สารบญั ๒ ความนำ� ๖ ปฐมบทสร้างการอ่านให้เป็นวัฒนธรรมไทย : ก้าวขา้ มหมุดสถ(ิ อค)ติ ๔๒๖๕ ๕ ๕๖๒ วฒั นธรรมการอา่ น : กรอบคดิ และทศิ ทางสคู่ วามยง่ั ยนื นานาทัศนะตอ่ วัฒนธรรมการอา่ นในฮ่องกง สร้างวฒั นธรรมการอ่าน-สรา้ งสนั ติ อเมรกิ ันวนั น้กี บั ความสำ�คัญของวัฒนธรรมการอ่าน! ๖๒ “ออนไลน”์ ภัยร้ายตอ่ วฒั นธรรมการอา่ น? ๖๖ บรรณานุกรม อา่ นสรา้ งสขุ : สรา้ งวฒั นธรรมการอา่ น สรา้ งการอา่ นใหเ้ ปน็ วฒั นธรรม พิมพ์คร้งั ที่ ๖ : กันยายน ๒๕๕๘ จ�ำ นวนพิมพ์ : ๕๐๐ เลม่ บรรณาธิการ : สุดใจ พรหมเกิด บรรณาธกิ ารประจ�ำ ฉบับ : รศ. ถิรนนั ท์ อนวัชศิรวิ งศ์ เขียนโดย : พริ ุณ อนวัชศิริวงศ์ - ถริ นันท์ อนวชั ศริ ิวงศ์ : ศูนยว์ จิ ยั และพัฒนานวัตกรรมการอ่าน บรรณาธกิ ารฝ่ายศลิ ป์ : ปาจรยี ์ พทุ ธเจริญ ฝา่ ยศลิ ป์ : แสงชัย กีรติวรนันท์ ภาพ : ไตรภัค ศภุ วัฒนา, เขม็ พร วริ ุณราพนั ธ์ กองบรรณาธกิ าร : ชุติมา ฟูกล่นิ , คณิตา แอตาล, วไิ ลแกว้ มสี ุข, วลิ าสนิ ี ดอนเงิน, จันทมิ า อินจร, ปนัดดา สังฆทิพย,์ นิศารตั น์ อ�ำ นาจอนันต,์ อลงกรณ์ จนั ทรเ์ ทียน, จริ ะนนั ท์ วงษม์ ัน่ ประสานการผลิต : กนกกาญจน์ เอ่ียมชน่ื , พวงผกา แสนเขือ่ นสี จดั พมิ พ์ : แผนงานสรา้ งเสรมิ วฒั นธรรมการอา่ น ไดร้ บั การสนบั สนนุ จาก ส�ำ นกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การ สรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ (สสส.) ๔๒๔ หมูบ่ า้ นเงาไม้ ซอยจรัญสนทิ วงศ์ ๖๗ แยก ๓ ถนนจรญั สนทิ วงศ์ แขวง บางพลดั เขตบางพลดั กรงุ เทพฯ ๑๐๗๐๐ โทรศัพท์ ๐-๒๔๒๔-๔๖๑๖-๗ โทรสาร ๐-๒๘๘๑-๑๘๗๗ พิมพ์ท่ี : แปลนพรน้ิ ท์ตงิ้ จ�ำ กัด โทรศัพท์ ๐-๒๒๗๗-๒๒๒๒
คุยเปิดเล่ม เอ่ยถึง “หนังสือและการอ่าน” เชื่อว่า ความพยายามในการฉุดรั้ง “หนังสือ ทุกคนคงมีความเห็นร่วมกันว่าเป็นเร่ืองท่ีดี และการอ่าน” กลับมา เป็นเรื่องท่ีไม่ง่ายนัก ชว่ ยสรา้ งนสิ ยั การเรยี นรู้ ชว่ ยขดั เกลาอารมณ์ ยิ่งหากประสงค์ให้ “การอ่านกลายเป็น บม่ เพาะคณุ ลกั ษณะท่ีดงี ามในวัยเยาว์ ช่วย วัฒนธรรม” ด้วยแลว้ ยอ่ มยากย่งิ เปิดโลกทรรศน์ในการเปิดรับความคิดใหม่ๆ ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมการอ่าน ท่องโลกใหม่ๆ หรือแม้แต่ย้อนกาลเวลาสู่ ไดร้ วบรวมความพยายาม ความส�ำ เรจ็ และ การศกึ ษาศลิ ปะ วฒั นธรรม และประวตั ศิ าสตร์ ทัศนะท่ีแจ่มชัดต่อ “วัฒนธรรมการอ่าน” ในวัยเตบิ ใหญ่ ของนานาประเทศ เพื่อให้คนทำ�งานและผู้ แม้หนังสือและการอ่านยังมีคุณค่าอีก กำ�หนด-สนับสนุนนโยบายด้านการสร้าง มากมี ที่มสิ ามารถกลา่ วจาระไนไดห้ มด แต่ เสริมการอ่านของสังคมเรา ได้เห็นพลังของ นา่ สนใจทว่ี า่ เวลานท้ี ง้ั สงั คมไทยและสงั คมโลก การอ่านและมุ่งสู่การร่วมสร้างให้การอ่าน ต่างยอมรับว่า การอ่านกำ�ลังถูกส่ือใหม่และ กลายเป็นวัฒนธรรมเพ่ือสร้างสันติสุขแก่ วิถชี ีวิตใหมแ่ ยง่ ทง้ั พ้ืนท่ีและเวลาในการเสพ สงั คมไทยรว่ มกนั สดุ ใจ พรหมเกิด ผจู้ ดั การ แผนงานสรา้ งเสริมวฒั นธรรมการอา่ น
2 ความน�ำ หนึ่งในปัญหาทางปัญญาของนานา ในบางประเทศท่ีเคยคิดว่า วัฒนธรรม ประเทศ เป็นปญั หาร่วมไม่ว่าจะเป็นประเทศ การอ่านของตนผลิดอกออกใบ หากแต่วันนี้ ท่ีเจริญก้าวหน้า(ทางวัตถุ)มากหรือน้อย คือ กลับเห็นการร่วงโรยของดอก-ใบน้ัน จนต้อง ปัญหาวัฒนธรรมการอ่าน ข้อเท็จจริงและ ตั้งข้อสังเกตว่า วัฒนธรรมการอ่านแท้จริง ข้อคิดเห็นในข้อเขียนหลายๆ ชิ้นที่ได้นำ�มา แล้วเคยหยั่งรากลึกในสังคมหรือไม่ เห็นที ประมวลไว้ใน สร้างวัฒนธรรมการอ่าน จะต้องทบทวนเพ่ือหาหนทางให้ต้นไม้แห่ง สร้างการอ่านให้เป็นวัฒนธรรม เล่มนี้ ปัญญาท่ีมีช่ือว่า “อ่าน” หย่ังรากฝากใบใน สะท้อนให้เห็นว่าไม่ว่าประเทศท่ีเจริญมาก สงั คมอยา่ งจรงิ จงั เปน็ พลงั ปญั ญาทแี่ ขง็ แกรง่ หรือเจริญไม่มาก ท้ังในอเมริกา ยุโรป และ ใหไ้ ด้ เอเชีย ต่างล้วนประสบและประจักษ์ถึง งานเขียนเรื่องแรก “ปฐมบทสร้างการ สภาวการณ์วัฒนธรรมว่าด้วยการอ่านเช่น อ่านให้เป็นวัฒนธรรมไทย : ก้าวข้ามหมุด เดียวกับไทย ปัญหาและทิศทางท่ีเห็นพ้อง สถิ(อค)ติ” เป็นการหยิบยกตัวเลขสถิติว่า กันก็คือ วัฒนธรรมการอ่านเป็นเรื่องท่ีต้อง ด้วยการอ่านของคนไทย ท่ีกล่าวถึงกันในสื่อ ตระหนักเพ่ือสร้างเสริมให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ต่างๆ ในบ้านเรามาพิเคราะห์พิจารณ์ ด้วย และบ้างถึงกับบอกว่าต้องก้าวถอยหลังเพ่ือ หวังจะก้าวข้ามหมุดท่ีตรึงเราไว้กับความเชื่อ สรา้ งพลังการอา่ น (หนังสอื ) ที่ไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เป็นการ ทบทวนตัวเองอย่างเอาจริงเอาจังเพ่ือก้าวไป ด้วยทัศนวสิ ยั ท่กี ระจ่างตามากยง่ิ ข้นึ
3 เร่ืองที่สอง “วัฒนธรรมการอ่าน : ตามลำ�ดับ คำ�ถามว่าด้วยการมุ่งไปที่ความ กรอบคิดและทิศทางสู่ความย่ังยืน” เป็น เข้มแข็งทางเศรษฐกิจของฮ่องกง นำ�มาซ่ึง งานท่ีปรับปรุงจากเอกสารประกอบการ ความอ่อนแอของวัฒนธรรมการอ่าน? นัก ประชุมระดมความคดิ เร่อื ง ศกึ ษาวจิ ัย สร้าง คิดนักอ่านแถวหน้าจึงหวังจะให้สื่อสมัยใหม่ ไทยด้วยวัฒนธรรมการอ่าน ซ่ึงแผนงาน ใส่ใจส่งเสริมการอ่าน เพราะ “หนังสือมี สร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน ภายใต้การ ความสำ�คัญในการกล่อมเกลาลักษณะ สนับสนุนของ สสส. ได้มอบหมายให้ศูนย์ พฤติกรรมของมนุษย์ และไม่มีส่ิงใดจะ วิจัยและพัฒนานวัตกรรมการอ่านดำ�เนิน สามารถมาแทนท่ีได้” การจัดข้ึนเม่ือวันท่ี ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๓ ณ ส่วนทูตการอ่านของปากีสถานก็เช่ือมั่น ห้องประชุมสำ�นักกลางนักเรียนคริสเตียน ว่า “หนังสือเป็นสิ่งที่ต่อต้านความรุนแรงได้ งานเขียนนี้เรียบเรียงขึ้นจากแนวคิดแนวทาง และเป็นเครื่องมือในการกระจาย ‘ข่าวสาร’ ของต่างประเทศโดยเฉพาะอย่างย่ิงในยุโรป แห่งสันติและความเป็นมนุษย์ เน่ืองจาก และอเมริกา จะพบปัญหาร่วมเหมือนๆ กัน วัฒนธรรมการอ่านจะช่วยบ่มเพาะให้เกิด ท่ีสำ�คัญสามารถใช้เป็น กรอบแนวคิดและ ความคิดเชิงวิเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์ แนวทางในการสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน และนวัตกรรม รวมถึงนิสัยแห่งการเรียนรู้ใน ในชุมชน โรงเรียน หรือองค์กรต่างๆ ได้เป็น เชิงบวก การอ่านช่วยเปิดโลกทรรศน์ของ อย่างดี คนในการรับความคิดใหม่ๆ วัฒนธรรม “นานาทัศนะต่อวัฒนธรรมการอ่านใน ประวัติศาสตร์ และเร่ืองราวของบุคคลท่ี ฮ่องกง” และ “สร้างวัฒนธรรมการอ่าน- เผชิญกับปญั หาคล้ายกันกบั ตน” สร้างสันติ” เป็นงานเรียบเรียงจากข้อเขียนท่ี “อเมริกันวันนี้กับความสำ�คัญของ ว่าด้วยสถานการณ์การอ่านและความหวัง วัฒนธรรมการอ่าน!” เป็นเร่ืองท่ีกำ�ลังเป็น ต่อการเสริมสร้างการอ่านในฮ่องกงและใน สงิ่ ทีเ่ กดิ ข้ึนในสหรฐั อเมริกา ชช้ี วนให้ทบทวน ปากีสถาน จากผู้เขียนของทั้งสองประเทศน้ี ถึงสิ่งท่ีกำ�ลังเป็นอยู่จากการโละหนังสือ
4 ออกจากห้องสมุดสาธารณะ บ้านจำ�เป็น ใส่ใจเป็นพิเศษคือปัญหา “ความสามารถใน ต้องรับผิดชอบในการลงทุนซ้ือหนังสือด้วย การรักษาสมาธิหรือความสนใจในการอ่าน ตัวเองแค่ไหนในสภาวะเศรษฐกิจตกตำ่� ให้ความสนใจต่อสิ่งท่ีต้องใช้เวลายาวๆ ให้ อย่างที่เป็นอยู่ ทางการต่างหากท่ีต้องลงทุน เหมาะสมเพียงพอที่การอ่านจะเสร็จส้ิน หรอื เพอ่ื เดก็ และเยาวชน “หอ้ งสมดุ มคี วามส�ำ คญั เพียงพอท่ีจะทำ�ให้เกิดการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ” เราเน้นกันน้อยเกินไปในโรงเรียน ห้องสมุด นอกจากน้ีก็คือเร่ืองของภาษา “บางที ควรได้รับความสนใจมากกว่านี้ และควรมี อันตรายท่ีแท้จริงของภาษา ไม่ใช่มาจาก ในโรงเรียนต้ังแต่ระดับอนุบาลไปจนถึง การนำ�ภาษาอื่นมาใช้ในภาษาเรา แต่เป็น ระดบั เกรด ๑๒ หอ้ งสมดุ เหลา่ นค้ี วรประกอบ พวกคำ�ย่อที่เราใช้กันในโทรศัพท์มือถือ ด้วย ‘ส่ือ’ หลายๆ รูปแบบ ทั้งหนังสือเล่ม แล้วนำ�มาใช้ตอ่ ๆ กนั บนเว็บ” หนังสืออิเลก็ ทรอนิกส์ คอมพวิ เตอร์ และอ่ืนๆ ท้ังหลายทั้งปวงจากข้อเขียนต่างๆ ดัง ห้องสมุดควรจะเปิดตลอดเวลาและพร้อม กล่าว ต่างยำ้�ถึงเง่ือนไขทางสังคมท่ีเอื้อต่อ ให้ทุกคนเข้ามาใช้ได้ทุกเมื่อ…ถ้าเราไม่เน้น การสร้างเสรมิ วัฒนธรรมการอ่าน หรอื สร้าง ท่ีห้องสมุดหรือศูนย์การอ่าน ก็เท่ากับเรา การอ่านให้เป็นวัฒนธรรม น่ันเอง อันเป็น ไปจำ�กัดพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก ปญั หารว่ มของทกุ สงั คมกว็ า่ ได้ ไดแ้ ก่ (๑) การ นักเรียนเรา เพราะการอ่านคือหัวใจสำ�คัญ กระจายหนังสือให้ถึงประชาชนอย่างทั่วถึง ของการเรียนร”ู้ โดยมีห้องสมุดหรือที่อ่านหนังสือให้มากข้ึน ส่วนเร่ืองสุดท้าย หยิบยกเอาสื่อใหม่ และเชิญชวนใหเ้ ด็ก เยาวชน ประชาชนได้มา (New Media) ของวัฒนธรรมดจิ ติ อล เข้ามา อ่านกันอย่างกว้างขวาง และ (๒) ส่ือใน เป็นประเด็นปุจฉา “ ‘ออนไลน์’ ภัยร้ายต่อ ยุคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่ืออิเล็กทรอนิกส์ วัฒนธรรมการอ่าน?” ผู้เขียนได้วิสัชนาถึง ไม่ว่าจะเป็นส่ือคอมพิวเตอร์ สอื่ มวลชน และ ความเป็นไปของโลกยุค “ออนไลน์” ท่ีหาก สื่ออ่ืนๆ ก็ต้องคำ�นึงถึง ในแง่ท่ีเป็นสิ่งที่เรา จะวิตกวิจารณ์ปัญหาการอา่ น แงม่ มุ ทนี่ ่าจะ ใช้เพ่อื “การอา่ น” ได้ในลกั ษณะใดบา้ ง และ
5 สามารถใชเ้ พอื่ สง่ เสรมิ การอา่ น โดยการวจิ ารณ์ หากคำ�ว่าท่ีว่า “เป็นไปไม่ได้ที่ชีวิตจะมี การสรา้ งสรรคต์ า่ งๆ ไดใ้ นหลายรูปแบบ ความสุขและประสบความสำ�เร็จได้เลย ถ้า ปัญหาและหนทางในการสร้างเสริม ไม่รู้จักวิธีอ่าน” เป็นที่ยอมรับแล้วละก็ คง วัฒนธรรมการอ่าน มีแง่มุมที่ทุกภาคส่วน กล่าวต่อไปได้ว่า เป็นไปไม่ได้เลยท่ีรัฐจะ ในสังคม ตั้งแต่ครอบครัว โรงเรียน ชุมชน ทำ�ให้พลเมืองมีความสุขและประสบความ องคก์ รทอ้ งถนิ่ และรฐั จะต้องรว่ มแรงรว่ มใจ สำ�เร็จได้ หากรัฐละเลยการสร้างและเสริม เข้าใจอย่างแท้จริงและมองเห็นผลิตภาพ วฒั นธรรมการอ่าน ของพลเมืองอยา่ งสอดคล้องกนั และหากรัฐบาลมีความจริงใจในการ สภาพการณ์หรือเงื่อนไขทางสังคมจึง ปฏิรูปสังคมไทย เพ่ือให้ประชาชนสามารถ ต้องเอ้ืออำ�นวยต่อการอ่าน-อ่าน-อ่าน ในทุก สร้างความสุขความสำ�เร็จในการดำ�รงชีพ วิถีทาง ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มห้องสมุดให้ ด�ำ รงตน รฐั บาลตอ้ งสรา้ งสภาพการณท์ ส่ี นบั มากขึ้น และกระจายอย่างท่ัวถึงขึ้น ส่งเสริม สนนุ การไดอ้ า่ น รวู้ ธิ อี า่ น และอา่ น(สงั คม)ออก องค์กรต่างๆ ให้ตระหนักในความส�ำ คัญของ เขียน(บอกสงั คม)ได้ การอ่าน ในรูปแบบท่ีแตกต่างกันไปตาม การอา่ นเปน็ พนั ธะของมนษุ ยชาติ และ บทบาทหน้าท่ขี องตน ฯลฯ เป็นภาระ (ไมใ่ ชเ่ พยี งวาระ) ของชาติ พริ ณุ อนวชั ศริ วิ งศ์ ถริ นนั ท์ อนวัชศริ ิวงศ์ ศนู ย์วจิ ัยและพัฒนานวัตกรรมการอา่ น
ปฐมบทกสร้าา้ วงขกา้ารมอหา่ นมใหุดเ้ สปน็ ถว(ิ ฒัอนคธ)ตรริ มไทย :
7 ในทกุ วงสัมมนากว็ า่ ได้ ทม่ี ีประเดน็ วสิ าสะกนั เร่อื งการอ่าน จะพูดถงึ ปญั หาหน้าเดมิ คอื คนไทยไม่อ่านหนังสือ หรืออ่านน้อยถึงน้อยมาก อะไรทำ�นองน้ัน อาจจะมีอยู่บ้างที่เสียงร้อง บอกแตกต่างออกไปจากเสียงประสานไปในทางเดียวกัน ว่าเด็กไทยรักการอ่าน แต่ก็ดู เหมือนจะเปน็ เสียงท่ีแผ่วเบา จากประสบการณเ์ ฉพาะตัวท่ีเจ้าของเสียงนนั้ ไดป้ ระสบพบเห็น มา แต่กระแสใหญก่ ็ยังเปน็ เสียงทีด่ งั อึงมวี่ ่าคนไทยไมอ่ า่ นหนงั สอื เชื่อไหมว่าจริงๆ เราก็ไม่รู้หรอกว่ามันจริงแท้แค่ไหน จากดัชนีอะไร สถิติเท่าไรจาก ท่ีไหน แต่เราพร้อมจะพูดด้วยน้ำ�เสียงท่ีพร้อมจะยำ้�และย่ำ�ยี(เราเอง) ว่าคนไทยไม่อ่านหรือ อ่านน้อย เรารู้แต่เพียงว่าเราขอบอกว่าประเทศชาตินี้(ก็ของเรานั่นแหละ)เป็นชาติที่เบา ปัญญา เพราะไม่อ่าน สถติ -ิ หมดุ หมายของอคติ “คนไทยไมอ่ า่ นหนงั สอื ” ดังตัวอย่างข่าวสารข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ต่อไปนี้ แม้สถิติและรายละเอียดแตกต่างกัน จนบางทดี เู หมอื นจะเปน็ คนละเร่ืองเลยทีเดยี ว หากแตม่ ี “น้ำ�เสียง” อยา่ งเดียวกัน (๑) จากบทความของนกั คดิ นกั เขียน (๒) จากเวบ็ ไซตห์ นงึ่ ใครๆ กร็ วู้ า่ คนไทยไมอ่ า่ นหนงั สอื ส�ำ นกั .......จากรายงานข่าวจากงานมหกรรมนัก งานสถิติแห่งชาติสำ�รวจพบใน พ.ศ.๒๕๔๔ อ่าน ทำ�ให้สงสัยว่า ๗ บรรทัดต่อปี หรือต่อ ว่า โดยเฉลี่ยท้ังประเทศแล้ว คนไทยอ่าน วนั กันแน่ เม่อื ปี ๒๕๔๖ คนไทยอ่านหนงั สือ หนังสอื กันแคว่ นั ละ ๒.๙๙ นาทเี ท่าน้ัน… ๗ บรรทัดต่อคนต่อวัน แต่หลังจากท่ีทุกฝ่าย แม้ว่าตัวเลขน้ดี ูอัปลักษณ์อย่างไรก็ตาม จัดกิจกรรมกระตุ้นให้เด็ก เยาวชน รักการ ประเทศเพ่ือนบ้านเราโดยส่วนใหญ่ก็มีสถิติ อ่านผ่านกจิ กรรมตา่ งๆ พบว่า ปี ๒๕๕๐ คน ไม่งดงามไปกว่าเราเท่าไรนกั ยกเว้นสงิ คโปร์ ไทยมีนิสัยรักการอ่านดีข้ึนร้อยละ ๗ โดย เฉพาะเด็กและเยาวชนอ่านหนังสือมากขน้ึ ผจู้ ัดการ ปีท่ี ๒๙ ฉบับท่ี ๑๕๑๗ (๑๑ กนั ยายน ๒๕๕๒)
8 การสำ�รวจของสำ�นักงานสถิติแห่งชาติ (๓) จากบทความ “อา่ นหนงั สอื ได้ ๑๐ เลม่ .. ช่วงปีพุทธศักราช ๒๕๔๖-๒๕๔๘ ที่ผ่านมา เร่ืองทา้ ทายแบบเดมิ ๆ ของสังคมไทย” พบวา่ พฤตกิ รรมการอา่ นของประชาชนชาวไทย อย่างท่ีเคยได้ยินเป็นประจำ�เกือบทุกปี ในภาพรวมเพิม่ ขึน้ รอ้ ยละ ๗.๙ กลุ่มวยั เดก็ ว่าคนไทยอ่านหนังสือปีละไม่ก่ีบรรทัด บาง อา่ นหนังสือมากทสี่ ุด รอ้ ยละ ๘๗.๗ กลมุ่ วยั คนบอกว่าการอ่านหนังสือของคนไทยไม่น่า รุ่น ร้อยละ ๘๓.๑ จะน้อยขนาดน้ัน ซ่ึงเม่ือไปตรวจสอบดูจาก สะท้อนให้เห็นว่าเด็กๆ และเยาวชนมี การสำ�รวจการอ่านหนังสือของประชากร พฤติกรรมการอ่านหนังสือค่อนข้างสูงกว่าวัย พ.ศ.๒๕๕๑ พบว่า คนไทยอายุตั้งแต่ ๖ ปี อ่ืนๆ ซ่ึงบ่งบอกถึงผลสำ�เร็จเบ้ืองต้นท่ีทุก ขึ้นไปมีอัตราการอ่านหนังสือร้อยละ ๖๖.๓ ภาคส่วนในสังคมได้ร่วมแรงร่วมใจกันจัด ผู้ชายอ่านมากกว่าผู้หญิง และประชากรใน กิจกรรมเก่ียวเนื่องกับการส่งเสริมนิสัยรัก เขตเมอื งอ่านหนงั สอื มากกวา่ ในเขตชนบท การอา่ นไวเ้ ปน็ อย่างดี เปน็ อกี ครง้ั หนง่ึ (ซง่ึ กไ็ มร่ วู้ า่ ครง้ั ทเ่ี ทา่ ไหร่ ศธ.ยังไม่ได้ตีค่าออกมาว่าคนไทยอ่าน แล้ว) ท่ีกระทรวงศึกษาธิการ ที่มีนายจุรินทร์ หนังสือเพมิ่ ขนึ้ เปน็ วันละกบ่ี รรทดั แต่ ศธ.ตง้ั ลักษณวิศิษฏ์ เป็นหัวเรือใหญ่ แสดงความ เป้าไว้ท่ี ๑๒ บรรทัดตอ่ วนั ขยันขันแข็งอีกครั้งเพื่อสร้างสังคมไทยให้ เป็นสังคมแห่งการอ่าน โดยมีการตั้งคณะ ท�ำ งานขึน้ มา ๒ ชุด คือ คณะท�ำ งานกำ�หนด แผนการดำ�เนินงานในระยะยาว ต้ังแต่ปี ๒๕๕๒-๒๕๖๑ และแผนระยะสั้นในปี ๒๕๕๒-๒๕๕๓ ส่วนคณะท�ำ งานชดุ ท่ี ๒ คอื คณะกรรมการปรบั ปรงุ ภาษสี ง่ เสรมิ การอา่ น... ใน ผจู้ ัดการ รายวัน ๒๘ กนั ยายน ๒๕๕๒ / www.artgazine.com
9 (๔) จากรายการโทรทศั นช์ ว่ งปี ๒๕๕๒ พบว่า คนไทยอายุต้ังแต่ ๖ ปีขึ้นไปอ่าน เด็กไทยอา่ นหนงั สือ แคว่ นั ละ ๒๗ นาที หนังสือลดลง จากร้อยละ ๖๙.๑ ในปี ข้อมูลจากสำ�นักงานสถิติแห่งชาติ ๒๕๔๘ เป็นร้อยละ ๖๖.๓ ในปี ๒๕๕๑ สำ�รวจการอา่ นของเด็กไทยในปี พ.ศ.๒๕๕๑ และจากจ�ำ นวนคนทไ่ี มอ่ า่ นหนงั สอื อกี รอ้ ยละ พบว่า การอ่านหนังสือของเด็ก ๐-๖ ปี โดย ๓๓.๗ นั้นใช้เวลาเพ่ือดูโทรทัศน์ถึงร้อยละ เน้นการอ่านหนังสือในช่วงนอกเวลาเรียนซึ่ง ๕๔.๓ รองลงมาคือ ไมม่ เี วลาอ่าน ไมส่ นใจ มีผู้ใหญ่อ่านให้ฟัง และ/หรือ เด็กอ่านด้วย หรือไม่ชอบอ่านหนังสือ และอ่านหนังสือไม่ ตวั เอง พบว่า มอี ัตราการอา่ นหนังสือร้อยละ ออกตามลำ�ดับ ซ่ึงจากสถิติพบว่าคนไทย ๓๖ หรือ ๒.๑ ล้านคนจาก ๕.๙ ล้านคนทั่ว อ่านหนังสือลดลงเกือบทุกวัย ส่วนใหญ่จะ ประเทศ และใช้เวลาในการอ่านหนังสือ ใช้เวลาดูโทรทัศน์มากขึ้น ทำ�ให้จินตนาการ เฉลี่ย ๒๗ นาทีต่อวัน ความถ่ีในการอ่าน น้อยลง สัปดาห์ละ ๒-๓ วัน มีจำ�นวนสูงสุดคิดเป็น “คนไทยใช้เวลาอ่านหนังสือนอ้ ยลงจาก รอ้ ยละ ๓๙.๖ เฉล่ีย ๕๑ นาทีต่อวัน ในปี ๒๕๔๘ เหลือ (๕) จากขา่ วหนงั สอื พมิ พแ์ ละเวบ็ ไซต์ ๓๙ นาทีต่อวัน ในปี ๒๕๕๑ ซึ่งเป็นเร่ืองท่ี คนไทยอ่านหนังสือแค่ ๓๙ นาทตี อ่ วนั น่าเปน็ ห่วงอย่างมาก” เลขาฯ สสช.บอกดว้ ย สำ�นักงานสถิติแห่งชาติ หวั่นคนไทย ความเปน็ หว่ ง ขาดจินตนาการ แนะหนุนหนังสือราคาถูก ปรับปรุงห้องสมดุ ชุมชน ฐานเศรษฐกจิ ฉบบั ท่ี ๒๔๐๑ (๑๕ ก.พ.-๑๘ ก.พ.) ๒๕๕๒ นางธนนุช ตรีทิพยบุตร เลขาธิการ สำ�นักงานสถิติแห่งชาติ กล่าวว่า จากการ / เว็บไซต์ สสส. สำ�รวจของสำ�นักงานสถิติแห่งชาติ หรือ สสช. ถึงสถิติการอ่านหนังสือของคนไทย
10 (๖) จากกระทถู้ ามตอบในเวบ็ ไซต์ ผู้ที่ไม่อ่านหนังสือถึง ๒๒.๔ ล้านคน หรือ ถาม : อยากทราบว่าคนไทยอ่านหนังสือ เกือบ ๔๐% ของประชากรทั้งประเทศ ด้วย มากน้อยแคไ่ หน เหตุผลว่าชอบดูโทรทัศน์หรือฟังวิทยุมากกว่า ตอบ : หากเทียบคนไทยกับต่างประเทศ ขณะท่เี ด็กทีม่ ีอายุ ๑๐-๑๔ ปี กว่า ๖๐% ให้ แล้ว มีเพียงแค่ ๕ เล่มต่อคนต่อปี นี่ยังไม่ เหตุผลในการไม่อ่านหนังสือว่า เพราะไม่ คิดถึงมาตรฐานความหนาบาง ขนาดรูป ชอบ และไม่สนใจ เล่ม สิงคโปร์ อา่ น ๑๗ เล่มต่อคนตอ่ ปี และ ส่งผลให้สถิติการอ่านหนังสือของคน สหรฐั อเมริกา ๕๐ เลม่ ตอ่ คนต่อปี ไทยเฉลี่ยเพียงปีละ ๒ เล่ม ซึ่งนับว่าต่ำ� จากการสำ�รวจของยูเนสโกพบว่า คน มากๆ เม่อื เปรียบเทียบกับประเทศเพ่ือนบา้ น ไทยบริโภคกระดาษเพียง ๑๓.๑ ตันต่อปี อย่างสิงคโปร์ ที่มีสถิติการอ่านหนังสือปีละ ต่อ ๑,๐๐๐ คน หากเปรียบเทียบกับคน ๔๐-๕๐ เลม่ ส่วนเวียดนาม มสี ถิตกิ ารอา่ น สิงคโปร์หรือฮ่องกงแล้ว บริโภคถึง ๙๘ ตัน หนังสือปีละ ๖๐ เล่ม จากเหตุดังกล่าวบ่ง ตอ่ ปตี ่อ ๑,๐๐๐ คน บอกให้เห็นว่า การอ่านหนังสือของคนไทย ก�ำ ลังก้าวเขา้ ส่ภู าวะวกิ ฤตอยา่ งแทจ้ รงิ ๒๐ มถิ นุ ายน ๒๕๕๐ การเดินหน้าผลักดันให้อ่านหนังสือ จึง ถูกหยิบยกให้เป็น วาระแห่งชาติ โดยมี (๗) จากขา่ วในเวบ็ ไซตข์ องเครอื ขา่ ยหนงั สอื สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำ�หน่ายหนังสือแห่ง วิกฤตคนไทยกับการอ่านหนังสือสู่วาระ ประเทศ (ส.พ.จ.ท.) (The Publishers and แห่งชาติ Booksellers Association of Thailand) แม้ในปี ๒๕๕๐ ท่ผี ่านมาจะยงั ไมม่ กี าร เป็นแม่งานหลัก ซึ่งภาระหน้าที่ดังกล่าวได้ รวบรวมหรือจัดทำ�สถิติจำ�นวนคนไทยท่ีไม่รู้ รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายของ หนังสือ แต่หากย้อนกลับไปดูข้อมูลของ องค์กรตา่ งๆ อยา่ งเต็มที่ สำ�นักงานสถิติแห่งชาติ ที่จัดทำ�ตั้งแต่เดือน กันยายน ปี ๒๕๔๘ จะพบว่า ประเทศไทยมี โพสตล์ งเมื่อ ๑๗ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๕๒
11 (๘) จากสำ�นักขา่ วและเว็บไซต์ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลพยายามจัดสรร เผยคนไทยอา่ นหนังสอื แค่ปีละ ๒ เลม่ งบประมาณสนับสนุนการจัดการศึกษา แต่ สสส.ร่วมกับสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ สำ�รวจ กว่าท่ีการจัดการศึกษาของประเทศไทยจะ สถิติพบ คนไทยอ่านหนังสือแค่ปีละ ๒ เล่ม ได้มาตรฐานอย่างน้อยกินเวลาอีก ๕-๑๐ ปี ควักเงินซื้อหนังสือแค่ ๒๖๐ บาทต่อปี น้อย จงึ จะปรบั ปรงุ ขน้ึ มาทดั เทยี มกบั ประเทศคแู่ ขง่ กว่าประเทศอ่ืนๆ หลายเท่า แม้แต่คู่แข่ง ได้ แตจ่ รงิ ๆ แลว้ การศกึ ษาในระบบโรงเรยี น อย่างเวียดนามยังอ่านหนังสือประมาณปีละ เป็นแค่ส่วนหน่ึงของระบบการศึกษาท้ังหมด ๖๐ เลม่ ยังมรี ูปแบบการจดั การศกึ ษาอนื่ ๆ อีก ซ่งึ ทุก พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ฝ่ายสามารถมามีสว่ นรว่ มชว่ ยพัฒนาในสว่ น เปน็ ประธานเปดิ งานมหกรรมหนงั สอื ระดบั ชาติ น้ีได้ ซึ่งรัฐบาลยินดีสนับสนุนภาคเอกชนให้ คร้ังที่ ๑๒ ระหวา่ งวันที่ ๑๗-๒๘ ต.ค.จดั โดย ผลิตสื่อหนังสือท่ีหลากหลาย มีคุณภาพ สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำ�หน่ายหนังสือแห่ง ออกมาเพื่อส่งเสริมการอ่าน ให้ความรู้แก่ ประเทศ ไทย (ส.พ.จ.ท.) โดยนายกฯ กล่าว คนในสังคม เพ่ือให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่ง ในระหว่างเป็นประธานเปิดงานว่า โดยส่วน ภูมปิ ัญญา ตัวเห็นว่าการให้ความรู้คนเป็นสิ่งที่มีคุณค่า มากที่สุด และถือว่าการพัฒนาทรัพยากร ม นุ ษ ย์ เ ป็ น ง า น ที่ สำ � คั ญ ก ว่ า ก า ร พั ฒ น า ทรัพยากรอ่ืนๆ ของประเทศ โดยจะต้อง พัฒนาคนให้มีคุณภาพใน ๒ ส่วน คือ มี ความรู้ท่ัวไป ซ่ึงก็คือความรู้ในการดำ�รงชีวิต ประกอบอาชีพและทำ�มาหากิน อีกส่วนคือ การพัฒนาด้านจิตใจ ซ่ึงมักถูกมองข้ามใน โลกท่เี ตม็ ไปด้วยการแขง่ ขันเชน่ ปัจจุบัน
12 สมาคมฯ ได้ร่วมกับสำ�นักงานกองทุน ขณะที่อัตราการอ่านหนังสือของเด็กไทย สนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เฉลี่ยท้ังประเทศมีการอ่านเพียงแค่ ๕ เล่ม สำ�รวจข้อมูลจากใน กทม.และตัวเมืองใหญ่ ตอ่ คนตอ่ ปีเทา่ นน้ั ... พบว่า คนไทยใช้เวลาว่างอ่านหนังสือปีละ แต่อย่างไรก็ตามการสร้างนิสัยรักการ แค่ ๒ เล่ม ใช้เงินซื้อหนังสือต่อคนปีละ อ่านไม่สามารถสร้างได้เพียงช่ัวข้ามคืน ประมาณ ๒๖๐ บาท ซ่ึงถือว่าน้อยมากเมื่อ เพราะปราสาทที่ใหญ่โตยังต้องใชเ้ วลากอ่ อิฐ เทียบกับประเทศอ่ืนๆ อย่างประเทศสิงคโปร์ แต่ละก้อนถูกเรียงต่อกันขึ้นไปจึงกลายเป็น มสี ถิติคนอา่ นหนงั สือประมาณ ๔๐-๕๐ เล่ม ปราสาทสูงและงดงามได้ การสร้างนิสัยรัก ต่อปี หรืออย่างเวียดนามคู่แข่งของประเทศ การอ่านของเด็กก็เช่นกัน พ่อแม่จึงควรปลูก ไทย อ่านหนงั สือประมาณ ๖๐ เลม่ ตอ่ ปี ฝงั และสร้างโอกาสการอ่านให้กับลกู เหมือน เป็นการเก็บออมสินทีละบาทที่เพิ่มมากข้ึน ส�ำ นักข่าวเนชั่น , เว็บไซต์ สสส. เรื่อยๆ ไปตามกาลเวลา… เชื่อได้เลยว่า...หากมีการส่งเสริมเช่นนี้ (๙) จากบทความในเว็บไซต์ ไปเรื่อยๆ อนาคตสถิติการอ่านหนังสือจะไม่ คา้ น! เด็กไทยไมโ่ ง่ เนน้ การอ่านชว่ ยได.้ . อยู่เพียงแค่ ๕ เลม่ ต่อคนตอ่ ปีแนน่ อน... ......เมื่อเทียบข้อมูลกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเวียดนาม ก็พบว่า ไทยกำ�ลังประสบ จาก www.thaihealth.or.th update ๐๓-๐๔-๒๕๕๒ ปัญหาด้านการอ่านหนังสืออย่างหนัก โดย นางสาวเขม็ พร วริ ณุ ราพนั ธ์ ผจู้ ดั การแผนงาน ส่ือสร้างสุขภาวะเยาวชน (สสย.) ส�ำ นกั งาน กองทนุ สนบั สนนุ การสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ (สสส.) เล่าให้ฟังว่า ขณะนี้ประเทศเวียดนามและ สิงคโปร์มีอัตราการอ่านหนังสือของเด็กท้ัง ประเทศเฉลี่ย ๔๐-๖๐ เล่มต่อคนต่อปี ใน
13 (๑๐) ข่าวจากหนังสือพิมพ์ หนังสือพิมพ์ ๑๓ จังหวัดท่ัวประเทศ รวมท้ังจากการจัด ออนไลน์ และเวบ็ ไซต์หลายแห่ง ประชุมกลุ่มย่อย จำ�นวน ๑๕๖ คน และ ตะลงึ ! คนไทยสนใจอ่านหนังสอื ศึกษากรณีศึกษาท่ีมีลักษณะนิสัยการอ่าน แค่ ๙๔ นาทตี อ่ วัน / สุดโต่งทั้งกลุ่มที่ชอบอ่านและไม่ชอบอ่าน วจิ ัยปี ๕๒ พบ คนไทยอา่ นหนังสือน้อยลง อกี จ�ำ นวน ๑๙๑ คน พบสถิตทิ น่ี า่ สนใจ เชน่ เฉลี่ย ๙๔ นาทีต่อวัน / คนไทยใช้เวลาอ่านหนังสือเฉลี่ย ๙๔ นาที วิจัยชค้ี นไทยอ่านแคว่ ันละ ๙๔ นาที ต่อวัน โดยเด็กและเยาวชนใช้เวลาว่างใน จ้ีเรง่ พัฒนาหอ้ งสมุดตา่ งจงั หวัด การอ่านมากท่ีสุด ในขณะท่ีคนอายุ ๔๙ ปี ผลวิจัยเผย คนไทยสนใจอ่านเพียงแค่ ข้ึนไป ใช้เวลาว่างอ่านน้อยที่สุด โดยอาชีพ ๙๔ นาทีต่อวัน พระ-แม่บ้าน-ทหารเกณฑ์ ข้าราชการใช้เวลาว่างอ่านหนังสือมากที่สุด เป็นอาชีพที่อ่านน้อยที่สุด ขณะท่ีเยาวชน ส่วนอาชีพอื่นๆ เช่น ภิกษุ แม่บ้าน ทหาร เมินเพราะขี้เกียจ... เกณฑ์ใช้เวลาว่างอ่านน้อยที่สุด ด้านที่ต้ัง รศ.ดร.วรรณี แกมเกตุ ผู้ช่วยคณบดี ของถ่ินที่อยู่พบว่าผู้ท่ีอยู่ในเขตเมืองมีดัชนี ฝ่ายวิจัย คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ การอ่านท่ีมากกว่าผู้อยู่ในเขตนอกเมือง ใน มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า สำ�นักงานอุทยาน ขณะที่เด็กและเยาวชนที่ไม่อ่านหนังสือ การเรียนรู้ (TK park) รว่ มกบั คณะครุศาสตร์ สะทอ้ นถงึ สาเหตเุ พราะขเี้ กยี จแมจ้ ะมหี นงั สอื จุฬาฯ ได้จัดทำ�โครงการวิจัย “การศึกษา มสี ถานท่ีใหอ้ า่ นก็ไมอ่ ยากอ่าน สถานการณ์การอ่านและดัชนีการอ่านของ ไทย ปี ๒๕๕๒ (reading Index)” โดยศึกษา ไทยรัฐ (๑๓ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๓), คมชัดลกึ , เดลินิวส,์ วิจัยกลุ่มตัวอย่างจำ�นวน ๕,๘๖๕ คนจาก มติชนออนไลน์, ผูจ้ ดั การออนไลน,์ www.kruthai.info, www.muslimthai.com ฯลฯ
14 ถอดรอ้ื “สถติ ”ิ – หมดุ หมายของอคติ จากข้อความ (แค)่ ๑๐ ตัวอย่างทไ่ี ดห้ ยิบยกมาเป็นสาธกอุทาหรณ์ ว่าดว้ ยการอา่ นของ คนไทยในช่วงทศวรรษ ๒๕๔๐ มาถงึ ลา่ สดุ คือปีน้ีเอง เปน็ งานเขียนในชว่ ง ๓ ปีมานี้ มีส่ิงท่ี น่าพินิจพิเคราะห์ ขุดคุ้ยลงไปใน “ตัวเลข” ที่ระบุว่าเป็นสถิติ ซึ่งมีความประดักประเดิดอยู่ หลายประการดว้ ยกัน ประการแรก เรอ่ื งของการอา่ นก่ีบรรทัด ไม่ใชต่ อ่ วนั แม้กระทงั่ เม่ือเดอื นปลายปนี เ้ี อง ตัวเลขก่ีบรรทัด ไม่รู้มาจากไหน แต่ก็ นักการศึกษา(ท่ีส่ือมวลชนนิยมสัมภาษณ์ กลายเป็นประโยคท่ีถูกกล่าวถึงบ่อยที่สุด มากท่ีสุดคนหน่ึง)ก็ยังพูดให้หนังสือพิมพ์มา ประโยคหนึ่ง และมักจะพูดว่าเป็นสถิติต่อปี ลงว่า
15 “ผลวิจัยที่พบว่าการอ่านของคนไทยต่อ นา่ ประหลาดนัก ๗ หรือ ๘ บรรทดั ต่อปี วัน ๙๔ นาที เป็นประโยชน์และท้าทายและ ไม่มีใครบอกได้ว่ามาจากที่ไหน แต่ก็ยังถูก ตอบโต้ข้อมูลเดิมที่มีข้อมูลว่าคนไทยอ่าน เอย่ อา้ งอย่างเตม็ ปากเตม็ ค�ำ อยรู่ ำ�่ เร่ือย และ เฉล่ีย ๘ บรรทัดต่อปี ซ่ึงเป็นประโยชน์ในแง่ ท้ังท่ีมีแก้ไขให้เข้าใจกันว่าที่พูดว่า ๗ (หรือ การกระตุ้นเชิงนโยบาย ถ้าปีต่อไปทำ�งาน ๘ ก็ตาม) บรรทัดนั้น คือต่อวัน ไม่ใช่ต่อปี วิจัยนี้ต่อ แต่ต้องเน้นเชิงคุณภาพและราย ก ร ะ ท่ั ง ก ร ะ ท ร ว ง ศึ ก ษ า ธิ ก า ร ลุ ก ข้ึ น ม า ละเอียดมากกว่าน…ี้ ” ประกาศวา่ จะขอเพ่ิมให้เปน็ ๑๒ บรรทดั ตอ่ นอกจากนี้ ยังมีข้อเขียนของนักศึกษา วนั กไ็ ม่ได้มีอะไรมากไปกวา่ นัน้ คนหนึง่ ในเวบ็ ไซตข์ องโรงเรียนมีช่อื ดงั น้ี น่าขบขันหรือจะข่ืนขันก็ไม่ทราบได้ ท่ี “เมื่อวันท่ี ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ เราสามารถพูดว่า ๗ หรือ ๘ บรรทัดต่อปี ดิฉันอ่านข่าวว่ามีผลสำ�รวจออกมาว่าคน โดยมิพักต้องสงสัยว่ามันมาจากไหน เป็น ไทยอา่ นหนงั สอื นอ้ ยมากเฉลยี่ ๗ บรรทดั ตอ่ จริงได้อย่างไร และนับเป็นพิสัยที่ห่างกัน ปี ดิฉันก็เห็นด้วย เพราะรุ่นดิฉันหนังสือไม่ อย่างมากมายก่ายกองระหว่างต่อวัน กับต่อ ค่อยมีความน่าสนใจ พอเข้ามาสังเกตการณ์ ปี เมอื่ กระทรวงลุกข้นึ มา “เคลยี ร์” ว่าเป็น ๗ การเรียนการสอนท่ีโรงเรยี น... ความคิดกเ็ ริม่ บรรทัดต่อวัน ก็เท่ากับเราอ่านหนังสือ เปลี่ยนไปเพราะเด็กนักเรียนที่น่ีถูกปลูกฝัง ๒,๕๕๕ บรรทัดต่อปี (ซึ่งก็ไม่ได้แปลว่าอ่าน ให้รักการอ่าน โรงเรียนน้ีมีมุมหนังสือ(มุมรัก มากแต่อย่างใด) ผู้คนต้ังแต่ท่านผู้รู้มากไป การอ่าน)ทุกระดับช้ัน เด็กชอบอ่านกันมาก ถึงท่านผู้รู้น้อย ก็ยังยำ่�และย้ำ�อยู่กับประโยค บางคนมาแต่เช้าก็เดินเลือกหนังสือไปอ่านที่ เก่าๆ คนไทยอา่ นหนงั สอื ไม่กี่บรรทัดต่อปี โต๊ะ พักกลางวนั กอ็ า่ น…”
16 ประการท่สี อง เร่อื งของเวลานาทีทีอ่ ่าน เกือบๆ ครึ่งช่ัวโมงต่อวัน คงบอกว่าน้อยไม่ เมื่อพูดกันเป็นนาที เราก็สามารถพาด ได้ หากจะเน้นว่าอ่านกันน้อย ต้องไปเน้นที่ หัว หรือกล่าวถึง หรือสร้างลีดข่าวด้วยคำ�ว่า เด็กท่ีไม่อ่าน มีมากกว่าครึ่งเลยทีเดียว คือ “แค”่ ต้งั แตแ่ ค่วันละ ๒.๙๙ นาที (ข้อความ ร้อยละ ๖๔ ท่ี ๑) เดก็ ไทยอา่ นหนงั สอื แคว่ นั ละ ๒๗ นาที จากขอ้ ความท่ี ๕ “คนไทยอ่านหนงั สอื (ข้อความท่ี ๔) คนไทยอ่านหนังสือแค่ ๓๙ แค่ ๓๙ นาทีต่อวัน” จากการโค้ดข้อความที่ นาทีต่อวัน (ข้อความท่ี ๕) และล่าสุดเมื่อ เลขาธิการสำ�นักงานสถิติแห่งชาติพูด ไม่มี เดือนพฤศจิกายนท่ีผ่านมานี้เอง ยังอุตส่าห์ รายละเอียดว่าเป็นคนไทยกลุ่มใด อย่างไร “ตะลึง! คนไทยสนใจอ่านหนังสือแค่ ๙๔ แต่หากอ่านกันเกือบ ๔๐ นาทีต่อวันโดย นาทตี ่อวัน” “วิจยั ปี ๕๒ พบคนไทย อ่าน เฉล่ียถ้วนท่ัวแล้วละก็ จะได้ราววันละ ๒๐- หนังสือ น้อยลง เฉล่ีย ๙๔ นาทีต่อวัน” ๒๕ หน้าต่อคนต่อวัน คำ�นวณคร่าวๆ ได้ถึง “วิจยั ชี้คนไทยอา่ นแค่วนั ละ ๙๔ นาที จ้ีเร่ง ๔๐๐ บรรทัดต่อวัน แล้วจะมีอะไรน่าเป็น พฒั นาหอ้ งสมดุ ตา่ งจงั หวดั ” (ขอ้ ความท่ี ๑๐) ห่วงถึงการไม่อ่านหนังสืออีกเล่า (แน่นอน ไม่อยากจะเช่ือ ตัวเลขห่างกันจากต้ัง สถิติน้ีจะต้องมีรายละเอียดท่ีเกี่ยวข้อง ซ่ึง แต่ ไม่ถึง ๓ นาที ไปถึงกว่าหน่ึงชั่วโมงคร่ึง ไม่ใช่สถิติท่ัวๆ ไปของประชาชนคนไทยโดย ห่างกันถึง ๓๐ เท่าเศษๆ คำ�ที่ใช้บอกกล่าว รวม แต่ในข่าวสาร/ข้อเขียนที่นำ�เสนอนั้นไม่ ในสื่อก็ยัง “แค่..” ได้บอกกลา่ วเอาไว้) ซึ่งหากดูในรายละเอียดปลีกย่อยแล้ว ถ้าคนไทยโดยรวมอ่าน ๒๗ นาทีต่อวัน ถอื วา่ ไมน่ อ้ ยแลว้ จะได้จ�ำ นวนหน้าเปน็ สบิ ๆ หน้าเลยทีเดียว แต่ในข้อเท็จจริงสถิติน้ีเป็น สถิติของเด็กปฐมวัยเฉพาะที่(ผู้ปกครอง) ตอบว่า อ่าน ในกลุ่มที่อ่านเขาอ่านเฉลี่ย
17 และทน่ี า่ ประหวนั่ กบั การอา้ งสถติ ิ“แค.่ .” แห่งชาติท่ีบอกว่าคนไทยอ่าน ๓๙ นาที/วัน ก็คอื ลา่ สุด จากการวิจัยของ TK Park รว่ มกบั ในปี ๒๕๕๑ และยังน่างุนงงก็คือ อ่าน ๙๔ คณะครุศาสตร์ จฬุ า (ขอ้ ความท่ี ๑๐) ไม่ได้ นาที/วัน ในข่าวก็ยังบอกว่าลดลง ซึ่งไม่รู้ว่า ขยายความว่าเป็นการศึกษาเวลาทใ่ี ชใ้ นการ ลดลงจากตวั เลขอะไร เมอ่ื ไหร่ ได้แตบ่ อกว่า อา่ นนอกเหนอื จากเวลาเรยี น หรอื เวลาทำ�งาน ลดลง (สำ�หรับนักเรียนก็ต้องอ่านหนังสือเรียน จึงพูดได้ว่า ตัวเลขอะไร ไม่สำ�คัญ สำ�หรับข้าราชการส่วนมากงานของเขาเป็น สำ�คัญอยู่ท่ีทัศนคติของผู้พูด ของส่ือ ท่ีจะ งานท่ีต้องอ่านเอกสาร) ซึ่งจะทำ�ให้เห็นว่า บอกว่าด้วยคำ�เดิมๆ ว่ามนั ตำ�่ น้อย ลดลง แตกต่างจากการสำ�รวจวิจัยของสำ�นักอ่นื ๆ ถอยหลัง อะไรในทศิ ทางทเ่ี ปน็ ลบเขา้ ไว้ อย่างไรบ้าง เม่อื ได้ตัวเลข ๙๔ นาที ต่อวัน หรือวันละหนึ่งช่ัวโมงคร่ึง อันเป็นตัวเลข ที่หากนับเป็นหน้าก็จะได้วันละ ๕๐ หน้า โดยประมาณ หรือจะคิดเป็นเล่มก็ได้ถึง กวา่ รอ้ ยเล่มต่อปี หากสถิตินี้ไม่มีเง่ือนไขเป็นอย่างอ่ืน แล้วละก็ (เป็นการสำ�รวจการอ่านนอกเหนือ เวลาเรียนและเป็นการอ่านท่ีไม่ใช่การ ทำ�งานตามปกติ เหมือนการสำ�รวจโดย ทั่วไปของประเทศต่างๆ) น่าจะตะลึงว่าคน ไทยอ่านหนังสือมาก มากอย่างเป็นคนละ เร่อื งกับสถติ ิ ๒.๙๙ นาท/ี วัน (ขอ้ ความท่ี ๑) หรือแม้แต่ ๒๗ นาที/วัน(ของกลุ่มเด็กเล็ก ๔๖% ท่ีอ่านหนังสือ) ของสำ�นักงานสถิติ
18 ประการที่สาม เรื่องของจำ�นวนเล่มที่คน อ่านหนงั สือใดๆ กต็ าม ที่เปน็ บริการสาธารณ ไทยอ่านและคนตา่ งชาติอา่ น ปญั ญา เหมอื นสาธารณปู โภคพน้ื ฐาน ท่ีทุกคน ข้อความท่ี ๖ บอกกลา่ วไวใ้ นปี ๒๕๕๐ มีสิทธไิ ด้รบั อย่างท่วั ถึง ว่าคนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยคนละ ๕ เล่ม การพูดตัวเลขให้น้อย คิดอย่างเจตนาดี ต่อปี แต่ข้อความท่ี ๗ และ ๘ บอกไว้ใน ตวั เลขนน้ั ๆ มนั ดงึ ดดู ความสนใจ มนั นา่ ท�ำ ให้ ปี ๒๕๕๒ บอกว่าคนไทยอ่านหนังสือปีละ เกิดพลังงานศักย์ของหนังสือ พลังงานจลน์ ๒ เล่ม ตกลงมันยังไงกันแน่ แต่แน่ๆ ไม่ได้ ในการส่งเสริม สู่ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการ หมายความว่าการอ่านลดลงจาก ๕ เล่ม อ่านระดับมหภาคได้มาก จากความรู้สึกว่า เปน็ ๒ เล่ม มนั คอื วิกฤติทางปัญญา เราไม่รู้ชัดว่า ๕ เล่มมาจากไหน แต่ แต่มันได้สะท้อนปัญหาท่ีมีอยู่จริงมาก ไม่ใช่มาจากอ่านวันละ ๗ บรรทัด หรือปีละ น้อยแคไ่ หน ? ๗ บรรทัดอย่างแน่นอน (เพราะจากสถิติน้ี เมื่อมีการประกาศชูทศวรรษแห่งการ ลองค�ำ นวณแล้วไมม่ ีทางไปถงึ ๕ เล่มได้) อ่านตั้งแต่ปี ๒๕๕๒-๒๕๖๑ ของกระทรวง แต่ท่ีว่าอ่านปีละ ๒ เล่มน้ัน มาจาก ศึกษาฯ ยุคประเดิมรัฐบาลอภิสิทธ์ิ ก็ต้ังเป้า สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำ�หน่ายหนังสือ เอาไว้ว่า จะต้องทำ�ให้ “ค่าเฉลี่ยในการอ่าน แห่งประเทศไทย (ส.พ.จ.ท.) ที่เอาสถิติการ หนังสือของคนไทยต้องเพิ่มจากปีละ ๕ เล่ม ซื้อหนังสือของคนไทยด้วยเงินเฉลี่ย ๒๖๐ เป็น ๑๐ เล่ม รวมทั้งต้องมีการพัฒนาและ บาทต่อปี มาเป็นการประมาณว่าเท่ากับซื้อ เพ่ิมแหล่งการอ่านท่ีมีคุณภาพให้ทั่วถึงทุก หนังสือได้ ๒ เล่ม นี่ก็แปลว่าผู้จัดพิมพ์-จัด ตำ�บล/ชุมชน สร้างภาคีเครือข่ายการอ่าน จำ�หน่ายคิดจะให้คนไทย “ซ้ือ” จึงเท่ากับว่า เพ่ือปลูกฝังนิสัยรักการอ่านและการเรียนรู้ ได้ “อ่าน” ไม่ได้คิดว่าเราควรจะได้อ่านโดย ตลอดชีวิตอย่างย่ังยืน” (ประกาศของ ไมจ่ �ำ เปน็ ตอ้ งซอ้ื กไ็ ด้ หากตอ้ งเปน็ บรกิ ารของ รฐั มนตรี ทมี่ าของขอ้ ความที่ ๓) รัฐ ชุมชน สังคมท่ีต้องมีห้องสมุดหรือ มุมที่
20 ประเทศที่ผู้รู้ไทยนิยมนำ�มาเปรียบ สะท้อนวัฒนธรรมการอ่านด้วยตัวมันเอง เทียบมากท่ีสุดแต่ไหนแต่ไรมาแล้วก็คือ หากแต่ทัศนคติที่ห่อหุ้มมากับ(ทุก)ตัวเลข สิงคโปร์ แตข่ อ้ ความท่ี ๖ บอกว่าคนสิงคโปร์ ต่างหากท่ีมีความหมายสะท้อนก้นบ้ึงในใจ อ่าน ๑๗ เล่มต่อคนต่อปี ในขณะท่ีข้อความ ของคนไทยเอง ทำ�ให้ได้เห็นตะกอน “ความ ท่ี ๘ บอกว่า คนสิงคโปร์อ่าน ๔๐-๕๐ เล่ม เชื่อ” ท่ีฝังลึกอยู่ในความคิดว่า คนไทยไม่ ต่อคนต่อปี (ส่วนเวียดนามเพิ่งถูกนำ�มา อ่านหนังสือ ไม่คิดจะนำ�พาตนเองตนเองสู่ เปรียบเทียบในระยะหลัง ตัวเลขยังไม่เขย่ง วิถีปญั ญาด้วยการอา่ น จนแตกต่างกันมากในข่าวสารตา่ งๆ) ที่ยกอะไรมาสาธกเสียยืดยาว มิได้ เห็นวิธีอ้างอิงสถิติการอ่านของคนไทย หมายความว่าจะบอกว่าความจริงเป็นไปใน (ก็โดยคนไทยนั่นแหละ) แล้ว เป็นงง! ได้เหน็ ทางตรงกันข้าม แต่มีความเห็นว่าเราน่าจะ ว่ า ส ถิ ติ ห รื อ ตั ว เ ล ข ไ ม่ ไ ด้ มี ค ว า ม ห ม า ย ลองรื้อระบบคิดของเราดู จะได้เจอว่าน็อต
21 ตัวใดท่ีขันเกลียวให้เราติดยึดอยู่กับที่เดิมๆ รู้สึกเห็นคุณค่าและประโยชน์จากการอ่าน ไม่ได้ขยับไปไหน นอกจากเอาสถิติอะไรมา จนเกิดการถ่ายทอด ส่งเสริม สนับสนุนการ กไ็ ด้เพือ่ จะบอกว่าคนเราไมอ่ า่ นหนงั สอื อ่านไปสู่ผู้อื่น ก้าวข้ามสถิติที่ไม่ได้มาพร้อมกับสติ อีกประเด็นหนึ่งที่พบเห็นเป็นประจำ�ว่า และปัญญาไปได้ก็คงจะดี มิฉะนั้นแทนท่ีจะ ผู้นำ�ทางความคิดของไทยจำ�นวนไมน่ อ้ ย มกั ได้สร้างเสริมการอ่านให้เติบใหญ่ แข็งแกร่ง กล่าวอ้างเสมอในทำ�นองว่าประเทศอื่นโดย เป็นวัฒนธรรมท่ีหยั่งรากและฝากดอกผล เฉพาะประเทศพัฒนาแล้ว ผู้คนเขารักการ เ ร า ก็ จ ะ จ ม อ ยู่ แ ต่ ใ น ป ลั ก ข อ ง บ ท รำ � พึ ง ท่ี อ่าน ไม่มีปัญหาการ(ไม)่ อ่านเหมอื นบ้านเรา ราวกับอาขยาน เหมือนกับท่ีคร้ังหนึ่งเรา ขอ้ เขยี นตา่ งๆ ทศ่ี นู ยว์ จิ ยั และพฒั นานวตั กรรม ต่อว่าการท่องจำ�โดยไม่ใช้ความคิด (จนเรา การอ่านได้นำ�มาประมวลไว้ในหนังสือเล่มน้ี สูญเสียท้ังความสามารถในการจำ�และใน เพื่อท่ีแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน การคิด) ยังไงยังงั้น เราจะได้หันไปมองไป จะได้เผยแพร่สู่ผู้สนใจ ผู้มุ่งหมายจะปลูกฝัง พูดถึงความจริงอื่นๆ ท่ีควรจะได้รับความ การอา่ นให้แกเ่ ด็ก เยาวชน ประชาชน ได้รับ สนใจในการปลกู ฝังวฒั นธรรมการอา่ นกัน รูร้ ว่ มกันประการหน่ึงก็คอื หน่งึ ในปญั หาทาง ถึงตรงนี้ ใคร่ขอแทรกสารสำ�คัญอัน ปญั ญาของนานาประเทศ คอื ปญั หาวฒั นธรรม เป็นความหมายที่เข้าใจได้ พัฒนาตัวชี้วัดได้ การอ่านนี่แหละ เป็นปัญหาเหมือนๆ กัน ของค�ำ วา่ วัฒนธรรมการอ่าน โดยโครงการ เป็นส่ิงท่ี ต้องตระหนักเพ่ือสร้างหรือเพื่อ ติดตามและประเมินภายใน แผนงานสร้าง เสรมิ ใหแ้ ขง็ แกรง่ ย่งิ ข้นึ เสริมวัฒนธรรมการอ่าน ภายใต้การ สนับสนุนของ สสส. ได้นิยามเชิงปฏิบัติการ ว่า วัฒนธรรมการอ่าน คือ พฤติกรรมการ อ่านอย่างต่อเนื่องจนเป็นนิสัยของบุคคล ใน ทุกพ้ืนท่ีของวิถีการดำ�เนินชีวิต โดยผู้อ่าน
22 กา้ วขา้ มหมายหมดุ อคติ สขู่ อ้ พนิ จิ อน่ื ๆ หากก้าวข้ามจากหมายหมุดของสถิติท่ีกลบทับด้วยอคติแล้ว (ไม่ได้หมายความว่าสถิติ ไม่สำ�คัญ การศึกษาวิจัยดัชนีส่งเสริมการอ่าน ก็ยังต้องอาศัยสถิติและคำ�อธิบาย) ยังมี ประเด็นอื่นๆ ของวัฒนธรรมการอ่าน หรือการที่ด�ำ ริ ดำ�เนิน ให้การอ่านเป็นวัฒนธรรมด�ำ รง ได้ มีคำ�ถามที่ต้องขบคดิ อย่างจรงิ จัง อยา่ งเช่น • ทำ�ไมเด็กไทยใช้เวลาในโรงเรียน • การอ่านกับการฟังใช้สมองคนละ มากกว่าประเทศเพ่ือนบ้านโดยส่วนใหญ่ ส่วนกัน ? การรับสารในวัฒนธรรมไทยแต่ อัตราการรู้หนังสือของไทย (ในปี ๒๕๔๓) ก็ ดั้งเดิมน้ันคือการฟัง สิ่งท่ีควรจะตระหนักก็ สูงกว่าประเทศเพ่ือนบ้านในอาเซียนท้ังหมด คือ การรับสารผ่านการฟังกับการอ่านน้ัน ยกเว้นฟิลิปปินส์เท่าน้ัน (รู้หนังสือแปลว่า ต่างกัน ไม่ใช่ต่างในแง่ของสำ�นวนและ อ่านและเขียนข้อความง่ายๆ ได้-แน่นอนว่า ถ้อยคำ�และอารมณ์ซึ่งสื่อผ่านเสียงเท่าน้ัน ความสามารถเพียงเท่านี้ยังไม่อำ�นวยความ แต่ต่างในด้านการใช้สมาธิเพ่ือการรับสารก็ เพลิดเพลินในการอ่านได้) แต่ไม่ได้นำ�ไปสู่ ต่างกันด้วย แม้เป็นการสื่อสารด้วยภาษา นสิ ยั รักการอา่ น เหมือนกัน แต่ก็น่าสงสัยว่าใช้สมองคนละ
23 ส่วนกัน ผลการศึกษาสมองคงจะบอกเราได้ ปฏิวัติกันใหม่ อย่างน้อยก็ต้องทำ�ให้ที่อ่าน การอ่านถึงได้เหนื่อยแก่คนที่ไม่คุ้นเคยกับ หนังสือโดยเฉพาะที่เรียกว่าห้องสมุด ไม่ใช่ วัฒนธรรมการรับสารผ่านการอ่าน สมองรับ เป็นท่ีเก็บหนังสือ แต่ต้องเป็นศูนย์กลางท่ี สารไปย่อย บางส่วนก็ส่งไปให้หัวใจระทึก จะทำ�ให้คนมาทำ�อะไรอื่นๆ ซ่ึงผูกโยงเข้าไป หรืออาดรู ทา่ มกลางความเงยี บ ไมม่ ศี ัพทส์ ำ� กับการอ่าน ห้องสมุดต้องมีกิจกรรม ที่ใช้ เนียงใดๆ ให้ได้ยินทางโสตประสาท แต่ผู้ ความแยบคายในการจัด แฝงการกระตุ้น ความอยากรู้อยากเห็นเพิ่มขึ้นในกิจกรรม อ ่านไ•ดย้ กนิ าไรดฝ้เึหกน็ฝนดใ้วหย้รคักวกามารร้สูอึก่านนึกเคปิด็นการ สนุกๆ ให้ผู้เข้าร่วมหันเข้าหาความรู้หรือ ความเพลิดเพลนิ จากการอา่ น ปลูกฝังนิสัยท่ไี ม่ได้มีในวัฒนธรรมไทยมาก่อน? จะทำ�ได้สำ�เร็จได้เพียงไรขึ้นอยู่กับเง่ือนไขใน • สำ�นักงานสถิติแห่งชาติออกแบบ การกระตุ้นและโน้มน้าวมากมาย และเป็น เงื่อนไขทางสังคมที่ต้องเอื้อให้อย่างต่อเนื่อง สอบถามประชาชนว่า ทำ�อย่างไรดีถึงจะให้ จริงจัง ข้อสำ�คัญ ผู้ที่อยู่ในกระบวนการส่ง คนชอบอ่านหนังสือมากข้ึน คำ�ตอบแรกท่ีได้ เสริมการอ่าน ต้ังแต่ระดับนโยบายไปถึงผู้ คะแนนสูงสุดคือทำ�หนังสือให้ถูกลง (จาก ปฏบิ ตั กิ ารภาคสนามตา่ งๆ เปน็ ผมู้ ี “การอา่ น” การสำ�รวจความคิดเห็นของประชากรที่มี เป็นทนุ ทางวฒั นธรรมสกั เพยี งใด อายุตั้งแต่ ๖ ปีข้ึนไป พบว่าวิธีการรณรงค์ ให้รักการอ่านที่ได้รับการเสนอแนะมากท่ีสุด • การอา่ นเปน็ เรอื่ งของวฒั นธรรม ไมใ่ ช่ ๕ ลำ�ดับแรก คือ หนังสือควรมีราคาถูกลง ร้อยละ ๒๘.๗ หนังสือควรมีเนื้อหาสาระน่า เร่ืองง่ายเลยท่ีภาครัฐจะสร้างวัฒนธรรม สนใจร้อยละ ๒๒.๐ ควรมีห้องสมุดประจำ� ได้ในช่วงเวลาส้ันๆ จากข้อมูลหรือสถิติ หมู่บ้านหรือชุมชนร้อยละ ๑๙.๘ ส่งเสริมให้ ตัวเดียวหรือตัวใดตัวหนึ่ง การทำ�ให้เกิด พ่อแม่ปลูกฝังให้เด็กรักการอ่านหนังสือร้อย “โอกาส” ท่ีจะได้อ่านน้ัน เป็นเรื่องสำ�คัญ ละ ๑๙.๓ และภาษาที่ใช้ในหนังสือควรใช้ ความพยายามของภาครัฐที่จะส่งเสริม ภาษาง่ายๆ ส่ือให้ทุกคนสามารถเข้าใจได้ ให้มีท่ีอ่านหนังสือและห้องสมุดจะต้อง
24 ร้อยละ ๑๓.๑) น่าสนใจท่ีมาของคำ�ตอบ “คนทุกวันนี้ก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่อ่านนะ แต่ อย่างไรก็ตามท่านผู้รู้บอกว่าหนังสือนั้นเป็น ต้องถามว่าเขาอ่านอะไร ถ้าอ่านหนังสือ สินค้าประหลาดอย่างหน่ึง กล่าวคือ scale กระแส บางทีมันก็ไม่ได้ส่งเสริมวัฒนธรรม of economy หรอื ปรมิ าณการผลติ ทสี่ งู ขนึ้ ไม่ การอ่าน จนนำ�ไปสู่การสร้างปัญญาหรือ ท�ำ ใหร้ าคาต�่ำ ลงเทา่ ไรนกั แตห่ นงั สอื จะถกู ลง ทางออกทางความคดิ ถึงตอนนีภ้ าคเอกชนก็ มากหากมีห้องสมุดมากๆ กล่าวคือถ้าเราได้ ต้องคิดเหมือนกันว่าคุณกำ�ลังอยู่ในธุรกิจ อา่ นหรอื ยมื หนังสือจากห้องสมดุ เรื่องราคาก็ วัฒนธรรม ไม่ใช่ธุรกิจขายผงซักฟอก แต่ จะไมใ่ ชเ่ รอื่ งส�ำ คญั เลย คดิ งา่ ยๆ หนงั สอื ราคา ท้ังนี้ท้ังน้ัน รัฐบาลก็ต้องมีส่วนในการ ๕๐๐ บาท อา่ น ๑๐ คน กจ็ ะเหลอื เลม่ ละ ๕๐ กำ�หนดนโยบายที่มีส่วนช่วยด้วย เพราะ บาท อ่าน ๑๐๐ คน ก็จะเหลอื เลม่ ละ ๕ บาท กลไกต่างๆ มันอยู่ที่ภาครัฐ จะลดภาษี เทา่ นน้ั ปัญหาจริงๆ ของเราจงึ อยู่ท่ีเรามีห้อง กระดาษก็ได้ หรือส่งเสริมให้มีห้องสมุด สมดุ น้อยเกนิ ไป แล้วก็ไมห่ าทางทจี่ ะเพิ่มคน ชุมชนให้มันมากขึ้นก็ได้ ให้บรรณารักษ์ช่วย (อยาก) อา่ นให้มากขน้ึ กันส่ังหนังสือท่ีดี เอาไปใส่ห้องสมุด ยอด และขอผนวกด้วยทัศนะของผู้นำ�ด้าน ขายของหนังสือคุณภาพมันจะได้สูงข้ึน แล้ว การอ่านการเขียนในบ้านเรา ที่ทิ้งทวนให้ได้ สำ�นักพิมพ์ดีๆ จะได้อยู่ได้” ขบคิดพินิจนึกกันต่อไป หากใส่ใจจะสร้าง เสริมวัฒนธรรมการอ่านให้บังเกิดในสังคม ภิญโญ ไตรสรุ ยิ ธรรมา – เจา้ ของส�ำ นักพมิ พโ์ อเพน่ บุค๊ ส์ ไทย และไม่ว่าจะอย่างไร การสร้าง วัฒนธรรมการอ่านเป็นส่ิงท่ีดี ยังไม่เคยเห็น ใครที่ไหนบอกว่าการอ่านเป็นสิ่งท่ีไม่ดี เป็น วัฒนธรรมท่ีไม่ควรรับไว้เพ่ือปลูกฝังให้เติบ ใหญ่ในสงั คม
25 “การอ่านอบี ุ๊กออนไลน์ รฐั กไ็ มไ่ ดเ้ ขา้ ไป “แน่นอนว่านิสัยรักการอ่านน้ัน หาก ควบคมุ ว่าเด็กๆ อา่ นอะไร กป็ ล่อยไปตามสะ ปลูกฝังมาแต่เด็กในโรงเรียนได้ก็น่าจะอยู่ เปะสะปะ ได้ยินว่ามีนวนิยายในเว็บท้ังหมด ย่ังยืนต่อไป โรงเรียนและบ้านเป็นผู้ผลิต ตอนนก้ี วา่ ๒๔๐,๐๐๐ เรอ่ื ง มนั เวยี นอา่ นกนั นักอ่านท่ีสำ�คัญที่สุดในโลกปัจจุบัน แต่การ จนปวดหัว ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แต่ว่าที่มี อ่านเป็นสิ่งแปลกปลอมในระบบการสอน คุณภาพมันไม่มี มันมีน้อยมาก เท่าท่ีเขาทำ� ของโรงเรียน (ไล่ไปจนถึงมหาวิทยาลัย) คือ วิจัย เพราะว่าเด็กๆ ไม่รู้เลยว่าจะเขียนยังไง อ่านไปทำ�ไมก็ไม่รู้ เพราะครูไม่ได้อยากให้ ให้มคี ณุ ภาพ กเ็ วยี นกันอา่ นอยแู่ ค่น้ัน เพราะ นักเรียนรู้อะไรมากไปกว่าที่ท่านรู้ การอ่าน ไม่รู้ ถ้าใครท่ีจัดการได้ก็ต้องเข้าไปจัดการ ตำ�ราน้ันช่วยเพิ่มมิติและมุมมองอันหลาก คือคำ�ว่าจัดการไม่ได้แปลว่าไปปิด แต่แปล หลายให้แก่ประเด็นวิชาการ แต่การศึกษา ว่าไปทำ�ใหม้ ันดี ไปเพ่ิม ไปพฒั นา” ไทยไม่ต้องการคำ�ตอบที่หลากหลายมิติและ มุมมอง ต้องการแต่ท่ีเช่ือว่า “ถูก” อันเดียว ชมัยภร แสงกระจา่ ง – นายกสมาคมนกั เขียนแห่ง เหมือนข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยแหละครับ คือรู้ว่าอันไหนถูกก็เลือกกามา อย่าคิดมาก ประเทศไทย เพราะจะท�ำ ให้เขา้ มหาวิทยาลยั ไม่ได้” นิธิ เอียวศรีวงศ์ – นักคิด นกั เขียน นกั อา่ น เราจะสรา้ งการอา่ นใหเ้ ปน็ วฒั นธรรมของคนไทย เราตอ้ งขา้ มหมดุ สถติ ทิ ถ่ี กู หมอกอนั หนา ทึบของอคติบดบงั ทัศนียภาพท่ีจะกา้ วตอ่ ไป ดังทไี่ ด้สาธยายไปในตอนต้นแลว้ ยงั ต้องฝา่ ดา่ น ค�ำ ถาม-ค�ำ ตอบทางวัฒนธรรมและทางสังคมอกี มายมาย ทที่ ้าทายใหฝ้ า่ ขา้ มไปในท่ามกลาง โลกทห่ี มนุ ติว้ และมีเรอ่ื งที่ต้อง“อา่ น”อยใู่ นน้ัน
กรอบคดิ วแฒั ลนะธทรริศมทกาารงอสา่ ู่คนว:ามย่ังยืน ถ้าโครงการไปเท่ียวต้อง ระงับ และมีเพียงส่ิงเดียวท่ีให้ เลือกติดตัวสำ�หรับช่วงเวลาท่ี ว่างนี้ คุณจะเลอื กอะไร หนงั สอื ใชไ่ หม ?
27 ผู้ช่ืนชอบและรักการอ่านหนังสือคง หนังสือเลย ผู้ที่อ่านหนังสือซึ่งมีจำ�นวนไม่ ตอบว่า ใช่ เพราะการอ่านเป็นส่วนหนึ่งใน มากน้ีใช้เวลาในการอ่านในยามว่างน้อยลง ชีวิต แตท่ ราบหรอื ไมว่ า่ ผ้ตู อบเช่นน้เี ปน็ หนง่ึ เม่อื เทยี บกบั ช่วงทศวรรษท่ผี ่านมา กลุม่ เด็ก ในจำ�นวนคนสว่ นน้อยเทา่ น้ัน อายุ ๑๒ ปี ใช้เวลาในการอ่านในยามว่าง จากการส�ำ รวจในประเทศเนเธอร์แลนด์ เฉลี่ยน้อยกว่าครึ่งชั่วโมงต่อสัปดาห์ ไม่ใช่ ชาวดัตช์ส่วนใหญ่ตอบว่าพวกเขาเลือก เพราะปัญหาการไม่รู้หนังสือ เน่ืองจากเด็ก โทรทัศน์ รองลงมาคือส่ืออื่นๆ แทบไม่มีผู้ เหล่าน้ีจบช้นั ประถมศกึ ษาแล้ว ตอบว่าเลือกหนงั สือเลย แม้ว่าระดับการศึกษาของประชากรใน ถ้าเปล่ียนช่ือประเทศ สภาวการณ์น้ีก็ เนเธอร์แลนด์จะสูงขึ้นเมื่อเทียบกับทศวรรษ คงเหมอื นๆ กนั ในหลายประเทศ และเหมอื น ก่อน แต่เวลาที่ใช้ในการอ่านของคนส่วน ทเ่ี กดิ ขึ้นในบ้านเรา ใหญก่ ็ไมไ่ ด้เพิ่มข้ึน ส่งิ ท่ีขดั แย้งกันก็คือ พวก (ไม่) แปลกแต่จริง! ทั้งท่ีคนส่วนใหญ่ เขาต่างก็เห็นว่าหนังสือเป็นส่ิงท่ีมีประโยชน์ ต่างก็เห็นคุณค่าและประโยชน์ท่ีได้รับจาก และค้มุ ค่าถา้ ได้อ่าน แต่ก็แทบจะไม่อ่านเลย การอ่านหนังสือ แต่ก็ไม่เลือกไว้ติดตัวใน พ่อแม่และผู้ปกครองท่ีไม่อ่านหนังสือต่างก็ ยามว่าง อาจเป็นเพราะไม่ได้สนใจเรื่องอ่าน เห็นความสำ�คัญของการส่งเสริมให้เด็กรัก และใช้เวลามุ่งไปในกิจกรรมอ่ืน หรือเป็น การอ่านและเห็นว่าเป็นสิ่งจำ�เป็นท่ีจะต้อง เพราะขาดทักษะด้านการอ่าน ? บางคนก็ ปลูกฝังต้ังแต่เล็กๆ คำ�ถามก็คือว่า แล้ว โทษการเกิดขึ้นของสื่อใหม่ว่าทำ�ให้นิสัยการ ท�ำ ไมพวกเขาไมอ่ ่านล่ะ ? อ่านเปลี่ยนแปลง หลายคนในเนเธอร์แลนด์ หลายประเทศประสบปัญหาเช่นเดียว ต่างก็กังวลถึงปัญหานี้ และพยายามกระตุ้น กับในเนเธอร์แลนด์ และพยายามรณรงค์ส่ง โน้มน้าวให้คนหนั มาอ่านหนังสอื กนั มากขึน้ เสริมให้ประชาชนอ่าน(หนังสือ)กันมากขึ้น จากการสำ�รวจพบว่า มากกว่าคร่ึงหนึ่ง หลายแห่งเรียกสิ่งนี้ว่า “การสร้างวัฒนธรรม ของผู้ใหญ่ในเนเธอร์แลนด์แทบจะไม่อ่าน การอา่ น”
28 วฒั นธรรมการอา่ นคืออะไร วัฒนธรรมในทางมานุษยวิทยาให้ความหมายในแง่ว่า “กลุ่มคนเขาปฏิบัติกันอย่างไร” พวกเขาทักทายและส่อื สารกนั อยา่ งไร พวกเขาแต่งตวั กินอาหาร ทำ�งาน และพกั ผอ่ นหย่อน ใจกันอย่างไร วัฒนธรรมคือส่ิงที่เราทำ�เหมือนๆ กัน เป็นภาพรวมในฐานะทเ่ี ปน็ กลมุ่ คน/ชมุ ชน มคี า่ นยิ ม ความเชอ่ื และรปู แบบพฤติกรรมในลกั ษณะเดยี วกนั Magara (2005) อธิบายความหมาย แล้วจะบ่มเพาะให้เกิด “วัฒนธรรมการ ของ “วัฒนธรรมการอ่าน” เอาไว้ว่า คือที่ท่ี อ่าน” ได้อย่างไร? ชุมชนอ่ืนๆ ทั่วโลกเขาส่ง การอ่านเป็นค่านิยมและความชื่นชอบอย่าง เสริมให้เกิดนิสัยรักการอ่านกันอย่างไร? คน สงู ในสงั คม และเป็นที่ทกี่ ารอา่ นไมใ่ ชเ่ กดิ ขึ้น ที่ช่ืนชอบการอ่าน เขาชอบดว้ ยเหตผุ ลใด? แค่ในโรงเรียนเท่านั้น หากแต่เป็นการปฏิบัติ กนั ทว่ั ไปในทกุ ๆ ด้านของชวี ิตเราทกุ คน Baier, Davis & Hart (2010) ระบุว่า สง่ิ ชว้ี ดั วา่ สงั คมมวี ฒั นธรรมการอา่ น(หนงั สอื ) นอกจากสมาชิกทุกระดับจะกระตือรือร้นท่ี จะอ่านแล้ว คนในชุมชนยังพูดกันเกี่ยวกับ หนังสือท่ีพวกเขาอ่าน พูดถึงเรื่องราวใน หนังสือและแนะน�ำ ให้กันและกันอ่าน และท่ี สำ�คัญ ทุกคนศรัทธาและเห็นคุณค่าท่ีได้รับ จากการอา่ น(หนังสือ)
29 ความคดิ เหน็ ของผู้ท่ีรักการอา่ น ตอ่ ไปนเ้ี ป็นตัวอยา่ งทัศนะของคนรักหนังสือหลายชาตหิ ลายภาษา :- “ผมยังจำ�ได้ดีถึงเสียงที่แม่อ่านหนังสือ “ในอิหร่าน โดยเฉพาะในช่วงปฏิวัติ ให้ฟัง กล่อมผมหลับในช่วงบ่าย ตอนนั้นผม ศาสนาอิสลาม มีการแบนหนังสือจำ�นวน ยังเด็กมาก แต่พ่อแม่ก็ซ้ือหนังสือภาพมาให้ มาก พวกเราในกลุ่มเพื่อนๆ แอบแลกกัน แล้วตั้งหลายเล่ม เป็นหนังสือปกแข็งภาพ อ่าน และต้องซ่อนหนังสือพวกน้ันไว้แต่ สวยงามมาก โดยเฉพาะเล่มที่วาดด้วยสีน้ำ� ในบ้าน ตอนน้ันในโรงเรียนไม่มีห้องสมุด เลม่ นนั้ ผมจ�ำ ไดแ้ มน่ เลย เรอื่ ง Corazon เมอื่ ผมไม่มีโอกาสท่ีจะรู้จักสถานท่ีแบบน้ันเลย โตขนึ้ พอทจ่ี ะอา่ นเองได้ ผมกอ็ า่ นหนงั สอื ภาพ โตขนึ้ ผมถงึ รจู้ กั หอ้ งสมดุ สาธารณะ และทนี่ น่ั เหล่าน้ันซำ้�แล้วซ้ำ�อีก อ่านไปจนดึกเลย...” เป็นสถานทท่ี ใี่ หป้ ระโยชน์กับผมมากมาย...” (Gabriel - อาร์เจนตินา) (Nassar - อหิ รา่ น) “ตอนฉันอายุ ๘ ขวบ พี่ชายคนโตสร้าง “ฉนั เปน็ ลกู คนเดยี ว และเหน็ วา่ การอา่ น ซุ้มเล็กๆ ทำ�เป็นห้องสมุดให้พวกเรายืม คือเพอื่ นทพ่ี เิ ศษสดุ ตอนเดก็ ๆ ฉนั อา่ นทกุ สงิ่ หนังสอื มพี ่สี าว ฉนั ญาตๆิ ของพวกเรา แล้ว ทุกอย่างโดยไม่สนใจว่าจะเป็นเร่ืองที่เหมาะ ก็เด็กๆ แถวบ้าน พี่ชายฉันจะให้การ์ดใบ สมหรือไม่ แต่ฉนั กไ็ ดค้ �ำ ศัพท์เพ่มิ ข้นึ มาเยอะ เล็กๆ พร้อมกับแสตมป์ระบุวันท่ีคืนภายใน มาก และกลายเป็นคนที่ชอบคำ�ที่มีเสียง หนึ่งสัปดาห์ ถ้าไม่คืนตามกำ�หนดก็ถูกปรับ เหมอื นเสียงดนตรี ตอนนี้ หลานๆ กับฉนั มกั ทั้งพ่อและแม่ของฉันชอบอ่านหนังสือมาก จะอ่านหนังสือด้วยกัน หนังสือของพวกเขา และคะยั้นคะยอให้พวกเราอ่าน ฉันยังจำ�ได้ น่ารักมาก ภาพสวย สีสันสดใส และเขียน พวกเราไปห้องสมุดสาธารณะกันอาทิตย์ ขน้ึ มาส�ำ หรับเด็กโดยเฉพาะ...” ละครัง้ ตัง้ แต่ฉันยงั เลก็ ๆ เลย...” (Jessie - สกอตแลนด)์ (Anna - มอลต้า)
30 สำ�หรับในประเทศไทย มีผู้ใช้นามแฝง บ้าง อ้อมไปข้างหลังบ้าง เพื่อพิสูจน์ว่าเขา ว่า SleepyO เขียนไวใ้ นเวบ็ ไซต์วา่ ทำ�อะไร ทุกคนใจเย็นมาก เล่าให้ฟังทุกเรื่อง “คำ�ถามท่ีเจอบ่อยท่ีสุดก็คือ ทำ�ไมถึง ด้วยน�ำ้ เสยี งอ่อนโยนทแ่ี ตกต่างกนั แถมยังมี ชอบอ่านหนังสือ อิทธิพลและบรรยากาศใน เล่ห์กลท�ำ ใหผ้ มอยากรตู้ อ่ แต่เรอื่ งของเรื่องก็ บ้านนา่ จะมีสว่ นสำ�คญั ทสี่ ุดในการเพาะนิสัย คือไม่มีใครบังคับให้อ่านหนังสือเลย ทุกคน รักการอ่านแบบไม่รู้ตัวของผม ตอนเด็กๆ ต่างอ่านให้เห็นเอง และการได้อยู่ในโลกที่มี พอเดินเข้าบ้านก็เห็นหนังสือเรียงกันอยู่ตาม แต่หนังสือก็ทำ�ให้หยิบข้ึนมาอ่านเองเวลา ทางเดิน ผมต้องค่อยๆ ย่องเบาๆ กลัวว่า ไม่มีอะไรทำ� แม่เคยพูดว่า อ่านอะไรได้ก็ หนังสือจะต่ืน ในวัยที่ผมยังอ่านหนังสือไม่ อา่ นไปเถอะ อา่ นมากๆ เขา้ กจ็ ะรจู้ กั แยกแยะ ออกน้ัน ผมชินกับภาพการเห็นคนน่ังอ่าน ไปเอง ผมเชอ่ื วา่ การอา่ นท�ำ ใหเ้ ราปลดเปลอ้ื ง หนงั สอื เปน็ เงาเงียบๆ ตะคุม่ ๆ อยู่ในบ้าน ผม จากความเปน็ ตัวตน ผมกต็ อบไมถ่ ูกว่าท�ำ ไม ชอบปีนป่ายอย่แู ถวคนอ่านหนังสือ เกาะไหล่ ถงึ คิดแบบน้นั ...” การสง่ เสริมการอ่านจากหลายประเทศ แคนาดา : อ่านหนงั สอื ดว้ ยภาษาทีใ่ ช้ ในทอ้ งถนิ่ ห้องสมุดในเขตเมืองของแคนาดา บรรณารักษ์แต่ละแห่งจัดให้มีกิจกรรมให้ เด็กๆ และครอบครัวมาสนุกร่วมกันด้วยการ ฟังการเล่านิทานด้วยภาษาต่างๆ ท่ีใช้กันใน ชุมชม เช่น ในแวนคูเวอร์ มีตารางเวลาท่ี แน่นอนในการจัดกิจกรรมแต่ละช่วงด้วย ภาษาจนี กลาง กวางตงุ้ และ ตากาลอ็ ก เปน็ ตน้
31 ยูกนั ดา : ส่งเสริมการเรียนรใู้ นชมุ ชน เอธโิ อเปยี : พมิ พห์ นงั สอื ส่งทอ้ งถิน่ ชุมชนห้องสมุดในยูกันดาใช้กลยุทธ์ใน โครงการ Ethiopia Read จัดพิมพ์ การสนับสนุนให้เกิดการอ่าน ๒ รปู แบบ คือ หนังสือเด็กสองภาษา คือทั้งภาษาอังกฤษ ๑. บรรณารักษ์ใหเ้ ดก็ ๆ นำ�หนงั สอื กลบั และภาษาเอธิโอเปียน เน้นท่ีเร่ืองและภาพ ไปขอให้พ่อแม่อ่านนิทานให้ฟัง แล้วกลับมา ที่มาจากนิทานพ้ืนบ้านและเร่ืองท่ีแสดงถึง เล่าสู่กันฟังที่ห้องสมุด พร้อมกับให้เด็กวาด วัฒนธรรมของชาติ เพ่ือให้เด็กๆ ได้เห็นวิถี ภาพและเขียนเร่ืองสั้นๆ ง่ายๆ จุดประสงค์ ชีวิตแบบดั้งเดิม มีท้ังหนังสือเล่มท่ีกระจาย หลักของโครงการเพื่อต้องการเสริมทักษะใน ไปตามห้องสมุดและอยู่ในเว็บของโรงเรียน ด้านการรหู้ นงั สอื ท่ัวประเทศ ๒. ในกลุ่มของผู้ใหญ่ ห้องสมุดจัดให้มี ในชุมชนชนบทมีการใช้ป้ายขนาดใหญ่ การอภิปรายตามความสนใจของกลุ่ม โดย ชักชวนให้คนอ่านหนังสือและเห็นความ เลือกเลขาฯกลุ่มขึ้นมาคนหน่ึงเพื่อจดบันทึก สำ�คัญของการรู้หนังสือ ส่วนใหญ่เน้นไปท่ี มีการถ่ายภาพการอภิปรายและส่งภาพไป การเข้ามาเรียนในโรงเรียน โดยเฉพาะอย่าง แสดงในท่ีต่างๆ ในชุมชนพร้อมๆ กับเชิญ ยง่ิ การชกั ชวนเดก็ ผหู้ ญงิ ใหเ้ รยี นและรหู้ นงั สอื ช ว น ใ ห้ ค น ใ น ชุ ม ช น ห า ป ร ะ เ ด็ น ท่ี จ ะ ม า อภิปรายกันในรอบต่อๆ ไป รปู แบบการเรียน รู้แบบนี้เพื่อให้ผู้ใหญ่เข้าห้องสมุดมาค้นหา ข้อมูลเพื่อสนับสนุนเรือ่ งท่พี วกเขาอภิปราย
32 สวิตเซอร์แลนด์ : จัดห้องสมุดท่ีมี กระทรวงศกึ ษาและกระทรวงวฒั นธรรม หนงั สอื หลายภาษา ทมุ่ งบประมาณไปทแ่ี ผนการสง่ เสรมิ การอา่ น ในบาสเซล ห้องสมุดสาธารณะของ มีการก่อต้ังหน่วยงานท่ีช่ือว่า “Stichting ชุมชนจัดห้องสมุดท่ีมีหนังสือภาษาต่างๆ Lezen” โดยมคี ณะทำ�งานท่ีมาจากสมาคมผู้ หลายสบิ ภาษามารวมกนั ไว้ เพอ่ื ใหป้ ระชากร จำ�หน่ายหนังสือ สมาคมผู้จัดพิมพ์ และ ที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศมีโอกาสเข้าถึง สมาคมห้องสมุด มาทำ�งานร่วมกันเพ่ือเป็น หนังสือท่ีเป็นภาษาเดิมของตน คนในชุมชน เวทีในการเสนอข้อคิดเห็นและให้คำ�แนะนำ� ต่างสนับสนุนด้วยการเข้ามายืม บอกต่อ แก่รัฐบาลในการให้เงินสนับสนุนโครงการ และมอบหนังสือของตัวเองให้มารวมไว้ใน ต่างๆ ของภาครัฐ นอกจากนี้ยังเป็นหน่วย หอ้ งสมดุ งานที่รวบรวมข้อมูลและประสานงานกับ เนเธอรแ์ ลนด์ : บทบาทของ Stichting องค์กรต่างๆ ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการ Lezen อ่าน และดำ�เนินการเองด้วยทั้งในด้านการ รัฐบาลดัตช์ให้ความสำ�คัญในเร่ืองการ วิจัยและให้ทุน หน่วยงานนี้ได้รับทุนอุดหนุน ส่งเสริมการอ่าน ด้วยเชื่อว่าเม่ือจำ�นวนคน จากรฐั บาล อ่านหนังสือมากข้ึนไม่ว่าจะเป็นหนังสือ ประเภทใดก็ตาม จะช่วยให้พวกเขารู้จัก เลอื กอา่ นงานทม่ี คี ณุ ภาพมากยง่ิ ขน้ึ นโยบาย ของรัฐบาลจึงชักจูงให้คนอ่านหนังสือทุก ประเภท (นิยาย, สารคดี, หนังสือพิมพ์, นิตยสาร, อินเตอร์เน็ต ฯลฯ) กิจกรรมส่ง เสริมการอ่านท่ีหลากหลายต่างก็ผุดข้ึนมา ทัง้ จากภาครัฐและภาคเอกชน
33 Stichting Lezen เป็นเวทีระดับชาติว่า และสนับสนุนให้เด็กมีประสบการณ์ที่ดีและ ด้วยเรื่องของการส่งเสริมการอ่าน ในช่วง น่าตื่นเต้นจากการอ่านหนังสือ ทั้งจากใน แรกเน้นที่การกระตุ้นให้เกิดงานวิจัยด้านส่ง บา้ นไปจนถงึ โรงเรยี น เสริมการอ่าน พร้อมๆ ไปกับการสร้างภาคี ตัวอย่างหนงึ่ ของการพฒั นากลยุทธ์ คือ เครือข่าย ท้ังในระดับท้องถ่ิน ภูมิภาค และ โปรแกรมที่ชื่อว่า Boekenpret (หรือ Fun ระดับประเทศ แต่การทำ�งานร่วมกันกับภาคี with Books) โปรแกรมน้ีออกแบบมาเพ่ือ พันธมิตรไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ละองค์กรท่ีเข้า ชว่ ยผปู้ กครองสรา้ งนสิ ยั รกั การอา่ นใหก้ บั เดก็ ร่วมต่างก็มีเป้าหมายของตัวเอง และมัก เรม่ิ กนั ตง้ั แต่ทารกวยั ๓ เดอื น Boekenpret ต้องการความเป็นอิสระในการจัดกิจกรรม ยึดตามแนวคิดใหม่เร่ืองพัฒนาการของเด็ก ของตัวเอง ท่ีแนะนำ�ให้เด็กรับเรื่องราวจากหนังสือภาพ ความรว่ มมอื ระหวา่ งภาครฐั และเอกชน และฟังเสียงจากการอ่านของผู้ใหญ่ ซ่ึงเชื่อ (รวมถึงภาคประชาสังคม) เป็นหัวใจสำ�คัญ ว่าความถี่ในการอ่าน(ภาพ)และได้ยินเสียง ในการทำ�งานของ Stichting Lezen เพ่ือให้ ของผู้ใหญ่อ่านให้ฟัง ตั้งแต่วัยก่อนเข้า การท�ำ งานมงุ่ ไปในทศิ ทางเดยี วกนั Stichting โรงเรียน มีส่วนช่วยพัฒนาการทางภาษาได้ Lezen จึงเลือกกลุ่มเด็กเป็นกลุ่มเป้าหมาย มากกว่าการเริ่มตน้ ที่โรงเรยี น หลัก เพราะงานวิจัยแสดงไว้อย่างชัดเจนว่า Boekenpret ให้เด็กๆ ใช้เวลาตลอด การพุ่งเป้าไปที่กลุ่มนี้จะให้ผลที่ถาวรและ ช่วงของโปรแกรมประมาณ ๕๐๐ ชว่ั โมง ซึง่ ยง่ั ยนื เท่ากับเวลาท่ีพ่อแม่ที่มีการศึกษาสูงใช้ใน งานวจิ ยั ช้ใี ห้เหน็ วา่ การอา่ นควรเร่ิมต้น การอ่านให้ลูกของพวกเขาฟัง โปรแกรมน้ี ท่ีบ้าน และต้องทำ�เป็นกระบวนการที่ต่อ เน้นเด็กท่ีพ่อแม่มีการศึกษาน้อย และกลุ่ม เน่ือง ดังน้ัน พ่อแม่ ผู้ปกครอง พ่ีเลี้ยงเด็ก เด็กที่มีโอกาสในการเข้าถึงหนังสือน้อย รวม รวมถึงครู จึงควรต้องมีหน้าท่ีในการกระตุ้น ถึงเดก็ ท่เี ขา้ มาอยู่ใหมใ่ นประเทศ
34 ผลจากโปรแกรมทดลองชี้ให้เห็นว่า ท่ีสอน การฝึกอบรมครูและห้องสมุดของ ส่วนใหญ่ของพ่อแม่ท่ีอายุยังน้อยชอบและ โรงเรยี นจึงเปน็ เร่อื งส�ำ คัญ อยากจะอ่านหนังสือให้ลูกฟัง แต่ไม่รู้ว่าควร Stichting Lezen ได้จัดโปรแกรมให้ จะอ่านอย่างไร เพราะตนเองไม่เคยได้รับ ห้องสมุดของโรงเรียนมีชีวิต โดยร่วมมือกับ การอ่านให้ฟังเม่ือตอนเป็นเด็ก และการ ห้องสมุดสาธารณะ ผู้จัดพิมพ์ ผู้จำ�หน่าย เลือกหนังสือให้เหมาะสมกับอายุก็เป็นอีก หนังสือ และโรงเรียน จัดทำ�โครงการนำ�ร่อง ปัญหาหน่ึงท่พี บ เพื่อสร้างเป็นโมเดลมาตรฐาน เน้นที่การติด Stichting Lezen จึงได้จัดทำ�วีดีโอ ต้ังอุปกรณ์และเทคโนโลยีทันสมัย (เช่น การแนะน�ำ ภาพทพี่ อ่ แมอ่ า่ นหนงั สอื ใหเ้ ดก็ ฟงั คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต ฯลฯ) เพราะเชื่อ โดยแตล่ ะชว่ งจะมนี กั จติ วทิ ยาเดก็ มาอธบิ าย วา่ อปุ กรณส์ มยั ใหมเ่ หล่านจ้ี ะดึงเดก็ ๆ ใหเ้ ข้า แทรกว่าอ่านอย่างไรจึงทำ�ให้เด็กรู้สึกสนุก ห้องสมุดได้ อย่างไรก็ตาม สื่อใหม่ที่เพิ่มข้ึน และนา่ จะเลอื กหนังสือประเภทใด ก็ควรจะมีพร้อมๆ ไปกับการเพ่ิมข้ึนของ อีกโปรแกรมหนึ่งคือการส่งเสริมห้อง หนงั สือและมีอัตราสว่ นทีเ่ หมาะสม สมุดมีชีวิต Stichting Lezen มีแนวคิดว่า จากโครงการทดลอง ชใ้ี หเ้ หน็ วา่ นอกจาก เด็กควรจะมีหนังสือท่ีเข้าถึงได้ง่ายเพื่อเปิด อุปกรณ์ที่ดีแล้ว ต้องมี “ระบบคอมพิวเตอร์” โอกาสให้พวกเขากลายเป็นนักอ่านไปตลอด ท่ีดีด้วย เพื่อจะเข้าถึงฐานข้อมูลของห้อง ชีวิต ผลการวิจัยในเนเธอร์แลนด์ระบุว่า สมุดอื่นๆ และสำ�นักพมิ พ์ ผลจากการศึกษา ห้องสมุดของโรงเรียนมีสภาพท่ีแย่มาก แสดงให้เห็นว่า การแชทและพูดคุยกันถึง งบประมาณที่จัดแบ่งให้ห้องสมุดมีน้อย หนังสือท่ีพวกเขาได้อ่านมีส่วนกระตุ้นความ หนังสือค่อนข้างเก่าและมีสภาพไม่ดีนัก สนใจของอีกฝ่าย โรงเรียนแต่ละแห่งมีการ และท่ีสำ�คัญคือไม่ค่อยมีการกระตุ้นให้เด็ก ส่ือสารกันมากข้นึ และครูก็ใช้อินเตอรเ์ นต็ ใน เข้ามาใช้ ครูจำ�นวนมากไม่คุ้นเคยกับการ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการส่ง ใช้วรรณกรรมอ่ืนๆ แทรกเข้าไปในหลักสูตร เสรมิ การอ่านของพวกเขา
35 โครงการอื่นๆ ท่ี Stichting Lezen ให้ ก า ร จั ด ใ ห้ มี ก า ร พ บ ป ะ พู ด คุ ย กั น แ ล ะ เ ล่ า การสนับสนุน จากการศึกษาพบว่า การ ประสบการณ์ ให้กันฟังส่งผลในทางบวก ส่งเสริมการอ่านจะประสบผลได้ต้องอาศัย แต่ท่ีสำ�คัญคือ บรรณารักษ์และครูยังขาด เครือข่ายในท้องถ่ิน คือท้ัง บรรณารักษ์ ทักษะในด้านการประสานเพ่ือขอความร่วม ครู พ่อแม่ พ่ีเล้ียงเด็ก และส่วนราชการ มอื จากเครอื ขา่ ยในทอ้ งถน่ิ ท้องถ่ินต้องทำ�งานร่วมกันอย่างใกล้ชิด และ
36 กรอบแนวคดิ ด้านการสง่ เสรมิ การอ่าน มีงานวชิ าการทช่ี ใ้ี หเ้ ห็นถึงปจั จยั ในด้านส่งเสรมิ การอ่านอยูไ่ ม่น้อย ตวั อยา่ งเช่น Cruz (2003) แนะน�ำ วา่ การสรา้ งวฒั นธรรมเพอ่ื ใหเ้ กดิ การอา่ นในสงั คม จ�ำ เปน็ ตอ้ งปรบั สภาพแวดลอ้ มในการอา่ น ทง้ั ในบา้ น โรงเรยี น และในชมุ ชนไปพรอ้ มๆ กนั ขณะเดยี วกนั การ ปรับภาพลักษณ์ของการอ่าน ก็สำ�คัญ เพ่ือให้มองว่าการอ่านไม่ใช่แค่ส่ิงที่เน้นกันเฉพาะใน โรงเรียนเทา่ นนั้ UN (Resolution 54/122, 2002) มอง การอ่านไม่ได้จำ�กัดอยู่แค่แบบท่ีใช้กันใน ว่า การ สร้างเสริมการเข้าถึงวรรณกรรม โรงเรียนเท่าน้ัน เม่ือมีทางเลือกมากขึ้นก็จะ ดีๆ ในประเทศ เป็นพนื้ ฐานส�ำ คัญในการบม่ มแี รงจงู ใจทอี่ ยากจะอา่ น (Agrinsoni, 2005) เพาะให้เกิดนิสัยและความสนใจในการอ่าน ซึ่งท้ังพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครู และบรรณารักษ์ ซง่ึ หมายรวมถงึ หนงั สอื ทเ่ี ปน็ ภาษาของทอ้ งถน่ิ ควรต้องมีหน้าท่ีรับผิดชอบในการหา ‘ทาง และหนังสอื ทไ่ี ด้รางวัลของภมู ภิ าคนน้ั ๆ ดว้ ย เลอื ก’ ใหเ้ หมาะสมตามความสนใจและระดบั เพราะหนังสือท่ีเขียนด้วยภาษาถิ่นจะ การอ่านของเด็ก (Kanade & Chudamani, ดึงความสนใจและตรงกับความต้องการ 2006) ของผู้อ่าน การมีทั้งหนังสือท้ังท่ีเป็นภาษา Sanders-ten Holte (1998) เสนอว่า กลางและภาษาของท้องถ่ินก็เพ่ือให้ผู้อ่าน ในการส่งเสริมการอ่านนอกจากจะต้องสร้าง มที างเลอื กมากขึ้น และท�ำ ให้พวกเขารสู้ ึกว่า โอกาสในการเข้าถึงหนังสือแล้ว การพัฒนา กลยทุ ธใ์ หมๆ่ กส็ �ำ คญั และควรมหี ลากหลาย รูปแบบในการจูงใจให้อ่าน และการส่งเสริม เพ่ือให้เป็นวัฒนธรรมการอ่านจะต้องเป็นก ระบวนการท่ีต้องปฏิบัติกันอย่างต่อเน่ือง (Doiron & Asselin, 2010)
กระจายหนังสอื ให้ทั่วถงึ 37 ปรับสภาพแวดลอ้ ม ส่งเสรมิ ปรับภาพลกั ษณ์ของ ในการอ่าน อยกา่ างรตอ่อ่าเนน่อื ง การอา่ น พฒั นากลยทุ ธใ์ หม่ๆ แผนภาพ กรอบแนวคดิ ในการส่งเสริมการอ่าน การพัฒนาประชากรให้รู้หนังสือเป็น บอกว่า “หมู่บ้านคือผู้สร้างนักอ่าน” ซ่ึง เร่ืองที่สำ�คัญ และเป็นมิติหนึ่งของสังคม หมายความวา่ ครู พ่อแม่ ผูป้ กครองเดก็ ผู้น�ำ ที่จะนำ�ไปสู่การเรียนรู้ แต่การรู้หนังสือไม่ใช่ ชุมชน ตลอดจนบรรณารักษ์ ล้วนมีบทบาท เป้าหมายสุดท้ายของการส่งเสริม (ให้รัก) ในการพฒั นาเดก็ ไมเ่ พยี งใหเ้ ดก็ สามารถอา่ น การอา่ นความสามารถในการอา่ นสรา้ งไดง้ า่ ย ได้เท่านั้น แต่ครอบคลุมถึง ความต้องการ กว่าการรักทจี่ ะอ่าน (Rachmat, 2008) ทจี่ ะอ่านของเด็กดว้ ย ชมุ ชนสร้างนกั อ่าน ในกรอบภาพใหญแ่ ลว้ แตล่ ะคนจะตอ้ ง มีสุภาษิตที่รู้จักกันท่ัวไปในหมู่ชาว เข้าร่วมปฏิสัมพันธ์กันในสังคม และใน แอฟริกันสอนไว้ว่า “หมู่บ้านคือผู้สร้างเด็ก” กระบวนการนี้ ทุกคนจะมีค่านิยม ความเช่ือ เป็นการเตือนให้ทุกคนในชุมชนมีบทบาทใน ที่ชื่นชอบ รูปแบบของพฤติกรรม รวมถึงการ ด้านสวัสดิการและการพัฒนาเด็ก สุภาษิต ที่สมาชิกทุกคนปฏิบัติเหมือนๆ กัน ดังน้ัน บทนี้สามารถนำ�มาปรับใช้ในการพัฒนา เด็ก (ซึ่งจริงๆ แล้วหมายรวมถึงสมาชิกทุก ให้เกิดนิสัยรักการอ่านของเด็กได้ ด้วยการ ระดับในสังคม) จะต้องอยากจะเข้ามาเป็น “คนใน” ร่วมดว้ ย
38 ดังน้ัน จึงไม่น่าแปลกท่ีผลวิจัยใน สง่ิ ท้าทายการอา่ น ประเทศยกู นั ดา พบวา่ เดก็ ทม่ี าจากครอบครวั การสนับสนุนให้คนในชุมชนมีค่านิยม ที่พ่อแม่รู้หนังสือ มีแนวโน้มจะชอบอ่าน ที่รักการอ่านไปตลอดชีวิตจะประสบความ และสามารถกระตุ้นให้อ่านเองที่บ้านได้ง่าย สำ�เร็จได้ต้องอาศัยพลังของชุมชนในการ กว่าเด็กท่ีพ่อแม่ไม่รู้หนังสือ ซึ่งก็คงจะ ขับเคล่ือน แต่สิ่งท้าทายที่ชุมชนต้องเผชิญ เหมอื นๆ กับทุกท่ใี นโลก เพือ่ ให้บรรลุเป้าหมายในการสรา้ งวฒั นธรรม และพ่อแม่ท่ีชอบอ่านหนังสือ ก็น่าจะ การอ่านขึ้นกับปัจจัยหลายอย่างทั้งด้าน เป็นผู้ท่ีโน้มน้าวให้เด็กอ่านหนังสือได้มาก สังคมและการเมือง และการเกิดขึ้นของ กวา่ พ่อแมท่ ไี่ มช่ อบอ่านหนงั สอื ส่ิงใหม่ๆ ในหลายประเทศ อิทธิพลของ ในทำ�นองเดียวกัน หากคนในชุมชน เทคโนโลยีดิจิตอลที่เข้ามากระทบนิสัย สนับสนุน ปฏิบัติแบบเดียวกัน มีค่านิยม การอ่าน เป็นเหตุให้เกิดความกังวลมาก ทัศนคติด้านการอ่านเหมือนๆ กัน รวมถึง กบั “อนาคตของการอา่ น” ห้องสมุดซึ่งเป็นสถาบันหน่ึงทางสังคมก็เข้า มามีบทบาทร่วมด้วย เช่น ให้มีการเข้าถึง วัสดุการอ่านและมีทางเลือกในการอ่านเพ่ิม มากข้ึน สิ่งที่คาดหวังให้เป็นวัฒนธรรมการ อา่ นกย็ ่อมเกดิ ขนึ้ ไดไ้ ม่ยาก
39 สิ่งท้าทายในเร่ืองของการส่งเสริมการ คำ�ว่า “การอ่าน” ในปัจจุบันว่าคืออะไร อ่านท่ีมักพดู ถงึ กัน ก็คอื โปรแกรมส่งเสริมการอ่านท่ีประสบผลสำ�เร็จ ๑. การไม่ชอบอ่านหนังสือของเด็กๆ ที่ ต้องเกิดขึ้นจากการมีส่วนร่วมของชุมชน เพมิ่ จ�ำ นวนขึ้น โดยเฉพาะในวัยเรยี น ท่ีทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบต่อความสนใจ ๒. การท่ีต้องแข่งกันกับมัลติมีเดียและ ในการอ่าน ตระหนักถึงคุณค่าของการอ่าน สารหรือข้อความในส่ืออิเล็กทรอนิกส์รูป และมีการอ่านเกิดข้ึนอย่างต่อเนื่องและ แบบตา่ งๆ ตลอดไป การจัดโปรแกรมส่งเสริมการอ่าน ๓. วิธีการสอนแบบเก่าๆ ของครู ท่ีไม่ ไม่ใชเ่ พียงจดั ไมก่ ค่ี ร้งั ก็จบส้นิ จริงอยู่ การจดั นำ�พาไปสู่การส่งเสริมให้เกิดนิสัยรักการอ่าน กิจกรรมส่งเสริมการอ่านช่วยสร้างความ ที่พงึ ประสงค์ ตระหนักใหเ้ กดิ ขึ้นในชุมชน แตต่ อ้ งมกี ลยทุ ธ์ ขณะเดียวกันบรรณารักษ์ในประเทศท่ี ท่ีเข้าใจร่วมกันและต้องร่วมมือกันอย่าง ก�ำ ลังพัฒนาก็เผชญิ กับปัญหาที่ทา้ ทายว่า ต่อเนื่องหากต้องการสร้างวัฒนธรรมเพื่อให้ ๑. มีหนังสือท่ีเหมาะสมและตรงกับ เกดิ การอา่ นขนึ้ ความต้องการของท้องถ่ินหรือชุมชนมากพอ หลายแห่ง ถือว่าหนังสือท่ีพิมพ์เป็นเล่ม หรือไม่ คือทรัพยากรหลักท่ีจะเข้าถึงวัฒนธรรม ๒. มีทรัพยากรหรือหนังสือท่ีจะให้ยืม การอ่าน แต่บางแห่งก็รวมถึงการเข้าถึง และเพ่อื การเรียนรเู้ พียงพอหรือไม่ ท้ังหนังสือและข้อความที่อยู่ในรูปของสื่อ ๓. หาวิธีการอย่างไรที่จะสนับสนุนการ อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ อยา่ งไรกต็ าม การจดั โปรแกรม อ่านให้เป็นกิจกรรมที่ทำ�กันในยามว่างได้ ส่งเสริมการอ่านต้องคำ�นึงถึงผลกระทบของ เสมอและเพ่อื การเรียนรู้ตลอดชวี ติ เทคโนโลยีใหม่ด้วย การสื่อสารอย่างง่ายๆ คงต้องกลับมาทบทวนกันอีกครั้งว่า ของเทคโนโลยีสมัยใหม่นั้นมีผลกระทบต่อ “การอา่ นเพอื่ ความเพลดิ เพลิน” หมายความ เรื่องคณุ ภาพของการรูห้ นังสืออยา่ งไร เรื่องน้ี ว่าอย่างไร และตีความกันใหม่ว่าเราตีความ ก็ตอ้ งพิจารณาดว้ ยเชน่ กัน
40 สร้างวัฒนธรรมการอา่ นใหเ้ ขม้ แข็ง วัฒนธรรมเป็นลักษณะของการปฏิบัติ แมจ้ ะกลา่ ววา่ การสง่ เสรมิ การอา่ นใหเ้ ปน็ กันเป็นกลุ่มในฐานะที่เป็นชุมชนโรงเรียน ใน วัฒนธรรม ไม่ใช่เร่ืองของสถาบันการศึกษา ก า ร จั ด ก า ร กั บ ปั ญ ห า ด้ า น ก า ร อ่ า น ข อ ง หรือโรงเรียนเท่าน้ัน แต่ก็ยังหมายความว่า นักเรียน ครูท่ีมีประสิทธิภาพเพียงคนเดียว สถาบันการศึกษาต้องทำ�หน้าท่ีสร้างเสริม ไม่สามารถจัดการกับนักเรียนทั้งหมดได้ แต่ ด้วยความทุ่มเท การพิเคราะห์เพ่ือสร้าง แน่นอนว่าผู้หน่ึงที่ทำ�ให้เกิดการทำ�งานร่วม วัฒนธรรมการอ่านให้เข้มแข็งในโรงเรียน ยัง กนั เพ่อื ให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้ ก็คอื “ผูน้ �ำ ที่ เป็นสิ่งท่ีผู้นำ�ทางความคิดให้ความสำ�คัญ เข้มแข็ง” ดังน้ัน หน้าท่ีท่ีต้องรับผิดชอบต่อ ดังแนวทางที่มีผู้นำ�เสนอในสหรัฐอเมริกาใน การสร้างวัฒนธรรมการอ่านให้เข้มแข็งและ ช่วงปลายทศวรรษน้ี น่าจะเป็นกรอบความ ย่ังยืนในโรงเรียนจึงตกอยู่กับคนที่สำ�คัญ คิดและทิศทางที่สำ�คัญสำ�หรับโรงเรียนต่างๆ ท่ีสุดของโรงเรียน เป็นผู้ที่มีอำ�นาจที่จะทำ�ให้ และสามารถประยุกต์สำ�หรับองค์กรอื่นๆ ได้ เกิดขึ้นได้ นั่นก็คือ ผู้บริหารสูงสุดของ ตามความเหมาะสม โรงเรยี น (ผูอ้ ำ�นวยการ/ครใู หญ่) หากตีความว่า วัฒนธรรมเป็นภาพรวม ท่ีกลุ่มคนเขาปฏิบัติกันอย่างไร วัฒนธรรม การอ่านในโรงเรียน ก็อาจนิยามได้ว่า กลุ่ม คนสอนการอ่านกันอย่างไร น่นั ก็คือ เรา(ครู) เลอื กและใชว้ สั ดกุ ารสอนอยา่ งไร เราจดั การกบั ปญั หาการแนะน�ำ การอา่ นใหน้ กั เรยี นแตล่ ะคน อยา่ งไร เราจะประเมนิ ทกั ษะของนกั เรยี นและ ใช้ข้อมูลในการประเมินอย่างไร และเม่อื ไร เราใชเ้ วลาในการแนะน�ำ เหมาะสมเพยี งใด และ เราเรยี นร้ทู ่จี ะร่วมมอื กนั และกนั อยา่ งไร
41 บางคนอาจบอกวา่ ในบรบิ ทของโรงเรยี น องคป์ ระกอบของวฒั นธรรมการอา่ นทเ่ี ขม้ แขง็ นั้น วัฒนธรรมเป็นแนวคิดที่ลื่นไหลไม่น่ิง ปจั จยั พน้ื ฐานเพอ่ื การสรา้ งวฒั นธรรมการ ยากที่จะปักธงลงไปว่ามีวิธีใดท่ีดีที่สุดเพียง อ่านที่เข้มแข็งน้ัน สมาชิกของชุมชนโรงเรียน วิธีเดียว บางคนก็บอกว่าในการต่อสู้เพื่อให้รู้ จะต้องมีพันธกิจร่วมกัน (มีวัตถุประสงค์ หนังสือ ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของโรงเรียน เดียวกัน) มีวิสัยทัศน์ถึงส่ิงที่ต้องการทำ�ให้ เพอ่ื ใหเ้ ดก็ ๆ อา่ นไดแ้ ละสอบผา่ นตามระดบั ชน้ั สำ�เร็จเหมือนกัน มีความเชื่อเหมือนกันว่า ก็มากอยู่แล้ว เราไม่มีทรัพยากรมากพอที่จะ ผลลัพธ์ท่ีต้องการนั้นบรรลุได้ และก็ต้องมี มาสนับสนนุ สงิ่ ทนี่ อกเหนือจากน้ีได้ ความเขา้ ใจทเ่ี หมอื นกนั วา่ บทบาททแ่ี ตล่ ะสว่ น ดังนั้น เราจึงต้องสำ�รวจส่ิงท่ีเป็นปัจจัย แต่ละคนทำ�ก็เพ่ือต้องการให้วิสัยทัศน์นั้น เงื่อนไขท้ังหมดก่อน ว่าท่ีโรงเรียนจะใช้ใน ประสบผล และเขา้ มาผกู พนั รว่ มกนั ในการท่ี การนำ�พานักเรียนให้เข้าไปสู่การเป็นนักอ่าน จะแสดงบทบาทของแต่ละฝ่าย และท้ายสุด ทีป่ ระสบผลสำ�เรจ็ ไดน้ ้ัน ประกอบด้วยปัจจัย ทุกฝ่ายจะต้องมีแนวปฏิบัติที่เป็นแบบอย่าง อะไรบา้ ง ในด้านการอ่านเพื่อที่จะสามารถนำ�นักเรียน Stan Paine (2007) ผูเ้ สนอองค์ประกอบ เข้าร่วมโปรแกรมได้ และยอมรับในสิ่งที่ต้อง ของปัจจัยเหลา่ นี้ยนื ยันว่า การสรา้ งวัฒนธรรม ทำ� รวมถึงส่ือสารระหว่างกันถึงสิ่งท่ีกำ�ลัง การอ่านในโรงเรียน ไม่ใช่แค่สิ่งท่ีจะเป็นไปได้ ด�ำ เนนิ การร่วมกันอยู่ แต่ยังจะทำ�ให้วัฒนธรรมการอ่านมีชีวิตได้ อย่างยัง่ ยนื อยูต่ ลอดไป ลองมาพิจารณาเง่ือนไขท่ีจะสร้างความ ส�ำ เร็จน้ดี ู
42 พันธกิจ / วิสัยทัศน์ / ความเชื่อร่วมกัน เข้าใจร่วมกันถงึ วัฒนธรรมการอ่าน บรบิ ทของนกั เรยี น ชุมชนเขา้ รว่ ม โครงการการอา่ น และสง่ิ ทที่ ำ� (ทุกภาคสว่ น) ปลูกฝงั /อบรม ผลทีไ่ ดต้ ่อนักเรยี น แลกเปลย่ี นความ (ทุกภาคสว่ น) วัฒนธรรมการอา่ น คิดเหน็ ระหวา่ ง สื่อสารเกย่ี วกบั ผกู พนั ร่วมกนั เพ่อื ความส�ำ เรจ็ ของนกั เรียน นกั เรียนและสต๊าฟ วฒั นธรรมการอา่ น และเพอ่ื ความกา้ วหนา้ อยา่ งต่อเนอ่ื ง สป่งฏเสิบรตั มิ กิ กาารรดอ้า่านน (ทุกภาคส่วน) แผนภาพ : องค์ประกอบของวฒั นธรรมการอา่ นทเ่ี ข้มแข็งในโรงเรยี น (จากภาพ แสดงองค์ประกอบของ ผู้บริหารจะต้องจูงใจผู้ร่วมงานทั้งหมด และ วัฒนธรรมการอ่านท่ีเข้มแข็งในโรงเรียน ผู้ที่เก่ียวข้องทุกภาคส่วน(พ่อแม่, สมาชิกใน เพื่อส่งผลให้เกิดขึ้นกับนักเรียน สังเกตว่า ชุมชน, ผู้นำ�ชุมชน, เจ้าหน้าที่องค์กรส่วน สิ่งท่ีสำ�คัญก็คือการชักจูงและสื่อสารกับ ท้องถ่ิน ฯลฯ) ให้เข้ามามีส่วนร่วมและสนับ ทกุ ภาคส่วน ให้เข้ามารว่ มกนั ) สนุนกระบวนการเพ่ือให้บรรลุผลลัพธ์น้ี สิ่งหนึ่งท่ีจำ�เป็นต้องทำ�เพื่อนำ�ไปสู่การ และส่ือสารถึงพันธกิจในด้านการอ่านและ สร้างวัฒนธรรมการอ่านที่เข้มแข็ง ผู้บริหาร วิสัยทัศน์ ว่าผลลัพธ์ท่ีได้จะส่งผลต่อความ ของโรงเรียนจะต้องชี้แจงอย่างชัดเจนว่าให้ ก้าวหน้าให้กับนกั เรียนในภาพรวมอยา่ งไร ผรู้ ว่ มงานหรือสตา๊ ฟ (ครู เจ้าหนา้ ท่ี) ทง้ั หมด การสนับสนุนของผู้ท่ีเกี่ยวข้องทุกภาค รับผิดชอบในการทำ�งานตามส่ิงที่คาดหวังนี้ สว่ นมีความสำ�คัญ และจ�ำ เปน็ ต้องไดร้ บั การ สนับสนนุ อย่างต่อเนือ่ งด้วย
43 บทบาทของผู้บริหาร ทกุ คนเข้ามามสี ่วนรว่ ม ในการพัฒนาให้เกิดวัฒนธรรมการ องค์ประกอบของระบบโรงเรียนมี อ่านท่ีเข้มแข็งในโรงเรียนและรักษาให้มี อิทธิพลต่อวัฒนธรรมทางการศึกษา และ ประสิทธิภาพได้ตลอดไปน้ัน ผู้บริหารต้อง คุณภาพท่ีได้กับนักเรียน โดยทั่วไปแล้ว สนับสนุนผู้นำ�โครงการการอ่านของโรงเรียน โรงเรียนประกอบด้วยหน่วยงานหลายส่วนท่ี (หัวหน้าผู้แนะแนวหรือโค้ช, สมาชิกทีม ต้องท�ำ งานรว่ มกนั เพอ่ื เป้าหมายอันเดยี วกนั ส่งเสริมการอ่าน, แกนนำ� ฯลฯ) เพื่อให้ ในระดับของท้องถิ่นกับโรงเรียน ฝ่ายบริหาร โครงการปฏิบัติการด้านการอ่านดำ�เนินการ ฝ่ายการสอน ฝ่ายการเงิน และฝา่ ยบุคลากร อย่างต่อเน่ืองไปได้ จะต้องทำ�งานประสานกันเพ่ือประสิทธิภาพ ผู้บริหารอาจส่ือสารแบบตัวต่อตัว หรือ ในระบบการเรียนการสอน ส่วนในระดับ จดั ประชมุ กลมุ่ ยอ่ ยจดั ใหม้ กี ารประชมุ จากทกุ ของโรงเรียนและระดับชั้นเรียน โครงสร้าง ภาคส่วน (เช่น การประชุมผู้ปกครอง ฯลฯ) ภายในก็ต้องร่วมมือทำ�งานกับแต่ละช้ัน รวมถึงการสื่อสารเป็นลายลักษณ์อักษรด้วย เรยี นเชน่ กัน กิจกรรมเหล่านี้ผู้บริหารต้องทำ�เป็นประจำ� ในขณะท่ีผู้บริหารสูงสุดของโรงเรียน และมีการติดตามผล ความเข้มแข็งของ มีหน้าที่รับผิดชอบในการริเริ่มและรักษาไว้ วัฒนธรรมการอา่ นจงึ จะเกิดขึน้ ได้ ซึ่งวัฒนธรรมการอ่านที่เข้มแข็ง สมาชิกทุก ส่วนของโรงเรียนก็ต้องมีบทบาทในกระบวน การนเ้ี ชน่ กนั
44 แกน่ สาระส�ำ คญั ของการสรา้ งวฒั นธรรม อา้ งอิง การอ่านให้เข้มแข็ง จากกรณีขององค์กร • Doiron, Ray and Asselin, Marlene. (2010) Building a ดา้ นการศกึ ษา หรอื โรงเรยี น สามารถยดึ เป็น Culture for Reading in a Multicultural, Multilingual หลักการ ๓ ประการ ในการพัฒนาให้เกิด World. A paper presented at the 76th IFLA General กระบวนการสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน Conference and Council, Gothenburg, Sweden : http:// สำ�หรับองค์กรอื่นๆ ได้แก่ ๑. การวิเคราะห์ www.ifla.org/files/hq/papers/ifla76/133-dioron-en.pdf องค์ประกอบที่เก่ียวข้องในการสร้างเสริม • Magara, E. (2005). Building family literacy skills วัฒนธรรมการอ่าน ว่ามีความเช่ือมโยงกับ among parents and children in developing countries, A ใครหรือส่วนใดบ้าง เพื่อเป้าหมายเดียวกัน paper presented at the 71st IFLA General Conference ๒. บทบาทของผู้บริหารท่ีจะต้องเป็นท้ังผู้ and Council, Oslo Norway. ก้าวนำ� และเชื่อมโยงส่วนต่างๆ อย่างเข้าใจ • Paine, Stan. (2007). Building a Strong Reading Culture, และจริงจัง ในการสร้างและเสริมด้านต่างๆ Arlington, VA. US, RMC Research Corporation.: http:// เพ่ือให้วัฒนธรรมการอ่านเข้มแข็ง และ www2.ed.gov/about/offices/list/ies/index.html ๓. ความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง • Rachmat, Aulia. (2008). Reading culture vital to สร้างความตระหนักในฐานะผู้มีบทบาทต่อ advance next generation. The Jakartapost. July 31, ความสำ�เร็จของการส่งเสริมการอ่าน ให้มี 2010.: http://www.thejakartapost.com/news/2008/05/10/ ความรักในการอ่าน และทำ�ให้การอ่านเป็น reading-culture-vital-advance-next-generation.html วฒั นธรรมของชมุ ชน สงั คม และประเทศชาติ • Sanders-ten Holte, M. (1998). Creating an optimum reading culture in the low countries: The role of stichting lezen. : http://archive.ifla.org/IV/ifla64/098- 80e.htm • SleepyO. So many books, So little time. http:// faylicity.com/book/article/reading.html • United Nations General Assembly (2003). United Nations Literacy Decade: Literacy for All:International Plan of Action: Resolution 54/122. : http:// portal.unesco.org/education/en/file_download.php/ f0b0f2edfeb55b 03ec 965501810c9b6caction+plan+ English.pdf
วัฒนธรรนมานกาาทรศั อน่าะตนอ่ ในฮอ่ งกง เล่นเกม NDS* ฟัง iPOD คุยโทรศัพท์มือถือ... ชาวฮ่องกงมักจะทำ�กิจกรรมเหล่าน้ีขณะโดยสารรถ ประจำ�ทางหรืออยู่บนรถไฟ แต่ “การอ่าน” ดูเหมือน จะเปน็ ตวั เลอื กที่ไม่ค่อยนยิ มกนั ในปจั จุบนั บางคนถึงกบั บอกว่า “การอ่านตายแล้ว” แต่นักเขียนและนักวิชาการมองว่า สถานการณ์ ไมไ่ ด้แย่ขนาดน้นั *NDS (Nintendo Dual หรือ Nintendo DS) เป็น เคร่ืองเล่นเกมพกพาท่ี Screen มี 2 จอ ของ บรษิ ัทนินเทนโด รูปทรงของ NDS เปน็ แบบฝาพบั จอภาพดา้ นลา่ งเป็นระบบสมั ผัส จับตลาดผ้เู ลน่ ท่ี เปน็ ผใู้ หญ่มากกว่าเกมบอย
46 ซูซี นักเขียนนวนิยายภาษาอังกฤษ ก่อนนี้ไม่ได้มีการปลูกฝังให้เกิดวัฒนธรรม ชาวฮ่องกง ไมเ่ ชอ่ื ว่าการอา่ นหมดยคุ ไปแลว้ การอ่านมากเช่นในปัจจุบัน แต่ตอนน้ีมี ตรงกันข้าม เธอกลับมองว่าการอ่านนั้น โครงการตา่ งๆ เรมิ่ ขน้ึ มากมาย ก�ำ ลังปรบั ตวั อย่างจีนแผ่นดินใหญ่ ไต้หวัน และ เธอบอกว่า ทุกวันน้ีมีงานบุ๊กแฟร์ งาน สิงคโปร์ มีวัฒนธรรมการอ่านท่ีเข้มแข็ง เทศกาลเก่ียวกับหนังสือและวรรณกรรม มากกว่าฮ่องกง เธออธิบายว่า ปัญหาก็คือ มากมาย รวมท้ังกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน โรงเรียนในฮ่องกงและค่านิยมโดยท่ัวไป ท้ังในโรงเรียนและในชุมชนต่างๆ อีกไม่น้อย “เพราะความคิดเก่ียวกับการอ่านวรรณกรรม เธอคิดว่าวัฒนธรรมการอ่านกำ�ลังจะเริ่มโต มักจะไปผูกติดกับการอ่านวรรณคดีคลาส และจะเห็นผลในไมช่ ้านี้ สิกของจีน หรือไม่ก็การอ่านวรรณกรรม “ฮ่องกงไม่ใช่เมืองที่เน้นให้คนมีนิสัยรัก ของต่างประเทศ (โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ) การอ่านมาตั้งแต่อดีต และส่วนหน่ึงของ ซึ่งไม่ใชค่ วามสนใจของเด็กและเยาวชน” ประวัติศาสตร์เราก็มุ่งพัฒนากันแต่เรื่อง “สง่ิ ทเ่ี ราไมไ่ ดเ้ นน้ ในฮอ่ งกงกค็ อื การอา่ น เศรษฐกจิ ” เธอบอก เพ่ือความเพลิดเพลิน ซ่ึงเกิดจากการค้นหา ซูซีนกึ ยอ้ นถงึ ฮ่องกงสมัยท่เี ธอยังเด็กใน ด้วยตัวเอง เข้าใจเอง และตัดสินใจเลือกที่ ช่วงทศวรรษ ๑๙๖๐ ตั้งแต่สมัยท่ีเศรษฐกิจ จะอา่ นเอง” เธอยงั บอกอกี วา่ “โดยทัว่ ไปแล้ว ยังไม่เข้มแขง็ เทา่ ตอนนี้ เธอบอกว่ามนั ยากท่ี วัฒนธรรมทางการศึกษาของเรา(ฮ่องกง) จะบ่มเพาะให้เกิดวัฒนธรรมการอ่านในเมื่อ ไมไ่ ดใ้ หค้ วามส�ำ คญั กบั ‘ความเปน็ มนษุ ยแ์ ละ เป้าหมายหลักสนใจกันแต่เร่ืองการหาเงิน พฒั นาการ’ การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและ เพ่ือดำ�รงชพี ความคดิ สรา้ งสรา้ งสรรคซ์ ง่ึ เปน็ องคป์ ระกอบ เธอตั้งข้อสังเกตว่า เหตุผลท่ีวัฒนธรรม สำ�คัญในการปลูกฝังให้เกิดวัฒนธรรมการ การอ่านในฮ่องกงกำ�ลังจะดีข้ึนก็คือ เม่ือ อ่านนน้ั เราไม่ได้เนน้ หรือให้ความสำ�คญั ”
47 เธอยกตัวอย่างนักศึกษาของมหาวิทยา แต่ซูซีก็ยอมรับว่ามันเป็นเรื่องปกติท่ัว ลัยหลิงหนาน ซ่ึงเป็นมหาวิทยาลัยทางด้าน โลกที่วัฒนธรรมการอ่านกำ�ลังถูกบ่ันทอน ศิลปศาสตร์ของฮ่องกง นักศึกษาพวกน้ี เพราะส่ืออ่ืนๆ อย่างทีวี ภาพยนตร์ เกม เพลดิ เพลนิ กบั การอา่ น และอา่ นเพอ่ื การเรยี นรู้ คอมพวิ เตอรแ์ ละอนิ เตอรเ์ นต สงิ่ เหลา่ นไี้ ปดงึ ไม่ใชเ่ พียงเพ่ือเกรดหรอื ผลการเรียนเทา่ นัน้ ความสนใจของผ้ทู อ่ี ่านหนังสอื “อีกทั้งข่าวสารข้อมูลจำ�นวนมากมายที่ กระหน่ำ�มาหาเราอยู่ทุกวัน จึงเป็นเร่ืองยาก ทค่ี นจะใหค้ วามสนใจกบั แกน่ แทใ้ นการบม่ เพาะ ใหเ้ กดิ วัฒนธรรมการอ่าน” เธอกลา่ วทงิ้ ทา้ ย เหลยี งผิงกวน นกั เขยี นนวนยิ ายจนี และ บทกวี ซ่ึงใช้นามปากกาว่า “หยาซี” บอกว่า ค น ฮ่ อ ง ก ง อ่ า น ห นั ง สื อ น้ อ ย ล ง ก ว่ า ช่ ว ง ทศวรรษ ๑๙๗๐ ซึ่งขณะน้ันการอ่านยังเป็น กระแสหลกั เหลียงมีตำ�แหน่งเป็นศาสตราจารย์ ด้านวรรณกรรมเปรียบเทียบท่ีมหาวิทยาลัย หลิงหนาน เขาเห็นว่า ทุกวันนี้นอกจากคน ฮ่องกงจะมีชีวิตท่ียุ่งอยู่กับธุรกิจและสังคมก็ มุ่งกันแต่เรื่องการทำ�เงินแล้ว ‘ส่ือ’ ก็มีส่วน ทำ�ใหว้ ัฒนธรรมการอ่านหายไปด้วย
Search