Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การเขียนรายงานเชิงวิชาการ

การเขียนรายงานเชิงวิชาการ

Published by ห้องสมุดครูอาริยา, 2022-05-24 11:46:35

Description: การเขียนรายงานเชิงวิชาการ

Search

Read the Text Version

การเขยี นรายงาน เชิงวิชาการ

การเขยี นรายงานเชิงวชิ าการ รายงานเชิงวิชาการ หมายถึง งานเขียนทางวิชาการที่ เกิดจากการศึกษาค้นคว้า รวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ โดย ศึกษาค้นคว้าจากเอกสาร จากการสารวจ การสังเกต การ ทดลอง ฯลฯ แล้วนามารวบรวมวิเคราะห์ เรียบเรียงขึ้นใหม่ ตามโครงเรื่องที่ได้วางไว้ โดยมีหลักฐานและเอกสารอ้างอิง ประกอบ

สว่ นประกอบของรายงานเชงิ วชิ าการ 1.1 ส่วนประกอบตอนต้น มสี ว่ นประกอบตามลาดับดงั น้ี 1.1.1 หนา้ ปก (ปกนอก) 1.1.2. หน้าชื่อเรอ่ื ง (ปกใน) 1.1.3. คานา(กิตตกิ รรมประกาศ) 1.1.4. สารบัญ 1.1.5. สารบญั ตาราง 1.1.6. สารบัญภาพประกอบ

สว่ นประกอบของรายงานเชงิ วชิ าการ 1.2 ส่วนประกอบตอนกลาง (เนื้อเรื่อง) ส่วนเน้ือเร่ืองเป็น ส่วนที่สาคัญท่ีสุดของรายงานเชิงวิชาการ จะนามาเสนอตาม โครงเร่ืองที่ได้กาหนดไว้ โดยก่อนเร่ิมต้น ควรมีการเกร่ินเร่ือง และจบเนื้อเรื่องด้วยบทสรุป เน้ือหาที่เขียนน้ันจะต้องเขียน อย่างมีหลักเกณฑ์ หรืออ้างอิงหลักวิชา แสดงความคิดท่ีเฉียบ แหลมและลกึ ซึ้ง 1.3 ส่วนประกอบท้าย ส่วนประกอบท้าย ได้แก่ บรรณานุกรม ภาคผนวก

ขัน้ ตอนการจดั ทารายงานทางวชิ าการ 1. การเลอื กเรอื่ งหรือหวั ขอ้ 2. การคน้ ควา้ และรวบรวมแหล่งค้นคว้า 3. การวางโครงเรื่อง 4. การอา่ นและจดบันทกึ ข้อมูล 5. การเรยี บเรยี งเนอ้ื เรอื่ ง 6. การเขียนบรรณานุกรมหรอื เอกสารอา้ งอิง 7. การเขียนสว่ นประกอบอ่ืนๆ (ปกนอก หนา้ ปกใน คานา สารบญั )

1. การเลือกเรอ่ื งหรือการกาหนดหวั ข้อ 1.1 เลอื กเรอ่ื งท่ีชอบหรือสนใจ การได้ทาในสิ่งท่ีชอบหรือสนใจจะช่วยให้ทางานด้วยความสุข รู้สึกสนุกเพลิดเพลินในขณะท่ีทาการศึกษาค้นคว้า ได้รับความรู้ในสิ่งที่ สนใจอยู่แล้ว เกิดความกระตือรือร้นและทุ่มเทความสามารถในการทางาน อย่างเต็มที่ ไม่ท้อแท้หรือเบ่ือหน่ายกับการต้องทางานหนัก ต้องแก้ปัญหา อุปสรรคที่อาจมีเป็นของธรรมดา การเลือกเร่ืองท่ีสนใจจึงเป็นปัจจัยสาคัญ ท่ีมีผลต่อความสาเร็จและประสิทธิภาพของงาน เช่น นักเรียนที่ชอบเล่น ดนตรี ก็อาจค้นคว้าทารายงานเร่ืองเกี่ยวกับดนตรี ผู้ที่สนใจติดตาม ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี อาจเลือกทาเร่ืองเกี่ยวกับเทคโนโลยี เป็น ตน้

1. การเลอื กเร่ืองหรือการกาหนดหวั ขอ้ 1.2 เลือกเรอื่ งทมี่ พี นื้ ความรู้อยู่พอสมควร การท่ีผู้ทารายงานมีพ้ืนความรู้อยู่บ้างจะช่วยให้ทางานได้เร็ว ขน้ึ ไมต่ อ้ งเสียเวลามากนักในการค้นหาข้อมูลพื้นฐาน ทั้งยงั ทาให้มองเหน็ แนวทางในการในการกาหนดขอบเขตทิศทางและเค้าโครงของเรื่องและ ของการศึกษาค้นคว้าได้อย่างเหมาะสมและชัดเจน ส่วนใหญ่ถ้าเป็นเร่ือง หรือหัวข้อท่ีเกี่ยวกับรายวิชาที่กาลังศึกษาอยู่ นักเรียนมักจะมีพ้ืนความ รู้อยู่บ้างแล้ว เช่น นักเรียนสายชีววิทยา อาจมีพ้ืนความรู้ท่ีจะช่วยให้ เหมาะสมทจ่ี ะทารายงานเรือ่ งเกยี่ วกบั สัตว์ข้ัวโลก เป็นตน้

1. การเลอื กเร่ืองหรอื การกาหนดหวั ขอ้ 1.3 เลอื กแหล่งทม่ี ขี ้อมูลเพียงพอ ก า ร ศึ ก ษ า ค้ น ค ว้ า ท่ี ดี ต้ อ ง มี แ ห ล่ ง ข้ อ มู ล ห ล า ก ห ล า ย แ ล ะ ทันสมัย ดังน้ันเมื่อสนใจหัวข้อใดจึงควรสารวจแหล่งค้นคว้าให้แน่ใจว่ามี เพียงพอ เหมาะสมกับหวั ข้อและวัตถุประสงค์ของการทารายงาน ถ้าเป็น เรื่องท่ีแปลกใหม่น่าสนใจแต่ไม่สามารถหาแหล่งข้อมูลได้อย่างเพียงพอก็ ยากท่ีจะทาให้สาเร็จ เช่น นักเรียนสนใจจะทารายงานเรื่องพืชพันธุ์ใหม่ที่ เพ่ิงค้นพบ แต่ยังไม่มีข้อมูลให้ค้นมากเพียงพอ ก็ไม่สามารถเลือกเร่ือง ดงั กลา่ วได้

1. การเลือกเรอ่ื งหรอื การกาหนดหวั ขอ้ 1.4 เลอื กเร่อื งทม่ี ีประโยชน์ เร่ืองท่ีเมื่อศึกษาค้นคว้าแล้วมีคุณค่าหรือมีประโยชน์ทั้งแก่ตัวผู้ คน้ ควา้ เองและแก่ผ้อู ืน่ เชน่ ทาให้เกดิ ความรู้ ความคดิ ประสบการณ์ เกิดทักษะใหม่ๆ หรือค้นพบส่ิงใหม่ หรือนาผลรายงานไปใช้แก้ปัญหา ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ให้ดีข้ึน เป็นต้น ดังนั้นจึงไม่ควรเลือกทา เร่ืองที่รู้ ๆ กันอยู่แล้ว เป็นการเสียเวลาเปล่าโดยไม่ได้รับความรู้หรือ ประโยชนใ์ ดๆ เพม่ิ ข้ึนมา

1. การเลือกเรอ่ื งหรอื การกาหนดหวั ขอ้ 1.5 เลือกเรื่องทีม่ ีขอบเขตเหมาะสม สิ่งสาคัญประการหน่ึงที่ควรกาหนดขอบเขตของเร่ืองให้เหมาะ พอดี ไม่กว้างหรือแคบเกินไป เรื่องที่มีขอบเขตกว้างเกินไปจะไม่สามารถ เจาะลึกในรายละเอียดเท่าท่ีควร จะเป็นเรื่องท่ีมีข้อมูลผิวเผินพื้นฐาน เท่าน้ัน ทาให้เสียเวลานานแต่ขาดรายละเอียดในประเด็นท่ีควรเน้น ทา ให้ผลงานไม่มีคุณภาพเท่าที่ควร ส่วนหัวข้อที่แคบเกินไป จะมีปัญหาเร่ือง การค้นหาข้อมูลท่ีมีแหล่งข้อมูลจากัด และในด้านคุณภาพและปริมาณของ งานก็อาจจะไม่เหมาะสมเพียงพอ ดังนั้นการเลือกเร่ืองหรือหัวข้อรายงาน จงึ ต้องคานงึ ถึงขอบเขตของเน้ือเรอื่ งให้เหมาะสมพอดี

ปจั จยั สาคญั ในการกาหนดขอบเขตของเรอื่ ง การกาหนดขอบเขตของเร่ืองมีความสาคัญมาก รายงานท่ีดีต้องมี ขอบเขตของเร่ืองท่ีเหมาะสม ไม่กว้างเกินไปหรือแคบเกินไป ปัจจัยท่ีควรคานึง ในการกาหนดขอบเขตของเร่ืองมีดังต่อไปน้ี ความยาวของเรื่อง ควรมีความยาวเพียงพอท่ีจะเสนอข้อมูลได้ ครบถ้วน รายงานทม่ี เี นอ้ื เร่อื งยาวยอ่ มกาหนดขอบเขตไดก้ ว้างกวา่ เรอื่ งสั้นๆ เวลา งานที่มีเวลาทามากย่อมมีขอบเขตและความลุ่มลึกมากกว่า งานที่ใช้เวลาสนั้ ๆ แหล่งข้อมูล เช่น ห้องสมุดขนาดใหญ่ หรือในเมืองใหญ่ๆ จะมี ความสะดวกในการเข้าถึงฐานข้อมูลประเภทตา่ งๆ เชน่ อนิ เทอร์เน็ต

การกาหนดขอบเขตในการต้งั ช่ือเรอ่ื ง เมอื่ ตัดสินใจเลือกเร่ืองหรือหัวข้อได้แล้ว ต้องมีการตั้งช่ือเรื่อง สิ่ง ที่ต้องคานึงคือ ชื่อเรื่องควรจะแสดงให้เห็นถึงขอบเขตของเรื่องด้วย ไม่ ควรกว้างหรือแคบเกินไป เช่น นักเรียนสนใจเรื่อง“ปัญหาเศรษฐกิจ”จะ ตง้ั ช่อื เรอ่ื งวา่ ปัญหาเศรษฐกิจ ไมส่ มควรอยา่ ยง่ิ เพราะช่ือน้ีคลุมขอบเขต กวา้ ง นกั เรยี นต้องจากัดใหแ้ คบเข้า ใหเ้ หมาะสมกับเวลาในการจัดทาและ วัตถปุ ระสงค์ของการทารายงาน

วธิ กี ารกาหนดหัวขอ้ มีวธิ ดี ังนี้ 1. การจากัดขอบเขตโดยหัวข้อย่อยหรือประเด็นสาคัญ ตัวอย่างเช่น จากหัวข้อ “ปัญหาเศรษฐกิจ” จากัดให้แคบลงโดยเลือก เฉพาะบางประเดน็ ในชือ่ “การป่นั หุ้น” 2. ก า ร จ า กั ด ข อ บ เ ข ต โ ด ย ก า ห น ด ก ลุ่ ม ข อ ง บคุ คล ตวั อยา่ งเชน่ จากหัวข้อ “ปัญหาเศรษฐกิจ” จากัดให้แคบลงใน ช่อื “ปญั หาหนส้ี นิ ของเกษตรกรไทย”

วธิ กี ารกาหนดหวั ข้อ มีวิธดี งั นี้ 3. การจากดั ขอบเขตโดยใชส้ ถานท่ีและสภาพทางภมู ิศาสตร์ เปน็ หลัก ตวั อย่างเช่น จากหัวข้อ “ปัญหาเศรษฐกิจ” จากัดให้แคบใน ชือ่ “ปญั หาการกูย้ มื เงินนอกระบบรองราษฎรในภาคใต้” 4.การจากัดขอบเขตโดยใช้เวลาหรือยุคสมัยเป็นหลัก ตวั อยา่ งเชน่ จากหัวขอ้ “ปญั หาเศรษฐกิจ” จากัดให้แคบในชื่อ “แผน ฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยในยคุ รัฐบาลปัจจุบัน”

วิธีการขยายขอบเขตใหก้ ว้างขึ้น 1. ก า ร ข ย า ย ข อ บ เ ข ต โ ด ย ข ย า ย ป ร ะ เ ด็ น สาคัญ ตัวอย่างเช่น จากหัวข้อ “ การพิมพ์ธนบัตรไทย”ขยาย เปน็ “วงจรของธนบตั รไทย” 2. ก า ร ข ย า ย ข อ บ เ ข ต โ ด ย ก า ห น ด ก ลุ่ ม บุคคล ตัวอย่างเช่น จากหัวข้อ “ปัญหาเด็กเขมรเข้ามา ขอทาน” ขยายเป็น “ปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิด กฎหมาย”

วิธกี ารขยายขอบเขตใหก้ ว้างข้ึน 3. การขยายขอบเขตโดยใช้สถานท่ีและสภาพทาง ภมู ศิ าสตรเ์ ป็นหลกั ตัวอยา่ งเช่น จากหวั ข้อ “นา้ ตกทีลอซู” ขยาย ขอบเขตเปน็ “น้าตกในอุทยานแห่งชาตทิ างภาคเหนอื ” 4. การขยายขอบเขตโดยการใช้เวลาหรือยุคสมัยเป็น หลัก ตัวอย่างเช่น จากหัวข้อ “ การประกวดเพลงกล่อม ลูก” ขยายเปน็ “ววิ ฒั นาการของเพลงกลอ่ มลูก”

2. การคน้ ควา้ และรวบรวมแหลง่ ค้นควา้ การเลือกเร่ืองทารายงาน ต้องเป็นเร่ืองท่ีมีแหล่งข้อมูลหรือ แหล่งสารสนเทศอย่างเพียงพอ ดังนั้นส่งิ ที่ต้องทาท้ังในขณะที่พิจารณา ตัดสินใจเลือกเรื่องและหลังจากเลือกเร่ืองแล้ว คือ การสารวจว่ามี แหลง่ ขอ้ มลู เรือ่ งท่ีต้องการอยู่ทไ่ี หนบ้าง มวี ธิ ีการเขา้ ถึงได้อย่างไร รจู้ ัก วิธีใช้เครื่องมือช่วยค้นประเภทต่างๆ เพ่ือให้สามารถค้นคว้ารวบรวม ข้อมูลที่ตอ้ งการไดค้ รบถว้ น หลากหลายและทนั สมัย

3. การวางโครงเรอ่ื ง การวางโครงเรื่องกับการรวบรวมแหล่งสารสนเทศมักจะ ดาเนินไปพร้อมๆกัน เพราะหัวข้อต่างๆ ท่ีจะนามาจัดเรียงเข้าไว้ใน เร่ืองจะได้มาจากการศึกษาข้อมูลจากแหล่งสารสนเทศอย่างคร่าวๆ เม่ือวางโครงเร่ืองเบื้องต้นไว้แล้ว ในระหว่างการค้นคว้า อ่าน และ บันทึกข้อมูล อาจได้แนวคิดหรือแนวทางท่ีชัดเจนขึ้น นามา ปรับเปลีย่ นโครงเร่ือง ซ่ึงสามารถทาได้ตลอดเวลา เพ่ือความเหมาะสม และสมบูรณ์ท่ีสุดของโครงเรื่อง การวางโครงเร่ืองท่ีดีมีความสาคัญ มาก เพราะใชเ้ ป็นกรอบหรือแนวทางในการเขยี นการคน้ คว้า

3. การวางโครงเรอ่ื ง วธิ ีทาควรตามข้ันตอนดงั น้ี - ระดมความคดิ โดยเขยี นหัวข้อใหญ่ หวั ขอ้ ยอ่ ย หรือประเดน็ ย่อย ๆ ทเ่ี ราคดิ วา่ จะเขียนลงไปในรายงานของเราใหม้ ากทส่ี ดุ เทา่ ทจ่ี ะมากได้ - คัดเลอื กความคดิ จากหวั ขอ้ ทเ่ี ราระดมมาท้งั หมด พจิ ารณาดูวา่ หวั ข้อใดจบั รวมกันเป็นหวั ขอ้ เดียวกันได้ หวั ขอ้ ใดที่ไมเ่ กย่ี วข้องกต็ ดั ออกไป หัวใดทย่ี งั ขาดอยู่ ก็เพ่ิมเขา้ มา แลว้ จดั หมวดหมู่ - เรยี งลาดบั หมวดหมคู่ วามคดิ ดูว่าหมวดหมใู่ ดควรมาก่อนมาหลงั เรยี ง ตามลาดบั ความสาคญั จากนน้ั เพมิ่ บทนาและบทสรุปเขา้ ไป ก็จะไดโ้ ครงเรื่องตาม ตอ้ งการ - แก้ไขภาษาตามต้องการ

3. การวางโครงเร่ือง ตวั อยา่ งโครงเรื่อง 1. ความนา 2. ลักษณะและชนดิ ของนกเงือก 2.1 ลกั ษณะทว่ั ไป 2.2 ชนดิ ต่าง ๆ ของนกเงอื ก 3. ชีวติ ความเป็นอยูข่ องนกเงอื ก 3.1 อาหารของนกเงอื ก 3.2 การขยายพันธ์ุ 1) การสรา้ งรงั 2) การเล้ยี งลกู 4. สรุป

3. การวางโครงเร่ือง - การเสนอผลงาน ผู้เขียนรายงานจะต้องนาข้อมูลต่าง ๆ ที่จดบันทึกไว้ มา เขียนเรียบเรียงเข้าให้เป็นระเบียบตามโครงเรื่องที่วางไว้ ใช้ถ้อยคา สานวนของผู้เขียนเอง เขียนโดยใช้ภาษาที่เป็นทางการ เขียนให้ กระชับ อา่ นเขา้ ใจแจม่ แจ้ง ชดั เจน ไมว่ กวนสับสน

4. การอ่านและจดบันทกึ ขอ้ มูล ข้ันตอนนี้เป็นขั้นตอนท่ีใช้เวลามากท่ีสุด โดยผู้ทารายงานต้องลง มอื อา่ นเอกสารหรือแหล่งสารสนเทศท่ีรวบรวมไว้ คัดเลือกข้อมูล ท่ีตรงตามความต้องการ แล้วจดบันทึกข้อมูลเหล่านั้นไว้อย่างมี ระบบ รวบรวมให้ครบถ้วนทุกหัวข้อตามท่ีวางไว้ในโครงเรื่อง เพื่อ ใชใ้ นการเรยี บเรียงเนือ้ เรอื่ งตอ่ ไป

4. การอ่านและจดบนั ทกึ ขอ้ มลู วธิ ีบนั ทึกขอ้ ความ วธิ ีจดบันทึกข้อความอาจทาได้หลายวธิ ีขึ้นอยู่ กับความประสงค์ของผู้จดบันทกึ ทส่ี าคัญ ๆ มดี งั นี้ 1) จบั สาระสาคญั ของข้อความทอี่ ่าน และจด บนั ทึกโดยใชถ้ ้อยคาของผูจ้ ดบันทกึ เอง ทัง้ น้ใี หต้ รงกบั ความเดมิ โดยไมต่ อ่ เตมิ 2) ใชถ้ อ้ ยคาบางคาท่ีสาคญั จากต้นฉบับประสม กับถอ้ ยคาของผู้จดบันทกึ เองโดยไมต่ อ่ เติมเชน่ กัน

4. การอ่านและจดบันทกึ ขอ้ มลู 3) จดข้อความตอนใดตอนหนึ่งจากหนงั สือหรือเอกสาร ที่อ่านเพ่ือใช้ในการอ้างอิงโดยจดให้ตรงตามต้นฉบับทุกประการ ใสเ่ ครื่องหมายอญั ประกาศกากบั ไว้ 4) ทาโดยวีใดวิธีหนึ่งใน 3 วิธีข้างต้น และแสดง ความคิดเห็นหรือขอ้ สงั เกตเพิม่ เติม โดยระบุไวใ้ ห้ชัดว่าตอนน้ีเป็น ความคดิ เสรมิ และแยกเขียนไว้อกี ตอนหน่งึ ต่างหาก

4. การอา่ นและจดบันทกึ ขอ้ มูล 3. รูปแบบในการบันทึก การจดบันทึกควรจดเพียงด้าน เดียวบนแผ่นกระดาษที่มีขนาดเดียวกัน ควรวางรูปแบบในการจด บันทึกตามลาดบั คอื หัวข้อใหญ่ หวั ข้อย่อย แหล่งท่มี าของเอกสารท่ี อ่าน เลขหนา้ ท่ขี อ้ ความนัน้ ปรากฏ เนือ้ ความ ดังตวั อยา่ งตอ่ ไปนี้ ตวั อยา่ ง แหล่งทมี่ าทีบ่ ันทึกไว้ในข้อ 1 จะนาไปใช้ท้ังในการอ้างอิงใน ตัวเร่ืองของรายงาน และในการแสดงรายชื่อหนังสืออ้างอิงท้าย รายงานหรือท่เี รยี กว่า บรรณานกุ รม

4. การอ่านและจดบนั ทกึ ขอ้ มลู

5. การเรียบเรยี งเน้อื เรื่อง ในการเขยี นหรอื เรยี บเรยี งเนื้อเรอื่ งรายงานผู้ทารายงานจะต้องใช้ ความรู้ความสามารถในการวิเคราะห์ จัดลาดับ จัดประมวล แนวคิด จากข้อมูลที่ได้รวบรวมไว้ แล้วนามาเรียบเรียงด้วย สานวนภาษาและแนวคิดของตนเอง ประกอบกับข้อมูลจาก แหล่งข้อมูลทั้งหลาย ในการเขียนต้องใชภ้ าษาอย่างเหมาะสม ใช้ รูปแบบทีถ่ กู ต้องเพอื่ ให้ผลงานออกมานา่ อ่านและมีคุณค่า

5. การเรยี บเรยี งเน้ือเร่อื ง ในขณะที่เขียนเน้ือเร่ืองต้องมีการอ้างอิงแหล่งสารสนเทศตามความ เหมาะสม ทั้งน้เี พราะขอ้ มลู ส่วนใหญ่ได้จาการศึกษาค้นคว้า เมื่อนามา เรยี บเรียงไวใ้ นรายงาน ตอ้ งมกี ารอา้ งองิ ถงึ แหล่งที่มาอยา่ งถูกต้องตาม แบบแผน เพ่ือเป็นการให้เกียรติแก่เจ้าของมูล เพื่อเป็นหลักฐานแสดง ความน่าเช่ือถือ และช่วยให้ผู้สนใจสามารถติดตามศึกษาค้นคว้า รายละเอียดเพิ่มเติมจากแหล่งที่อ้างอิงได้อย่างสะดวก การเขียน อ้างอิงมีกฎเกณฑ์และรูปแบบท่ีต้องศึกษาเพื่อให้เขียนได้ถูกต้อง เช่นเดียวกับส่วนประกอบอื่นๆ เช่น ตารางและภาพประกอบ เป็น ต้น

5. การเรียบเรยี งเนื้อเรือ่ ง การอ้างอิง หมายถึง การบอกรายละเอียดของแหล่งสารนิเทศ ที่ใช้อา้ งองิ ในการศกึ ษาคน้ คว้า ซึ่งนาเสนอในรูปของรายงานภาคนิพนธ์บทความหนังสือ วิชาการและรายงานการวจิ ัย ความสาคญั ของการอ้างอิง 1. เพ่อื ใหผ้ อู้ ่านหรือผทู้ มี่ าศึกษาคน้ คว้าสามารถตรวจสอบหรือ ติดตามศึกษาเพิม่ เติมได้ 2. เพ่อื ให้เกยี รติแก่ผแู้ ต่งสารนเิ ทศท่ีใชอ้ ้างอิง 3. เพื่อสร้างความนา่ เชือ่ ถอื แกผ่ ลงานให้กบั ผทู้ ่ีได้อ่าน

5. การเรียบเรยี งเนอ้ื เรือ่ ง การอ้างอิงในเน้ือเรื่องเพื่อแสดงหลักฐานท่ีมาของข้อความ อาจทาได้ 2 วิธี วิธีแรกแสดงไว้ท่ีท้ายหน้ากระดาษที่ต้องการแสดงหลักฐาน ที่มา เป็นการอ้างอิงที่แยกการอ้างอิงออกจากเน้ือหาโดยเด็ดขาดโดยให้ อย่สู ว่ นลา่ งสุดของหนา้ กระดาษแต่ละหนา้ เรยี กวา่ เชิงอรรถ อีกวิธีหนึ่ง แสดงไว้ตอนท้ายของข้อความที่ต้องการแสดง หลักฐานที่มานั้น เรียกว่า นามปี วิธีน้ีเป็นการเขียนรายการอ้างอิงท่ี เปน็ มาตรฐานการอา้ งอิงในปจั จบุ ันเนอื่ งจากเป็นระบบที่เพียงแต่ระบุช่ือ ผแู้ ตง่ ปพี มิ พ์และเลขหน้าทีอ่ า้ งถงึ เทา่ นัน้

5. การเรียบเรยี งเน้อื เรอ่ื ง สว่ นประกอบของรายการอา้ งอิงแบบนาม-ปี มสี ่วนประกอบท่สี าคัญ 3 สว่ นคอื 1. ผแู้ ต่ง/ผู้ผลติ /ผใู้ ห้ขอ้ มูล 2. ปที พ่ี มิ พ/์ ปที ี่ผลติ /ปีที่ปรากฎข้อมูลหรือปที เ่ี ขา้ ถงึ ขอ้ มลู (กรณีเป็นข้อมูลจาก WWW และไมป่ รากฏปีท่ผี ลิต/ปเี ผยแพร่ขอ้ มลู ) 3. เลขหน้าทีใ่ ชใ้ นการอา้ งองิ

วิธีการเขยี นรายการอา้ งองิ แบบนาม-ปี ในการเขยี นรายการอา้ งอิงแบบนาม-ปีสามารถเขียนได้ 2 แบบทงั้ นี้ขน้ึ อยกู่ ับวัตถปุ ระสงค์ของการเขยี นดังมีรายละเอยี ดและ ตวั อย่างตอ่ ไปน้ี 1. การอา้ งอิงแบบเน้นเนื้อหาสาระสว่ นประกอบของรายการ อ้างองิ ทงั้ หมดจะอยูใ่ นวงเลบ็ และเขยี นตอ่ ท้ายขอ้ ความทต่ี อ้ งการอ้างองิ รูปแบบ ข้อความท่นี ามาอา้ งอิง (ชอื่ ,พ.ศ. : หนา้ )

วิธกี ารเขยี นรายการอา้ งอิงแบบนาม-ปี ดงั ตวั อย่าง การให้บริการส่ือสารท่ีเป็นสากลมีความจาเป็นต้องอยู่ภายใต้ความ ร่วมมือของนานาชาติที่เป็นสมาชิกเพื่อหาข้อตกลงด้านต่างๆตลอดจน การออกแบบส่วนตา่ งๆเพ่ือใหส้ ามารถให้บรกิ ารสอ่ื สารแก่มวลสมาชิกได้ องค์กรหลกั สององค์กรท่ีให้บริการส่อื สารดาวเทียมสากลคือ INTELSAT และ INTERSPUTNIK ท่ีมีสมาชิก 118 และ 14 ประเทศตามลาดับ (รัชนยั อินทใุ ส, 2538: 4-5)

วิธกี ารเขียนรายการอ้างองิ แบบนาม-ปี 2. การอ้างองิ โดยเน้นผแู้ ตง่ /ผ้ผู ลติ /ผใู้ ห้ขอ้ มูล ชอ่ื ของผูแ้ ตง่ /ผูผ้ ลติ /ผู้ให้ข้อมลู จะอยนู่ อกวงเลบ็ สว่ นรายการปพี ิมพ์และ เลขหนา้ จะอยูใ่ นเครอ่ื งหมายวงเลบ็ ต่อท้ายชอื่ ดังกลา่ วดังตัวอยา่ ง รปู แบบ ชือ่ (พ.ศ. หนา้ ) พบวา่ ……………… ตามดว้ ยขอ้ ความทน่ี ามาอ้างองิ

วธิ กี ารเขยี นรายการอ้างองิ แบบนาม-ปี ดงั ตวั อยา่ ง รัชนัยอินทุใส (2538: 4) อธิบายว่าการให้บริการส่อื สารที่เป็น สากลมีความจาเป็นต้องอยู่ภายใต้ความร่วมมือของนานาชาติท่ีเป็น สมาชกิ เพ่ือหาข้อตกลงดา้ นต่างๆตลอดจนการออกแบบส่วนต่างๆเพื่อให้ สามารถให้บริการส่ือสารแก่มวลสมาชิกได้องค์กรหลักสององค์กรที่ ให้บรกิ ารส่ือสารดาวเทียมสากลคือ INTELSAT และ INTERSPUTNIK ที่ มีสมาชิก 118 และ 14 ประเทศตามลาดบั หมายเหตุ: ทุกรายการท่ีอ้างอิงในเนื้อหา ต้องปรากฏในรายการ บรรณานุกรมเสมอ

หลกั เกณฑก์ ารอ้างองิ แบบนาม - ปี 1. หลกั เกณฑก์ ารลงรายช่ือผ้แู ต่ง 1.1 คานาหน้าชือ่ ตามปกตใิ หต้ ัดออกได้แกน่ ายนางนางสาว 1.2 ถ้าผแู้ ตง่ มีบรรดาศักดฐิ์ านันดรศักดห์ิ รือสมณศักดิ์กลับเอา บรรดาศกั ด์ิฯลฯ ไว้หลงั ช่อื กับนามสกุลคนั่ ด้วยเครื่องหมายจลุ ภาค (,) เช่น ปน่ิ มาลากุล,ม.ล.. มนตรี,เจ้าพระยาธรรมศักดิ์. บางตาราใช้ ผู้แตง่ ทมี่ ฐี านันดรศักดิ์บรรดาศกั ด์ิยศทางตารวจยศทางทหารและ ตาแหน่งนักบวชนาหนา้ ชอ่ื ใหค้ งไว้ตามปกติโดยไมต่ ัดท้งิ หรือย้ายทเ่ี ช่น - ม.ล. ปิ่นมาลากุล - เจ้าพระยาธรรมศกั ดม์ิ นตรี

หลักเกณฑก์ ารอ้างองิ แบบนาม - ปี 1.3 ตาแหน่งทางวชิ าการ (คาระบบุ อกอาชีพ) ใหต้ ดั ท้งิ เช่น - ศาสตราจารยด์ ร.วษิ ณุเครืองามลงว่าวษิ ณุเครืองาม - นายแพทย์ประเวศวะสลี งวา่ ประเวศวะสี 1.4 ผแู้ ต่งชาวตา่ งประเทศให้เขยี นเฉพาะนามสกลุ เช่น - Smith R Solveyลงวา่ Solvey. - Petit M Brettyลงว่าBretty. 1.5 ถา้ ผู้แต่งเป็นสถาบนั ให้บนั ทึกชอื่ สถาบันน้นั ๆโดยเรียงลาดบั จาก หนว่ ยงานใหญไ่ ปหาหนว่ ยงานยอ่ ยในกรณีเปน็ หนว่ ยงานของรัฐบาล อย่างน้อยต้องอา้ งถึงระดับกรมหรอื เทยี บเท่าระหวา่ งชอ่ื หน่วยงานคัน่ ด้วยเครอ่ื งหมายมหพั ภาค (.)

หลักเกณฑก์ ารอ้างองิ แบบนาม - ปี 1.6 ถ้าผู้แต่งมี 2 คนให้ลงช่ือท้ังหมดระหว่างชื่อให้ค่ันด้วย “และ” หรือ “&” แล้ว Comma (,) เช่น สมศักดิ์และอานาจ, 2551 Kosslyn& Barrett, 1996 1.7 ถ้าผู้แต่งมี 3-5 คนในครั้งแรกที่ลงรายการอ้างอิงให้ลงช่ือทั้งหมดและ ถ้ามีการกล่าวซ้าให้ลงเฉพาะช่ือคนแรกและใส่ “และคณะ” หรือ “et al.” และถ้าในย่อหน้าเดียวกันมีการอ้างอิงมากกว่า 1 ครั้งให้ลงเฉพาะช่ือคน แรกและใส่ “และคณะ” หรือ “et al.” แต่ไม่ต้องลงปีที่พิมพ์เช่น กมล, อานาจ, สุชาติ, และศุภกิจ, 2549 (กรณีอ้างอิงครั้งแรก) กมลและคณะ, 2549 (กรณีอ้างอิงคร้ังที่ 2 ของบทความแต่เป็นคร้ังแรกของย่อหน้า) (กมลและคณะ) (กรณอี า้ งอิงคร้งั ที่ 2 เปน็ ต้นไปของย่อหน้า)

หลักเกณฑก์ ารอา้ งองิ แบบนาม - ปี 1.8 ถ้าผู้แตง่ ตั้งแต่ 6 คนขึ้นไปให้ลงเฉพาะชื่อคนแรกและใส่ “และ คณะ” หรือ “et al.” เช่น - ปราณีวมิ ณ, ศักดิ์ดาสุวทิ ย์, มณีดวงแดง, ฉตั รดีมาก, มณฤดีศียากลั ป,์ อทุ ิศแสวงโชค, 2544 ลงเปน็ ปราณแี ละ คณะ, 2544 1.9 ถ้าผู้แต่งเป็นองค์กรหรือหน่วยงานที่มีตัวย่อให้กากับตัวย่อไว้ใน วงเล็บเหล่ียมดว้ ยเช่น - สานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แห่งชาติ [สวทช], 2550 (กรณีอา้ งอิงคร้ังแรก) - สวทช, 2550( กรณอี า้ งอิงคร้งั ที่ 2 เปน็ ตน้ ไป)

การอา้ งท่ีมาของตาราง การเขียนชื่อผู้แต่งให้ใช้หลักการเดียวกับการเขียนอ้างแบบตามท้าย ขอ้ ความในเนื้อเรอื่ งดว้ ยตามด้วยวงเลบ็ ปีทพ่ี ิมพเ์ ช่น ตารางท่ี 1 ...................................................................... ท่มี า: ชอ่ื ชอื่ สกลุ . (ปีท่ีพิมพ)์ .

การอา้ งทม่ี าของภาพ ภาพท่ี 1 ชอ่ื ภาพ ทีม่ า : ชอ่ื ชอื่ สกลุ . (ปีท่ีพิมพ)์ . กรณีท่ีไมม่ ชี อ่ื เจ้าของเรอื่ ง เจา้ ของ web ภาพท่ี 1 แสดง หอไอเฟล ทมี่ า: ช่อื เร่ือง. วนั ที่ค้นขอ้ มลู วนั ท่เี ดือนปี,จากเจา้ ของเวบ็ ไซด์ : http://www.xxxxxxxxxxx

6. การเขียนบรรณานกุ รมหรือเอกสารอ้างอิง รายช่ือเอกสารหรือแหล่งสารสนเทศทุกรายการท่ีใช้ประกอบ การศึกษาค้นคว้าและอ้างอิงในเนื้อเรื่องจะต้องนามาเขียนเรียบเรียง ตามลาดบั อักษร ในรูปแบบทถ่ี กู ตอ้ งตามหลักสากล รวมไวส้ ว่ นท้ายของ รายงาน เรียกว่า บรรณานุกรมหรือรายการเอกสารอ้างอิง ซ่ึงมีรูปแบบ กฎเกณฑ์ในการเขยี นท่ผี ู้ทารายงานจะตอ้ งศึกษา

วิธเี ขียนบรรณานกุ รม รูปแบบการเขียนบรรณานุกรมของแต่ละท่ีอาจจะแตกต่างกัน การเลือกใช้รูปแบบใดก็เป็นสิทธ์ิของผู้เขียนบทนิพนธ์ที่จะเลือกใช้แต่ เมือ่ ตดั สนิ ใจใชแ้ บบใดแล้วก็ควรเปน็ แบบเดียวกนั ท้ังหมด ในที่นี้จะใช้รูปแบบการเขียนบรรณานุกรมตามแบบ APA Style ซ่ึงปรากฏในหนังสือเรียนหลักภาษาช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ของ กระทรวงศกึ ษาธกิ ารและขอคดั เฉพาะรายการทน่ี กั เรยี นใช้คน้ ควา้ จริง

วธิ ีเขียนบรรณานุกรม ขอ้ สงั เกตบางประการเกย่ี วกบั หลกั เกณฑก์ ารลงรายการ บรรณานุกรมหนังสือ 1. เคร่อื งหมาย \"\" ในท่นี ้แี สดงถึงการเวน้ ระยะในการพมิ พ์หรือเขยี น ไมต่ ้องใส่เครอ่ื งหมายลงไป 2. หากรายการใดไม่มีกไ็ ม่ตอ้ งลงรายละเอยี ดในบรรณานุกรมใหล้ ง รายการถดั มาไดเ้ ลย 3. การลงรายการผู้แต่งมหี ลกั การเขยี นคอื ผแู้ ต่งอาจเป็นบคุ คลหรือ สถาบนั กไ็ ด้

วธิ ีเขยี นบรรณานุกรม ขอ้ สงั เกตบางประการเกย่ี วกบั หลกั เกณฑก์ ารลงรายการ บรรณานุกรมหนังสือ - ถา้ ผู้แตง่ มากกวา่ 1 คนแต่ไม่เกิน 6 คนใหล้ งช่ือท้งั หมดระหวา่ งชอื่ ให้คน่ั ดว้ ย (,) แล้วเวน้ 1 วรรคและหลังชื่อคนสดุ ทา้ ยใหใ้ ส่ (.) เชน่ ปราณีวมิ ณ, ศักดิด์ าสวุ ทิ ย,์ มณีดวงแดง, ฉัตรดมี าก, มณฤดีศียากลั ป์, และอุทศิ แสวงโชค. - ถ้าผแู้ ต่งมากกว่า 6 คนใหล้ งชอ่ื ถงึ คนท่ี 6 แลว้ ลงคาว่า “และคณะ” ใน ภาษาไทยแลว้ ตามด้วย(.) เชน่ ปราณวี มิ ณ, ศักด์ดิ าสุวทิ ย,์ มณีดวงแดง, ฉตั รดี มาก, มณฤดีศยี ากัลป์, อทุ ศิ แสวงโชค, และคณะ.

วธิ ีเขียนบรรณานุกรม ขอ้ สงั เกตบางประการเกี่ยวกบั หลกั เกณฑก์ ารลงรายการบรรณานกุ รม หนงั สอื - กรณที ี่ไมป่ รากฏชื่อผูแ้ ต่งให้เล่อื นรายการชอ่ื เรอ่ื งหรือรายการทีอ่ ยถู่ ดั ไปมาเปน็ รายการแรกแทนชอ่ื ผู้แตง่ - หน่วยงานรฐั วสิ าหกิจและภาคเอกชนให้ใชช้ อ่ื หน่วยงานนน้ั ๆหรอื บริษทั ธนาคาร ฯลฯเปน็ ชือ่ ผู้แต่ง - ถ้าเปน็ บุคคลประเภทสามัญชนให้ตัดคานาหนา้ นามต่อไปนี้ท้งิ ไป คือ คานาหนา้ นามแสดงเพศ (นาย, นาง, นางสาว) คานาหน้านามแสดงคณุ วฒุ ิ (ดร.) คานาหนา้ นามแสดงอาชพี (เชน่ นายแพทย)์ คานาหนา้ นามแสดงยศทาง ทหาร (เช่นพล.อ.) และคานาหน้านามแสดงตาแหนง่ ทางวชิ าการ (ผศ.., รศ., ศ.)

วิธีเขียนบรรณานกุ รม ข้อสังเกตบางประการเก่ยี วกบั หลกั เกณฑก์ ารลงรายการบรรณานกุ รมหนงั สอื - ถา้ ผแู้ ต่งมบี รรดาศกั ด์ิฐานนั ดรศกั ดหิ์ รือสมณศกั ดิ์กลบั เอาบรรดาศกั ดฯิ์ ลฯ ไวห้ ลังช่ือกบั นามสกุลค่ันดว้ ยเคร่อื งหมายจุลภาค (,) บางตาราใช้ - ผแู้ ต่งท่มี ีฐานันดรศักดิ์บรรดาศกั ดิย์ ศทางตารวจยศทางทหารและตาแหนง่ นกั บวชนาหน้าชอ่ื ให้คงไวต้ ามปกตโิ ดยไมต่ ดั ทิ้งหรอื ย้ายท่ี - ถ้าผแู้ ต่งเป็นสถาบนั ให้บนั ทกึ ชอ่ื สถาบนั นัน้ ๆโดยเรียงลาดับจากหนว่ ยงานใหญ่ ไปหาหนว่ ยงานยอ่ ยในกรณเี ปน็ หน่วยงานของรัฐบาลอยา่ งนอ้ ยต้องอา้ งถงึ ระดับ กรมหรอื เทยี บเทา่ ระหว่างช่ือหนว่ ยงานคั่นดว้ ยเครือ่ งหมาย (.)

วิธีเขยี นบรรณานุกรม ข้อสังเกตบางประการเกย่ี วกบั หลักเกณฑก์ ารลงรายการบรรณานกุ รมหนงั สอื 4. การลงรายการปีพิมพ์เอกสารภาษาไทยใส่เฉพาะตัวเลขปีพ.ศ. เอกสารภาษาต่างประเทศใส่เฉพาะใช้ตัวเลขปีค.ศ. ซึ่งเป็นปีท่ีปรากฏอยู่ในการ พิมพ์และใช้ปีที่พิมพ์หรือปีที่เผยแพร่หรือปีลิขสิทธิ์ล่าสุดถ้าไม่มีปีท่ีพิมพ์หรือปี ลิขสิทธ์ิให้ใช้ม.ป.ป.ซ่ึงย่อมาจากคาเต็มว่าไม่ปรากฏปีพิมพ์ยกเว้นถ้าเป็นข้อมูล จาก WWW และไม่ปรากฏปีท่ีเผยแพร่ให้ใช้ปีที่เข้าถึงแทนก่อนเขียนปีพิมพ์ให้ เวน้ 1 ระยะแลว้ ตามดว้ ยเครอ่ื งหมายจุดคู่ (:)

วธิ เี ขียนบรรณานกุ รม ข้อสังเกตบางประการเกย่ี วกับหลักเกณฑ์การลงรายการบรรณานุกรมหนังสือ 5. การลงรายการชอ่ื หนังสอื มหี ลกั การเขียนดังนี้ - ช่อื หนงั สอื ใหพ้ มิ พ์ดว้ ยตัวหนา หรอื ขีดเสน้ ใต้หรอื ใช้ตวั เอยี ง (เลอื กเพียง อย่างใดอยา่ งหนึง่ ) 6. การลงรายการครง้ั ที่พิมพใ์ หล้ งรายการต้ังแตก่ ารพิมพ์ครั้งท่ี2 เป็นตน้ ไปเชน่ พมิ พค์ รั้งท่ี 2, พิมพ์คร้งั ที่ 3 เป็นตน้ 7. การลงรายการช่ือชดุ หนงั สือและลาดับที่กรณหี นงั สอื ชอื่ เรอ่ื งน้นั เปน็ เลม่ หนง่ึ ใน หนงั สอื ชุดและอ้างเพียงเล่มเดยี วในการเขยี นบรรณานุกรมให้เขียนชอ่ื เร่อื งของ หนงั สอื เล่มที่อา้ งถึงในส่วนช่ือหนังสอื และระบุชอื่ เร่ืองของชดุ และหมายเลขชดุ ตอ่ ท้ายจากรายการชอ่ื หนงั สอื ชอื่ บรรณาธกิ าร(ถ้ามี) หรอื ชอื่ ผู้แปล(ถ้ามี) หรอื จานวนเลม่ (ถา้ มี) หรอื ครง้ั ท่พี ิมพ(์ ถา้ มี) เชน่ ชุดสง่ เสริมการท่องเทย่ี ว. เลม่ 2.

วิธีเขยี นบรรณานุกรม ข้อสงั เกตบางประการเก่ียวกับหลักเกณฑ์การลงรายการบรรณานุกรมหนงั สือ 8. การลงรายการสถานทพี่ มิ พ์และสานักพมิ พ์ - สถานทพี่ มิ พ์หมายถึงชอื่ เมืองหรอื จงั หวัด - ให้ใสช่ อื่ เฉพาะของสานกั พิมพ์โดยตดั คาขยายชอื่ เฉพาะเช่นสานักพิมพ์, ห.จ.ก., บรษิ ทั , ยกเว้นสานกั พมิ พข์ องมหาวทิ ยาลยั ให้ใส่คาวา่ “สานกั พิมพ”์ ลง ไปด้วยเชน่ ดวงกมล.ดอกหญ้า.สานกั พิมพ์มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร.์ - ถ้าไม่ปรากฏช่อื ผรู้ บั ผดิ ชอบในการพิมพใ์ หร้ ะบุ “ม.ป.ท.” (ไมป่ รากฏท่ี พมิ พ)์ - ถ้าไม่ปรากฏปีท่ีพิมพใ์ หร้ ะบุ “ม.ป.ป.” (ไมป่ รากฏปีที่พิมพ)์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook