Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เล่มรวบรวมบทความ

เล่มรวบรวมบทความ

Published by Umaporn Wongsrikaew, 2021-04-29 05:50:12

Description: โครงการสัมมนาวิชาการทางศิลปศึกษาในหัวข้อ KEY to success of special needs children in Art classroom : ไขกุญแจห้องเรียนรวมศิลปะ
โดย นักศึกษาศิลปศึกษาชั้นปีที่4 คณะศึกษาศาสตร์ มข.

Search

Read the Text Version

คำนำ การแสดงออกในสง่ิ ใดสงิ่ หน่ึงท่กี อ่ ให้เกดิ การสื่อสาร จากผู้หนึง่ ถงึ อีกผู้หน่ึงเปน็ กระบวนการที่สำคญั ใน การดำรงชีวิตของมนุษย์ทอ่ี ย่รู ่วมกันในสงั คม หนึ่งในนนั้ เป็นวิธีท่ีใช้มาตงั้ แตอ่ ดตี จนถึงปัจจุบันคอื การจดบนั ทึก หรือการเขยี นขอ้ ความ เปน็ การใช้ภาษาท่ีขน้ึ อยู่กับบุคคลท่จี ะสื่อสารและบุคคลท่รี บั สาร ท่ตี ้องร้จู ักเขา้ ใจใน ภาษาท่ใี ช้ในการเขยี นส่ือสารคร้งั นั้นๆ การเขียนเหล่านี้มปี ระโยชน์อย่างมากตอ่ ศาสตรว์ ิชาต่าง ๆ ซงึ่ หน่ึงในนั้น คอื วชิ าดา้ นศลิ ปะ ที่จะรว่ มเอาการถา่ ยทอดการสอนและการวิจารณ์ศลิ ปะในแง่มมุ ตา่ งๆ ทีจ่ ะตอ้ งอาศัยผ้ทู ี่มี ประสบการณ์ แนวคดิ การแก้ไขปญั หา การมองหาทางออกร่วมกัน ทจี่ ะต้องเป็นผู้ท่ีมปี ระสบการณ์ ผู้ถ่ายทอด แนวคิดผา่ นงานเขียนท่ตี อ้ งใชภ้ าษาทีช่ ดั เจน เหมาะสม สื่อสารเข้าใจง่าย ซึง่ เรียกอีกช่ือหน่ึงว่าบทความทาง วิชาการ บทความคือการกลัน่ กรองภาษาการเขยี นทีเ่ กิดจากทัศนคติ ประสบการณ์ แนวความคดิ เห็นท่ีมีตอ่ เรอื่ งน้นั ๆ ส่งิ ต่าง ๆ เหล่านีส้ ำคญั อยา่ งมากทจ่ี ะมาประกอบกนั เขา้ ไปเป็นบทความ ส่วนบทความน้นั มีหลาย ประเภททีส่ ามารถเขยี นข้ึนได้ ซงึ่ แตล่ ะประเภทของบทความนน้ั ตา่ งกท็ ำหน้าท่ีให้ประโยชน์ต่อผอู้ า่ นไม่มากก็ นอ้ ยในเร่ืองน้ัน ๆ บทความมีหนา้ ทใ่ี นการสร้างความคิดสร้างแรงบนั ดาลใจให้กับผู้อา่ น แลว้ ยงั เป็นขอ้ มูลทีด่ ใี น การเป็นแนวทางแก้ปญั หาทเ่ี กิดขึ้นและยงั เปน็ แนวทางการรบั มอื กบั ปัญหาตา่ งๆ ที่อาจจะเกิดขน้ึ มาในภายภาค หน้าจากความคดิ ทข่ี องผู้เขียนบทความแตล่ ะคน ผู้อ่านจะได้ทราบถงึ มุมมองในการมองปญั หาทห่ี ลากหลาย ทั้ง การอ่านบทความยงั ส่งเสรมิ ให้เกดิ นสิ ัยรักการอา่ นอกี ดว้ ย ในส่วนของเล่มรวบรวมบทความสัมมนานี้ นน้ั จะรวมบทความเกี่ยวกับศิลปศกึ ษาหรือการจดั การเรยี น รู้ในกลมุ่ สาระศลิ ปะรวมไปถงึ การจดั การชนั้ เรยี นรวม การเสนอแนวคดิ ในการจัดการเรียนร้รู ูปแบบใหม่ ๆ การ นําปัญหาเดิมทเี่ กิดขน้ึ ระหวา่ งการจัดการเรยี นรู้ศิลปะมาให้แนวทางการแก้ไขหรือการแสดงจดุ ยืนและแสดง ความเหน็ ท่ีเป็นอยูก่ บั ความเป็นศิลปศกึ ษา ทงั้ ในอดตี ที่เคยลองผิดลองถกู ปัจจุบนั ท่ี กําลังพัฒนา และอนาคตท่ี กาํ ลงั ใกลจ้ ะถึง โดยนักศึกษาสาขาศลิ ปศึกษาช้ันปีที่ 4 ได้รวบรวม บทความทเ่ี กี่ยวขอ้ งกบั ศลิ ปะในด้านต่างๆ 5 ด้าน ไดแ้ ก่ ปัญหาดา้ นปรัชญา(Philosophical Area) ด้านสงั คมวิทยา(Sociological Area) ด้านเน้ือหา(The Content Area) ดา้ นการศึกษาและจติ วิทยา หรอื การเรียนการสอน(The Educational- Psychological or teaching and learning Area) ดา้ นหลักสตู ร(The Curriculum or Program Area) เพื่อศกึ ษาและนําไปปรบั ใชใ้ นการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ทั้งในสาระการเรยี นรู้ศิลปะหรือบูรณาการกับสาระการเรียนรอู้ ่นื ๆ ใหผ้ ู้เรยี น เกิดการเรียนรู้มากยงิ่ ขน้ึ ฝ่ายรวบรวมบทความสัมมนา

สารบญั หนา้ 1 เนื้อหา 3 - ครูเดก็ พิเศษ คือครธู รรมดาทม่ี ดี วงตาพิเศษสอนอย่างปกติดว้ ยความเข้าใจ 5 ธรรมชาตขิ องเดก็ นั้น 6 (พ.ญ.วนาพร วฒั นกลู ) 7 - จากใจผปู้ กครองเดก็ พิเศษ 9 (ชลีรัตน์ เหลา่ จมู ) 11 1.ดา้ นปรชั ญา (Philosophical Area) 13 14 - ความแปรผนั 16 (กรวชิ ญ์ อนั ทรินทร์) - ความรักในศิลปะที่จางหายไป 18 (สุกลั ยา เกตุธานี) 19 - ศิลปะพดู ได้? 21 (อุมาภรณ์ วงษศ์ รีแกว้ ) 23 - ศิลปะของเขา ศลิ ปะของเรา (มณนี ชุ อุดมลาภ) - ศิลปะ ขับเคล่อื นชีวิตมนุษย์ (ณัฐนันฑ์ สตุ ะโคตร) - ศิลปะเกยี่ วข้องกับเราไดอ้ ยา่ งไร (วลั ลภา เทยี นทอง) - หากคณุ ตอ้ งการชัยชนะ คุณจะแพใ้ หก้ ับตัวเอง (อษั ฎาวธุ โคตรมา) 2.ดา้ นสงั คมวิทยา (Sociological Area) - ศิลปะกบั การสรา้ งสรรคส์ งั คม (กนกพร ไชยสทิ ธางกูร) - รางวลั ของศิลปะ (ชญามินทร์ เกตเุ มฆ) - ศลิ ปะ...กระจกสะท้อนความจริง (ฐิตมิ า ดวงสวุ รรณ์)

สารบญั (ต่อ) หนา้ 25 เน้ือหา 27 - ศิลปะเชือ่ งโยงกบั สังคมอย่างไร ไกล หรอื ใกล้ตัว 29 (อรญั ญา ผิวทอง) 30 - สารท่ีส่งไปไม่ถึงเปรยี บได้เหมือนกับอัตลักษณ์ที่ยงั ไมไ่ ด้แสดงออก 32 (เสาวภาคย์ เพ็ชรหงษ์) 34 36 3.ด้านเนอื้ หา(The Content Area) 37 - ความเปน็ ตวั ตนกับศิลปะในโรงเรยี น (พนดิ า ภู่ทอง) 38 - วิชาศิลปะกบั การถูกละเลย (ธีร์จฑุ า คดิ ฉลาด) 41 - ศิลปะใช้ไดจ้ รงิ (หรอื ?) 43 (จรุ รี ตั น์ โนราช) 45 - ศลิ ปะกับกิจกรรมการเรียนการสอนท่ีสง่ เสรมิ พฒั นาการของผูเ้ รยี น ตามแต่ละชว่ งวัย (ปาลิตา วรรณศริ ิ) 4.ด้านการศกึ ษาและจิตวทิ ยา หรอื การเรยี นการสอน (The Educational- Psychological or teaching and learning Area) - การเรยี นการสอนศลิ ปะ เพ่ือการเรียนรู้ทมี่ งุ่ ใหผ้ ู้เรียนสามารถดำรงชีวติ อยรู่ ่วมกับผอู้ ืน่ ในสงั คมพหุวฒั นธรรมได้อย่างมีความสขุ (ภัทรพรรณ ทองแย้ม) - ทำไมเด็กต้องเรียนรศู้ ิลปะ (ภาสกร กลางเหลอื ง) - ศลิ ปะกับConstructivism มคี วามสำคญั อย่างไรใน ศตวรรษที่ 21 (ภูรินท์ กลั ยารตั น์) - อนาคตทางการศกึ ษาและการจดั การเรียนการสอนศิลปะในวกิ ฤติการแพรร่ ะบาด ของไวรสั โควดิ -19จะเป็นอย่างไรตอ่ ไป? (พลพจน์ ฉัว่ ตระกลู )

สารบัญ(ต่อ) หนา้ 47 เนือ้ หา 48 50 5.ด้านหลักสูตร(The Curriculum or Program Area) 54 - การศกึ ษาไทยหรือใครกนั ท่ีทำให้คณุ ภาพเดก็ ไทยแยล่ ง 56 (พมิ ลพรรณ แสนนาม) - ปญั หาของหลักสตู รและการจดั ห้องเรียนศิลปะในปัจจบุ ัน 58 (รัตนมณี คงคูณ) 59 - ศลิ ปะกับวชิ าท่ีถูกมองข้าม 65 (ศริ ยิ ากรณ์ ทาทอง) - หลกั สตู รและการจัดการเรียนการสอนศลิ ปะกับความต้องการของผเู้ รยี น (นรศิ รา บุญหวา) ภาคผนวก - โครงการสมั มนาวิชการทางศิลปศึกษา “KEY to success of special needs in Art classroom : ไขกุญแจสูห่ ้องเรียนรวมศลิ ปะ” - กำหนดการ โครงการสัมมนาวิชาการ “KEY to success of special needs in Art classroom : ไขกุญแจสู่หอ้ งเรยี นรวมศลิ ปะ”

“ครูเดก็ พเิ ศษ คอื ครธู รรมดาทีม่ ดี วงตาพิเศษ สอนอยา่ งปกตดิ ้วยความเข้าใจธรรมชาติของเด็กนนั้ ” พ.ญ.วนาพร วฒั นกลู (ขอ้ ความทีผ่ ู้เขียน รวบรวมจากความปรารถนาทีจ่ ะให้ส่งิ น้ีปรากฏ) ในมุมมองผเู้ ขยี นเด็กพเิ ศษ คือ เด็กตามธรรมชาติ เกิดมาตามกลไกอนั เป็นปกติ หากว่ามีความตอ้ งการ การดแู ลทีแ่ ตกตา่ ง อาจเพราะเด็กพิเศษเป็นประชากรกลมุ่ น้อย ตา่ งจากความคาดหวงั จากคำนิยาม ‘เป็น ปกต’ิ ของสงั คมโดยท่วั ไป และดเู หมือนว่า ความเป็นธรรมชาตนิ ้นั สรา้ งความไมส่ ะดวกสบายใหผ้ คู้ นรอบข้าง อาจไมถ่ ูกยอมรบั ไม่ได้รับความเขา้ ใจและไมไ่ ด้รับโอกาสจากคนบางกล่มุ หรือบางพนื้ ที่ แต่นั้นยอ่ มไมใ่ ช้กับ ครู โดยเฉพาะกับครูของเด็กพเิ ศษ ครขู องเด็กพเิ ศษ คือ ครธู รรมดา ท่มี คี วามรู้ความสามารถในการสอน มีดวงใจแห่งความเมตตาต่อศิษย์ และมคี วามปรารถนาให้ศษิ ย์เรยี นรู้ พัฒนาและเติบโต ทวา่ ความพิเศษในตวั ครู คอื มี ‘ดวงตาพิเศษ’ ทสี่ ามารถ มองเหน็ สิ่งท่ีคนทัว่ ไปอาจมองไมเ่ ห็น คือ เหน็ ถงึ ความปรารถนาท่ีเด็กทุกคนต้องการ อันได้แก่ ความรัก ความ อบอนุ่ ความปลอดภัย การยอมรับ และความต้องการการหล่อเล้ียงเพื่อการเติบโต นอกจากน้ี ครยู ังสามารถ ออกแบบการเรียนรู้ท่สี อดคล้องกลมกลนื กับความเป็นธรรมชาติของเด็กแต่ละคนอยา่ งพอดี พองาม ด้วยเด็กพิเศษ มีความหลากหลายในตัวเอง จากประกาศของกระทรวงศกึ ษาธิการ เร่อื งกำหนด ประเภทและหลักเกณฑข์ องคนพิการทางการศึกษา พ.ศ.2552 แบง่ เด็กพเิ ศษออกเป็น 9 ประเภท ครจู ึงตอ้ ง ศึกษาและทำความเขา้ ใจเด็กพิเศษแตล่ ะกลมุ่ รจู้ กั ลกั ษณะของความเป็นพิเศษและความตอ้ งการของเด็กแต่ละ กลมุ่ น้นั เปน็ พน้ื ฐาน อย่างไรก็ตาม ตน้ ไม้ในป่าแม้พันธุ์เดียวกนั ก็มิได้เติบโตได้พร้อมกนั หรือมีลักษณะ เหมือนกนั ทุกประการ แต่ละตน้ มกี ารแตกก่ิง แตกตา แตกตา่ งกนั ฉนั ใดก็ฉันนัน้ เด็กพเิ ศษแมน้ จะจดั อยูใ่ น กลมุ่ เดียวกัน แต่กม็ ีความแตกต่างกันในแตล่ ะคน ครจู งึ มิอาจจัดการสอนแบบเหมาโหล สอนดว้ ยรูปแบบ เดยี วกนั ได้หมด ครเู ด็กพิเศษ ควรฝกึ ทกั ษะ ‘การสังเกต’ ความเปน็ ธรรมชาติของเด็กแตล่ ะคน สังเกตพฤตกิ รรมการ แสดงออก สีหน้า ทา่ ทาง แววตา การพูด การสือ่ สารท้ังวาจาและภาษาท่าทาง ในอิริยาบถต่าง ๆ อย่างละเอยี ด และมีความประณตี ในการพิจารณาวเิ คราะห์ ความหมายของการปรากฏการณ์เหล่าน้นั นอกจากน้ี ครูตอ้ งมี ทกั ษะใน ‘การส่ือสาร’ กบั ผู้คนรอบขา้ งของเดก็ โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ผูป้ กครองของเด็กพิเศษท่ีอาจมีความคิด ความกงั วล ความต้องการ ความคาดหวัง ที่แตกต่างจากความคาดหวังของครู การสอื่ สารท่ีเปิดเผยอารมณ์ ความร้สู ึก ความต้องการ การไดบ้ อกเลา่ ถงึ ขอ้ ติดขัดหรืออุปสรรคในการพฒั นาเดก็ น่าจะชว่ ยให้เกิดความ เขา้ ใจระหว่างผปู้ กครองและครมู ากขนึ้ และจะส่งผลดีต่อการพัฒนาเด็กในที่สดุ 1

จากประสบการณ์ของผู้เขียน เมอื่ มโี อกาสจดั การอบรมศิลปะใหก้ ับเดก็ พิเศษกลุ่มออทสิ ติกและ ผู้ปกครอง พบว่า ความแตกต่างของเด็กแต่ละคนคือความสวยงาม เดก็ พเิ ศษทุกคนสามารถพฒั นาได้ไมท่ างใดก็ ทางหน่งึ การเปดิ ใจ เปดิ โอกาสใหเ้ ราไดไ้ ปสัมผัสความเปน็ มนษุ ยแ์ บบเขาอย่างแท้จริง อาจเปน็ วาระอนั วิเศษ สดุ เพราะช่วยใหเ้ ราได้เหน็ โอกาสแหง่ การพฒั นาตวั ตน และนัน้ คือ ของขวัญสุดวเิ ศษ ทเ่ี ดก็ พิเศษไดม้ อบให้เรา ทุกคนค่ะ 2

จากใจผูป้ กครองเดก็ พเิ ศษ ชลีรัตน์ เหลา่ จมู วิทยากรรับเชิญ ลูกชายคุณแม่เป็นออทสิ ติกค่ะ น้องธนชั ชนม์ เหลา่ จูม ชอื่ เล่น ธนะ ปจั จุบนั อายุ 17 ย่าง 18 ปี ไดร้ บั การวนิ จิ ฉัยว่าเป็นออทสิ ติกเมื่ออายุ 3 ขวบคร่ึง ตอนเดก็ ๆ น้องพูดไม่ได้ ไม่สบตา ตน่ื ตัวตลอดเวลา รกั ใครไม่ เป็น ไมส่ นใจสง่ิ แวดล้อม ทานนอ้ ย นอนน้อย หงุดหงดิ ง่าย อาละวาดตลอดเพราะส่ือสารไมไ่ ด้ พูดไม่ออก บอก ไม่ถูกว่าตวั เองรู้สึกอยา่ งไร ระบบประสาทสัมผสั ทง้ั ห้ารับรูผ้ ิดปกตไิ ม่เหมือนคนทว่ั ไป (เป็นแผลเดนิ เลือดหยดใน บ้านไม่รู้สกึ เจ็บ) ทำให้ ธนะ มีพฤติกรรมทีแ่ ปลกแตกต่างจากคนทัว่ ไป ทำใหก้ ารเล้ยี งดูค่อนขา้ งยาก เม่อื น้องไดร้ บั การชว่ ยเหลอื ด้วยการฝึกจากโรงเรยี นศูนย์การศกึ ษาพิเศษเขต 9 และ ฝึกกับนักแก้ไข การพูด นักกจิ กรรมบำบัด และพบคุณหมอพฒั นาการเด็ก และการฝึกอย่างต่อเนื่องจากทางครอบครัวเปน็ ประจำ นอ้ งมพี ฒั นาการทด่ี ีขึ้นอย่างช้า ๆ ในทุก ๆ ดา้ น คุณแม่เฝ้าสังเกตุธนะตลอดเวลาวา่ ควรช่วยเหลือดา้ น ไหน นอ้ งยงั บกพร่องดา้ นไหนอยู่ ก็จะเพ่ิมการฝกึ ในสว่ นน้ัน โดยปรึกษา นักกจิ กรรมบำบัดเปน็ หลกั ในดา้ น สมองและรา่ งกาย และกลบั มาฝึกต่อท่ีบา้ นอย่างตอ่ เนื่อง ที่โรงเรียน ได้รับความชว่ ยเหลือจากคณุ ครูผ้ดู ูแล จาก ศนู ยว์ จิ ยั ออทิสติก มข. ใหส้ ามารถเรียนรว่ มในชนั้ เรียน ซึ่งมปี ญั หาเกิดข้นึ ท่ีโรงเรยี นเร่อื ย ๆ ในชว่ งอนบุ าล ประถม กไ็ ด้รับการช่วยเหลือจากคณุ ครทู ี่ตามเข้าไปช่วยเหลอื ในชนั้ เรียนรวม ให้สามารถเรียนรวมกบั เพ่ือน ๆ ได้ ส่วนทางบ้านกพ็ ยายามฝกึ ให้น้องใช้ชีวติ ประจำวนั ทำกจิ วัตรส่วนตัวได้เอง และเสริมด้านต่าง ๆ ท่ี บกพร่อง เช่น ไมม่ สี มาธิ หนุ หนั พลนั แลน่ คุณแม่ก็พาไปวดั ทำบุญ ไปหาหลวงปฝู่ กึ นงั่ สมาธิ ซึง่ นอ้ งฝกึ น่ังสมาธิ ต้ังแต่ปี 2558 เรมิ่ จากหา้ นาที นงั่ ก่อนนอนทุกคืนและเพ่ิมเวลาน่ังสมาธิเรือ่ ย ๆ จนปจั จบุ นั นอ้ งน่ังสมาธิ วนั ละ 1 ชม. ก่อนนอนทกุ คนื โดยใช้โทรศพั ท์จบั เวลา น้องธนะชอบพต่ี นู บอด้สี แลม เมื่อปี 2560 น้องฝนั อยากวงิ่ มาราธอนเหมือนพี่ตูน ทางครอบครวั ก็ สนับสนนุ ทนั ที โดยมคี ณุ พ่อพาวิ่ง ซ่งึ น้องก็ซ้อมวิ่งทุกเยน็ หลงั เลิกเรยี นและวนั หยดุ และลงงานว่ิงตา่ ง ๆ ได้ถ้วย หลายรายการ และในทีส่ ดุ นอ้ งธนะกว็ ง่ิ มาราธอน 42 กม.ได้สำเร็จเม่ือวันที่ 27 มีนาคม 2564 โดยมีโค้ชหมีกบั โคช้ โตโต้เป็นบ๊ดั ด้พี าไปจนจบมาราธอน นอ้ งธนะตีกลองได้ แต่เรยี นแบบไม่รู้โนต๊ โดยมีครูมาสอนท่ีบ้านสัปดาห์ละคร้งั น้องธนะ ทำขนมได้ ทำอาหารได้ มีคุณแมฝ่ กึ ทำตง้ั แต่นอ้ งอยู่ชั้น ป.4 นอ้ งธนะช่วยทำงานบา้ นได้ ซักผา้ ซักถุงเทา้ ตากผา้ ล้างจาน ลา้ งรถ รดน้ำตน้ ไม้ ให้อาหารแมว ดแู ล แมว (ความรู้สึกรักและสงสารสัตว์ เกิดข้นึ ได้ จากที่ไดเ้ ล้ียงแมว) 3

งานศิลปะ น้องไม่ไดส้ นใจและชอบตัง้ แต่แรก คุณแมค่ ิดวา่ สมาธิ ดนตรี ศิลปะ จะช่วยให้น้องน่ิงขึ้น สงบขึน้ จึงตัง้ ใจสง่ เสรมิ โดยฝกึ นอ้ งวาดภาพตามแบบ (ใหว้ าดเองน้องคดิ ไม่ออก วาดไม่เปน็ ต้องวาดตามแบบ เท่าน้นั ) วาดตามแบบแล้วระบายสี วาดสวยไมส่ วยไมเ่ ป็นไร แตค่ ุณแม่พาทำซ้ำเร่ือย ๆ หาแบบอื่น ๆ จากยูทปู มาลองทำเรือ่ ย ๆ น้องก็ทำออกมาดีข้ึน นิ่งข้นึ ตง้ั ใจขนึ้ และ สงบในช่วงเวลาทท่ี ำงาน ในการท่ีอยู่กับธนะตลอดเวลา คณุ แม่เร่ิมเขา้ ใจและรจู้ ักลูกชายตัวเองมากข้นึ น้องธนะเหมอื นฟองน้ำ ท่พี ร้อมจะดูดซับสง่ิ ท่ปี ้อนเข้ามา ทั้งดีและไม่ดี พร้อมรบั ตลอด ซ่งึ ต้องเลอื กให้ทำแตส่ งิ่ ที่ดี และพยายามตดั ส่ือ ที่ไมด่ ีไมเ่ หมาะสมออก เพราะนอ้ งธนะจะจำและเอาไปใชไ้ ม่ถกู กาละเทศะ สงิ่ ทค่ี ุณแม่เหน็ พัฒนาการของนอ้ งธนะ เมื่อให้โอกาสพาทำซำ้ บ่อย ๆ จะเกดิ ความชำนาญและทำได้ดี ขึ้นเร่อื ย ๆ พฒั นาข้นึ ไดต้ ลอดเวลา คณุ แมร่ วู้ า่ ลูกชายตัวเองไม่มีพรสวรรคใ์ ด ๆ เลย แตส่ งิ่ ทีธ่ นะทำไดเ้ กิดจากการพาทำบ่อย ๆ ใสใ่ จ ให้ เวลา ใจเยน็ ให้โอกาส และคอยเปน็ โคช้ ที่ดใี ห้ ให้กำลงั ใจ ชมเชย จะทำให้ธนะสามารถกา้ วขา้ มขีดจำกัดของ ตวั เองในหลายๆ เร่ืองได้ สำหรบั ความคาดหวังในช้ันเรียน คณุ แม่อยากให้สอบถามพัฒนาการเดก็ พเิ ศษจากครู iep หรอื ครทู ี่ให้ ความชว่ ยเหลือในช้ันเรียน ว่าน้องทำงานได้แค่ไหน ให้งานทีเ่ หมาะกับพัฒนาการตอนนั้น งานไมย่ ากเกนิ ความสามารถเกินไปเพราะจะเกดิ ความเครียดและมปี ัญหาพฤติกรรมตามมา คุณครชู ่วยเปน็ โค้ช แนะนำ และ ให้กำลังใจด้วยการชมงานครั้งตอ่ ไปอาจจะให้งานยากกวา่ งานเดิมทีละน้อย ก็จะเปน็ โอกาสในการค่อย ๆ พัฒนาต่อไปค่ะ 4

5

ความแปรผัน กรวชิ ญ์ อันทรนิ ทร์ เวลานศี้ ลิ ปะท่ีเราชอบมากที่สุดคือเสียงเพลง เสยี งดนตรีที่ฟังได้ตลอดเวลา ได้ฟังทีไรก็ร้สู ึกเหมอื นเป็น การได้ผ่อนคลาย มีอารมณค์ วามสดใส ความสขุ สบายใจ บางทีก็เศร้าได้ตามที่ใจตอ้ งการ แทนทเี่ ม่ือก่อนที่มี ความช่นื ชอบในเร่ืองของทัศนศลิ ป์ การวาดภาพระบายสี ท่ีไมร่ ู้ทำไมความชื่นชอบหรอื ความอยากทำมนั ค่อย ๆ เลือนลางจางหายไป จากทก่ี ่อนเคยอยากจับดนิ สอและสมี าวาดภาพสิง่ ท่ีอยากวาด แตต่ อนนี้ความรู้สึกน้นั แทบไม่มีอย่เู ลย ถึงเราจะคดิ วา่ ไมร่ ู้ทำไมถึงเป็นแบบนี้ แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้วเราก็พอจะรูส้ าเหตุซ่งึ อาจจะเปน็ เพราะวา่ เราไดม้ า ทำสิง่ ทเี่ ราอยากจะทำ แต่สิง่ ท่ที ำเหมือน “ไม่ใช่ส่ิงทต่ี ้องการ” ซ่ึงความต้องการของเราจริง ๆ แลว้ คือการวาด และทำสิง่ ที่เราชอบเพยี งเท่านนั้ แต่ตอนน้ีกลายเป็นวา่ เรานำส่งิ ทเี่ ราชอบเข้ามามีบทบาทในชวี ติ มากเกนิ ไป มี ตวั กำหนด กฎเกณฑ์ มีคะแนน มกี ารแข่งขันทเี่ พิม่ เขา้ มา และมีความรู้สึกโดนเปรียบเทยี บเรือ่ งของทักษะ โดย บางทมี ันอาจจะเกดิ จากความคดิ ไปเองของเรา ซ่ึงทีก่ ล่าวมาท้ังหมดน้ีกถ็ กู แล้วเพือ่ ท่เี ราจะได้มกี ารพัฒนาและมี ศกั ยภาพเพ่มิ ขึ้นบนเสน้ ทางท่ีเราเลือก แต่ไมเ่ คยคดิ มาก่อนวา่ สิ่งท่เี ราเคยชอบหรือสนใจมันได้หยดุ ไวแ้ ลว้ ในตอนนี้ เราสามารถวาดมันได้แตค่ วามรู้สกึ ในขณะท่ีทำน้นั ไม่ได้รู้สกึ อยากทำมันเลย และเราคิดว่าหรือมัน อาจจะกลับมาก็ได้ในตอนทเ่ี ราท้งิ มันไปนาน ๆ และอยากจะทำมันอีกครั้งเม่ือที่ใจต้องการโดยที่ไม่ต้องคำนึงถึง ความถูกตอ้ งหรือถูกมองว่าจะเป็นยังไงในสายตาของคนอ่ืน และตอนน้ีอย่างท่ีบอกว่ามีความชน่ื ชอบใน เสียงเพลงซ่ึงมันกเ็ ปน็ เร่ืองที่ค่อย ๆ ซึมซบั มาตั้งแต่เด็กเชน่ กนั เราติดตามศลิ ปินนักร้อง ผู้แตง่ สไตล์เพลงทเ่ี รา ช่นื ชอบ เรียนรู้การทำงานของเขาจนเปน็ แรงบนั ดาลใจ เมื่อไดเ้ ปน็ ผรู้ ับแล้วก็อยากมสี ักครั้งทม่ี ผี ลงานเป็นของ ตัวเอง ชว่ งทผ่ี ่านมาเราจำเป็นท่ตี อ้ งทำงานดา้ นทศั นศลิ ป์อกี คร้ัง แต่เรามองไมเ่ หน็ แนวทางท่เี ราชน่ื ชอบเลย ณ เวลานั้น ไมม่ ีอะไรทั้งนน้ั ที่อยากจะทำ จนพอถึงเวลาทตี่ ้องตดั สินใจแน่ ๆ จรงิ ๆ แล้ว ก็พอมีเศษเสี้ยวของความ สนใจอยู่บ้าง บวกกับวธิ ีหาแรงบลั ดาลใจ ศึกษาแนวทางตามหาผลงานท่เี ราประทับใจ เหมือนกบั ท่เี ราสนใจ เสยี งเพลงท่ีเราชอบ ทำให้เราได้มองเหน็ สง่ิ ที่คดิ ว่านา่ จะเหมาะกบั เรามากท่ีสดุ ในตอนน้ีแลว้ ซ่งึ นน่ั ก็คอื ศลิ ปะ ลัทธิอิมเพรสช่นั นิสม์ (Impressionism) เปน็ งานที่เราเห็นว่ามชี ีวติ ชวี า ดูสนุก มคี วามสดใส สรา้ งความ ประทบั ใจให้กับตัวเอง กเ็ ลยอยากจะทำงานศลิ ปะแบบนี้ออกมาเป็นผลงานของตัวเองบา้ ง จะเหน็ ว่าไม่ว่าจะทำอะไรกต็ ามเราตอ้ งมีแรงบันดาลใจเสมอเพ่ือทจี่ ะเปน็ แรงจูงใจในการทำส่ิง ๆ น้ัน ออกมาได้ เพียงแคเ่ ราคอ่ ย ๆ หา ส่ิงท่ีทำน้ันไม่จำเปน็ ต้องเป็นทนี่ ยิ ม หรอื เปน็ ท่ที ีค่ นสว่ นใหญย่ อมรบั แต่เปน็ สิ่ง ที่เราพอใจสบายใจท่ีอยากจะทำมันออกมา และมีความสุขกบั มนั โดยไม่ได้สร้างความเดือดรอ้ นใหก้ บั ผู้อื่น แต่ ชว่ งนข้ี อพักงานวาดภาพไว้ก่อน มอี ารมณ์สุนทรียเ์ มื่อไหร่ค่อยกลบั มาเจอกันอีกครั้ง เราสามารถหนีไปหาส่ิงใหม่ ๆ ทเ่ี ราชอบได้ตลอดเวลา แต่กต็ อ้ งไม่ทง้ิ หน้าที่ของเราในปัจจุบนั 6

ความรกั ในศิลปะท่ีจางหายไป สุกลั ยา เกตุธานี ในวนั ที่เราเรมิ่ รู้สกึ หมดใจในการทำงานศลิ ปะ มันไดก้ ลายเปน็ ปญั หาทก่ี ่อตัวขนึ้ มาเพื่อทำลายแรง บนั ดาลใจในการทำงานของเรา และคิดว่านีค่ งไม่ใชท่ างทีเ่ ราถนดั อีกตอ่ ไปแลว้ แตค่ วามเป็นจรงิ มันขึน้ อยูท่ ี่เรา เลอื กเองต่างหาก วา่ จะหันหน้ากลบั มาสู้ต่อหรือจะยอมแพ้ให้กบั จิตใจท่ีออ่ นแอของตวั เอง ไม่มที างเลอื กไหนที่ ผิดหรอก เพราะมนั เปน็ ชีวติ ของเรา คนเราเกิดมาก็มักจะมีทัง้ เรอื่ งท่ดี ีและไม่ดีปะปนอยู่ในชวี ติ ของเราอยูเ่ สมอ ในบางครัง้ จิตใจของเราก็เต็มเปยี่ มไปด้วยความสุข ความมุง่ มั่นในการทำงานเปน็ อยา่ งมาก แต่บา่ งช่วงจงั หวะ ของชีวติ เราทกุ คนย่อมมโี อกาสท่ตี ้องเจอกับอุปสรรคปญั หาท่ีจะเข้าบัน่ ทอนกำลงั ใจและพลังกายของเราไดเ้ ปน็ เรื่องธรรมดาอยแู่ ลว้ และเมื่อปัญหาทางความรู้สึกมันได้เกิดข้ึนมาแลว้ กจ็ ะรู้สึกวา่ ทกุ อย่างมนั กำลงั มาถงึ ทาง ตัน คดิ หาทางออกไม่ได้ ไม่ร้วู ่าจะทำยังไงต่อไปดี จะทำอะไรก็เหมือนกบั ว่า มนั ซ้ำ ๆ เดิม ๆ จมอยกู่ บั ท่ี เอาแต่ คดิ วนเวียนอยู่อย่างนน้ั จนลืมคดิ ไปเลยว่า เรากำลงั ปล่อยให้เวลาทมี่ ีคุณค่ากับชวี ิตใหล้ ว่ งเลยไปอย่างนา่ เสยี ดาย ในบทความน้ีผู้เขียนจงึ อยากชวนใหค้ ุณลองย้อนมองจิตใจของตนและพิจารณาให้ชัดเจน เมื่อต้อง ประสบกบั ปัญหาทางความร้สู ึกเชน่ น้ี หากตอนนีง้ านศลิ ปะท่คี ุณกำลงั ทำอยู่นน้ั มนั ย่ิงทำให้คณุ รู้สกึ หา่ งไกลกบั ความรักที่เคยมีในศิลปะคุณก็ ลองหยดุ แลว้ มองให้ชัดก่อนเถอะว่า จติ ใจของคุณตอนนเี้ ป็นเชน่ ไร คณุ ยังอยากทจี่ ะทำมันอย่ไู หม ถา้ ตอนนยี้ งั ไม่อยากทำกห็ ันไปทำอย่างอื่นก่อน เพราะถา้ ฝืนที่จะทำต่อไป มันอาจทำให้คุณหมดใจจากมันไปอยา่ งถาวรก็ได้ และถ้าหากมนั ยงั เป็นความรักของคณุ จรงิ ๆ คุณจะโหยหาเมื่อขาดมนั ไปเอง แล้ววนั นนั้ คณุ จะรับรไู้ ด้อย่างเต็ม หวั ใจวา่ ส่ิงทีค่ ณุ กำลังร้สู ึกเบื่อหน่ายอย่นู ้ัน มันจะช่วยเยียวยาจติ ใจหรือเป็นตวั ทำลายความสขุ ของคุณอยู่กันแน่ คณุ ยงั นกึ ถึงความรสู้ ึกแรกท่ีคุณเริ่มทำงานศิลปะไดห้ รือไม่ จุดม่งุ หมายในการทำงานศิลปะของคุณคืออะไร คณุ ยงั จำมนั ได้อยไู่ หม เราเชื่อวา่ ตอนนนั้ ทีค่ ุณไดเ้ รม่ิ เข้ามาทำงานศิลปะ มนั เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ ความสนุก ความมุ่งมน่ั และมีพลังทีจ่ ะถ่ายทอดความคิด ความรูส้ ึก ออกมาผา่ นผลงานได้เป็นอยา่ งดี มคี นมากมายท่ีเลือก ทางเดินของตวั เอง และมคี วามสขุ อยู่กับสงิ่ ทีต่ นเลือก แต่เม่ือเระยะเวลาผ่านไปซักพัก ความสนกุ ความมุ่งมนั่ มนั กลบั แปรผันไปเป็นความเบ่ือหนา่ ยลงในทส่ี ุด และมันมักจะทำใหเ้ ราต้องหันกลบั มาตั้งคนถามกบั ตวั เองอีก คร้ังว่าทางทเี่ ราเลอื กเดินมาน้ัน เราเลือกผิดเองหรอื ไม่ ถ้าหากคุณกำลังตกอยกู่ ับภาวะความรู้สึกแบบนี้ เราอยากจะชวนใหค้ ุณคดิ ทบทวนอีกนิด และลอง ยอ้ นกลับไปนกึ ถึงความรสู้ ึกที่เมื่อคุณได้ลงมอื ทำมนั คุณมีความสขุ มากแค่ไหน ลองคิดดูว่ากวา่ จะเดนิ ทางมาอยู่ ตรงน้ไี ด้นนั้ คุณผา่ นความรู้สึกอะไรมาบา้ ง ลองคิดดูสิว่าคุณเกง่ ข้ึน หรอื พฒั นาตัวเองมาได้มากแค่ไหนแล้วจาก จุดเรม่ิ ตน้ ลองหยดุ แลว้ พิจารณาความรู้สึก ใคร่ครวญ ไตร่ตรอง อยา่ งคนท่ีมีสติ ว่าทางเดนิ ท่ีเราเลอื กนี้ เป็น ทางทเ่ี ราเลือกผดิ จรงิ หรอื เพียงแคม่ ีปจั จยั บางอย่างทีเ่ ข้ามาทำใหเ้ ราเหนื่อยลา้ ลงเท่านั้น 7

อา้ งอิง Ataman Thongyou. (2561). ถา้ คณุ หมดไฟมาทางน้ี นี่คือวธิ จี ุดไฟในตัวคณุ อีกครั้ง. สบื คน้ วนั ท่ี 10 เมษายน พ.ศ.2564, จาก https://www.salika.co/2018/03/13/take-the-new-inspirations/ 8

ศลิ ปะพดู ได้? อมุ าภรณ์ วงษ์ศรีแก้ว ในอดีตจนถึงปจั จบุ ัน คำว่า “ศิลปะ” ไดม้ ีผใู้ ห้ความหมายไว้หลากหลายรปู แบบ ในบทความนผี้ ูเ้ ขียน ขอยกเอาความหมายท่ีวา่ “ศิลปะ คอื สิ่งท่ีมนุษย์สรา้ งขน้ึ เพื่อแสดงออกซึ่งอารมณ์ ความรูส้ ึก ปญั ญา ความคิด หรือความงาม” ซ่ึงตรงกบั สง่ิ ท่ศี ลิ ปินดังระดับโลกอย่าง ปาโบล ปิกาโซ ไดก้ ลา่ วไว้ว่า “ฉันไม่ได้พูดทุก ๆ สิ่ง แต่ ทุกๆ สงิ่ ของฉันได้ถูกพูดผา่ นศลิ ปะ” (“I don’t say everything, but I paint everything”) ดังนั้นผูเ้ ขยี นจึง ได้หยบิ ยกเอาประเด็นนี้มานำเสนอวา่ “ศิลปะพดู ไดอ้ ย่างไร?” “ศิลปะพดู ได”้ คำว่า “พูด” ในที่นไ้ี ม่ได้หมายถึงกริ ยิ าทีเ่ ปล่งเสียงออกมาเปน็ ถ้อยคำ แต่เราได้ เปรียบเทียบความหมายของการพดู คือการส่ือสารและการแสดงออก ทั้งในดา้ นอารมณ์ ความรสู้ ึก ปัญญา ความคดิ หรือความงาม โดยใชง้ านศลิ ปะเปน็ ตัวเลา่ เร่ืองน้นั ๆ งานศลิ ปะทเ่ี กดิ มาในรปู แบบทหี่ ลากหลายไมว่ ่า จะเป็น งานจิตรกรรม งานประตมิ ากรรม งานภาพพมิ พ์ ภาพถา่ ย ฯลฯ งานศลิ ปะเหล่าน้ีล้วนสามารถนำมาใช้ เพอ่ื เป็นสื่อกลางในการส่ือ-สาร แสดงออกและสะท้อนอารมณ์ ความคดิ ความรูส้ ึกของผู้สรา้ งผลงานได้ ผสู้ รา้ ง งานแตล่ ะคนลว้ นมจี ุดประสงคแ์ ละจุดมุ่งหมายของการสร้างผลงานศลิ ปะ ทีห่ ลากหลายแตกตา่ งกันออกไปตาม บทบาทและความต้องการ เชน่ การวาดภาพชวี ประวตั ิเพ่ือเป็นสือ่ ให้ความรู้ การวาดภาพรณรงค์ LGBT เพ่ือ เป็นสือ่ กลางในการเรียกร้องความเป็นธรรมใหก้ บั บุคคลกลุ่มนี้ และศลิ ปินดังระดบั โลกหลายคน ทไี่ ด้ใช้วาดภาพ เพือ่ เป็นการส่อื สารความรู้สกึ นกึ คิดของเขา ยกตัวอย่าง เชน่ ผลงาน “The Starry Night” ของวนิ เซนต์ แวน โกะ๊ ห์ ซงึ่ เปน็ ภาพที่มชี อื่ เสียงมากภาพหนงึ่ ของโลก วนิ เซนต์ แวนโกะ๊ ห์ ได้ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สกึ ของเขา ผ่านภาพ The Starry Night ท่ีเขาส่ือถงึ ความเหงา ความโดดเดีย่ ว ความทกุ ขท์ รมาน และพลงั ความ เคลอ่ื นไหวท่ีอยู่ในความหยุดนิง่ ของบรรยากาศ ตลอดจนเป้าหมายทต่ี ้องการจะเดินทางไปสู่สรวงสวรรคด์ ้วย ความตาย เป็นตน้ การส่อื สารเป็นสิง่ ท่ีจำเปน็ อย่างมาก ไมว่ า่ จะเป็นมนษุ ยห์ รือสัตวเ์ อง ก็จำเปน็ จะต้องใช้การสอ่ื สาร ดว้ ยกันทง้ั นน้ั การส่ือสารเองจงึ มีจดุ ประสงค์และจดุ มุ่งหมายทีห่ ลากหลาย แตกต่างกนั ออกไปตามความบรบิ ท และความต้องการ เชน่ การส่ือสารเพื่อการอย่รู อดของสตั ว์ การสอ่ื สารเพื่อให้ความรแู้ ละเพอื่ โน้มนา้ วใจของ มนุษย์ ฉะนน้ั จึงเห็นไดว้ ่าเร่ืองราว อารมณ์ ความรสู้ ึก ปัญญา ความคิด ความงามหรือไม่ว่าจะเป็นประเด็นใด ๆ น้ัน จงึ ไม่มีความจำเปน็ ท่ีจะต้องแสดงออกและสอ่ื สารดว้ ยการพดู ที่เป็นการเปลง่ เสยี งออกมาเป็นถ้อยคำเทา่ นนั้ เพราะนอกจากการสอ่ื สารรปู แบบอื่นแล้ว ศลิ ปะก็ยงั เป็นอีกหนงึ่ หนทาง ในการ“พูด”จากผู้สรา้ งสรรคศ์ ลิ ป์ ไปสผู่ ูเ้ สพศิลป์ 9

อา้ งอิง สมาพร คล้ายวเิ ชียร. ภาษาภาพ : คืนทมี่ ีดาวพราวฟ้า VISUAL LANGUAGE : THE STARRY NIGHT [ออนไลน์]. ปี 2552. แหล่งท่ีมา : http://www.samaporn.com/?p=1334 [10 เมษายน 2564] โรงเรยี นศลิ ปะเดก็ ไทยสร้างสรรค.์ ความหมายและคำนิยามของศลิ ปะ [ออนไลน์]. ปี 2556. แหลง่ ทีม่ า :http://www.dekthaischool.com/index.php?lay=show&ac=article&Ntype=3&Id= 538977593 [10 เมษายน 2564] Quotefancy. Pablo Picasso Quotes [ออนไลน์]. ปี 2548. แหล่งทมี่ า : https://quotefancy.com/quote/ 884251/Pablo-Picasso-I-don-t-say-everything-but-I-paint-everything [10 เมษายน 2564] 10

ศิลปะของเขา ศิลปะของเรา มณีนุช อดุ มลาภ “ศลิ ปะ เปน็ คำทีม่ ีความหมายท้งั กว้างและจำเพาะเจาะจง” ดเู ป็นคำอธบิ ายทย่ี อ้ นแยง้ แตเ่ ปน็ ความ จริงที่ทศั นะของนักปราชญแ์ ต่ละคน หรอื ศลิ ปนิ แตล่ ะคน รวมทั้งความเชื่อแนวคดิ ในแตล่ ะยุคสมัยนน้ั มีความ แตกตา่ งกันจนกลายเปน็ ขอ้ โต้แย้งหรือข้อถกเถียงกนั ไดต้ ลอดเวลา อะไรคือศิลปะกันแน่? จะนำศิลปะไปใช้ในแวดวงทก่ี ว้างขวางหรือจำกัดได้อย่างไร? ทผ่ี า่ นมาเรามองว่าศลิ ปะ คือการถา่ ยทอดความคิด ประสบการณ์ หรอื คำพดู ของเราออกมาเปน็ ผลงาน และเรียกส่ิงน้นั วา่ ศิลปะ แตก่ ็มหี ลายครงั้ ท่ผี ู้คนไมไ่ ดม้ องวา่ ผลงานของเราเปน็ ศิลปะ อาจเน่ืองด้วย เหตุผลทว่ี ่า ผลงานนัน้ เขา้ ใจยากเกนิ ไป ผลงานนั้นซับซ้อนเกนิ ไป หรือแม้แต่ดูไม่มคี ุณคา่ อะไรเลยดไู ม่ใช่ศลิ ปะ เลย แลว้ อะไรล่ะ? คอื ศิลปะท่ีแท้จริง ในวัยเด็ก ศลิ ปะสำหรับเราคือการแสดงออกอยา่ งอิสระเสรี เต็มไปด้วยจนิ ตนาการและความคิด สรา้ งสรรค์ ความบริสุทธ์ิ จริงใจ เปดิ เผย และตรงไปตรงมา แม้จะเป็นการขีดเขียนบนกระดาษท่ีไม่เป็นรูปทรง ชดั เจน เพยี งเพราะยังมปี ระสบการณ์ไมเ่ พยี งพอ ยงั ไมส่ ามารถถ่ายทอดจินตนาการในหวั ออกมาใหผ้ ู้ใหญเ่ ห็น ได้อย่างชดั เจน คณุ จะตดั สินเลยหรือไม่ วา่ นนั่ ไม่ใช่ศลิ ปะ เพราะเม่ือมาถึงวัยผใู้ หญ่ ความเปน็ ศลิ ปะของหลายๆ คนถกู เปล่ยี นแปลงไปให้ศลิ ปะเป็น ความงดงาม ความเปน็ เลิศ ศิลปะต้องดูอลังการ มีกระบวนการสร้างงาน หรือมีแนวคิดท่ีลกึ ซึ้งและซับซ้อน ศลิ ปะแบบน้สี ิ จึงจะมีคณุ ค่า ศิลปะแบบนี้สิถงึ จะมีมลู ค่ามหาศาล นสี่ ิ คอื ศิลปะทีแ่ ทจ้ ริง ดังนั้นแลว้ ศิลปะที่ไมม่ ีความงดงาม ไม่มคี วามซบั ซ้อน ลกึ ซ้งึ จงึ ไม่ได้ถกู มองเป็นศิลปะอยา่ งงนั้ เหรอ ผู้ใหญม่ ักบอกเด็ก ๆ ว่าหา้ มระบายสีออกนอกเสน้ ห้ามระบายสที งิ้ สีขาวไว้ ต้องระบายไปทางเดียวกนั ต้องระบายให้เนยี นกวา่ น้ี โดยท่คี ณุ อาจไมร่ เู้ ลยวา่ เดก็ อาจอยากให้งานของเขามีสีขาวก็ได้ เดก็ อาจอยากให้งาน ของเขาไมอ่ ยู่ในเส้นก็ได้ คณุ บอกแบบน้นั เพราะคุณกำหนดไวแ้ ล้ววา่ ศลิ ปะของคุณต้องเป็นแบบน้นั ซึง่ นา่ แปลก ทเี่ มอ่ื เด็กๆโตขนึ้ พวกเขาจะได้พบกบั ภาพสาดสี ภาพจุดสแี ดงจดุ เดยี วบนเฟรมใหญ่ โถฉี่ การยืนแกผ้ า้ อยเู่ ฉย ๆ การเอาแกว้ มาปาใหแ้ ตกลงพื้น เอากลว้ ยมาติดบนผนัง ภาพกระปอ๋ งซปุ ถงั ขยะ และอีกมากมายทกี่ ็เป็นศลิ ปะ เหมอื นกันนี.่ ..แลว้ ทผี่ ้ใู หญ่เคยบอกล่ะ ไหนล่ะ...งานทอี่ ยู่ในเสน้ ไหนละ่ ...งานที่ไมม่ สี ีขาว ทำไมต้องให้เด็กมา เรยี นรเู้ อาตอนโตดว้ ยล่ะ ว่าศิลปะมีความหลากหลายขนาดไหน แทนทจี่ ะไดร้ ู้ได้เหน็ ตงั้ แตแ่ รก พวกเขาจะได้ไม่ ตกใจมาก เราเองก็จะได้ไมต่ กใจมากวา่ ไมต่ ้องอยู่ในเสน้ กเ็ ป็นศลิ ปะได้ ไม่ต้องปิดขาวท้ังหมดกเ็ ป็นศลิ ปะได้ ให้ เขาไดร้ ูว้ ่าทุกอย่างมนั เปน็ ศิลปะได้เหมือนกนั นะ เป็นความง่ายที่เราหยิบมาบอกเล่า เปน็ หลกั ฐานถงึ ความ 11

สวยงามของโลกทีเ่ ราอยู่ ไดส้ นุกไปกบั ความสร้างสรรค์บนโลก และอะไรอกี มากมายที่ก็สามารถมีคุณค่าในตัว ของมันได้เหมือนกัน ตัวเราในฐานะคนที่ทำงานด้านศลิ ปะ เราสนใจในการเปลี่ยนแปลงทางแนวคิดนอ้ี ยตู่ ลอดเวลา เพราะ ศิลปะแตกแขนงไปหลากหลาย เราจำเป็นต้องคดิ เปดิ กวา้ ง มีหตู ากวา้ งไกล และสำนึกไว้เสมอวา่ ศิลปะก็เกิด จากความคิดของผูค้ น ศิลปะของเราก็มีเพยี งเราทีเ่ ขา้ ใจความงามได้อย่างแท้จริง ศิลปะของเขาก็มเี พียงเขาท่ี เข้าใจความงามได้อย่างแทจ้ ริงเช่นกัน ดงั นัน้ ให้ชนื่ ชมและเพลิดเพลินไปกับสิ่งทผ่ี ู้คนถา่ ยทอดออกมานัน่ แหละ ส่วนการตัดสนิ ก็ใหค้ นสร้างงานเขาเปน็ คนตดั สนิ ไปแลว้ กัน เพราะ \"ศลิ ปะ\" ไม่ได้ต้องการคำยอมรบั จากคนท่ไี ม่เขา้ ใจศิลปะ แตเ่ ป็นบุคคลท่ใี ช้เวลากับศลิ ปะเพอื่ ศลิ ปะเท่านั้นจึงจะเข้าใจความงามอยา่ งแท้จริง อา้ งอิง Virunphat Bangroy. ความหมายของศลิ ปะ. จาก https://sites.google.com/site/virunphatart/khwam- hmay-khxng-silpa ประกิต กอบกจิ วฒั นา. Art IS Art Art IS Not Art อะไร(แมง่ )ก็เปน็ ศลิ ปะ. จากhttps://minimore .com/ b/art-is-art/1 12

ศลิ ปะ ขับเคล่ือนชวี ิตมนษุ ย์ ณฐั นนั ฑ์ สตุ ะโคตร ศลิ ปะ คือ ผลงาน รวมถงึ กระบวนการที่มนุษยเ์ ฉกเชน่ พวกเราได้สรา้ งข้ึน เพ่อื ถา่ ยทอด ส่ือสาร แสดง ถงึ อารมณแ์ ละแนวคิดออกมาให้ผชู้ มงานไดต้ ีความ จากความหมายขา้ งตน้ ของคำว่าศลิ ปะอาจจะดเู ป็นเคร่อื งมือท่ีแสดงแนวคดิ เพื่อสอ่ื สารต่าง ๆ แต่ แทจ้ ริงแลว้ ศิลปะ เป็นตัวแปรสำคญั ในการขับเคลื่อนชีวิตมนษุ ย์ ลองนึกภาพตามวา่ ในขณะท่เี ราอยูย่ ุคดิจทิ ัล มกี ารวาดภาพบนจอแสดงผล มีเทคโนโลยีไวส้ รา้ งผลงานออนไลน์ ไว้อำนวยความสะดวกตดิ ต่อสื่อสาร แตเ่ รา เรม่ิ จากยคุ สมยั สองพันปกี ่อนยงั ใช้แค่เลือดของสัตวใ์ นการส่ือสารและประดษิ ฐ์ตัวอักษรข้ึนมา ศลิ ปะเป็นเครื่องมอื ในการขบั เคลื่อนสังคม หรอื เรยี กได้ว่า ศลิ ปะเป็นปัจจัยหนึง่ ในการดำรงชีวิต โดย อาศยั มนุษยเ์ พื่อให้ศลิ ปะนั้นถูกเรียกว่าเปน็ ศิลปะอย่างสมบูรณ์ ศิลปะเป็นผลงานท่ีมกี ารบันทึกผ่านภาพท่เี ขียน จากฝาผนัง ผืนผ้าใบ ตลอดจนบนหน้าจอเคร่ืองมือส่ือสาร ถ่ายทอดถึงความคดิ จติ ใจ เหตกุ ารณ์สำคัญ สะท้อน มายังสงั คมให้ตระหนักถงึ คณุ ธรรม ค่านิยม การดำรงชีวิตในแต่ละวนั ตลอดจนมีการพัฒนา การปรับปรงุ แก้ไข เพอ่ื ใหส้ ง่ิ แวดล้อมและมนุษยชนมีความเจริญก้าวหนา้ มากขึ้น โดยยังสานตอ่ สง่ิ ท่ีควรมไี ว้ในยคุ สังคมปัจจบุ ัน เปรยี บเทยี บคือ ศิลปะอย่ใู นทุกแห่งทุกสาขา เศรษฐกจิ การงาน อาชีพ การศกึ ษา สังคม รวมถงึ คุณธรรม จริยธรรม ล้วนแล้วถกู ศลิ ปะเข้ามาแทรกแซง เข้ามายกชูให้เจริญขึ้น หากจะคิดภาพให้ง่าย ๆ เช่น การพูดโนม้ นา้ วจติ ใจคนกเ็ ปน็ ศิลปะการพดู วาทกรรม หรือจะเป็น การ ทำธรุ กิจผลติ สินค้าก็ต้องใชค้ วามงาม คุณภาพของผลติ ภณั ฑ์ หรือ การออกแบบตามความต้องการของผูบ้ รโิ ภค รวมไปถงึ การชุมนุมเพื่อสทิ ธเิ สรภี าพ ก็เป็นศิลปะการแสดงออกเชงิ สญั ลกั ษณ์ ก็เรยี กได้ว่าเปน็ ศลิ ปะ ซง่ึ จะ สง่ ผลทางสงั คมทั้งทางตรงและทางออ้ ม จุดเลก็ ๆทีร่ วมกนั เป็นหลายจดุ ต่อกันเปน็ เส้น เชือ่ มโยงรวมกันเปน็ รปู ร่างข้ึนมา เปน็ โครงสรา้ งเป็นรากฐานเพื่อต่อยอดพัฒนาต่อไป แต่อย่างไรกต็ ามศิลปะเปน็ เพียงเครอื่ งมอื หนึง่ ทีม่ นุษย์นำมาใชเ้ พอ่ื ให้สงั คมเกิดการขบั เคลือ่ น โดย ขึ้นอยกู่ ับผสู้ ร้างศิลปะผู้นนั้ อยู่ต้องการให้สงั คมขบั เคล่ือนไปในทศิ ทางใด โดยเปน็ ไปได้ท้ังเชิงบวกและเชงิ ลบ จุดประสงคข์ องผลงานกเ็ ป็นไปตามการดำเนนิ การของผู้สร้าง ศลิ ปะจะไม่ถูกเรียกว่าศิลปะ หากขาดความคดิ สรา้ งสรรค์ ขาดความหมายในการทำงาน และขาดกระบวนการทำงานของมนษุ ย์เฉกเชน่ พวกเรา 13

ศลิ ปะเกยี่ วขอ้ งกบั เราไดอ้ ยา่ งไร วัลลภา เทียนทอง หากจะกล่าวถงึ จดุ เริ่มตน้ ในโลกของศลิ ปะแล้ว คงต้องย้อนไปเม่ือหลายพันปีกอ่ นที่มนุษย์เรม่ิ ประดษิ ฐ์ สิ่งของเครื่องใช้ อปุ กรณ์ล่าสตั ว์ สรา้ งสิง่ อำนวยความสะดวกและเพ่ือความปลอดภยั สำหรับการดำรงชพี และ การอยู่ รอดของมนุษย์ เห็นได้จากภาพวาดฝาผนัง หรือภาพเขยี นโบราณที่ถูกค้นพบภายในถ้ำนอกจากไม่ เพยี งแตเ่ ปน็ ช่างเขยี นแล้วยังเป็นช่างในทางจติ รกรรมและการแกะสลักอีกดว้ ย ทัง้ นีย้ งั ในเรือ่ งของความเชอ่ื ความกลวั ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมก่อให้เกดิ พิธกี รรม การรวมกลมุ่ กนั จนเกิดเปน็ สงั คม การคดิ ริเริ่ม การรับรู้ ในสง่ิ ท่มี ีอิทธพิ ลต่อจติ ใจ การอยากตอบสนองความต้องการของตวั เอง ทำให้เกิดการสรา้ งสรรคแ์ ละการ แก้ปัญหาในการสร้างศลิ ปวตั ถุที่ แตกต่างไปจากลกั ษณะของธรรมชาติ เป็นรากฐานทำให้มนุษย์แตล่ ะสมัยเกิด แรงกระตนุ้ และแรงบันดาลใจในการ ทำงานศิลปะต่อไป นับวา่ เปน็ การเรม่ิ ต้นของการสร้างสรรคง์ านศลิ ปะใน ยคุ ตา่ ง ๆ (วิรตั น์ พิชญไพบูลย์. 2524) ศิลปะ คืออะไร? ทำไมคนเราถงึ ตอ้ งเก่ยี วข้องกับศิลปะ ซ่ึงจรงิ ๆแลว้ ศลิ ปะเกิดข้นึ มาได้ก็เพราะเปน็ สิ่งท่ี มนษุ ยค์ ิดคน้ ขึ้นมาโดยแสดงออกมาจากความรสู้ ึก อารมณ์ จากจินตนาการ การเลียนแบบต้นแบบ หรอื การ สรา้ ง จากความคิดท่คี ิดขึ้นมาเอง มกี ารใชค้ วามรคู้ วามสามารถ ความเขา้ ใจ การคิดวเิ คราะห์แกป้ ัญหา ความคิด สร้างสรรค์และเป็นเครือ่ งมือระบายถา่ ยทอดมันออกมา ในเรอื่ งของสนุ ทรียภาพ ความประทบั ใจ เรอื่ งราว และมี ความสำคญั เป็นอยา่ งมาก ศิลปะจะมีส่วนช่วยเสรมิ สรา้ งจติ ใจของมนุษยใ์ หส้ งู ขึน้ กลอ่ มเกลาจิตใจให้ ออ่ นโยนทำให้เกิดความกลมกลนื ความรกั สามคั คีตอ่ กัน ในขณะเดียวกนั ก็มีสว่ นช่วยเสรมิ สรา้ งและพัฒนา สตปิ ัญญาของมนุษย์ ดว้ ย เมอ่ื หนั มาทบทวนดจู ะพบว่าลกึ ๆแลว้ ชีวิตของตวั เรากม็ ีความเกย่ี วขอ้ งกบั ศลิ ปะ ซ่ึง เรามโี อกาสสมั ผสั กบั ศิลปะ ท้ังทางตรงและทางอ้อม รวมท้ังไดร้ ับอิทธพิ ลจากสิง่ รอบตวั ครอบครัว สงั คม เศรษฐกิจ การเมอื ง วฒั นธรรม ศาสนา ธรรมชาติ ทศั นคติ ความเชื่อ คา่ นิยม ความชอบ ความไมช่ อบ ทำให้ มนษุ ยม์ ีการรับรู้ในเร่อื งศิลปะ สนุ ทรยี ภาพในจติ ใจ เพียงแต่ไมเ่ ทา่ กัน ทำให้มนษุ ยม์ ีความหลากหลาย แหลาย คนก็ไม่เห็นความสำคญั ของศิลปะ อาจเพราะดว้ ยประสบการณ์ ความพร้อมอะไรหลายๆ อยา่ งท่ีไม่เออ้ื ต่อการ รับรเู้ กีย่ วกบั ศลิ ปะ ทำให้ไม่เข้าใจ แบง่ แยกเอาศลิ ปะออกจากชวี ติ ท้งั ๆ ท่ีมนั ศลิ ปะกับชีวติ กค็ อื สิ่งที่เกย่ี วข้อง กัน ศิลปะท่เี ห็นไดง้ า่ ยๆในชวี ติ ประจำวนั เกีย่ วของในเรื่องของความงามท่สี ามารถมองเหน็ ได้ดว้ ยตา เชน่ การสื่อสาร ไม่วา่ จะเป็นการพูด การใชท้ า่ ทาง การใช้สญั ลกั ษณ์ เป็นการใชศ้ ลิ ปะในการส่ือสารเพ่ือใหเ้ กิดการ ส่ือสารทด่ี ี เข้าใจ ส่ือความหมายไดอ้ ย่างเจนและยังสรา้ งทัศนคติในเชงิ บวกให้เกิดขนึ้ ได้ด้วย ซงึ่ หากส่อื สารไม่ดี 14

กอ็ าจจะทำให้เกิดปัญหาตามมา, การแตง่ กาย เปน็ ส่งิ ที่อยู่ภายนอก บ่งบอกถงึ ลักษณะของผู้ใส่ ชว่ ยส่งเสรมิ เร่อื งของรปู ลักษณ์ บุคลิกภาพ ช่วยใหม้ ่ันใจ ให้ดดู ขี นึ้ ได้ ซ่ึงแตล่ ะคนก็มีสไตล์การแต่งตัวของตวั เองทเี่ กิดจาก ความชอบ ความเหมาะสม ความจำเปน็ ของผู้ใส่ ศลิ ปะก็จะมาชว่ ยในเร่อื งของการออกแบบเคร่ืองแต่งกาย เพอื่ ให้เหมาะกับแต่ละบุคคล รวมไปถงึ ข้าวของเคร่ืองใชท้ ี่มีหลากหลายใหเ้ ลือก, ดนตรี เพลง หนัง ภาพถา่ ย ภาพวาด วรรณกรรม นิยาย ประตมิ ากรรม สงิ่ เหลา่ นี้กเ็ กดิ จากการใชค้ วามร้สู ึก อารมณ์ การสรา้ งสนุ ทรยี ภาพ ขึน้ มาใหเ้ กดิ เป็นงานศลิ ปะชนิดหนง่ึ เพื่อจรรโลงใจ ใหข้ อ้ คดิ ให้จินตนาการ ถา่ ยทอดอะไรบางอย่างออกมาสู่คน ที่ฟัง ดู และอา่ น, วฒั นธรรม ประเพณี ทเี่ กดิ ขึน้ ประจำท้องถน่ิ ประจำชาติ ก็เป็นศลิ ปะที่เกี่ยวข้องกบั ชีวิตของ คนในชมุ ชน เกดิ เป็นภูมปิ ัญญา งานช่างหลาย ๆ แขนง การสรา้ งสงิ่ กอ่ สร้าง/สถาปัตยกรรมตา่ ง ๆ นอกจากจะ สรา้ งเพ่อื เป็นท่ีอยู่อาศัยแล้วก็ยงั ตอ้ งนึกถึงความงามดว้ ย เพื่อเป็นการสรา้ งบรรยากาศให้น่าอยู่ เหมาะสมกับ สภาพพนื้ ท่ี เป็นต้น จะเห็นไดว้ ่าจรงิ ๆ แลว้ ถึงเราจะไมร่ ู้ตวั วา่ ศิลปะเข้ามาอยู่กับเราต้ังแต่เมอื่ ไหร่ แต่มันกเ็ ป็นส่ิงทีอ่ ยูก่ ับ เรามาตลอด มีความเกีย่ วข้องกับมนุษยเ์ ราและมีความสำคัญท่จี ะทำใหช้ ีวิตเรามีการพฒั นาไปในหลาย ๆ ดา้ น ในทางที่ดีข้นึ อา้ งอิง วิรตั น์ พชิ ญไ์ พบูลย.์ (2524). ความเขา้ ใจศิลปะ (พมิ พ์คร้ังที่ 1). กรุงเทพมหานคร : บรษิ ัทสำนกั พิมพ์ ไทย วัฒนาพานิช. ศิลปะมาจากไหน. (มปป). สบื ค้นเมอ่ื ว้นท่ี 8 เมษายน 2564 จากhttps://sites.google.com/site/phorjan 05/silpa-ma-2 ต้นกำเนดิ ของศิลปะ. (มปป). สืบคน้ เม่ือวนั ท่ี 8 เมษายา 2564 จาก https://sites.google.com/site/artistryl ifesnakubz/bth-thi1-tn-kaneid-khxng-silpa ศิลปะคืออะไร. (มปป). สืบค้นเมือ่ วันท่ี 8 เมษายน 2564 จาก https://sites.google.com/site/reuxngphes suk/silpa-khux-xari 15

หากคุณตอ้ งการชัยชนะ คุณจะแพ้ให้กบั ตัวเอง อัษฎาวุธ โคตรมา สงั คมในปจั จบุ นั เต็มไปด้วยการแข่งขัน นบั ต้ังแตต่ ่นื เชา้ จนถงึ การพักผ่อนในเวลากลางคืน เราตอ้ งคอย คดิ แผนการหรอื วิธีการตา่ ง ๆ มากมายเพื่อทจี่ ะแข่งขนั กบั ผู้อน่ื อยูท่ ุกวันและเวลา แม้กระท่ังในวงการการศึกษา ก็ยงั มีการแขง่ ขนั บางคร้ังเรากช็ นะและบางครง้ั เราก็แพเ้ ช่นเดยี วกนั และทกุ อยา่ งลว้ นมีผลทต่ี ามมา เราทกุ คนบนโลก ส่วนใหญโ่ หยหาชัยชนะ และเกลียดความพ่ายแพ้ เพราะความรสู้ ึกชนะมันช่างรู้สึกดี เสยี เหลือเกิน มันทำใหเ้ ราได้ทุกส่ิงท่ีเราต้องการ ไมเ่ หมือนกบั การพ่ายแพ้ มนั ช่างรู้สึกหดหู่ เดียวดาย ไม่เป็นที่ ต้องการของสงั คม ความรูส้ ึกเหลา่ นีล้ ้วนมีตน้ กำเนิดมาจากการถูกปลกู ฝงั ตงั้ แต่เดก็ ๆ เชน่ การว่งิ แขง่ การแข่ง ทักษะวิชาการ การประกวดกิจกรรมตา่ ง ๆ ความคาดหวังของครอบครัว เป็นต้น ทำให้เกิด “ภาวะแพ้ไม่เปน็ ” ซง่ึ อาจจะทำให้เราใชช้ วี ิตลำบากมาก ๆ เมื่อเราเรมิ่ เปน็ ผู้ใหญ่ และยังหาทางกำจัดความร้สู กึ น้ไี มไ่ ด้ ความรู้สกึ แพ้ไมเ่ ป็นจะสร้างตวั ตนหนง่ึ ของเราขนึ้ มา เมื่อเราไดท้ ำงานร่วมกบั ผู้อนื่ เราจะคอยสังเกตคน รอบข้างอยูต่ ลอด เพราะเมื่อไหร่ที่คนคนน้ันมีผลงานดีเดน่ มากกวา่ ของเราในช้ันเรยี นหรือในกลุ่ม เราจะเร่ิมนับ คนคนนั้นเป็นคู่แข่งที่ต้องเอาชนะทันที ส่งที่ตามมานั้นคือความเครียด เครียดที่จะต้องหาทางว่า ทำอย่างไร ผลงานเราจึงจะเหนือกว่าคนคนนั้น จนทำให้เราลืมความเป็นเพื่อนกับคนคนนั้นไป และหากทุก ๆ วันมีคนท่ี ผลงานดี ๆ เพม่ิ ขน้ึ ศัตรูของเราก็จะเพิ่มมากขึน้ จนในที่สดุ เรากก็ ลายเปน็ คนท่ีไม่มีเพื่อน จมอยู่กับความพ่าย แพ้ที่ติดในจิตใจ ส่งผลกระทบต่อร่างกายและการทำงานที่มีประสิทธิภาพลดลง แต่ทุกสิ่งล้วนมีทางออกเสมอ เพียงแต่เราต้องตงั้ ใจทจ่ี ะเปลีย่ นแปลงตวั เองเพื่อบางส่งิ เราไม่มีทางลืมสิ่งใด ๆ ได้ แต่เราสามารถเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันได้ การแก้ไขความรู้สึกแพ้ไม่เป็นมีอยู่ หลากหลายวิธี แต่วิธที ผ่ี เู้ ขียนจะนำเสนอคือ 1. การมีเหตุและผลให้มากข้นึ กล่าวคือการนำความรู้สึกของเรามาวิเคราะหว์ า่ อะไรทำให้เราคิดที่จะ เอาชนะ และเราจะได้อะไรนอกจากความรู้สึกเหนอื กว่า แล้วสิ่งทไ่ี ดพ้ ัฒนาอะไรในตัวเราได้ 2. การเรียนรู้จากคนที่ประสบความสำเร็จ คือการศึกษาชีวประวัติ หรือแนวความคิด แนวทางการใช้ ชวี ิต แล้วนำเอาสว่ นน้ันมาปรับใชก้ ับตนเอง 3. การสร้างแรงบันดาลใจให้ตนเองในการใช้ชีวิต จากการดูหรือฟังวิทยากรหรือผู้มีความรู้ หมอ และ ส่อื ออนไลน์ เพอ่ื การสรา้ งความเข้าใจ และดงึ เอาคณุ คา่ ที่มีอยู่ในตนเองออกมา การคิดที่จะเอาชนะ หากเราชนะ ความรู้สึกมันช่างหอมหวาน แต่ถ้าแพ้เราก็จะเศร้าและผิดหวังใน ตัวเอง ตัดพ้อและอยากจะชนะให้ได้ ความทะเยอทะยานนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่หากเราใชไ้ ม่ถูกวธิ ี มันอาจจะสร้าง ผลร้ายมากกว่าผลดีแก่เราได้ เราไม่จำเป็นที่จะต้องชนะทุกคนที่อยู่รอบตัวเรา แต่จงชนะจิตใจที่แข็งกระด้าง ของเราให้ได้ และเปล่ียนให้เป็นจติ ใจที่อ่อนโยน สามารถอยู่รว่ มกบั ผู้อื่นได้ เราจะไมโ่ หยหาชัยชนะเพ่ือชิงความ 16

เป็นใหญ่ แต่เราจะทำให้ตัวเองมีความสุขระหว่างการใช้ชีวิตนี้ให้มากที่สุด สิ่งที่ผู้เขียนได้แนะแนวทางในก าร ปรับเปล่ยี นตวั เอง อาจไม่ใชส่ ำหรับบางคน แต่ผเู้ ขยี นกห็ วงั วา่ บทความนี้จะสามารถชว่ ยได้ไม่มากกน็ อ้ ย 17

18

“ศลิ ปะกบั การสร้างสรรค์สงั คม” กนกพร ไชยสทิ ธางกูร ความสุข ที่ได้เรียนรู้ ได้ทำงานในสิ่งที่ตนเองรักนน้ั ก็เปรียบเสมอื นกบั การไดร้ ดน้ำพรวนดินให้กบั ดอกไม้ที่ตนเองรัก ตอ้ งคอยดูแลเอาใจใส่ ฟมู ฟัก ประคบประหงม และในซักวันดอกไมน้ ้ันกจ็ ะออกดอกผลบิ าน งดงาม เชน่ เดยี วกบั การท่เี ราน้นั ไดพ้ ยายามทำในส่งิ ทีม่ ีความสุข ไมว่ ่าจะเป็นงานอะไรในภายภาคหน้าถา้ เรานัน้ ไดพ้ ยายามมากพอ ผลจากความพยายามท่ีมาจากความรักนั้นจะทำใหเ้ ราประสบความสำเรจ็ ไดอ้ ย่างแน่นอน ส่วนพลงั หรอื ความสามารถของผูท้ จ่ี ะไขวค่ ว้าความสุขมาเปน็ ของตวั เองไดน้ น้ั ขนึ้ อยู่กบั สมรรถภาพของตวั เอง และสมรรถภาพของสงั คม ซ่ึงหมายถึงวา่ พลงั นั้นจะเกิดขึ้นได้มากน้อยแคไ่ หน ต้องอยทู่ ี่ความร่วมมือของคนใน สังคมและตัวตนของแต่ละบุคคลเปน็ สำคัญอยา่ งเร่ืองของศิลปะ ทีค่ นสว่ นมากน้ันตระหนักดีวา่ มนั เป่ยี มลน้ ไป ดว้ ยความงาม ดังนนั้ ศิลปะ จึงสามารถนบั เปน็ ปจั จัยหนง่ึ ท่ีสรา้ งสรรคป์ ระเทศ ลดความเหลอื่ มลำ้ และสรา้ ง ความเปน็ ธรรมในสังคมได้เป็นอยา่ งดี ท่ีมนษุ ยชาติน้นั ไม่ควรปลอ่ ยให้มันไร้คุณคา่ ภายในสงั คมมีการพฒั นา กา้ วหน้าของเทคโนโลยี หรือโลกาภิวฒั น์ ศลิ ปะและสังคมของมนษุ ย์นัน้ ไดม้ ีการเกดิ ขน้ึ มาพร้อมกันในทุกยุคทุกสมยั อย่างเช่นการดำรงชวี ิตของ มนุษย์ในยคุ โบราณหรือยคุ หินน้นั ได้มีการทำเครื่องมือจากเศษวสั ดุท่ีทำขึ้นมาจากธรรมชาติและสง่ิ รอบตวั เอา มาเหลาใหแ้ หลมคมคล้ายบั มีดพรา้ ทำให้จบั ถนดั มือเพ่ือเอาไวใ้ ชใ้ นการทำมาหากนิ เช่น ลา่ สตั ว์หงุ หาอาหาร ป้องกนั ศตั รู ป้องกันตวั จากสัตวร์ า้ ย เป็นตน้ เม่ือไดส้ ัตวม์ าก็จะนำเลือด มาขีดเขียนไวภ้ ายในท่ีอยู่อาศัยของตน เช่น ภายในถำ้ จะเหน็ ไดว้ ่าภาพเขยี นฝาผนังในถำ้ ทหี่ ลากหลายในแต่ละประเทศนัน้ มกี ารใช้ สจี ากเลอื ดของ สตั ว์ ยางไม้ ดิน และสีจากธรรมชาติอ่ืน ๆ อีกมากมาย สงั คมไทยในปัจจุบนั นัน้ ได้มีพัฒนาการเกดิ ขน้ึ เป็นอย่างมาก ซงึ่ ผลทตี่ ามมานน้ั กค็ ือเกดิ การเหล่อื มลำ้ ขน้ึ ภายในสังคม ไม่เว้นแม้กระทั่งในดา้ นของศลิ ปะ ซ่ึงการพฒั นาศลิ ปะและตัวบุคคลคือศิลปินเองนนั้ จะต้องมี การพัฒนาควบคกู่ ันไปตามยุคตามสมัยใหท้ ันโลก เน่ืองจากมนุษย์เราแตกตา่ งจากสตั วอ์ น่ื อีกทั้งยังมสี มองท่เี ลอ เลศิ มคี ุณภาพสูงสุดกว่าสัตวท์ ุกชนิด ทำให้สามารถประดิษฐค์ ดิ คน้ อะไรออกมาได้อยา่ งมากมายมหาศาล ไมว่ า่ จะเป็นไปได้หรอื ไม่ได้ การเกิดขน้ึ ไดย้ ่อมมีความเป็นไปไดส้ ูงกวา่ ล้มเหลว ตอ้ งดำรงตนไปตามแนวคิดท่ียึดถือได้ ว่าดว้ ยความเปน็ จรงิ ความดี ความงามหรือสุนทรยี ศาสตร์ และนีจ่ ึงเปน็ สิ่งที่พิสูจน์ไดว้ ่ามนษุ ย์นั้นสามารถใช้ งานศลิ ปะมาเปล่ยี นแปลงสงั คมได้ ดังนนั้ จึงมีการรวมตวั ของกลุม่ ศลิ ปนิ ผู้สร้างงานศิลปะข้นึ พวกเขาไดต้ ัง้ ปณธิ านที่จะเดนิ สายสัญจรไป ทัว่ ประเทศเพ่ือใชค้ ณุ ค่าทางศิลปะสร้างสรรค์และพัฒนาสงั คมและตวั บคุ คลใหเ้ กดิ ความสุขในชีวิตขนึ้ มา (ปานมณ,ี 2554) 19

สุดท้ายแล้วกส็ รปุ ไดว้ า่ ศิลปะกบั การสรา้ งสรรคส์ งั คมน้นั เป็นของค่กู นั มาต้งั แต่อดีต เชอ่ื มโยงไปกบั ทุกยุคทกุ สมัย และศิลปะจะเปน็ ตัวขบั เคลื่อนสงั คมให้ไปในทศิ ทางใด ขึ้นอยกู่ ับความกา้ วหนา้ และการพัฒนา ของคนในยุคน้นั ๆ ซ่ึงยคุ สมัยน้ีนั่นกค็ ือการท่ีนำเอาเทคโนโลยเี ขา้ มามีส่วนช่วยเหลือให้ศิลปะนั้นมีการเติบโต และยกระดับขน้ึ จากแต่ก่อนทีใ่ นอดีตศิลปะน้นั ยังไม่ถูกพสิ ูจน์และถกู เพิกเฉยว่ามันเปน็ ส่ิงท่ไี มจ่ ำเป็นตอ่ สังคมไทย แตใ่ นยุคสมยั นี้ศิลปะกลับถูกพูดถงึ และนำมาเป็นตัวช่วยในการขบั เคลื่อนและสร้างสรรค์สงั คมเพม่ิ มากยิง่ ขึ้น การสรา้ งศลิ ปะเพ่อื สะท้อนปัญหาในสังคม เช่น การทำงานศิลปะท่ีเกี่ยวข้องกบั โรคระบาด covid- 19 ในปัจจบุ นั ขึน้ มา เพื่อให้ผู้ท่ีเสพงานหรือพบเห็นงานศลิ ปะชิ้นน้ี ได้ย้ำ เตือนสติ ตระหนกั ถึงการป้องกนั ตัวเอง การเฝ้าระวงั และการร่วมมือกันข้ามผา่ นวิกฤตในครั้งน้ไี ปให้ได้ นี่เปน็ เพียงส่วนหน่งึ ท่ีกล่าวถึงการนำศลิ ปะมาประยุกต์ใช้ให้เขา้ กบั สงั คมไทยในปจั จุบนั ยังมปี ระเดน็ อีกหลาย ๆ ประเดน็ ที่ยังไม่ถูกพดู ถงึ และยกมาต้งั คำถาม ตั้งขอ้ สงสยั และข้อสงั เกต การอ้างถงึ หรอื การหา คำตอบอกี มากมาย อา้ งอิง “ความงดงามทางศิลปะ จรรโลงให้โลกเตม็ ไปดว้ ยความสุข” , หนงั สอื พมิ พแ์ นวหนา้ โดย ปานมณี, (2554) วนั ท่ีสืบค้น 9 เมษายน 2564 [ออนไลน์] เข้าถงึ ไดจ้ าก https://www.thaihealth.or.th/ “ศลิ ปะกบั สังคมมนษุ ย์” , วรี ะยุทธ โพธ์ิศร,ี (2554) วนั ท่สี ืบคน้ 9 เมษายน 2564 [ออนไลน์] เข้าถงึ ไดจ้ าก https://arnantana.wordpress.com/ 20

รางวลั ของศลิ ปะ ชญามินทร์ เกตุเมฆ ศลิ ปะเป็นสงิ่ ทชี่ ว่ ยพัฒนาความคดิ รเิ ร่ิมสร้างสรรค์ของมนุษย์ เปน็ การแสดงออกอย่างเสรี แตน่ ่า เสยี ดายท่ีในสังคมปจั จุบนั ผูค้ นสว่ นหนึง่ มองวา่ ศลิ ปะมีไวเ้ พ่ือแขง่ ขันเพอื่ รางวลั เพราะศิลปะมักจะมีรางวลั เปน็ สงิ่ ลอ่ ใจ โดยเฉพาะครูศิลปะบางคนท่ียงั ขาดความเขา้ ใจเก่ยี วกบั ปรชั ญาศลิ ปะและมักจะเข้าใจผดิ คดิ วา่ การจะ พัฒนาเดก็ ต้องใหเ้ ด็กแขง่ ขนั กันเองโดยใชร้ างวลั มาลอ่ เพื่อกระตุ้นให้เด็กเข้าร่วมการแข่งขนั ครบู างคนวาด ภาพขึ้นมาเป็นตวั อยา่ งเพือ่ ให้เดก็ ๆ ลอกตาม โดยไม่คำนึงถงึ ความคดิ จริง ๆ ของเดก็ เลยดว้ ยซ้ำ เพียงเพื่อที่ ชนะการแข่งขนั ด้วยคา่ นิยมแบบนน้ี ี่เองที่ทำใหเ้ ด็ก ๆมองชีวติ เป็นการแขง่ ขนั แขง่ ขนั กับคนอน่ื ยังไม่พอ ยงั ตอ้ งแข่งขนั กับตัวเองด้วย โดยท่ัวไปรางวัลเปรียบเหมอื นเปน็ ดาบสองคม มีทั้งคณุ และโทษ ขน้ึ อยู่กับผใู้ ชว้ า่ จะมสี ติปัญญารูจ้ ัก เลอื กใช้ให้เกดิ คุณประโยชนห์ รือไม่ ในส่วนของ ข้อดี คือ รางวัลอาจเปน็ ตวั กระตุน้ ใหเ้ กดิ แรงผลกั ดนั เกดิ การสรา้ งแรงจงู ใจ (Motivation) เพื่อชกั จงู ใหเ้ กิดการรว่ มงาน เปน็ ตวั เรง่ เร้าใหเ้ กดิ ความกระตือรือรน้ นอกจากน้ี รางวัลยงั เปน็ สญั ลักษณ์ของการยอมรบั และยกย่องในดา้ นฝีมอื และความสามารถ โดยเฉพาะคนบางคนท่ีมีปมดอ้ ยต้องการ ลบล้างปมดอ้ ยเหลา่ นน้ั เพอ่ื สรา้ งปมเด่นให้กบั ตนเอง ซ่งึ เป็นเร่อื งทีด่ ีที่เพราะถือว่าเป็นการพัฒนาตนเองไปใน ตัว เป็นการเพื่อทดแทนในสงิ่ ท่ตี วั เองยงั ไมม่ หี รือส่วนที่ขาดไป ทำใหเ้ กิดความภาคภมู ิใจและมน้ั ใจในตนเอง มากข้นึ และในส่วนที่เปน็ ข้อเสยี คอื ทำใหค้ นเหน็ แก่ตวั คิดว่าตัวเองเหนอื กว่าผู้อืน่ ทำอะไรกจ็ ะคำนึงถงึ แต่ ผลประโยชน์ จนอาจลืมไปวา่ จุดประสงคท์ ่ีแท้จริงของการทำงานศลิ ปะคืออะไร สง่ ผลเสียใหแ้ กศ่ ิลปะโดย ส่วนรวม นอกจากนี้ยงั เป็นการแบง่ แยกคนทีร่ ักศลิ ปะออกเปน็ 2 ฝา่ ย มีท้งั ฝ่ายชนะ และฝ่ายแพ้ คนทช่ี นะก็ ร้สู ึกอยากจะชนะไปเรอื่ ย ๆ คนท่ีแพ้ก็รูส้ ึกเกลียดศลิ ปะไปเลยก็ได้ การใหร้ างวลั มอี ทิ ธิพลหรอื ก่อใหเ้ กิดเป็น แรงจงู ใจทีจ่ ะกระตนุ้ ให้เด็ก ๆ ท่มุ เทกำลังกายและเวลาปฏบิ ัตงิ านอย่างเตม็ กำลงั มขี วัญกำลงั ใจท่ีดี รกั และ หวงแหนผลงาน ถึงอย่างไรกต็ าม การทีเ่ ด็กมุ่งเนน้ ถงึ รางวลั มากจนเกินไปอาจเปน็ การสร้างคา่ นยิ มผิดๆทำให้ สังคมมองศลิ ปะเปน็ เรื่องยากและไกลตัวมากขึน้ ไปอกี การใหร้ างวลั จงึ ตอ้ งให้อย่างเหมาะสมและระมัดระวัง เพอื่ ให้มีคุณค่า มีความความหมายต่อผทู้ ่ีไดร้ ับ ไม่เช่นน้ันจะเกิดความแตกแยก เพราะมงุ่ รางวลั มากกวา่ การ ทำงานด้วยใจรัก ดงั นั้น การใหร้ างวัลจะตอ้ งเช่ือมโยงให้เกิดความตระหนักเห็นคุณค่าของตนเองต่องานศิลปะ และทมุ่ เทการทำงานอยา่ งเต็มที่ เดก็ บางคนที่ไดร้ างวลั จะรู้สกึ ภาคภูมใิ จตวั เอง เมอื่ ไดร้ างวลั มาครั้งหนึง่ แลว้ ก็ อยากจะได้อกี เปน็ ครัง้ ทส่ี องและสามทำใหเ้ กิดความคาดหวังและกดดนั กับตัวเอง จึงกลายเป็นวา่ การแข่งขนั 21

ไมไ่ ดท้ ำให้เด็กวาดภาพอยา่ งมีความสขุ อีกต่อไป รางวัลจากฝมี ือของครศู ิลปะทีท่ ำลายความคดิ จินตนการ ความบรสิ ทุ ธ์ไร้เรยี งสาของเด็กเพื่อแลกกับชอื่ เสยี ง รางวัล โล่ ใบประกาศนียบัตรเอามาติดประดบั ไวใ้ นตโู้ ชว์ ของโรงเรียน บรรยากาศของการแขง่ ขันในปจั จบุ นั ประกอบกบั มีการใช้ทฤษฎกี ารสร้างแรงจูงใจกนั มากขนึ้ ก็เร่ิมมี การใหร้ างวลั เป็นการกระตนุ้ เพ่ือให้ผู้คนเกดิ ความสนใจ เขา้ ร่วมการแขง่ ขัน ซง่ึ ก็เปน็ การดีไมไ่ ดผ้ ิดอะไร แต่ก็ ต้องระวัง เพราะถา้ มากไปไม่มีความพอดี ก็อาจทำให้หลักการเพย้ี นไปได้ เพราะหลายต่อหลายครั้งกลายเปน็ ว่าถ้าไม่มีรางวลั เปน็ ตวั จูงใจก็จะไม่คอ่ ยให้ความสำคญั กบั การศิลปะหรอื การใช้ความคิดสร้างสรรค์ จนลืมไปว่า บางจดุ ประสงค์ทแ่ี ท้จริงของการแขง่ ขนั นั้นเพ่ืออะไร นเ่ี ปน็ บทความที่บอกใหร้ วู้ ่ารางวัลยอ่ มเป็นดาบสองคมมที ้ังข้อดีและข้อเสยี ขึ้นอยกู่ ับผู้รับและผูใ้ หพ้ ึง ใช้สติปญั ญาคิดใคร่ครวญใหถ้ ่ีถว้ น อย่าหลงระเริง งมงายยึดติดกับสง่ิ ของท่ีอยนู่ อกกาย การแขง่ ขนั น้ันจดั ข้ึนไม่ ผิดอะไรแต่จดุ ประสงคท์ ี่แทจ้ ริงของการแข่งขนั คอื อะไร ไม่ใช่การพัฒนาตนเองหรอกหรือ แข่งขนั กับคนอืน่ ก็ ยังมตี วั เองเป็นเพ่ือน แตแ่ ข่งขันกบั ตนเองแล้วจะมใี ครเป็นเพื่อนอกี อันรางวัลใด ๆ ในโลกนัน้ ล้วนสร้างขึ้นเพื่อ จูงใจเป็นแรงกระตนุ้ ในการสร้างสรรค์ เปน็ ผลพลอยได้เท่าน้ัน แต่จุดหมายที่แทจ้ ริง คือการพัฒนาความคิด จินตนาการอนั ไร้ขอบเขตจำกัด (Infinity) น่ันเอง อ้างอิง “ศลิ ปะเด็ก : ดอกไม้ในกำมือของผใู้ หญ่”โดยรองศาตราจารย์เลิศ อานนั ทนะ ,วันทส่ี ืบคน้ 9 เมษายน 2564 [ออนไลน]์ เขา้ ถงึ ได้จาก https://www.thaiartstudio.com 22

ศลิ ปะ...กระจกสะทอ้ นความจริง ฐิตมิ า ดวงสุวรรณ์ ศิลปะเกิดข้ึนมาเมือ่ ใด อาจจะไม่มีใครหาคำตอบและท่มี าของจดุ กำเนดิ ของศิลปะได้แน่ชัด แต่สงิ่ ท่ีผูก ตดิ มาดว้ ยกนั กับศิลปะอย่างหนึง่ ท่เี ราเหน็ ได้อย่างชัดเจนนั้นกค็ ือสงั คม ถือได้วา่ ศลิ ปะและสงั คมเป็นส่วนหนึ่ง ของกนั และมาโดยตลอดยากทจี่ ะแยกออกจากกนั ได้ หากจะย้อนกลับไปหาคำตอบถงึ ท่ีมาของศิลปะ ก็คงต้อง หาคำตอบของจุดเรมิ่ ตน้ ของคำว่า สังคมก่อน แตก่ ระน้ัน เกิดข้นึ เม่ือใด อาจไม่สำคัญมากนัก แต่ประเดน็ ทเ่ี ปน็ จดุ น่าสนใจคอื ศลิ ปะกบั สงั คมเกดิ ขน้ึ เพราะอะไร? ภายใต้วิถีชีวติ ผคู้ นในสังคมปัจจุบันเราต่างพบเจอกบั ปัญหามากมาย ไม่วา่ จะน้อยหรือใหญ่ ไม่ว่าจะ เป็นคุณภาพชีวติ ความเหลื่อมล้ำทางสงั คม,สภาพแวดลอ้ มท่ีเส่อื มโทรม, ปัญหาขยะพลาสตกิ , โรครา้ ยแปลก ใหม่ ปญั หาอาชญากรรม, ปัญหาทุจริตคอรร์ ปั ช่นั ปญั หาด้านการเมือง,หรอื แม้แตม่ ติ รภาพของผูค้ นทีจ่ ืดชดื แห้ง แลง้ เป็นต้น ปญั หาเหลา่ นต้ี า่ งถูกนำมาเปน็ ประเดน็ ในการสรา้ งสรรคผ์ ลงานศิลปะโดยใชศ้ ลิ ปะเป็นเครื่องมือ เพือ่ สะท้อนสังคม ดังน้นั เราจึงมกั จะสังเกตเหน็ ไดว้ า่ “ศลิ ปะที่ได้รบั อิทธพิ ลจากสภาพความเป็นจรงิ ของสังคม ท่ีศิลปนิ ไดส้ มั ผัสดว้ ยตัวเอง ซ่ึงศิลปินไดน้ ำเอาความรู้สกึ เหล่านนั้ มานำเสนอ และถา่ ยทอดอารมณ์ความรู้สกึ โดยผ่านผลงานศิลปะในรูปแบบต่าง ๆ และสอดแทรกเน้อื หาแนวความคดิ ที่สะท้อนใหเ้ ห็นถึงสภาพ หรือเหตุ ความเปน็ จรงิ ทเี่ กดิ ขึ้นในสงั คม และปลูกจติ สำนึกเพื่อกระตุน้ เตือนให้ผคู้ นได้ตระหนักถึงคณุ ค่าของคุณธรรม ความดีงาม ความถูกตอ้ ง ซึง่ เปน็ สิ่งท่ีขาดไม่ได้ และมีความจำเป็นตอ่ สังคม” (วลิ ะสัก จนั ทลิ าด, 2562) ซงึ่ แต่ ละศลิ ปินก็มีแนวทางในการส่ือสารปญั หาออกมาในรูปแบบท่ีหลากหลายและแตกตา่ งกนั แต่เม่อื มคี วามจรงิ ท่ี ปรากฏข้นึ จากการสะท้อนน้นั ก็ย้อมมที ง้ั ผทู้ ร่ี ับความจรงิ ไดแ้ ละรบั ความจรงิ ไม่ได้ งานศลิ ปะบางอย่างท่ีมเี นอื้ หา กระทบกับใครคนหนง่ึ หรือเป็นการเรยี กร้อง การตีแผ่ สะท้อนออกมาเป็นผลงานศลิ ปะ อาจไมไ่ ด้เปน็ อิสระเสรี ในการแสดงออกต่อไป งานศิลปะบางอย่างท่ีมผี ู้คนกลุ่มหนึ่งไมย่ อมรับ ศิลปะจงึ ถูกกดทับภายใต้กฎเกณฑ์ที่มี คนสรา้ งข้ึนมา “เราทำงานศลิ ปะเหมือนลมหายใจ เราทำประจำ ทำทุกวัน ทำตลอดเวลา แต่แลว้ วันหนึง่ มีคน สัง่ ห้ามเราทำงานศลิ ปะ มันเหมือนมีคนอุดจมกู ไม่ให้เราหายใจ” (มือบอน, 2563) ศิลปะเปน็ อาวธุ ทางปญั ญาอย่างหนึง่ ทท่ี ำให้เราเห็นภาพรวมของความเปน็ จรงิ และหากนำมาใช้ให้เกิด ประโยชน์ เราจะเหน็ ได้วา่ ประโยชน์ของศลิ ปะนอกจากจะเปน็ เหมือนกระจกสะท้อนภาพออกมาให้เราได้ ตระหนักเห็นถึงปญั หาแลว้ สง่ิ ท่ีสำคัญคือมนุษย์จะยอดรับ มองเห็นปัญหาและนำไปแก้ไขปัญหาทเ่ี กิดขนึ้ ได้ ศิลปะคืออาวธุ ทางปญั ญาเป็นสิง่ ทที่ ำใหเ้ ราสามารถตระหนักคิดและมองเห็นถงึ ปัญหาท่ีเกิดขนึ้ จรงิ ได้ “ศลิ ปะมีประโยชน์และมีหลายฟงั กช์ ัน คือไม่ได้ทำได้แค่เสนอความงามเท่านน้ั แต่สามารถให้ปัญญา คน หรอื ทำให้คนรุ่นใหม่ไดม้ องเห็นปัญหาและเข้าใจสง่ิ ทเ่ี กิดขึ้นในสังคม ดังน้ันศลิ ปนิ หรือศิลปะจึงคล้ายกับ กระจกทสี่ อ่ งสะท้อนภาพของสังคม” (สาธิตา เจษฎาภทั รกุล, 2563) ปัญหาที่สะท้อนออกมามีทัง้ คนที่มองเห็น สามารถยอมรบั เปดิ ใจกับสงิ่ ท่ีสงั คมกำลังเผชิญอยู่ และตระหนกั เพอ่ื แก้ไขปญั หาเหล่าน้ันให้ดขี ้นึ และผ้ทู ี่ไม่ 23

มองเหน็ หรืออาจจะมองเหน็ อยู่ แตไ่ มไ่ ด้ใสใ่ จและให้ความสำคญั และสดุ ทา้ ยอาจมผี ู้ทไ่ี ม่ไดเ้ หน็ ด้วยและ ยอมรบั กบั ปญั หาท่สี ะท้อนออกมา ศลิ ปะท่สี ะท้อนออกมาอาจถูกวพิ ากษ์วจิ ารณ์ ถูกทำลายใหส้ น้ิ แมก้ ระทง้ั ผลงานศลิ ปะท่ีเปน็ ทรพั ย์สนิ ส่วนบุคคลกอ็ าจถกู ขโมย หรอื ถูกนำมัดใสถ่ งุ ดำไปทิ้งจากกลมุ่ คนท่ีไมย่ อมรบั ในการ แสดงออกของศลิ ปะและไมไ่ ด้มองเหน็ คุณค่า เคารพในผลงานของศิลปิน กระจกบานน้นั ทศ่ี ลิ ปินสร้างขนึ้ มา อาจไมไ่ ด้มีความหมายและใช้ไม่ได้ผลกับผู้คนบางกลมุ่ แล้วคุณมองเห็นภาพสงั คมปัจจุบันในกระจกเป็นอย่างไร ....? อ้างอิง “ศลิ ปะล้อเลยี นสงั คม” , วลิ ะสกั จันทลิ าด, (2562) วันทส่ี ืบคน้ 9 เมษายน 2564 [ออนไลน]์ เข้าถงึ ไดจ้ าก https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jfa/article/view/163578 “ศลิ ปนิ กบั ศิลปะคือกระจกสะท้อนภาพของสงั คม” – มือบอน , สาธิตา เจษฎาภัทรกุล, (2563) วนั ทส่ี ืบค้น 9 เมษายน 2564 [ออนไลน]์ เข้าถงึ ได้จาก https://www.the101.world/mue-bon-interview/ 24

ศิลปะเชอ่ื งโยงกับสงั คมอย่างไร ไกล หรือ ใกล้ตวั อรัญญา ผิวทอง ศิลปะกับสังคมนั้น อยู่คู่กันมาช้านานทุกยุคทุกสมัยทุกหนทุกแห่ง รอบตัวเรา ตั้งแต่ผนังโบสถที่ สวยงาม ไปจนถึงกำแพงงวัด หรือศิลปะแขนงอื่นๆ ที่คอยขัดเกลาจิตใจมนษุ ย์ และสร้างความจรรโลงใจให้แก่ โลกที่โหดร้ายใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้รูปวาดบันทึกเรื่องราว จารึกบุคคล ในประเทศฝั่งตะวันออกนั้น ให้ ความสำคญั กับศิลปะมากแตม่ ีหลายคนบอกว่างานศลิ ปะเข้าใจยาก เปน็ เร่อื งไกลตัว หลายคนกลวั ศิลปะ หลาย คนไม่เคยเข้าหอศิลป์ และอีกหลายคนอาจลืมไปว่าชีวิตของมนุษย์ล้วนมีความสนุ ทรียภาพทีเ่ กิดจากศิลปะเข้า มาเกีย่ วข้องเสมอ จึงทำใหส้ งั คมไทยในปัจจบุ ันมแี ต่ศิลปินทีส่ ร้างงาน แต่กลบั มคี นดหู รือเสพงานศิลปะน้อยลง ทุกที คุณชลิดา เอื้อบำรุงจิต ผู้อำนวยการหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ได้กล่าวว่าศิลปะในประเทศเรา นั้นถูกผลักออกไปอยู่ข้างๆเสมอ เหมือนถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ฟุ่มเฟือยของชีวิต แต่จริงๆแล้ว ศิลปะเป็นสิ่งทีเ่ ป็น พ้นื ฐานของทุกอย่าง ไม่จำเป็นท่ีจะต้องมาแยกมองว่าจำเป็นหรือไม่ เพราะจำเปน็ อยู่แล้ว และก็สามารถอยู่กับ ทกุ คนได้ ไม่จำเปน็ ตอ้ งมองว่าตวั เองเปน็ คนติสท์ (artist) หรือว่าเดก็ ศิลป์หรือเปลา่ แตจ่ ะทำยังไงให้พ้ืนท่ีของ ศิลปะเป็นพื้นที่ทีม่ ีความสำคญั “ ถ้ามองในมุมของ หน่วยงานภาครัฐก็จะต้องรบั ใช้ยทุ ธศาสตร์ชาติ 20 ปี แต่ ในยทุ ธศาสตร์ชาติ 20 ปี ศลิ ปวฒั นธรรมแทบจะไมม่ ีท่ีอยเู่ ลย การเชื่อมโยงจึงเปน็ เรอื่ งทย่ี าก เพราะ บางทีสิ่งที่ ไม่ไดอ้ ยูใ่ นนโยบายกจ็ ะยากท่จี ะขับเคล่ือน จากเหตุการณ์ความไม่ชัดเจนบีบรัดด้วยข้อจำกัดเวลา และเส้นตายขีดไว้ที่เดือนสิงหาคม 2564 ท่ีกรุงเทพมหานคร ต้องตัดสินใจว่า จะให้มูลนิธิหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร บริหารจัดการ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร หรือ หอศิลป์กรุงเทพฯ ต่อหรือไม่ ทำให้หลายคนที่ติดตามข่าวเร่ิม วิตกกังวล ถึงอนาคตชีพจรของหอศิลป์ใจกลางเมืองแห่งนี้ว่าจะเดินต่อ หรือถอยหลัง หรือจะเปลี่ยนถ่ายไปสู่ พื้นที่ศิลปะในรูปแบบใดตอ่ จากนี้ไป ทั้งนี้อนาคตของ หอศิลป์กรุงเทพฯ ไม่ได้มีความสำคัญแค่ว่าใครจะเข้ามา นั่งแท่นบริหาร แต่อนาคตของ หอศิลป์กรุงเทพฯ ยังเป็นคำตอบสำคัญของการจัดการพื้นที่ศิลปะในเมืองไทย รวมท้งั ยงั เปน็ บทพิสจู นว์ ่า ศิลปะนั้นยืนยาวกวา่ ชีวิตดังวลีคลาสสิกจริงหรือไม่ (ลักขณา คุณาวิชยานนท์.2564) และเหตุการณ์ในครั้งนี้อาจกำลังตอกย้ำว่าการทำให้คนสามารถเข้าถึง เชื่อมโยง และบูรณาการศิลปะเข้ากับ ศาสตร์อื่น ๆ หรือการทำใหค้ นเข้าใจและเห็นคุณค่าของศิลปะ อาจเป็นส่ิงสำคัญท่ีสุดในการสรา้ งอนาคต และ ต่อลมหายใจให้กับวงการศิลปะไทยให้คงอยู่ต่อไป การสร้างคนดูงานศิลปะ จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ควรทำให้เกิดขึ้น ซึ่งหอศิลป์เป็นพื้นทีป่ ลอดภัยในทางสุนทรียภาพ ของคนในสังคม หมายความว่าการมชี ีวิตอยู่ในประเทศ หรือ เมืองเมืองหนึ่ง มีหลายมิติ เช่นมิติในการดำรงอยู่ได้ในเชิงเหตุผลและเหตุผล อีกอย่างหนึ่งคือเหตุผลทาง ศลี ธรรมและอันที่สาม เป็นเหตผุ ลทีส่ ำคัญกับการมีชวี ติ ของมนุษย์ คือเหตุผลในเชงิ สุนทรียศาสตร์ สุนทรียภาพ ซึ่งไม่ใช่เหตุผลในเรื่องของผิดหรือถูกแต่มันเป็นเรื่องของรถสนิยม เป็นเหตุผลว่าเราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร 25

พ้ืนท่ีแบบนเี้ ป็นพน้ื ท่ีที่ไม่ได้ถูกใช้บ่อยในเมืองของเรา ประเทศของเรานัก หอศลิ ปเ์ ป็นพนื้ ท่ีที่ปลอดภัยในไม่ก่ีที่ ที่ทกุ คนมสี ทิ ธิ์ทจ่ี ะเขา้ มาดูงาน สื่อสาร แลกเปลย่ี นความคดิ ปัญหาหลัก ที่ทำให้คนในสงั คมมองวา่ ศลิ ปะเปน็ เร่อื งไกลตวั อาจเป็นเพราะเขา้ ใจแค่ว่า ศลิ ปะคือการ แสดงออกซ่งึ ความคิด ความร้สู กึ ของคนทำ และเป็นความสวยงาม แตส่ ง่ิ ทีเ่ พม่ิ ขนึ้ มาทีห่ ลายคนอาจจะมองข้าม คือส่วนที่สามส่วนตัวมองว่าศิลปะเป็นสิ่งที่เชื่อม การเป็นสื่อเชื่อมความเข้าใจ ระหว่างกัน ทั้งในระดับสังคม ระดับเพื่อนบ้านหรือไม่ก็ทั้งในระดับประเทศ ศิลปะนั้นมีความสำคัญในตัวของมันอยู่แล้วแต่ แต่ความรู้ความ เข้าใจเหล่านี้มันยังไม่ส่งถึง ยังไปไม่ถึงคนทั่วๆไป คนทั่วไปยังเข้าใจอยู่ว่า คนที่ทำงานศิลปะหรือชมงานศิลปะ เป็นคนที่มีความติสท์ซึ่งมองว่ามันไม่ควรจะมองแบบนี้จะต้องเข้าใจว่าศิลปะเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถคิดได้ สรา้ งสรรคไ์ ด้ ทำได้เหมือนกันไมใ่ ช่แค่ตวั ศลิ ปนิ สงิ่ ทจ่ี ะต้องทำก็คือ จะต้องทำให้ทุกคนรับรแู้ ละเข้าใจว่าศิลปะ เป็นเรื่องของทุกคน ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ทุกคนสามารถเป็นได้ทั้งสามบทบาทคือ การเป็นศิลปินผู้ สร้างสรรคง์ าน บทบาทท่เี ป็นผู้ชมผลงานรบั รผู้ ลงาน และผูอ้ ำนวยกระบวนการระหวา่ งตรงกลาง ศิลปะควรถูก มองวา่ เป็นสงิ่ ที่เขา้ ถงึ ได้จับต้องได้ สิ่งที่เป็นปัญหาอีกคือ อาจเป็นเพราะการเรียนการศึกษาของเราด้วย ตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยม เรา สอนศลิ ปะใหเ้ ด็กวาดรปู เต้น นาฏศิลปไ์ ทย หรอื ต่าง ๆ นานา แตเ่ ราไมเ่ คยสอนใหเ้ ด็กเน้น art appreciation เราเลย ไม่สามารถเชื่อมโยงศิลปะเข้ากับวิชาอืน่ ๆ ได้ พอพื้นฐานเราเป็นแบบนี้ หอศิลป์จึงเปน็ ตัวกลางสำคัญ ที่ทำให้คนทั่วไปเห็นว่ามีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับอย่างอื่นด้วย เพื่อให้คนที่มองเห็นสามารถได้ใช้สมองทั้งสอง ดา้ น หอศลิ ป์ก็เปรียบได้กับหอ้ งสมดุ แหง่ ประสบการณ์ ทไี่ มไ่ ดเ้ กดิ จากการอ่านเพยี งอย่างเดยี ว แต่อย่างไรก็ตามคนที่ใกล้ชิดกับเยาวชน ที่จะเป็นอนาคตของชาติ ที่จะเติบโตไปพัฒนาประเทศชาติ ต่อไป ก็คือตวั ของครูศิลปะเอง ฉะน้ัน ครูจะตอ้ งทำใหก้ ารสอนศลิ ปะ หรือตวั ศลิ ปะเป็นส่ิงที่ถกู บอกเลา่ ส่ือสาร ให้กับ สังคมให้เห็นว่า ศลิ ปะเป็นเร่ืองใกล้ตัว มนั ไมใ่ ชเ่ รื่องของศลิ ปินหรือ ไม่ใช่แค่เรอื่ งของคนรักศลิ ปะ เท่าน้ัน มันเป็นเรื่องของทุกคน และบทบาทหน้าที่ระหว่างผู้เสพผู้ทำหรือผู้อำนวยการระหว่างตรงกลาง สิ่งเหล่าน้ี สามารถสลับหน้าที่กันได้หมด เมื่อไหร่ก็ได้ ภาพจากต่างประเทศที่มองเข้ามาจริง ๆ แล้วศิลปะเป็นเหมือนกับ ภูมิทัศน์ทางสังคม เปน็ ภาพที่ทำให้ขา้ งนอกไดม้ องเหน็ ว่า ปจั จบุ นั นห้ี รือ ณ วันน้ี สงั คมของเราพูดถึงเรื่องอะไร และสิ่งท่สี ำคญั คือเปน็ สิ่งทเ่ี ช่ือมโยงต่อระหว่างคน ในสังคม คนในประเทศและระหวา่ งประเทศ อา้ งอิง bacc channel. (8 ธันวาคม 2563). TALK: เสวนา “หวงั /สิน้ หวังของพื้นท่ีศลิ ปะในประเทศไทย\" (2020). [Video file]. สืบคน้ จาก https://www.youtube.com/watch?v=AEwSIEJKHXA. ลกั ขณา คุณาวิชยานนท์. 2564 .ศลิ ปะ (อาจไม่) ยนื ยาว เช็คชพี จร หอศลิ ป์กรุงเทพฯ กับปญั หาพืน้ ท่ีศลิ ปะใน เมืองไทย. สืบค้นจาก : https://www.sarakadeelite.com/arts_and_culture/save-bacc/. 26

สารทส่ี ่งไปไมถ่ ึงเปรยี บไดเ้ หมือนกบั อัตลกั ษณท์ ่ยี ังไม่ไดแ้ สดงออก เสาวภาคย์ เพ็ชรหงษ์ บนโลกนที้ มี่ ีผ้คู นมากมาย คนเราล้วนมีความความแตกตา่ งและหลากหลาย ทงั้ ด้านรูปลักษณ์ ลกั ษณะ อุปนิสยั รวมถงึ แหล่งทเ่ี ราอยู่อาศัยและเติบโตมา ซ่ึงเราเรยี กมนั วา่ สังคม มันคอื การอยู่รวมกันของมนษุ ย์โดยมี ลกั ษณะความสมั พนั ธ์ซง่ึ กนั และกนั หลายรูปแบบ ซ่งึ ปฏิเสธไมไ่ ด้ว่าสงั คมคือส่วนหนง่ึ ทีห่ ล่อหลอมให้มนษุ ณ์ เป็นไปในรูปแบบใด โดยเฉพาะในดา้ นพฤติกรรมและค่านิยม แลว้ เหตุใดมนุษย์จึงต้องตอบสนองตอ่ คา่ นยิ มใน สังคมนัน้ ด้วย อาจจะเพราะมนุษย์ต้องการ การเปน็ ท่ยี อมรับเพราะมนั คือเงื่อนไขหน่งึ ของสงั คม การท่มี ีผูค้ น มากมายหลากหลายท้งั เหมอื นหรือแตกต่างกนั สงั คมคมจงึ เป็นแนวทางปฏิบัตใิ หม้ นุษย์ต้องอาศยั อยู่ร่วมกนั โดยไม่แปลกแยก น่ีจงึ เปน็ เหตผุ ลว่าทำไมเราถึงตอ้ งการการยอมรบั และกลัวท่ีจะแตกต่างจากผ้คู นสว่ นมากใน สังคม แตก่ ป็ ฏิเสธไม่ไดว้ ่ายังมีผู้คนอีกจำนวนหนงึ่ ท่ีเลอื กอาศัยอยู่ในสงั คมโดยเดนิ บนเสน้ ทางของความ แตกต่าง ซึ่งความแตกต่างท่ีว่านนั้ คอื การแสดงอตั ลักษณ์ความเป็นตัวตนของตนเองออกมาถึงความหลากหลาย ของมนุษย์ แต่ความหลากหลายนนั้ กบั โดนสงั คมหล่อหลอมให้จำเป็นต้องทำหน้าท่หี รือรับบทบาทตา่ ง ๆ ในส่ิง ท่คี นในสงั คมสมมติขึ้นมา หากกลา่ วในทางที่ดแี นน่ อนว่ามันชว่ ยจดั ระเบียบใหค้ นในสังคมมีความสงบเรียบร้อย เดินไปในทิศทางเดยี วกันในการอยรู่ ่วมกนั แต่ถา้ เป็นในด้านของจิตใจ สำหรับคนทีย่ อมรับมันได้แนน่ อนว่าน่ัน ไม่ใชป่ ัญหา แต่คนท่ปี ฏบิ ตั ติ นตามกรอบของสังคมแล้วแต่ยังรสู้ กึ วา่ เหตุใดจติ ใจความรู้สึกในการเปน็ ตวั ของ ตวั เองในการทจ่ี ะแสดงอัตลักษณข์ องตนเองออกมากลบั ตอ้ งโดนกดทับตามไปด้วย การแสดงออกจึงเป็นสิ่ง สำคญั ในการเรยี กรอ้ งส่ิงเหลา่ น้ี เมอื่ เรานึกถึงการแสดงออกหรอื การเรียกร้องในเชงิ สญั ลกั ษณ์ คำว่า “ศลิ ปะ” คอื คำทต่ี อบโจทยไ์ ดด้ ีทีส่ ุด เพราะการสง่ เสียงไมใ่ ชท่ างทด่ี ีท่ีสุดเสมอไปในการสง่ สาร เสียงของคนเราเพยี งลำพัง มันไม่สามารถดังพอท่ที ำใหผ้ ้คู นได้ยนิ และจดจำมนั ไดน้ าน การรบั รู้ของผคู้ นในสงั คม จงึ จำเป็นตอ้ งมีเคร่ืองมือ มอื ในการส่งเสยี งหรือสารน้นั ออกไปให้ผูค้ นในสงั คมไดร้ ับรู้ แตใ่ ชว่ า่ ศิลปะจะเปน็ เครื่องมือทีม่ ีประสิทธภิ าพและ ไดผ้ ลมากเพยี งพอ หากผคู้ นในสังคมยังไม่รจู้ กั และไม่คดิ ทีจ่ ะเรยี นรเู้ คร่ืองมือนใี้ ห้ดีพอว่าศลิ ปะมีหน้าท่อี ยา่ งไร ไมร่ ูว้ ่าศลิ ปะคอื อะไร และมีประโยชน์อย่างไร สารท่ีอยู่บนงานศลิ ปะก็ย่อมไร้คา่ และไร้ความหมาย ในทาง กลับกนั คุณค่าของมนั กลับไปอย่ทู ่เี ปลือกนอกหรือรปู ลกั ษณข์ องงานศิลปะแทน ซ่ึงไม่ผิดที่จะคิดหรือให้คา่ มนั แบบน้ัน แตต่ ิดทวี่ ่าแล้ววิชาศิลปะใหอ้ ะไรกบั คนในสังคมไปบา้ ง สิ่งท่ไี ดเ้ รียนรูใ้ นการเรยี นวชิ าศลิ ปะคอื ต้องวาด ภาพให้สวยเพียงอยา่ งเดยี วหรอื ไม่ หากจะวาดภาพเพื่อสอื่ ความหมายเพ่ือเรยี กร้องการแสดงออกในความ หลากหลายของมนษุ ย์ให้เกิดการยอมรับและเท่าเทียมแต่มันดนั ไปขดั กับค่านิยมของสงั คม เราจะยงั เรียกมนั ว่า เปน็ ศิลปะได้หรือไม่ ซง่ึ ขา้ พเจ้าเชื่อว่าหลายคนอาจมีคำตอบอยูใ่ นใจเปน็ ของตัวเองแลว้ 27

ดงั น้ันคนทเี่ ปน็ ครศู ลิ ปะควรส่งสารหรือแสดงอตั ลกั ษณ์ของความเปน็ ครูศลิ ปะที่ควรจะเป็นนนั้ ใหถ้ งึ ผู้เรยี นหรือผ้คู นในสงั คม คอื การทำให้คนในสังคมได้รู้จกั ได้เรยี นรแู้ ละตระหนักถงึ คุณค่าจรงิ ๆ ของคำวา่ ศิลปะ เพ่อื ให้มันเป็นเคร่ืองมือท่ีมคี ุณคา่ และมปี ระสิทธิภาพในการเรียกร้องหรือส่งเสรมิ ให้สังคมดขี ้นึ สังคมท่ีวา่ นค้ี ือ ผู้คน ทย่ี งั ต้องการการยอมรับในความแตกต่างและต้องการมชี ีวติ ทดี่ ขี ้ึน ถึงแม้วา่ สารทว่ี า่ จะเปน็ งานศิลปะ ประเภทจติ กรรม หรือภาพวาดทม่ี ันอาจจะไม่มเี สียง แตผ่ ู้คนสามารถไดย้ ินและรบั รู้ได้ หากครูศลิ ปะได้ทำ หนา้ ท่ีในการสอนใหผ้ ูค้ นได้เรียนรู้และเขา้ ใจในความหมายของคำวา่ ศิลปะทแ่ี ท้จรงิ แล้วผ้คู นจะไมร่ ้สู ึกถึงคำว่า ศลิ ปะเปน็ เรื่องท่ีไรส้ าระหรือไมจ่ ำเป็น กลบั กนั มนั จะเปน็ คำท่รี สู้ ึกว่าวิเศษมากสำหรบั คนที่รกั และศรทั ธาใน ศิลปะ 28

29

ความเปน็ ตัวตนกบั ศลิ ปะในโรงเรียน พนดิ า ภูท่ อง ศิลปะนบั วา่ เป็นศาสตร์ที่มีประวัตศิ าสตร์ยาวนาน ต้งั แต่มีมนษุ ย์เกิดข้นึ ในอดตี จนถึงปจั จุบัน มี เรื่องราวศลิ ปะหรือสิง่ ตา่ ง ๆ เกิดขนึ้ มากมาย ดังนั้นจึงมศี ลิ ปะแตกแขนงมากมายหลายสาขา เมอื่ ศิลปะได้ถูก นำมาบรรจุให้อยู่ในหลกั สูตรการศึกษาแล้วนั่น จงึ เกดิ ปญั หาในเรื่องขอบเขตของเนื้อหา การศกึ ษาไทยจงึ นำเอา ทฤษฎีพหุศิลปศกึ ษาเชงิ แบบแผนมาปรบั ใชใ้ นหลกั สูตรรายวิชาศิลปะ ได้แก่ ประวตั ศิ าสตร์ศลิ ป์ (Art History) สุนทรยี ศาสตร์ (Aesthetics) ศิลปวจิ ารณ์ (Art critisism) และศลิ ปะสร้างสรรค์ (Art Production) โดย จุดมุง่ หมายคือมุ่งเนน้ การสร้างความสมดลุ ในการรับรู้ ความคดิ สรา้ งสรรค์ และสนุ ทรยี ศาสตร์ เน้ือหาท้งั 4 แกนนี้มีปจั จัยทเ่ี กย่ี วข้องเชน่ คา่ นยิ ม สังคม ระบบการศกึ ษา เปน็ ต้น และเมื่อใดก็ตามที่ปจั จัยเหลา่ นีเ้ ข้ามามี อิทธพิ ลเหนือการรบั รู้ ความสรา้ งสรรค์ และสุนทรียศาสตร์ หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง กจ็ ะขาดความสมดุลทาง ศิลปะ โดยเริม่ ต้งั แตร่ ะบบการศึกษาท่เี ข้ามามีบทบาทสำคญั ในดา้ นเนือ้ หารายวิชาศลิ ปะ ถึงแม้จะนำเอา ทฤษฎีพหุศลิ ปศึกษาเชงิ แบบแผนมาปรับใชก้ บั หลกั สูตรแกนกลาง หลักสูตรนนั้ มเี น้ือหาท่ีมากเกนิ พอดี เม่ือ สถานศกึ ษานำมาปรบั ใช้ บวกกบั จำนวนชัว่ โมงเรียนศลิ ปะท่ีนอ้ ยเกินไปเมื่อเทียบกับเนือ้ หาทม่ี ี สง่ ผลใหเ้ ปน็ ภาระทง้ั ต่อตัวผู้สอนและผ้เู รียน ผ้สู อนรบั บทหนักในการสอนแต่ละคร้ัง และผูเ้ รียนเกิดการเรียนรู้ไดไ้ ม่ตรงตาม จดุ มงุ่ หมายท่ตี ั้งไว้ เน่ืองจากเนื้อหาเยอะเกินกว่าที่ผู้เรียนจะสามารถเรียนรู้ได้ภายในชวั่ โมงเรยี น แม้การปรับกิจกรรมการเรยี นเรียนรู้ใหเ้ หมาะสมกับเวลา และเหมาะสมกบั ผเู้ รียนน้นั จะเปน็ หน้าทข่ี อง ผู้สอนแลว้ แตห่ ากหลกั สตู รมีการตัดเนอ้ื หาศลิ ปะบางส่วนออกไป หรือลดความซำ้ ซ้อนของเนอ้ื หาในแตล่ ะ ระดับชั้นลง หรือแม้แต่สถานศึกษาเองก็ควรจะเพม่ิ จำนวนช่ัวโมงเรียนศิลปะต่อสัปดาห์ เพ่อื ชว่ ยใหผ้ ู้สอนมีเวลา ทมุ่ เทกับการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนในแต่ละครั้งมากยิง่ ข้นึ เนอื่ งจากศิลปะจำเป็นต้องจดั กิจกรรมท่ีให้ ผ้เู รยี นสร้างสรรคผ์ ลงานและเกิดความสุนทรีไปกบั การเรยี นศลิ ปะ นอกจากระบบการศึกษาท่ีเป็นปัจจัยทีส่ ง่ ผลต่อเนื้อหาที่กล่าวไว้ข้างตน้ แลว้ ยงั มีในด้านสงั คมที่มี มมุ มองความคิด หรือค่านยิ มทวี่ ่าศลิ ปะนั้นประยกุ ต์ใชใ้ นชวี ิตจริงไดย้ าก อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่จะนกึ ถึงการ ประกอบอาชีพท่ีมีความเกี่ยวขอ้ งกบั ศิลปะโดยตรงเช่น นกั ออกแบบ สถาปนิก จติ รกร เป็นต้น แต่ในความเป็น จริงเราทกุ คนกส็ ามารถเปน็ ผู้สร้างและเปน็ ผูช้ มงานศลิ ปะได้ เชน่ การเลอื กสสี ิ่งของ การปลกู ตน้ ไม้ หรือแม้แต่ การทำอาหารที่มีการจัดตกแต่งจาน เป็นตน้ ดังนนั้ สิง่ ทค่ี วรเพิม่ เตมิ หรือสอดแทรกเข้าไปดา้ นเน้ือหา โดย ผูส้ อนต้องปลกู ฝังใหผ้ ูเ้ รยี นเกิดการเรยี นรู้ เช่อื มโยง และเห็นคุณคา่ ของการนำศิลปะไปประยุกตใ์ ช้ใน ชวี ิตประจำวนั กจิ กรรมหรือส่ิงใดทท่ี ำใหผ้ ูค้ นเกิดสุนทรียะภาพ ถือวา่ เป็นศลิ ปะทง้ั สิ้น เพราะศิลปะนั้นอยู่ รอบตัวเรา 30

อา้ งอิง ณัฐนันท์ อนิ สง. (2562). พหุศลิ ปศกึ ษากับการศึกษาปฐมวัย. สบื คน้ เมอ่ื 9 เม.ย. 2564 จาก https://www.gotoknow.org/posts/658592 วิกพี เี ดีย สารานุกรมเสร.ี (2561). ศลิ ปะ. สืบค้นเม่ือ 9 เม.ย. 2564 จาก https://th.wikipedia.org 31

วชิ าศิลปะกับการถกู ละเลย ธรี จ์ ฑุ า คิดฉลาด ศิลปะ ความธรรมดาที่แสนจะพเิ ศษรอบตัวเรา ศิลปะแฝงตัวและรายล้อมอยรู่ อบๆตัวเรา ทุกทท่ี เี่ ราไป ทุกที่ท่ีเราจร ลว้ นมศี ิลปะท้ังสนิ้ เราเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับศิลปะในโรงเรียนบา้ ง เราวาดรปู อยา่ งเดยี วอย่างนั้น หรือ ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 ระบุ ความสำคญั ของหลกั สตู รไว้อยาง ชดั เจนวา่ กลุม่ สาระการเรียนรู้ศิลปะเป็นกลุ่มสาระที่ช่วยพัฒนาใหผ้ ้เู รยี นมี ความคิดสรางสรรคมีจนิ ตนาการทาง ศลิ ปะ ชืน่ ชมความงาม มสี นุ ทรยี ภาพ ความมคี ุณคา่ ซึ่งมผี ลตอ่ คุณภาพ ชีวิตมนุษย์ อันเป็นพนื้ ฐานใน การศึกษาต่อหรอื ประกอบอาชีพได้ โดยกำหนดเปน็ มาตรฐานท่ี ศ.1.1 และ ศ.1.2 อนั เปน็ ทศิ ทางที่จะนําไปสู่ เปา้ หมายของ หลกั สตู รที่จะทำใหผเู้ รียนสรา้ งสรรค์งานทัศนศลิ ป์ตามจนิ ตนาการ และความคดิ สร้างสรรค์ วเิ คราะห์ วิพากษ์ วจิ ารณคุณคา่ งานทัศนศลิ ป์ ถา่ ยทอดความรสู้ ึก ความคิดตองานศิลปะอยา่ งอิสระ ชื่นชม และประยุกตใ์ ช้ใน ชวี ติ ประจำวัน เข้าใจความสัมพันธร์ ะหว่างทศั นศลิ ป์ ประวัติศาสตร์ และวฒั นธรรม เห็นคุณ คางานทัศนศลิ ป์ที่ เปน็ มรดกทางวฒั นธรรม ภมู ปิ ัญญาทองถนิ่ ภมู ปิ ญั ญาไทยและสากล (กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2551) จากข้อความข้างตน้ การเรียนศลิ ปะน้นั ดูจะมเี นื้อหาใจความและสิ่งตา่ งๆใหเ้ ราได้เรียนรู้อยูม่ ากมาย หากแตใ่ นความเปน็ จริงนั้นเราได้เรียนรู้สิ่งเหล่าน้นั จรงิ ๆ หรือ โดยส่วนตัวแลว้ สำหรับปญั หาในการเรียนวชิ า ศลิ ปะในปัจจบุ ันนัน้ มปี ัญหาอย่คู ่อนขา้ งมาก สาเหตหุ ลักๆน้ันมาจากค่านยิ มของผูค้ นในสงั คมทวี่ า่ ศิลปะน้ันไม่ สำคญั และย่งั ยืนเท่ากับการลงทุนกบั วิทยาศาสตรห์ รือคณติ ศาสตร์ ค่านยิ มดงั กล่าวน้ันสง่ ผลต่อการเรียนศิลปะ ในหลาย ๆ ด้าน ท้ังในส่วนของเวลาสำหรบั ช่วั โมงการเรยี นในรายวิชาศิลปะทีม่ ีอยนู่ ้อยนดิ เสียจนทำให้บรหิ าร จดั การไดย้ าก ตลอดไปจนถึงปญั หาครศู ิลปะจำเป็นผซู้ ่ึงไม่ได้จบศิลปะโดยตรง การเรียนศลิ ปะนัน้ เป็นส่ิงท่ถี ูกละเลยมาเป็นเวลานาน และถูกลดบทบาทลงเร่ือย ๆ เนื่องจากผู้คนไมไ่ ด้ ให้คณุ ค่ากับมันอย่างทคี่ วรจะเป็น ซ้ำรา้ ยในบางโรงเรยี นได้มกี ารลดเวลาคาบเรียนศลิ ปะหรอื ได้มีการขอคาบ เรยี นศลิ ปะเพือ่ ให้เวลากบั การทำกิจกรรมในรายวิชาอน่ื อีกด้วย ศลิ ปะสำคัญน้อยกว่าวชิ าอืน่ อย่างไรกนั ดังท่ี กลา่ วข้างตน้ ในเรื่องของชว่ั โมงในการเรียนการสอน ศลิ ปะไมใ่ ชส่ ตู รทอ่ งจำหรือเป็นเพียงแคบ่ ะหมก่ี ึ่งสำเรจ็ รูปท่ี สามารถทำเสรจ็ หรือเรยี นรู้ได้ภายในเวลาอันส้ัน การเรียนรู้ทุกอย่างเกดิ จากการทดลองและลงมือปฏบิ ตั ิ เชน่ เดยี วกบั วทิ ยาศาสตร์ การจำกัดเวลาหรอื เวลาทน่ี อ้ ยนิดน้ันไม่ได้ทำให้เกิดการเรียนรู้ท่ีแท้จรงิ ซงึ่ ส่งิ เหลา่ น้ีเอง ส่งผลกระทบต่อเนือ้ หาและการจัดการเรียนการสอนอีกด้วย เม่ือการเรยี นในหนึ่งคาบเรียนไม่เพียงพอ พวกเขา แบง่ เปน็ สองและจากสองเป็นสาม และถา้ หากวา่ ไมม่ กี ารจัดสรรเวลาท่ีดีจากครผู สู้ อนนักเรียนก็จะพลาดเนือ้ หา อีกครึ่งที่เหลือไป ปัญหาเหลา่ น้ีพบได้บ่อยครั้งจากหลาย ๆ โรงเรยี น จากการสอบถามเพื่อนและคนรจู้ กั ทุกคน จะเรยี นตามบทเรยี นในช่วงแรก ก่อนทีค่ รผู ู้สอนจะพบวา่ พวกเขาไม่มีเวลาสำหรับส่วนทเี่ หลอื ท้งั หมด บางทีอาจ 32

เป็นเพราะการจัดการท่ีไมด่ ีของครผู สู้ อน หรือจริงๆแลว้ มนั อาจเปน็ ปญั หาทหี่ ลักสูตรหรือเปลา่ ทำไมเรายังได้ เรยี นเนอ้ื หาเดิม ๆ เร่ืองเดิม ๆ ในขณะทเี่ ราเลื่อนช้ันข้ึนมาแลว้ ทำไมบทเรยี นยังคงสอนเราแต่เรอ่ื งวงจรสซี ำ้ ๆ ทงั้ ท่ีเน้ือหาไม่ได้แตกตา่ งไปจากตอนทีเ่ ราได้เรียนเม่ือปีท่ีแล้ว เพ่ือใหเ้ ราเข้าใจมันอย่างลึกซ้ึงขึ้นอยา่ งนั้นหรือ หรอื เป็นเพราะไมม่ ีอะไรทน่ี ่าสนใจมากพอให้ใส่เข้าไปในบทเรยี นได้อีกแลว้ อย่างไรก็ตามมีคำกล่าวทวี่ า่ ศิลปะคือส่งิ ท่แี สดงถงึ ความเจริญงอกงามของบ้านเมือง สอดคล้องกับที่ เฟรเดริค เจมส์ เกร๊ก ได้เขียนไวใ้ นคำนำสจู บิ ตั รการแสดง Armory show ในอเมริกาเมื่อ ค.ศ. 1913 ตอนหน่ึง กล่าวว่า “ศิลปะ คือ เคร่ืองหมายแห่งชีวติ ” ( Art is sign of life) และไมว่ ่าเราจะคน้ หาในเวบ็ ไซต์หรือหนังสอื เล่มไหนในประเทศเรากจ็ ะค้นพบวา่ ศิลปะนัน้ ถูกยกย่อง สรรเสริญเยินยอตา่ ง ๆ นานา ซึ่งขดั กบั คา่ นยิ มและ ความเป็นจริงทางสงั คมที่มองว่าศิลปะเปน็ งานของคนขเี้ กียจหรอื คนเขลาท่ีไมส่ ามารถเรียนสายวทิ ยไ์ ด้เท่านน้ั ถงึ เวลาหรือยัง ทเ่ี ราจะใหค้ วามสำคญั กับศิลปะ และใหศ้ ลิ ปะอยูใ่ นทท่ี ม่ี นั ควรจะอยู่ อ้างอิง วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยศิลปากร ปีท่ี 17 ฉบับท่ี 1 (มกราคม 2562 – มถิ ุนายน 2562) สบื คน้ เม่ือ 9 เม.ย. 2564 จาก https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/issue/view/13169 ศิลปะคืออะไร. สบื ค้นเม่อื 9 เม.ย. 2564 จาก sites.google.com/site/reuxngphessuk/silpa-khux-xari 33

ศิลปะใช้ได้จริง (หรอื ?) จุรรี ัตน์ โนราช “เรยี นศลิ ปะไปเพ่อื อะไร” หลายท่านอาจจะเคยไดย้ ินคำกล่าวดงั ข้างตน้ ซึง่ เปน็ ถอ้ ยคำท่เี ราหลายคน ตา่ งกค็ นุ้ เคย ไมว่ า่ จะมาจากเสยี งบน่ ของเหล่านักเรียนระดับมัธยมศึกษา ผู้ใหญท่ ี่ไม่ได้ให้ความสำคญั กับศิลปะ หรอื อาจจะได้ยินแว่ว ๆ จากคนแปลกหนา้ ในบางสถานท่ี แม้กระทง่ั การถกเถียงในอินเทอร์เน็ตประเดน็ เร่ือง รายวชิ าท่คี วรตัดออกจากหลักสูตรการศึกษาไทยกม็ ักจะพบว่ามีรายวิชาศิลปะเปน็ หน่งึ ในนน้ั อะไรท่ที ำให้ผู้คน ละเลยวชิ าศิลปะ อยนู่ อกสายตาและถูกมองข้ามอยู่เสมอ ถึงแมจ้ ะมีประโยค “ศลิ ปะใช้ไดจ้ รงิ ” แตจ่ ะมสี ักก่ีคน ที่เหน็ ดว้ ย หากจะมองหาถงึ สาเหตุของปัญหาดงั กลา่ วก็อาจจะตอ้ งมคี วามความเก่ยี วของกับอีกหลายประเด็นไม่ ว่าจะเป็นเร่อื งของหลักสตู ร สังคม ปรชั ญา หรอื จติ วิทยา และถ้าหากลองมองในมุมของบุคคลท่ัวไปที่ไม่ได้ สนใจเฉพาะทางในด้านศลิ ปะแล้วก็จะเจอกับคำตอบง่าย ๆ วา่ “เรียนศลิ ปะแล้วไม่ได้ใช้” หลายตอ่ หลายครัง้ ท่ี ผคู้ นพบว่าเนอื้ หาของรายวิชาศลิ ปะท่ีถกู บรรจไุ วใ้ นหนังสอื เรยี นหรอื ส่อื การสอนตา่ ง ๆ นั้นไม่ได้มีเนื้อหาท่ี เชอ่ื มโยงเข้าสชู่ ีวติ จริง จนเกดิ ขอ้ สงสัยวา่ ถา้ ไม่ไดน้ ำไปใช้แล้วเราจะเรยี นไปทำไมกนั นะ? และอีกหนึ่งข้อสงสยั ท่ี มีผลตอ่ การดำเนินชวี ติ มากท่ีสุดกค็ อื “เราจะเอาความรู้เหล่าน้ีไปใช้ตอนไหน?” เหลา่ ผปู้ กครอง นักเรยี น และพลเมอื ง เราทกุ คนตา่ งก็คาดหวงั วา่ เมอ่ื ได้เขา้ มาในอยู่ในการศกึ ษาขั้น พืน้ ฐานทีใ่ ชร้ ะยะเวลาในการเรยี นอนั แสนยาวนานมากถงึ 12 ปแี ล้วจะสามารถนำความรู้ทีไ่ ดจ้ ากการปลกู ฝงั ส่ังสม และรำ่ เรียนมาจากสถานศกึ ษาออกมาใชป้ ระโยชน์ในการดำเนินชวี ิต ไมใ่ ช่เพยี งแค่ในรายวชิ าศิลปะ เทา่ นั้นแต่ทุกรายวชิ าล้วนก็ถูกคาดหวงั ไมต่ า่ งกัน แต่แล้วการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐานกลบั ไม่สามารถตอบสนองความ คาดหวังนี้ให้กบั ผู้คนในสงั คมไดเ้ ทา่ ที่ควร เปน็ เรื่องทนี่ ่าแปลกใจที่เน้ือหาทีใ่ ช้ในการเรียนการสอนสว่ นใหญ่ไม่วา่ จะเปน็ หนังสือเรียนหรือส่ือการเรียนรตู้ า่ ง ๆ ลว้ นแลว้ แตก่ ลา่ วถงึ สง่ิ ท่ีเปน็ วชิ าการ เช่น ทฤษฎีทางศลิ ปะ หลักการจัดองคป์ ระกอบ และเนือ้ หาทางประวัติศาสตรศ์ ลิ ป์ ซึง่ มกั จะเป็นทฤษฎีทมี่ ีเพ่ือนำมาใชใ้ นการ สร้างสรรคผ์ ลงานศลิ ปะ ประวัตศิ าสตร์ หรอื การศึกษาทคี่ ่อนข้างเฉพาะทางเท่านนั้ แต่กลับไมม่ ีการนำเสนอ เนื้อหาที่เป็นการประยุกต์ใชห้ รือเก่ยี วเน่อื งกบั ชวี ติ ประจำวันของผคู้ น หากจะมกี ็เป็นเพยี งแค่ส่วนนอ้ ยเท่านัน้ ที่ สอดแทรกการนำศิลปะไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ติ ประจำวัน และเม่ือสง่ิ ทคี่ วรบรรจุเน้ือหาที่ควรนำไปใชอ้ ย่างหนังสือ และสื่อการเรียนรขู้ าดส่ิงท่จี ำเป็นทส่ี ดุ อยา่ งการประยุกต์ใช้ในชีวติ ประจำวันไป หน้าที่นจี้ ึงตกเปน็ ของครูผูส้ อน ที่จะต้องจดั การเรียนการสอนที่เน้นการนำไปประยุกต์ใชเ้ พ่ือเปน็ การแกป้ ัญหาน้ีในขณะทห่ี นงั สือเรยี นหรอื ส่ือ การเรยี นรู้ที่ควรจะเปน็ แหลง่ ความร้ขู องผเู้ รยี นและช่วยอำนวยความสะดวกแกค่ รูผสู้ อนทำไดเ้ พยี งแค่บรรจุ เน้ือหาทสี่ ามารถสบื คน้ เองได้ในอนิ เทอรเ์ น็ต การเรยี นการสอนเปน็ ไปในลักษณะนมี้ านานในความทรงจำของ ผเู้ ขยี น เม่ือหนังสือขาดสงิ่ ทสี่ ำคญั ท่สี ดุ อย่างการประยุกตใ์ ช้ไป จึงเปน็ เหตใุ หผ้ เู้ รียนขาดการนำความรเู้ ช่ือมโยง สู่การนำไปใชใ้ นชีวิตประวนั และดำเนินรูปแบบเช่นนี้มาจากรุ่นสูร่ ุน่ จนทำให้ผูค้ นที่ทัง้ ผา่ นการศกึ ษาขน้ึ พ้ืนฐาน 34

และกำลังอยูใ่ นการศึกษาข้ันพนื้ ฐานเกดิ ความรู้สกึ วา่ ไมม่ คี วามจำเป็นท่ีตอ้ งเรยี นวชิ าศลิ ปะ เพราะไมส่ ามารถ นำไปใชไ้ ด้จรงิ ถกู ต้องแลว้ หรอื ที่การศึกษาวิชาศลิ ปะจะยงั คงเปน็ เช่นนีต้ ่อไป ถงึ เวลาแล้วหรอื ยงั ท่ีควรจะตอ้ ง ปรบั ปรงุ เปลย่ี นแปลงเนอื้ หาและสาระการเรียนรู้ในรายวชิ าศิลปะที่บรรจใุ นหนงั สอื ให้มีความเชอ่ื มโยงกับชีวติ จรงิ มากย่งิ ขึ้น เนน้ การประยุกต์ใช้มากย่ิงขึ้น ลดทฤษฎีต่าง ๆ ทคี่ อ่ นข้างเฉพาะทางให้น้อยลงเพือ่ ให้เน้อื หาใน รายวิชาศลิ ปะถูกมองว่าสำคัญและสามารถนำไปใชไ้ ดจ้ ริง เชน่ การเพ่ิมเนื้อหาศลิ ปะท่ีสอดแทรกอยู่ใน ชวี ิตประจำวนั ศิลปะการแต่งกาย ศลิ ปะการตกแตง่ อาหาร เปน็ ตน้ หากในอนาคตเราสามารถปรับปรุงแก้ไขเน้ือหาการเรยี นในรายวชิ าศิลปะไดด้ ั่งทก่ี ล่าวไปข้างต้นได้ สำเร็จ รายวชิ าศลิ ปะกจ็ ะถกู มองว่าเป็นรายวชิ าทเ่ี รียนแล้วสามารถทำใหเ้ กดิ ประโยชน์ได้ นำมาใชใ้ น ชีวติ ประจำวันได้จริง จะเปน็ การนำรายวิชาศลิ ปะเขา้ ไปอยู่ในสายตาของผู้คน ถูกให้ความสำคญั ทำใหศ้ ิลปะ แทรกซึมอยูใ่ นชวี ติ ประจำวันของผูค้ น ให้ศลิ ปะไดท้ ำหน้าที่ทมี่ ากกวา่ การเป็นเพียงแคช่ ิ้นงาน ลบคำถามทวี่ ่า “เรยี นศิลปะไปเพอื่ อะไร” และตอกย้ำวาทกรรม “ศลิ ปะใช้ได้จริง” ให้เป็นประโยคที่ทกุ คนต่างเหน็ ด้วยและ ยอมรบั 35

ศลิ ปะกบั กิจกรรมการเรยี นการสอนท่ีส่งเสริมพฒั นาการของผูเ้ รียน ตามแตล่ ะช่วงวัย ปาลิตา วรรณศิริ เนอ้ื หารายวิชามกี ารเรยี นการสอนท่ีไม่เปน็ ขนั้ เปน็ ตอน จากการสอนถามผู้เรียนการเรียนการ สอนจะวนอยู่กบั ท่เี ด็กไมค่ ่อยมีกจิ กรรมเสริมความรู้ใหม่ ๆ ตามพัฒนาการของผเู้ รียนในแตล่ ะชว่ งวยั เพื่อ ส่งเสรมิ พฒั นาการดา้ นด้านรา่ งการและสมองอย่างเต็มท่ี การเรียนกรสอนในปจั จุบัน ครูผู้สอนต้องปรบั เปลย่ี น การสอนไปตามยุคเทคโนโลยีสมัยใหม่เพ่ิม เทคนิคต่าง ๆ มาใช้ในการจัดการเรียนการสอนเพ่อื สร้างผู้เรยี นแต่ ละคนใหถ้ ึงจุดหมายสงู สุดของการเรยี นรู้ รว่ มกบั การนำเปา้ หมายของหลดั สตู รการศึกษาของแต่ละสถานศึกษา มาเป็นเปา้ หมายของการเรยี นรู้ จากท่ีกลา่ วมารายวิชาศลิ ปะเป็นรายวิชาทส่ี ามารถส่งเสริมในด้านร่างกายและ สตปิ ัญญาด้านความคดิ ไดด้ ีท่ีสุด ครูผู้สอนจำเปน็ ต้องนำหลกั จิตวทิ ยาการศึกษามาปรับใชก้ ับการเรยี นการสอนด้วยเช่นกัน เพื่อชว่ ยให้ การสอนเป็นไปตามทฤษฎีการเรียนรู้ตามช่วงวยั ของ (ซิกมันด์ ฟรอยด์) พฒั นาการตามวัย แบ่งออกเป็น 5 ขน้ั คือ 1 .ขนั้ ปาก (Oral Stage) อายุ 0-8 เดอื น 2. ขนั้ ทวารหนัก (Anal Stage) อายุ 18 เดือน – 3 ปี 3. ขน้ั อวัยวะเพศ (Phallic Stage) อายุ 3-5 ปี 4. ขั้นแฝง (Latence Stage) อายุ 6-12 ปี 5. ขนั้ สนใจเพศตรงขา้ ม (Genital Stage) อายุ 12 ปีขึ้นไป พัฒนาการเปน็ การเปล่ยี นแปลงที่เกิดขึน้ ภายในตวั ของมนุษย์ ไม่ไดม้ แี คก่ ารเจรญิ เติบโตดา้ นรา่ งกาย เพยี งเท่านัน้ ยังรวมไปถึงวุฒิภาวะทเ่ี พ่มิ มากขน้ึ ตามช่วงอายแุ ละการเรยี นรรู้ ะหว่างการอย่ใู นสังคมน้นั ๆ ท่ี เกดิ ข้ึนตลอดเวลา การสรา้ งห้องเรยี นทีเ่ อื้อต่อการพัฒนาร่างกายและความร้ทู ีเ่ หมาะสม สามารถพัฒนาให้ ผู้เรยี นเกดิ การเรยี นร้ทู ตี่ ่อเน่ืองและเปน็ ข้ันตอน ไม่สร้างความซับซอ้ นด้านเน้ือหาทย่ี ากหรืองา่ ยเกนิ ไป เพือ่ สร้างแรงจูงใจให้ผ้เู รียนพร้อมทจี่ ะเรยี นรู้ การนำหลักจติ วิทยาไปประยุกตใ์ ช้ในการเรียนการสอนนน้ั สามารถช่วยได้ทง้ั ครูผู้สอนและตัวผู้เรยี น เอง การศึกษาและทำความเข้าใจในธรรมชาติของผู้เรียนแต่ละคนจึงมีความสำคญั ท่ีจะชว่ ยใหค้ รสู ามารถจดั การ เรยี นการสอนไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ ด้วยเหตุนเี้ ป็นรายวิชาศิลปะท่ีไม่ได้สร้างเกณฑ์ทางความคดิ ให้แก่ผ้เู รียน ผสู้ อนสามารถออกแบบการสอนทีม่ ีความยืดหยุ่นในหลายด้าน เพอ่ื สง่ เสรมิ ใหผ้ ู้เรียนสามารถถา่ ยทอดความคิด ไดเ้ ตม็ ท่ีตา่ งจากวิชาอนื่ ๆ ที่ต้องอยู่ในเกณฑข์ องความถูกต้องตามหนังสอื เรยี น อ้างอิง เกรยี งไกร เรอื นน้อย(2553).ธรรมชาติและพัฒนาการของผู้เรียนในแตล่ ะชว่ ง.สืบคน้ เม่ือ 10 เม.ย. 2564 จาก https://www.gotoknow.org/posts/327646 จติ วิทยาสำหรับคร.ู ทฤษฎีพฒั นาการ.สบื ค้นเมื่อ 10 เม.ย. 2564 จาก http://teacheryru.blogspot.com/p/blog-page_5.html 36

37

การเรยี นการสอนศลิ ปะ เพือ่ การเรียนรู้ทีม่ ุ่งใหผ้ เู้ รียนสามารถดำรงชวี ติ อยรู่ ่วมกบั ผู้อ่ืน ในสังคมพหุวัฒนธรรมไดอ้ ย่างมีความสขุ ภัทรพรรณ ทองแย้ม การศกึ ษาถูกยอมรับวา่ เปน็ เคร่อื งมือทีส่ ำคัญในการพฒั นามนุษย์และสงั คม เน่อื งจากการศึกษาจะชว่ ย พัฒนามนษุ ย์ใหเ้ กิดคณุ ลกั ษณะทีด่ ี เปน็ ทย่ี อมรบั ในสังคมนนั้ ๆ ทำให้มนษุ ยเ์ ปน็ กำลงั สำคญั ในการพัฒนาสังคม ต่อไป เรียกได้วา่ การศึกษามบี ทบาทสำคญั ในการพัฒนามนุษย์ให้เกดิ การเรียนรู้ สามารถนำความรูท้ ่ไี ดไ้ ปปรบั ใชใ้ นการใช้ชีวติ ใหส้ อดคล้องกบั สภาพสังคมทม่ี ีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ปจั จบุ ันเรากำลังอยู่ในยุคศตวรรษ ที่ 21 เป็นยคุ ที่มีการเปล่ียนแปลงอยา่ งรวดเรว็ ทำให้การศึกษาต้องปรบั เปลี่ยนอีกครั้ง เพ่ือให้การศึกษา สามารถพฒั นาคนใหม้ ลี ักษณะตามความเปลี่ยนแปลงทางสังคม ในบทความนีจ้ ะกล่าวถงึ การเรียนการสอน ศลิ ปะเพอื่ ตอบสนองการเปล่ียนแปลงด้านสภาพของสังคมในปัจจบุ ัน ในปัจจุบันมีกระแส มแี นวคิดที่เกย่ี วข้องกบั ความเปน็ ปัจเจกบุคคลมากข้นึ อยา่ งเหน็ ได้ชัดเจน ผู้คนกลา้ ออกมาแสดงความคดิ เหน็ กล้าแสดงจดุ ยนื ของตนเอง จนบางคร้งั เกิดอาจเกดิ ความขัดแย้งอันเนอื่ งมาจากความ แตกตา่ ง ที่แต่ละฝ่ายยงั ไม่ยอมรับและเข้าใจซ่งึ กนั และกนั การศกึ ษาควรให้ความสำคญั กับการเปล่ียนแปลงใน ดา้ นน้ี กค็ ือการเปลยี่ นแปลงสภาพสังคม การใชช้ วี ิตในสังคมอยูน่ ้ตี ้องมีทักษะการการอยู่ร่วมกันในสังพหุ วฒั นธรรม ซ่ึงจดั ว่าเป็นหนึ่งในทักษะในศตวรรษที่ 21 นัน่ คอื Cross-cultural understanding (ทักษะดา้ น ความเขา้ ใจต่างวฒั นธรรม ต่างกระบวนทัศน์) ผ้เู ขียนจงึ ขอยกแนวทางการจัดการศกึ ษาในศตวรรษท่ี 21 โดย อา้ งอิงจากรายงานของคณะกรรมาธกิ ารนานาชาติวา่ ด้วยการศกึ ษาในศตวรรษที่ 21 แห่งยเู นสโก ชื่อรายงานวา่ “Learning : The Treasure Within” ถา้ แปลเปน็ ภาษาไทยกค็ ือ “การเรียนรู้ : ขมุ ทรัพย์ในตน” ในรายงานม สาระสำคญั ไดก้ ล่าวถงึ “สเี่ สาหลกั ทางการศกึ ษา” เปน็ หลกั การในการจัดการศึกษา ประกอบไปดว้ ย 4 ขอ้ ดงั นี้ 1. การเรียนเพื่อรู้ (Learning to know) หมายถึง การศึกษามงุ่ พฒั นากระบวนการคดิ การแสวงหา ความรู้และวิธกี ารในการเรยี นรู้ เพื่อให้ผเู้ รยี นได้เรยี นรู้ พัฒนาตนเอง เพื่อจะไดน้ ำความรู้ท่ีได้ไปใชเ้ พื่อ ดำรงชีวติ 2. การเรยี นร้เู พื่อปฏิบัติได้จริง (Learning to do) หมายถึง การศกึ ษามุง่ พัฒนาทักษะ ความสามารถ ความชำนาญ สามารถปฏบิ ัติได้ จนสามารถตอ่ ยอดในการประกอบอาชีพได้อย่างเหมาะสม 3. การเรียนรูเ้ พอ่ื ท่ีจะอยู่รว่ มกัน (Learning to Live Together) หมายถึง การศึกษาม่งุ ใหผ้ เู้ รียนรจู้ ัก ใช้ชวี ติ รว่ มกันกบั ผู้อ่นื ในสังคมท่ีมคี วามหลากหลาย รจู้ กั พึ่งพาอาศยั ซ่งึ กนั และกัน เคารพกนั และกัน เข้าในใน ความแตกตา่ ง 38

4. การเรียนรู้เพ่อื ชีวิต (Learning to Be) หมายถึง การศึกษาม่งุ พัฒนา ผู้เรียนทุกดา้ นท้ังจิตใจและ รา่ งกาย สตปิ ัญญา ให้ความสำคญั กับจินตนาการและความคดิ สรา้ งสรรค์ ภาษา และวัฒนธรรม เพื่อพัฒนา ความเป็นมนุษย์ทส่ี มบรู ณ์ เข้าใจตนเองและผอู้ ืน่ เปน็ ผู้ท่ีมเี หตุผล มีทกั ษะรจู้ กั ส่ือสารกบั ผู้อื่น จากหลักในการจัดการศกึ ษาทั้ง 4 ด้านน้ี วิชาศลิ ปะสามารถมีบทบาท ทำหน้าในการพฒั นาผูเ้ รียนให้ บรรลตุ ามสีเ่ สาหลักทางการศึกษาได้ โดยการเน้นถงึ ความแตกตา่ งของผู้เรยี น ความสามารถ ความสนใจของ ผเู้ รยี นแต่ละคนมีความแตกต่างกัน พอจะมแี นวทางในการจัดการศึกษา ดงั น้ี - ไม่ควรตัดสนิ ผลงานศิลปะของผูเ้ รียน อาจจะด้วยความแตกต่างจากผลงานท่มี เี ปน็ ส่วนใหญ่ หรือการ ตดั สนิ จากความสวยงามของผลงาน แตค่ วรให้ผเู้ รยี นได้แสดงแนวคดิ แสดงทัศนะของตนผ่านผลงาน สามารถ เชอื่ มโยงเขา้ สเู่ น้ือหาทางด้านประวตั ศิ าสตรท์ างศิลปะก็ได้ เพราะต้ังแต่อดตี จนถงึ ปจั จุบนั ศิลปะก็มีความเป็น พลวัต ศิลปะที่มีการเปลย่ี นแปลงทางด้านความคิดการยอมรับเฉพาะกลุ่มแตกต่างกันไป ความเข้าใจในส่วนนี้ จะช่วยใหผ้ ูเ้ รยี นมคี วามมั่นใจกบั ตนเอง และได้เรยี นรู้ในการยอมรบั ในความคิดเห็นท่แี ตกต่างจากความคิดของ ตน - เปิดโอกาสใหผ้ เู้ รยี นได้มีสว่ นรว่ มในการกำหนดสงิ่ ทอี่ ยากเรยี นรู้ และช่วยกันออกแบบการเรยี นกบั ครผู ู้สอน เพ่ือใหส้ ิง่ ทจ่ี ะได้เรยี นเกิดจากความต้องการของผู้เรียนเอง ทำใหผ้ ู้เรยี นมีความสนใจทจี่ ะเรยี นมาก ยิ่งขนึ้ การเปิดโอกาสในการชว่ ยกนั จดั การเรียนรเู้ ช่นน้ี จะช่วยให้ผู้เรยี นไดก้ ลา้ แสดงความต้องการ ความ ประสงค์ตามทีต่ นเองสนใจ และก็ต้องยอมรบั เปิดใจกบั ความตอ้ งการของผอู้ ื่น หรือเพ่ือนร่วมช้ันดว้ ย เพอื่ ให้ เกิดการเรียนรู้ตามความสนใจและเกดิ การเรียนรูแ้ บบแลกเปลยี่ นจากเพื่อนรว่ มชน้ั - เมอื่ ผเู้ รียนมีการแสดงออกทางศิลปะที่แตกต่างกันไม่ควรนำบรรทดั ฐานเดียวกันมาใช้เพื่อแบง่ แยก ควรใชโ้ อกาสนีแ้ สดงใหเ้ หน็ เลยวา่ ทกุ คนสามารถแสดงออกตามความสนใจ ความสามารถของตนเอง และควร หาเหตุผลมาสนับสนุนให้เกดิ ความหนักแนน่ ทางความคดิ - ควรนำแนวคิด ปรัชญาตา่ ง ๆ มาสอดแทรกในการจัดการเรียนรใู้ ห้มมี ากขนึ้ กวา่ เดิมในเพยี งแคช่ ้นั ระดับชนั้ ทีส่ งู แต่ระดบั อ่นื กค็ วรให้ความสำคญั ดว้ ย ข้อดขี องปรชั ญาก็คือสามารถชว่ ยใหเ้ กดิ การแสวงหา คำตอบ การถกเถยี งอย่างมีเหตผุ ล แตข่ อ้ จำกัดก็คอื ปรัชญาเป็นเรอื่ งเกย่ี วขอ้ งกบั ความคดิ เป็นส่ิงที่อยภู่ ายใน เปน็ การยากในการเขา้ ถงึ ความเขา้ ใจ ดงั นั้นผู้สอนก็ควรหาแนวทางในการนำปรัชญา แนวคดิ ตา่ ง ๆ มาใช้ให้ เหมาะสมเพ่อื ใหเ้ ข้าถึงไดง้ ่าย ปรชั ญาทางด้านศิลปะ อย่างเชน่ สนุ ทรียศาสตร์ แนวคดิ เก่ียวกับความงาม เพื่อใหผ้ ู้เรยี นได้เรียนรเู้ กยี่ วกับมุมมองทด่ี ีข้ึนทางดา้ นความงาม สามารถนำมุมมองไปปรับใช้กับตวั เองในชีวิต เกิดความรู้สึกพอใจ และสามารถใชเ้ ป็นเครื่องมือในการแสดงทศั นะต่อความคิดในสงั คมท่ีมคี วามแตกต่าง หลากหลาย เพอื่ ลดอคติ การตีตรากับส่ิงท่ีไม่ไดต้ ้ังอยูบ่ นพ้ืนฐานกระแสสังคมท่หี ลายคนยอมรับ จะเหน็ ไดว้ ่าการจัดการเรียนรู้ขา้ งต้นจะเน้นเพ่ือใหผ้ ูเ้ รยี นได้เรยี นรจู้ ักการแสดงความคิดเห็นของตนเอง และตอ้ งรู้จกั ยอมรับในความคิดของผู้อื่นดว้ ย เพื่อใหผ้ ู้เรยี นมีคณุ ลกั ษณะสอดคลอ้ งกับการเปลยี่ นแปลงของ 39

สงั คม สามารถดำรงชีวติ อย่รู ่วมกับผู้อนื่ ท่ามกลางพหุวัฒนธรรมได้อย่างมีความสุข ผ้สู อนจงึ มสี ว่ นสำคญั อยา่ ง มากในการเลือกแนวทางการจดั การเรยี นรู้เพ่ือให้เกดิ ความประสบผลสำเร็จ อ้างอิง สุทธพิ งษ์. (2557). การเรียนรู้ขมุ ทรัพยใ์ นตน (Learning: The Treasure Within). ค้นเมอื่ 19 เมษายน 2564, จาก http://edu06550098.blogspot.com/2014/12/14-learning-treasure- within.html 40

“ทำไมเด็กต้องเรียนรศู้ ลิ ปะ” ภาสกร กลางเหลอื ง บางคนคิดวา่ ศิลปะเปน็ เรื่องของคนท่มี ีพรสวรรค์ บางคนคิดว่า เราสอนศิลปะเพ่ือชว่ ยใหเ้ ดก็ เบาสมอง แต่ทจ่ี ริงศิลปะเปน็ ผลงานอันเก่าแก่ท่ีสุดทีม่ นุษยไ์ ด้ทำมา เช่น ภาพเขียนตามผนังถำ้ และการประดิษฐ์ขวาน หม้อ เกวยี น เหลา่ น้ีเป็นศิลปะทั้งส้นิ เด็กทุกคนสรา้ งงานศิลปะได้ และชอบงานศลิ ปะ การจะพฒั นาศลิ ปะและ การสร้างสรรค์ให้เด็ก ตอ้ งเขา้ ใจว่า ศิลปะก็คอื กระบวนการท่ีสมองถอดความคดิ ออกมาเปน็ ภาพ และชิ้นงาน ตา่ ง ๆ นนั่ เอง ถ้าสมองมีอะไรอยกู่ าร “ถอด” ความคดิ ออกมากเ็ ป็นไปได้ กระบวนการพัฒนาศลิ ปะและการ สร้างสรรคข์ องเด็ก จงึ เน้นให้เด็กคิด และลงมือทำออกมา ศิลปะ เปรียบเสมอื นกระดาษทดแห่งจนิ ตนาการ การแสดงออกทางศิลปะ เปรียบเสมือนการสร้างจินตนาการเป็นรปู รา่ งภายนอก แลว้ ป้อนกลบั เข้าสู่สมอง ศลิ ปะจงึ เปรยี บเสมือนกระดาษทดแห่งจินตนาการ ทำให้สมองได้จัดการกับจินตนาการต่าง ๆ ชดั เจนย่งิ ขึน้ การทำศลิ ปะก็เหมอื นการใช้กรดาษทดคิดเลข การทำเลขบนกระดาษทดทำให้การคดิ เลขแจ่มชดั มากกวา่ การ คดิ ในใจ ศิลปะ หรือวา่ งานศิลป์น้ัน ไม่จำเป็นจะต้องเปน็ การวาดรูปอยา่ งเดียว การร้องงเพลง การเต้น การ เรียนดนตรี สงิ่ เหล่านมี้ นั กถ็ ือวา่ เป็นงานศลิ ปะเหมือนกัน บางคนก็อาจจะคดิ วา่ สิ่งที่กลา่ วมาขา้ งตน้ นัน้ มนั ก็ เปน็ กจิ กรรมท่ีทำเพ่ือความสนุกช่ัวครู่ช่ัวยามเท่านน้ั มันไม่สามารถเอามาใช้ไดจ้ ริง หรอื ว่าสามารถเอามาสร้าง รายได้ให้กบั ตัวเองได้ แต่ความเป็นจรงิ ศลิ ปะมนั สามารถท่ีจะทำเงิน สร้างกำไรให้กบั คนทสี่ รา้ งสรรคผ์ ลงาน ศิลปะไดเ้ หมือนกนั อย่างทีเ่ ราเห็นศลิ ปนิ หลาย ๆ ทา่ นที่ทำงานศลิ ปะเหล่าน้ีออกมา จนมีชื่อเสียงโดง่ ดังก้อง โลกก็มี และศิลปะเอง กเ็ ปน็ อีกหน่ึงวิชาที่เรียนกนั ต้งั แต่เล็กแต่น้อยเลยทเี ดียว บางคนเรยี นตัง้ แต่ยงั ไมเ่ ขา้ โรงเรียนดว้ ยซำ้ โดยการสอนจากคนเป็นพอ่ แมน่ น่ั เอง ซ่งึ มันกถ็ อื วา่ เป็นวิชาท่ีมปี ระโยชน์อย่างมาก ในดา้ นการ พัฒนาจติ ใจ และสงิ่ ต่าง ๆ ของเดก็ ศิลปะเด็ก เปน็ คำศัพท์ใหมท่ ่ียอมรบั กนั อยา่ งกว้างขวางในหลายทศวรรษท่ผี ่านมา และได้รับความ สนใจกันมากขน้ึ ว่า จิตใจของเดก็ ยอ่ มสะท้อนออกมาในงานศิลปะท่เี ขาทำ จดุ หมายสำคัญของ กระบวนการพัฒนาศลิ ปะและการสร้างสรรคข์ องเด็กคือ เพื่อให้เดก็ ไดใ้ ช้การเชอื่ มโยงในสมอง คดิ จินตนาการ อย่างเต็มที่ และผลโดยตรงทเ่ี ด็กไดร้ ับการพฒั นาด้านนี้ก็คือ ความรสู้ กึ พอใจมีความสขุ ได้สมั ผัสสนุ ทรีย์ของโลก ตงั้ แตย่ งั เยาว์ ศลิ ปศึกษา มคี วามสำคัญต่อการพฒั นาวงจรสมองที่ทำงานด้านอารมณข์ องเด็ก การจดั กิจกรรมการ เรยี นการสอนให้เด็กอย่างถูกตอ้ ง จะช่วยสรา้ งวงจรเซลล์สมองให้มกี ารพฒั นาความรสู้ ึกตา่ ง ๆ ของเด็กได้เป็น อย่างดี การเร่ิมเรียนศิลปศึกษาในช่วงแรก ควรเร่มิ จากการฝกึ ให้เดก็ สงั เกตธรรมชาติ และสง่ิ แวดล้อม สมองจะ จัดการประมวลสิ่งทเ่ี หน็ และรู้สึก แล้วจัดการถ่ายทอดความคดิ ออกมาในรูปแบบต่างๆสงิ่ นจ้ี ะย้อนกลับไปขดั 41

เกลาตกแต่งจิตใจของเด็ก การสง่ เสริมใหเ้ ด็กทำงานศลิ ปะเป็นสิง่ สำคญั เด็กทุกคนมกี ำลังใจเมอื่ เขารูว้ า่ ตวั เขา ได้รบั การยอมรับ และรวู้ า่ เขามีความหมาย งานศิลปะเดก็ สะท้อนตวั เดก็ เอง เสน้ หนกั หรือเบา สเี ข้มหรืออ่อน ยังไม่ใชป่ ระเดน็ ทตี่ ้องวจิ ารณ์ ควรม่งุ ไปทีจ่ ิตใจ จิตวิญญาณของเด็กเป็นสำคัญ เราจะมาดูเหตุผลกันว่าทำไม เรา จงึ ตอ้ งให้เด็กเรียนศลิ ปะ คนท่เี ปน็ พ่อแม่ หรือว่ามลี ูกหลาน จะได้พาลกู ไปเรยี นศิลปะบ้าง - ฝกึ ใหเ้ ด็กมคี วามคดิ กว้างไกล การให้เด็กเรียนศิลปะ อยา่ งเช่นการวาดภาพ ถือว่าเป็นการทำใหเ้ ด็ก ได้แสดงออก ถึงสิง่ ทอี่ ย่ใู นความคิด ไมว่ ่าจะเป็นความคิดเร่ืองอะไรก็ตาม ถ้าปล่อยใหเ้ ดก็ วาดภาพอะไรก็ได้ ตามใจชอบ โดยที่ไม่บงั คบั วา่ จะต้องอยา่ งนนั้ จะต้องเป็นแบบนี้ มนั กส็ ามารถทำใหเ้ ด็กแสดงออกมาได้อยา่ ง เตม็ ท่ี โดยทเ่ี ราไม่ต้องไปปิดกั้น เปน็ การฝึกใหเ้ ด็กมคี วามคิดสร้างสรรค์ คดิ การณไ์ กล มันจะมีประโยชน์อย่างยิ่ง เมื่อเขาโตขึ้น นิสยั เหลา่ นี้ก็จะติดตัวเด็กมาด้วยน่นั เอง - ฝกึ ใหม้ คี วามคดิ สรา้ งสรรค์ บางส่งิ บางอย่างท่ีอย่ใู นหวั ของเด็ก อาจจะเปน็ สง่ิ ที่ผู้ใหญบ่ างคนไม่ อาจจะเขา้ ใจได้ อยา่ งเชน่ รถทำไมมันถึงเปน็ ลักษณะแบบน้ี ผลส้มทำไมมนั เปน็ ลูกแบบนี้ สงิ่ ต่าง ๆ ท่ีเดก็ ได้ แสดงออกมา มันล้วนมาจากจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ของเด็กนั่นเอง และเมื่อเขาโตข้นึ มา แด็กทเ่ี รา คดิ ว่าเขาวาดภาพแปลก ๆ เหลา่ น้ัน เขาอาจจะสร้างส่งิ ท่ีย่งิ ใหญ่ให้กับโลกนี้ได้ โดยทไ่ี อเดียเหล่าน้ันมันไม่ซ้ำ ใครดว้ ย - ฝกึ ให้เป็นคนชา่ งสังเกต เมื่อเราแนะนำใหเ้ ด็กวาดภาพส่ิงของบางสงิ่ บางอย่าง โดยไปหาตน้ แบบมา ถา้ ฝกึ บ่อยๆ จนเดเกสามารถวาดภาพไดเ้ หมือน และสวยงามด้วย แสดงว่าเดก็ คนนัน้ เป็นคนทชี ่างสงั เกตแล้ว และเม่ือเขาเปน็ คนที่ชา่ งสงั เกต เวลาไปเรยี นวิชาอะไร หรือวา่ ทำงานอะไรก็ตาม นสิ ยั ช่างสังเกตกจ็ ะติดตวั ไป ดว้ ย โดยทีเ่ ราไม่ตอ้ งบอกเลย มันจะมาเองโดยอัตโนมัติ - มคี วามสุข อนั นี้ถือว่าสำคัญมาก คนท่ีสามารถหาความสขุ จากส่งิ ใกล้ตวั หรือว่าเร่ืองเลก็ น้อยได้ เขา ก็สามารถทจี่ ะอยบู่ นโลกนี้ ในสงั คมนไี้ ด้ทุกแบบ ไม่กดดัน หรือไมเ่ ครยี ดแนน่ อน เพราะเหตุนี้ เราจึงใหเ้ ด็กฝึกการเรยี นศิลปะหรอื ว่าฝึกใหท้ ำงานศลิ ปะต้ังแต่เด็ก เพราะมันสง่ ผลใน หลายดา้ นมาก และเมื่อเขาโตขน้ึ มา กใ็ หต้ ัดสนิ ใจเองวา่ จะเรยี นศึกษาต่อเพม่ิ หรอื อย่างไรกแ็ ลว้ แตเ่ ด็ก แต่ อยา่ งน้อยมนั ก็เป็นวิธีในการสรา้ งความสุขให้กับเด็กดว้ ย อา้ งอิง สำนักงานบริหารและพฒั นาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน).(2560). การจดั การเรียนร้ตู ามหลกั สตู ร Brain-Based Learning ดา้ นศลิ ปะและการสร้างสรรค.์ สบื ค้นเมื่อวนั ที่ 20 เมษายน 2564, จาก http://www.okmd.or.th/bbl/documents/338/bbl-arts-creativity ทำไมถงึ ต้องให้เด็กเรยี นศลิ ปะ ศิลปะดีกบั เดก็ อยา่ งไร.(2562).สบื คน้ เมื่อวันท่ี 20 เมษยน 2564, จาก https://wilmington-film.com 42

ศิลปะกบั Constructivism มีความสำคัญอยา่ งไรใน ศตวรรษท่ี 21 ภูรินท์ กลั ยารัตน์ “ศตวรรษท่ี 21”เป็นคำท่ีหลายคนเคยได้ยิน โดยเฉพาะคนในแวดวงการศึกษาที่มักไดย้ นิ คำนพ้ี ่วงทา้ ย คำว่า “การศึกษา” บอ่ ยคร้ัง ซ่ึงคำว่าศตวรรษท่ี 21นัน้ มาพรอ้ มกับความก้าวหน้าทางวทิ ยาศาสตร์ นวตั กรรม และ เทคโนโลยี ที่สร้างแรงสั่นสะเทอื นจนกระเพื่อมและเปลย่ี นแปลงหลายอย่างในชีวิตประจำวันของผคู้ น รวมทัง้ ยังเปล่ียนแปลง กรอบแนวคดิ ความเช่ือ ทัศนคติ ฯลฯ ซ่งึ เปน็ ผลมาจากการเข้าถึงขอ้ มูลมหาศาลได้ อยา่ งรวดเร็ว เพียงไม่กี่นาที การเปลย่ี นเหล่านี้ ทำให้ผู้คนสามารถวิเคราะห์ หรอื เรียนรู้ส่ิงรอบตวั ดว้ ยเหตผุ ล และองคค์ วามรู้ท่หี าได้เอง และน้เี องตอ่ คำวา่ “การศึกษา” จากคำว่า “การศกึ ษา” ที่พ่วงท้ายคำว่าศตวรรษที่ 21 ข้างต้นจึงเกดิ นิยามใหมว่ า่ การเรียนรู้โดยใช้ เทคโนโลยี นวตั กรรม และความก้าวหนา้ ทางวิทยาศาสตร์เข้ามามีบทบาทเกีย่ วข้องกบั การจดั การศึกษา เพอ่ื ให้ ผู้เรยี นเกิดกระบวนการคิดวิเคราะห์ มเี หตผุ ล และสามารถค้นหาหรือเขา้ ถงึ แหลง่ ข้อมลู ด้วยตนเอง หรอื กลา่ ว อย่างง่ายวา่ “เรียนร้ดู ้วยตนเอง ทสี่ อดคล้องกับการเรียนรู้ท่ีเนน้ ผเู้ รยี นเป็นสำคญั หรือเน้นผเู้ รยี นเป็นศนู ย์กลาง การเรยี นรู้ ทผ่ี เู้ รยี นจะแสวงหาความรู้ดว้ ยตนเอง รวมถงึ การเปล่ยี นแปลงบทบาทในห้องเรียนทค่ี รจู ะลด บทบาทของตนเองเปน็ ผู้ให้คำปรึกษาและผู้คอยกระตนุ้ สว่ นผ้เู รียนจะถกู เพม่ิ บทบาทให้รู้จกั การแสวงหาความรู้ ด้วยตนเองและการทจ่ี ะทำให้ผู้เรยี นเกดิ กระบวนการหรอื บรรลเุ ปา้ ประสงค์ดังกลา่ วจำต้องมสี งิ่ ท่ีส่งเสรมิ และ สนับสนนุ หน่งึ ในนั้นคือ ทฤษฎีการสอนแบบ Constructivism ซง่ึ เชอื่ วา่ การเรียนรู้ เป็นกระบวนการสรา้ ง มากกวา่ การรบั ความรู้ ดังน้นั เปา้ หมายของการจัดการเรียนการสอนจะสนับสนนุ การสร้างมากกวา่ ความ พยายามในการถ่ายทอดความรู้ ดังนนั้ กลุ่มแนวคิดคอนสตรัคตวิ ิสต์ จะมงุ่ เน้นการสร้างความรู้ใหม่อย่าง เหมาะสมของแตล่ ะบุคคล และเชื่อว่าสงิ่ แวดลอ้ มมคี วามสำคัญในการสร้างความหมายตามความเป็นจริง (Duffy and Cunningham, 1996) การสอนศลิ ปะทสี่ ามารทำใหผ้ ้เู รียนเกิดกระบวนการหรอื บรรลเุ ป้าประสงค์ ของการเรียนรูใ้ นศตวรรษท่2ี 1 ที่อาศยั ทฤษฎีการสอนแบบ constructivism เข้ามาช่วยในการจัดการเรยี นการ สอน ซ่ึงครจู ะต้องจดั กิจกรรมศลิ ปะทส่ี อดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน ไมเ่ น้นการรูปเกง่ หรือสวยงาม เท่าน้ัน แต่ต้องให้ผ้เู รยี นเกดิ ความรกั ทแ่ี สวงหาความรู้ทางด้านศิลปะด้วย เชน่ การใชก้ จิ กรรมท่ีเนน้ พฒั นา ทางดา้ นสนุ ทรยี ์โดยใชก้ ารเรียนรู้แบบ constructivism ไม่วา่ จะใหผ้ ู้เรยี นจับกลมุ่ ร่วมมือเรียนรจู้ ากปัญหาที่ครู กำหนดจะทำให้ผู้เรียนลงมือกระทำในการสรา้ งความรู้ หรือเรียกว่า Actively construct มใิ ช่ Passive receive ท่ีเปน็ การรับข้อมลู หรอื สารสนเทศ และพยายามจดจำเท่านัน้ เพ่ือทผ่ี ู้เรียนมีทักษะทางศิลปะที่ สามารถนำไปประยุกตใ์ ช้ในอนาคต ปรับปรุงพฒั นา เทคโนโลยี ตลอดจนนวัตกรรม และหาความรู้เพิ่มเตมิ ได้ ด้วยตนเอง 43


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook