ตั ิการจบหลักสูตร ของผูเ้ รยี น ในแต่ละรนุ่ การศกึ ษา โดยบันทึกรายช่ือ และข้อมูลทางการศึกษาของผจู้ บการศึกษาระดับ ประถมศกึ ษา (ช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๖) ผู้จบการศึกษาภาคบังคับ (ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 3) แบบรายงานผู้สำเรจ็ การศกึ ษา (ปพ.๓) จดั ทำเพื่อ - ผู้บรหิ ารสถานศึกษา อนุมัติการจบการศกึ ษาระดับประถมศกึ ษา การศึกษาภาคบังคบั และการศึกษาข้ันพ้ืนฐานของผูเ้ รียน - แสดงรายชอื่ ผจู้ บการศกึ ษาระดบั ประถมศกึ ษา การศกึ ษาภาคบังคับ และการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน ที่ได้รบั การรับรองวฒุ จิ ากกระทรวงศึกษาธกิ าร - เป็นหลกั ฐานในการตรวจสอบ และรับรองวุฒิ หรอื ผลการศึกษาของผูส้ ำเร็จ การศึกษา

๑๑ ตามหลักสูตรการศึกษาน้นั ๆ 2. เอกสารหลักฐานการศึกษาที่สถานศกึ ษากำหนด ในการจัดการศกึ ษาสถานศึกษาจำเปน็ ต้องมขี ้อมูลเกย่ี วกับผูเ้ รียนในดา้ นต่างๆ โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ ขอ้ มลู ด้านความก้าวหน้าในการเรียนรู้สถานศกึ ษา จึงตอ้ งมีเอกสารทจี่ ัดทำข้นึ เพือ่ บันทึกผลการประเมนิ และข้อมลู ตา่ งๆ เก่ยี วกับผูเ้ รยี นเอกสารเหลา่ นี้ ได้แก่ แบบบันทกึ ผลการเรียนประจำรายวชิ า แบบรายงาน ประจำตวั นักเรียน ระเบยี นสะสม ใบรับรองผลการเรียนและเอกสารอ่ืนๆ ตามทส่ี ถานศึกษาเห็นสมควร ๒.๑ แบบบนั ทึกผลการเรยี นประจำรายวิชา เปน็ เอกสารที่สถานศึกษาจดั ทำขนึ้ เพื่อให้ผู้สอนใช้ บันทกึ ข้อมลู การวดั และการประเมนิ ผลการเรียน ตามแผนการจัดการเรียนการสอน และประเมินผลการเรยี น และใชเ้ ปน็ ข้อมูลในการพจิ ารณาตัดสนิ ผลการเรียนแตล่ ะรายวชิ า เอกสารนค้ี วรจดั ทำ เพื่อบนั ทึกข้อมลู ของผูเ้ รยี น เปน็ รายห้องทนี่ ำไปใชป้ ระโยชนด์ งั นี้ -ใชเ้ ปน็ เอกสารเพอ่ื การดำเนินงาน ของผู้สอนแตล่ ะคนในการวดั และประเมนิ ผลการเรียน ของผู้เรียนแต่ละรายวิชา รายห้อง -ใช้เป็นหลักฐานสำหรบั ตรวจสอบ รายงานและรบั รองขอ้ มูลเกย่ี วกับวธิ ีการ และกระบวนการ วดั และประเมินผลการเรียน -เป็นเอกสารทีผ่ ูบ้ รหิ ารสถานศึกษา ใช้ในการอนุมัติผลการเรียนประจำภาคเรียน/ปกี ารศึกษา ๒.๒ แบบรายงานประจำตัวนักเรยี น เปน็ เอกสารท่สี ถานศึกษาจดั ทำขึ้น เพ่ือบนั ทกึ ข้อมลู การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ และพฒั นาการด้านตา่ งๆ ของผเู้ รยี นแต่ละคนตามเกณฑ์การตัดสินการผา่ น ระดับชนั้ ของหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน รวมทัง้ ข้อมูลด้านอืน่ ๆ ของผู้เรียนทง้ั ทบี่ า้ นและโรงเรียน เปน็ เอกสาร รายบุคคล สำหรบั สอื่ สารใหผ้ ู้ปกครองของผู้เรยี น แต่ละคนไดร้ บั ทราบผลการเรียนและพัฒนาการดา้ นตา่ งๆ ของผู้เรยี นและร่วมมือในการพัฒนาผเู้ รยี นอยา่ งต่อเนื่อง ๒.๓ ใบรบั รองผลการเรยี น เปน็ เอกสารทีส่ ถานศึกษา จัดทำข้นึ เพือ่ รบั รองสถานภาพความเปน็ ผู้เรยี น ในสถานศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่หรือรับรองผลการเรียน หรือวุฒขิ องผู้เรยี นเป็นการชัว้ คราว ตามท่ีผู้เรียนร้องขอ ท้งั กรณีท่ผี ูเ้ รยี นกำลังศึกษาอย่ใู นโรงเรียน หรอื เม่อื จบการศกึ ษาไปแลว้ แตก่ ำลังรอรับหลักฐานการศึกษา ระเบียนแสดงผลการเรยี น เป็นต้น ใบรับรองผลการเรยี นมีอายุการใช้งานชั่วคราว โดยปกตปิ ระมาณ 30 วันซ่ึงผูเ้ รียนสามารถ นำไปใชเ้ ป็นหลกั ฐานแสดงคุณสมบตั ิของผเู้ รียนในการสมัครเข้าศึกษาต่อ สมคั รเขา้ ทำงาน หรือเมื่อมกี รณอี ื่นใด ที่ผเู้ รยี นแสดงคณุ สมบัตเิ ก่ยี วกับวฒุ ิความรู้ หรอื สถานภาพการเปน็ ผู้เรยี นของตน ๒.๔ ระเบยี นสะสม เป็นเอกสารทสี่ ถานศึกษาจดั ทำข้ึน เพื่อบนั ทกึ ข้อมูลเกี่ยวกับพฒั นาการ ของผูเ้ รียนในด้านต่างๆ เปน็ รายบุคคลอย่างต่อเน่ือง ตลอดช่วงระยะเวลาการศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขน้ั พื้นฐาน 12 ปี ระเบยี นสะสมใหข้ ้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการแนะแนวทางการศึกษาและการประกอบ อาชีพของผ้เู รยี น การพัฒนาปรับปรงุ บุคลกิ ภาพ การปรับตัวของผ้เู รยี น และผลการเรยี นตลอดจนรายงาน กระบวนการพัฒนาคุณภาพของผ้เู รยี น ระหว่างสถานศกึ ษากบั บา้ น และใช้เป็นหลักฐานในการตรวจสอบ คุณสมบตั ิของผู้เรยี นตามความเหมาะสม การเทียบโอนผลการเรียน สถานศึกษาสามารถเทยี บโอนผลการเรยี นของผเู้ รยี น จากสถานศกึ ษาได้ในกรณีตา่ งๆ ได้แก่ การยา้ ย สถานศึกษา การเปล่ียนรปู แบบการศกึ ษา การย้ายหลักสตู ร การละทิ้งการศึกษา และการขอกลับเข้ารบั การศกึ ษา ตอ่ การศกึ ษา จากตา่ งประเทศและขอเขา้ ศึกษาต่อในประเทศ นอกจากน้ียงั สามารถเทียบโอนความรู้ ทกั ษะ ประสบการณจ์ ากแหลง่ การเรียนรู้อ่ืนๆ เชน่ สถานประกอบการ สถาบันทางศาสนา สถาบันการฝึกอบรมอาชพี การจดั การศึกษาโดยครอบครัว เปน็ ต้น

๑๒ การเทยี บโอนผลการเรยี น ควรดำเนินการในช่วงก่อนเปดิ ภาคเรียนแรก หรือต้นภาคเรียนแรก ทส่ี ถานศึกษารบั ผู้ขอเทยี บโอนเป็นผู้เรยี น ทง้ั นผี้ เู้ รียนที่ได้รับการเทียบโอนผลการเรยี น ตอ้ งศึกษาต่อเน่ือง ในสถานศกึ ษาที่รบั เทยี บโอนอย่างน้อย 1 ภาคเรียน โดยสถานศกึ ษาท่ีรับการเทียบโอน ควรกำหนดรายวิชา จำนวนหน่วยกิต ท่ีจะรับเทียบโอนตามความเหมาะสม การพจิ ารณาการเทยี บโอน สามารถดำเนินการไดด้ ังนี้ ๑. พิจารณาจากหลักฐานการศึกษา ซึ่งจะให้ข้อมูลท่ีแสดงความรู้ ความสามารถของผเู้ รยี น ในดา้ นต่างๆ ๒.พจิ ารณาจากความรู้ประสบการณ์ตรง จากการปฏบิ ัติจริง การทดสอบ การสมั ภาษณ์ เป็นต้น ๓.พิจารณาจากความสามารถ และการปฏบิ ัติจริง การเทียบโอนผลการเรยี น ให้ดำเนนิ การในรปู ของคณะกรรมการการเทียบโอน จำนวนไม่น้อยกว่า 3 คน แต่ไม่ควรเกิน 5 คน โดยมแี นวทางในการเทียบโอน ดงั น้ี ๑. กรณผี ู้ขอเทียบโอน มีผลการเรียนมาจากหลกั สูตรอ่ืน ใหน้ ำรายวิชาหรือหนว่ ยกติ ทีม่ ีมาตรฐาน การเรียนรู้/ตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้/จดุ ประสงค์/เนื้อหา ที่สอดคล้องกันไม่น้อยกวา่ ร้อยละ 60 มาเทียบโอน ผลการเรยี น และพิจารณาให้ระดับผลการเรยี นใหส้ อดคล้องกบั หลักสูตรท่ีรบั เทียบโอน ๒. กรณกี ารเทียบโอน ความรู้ ทกั ษะและประสบการณ์ ให้พิจารณาจากเอกสารหลกั ฐาน(ถ้ามี) โดยให้มีการประเมินด้วยเคร่ืองมอื ทหี่ ลากหลาย และใหร้ ะดับผลใหส้ อดคลอ้ งกับหลกั สตู รทีร่ บั เทียบโอน ๓. กรณกี ารเทยี บโอน ทีน่ กั เรียนเข้าโครงการแลกเปลี่ยนตา่ งประเทศ ให้ดำเนินการตามประกาศ กระทรวงศึกษาธกิ าร เรอ่ื ง หลกั การและแนวปฏิบตั ิการเทียบช้ันการศกึ ษา สำหรบั นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการ แลกเปลีย่ น ท้งั น้ี วิธีการเทียบโอนผลการเรียน ใหเ้ ป็นไปตามหลักการและแนวทางการเทียบโอนผลการเรียน ตามประกาศของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร เรอ่ื ง การเทียบโอนผลการเรียนการศึกษาชัน้ พื้นฐาน และการศึกษา ระดบั อุดมศึกษา ระดบั ต่ำกว่าปริญญา ประกาศ ณ วันท่ี 10 ตุลาคม พ.ศ.2542 และแนวปฏบิ ตั ิที่เก่ยี วกับ การเทยี บโอนผลการเรียน เข้าสู่การศกึ ษาในระบบระดับการศกึ ษาชน้ั พืน้ ฐาน จดั ทำโดยสำนักคณะกรรมการ การศึกษาชนั้ พนื้ ฐาน (สงิ หาคม 2549) ซ่ึงมีรายละเอยี ดดังแสดงใน ตารางต่อไปน้ี การวเิ คราะห์ตัวช้ีวัดสู่การพัฒนาเคร่ืองมอื วดั และประเมินผล เครือ่ งมอื วดั และประเมนิ ผลมคี วามหลากหลาย ทัง้ ด้านเนื้อหา และรปู แบบ เชน่ แบบทดสอบ แบบสงั เกต แบบสมั ภาษณ์ แบบสอบถาม แบบตรวจสอบรายการประเมนิ ภาคปฏบิ ตั ิ การประเมิน โดยใชแ้ ฟ้ม สะสมงาน การจะสร้างหรอื พัฒนาเครือ่ งมอื ให้สอดคล้องกับตวั ชี้วัด และมาตรฐานการเรียนรู้ ควรตอ้ งมี การวิเคราะห์รายละเอียดของตัวชี้วัดว่าตอ้ งการให้ผเู้ รยี นเกิดการเรียนรู้อะไร และจะตรวจสอบด้วยวธิ กี ารใด จะใช้เครอ่ื งมือแบบไหน จึงจะทำให้ทราบวา่ ผ้เู รยี น บรรลตุ วั ชว้ี ดั นั้นๆ ดงั ตวั อย่าง

๑๓ ตัวอยา่ งการวเิ คราะห์ตัวช้ีวัด กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 2 มาตรฐานการเรียนรู้ : ท 1.1 ใชก้ ระบวนการอา่ นสร้างความรแู้ ละความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสนิ ใจแก้ปัญหาในการดำเนินชีวติ และมนี สิ ยั รกั การอ่าน ตัวชว้ี ัด คำสำคัญ (Key Words) วิธกี ารวดั และประเมินผล เครอื่ งมือวัดและประเมินผล 1. อ่านออกเสยี งคำ อ่านออกเสยี งคำ - การสงั เกตการอา่ นออก - แบบบันทึกการสงั เกตการอ่าน คำคล้องจอง ข้อความ คำคลอ้ ง- จอง ข้อความ เสียงคำ คำคล้องจอง ออก เสยี งคำ คำคลอ้ งจอง ข้อความ และบทร้อยกรองงา่ ยๆ และบทร้อย กรองง่ายๆ ข้อความ และบทร้อยกรอง และ บทรอ้ ยกรอง, Rubrics ได้ถูกต้อง ไดถ้ ูกต้อง 2. อธิบายความหมาย อธบิ ายความหมาย - การสงั เกตการพูดอธบิ าย - แบบบนั ทึกการสังเกตการพดู ของคำและขอ้ ความ ของคำ และขอ้ ความ ที่อ่าน ที่อ่าน ความหมายของคำและ และการตรวจผลงานการเขยี น ขอ้ ความท่ีอ่าน อธบิ าย ความหมายของคำ - การตรวจผลงานการเขียน และข้อความที่อา่ น, Rubrics อธิบายความหมายของคำ - แบบทดสอบ และข้อความทอี่ ่าน - การทดสอบ 3. ตง้ั คำถามและตอบ ต้ังคำถาม ตอบคำถาม - การสังเกตการพูดตง้ั - แบบบนั ทึกการสังเกต การพูดตง้ั คำถามเกย่ี วกับเรื่อง เกย่ี วกับเรอื่ งที่อ่าน ทีอ่ า่ น คำถาม และตอบคำถาม คำถามและตอบคำถามเกย่ี วกับเร่ือง เก่ียวกับเรือ่ ง ท่ีอ่าน ทีอ่ ่าน, Rubrics - การตรวจผลงานการเขยี น - แบบบันทึกการตรวจผลงาน ตง้ั คำถามและตอบคำถาม การเขียนตง้ั คำถามและตอบคำถาม เกีย่ วกบั เร่ืองทอี่ ่าน เกย่ี วกับเรอ่ื งท่ีอ่าน, Rubrics -การทดสอบ - แบบทดสอบ 4. ระบใุ จความสำคญั ระบใุ จความสำคญั และ - การสงั เกตการพดู ระบุ - แบบบนั ทึกการสังเกต การพูดระบุ และรายละเอียด รายละเอยี ดจากเรอ่ื ง ใจความสำคัญและ ใจความสำคญั และรายละเอยี ดจาก จากเร่ืองทอ่ี ่าน ทอ่ี า่ น รายละเอยี ดจากเรอื่ งท่ีอา่ น เรื่องท่ีอา่ น, Rubrics - การตรวจผลงานการเขยี น - แบบบันทกึ การตรวจผลงาน ระบใุ จความสำคญั และ การเขียนระบุใจความสำคญั และ รายละเอยี ดจากเร่อื งที่อา่ น รายละเอียดจากเร่ืองท่ีอ่าน, -การทดสอบ Rubrics 5. แสดงความคดิ เหน็ แสดงความคดิ เห็นและ - การสงั เกตการพดู แสดง -- แแบบบบบทันดสทอกึ บการสังเกตการพดู และคาดคะเนเหตุการณ์ คาดคะเนเหตกุ ารณ์ ความคดิ เห็นและคาดคะเน แสดงความคิดเห็นและคาดคะเน จากเรื่องทีอ่ ่าน จากเรือ่ งที่อ่าน เหตุการณจ์ ากเรื่องทอ่ี ่าน เหตุการณ์ จากเรื่องท่ีอ่าน, Rubrics - การตรวจผลงานการเขยี น - แบบบันทกึ การตรวจผลงาน แสดงความคิดเห็นและ การเขียน แสดงความคิดเหน็ และ คาดคะเนเหตุการณ์ คาดคะเน เหตุการณ์จากเรื่อง จากเร่ืองทอี่ า่ น ท่อี ่าน, Rubrics -การทดสอบ - แบบทดสอบ

๑๔ (ต่อ) ตัวช้วี ดั คำสำคัญ (Key Words) วิธกี ารวัดและประเมนิ ผล เคร่อื งมือวัดและประเมนิ ผล 6. อ่านหนังสือตาม - อา่ นหนังสือตามความ - การสงั เกตพฤติกรรม - แบบบนั ทึกการสงั เกตพฤติกรรม ความสนใจอยา่ ง สนใจอย่างสม่ำเสมอ การอา่ น การอา่ น , Rubrics สมำ่ เสมอ และนำเสนอ - นำเสนอเร่อื งทอ่ี ่าน -การตรวจผลงานการ - แบบบันทึกการตรวจผลงาน เร่ืองที่อา่ น นำเสนอเรอ่ื งทีอ่ ่าน การนำเสนอเร่ืองที่อ่าน , Rubrics 7. อา่ นขอ้ เขียนเชิง อ่านข้อเขยี นเชิงอธิบาย - การสังเกตพฤติกรรม - แบบบนั ทกึ การสงั เกตพฤติกรรม อธบิ ายและทำตามคำสั่ง และทำตามคำสั่งหรือ การปฏบิ ตั ติ นตามข้อเขียน การปฏิบัตติ นตามข้อเขยี นเชงิ หรอื ขอ้ แนะนำ ขอ้ แนะนำ เชิงอธบิ ายเก่ยี วกบั การใช้ อธิบายเกี่ยวกับการใช้สถานท่ีใน สถานทใี่ นโรงเรยี น โรงเรียน คำแนะนำการใช้เครื่องใช้ คำแนะนำการใช้ เคร่ืองใช้ ทจี่ ำเปน็ ในโรงเรยี น , Rubrics ท่จี ำเป็นในโรงเรียน 8. มมี ารยาทในการอ่าน มมี ารยาทในการอา่ น - การสังเกตพฤตกิ รรม - แบบบันทกึ การสงั เกตพฤติกรรม การอ่าน การอ่าน, Rubrics ตวั อยา่ งเคร่ืองมือวดั และประเมนิ ผล ตัวช้ีวดั 1 อา่ นออกเสยี งคำ คำคล้องจอง ข้อความ และบทร้อยกรองงา่ ยๆ ได้ถกู ต้อง รายการ ประเมิน 3 เกณฑ์การให้คะแนน 21 1. การอ่านคำ อ่านออกเสยี งคำตามบัญชี อา่ นออกเสยี งคำตามบญั ชี อ่านออกเสยี งคำตามบญั ชี คำพนื้ ฐานช้นั ป.2 ทสี่ ุม่ คำพ้ืนฐานช้นั ป.2 ท่ีสุ่ม คำพื้นฐานช้ัน ป.1 ทสี่ ุ่ม มา 20 คำได้ มา 20 คำได้ มา 10 คำ ไดถ้ กู ต้อง ถกู ตอ้ ง 16 คำขึน้ ไป ถูกตอ้ ง 10-15 คำ น้อยกว่า 10 คำ 2. การอ่าน อา่ นออกเสยี งคำคล้องจอง อ่านออกเสยี งคำคล้องจอง อา่ นออกเสียงคำคล้องจอง คำคล้องจอง (ที่ได้จากการนำคำตามบญั ชี (ทไ่ี ด้จากการนำคำตาม (ทีไ่ ด้จากการนำคำตามบญั ชคี ำ คำพนื้ ฐานชน้ั ป.2 มาประสม บญั ชีคำพ้ืนฐานชัน้ ป.2 พนื้ ฐานช้ัน ป.2 มาประสมกัน) กนั ) ที่สุ่มมา 20 คำ ได้ มาประสมกัน) ทีส่ ุ่มมา ที่สุม่ มา 20 คำ ถกู ตอ้ ง 16 คำขน้ึ ไป 20 คำ ไดถ้ ูกตอ้ ง 10-15 ไดถ้ กู ต้องน้อยกว่า 10 คำ 3. การอ่าน ขอ้ ความ อา่ นข้อความทใ่ี ชค้ ำตามบัญชคี ำ อค่าำนข้อความท่ีใชค้ ำตามบัญชี อ่านขอ้ ความทใ่ี ชค้ ำตามบญั ชีคำ พน้ื ฐานช้นั ป.2 ความยาว คำพื้นฐานช้ัน ป.2 ความยาว พน้ื ฐานชนั้ ป.2 ความยาวประมาณ ประมาณ 10 บรรทัด ประมาณ 10 บรรทดั (100- 10 บรรทดั (100-150 คำ)ใน (100-150 คำ) ในหนงึ่ 150 คำ) หน่งึ หนา้ กระดาษเอ 4 ตวั พิมพ์ หนา้ กระดาษเอ 4 ตวั พิมพข์ นาด ในหนง่ึ หนา้ กระดาษเอ 4 ขนาด 28 28 พอยท์ ได้ถูกต้อง ชดั เจน ตวั พิมพข์ นาด 28 พอยท์ ได้ พอยท์ ไดโ้ ดยอา่ นผดิ หรอื หยดุ คล่องแคล่วโดยอ่านผิดหรอื หยุด ถูกต้อง ชดั เจน สะกดคำมากกว่า 20 คำ สะกดคำไม่เกนิ 10 คำ และเวน้ โดยอ่านผดิ หรอื หยดุ สะกดคำ เวน้ วรรค ตอนผิดเกิน 5แห่ง วรรคตอนถกู สัอง 11-20 คำ เว้นวรรคตอนผิด ไมเ่ กิน 5 แห่ง

๑๕ (ตอ่ ) รายการ ประเมนิ 3 เกณฑ์การใหค้ ะแนน 21 4. การอา่ นบทร้อยกรองอ่านบทร้อยกรองง่ายๆ ที่ใช้คำ อา่ นบทร้อยกรองงา่ ยๆ อา่ นบทร้อยกรองง่ายๆ ทีใ่ ชค้ ำ ง่ายๆ ตามบญั ชีคำพ้ืนฐานชน้ั ป.2 ทใ่ี ช้คำตามบัญชีคำพื้นฐาน ตามบญั ชีคำพนื้ ฐานชน้ั ป.2 ความยาว ประมาณ 100 คำ ช้นั ป.2 ความยาว ความยาว ประมาณ 100 คำ ตวั พิมพ์ขนาด ประมาณ 100 คำ ตัวพมิ พ์ขนาด 28 พอยท์ 28 พอยท์ ได้ถกู ต้อง ซดั เจน ตวั พิมพ์ขนาด 28 พอยท์ ได้โดยอา่ นผิดมากกวา่ 20 คำ เกณฑส์ รปุ โดย1อ0า่ น- ผ1ิด2ไมเ่ คกะนิ แ1น0น คำ ไรดะ้ถดูกบั ต้องคซณุ ดั ภเจาพนดโี ดยอ่านเวน้ วรรคตอนและทำนอง เถวูก้นตว้อ06รงร--ค ต95อนคคแะะลแแะนนทนนำนองปรับตผ5รรปดิอะะรแดดนุง1หัับบแ1ง่ล-ะ2คคท0ุุณณำคนภภำอาาพพเงวผพน้ ิดอวไใรมชร่เ้ กคินผิดมากกว่า 5 แห่ง เกณฑก์ ารผ่านตวั ช้วี ดั ผลการประเมิน ไดร้ ะดบั คุณภาพพอใชข้ น้ึ ไป การผา่ น แบบบนั ทกึ การสังเกตการอ่านออกเสยี ง ตัวช้ีวัด คะแนน ลำดบั ท่ี ชอ่ื -สกลุ นกั เรยี น การ ่อานคำ หมายเหตุ การ ่อาน คำ ค ้ลองจอง การ ่อาน ้ขอความ การ ่อานบท ร้อยกรอง ่งราวยมๆคะแนน ผ่าน ไม่ผ่าน 1. เดก็ หญงิ ศภุ ลักษณ์ สรอ้ ยทอง 3 3 3 3 12 / ดี 2. เดก็ หญงิ วาสนา ชา่ งเจรจา 3 2 1 1 7/ พอใช้ 3. เดก็ ชายสมชาย ชอบเล่น 21 1 15 / ปรับปรงุ 4. เดก็ ชายสามารถ ขยนั เรยี น 2 2 1 1 6 / พอใช้ 5. เดก็ ชายสกุ ิจ อดทน 21 1 15 / ปรับปรงุ ตวั ช้วี ัด 2 อธบิ ายความหมายของคำและข้อความท่ีอ่าน รายการประเมิน 3 เกณฑ์การให้คะแนน 1 2 การพดู อธิบาย -พดู อธบิ ายความหมายของ -พูดอธบิ ายความหมายของ -พูดอธิบายความหมายของ ความหมายของคำ คำ ท่ีอ่านถกู ต้องทกุ คำ คำท่อี ่านถกู ตอ้ งทุกคำ คำที่อ่านบางคำผิด ท่ีอ่าน -ออกเสียงพดู ชัดเจนถูกต้อง -ออกเสียงพดู ไมช่ ัดเจน -ออกเสียงพูดไมช่ ัดเจน การพดู อธบิ าย -พดู อธิบายความหมายของ -พูดอธิบายความหมายของ -พดู อธบิ ายความหมายของ ความหมายของ ข้อความที่อ่านถูกต้องทุก ข้อความทีอ่ ่านถูกตอ้ งทุก ขอ้ ความทอ่ี า่ นบางขอ้ ความผดิ ข้อความท่อี ่าน ข้อความ ข้อความ -ออกเสียงพดู ไม่ชดั เจน -ออกเสียงพูดชัดเจนถกู ตอ้ ง -ออกเสียงพดู ไม่ชัดเจน การเขียนอธิบาย -เขยี นอธิบายความหมายของ คำ -เขยี นอธิบายความหมาย ของคำ -เขยี นอธิบายความหมายของคำ ความหมายของคำ ท่ี ที่อา่ นถกู ต้องทกุ คำ ทีอ่ า่ นถกู ต้องทกุ คำ ทอ่ี ่านผิด 1 คำขน้ึ ไป อา่ น -เขียนสะกดคำถกู ตอ้ ง -เขยี นสะกดคำผดิ 1-2 คำ -เขยี นสะกดคำผดิ 3คำข้ึนไป -ลายมืออ่านง่าย -ลายมอื อ่านง่าย -ลายมอื อา่ นยาก

๑๖ (ตอ่ ) 3 เกณฑ์การใหค้ ะแนน 1 รายการประเมิน -เขยี นอธิบายความหมาย 2 -เขยี นอธิบายความหมาย ของ ข้อความท่อี ่านถูกต้อง ของขอ้ ความท่ีอา่ นผิด 1 การเขียนอธิบาย ทกุ ข้อความ -เขยี นอธบิ ายความหมาย ข้อความขน้ึ ไป ความหมายของ -เขียนสะกดคำถูกต้องทุกคำ ของขอ้ ความท่ีอ่านถูกตอ้ ง -เขยี นสะกดคำผิด 3 คำขน้ึ ไป ขอ้ ความที่อ่าน -ลายมืออ่านง่าย ทุกข้อความ -ลายมืออ่านยาก -เขียนสะกดคำผิด 1-2 คำ -ลายมืออ่านง่าย เกณฑส์ รุป 10 - 12 คะแนน ระดับ คุณภาพดี 6 - 9 คะแนน ระดับ คุณภาพพอใช้ 0 - 5 คะแนน ระดบั คณุ ภาพปรบั ปรงุ เกณฑก์ ารผ่านตวั ชีว้ ัด ผลการประเมนิ ไดร้ ะดับคุณภาพพอใชข้ ้ึนไป แบบบนั ทกึ การสงั เกตการพูดอธิบายและตรวจผลงานการเขยี นอธบิ ายความหมายของคำและขอ้ ความท่ีอา่ น คะแนน การผ่านตัวช้ีวัด ลำดับที่ ช่ือ-สกุลนกั เรยี น การ ูพดอธิบาย ความหมายของคำ ี่ท หมายเหตุ อ่าน การพูดอธิบาย ความหมายของ ข้อความ ี่ท ่อาน การเ ีขยนอ ิธบาย ความหมายของ คำ ่ทีอ่าน การเขียนอธิบาย ความหมายของ ้ขอความที่ ่อาน รวมคะแนน ผ่าน ไม่ผ่าน 1. เด็กหญงิ ศภุ ลกั ษณ์ สรอ้ ยทอง 3 3 3 3 12 / ดี 2. เด็กหญงิ วาสนา ช่างเจรจา 3. เดก็ ชายสมชาย ชอบเล่น 333 2 11 / ดี 4. เด็กชายสามารถ ขยันเรยี น 11 1 14 / ปรับปรงุ 22 2 28 / พอใช้ ตัวชว้ี ัด 3 ตง้ั คำถามและตอบคำถามเกยี่ วกับเรื่องท่ีอา่ น รายการประเมิน 3 เกณฑ์การให้คะแนน 1 2 การพดู ตั้ง คำถาม -ประเดน็ คำถามสอดคล้อง -ประเดน็ คำถามสอดคล้อง -ประเด็นคำถาม 1 คำถาม เกย่ี วกบั เรือ่ ง ที่ กบั เรอ่ื งท่ีอา่ น กับ เรือ่ งท่ีอ่าน ขน้ึ ไปไมส่ อดคลอ้ งกบั เร่ืองท่ี อา่ น -การพดู ตง้ั คำถามใชถ้ ้อยคำ -การพดู ต้ังคำถามใช้ถ้อยคำ อา่ น ถกู ต้องเหมาะสม ถูกต้อง -การพูดต้ังคำถามใช้ถ้อยคำ -นำ้ เสยี งซัดเจน สุภาพ -นำ้ เสยี งยงั ไมซ่ ดั เจน หรือไม่ ไม่ถูกต้อง สุภาพ -น้ำเสยี งยังไม่ซดั เจน หรือไม่ สุภาพ

๑๗ (ตอ่ ) รายการประเมนิ 3 เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน 1 2 การพดู ตอบ -คำตอบตรงประเด็นคำถาม -คำตอบตรงประเด็นคำถาม -คำตอบไม่ตรงประเดน็ คำถามเก่ียวกบั และสอดคลอ้ งกบั เร่อื งท่ีอา่ น และสอดคล้องกับเรอ่ื งที่อ่าน คำถาม และ ไมส่ อดคลอ้ ง เรื่องท่ีอ่าน -การพดู ตอบคำถามใช้ -การพูดตอบคำถามใช้ กบั เรือ่ งท่อี ่าน!-2คำตอบ ถ้อยคำ ถกู ต้องเหมาะสม ถอ้ ยคำถูกต้อง -การพดู ตอบคำถามใช้ -นำ้ เสยี งซัดเจน สุภาพ -นำ้ เสยี งยงั ไมซ่ ัดเจน หรือไม่ ถ้อยคำไม่ ถกู ต้อง สภุ าพ -น้ำเสียงยังไม่ซัดเจน หรือไม่ สภุ าพ การเขยี นตง้ั คำถาม -ประเดน็ คำถามทุกข้อ -ประเดน็ คำถามทุกข้อ -ประเดน็ คำถามไม่ เกีย่ วกับเรอื่ งทีอ่ ่าน สอดคล้องกบั เร่ืองที่อ่าน สอดคล้อง กบั เร่ืองท่ีอ่าน สอดคล้องกับ เรอ่ื งที่อา่ น 1 -การเขยี นตั้งคำถามใช้ -การเขียนตง้ั คำถามใช้ คำถามขึน้ ไป ถอ้ ยคำ ถูกต้องเหมาะสม ถ้อยคำถูกต้อง -การเขยี นตั้งคำถามใช้ -สะกดถูกตอ้ ง -สะกดคำไม่ถกู ต้อง 1-2 คำ ถ้อยคำไม่ ถกู ต้อง -ลายมืออ่านงา่ ย -ลายมืออา่ นยาก -สะกดคำไม่ถกู ตอ้ งมากกว่า 2 -ลายมืออ่านยาก การเขยี นตอบ -คำตอบตรงประเดน็ คำถาม -คำตอบตรงประเด็นคำถาม -คำตอบไม่ตรงประเด็น คำถาม เก่ยี วกบั สอดคล้องกบั เรื่องที่อา่ น สอดคลอ้ งกับเรื่องที่อ่าน คำถาม ไมส่ อดคลอ้ งกับเรื่อง เรือ่ ง ท่ีอา่ น -การเขียนตอบคำถามใช้ –การเขียนตอบคำถามใช้ ที่อ่าน1 คำตอบขึ้นไป ถอ้ ยคำ ถูกต้องเหมาะสม ถ้อยคำถูกต้อง -การเขียนตอบคำถามใช้ -สะกดถูกต้อง -สะกดคำไม่ถกู ต้อง 1-2 คำ ถ้อยคำ ไม่ถกู ต้อง -ลายมืออ่านง่าย -ลายมืออ่านยาก -สะกดคำไม่ถกู ตอ้ งมากกว่า 2คำ -ลายมืออา่ นยาก เกณฑส์ รปุ 10 - 12 คะแนน ระดับ คุณภาพดี 6 - 9 คะแนน ระดับ คุณภาพพอใช้ 0 - 5 คะแนน ระดับ คณุ ภาพปรบั ปรุง เกณฑ์การผา่ นตัวชี้วดั ผลการประเมนิ ได้ระดับคณุ ภาพพอใชข้ ้ึนไป

๑๘ แบบบนั ทึกการสังเกตการพูดตงั้ คำถามและตอบคำถาม และการตรวจผลงานการเขยี น ตัง้ คำถาม และตอบ คำถามเกย่ี วกบั เรอ่ื งที่อ่าน คะแนน การผา่ นตวั ชีว้ ดั ลำดับท่ี ช่ือ-สกลุ นักเรยี น การ ูพด ัต้งคำถาม หมายเหตุ เก่ียวกับเรื่อง ่ที ่อาน การ ูพดตอบคำถาม เกี่ยวกับเร่ืองท่ี ่อาน การเ ีขยนตั้งคำถาม เก่ียวกับเร่ืองที่ ่อาน การเ ีขยนตอบคำถาม เก่ียวกับเร่ือง ่ีท ่อาน รวมคะแนน ผ่าน ไ ่มผ่าน 1. เด็กหญงิ ศภุ ลกั ษณ์ สร้อยทอง 3 3 3 3 12 / ดี 2. เดก็ หญิงวาสนา ชา่ งเจรจา 3. เดก็ ชายสมชาย ชอบเล่น 3 3 3 2 11 / ดี 4. เด็กชายสามารถ ขยนั เรยี น 11 11 4 / ปรบั ปรุง 22 22 8 / พอใช้ ตัวชี้วดั 4 ระบใุ จความสำคญั และรายละเอียดจากเร่ืองท่ีอา่ น รายการประเมนิ 3 เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน 1 2 การพดู ระบุ ใจความ -พดู ระบุใจความสำคัญจากเรื่อง -พดู ระบใุ จความสำคญั จากเร่อื ง -พูดระบุใจความสำคัญจากเรือ่ ง สำคัญจากเรื่องทอี่ ่าน ท่อี ่านได้ถูกตอ้ งครบถว้ นชัดเจน ท่อี ่านได้ถูกตอ้ ง ครบถ้วน แตไ่ ม่ ทอ่ี ่านยังไม่ถกู ต้อง หรือไม่ -การพดู ใชถ้ อ้ ยคำถกู ตอ้ ง ซดั เจนนัก ครบถว้ น เหมาะสม -การพูดใช้ถอ้ ยคำ ถูกตอ้ ง -การพูดใช้ถ้อยคำ ไม่ถกู ต้อง -นำ้ เสยี งชัดเจน สภุ าพ -นำ้ เสยี งยงั ไม่ซดั เจน หรอื ไม่ -นำ้ เสียงยงั ไม่ซดั เจน หรือไม่ สุภาพ สภุ าพ การพูดระบุ -พดู ระบุรายละเอียด -พูดระบรุ ายละเอียด -พูดระบรุ ายละเอียด รายละเอยี ด จากเรอ่ื งท่อี า่ นได้ถกู ต้อง จากเรอื่ งที่อา่ นได้ถูกตอ้ ง จากเรอ่ื งที่อา่ นยังไมถ่ ูกต้อง จากเรื่องท่ีอา่ น ครบถว้ น ชดั เจน เปน็ ลำดบั ครบถว้ น หรอื ไม่ครบถว้ นหรือนอกเร่อื ง -การพูดใช้ถ้อยคำถกู ตอ้ ง -การพดู ใชถ้ ้อยคำถูกต้อง -การพูดใช้ถ้อยคำไม่ถูกต้อง เหมาะสม –นำ้ เสียงยงั ไม่ชัดเจน –น้ำเสยี งยังไม่ชดั เจน -น้ำเสยี งชัดเจน สุภาพ หรอื ไมส่ ภุ าพ หรอื ไมส่ ุภาพ การเขยี นระบุ -เขยี นระบใุ จความสำคัญ -เขียนระบใุ จความสำคัญ -เขียนระบใุ จความสำคญั ใจความสำคัญจาก จากเรอ่ื งทอี่ ่านได้ถูกต้อง จากเรื่องทอี่ า่ นได้ถูกต้อง จากเรื่องท่อี ่านยังไม่ถูกต้อง เรอ่ื งที่อ่าน ครบถ้วน ซดั เจน ครบถ้วน แต่ ไม่ซัดเจนนัก หรือไม่ ครบถ้วน -การเขยี นใชถ้ ้อยคำถูกต้อง เหมาะสม -การเขยี นใชถ้ ้อยคำ ถูกตอ้ ง -การเขียนใชถ้ ้อยคำไม่ -สะกดถูกตอ้ ง -ลายมืออา่ นงา่ ย -สะกดคำไม่ถูกตอ้ ง 1-2 คำ ถูกต้อง -คำสะกดผิด มากกว่า 2 คำ -ลายมืออ่านยาก -ลายมืออ่านยาก (ต่อ)

๑๙ รายการประเมนิ 3 เกณฑ์การให้คะแนน 1 การเขยี นระบุ -เขียน ระบุรายละเอยี ด 2 -เขยี น ระบรุ ายละเอยี ด รายละเอียด จากเรอ่ื งท่ีอ่านได้ถูกต้อง จากเร่อื งที่อา่ นยังไมถ่ ูกต้อง จากเรือ่ งทอี่ ่าน ครบถว้ นชัดเจน เปน็ ลำดับ -เขยี น ระบรุ ายละเอียด หรอื ไม่ครบถ้วนหรอื นอกเร่อื ง -การเขียนใช้ถ้อยคำถูกต้อง จากเร่อื งท่ีอ่านได้ถูกต้อง -การเขียน ใชถ้ ้อยคำไม่ เหมาะสม ครบถ้วน ถกู ต้อง -สะกดถูกตอ้ ง -การเขยี นใช้ถ้อยคำ ถูกต้อง -คำสะกดผดิ มากกว่า 2 คำ -ลายมอื อ่านงา่ ย -สะกดคำไม่ถูกต้อง 1-2 คำ -ลายมืออา่ นยาก -ลายมืออา่ นยาก เกณฑส์ รุป 10 - 12 คะแนน ระดับ คณุ ภาพดี 6 - 9 คะแนน ระดบั คุณภาพพอใช้ 0 - 5 คะแนน ระดบั คุณภาพปรับปรงุ เกณฑ์การผา่ นตัวชี้วัด ผลการประเมนิ ได้ระดบั คุณภาพพอใช้ข้ึนไป แบบบนั ทกึ การสังเกต การพูดระบใุ จความสำคัญและรายละเอียดจากเรอ่ื งที่อา่ น คะแนน การผา่ น ตวั ชี้วดั การพูดระ ุบใจความสำ ัคญ จาก ลำดบั ท่ี ชื่อ-สกลุ นกั เรยี น เร่ือง ี่ท ่อาน หมายเหตุ การพูดระบุ รายละเอียด จาก เร่ือง ่ีท ่อาน การเ ีขยนระ ุบใจความ สำ ัคญ จากเร่ือง ี่ท ่อาน การเ ีขยนระบุ รายละเอียด จาก เร่ือง ่ีท ่อาน รวมคะแนน ผ่าน ไ ่มผ่าน 1. เดก็ หญงิ ศภุ ลักษณ์ สร้อยทอง 3 3 33 12 / ดี 2. เดก็ หญงิ วาสนา ชา่ งเจรจา 33 32 11 / ดี 3. เดก็ ชายสมชาย ชอบเลน่ 111 1 4 / ปรบั ปรุง 4. เด็กชายสามารถ ขยนั เรยี น 222 2 8/ พอใช้ ตวั ช้ีวดั 5 แสดงความคิดเห็นและคาดคะเนเหตกุ ารณ์จากเรื่องที่อา่ น รายการประเมนิ 3 เกณฑ์การให้คะแนน 1 2 -พูดแสดงความคิดเห็นและ การพดู แสดง -พดู แสดงความคดิ เหน็ และ -พูดแสดงความคดิ เห็น คาดคะเนเหตุการณ์ จากเรือ่ งทอ่ี ่านยงั ความคิดเหน็ คาดคะเนเหตุการณ์ จากเร่อื งท่ีอา่ นได้ ไม่สมเหตุสมผล -การพูดใชถ้ ้อยคำ และคาดคะเน จากเร่อื งทอี่ า่ นได้อย่าง สมเหตุสมผล แตค่ าดคะเน ไม่ถูกต้อง –นำ้ เสียงยังไม่ ชดั เจน หรอื ไมส่ ุภาพ เหตกุ ารณ์ สมเหตสุ มผล เหตุการณ์จากเรอ่ื งที่อ่าน จากเร่อื งทอ่ี า่ น -การพดู ใช้ถ้อยคำถูกตอ้ ง ยงั ไมส่ มเหตุสมผล -การพูดใชถ้ ้อยคำถูกต้อง -น้ำเสียงยังไมช่ ดั เจน หรือไมส่ ภุ าพ (ต่อ)

๒๐ รายการประเมนิ เกณฑ์การให้คะแนน การเขียนแสดง ความคิดเหน็ 3 21 และคาดคะเน เหตุการณ์จาก -เขียนแสดงความคดิ เหน็ -เขยี นแสดงความคดิ เห็น -เขียนแสดงความคดิ เหน็ เร่ืองที่อ่าน และคาดคะเนเหตุการณ์ จากเร่ืองทีอ่ ่านได้ และคาดคะเนเหตุการณ์ เกณฑส์ รุป จากเรือ่ งท่อี ่านได้อยา่ ง สมเหตุสมผล แตค่ าดคะเน จากเร่อื งที่ อ่านยงั ไม่ สมเหตสุ มผล เหตุการณ์จากเร่ืองที่อ่าน สมเหตสุ มผล -การเขียนใชถ้ ้อยคำถกู ต้อง ยังไมส่ มเหตสุ มผล -การเขยี นใช้ถ้อยคำไม่ เหมาะสม -การเขียนใชถ้ ้อยคำ ถูกต้อง - ถกู ต้อง -สะกดถูกตอ้ ง สะกดไม่ถูกต้อง 1-2 คำ -สะกดไมถ่ ูกตอ้ งมากกว่า 2 -ลายมืออ่านงา่ ย -ลายมืออ่านยาก คำ -ลายมอื อา่ นยาก 10 - 12 คะแนน ระดับ คุณภาพดี 6 - 9 คะแนน ระดับ คุณภาพพอใช้ 0 - 5 คะแนน ระดบั คณุ ภาพปรบั ปรงุ เกณฑ์การผ่านตัวชวี้ ดั ผลการประเมิน ไดร้ ะดบั คุณภาพพอใช้ข้ึนไป แบบบนั ทกึ การสงั เกตการพูดแลดงความคิดเหน็ และคาดคะเนเหตกุ ารณ์จากเรือ่ งท่ีอา่ นและ การตรวจผลงาน การเขียนแลดงความคิดเหน็ และคาดคะเนเหตกุ ารณ์จากเร่ืองที่อ่าน คะแนน การผา่ นตัวชวี้ ดั ลำดบั ที่ ชือ่ -สกุลนักเรยี น การพูดแสดง ความคิดเ ็หน หมายเหตุ และคาดคะเน เหตุการณ์จาก เรื่องที่ ่อาน การเ ีขยนแสดงความ ิคดเห็นและ คาดคะเนเหตุการณ์จากเร่ือง ีท่ ่อาน รวมคะแนน ผ่าน ไ ่มผ่าน 1 เด็กหญงิ ศภุ ลักษณ์ สรอ้ ยทอง 3 36 / ดี / ดี 2 เดก็ หญงิ วาสนา ช่างเจรจา 3 25 / พอใช้ / พอใช้ 3 เดก็ ชายสมชาย ชอบเล่น 2 13 1 4 เดก็ ชายสามารถ ขยันเรียน 2 24 อา่ นหนงั สอื ทส่ี นใจบ้าง แตไ่ ม่ได้อ่านทกุ วนั ตัวช้ีวัด 6 อา่ นหนงั สือตามความสนใจอย่างสมำ่ เสมอและนำเสนอเรอื่ งท่ีอา่ น รายการประเมิน 3 เกณฑ์การใหค้ ะแนน 2 การอ่านหนงั สือ อา่ นหนงั สือทสี่ นใจทุกวัน อา่ นหนงั สอื ทสี่ นใจทุกวนั ตามความสนใจ วนั ละ มากกว่า 1 ครั้ง วนั ละ 1 คร้งั (ตอ่ )

๒๑ รายการประเมนิ เกณฑ์การให้คะแนน 321 -นำเสนอเร่ืองที่อา่ นด้วย -นำเสนอเรอ่ื งที่อา่ นได้ -นำเสนอเร่อื งท่ีอา่ นได้ วิธีการที่ น่าสนใจ -สาระที่นำเสนอเป็น -สาระทนี่ ำเสนอ ไมใ่ ช่ -สาระทนี่ ำเสนอเปน็ ถูกต้อง สาระสำคญั ถูกต้อง แต่ยงั ไม่ สาระสำคญั ครบถว้ น นา่ สนใจ ครบถ้วน เกณฑส์ รุป 10 - 12 คะแนน ระดับ คุณภาพดี 6 - 9 คะแนน ระดบั คุณภาพพอใช้ 0 - 5 คะแนน ระดับ คุณภาพปรบั ปรงุ เกณฑ์การผา่ นตัวช้ีวดั ผลการประเมิน ไดร้ ะดบั คณุ ภาพพอใชข้ ้ึนไป แบบบนั ทึกการสงั เกตการอา่ นหนงั สือตามความสนใจ และการตรวจผลงานการนำเสนอเรือ่ งทอ่ี า่ น คะแนน การผ่านตวั ชวี้ ัด ลำดบั ท่ี ชอ่ื -สกลุ นักเรียน การอ่าน ห ันงสือตาม ความ หมายเหตุ สนใจ การนำเสนอ เร่ือง ีท่ ่อาน รวมคะแนน ผ่าน ไ ่มผ่าน 1 เด็กหญิงศภุ ลกั ษณ์ สรอ้ ยทอง 3 36 / ดี 2 เดก็ หญิงวาสนา ช่างเจรจา 3 เด็กชายสมชาย ชอบเล่น 1 23 / พอใช้ 4 เดก็ ชายสามารถ ขยันเรยี น 1 12 / ปรบั ปรุง 2 24 / พอใช้ ตวั ชีว้ ัด 7 อ่านข้อเขยี นเชงิ อธบิ ายและทำตามคำส่ังหรอื ข้อแนะนำ รายการประเมนิ 3 เกณฑก์ ารให้คะแนน 1 2 การปฏิบัติตนตาม ปฏบิ ตั ิตนตามคำอธบิ าย ปฏบิ ัติตนตามคำอธบิ าย ปฏบิ ัตติ นตามคำอธิบาย ขอ้ เขยี นเชงิ อธิบาย เก่ยี วกบั การใช้สถานทใี่ น เก่ียวกับการใชส้ ถานที่ใน เก่ียวกบั การใชส้ ถานทใ่ี น เกี่ยวกับการใช้ โรงเรยี นอย่างสม่ำเสมอ โรงเรียนแต่ไม่สมำ่ เสมอ โรงเรยี นโดยตอ้ งมีผอู้ ื่น สถานทใี่ นโรงเรียน บอกหรือเตือน การปฏบิ ตั ิตนตาม ปฏบิ ตั ิตนตาม คำแนะนำ ปฏิบตั ติ นตามคำแนะนำ ปฏบิ ตั ิตนตามคำแนะนำ คำแนะนำการใช้ การใช้เครอ่ื งใช้ท่ีจำเป็นใน การใชเ้ คร่อื งใช้ทจ่ี ำเปน็ ใน การใช้เครื่องใชท้ ่ีจำเป็นใน เครอื่ งใช้ที่จำเป็น โรงเรยี นอยา่ งสมำ่ เสมอ โรงเรียนแต่ไม่สม่ำเสมอ โรงเรียนโดยต้องมีผู้อื่น ในโรงเรียน บอกหรือเตอื น เกณฑส์ รปุ 10 - 12 คะแนน ระดับ คณุ ภาพดี

๒๒ 6 - 9 คะแนน ระดบั คุณภาพพอใช้ 0 - 5 คะแนน ระดบั คุณภาพปรับปรงุ เกณฑก์ ารผ่านตวั ช้ีวัด ผลการประเมิน ไดร้ ะดบั คุณภาพพอใชข้ ึน้ ไป แบบบนั ทึกการสังเกตพฤติกรรมการปฏิบตั ติ นตามข้อเขยี นเชิงอธบิ ายเกีย่ วกับการใช้สถานท่ใี นโรงเรียนและ คำแนะนำการใช้เครอ่ื งใชท้ ่ีจำเปน็ ในโรงเรียน คะแนน การผา่ นตัวช้ีวัด ลำดับท่ี ชื่อ-สกลุ นักเรยี น การป ิฏบัติ ตน ตาม หมายเหตุ ข้อเขียนเชิง อ ิธบาย เก่ียวกับการ ใช้สถานที่ใน โรงเรียน การปฏิบัติตน ตาม คำแนะนำการ ใ ้ชเคร่ืองใช้ ที่ จำเป็นใน โรงเรียน รวมคะแนน ่ผาน ไ ่มผ่าน 1 เดก็ หญงิ ศุภลกั ษณ์ สรอ้ ยทอง 3 3 6/ ดี 2 เด็กหญงิ วาสนา ช่างเจรจา 2 3 เดก็ ชายสมชาย ชอบเล่น 1 2 4/ พอใช้ 4 เด็กชายสามารถ ขยนั เรียน 3 12 / ปรับปรุง 2 5/ ดี ตวั ช้วี ดั 8 มีมารยาทในการอ่าน รายการประเมิน ดี ระดับคณุ ภาพ ปรบั ปรงุ พอใช้ มารยาทในการ -ไม่อา่ นเสียงดังรบกวนผอู้ น่ื -อ่านเสยี งดงั รบกวนผู้อน่ื -อ่านเสยี งดงั รบกวนผู้อ่นื อา่ น -ไมเ่ ลน่ กนั ขณะที่อ่าน -ไม่เล่นกนั ขณะทีอ่ ่าน -เล่นกนั ขณะทีอ่ ่าน -ไม่ทำลายหนังสือ -ไมท่ ำลายหนังสือ -ทำลายหนังสอื -ไมแ่ ย่งอ่านหรอื ชะโงกหน้า -ไมแ่ ยง่ อา่ นหรอื ชะโงกหน้า -แย่งอา่ นหรือชะโงกหนา้ ไปอ่านขณะทผี่ ู้อนื่ กำลงั ไปอ่านขณะทผี่ ู้อ่ืนกำลัง ไปอา่ นขณะทผี่ ู้อ่นื กำลัง อ่าน อ่าน อา่ น หรือ มมี ารยาทในการอ่านประกอบดว้ ย 1. ไมอ่ า่ นเลียงดังรบกวนผ้อู ่นื 2. ไม่เลน่ กนั ขณะที่อ่าน ๓.ไมท่ ำลายหนังสอื 4. ไม่แยง่ อ่านหรือชะโงกหน้าไปอา่ นขณะท่ีผู้อื่นกำลังอ่าน รายการประเมนิ ดี ระดับคณุ ภาพ ปรบั ปรงุ พอใช้ มารยาท มมี ารยาทครบ 4 รายการ มีมารยาทตามข้อ 2 ,3 มมี ารยาทไมเ่ ป็นไปตาม ในการอ่าน และ 4 ทก่ี ำหนด เกณฑ์การผ่านตวั ช้วี ดั ผลการประเมนิ ไดร้ ะดบั คุณภาพพอใช้ขน้ึ ไป แบบบนั ทกึ การสังเกตมารยาทในการอา่ น

๒๓ ลำดับท่ี ชือ่ -สกุลนักเรยี น ระดับคุณภาพ การผา่ นตัวชีว้ ัด หมายเหตุ ดี พอใช้ ปรับปรุง ผา่ น ไมผ่ ่าน 1 เด็กหญิงศุภลกั ษณ์ สร้อยทอง // 2 เด็กหญิงวาสนา ชา่ งเจรจา 3 เด็กชายสมชาย ชอบเลน่ // 4 เด็กชายสามารถ ขยันเรียน / / มักแกลง้ เพ่ือน // การพฒั นาเครื่องมือวัดและประเมินผลการเรียนรู้ แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นดา้ นพทุ ธิพิสยั แบบทดสอบ หมายถึง ชดุ ของคำถามทีส่ รา้ งข้ึน เพ่ือให้ผถู้ ูกทดสอบแสดงพฤติกรรมอย่างใด อย่างหน่งึ ออกมาให้ผ้สู อบสงั เกตได้และวดั ได้ แบบทดสอบเป็นเครื่องมือวดั พฤติกรรมดา้ นพุทธพิ สิ ัย ซ่งึ ถอื วา่ เปน็ สตปิ ัญญา ของมนษุ ย์ทซ่ี ่อนแฝงอยู่ในตัวบคุ คลวา่ มคี วามรู้หรือไมเ่ พียงใด ทั้งในดา้ นพฤติกรรมความรู้ ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ และอ่นื ๆ ถ้าใช้เกณฑก์ ารแบ่งแบบทดสอบตามลักษณะการตอบแลว้ แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท ดงั นี้ 1. แบบทดสอบแบบอัตนยั หรือแบบความเรยี ง มีลกั ษณะเด่นท่ใี หอ้ สิ ระแกผ่ สู้ อบ แบ่งเปน็ แบบจำกัดคำตอบ และแบบไมจ่ ำกดั คำตอบ 2.แบบทดสอบแบบปรนยั แบ่งเป็น แบบถกู ผดิ (True -False) แบบจบั คู่ (Matching) และแบบเลือกตอบ (Multiple -Choice) แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นอาจเป็นแบบปรนัยหรืออตั นัยอยา่ งใดอย่างหน่งึ หรืออาจเป็น ท้งั แบบปรนัยและอตั นัยรวมกันก็ได้ โดยคำนงึ ถงึ วัตถปุ ระสงค์ในการวัดระดบั พฤตกิ รรม การเรยี นรูท้ จ่ี ะวัด จำนวน ผู้เข้าสอบ ระยะเวลาในการสรา้ งขอ้ สอบการดำเนินการสอบและ การตรวจข้อสอบ ตวั อย่างแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นด้านพุทธิพสิ ัย 1. ขอ้ สอบแบบอัตนัยหรือข้อสอบแบบความเรยี งหรือขอ้ สอบแบบบรรยาย เป็นข้อสอบที่ ใชถ้ าม พฤติกรรมผ้เู รียนได้ตั้งแตร่ ะดับความร้คู วามจำ ความเขา้ ใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสงั เคราะห์ และการประเมนิ ค่าได้เปน็ อย่างดี ตวั อย่าง ลกั ษณะคำถามของข้อสอบอตั นัยแบบไม่จำกัดคำตอบ สามารถเขียนคำถาม ไดท้ ุกระดบั พฤติกรรมดังน้ี 1.1 ความรู้ - ความจำ เช่น - จงบอกประโยชน์ของจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรมมา 5 ขอ้ - จงบอกขนั้ ตอนของการตอนต้นไม้มาตามลำดบั 1.2 ความเขา้ ใจ 1) ถามให้เปรยี บเทยี บ เช่น -จงเปรยี บเทียบลกั ษณะอากาศของภาคเหนือกับภาคใต้ - จงเปรียบเทยี บความแตกต่างของการสร้างข้อสอบระหว่างภาคเรียนและปลายภาคเรียน 2) ถามให้บรรยาย เช่น - จงอธิบายววิ ัฒนาการของการทดสอบในประเทศไทย - จงอธบิ ายสภาพการจัดการเรียนการสอนในมหาวทิ ยาลัยราชภฏั อุดรธานี ๓) ถามให้สรุปความ เช่น

๒๔ - จงสรปุ เหตกุ ารณท์ ่เี ป็นสาเหตุทำใหเ้ กดิ สงครามโลกคร้ังที่ 2 - ใจความสำคญั ของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแพ่งชาติ ฉบับที่ 10 กลา่ วไว้อยา่ งไร 1.3 การนำไปใช้ 1) ถามให้คาดคะเนผลท่ีจะเกิด เช่น - ผลท่ีไดร้ บั จากการมนี ักทอ่ งเท่ียวต่างชาติมาเที่ยวในประเทศไทยมากจะเปน็ อยา่ งไร - ผลกระทบท่ีไดร้ ับจากโครงการพัฒนาชนบทของรัฐบาลมีอยา่ งไรบา้ ง 2) ถามให้หาความสมั พนั ธ์ เช่น - ทำไมจึงตอ้ งจัดการศึกษานอกระบบใหก้ บั ประชาชน - เหตใุ นการส่อื สารทางโทรศัพท์ จงึ มีความจำเปน็ ต่อวงการธรุ กิจ 3) ถามให้ยกตัวอยา่ งจากเรอื่ งท่เี รยี นไปแล้ว เชน่ - จงยกตัวอย่างสง่ิ ท่ใี ชห้ ลกั การของ \"ความร้อนทำใหเ้ สน้ ลวดขยายตวั \" ทใ่ี ช้ในชีวิตประจำวัน มา ๓ ตวั อย่าง 4) ถามให้ประยุกตห์ ลักการและทฤษฎใี นสถานการณ์ใหม่ เช่น - ถ้าเราตอ้ งการขึงลวดเพ่ือให้เป็นราวตากผา้ ให้ตึงอยตู่ ลอดเวลาจะทำได้อยา่ งไร 1.4 การวเิ คราะห์ ชนดิ คำถาม ตวั อยา่ งคำถาม 1) ถามใหบ้ อก - อะไรเป็นสาเหตุสำคญั ท่ที ำให้สภาพภมู ิอากาศของประเทศ ความสำคญั ไทยร้อนจดั ในปีนี้ - จงช้ใี ห้เห็นถึงความผดิ พลาดในการให้เหตุผลในบทความตอ่ ไปน้ี 2) ถามให้บอกเหตผุ ล - ถ้าจุดมงุ่ หมายของหลักสูตรเพอ่ื พฒั นาผู้เรยี น ดังน้นั ระบบการ ประเมินผลควรใช้ระบบองิ กล่มุ หรอื อิงเกณฑ์ ดว้ ยเหตผุ ลใด 3) ถามให้หาหลักการ - จงบอกหลกั การท่สี ามารถอธบิ ายเหตกุ ารณ์ต่อไปน้ี 1.5 การสังเคราะห์ ชนดิ คำถาม ตัวอยา่ งคำถาม 1) ถามเกย่ี วกบั แผนงาน จงเขยี นแผนงานทจี่ ะปรับปรงุ บริเวณโรงเรยี นใหส้ ะอาด เรียบรอ้ ย หรอื โครงการ และปลอดภยั 2) ถามให้จดั รวบรวม จากการเรยี นวิชาโครงการสุขภาพในโรงเรยี นไปแล้ว ท่านคิดว่า ขอ้ เท็จจริงใหม่ จะนำเอาความรู้หรอื ข้อเสนอแนะอะไรไปใชใ้ นการพัฒนา โรงเรยี นของทา่ นบ้าง 3) ถามใหแ้ สดง จงบอกวธิ แี กป้ ัญหาเกี่ยวกบั ความประพฤตขิ องนักศึกษาให้มาก ความคิดสร้างสรรค์ ท่ีสุด จงเสนอวิธที ำสอ่ื การสอนด้วยเศษวสั ดุ มาให้มากท่ีสุด 1.6 การประเมินคา่

๒๕ ชนดิ คำถาม ตวั อย่างคำถาม 1) ถามให้ตดั สินใจ การที่รจนาเลอื กเจ้าเงาะถือเปน็ ความผดิ หรอื ไม่เพราะเหตุใด, ถ้าให้สอบปากเปลา่ กับข้อเขียน ท่านคดิ วา่ ทา่ นสามารถจะทำ คะแนนอยา่ งไหนได้ดีกวา่ กัน เพราะเหตุใด 2) ถามให้อภปิ ราย หรอื จงอภิปรายบทบาทของการประเมนิ ผลทมี่ ีต่อกระบวนการศกึ ษา, แสดง ความคดิ เหน็ ท่านเหน็ ดว้ ยกบั คำถามทว่ี า่ \"ขอ้ สอบแบบความเรียงไม่เหมาะที่ วพิ ากษว์ จิ ารณ์ จะใชก้ บั นกั เรยี นช้นั ประถมศึกษา\" หรอื ไมจ่ งให้เหตผุ ล สนับสนนุ ความคดิ ของทา่ น ตวั อย่าง ลกั ษณะคำถามของขอ้ สอบอตั นัยแบบจำกดั คำตอบ เป็นแบบคำถามท่ีจำกดั ให้ ตอบใน เนอื้ หา ปกติจะจำกดั ให้แคบและสน้ั ลงด้วยการกำหนดขอบเขตและประเดน็ คำตอบ ได้แก่ แบบทดสอบ แบบเตมิ คำ หรอื แบบทดสอบโคลช (เปน็ แบบทดสอบท่ใี ช้วดั ความเข้าใจในการอา่ นเอาความ) เชน่ แบบทดสอบโคลช หลักเกณฑ์ทางภาษาไทย ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 คำชแี้ จง จากบทความขา้ งล่างนี้ใหน้ ักเรยี นนำคำที่กำหนดใหม้ าเดมิ ลงในช่องวา่ งให้ถกู ต้อง ตามหลกั เกณฑ์ทางภาษา คำที่กำหนดให้ : โครงสรา้ ง คำตอบ ความเช่อื เช่อื มโยง ผู้สอน ผเู้ รยี น ถาม คำตอบ คาดคะเน ไมใ่ ช่ ประสบการณ์ ความรู้ ผนวก สมอง แต่ ไตร่ตรอง สงสัย แสวงหา สร้างสรรค์ อำนวย ปจั จบุ ันนักการศึกษามีความเชอื่ วา่ (1)...............สามารถสร้างสรรคค์ วามรู้ .......... (2) ทางปัญญา ของตนเองได้ --- (3)...นเ้ี ปน็ อทิ ธพิ ลจาก .......................(4)การสร้างสรรค์ความรู้ถ้า........ (5) เป็ดโอกาสใหผ้ ู้เรยี น สังเกต (6) .ให้คดิ เพื่อกระตุ้นความรสู้ ึก .....................(7) อยากรู้คำตอบ อยากลงมือ .. (8)...คำตอบผูส้ อนต้อง ทำหนา้ ที่ (9) ความสะดวก ช่วยเหลือผู้เรียน มเิ ซน่ นัน้ ผู้เรียนจะหา………………(10)อย่างสะเปะสะปะ ผู้สอนอาจ ฝึกผู้เรียนใหล้ อง …………….(11) คำตอบดูก่อนว่านา่ จะเปน็ อยา่ งไร ซง่ึ การคาดคะเนคำตอบน้ี.....................12) การคดิ ข้นึ มาอย่างลอย ๆ …………. (13) ตอ้ งอาศยั ความรู้หรือ....................................... (14) เดมิ ในโครงสร้าง ความร้ภู ายใน……………. (15) ของผ้เู รียน หรือแสวงหา (16)...ใหม่ตามหลกั วชิ าน้ัน ๆ มา (17) กับความรู้เดิม เมื่อสมองของผูเ้ รยี นรบั ความรู้ใหม่เข้ามาและพยายาม (18) กับความรเู้ ดิม โดยใช้เหตผุ ลพิจารณา ………...(19) พยายามจินตนาการพยายาม คดิ ริเร่มิ (20)………...คำตอบทน่ี ่าจะเป็นไปได้ 2. ข้อสอบแบบปรนัย ข้อสอบแบบปรนัย เป็นข้อสอบท่มี คี ำถามจำเพาะเจาะจง ตรวจได้คะแนนตรงกัน มีคำส่ัง วิธีการ ปฏบิ ัติ และวิธีการตรวจให้คะแนนชัดเจน ข้อสอบแบบปรนัยที่นิยมใชค้ ือ แบบถูกผดิ (Ture - false) แบบจบั คู่ (Matching) แบบเลือกตอบ (Multiple choices) ซ่งึ มรี ายละเอียด ดังนี้ 2.1 ขอ้ สอบแบบถูกผดิ ข้อสอบแบบถูกผดิ เปน็ ข้อคำถามท่ีกำหนดข้อความให้นกั เรียนพิจารณาเลือกตอบสองทางเลือก เชน่ ถกู -ผดิ ใช่-ไม่ใช่ จริง-ไมจ่ ริง เหมือนกนั -ต่างกัน ฯลฯ โดยใช้ความรู้ตามหลักวชิ าเป็น เกณฑ์พิจารณา หลักการ เขียนข้อสอบแบบถกู ผดิ 2.2 ขอ้ สอบแบบจับคู่ ขอ้ สอบแบบจับคู่เป็นขอ้ สอบที่กำหนดข้อความที่สมั พันธ์กันให้ 2 รายการ รายการ ทางดา้ นซ้าย เรียกว่า ตัวยนื หรอื คำถาม รายการด้านขวาเรยี กวา่ ตัวเลือกหรือคำตอบ ให้ผู้ตอบ พจิ ารณาความสัมพนั ธใ์ นรายการ ทัง้ สองที่เกี่ยวข้องกันรายการทีน่ ำมาออกขอ้ สอบแบบจับคู่ ได้แก่ คำศัพท์กบั ความหมาย เหตุการณก์ บั เวลา เวลากบั

๒๖ สถานท่ี ช่อื บคุ คลกบั ผลงานชอ่ื กระบวนการกบั การผลติ กฎกับการใช้เหตุกับผลเครื่องมอื กบั ประโยชนใ์ ช้สอย เป็นต้น 2.3 ขอ้ สอบแบบเลือกตอบ ขอ้ สอบแบบเลือกตอบเปน็ ข้อสอบทปี่ ระกอบดว้ ยข้อความที่เปน็ ขอ้ คำถาม และมีคำตอบใหเ้ ลือก หลายๆคำตอบ ขอ้ สอบประเภทนมี้ ี 2 ตอน คือ 1) ตวั นำหรอื ตวั คำถาม (Stem) เปน็ ข้อความท่เี ป็นตัวเร้าใหผ้ ู้ตอบคดิ 2) ตวั เลอื ก (Choices) เป็นคำตอบหลายๆ คำตอบเพอ่ื ใหผ้ ู้สอบเลือกตอบอยา่ งใด อยา่ งหนึ่ง มีทง้ั ตวั ถกู (Key) และตวั ลวง (Distractor) ขอ้ สอบแบบเลือกตอบเป็นข้อสอบทีไ่ ด้มกี ารพัฒนารปู แบบ และคำถามให้พลิกแพลงได้ มากมายหลาย แบบ ทำให้มีประสทิ ธภิ าพการวัด และมีประโยชน์ทัง้ ทางตรงและทางอ้อมต่อผสู้ อบในการฝึกสมรรถภาพทางสมอง ใหค้ ดิ เปน็ การเขยี นข้อสอบวัดตามการจดั ประเภทจดุ ประสงค์ทางการศกึ ษาด้านพุทธพิ ิสยั (Cognitive) ของบลูม (Benjamin S. Bloom) จำแนกได้ 6 ประเภท ดังนี้ 1) พฤตกิ รรมด้านความรคู้ วามจำ (Knowledge) (1) ความรู้ในเน้ือเร่ือง แยกเป็น 2 ประเภท คือ ความรู้เกีย่ วกับ ศพั ท์และนิยาม เชน่ ข้อ 00. วิหค แปลว่าอะไร ก. นก ข. แมว ค. หนู ง. กวาง ถามความรูเ้ กยี่ วกับกฎและความจริง เช่น สิง่ ใดมคี วามจุความรอ้ นมากทีส่ ดุ (2) ความรู้ในวธิ ีดำเนนิ การ แยกเป็น 5 ประเภท - ความรเู้ ก่ยี วกับระเบียบแบบแผน เช่น การไวท้ ุกข์ของคนไทยใชเ้ สือ้ ผา้ สีอะไร - ความรเู้ ก่ยี วกับลำดบั ขั้นและแนวโน้ม เช่น การดื่มสรุ ามากๆ มกั จะเปน็ โรค เกี่ยวกับอวยั วะใด - ความรเู้ กย่ี วกับการจัดประเภท เชน่ หนงั สือรามเกียรติ์เปน็ คำกลอนชนิดใด - ความรเู้ กี่ยวกับเกณฑ์ เช่น อาหารดมี ีลักษณะอย่างไร - ความรู้เกี่ยวกับวธิ กี าร เช่น ข้อใดคำนวณโดยใช้วิธีคณู ได้ (3) ความรู้รวบยอดในเนื้อเร่อื ง แบง่ เปน็ 2 ประเภท - ความรูเ้ กี่ยวกับหลักวชิ าและการขยาย เช่น ข้อ 00. งู กบ ไสเ้ ดอื น มลี กั ษณะใดที่เหมือนกัน ก. อยู่ในท่ีชมุ่ ช้ืน ข.ออกลูกเป็นไข่ ค.มีกระดูกสันหลัง ง.กนิ แมลงเป็นอาหาร - ความรู้เก่ียวกับทฤษฏีและโครงสรา้ ง เช่น คำสอนของทุกศาสนามเี ปา้ หมาย ในเร่อื งใดเหมือนกัน ๒) พฤติกรรมด้านความเข้าใจ (Comprehension) (1) การแปลความ เชน่ คำวา่ “ขิงกร็ า ขา่ กแ็ รง” มีความหมายตรงกบั ข้อใด ก. ผวั เตะเมียถีบ ข.ผัวดา่ เมยี ร้องไห้ ค.ผวั ยกเมียประคอง ง.ผัวทำงานเมยี เลน่ ไพ่ (2) การตีความ เชน่ ข้อใดที่แสดงวา่ จำนวนทง้ั หมด เป็นจำนวนคู่ (3) การขยายความ เชน่ เม่ือเกิดนำ้ ท่วมในเมืองนาน ๆ จะเกิดโรคอะไรตามมา ๓) พฤติกรรมด้านการนำไปใช้ (Application) เชน่ ขอ้ 00. ถ้าไม่มี ปุ๋ยทใี่ หธ้ าตุแคลเซยี มจะใช้อะไรแทน ก. ข้เี ถ้า ข. ปูนขาวค. ปยุ๋ คอก ง. ปุย๋ หมัก ๔) พฤติกรรมดา้ นการวเิ คราะห์ (Analysis)

๒๗ (1) การวเิ คราะห์ความสำคญั เช่น สิ่งใดมีความสำคัญมากท่สี ดุ ต่อการงอกของเมลด็ พืช (2) การวเิ คราะห์ความสมั พนั ธ์ เชน่ อาชีพคู่ใดมีความสมั พนั ธก์ ันมากกวา่ คู่อน่ื ก. ป่าไมก้ ับทำไร่ ข.ทำนากับค้าขาย ค.ปา่ ไม้กับค้าไม้ ง.ทำนากบั ทำสวน (3) การวิเคราะห์หลักการ เชน่ การเคลอ่ื นที่ของสิ่งใดใช้หลักการผิดกบั ข้ออน่ื ก. พลุ ข.จรวด ค.บัง้ ไพ่ ง.เครื่องบนิ ใบพัด ๕) พฤติกรรมด้านการสงั เคราะห์ (Synthesis) (1) การสงั เคราะห์ข้อความ เชน่ พระเวชสนั ดรเปน็ ตัวอย่างของความดใี นเร่อื งใดนอ้ ยทส่ี ุด (๒) การสังเคราะห์แผนงาน เชน่ คำใดมคี วามหมายแสดงถงึ การวางแผนล่วงหน้า (๓) การสงั เคราะห์ความสัมพนั ธ์ เช่น “แดงสงู กว่าดำ แตเ่ ตี้ยกวา่ เขยี ว ส่วน เหลืองเตย้ี กว่าขาวแต่สูงกว่าแดง” ใครเต้ียทส่ี ุด ๖) พฤติกรรมด้านการประเมนิ ค่า (Evaluation) (๑) การประเมินค่าโดยอาศยั ข้อเท็จจรงิ ภายใน เชน่ จากเร่ืองขุนชา้ งขนุ แผน นางวนั ทองเป็นคนดีหรอื ไม่ (๒) การประเมินค่าโดยอาศยั เกณฑ์ภายนอก เชน่ ตามประเพณีไทย ถอื ว่านางวันทองเปน็ คนดหี รือไม่ การสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นด้านพทุ ธิพิสยั 1. หลกั การสร้างข้อสอบแบบอัตนัย ๑.๑ กำหนดใหช้ ดั เจนว่าตอ้ งการวัดพฤติกรรมดา้ นใดของผู้เรยี น ๑.๒ เขียนคำถามให้ชดั เจน จำเพาะเจาะจงว่าต้องการให้ผู้ตอบทำอยา่ งไร เช่น อธิบาย วเิ คราะห์ แสดงความคดิ เห็น ฯลฯ ๑.๓ เขยี นคำถามวดั พฤติกรรมระดบั สูงๆ ตง้ั แตค่ วามเขา้ ใจข้ึนไป ๑.๔ เขยี นคำถามโดยใชส้ ถานการณใ์ หม่ๆ ไม่ควรถามตามตำราหรือถามในสิง่ ที่เรียนมาแลว้ ๑.๕ ตอ้ งถามเฉพาะสิ่งทเ่ี ปน็ ประเดน็ สำคัญของเรอ่ื ง 2. หลักการสร้างข้อสอบแบบถูกผดิ ๒.๑ ขอ้ ความจะต้องมีความหมายซดั เจนไมก่ ำกวม และไม่ควรใช้คำทแ่ี สดงคุณภาพ เช่น มาก นอ้ ย บ่อยๆ บางครั้ง สว่ นมาก สว่ นน้อย ไม่ค่อยจะ เป็นต้น ควรเลอื กคำท่แี สดงปรมิ าณจะมคี วามหมายชดั เจนกวา่ เชน่ ไม่ดี - พมา่ ยกกองทัพมาตีไทยบ่อยครง้ั ในสมัยกรงุ ธนบุรี ดขี ึ้น - พม่ายกกองทัพมาตีไทย 4 ครัง้ ในสมยั กรงุ ธนบรุ ี ๒.๒ ข้อความท่ีกำหนดใหต้ ้องตัดสนิ ไดว้ ่าถูกหรือผดิ จรงิ และเปน็ สากล เช่น ไมด่ ี - น้ำเดอื ดที่อุณหภมู ิ 100°C ดีขึ้น - ณ ระดับน้ำทะเลน้ำจะเดอื ดที่อณุ หภูมิ 100°C ๒.๓ แต่ละขอ้ คำถามควรถามจดุ สำคัญเพยี งเรื่องเดียว เชน่ ไมด่ ี - อำเภอแมส่ ายอยูใ่ นจังหวัดแม่ฮ่องสอนและอยู่เหนอื สดุ ของประเทศไทย ดขี น้ึ - อำเภอแม่สายอย่ใู นจังหวดั แม่ฮ่องสอน ดีขึน้ – อำเภอแมส่ ายอยเู่ หนือสุดของประเทศไทย ๒.๔ ไมค่ วรสรา้ งข้อคำถามในเชิงปฏิเสธหรอื ปฏเิ สธซอ้ น เพราะจะทำให้ผ้เู รียนเข้าใจผิด

๒๘ ไม่ดี – ถ้านักเรยี นไมอ่ อกไปตากน้ำค้างนักเรียนจะไม่เปน็ หวัด ดีข้ึน – การออกไปตากน้ำคา้ งทำให้นกั เรียนเป็นหวัด ๒.๕ ควรหลีกเลย่ี งการลอกข้อความจากหนงั สือตำราเรียนโดยตรง เพราะจะส่งเสรมิ การเรียนแบบท่องจำ เช่น ไมด่ ี - พ่อของมานีใช้หน่อกล้วยปลกู ดีข้ึน - การปลกู กล้วยตอ้ งใช้หน่อปลกู ๒.๖ หลีกเลีย่ งการใช้คำท่เี ปน็ เครือ่ งช้ีแนะคำตอบหรือชว่ ยให้คำตอบถูกหรือผิดเดน่ ชัดขึ้น ซ่ึงจะทำใหผ้ เู้ รียนเดาคำตอบได้ 3. หลกั การเขียนข้อสอบแบบจับคู่ 3.1เขยี นคำช้ีแจงใหซ้ ัดเจน จะให้จบั คูไ่ ด้เพยี งตัวเลอื กเดยี วหรืออาจจบั คู่ไดห้ ลาย ตัวเลือก 3.2เน้ือหาวิชาทจี่ ะนำมาออกขอ้ สอบแบบจบั คู่ควรเปน็ เอกพนั ธ์ นน่ั คือถามในเร่ือง เดียวกนั เช่น คำชี้แจง : ทางซา้ ยเปน็ คำถาม ทางขวาเปน็ คำตอบ ใหน้ ักเรียนนำเอาหวั ข้อของคำตอบทางขวามือมาใสใ่ น วงเลบ็ หนา้ คำถามทางซา้ ยมือ คำตอบทางขวามือนน้ั สามารถใช้ได้เพียงคร้งั เดยี วหรือไม่ ใช้เลยก็ได้ ( ) 1. ใครเปน็ คนแตง่ หนังสือจนิ ดามณี ก.พระโหราธบิ ดี ( ) 2. ใครเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทย ข.พ่อขุนรามคำแหง ( ) 3. ใครเป็นผู้คดิ ประดิษฐอ์ ักษรไทยขึ้นเป็นคนแรก ค.พระยาโกษาธิบดี ง.พระยาพหลพลพยหุ เสนา จ.พระยามโนปกรณ์นิติธาดา 3.3 ควรใหค้ ำตอบมมี ากกวา่ คำถาม ดงั น้ี ชน้ั ป.1-ป.3 ตัวเลอื กมากกวา่ ตวั คำถาม จำนวน 2 ขอ้ ชั้น ป.4-ป.6 ตัวเลอื กมากวา่ ตัวคำถามจำนวน 3 ข้อชั้นมธั ยมและสูงกว่า ตวั เลอื กมากกว่าตวั คำถามจำนวน 4 ขอ้ กระบวนการสรา้ งแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น มีขน้ั ตอนสำคัญ ดงั นี้ ขน้ั ตอนที่ 1 การวางแผนสร้างขอ้ สอบ ประกอบดว้ ย 1. การกำหนดจดุ มุ่งหมายของการใชแ้ บบทดสอบ ในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรยี น ก่อนจะเรมิ่ เขียนขอ้ สอบ ผสู้ รา้ งขอ้ สอบจะต้องกำหนดจุดมุ่งหมายของการใช้ แบบทดสอบใช้ชดั เจนว่าจะวัดไป เพือ่ อะไร จะได้เขยี นขอ้ สอบใหเ้ หมาะสมและสอดคล้องกับ จดุ มุง่ หมายนัน้ เช่น เพ่ือจัดตำแหนง่ ผู้เรียน เพื่อตรวจสอบความก้าวหน้าของผ้เู รยี น เพื่อปรบั ปรงุ การเรียนการสอน หรือเพื่อสรปุ ผลการเรียนเปน็ ตน้ 2. การกำหนดเน้ือหาและพฤตกิ รรมทต่ี ้องการวัด ผ้สู ร้างข้อสอบจะต้องกำหนดขอบเขต เนอ้ื หา และพฤติกรรมท่จี ะสอบวดั โดยจำแนกพฤติกรรมของตวั ชว้ี ดั ในรายวชิ าทีต่ ้องการวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น เปน็ พฤติกรรมการเรียนรูย้ อ่ ย ๆ ในดา้ นพุทธิพสิ ัย ได้แก่ ความรู้ ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวเิ คราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมนิ ค่า 3. การกำหนดลกั ษณะของขอ้ สอบ แบบทดสอบหรือขดุ ของคำถามท่ีสรา้ งขึ้น เพื่อให้ผ้ถู ูกทดสอบแสดง พฤติกรรมอย่างใดอย่างหนง่ึ ออกมา ใหผ้ ูส้ อบสังเกตไดแ้ ละวัดได้ แบบทดสอบเปน็ เครื่องมือวดั พฤตกิ รรม ด้านพุทธพิ สิ ัย ซ่ึงถือว่าเปน็ สติปญั ญาของมนุษยว์ า่ มคี วามรู้หรอื ไม่เพยี งใด ท่ีซ่อนแฝงอยู่ในตัวบคุ คลทงั้ ในด้านพฤติกรรมความรู้ ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ และอืน่ ๆ 4. การทำแผนผังข้อสอบหรือพมิ พเ์ ขียวแบบทดสอบ (Test Blueprint) หรอื ตารางโครงสรา้ ง ระหวา่ ง เน้ือหา/จดุ ประสงค์การเรียนรู้กบั พฤตกิ รรมการเรยี นรู้ หรอื ตาราง 2 มิติ มิตหิ นึ่ง คือเนื้อหา อกี มิตหิ น่ึง คือ พฤติกรรมการเรยี นรู้ ดงั ตัวอยา่ งการกำหนดพิมพ์เขียวของแบบทดสอบระดับชัน้ ตา่ งๆ ดังน้ี ตัวอยา่ งการกำหนดพมิ พ์เขียวของแบบทดสอบระดบั ชั้นตา่ งๆ ดงั นี้

๒๙ ตัวอย่าง พิมพเ์ ขียวแบบทดสอบหรือตารางโครงสรา้ งระหว่างเนอ้ื หา/จดุ ประสงค์การเรยี นรูก้ ับ พฤติกรรม การเรยี นรู้ พฤติกรรมการเรียนรู้ เนอื้ หา/จุดประสงค์ รู้-จำ รวม การเรยี นรู้ เช้าใจ นำไปใช้ วิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเ ิมน รวม ขน้ั ตอนที่ 2 การลงมือสรา้ งขอ้ สอบ ก่อนที่ลงมือสรา้ งข้อสอบควรทราบหลกั ปฏิบัตใิ นการลงมือสรา้ งข้อสอบ ผู้สรา้ งขอ้ สอบต้องออกข้อสอบ ตามวตั ถุประสงค์เชิงพฤตกิ รรม และแผนผังการออกข้อสอบทกี่ ำหนดไว้ เพราะจะทำให้ออกข้อสอบได้ครอบคลุม เนอื้ หาวชิ าทตี่ อ้ งการจะสอบวัด แลว้ จึงทำตน้ ฉบบั รา่ งแบบทดสอบเปน็ ลำดบั ถดั ไป 1. หลักปฏบิ ัตกิ ารลงมือสร้างข้อสอบ สรุปได้ ดังนี้ 1.1 ผู้สร้างขอ้ สอบวัดผลสัมฤทธ์ิควรประกอบดว้ ยผมู้ ีความร้หู รือผู้รอบรู้ในสาระเนื้อหาวชิ าท่ีจะสร้าง ขอ้ สอบ 1.2 ลักษณะหรอื ประเภทของข้อสอบที่เหมือนกัน ควรจัดอยูใ่ นตอนเดยี วกนั เป็นหมวดหมู่ ซ่ึงจะช่วย ใหง้ า่ ยในการตรวจและให้คะแนน และผเู้ รียนทำข้อสอบได้สะดวกด้วย 1.3ไม่ใชค้ ำหรือข้อความช้ีคำตอบ กลา่ วคอื ในการสรา้ งข้อสอบตัวเลือกที่ถูก มักมีคำหรือข้อความ บางประเภท เช่น “อาจจะ..บางที..” ซึง่ อาจทำให้ผเู้ รยี นที่ไม่มคี วามรสู้ ามารถเดาคำตอบได้ 1.4 ควรเขยี นข้อสอบดว้ ยภาษาที่ง่าย ตรงไปตรงมา ไม่ควรใช้ข้อความปฏเิ สธซ้อนปฏิเสธ 1.5 ควรหลีกเล่ียงวัฒนธรรมทอ้ งถ่ิน 1.6 ไม่ควรใหข้ ้อสอบข้อใดข้อหน่ึงไปแนะคำตอบอีกข้อหนึ่ง 1.7 ไม่ควรลอกข้อความโดยตรงจากหนงั สือมาสร้างเป็นข้อสอบ โดยเฉพาะข้อสอบแบบเดิมคำหรือ ถูกผดิ เพราะถ้าลอกมาไม่หมดจะทำให้ขอ้ สอบคลุมเครอื และสง่ เสรมิ การท่องจำอกี ดว้ ย 1.8ความยากของขอ้ สอบแตล่ ะข้อควรอยู่ที่ระดบั ปานกลางและเรยี งข้อสอบตามความยากง่าย โดยเรียงจากงา่ ยไปหายากนัน้ จะยวั่ ยใุ หผ้ ู้เรียนมีกำลังใจในการทำข้อสอบ 1.9 คำส่ังของข้อสอบควรกะทัดรัด ชดั เจน และสมบรู ณ์ 2. การจัดทำร่างแบบทดสอบ การจดั ทำร่างแบบทดสอบน้ันควรจัดทำตัง้ แตเ่ น่นิ ๆ จะไดม้ ีเวลาปรับปรงุ แกไ่ ขก่อนนำไปใช้จริง ข้ันตอนที่ 3 การตรวจสอบคุณภาพขอ้ สอบก่อนนำไปใช้ การตรวจสอบคุณภาพข้อสอบกอ่ นนำไปใช้โดยทว่ั ไป มีขั้นตอนดังนี้ 1. นำแบบทดสอบทีส่ รา้ งขน้ึ ไปให้ผูเ้ ชีย่ วชาญดา้ นการสอนในรายวชิ านนั้ และดา้ นวดั ผลการศึกษา ควรใช้จำนวน 3 คนขนึ้ ไป ตรวจสอบความเที่ยงตรงดา้ นเนื้อหา(Content Validity) แลว้ ประเมนิ ดชั นี ความสอดคล้องของผู้เช่ียวชาญ (IOC) ค่าดชั นีความสอดคล้องของข้อสอบที่ใช้ได้ ต้องมี ค่าตง้ั แต่ 0.50 ขน้ึ ไป 2. คดั เลอื กข้อสอบที่ใชไ้ ด้จดั ทำเป็นแบบทดสอบนำไปทดลองใช้กบั นักเรยี นที่ไม่ใชก่ ลมุ่ ตวั อยา่ ง

๓๐ แลว้ นำมาตรวจใหค้ ะแนน 3. นำผลการทดสอบมาวเิ คราะห์หาคา่ ความยาก (p) และคา่ อำนาจจำแนก (r) เปน็ รายข้อ และคดั เลือก ขอ้ สอบทีม่ ีความยากงา่ ยระหวา่ ง 0.20 - 0.80 และคา่ อำนาจจำแนกต้งั แต่ 0.20 ขึน้ ไป ไว้ให้ได้จำนวนข้อ ตามทต่ี ้องการแล้วจดั ทำเป็นแบบทดสอบฉบับใหม่ 4. นำแบบทดสอบฉบับใหม่ ไปทดสอบกับนักเรยี นท่ีไม่ใชก่ ลุ่มตัวอยา่ ง แลว้ ผลมาวเิ คราะหห์ าคา่ ความเช่อื ม่ันของแบบทดสอบทง้ั ฉบบั 5. จดั พิมพ์แบบทดสอบเปน็ รปู เลม่ สมบรู ณ์ เพื่อนำไปใชก้ ับนักเรียนกลมุ่ ตัวอย่างหรอื กลุ่มเป้าหมาย ที่ตอ้ งการวัดผลการเรยี นรู้ตอ่ ไป

การสรา้ งแบบทดสอบวนิ ิจฉัยทางการเรยี น แนวคิดการพฒั นาแบบทดสอบเพื่อวนิ จิ ฉยั ผเู้ รยี น การวินจิ ฉยั ทางการเรยี น หมายถึง การพยายามคน้ หาสาเหตขุ ้อบกพร่องปญั หาอปุ สรรค ทเ่ี ปน็ จุดเด่น - จดุ ดอ้ ย ในการเรียนของผู้เรียน เพื่อหาวธิ แี กไ้ ขผู้เรียนให้พฒั นาการเรยี นการสอนให้บรรลผุ ล และมีประสทิ ธภิ าพย่งิ ข้นึ การวนิ จิ ฉยั ทางการเรียนโดยทว่ั ไปนิยมกระทำหลังจากผเู้ รียนไดเ้ รยี นรู้เนอ้ื หาวชิ าเรื่องหน่ึง เรื่องใด จบแลว้ โดยใชแ้ บบทดสอบเพ่ือวินิจฉยั ผู้เรยี น ซ่ึงเปน็ กระบวนการตอ่ เน่ืองจากการสอน แบบทดสอบวนิ จิ ฉยั ทางการเรียน คือ แบบทดสอบที่ใช้ค้นหาสาเหตุ ข้อบกพร่อง จุดเด่น จดุ ดอ้ ย ในการเรยี นของผูเ้ รียนเปน็ รายบุคคล เพ่ือนำมาเปน็ แนวทางในการปรับปรุง แกไ้ ข การเรียนให้มีประสทิ ธภิ าพ ยิ่งขนึ้ ลกั ษณะของแบบทดสอบวนิ ิจฉยั ทางการเรยี น ๑. ประกอบดว้ ย ข้อสอบที่ค่อนข้างง่าย และมีจำนวนมากข้อ ๒. ครอบคลุม จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ ทตี่ ้องการจะวดั แตล่ ะทกั ษะย่อย ๓. ใช้ค้นหาสาเหตุ ของจุดบกพร่องในการเรยี น ๔. ใช้วัดทกั ษะพืน้ ฐาน และระดบั ความรู้ของนกั เรยี น ๕. ให้ความสำคัญกับคะแนนในส่วนยอ่ ย ส่วนคะแนนรวม มคี วามสำคญั น้อยมาก ๖. ผลการสอบ จะนำไปสกู่ ารแก้ไขจุดบกพรอ่ งในการเรยี น ๗. ประเมินผลทั้ง 3 ด้านไดแ้ ก่ พุทธพิ สิ ยั จิตพสิ ยั และทักษะพสิ ยั ๘. ไมก่ ำหนดเวลา ทใี่ ชส้ อบ ๙. ไม่เนน้ ความยาก และอำนาจจำแนก ประโยชน์ของแบบทดสอบวินิจฉัยทางการเรยี น แบบทดสอบวนิ ิจฉัยทางการเรียนจะใหป้ ระโยชน์ต่อผสู้ อนและผเู้ รยี น ดังนี้ ดา้ นผสู้ อน จะช่วยให้สามารถจำแนกผเู้ รียนได้ ใช้เปน็ แนวทางในการวางแผนการสอน มแี นวทางปรบั ปรุงแก้ไขผเู้ รยี น เชน่ จัดสอนซ่อมเสรมิ และไดแ้ นวทางในการปรบั ปรุงเทคนิคการสอนของครู ให้มปี ระสิทธภิ าพย่ิงขนึ้ ดา้ นผ้เู รยี น จะชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นทราบ จดุ เดน่ - จดุ ดอ้ ย ของตนเองเก่ียวกบั การเรยี น และมแี นวทาง ในการปรบั ปรุงแก้ไขพฒั นาตนเองให้ก้าวหนา้ ในการเรยี นย่ิงข้ึน สำหรับเทคนคิ การวินจิ ฉยั การเรียนของผเู้ รียน ครูผู้สอนจะตอ้ งทำตลอดเวลา และทกุ วชิ าที่สอน เพ่ือช่วยใหก้ ารเรยี นการสอนมีประสทิ ธิภาพย่ิงขนึ้ การวนิ จิ ฉัยการเรียนของผ้เู รยี นจำเป็นตอ้ ง อาศัยวธิ ีการวนิ จิ ฉยั หลายๆ วิธปี ระกอบกนั ได้แก่ สงั เกตขณะสอน ศกึ ษารายกรณี ทดสอบ และสมั ภาษณผ์ ู้ปกครอง ซึ่งแตล่ ะวธิ ี มจี ุดมุง่ หมายแตกต่างกันไป ดังน้ี ๑. การสังเกตขณะสอน เพ่ือพิจารณาความสนใจการเรยี น และความมีสมาธใิ นการเรยี นของผูเ้ รยี น ๒. การศกึ ษาผูเ้ รียนเป็นรายกรณี เพอื่ ศึกษาสภาพทว่ั ไปเก่ียวกับผู้เรียนท่คี าดว่าจะมปี ัญหาทางการเรียน ๓. การทดสอบซงึ่ จำแนกเปน็ การทดสอบอย่างละเอียด และการทดสอบทีด่ ำเนินการตามปกติ ๓.1 การทดสอบอย่างละเอยี ด กระทำเพื่อคน้ หาข้อบกพร่องทางการเรยี นของผูเ้ รียน ให้ตรงจุดท่สี ดุ และสามารถทราบวา่ จะต้องแก้ไขท่สี ่วนใด ๓.2 การทดสอบที่ดำเนนิ การตามปกติ เพ่ือดูความกา้ วหน้าทางการเรยี น และดผู ลการเรยี นท่ีได้ จากการสอบของผเู้ รียน ๔. การสัมภาษณ์ผ้ปู กครอง เพื่อปรกึ ษาผูป้ กครองเกีย่ วกบั ปัญหาทางการเรียน และปัญหาด้านอ่ืน ๆ

ของผู้เรยี น สำหรับกระบวนการวินจิ ฉัยข้อบกพรอ่ งทางการเรยี นของผู้เรียน จำแนกได้ 4 ขนั้ ตอน ดังนี้ ขัน้ ตอนท่ี 1 การระบุ ตัวผเู้ รียนที่มขี ้อบกพรอ่ งด้านต่างๆ ขน้ั ตอนท่ี 2 การระบุ ข้อบกพรอ่ งทางการเรยี น เช่น ดา้ นการเรยี นรู้ ดา้ นพฤติกรรม เป็นตน้ ข้นั ตอนที่ 3 การระบุ องค์ประกอบท่ีเปน็ สาเหตุของข้อบกพรอ่ งทางการเรียน เช่น ฐานะทางเศรษฐกจิ ปัญหาครอบครัว การด้อยโอกาสทางการศึกษา สภาพแวดล้อม เป็นตน้ ขั้นตอนท่ี 4 การแก้ไขขอ้ บกพร่องทางการเรียนของผ้เู รยี น เช่น ครนู ำเทคนิคการสอนที่หลากหลาย มาใชพ้ ฒั นาผ้เู รยี น โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ จดั หาหรอื จัดทำสอื่ นวัตกรรม และกิจกรรมใหม่ๆ มาใช้ ในการแกป้ ัญหา การพัฒนาแบบทดสอบวินจิ ฉัยทางการเรยี น วธิ กี ารสรา้ ง และพัฒนาแบบทดสอบวนิ จิ ฉัย มีขั้นตอนดงั น้ี 1. วิเคราะห์เนื้อหา กำหนดขอบเขตเนอื้ หา และระดับพฤติกรรมของผ้เู รยี นอย่างละเอยี ด 2. ออกแบบตารางวิเคราะห์โครงสร้างของวชิ า/รายวิชา ตามหลักสูตรสถานศกึ ษา 3. กำหนดจดุ ประสงค์การเรียนรู้/สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น 4. จัดทำโครงสร้างข้อสอบ(Script) 5. กำหนดลักษณะเฉพาะ (Item Specification) ของข้อสอบ เชน่ แบบปรนัย แบบอตั นัย 6. สรา้ งแบบทดสอบ ทดลองสอบ และหาคุณภาพของข้อสอบรายข้อ ตามหลักสถติ ิ เพ่อื สำรวจ (Survey Test) ตามจดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมทก่ี ำหนดไว้ 7. นำแบบทดลองสอบ หาค่าทางสถติ ิ ปรบั ปรุงคณุ ภาพข้อสอบ กอ่ นนำไปใช้ 8. จดั ทำคู่มือการสร้างและพฒั นาแบบทดสอบ 9. จดั ทำส่อื นวัตกรรม ที่สามารถนำมาใชใ้ นการแก้ปัญหาผเู้ รียนได้ เช่น แบบฝกึ ทักษะ เอกสาร ประกอบการเรียน บัตรภาพ บตั รคำ ฯลฯ ท่ีสอดคล้องกบั จุดประสงค์การเรียนรู้ การหาคณุ ภาพแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน คณุ ภาพของแบบทดสอบ หรือคณุ ลักษณะของขอ้ สอบทีด่ ี ประกอบด้วย ความเที่ยงตรงของเนื้อหา ความเช่อื ม่นั ความเป็นปรนยั ค่าอำนาจจำแนก ค่าความยากงา่ ย เหมาะสมกบั ผเู้ รยี น มีความยุตธิ รรม ถามเชงิ ลึก ถามยว่ั ยุ จำเพาะเจาะจง มปี ระสิทธภิ าพ ก่อนนำเคร่ืองมือเก็บรวบรวมขอ้ มลู ไปใชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มลู การวจิ ัย จำเปน็ ต้องมีการตรวจสอบคุณภาพของเคร่ืองมือเสียกอ่ น เพื่อให้แน่ใจวา่ มีประสิทธิภาพคณุ ภาพสูง คุณภาพของเครอ่ื งมือ บางชนดิ จำเปน็ ตอ้ งตรวจสอบคุณภาพทัง้ 4 ประการ เช่น แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรยี น ส่วนเครื่องมือ บางชนดิ ตรวจสอบคุณภาพเพียง 3 ประการ ได้แก่ แบบสอบถามบางชนดิ แบบวัด เจตคติ ซ่งึ ต้องตรวจสอบ ความตรง ความเทีย่ ง และอำนาจจำแนก และเคร่ืองมือบางชนิด ตรวจสอบคณุ ภาพ เพียง 2 ประเภท ได้แก่ แบบสอบถามบางชนดิ และแบบสัมภาษณ์ ซึง่ ต้องตรวจสอบความตรง และความเทย่ี ง ในทีน่ ี้ จะนำเสนอเฉพาะวธิ ีการหาคณุ ภาพท่ีสำคญั คือ การตรวจสอบคณุ ภาพเคร่ืองมือในด้านความตรง (Validity) ความเที่ยง (Reliability) ความยาก (Difficulty) และอำนาจจำแนก (Discrimination) เท่านั้น 1. ความตรง (Validity) ความตรงอาจพจิ ารณาความหมายในลักษณะท่ีใชป้ ระโยชน์ได้ 3 ประการ คือ 1) ความตรง ทส่ี ามารถสรา้ งความสัมพันธเ์ ชงิ ปฏบิ ัติการกบั ตวั แปรเฉพาะได้ หมายความวา่ ผลของการวัดของเคร่ืองมือรวบรวม ข้อมลู นน้ั สามารถใชค้ าดคะเนได้วา่ จะมีการแสดงพฤติกรรมอยา่ งใด อยา่ งหน่ึงตามต้องการ 2) ความตรง ทม่ี ีลักษณะท่เี ปน็ ความถูกต้อง คือ ขอบเขตที่แนวคดิ ข้อสรปุ หรือการวดั มีความเป็นมาท่ดี ี และสอดคลอ้ งกบั ความ เป็นจริงในโลกแห่งความเปน็ จรงิ คอื สาระสำคัญของเคร่อื งมอื รวบรวมข้อมูลทส่ี ร้างไว้ วัดไดต้ รงกบั สาระสำคัญ

ของสิ่งท่ีตง้ั เป้าหมาย หรอื วัตถปุ ระสงค์ ของการวิจัยทก่ี ำหนดไว้ 3) ความตรง ที่วัดค่าของคุณสมบตั ิ พฤตกิ รรม ของบุคคลไดก้ ล่าว คือ ผลของการรวบรวม ข้อมูลที่วัดไดจ้ ะแสดงลกั ษณะอย่างใดอยา่ งหนึง่ ทีเ่ ปน็ คณุ สมบัติ ทางจติ วทิ ยาของบุคคลนัน้ ๆ ได้ ความตรงของเคร่ืองมอื เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู มหี ลายชนดิ ได้แก่ 1.1 ความตรงเชิงเนอื้ หา (Content Validity) ความตรงตามเนอ้ื หาของเคร่ืองมือ หมายถึง ข้อคำถาม หรือข้อความแต่ละขอ้ และรวมทกุ ขอ้ เปน็ เครอ่ื งมือท้งั ชุดถามไดต้ รง และครอบคลมุ เนือ้ หาตามที่ ต้องการใหว้ ดั หรือไม่ เน้ือหาที่ถามทั้งหมด เป็นตวั แทนของเนอ้ื หาทงั้ หมดทต่ี ้องการให้ถามหรือไม่ ถา้ เคร่ืองมือ รวบรวมขอ้ มลู ฉบบั ใดถามได้ครบถว้ น ครอบคลุมเนื้อหาท่ีตอ้ งการ ให้ถามเนื้อหาท่ีถามเปน็ ตวั แทนของเนอ้ื หา ทั้งหมดทตี่ ้องการใหถ้ าม เคร่ืองมือรวบรวมขอ้ มลู ฉบบั น้ัน มีความตรงตามเนือ้ หา แล้วการตรวจสอบความตรง ตามเนื้อหาของเครื่องมือรวบรวมขอ้ มูล จะกระทำดว้ ยการวิเคราะห์เชิงเหตผุ ล อาศยั ดุลยพนิ จิ ทางวิชาการ ของผูเ้ ช่ียวชาญทางเนื้อหาเป็นเกณฑ์ ซึ่งถา้ เปน็ เคร่อื งมอื รวบรวมข้อมูลที่วดั ความรู้ หรือแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิ การพจิ ารณาของผู้เชี่ยวชาญ จะอาศัยตารางวิเคราะห์หลักสตู ร ซ่ึงจะจำแนกสองทางตามเนอ้ื หา และพฤติกรรม ทีต่ อ้ งการวดั ซ่งึ โดยทั่วไป เน้ือหาและพฤตกิ รรมทต่ี ้องการวัดผลสัมฤทธ์ินนั้ จะมแี นน่ อน ปรากฏตามหลักสูตร ทางตำราคู่มือการสอน และวตั ถุประสงคร์ ายวชิ า แต่ถ้าเป็นเครื่องมอื ท่ีมิใช่วัดผลสัมฤทธ์ิ เช่น แบบวดั เจตคติ แบบวัดบคุ ลกิ ภาพ เนื้อหาทวี่ ัดไม่แนน่ อน การตรวจสอบจึงตอ้ งทำตารางโครงสรา้ งของส่ิงที่ตอ้ งการวดั ให้นยิ าม ความหมาย กำหนดขอบเขต และองค์ประกอบของเนื้อหา ใหช้ ดั เจนโดยยึดกรอบแนวคดิ ใด แนวคดิ หน่ึงท่เี ช่ือถือ ไดเ้ ป็นเกณฑจ์ ากน้ันกต็ รวจสอบดวู า่ ข้อคำถาม หรอื ขอ้ ความแต่ละข้อ ถามได้ตรง ครอบคลุม ครบล้วนและ เปน็ ตัวแทนตามแนวคดิ ทน่ี ำมาเป็นกรอบของการวจิ ัยเร่อื งน้นั หรอื ไม่ ถ้าครบลว้ นกถ็ ือว่าเครอ่ื งมอื รวบรวมข้อมลู ฉบับนั้นมคี วามตรงตามเนื้อหา 1.2 ความตรงเชิงโครงสรา้ งทฤษฎี (Construct Validity) เป็นคุณสมบตั ิของเคร่ืองมือ รวบรวม ข้อมลู หรอื แบบวดั ทส่ี ามารถวัดไดต้ รงตามทฤษฎี หรอื แนวคดิ ของเรื่องราวน้ัน คำว่า โครงสร้างทฤษฎี มคี วามหมายเชงิ นามธรรม ท่ีใช้อธบิ ายองคป์ ระกอบของส่ิงทจี่ ะวัด(trait) ว่า มีองคป์ ระกอบอะไรบ้าง เช่น ตามทฤษฎีจติ วทิ ยาเด็ก ทีว่ ่าเด็กนกั เรียนท่ีมอี ายุมากกว่า จะมีสติปญั ญาดกี ว่าเด็กนกั เรยี นทีม่ ีอายนุ ้อยกวา่ ฉะนน้ั เม่อื สรา้ งเครื่องมือ หรือแบบวัดขึน้ โดยให้มคี วามสัมพนั ธ์ สอดคลอ้ ง กับกรอบแนวคิดหรือโครงสรา้ งทฤษฎี ทกี่ ำหนดแลว้ นำเครื่องมือนั้นไปทดสอบกบั กลุ่มตัวอย่างดังกล่าวแลว้ พบว่า เปน็ จริงตามทฤษฎี กแ็ สดงวา่ เคร่อื งมอื น้ันก็จะมคี วามตรงตาม โครงสรา้ งทฤษฎี การตรวจสอบความตรงเชงิ โครงสรา้ งทฤษฎีทำไดห้ ลายวธิ ี เชน่ 1) การตรวจเชิงเหตผุ ล 2) การตรวจความสอดคล้องภายใน 3) การตรวจหาความสัมพนั ธ์กบั เกณฑ์ท่ีมโี ครงสรา้ งเหมอื นกัน 4) การตรวจสอบด้วยการวิเคราะหอ์ งค์ประกอบ 5) การตรวจสอบดว้ ยการเทียบกับกล่มุ ที่รู้ 6) การตรวจโดยใช้เมตรกิ ซล์ ักษณะหลากหลายวธิ ี วิธีการตรวจสอบข้อ 1) - 6) จะใช้ไดเ้ ฉพาะกับเครือ่ งมือที่มีรปู แบบคำถามท่สี ามารถใหเ้ ปน็ คะแนนได้ เท่านัน้ เช่น แบบทดสอบ แบบวัดเจตคติ แบบประเมนิ คา่ และแบบสอบถาม 13 ความตรงเชิงเกณฑ์สัมพันธ์ (Criterion-Related Validity) เป็นการพจิ ารณาความสัมพันธ์ ระหว่างเครอ่ื งมือรวบรวมขอ้ มูลนน้ั กับเกณฑภ์ ายนอกบางอย่างซ่ึงเป็นสภาพความเปน็ จรงิ ทไี่ ดจ้ ากการปฏิบตั ิ แบ่งเปน็ 2 ประเภทย่อย คอื 1.3.1 ความตรงตามสภาพการณ์ (Concurrent Validity) เป็นความสามารถของเครื่องมือทว่ี ดั ไดต้ รงกบั สภาพความเปน็ จรงิ 1.3.2 ความตรงเชงิ พยากรณ์ (Predictive Validity) เปน็ ความสามารถของเคร่ืองมือที่สามารถ

วดั ได้ตรงกบั สภาพความเป็นจรงิ ในอนาคต หรอื สามารถนำผลการวดั ไปพยากรณ์ลกั ษณะ หรือพฤติกรรมตา่ งๆ ได้ เช่น การสอบคดั เลือกเข้ามหาวทิ ยาลยั ถ้านักเรียนท่ีผ่านการทดสอบด้วยคะแนนสงู แล้ว เม่ือเรยี นจบจะได้คะแนน สงู ดว้ ย แสดงว่าแบบทดสอบคัดเลือกนั้นมีความตรงเชงิ พยากรณ์ การตรวจสอบความตรงเชิงเกณฑส์ มั พนั ธท์ ำได้ดังนี้ 1) การหาสมั ประสิทธิ์ความตรง (Validity Coefficient) โดยคำนวณคา่ สมั ประสทิ ธิ์ สหสมั พนั ธ์ แบบ Pearson Product moment ระหว่างคะแนนจากแบบสอบ กับคะแนนจากสภาพจรงิ ซ่งึ เปน็ การหาความ ตรงตามสภาพการณ์ (Concurrent Validity) 2) สมั ประสทิ ธ์ิสหสัมพนั ธแ์ บบ Pearson Product moment ระหว่างคะแนนในปัจจบุ ันกับ คะแนนในอนาคต หรือระหวา่ งคะแนนในอดีต กบั คะแนนในปัจจุบัน ซึ่งเปน็ การหาความตรงเชิงพยากรณ์ (Predictive Validity) 2. ความเท่ียง (Reliability) ความเทยี่ งที่เกยี่ วกับเครอื่ งมอื รวบรวมข้อมูลทางจิตวิทยา และการศึกษามคี วามเกี่ยวขอ้ งกับ ความตรง และความคลาดเคล่ือนได้ 3 ลกั ษณะ ดังนี้ 2.1 ความเทย่ี งท่ีเก่ียวข้องวา่ เคร่ืองมอื นนั้ ใชว้ ัดแลว้ วัดอกี ได้ผลเหมือนเดิม 2.2 ความเท่ยี งที่เกย่ี วข้องวา่ เคร่ืองมือน้ัน วัดได้ตรงกบั สภาพความเป็นจริงของสงิ่ ท่ีต้องการวดั ตามความหมายนั้นตรงกับความถกู ต้อง 2.3 ความเท่ยี งที่เก่ยี วข้องวา่ เปน็ ความคลาดเคล่อื นในการวัดของเครื่องมือวดั การตรวจสอบความเทย่ี ง มีได้หลายแนวทาง ไดแ้ ก่ 1) การหาความเท่ียงเชิงความคงที่ (Stability) ทำได้โดยใช้วิธีวดั ซำ้ คอื ให้ผตู้ อบกลมุ่ เดียว ทำแบบวัดชดุ เดยี วกนั สองครงั้ ในเวลาห่างกันพอสมควร แล้วนำคะแนนท้ังสองชดุ มาหาความสมั พนั ธ์กัน ถ้าคา่ สมั ประสทิ ธิ์สหสัมพนั ธม์ ีคา่ สูง แสดงวา่ มคี วามเทย่ี งสูง การวดั ความคงทโี่ ดยการวัดซ้ำสามารถใชไ้ ด้ กบั เคร่ืองมือวัดท่ีเปน็ แบบทดสอบ แบบสอบถาม หรือแบบวัดเจตคติ ชนดิ มาตราสว่ นประมาณคา่ โดยคำนวณหา คา่ สัมประสทิ ธิ์สหสมั พันธ์อย่างง่าย (Pearson Product moment Correlation Coefficient) ดังน้ี N xy − ( x)− ( y) N X 2 − ( X )2 NY 2 − (Y )2   rxy = rxy = ค่าสมั ประสิทธส์ิ หสัมพนั ธใ์ นท่ีนี้คอื ค่าความเท่ียง N = จำนวนผสู้ อบ  XY = ผลบวกของผลคูณคะแนนคร้ังแรกและคร้ังทส่ี องเปน็ คู่ๆ X = ผลการบวกของคะแนนการสอบคร้งั แรก Y = ผลการบวกของคะแนนการสอบ X 2 = กำลงั สองของคะแนนครัง้ แรก Y 2 = กำลงั สองของคะแนนครัง้ สอง 2) การหาความเทยี่ งเชิงความเทา่ เทยี มกัน (Equivalence) ทำได้โดยวิธใี ช้ แบบทดสอบคขู่ นาน (Parallel-form) ไปทดสอบพร้อมกนั หรือเวลาใกลเ้ คียงกันสองฉบับกับกลุ่มเดียวกนั แล้วนำคะแนนท้ังสองชุด มาหาความสมั พนั ธ์กัน ถา้ ค่าสมั ประสิทธิ์สหสัมพนั ธ์มีค่าสูง แสดงวา่ มคี วามเที่ยงสูง คำนวณโดยหาค่าสัมประสิทธิ์ สหสมั พนั ธอ์ ยา่ งงา่ ย (Pearson Product moment Correlation Coefficient) ดงั นี้

N xy − ( x)− ( y) N X 2 − ( X )2 NY 2 − (Y )2   rxy = rxy = คา่ สัมประสิทธ์สิ หสมั พนั ธใ์ นท่ีนคี้ ือค่าความเท่ียง N = จำนวนผสู้ อบ  XY = ผลบวกของผลคูณคะแนนจากแบบสอบชดุ X และ Y แตล่ ะคู่ X = ผลการบวกของคะแนนชุด X Y = ผลการบวกของคะแนนชดุ Y X 2 = กำลงั สองของคะแนนชดุ X Y 2 = กำลงั สองของคะแนนชุด Y ในทีน่ ้กี ำหนดให้ X และ Y เปน็ แบบทดสอบทค่ี ู่ขนานกนั ๓. การหาความเทีย่ งเชิงความสอดคล้องภายใน(Internal Consistency)เปน็ วธิ ีทใ่ี ชก้ ารวัดครง้ั เดียว และมีวธิ ปี ระมาณคา่ ความเที่ยงไดห้ ลายวธิ ี คือ (1) วธิ ีแบ่งครงึ่ (Split-Half Method) วิธีนีใ้ ช้แบบวดั เพียงฉบับเดียวทำการวัดคร้งั เดียว แต่แบง่ ตรวจเป็นสองสว่ นทีเ่ ทา่ เทียมกนั เช่น แบง่ เปน็ ชดุ ขอ้ ค่กู บั ข้อค่ี หรือแบ่งคร่ึงแรกกบั ครง่ึ หลงั ท้ังน้ตี ้องวางแผนสรา้ ง ใหส้ องส่วนคขู่ นานกันก่อน วธิ ีวเิ คราะห์คา่ ความเทยี่ งโดยหาคา่ สมั ประสิทธ์ิสมั พันธ์อย่างง่ายระหวา่ งคะแนนท้ังสอง ครงึ่ ก่อนดังนี้ N xy − ( x)− ( y) N X 2 − ( X )2 NY 2 − (Y )2   rxy = rxy = ค่าสัมประสทิ ธสิ์ หสัมพนั ธใ์ นที่นค้ี ือค่าความเท่ียง N = จำนวนผ้สู อบ  XY = ผลบวกของผลคูณคะแนนแต่ละคู่ X และ Y X = ผลการบวกของคะแนนชุด X Y = ผลการบวกของคะแนนชดุ Y X 2 = กำลงั สองของคะแนนชดุ X Y 2 = กำลังสองของคะแนนชุด Y ในทนี่ ก้ี ำหนดให้ X เปน็ คะแนนขอ้ คู่หรือคร่งึ แรกแลว้ แต่กรณี Y เป็นคะแนนข้อคห่ี รือครึ่งหลงั แลว้ แต่กรณี rxy ทไ่ี ด้เปน็ rhh คือ สหสมั พันธร์ ะหว่างคะแนนครึ่งฉบับกับอีกคร่งึ ฉบบั และปรบั ขยาย เปน็ สหสัมพันธ์ท้ังฉบบั ด้วยสูตรของ Spearman Brown ดงั น้ี rtt = 2rhh 1 + rtt (2) วิธีของ Kuder-Richardson เป็นวธิ ที ท่ี ำการวัดเพยี งครง้ั เดยี วแลว้ นำคะแนนมาวเิ คราะห์

โดยใช้สูตรของ Kuder-Richardson ซึ่งมี 2 สูตรคอื K − R20 และ K − R21 ซงึ่ สตู ร K − R20 ใช้ไดก้ ับเคร่ืองมือ ทีใ่ หค้ ะแนน 0-1 และตอ้ งทราบผลการตอบรายขอ้ ดงั นี้ rtt= k  − piqi  k − 1 1 sx2    เมือ่ rtt คอื ค่าประมาณความเท่ียงของเครื่องมือจาก K − R20 k คอื จำนวนขอ้ สอบ pi คือ ค่าความยากของข้อสอบท่ี i qi คอื 1− pi S 2 คอื คา่ ความแปรปรวนของคะแนนสอบ x ส่วนสตู ร K − R21ใช้ไดก้ ับเครื่องมอื ท่ใี ห้คะแนนแบบ 0-1 และข้อสอบทกุ ข้อต้องยากเทา่ กนั หรอื อนโุ ลมให้ใกล้เคียงกัน โดยมีสูตรดังน้ี ( )rtt 1  = k  − X k−x  − ksx2  k 1 เมอ่ื rtt คอื คา่ ประมาณค่าความเท่ียงของแบบทดสอบทง้ั ฉบับจากสูตร K − R21 k คือ จำนวนขอ้ สอบ X คือ ค่าเฉล่ียของคะแนนสอบจากแบบทดสอบท้ังฉบบั ในกลมุ่ บุคคลนน้ั S 2 คือ ค่าความแปรปรวนของคะแนนท่ไี ดจ้ ากการสอบ x วธิ กี ารหาความเทย่ี งเชงิ ความสอดคลอ้ งภายใน โดยคำนวณจากสตู รของ Kuder - Richardson นใี้ ช้กบั เครอื่ งมือท่ีมีการใหค้ ะแนนแบบผดิ ให้ 0 และถูกให้ 1 ซึ่งสูตร K − R21 คำนวณสะดวกกวา่ สูตร K − R20 เพราะไม่ต้องหาสัดส่วนของคนทำถกู และคนทำผิด ของแต่ละขอ้ หรือเพราะไม่ต้องทราบผลการตอบรายข้อ มเี พียงคะแนนสอบทั้งฉบับของผู้ตอบเท่าน้ัน (1) วิธีการหาด้วยสูตรสัมประสทิ ธ์ิแอลฟา (alpha coefficient) ของ Cronbach วิธนี ี้เป็น การหาความเที่ยงแบบ ความสอดคลอ้ งภายในเหมือนกบั วิธขี อง Kuder-Richardson แตจ่ ะใช้ได้กบั เครื่องมือ ทีเ่ ป็นแบบอัตนัยหรอื มาตราส่วนประมาณคา่ ซงึ่ ไมไ่ ด้มีการใหค้ ะแนนแบบ 0-1 มสี ูตรในการคำนวณ ดงั น้ี สตู ร  = k 1 − si2  k − 1 st2   = ค่าความเท่ียงของเคร่ืองมือ k = จำนวนข้อของเคร่ืองมือ si2 = ความแปรปรวนของคะแนนแตล่ ะข้อ st2 = ความแปรปรวนของคะแนนทั้งฉบบั ซึ่งการหาค่าความเท่ียงดว้ ยสตู รสัมประสทิ ธิ์แอลฟาของ Cronbach จะไดค้ ่าความเทย่ี งเทา่ กบั การหาด้วยสตู ร K − R20ทุกประการ

การแปลความหมายของความเทย่ี ง ค่าความเทย่ี งที่ประมาณได้ตามวิธดี ังกล่าว เป็นสัมประสิทธิ์ของความเทย่ี ง ซ่ึงมีความหมาย คลา้ ยกบั คา่ สัมประสทิ ธิ์สหสัมพันธ์กลา่ ว คอื เมื่อเอาคา่ สัมประสิทธิ์สหสมั พนั ธ์ยกกำลังสอง ( rxy ) และคูณด้วย 100 ทำเปน็ ร้อยละจะกลายเป็นคา่ สมั ประสิทธ์ิของความแปรผันร่วม ซงึ่ จะบอกถงึ สัดส่วน หรือร้อยละของความแปรผัน รว่ มกันของตวั แปรสองตวั เช่น = 0.9 ฉะน้นั (0.9)2 X 100 เท่ากับ 81% จะแปลวา่ ตวั แปร X กับตัวแปร Y มีความแปรผนั ร่วมกนั อยู่ 81% ทำนองเดยี วกับค่าสมั ประสทิ ธิ์ของความเที่ยงกส็ ามารถแปลความหมายได้ เช่นกัน ถ้าพบว่า เครื่องมือรวบรวมข้อมูล มีคา่ สัมประสิทธิ์ความเท่ียง ( rtt ) เท่ากับ 0.9 กแ็ สดงว่า เครือ่ งมือนั้นใชว้ ดั ครงั้ แรกกบั วดั คร้งั หลงั จะมีความแปรผนั รว่ มกัน 81% หรือถา้ นำเคร่ืองมือน้นั ไปวดั ซ้ำอีกครั้งจะได้ผลเหมือนเดิม 81% 3. ความยาก (Difficulty) ความยาก คือ สัดส่วนที่แสดงว่าขอ้ สอบน้นั มีคนทำถูกมากหรือน้อย ถ้ามีคนทำถูกมากก็เป็นข้อสอบง่าย ถ้ามคี นทำถูกน้อย ก็เป็นข้อสอบยาก การหาคา่ ความยากเป็นวธิ ตี รวจสอบคณุ ภาพ ของแบบทดสอบที่เกีย่ วกับ สมรรถภาพของสมอง Cognitive Domain และเปน็ แบบทดสอบในระบบ อิงกลุ่ม (norm-reference test) มลี กั ษณะเปน็ การวเิ คราะห์รายขอ้ (Item analysis) ไมใ่ ชเ่ ป็นการวเิ คราะห์ภาพรวมท้งั ฉบับ คา่ ความยากมคี ่า อยรู่ ะหวา่ ง 0 ถึง 1 นิยมเขยี นแทนดว้ ย P สูตรคำนวณ หรือ P = R หรอื P = PH − PL 2n N เมื่อ P = ดัชนคี วามยากง่าย PH = จำนวนผตู้ อบถูกในกล่มุ สูง R = จำนวนผู้ตอบถกู ทงั้ หมด PL = จำนวนผตู้ อบถกู ในกลุ่มตำ่ ค่าร้อยละหรือสดั สว่ นที่คำนวณได้มีความหมายดังน้ี ค่าความยาก ความหมายระดบั ความยาก คณุ ภาพขอ้ สอบ รอ้ ยละ สดั ส่วน 80-100 0.8-1.0 งา่ ยมาก ไมด่ ตี ้องตัดทิ้งหรอื ปรบั ปรุงใหม่ 60-79 0.6-0.79 งา่ ย พอใช้ได้ 40-59 0.4-0.59 ปานกลาง ดีมาก 20-39 0.2-0.39 ยาก พอใช้ได้ 0-19 0-0.19 ยากมาก ไมด่ ีต้องตัดทง้ิ หรือปรบั ปรุงใหม่ ขอ้ สอบท่ีคดั เลือกมาใช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ควรเปน็ ข้อสอบท่ีมีความยากปานกลาง คือ ประมาณ 0.5 แตใ่ นทางปฏิบัติมกั กำหนดเกณฑร์ ะดบั ความยาก ของข้อสอบทเ่ี ลือกไว้ในชว่ ง 0.2-0.8 4. อำนาจจำแนก (Discrimination) อำนาจจำแนก คือ ความสามารถของเครื่องมือในการจำแนกบคุ คล ออกเปน็ สองกลุ่มท่ีต่างกนั คือ กลุ่มเก่ง-กลุม่ อ่อน ในเรื่องทเี่ ป็นสมรรถภาพทางสมอง หรอื กล่มุ สงู -กลุ่มตำ่ ในเร่ืองทเ่ี ป็นความรู้สกึ เช่น เจตคติ ความสนใจ การหาค่าอำนาจจำแนก ใช้ในการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ ในการวิจัยประเภทแบบทดสอบ แบบสอบถามและแบบวดั เจตคติ มีลกั ษณะเป็นการวเิ คราะหร์ ายข้อ คา่ อำนาจจำแนกจะมคี ่าอยู่ระหว่าง (-1) ถงึ (+1) นยิ มแทนด้วย r ถา้ เป็นการหาอำนาจจำแนกของ แบบทดสอบ จะหาจากสตู รตอ่ ไปน้ี คือ

r = pH − pL n เมอ่ื r = ดัชนอี ำนาจจำแนก pH = จำนวนผตู้ อบถูกในกลมุ่ สงู PL = จำนวนผตู้ อบถกู ในกลุ่มต่ำ n = จำนวนผู้ตอบทง้ั หมดของกลุ่มสูงหรอื กลมุ่ ตำ่ นอกจากน้ีการหาคา่ อำนาจจำแนกของแบบทดสอบยังสามารถใช้สตู ร rpbis และ rI(x−I) (สหสัมพันธ์ ระหว่างคะแนนข้อนั้น (I )กบั คะแนนรวมเม่อื ตัดคะแนนข้อนน้ั ออกไป (X − I )หรอื ค่า ItemTotal Correlation ) ได้ แตถ่ ้าเปน็ แบบสอบถามจะใชก้ ารเปรยี บเทียบด้วยคา่ สถิติ t- test ระหว่าง กลุม่ สูง – กลุ่มต่ำ และ ได้rI(x−I) เกณฑ์การพิจารณาคา่ อำนาจจำแนก คา่ อำนาจจำแนก ความหมายของคณุ ภาพขอ้ สอบ 0.40 ข้ึนไป ดีมาก 0.30 – 0.39 0.20 – 0.29 ดีพอสมควร 0.19 ลงไป พอใช้ไดแ้ ต่ควรปรับปรงุ ไมด่ ีต้องตัดทง้ิ หรอื ปรับปรุงใหม่ การพฒั นาเครือ่ งมือวัดและประเมนิ ผลการเรียนร้ดู า้ นจติ พิสัย จิตพสิ ยั หมายถึง การเรยี นรู้ทางดา้ นจติ ใจ ท่ีแสดงออกมาในรปู ของค่านยิ ม เจตคติ ความสนใจ ความซาบซงึ้ พฤติกรรมดา้ นน้ี เร่ิมจากการรบั รู้ส่ิงแวดล้อม และหลงั จากนน้ั บุคคลจะมีปฏิกริ ยิ าโตต้ อบ กับสิง่ แวดลอ้ ม เม่ือมีผลปรากฏออกมาจะนำไปสู่การสรา้ งความรู้สกึ ทีด่ ตี ่อสงิ่ นั้นในทสี่ ุด จะกลายเปน็ ความคิด อดุ มคตซิ ่ึงจะทำหน้าท่ีควบคุมพฤติกรรม ระดับข้ันการพัฒนา บลมู (1960) ไดเ้ สนอแนวคิดในการเกิดพฤติกรรมจิตพสิ ัยไว้ 5 ขัน้

ในการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนนัน้ ครูก็ต้องจัดกจิ กรรมให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมดา้ นจิต พสิ ยั ตามลำดับขั้น คือ การสร้างความตระหนัก ใหผ้ เู้ รยี นเกิดการรบั รูไ้ ปจนถงึ ลำดัน้ การสรา้ งเป็น ลักษณะนิสยั หรอื บคุ ลิกภาพที่ติดตัวไป และการวัดประเมนิ ผลก็ควรสอดคล้องกบั การจดั การเรยี นการสอน คือวัดตามระดบั ช้ัน เชน่ กนั ลักษณะของการวดั พฤติกรรมด้านจติ พสิ ัย มีลักษณะ ดงั นี้ 1. พฤติกรรมดา้ นจติ พสิ ยั ไมส่ ามารถวดั ไดโ้ ดยตรง จะต้องใชว้ ิธกี ารวัดทางอ้อมโดยอาศัย การสงั เกต พฤติกรรมทางกาย และทางวาจาท่ีคาดว่าจะเปน็ การแสดงออกท่ีสะท้อนถงึ พฤตกิ รรมทาง จิตท่ตี ้องการวัด 2. ลกั ษณะดา้ นจิตพิสยั เป็นเร่ืองท่ีเกี่ยวกับความรสู้ กึ ของบุคคลจงึ ไมส่ ามารถจำแนกออกเป็น ความร้สู กึ ท่ถี กู ต้องหรือไม่ถกู ต้องได้อย่างเด็ดขาด 3. พฤติกรรมด้านจติ พสิ ัยเป็นพฤติกรรมทเี่ ปลีย่ นแปลงได้อยา่ งรวดเร็ว และยังขนึ้ อยู่กับสถานการณ์ หรอื องคป์ ระกอบอ่ืน ๆ อกี มาก 4. พฤติกรรมด้านจิตพสิ ัยเปน็ พฤตกิ รรมท่ตี ้องสะสมมาเป็นเวลานาน โดยการอบรมสั่งสอน ดังน้ัน การวัดพฤติกรรมด้านนจ้ี ะต้องกระทำทง้ั ในห้องเรยี นปกติและนอกห้องเรยี น 5. คะแนนที่วดั จากการประเมินพฤติกรรมด้านจิตพิสยั ไมว่ า่ จะวัดมาจากเครอ่ื งมือชนิดใด จะมีความคลาดเคลื่อนค่อนข้างสงู ดังนั้น การนำผลการวดั ไปวิเคราะห์และแปลผลจึงต้องระมัดระวังเป็นพเิ ศษ 6. พฤติกรรมอย่างเดยี วกนั ของหลายคน อาจมาจากตน้ เหตุของจติ ท่แี ตกต่างกนั 7. คนทม่ี คี ุณลกั ษณะทางจติ พสิ ัยเหมอื นกัน อาจมีพฤติกรรมการแสดงออกท่ีแตกต่างกัน และพฤตกิ รรม ท่ีแตกต่างกันอาจมาจากคุณลักษณะทางจติ พิสัยเดียวกัน 8. ผตู้ อบบางคนตอบไมต่ รงกับความเป็นจรงิ เพราะถ้าตอบตรงตามความเปน็ จริงจะทำใหต้ น เสยี ผลประโยชนไ์ ดค้ ะแนนน้อย ภาพพจนใ์ นสายตาคนอนื่ อยูใ่ นระดบั ต่ำ ไม่สอดคล้องกับความมงุ่ หวัง ทางสังคม หลักการวดั พฤติกรรมดา้ นจิตพิสัย การวดั พฤติกรรมดา้ นจิตพสิ ัยควรยดึ หลักสำคญั ดังน้ี (วริ าพร พงศอ์ าจารย์. 2542 : 100-101 ) 1. วดั ใหค้ รอบคลุมคณุ ลักษณะที่ต้องการวดั เนื่องจากคณุ ลักษณะด้านจิตพิสัยเป็นคุณลักษณะสว่ นตัว ซงึ่ ไม่แนใ่ จว่าพฤติกรรมที่แสดงออกมาเปน็ ผลมาจากอารมณห์ รอื ความรู้สึกน้นั ๆ หรือไม่ ดงั นั้นการวดั ผลจึงจำเปน็ ทจ่ี ะต้องใชเ้ คร่ืองมือหลายๆ อยา่ ง 2. วัดหลายๆ ครัง้ เนือ่ งจากคุณลกั ษณะด้านจติ พิสัย อาจเปล่ียนแปลงไดต้ ามสถานการณ์ ดังนนั้ ควรมี การวัดหลาย ๆ คร้งั ในวันและเวลาท่ีแตกตา่ งกันไป จงึ จะทำใหผ้ ลการวัดเชอ่ื ถือได้มากข้ึน 3. วัดอยา่ งตอ่ เนือ่ งควรวดั อยา่ งตอ่ เนื่องและใช้เทคนิคหลายๆ วิธีจงึ จะเชอ่ื ได้วา่ ผลการวัด คุณลักษณะ ด้านจติ พสิ ัยมีความนา่ เชือ่ ถอื และถูกต้อง 4. ความรว่ มมอื ของผทู้ ถ่ี ูกวดั เป็นเรื่องที่สำคัญการวัดด้านจิตพิสยั เป็นการวัดพฤติกรรมสว่ นตัวของบคุ คล ซึง่ บางคนอาจไมต่ ้องการเปิดเผยความจริง เพราะเกรงจะเกิดผลเสยี แกต่ น ดังน้นั ผูว้ ัดจงึ ควรหาเทคนิควิธที ่ีจะทำ ใหผ้ ู้ตอบตอบด้วยความสบายใจและรสู้ กึ ว่าปลอดภัย 5. ใชผ้ ลการวดั ใหถ้ ูกต้อง เนือ่ งจากการวัดด้านจิตพสิ ยั ไม่มีคำตอบที่ถูกหรือผดิ ดังนัน้ คะแนนจากการวดั จงึ ไม่สามารถนำไปใช้ตดั สนิ ได้วา่ ไดห้ รือตก แตเ่ ป็นการวัดเพื่อนำไปพฒั นาบุคคลและหาทางช่วยเหลอื ตอ่ ไป หลกั ในการสรา้ งเครือ่ งมือวัดดา้ นจติ พสิ ัย มีข้ันตอนในการสรา้ ง ดังน้ี 1. กำหนดเป้าหมายทจ่ี ะวัดและกำหนดและกำหนดความหมายของสิ่งที่ต้องการวัดใหช้ ดั เจน 2. ศึกษาทฤษฏี เนอื้ หาสาระ แนวคดิ ผลงานการวิจยั ทีเ่ ก่ียวข้องกบั คณุ ลักษณะของสิ่งที่ ต้องการวดั วา่ แต่ละคณุ ลักษณะน้ันเป็นอย่างไร

3. ศึกษาวิธกี ารสร้างเครือ่ งมือท่ีสอดคลอ้ งกบั การวดั คณุ ลักษณะดงั กลา่ วแล้วเลือกเคร่ืองมือทเ่ี หมาะสม กบั ข้อความชดุ น้ันซงึ่ อาจเปน็ สำรวจรายการ มาตรวัดประมาณค่า แบบสอบถามหรอื แบบวัด เปน็ ต้น 4. สร้างนิยามปฏิบตั ิการ และกำหนดพฤติกรรมย่อยทเ่ี ปน็ ตวั แทนของคุณลักษณะท่ีตอ้ งการวัด 5. เขยี นข้อความทเ่ี ปน็ การแสดงออกตามกลมุ่ พฤติกรรมที่กำหนดไว้ใน ข้อ 4 6. ให้ผูเ้ ช่ยี วชาญพิจารณาความสอดคล้องเหมาะสมของพฤติกรรม ความเที่ยงตรงของ ข้อความ 7. ปรบั ปรุงและนำไปทดลองใช้ หาคุณภาพรายขอ้ 8. คัดเลอื กขอ้ แบบที่มีคุณภาพ จดั พมิ พ์เปน็ ฉบบั สมบรู ณ์ และสรา้ งเกณฑใ์ นการแปล ความหมาย คะแนน พร้อมทง้ั เขยี นคู่มือการใช้เครอ่ื งมือ ขน้ั ตอนการสรา้ งเครื่องมือวดั คณุ ลักษณะดา้ นจิตพิสยั สรปุ เปน็ แผนภาพ ได้ดังน้ี เคร่อื งมอื วดั คณุ ลักษณะด้านจติ พิสัย เครอ่ื งมอื ท่ีใชว้ ดั คณุ ลักษณะด้านจติ พสิ ัย ไดแ้ ก่ แบบสงั เกต มาตราสว่ นประมาณคา่ (Rating Scale) (นยิ มใช้แบบมาตราวดั ตามวธิ กี ารของลเิ คริ ์ท) แบบสมั ภาษณ์ แบบสำรวจรายการ (Check List)

แบบบันทึกและแบบสอบถาม ประเด็นที่จะกลา่ วเกย่ี วกับการวัดคณุ ลกั ษณะด้านจิตพิสัย มดี ังนี้ 1. คณุ ลกั ษณะด้านจติ พิสัย คุณลักษณะดา้ นจติ พสิ ยั มีหลายชนิด ไดแ้ ก่ เจตคติ (ทัศนคติ), คา่ นยิ ม, ความสนใจ, ความรู้สึก, ความซาบซ้ึง, ความเห็น, ความรับผิดชอบ, ความวติ กกังวล, การปรบั ตัว, แรงจูงใจ ใฝ่สมั ฤทธิ์, มโนภาพเกยี่ วกับตนเอง, ลักษณะการแสดงตัว-การเกบ็ ตวั ,ระดับ จริยธรรม, สุขภาพจิต, การใชเ้ หตุผล เชิงจรยิ ธรรม, ความสำนกึ ในหนา้ ทพี่ ลเมือง, คุณธรรม, บุคลกิ ภาพ, พฤติกรรมเชิงจริยธรรม เปน็ ต้น บางชนิด มีรายละเอียดเก่ียวกบั การวดั ดงั ตวั อยา่ งต่อไปนี้ ดา้ นเจตคติ และความสนใจ อาจมีรายละเอียดการวดั ตามกรอบ ดังน้ี ทม่ี ีตอ่ เจตคติ ความสนใจ อาชีพตา่ งๆ บุคคล สถานที่ เหตุการณ์ ฯลฯ ด้านคุณธรรม อาจมรี ายละเอียดการวดั ตามกรอบ ดังน้ี คณุ ลกั ษะท่ีพึงประสงค์ การอนุรักษ์ การถ่ายทอด 1. ความชอื่ สตั ย์ 2. รกั ชาตศิ าสนา พระมหากษตั รยิ ์ 3. ความเอ้อื เฟ้อ 4. ความกตญั ญกู ตเวที 5. กาการยึดบาปบุญ 6. จริยธรรมมีองคแ์ ปด ฯลฯ ดา้ นพฤติกรรมเชงิ จรยิ ธรรม (พฤติกรรมท่ีนักเรยี นประพฤติปฏบิ ัติในทางท่ีถกู ต้อง ดงี าม และ เหมาะสม) อาจมีรายละเอยี ดการวดั ตามกรอบ ดังนี้ พฤติกรรมเชิงจริยธรรม ตอ่ ตนเอง ระดบั จรยิ ธรรม ตอ่ สว่ นร่วม ต่อผูอ้ น่ื 1. ความชือ่ สตั ยส์ ุจรติ 2. ความขยนั หมนั่ เพียร 3. หริ โิ อตัปปะ 4. เมตตากรุณา 5. การเสยี สละ ฯลฯ ตวั อยา่ ง ความชื่อสตั ย์สุจริต เปน็ จริยธรรมท่เี น้นความช่ือตรงต่อตนเอง หนา้ ที่การงาน คำมั่นสญั ญา แบบแผน กฎหมาย และต่อความถกู ต้องอันดงี าม ประกอบด้วยพฤติกรรม ดังน้ี

ระดบั ตอ่ ตนเอง : ชอ่ื ตรงต่อเวลา, ตอ่ งานทท่ี ำ ระดบั ต่อผู้อ่ืน : ชือ่ ตรงต่อการนัดหมาย, ต่อการให้สญั ญา ระดบั ต่อส่วนรวม : ชื่อตรงต่อข้อตกลง, ต่อระเบียบ และต่อหมู่คณะ 2. วธิ ีวดั คณุ ลกั ษณะด้านจิตพิสัยแยกเป็น 2.1 การวัดโดยอาศัยการสงั เกต การสงั เกต หมายถงึ การศกึ ษาเพ่อื ทำความเข้าใจเก่ียวกบั บุคคล โดยใช้ประสาทสมั ผสั ของผู้สงั เกต เฝ้าดพู ฤติกรรมต่างๆ ทบี่ ุคคลนน้ั แสดงออกมาในลกั ษณะท่เี ป็นจริงตามธรรมชาติโดยมี จุดม่งุ หมายที่แน่นอน ในการดูและไม่มีการควบคุมสถานการณ์ที่ทำการศึกษาการสงั เกตสามารถ แบ่งได้โดยใชเ้ กณฑ์ในการแบ่ง 3 เกณฑ์ ดังน้ี 2.1.1 ใชว้ ธิ กี ารใชก้ ารสงั เกตเปน็ เกณฑ์ แบง่ ได้ 2 ประเภท คือ 1) การสังเกตทางตรง (direct observations) คือวิธีการสงั เกตท่ี ผู้สังเกตไปสังเกต ด้วยตนเองตลอดเวลา 2) การสงั เกตทางอ้อม (indirect observations) คือวิธที ผี่ สู้ งั เกตไม่ได้สงั เกต ด้วยตนเอง แต่ส่งตวั แทนไปแล้วกลับมาเล่าพฤติกรรมทส่ี งั เกตได้ให้ฟ้ง 2.1.2 ใช้ผูส้ งั เกตเป็นเกณฑ์ แบ่งได้ 2 ชนดิ ดังน้ี 1) การสงั เกตโดยการเข้าร่วม (participant observations) คอื การทผ่ี สู้ งั เกต เขา้ ไปอยู่ ในสถานการณท์ ีส่ ังเกต โดยทำตนเป็นเหมือนสมาชิกในกลมุ่ นน้ั เช่น การศกึ ษาพฤติกรรม ของคนในหม่บู ้าน โดยการเขา้ ไปอยใู่ นหมู่บา้ น 2) การสังเกตโดยการไมเ่ ขา้ ร่วม(non-participant observations) คือการที่ผู้ สังเกตไมไ่ ด้ เขา้ ไปอยใู่ นสถานการณ์ เพียงแตอ่ ยู่ภายนอกสถานการณ์เพ่ือคอยสงั เกตเพียงอยา่ งเดียว 2.1.3 ใช้ผูถ้ กู สงั เกตเป็นเกณฑ์ แบง่ ออกได้ 2 ชนิด คือ 1) การสงั เกตเปน็ ทางการ (formal observations) คอื การที่ ผูถ้ กู สงั เกตรตู้ วั ว่า ถูกสังเกต เพราะมีการบอกจดุ มุง่ หมาย วัน เวลา สถานที่ ที่จะสงั เกตไวล้ ่วงหนา้ 2) การสังเกตแบบไม่เป็นทางการ (informal observation) คือการสังเกตที่ผู้ถูก สังเกต ไมร่ ู้ตวั ว่าถูกสงั เกต หลกั ในการสงั เกต 1. ต้องต้งั จดุ มุ่งหมายในการสังเกตท่แี น่นอนวา่ จะสงั เกตพฤติกรรมใด เช่น พฤติกรรม การชว่ ยเหลือ ผูอ้ นื่ การเสียสละ เป็นดน้ 2. ต้องสงั เกตด้วยความระมัดระวงั และใชว้ จิ ารญาณในการพินิจพิเคราะห์ ทัง้ พฤติกรรมดี และไม่ดี และตอ้ งมคี วามยตุ ิธรรมกับเด็กมากทีส่ ุด 3. ระยะเวลาในการสงั เกตต้องติดต่อกนั และต้องทำการสังเกตหลายๆ คร้งั หลายๆ สถานการณ์ เพื่อทจี่ ะให้ได้พฤติกรรมทแี่ ท้จรงิ 4. วธิ ีการสงั เกตและวิธกี ารบันทึกข้อมูลตอ้ งเปน็ ระบบ มีหลกั เกณฑ์ท่ีแนน่ อน เช่น การใช้มาตราสว่ น ประมาณคา่ ระเบียนพฤติกรรม เป็นต้น 5. ขณะท่สี งั เกตจะต้องไมใ่ หผ้ ถู้ ูกสังเกตรู้ตัว เพอ่ื ทจ่ี ะได้พฤติกรรมทแี่ ท้จรงิ 6. บันทกึ เฉพาะพฤติกรรมที่สังเกตเหน็ เท่านั้นไม่ใส่ความรู้สกึ สว่ นตัวของผู้สังเกตเข้าไป 7. การสงั เกตจะให้ผลที่แนน่ อนน่าเช่ือถือ ควรใชผ้ สู้ งั เกตหลาย ๆ คน เคร่อื งมอื ที่ใช้ในการสงั เกต การสังเกตเปน็ การเก็บรวบรวมขอ้ มลู จากปรากฏการณ์ท่เี กิดขึน้ โดยการเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด

และจดบันทึกไว้อย่างมรี ะบบ เคร่อื งมือท่ีใชใ้ นการสงั เกตจึงได้แก่ แบบสงั เกต ซ่ึงแบบสงั เกตสามารถ จำแนก ออกเปน็ 2ประเภทคือแบบสงั เกตพฤติกรรม และแบบสังเกตทักษะ 1. แบบสงั เกตพฤติกรรม เปน็ เคร่ืองมือท่ใี ช้ในการรวบรวมขอ้ มูล ทไ่ี ดจ้ ากการสังเกต พฤตกิ รรม การแสดงออก ซ่ึงเปน็ คุณลักษณะดา้ นจิตพสิ ัย เช่น ความชื่อสตั ยส์ ุจรติ ความมนี ้ำใจเป็น นกั กีฬา ความรบั ผิดชอบ เป็นตน้ ตวั อย่าง แบบสังเกตพฤตกิ รรมที่กำหนดรายการพฤติกรรมมาให้ แล้วให้ผ้สู งั เกตประเมนิ ความมาก น้อยของพฤตกิ รรมทส่ี งั เกตเห็น แบบสงั เกตความมีน้ำใจเป็นนกั กฬี า ช่ือ………………………………………………………………..โรงเรียน……………………………………………………………………. วนั / เดือน / ปี ท่สี งั เกต…………………….เวลา…….สถานท…่ี ……………………………………………………………………. กจิ กรรมทีป่ ฏบิ ัติ ผสู้ งั เกต รายการ บ่อยมาก บ่อย นาน ๆ คร้งั ไมป่ รากฏ 1. การปฏิบัตติ ามกติกาการเล่น 2. ความอดทน 3. การมีมารยาทท่ีดใี นการเล่น 4. การยอมรับผลการเล่น 1.1 การวัดโดยอาศัยการสงั เกตตามแบบตรวจสอบรายการ (Checklist) โดยผู้วดั สงั เกต วา่ นักเรียนมีพฤตกิ รรรมตามรายการต่าง ๆ หรอื ไม่ ดังตัวอยา่ ง แบบตรวจสอบรายการ วดั ผลพฤติกรรมการร่วมงานและการเขา้ กับเพือ่ น ๆ รายการท่วี ดั พฤติกรรม มี ไมม่ ี 1. ความตงั้ ใจทำงาน 2. ความรับผดิ ชอบในงานทีต่ นทำ 3. รับพิงความคดิ เห็นของเพ่ือนร่วมงาน 4. ช่วยเหลือเพอื่ นรว่ มงาน 5. เสียสละเพ่ือประโยชน์ส่วนรวม 6. ร่วมมือและประสานงานกับผอู้ ่ืน 1.2 การวดั โดยอาศยั การสงั เกต โดยอาศัยมาตราสว่ นประมาณคา่ (Rating scale) มาตราสว่ น ประมาณคา่ แบ่งออกได้ ดงั น้ี 1.2.1 มาตราสว่ นประมาณคา่ แบบตัวเลข (numerical rating scale) เป็นมาตราส่วน ทท่ี ำข้นึ โดยใชร้ หัสตัวเลขสำหรับประมาณคา่ คณุ ลกั ษณะต่าง ๆ เลขรหัสนีใ้ ชแ้ ทนคำบรรยาย เช่น 1 แทน นานๆ เกิดครง้ั 2 แทน เกดิ เป็นครงั้ คราว 3 แทน เกิดบอ่ ยคร้งั 4 แทน เกดิ เป็นประจำ

ตวั อยา่ ง มาตราสว่ นประมาณค่าแบบตัวเลข รายการ 1234 1. ขา้ พเจ้าตั้งใจฟง้ ครูขณะสอน 2. เมือ่ ครูใหท้ ำกจิ กรรมขา้ พเจ้ามักจะแอบออกนอกห้องเรียน 3…………………………………………………………………………………………. 1.2.2มาตราส่วนประมาณคา่ แบบบรรยาย (descriptive rating scale) วิธกี ารน้จี ะเขียนคำ บรรยายบอกคณุ ลักษณะของเรื่องนั้นวา่ อยู่ในระดับใด ตวั อยา่ ง มาตราสว่ นประมาณคา่ แบบบรรยาย รายการ มากที่สุด มาก ปานกลาง นอ้ ย นอ้ ยทส่ี ุด 1. วิชาคณติ ศาสตร์น่าสนใจ 2. ขา้ พเจ้าชอบเรียนวิชาคณิตศาสตร์ 3………………………………………………………… 1.2.3 มาตราส่วนประมาณคา่ แบบกราฟ (graphic rating scale) เป็นการกำหนด คณุ ลักษณะ ของพฤติกรรมไวท้ ี่เส้นนนั้ ๆ ผู้ประเมนิ จะเขียนเคร่ืองหมายไวบ้ นเส้นทต่ี รงกบั ลักษณะท่ี จะประเมิน ตวั อยา่ ง มาตราส่วนประมาณคา่ แบบกราฟ 1) กระตือรอื ร้นในการทำงานกลุ่ม ทุกครั้ง บอ่ ยครั้ง บางครัง้ นาน ๆคร้ังไมเ่ คย 2) ความสนใจในการเรียนวชิ าภาษาองั กฤษ สนใจมากทสี่ ดุ สนใจมาก สนใจปานกลาง สนใจนอ้ ย ไมส่ นใจเลย โครงสรา้ งของมาตราส่วนประมาณคา่ จะประกอบไปด้วย 3 สว่ น คือ 1. คำชแ้ี จงเปน็ การกล่าวถึงวัตถุประสงค์ หรอื จดุ มงุ่ หมายของความตอ้ งการข้อมลู วา่ ต้องการขอ้ มูล ไปทำอะไร คำตอบนจ้ี ะเกิดประโยชนอ์ ะไรบา้ งและท่ีสำคัญจะต้องชี้แจงว่าคำตอบท่ีไดจ้ ะไมก่ ่อผลเสียหายต่อผูต้ อบ แตอ่ ย่างใด เพราะผู้ตอบไม่ต้องลงช่ือ 2. ข้อมูลสว่ นตัว เปน็ ส่วนท่เี ป็นข้อเท็จจรงิ เก่ยี วกับผู้ตอบ ซึ่งได้แก่ เพศ อาชีพ อายุ ระดับ การศึกษา เป็นต้น การกำหนดข้อมูลส่วนนี้ชน้ี อยกู่ ับเร่ืองทผี่ เู้ ก็บขอ้ มูลสนใจศึกษา 3. ข้อมูลเกยี่ วกบั เร่ืองทตี่ ้องการศึกษา เปน็ คำถามทีใ่ ห้แสดงความคดิ เห็นตอ่ เรื่องใดเร่ืองหน่ึงท่ีศึกษา ซงึ่ รูปแบบของคำถามอาจเป็นปลายเปิด หรือปลายปดิ หรอื ทง้ั 2 แบบผสมกนั ก็ได้โดยส่วนนี้ อาจจะแบ่งออก เปน็ ตอนๆ ตามเรือ่ งท่ีศึกษาว่าจะถามเรอื่ งย่อยก่ีเรอื่ ง ขนั้ ตอนในการสรา้ งมาตราสว่ นประมาณค่า โดยท่ัวไปมวี ิธดี ำเนินการ ดงั นี้ 1. จะตอ้ งพิจารณาหัวข้อปัญหาและจดุ ม่งุ หมาย เพื่อใหท้ ราบว่าตอ้ งการข้อมลู ชนิดใดและอะไรบา้ ง 2. พิจารณารปู แบบวา่ จะใช้แบบใด 3. รา่ งมาตราส่วนประมาณค่า โดยเขียนข้อความให้สอดคล้องกบั หัวขอ้ ปัญหาและจดุ มงุ่ หมาย 4. ตรวจสอบมาตราส่วนประมาณค่าฉบับร่างเพ่ือปรบั ปรงุ แกไข ซึง่ สามารถทำได้โดยตรวจสอบเอง หรอื ให้ผู้เชย่ี วชาญตรวจสอบ

5. นำมาตราสว่ นประมาณค่าไปทดลองใช้ (try out) โดยนำไปทดสอบกับกล่มุ ตวั อย่างท่ีมีลักษณะ เช่นเดียวกับกล่มุ ตวั อย่าง ท่ตี ้องการศกึ ษา 6. ทำการปรบั ปรุงมาตราส่วนประมาณคา่ 7. สร้างมาตราส่วนประมาณค่าฉบบั สมบรู ณ์ ข้อดีของมาตราส่วนประมาณคา่ คอื ประหยัดเวลาและแรงงาน เพราะสามารถเกบ็ ข้อมลู ได้ จำนวนมาก เกบ็ รวบรวมข้อมูลได้จำนวนมาก ผู้ตอบมีโอกาสหาเวลาในการตอบ อีกทัง้ มีอิสระใน การตอบอีกด้วย งา่ ยต่อการ นำขอ้ มูลไปวิเคราะห์ เพื่อสรปุ ผล 2.การวัดโดยใช้ข้อมลู สนเทศจากนักเรียน 2.1 นกั เรียนวดั ผลตนเอง อาจใชเ้ คร่ืองมือหลายประเภทเชน่ แบบตรวจสอบรายการ (Checklist) มาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) แบบสอบถามปลายเปิด (Semantic differential) เปน็ ด้น ดงั ตัวอยา่ ง เคร่อื งมอื วัดแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ของนักเรยี นขน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 คำช้ีแจง ให้นกั เรียนอ่านข้อความแต่ละข้อ แล้วขดี เครือ่ งหมาย / ลงในชอ่ งตามความเป็นจรงิ ของทา่ นว่ามีความ ต้องการ หรือได้กระทำกิจกรรมนั้น ๆ ในระดับใด ระดับคณุ ภาพ รายการ น้อยทสี่ ดุ น้อย ปานกลาง มาก มากทีส่ ดุ 1. เวลาทำงานแตล่ ะชน้ิ ข้าพเจ้ามงุ่ ทำให้ได้ดีไม่มีที่ติ 2. ข้าพเจ้าอยากคน้ หาความรูในวิชาสังคมศึกษา เพ่มิ เตมิ จากท่ีครูได้สอนไวแ้ ลว้ 2.2 แบบใหส้ รา้ งจินตนาการ ใหน้ ักเรียนดูภาพแล้วบรรยาย หรือเขียนแสดง ความคิดเห็น ตอ่ สถานการณท์ ีย่ กมา (เชน่ ถ้านกั เรียนมีเงนิ 20 ล้านบาท จะทำอะไรบ้าง) 2.3 แบบวัดโดยใช้สถานการณ์ นยิ มใช้แบบเลอื กตอบ ดังตัวอย่าง สถานการณ์พ่ีจำหนูหิว “ขณะทแ่ี ดงเดินทางมาโรงเรยี น ได้พบเด็กหญงิ คนหน่ึง หนา้ ตามอมแมม ซูบผอม เส้ือผ้าขาด รงุ่ ริ่ง เข้ามายกมอื ไหวแ้ ละขอเงินจากแดงเพื่อซือ้ อาหารกิน แดงมีเงินเฉพาะอาหารกลางวันเท่าน้นั ถ้าให้เงินแกเ่ ด็กหญิง คนนน้ั ไป แดงจะต้องอดอาหารม้ือกลางวนั และกว่าจะกลับถึงบ้านในตอนเย็น จะต้องทนหวิ หลายช่ัวโมงแน่ๆ แตด่ ว้ ยความสงสาร แดงจึงเอาเงินของตวั เองใหเ้ ดก็ คนน้นั ไป คำถาม 1. นักเรยี นเหน็ ด้วยกับการกระทำของแดงหรอื ไม่ ก. เหน็ ด้วย ข. ไมเ่ ห็นดว้ ย ค. ยงั ตัดสินใจไมไ่ ด้ คำถาม 2. ถ้านกั เรยี นเป็นแดงจะทำเชน่ นนั้ หรือไม่ ก. ทำ ข. ไม่ทำ ค. ไม่แน่ใจ การให้คะแนนใหต้ ามข้อคำถามดงั น้คี ือ คำถามข้อ 1 และข้อ 2 ให้คะแนนเปน็ 1, 0, -1 2.4 แบบใหเ้ ลอื กกจิ กรรม พฤติกรรมหรอื สถานการณ์อย่างเดียว จากทีย่ กมาให้ตัดสินใจ 2 อย่าง เป็นคู่ ๆ (Pair Comparison) แต่ละอย่างแสดงถึงพฤติกรรมแต่ละด้าน ตัวอย่างเชน่ 1. ก. ข้าพเจ้ามาโรงเรียนทุกวันโดยไม่ขาดเรียน เวน้ แต่กรณีจำเป็น ข. ข้าพเจ้าสง่ การบ้านตามเวลาทค่ี รูกำหนดใหส้ ง่ ๒. ก. ข้าพเจา้ จัดโตะ๊ เรยี นใหต้ รงแถวกบั ผ้อู น่ื เสมอ

ข. ข้าพเจา้ เช่อื ว่าคนท่ขี โมยของเพื่อนน้ัน คนอนื่ ไม่เห็นแตเ่ ทวดาเหน็ หมายเหตุ ขอ้ 1 ถ้าตอบ ก. แสดงวา่ มีพฤติกรรมดา้ นความขยันหมั่นเพียรมากกวา่ ความมีวินยั ถ้าตอบ ข. กก็ ลับกนั ขอ้ 2 ถา้ ตอบ ก. แสดงวา่ มีพฤตกิ รรมด้านความมีวินัยมากกวา่ ความชอ่ื สตั ยส์ จุ รติ ถ้าตอบ ข. กก็ ลับกัน 1.5 โดยการสัมภาษณ์นักเรียนผู้ประเมินผลทำการสมั ภาษณ์นักเรียนแลว้ ให้คะแนน หรือบันทกึ ขอ้ สนเทศจากคำตอบของนกั เรยี น การพัฒนาเครื่องมือวดั และประเมินผลการเรยี นร้ดู ้านทกั ษะพสิ ัยหรือการปฏิบตั ิ แนวคิดและหลกั การวดั ภาคปฏบิ ัติ 1. การวดั ทกั ษะการปฏบิ ตั ิ เปน็ การวดั เกย่ี วกบั ความสามารถในการกระทำหรือทักษะ ซึ่งสามารถวดั ได้ ตัง้ แต่การให้ผู้เรียนใช้ความรู้ ความคิดในการปฏบิ ตั จิ นกระทง่ั การลงมือปฏิบตั ิจริง ดังนน้ั การวดั ทักษะการปฏบิ ัติ สามารถวัดได้ทง้ั กระบวนการ และผลงานหรือท้งั กระบวนการ และผลงานร่วมกนั 2. การพฒั นาแบบวดั ทกั ษะปฏิบัติ จะต้องกำหนดขอบเขตสำหรบั การวดั เพ่ือจะทราบเปา้ หมาย ของการวดั ทชี่ ัดเจน แล้วจงึ ดำเนินการสรา้ งแบบวัดทักษะการปฏิบัตติ ามลำดบั 3. เคร่อื งมือวดั ทักษะการปฏิบตั ิ มหี ลายลักษณะขึ้นอยู่กบั คุณลกั ษณะท่ตี ้องการวดั (ตวั ชว้ี ดั ) ว่าเป็น เนอ้ื หาเก่ยี วกบั การปฏบิ ัติ กระบวนการหรอื ผลงานที่ไดจ้ ากการสังเกต ส่วนการตรวจสอบ คณุ ภาพเครื่องมอื เป็นการพิจารณาเกี่ยวกบั ความตรง(ความเที่ยงตรง) และความเทย่ี ง(ความเชอื่ มัน่ ) ของเครื่องมือ 4. การใช้แบบวัดพฤติกรรมดา้ นทักษะพสิ ยั หรือทักษะการปฏิบัติต้องคำนงึ ถงึ แนวคดิ วิธกี าร และเปา้ หมายของการวัดและประเมนิ ผลซงึ่ มีวิธีการที่หลากหลาย ขึน้ อยวู่ า่ จะนำไปใช้ในเรื่องใด การประเมินภาคปฏิบตั ิ เป็นการประเมินท่ีสะท้อนแนวทางการประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment)เปน็ วธิ ีการประเมินท่เี ปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รยี นไดน้ ำความรู้ ทกั ษะความสามารถ เจตคติท่ีผ่านกระบวน การเรยี นรู้มาถา่ ยทอดออกมาจากกิจกรรมการวดั และประเมินการปฏบิ ัติ ท่คี รูหรือผปู้ ระเมนิ กำหนดตามตวั ชีว้ ัด หรือมาตรฐานการเรียนรู้ที่ดอ้ งการ วิธีการวดั และประเมินผลดา้ นทักษะพิสยั หรือการวดั ภาคปฏิบตั ิ การวัดและประเมนิ ผลภาคปฏิบตั ิมีหลายวธิ ี เช่น การสังเกต การสัมภาษณ์ การตรวจผลงาน การให้ ปฏบิ ัตจิ รงิ การแสดงบทบาทสมมติ การจัดทำโครงการ โครงงาน เปน็ ต้น การสงั เกต (Observation) เป็นการใชป้ ระสาทสัมผัสทง้ั รวบรวมขอ้ สนเทศ และข้อมูลจากวตั ถหุ รอื สถานการณ์ต่างๆ การสังเกตเป็นกระบวนการพื้นฐานท่สี ำคัญของการเรียนรู้ ความเป็นคนช่างสงั เกตนน้ั เปน็ ลกั ษณะนสิ ัยทที่ ุกคนมีได้และ/ฝึกได้ ดังน้นั การสังเกตจงึ หมายถงึ การใช้ประสาทสัมผสั ทง้ั 5 ได้แกต่ า หู จมูก ล้นิ และผวิ กาย อยา่ งใด อย่างหนึ่ง หรอื หลายอย่างรวมกัน และอาจใช้เครื่องมือชว่ ยในการสังเกตดว้ ย โดยเข้าไปสมั ผสั โดยตรง และทนั ที กบั วตั ถุ เหตุการณ์ ปรากฏการณ์ เพ่ือใหไ้ ด้มาซึ่งข้อมูลท่ถี ูกต้อง ตามความเป็นจริงโดยไม่มีการใส่ความคิดเห็นใด ๆ ของผู้สงั เกตลงไปดว้ ย การสงั เกตไม่ว่าจะเปน็ การสงั เกตวัตถุ ปรากฏการณ์ หรือสถานการณ์ใด ๆ ผู้สงั เกตควร คำนงึ ถึงสิ่งต่าง ๆ ตอ่ ไปนี้ ๑. การสังเกตจะต้องใช้ประสาทสมั ผสั อื่นๆ ด้วย ไม่ใช่เฉพาะตาดูอย่างเดยี ว ๒. การสงั เกตจะตอ้ งสังเกตเชิงปริมาณทุกครงั้ ที่เป็นไปได้ ๓. การสังเกตถ้าเป็นไปได้จะต้องสงั เกตการเปลีย่ นแปลงดว้ ยต้ังแตเ่ รมิ่ ปฏิบตั ิงานจนเสรจ็ สิ้น

กระบวนการเพ่ือให้เห็นถึงความเปลยี่ นแปลง ๔. การสงั เกตและการลงความเหน็ เป็นคนละเร่ืองกนั การสังเกตจงึ เปน็ วิธกี ารหน่ึงที่ใช้ประเมินทักษะการปฏิบตั ิสรา้ งงา่ ย และนยิ มใช้กันมาก ได้แก่ แบบ ตรวจสอบรายการ และแบบจัดอนั ดบั คุณภาพ ถ้าตอ้ งการวัดตามข้นั ตอนของการปฏบิ ัตงิ านโดยไมค่ ำนงึ ถงึ คณุ ภาพ ก็ใชแ้ บบสำรวจรายการ หรือถา้ คำนงึ ถึงคุณภาพของผลงานก็อาจใช้แบบจัดอันดบั คณุ ภาพ เครอ่ื งมอื ประกอบการประเมินภาคปฏิบัติ 1. แบบตรวจสอบรายการหรือแบบสำรวจรายการ (Checklist) เป็นการบันทกึ การสงั เกต ในลกั ษณะ ทบี่ อกว่ามีพฤตกิ รรมใดเกิดขึ้นบ้างเปน็ ไปตามที่คาดหวงั ไว้หรอื ไม่ แบบตรวจสอบรายการ จึงประกอบดว้ ยขั้นตอน การปฏิบัตงิ าน จงึ เหมาะสำหรบั รวบรวมขอ้ มูลการปฏบิ ตั ิงานตามขน้ั ตอนการแสดง การใชเ้ ครือ่ งมือในการทดลอง ทางวทิ ยาศาสตร์ ฯลฯ 2. แบบจัดอนั ดบั คณุ ภาพ (Rating Scale) เปน็ การบนั ทึกผลการตัดสินคณุ คา่ ของพฤติกรรม หรือทักษะ ทีส่ งั เกตนนั้ เกดิ ขึ้นมากน้อยเพียงใดหรอื มีคุณภาพเพียงใด ซ่ึงอาจทำแบบบันทึกเปน็ แบบมาตรสว่ นประมาณคา่ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ พฤตกิ รรมหรอื ทกั ษะที่ต้องการวัด และระดบั คุณภาพ ซ่งึ สามารถกำหนดระดับได้ มากน้อยตามความเหมาะสม เช่น กำหนดเป็น 2 อนั ดับ คือ ผา่ น-ไม่ผ่าน หรือกำหนด 3-5 อนั ดบั ก็ได้สว่ นใหญ่ ใชใ้ นการประเมนิ รายการปฏิบตั ขิ องนักเรยี น โดยเฉพาะกล่มุ สาระการเรียนรู้ท่ีใหน้ กั เรียนได้ปฏิบัติ เช่น ศลิ ปะ การงานอาชีพและเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์(การทดลอง), ภาษาไทย(การอา่ น การพูด และการเขียน) เป็นตน้ 3. เกณฑก์ ารให้คะแนน (Rubrics Score) เปน็ เครื่องมือในการใหค้ ะแนนที่เป็น การรวมตวั ของเกณฑ์ การใหค้ ะแนน (Scoring Criteria) กบั มาตรประมาณคา่ หรือระดับการให้คะแนน (Rating Scale) เพอื่ ระบคุ วาม แตกต่างของผลงาน ผลการปฏบิ ัติงาน หรือประสทิ ธิภาพของงาน (Proficiency) ของงานสำหรบั นำไปใช้ ในการประเมนิ ผลงานนกั เรยี น มี 2 ลกั ษณะ คือ ผลทไ่ี ด้จากกระบวนการทำงาน และกระบวนการท่นี ักเรียน ใช้ใหเ้ กดิ ผลงานจะประเมินลักษณะใดข้นึ อยู่กบั จดุ ประสงคข์ องการประเมนิ แนวการใหค้ ะแนน (Scoring Guides)การเขียนเกณฑ์การใหค้ ะแนน เขียนได้ 2 ลกั ษณะ คอื 1) เกณฑ์การให้คะแนนแบบองค์องค์รวม (Holistic scoring) 2) เกณฑ์การให้คะแนนแบบองค์แบบแยกองค์องคป์ ระกอบ (Analytic scoring) เกณฑ์การให้คะแนนทัง้ 2 ลกั ษณะ ควรประกอบไปดว้ ย เกณฑ์ (Criteria) นำ้ หนักคะแนน (Scales) และคำอธบิ ายคุณภาพงาน (Performance) การสร้างและพัฒนาเครือ่ งมือวดั ด้านทักษะพสิ ัยหรือทักษะการปฏิบตั ิ มีขน้ั ตอน ดังนี้ ๑. การวเิ คราะห์มาตรฐานการเรียนรแู้ ละตัวชี้วดั ๒. การวเิ คราะห์พฤติกรรม คำสำคัญ (Key Words)ทตี่ ้องการวัดจากตวั ชี้วัดหลายๆ ตวั ช้ีวัด หรือตัวช้ีวดั เดยี ว เพื่อกำหนดภาระงานหรอื สถานการณ์ ทจ่ี ะให้ผู้เรยี นแสดงความรแู้ ละทักษะ ๓. การกำหนดภาระงานหรือสถานการณ์ เพื่อให้ผูเ้ รียนสะทอ้ นพฤติกรรมตามมาตรฐาน/ตัวชี้วัด ๔. การสรา้ งแบบประเมิน แบบบันทกึ แบบสงั เกต แบบตรวจสอบรายการ ฯลฯ แล้วแต่กรณี และเกณฑ์ การให้คะแนน (Rubrics Score) ๕. การหาคุณภาพของเครอ่ื งมือ ๖. การทบทวน และปรับปรงุ เคร่ืองมือ การสร้างและพัฒนาเกณฑ์การให้คะแนน (Rubric Scores) 1. วิเคราะหภ์ าระงานท่กี ำหนดขึ้นนั้น เพอ่ื ประเมนิ ตัวชว้ี ดั หรอื มาตรฐานขอ้ ใด 2. กำหนดประเด็น/หรือรายการ/พฤติกรรม ทตี่ อบตวั ชีว้ ดั ท่ีต้องการวัดและประเมนิ 3. จัดน้ำหนักความสำคญั ของประเดน็ /รายการ/พฤติกรรมท่ีต้องการประเมนิ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook