Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore “ไขกุญแจห้องเรียนรวมศิลปะ Key to success of special needs children in Art classroom”

“ไขกุญแจห้องเรียนรวมศิลปะ Key to success of special needs children in Art classroom”

Published by Umaporn Wongsrikaew, 2021-05-02 18:13:56

Description: เล่มรวบรวมบทความสัมมนา
โครงการสัมมนาเชิงวิชาการทางศิลปศึกษา ภายใต้หัวข้อ “ไขกุญแจห้องเรียนรวมศิลปะ (Webinar) Key to success of special needs children in Art classroom”
โดยนักศึกษาชั้นปีที่ 4 หลักสูตรศิลปศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

Search

Read the Text Version

คำนำ การแสดงออกในสิ่งใดสิง่ หน่ึงที่กอ่ ใหเ้ กิดการสื่อสาร จากผู้หนง่ึ ถึงอีกผหู้ นึง่ เป็นกระบวนการที่สำคัญใน การดำรงชีวติ ของมนุษย์ท่อี ยู่ร่วมกนั ในสงั คม หนึ่งในนนั้ เปน็ วิธีท่ใี ช้มาตัง้ แตอ่ ดีตจนถงึ ปจั จุบนั คอื การจดบันทกึ หรือการเขียนขอ้ ความ เปน็ การใช้ภาษาท่ีข้ึนอยู่กบั บคุ คลท่ีจะสอื่ สารและบุคคลทีร่ บั สาร ท่ตี อ้ งรู้จักเข้าใจใน ภาษาท่ีใชใ้ นการเขียนสอ่ื สารคร้ังน้ันๆ การเขยี นเหล่าน้ีมปี ระโยชน์อยา่ งมากต่อศาสตร์วิชาต่าง ๆ ซึ่งหน่ึงในนน้ั คือวชิ าดา้ นศิลปะ ท่ีจะรว่ มเอาการถา่ ยทอดการสอนและการวจิ ารณ์ศลิ ปะในแง่มมุ ตา่ งๆ ท่จี ะตอ้ งอาศยั ผทู้ ีม่ ี ประสบการณ์ แนวคิด การแก้ไขปัญหา การมองหาทางออกร่วมกนั ที่จะตอ้ งเปน็ ผูท้ ี่มีประสบการณ์ ผู้ถ่ายทอด แนวคิดผา่ นงานเขียนที่ตอ้ งใชภ้ าษาทช่ี ดั เจน เหมาะสม ส่ือสารเขา้ ใจง่าย ซ่งึ เรียกอีกชื่อหนง่ึ วา่ บทความทาง วชิ าการ บทความคือการกลั่นกรองภาษาการเขียนท่เี กิดจากทัศนคติ ประสบการณ์ แนวความคดิ เหน็ ที่มีตอ่ เร่อื งนั้น ๆ สงิ่ ตา่ ง ๆ เหล่าน้ีสำคญั อยา่ งมากทจี่ ะมาประกอบกนั เขา้ ไปเป็นบทความ สว่ นบทความน้ันมหี ลาย ประเภททีส่ ามารถเขยี นข้ึนได้ ซง่ึ แต่ละประเภทของบทความนนั้ ต่างกท็ ำหนา้ ท่ใี ห้ประโยชนต์ ่อผู้อา่ นไมม่ ากก็ นอ้ ยในเรื่องนนั้ ๆ บทความมีหน้าท่ใี นการสรา้ งความคิดสร้างแรงบนั ดาลใจให้กบั ผู้อา่ น แลว้ ยงั เป็นข้อมูลที่ดีใน การเป็นแนวทางแกป้ ญั หาทเ่ี กดิ ขน้ึ และยังเปน็ แนวทางการรบั มอื กับปญั หาต่างๆ ท่ีอาจจะเกดิ ข้ึนมาในภายภาค หนา้ จากความคิดที่ของผเู้ ขยี นบทความแตล่ ะคน ผู้อา่ นจะได้ทราบถงึ มมุ มองในการมองปญั หาท่หี ลากหลาย ท้ัง การอ่านบทความยงั ส่งเสรมิ ใหเ้ กดิ นิสยั รักการอา่ นอีกด้วย ในสว่ นของเลม่ รวบรวมบทความสัมมนาน้ี นนั้ จะรวมบทความเก่ยี วกบั ศลิ ปศกึ ษาหรอื การจัดการเรยี น รใู้ นกลุ่มสาระศลิ ปะรวมไปถงึ การจัดการชั้นเรยี นรวม การเสนอแนวคิดในการจัดการเรยี นรรู้ ปู แบบใหม่ ๆ การ นาํ ปญั หาเดิมท่ีเกดิ ขนึ้ ระหวา่ งการจัดการเรยี นรู้ศิลปะมาให้แนวทางการแก้ไขหรอื การแสดงจดุ ยืนและแสดง ความเห็นที่เปน็ อยกู่ บั ความเป็นศิลปศึกษา ทง้ั ในอดตี ทเ่ี คยลองผดิ ลองถูก ปัจจบุ ันท่ี กําลังพฒั นา และอนาคตท่ี กําลังใกล้จะถงึ โดยนกั ศึกษาสาขาศิลปศึกษาช้ันปที ี่ 4 ได้รวบรวม บทความท่เี ก่ียวข้องกับศลิ ปะในดา้ นต่างๆ 5 ด้าน ได้แก่ ปัญหาดา้ นปรัชญา(Philosophical Area) ดา้ นสังคมวทิ ยา(Sociological Area) ดา้ นเนื้อหา(The Content Area) ดา้ นการศึกษาและจติ วิทยา หรือ การเรียนการสอน(The Educational- Psychological or teaching and learning Area) ด้านหลักสตู ร(The Curriculum or Program Area) เพื่อศึกษาและนําไปปรบั ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรยี นร้ทู ้งั ในสาระการเรยี นรูศ้ ิลปะหรือบูรณาการกับสาระการเรียนรู้อนื่ ๆ ใหผ้ ูเ้ รยี น เกิดการเรยี นรู้มากยิง่ ข้นึ ฝา่ ยเอกสาร

สารบญั หนา้ 1 เนื้อหา 3 - ครูเดก็ พิเศษ คือครธู รรมดาทม่ี ดี วงตาพิเศษสอนอยา่ งปกติด้วยความเข้าใจ 5 ธรรมชาตขิ องเดก็ นั้น 6 (พ.ญ.วนาพร วัฒนกูล) 7 - จากใจผปู้ กครองเดก็ พิเศษ 9 (ชลีรัตน์ เหลา่ จูม) 11 1.ดา้ นปรชั ญา (Philosophical Area) 13 14 - ความแปรผนั 16 (กรวชิ ญ์ อนั ทรินทร์) - ความรักในศิลปะที่จางหายไป 18 (สุกลั ยา เกตุธานี) 19 - ศิลปะพดู ได้? 21 (อุมาภรณ์ วงษศ์ รีแก้ว) 23 - ศิลปะของเขา ศลิ ปะของเรา (มณนี ชุ อุดมลาภ) - ศิลปะ ขับเคล่อื นชีวิตมนุษย์ (ณัฐนันฑ์ สตุ ะโคตร) - ศิลปะเกยี่ วข้องกับเราไดอ้ ยา่ งไร (วลั ลภา เทยี นทอง) - หากคณุ ตอ้ งการชัยชนะ คุณจะแพใ้ หก้ ับตัวเอง (อษั ฎาวธุ โคตรมา) 2.ดา้ นสงั คมวิทยา (Sociological Area) - ศิลปะกบั การสรา้ งสรรคส์ งั คม (กนกพร ไชยสทิ ธางกูร) - รางวลั ของศิลปะ (ชญามินทร์ เกตเุ มฆ) - ศลิ ปะ...กระจกสะท้อนความจริง (ฐิตมิ า ดวงสวุ รรณ์)

สารบญั (ตอ่ ) หนา้ 25 เน้ือหา 27 - ศิลปะเชือ่ งโยงกบั สังคมอย่างไร ไกล หรือ ใกล้ตัว 29 (อรญั ญา ผิวทอง) 30 - สารท่ีส่งไปไม่ถึงเปรยี บได้เหมือนกบั อัตลักษณ์ท่ียงั ไมไ่ ด้แสดงออก 32 (เสาวภาคย์ เพช็ รหงษ์) 34 36 3.ด้านเนอื้ หา(The Content Area) 37 - ความเปน็ ตวั ตนกับศิลปะในโรงเรยี น (พนดิ า ภู่ทอง) 38 - วิชาศิลปะกบั การถูกละเลย (ธีร์จฑุ า คดิ ฉลาด) 41 - ศิลปะใช้ไดจ้ รงิ (หรอื ?) 43 (จรุ รี ตั น์ โนราช) 45 - ศลิ ปะกับกิจกรรมการเรียนการสอนทสี่ ง่ เสริมพฒั นาการของผเู้ รียน ตามแตล่ ะช่วงวัย (ปาลิตา วรรณศริ ิ) 4.ด้านการศกึ ษาและจิตวทิ ยา หรอื การเรยี นการสอน (The Educational- Psychological or teaching and learning Area) - การเรยี นการสอนศลิ ปะ เพ่ือการเรียนรู้ทมี่ งุ่ ใหผ้ เู้ รียนสามารถดำรงชีวติ อยรู่ ่วมกับผอู้ ืน่ ในสงั คมพหุวัฒนธรรมไดอ้ ยา่ งมีความสขุ (ภัทรพรรณ ทองแย้ม) - ทำไมเด็กต้องเรียนรศู้ ิลปะ (ภาสกร กลางเหลอื ง) - ศลิ ปะกับConstructivism มคี วามสำคญั อยา่ งไรใน ศตวรรษท่ี 21 (ภูรินท์ กลั ยารตั น์) - อนาคตทางการศกึ ษาและการจดั การเรียนการสอนศิลปะในวิกฤติการแพรร่ ะบาด ของไวรสั โควดิ -19จะเป็นอย่างไรตอ่ ไป? (พลพจน์ ฉัว่ ตระกลู )

สารบญั (ตอ่ ) หนา้ 47 เน้ือหา 48 50 5.ดา้ นหลกั สูตร(The Curriculum or Program Area) 54 - การศึกษาไทยหรือใครกนั ทีท่ ำใหค้ ณุ ภาพเด็กไทยแยล่ ง 56 (พิมลพรรณ แสนนาม) - ปญั หาของหลักสูตรและการจัดห้องเรียนศลิ ปะในปัจจบุ ัน 58 (รตั นมณี คงคูณ) 59 - ศิลปะกบั วชิ าที่ถกู มองข้าม 65 (ศิริยากรณ์ ทาทอง) 66 - หลักสูตรและการจดั การเรียนการสอนศลิ ปะกับความต้องการของผูเ้ รยี น (นริศรา บุญหวา) 67 ภาคผนวก - โครงการสัมมนาวิชาการทางศลิ ปศกึ ษา “KEY to success of special needs in Art classroom : ไขกญุ แจสู่หอ้ งเรยี นรวมศิลปะ” - กำหนดการ โครงการสัมมนาวิชาการ “KEY to success of special needs in Art classroom : ไขกุญแจสูห่ อ้ งเรียนรวมศลิ ปะ” - คำกล่าวของประธานโครงการ โครงการสมั มนาวิชาการ “KEY to success of special needs in Art classroom : ไขกุญแจสู่ห้องเรียนรวมศลิ ปะ” - คำกลา่ วของประธานในพธิ ี โครงการสมั มนาวชิ าการ “KEY to success of special needs in Art classroom : ไขกญุ แจสหู่ ้องเรยี นรวมศลิ ปะ”



“ครูเดก็ พิเศษ คอื ครูธรรมดาทม่ี ีดวงตาพิเศษ สอนอย่างปกตดิ ้วยความเขา้ ใจธรรมชาติของเด็กน้นั ” พ.ญ.วนาพร วฒั นกลู (ข้อความท่ีผเู้ ขียน รวบรวมจากความปรารถนาท่จี ะให้สง่ิ น้ีปรากฏ) ในมุมมองผู้เขยี นเด็กพเิ ศษ คือ เดก็ ตามธรรมชาติ เกิดมาตามกลไกอนั เป็นปกติ หากว่ามีความตอ้ งการ การดูแลที่แตกตา่ ง อาจเพราะเดก็ พิเศษเปน็ ประชากรกลุ่มน้อย ต่างจากความคาดหวงั จากคำนยิ าม ‘เป็น ปกต’ิ ของสงั คมโดยทั่วไป และดูเหมือนว่า ความเปน็ ธรรมชาตนิ ัน้ สรา้ งความไมส่ ะดวกสบายให้ผู้คนรอบข้าง อาจไมถ่ ูกยอมรับ ไม่ไดร้ บั ความเข้าใจและไมไ่ ดร้ ับโอกาสจากคนบางกลุ่มหรือบางพื้นที่ แตน่ น้ั ย่อมไม่ใช้กับ ครู โดยเฉพาะกบั ครูของเด็กพเิ ศษ ครขู องเด็กพเิ ศษ คือ ครูธรรมดา ทมี่ คี วามรู้ความสามารถในการสอน มดี วงใจแหง่ ความเมตตาตอ่ ศษิ ย์ และมีความปรารถนาให้ศิษยเ์ รียนรู้ พฒั นาและเติบโต ทว่า ความพเิ ศษในตวั ครู คอื มี ‘ดวงตาพเิ ศษ’ ที่สามารถ มองเหน็ ส่ิงที่คนทวั่ ไปอาจมองไมเ่ หน็ คือ เหน็ ถงึ ความปรารถนาทเ่ี ด็กทุกคนต้องการ อนั ไดแ้ ก่ ความรัก ความ อบอนุ่ ความปลอดภัย การยอมรับ และความตอ้ งการการหลอ่ เลี้ยงเพื่อการเติบโต นอกจากน้ี ครยู ังสามารถ ออกแบบการเรียนรู้ท่สี อดคล้องกลมกลืนกับความเปน็ ธรรมชาตขิ องเดก็ แตล่ ะคนอย่างพอดี พองาม ดว้ ยเดก็ พเิ ศษ มีความหลากหลายในตัวเอง จากประกาศของกระทรวงศึกษาธกิ าร เรือ่ งกำหนด ประเภทและหลักเกณฑ์ของคนพิการทางการศกึ ษา พ.ศ.2552 แบ่งเด็กพิเศษออกเป็น 9 ประเภท ครจู ึงต้อง ศึกษาและทำความเข้าใจเด็กพเิ ศษแต่ละกลุม่ รู้จกั ลกั ษณะของความเปน็ พิเศษและความต้องการของเด็กแต่ละ กลุ่มน้นั เป็นพื้นฐาน อยา่ งไรก็ตาม ต้นไม้ในป่าแม้พนั ธ์ุเดียวกัน กม็ ิไดเ้ ตบิ โตได้พร้อมกันหรอื มีลกั ษณะ เหมือนกนั ทุกประการ แต่ละต้นมีการแตกกิ่ง แตกตา แตกตา่ งกนั ฉันใดก็ฉนั นน้ั เด็กพิเศษแมน้ จะจัดอยใู่ น 1

กลมุ่ เดียวกนั แต่กม็ ีความแตกตา่ งกนั ในแต่ละคน ครูจงึ มิอาจจดั การสอนแบบเหมาโหล สอนดว้ ยรูปแบบ เดียวกนั ได้หมด ครูเด็กพิเศษ ควรฝึกทกั ษะ ‘การสงั เกต’ ความเปน็ ธรรมชาตขิ องเด็กแต่ละคน สงั เกตพฤตกิ รรมการ แสดงออก สหี นา้ ท่าทาง แววตา การพดู การสือ่ สารท้ังวาจาและภาษาท่าทาง ในอริ ิยาบถตา่ ง ๆ อย่างละเอยี ด และมคี วามประณีตในการพจิ ารณาวเิ คราะห์ ความหมายของการปรากฏการณเ์ หลา่ นน้ั นอกจากน้ี ครูต้องมี ทกั ษะใน ‘การสื่อสาร’ กับผ้คู นรอบข้างของเดก็ โดยเฉพาะอย่างยง่ิ ผปู้ กครองของเดก็ พิเศษท่ีอาจมีความคิด ความกังวล ความต้องการ ความคาดหวัง ทแี่ ตกต่างจากความคาดหวังของครู การสื่อสารที่เปดิ เผยอารมณ์ ความรสู้ ึก ความต้องการ การไดบ้ อกเลา่ ถึงขอ้ ติดขดั หรืออุปสรรคในการพัฒนาเด็ก นา่ จะช่วยให้เกิดความ เข้าใจระหวา่ งผ้ปู กครองและครมู ากข้นึ และจะสง่ ผลดตี ่อการพัฒนาเดก็ ในทีส่ ดุ จากประสบการณ์ของผเู้ ขียน เมือ่ มีโอกาสจดั การอบรมศลิ ปะให้กบั เดก็ พเิ ศษกลมุ่ ออทสิ ติกและ ผ้ปู กครอง พบว่า ความแตกต่างของเด็กแต่ละคนคือความสวยงาม เดก็ พเิ ศษทกุ คนสามารถพัฒนาไดไ้ มท่ างใดก็ ทางหนงึ่ การเปิดใจ เปิดโอกาสใหเ้ ราไดไ้ ปสัมผัสความเปน็ มนุษยแ์ บบเขาอยา่ งแท้จรงิ อาจเปน็ วาระอันวิเศษ สดุ เพราะช่วยใหเ้ ราได้เห็นโอกาสแห่งการพฒั นาตัวตน และนน้ั คือ ของขวัญสุดวิเศษ ท่ีเด็กพเิ ศษได้มอบใหเ้ รา ทกุ คนค่ะ 2

จากใจผ้ปู กครองเดก็ พเิ ศษ ชลีรตั น์ เหลา่ จูม วทิ ยากรรบั เชิญ ลกู ชายคณุ แม่เปน็ ออทสิ ติกค่ะ นอ้ งธนัชชนม์ เหลา่ จูม ชอื่ เล่น ธนะ ปจั จบุ นั อายุ 17 ยา่ ง 18 ปี ได้รบั การวินจิ ฉยั ว่าเป็นออทิสตกิ เม่ืออายุ 3 ขวบครึง่ ตอนเดก็ ๆ น้องพูดไม่ได้ ไมส่ บตา ต่นื ตวั ตลอดเวลา รักใครไม่ เปน็ ไม่สนใจส่งิ แวดล้อม ทานน้อย นอนน้อย หงุดหงดิ งา่ ย อาละวาดตลอดเพราะส่ือสารไมไ่ ด้ พดู ไม่ออก บอก ไมถ่ ูกวา่ ตัวเองรู้สึกอยา่ งไร ระบบประสาทสมั ผัสทั้งหา้ รับรู้ผิดปกตไิ มเ่ หมือนคนทั่วไป (เป็นแผลเดินเลอื ดหยดใน บ้านไม่รสู้ ึกเจ็บ) ทำให้ ธนะ มีพฤติกรรมทแี่ ปลกแตกตา่ งจากคนท่วั ไป ทำใหก้ ารเล้ียงดคู ่อนข้างยาก เม่อื น้องได้รบั การช่วยเหลือด้วยการฝกึ จากโรงเรียนศูนย์การศกึ ษาพเิ ศษเขต 9 และ ฝึกกับนักแก้ไข การพดู นักกิจกรรมบำบัด และพบคณุ หมอพัฒนาการเด็ก และการฝึกอย่างต่อเนื่องจากทางครอบครัวเป็น ประจำ นอ้ งมพี ฒั นาการทดี่ ีข้ึนอยา่ งชา้ ๆ ในทุก ๆ ดา้ น คุณแม่เฝา้ สงั เกตุธนะตลอดเวลาว่าควรชว่ ยเหลอื ด้าน ไหน นอ้ งยงั บกพร่องด้านไหนอยู่ ก็จะเพ่มิ การฝกึ ในสว่ นนั้น โดยปรึกษา นักกิจกรรมบำบัดเป็นหลกั ในด้าน สมองและรา่ งกาย และกลบั มาฝกึ ต่อที่บ้านอยา่ งตอ่ เน่ือง ที่โรงเรียน ไดร้ ับความชว่ ยเหลือจากคณุ ครผู ูด้ ูแล จาก ศนู ยว์ จิ ยั ออทสิ ตกิ มข. ใหส้ ามารถเรียนร่วมในช้นั เรยี น ซงึ่ มปี ญั หาเกิดขึ้นที่โรงเรียนเรื่อย ๆ ในชว่ งอนบุ าล ประถม ก็ได้รบั การชว่ ยเหลอื จากคุณครูที่ตามเขา้ ไปชว่ ยเหลอื ในชน้ั เรยี นรวม ใหส้ ามารถเรยี นรวมกบั เพื่อน ๆ ได้ ส่วนทางบา้ นกพ็ ยายามฝกึ ให้นอ้ งใชช้ วี ติ ประจำวัน ทำกิจวัตรส่วนตัวไดเ้ อง และเสริมดา้ นตา่ ง ๆ ท่ี บกพร่อง เชน่ ไม่มีสมาธิ หนุ หันพลนั แลน่ คุณแมก่ ็พาไปวดั ทำบญุ ไปหาหลวงปูฝ่ ึกนง่ั สมาธิ ซ่ึงนอ้ งฝกึ นงั่ สมาธิ ต้งั แตป่ ี 2558 เร่มิ จากหา้ นาที น่งั กอ่ นนอนทุกคนื และเพ่ิมเวลานัง่ สมาธเิ รื่อย ๆ จนปจั จบุ นั นอ้ งนัง่ สมาธิ วนั ละ 1 ชม. ก่อนนอนทกุ คนื โดยใช้โทรศพั ท์จบั เวลา 3

นอ้ งธนะชอบพต่ี นู บอด้ีสแลม เมอ่ื ปี 2560 น้องฝนั อยากวิง่ มาราธอนเหมือนพ่ีตูน ทางครอบครัวก็ สนับสนุนทนั ที โดยมคี ุณพ่อพาวิ่ง ซ่งึ นอ้ งก็ซ้อมวิ่งทุกเยน็ หลงั เลิกเรียนและวันหยดุ และลงงานวงิ่ ต่าง ๆ ได้ถว้ ย หลายรายการ และในทสี่ ดุ นอ้ งธนะกว็ งิ่ มาราธอน 42 กม.ได้สำเรจ็ เมือ่ วันท่ี 27 มนี าคม 2564 โดยมโี ค้ชหมีกับ โค้ชโตโตเ้ ป็นบัด๊ ดพี้ าไปจนจบมาราธอน นอ้ งธนะตีกลองได้ แตเ่ รียนแบบไมร่ ู้โน๊ต โดยมคี รมู าสอนท่ีบ้านสัปดาหล์ ะคร้ัง น้องธนะ ทำขนมได้ ทำอาหารได้ มีคุณแมฝ่ ึกทำตัง้ แตน่ อ้ งอยู่ช้นั ป.4 นอ้ งธนะช่วยทำงานบา้ นได้ ซักผา้ ซกั ถุงเทา้ ตากผา้ ล้างจาน ล้างรถ รดน้ำตน้ ไม้ ให้อาหารแมว ดแู ล แมว (ความร้สู ึกรักและสงสารสตั ว์ เกดิ ขน้ึ ได้ จากทีไ่ ดเ้ ลี้ยงแมว) งานศิลปะ น้องไมไ่ ดส้ นใจและชอบตัง้ แตแ่ รก คุณแม่คิดวา่ สมาธิ ดนตรี ศิลปะ จะชว่ ยให้นอ้ งน่งิ ขึ้น สงบขึน้ จงึ ตงั้ ใจส่งเสริม โดยฝกึ นอ้ งวาดภาพตามแบบ (ให้วาดเองน้องคิดไม่ออก วาดไม่เป็น ตอ้ งวาดตามแบบ เทา่ นน้ั ) วาดตามแบบแลว้ ระบายสี วาดสวยไมส่ วยไมเ่ ป็นไร แต่คุณแม่พาทำซำ้ เรื่อย ๆ หาแบบอ่ืน ๆ จากยูทูป มาลองทำเรอื่ ย ๆ น้องก็ทำออกมาดขี น้ึ นิ่งข้นึ ตง้ั ใจขึ้น และ สงบในช่วงเวลาทท่ี ำงาน ในการท่ีอย่กู บั ธนะตลอดเวลา คณุ แม่เร่ิมเข้าใจและรู้จักลูกชายตวั เองมากข้ึน น้องธนะเหมือนฟองนำ้ ทพ่ี ร้อมจะดูดซับสงิ่ ท่ีป้อนเข้ามา ท้ังดแี ละไม่ดี พร้อมรับตลอด ซงึ่ ต้องเลือกใหท้ ำแตส่ ิง่ ท่ีดี และพยายามตดั สื่อ ทไี่ มด่ ีไมเ่ หมาะสมออก เพราะนอ้ งธนะจะจำและเอาไปใชไ้ ม่ถูกกาละเทศะ สิง่ ทีค่ ณุ แมเ่ ห็นพฒั นาการของน้องธนะ เม่ือให้โอกาสพาทำซำ้ บอ่ ย ๆ จะเกดิ ความชำนาญและทำได้ดี ขน้ึ เรอื่ ย ๆ พฒั นาขึ้นไดต้ ลอดเวลา คุณแมร่ วู้ า่ ลูกชายตวั เองไมม่ ีพรสวรรค์ใด ๆ เลย แตส่ ่งิ ที่ธนะทำได้เกดิ จากการพาทำบอ่ ย ๆ ใส่ใจ ให้ เวลา ใจเยน็ ให้โอกาส และคอยเปน็ โค้ชทดี่ ใี ห้ ให้กำลงั ใจ ชมเชย จะทำใหธ้ นะสามารถกา้ วข้ามขดี จำกดั ของ ตวั เองในหลายๆ เร่ืองได้ สำหรับความคาดหวงั ในชนั้ เรียน คณุ แม่อยากให้สอบถามพัฒนาการเดก็ พิเศษจากครู iep หรอื ครทู ีใ่ ห้ ความช่วยเหลือในชนั้ เรียน ว่าน้องทำงานได้แค่ไหน ให้งานทเ่ี หมาะกบั พฒั นาการตอนน้ัน งานไมย่ ากเกิน ความสามารถเกินไปเพราะจะเกิดความเครียดและมีปญั หาพฤติกรรมตามมา คุณครชู ว่ ยเป็นโคช้ แนะนำ และ ใหก้ ำลังใจดว้ ยการชมงานคร้งั ต่อไปอาจจะใหง้ านยากกว่างานเดิมทีละน้อย กจ็ ะเป็นโอกาสในการค่อย ๆ พฒั นาตอ่ ไปค่ะ 4

5

ความแปรผัน กรวชิ ญ์ อนั ทรินทร์ เวลาน้ศี ลิ ปะทีเ่ ราชอบมากท่ีสุดคือเสยี งเพลง เสียงดนตรีที่ฟังไดต้ ลอดเวลา ได้ฟังทีไรกร็ สู้ ึกเหมือนเปน็ การได้ผ่อนคลาย มีอารมณ์ความสดใส ความสุข สบายใจ บางทกี ็เศร้าได้ตามที่ใจต้องการ แทนทเ่ี ม่ือก่อนที่มี ความชื่นชอบในเรื่องของทัศนศลิ ป์ การวาดภาพระบายสี ท่ีไม่ร้ทู ำไมความช่นื ชอบหรือความอยากทำมนั ค่อย ๆ เลอื นลางจางหายไป จากทกี่ ่อนเคยอยากจับดินสอและสีมาวาดภาพสิ่งทีอ่ ยากวาด แต่ตอนนค้ี วามรู้สกึ น้ันแทบไม่มีอยู่เลย ถึงเราจะคิดวา่ ไมร่ ู้ทำไมถงึ เป็นแบบนี้ แตเ่ อาเขา้ จริง ๆ แล้วเราก็พอจะรสู้ าเหตุซ่งึ อาจจะเป็นเพราะวา่ เราได้มา ทำสงิ่ ท่ีเราอยากจะทำ แต่สงิ่ ท่ีทำเหมือน “ไม่ใชส่ ิ่งท่ตี ้องการ” ซ่งึ ความต้องการของเราจริง ๆ แล้วคือการวาด และทำสงิ่ ที่เราชอบเพียงเทา่ นัน้ แต่ตอนนกี้ ลายเปน็ วา่ เรานำส่ิงที่เราชอบเข้ามามบี ทบาทในชีวิตมากเกินไป มี ตวั กำหนด กฎเกณฑ์ มีคะแนน มีการแข่งขันทเ่ี พิม่ เข้ามา และมีความรู้สกึ โดนเปรยี บเทียบเรือ่ งของทักษะ โดย บางทีมนั อาจจะเกิดจากความคิดไปเองของเรา ซึ่งท่ีกลา่ วมาทง้ั หมดน้ีกถ็ กู แล้วเพ่ือที่เราจะได้มีการพัฒนาและมี ศักยภาพเพิ่มขน้ึ บนเส้นทางท่ีเราเลือก แต่ไม่เคยคิดมาก่อนวา่ สง่ิ ท่เี ราเคยชอบหรือสนใจมนั ได้หยุดไว้แลว้ ในตอนนี้ เราสามารถวาดมนั ได้แตค่ วามรสู้ ึกในขณะที่ทำนั้นไมไ่ ดร้ สู้ ึกอยากทำมันเลย และเราคิดวา่ หรือมัน อาจจะกลับมาก็ไดใ้ นตอนที่เราท้งิ มันไปนาน ๆ และอยากจะทำมนั อีกครัง้ เมื่อที่ใจตอ้ งการโดยทีไ่ ม่ต้องคำนึงถึง ความถกู ต้องหรือถูกมองวา่ จะเป็นยงั ไงในสายตาของคนอน่ื และตอนนี้อย่างทบ่ี อกว่ามีความชื่นชอบใน เสยี งเพลงซึ่งมันกเ็ ปน็ เร่ืองท่ีค่อย ๆ ซึมซับมาตัง้ แต่เด็กเชน่ กัน เราติดตามศลิ ปินนกั ร้อง ผู้แต่งสไตลเ์ พลงทเ่ี รา ชนื่ ชอบ เรยี นรู้การทำงานของเขาจนเป็นแรงบันดาลใจ เมื่อได้เป็นผ้รู บั แลว้ ก็อยากมีสักครง้ั ทีม่ ผี ลงานเปน็ ของ ตัวเอง ชว่ งท่ีผ่านมาเราจำเป็นที่ต้องทำงานด้านทศั นศิลปอ์ ีกครั้ง แตเ่ รามองไมเ่ ห็นแนวทางท่เี ราช่นื ชอบเลย ณ เวลานน้ั ไม่มอี ะไรทงั้ น้ันที่อยากจะทำ จนพอถงึ เวลาที่ต้องตดั สนิ ใจแน่ ๆ จริง ๆ แล้ว ก็พอมีเศษเสย้ี วของความ สนใจอยู่บา้ ง บวกกับวิธีหาแรงบัลดาลใจ ศึกษาแนวทางตามหาผลงานทเ่ี ราประทับใจ เหมือนกบั ทีเ่ ราสนใจ เสียงเพลงท่ีเราชอบ ทำใหเ้ ราไดม้ องเห็นส่งิ ที่คดิ ว่าน่าจะเหมาะกบั เรามากทส่ี ดุ ในตอนนี้แล้ว ซ่งึ นั่นกค็ อื ศิลปะ ลัทธิอิมเพรสช่ันนิสม์ (Impressionism) เป็นงานที่เราเห็นว่ามีชวี ติ ชวี า ดสู นกุ มคี วามสดใส สรา้ งความ ประทับใจให้กับตวั เอง กเ็ ลยอยากจะทำงานศิลปะแบบนี้ออกมาเปน็ ผลงานของตัวเองบา้ ง จะเหน็ ว่าไมว่ ่าจะทำอะไรกต็ ามเราตอ้ งมแี รงบนั ดาลใจเสมอเพอื่ ท่จี ะเปน็ แรงจงู ใจในการทำสิ่ง ๆ นน้ั ออกมาได้ เพียงแค่เราค่อย ๆ หา สงิ่ ทท่ี ำนนั้ ไมจ่ ำเปน็ ต้องเปน็ ทน่ี ยิ ม หรอื เปน็ ที่ทค่ี นสว่ นใหญย่ อมรับแต่เปน็ สง่ิ ทเ่ี ราพอใจสบายใจท่ีอยากจะทำมันออกมา และมคี วามสุขกบั มันโดยไม่ได้สร้างความเดือดรอ้ นให้กับผู้อ่ืน แตช่ ว่ งนี้ขอพักงานวาดภาพไว้กอ่ น มีอารมณส์ นุ ทรีย์เม่ือไหร่คอ่ ยกลับมาเจอกนั อีกครั้ง เราสามารถหนไี ปหา ส่งิ ใหม่ ๆ ที่เราชอบได้ตลอดเวลา แต่ก็ต้องไมท่ ้ิงหน้าทข่ี องเราในปัจจบุ ัน 6

ความรกั ในศิลปะท่ีจางหายไป สุกลั ยา เกตุธานี ในวนั ท่ีเราเรมิ่ รู้สกึ หมดใจในการทำงานศิลปะ มันไดก้ ลายเปน็ ปญั หาทก่ี ่อตัวขน้ึ มาเพื่อทำลายแรง บนั ดาลใจในการทำงานของเรา และคิดว่านีค่ งไม่ใชท่ างทีเ่ ราถนดั อีกตอ่ ไปแลว้ แตค่ วามเป็นจรงิ มันขน้ึ อยทู่ ี่เรา เลอื กเองต่างหาก วา่ จะหันหน้ากลบั มาสูต้ ่อหรือจะยอมแพ้ให้กบั จิตใจที่ออ่ นแอของตวั เอง ไม่มที างเลือกไหนที่ ผิดหรอก เพราะมนั เปน็ ชีวติ ของเรา คนเราเกิดมาก็มักจะมีทัง้ เรอื่ งท่ดี ีและไม่ดีปะปนอยู่ในชีวติ ของเราอย่เู สมอ ในบางครัง้ จิตใจของเราก็เต็มเปยี่ มไปด้วยความสุข ความม่งุ มั่นในการทำงานเปน็ อยา่ งมาก แต่บา่ งชว่ งจังหวะ ของชีวติ เราทกุ คนย่อมมโี อกาสท่ตี ้องเจอกับอุปสรรคปญั หาท่ีจะเข้าบัน่ ทอนกำลังใจและพลังกายของเราไดเ้ ปน็ เรื่องธรรมดาอยแู่ ลว้ และเมื่อปัญหาทางความรู้สึกมันได้เกิดข้ึนมาแลว้ กจ็ ะรู้สึกวา่ ทุกอย่างมนั กำลงั มาถงึ ทาง ตัน คดิ หาทางออกไม่ได้ ไม่ร้วู ่าจะทำยงั ไงต่อไปดี จะทำอะไรก็เหมือนกบั วา่ มนั ซ้ำ ๆ เดิม ๆ จมอยกู่ ับท่ี เอาแต่ คดิ วนเวียนอยู่อย่างนน้ั จนลืมคดิ ไปเลยว่า เรากำลงั ปล่อยให้เวลาทมี่ ีคุณค่ากับชวี ิตให้ลว่ งเลยไปอย่างนา่ เสยี ดาย ในบทความน้ีผู้เขียนจงึ อยากชวนใหค้ ุณลองย้อนมองจิตใจของตนและพิจารณาใหช้ ัดเจน เมอ่ื ต้อง ประสบกบั ปัญหาทางความร้สู ึกเชน่ น้ี หากตอนนีง้ านศลิ ปะท่คี ุณกำลงั ทำอยู่นน้ั มนั ย่ิงทำให้คณุ รู้สกึ หา่ งไกลกบั ความรักทีเ่ คยมีในศลิ ปะคุณก็ ลองหยดุ แลว้ มองให้ชัดก่อนเถอะว่า จติ ใจของคุณตอนนเี้ ป็นเช่นไร คณุ ยังอยากทจี่ ะทำมันอย่ไู หม ถ้าตอนนยี้ งั ไม่อยากทำกห็ ันไปทำอย่างอื่นก่อน เพราะถา้ ฝืนท่ีจะทำต่อไป มันอาจทำให้คุณหมดใจจากมันไปอยา่ งถาวรก็ได้ และถ้าหากมนั ยงั เป็นความรักของคณุ จรงิ ๆ คุณจะโหยหาเมื่อขาดมนั ไปเอง แล้ววันนนั้ คณุ จะรับรไู้ ด้อย่างเต็ม หวั ใจวา่ สง่ิ ทีค่ ณุ กำลังร้สู ึกเบื่อหน่ายอย่นู ้ัน มันจะช่วยเยียวยาจติ ใจหรอื เปน็ ตวั ทำลายความสขุ ของคุณอยู่กันแน่ คณุ ยงั นกึ ถึงความรสู้ ึกแรกท่ีคุณเริ่มทำงานศิลปะไดห้ รือไม่ จุดม่งุ หมายในการทำงานศิลปะของคุณคืออะไร คณุ ยงั จำมนั ได้อยไู่ หม เราเชื่อวา่ ตอนนนั้ ทคี่ ุณไดเ้ รม่ิ เข้ามาทำงานศิลปะ มนั เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ ความสนุก ความมุ่งมน่ั และมีพลังทจ่ี ะถ่ายทอดความคิด ความรูส้ ึก ออกมาผา่ นผลงานได้เป็นอยา่ งดี มีคนมากมายทเี่ ลือก ทางเดินของตวั เอง และมคี วามสขุ อยู่กับสิ่งทีต่ นเลือก แตเ่ มื่อเระยะเวลาผ่านไปซักพัก ความสนกุ ความมุ่งมนั่ มนั กลบั แปรผันไปเป็นความเบ่ือหนา่ ยลงในทส่ี ุด และมันมักจะทำใหเ้ ราต้องหันกลบั มาต้ังคนถามกบั ตวั เองอีก คร้ังว่าทางทเี่ ราเลอื กเดนิ มาน้ัน เราเลือกผดิ เองหรือไม่ ถ้าหากคุณกำลงั ตกอยกู่ ับภาวะความรู้สึกแบบนี้ เราอยากจะชวนให้คุณคดิ ทบทวนอีกนิด และลอง ยอ้ นกลับไปนกึ ถึงความรสู้ ึกที่เมื่อคุณไดล้ งมอื ทำมนั คุณมีความสขุ มากแคไ่ หน ลองคิดดวู า่ กวา่ จะเดนิ ทางมาอยู่ ตรงน้ไี ด้นนั้ คุณผา่ นความรู้สึกอะไรมาบ้าง ลองคิดดูสิว่าคุณเกง่ ข้ึน หรอื พัฒนาตัวเองมาไดม้ ากแค่ไหนแลว้ จาก จุดเรม่ิ ตน้ ลองหยดุ แลว้ พิจารณาความรู้สกึ ใคร่ครวญ ไตร่ตรอง อยา่ งคนท่ีมีสติ วา่ ทางเดินท่ีเราเลอื กนี้ เป็น ทางทเ่ี ราเลือกผดิ จรงิ หรอื เพียงแคม่ ีปจั จยั บางอย่างทีเ่ ข้ามาทำใหเ้ ราเหน่ือยลา้ ลงเท่านั้น 7

อา้ งอิง Ataman Thongyou. (2561). ถา้ คณุ หมดไฟมาทางน้ี นี่คือวธิ จี ุดไฟในตัวคณุ อีกครั้ง. สบื คน้ วนั ท่ี 10 เมษายน พ.ศ.2564, จาก https://www.salika.co/2018/03/13/take-the-new-inspirations/ 8

ศลิ ปะพูดได้? อมุ าภรณ์ วงษ์ศรแี ก้ว ในอดตี จนถึงปจั จบุ ัน คำว่า “ศลิ ปะ” ไดม้ ผี ใู้ หค้ วามหมายไวห้ ลากหลายรูปแบบ ในบทความนี้ผเู้ ขยี น ขอยกเอาความหมายท่วี า่ “ศิลปะ คอื ส่งิ ที่มนุษย์สร้างขึ้นเพือ่ แสดงออกซ่ึงอารมณ์ ความรสู้ กึ ปัญญา ความคิด หรือความงาม” ซึ่งตรงกบั สิง่ ที่ศิลปนิ ดงั ระดับโลกอยา่ ง ปาโบล ปกิ าโซ ไดก้ ลา่ วไว้ว่า “ฉันไมไ่ ดพ้ ดู ทกุ ๆ สง่ิ แต่ ทุกๆ ส่ิงของฉนั ไดถ้ ูกพูดผา่ นศลิ ปะ” (“I don’t say everything, but I paint everything”) ดังน้นั ผู้เขียนจึง ได้หยบิ ยกเอาประเด็นน้มี านำเสนอวา่ “ศิลปะพูดได้อยา่ งไร?” “ศลิ ปะพูดได”้ คำวา่ “พูด” ในทนี่ ้ไี ม่ไดห้ มายถึงกริ ิยาทเี่ ปล่งเสยี งออกมาเปน็ ถ้อยคำ แตเ่ ราได้ เปรียบเทยี บความหมายของการพดู คือการสื่อสารและการแสดงออก ทัง้ ในดา้ นอารมณ์ ความรู้สึก ปญั ญา ความคดิ หรือความงาม โดยใชง้ านศลิ ปะเป็นตัวเลา่ เรื่องน้ัน ๆ งานศิลปะทเ่ี กดิ มาในรปู แบบท่หี ลากหลายไม่วา่ จะเป็น งานจติ รกรรม งานประตมิ ากรรม งานภาพพมิ พ์ ภาพถ่าย ฯลฯ งานศิลปะเหลา่ น้ีล้วนสามารถนำมาใช้ เพอ่ื เปน็ สื่อกลางในการส่ือ-สาร แสดงออกและสะท้อนอารมณ์ ความคดิ ความรูส้ กึ ของผู้สรา้ งผลงานได้ ผู้สรา้ ง งานแตล่ ะคนลว้ นมจี ุดประสงค์และจุดมุ่งหมายของการสร้างผลงานศลิ ปะ ทห่ี ลากหลายแตกตา่ งกันออกไปตาม บทบาทและความต้องการ เชน่ การวาดภาพชวี ประวตั ิเพ่ือเป็นส่อื ใหค้ วามรู้ การวาดภาพรณรงค์ LGBT เพ่ือ เป็นสือ่ กลางในการเรยี กร้องความเปน็ ธรรมใหก้ บั บุคคลกลุ่มนี้ และศลิ ปนิ ดังระดับโลกหลายคน ทไี่ ด้ใช้วาดภาพ เพอื่ เปน็ การสอ่ื สารความรสู้ กึ นึกคิดของเขา ยกตวั อย่าง เชน่ ผลงาน “The Starry Night” ของวินเซนต์ แวน โก๊ะห์ ซ่ึงเป็นภาพทีม่ ีชอ่ื เสียงมากภาพหนงึ่ ของโลก วินเซนต์ แวนโกะ๊ ห์ ได้ถ่ายทอดอารมณค์ วามร้สู ึกของเขา ผา่ นภาพ The Starry Night ทเี่ ขาส่อื ถงึ ความเหงา ความโดดเดยี่ ว ความทุกข์ทรมาน และพลงั ความ เคลอ่ื นไหวที่อยใู่ นความหยุดนิง่ ของบรรยากาศ ตลอดจนเปา้ หมายท่ีต้องการจะเดินทางไปสู่สรวงสวรรค์ดว้ ย ความตาย เป็นตน้ การส่ือสารเปน็ ส่ิงทีจ่ ำเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเปน็ มนุษย์หรือสัตว์เอง ก็จำเปน็ จะต้องใชก้ ารสื่อสาร ดว้ ยกันทง้ั น้นั การส่ือสารเองจึงมจี ุดประสงค์และจดุ มุ่งหมายทห่ี ลากหลาย แตกตา่ งกนั ออกไปตามความบรบิ ท และความต้องการ เช่น การสื่อสารเพื่อการอย่รู อดของสตั ว์ การสอื่ สารเพื่อให้ความร้แู ละเพือ่ โน้มนา้ วใจของ มนษุ ย์ ฉะนนั้ จึงเห็นได้ว่าเร่ืองราว อารมณ์ ความรสู้ ึก ปญั ญา ความคิด ความงามหรือไม่ว่าจะเป็นประเด็นใด ๆ นั้น จงึ ไมม่ ีความจำเป็นทีจ่ ะต้องแสดงออกและสือ่ สารด้วยการพูดท่ีเป็นการเปล่งเสยี งออกมาเป็นถ้อยคำเทา่ น้นั เพราะนอกจากการส่อื สารรูปแบบอนื่ แลว้ ศิลปะก็ยังเป็นอีกหนึง่ หนทาง ในการ“พดู ”จากผูส้ ร้างสรรค์ศลิ ป์ ไปส่ผู เู้ สพศิลป์ 9

อา้ งอิง สมาพร คล้ายวเิ ชียร. ภาษาภาพ : คืนทมี่ ีดาวพราวฟ้า VISUAL LANGUAGE : THE STARRY NIGHT [ออนไลน์]. ปี 2552. แหล่งท่ีมา : http://www.samaporn.com/?p=1334 [10 เมษายน 2564] โรงเรยี นศลิ ปะเดก็ ไทยสร้างสรรค.์ ความหมายและคำนิยามของศลิ ปะ [ออนไลน์]. ปี 2556. แหลง่ ทีม่ า :http://www.dekthaischool.com/index.php?lay=show&ac=article&Ntype=3&Id= 538977593 [10 เมษายน 2564] Quotefancy. Pablo Picasso Quotes [ออนไลน์]. ปี 2548. แหล่งทมี่ า : https://quotefancy.com/quote/ 884251/Pablo-Picasso-I-don-t-say-everything-but-I-paint-everything [10 เมษายน 2564] 10

ศิลปะของเขา ศิลปะของเรา มณนี ุช อุดมลาภ “ศลิ ปะ เป็นคำท่ีมีความหมายทั้งกว้างและจำเพาะเจาะจง” ดูเปน็ คำอธิบายท่ยี ้อนแยง้ แต่เป็นความ จริงที่ทศั นะของนักปราชญแ์ ต่ละคน หรอื ศลิ ปนิ แตล่ ะคน รวมทั้งความเชอ่ื แนวคิดในแต่ละยคุ สมยั นน้ั มีความ แตกต่างกันจนกลายเป็นขอ้ โต้แยง้ หรอื ข้อถกเถยี งกนั ได้ตลอดเวลา อะไรคือศิลปะกนั แน่? จะนำศิลปะไปใช้ในแวดวงที่กว้างขวางหรือจำกัดได้อยา่ งไร? ทผี่ า่ นมาเรามองวา่ ศิลปะ คือการถ่ายทอดความคดิ ประสบการณ์ หรอื คำพูดของเราออกมาเป็น ผลงาน และเรยี กสง่ิ น้ันวา่ ศิลปะ แต่ก็มหี ลายครัง้ ท่ีผู้คนไมไ่ ด้มองว่าผลงานของเราเปน็ ศิลปะ อาจเนื่องดว้ ย เหตุผลที่ว่า ผลงานน้นั เข้าใจยากเกินไป ผลงานน้ันซับซ้อนเกินไป หรือแมแ้ ต่ดูไม่มีคุณคา่ อะไรเลยดไู มใ่ ชศ่ ิลปะ เลย แล้วอะไรล่ะ? คือศลิ ปะท่ีแท้จรงิ ในวัยเด็ก ศิลปะสำหรบั เราคือการแสดงออกอย่างอิสระเสรี เต็มไปด้วยจนิ ตนาการและความคิด สรา้ งสรรค์ ความบริสทุ ธิ์ จริงใจ เปิดเผย และตรงไปตรงมา แม้จะเป็นการขีดเขยี นบนกระดาษท่ไี ม่เปน็ รปู ทรง ชัดเจน เพยี งเพราะยังมีประสบการณ์ไมเ่ พียงพอ ยังไม่สามารถถา่ ยทอดจินตนาการในหัวออกมาให้ผใู้ หญ่เห็น ไดอ้ ยา่ งชัดเจน คณุ จะตัดสินเลยหรือไม่ ว่านน่ั ไม่ใชศ่ ลิ ปะ เพราะเมื่อมาถึงวยั ผใู้ หญ่ ความเปน็ ศลิ ปะของหลายๆ คนถูกเปล่ยี นแปลงไปให้ศลิ ปะเปน็ ความงดงาม ความเป็นเลิศ ศิลปะต้องดูอลังการ มีกระบวนการสรา้ งงาน หรือมีแนวคิดที่ลกึ ซง้ึ และซบั ซ้อน ศิลปะแบบนีส้ ิ จงึ จะมีคณุ คา่ ศิลปะแบบน้สี ถิ ึงจะมีมูลค่ามหาศาล นี่สิ คอื ศลิ ปะท่ีแทจ้ รงิ ดงั นน้ั แลว้ ศิลปะท่ีไมม่ ีความงดงาม ไม่มีความซบั ซ้อน ลกึ ซ้ึง จงึ ไม่ไดถ้ ูกมองเปน็ ศิลปะอย่างงั้น เหรอ ผู้ใหญ่มกั บอกเด็ก ๆ วา่ ห้ามระบายสีออกนอกเส้น ห้ามระบายสที ้ิงสขี าวไว้ ต้องระบายไปทางเดยี วกัน ตอ้ งระบายใหเ้ นยี นกว่านี้ โดยท่คี ุณอาจไมร่ เู้ ลยวา่ เดก็ อาจอยากให้งานของเขามสี ีขาวก็ได้ เด็กอาจอยากใหง้ าน ของเขาไมอ่ ยู่ในเส้นกไ็ ด้ คุณบอกแบบนนั้ เพราะคุณกำหนดไวแ้ ลว้ วา่ ศลิ ปะของคุณต้องเป็นแบบน้นั ซ่ึงน่าแปลก ท่ีเมือ่ เดก็ ๆโตขึ้น พวกเขาจะไดพ้ บกับภาพสาดสี ภาพจุดสแี ดงจุดเดยี วบนเฟรมใหญ่ โถฉ่ี การยืนแกผ้ า้ อยูเ่ ฉย ๆ การเอาแกว้ มาปาใหแ้ ตกลงพื้น เอากล้วยมาติดบนผนงั ภาพกระปอ๋ งซุป ถงั ขยะ และอีกมากมายทก่ี ็เป็นศลิ ปะ เหมอื นกนั น่.ี ..แลว้ ที่ผ้ใู หญเ่ คยบอกล่ะ ไหนละ่ ...งานท่ีอยู่ในเสน้ ไหนละ่ ...งานท่ีไมม่ สี ขี าว ทำไมต้องใหเ้ ดก็ มา เรยี นร้เู อาตอนโตดว้ ยล่ะ วา่ ศิลปะมคี วามหลากหลายขนาดไหน แทนทจี่ ะได้รู้ไดเ้ หน็ ต้ังแตแ่ รก พวกเขาจะได้ไม่ ตกใจมาก เราเองก็จะได้ไมต่ กใจมากว่าไมต่ ้องอยู่ในเส้นกเ็ ป็นศิลปะได้ ไม่ต้องปดิ ขาวท้งั หมดก็เป็นศลิ ปะได้ ให้ เขาได้รวู้ ่าทุกอย่างมนั เป็นศลิ ปะได้เหมอื นกนั นะ เปน็ ความงา่ ยทเี่ ราหยิบมาบอกเลา่ เป็นหลกั ฐานถงึ ความ 11

สวยงามของโลกทีเ่ ราอยู่ ไดส้ นุกไปกบั ความสร้างสรรค์บนโลก และอะไรอกี มากมายที่กส็ ามารถมีคุณค่าในตัว ของมันได้เหมือนกัน ตัวเราในฐานะคนที่ทำงานด้านศลิ ปะ เราสนใจในการเปลี่ยนแปลงทางแนวคิดน้ีอยตู่ ลอดเวลา เพราะ ศิลปะแตกแขนงไปหลากหลาย เราจำเป็นต้องคดิ เปดิ กวา้ ง มีหตู ากว้างไกล และสำนึกไว้เสมอวา่ ศิลปะก็เกิด จากความคิดของผูค้ น ศิลปะของเราก็มเี พยี งเราทีเ่ ขา้ ใจความงามไดอ้ ย่างแทจ้ ริง ศลิ ปะของเขาก็มเี พียงเขาท่ี เขา้ ใจความงามได้อย่างแทจ้ ริงเช่นกัน ดงั นัน้ ให้ชนื่ ชมและเพลดิ เพลินไปกบั สิ่งทผ่ี ูค้ นถ่ายทอดออกมานัน่ แหละ ส่วนการตัดสนิ ก็ใหค้ นสร้างงานเขาเปน็ คนตดั สนิ ไปแลว้ กัน เพราะ \"ศลิ ปะ\" ไม่ได้ต้องการคำยอมรบั จากคนท่ไี ม่เขา้ ใจศิลปะ แตเ่ ป็นบคุ คลท่ใี ช้เวลากับศลิ ปะเพอื่ ศลิ ปะเท่านั้นจึงจะเข้าใจความงามอยา่ งแท้จริง อา้ งอิง Virunphat Bangroy. ความหมายของศลิ ปะ. จาก https://sites.google.com/site/virunphatart/khwam- hmay-khxng-silpa ประกิต กอบกจิ วฒั นา. Art IS Art Art IS Not Art อะไร(แมง่ )กเ็ ป็นศิลปะ. จากhttps://minimore .com/ b/art-is-art/1 12

ศิลปะ ขบั เคล่ือนชวี ติ มนุษย์ ณฐั นนั ฑ์ สตุ ะโคตร ศิลปะ คือ ผลงาน รวมถงึ กระบวนการท่ีมนษุ ย์เฉกเชน่ พวกเราได้สร้างขน้ึ เพ่อื ถ่ายทอด สื่อสาร แสดง ถึงอารมณแ์ ละแนวคดิ ออกมาใหผ้ ูช้ มงานได้ตีความ จากความหมายข้างตน้ ของคำว่าศิลปะอาจจะดเู ป็นเครอ่ื งมือที่แสดงแนวคิด เพ่ือสื่อสารต่าง ๆ แต่ แท้จริงแลว้ ศลิ ปะ เปน็ ตวั แปรสำคัญในการขับเคล่ือนชวี ิตมนษุ ย์ ลองนึกภาพตามว่าในขณะท่เี ราอยู่ยุคดจิ ิทลั มีการวาดภาพบนจอแสดงผล มเี ทคโนโลยไี วส้ ร้างผลงานออนไลน์ ไว้อำนวยความสะดวกตดิ ต่อสื่อสาร แตเ่ รา เรม่ิ จากยคุ สมยั สองพนั ปีก่อนยังใชแ้ ค่เลือดของสัตว์ในการสื่อสารและประดษิ ฐต์ ัวอักษรข้ึนมา ศิลปะเปน็ เครื่องมือในการขบั เคลื่อนสังคม หรือเรยี กได้ว่า ศิลปะเปน็ ปจั จยั หนง่ึ ในการดำรงชีวิต โดย อาศยั มนุษยเ์ พ่อื ให้ศิลปะน้ันถูกเรยี กวา่ เปน็ ศลิ ปะอย่างสมบูรณ์ ศิลปะเป็นผลงานที่มีการบันทึกผ่านภาพทเ่ี ขยี น จากฝาผนงั ผืนผ้าใบ ตลอดจนบนหน้าจอเครื่องมือส่อื สาร ถา่ ยทอดถงึ ความคิด จิตใจ เหตกุ ารณ์สำคัญ สะท้อน มายงั สงั คมให้ตระหนักถึงคณุ ธรรม คา่ นิยม การดำรงชวี ิตในแตล่ ะวัน ตลอดจนมีการพัฒนา การปรบั ปรงุ แก้ไข เพอ่ื ใหส้ ง่ิ แวดล้อมและมนุษยชนมีความเจรญิ ก้าวหน้ามากขน้ึ โดยยงั สานตอ่ ส่งิ ท่ีควรมีไวใ้ นยคุ สังคมปจั จุบนั เปรียบเทยี บคือ ศิลปะอยู่ในทุกแห่งทุกสาขา เศรษฐกจิ การงาน อาชพี การศกึ ษา สงั คม รวมถงึ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม ลว้ นแล้วถูกศลิ ปะเขา้ มาแทรกแซง เขา้ มายกชใู ห้เจริญขนึ้ หากจะคิดภาพให้ง่าย ๆ เชน่ การพดู โนม้ นา้ วจติ ใจคนกเ็ ป็นศิลปะการพูด วาทกรรม หรือจะเปน็ การ ทำธุรกจิ ผลิตสนิ คา้ กต็ ้องใชค้ วามงาม คุณภาพของผลติ ภัณฑ์ หรอื การออกแบบตามความตอ้ งการของผู้บริโภค รวมไปถึง การชมุ นมุ เพอ่ื สิทธิเสรภี าพ กเ็ ปน็ ศลิ ปะการแสดงออกเชิงสัญลกั ษณ์ กเ็ รยี กได้ว่าเปน็ ศลิ ปะ ซึ่งจะ สง่ ผลทางสังคมท้ังทางตรงและทางอ้อม จุดเล็กๆทร่ี วมกนั เปน็ หลายจดุ ต่อกนั เป็นเสน้ เชือ่ มโยงรวมกันเปน็ รูปรา่ งขึ้นมา เปน็ โครงสรา้ งเป็นรากฐานเพื่อต่อยอดพัฒนาต่อไป แตอ่ ย่างไรกต็ ามศิลปะเป็นเพียงเครื่องมอื หน่งึ ท่ีมนุษย์นำมาใชเ้ พือ่ ให้สังคมเกดิ การขบั เคลอ่ื น โดย ขน้ึ อยกู่ ับผ้สู รา้ งศิลปะผู้น้นั อยู่ตอ้ งการให้สังคมขับเคลื่อนไปในทศิ ทางใด โดยเป็นไปไดท้ ้ังเชงิ บวกและเชิงลบ จดุ ประสงคข์ องผลงานกเ็ ปน็ ไปตามการดำเนนิ การของผูส้ ร้าง ศิลปะจะไม่ถกู เรียกว่าศลิ ปะ หากขาดความคิด สร้างสรรค์ ขาดความหมายในการทำงาน และขาดกระบวนการทำงานของมนษุ ย์เฉกเช่นพวกเรา 13

ศลิ ปะเกย่ี วขอ้ งกับเราไดอ้ ย่างไร วลั ลภา เทียนทอง หากจะกล่าวถึงจุดเร่มิ ตน้ ในโลกของศลิ ปะแลว้ คงต้องย้อนไปเมื่อหลายพนั ปีกอ่ นทม่ี นษุ ยเ์ รมิ่ ประดษิ ฐ์ สง่ิ ของเคร่ืองใช้ อุปกรณ์ล่าสตั ว์ สรา้ งสง่ิ อำนวยความสะดวกและเพ่อื ความปลอดภยั สำหรับการดำรงชพี และ การอยู่ รอดของมนุษย์ เหน็ ได้จากภาพวาดฝาผนงั หรอื ภาพเขยี นโบราณที่ถกู ค้นพบภายในถำ้ นอกจากไม่ เพยี งแตเ่ ป็นช่างเขียนแลว้ ยงั เปน็ ช่างในทางจติ รกรรมและการแกะสลกั อีกด้วย ทัง้ นยี้ งั ในเรอ่ื งของความเชอื่ ความกลัว ธรรมชาติ และสง่ิ แวดลอ้ มก่อให้เกิดพธิ กี รรม การรวมกลุ่มกันจนเกิดเป็นสังคม การคดิ ริเริม่ การรบั รู้ ในสง่ิ ที่มีอทิ ธิพลต่อจิตใจ การอยากตอบสนองความต้องการของตัวเอง ทำให้เกิดการสรา้ งสรรคแ์ ละการ แก้ปัญหาในการสรา้ งศิลปวัตถทุ ี่ แตกตา่ งไปจากลกั ษณะของธรรมชาติ เป็นรากฐานทำใหม้ นุษยแ์ ตล่ ะสมัยเกดิ แรงกระต้นุ และแรงบันดาลใจในการ ทำงานศลิ ปะต่อไป นบั วา่ เป็นการเร่ิมต้นของการสรา้ งสรรคง์ านศลิ ปะใน ยุคต่าง ๆ (วริ ตั น์ พชิ ญไพบลู ย.์ 2524) ศิลปะ คืออะไร? ทำไมคนเราถึงต้องเกีย่ วข้องกับศิลปะ ซึ่งจริงๆแล้วศิลปะเกิดข้ึนมาได้ก็เพราะเปน็ สิง่ ท่ี มนษุ ยค์ ิดค้นข้นึ มาโดยแสดงออกมาจากความรูส้ ึก อารมณ์ จากจนิ ตนาการ การเลียนแบบตน้ แบบ หรอื การ สรา้ ง จากความคิดทีค่ ดิ ขน้ึ มาเอง มกี ารใช้ความร้คู วามสามารถ ความเขา้ ใจ การคิดวิเคราะหแ์ กป้ ัญหา ความคดิ สรา้ งสรรคแ์ ละเป็นเคร่ืองมือระบายถา่ ยทอดมนั ออกมา ในเรอื่ งของสนุ ทรยี ภาพ ความประทบั ใจ เรื่องราว และมี ความสำคญั เป็นอยา่ งมาก ศิลปะจะมสี ว่ นชว่ ยเสริมสร้างจติ ใจของมนษุ ย์ให้สงู ขึน้ กลอ่ มเกลาจิตใจให้ ออ่ นโยนทำให้เกดิ ความกลมกลืน ความรักสามคั คตี ่อกัน ในขณะเดียวกันก็มสี ่วนชว่ ยเสรมิ สร้างและพัฒนา สตปิ ัญญาของมนุษย์ ด้วย เม่อื หันมาทบทวนดูจะพบว่าลกึ ๆแลว้ ชีวติ ของตัวเรากม็ ีความเก่ยี วข้องกับศลิ ปะ ซง่ึ เรามโี อกาสสมั ผสั กับศลิ ปะ ท้ังทางตรงและทางอ้อม รวมทัง้ ไดร้ บั อิทธพิ ลจากส่ิงรอบตัว ครอบครัว สังคม เศรษฐกจิ การเมอื ง วฒั นธรรม ศาสนา ธรรมชาติ ทศั นคติ ความเชอื่ ค่านยิ ม ความชอบ ความไมช่ อบ ทำให้ มนุษย์มีการรบั รู้ในเรื่องศิลปะ สนุ ทรียภาพในจติ ใจ เพียงแต่ไม่เทา่ กัน ทำให้มนษุ ยม์ ีความหลากหลาย แหลาย คนก็ไมเ่ ห็นความสำคัญของศิลปะ อาจเพราะด้วยประสบการณ์ ความพร้อมอะไรหลายๆ อยา่ งท่ีไม่เออ้ื ต่อการ รับรเู้ กย่ี วกบั ศิลปะ ทำให้ไม่เข้าใจ แบง่ แยกเอาศิลปะออกจากชีวติ ท้ัง ๆ ทมี่ ันศลิ ปะกับชีวติ ก็คือ สงิ่ ทีเ่ ก่ียวข้อง กัน ศลิ ปะทเ่ี ห็นได้งา่ ยๆในชวี ิตประจำวนั เก่ยี วของในเรื่องของความงามทส่ี ามารถมองเหน็ ได้ดว้ ยตา เช่น การสอ่ื สาร ไม่ว่าจะเป็นการพูด การใชท้ ่าทาง การใช้สญั ลักษณ์ เปน็ การใชศ้ ลิ ปะในการสื่อสารเพื่อใหเ้ กิดการ ส่ือสารที่ดี เขา้ ใจ สื่อความหมายได้อย่างเจนและยังสร้างทัศนคตใิ นเชิงบวกใหเ้ กิดข้ึนไดด้ ้วย ซึ่งหากสือ่ สารไมด่ ี ก็อาจจะทำใหเ้ กิดปัญหาตามมา, การแต่งกาย เป็นสิง่ ท่ีอยู่ภายนอก บ่งบอกถึงลกั ษณะของผูใ้ ส่ ชว่ ยส่งเสรมิ 14

เรอื่ งของรูปลักษณ์ บคุ ลิกภาพ ช่วยใหม้ น่ั ใจ ใหด้ ดู ีขนึ้ ได้ ซ่ึงแต่ละคนก็มีสไตล์การแต่งตวั ของตวั เองท่เี กิดจาก ความชอบ ความเหมาะสม ความจำเปน็ ของผู้ใส่ ศลิ ปะกจ็ ะมาชว่ ยในเรื่องของการออกแบบเครอ่ื งแต่งกาย เพ่อื ให้เหมาะกับแต่ละบคุ คล รวมไปถึงข้าวของเครื่องใชท้ ่มี ีหลากหลายใหเ้ ลอื ก, ดนตรี เพลง หนัง ภาพถา่ ย ภาพวาด วรรณกรรม นยิ าย ประตมิ ากรรม สงิ่ เหลา่ น้กี เ็ กดิ จากการใชค้ วามรูส้ ึก อารมณ์ การสร้างสุนทรยี ภาพ ขึ้นมาใหเ้ กิดเปน็ งานศิลปะชนิดหนง่ึ เพื่อจรรโลงใจ ให้ข้อคิด ใหจ้ ินตนาการ ถ่ายทอดอะไรบางอย่างออกมาสู่คน ทฟ่ี ัง ดู และอ่าน, วัฒนธรรม ประเพณี ที่เกิดขึน้ ประจำท้องถ่นิ ประจำชาติ ก็เปน็ ศิลปะท่ีเกย่ี วขอ้ งกับชีวติ ของ คนในชุมชน เกิดเปน็ ภมู ิปญั ญา งานช่างหลาย ๆ แขนง การสรา้ งสงิ่ กอ่ สร้าง/สถาปัตยกรรมต่าง ๆ นอกจากจะ สร้างเพือ่ เป็นท่อี ยู่อาศยั แล้วก็ยังต้องนึกถึงความงามด้วย เพ่ือเป็นการสรา้ งบรรยากาศให้น่าอยู่ เหมาะสมกับ สภาพพ้ืนท่ี เปน็ ตน้ จะเหน็ ได้วา่ จรงิ ๆ แลว้ ถงึ เราจะไมร่ ู้ตัววา่ ศิลปะเข้ามาอยู่กับเราตง้ั แตเ่ มือ่ ไหร่ แต่มนั ก็เป็นส่งิ ท่ีอยกู่ ับ เรามาตลอด มีความเก่ยี วข้องกบั มนษุ ยเ์ ราและมีความสำคัญทจ่ี ะทำให้ชวี ิตเรามกี ารพัฒนาไปในหลาย ๆ ดา้ น ในทางทด่ี ีข้นึ อา้ งอิง วิรตั น์ พชิ ญ์ไพบลู ย์. (2524). ความเข้าใจศิลปะ (พิมพ์ครงั้ ท่ี 1). กรุงเทพมหานคร : บริษัทสำนักพิมพ์ ไทย วัฒนาพานชิ . ศิลปะมาจากไหน. (มปป). สบื คน้ เมือ่ วน้ ท่ี 8 เมษายน 2564 จากhttps://sites.google.com/site/phorjan 05/silpa-ma-2 ตน้ กำเนดิ ของศิลปะ. (มปป). สืบค้นเมือ่ วนั ที่ 8 เมษายา 2564 จาก https://sites.google.com/site/artistryl ifesnakubz/bth-thi1-tn-kaneid-khxng-silpa ศิลปะคืออะไร. (มปป). สบื คน้ เมอ่ื วันที่ 8 เมษายน 2564 จาก https://sites.google.com/site/reuxngphes suk/silpa-khux-xari 15

หากคุณต้องการชัยชนะ คณุ จะแพ้ให้กับตัวเอง อัษฎาวุธ โคตรมา สังคมในปัจจุบัน เต็มไปดว้ ยการแขง่ ขัน นบั ต้ังแตต่ ื่นเช้าจนถงึ การพกั ผอ่ นในเวลากลางคืน เราต้องคอย คดิ แผนการหรอื วิธีการต่าง ๆ มากมายเพื่อทจี่ ะแข่งขนั กบั ผู้อ่นื อยู่ทุกวนั และเวลา แม้กระท่งั ในวงการการศึกษา ก็ยงั มกี ารแข่งขนั บางคร้งั เราก็ชนะและบางคร้งั เรากแ็ พ้เช่นเดียวกนั และทกุ อย่างล้วนมีผลทตี่ ามมา เราทกุ คนบนโลก สว่ นใหญ่โหยหาชยั ชนะ และเกลียดความพ่ายแพ้ เพราะความรู้สึกชนะมันช่างรู้สึกดี เสียเหลอื เกิน มนั ทำใหเ้ ราได้ทุกสิ่งที่เราต้องการ ไมเ่ หมือนกับการพ่ายแพ้ มนั ชา่ งรูส้ ึกหดหู่ เดียวดาย ไม่เป็นที่ ต้องการของสังคม ความรสู้ กึ เหลา่ น้ลี ว้ นมตี ้นกำเนิดมาจากการถูกปลกู ฝังตัง้ แต่เดก็ ๆ เชน่ การวิ่งแข่ง การแข่ง ทักษะวิชาการ การประกวดกิจกรรมต่าง ๆ ความคาดหวงั ของครอบครัว เป็นต้น ทำให้เกิด “ภาวะแพ้ไม่เปน็ ” ซ่งึ อาจจะทำให้เราใชช้ ีวิตลำบากมาก ๆ เมือ่ เราเรม่ิ เป็นผูใ้ หญ่ และยงั หาทางกำจดั ความรูส้ กึ น้ีไม่ได้ ความรู้สกึ แพ้ไม่เปน็ จะสร้างตัวตนหน่ึงของเราขึ้นมา เม่ือเราไดท้ ำงานร่วมกบั ผู้อ่ืน เราจะคอยสังเกตคน รอบข้างอย่ตู ลอด เพราะเมือ่ ไหร่ท่ีคนคนนน้ั มีผลงานดีเด่นมากกว่าของเราในชัน้ เรียนหรือในกลุม่ เราจะเร่ิมนับ คนคนนั้นเป็นคู่แข่งที่ต้องเอาชนะทันที ส่งที่ตามมานั้นคือความเครียด เครียดที่จะต้องหาทางว่า ทำอย่างไร ผลงานเราจึงจะเหนือกว่าคนคนนั้น จนทำให้เราลืมความเป็นเพื่อนกับคนคนนั้นไป และหากทุก ๆ วันมีคนที่ ผลงานดี ๆ เพม่ิ ขนึ้ ศตั รูของเราก็จะเพิ่มมากขนึ้ จนในทสี่ ดุ เราก็กลายเป็นคนท่ไี ม่มีเพื่อน จมอยู่กับความพ่าย แพ้ที่ติดในจิตใจ ส่งผลกระทบต่อร่างกายและการทำงานที่มีประสิทธิภาพลดลง แต่ทุกสิ่งล้วนมีทางออกเสมอ เพียงแตเ่ ราต้องต้งั ใจทจ่ี ะเปลย่ี นแปลงตวั เองเพ่ือบางสง่ิ เราไม่มีทางลืมสิ่งใด ๆ ได้ แต่เราสามารถเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันได้ การแก้ไขความรู้สึกแพ้ไม่เ ป็นมีอยู่ หลากหลายวธิ ี แต่วิธที ผี่ ้เู ขยี นจะนำเสนอคือ 1. การมเี หตุและผลให้มากขนึ้ กลา่ วคอื การนำความรู้สึกของเรามาวเิ คราะหว์ า่ อะไรทำให้เราคิดท่ีจะ เอาชนะ และเราจะไดอ้ ะไรนอกจากความรู้สกึ เหนือกว่า แล้วสงิ่ ท่ีได้พัฒนาอะไรในตัวเราได้ 2. การเรียนรู้จากคนที่ประสบความสำเร็จ คือการศึกษาชีวประวัติ หรือแนวความคิด แนวทางการใช้ ชีวิต แล้วนำเอาสว่ นนั้นมาปรับใช้กับตนเอง 3. การสร้างแรงบันดาลใจให้ตนเองในการใช้ชีวิต จากการดูหรือฟังวิทยากรหรือผู้มีความรู้ หมอ และ สื่อออนไลน์ เพื่อการสรา้ งความเข้าใจ และดึงเอาคุณคา่ ที่มีอยูใ่ นตนเองออกมา การคิดที่จะเอาชนะ หากเราชนะ ความรู้สึกมันช่างหอมหวาน แต่ถ้าแพ้เราก็จะเศร้าและผิดหวังใน ตัวเอง ตัดพ้อและอยากจะชนะให้ได้ ความทะเยอทะยานนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่หากเราใชไ้ ม่ถกู วิธี มันอาจจะสร้าง ผลร้ายมากกว่าผลดีแก่เราได้ เราไม่จำเป็นที่จะต้องชนะทุกคนที่อยู่รอบตัวเรา แต่จงชนะจิตใจที่แข็งกระด้าง ของเราใหไ้ ด้ และเปลยี่ นใหเ้ ปน็ จติ ใจที่อ่อนโยน สามารถอย่รู ่วมกบั ผู้อ่ืนได้ เราจะไม่โหยหาชัยชนะเพ่ือชิงความ 16

เป็นใหญ่ แต่เราจะทำให้ตัวเองมีความสุขระหว่างการใช้ชีวิตนี้ให้มากที่สุด สิ่งที่ผู้เขียนได้แนะแนวทางในการ ปรบั เปลี่ยนตัวเอง อาจไมใ่ ช่สำหรับบางคน แตผ่ ้เู ขียนกห็ วงั ว่าบทความนจ้ี ะสามารถช่วยได้ไม่มากกน็ อ้ ย 17

18

“ศิลปะกับการสร้างสรรค์สงั คม” กนกพร ไชยสิทธางกูร ความสุข ที่ได้เรียนรู้ ได้ทำงานในสิ่งท่ีตนเองรักนน้ั ก็เปรียบเสมอื นกับการไดร้ ดน้ำพรวนดินให้กบั ดอกไม้ที่ตนเองรัก ตอ้ งคอยดูแลเอาใจใส่ ฟมู ฟัก ประคบประหงม และในซักวันดอกไมน้ ้ันกจ็ ะออกดอกผลบิ าน งดงาม เช่นเดียวกบั การท่เี ราน้นั ไดพ้ ยายามทำในส่งิ ทีม่ ีความสุข ไมว่ า่ จะเปน็ งานอะไรในภายภาคหนา้ ถ้าเรานัน้ ไดพ้ ยายามมากพอ ผลจากความพยายามท่ีมาจากความรกั น้ันจะทำใหเ้ ราประสบความสำเรจ็ ได้อย่างแนน่ อน ส่วนพลงั หรอื ความสามารถของผูท้ จ่ี ะไขวค่ ว้าความสุขมาเป็นของตวั เองไดน้ น้ั ข้นึ อยู่กับสมรรถภาพของตวั เอง และสมรรถภาพของสงั คม ซ่ึงหมายถึงวา่ พลงั นั้นจะเกิดขึน้ ได้มากน้อยแคไ่ หน ต้องอยู่ที่ความรว่ มมือของคนใน สังคมและตัวตนของแต่ละบุคคลเปน็ สำคัญอยา่ งเร่ืองของศิลปะ ทีค่ นสว่ นมากน้นั ตระหนักดวี ่ามันเปี่ยมลน้ ไป ดว้ ยความงาม ดังนนั้ ศิลปะ จึงสามารถนบั เปน็ ปจั จยั หน่งึ ที่สรา้ งสรรคป์ ระเทศ ลดความเหลอื่ มลำ้ และสร้าง ความเปน็ ธรรมในสังคมได้เป็นอยา่ งดี ท่ีมนษุ ยชาติน้นั ไม่ควรปล่อยให้มันไร้คุณคา่ ภายในสงั คมมีการพฒั นา กา้ วหน้าของเทคโนโลยี หรือโลกาภิวัฒน์ ศลิ ปะและสังคมของมนษุ ย์นัน้ ไดม้ ีการเกิดข้นึ มาพร้อมกันในทุกยคุ ทุกสมยั อย่างเชน่ การดำรงชวี ิตของ มนุษย์ในยคุ โบราณหรือยคุ หินน้นั ได้มีการทำเครื่องมอื จากเศษวสั ดุท่ที ำขึ้นมาจากธรรมชาตแิ ละสิง่ รอบตัว เอา มาเหลาใหแ้ หลมคมคล้ายบั มีดพรา้ ทำให้จบั ถนดั มือเพ่ือเอาไวใ้ ชใ้ นการทำมาหากิน เชน่ ลา่ สตั ว์หุงหาอาหาร ป้องกนั ศตั รู ป้องกันตวั จากสัตวร์ า้ ย เป็นตน้ เม่ือไดส้ ตั วม์ าก็จะนำเลือด มาขีดเขียนไว้ภายในทอี่ ยู่อาศัยของตน เช่น ภายในถำ้ จะเหน็ ไดว้ ่าภาพเขยี นฝาผนังในถ้ำทหี่ ลากหลายในแตล่ ะประเทศน้นั มกี ารใช้ สีจากเลอื ดของ สตั ว์ ยางไม้ ดิน และสีจากธรรมชาติอนื่ ๆ อีกมากมาย สงั คมไทยในปัจจุบนั นัน้ ได้มีพัฒนาการเกิดขน้ึ เปน็ อย่างมาก ซงึ่ ผลท่ตี ามมานั้นกค็ ือเกดิ การเหลือ่ มล้ำ ขน้ึ ภายในสังคม ไมเ่ ว้นแม้กระทั่งในดา้ นของศลิ ปะ ซงึ่ การพัฒนาศลิ ปะและตวั บุคคลคือศิลปินเองนน้ั จะต้องมี การพัฒนาควบคกู่ ันไปตามยุคตามสมัยใหท้ ันโลก เน่ืองจากมนุษย์เราแตกต่างจากสตั ว์อ่นื อีกทง้ั ยังมีสมองท่ีเลอ เลศิ มคี ุณภาพสูงสุดกว่าสตั วท์ ุกชนิด ทำให้สามารถประดิษฐค์ ดิ คน้ อะไรออกมาได้อย่างมากมายมหาศาล ไมว่ า่ จะเป็นไปได้หรอื ไม่ได้ การเกิดขน้ึ ไดย้ ่อมมีความเป็นไปไดส้ ูงกวา่ ลม้ เหลว ต้องดำรงตนไปตามแนวคิดทยี่ ึดถือได้ ว่าดว้ ยความเปน็ จรงิ ความดี ความงามหรือสนุ ทรียศาสตร์ และนจี่ ึงเปน็ สิ่งท่ีพิสจู น์ไดว้ ่ามนษุ ย์นนั้ สามารถใช้ งานศลิ ปะมาเปล่ยี นแปลงสงั คมได้ ดังนนั้ จึงมีการรวมตวั ของกลุม่ ศลิ ปนิ ผู้สร้างงานศิลปะข้นึ พวกเขาได้ตั้งปณิธานท่ีจะเดินสายสญั จรไป ทัว่ ประเทศเพ่ือใชค้ ณุ ค่าทางศิลปะสรา้ งสรรคแ์ ละพัฒนาสงั คมและตวั บคุ คลให้เกิดความสขุ ในชีวิตขนึ้ มา (ปานมณ,ี 2554) 19

สุดท้ายแล้วกส็ รปุ ไดว้ า่ ศิลปะกบั การสรา้ งสรรคส์ งั คมน้นั เป็นของค่กู นั มาต้งั แต่อดีต เชอ่ื มโยงไปกบั ทุกยุคทกุ สมัย และศิลปะจะเปน็ ตัวขบั เคลอ่ื นสงั คมให้ไปในทศิ ทางใด ขึ้นอยกู่ ับความกา้ วหนา้ และการพัฒนา ของคนในยุคน้นั ๆ ซ่ึงยคุ สมัยน้ีนั่นกค็ ือการท่ีนำเอาเทคโนโลยเี ขา้ มามีส่วนช่วยเหลือให้ศิลปะนั้นมีการเติบโต และยกระดับขน้ึ จากแต่ก่อนทีใ่ นอดีตศิลปะน้นั ยังไม่ถูกพสิ ูจน์และถกู เพิกเฉยว่ามันเปน็ ส่ิงท่ไี มจ่ ำเป็นตอ่ สังคมไทย แตใ่ นยุคสมยั นี้ศิลปะกลับถูกพูดถงึ และนำมาเป็นตัวช่วยในการขบั เคลื่อนและสร้างสรรค์สังคมเพ่มิ มากยิง่ ขึ้น การสรา้ งศลิ ปะเพ่อื สะท้อนปัญหาในสังคม เช่น การทำงานศิลปะท่ีเกี่ยวข้องกบั โรคระบาด covid- 19 ในปัจจบุ นั ขึน้ มา เพื่อให้ผู้ทเี่ สพงานหรือพบเห็นงานศลิ ปะชิ้นน้ี ได้ย้ำ เตือนสติ ตระหนกั ถึงการป้องกัน ตัวเอง การเฝ้าระวงั และการร่วมมือกนั ข้ามผา่ นวิกฤตในคร้ังน้ไี ปให้ได้ นี่เปน็ เพียงส่วนหน่งึ ท่ีกล่าวถึงการนำศลิ ปะมาประยุกต์ใช้ให้เขา้ กบั สงั คมไทยในปจั จุบนั ยังมปี ระเดน็ อีกหลาย ๆ ประเดน็ ที่ยังไม่ถูกพดู ถงึ และยกมาต้งั คำถาม ต้ังขอ้ สงสยั และข้อสงั เกต การอ้างถงึ หรอื การหา คำตอบอกี มากมาย อา้ งอิง “ความงดงามทางศิลปะ จรรโลงให้โลกเต็มไปดว้ ยความสุข” , หนงั สอื พมิ พแ์ นวหนา้ โดย ปานมณี, (2554) วนั ท่ีสืบค้น 9 เมษายน 2564 [ออนไลน์] เข้าถงึ ได้จาก https://www.thaihealth.or.th/ “ศลิ ปะกบั สังคมมนษุ ย์” , วรี ะยทุ ธ โพธ์ิศรี, (2554) วนั ที่สบื คน้ 9 เมษายน 2564 [ออนไลน์] เข้าถงึ ไดจ้ าก https://arnantana.wordpress.com/ 20

รางวัลของศิลปะ ชญามินทร์ เกตุเมฆ ศลิ ปะเปน็ ส่งิ ทช่ี ว่ ยพัฒนาความคดิ รเิ ร่มิ สร้างสรรค์ของมนษุ ย์ เป็นการแสดงออกอย่างเสรี แต่น่า เสยี ดายที่ในสังคมปจั จบุ ันผู้คนส่วนหนึ่งมองวา่ ศิลปะมไี วเ้ พื่อแข่งขันเพ่ือรางวลั เพราะศิลปะมกั จะมรี างวัลเปน็ ส่ิงลอ่ ใจ โดยเฉพาะครูศลิ ปะบางคนทีย่ งั ขาดความเขา้ ใจเกี่ยวกับปรัชญาศลิ ปะและมักจะเขา้ ใจผดิ คดิ ว่าการจะ พัฒนาเด็กต้องให้เดก็ แขง่ ขนั กันเองโดยใช้รางวัลมาลอ่ เพือ่ กระตุ้นใหเ้ ดก็ เข้ารว่ มการแขง่ ขัน ครบู างคนวาด ภาพขนึ้ มาเป็นตัวอยา่ งเพือ่ ให้เดก็ ๆ ลอกตาม โดยไม่คำนึงถงึ ความคดิ จริง ๆ ของเด็กเลยดว้ ยซำ้ เพียงเพ่ือท่ี ชนะการแข่งขนั ด้วยค่านยิ มแบบนนี้ เี่ องที่ทำใหเ้ ด็ก ๆมองชีวิตเปน็ การแข่งขนั แข่งขนั กบั คนอื่นยังไม่พอ ยงั ตอ้ งแขง่ ขนั กบั ตวั เองดว้ ย โดยทัว่ ไปรางวลั เปรียบเหมือนเปน็ ดาบสองคม มที ั้งคณุ และโทษ ขึ้นอยู่กบั ผูใ้ ชว้ ่าจะมีสติปัญญารูจ้ ัก เลือกใช้ใหเ้ กิดคุณประโยชนห์ รอื ไม่ ในส่วนของ ข้อดี คือ รางวัลอาจเปน็ ตัวกระต้นุ ใหเ้ กดิ แรงผลกั ดัน เกิดการสร้างแรงจูงใจ (Motivation) เพื่อชกั จงู ให้เกิดการรว่ มงาน เป็นตัวเรง่ เรา้ ให้เกิดความกระตือรือรน้ นอกจากนี้ รางวลั ยังเปน็ สัญลกั ษณข์ องการยอมรับและยกย่องในด้านฝีมอื และความสามารถ โดยเฉพาะคนบางคนทม่ี ีปมดอ้ ยต้องการ ลบล้างปมดอ้ ยเหลา่ นน้ั เพือ่ สร้างปมเดน่ ให้กับตนเอง ซึ่งเป็นเร่อื งท่ีดีท่เี พราะถือวา่ เป็นการพฒั นาตนเองไปใน ตวั เป็นการเพื่อทดแทนในส่ิงทต่ี วั เองยังไม่มีหรือสว่ นทข่ี าดไป ทำใหเ้ กิดความภาคภมู ใิ จและมั้นใจในตนเอง มากขึน้ และในส่วนที่เปน็ ข้อเสยี คอื ทำให้คนเหน็ แกต่ ัว คดิ ว่าตวั เองเหนอื กว่าผู้อื่น ทำอะไรก็จะคำนงึ ถงึ แต่ ผลประโยชน์ จนอาจลืมไปว่าจดุ ประสงคท์ ี่แทจ้ ริงของการทำงานศิลปะคอื อะไร สง่ ผลเสียใหแ้ กศ่ ิลปะโดย สว่ นรวม นอกจากน้ยี งั เปน็ การแบ่งแยกคนท่ีรักศลิ ปะออกเป็น 2 ฝ่าย มีท้ังฝ่ายชนะ และฝ่ายแพ้ คนที่ชนะก็ ร้สู ึกอยากจะชนะไปเรอ่ื ย ๆ คนท่ีแพ้ก็รูส้ กึ เกลยี ดศลิ ปะไปเลยกไ็ ด้ การให้รางวลั มีอทิ ธิพลหรือกอ่ ใหเ้ กิดเป็น แรงจูงใจท่ีจะกระตุ้นให้เด็ก ๆ ทุ่มเทกำลงั กายและเวลาปฏิบัติงานอย่างเตม็ กำลัง มขี วญั กำลงั ใจที่ดี รักและ หวงแหนผลงาน ถึงอยา่ งไรก็ตาม การทเ่ี ด็กมุ่งเน้นถึงรางวัลมากจนเกินไปอาจเป็นการสร้างคา่ นิยมผิดๆทำให้ สังคมมองศิลปะเป็นเรื่องยากและไกลตัวมากขึน้ ไปอีก การใหร้ างวลั จึงตอ้ งให้อยา่ งเหมาะสมและระมัดระวัง เพือ่ ให้มีคุณค่า มีความความหมายตอ่ ผู้ท่ีไดร้ ับ ไม่เช่นนั้นจะเกิดความแตกแยก เพราะมุ่งรางวลั มากกว่าการ ทำงานดว้ ยใจรกั ดังนนั้ การใหร้ างวลั จะต้องเช่ือมโยงใหเ้ กิดความตระหนักเหน็ คุณคา่ ของตนเองต่องานศิลปะ และทุ่มเทการทำงานอย่างเต็มที่ เดก็ บางคนท่ีได้รางวลั จะรู้สึกภาคภมู ิใจตัวเอง เมอ่ื ไดร้ างวลั มาคร้ังหนึง่ แลว้ ก็ อยากจะได้อกี เปน็ ครงั้ ทสี่ องและสามทำให้เกดิ ความคาดหวังและกดดนั กับตัวเอง จงึ กลายเปน็ ว่าการแข่งขนั 21

ไมไ่ ดท้ ำให้เด็กวาดภาพอยา่ งมีความสขุ อกี ต่อไป รางวัลจากฝมี ือของครศู ลิ ปะทีท่ ำลายความคดิ จนิ ตนการ ความบรสิ ทุ ธ์ไร้เรยี งสาของเด็กเพื่อแลกกบั ชอื่ เสยี ง รางวลั โล่ ใบประกาศนยี บัตรเอามาติดประดบั ไวใ้ นตู้โชว์ ของโรงเรียน บรรยากาศของการแขง่ ขันในปจั จบุ นั ประกอบกับมีการใช้ทฤษฎกี ารสร้างแรงจูงใจกนั มากขนึ้ กเ็ รม่ิ มี การใหร้ างวลั เป็นการกระตนุ้ เพ่ือให้ผู้คนเกดิ ความสนใจ เขา้ ร่วมการแขง่ ขัน ซง่ึ ก็เปน็ การดีไมไ่ ดผ้ ดิ อะไร แต่ก็ ตอ้ งระวัง เพราะถา้ มากไปไม่มีความพอดี ก็อาจทำให้หลกั การเพย้ี นไปได้ เพราะหลายต่อหลายครั้งกลายเปน็ ว่าถา้ ไม่มีรางวลั เปน็ ตวั จูงใจก็จะไม่คอ่ ยให้ความสำคญั กบั การศิลปะหรอื การใชค้ วามคดิ สร้างสรรค์ จนลืมไปว่า บางจุดประสงค์ทแ่ี ท้จริงของการแขง่ ขนั นั้นเพ่ืออะไร นเ่ี ปน็ บทความที่บอกใหร้ วู้ ่ารางวัลยอ่ มเปน็ ดาบสองคมมที ้ังขอ้ ดแี ละข้อเสยี ข้ึนอยกู่ ับผู้รับและผู้ใหพ้ ึง ใช้สติปญั ญาคิดใคร่ครวญใหถ้ ่ีถว้ น อยา่ หลงระเริง งมงายยึดติดกับสงิ่ ของท่ีอยู่นอกกาย การแขง่ ขันน้ันจดั ข้ึนไม่ ผิดอะไรแต่จดุ ประสงคท์ ี่แทจ้ รงิ ของการแข่งขนั คอื อะไร ไม่ใช่การพัฒนาตนเองหรอกหรือ แข่งขันกับคนอนื่ ก็ ยังมตี วั เองเป็นเพ่ือน แตแ่ ข่งขันกบั ตนเองแล้วจะมีใครเปน็ เพื่อนอกี อนั รางวัลใด ๆ ในโลกนัน้ ล้วนสร้างข้นึ เพื่อ จงู ใจเป็นแรงกระตุน้ ในการสร้างสรรค์ เปน็ ผลพลอยไดเ้ ท่าน้ัน แต่จุดหมายที่แทจ้ ริง คือการพัฒนาความคิด จินตนาการอนั ไร้ขอบเขตจำกัด (Infinity) น่ันเอง อา้ งอิง “ศิลปะเด็ก : ดอกไม้ในกำมือของผใู้ หญ่”โดยรองศาตราจารย์เลิศ อานนั ทนะ ,วันทส่ี ืบคน้ 9 เมษายน 2564 [ออนไลน]์ เขา้ ถงึ ได้จาก https://www.thaiartstudio.com 22

ศิลปะ...กระจกสะทอ้ นความจริง ฐิติมา ดวงสวุ รรณ์ ศลิ ปะเกิดข้ึนมาเมื่อใด อาจจะไม่มีใครหาคำตอบและท่มี าของจดุ กำเนิดของศลิ ปะได้แน่ชดั แตส่ ่งิ ทีผ่ กู ตดิ มาด้วยกันกับศลิ ปะอย่างหนึ่งทเี่ ราเห็นได้อย่างชดั เจนน้ันกค็ ือสงั คม ถือได้วา่ ศิลปะและสังคมเปน็ สว่ นหนึง่ ของกันและมาโดยตลอดยากทจี่ ะแยกออกจากกนั ได้ หากจะย้อนกลับไปหาคำตอบถึงท่มี าของศลิ ปะ ก็คงต้อง หาคำตอบของจดุ เรมิ่ ต้นของคำวา่ สงั คมก่อน แตก่ ระนน้ั เกิดขึ้นเมื่อใด อาจไม่สำคัญมากนกั แต่ประเดน็ ทีเ่ ป็น จดุ นา่ สนใจคือ ศิลปะกบั สงั คมเกิดขน้ึ เพราะอะไร? ภายใตว้ ิถชี ีวิตผู้คนในสงั คมปัจจบุ ันเราตา่ งพบเจอกบั ปัญหามากมาย ไมว่ า่ จะนอ้ ยหรือใหญ่ ไมว่ า่ จะ เปน็ คณุ ภาพชวี ติ ความเหลื่อมลำ้ ทางสงั คม,สภาพแวดลอ้ มที่เส่อื มโทรม, ปัญหาขยะพลาสติก, โรคร้ายแปลก ใหม่ ปญั หาอาชญากรรม, ปญั หาทจุ รติ คอรร์ ปั ชั่น ปญั หาดา้ นการเมือง,หรือแม้แต่มิตรภาพของผู้คนทจี่ ืดชืดแห้ง แลง้ เป็นตน้ ปญั หาเหลา่ นี้ตา่ งถกู นำมาเป็นประเด็นในการสรา้ งสรรคผ์ ลงานศิลปะโดยใช้ศลิ ปะเปน็ เคร่ืองมือ เพือ่ สะท้อนสงั คม ดังนน้ั เราจึงมักจะสงั เกตเหน็ ไดว้ ่า “ศิลปะทีไ่ ดร้ ับอิทธิพลจากสภาพความเป็นจริงของสังคม ที่ศลิ ปินไดส้ ัมผัสดว้ ยตวั เอง ซ่ึงศิลปินได้นำเอาความรสู้ ึกเหล่านั้นมานำเสนอ และถ่ายทอดอารมณ์ความรสู้ กึ โดยผ่านผลงานศิลปะในรปู แบบตา่ ง ๆ และสอดแทรกเนื้อหาแนวความคิด ทีส่ ะท้อนให้เห็นถึงสภาพ หรือเหตุ ความเป็นจรงิ ทีเ่ กิดขึ้นในสงั คม และปลกู จิตสำนึกเพ่ือกระตนุ้ เตอื นใหผ้ คู้ นได้ตระหนักถึงคุณค่าของคุณธรรม ความดงี าม ความถูกตอ้ ง ซง่ึ เปน็ สิ่งทีข่ าดไมไ่ ด้ และมีความจำเป็นตอ่ สังคม” (วลิ ะสัก จันทลิ าด, 2562) ซึ่งแต่ ละศลิ ปินก็มีแนวทางในการสื่อสารปญั หาออกมาในรูปแบบที่หลากหลายและแตกตา่ งกนั แต่เม่ือมีความจรงิ ท่ี ปรากฏข้ึนจากการสะทอ้ นนั้นก็ยอ้ มมที งั้ ผู้ที่รบั ความจริงไดแ้ ละรบั ความจรงิ ไมไ่ ด้ งานศิลปะบางอยา่ งท่ีมีเนอ้ื หา กระทบกับใครคนหน่ึงหรือเป็นการเรยี กร้อง การตีแผ่ สะท้อนออกมาเป็นผลงานศลิ ปะ อาจไม่ไดเ้ ปน็ อสิ ระเสรี ในการแสดงออกต่อไป งานศิลปะบางอย่างท่ีมผี ู้คนกลุม่ หนึ่งไมย่ อมรับ ศิลปะจงึ ถูกกดทับภายใต้กฎเกณฑท์ ี่มี คนสร้างขน้ึ มา “เราทำงานศิลปะเหมือนลมหายใจ เราทำประจำ ทำทุกวัน ทำตลอดเวลา แต่แลว้ วนั หน่งึ มีคน สั่งห้ามเราทำงานศิลปะ มันเหมอื นมีคนอดุ จมกู ไม่ให้เราหายใจ” (มือบอน, 2563) ศิลปะเปน็ อาวธุ ทางปญั ญาอย่างหน่งึ ท่ีทำใหเ้ ราเห็นภาพรวมของความเป็นจริง และหากนำมาใช้ใหเ้ กิด ประโยชน์ เราจะเหน็ ไดว้ า่ ประโยชนข์ องศิลปะนอกจากจะเปน็ เหมือนกระจกสะท้อนภาพออกมาใหเ้ ราได้ ตระหนกั เหน็ ถึงปญั หาแลว้ ส่ิงทสี่ ำคญั คือมนุษยจ์ ะยอดรบั มองเหน็ ปัญหาและนำไปแก้ไขปญั หาทีเ่ กดิ ขึ้นได้ ศิลปะคืออาวุธทางปญั ญาเปน็ สง่ิ ทท่ี ำให้เราสามารถตระหนักคดิ และมองเห็นถึงปัญหาทเ่ี กดิ ขน้ึ จรงิ ได้ “ศลิ ปะมปี ระโยชนแ์ ละมีหลายฟังก์ชนั คือไม่ได้ทำได้แค่เสนอความงามเทา่ นั้น แต่สามารถใหป้ ัญญา คน หรือทำให้คนรนุ่ ใหม่ได้มองเหน็ ปญั หาและเข้าใจสิง่ ทเี่ กิดขน้ึ ในสังคม ดงั นน้ั ศลิ ปนิ หรือศลิ ปะจึงคล้ายกับ กระจกที่ส่องสะท้อนภาพของสงั คม” (สาธติ า เจษฎาภัทรกุล, 2563) ปญั หาที่สะท้อนออกมามีท้ังคนทมี่ องเห็น สามารถยอมรับ เปดิ ใจกับสิง่ ทส่ี งั คมกำลังเผชิญอยู่ และตระหนกั เพ่ือแก้ไขปญั หาเหลา่ นั้นให้ดีขึ้น และผู้ที่ไม่ 23

มองเห็น หรอื อาจจะมองเหน็ อยู่ แตไ่ ม่ได้ใส่ใจและให้ความสำคัญ และสดุ ท้ายอาจมผี ู้ที่ไม่ได้เห็นดว้ ยและ ยอมรบั กับปญั หาที่สะท้อนออกมา ศลิ ปะทส่ี ะทอ้ นออกมาอาจถูกวพิ ากษ์วจิ ารณ์ ถกู ทำลายใหส้ น้ิ แมก้ ระทง้ั ผลงานศลิ ปะท่เี ปน็ ทรพั ยส์ ินส่วนบคุ คลก็อาจถกู ขโมย หรือถูกนำมดั ใสถ่ ุงดำไปท้ิงจากกลมุ่ คนที่ไมย่ อมรบั ในการ แสดงออกของศลิ ปะและไมไ่ ด้มองเหน็ คุณคา่ เคารพในผลงานของศิลปิน กระจกบานนน้ั ที่ศิลปนิ สรา้ งขึน้ มา อาจไม่ได้มคี วามหมายและใช้ไมไ่ ดผ้ ลกับผู้คนบางกลุ่ม แล้วคุณมองเหน็ ภาพสงั คมปจั จบุ ันในกระจกเปน็ อย่างไร อา้ งอิง “ศลิ ปะล้อเลยี นสงั คม” , วิละสัก จนั ทลิ าด, (2562) วันที่สืบค้น 9 เมษายน 2564 [ออนไลน์] เขา้ ถงึ ไดจ้ าก https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jfa/article/view/163578 “ศิลปนิ กับศลิ ปะคือกระจกสะท้อนภาพของสังคม” – มือบอน , สาธติ า เจษฎาภัทรกลุ , (2563) วันทีส่ ืบค้น 9 เมษายน 2564 [ออนไลน์] เขา้ ถึงไดจ้ าก https://www.the101.world/mue-bon-interview/ 24

ศิลปะเชอ่ื งโยงกับสังคมอย่างไร ไกล หรือ ใกลต้ ัว อรญั ญา ผวิ ทอง ศิลปะกับสังคมนั้น อยู่คู่กันมาช้านานทุกยุคทุกสมัยทุกหนทุกแห่ง รอบตัวเรา ตั้งแต่ผนังโบสถที่ สวยงาม ไปจนถึงกำแพงงวัด หรือศิลปะแขนงอื่นๆ ที่คอยขัดเกลาจิตใจมนษุ ย์ และสร้างความจรรโลงใจให้แก่ โลกที่โหดร้ายใบน้ี ไม่ว่าจะเป็นการใช้รูปวาดบันทึกเรื่องราว จารึกบุคคล ในประเทศฝั่งตะวันออกนั้น ให้ ความสำคญั กับศิลปะมากแตม่ ีหลายคนบอกว่างานศลิ ปะเข้าใจยาก เป็นเร่ืองไกลตัว หลายคนกลวั ศิลปะ หลาย คนไม่เคยเข้าหอศิลป์ และอีกหลายคนอาจลืมไปว่าชีวิตของมนษุ ย์ล้วนมีความสนุ ทรียภาพที่เกิดจากศิลปะเขา้ มาเกี่ยวข้องเสมอ จงึ ทำให้สงั คมไทยในปัจจบุ ันมแี ต่ศลิ ปินทีส่ ร้างงาน แตก่ ลบั มีคนดหู รือเสพงานศิลปะน้อยลง ทุกที คุณชลิดา เอื้อบำรุงจิต ผู้อำนวยการหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ได้กล่าวว่าศิลปะในประเทศเรา นั้นถูกผลักออกไปอยู่ข้างๆเสมอ เหมือนถูกมองว่าเป็นสิง่ ที่ฟุม่ เฟือยของชวี ิต แต่จริงๆแล้ว ศิลปะเป็นสิ่งทีเ่ ป็น พืน้ ฐานของทุกอย่าง ไม่จำเปน็ ท่ีจะต้องมาแยกมองว่าจำเป็นหรือไม่ เพราะจำเปน็ อยู่แลว้ และก็สามารถอยู่กับ ทุกคนได้ ไม่จำเปน็ ตอ้ งมองว่าตวั เองเปน็ คนตสิ ท์ (artist) หรือวา่ เดก็ ศิลปห์ รือเปลา่ แตจ่ ะทำยังไงให้พ้ืนที่ของ ศิลปะเป็นพื้นที่ทีม่ คี วามสำคัญ “ ถ้ามองในมุมของ หน่วยงานภาครัฐก็จะต้องรบั ใช้ยทุ ธศาสตร์ชาติ 20 ปี แต่ ในยุทธศาสตรช์ าติ 20 ปี ศลิ ปวัฒนธรรมแทบจะไมม่ ที ่ีอยู่เลย การเชื่อมโยงจงึ เปน็ เรอ่ื งท่ียาก เพราะ บางทีสิ่งที่ ไมไ่ ด้อยใู่ นนโยบายก็จะยากท่ีจะขบั เคลือ่ น จากเหตุการณ์ความไม่ชัดเจนบีบรัดด้วยข้อจำกัดเวลา และเส้นตายขีดไว้ที่เดือนสิงหาคม 2564 ที่กรุงเทพมหานคร ต้องตัดสินใจว่า จะให้มูลนิธิหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร บริหารจัดการ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร หรือ หอศิลป์กรุงเทพฯ ต่อหรือไม่ ทำให้หลายคนที่ติดตามข่าวเร่ิม วิตกกังวล ถึงอนาคตชีพจรของหอศิลป์ใจกลางเมืองแห่งนี้ว่าจะเดินต่อ หรือถอยหลัง หรือจะเปลี่ยนถ่ายไปสู่ พื้นที่ศิลปะในรูปแบบใดต่อจากนี้ไป ทั้งนี้อนาคตของ หอศิลป์กรุงเทพฯ ไม่ได้มีความสำคัญแค่ว่าใครจะเข้ามา นั่งแท่นบริหาร แต่อนาคตของ หอศิลป์กรุงเทพฯ ยังเป็นคำตอบสำคัญของการจัดการพื้นที่ศิลปะในเมืองไทย รวมทงั้ ยงั เปน็ บทพิสูจน์ว่า ศิลปะน้ันยืนยาวกว่าชวี ิตดังวลีคลาสสิกจริงหรือไม่ (ลักขณา คุณาวิชยานนท์.2564) และเหตุการณ์ในครั้งนี้อาจกำลังตอกย้ำว่าการทำให้คนสามารถเข้าถึง เชื่อมโยง และบูรณาการศิลปะเข้ากับ ศาสตร์อื่น ๆ หรือการทำให้คนเข้าใจและเห็นคณุ ค่าของศิลปะ อาจเป็นสิง่ สำคญั ท่ีสุดในการสร้างอนาคต และ ต่อลมหายใจให้กับวงการศิลปะไทยให้คงอยู่ต่อไป การสร้างคนดูงานศิลปะ จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ควรทำให้เกิดขึ้น ซึ่งหอศิลป์เป็นพื้นที่ปลอดภัยในทางสุนทรียภาพ ของคนในสังคม หมายความว่าการมีชีวิตอยู่ในประเทศ หรือ เมืองเมืองหนึ่ง มีหลายมิติ เช่นมิติในการดำรงอยู่ได้ในเชิงเหตุผลและเหตุผล อีกอย่างหนึ่งคือเหตุผลทาง ศลี ธรรมและอันทีส่ าม เปน็ เหตผุ ลท่สี ำคัญกบั การมชี วี ติ ของมนุษย์ คอื เหตุผลในเชิงสุนทรยี ศาสตร์ สนุ ทรียภาพ ซึ่งไม่ใช่เหตุผลในเรื่องของผิดหรือถูกแต่มันเป็นเรื่องของรถสนิยม เป็นเหตุผลว่าเราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร 25

พ้ืนที่แบบนีเ้ ปน็ พนื้ ทท่ี ี่ไม่ไดถ้ ูกใช้บ่อยในเมืองของเรา ประเทศของเรานกั หอศิลป์เปน็ พน้ื ที่ท่ีปลอดภัยในไม่ก่ีที่ ที่ทกุ คนมีสิทธิท์ จี่ ะเขา้ มาดงู าน สอ่ื สาร แลกเปลีย่ นความคดิ ปญั หาหลกั ท่ที ำให้คนในสังคมมองวา่ ศิลปะเป็นเรอื่ งไกลตวั อาจเปน็ เพราะเขา้ ใจแค่วา่ ศิลปะคือการ แสดงออกซง่ึ ความคดิ ความร้สู ึกของคนทำ และเป็นความสวยงาม แตส่ ิ่งท่ีเพม่ิ ขึ้นมาทห่ี ลายคนอาจจะมองข้าม คือส่วนที่สามส่วนตัวมองว่าศิลปะเป็นสิ่งที่เชื่อม การเป็นสื่อเชื่อมความเข้าใจ ระหว่างกัน ทั้งในระดับสังคม ระดับเพื่อนบ้านหรือไม่ก็ทั้งในระดับประเทศ ศิลปะนั้นมีความสำคัญในตัวของมันอยู่แล้วแต่ แต่ความรู้ความ เข้าใจเหล่านี้มันยังไม่ส่งถึง ยังไปไม่ถึงคนทั่วๆไป คนทั่วไปยังเข้าใจอยู่ว่า คนที่ทำงานศิลปะหรือชมงานศิลปะ เป็นคนที่มีความติสท์ซึ่งมองว่ามันไม่ควรจะมองแบบนี้จะต้องเข้าใจว่าศิลปะเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถคิดได้ สรา้ งสรรคไ์ ด้ ทำไดเ้ หมือนกันไมใ่ ช่แคต่ ัวศลิ ปนิ สง่ิ ท่ีจะตอ้ งทำก็คือ จะต้องทำใหท้ ุกคนรับรู้และเข้าใจว่าศิลปะ เป็นเรื่องของทุกคน ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ทุกคนสามารถเป็นได้ทั้งสามบทบาทคือ การเป็นศิลปินผู้ สร้างสรรค์งาน บทบาทท่ีเป็นผ้ชู มผลงานรบั ร้ผู ลงาน และผู้อำนวยกระบวนการระหว่างตรงกลาง ศิลปะควรถูก มองว่าเปน็ สิง่ ท่เี ข้าถึงไดจ้ ับตอ้ งได้ สิ่งที่เป็นปัญหาอีกคือ อาจเป็นเพราะการเรียนการศึกษาของเราด้วย ตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยม เรา สอนศิลปะใหเ้ ด็กวาดรูป เตน้ นาฏศิลป์ไทย หรอื ตา่ ง ๆ นานา แตเ่ ราไมเ่ คยสอนให้เด็กเน้น art appreciation เราเลย ไม่สามารถเช่ือมโยงศิลปะเขา้ กับวิชาอื่น ๆ ได้ พอพื้นฐานเราเป็นแบบนี้ หอศิลป์จึงเป็นตัวกลางสำคัญ ที่ทำให้คนทั่วไปเห็นว่ามีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับอย่างอื่นด้วย เพื่อให้คนที่มองเห็นสามารถได้ใช้สมองทั้งสอง ดา้ น หอศิลป์ก็เปรียบได้กบั ห้องสมดุ แห่งประสบการณ์ ทไี่ ม่ไดเ้ กิดจากการอ่านเพยี งอยา่ งเดียว แต่อย่างไรก็ตามคนที่ใกล้ชิดกับเยาวชน ที่จะเป็นอนาคตของชาติ ที่จะเติบโตไปพัฒนาประเทศชาติ ต่อไป กค็ อื ตัวของครศู ลิ ปะเอง ฉะน้ัน ครูจะต้องทำให้การสอนศิลปะ หรือตวั ศิลปะเป็นส่ิงท่ถี กู บอกเล่า สอื่ สาร ให้กับ สังคมให้เหน็ ว่า ศิลปะเป็นเรื่องใกล้ตัว มนั ไม่ใช่เรื่องของศิลปนิ หรอื ไม่ใชแ่ คเ่ รื่องของคนรักศลิ ปะ เทา่ น้ัน มันเป็นเรื่องของทุกคน และบทบาทหน้าที่ระหว่างผู้เสพผู้ทำหรือผู้อำนวยการระหว่างตรงกลาง สิ่งเหล่าน้ี สามารถสลับหน้าที่กันได้หมด เมื่อไหร่ก็ได้ ภาพจากต่างประเทศที่มองเข้ามาจริง ๆ แล้วศิลปะเป็นเหมือนกบั ภูมิทัศน์ทางสังคม เปน็ ภาพท่ีทำให้ขา้ งนอกได้มองเหน็ ว่า ปัจจุบนั น้หี รือ ณ วันนี้ สังคมของเราพูดถึงเรื่องอะไร และส่ิงที่สำคญั คอื เป็นสงิ่ ท่เี ชื่อมโยงตอ่ ระหวา่ งคน ในสังคม คนในประเทศและระหวา่ งประเทศ อา้ งอิง bacc channel. (8 ธนั วาคม 2563). TALK: เสวนา “หวงั /สิน้ หวงั ของพน้ื ที่ศลิ ปะในประเทศไทย\" (2020). [Video file]. สืบคน้ จาก https://www.youtube.com/watch?v=AEwSIEJKHXA. ลกั ขณา คุณาวิชยานนท์. 2564 .ศลิ ปะ (อาจไม่) ยนื ยาว เช็คชีพจร หอศลิ ป์กรุงเทพฯ กบั ปัญหาพน้ื ท่ีศลิ ปะใน เมอื งไทย. สบื คน้ จาก : https://www.sarakadeelite.com/arts_and_culture/save-bacc/. 26

สารทีส่ ่งไปไมถ่ ึงเปรียบได้เหมอื นกับอตั ลักษณท์ ีย่ ังไม่ไดแ้ สดงออก เสาวภาคย์ เพ็ชรหงษ์ บนโลกนที้ มี่ ีผ้คู นมากมาย คนเราลว้ นมีความความแตกต่างและหลากหลาย ทั้งด้านรปู ลักษณ์ ลักษณะ อุปนิสยั รวมถงึ แหล่งทเ่ี ราอยู่อาศัยและเตบิ โตมา ซ่ึงเราเรยี กมนั วา่ สงั คม มนั คอื การอยู่รวมกนั ของมนษุ ยโ์ ดยมี ลักษณะความสมั พนั ธ์ซง่ึ กนั และกนั หลายรปู แบบ ซง่ึ ปฏเิ สธไมไ่ ดว้ า่ สังคมคือส่วนหนึ่งทีห่ ลอ่ หลอมให้มนษุ ณ์ เป็นไปในรูปแบบใด โดยเฉพาะในดา้ นพฤติกรรมและค่านยิ ม แลว้ เหตใุ ดมนุษยจ์ ึงต้องตอบสนองตอ่ คา่ นิยมใน สังคมนัน้ ด้วย อาจจะเพราะมนษุ ย์ต้องการ การเป็นท่ยี อมรับเพราะมนั คือเงื่อนไขหนึ่งของสงั คม การท่มี ีผคู้ น มากมายหลากหลายท้งั เหมอื นหรือแตกต่างกนั สงั คมคมจึงเป็นแนวทางปฏบิ ตั ิให้มนุษย์ต้องอาศัยอย่รู ว่ มกนั โดยไม่แปลกแยก น่ีจงึ เปน็ เหตผุ ลว่าทำไมเราถึงตอ้ งการการยอมรับและกลัวท่ีจะแตกต่างจากผคู้ นส่วนมากใน สังคม แตก่ ป็ ฏิเสธไม่ไดว้ ่ายังมผี ้คู นอีกจำนวนหนึง่ ท่ีเลอื กอาศยั อยู่ในสังคมโดยเดนิ บนเส้นทางของความ แตกตา่ ง ซึ่งความแตกต่างท่ีว่านนั้ คอื การแสดงอตั ลกั ษณค์ วามเปน็ ตวั ตนของตนเองออกมาถึงความหลากหลาย ของมนุษย์ แต่ความหลากหลายนนั้ กบั โดนสงั คมหล่อหลอมให้จำเปน็ ตอ้ งทำหนา้ ทีห่ รือรับบทบาทต่าง ๆ ในสง่ิ ที่คนในสงั คมสมมติขึ้นมา หากกลา่ วในทางที่ดแี นน่ อนว่ามันชว่ ยจัดระเบยี บให้คนในสงั คมมคี วามสงบเรียบร้อย เดินไปในทิศทางเดยี วกันในการอยรู่ ่วมกนั แต่ถ้าเป็นในด้านของจติ ใจ สำหรับคนทยี่ อมรับมันได้แนน่ อนว่านน่ั ไมใ่ ช่ปญั หา แต่คนท่ปี ฏบิ ตั ติ นตามกรอบของสังคมแล้วแตย่ ังรสู้ กึ วา่ เหตใุ ดจิตใจความร้สู ึกในการเป็นตวั ของ ตวั เองในการทจ่ี ะแสดงอัตลักษณ์ของตนเองออกมากลับตอ้ งโดนกดทับตามไปด้วย การแสดงออกจงึ เป็นสิ่ง สำคัญในการเรยี กรอ้ งส่ิงเหลา่ นี้ เมอื่ เรานึกถึงการแสดงออกหรอื การเรียกร้องในเชงิ สญั ลกั ษณ์ คำวา่ “ศลิ ปะ” คอื คำทต่ี อบโจทยไ์ ดด้ ีทีส่ ุด เพราะการสง่ เสียงไมใ่ ชท่ างทดี่ ีที่สดุ เสมอไปในการส่งสาร เสียงของคนเราเพยี งลำพงั มนั ไม่สามารถดังพอท่ที ำใหผ้ ้คู นได้ยนิ และจดจำมนั ไดน้ าน การรบั ร้ขู องผคู้ นในสังคม จงึ จำเปน็ ต้องมีเคร่ืองมือ มอื ในการส่งเสยี งหรือสารน้นั ออกไปให้ผูค้ นในสงั คมไดร้ ับรู้ แต่ใช่วา่ ศลิ ปะจะเปน็ เคร่ืองมือทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพและ ไดผ้ ลมากเพียงพอ หากผคู้ นในสงั คมยังไมร่ จู้ กั และไม่คดิ ทจ่ี ะเรยี นรู้เคร่ืองมือนีใ้ หด้ ีพอว่าศิลปะมหี น้าท่ีอยา่ งไร ไมร่ วู้ ่าศลิ ปะคอื อะไร และมีประโยชน์อย่างไร สารท่ีอยบู่ นงานศลิ ปะก็ย่อมไร้คา่ และไร้ความหมาย ในทาง กลับกนั คุณค่าของมนั กลับไปอยูท่ ่เี ปลือกนอกหรือรูปลักษณ์ของงานศิลปะแทน ซึ่งไม่ผดิ ที่จะคิดหรือให้คา่ มัน แบบนั้น แตต่ ิดทวี่ ่าแล้ววิชาศิลปะใหอ้ ะไรกับคนในสังคมไปบา้ ง สิ่งท่ีไดเ้ รียนรูใ้ นการเรียนวชิ าศลิ ปะคอื ต้องวาด ภาพให้สวยเพียงอยา่ งเดยี วหรอื ไม่ หากจะวาดภาพเพื่อสือ่ ความหมายเพ่อื เรยี กรอ้ งการแสดงออกในความ หลากหลายของมนษุ ย์ให้เกิดการยอมรับและเท่าเทยี มแตม่ ันดันไปขดั กบั คา่ นยิ มของสงั คม เราจะยังเรียกมันว่า เป็นศลิ ปะได้หรือไม่ ซง่ึ ขา้ พเจ้าเชื่อว่าหลายคนอาจมคี ำตอบอยใู่ นใจเปน็ ของตัวเองแล้ว 27

ดงั น้ันคนทเี่ ปน็ ครูศลิ ปะควรส่งสารหรือแสดงอตั ลกั ษณ์ของความเปน็ ครูศิลปะที่ควรจะเป็นนนั้ ใหถ้ งึ ผู้เรยี นหรือผ้คู นในสงั คม คือการทำให้คนในสังคมได้รู้จกั ได้เรยี นรแู้ ละตระหนักถงึ คุณค่าจรงิ ๆ ของคำวา่ ศิลปะ เพ่อื ให้มันเป็นเคร่ืองมือท่ีมีคุณคา่ และมปี ระสิทธิภาพในการเรียกร้องหรือสง่ เสรมิ ใหส้ ังคมดีขน้ึ สงั คมท่ีวา่ นค้ี ือ ผู้คน ทย่ี งั ต้องการการยอมรับในความแตกต่างและต้องการมชี ีวติ ทดี่ ขี ้ึน ถึงแมว้ า่ สารท่วี ่าจะเปน็ งานศิลปะ ประเภทจติ กรรม หรือภาพวาดทม่ี ันอาจจะไม่มเี สียง แตผ่ ู้คนสามารถไดย้ ินและรบั รู้ได้ หากครศู ลิ ปะได้ทำ หนา้ ท่ีในการสอนใหผ้ ูค้ นได้เรียนรู้และเขา้ ใจในความหมายของคำวา่ ศิลปะที่แท้จรงิ แล้วผ้คู นจะไมร่ สู้ ึกถึงคำว่า ศลิ ปะเปน็ เรื่องท่ีไรส้ าระหรือไมจ่ ำเป็น กลบั กนั มนั จะเปน็ คำท่รี สู้ ึกว่าวิเศษมากสำหรบั คนทรี่ กั และศรทั ธาใน ศิลปะ 28

29

ความเปน็ ตวั ตนกับศลิ ปะในโรงเรียน พนิดา ภูท่ อง ศิลปะนบั วา่ เป็นศาสตร์ที่มีประวัติศาสตรย์ าวนาน ต้งั แต่มมี นุษย์เกดิ ข้ึนในอดตี จนถงึ ปจั จุบัน มี เร่ืองราวศลิ ปะหรือสิง่ ตา่ ง ๆ เกิดขนึ้ มากมาย ดังนั้นจงึ มศี ิลปะแตกแขนงมากมายหลายสาขา เม่ือศลิ ปะได้ถูก นำมาบรรจุใหอ้ ยู่ในหลกั สูตรการศึกษาแล้วนั่น จงึ เกดิ ปญั หาในเรอ่ื งขอบเขตของเนื้อหา การศึกษาไทยจงึ นำเอา ทฤษฎีพหุศิลปศกึ ษาเชงิ แบบแผนมาปรบั ใช้ในหลักสูตรรายวิชาศิลปะ ไดแ้ ก่ ประวตั ศิ าสตร์ศิลป์ (Art History) สุนทรยี ศาสตร์ (Aesthetics) ศิลปวจิ ารณ์ (Art critisism) และศิลปะสร้างสรรค์ (Art Production) โดย จดุ มุ่งหมายคือมุ่งเนน้ การสร้างความสมดลุ ในการรบั รู้ ความคิดสร้างสรรค์ และสนุ ทรียศาสตร์ เนอื้ หาทงั้ 4 แกนนีม้ ีปจั จัยทเ่ี ก่ียวข้องเชน่ คา่ นิยม สังคม ระบบการศกึ ษา เปน็ ตน้ และเมื่อใดกต็ ามที่ปจั จยั เหลา่ นเี้ ขา้ มามี อิทธพิ ลเหนือการรบั รู้ ความสรา้ งสรรค์ และสนุ ทรียศาสตร์ หรอื อยา่ งใดอย่างหนึง่ ก็จะขาดความสมดุลทาง ศิลปะ โดยเริม่ ตัง้ แตร่ ะบบการศึกษาท่เี ข้ามามบี ทบาทสำคัญในด้านเนอ้ื หารายวิชาศลิ ปะ ถึงแม้จะนำเอา ทฤษฎพี หุศลิ ปศกึ ษาเชงิ แบบแผนมาปรบั ใช้กบั หลกั สูตรแกนกลาง หลกั สตู รนั้นมเี น้ือหาที่มากเกินพอดี เมื่อ สถานศกึ ษานำมาปรบั ใช้ บวกกบั จำนวนชว่ั โมงเรยี นศิลปะที่นอ้ ยเกินไปเมื่อเทยี บกบั เนือ้ หาท่มี ี ส่งผลใหเ้ ป็น ภาระทง้ั ต่อตัวผู้สอนและผ้เู รียน ผสู้ อนรบั บทหนกั ในการสอนแตล่ ะครงั้ และผเู้ รียนเกิดการเรยี นรไู้ ดไ้ ม่ตรงตาม จุดมุ่งหมายทตี่ ้ังไว้ เน่ืองจากเนื้อหาเยอะเกินกว่าท่ผี ู้เรียนจะสามารถเรยี นรู้ได้ภายในชั่วโมงเรยี น แม้การปรับกิจกรรมการเรยี นเรยี นรใู้ หเ้ หมาะสมกบั เวลา และเหมาะสมกบั ผเู้ รยี นนนั้ จะเปน็ หน้าท่ขี อง ผู้สอนแลว้ แตห่ ากหลกั สตู รมีการตัดเนอื้ หาศิลปะบางส่วนออกไป หรือลดความซ้ำซ้อนของเนอ้ื หาในแต่ละ ระดับชั้นลง หรือแม้แต่สถานศึกษาเองก็ควรจะเพิ่มจำนวนช่ัวโมงเรียนศิลปะต่อสปั ดาห์ เพ่อื ชว่ ยใหผ้ สู้ อนมีเวลา ทมุ่ เทกับการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนในแต่ละครั้งมากยิง่ ขึ้น เนอ่ื งจากศลิ ปะจำเป็นตอ้ งจดั กจิ กรรมท่ีให้ ผ้เู รยี นสร้างสรรค์ผลงานและเกิดความสนุ ทรีไปกับการเรยี นศิลปะ นอกจากระบบการศึกษาที่เป็นปัจจัยท่สี ง่ ผลต่อเนอ้ื หาทก่ี ล่าวไวข้ ้างตน้ แลว้ ยังมใี นด้านสังคมที่มี มมุ มองความคดิ หรือค่านยิ มทวี่ ่าศลิ ปะนั้นประยุกต์ใชใ้ นชวี ติ จริงได้ยาก อย่างไรกต็ ามส่วนใหญ่จะนกึ ถึงการ ประกอบอาชีพท่ีมีความเกี่ยวขอ้ งกบั ศลิ ปะโดยตรงเชน่ นักออกแบบ สถาปนิก จิตรกร เป็นต้น แต่ในความเป็น จริงเราทกุ คนกส็ ามารถเป็นผู้สร้างและเปน็ ผูช้ มงานศลิ ปะได้ เชน่ การเลือกสีสงิ่ ของ การปลกู ตน้ ไม้ หรือแม้แต่ การทำอาหารที่มีการจัดตกแต่งจาน เป็นตน้ ดังนัน้ สงิ่ ท่คี วรเพิม่ เติม หรือสอดแทรกเข้าไปดา้ นเน้อื หา โดย ผูส้ อนต้องปลูกฝังใหผ้ ูเ้ รยี นเกิดการเรยี นรู้ เช่อื มโยง และเห็นคุณค่าของการนำศิลปะไปประยุกตใ์ ชใ้ น ชวี ติ ประจำวัน กจิ กรรมหรือส่ิงใดทท่ี ำใหผ้ ู้คนเกิดสนุ ทรียะภาพ ถือว่าเปน็ ศลิ ปะท้งั สิน้ เพราะศลิ ปะน้ันอยู่ รอบตัวเรา 30

อา้ งอิง ณัฐนันท์ อนิ สง. (2562). พหุศลิ ปศกึ ษากับการศึกษาปฐมวัย. สบื คน้ เมอ่ื 9 เม.ย. 2564 จาก https://www.gotoknow.org/posts/658592 วิกพี เี ดีย สารานุกรมเสร.ี (2561). ศลิ ปะ. สืบค้นเม่ือ 9 เม.ย. 2564 จาก https://th.wikipedia.org 31

วชิ าศลิ ปะกับการถกู ละเลย ธีรจ์ ุฑา คดิ ฉลาด ศลิ ปะ ความธรรมดาท่แี สนจะพิเศษรอบตัวเรา ศลิ ปะแฝงตัวและรายล้อมอยู่รอบๆตัวเรา ทกุ ท่ที ี่เราไป ทุกทท่ี ี่เราจร ล้วนมศี ลิ ปะท้ังสิน้ เราเรียนร้อู ะไรเกี่ยวกบั ศิลปะในโรงเรียนบา้ ง เราวาดรปู อยา่ งเดียวอย่างนัน้ หรอื ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 ระบุ ความสำคญั ของหลักสูตรไว้อยาง ชัดเจนว่ากลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะเปน็ กลุ่มสาระท่ีช่วยพัฒนาใหผ้ เู้ รียนมี ความคิดสรางสรรคมจี นิ ตนาการทาง ศิลปะ ชืน่ ชมความงาม มีสนุ ทรียภาพ ความมีคุณค่า ซึ่งมีผลตอ่ คุณภาพ ชีวติ มนุษย์ อันเป็นพ้นื ฐานใน การศึกษาต่อหรือ ประกอบอาชีพได้ โดยกำหนดเปน็ มาตรฐานท่ี ศ.1.1 และ ศ.1.2 อันเปน็ ทศิ ทางที่จะนําไปสู่ เป้าหมายของ หลกั สูตรทจี่ ะทำใหผู้เรียนสรา้ งสรรคง์ านทัศนศลิ ป์ตามจนิ ตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ วเิ คราะห์ วพิ ากษ์ วจิ ารณคุณคา่ งานทัศนศลิ ป์ ถ่ายทอดความรสู้ กึ ความคิดตองานศิลปะอยา่ งอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ใน ชีวติ ประจำวัน เข้าใจความสมั พนั ธ์ระหว่างทัศนศิลป์ ประวตั ิศาสตร์ และวัฒนธรรม เหน็ คุณ คางานทัศนศิลป์ที่ เป็นมรดกทางวฒั นธรรม ภมู ปิ ัญญาทองถิน่ ภมู ปิ ัญญาไทยและสากล (กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2551) จากข้อความข้างตน้ การเรียนศิลปะนนั้ ดูจะมีเนื้อหาใจความและส่งิ ตา่ งๆให้เราไดเ้ รยี นรู้อยมู่ ากมาย หากแตใ่ นความเปน็ จรงิ นนั้ เราไดเ้ รยี นร้สู ่งิ เหลา่ น้ันจรงิ ๆ หรอื โดยสว่ นตวั แล้วสำหรับปญั หาในการเรียนวชิ า ศิลปะในปัจจบุ นั นั้น มปี ัญหาอยู่ค่อนข้างมาก สาเหตุหลกั ๆน้ันมาจากค่านิยมของผคู้ นในสังคมทีว่ ่า ศิลปะนั้นไม่ สำคญั และย่ังยืนเทา่ กับการลงทนุ กับวทิ ยาศาสตรห์ รือคณติ ศาสตร์ ค่านิยมดังกล่าวน้นั สง่ ผลตอ่ การเรยี นศลิ ปะ ในหลาย ๆ ด้าน ท้ังในสว่ นของเวลาสำหรับช่วั โมงการเรียนในรายวชิ าศิลปะทม่ี ีอย่นู อ้ ยนดิ เสยี จนทำให้บริหาร จดั การไดย้ าก ตลอดไปจนถงึ ปัญหาครูศลิ ปะจำเปน็ ผู้ซึ่งไม่ได้จบศลิ ปะโดยตรง การเรยี นศลิ ปะน้ันเป็นสิ่งทีถ่ ูกละเลยมาเป็นเวลานาน และถูกลดบทบาทลงเร่ือย ๆ เนอ่ื งจากผูค้ นไม่ได้ ให้คุณค่ากบั มนั อย่างทคี่ วรจะเป็น ซำ้ ร้ายในบางโรงเรยี นได้มีการลดเวลาคาบเรียนศลิ ปะหรอื ได้มีการขอคาบ เรยี นศลิ ปะเพ่ือให้เวลากบั การทำกจิ กรรมในรายวชิ าอ่ืนอกี ด้วย ศลิ ปะสำคัญน้อยกวา่ วิชาอืน่ อย่างไรกัน ดังที่ กล่าวข้างต้นในเรื่องของชว่ั โมงในการเรยี นการสอน ศิลปะไม่ใช่สตู รท่องจำหรือเปน็ เพยี งแค่บะหม่กี ง่ึ สำเร็จรปู ที่ สามารถทำเสรจ็ หรอื เรียนรไู้ ด้ภายในเวลาอันส้นั การเรียนรทู้ กุ อย่างเกดิ จากการทดลองและลงมอื ปฏิบัติ เชน่ เดยี วกบั วทิ ยาศาสตร์ การจำกดั เวลาหรอื เวลาทีน่ อ้ ยนิดน้ันไม่ไดท้ ำให้เกดิ การเรยี นรู้ท่แี ท้จริง ซง่ึ สงิ่ เหลา่ น้ีเอง สง่ ผลกระทบต่อเน้ือหาและการจดั การเรียนการสอนอีกด้วย เมอื่ การเรียนในหนึง่ คาบเรียนไมเ่ พยี งพอ พวกเขา แบง่ เปน็ สองและจากสองเปน็ สาม และถา้ หากว่าไม่มีการจัดสรรเวลาท่ดี จี ากครูผู้สอนนักเรียนก็จะพลาดเนื้อหา อีกคร่ึงท่เี หลือไป ปญั หาเหลา่ นีพ้ บไดบ้ ่อยครั้งจากหลาย ๆ โรงเรียน จากการสอบถามเพ่ือนและคนรจู้ ัก ทุกคน จะเรียนตามบทเรยี นในชว่ งแรก ก่อนท่คี รผู ู้สอนจะพบวา่ พวกเขาไม่มีเวลาสำหรับส่วนที่เหลอื ท้ังหมด บางทอี าจ 32

เป็นเพราะการจัดการท่ีไมด่ ีของครผู สู้ อน หรือจริงๆแลว้ มนั อาจเป็นปญั หาทหี่ ลักสูตรหรือเปลา่ ทำไมเรายังได้ เรยี นเนอ้ื หาเดิม ๆ เร่ืองเดิม ๆ ในขณะทเี่ ราเลื่อนช้ันข้ึนมาแล้ว ทำไมบทเรยี นยังคงสอนเราแต่เรอ่ื งวงจรสีซำ้ ๆ ทงั้ ท่ีเน้ือหาไม่ได้แตกตา่ งไปจากตอนทีเ่ ราได้เรียนเม่ือปีท่ีแล้ว เพ่ือใหเ้ ราเข้าใจมันอย่างลึกซ้ึงขึ้นอยา่ งน้นั หรือ หรอื เป็นเพราะไมม่ ีอะไรทน่ี ่าสนใจมากพอให้ใส่เข้าไปในบทเรยี นได้อีกแล้ว อย่างไรก็ตามมีคำกล่าวทวี่ า่ ศิลปะคือส่งิ ท่แี สดงถึงความเจริญงอกงามของบ้านเมือง สอดคล้องกับท่ี เฟรเดรคิ เจมส์ เกร๊ก ได้เขียนไวใ้ นคำนำสจู บิ ตั รการแสดง Armory show ในอเมริกาเมื่อ ค.ศ. 1913 ตอนหน่ึง กล่าวว่า “ศิลปะ คือ เคร่ืองหมายแห่งชวี ติ ” ( Art is sign of life) และไมว่ ่าเราจะคน้ หาในเวบ็ ไซต์หรือหนังสือ เล่มไหนในประเทศเรากจ็ ะค้นพบวา่ ศิลปะนัน้ ถูกยกย่อง สรรเสริญเยินยอตา่ ง ๆ นานา ซึ่งขดั กบั คา่ นยิ มและ ความเป็นจริงทางสงั คมที่มองว่าศิลปะเปน็ งานของคนขเี้ กียจหรอื คนเขลาท่ีไมส่ ามารถเรียนสายวทิ ยไ์ ด้เท่าน้ัน ถงึ เวลาหรือยัง ทเ่ี ราจะใหค้ วามสำคญั กับศิลปะ และใหศ้ ลิ ปะอยูใ่ นทท่ี ีม่ นั ควรจะอยู่ อ้างอิง วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยศิลปากร ปีท่ี 17 ฉบับท่ี 1 (มกราคม 2562 – มถิ ุนายน 2562) สบื ค้นเมื่อ 9 เม.ย. 2564 จาก https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/issue/view/13169 ศิลปะคืออะไร. สบื ค้นเม่อื 9 เม.ย. 2564 จาก sites.google.com/site/reuxngphessuk/silpa-khux-xari 33

ศลิ ปะใชไ้ ด้จริง (หรือ?) จรุ ีรตั น์ โนราช “เรยี นศิลปะไปเพอื่ อะไร” หลายทา่ นอาจจะเคยไดย้ ินคำกล่าวดังขา้ งต้น ซ่งึ เปน็ ถอ้ ยคำทีเ่ ราหลายคน ตา่ งกค็ ุน้ เคย ไมว่ า่ จะมาจากเสียงบน่ ของเหลา่ นักเรียนระดับมัธยมศกึ ษา ผ้ใู หญ่ที่ไม่ไดใ้ ห้ความสำคัญกบั ศิลปะ หรอื อาจจะได้ยินแวว่ ๆ จากคนแปลกหน้าในบางสถานท่ี แม้กระท่งั การถกเถยี งในอินเทอร์เนต็ ประเดน็ เร่ือง รายวิชาทค่ี วรตดั ออกจากหลักสูตรการศึกษาไทยกม็ กั จะพบวา่ มีรายวิชาศิลปะเปน็ หน่งึ ในนน้ั อะไรท่ที ำให้ผคู้ น ละเลยวิชาศลิ ปะ อยู่นอกสายตาและถูกมองข้ามอยู่เสมอ ถึงแม้จะมีประโยค “ศิลปะใชไ้ ดจ้ รงิ ” แต่จะมสี กั ก่ีคน ทเ่ี หน็ ดว้ ย หากจะมองหาถงึ สาเหตุของปัญหาดงั กล่าวก็อาจจะต้องมคี วามความเก่ยี วของกบั อีกหลายประเดน็ ไม่ ว่าจะเป็นเรื่องของหลกั สูตร สงั คม ปรัชญา หรือจิตวทิ ยา และถ้าหากลองมองในมมุ ของบุคคลท่ัวไปท่ีไม่ได้ สนใจเฉพาะทางในดา้ นศิลปะแลว้ กจ็ ะเจอกับคำตอบง่าย ๆ วา่ “เรียนศิลปะแล้วไม่ได้ใช้” หลายตอ่ หลายครงั้ ที่ ผคู้ นพบวา่ เนื้อหาของรายวชิ าศิลปะที่ถูกบรรจุไวใ้ นหนังสือเรยี นหรอื สื่อการสอนตา่ ง ๆ นั้นไมไ่ ด้มเี น้ือหาที่ เช่ือมโยงเข้าสูช่ วี ติ จรงิ จนเกดิ ข้อสงสยั ว่าถ้าไม่ไดน้ ำไปใชแ้ ลว้ เราจะเรยี นไปทำไมกนั นะ? และอีกหนึ่งข้อสงสยั ท่ี มีผลตอ่ การดำเนินชีวติ มากท่ีสุดก็คอื “เราจะเอาความร้เู หลา่ น้ีไปใชต้ อนไหน?” เหลา่ ผูป้ กครอง นักเรียน และพลเมอื ง เราทุกคนตา่ งกค็ าดหวังว่าเมอ่ื ไดเ้ ข้ามาในอยู่ในการศึกษาข้ัน พื้นฐานทใี่ ชร้ ะยะเวลาในการเรยี นอันแสนยาวนานมากถึง 12 ปีแลว้ จะสามารถนำความรู้ท่ีได้จากการปลูกฝงั ส่งั สม และร่ำเรียนมาจากสถานศึกษาออกมาใช้ประโยชน์ในการดำเนินชีวติ ไมใ่ ชเ่ พียงแค่ในรายวิชาศลิ ปะ เทา่ นน้ั แตท่ ุกรายวชิ าลว้ นกถ็ ูกคาดหวังไม่ตา่ งกนั แตแ่ ลว้ การศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐานกลับไม่สามารถตอบสนองความ คาดหวังนี้ให้กบั ผคู้ นในสงั คมได้เทา่ ที่ควร เป็นเร่ืองทน่ี ่าแปลกใจท่ีเน้ือหาท่ใี ชใ้ นการเรยี นการสอนส่วนใหญไ่ ม่วา่ จะเปน็ หนังสอื เรียนหรือสื่อการเรยี นรตู้ า่ ง ๆ ล้วนแล้วแต่กล่าวถงึ สง่ิ ที่เป็นวชิ าการ เชน่ ทฤษฎที างศลิ ปะ หลักการจัดองค์ประกอบ และเนือ้ หาทางประวัติศาสตรศ์ ลิ ป์ ซ่ึงมักจะเป็นทฤษฎที ่ีมเี พ่ือนำมาใชใ้ นการ สรา้ งสรรคผ์ ลงานศิลปะ ประวตั ศิ าสตร์ หรอื การศึกษาที่ค่อนข้างเฉพาะทางเท่าน้นั แตก่ ลับไม่มีการนำเสนอ เน้ือหาท่เี ป็นการประยุกต์ใช้หรอื เก่ยี วเน่ืองกบั ชวี ติ ประจำวันของผ้คู น หากจะมกี ็เป็นเพยี งแค่สว่ นน้อยเท่านั้นที่ สอดแทรกการนำศลิ ปะไปประยุกตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจำวนั และเม่ือส่ิงท่ีควรบรรจเุ น้ือหาที่ควรนำไปใชอ้ ย่างหนงั สือ และส่อื การเรียนรู้ขาดสิ่งทีจ่ ำเปน็ ที่สุดอย่างการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันไป หน้าทน่ี ีจ้ งึ ตกเป็นของครผู สู้ อน ท่ีจะต้องจัดการเรียนการสอนทีเ่ น้นการนำไปประยุกตใ์ ช้เพื่อเป็นการแกป้ ญั หาน้ีในขณะทห่ี นงั สือเรียนหรือสื่อ การเรยี นรูท้ ีค่ วรจะเปน็ แหลง่ ความรขู้ องผเู้ รยี นและช่วยอำนวยความสะดวกแกค่ รูผสู้ อนทำไดเ้ พียงแค่บรรจุ เนอ้ื หาที่สามารถสบื คน้ เองได้ในอนิ เทอรเ์ นต็ การเรยี นการสอนเปน็ ไปในลักษณะน้ีมานานในความทรงจำของ ผเู้ ขยี น เม่อื หนงั สือขาดส่งิ ทสี่ ำคญั ที่สุดอย่างการประยุกตใ์ ชไ้ ป จึงเป็นเหตใุ ห้ผูเ้ รียนขาดการนำความรเู้ ชื่อมโยง สู่การนำไปใชใ้ นชีวิตประวนั และดำเนินรูปแบบเชน่ นม้ี าจากรุ่นสูร่ ุ่นจนทำใหผ้ ู้คนท่ีทั้งผ่านการศกึ ษาขึ้นพืน้ ฐาน 34

และกำลังอยูใ่ นการศึกษาข้ันพนื้ ฐานเกดิ ความรสู้ ึกวา่ ไมม่ คี วามจำเป็นท่ีต้องเรียนวชิ าศิลปะ เพราะไม่สามารถ นำไปใชไ้ ด้จริง ถกู ต้องแลว้ หรอื ที่การศึกษาวิชาศลิ ปะจะยงั คงเปน็ เช่นนต้ี ่อไป ถงึ เวลาแล้วหรือยังที่ควรจะต้อง ปรบั ปรงุ เปลย่ี นแปลงเนอื้ หาและสาระการเรยี นรใู้ นรายวชิ าศิลปะที่บรรจุในหนงั สอื ให้มีความเช่อื มโยงกับชีวติ จรงิ มากย่งิ ขึ้น เนน้ การประยุกต์ใช้มากย่ิงขึ้น ลดทฤษฎีต่าง ๆ ท่ีคอ่ นข้างเฉพาะทางใหน้ อ้ ยลงเพ่อื ใหเ้ น้ือหาใน รายวิชาศลิ ปะถูกมองว่าสำคัญและสามารถนำไปใชไ้ ดจ้ ริง เชน่ การเพ่ิมเน้ือหาศลิ ปะท่ีสอดแทรกอยู่ใน ชวี ิตประจำวัน ศิลปะการแต่งกาย ศลิ ปะการตกแตง่ อาหาร เป็นตน้ หากในอนาคตเราสามารถปรับปรุงแก้ไขเน้ือหาการเรยี นในรายวชิ าศิลปะไดด้ ั่งท่ีกล่าวไปข้างต้นได้ สำเร็จ รายวชิ าศลิ ปะกจ็ ะถกู มองว่าเป็นรายวชิ าท่เี รียนแลว้ สามารถทำใหเ้ กดิ ประโยชนไ์ ด้ นำมาใชใ้ น ชีวิตประจำวันได้จริง จะเปน็ การนำรายวิชาศิลปะเขา้ ไปอยู่ในสายตาของผู้คน ถูกให้ความสำคญั ทำให้ศลิ ปะ แทรกซึมอยูใ่ นชวี ติ ประจำวันของผูค้ น ให้ศลิ ปะไดท้ ำหน้าที่ท่ีมากกวา่ การเป็นเพยี งแคช่ ิ้นงาน ลบคำถามที่วา่ “เรยี นศิลปะไปเพอื่ อะไร” และตอกย้ำวาทกรรม “ศลิ ปะใช้ได้จริง” ให้เป็นประโยคที่ทกุ คนตา่ งเหน็ ด้วยและ ยอมรบั 35

ศลิ ปะกบั กิจกรรมการเรยี นการสอนท่สี ่งเสริมพฒั นาการของผู้เรยี น ตามแต่ละช่วงวยั ปาลิตา วรรณศิริ เนอ้ื หารายวิชามกี ารเรยี นการสอนท่ีไมเ่ ปน็ ขนั้ เปน็ ตอน จากการสอนถามผูเ้ รยี นการเรยี นการ สอนจะวนอยู่กบั ท่เี ด็กไมค่ ่อยมีกจิ กรรมเสริมความรู้ใหม่ ๆ ตามพัฒนาการของผเู้ รียนในแตล่ ะช่วงวัย เพือ่ ส่งเสรมิ พฒั นาการดา้ นด้านรา่ งการและสมองอย่างเต็มที่ การเรียนกรสอนในปจั จุบัน ครูผู้สอนตอ้ งปรบั เปลย่ี น การสอนไปตามยุคเทคโนโลยีสมัยใหม่เพ่ิม เทคนิคต่าง ๆ มาใช้ในการจัดการเรยี นการสอนเพ่อื สร้างผเู้ รียนแต่ ละคนใหถ้ ึงจุดหมายสงู สุดของการเรยี นรู้ รว่ มกบั การนำเปา้ หมายของหลดั สตู รการศึกษาของแตล่ ะสถานศกึ ษา มาเป็นเปา้ หมายของการเรยี นรู้ จากท่กี ลา่ วมารายวิชาศิลปะเป็นรายวิชาทส่ี ามารถส่งเสริมในดา้ นรา่ งกายและ สตปิ ัญญาด้านความคดิ ไดด้ ีท่ีสุด ครูผู้สอนจำเปน็ ต้องนำหลกั จิตวทิ ยาการศึกษามาปรบั ใชก้ ับการเรยี นการสอนดว้ ยเช่นกัน เพ่อื ช่วยให้ การสอนเป็นไปตามทฤษฎีการเรียนรู้ตามช่วงวยั ของ (ซิกมันด์ ฟรอยด์) พฒั นาการตามวัย แบง่ ออกเป็น 5 ข้นั คือ 1 .ขนั้ ปาก (Oral Stage) อายุ 0-8 เดอื น 2. ขนั้ ทวารหนัก (Anal Stage) อายุ 18 เดือน – 3 ปี 3. ข้นั อวัยวะเพศ (Phallic Stage) อายุ 3-5 ปี 4. ขั้นแฝง (Latence Stage) อายุ 6-12 ปี 5. ขัน้ สนใจเพศตรงขา้ ม (Genital Stage) อายุ 12 ปีขึ้นไป พัฒนาการเปน็ การเปล่ยี นแปลงที่เกิดขึน้ ภายในตวั ของมนุษย์ ไม่ไดม้ แี คก่ ารเจริญเตบิ โตดา้ นร่างกาย เพยี งเท่านัน้ ยังรวมไปถึงวุฒิภาวะทเ่ี พ่มิ มากขน้ึ ตามช่วงอายุและการเรยี นรูร้ ะหว่างการอย่ใู นสงั คมน้ัน ๆ ที่ เกดิ ข้ึนตลอดเวลา การสรา้ งห้องเรยี นทีเ่ อื้อต่อการพัฒนารา่ งกายและความรูท้ เ่ี หมาะสม สามารถพฒั นาให้ ผู้เรยี นเกดิ การเรยี นรูท้ ตี่ ่อเน่ืองและเปน็ ข้ันตอน ไม่สร้างความซับซอ้ นด้านเนื้อหาท่ียากหรือง่ายเกนิ ไป เพ่อื สร้างแรงจูงใจให้ผ้เู รียนพร้อมทจี่ ะเรยี นรู้ การนำหลักจติ วิทยาไปประยุกตใ์ ช้ในการเรียนการสอนนน้ั สามารถช่วยไดท้ ั้งครผู สู้ อนและตัวผู้เรียน เอง การศึกษาและทำความเข้าใจในธรรมชาติของผู้เรียนแต่ละคนจึงมีความสำคัญที่จะชว่ ยให้ครูสามารถจดั การ เรยี นการสอนไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ ด้วยเหตุนเี้ ป็นรายวชิ าศิลปะท่ีไม่ได้สร้างเกณฑ์ทางความคิดให้แก่ผเู้ รียน ผสู้ อนสามารถออกแบบการสอนทีม่ ีความยืดหยุ่นในหลายด้าน เพอ่ื ส่งเสรมิ ให้ผู้เรียนสามารถถา่ ยทอดความคิด ไดเ้ ตม็ ท่ีตา่ งจากวิชาอนื่ ๆ ที่ต้องอยู่ในเกณฑข์ องความถูกต้องตามหนังสือเรยี น อ้างอิง เกรยี งไกร เรอื นน้อย(2553).ธรรมชาติและพัฒนาการของผ้เู รียนในแตล่ ะชว่ ง.สบื ค้นเมอื่ 10 เม.ย. 2564 จาก https://www.gotoknow.org/posts/327646 จติ วิทยาสำหรับคร.ู ทฤษฎีพฒั นาการ.สบื ค้นเมื่อ 10 เม.ย. 2564 จาก http://teacheryru.blogspot.com/p/blog-page_5.html 36

37

การเรยี นการสอนศลิ ปะ เพือ่ การเรียนรู้ทีม่ ุ่งใหผ้ เู้ รยี นสามารถดำรงชวี ติ อยรู่ ่วมกับผู้อ่ืน ในสังคมพหุวัฒนธรรมไดอ้ ย่างมีความสขุ ภัทรพรรณ ทองแย้ม การศกึ ษาถูกยอมรับวา่ เปน็ เคร่อื งมือทีส่ ำคัญในการพฒั นามนษุ ย์และสงั คม เน่อื งจากการศึกษาจะชว่ ย พัฒนามนษุ ย์ใหเ้ กิดคณุ ลกั ษณะทีด่ ี เปน็ ทย่ี อมรบั ในสังคมนนั้ ๆ ทำใหม้ นษุ ย์เปน็ กำลังสำคญั ในการพัฒนาสังคม ต่อไป เรียกได้วา่ การศึกษามบี ทบาทสำคญั ในการพัฒนามนุษย์ให้เกิดการเรียนรู้ สามารถนำความรทู้ ไี่ ดไ้ ปปรบั ใชใ้ นการใช้ชีวติ ใหส้ อดคล้องกบั สภาพสังคมทม่ี ีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ปจั จบุ ันเรากำลังอยู่ในยุคศตวรรษ ที่ 21 เป็นยคุ ที่มีการเปล่ียนแปลงอยา่ งรวดเรว็ ทำให้การศึกษาต้องปรบั เปลีย่ นอีกคร้ัง เพ่ือให้การศึกษา สามารถพฒั นาคนใหม้ ลี ักษณะตามความเปลี่ยนแปลงทางสังคม ในบทความนีจ้ ะกล่าวถงึ การเรียนการสอน ศลิ ปะเพอื่ ตอบสนองการเปล่ียนแปลงด้านสภาพของสังคมในปจั จบุ นั ในปัจจุบันมีกระแส มแี นวคิดที่เกย่ี วข้องกบั ความเปน็ ปัจเจกบุคคลมากขึ้นอย่างเหน็ ได้ชัดเจน ผู้คนกลา้ ออกมาแสดงความคดิ เหน็ กล้าแสดงจดุ ยนื ของตนเอง จนบางคร้งั เกิดอาจเกดิ ความขดั แย้งอันเนือ่ งมาจากความ แตกตา่ ง ที่แต่ละฝ่ายยงั ไม่ยอมรับและเข้าใจซ่งึ กนั และกนั การศกึ ษาควรให้ความสำคญั กับการเปล่ยี นแปลงใน ดา้ นน้ี กค็ ือการเปลยี่ นแปลงสภาพสังคม การใชช้ วี ิตในสังคมอยนู่ ้ตี ้องมีทักษะการการอยู่ร่วมกันในสังพหุ วฒั นธรรม ซ่ึงจดั ว่าเป็นหนึ่งในทักษะในศตวรรษที่ 21 นัน่ คอื Cross-cultural understanding (ทักษะดา้ น ความเขา้ ใจต่างวฒั นธรรม ต่างกระบวนทัศน์) ผ้เู ขียนจงึ ขอยกแนวทางการจดั การศกึ ษาในศตวรรษท่ี 21 โดย อา้ งอิงจากรายงานของคณะกรรมาธกิ ารนานาชาติวา่ ด้วยการศกึ ษาในศตวรรษที่ 21 แห่งยเู นสโก ช่ือรายงานวา่ “Learning : The Treasure Within” ถา้ แปลเปน็ ภาษาไทยกค็ ือ “การเรียนรู้ : ขมุ ทรัพย์ในตน” ในรายงานม สาระสำคญั ไดก้ ล่าวถงึ “สเี่ สาหลกั ทางการศกึ ษา” เปน็ หลกั การในการจดั การศึกษา ประกอบไปด้วย 4 ขอ้ ดงั นี้ 1. การเรียนเพื่อรู้ (Learning to know) หมายถึง การศึกษามงุ่ พฒั นากระบวนการคดิ การแสวงหา ความรู้และวิธกี ารในการเรยี นรู้ เพื่อให้ผเู้ รยี นได้เรยี นรู้ พัฒนาตนเอง เพือ่ จะไดน้ ำความรู้ที่ได้ไปใช้เพ่ือ ดำรงชีวติ 2. การเรยี นร้เู พื่อปฏิบัติได้จริง (Learning to do) หมายถึง การศกึ ษามุง่ พัฒนาทักษะ ความสามารถ ความชำนาญ สามารถปฏบิ ัติได้ จนสามารถตอ่ ยอดในการประกอบอาชีพได้อย่างเหมาะสม 3. การเรียนรูเ้ พอ่ื ท่ีจะอยู่รว่ มกัน (Learning to Live Together) หมายถงึ การศึกษามุง่ ให้ผู้เรียนรจู้ ัก ใช้ชวี ติ รว่ มกันกบั ผู้อ่นื ในสังคมท่ีมคี วามหลากหลาย รจู้ กั พึ่งพาอาศยั ซง่ึ กนั และกัน เคารพกนั และกนั เข้าในใน ความแตกตา่ ง 38

4. การเรยี นรเู้ พ่ือชีวิต (Learning to Be) หมายถงึ การศึกษามุ่งพัฒนา ผู้เรียนทุกดา้ นท้ังจติ ใจและ รา่ งกาย สตปิ ัญญา ให้ความสำคญั กบั จนิ ตนาการและความคดิ สรา้ งสรรค์ ภาษา และวัฒนธรรม เพอ่ื พฒั นา ความเปน็ มนษุ ย์ทสี่ มบูรณ์ เข้าใจตนเองและผอู้ ืน่ เป็นผู้ท่มี ีเหตผุ ล มีทกั ษะรู้จกั สอื่ สารกับผอู้ น่ื จากหลักในการจดั การศกึ ษาทงั้ 4 ด้านน้ี วชิ าศิลปะสามารถมีบทบาท ทำหน้าในการพฒั นาผู้เรียนให้ บรรลตุ ามสี่เสาหลกั ทางการศึกษาได้ โดยการเนน้ ถงึ ความแตกต่างของผู้เรียน ความสามารถ ความสนใจของ ผเู้ รียนแตล่ ะคนมีความแตกต่างกัน พอจะมีแนวทางในการจัดการศึกษา ดงั น้ี - ไม่ควรตดั สนิ ผลงานศลิ ปะของผ้เู รยี น อาจจะด้วยความแตกต่างจากผลงานทมี่ ีเป็นสว่ นใหญ่ หรอื การ ตดั สนิ จากความสวยงามของผลงาน แตค่ วรใหผ้ ู้เรยี นได้แสดงแนวคดิ แสดงทัศนะของตนผา่ นผลงาน สามารถ เชอื่ มโยงเข้าสเู่ นื้อหาทางด้านประวตั ิศาสตร์ทางศลิ ปะกไ็ ด้ เพราะตั้งแต่อดตี จนถึงปัจจุบัน ศิลปะก็มีความเปน็ พลวัต ศลิ ปะที่มีการเปล่ยี นแปลงทางด้านความคิดการยอมรบั เฉพาะกลุ่มแตกตา่ งกนั ไป ความเข้าใจในส่วนน้ี จะชว่ ยให้ผเู้ รยี นมคี วามมน่ั ใจกับตนเอง และไดเ้ รียนรู้ในการยอมรบั ในความคิดเหน็ ทแี่ ตกตา่ งจากความคิดของ ตน - เปดิ โอกาสให้ผู้เรียนได้มีสว่ นรว่ มในการกำหนดสง่ิ ทอ่ี ยากเรยี นรู้ และช่วยกันออกแบบการเรียนกับ ครผู ู้สอน เพื่อให้ส่งิ ทจ่ี ะไดเ้ รยี นเกดิ จากความต้องการของผู้เรียนเอง ทำให้ผูเ้ รียนมีความสนใจทจ่ี ะเรยี นมาก ยิ่งข้ึน การเปิดโอกาสในการชว่ ยกนั จดั การเรยี นรเู้ ชน่ น้ี จะช่วยให้ผเู้ รียนไดก้ ลา้ แสดงความต้องการ ความ ประสงค์ตามทีต่ นเองสนใจ และก็ต้องยอมรบั เปิดใจกับความต้องการของผ้อู ืน่ หรือเพ่ือนรว่ มชนั้ ด้วย เพอื่ ให้ เกิดการเรยี นรู้ตามความสนใจและเกิดการเรยี นรู้แบบแลกเปลย่ี นจากเพื่อนรว่ มชัน้ - เมื่อผู้เรยี นมกี ารแสดงออกทางศิลปะทแ่ี ตกต่างกนั ไม่ควรนำบรรทัดฐานเดียวกนั มาใช้เพ่ือแบง่ แยก ควรใชโ้ อกาสนี้แสดงใหเ้ หน็ เลยว่าทุกคนสามารถแสดงออกตามความสนใจ ความสามารถของตนเอง และควร หาเหตุผลมาสนบั สนุนให้เกดิ ความหนกั แน่นทางความคิด - ควรนำแนวคิด ปรัชญาตา่ ง ๆ มาสอดแทรกในการจัดการเรียนรูใ้ ห้มมี ากขนึ้ กว่าเดิมในเพยี งแค่ชั้น ระดับชัน้ ท่ีสูง แตร่ ะดับอื่นกค็ วรให้ความสำคญั ด้วย ข้อดขี องปรัชญากค็ ือสามารถช่วยให้เกดิ การแสวงหา คำตอบ การถกเถยี งอยา่ งมีเหตผุ ล แตข่ ้อจำกัดก็คือปรชั ญาเป็นเร่อื งเก่ยี วขอ้ งกับความคดิ เปน็ สิ่งทอ่ี ยภู่ ายใน เป็นการยากในการเขา้ ถึงความเขา้ ใจ ดังน้นั ผู้สอนกค็ วรหาแนวทางในการนำปรชั ญา แนวคิดตา่ ง ๆ มาใช้ให้ เหมาะสมเพ่ือใหเ้ ขา้ ถงึ ไดง้ ่าย ปรชั ญาทางดา้ นศิลปะ อยา่ งเชน่ สนุ ทรียศาสตร์ แนวคิดเกี่ยวกบั ความงาม เพื่อใหผ้ ้เู รียนได้เรยี นรู้เกยี่ วกับมมุ มองทีด่ ีข้ึนทางดา้ นความงาม สามารถนำมุมมองไปปรับใช้กับตวั เองในชวี ติ เกิดความรู้สกึ พอใจ และสามารถใช้เปน็ เครื่องมือในการแสดงทศั นะต่อความคิดในสงั คมทม่ี ีความแตกตา่ ง หลากหลาย เพอื่ ลดอคติ การตตี รากับสงิ่ ที่ไม่ไดต้ ้ังอยบู่ นพ้ืนฐานกระแสสงั คมท่ีหลายคนยอมรับ จะเหน็ ได้วา่ การจัดการเรียนรู้ข้างต้นจะเนน้ เพื่อให้ผู้เรียนได้เรยี นร้จู กั การแสดงความคดิ เห็นของตนเอง และต้องรู้จักยอมรับในความคิดของผู้อ่ืนด้วย เพ่ือให้ผู้เรียนมคี ณุ ลักษณะสอดคล้องกับการเปลย่ี นแปลงของ 39

สงั คม สามารถดำรงชวี ติ อยู่รว่ มกับผู้อ่ืนทา่ มกลางพหุวฒั นธรรมได้อย่างมีความสุข ผูส้ อนจึงมีส่วนสำคัญอย่าง มากในการเลอื กแนวทางการจัดการเรยี นรเู้ พื่อให้เกิดความประสบผลสำเรจ็ อ้างอิง สุทธิพงษ.์ (2557). การเรยี นรู้ขมุ ทรัพยใ์ นตน (Learning: The Treasure Within). ค้นเม่ือ 19 เมษายน 2564, จาก http://edu06550098.blogspot.com/2014/12/14-learning-treasure-within.html 40

“ทำไมเด็กต้องเรียนรศู้ ลิ ปะ” ภาสกร กลางเหลอื ง บางคนคิดวา่ ศิลปะเปน็ เรื่องของคนท่มี ีพรสวรรค์ บางคนคิดว่า เราสอนศิลปะเพ่ือชว่ ยใหเ้ ดก็ เบาสมอง แต่ทจ่ี ริงศิลปะเปน็ ผลงานอันเก่าแก่ท่ีสุดทีม่ นุษยไ์ ด้ทำมา เช่น ภาพเขียนตามผนังถำ้ และการประดิษฐ์ขวาน หม้อ เกวยี น เหลา่ น้ีเป็นศิลปะทั้งส้นิ เด็กทุกคนสรา้ งงานศิลปะได้ และชอบงานศลิ ปะ การจะพฒั นาศลิ ปะและ การสร้างสรรคใ์ ห้เด็ก ตอ้ งเขา้ ใจว่า ศิลปะก็คอื กระบวนการท่ีสมองถอดความคดิ ออกมาเปน็ ภาพ และชิ้นงาน ตา่ ง ๆ นนั่ เอง ถ้าสมองมีอะไรอยกู่ าร “ถอด” ความคดิ ออกมากเ็ ป็นไปได้ กระบวนการพัฒนาศลิ ปะและการ สร้างสรรคข์ องเด็ก จงึ เน้นให้เด็กคิด และลงมือทำออกมา ศิลปะ เปรียบเสมอื นกระดาษทดแห่งจนิ ตนาการ การแสดงออกทางศิลปะ เปรียบเสมือนการสร้างจินตนาการเป็นรปู รา่ งภายนอก แลว้ ป้อนกลบั เข้าสู่สมอง ศลิ ปะจงึ เปรยี บเสมือนกระดาษทดแห่งจินตนาการ ทำให้สมองได้จัดการกับจินตนาการต่าง ๆ ชดั เจนย่งิ ขึน้ การทำศลิ ปะกเ็ หมอื นการใช้กรดาษทดคิดเลข การทำเลขบนกระดาษทดทำให้การคดิ เลขแจ่มชดั มากกวา่ การ คดิ ในใจ ศิลปะ หรือวา่ งานศิลป์น้ัน ไม่จำเป็นจะต้องเปน็ การวาดรูปอยา่ งเดียว การร้องงเพลง การเต้น การ เรียนดนตรี สงิ่ เหล่านมี้ นั กถ็ ือวา่ เป็นงานศลิ ปะเหมือนกัน บางคนก็อาจจะคดิ วา่ สิ่งที่กลา่ วมาขา้ งตน้ นัน้ มนั ก็ เปน็ กจิ กรรมที่ทำเพ่ือความสนุกช่ัวครูช่ ่ัวยามเท่านน้ั มันไม่สามารถเอามาใช้ไดจ้ ริง หรอื ว่าสามารถเอามาสร้าง รายได้ให้กบั ตัวเองได้ แต่ความเป็นจรงิ ศลิ ปะมนั สามารถท่ีจะทำเงิน สร้างกำไรให้กบั คนทสี่ รา้ งสรรคผ์ ลงาน ศิลปะไดเ้ หมือนกนั อย่างทีเ่ ราเห็นศลิ ปนิ หลาย ๆ ทา่ นที่ทำงานศลิ ปะเหล่าน้ีออกมา จนมีชื่อเสยี งโดง่ ดังก้อง โลกก็มี และศิลปะเอง กเ็ ปน็ อีกหน่ึงวิชาที่เรียนกนั ต้งั แต่เล็กแต่น้อยเลยทเี ดียว บางคนเรยี นตัง้ แต่ยงั ไมเ่ ขา้ โรงเรียนดว้ ยซำ้ โดยการสอนจากคนเป็นพอ่ แมน่ น่ั เอง ซ่งึ มันกถ็ อื วา่ เป็นวิชาท่ีมปี ระโยชน์อย่างมาก ในดา้ นการ พัฒนาจติ ใจ และสงิ่ ต่าง ๆ ของเดก็ ศิลปะเด็ก เปน็ คำศัพท์ใหมท่ ่ียอมรบั กนั อยา่ งกวา้ งขวางในหลายทศวรรษท่ผี ่านมา และได้รับความ สนใจกันมากขึ้นว่า จิตใจของเดก็ ยอ่ มสะท้อนออกมาในงานศิลปะท่เี ขาทำ จดุ หมายสำคัญของ กระบวนการพฒั นาศลิ ปะและการสร้างสรรคข์ องเด็กคือ เพื่อให้เดก็ ไดใ้ ช้การเชอื่ มโยงในสมอง คดิ จินตนาการ อย่างเต็มที่ และผลโดยตรงทเ่ี ด็กไดร้ ับการพฒั นาด้านนี้ก็คือ ความรสู้ กึ พอใจมีความสขุ ได้สมั ผัสสนุ ทรีย์ของโลก ตงั้ แตย่ งั เยาว์ ศลิ ปศกึ ษา มคี วามสำคัญต่อการพฒั นาวงจรสมองที่ทำงานด้านอารมณข์ องเด็ก การจดั กิจกรรมการ เรยี นการสอนให้เด็กอย่างถูกตอ้ ง จะช่วยสรา้ งวงจรเซลล์สมองให้มกี ารพฒั นาความรสู้ ึกตา่ ง ๆ ของเด็กได้เปน็ อย่างดี การเร่ิมเรียนศิลปศึกษาในช่วงแรก ควรเร่มิ จากการฝกึ ให้เดก็ สงั เกตธรรมชาติ และสง่ิ แวดล้อม สมองจะ จัดการประมวลสิ่งทเ่ี หน็ และรู้สึก แล้วจัดการถ่ายทอดความคดิ ออกมาในรูปแบบต่างๆสงิ่ นจ้ี ะย้อนกลับไปขดั 41

เกลาตกแต่งจิตใจของเด็ก การสง่ เสริมใหเ้ ด็กทำงานศลิ ปะเป็นส่ิงสำคัญ เดก็ ทุกคนมีกำลังใจเมือ่ เขารู้ว่าตวั เขา ได้รบั การยอมรับ และรวู้ า่ เขามีความหมาย งานศิลปะเดก็ สะท้อนตวั เดก็ เอง เสน้ หนักหรือเบา สเี ข้มหรืออ่อน ยังไม่ใชป่ ระเดน็ ทตี่ ้องวจิ ารณ์ ควรม่งุ ไปทีจ่ ิตใจ จิตวญิ ญาณของเด็กเป็นสำคัญ เราจะมาดูเหตผุ ลกนั วา่ ทำไม เรา จงึ ตอ้ งให้เด็กเรียนศลิ ปะ คนท่เี ปน็ พ่อแม่ หรือว่ามลี กู หลาน จะได้พาลูกไปเรยี นศิลปะบ้าง - ฝกึ ใหเ้ ด็กมคี วามคิดกว้างไกล การให้เด็กเรยี นศิลปะ อยา่ งเชน่ การวาดภาพ ถือวา่ เปน็ การทำใหเ้ ด็ก ได้แสดงออก ถึงสิง่ ทอี่ ย่ใู นความคดิ ไม่วา่ จะเป็นความคดิ เร่ืองอะไรก็ตาม ถา้ ปล่อยใหเ้ ด็กวาดภาพอะไรก็ได้ ตามใจชอบ โดยที่ไม่บงั คบั วา่ จะต้องอยา่ งนนั้ จะต้องเป็นแบบนี้ มนั ก็สามารถทำใหเ้ ด็กแสดงออกมาได้อยา่ ง เตม็ ท่ี โดยทเ่ี ราไม่ต้องไปปิดกั้น เปน็ การฝึกใหเ้ ด็กมีความคิดสร้างสรรค์ คิดการณ์ไกล มันจะมีประโยชน์อย่างยิ่ง เมื่อเขาโตขึ้น นิสยั เหลา่ นี้ก็จะติดตัวเด็กมาด้วยน่นั เอง - ฝกึ ใหม้ คี วามคดิ สรา้ งสรรค์ บางส่งิ บางอย่างที่อย่ใู นหวั ของเดก็ อาจจะเป็นสงิ่ ที่ผูใ้ หญ่บางคนไม่ อาจจะเขา้ ใจได้ อยา่ งเชน่ รถทำไมมันถึงเปน็ ลักษณะแบบน้ี ผลสม้ ทำไมมนั เป็นลูกแบบนี้ ส่งิ ต่าง ๆ ท่ีเด็กได้ แสดงออกมา มันล้วนมาจากจินตนาการ และความคิดสรา้ งสรรคข์ องเด็กนั่นเอง และเมอื่ เขาโตขึน้ มา แด็กทเ่ี รา คดิ ว่าเขาวาดภาพแปลก ๆ เหลา่ น้ัน เขาอาจจะสร้างสงิ่ ที่ย่งิ ใหญ่ให้กบั โลกน้ีได้ โดยทไี่ อเดียเหล่านนั้ มันไม่ซ้ำ ใครดว้ ย - ฝกึ ให้เป็นคนชา่ งสังเกต เม่ือเราแนะนำใหเ้ ด็กวาดภาพส่ิงของบางสงิ่ บางอยา่ ง โดยไปหาต้นแบบมา ถา้ ฝกึ บ่อยๆ จนเดเกสามารถวาดภาพได้เหมือน และสวยงามด้วย แสดงวา่ เดก็ คนน้ันเป็นคนทชี า่ งสงั เกตแล้ว และเม่ือเขาเปน็ คนที่ชา่ งสงั เกต เวลาไปเรยี นวิชาอะไร หรือวา่ ทำงานอะไรกต็ าม นิสยั ช่างสงั เกตกจ็ ะติดตัวไป ดว้ ย โดยทีเ่ ราไม่ตอ้ งบอกเลย มันจะมาเองโดยอัตโนมัติ - มคี วามสุข อนั นี้ถือว่าสำคัญมาก คนท่ีสามารถหาความสุขจากสิ่งใกล้ตัว หรอื วา่ เร่ืองเลก็ นอ้ ยได้ เขา ก็สามารถทจี่ ะอยบู่ นโลกนี้ ในสงั คมนไี้ ด้ทุกแบบ ไม่กดดัน หรือไมเ่ ครยี ดแนน่ อน เพราะเหตุนี้ เราจึงใหเ้ ด็กฝึกการเรยี นศิลปะหรอื ว่าฝึกใหท้ ำงานศลิ ปะต้ังแตเ่ ด็ก เพราะมันส่งผลใน หลายดา้ นมาก และเมื่อเขาโตขน้ึ มา กใ็ หต้ ัดสนิ ใจเองว่า จะเรยี นศกึ ษาต่อเพ่ิม หรอื อย่างไรกแ็ ลว้ แต่เดก็ แต่ อยา่ งน้อยมนั ก็เป็นวิธีในการสรา้ งความสุขให้กับเด็กดว้ ย อา้ งอิง สำนักงานบริหารและพฒั นาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน).(2560). การจดั การเรียนร้ตู ามหลักสูตร Brain-Based Learning ดา้ นศิลปะและการสร้างสรรค.์ สบื ค้นเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2564, จาก http://www.okmd.or.th/bbl/documents/338/bbl-arts-creativity ทำไมถงึ ต้องใหเ้ ด็กเรยี นศลิ ปะ ศิลปะดกี บั เดก็ อยา่ งไร.(2562).สบื ค้นเม่อื วันที่ 20 เมษยน 2564, จาก https://wilmington-film.com 42


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook