Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สวนพฤกษศาสตร์ในโรงเรียน

สวนพฤกษศาสตร์ในโรงเรียน

Published by Mo Dem, 2020-11-02 08:34:58

Description: นาย ชนาธิป วงค์สุภาพ เลขที่ 2
นาวสาว สารภี พิมพ์พันวงศ์ เลขที่ 39
ชั้น มัธยมศึกษา ปีที่ 5/1

Search

Read the Text Version

ประกอบวิชา ว32101 เทคโนโลยี 2 ครปู ระจาวิชา ครครู ชั ชนก วงศเ์ ขียว

คานา หนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์เร่ือง สวนพฤกษศาสตร์ในโรงเรียนเล่มนี้ ประกอบด้วเนือ้ หาเกย่ี วกบั ต้นไม้และดอกไม้ในโรงเรียนวงั เหนือวทิ ยาเป็ นส่วน หน่ึงของวชิ า ว32101 เทคโนโลย2ี ผ้จู ดั ทาหวงั เป็ นอย่างยงิ่ ว่าเนือ้ หาในหนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์นีจ้ ะเป็ น ประโยชน์สาหรับผ้ทู ศี่ ึกษาได้เป็ นอย่างดี นาย ชนาธิป วงค์สุภาพ นางสาว สารภี พมิ พ์พนั วงศ์ ผู้จดั ทา

ขอ้ มูลพฤกษศาสตร์ ช่ือวทิ ยาศาสตร์ : Wedelia trilobata (L) Hitch ช่ือวงศ์ : ASTERACEAE ชื่อพ้ืนเมืองอ่ืนๆ : เบญจมาศเครือ กระดุมทอง กระดุมทองเล้ือย ถ่ินกาเนิด : อเมริกาใต้ การกระจายพนั ธุ์ : ในประเทศไทย ทุกภาคในประเทศไทย ในประเทศอ่ืนๆ พม่า ลาว กมั พชู า เวยี ดนาม นิเวศวทิ ยา : เจริญเติบโตไดด้ ีในดินทวั่ ไป ความช้ืนปานกลางและมีแสงแดดราไร เวลาออกดอก : ตลอดปี ลกั ษณะวสิ ยั : ไมล้ ม้ ลุก เวลาติดผล : ตลอดปี เรือนยอด ทรงพมุ่ : สูง 0.5 ม. กวา้ ง 2 ม. การขยายพนั ธุ์ : ปักชา ถ่ินอาศยั : เป็ นพืชบก ลาตน้ : ลาเหนือดิน เกาะเล้ือย การใชป้ ระโยชน์ : ปลูกเป็ นไมป้ ระดบั อาคารและสวนหยอ่ ม ปลูกคลุมดินที่ลาด เอียงหรือริมสระน้าธรรมชาติเพอ่ื ป้ องกนั การพงั ทลายของดิน เปลือกลาตน้ : สีเขียว มีขน ยาง : ไมม่ ียาง ใบ : เป็ นใบเดี่ยว สีเขียว ขนาดแผน่ ใบกวา้ ง 3 ซม. ยาว 7 ซม. ลกั ษณะพเิ ศษของใบ ใบมีสีเขียวเขม้ มนั วาว หยาบมีกลิ่นฉุน มีหยกั ตามขอบใบและมีขนอยทู่ ว่ั ใบ การเรียงตวั ของใบบนกิ่ง : เรียงตวั แบบสลบั รูปร่างแผน่ ใบ : รูปรี ปลายใบ : ปลายใบแหลม โคนใบ : รูปลิ่ม ขอบใบ : จกั ฟันเลื่อย ดอก : เป็ นดอกเดี่ยว ตาแหน่งที่ออกดอก : ซอกใบ กลีบเล้ียง : แยกจากกนั มีจานวน 9กลีบ สีเขียวเขม้ กลีบดอก : แยกจากกนั มีจานวน 12กลีบ สีเหลือง เกสรเพศผู้ : มีจานวน 2 อนั มีเหลืองน้าตาล เกสรเพศเมีย : มีจานวน มาก อนั มีสีเหลือง กลิ่น : มีกล่ินฉุน ผล : เป็ นผลเด่ียว ผลแหง้ แลว้ แตก สีของผล ผลออ่ นสีเขียว ผลแก่สีน้าตาลแกมเขียวเขม้ รูปร่างผล ทรงรี เมลด็ : สีของเมลด็ มีสีน้าตาลแกมเขียว รูปร่างเมลด็ กลมเลก็ ๆ

ชบา (Hibiscus) จดั เป็นไม้ประดบั ดอกที่นยิ มปลกู กนั ทว่ั โลก โดยเฉพาะใน แถบประเทศเขตร้อนของอเมริกา และแอฟริกา จนได้สมญานามวา่ ราชนิ ีแหง่ ดอกไม้เมืองร้อน นอกจากนนั้ ยงั นิยมนาดอก และใบที่มีสารเมือกมาใช้ประโยชน์ในด้านสมนุ ไพร และความงาม อีกด้วย • วงศ์ : Malvaceae • สกลุ : Hibiscus • ช่ือวทิ ยาศาสตร์ : Hibiscus rosa-sinensis • ชื่อสามญั : – Hibiscus – Tropical Hibiscus – Hawaiian Hibiscus – Shoe Flower – China rose • ชื่อท้องถ่ิน : ภาคกลาง และทว่ั ไป – ชบา ภาคเหนือ – ใหม่ – ใหม่แดง ภาคใต้ – ชมุ เบา – บา • ถิ่นกาเนดิ : ประเทศ อนิ เดีย และประเทศเขตร้อนชืน้ ตา่ งๆ

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ลาต้น ชบา เป็นไม้พมุ่ ขนาดกลาง มีลาต้นสงู ประมาณ 1-3 เมตร ลาต้นแตกก่ิงตงั้ ระดบั ล่าง ลาต้นแตกกิ่งปานกลาง แต่ใบมีขนาดใหญ่ และดก ทาให้แลดมู ีทรงพมุ่ ทบึ เปลือกลาต้นมีเส้นใยและยางเมือก สามารถดงึ ลอกออกเป็นเส้นเชือกได้ ใบ ชบา ใบแตกออกใบเดี่ยวๆ เรียงสลบั ตามความยาวของ กิ่ง ใบมีหใู บยาว 0.5-2 เซนตเิ มตร ใบมีรูปหลายลกั ษณะแตกต่างกนั ตาม สายพนั ธ์ุ ทงั้ ทรงกลม รูปไข่ ยาวประมาณ 4-9 เซนติเมตร โคนใบกว้าง ปลายใบแหลม มีก้านใบยาวประมาณ 0.5-2 เซนตเิ มตร แผน่ ใบมีทงั้ โค้ง เป็นลกู คล่ืนหรือเรียบ และมีร่องของเส้นใบหลกั ประมาณ 3 เส้น แผน่ ใบ มีสีเขียวสดถงึ เขียวเข้ม เป็นมนั และมีขนเลก็ ๆปกคลมุ ส่วนขอบใบมีทงั้ หยกั ตืน้ หรือหยกั เป็นฟันเล่ือยลกึ เม่ือนาใบมาขยาจะมีนา้ เมือกเหนียว ออกมา

ดอก ดอกชบาเป็นดอกสมบรู ณ์ท่ีออกเป็นดอกเดี่ยวๆ บริเวณซอกใบท่ีปลายกิ่ง ดอกตมู มีลกั ษณะเป็นหลอด ปลายหลอด แหลม มีกลีบเลีย้ งสีเขียวหมุ่ ด้านนอก โดยตวั ดอกมีจานวน กลีบ เลีย้ ง และกลีบดอก อย่างละ 5 อนั ซง่ึ กลีบดอกมีทงั้ ชนิดกลีบดอก ชนั้ เดียวหรือซ้อนกนั เป็นชนั้ โดยตวั ดอกมีก้านดอกยาวประมาณ 3- 7 เซนติเมตร ถดั มาเป็นริว้ ประดบั ท่ีมีประมาณ 6-7 อนั รูปเส้นด้าย ยาวประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร ถดั มาเป็นกลีบเลีย้ งสีเขียว แบ่งเป็น 5 กลีบ โคนกลีบกว้าง ปลายกลีบแหลม เป็นรูประฆงั ส่วนกลีบดอก มี 5 กลีบ กลีบดอกมีรูปไข่กลบั หรือมนเรียงซ้อนเป็นวงกลม แผน่ กลีบดอกอาจเรียบหรือย่น หรือบดิ เป็นคลื่น สว่ นขอบกลีบมกั ยน่ เป็นลกู คลื่น เส้นผ่าศนู ย์กลางของกลีบดอกประมาณ 6-10 เซนติเมตร มีโคนกลีบดอกเช่ือมตดิ กนั เป็นรูปแตร ซงึ่ สีของกลีบดอก มีหลายสี และเป็นสีท่ีสดใส ฉดู ฉาด อาทิ สีแดง สีชมพู สีขาว สี เหลือง เป็นต้น ซง่ึ มกั เป็นสายพนั ธ์ลุ กู ผสม ด้านในตรงกลางมีก้านชเู กสรยาว ซง่ึ มกั มีสีเดียวกนั กบั กลีบดอก หรือโคนกลีบดอก โดยส่วนปลายสดุ เป็นอบั เรณขู องเกสรตวั ผู้ และ ตวั เมีย

ประโยชน์ชบา 1. ชบา เป็นไมป้ ระดบั ดอกท่ีนิยมปลกู มากในต่างประเทศ โดยเฉพาะในฮาวาย และประเทศเขตร้อนต่างๆ เน่ืองจาก ตวั ดอกมีขนาดใหญ่ กลีบดอกมีสีสนั สวยงาม ท้งั ปลกู ในแปลงจดั สวน ปลกู หนา้ บา้ น และปลูกในกระถาง 2. กลีบดอกชบาในต่างประเทศนิยมใชท้ ดั หูหรือสอดประดบั ศรีษะ รวมถึงนามา ถกร้อยเป็นพวงมาลยั คลอ้ งศรีษะ ส่วนประเทศไทย การนาดอกชบามาทดั หู หรือประดบั ศรีษะจะไม่นิยม เน่ืองจาก ในสมยั อดีตคนไทยมีความเชื่อวา่ ดอกไมช้ นิดน้ีซ่ึงมีสีสนั ฉูดฉาด ถือ เป็นดอกไมท้ ี่เป็นตวั แทนของหญิงกากีหรือ หญิงสองใจ รวมถึงหญิงที่มกั มากในกาม หญิงไม่มีการสารวม ชอบเตน้ ราหา ความสาราญไปวนั ๆ 3 ชบา นอกจากปลกู เพอ่ื ประดบั ดอกแลว้ ยงั นิยมปลกู สาหรบั เป็นแนวรวั้ หน้าบา้ นรว่ มดว้ ย

.4. กลบี ดอกชบาทม่ี สี สี นั ฉูดฉาด นามาคนั้ สกดั เอาน้าสาหรบั ตม้ ยอ้ มผา้ ยอ้ มสกี ระดาษ รวมถงึ ใช้ ผสมทาขนมของหวานเพอ่ื ใหข้ นมมสี ี 5. กลบี ดอกสด นามาตากแหง้ 5-7 วนั ก่อนใชช้ งเป็นชาดม่ื 6. กลบี ดอกชบา นามาขยา กอ่ นใชพ้ อกผม เพอ่ื กระตุน้ ใหผ้ มงอก ชว่ ยใหผ้ มดกดา 7. กลบี ดอก และใบชบา นามาขยา และผสมน้าเลก็ น้อย ก่อนใชท้ าชโลมหน้าหรอื ผวิ หนงั เพอ่ื ชว่ ย เพมิ่ ความชมุ่ ชน้ื แกผ่ วิ และลดความแหง้ กรา้ นของผวิ 8. กลบี ดอกชบา นามาขยาใหเ้ กดิ น้าสี สาหรบั ใชเ้ ป็นสที าลาตวั ทาเลบ็ ทาขนตา รวมถงึ ใชท้ า รองเทา้ ใหเ้ กดิ สี 9. ลาตน้ ชบา นาไปใชเ้ ป็นวตั ถุดบิ ผลติ เยอ่ื กระดาษ 10. เปลอื กตน้ ชบาดงึ ลอกออกเป็นเสน้ นาไปใชแ้ ทนเชอื กรดั ของ ซง่ึ ใหค้ วามเหนียวสงู ทงั้ ใชเ้ ป็น เชอื กสดหรอื นาไปตากใหแ้ หง้ ก่อน

ลนั่ ทม หรือ ลลี าวดี เป็นไมด้ อกยนื ตน้ ในวงศต์ ีนเป็ด หรือ วงศไ์ ม้ ลน่ั ทม (Apocynaceae) มีหลายชนิดดว้ ยกนั บางคนมีความเช่ือวา่ ไมค่ วรปลูกตน้ ลน่ั ทมในบา้ นเพราะมี ความเชื่อวา่ เป็นอปั มงคล คือไปพอ้ งกบั คาวา่ 'ระทม' ซ่ึงแปลวา่ เศร้าโศก ทุกขใ์ จ นิยมปลูกกนั แพร่หลายอยา่ งมาก ชื่อพ้นื เมืองอ่ืน ๆ ไดแ้ ก่ จาปา, จาปาลาว และจาปาขอม เป็นตน้ (สาหรับช่ือ ภาษาองั กฤษ ไดแ้ ก่ Frangipani, Plumeria, Temple Tree, Graveyard Tree) ตน้ ลีลาวดีเป็นพชื นิยมปลูกเพราะดอกมีสีสันหลากหลาย สวยงาม ไดแ้ ก่ขาว เหลืองอ่อน แดง ชมพู สี ขาวขนุ่ ฯลฯ บางดอกมีมากกวา่ 1 สี อาจมีมากถึงหลายสีในดอกเดียว ดอกลีลาวดียงั เป็นดอกไมป้ ระจาชาติของประเทศลาว โดยเรียกวา่ \"ดอกจาปา\"[ และพบไดม้ ากบริเวณ ทางข้ึนพระธาตุท่ีเมืองหลวงพระบาง สาหรับในประเทศไทยน้นั มกั พบตน้ ลนั่ ทมตามธรรมชาติทาง ภาคเหนือเป็ นส่วนใหญ่

ชอ่ื พน้ื เมอื ง รจู้ กั กนั อยา่ งแพรห่ ลายในปจั จุบนั ในช่อื ลลี าวดี โดยบางแหลง่ งดใชช้ ่อื ลนั่ ทม ตามความ เช่อื บางแหลง่ รจู้ กั กนั ในชอ่ื จาปา เน่ืองจากเป็น ดอกไมป้ ระจาชาตขิ องลาวและประเทศไทยมี ดนิ แดนตดิ กบั ลาว หรอื รจู้ กั ในช่อื จาปาลาว และ จาปาขอม ซง่ึ ช่อื ทใ่ี ชใ้ นปจั จบุ นั และรจู้ กั กนั ทวั่ ไป จะอยลู่ าดบั แรกสุด

ทางพฤกษศาสตร์ สกลุ Plumeria มีมากกวา่ 21 ชนิด เทา่ ท่ีตรวจพบสายพนั ธ์ุมีมากกวา่ ร้อยสาย พนั ธ์ุ Plumeria หลายสายพนั ธ์ุจะมียาง คล้ายกบั สายพนั ธ์อุ ื่นๆ ในวงศ์ตีนเป็ด Apocynaceae ซงึ่ ประกอบไปด้วยสารพษิ และทาให้ระคายเคืองตอ่ ตาและผวิ หนงั ในหลายสายพนั ธ์ุมีลกั ษณะของใบและการ เรียงตวั ของเนือ้ เย่ือใบท่ีแตกตา่ งกนั ใบของสายพนั ธ์ุ Plumeria alba จะเรียวและแหลม ในขณะท่ีสาย พนั ธ์ุ Plumeria pudica มีรูปร่างยาวและมนั วาว สีเขียวเข้ม และในสายพนั ธ์ุ Plumeria pudica ใบออ่ นจนถงึ ใบแกม่ ีสีเทา่ กนั ตลอดจนร่วง สว่ นในสายพนั ธ์ุที่ดอกและใบไม้ร่วงแม้ในฤดหู นาวคือ สายพนั ธ์ุ Plumeria obtusa หรือรู้จกั กนั อยา่ งเป็นทางการคือลีลาวดสี ิงคโปร์ ซง่ึ มีต้นกาเนดิ จาก อเมริกากลาง

ตน้ เป็นไมย้ นื ตน้ มขี นาดตง้ั แต่พมุ่ เต้ยี แคระสูงประมาณ 0.9-1.2 เมตร จนถงึ ตน้ ทส่ี ูงมาก อาจสูงถงึ 12 เมตร ลาตน้ แตกกง่ิ กา้ นสขาและพมุ่ ใบสวยงาม มนี า้ ยางสขี าวขน้ เป็น ไมผ้ ลดั ทส่ี ลดั ใบในฤดูแลง้ ก่อนทจ่ี ะผลดิ อกและผลใิ บรุ่นใหม่ ก่งิ ทย่ี งั ไมแ่ ก่มสี เี ขยี ว อ่อนนุ่ม ดู เกอื บจะอวบนา้ กง่ิ แก่มสี เี ทามรี อยตะป่มุ ตะป่า ก่งิ ไมส่ ามารถทานนา้ หนกั ได้ ก่งิ เปราะ เปลอื กลา ตน้ หนา ตน้ ทโ่ี ตเตม็ ท่แี ลว้ จะพฒั นาจนกระทงั่ มคี วามแขง็ แรงมากข้นึ ใบ เป็นใบเด่ยี ว มกี ารเรยี งตวั แบบสลบั และหนาแน่นใกลป้ ลายกง่ิ มลี กั ษณะ แตกต่างกนั ไปทงั้ รูปร่าง ขนาด สี และความหนาแน่น โดยทวั่ ไป ใบจะหนา เหนียวแขง็ และมสี ี ตง้ั แต่สเี ขยี วอ่อนถงึ สเี ขยี วเขม้ มเี สน้ กลางใบแตกสาขาออกไปคลา้ ยขนนก ขนาดใบแตกต่างกนั ไม่ มาก ช่อดอก ดอกจะผลอิ อกมาจากปลายยอดเหนือใบ เหน็ เป็นช่อดอกใหญ่ สวยงาม แต่กม็ บี างชนิดทอ่ี อกช่อดอกระหวา่ งใบ หรอื ใตใ้ บ บางชนิดหอ้ ยลงบางชนิดตง้ั ข้นึ ใน หน่ึงช่อจะมดี อกบานพรอ้ มกนั 10 – 30 ดอก บางตน้ ทม่ี คี วามสมบูรณเ์ ตม็ ทอ่ี าจมดี อกมากกวา่ 100 ดอก ต่อ 1 ช่อ ออกดอกประมาณเดอื นกมุ ภาพนั ธถ์ งึ เดอื นเมษายน บางพนั ธุส์ ามารถออก ดอกไดต้ ลอดทง้ั ปี ดอก โดยทวั่ ไปจะมขี นาดใหญ่ถงึ กลาง ยกเวน้ บางพนั ธุท์ ม่ี ขี นาดเลก็ กลบี ดอก มี 5 กลบี เกสรตวั ผู้ เกสรตวั เมยี อยู่ลกึ เขา้ ไปขา้ งใน ดอกมลี กั ษณะคลา้ ยทอ่ ทาใหม้ องไมเ่ หน็ เกสรตวั ผูแ้ ละเกสรตวั เมยี โดยจะมเี กสรตวั ผู้ 5 อนั อยูท่ โ่ี คนกา้ นดอก ส่วนเกสรตวั เมยี อยูล่ กึ ลง ไปในกา้ นดอก เกสรตวั ผูแ้ ละเกสรตวั เมยี บานไมพ่ รอ้ มกนั ยากต่อการผสมตวั เอง ฝกั /ผลมี ลกั ษณะคลา้ ยกบั ฝกั ตน้ ชวนชม ฝกั อ่อนสจี ะมสี เี ขยี วเมอ่ื แก่ฝกั จะมสี แี ดงถงึ ดา

เฟ่ื องฟ้ า (ชื่อวทิ ยาศาสตร์: Bougainvillea) เป็นไมย้ นื ตน้ ประเภทพมุ่ ก่ึง เล้ือย ขนาดต้งั แต่พมุ่ เลก็ ถึงพมุ่ ใหญ่ มีหนามข้ึนตามลาตน้ อยู่ ใบเด่ียว แตกออก สลบั กบั กิ่ง หรือเย้อื งกนั มีขนข้ึนปกคลุมเล็กนอ้ ย มีสีเขียวหรือใบด่าง รูปร่างรีแหลมยาว 3-6 ซม. กวา้ ง 2-3 ซม. ใบประดบั ลกั ษณะคลา้ ยรูปหวั ใจหรือรูปไขม่ ี 3-5 ใบ มีหลายสี เช่น ม่วง แดง ชมพู ส้ม ฟ้ า เหลืองและอ่ืนๆ มีท้งั ดอกสมบรู ณ์เพศและไม่สมบรู ณ์เพศ ออกเป็นช่อ ตามซอก ใบ หรือปลายก่ิง แต่ละช่อมี 3 ดอก เป็นหลอดยาว 1-2 ซม. ตอ้ งการแสงแดดจดั ในสภาพกลางแจง้ ไดร้ ับแสงแดดตลอดวนั ถา้ ไดร้ ับแสงแดดไมเ่ พียงพอ จะทา ใหส้ ีของใบไม่เขม้ ออกดอกนอ้ ย ตอ้ งการอุณหภูมิ ปานกลางหรือร้อนช้ืน เมื่อโตข้ึน ตอ้ งการน้าปานกลาง ถึงค่อนขา้ งต่า ถา้ รดน้ามากเกินไปจะไม่ออกดอก ขยายพนั ธุ์ดว้ ยการ ปักชาก่ิง, ตอนก่ิง, เสียบยอด เฟื่ องฟ้ าถูกคน้ พบคร้ังแรกในประเทศบราซิลโดยนกั พฤกษศาสตร์ชาว ฝรั่งเศสราว ค.ศ. 1766-1769 และไดถ้ ูกนาไปปลูกยงั ส่วนตา่ ง ๆ ของโลก เริ่มจากยโุ รป อเมริกาเหนือ และเอเชีย สาหรับในประเทศไทย มีการนาพนั ธุ์เฟ่ื องฟ้ าเขา้ มาจากสิงคโปร์ คร้ังแรกราว พศ. 2423 ใน สมยั รัชกาลท่ี 5พนั ธุ์เฟ่ื องฟ้ าในประเทศไทยมีไม่นอ้ ยกวา่ ตา่ งประเทศ เนื่องจากเฟ่ื องฟ้ าเจริญเติบโตไดด้ ีในประเทศไทย และกลายพนั ธุ์เกิดเป็นพนั ธุ์ ใหม่ข้ึนมากมาย

ประโยชน์ของเฟ่ื องฟ้ า ดอกเฟ่ืองฟ้าสามารถนามาใชใ้ นการประกอบอาหารได้ เช่น การทาดอกเฟ่ืองฟ้าชบุ แป้งทอด ดว้ ยการนาดอกเฟ่ืองฟ้ามาชบุ ในแป้งชบุ ทอด รอใหน้ า้ มนั รอ้ นจดั แลว้ ใส่ดอกเฟ่ืองฟ้าทช่ี บุ แป้ง ลงไปทอดจนเหลอื งกรอบ แลว้ ตกั ข้นึ มารอจนนา้ มนั สะเดด็ ใชร้ บั ประทานกบั นา้ จ้มิ เพอ่ื เพม่ิ รสชาตใิ หอ้ ร่อยยง่ิ ข้นึ ใชป้ ลูกเป็นไมป้ ระดบั ดอกสวยมหี ลายสจี ากหลากหลายสายพนั ธุ์ นิยมปลูกเป็นไมป้ ระดบั เป็นซมุ้ ไมเ้ล้อื ย เป็นซมุ้ นงั่ เลน่ ปลูกในทส่ี าธารณะ สวนขา้ งทางเดนิ ปลูกเป็นแนวรวั้ ปลูกเป็นไม้ กระถาง หรอื ทาเป็นไมบ้ อนไซหรอื ไมแ้ คระ สามารถตดั แต่งทรงพ่มุ ได้ ดูแลรกั ษาไดง้ า่ ยและทน ความแลง้ ไดด้ ี เมอ่ื มอี ากาศเยน็ จะมดี อกออกเตม็ ตน้ แต่ไมค่ วรนาไปปลูกไวใ้ กลก้ บั สนามเดก็ เลน่ เพราะมหี นามแหลม ในดา้ นความเป็นมงคล คนไทยโบราณมคี วามเช่อื ว่า หากบา้ นใดปลูกตน้ เฟ่ืองฟ้าไวเ้ป็นไม้ ประจาบา้ นจะสามารถช่วยสรา้ งคุณค่าของชวี ติ ใหส้ ูงข้นึ เน่ืองจากตน้ เฟ่ืองฟ้าเป็นพรรณไมท้ ่ี ไดร้ บั สมญานามวา่ เป็น \"ราชนิ ีแหง่ ไมป้ ระดบั \" นอกจากน้ีคนไทยโบราณยงั มคี วามเช่อื อกี ว่า ตน้ เฟ่ืองฟ้าเป็นไมม้ งคลสาคญั ของเทศกาลตรุษจนี เพราะตน้ เฟ่ืองฟ้าสามารถออกดอกไดบ้ าน สะพรงั่ ในช่วงเทศกาลตรุษจนี (จงึ เป็นทม่ี าของการเรยี กตน้ เฟ่ืองฟ้าวา่ \"ตน้ ตรุษจนี \") ดงั นน้ั จงึ มี ความเชอ่ื วา่ เมอ่ื ช่วงดอกเฟ่ืองฟ้าบานจะแสดงถงึ ความเบกิ บาน สว่างไสว และความรุ่งเรอื งทก่ี า้ ว ไกลแหง่ ชวี ติ และเพอ่ื ความเป็นสริ มิ งคลแก่บา้ นและผูอ้ ยู่อาศยั ควรปลูกตน้ เฟ่ืองฟ้าไวท้ างทศิ ตะวนั ออก และผูป้ ลูกควรปลูกในวนั พธุ เพอ่ื เอาคุณ ถา้ จะใหเ้ป็นสริ มิ งคลยง่ิ ข้นึ ผูป้ ลูกควรเป็น สตรี เพราะเฟ่ืองฟ้าเป็นราชนิ ีแหง่ ไมป้ ระดบั จงึ เหมาะสมอยา่ งยง่ิ กบั สุภาพสตรี

นาย ชนาธิป วงค์สุภาพ เลขท่ี 2 นาวสาว สารภี พมิ พ์พันวงศ์ เลขท่ี 39 ชัน้ มัธยมศึกษา ปี ท่ี 5/1


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook