รายงานการวจิ ัย การศึกษาความตอ้ งการของนกั เรยี น ผู้ปกครอง และครูท่ีมตี อ่ การจดั การสอนภาษาญ่ีป่นุ ในสถานศกึ ษาตาบลสามบัณฑิต อาเภออทุ ยั จงั หวดั พระนครศรีอยุธยา บวรศรี มณพี งษ์ โครงการวิจยั น้ไี ดร้ บั ทุนอดุ หนุนจากมหาวิทยาลัยราชภฏั พระนครศรีอยุธยา ปี 2556
โครงการวิจยั การศกึ ษาความต้องการของนักเรียน ผ้ปู กครอง และครูทีม่ ีต่อการจดั การสอนภาษาญีป่ นุ่ ในสถานศึกษาตาบลสามบัณฑิต อาเภออุทยั จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา ผูว้ ิจยั บวรศรี มณีพงษ์ ปีวิจยั 2556 บทคัดย่อ การศึกษาน้มี ีวตั ถปุ ระสงค์เพื่อศึกษาความต้องการของนักเรียน ผู้ปกครอง และครูที่มีต่อการจัดการ สอนภาษาญป่ี ุน่ ในสถานศกึ ษาตาบลสามบณั ฑติ อาเภออทุ ัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และเปรียบเทียบความ ต้องการของนักเรียน ผ้ปู กครองและครู ทม่ี ตี ่อการจัดการสอนภาษาญี่ปุ่นในสถานศึกษา ตลอดจนศึกษาความ พรอ้ มของสถานศึกษาในการจัดการสอนภาษาญ่ปี นุ่ เครอื่ งมอื ในการวิจัยได้แก่แบบสอบถามและการสัมภาษณ์ เชิงลึก คาถามในแบบสอบถามประกอบด้วยความต้องการท่ีจะให้มีการสอนภาษาญ่ีปุ่น ความต้องการด้าน ทักษะและเนื้อหาท่ีจะให้สอน และเหตุผลที่ต้องการเรียนหรือให้สอนภาษาญี่ปุ่น ดาเนินการเก็บข้อมูลจาก ประชากร 3 กลุ่มได้แก่ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นท่ีกาลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนวัดดอนพุดซา โรงเรียน วัดหนองไม้ซุง และโรงเรียนวัดพรานนก รวมจานวน 120 คน ผู้ปกครองของนักเรียนท่ีกล่าวมาข้างต้น รวม จานวน 120 คน และครูที่สอนอยู่ในโรงเรียนท่ีกล่าวมาข้างต้น รวมจานวน 38 คน โดยไม่มีการสุ่มตัวอย่าง ประชากร วิเคราะหข์ อ้ มูลด้วยวิธีการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบนมาตราฐาน การสัมภาษณ์เก็บข้อมูล จากผบู้ ริหารสถานศกึ ษารวมจานวน 7 คน และวิเคราะห์ดว้ ยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาความต้องการให้จัดการสอนภาษาญ่ีปุ่นในสถานศึกษาพบว่าท้ังนักเรียน ผู้ปกครอง และครูมีความตอ้ งการในระดับมาก โดยมคี า่ เฉลยี่ 3.82 , 3.81 และ 3.66 ตามลาดับ ความต้องการด้านทักษะ ที่ต้องการให้สอนพบว่านกั เรียนและผู้ปกครองมีความต้องการให้สอนทักษะฟัง พูด อ่าน เขียนทุกด้าน ส่วนครู ตอ้ งการสอนทักษะฟงั และพูดเทา่ น้ัน ความต้องการดา้ นเนอ้ื หาที่ต้องการใหส้ อนพบว่านกั เรียน ผู้ปกครอง และ ครู มคี วามตอ้ งการให้สอนการสนทนาภาษาญีป่ นุ่ ในชีวิตประจาวนั เป็นอันดับแรก อันดับรองลงมาได้แก่เน้ือหา ดา้ นสังคมและวัฒนธรรมญ่ีปุ่น และภาษาญี่ปุ่นเกี่ยวกับการทางาน เหุตผลที่ประชากรท้ังสามกลุ่มต้องการให้ จดั การสอนภาษาในโรงเรียนคือ ตอ้ งการเรยี นรู้ภาษาต่างประเทศอน่ื ๆนอกเหนอื จากภาษาองั กฤษ ผลการเปรียบเทียบความต้องการของประชากร 3 กลุ่มพบว่านักเรียน ผู้ปกครองและครูมีความ ต้องการให้มีการสอนภาษาญี่ปุ่นในโรงเรียนไม่แตกต่างกัน โดยพิจารณาจากค่าเฉล่ียความคิดเห็นด้านความ ตอ้ งการท่ใี กล้เคียงกัน ผลการศึกษาความพร้อมของสถานศึกษาในการจัดการสอนภาษาญี่ปุ่น พบว่าผู้บริหารมีความ ต้องการให้มีการจัดการสอนภาษาญี่ปุ่นในโรงเรียน แต่ขาดความพร้อมด้านครู การส่งเสริมพัฒนาศักยภาพครู เพือ่ ใหส้ ามารถสอนภาษาญี่ปนุ่ ไดใ้ นอนาคตก็ไมเ่ พียงพอท่ีจะสอนได้ จึงต้องการความร่วมมือจากมหาวิทยาลัย ราชภัฏพระนครศรีอยธุ ยาเพื่อส่งบคุ คลากรลงไปชว่ ยจัดการทดลองสอนในโรงเรียน (1)
Research Project: A Study of Students', Guardians' and Teachers' Requirement towards Teaching Japanese in Schools at Sambandit, U-thai in Phranakhon Si Researcher: Ayutthaya Year: Borwonsri Maneephong 2013 ABSTRACT This study aimed to investigate and compare requirement of students, guardians and teachers towards teaching Japanese in schools at Sambandit, U-thai in Phranakhon Si Ayutthaya and also to study the readiness of the schools for the Japanese teaching. The instruments were questionnaires and in-depth interviews. The questionnaires contained three parts: the requirement of students, guardians and teachers towards teaching Japanese in the schools, the language skills and contents required to be taught, the reasons why they required to learn Japanese. The data were collected from three groups comprising 120 students, 120 guardians and 38 teachers teaching at the schools. The statistical analysis was performed in terms of percentage, mean and standard deviation. In-depth interviews were employed with 7 school directors. The data were also analyzed via content analysis. The findings revealed that the requirement on providing teaching Japanese in schools from the students (x=3.82), the guardians (x=3.81) and the teachers (x=3.66) was at high level. Regarding the language skills needed in teaching Japanese, the students and the guardians required the 4 skills: listening, speaking, reading and writing; but the teachers needed only listening and speaking. For the contents, the students, the guardians and the teachers had the same opinions; priority of the requirement was on Japanese conversation for daily life. The runners-up were social content, Japanese culture and Japanese for work. The reason why the three groups required teaching Japanese in their schools was their wishing to learn another foreign language. The comparison of the requirement among the three groups of populations showed that the requirement for teaching Japanese in schools from the students, the guardians and the teachers was not different. The in-depth interviews showed the requirement on providing teaching Japanese in the schools. However, the schools lack of Japanese teachers. Improving teachers’ ability to be able to teach Japanese in the future is insufficient. Therefore, the school directors wanted Phranakhon Si Ayutthaya Rajabhat University to do a Japanese teaching pilot project in schools. (2)
สารบญั หน้า บทคัดย่อภาษาไทย................................................................................................................................ ( 1 ) บทคัดย่อภาษาอังกฤษ........................................................................................................................... ( 2 ) สารบญั ....................................................................................................................... ........................... ( 3 ) สารบญั ตาราง........................................................................................................................................ ( 5 ) สารบัญภาพ.................................................................................................................... ....................... ( 7 ) บทท่ี 1 บทนา......................................................................................................................... .............. 1 ความเปน็ มาและความสาคญั ของปัญหา............................................................................. 1 วัตถปุ ระสงค์ของการวิจัย.................................................................................................... 3 ขอบเขตการวิจัย................................................................................................................. 3 นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ................................................................................................................ 4 ประโยชน์ทีค่ าดว่าจะไดร้ ับ................................................................................................. 4 2 เอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเกี่ยวข้อง................................................................................................ 6 สภาพท่วั ไปและข้อมลู พน้ื ฐานท่ีสาคัญขององค์การบริหารส่วนตาบลสามบณั ฑติ ............... 5 ขอ้ มูลพืน้ ฐานของสถานศกึ ษาในงานวจิ ัย............................................................................ 7 แนวคดิ เกีย่ วกบั ความต้องการ............................................................................................. 10 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พนื้ ฐานพุทธศกั ราช 2551................................................ 13 ธรุ กจิ ญี่ปุ่นในประเทศไทย................................................................................................... 16 งานวิจัยและการสารวจเกย่ี วกับการเรยี นการสอนภาษาญี่ปุ่นในประเทศไทย.................... 18 3 วิธดี าเนนิ การวิจัย.................................................................................................................... 22 ประชากรและกลุม่ ตวั อยา่ ง................................................................................................ 22 เครอ่ื งมือท่ีใชใ้ นการวจิ ยั .................................................................................................... 23 การสร้างเครื่องมือท่ใี ชใ้ นงานวิจยั ..................................................................................... 25 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ........................................................................................................ 26 การวิเคราะห์ขอ้ มูล............................................................................................................ 26 4 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล............................................................................................................ 28 ส่วนที่ 1 ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูลความต้องการของนกั เรียนทม่ี ีต่อการจัดการสอน ภาษาญีป่ นุ่ ในสถานศกึ ษาตาบลสามบณั ฑิต อาเภออุทยั จังหวดั พระนครศรีอยธุ ยา... 30 ส่วนที่ 2 ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลความตอ้ งการของผ้ปู กครองท่มี ีต่อการจัดการสอน ภาษาญปี่ นุ่ ในสถานศกึ ษาตาบลสามบณั ฑติ อาเภออุทยั จังหวดั พระนครศรอี ยธุ ยา... 37 (3)
สารบัญ หนา้ บทท่ี 45 4 (ต่อ) ส่วนท่ี 3 ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูลความตอ้ งการของครทู ่ีมีต่อการจดั การสอน ภาษาญป่ี ุ่นในสถานศกึ ษาตาบลสามบณั ฑติ อาเภออทุ ัย จังหวัดพระนครศรอี ยธุ ยา... 54 ส่วนท่ี 4 ผลการเปรียบเทยี บความต้องการให้จัดการสอนภาษาญี่ปุ่นในสถานศึกษา ตาบลสามบณั ฑิต อาเภออทุ ัย จงั หวัดพระนครศรีอยุธยา........................................... 56 ส่วนท่ี 5 ผลการสัมภาษณ์ข้อมลู ความคิดเห็นของผบู้ ริหารสถานศกึ ษาตาบลสามบัณฑิต 59 อาเภออทุ ยั จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่มตี ่อการจดั การสอนภาษาญี่ปุ่น................. 60 5 สรุป อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ...................................................................................... 61 สรปุ ผลการวิจยั ............................................................................................................... 64 อภิปรายผล..................................................................................................................... 65 ข้อเสนอแนะ................................................................................................................... 68 บรรณานกุ รม................................................................................................................................ 69 ภาคผนวก...................................................................................................................... ............... 76 ภาคผนวก 1 แบบสอบถาม.................................................................................................. ภาคผนวก 2 ประวตั ผิ ูว้ จิ ัย................................................................................................... (4)
สารบญั ตาราง หน้า ตาราง 4.1 แสดงจำนวนและร้อยละของนกั เรยี นจำแนกตำมเพศ................................................................ 30 4.2 แสดงจำนวนและร้อยละของนกั เรียนจำแนกตำมระดบั ช้นั เรียน................................................ 30 4.3 แสดงจำนวนและรอ้ ยละของควำมตอ้ งกำรของนักเรยี นให้จัดกำรสอนภำษำญป่ี ุ่นในโรงเรียน... 31 4.4 แสดงคำ่ เฉลย่ี และค่ำส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำนของควำมตอ้ งกำรของนกั เรยี นให้จัดกำรสอน ภำษำญป่ี ุ่นในโรงเรยี น........................................................................................................... 31 4.5 แสดงจำนวนและรอ้ ยละของควำมคิดเหน็ ของนักเรยี นดำ้ นทกั ษะทต่ี ้องกำรใหส้ อน................... 32 4.6 แสดงผลรวมของคำ่ ระดับคะแนนและลำดับของควำมคดิ เห็นของนักเรยี นดำ้ นทักษะท่ีต้องกำร ใหส้ อน.................................................................................................................................. 33 4.7 แสดงจำนวนและรอ้ ยละของควำมคิดเห็นของนักเรยี นด้ำนเนอื้ หำทตี่ ้องกำรใหส้ อน................. 33 4.8 แสดงผลรวมของคำ่ ระดบั คะแนนและลำดบั ของควำมคิดเห็นของนักเรียนดำ้ นเน้ือหำทต่ี ้องกำร ให้สอน................................................................................................................................... 35 4.9 แสดงจำนวน ร้อยละและลำดับทด่ี ำ้ นเหตผุ ลของนักเรยี นที่ต้องกำรให้โรงเรียนจัดกำรสอน ภำษำญ่ีปุน่ .......................................................................................................................... ... 36 4.10 แสดงจำนวนและร้อยละของผูป้ กครองจำแนกตำมเพศ.............................................................. 37 4.11 แสดงจำนวนและร้อยละของผ้ปู กครองจำแนกตำมอำยุ.............................................................. 37 4.12 แสดงจำนวนและร้อยละของผปู้ กครองจำแนกตำมคุณวฒุ ิ......................................................... 38 4.13 แสดงจำนวนและร้อยละของผปู้ กครองจำแนกตำมอำชพี ........................................................... 38 4.14 แสดงจำนวนและร้อยละของควำมตอ้ งกำรของผู้ปกครองที่มตี ่อกำรจัดกำรสอนภำษำญป่ี ุ่น ในโรงเรยี น............................................................................................................................. 39 4.15 แสดงค่ำเฉล่ยี และคำ่ ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำนของควำมตอ้ งกำรของผู้ปกครองทมี่ ตี ่อกำรจัด กำรสอนภำษำญี่ปนุ่ ในโรงเรยี น............................................................................................. 39 4.16 แสดงจำนวนและร้อยละของควำมคดิ เหน็ ของผปู้ กครองด้ำนทักษะท่ตี ้องกำรใหส้ อน................ 40 4.17 แสดงผลรวมของคำ่ ระดับคะแนนและลำดับของควำมคดิ เห็นของผปู้ กครองด้ำนทักษะท่ี ตอ้ งกำรใหส้ อน...................................................................................................................... 41 4.18 แสดงจำนวนและร้อยละของควำมคิดเห็นของผูป้ กครองด้ำนเน้อื หำท่ีต้องกำรใหส้ อน............... 41 4.19 แสดงผลรวมของค่ำระดบั คะแนนและลำดบั ของควำมคดิ เห็นของผูป้ กครองดำ้ นเน้ือหำที่ ตอ้ งกำรให้สอน...................................................................................................................... 43 4.20 แสดงจำนวนและรอ้ ยละของเหตผุ ลของผปู้ กครองทีต่ ้องกำรให้โรงเรียนมกี ำรสอนภำษำญ่ปี ุ่น 44 4.21 แสดงจำนวนและรอ้ ยละของครจู ำแนกตำมเพศ......................................................................... 45 4.22 แสดงจำนวนและร้อยละของครจู ำแนกตำมอำยุ......................................................................... 45 (5)
สารบัญตาราง (ต่อ) หนา้ ตาราง 4.23 แสดงจำนวนและรอ้ ยละของครจู ำแนกตำมคุณวฒุ ิ.................................................................... 46 4.24 แสดงจำนวนและรอ้ ยละของครจู ำแนกตำมประสบกำรณ์ทำงำน............................................... 46 4.25 แสดงจำนวนและรอ้ ยละของควำมต้องกำรของครูทม่ี ตี ่อกำรจดั กำรสอนภำษำญ่ปี นุ่ ในโรงเรยี น 47 4.26 แสดงคำ่ เฉล่ียและคำ่ ส่วนเบ่ยี งเบนมำตรฐำนของควำมตอ้ งกำรของครูท่ีมีต่อกำรจัดกำรสอน ภำษำญป่ี ุ่นในโรงเรยี น............................................................................................................ 47 4.27 แสดงจำนวนและรอ้ ยละของควำมคิดเห็นของครดู ำ้ นทักษะทีต่ ้องกำรให้สอน............................ 48 4.28 แสดงผลรวมของค่ำระดับคะแนนและลำดับของควำมคิดเห็นของครดู ้ำนทักษะทต่ี ้องกำรใหส้ อน 49 4.29 แสดงจำนวนและรอ้ ยละของควำมคิดเห็นของครดู ้ำนเน้ือหำทีต่ ้องกำรใหส้ อน........................... 49 4.30 แสดงผลรวมของค่ำระดบั คะแนนและลำดบั ของควำมคดิ เห็นของครูด้ำนเน้ือหำท่ีต้องกำรใหส้ อน 50 4.31 แสดงจำนวนและรอ้ ยละของควำมคดิ เห็นของครูด้ำนระดับช้ันทีค่ วรสอน.................................. 51 4.32 แสดงผลรวมของคำ่ ระดบั คะแนนและลำดับของควำมคิดเห็นของครดู ้ำนระดับช้นั ทีค่ วรสอน 51 4.33 แสดงจำนวนและรอ้ ยละของควำมคิดเห็นของครูดำ้ นจำนวนคำบต่อสัปดำห์ที่ควรสอน............. 52 4.34 แสดงผลรวมของคำ่ ระดบั คะแนนและลำดับของควำมคดิ เห็นของครดู ำ้ นจำนวนคำบต่อสัปดำห์ ท่ีควรสอน.............................................................................................................................. 53 4.35 แสดงจำนวนและรอ้ ยละของเหตุผลของครูทต่ี ้องกำรใหโ้ รงเรยี นจดั กำรสอนภำษำญ่ีปนุ่ ........... 54 4.36 แสดงกำรเปรียบเทียบควำมต้องกำรใหจ้ ดั กำรสอนภำษำญ่ีปุ่นในสถำนศึกษำ ตำบลสำมบัณฑิต อำเภออทุ ยั จังหวดั พระนครศรอี ยุธยำ ระหวำ่ งนักเรยี น ผู้ปกครองและครู 55 (6)
สารบัญภาพ หนา้ ภาพ 8 1 โรงเรยี นวดั ดอนพดุ ซา........................................................................................................ 8 2 โรงเรียนวัดพรานนก.......................................................................................................... 9 3 โรงเรยี นวดั หนองไมซ้ ุง....................................................................................................... 17 4 แสดงความหนาแนน่ ของธรุ กิจญี่ปนุ่ จาแนกตามพ้นื ท่ปี ระกอบการในประเทศไทย............ (7)
บทที่1 บทนำ ควำมเป็นมำและควำมสำคญั ของปญั หำ แผนพฒั นาจงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา พ.ศ. 2554 – 2556 ระบุไวว้ า่ จงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา เป็นจังหวัดทม่ี ีศักยภาพในการพัฒนาค่อนข้างสงู โดยในปี 2550 ผลผลติ มวลรวมของจังหวัด (GPP) มีมูลคา่ 328,846 ลา้ นบาท สูงเปน็ อันดบั ที่ 3 ของประเทศ รายไดส้ ่วนใหญอ่ ยูใ่ นสาขาอตุ สาหกรรม การคา้ และคา้ ปลกี และการเกษตรกรรม ตามลาดับ (จงั หวัดพระนครศรีอยุธยา, 2552, หน้า2) จากขอ้ มลู ดังกล่าว ทาให้เหน็ วา่ จากเดมิ ที่มีคากล่าวว่า จงั หวดั พระนครศรีอยุธยาเป็นอู่ข้าวอู่นา ซ่ึงหมายถึงการเป็นเมืองเกษตรกรรมท่ีอุดมสมบูรณ์นัน กาลังมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปสู่เมืองท่ีมีความเจริญ ทางด้านอุตสาหกรรม เห็นได้จากผลผลิตมวลรวมท่ีภาคอุตสาหกรรมนาหน้าขึนมาเป็นอันดับหน่ึง และภาค เกษตรกรรมอยู่เปน็ ลาดบั ทีส่ าม ในการวิจัยนีจงึ เห็นว่าการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพ่ือให้มีศักยภาพเพียงพอ ท่ี จะรองรับกับการเปลี่ยนแปลงและสามารถสร้างโอกาสในการเพ่ิมมูลค่าให้กับการพัฒนาดังกล่าวจึงเป็นเรื่องท่ี สาคญั เปน็ อยา่ งยงิ่ ตาบลสามบัณฑิต อาเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นพืนที่หนึ่งในจังหวัดพระนครศรี อยุธยาทก่ี าลังเผชญิ กับการเปลยี่ นแปลงจากภาคเกษตรกรรมไปสู่ภาคอุตสาหกรรม ในแผนพัฒนาตาบลสามปี (2556-2558) ได้ระบุไว้ว่า “ สถานการณป์ ัจจุบนั ของตาบลสามบัณฑิตปัจจุบัน นอกจากเป็นพืนท่ีท่ีประชากร สว่ นหนึ่งทาการเกษตรแลว้ ไดเ้ ปลยี่ นแปลงไปสู่อาชีพและรายได้จากภาคการผลิตอุตสาหกรรม ด้วยประชากร ส่วนหนึ่งผันตัวเองไปเป็นแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งปัจจุบันได้ขยายตัวจากตาบลคานหาม เกิด โครงการสวนอุตสาหกรรมโครงการ 2 ในพืนท่ีตาบลอุทัย และตาบลบ้านช้าง และการขยายการผลิตของ อตุ สาหกรรมโครงการ 3 คาบเก่ียวกับพนื ที่ตาบลหนองนาสม้ และพืนท่บี างส่วนของตาบลสามบณั ฑิต ” (องค์การบริหารส่วนตาบลสามบัณฑิต อาเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา [อบต.สามบัณฑิต], 2556, หน้า9) ภาคอุตสาหกรรมท่ีเข้ามาสู่พืนท่ีจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไม่ว่าจะในพืนท่ีอาเภอบางปะอิน หรืออาเภออุทัยซ่ึงตาบลสามบัณฑิตตังอยู่นัน ส่วนใหญ่มีผู้ประกอบการเป็นชาวญ่ีปุ่น การดาเนินกิจการต่างๆ 1
ของบริษทั เพือ่ ใหบ้ รรลเุ ปา้ หมายจาเปน็ ต้องมีการส่อื สารระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง และหัวหน้างานกับลูกน้อง กรณีที่ผู้ประกอบการไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาไทยได้ การทลี่ กู จ้างมีความรู้ สามารถสื่อสารด้วยภาษาญ่ีปุ่น ตลอดจนเข้าใจวัฒนธรรม วิธีคิด วิธีทางานของชาวญ่ีปุ่น จึงมีความสาคัญไม่น้อยไปกว่าศักยภาพด้านอ่ืนๆ ความรู้ความสามารถทางภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นจะเพิ่มศักยภาพของแรงงานที่เข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม ส่งเสริมให้สามารถเข้าสู่การมีอาชีพในโรงงานอุตสาหกรรม และจะนาไปสู่การมีรายได้ท่ีมั่นคง แนวความคิด ดังกล่าวนีสอดรับกับนโยบายระยะการบริหารราชการ 4 ปีของรัฐบาล1ในด้านนโยบายการศึกษาท่ีระบุให้ ส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศและภาษาถ่ิน ...ปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาทุกระดับ ให้รองรับการ เปลีย่ นแปลงของโลก (นโยบายรฐั บาล, หน้า14) ผู้วิจัยเห็นว่าตาบลสามบัณฑิตซ่ึงเป็นพืนท่ีเป้าหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบของมหาวิทยาลัย ราชภัฏพระนครศรีอยุธยา มีโรงเรียนขยายโอกาสจัดการสอนจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนต้น นักเรียนส่วน ใหญ่จบการศึกษาภาคบังคับระดับมัธยมศึกษาตอนต้น(อบต.สามบัณฑิต, 2553, หน้า6) หลังจากนันจะเข้าสู่ การทางานในภาคอุตสาหกรรม สภาพพืนท่ีท่ีแวดล้อมด้วยโรงงานอุตสาหกรรมญี่ปุ่นเช่นนี การสอน ภาษาญ่ีปุ่นในโรงเรียนขยายโอกาสจึงน่าจะมีความสาคัญในการพัฒนาศักยภาพบุคคลากรดังท่ีกล่าวข้างต้น แต่ปัจจุบันในโรงเรียนยังไม่ได้มีการสอนภาษาญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามการตัดสินว่าการสอนภาษาญี่ปุ่นสาคัญ หรอื ไมน่ นั ผู้มสี ว่ นไดเ้ สีย (Stakeholders) ได้แก่ผูบ้ รหิ าร ครู ผู้ปกครอง ชมุ ชน นกั เรียนและองคก์ รที่เกี่ยวข้อง ควรมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ดังที่หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขันพืนฐาน พุทธศักราช 2551 ก็ได้ระบุไว้ว่า “ระดับการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ชันมัธยมศึกษาปีท่ี1–3) เป็นช่วงสุดท้ายของการศึกษาภาคบังคับ มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้สารวจความถนัดและความสนใจของตนเอง ส่งเสริมการพัฒนาบุคลิกภาพส่วนตน มีทักษะ ในการคิดวิจารณญาณ คิดสร้างสรรค์ และคิดแก้ปัญหา มีทักษะในการดาเนินชีวิต มีทักษะการใช้เทคโนโลยี เพ่ือเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ มีความรับผิดชอบต่อสังคม มีความสมดุลทังด้านความรู้ ความคิด ความดีงาม และมีความภูมิใจในความเป็นไทย ตลอดจนใช้เป็นพืนฐานในการประกอบอาชีพ หรือการศึกษาต่อ” จาก ข้อความนีทาให้เห็นว่าหลักสูตรได้มุ่งส่งเสริมให้นักเรียนได้มีโอกาสค้นหาและตัดสินใจเลือกเรียนในสิ่งที่สนใจ ได้ นอกจากนีหลักสูตรยังได้เปิดโอกาสให้สถานศึกษาสามารถเพ่ิมเติมในส่วนท่ีเก่ียวกับสภาพปัญหาในชุมชน และสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และความต้องการของผู้เรียน โดยทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนา หลักสูตรสถานศึกษา (กระทรวงศึกษาธิการ[ศธ.], 2551, หน้า17-32) ประกอบกับมหาวิทยาลัยราชภัฏ 1 คาแถลงการณน์ โยบายรัฐบาลของนางสาวย่งิ ลกั ษณ์ ชนิ วตั ร เม่อื วันองั คารท่ี 23 สงิ หาคม 2554 2
พระนครศรีอยุธยาในฐานะท่ีเป็นสถาบันอุดมศึกษาในท้องถ่ิน มีพันธกิจประการหน่ึงคือการประสานความ ร่วมมือเพื่อการพัฒนาท้องถ่ิน ตลอดจนให้บริการทางวิชาการแก่สังคม มีนโยบายท่ีจะส่งเสริมสนับสนุนและ พฒั นาการวจิ ัยเพอื่ สรา้ งสรรคน์ วัตกรรมและองค์ความรทู้ ตี่ อบสนองความต้องการของสังคม นาไปสู่การพัฒนา ท้องถ่ินและประเทศชาติ ร่วมมือและส่งเสริมการการพัฒนาศักยภาพครู บุคลากรทางการศึกษาให้ตรงตาม ความต้องการของสังคม (มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา, 2555, หน้า35) จากพันธกิจของ มหาวิทยาลัยดังกล่าว ผู้วิจัยในฐานะท่ีเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัย จึงเห็นสมควรท่ีจะได้มีส่วนร่วมใน การศึกษาค้นหาความต้องการของนักเรียน ผู้ปกครองและครู ท่ีมีต่อการเปิดสอนภาษาญี่ปุ่นในสถานศึกษา ตาบลสามบัณฑิต อาเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการพัฒนาการศึกษาของท้องถ่ิน ต่อไป วตั ถุประสงค์ 1. เพ่อื ศึกษาความต้องการของนักเรยี น ผู้ปกครอง และครูที่มตี ่อการจดั การสอนภาษาญ่ีปุ่นใน สถานศกึ ษาตาบลสามบัณฑิต อาเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2. เพื่อเปรียบเทียบความต้องการของนักเรียน ผู้ปกครองและครู ท่ีมีต่อการจัดการสอนภาษา ญปี่ นุ่ ในสถานศึกษาตาบลสามบัณฑติ อาเภออทุ ัย จังหวัดพระนครศรอี ยุธยา 3. เพื่อศึกษาความพร้อมของสถานศึกษาตาบลสามบัณฑิต อาเภออุทัย จังหวัดพระนครศรี อยธุ ยาในการจัดการสอนภาษาญีป่ นุ่ ขอบเขตของกำรวิจัย ศกึ ษาจากประชากรได้แก่ นักเรยี น ผู้ปกครอง และครู ในสถานศึกษาตาบลสามบัณฑิต อาเภอ อทุ ยั จงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยาและสถานศึกษาท่อี ยู่ในกลุม่ โรงเรียนขยายโอกาสเดียวกันแต่มิได้ตังอยู่ในตาบล สามบัณฑิตแต่มีพืนท่ีทางภูมิศาสตร์ติดต่อกับตาบลสามบัณฑิตได้แก่ ตาบลโพธ์ิสาวหาญ ตาบลหนองไม้ซุง อาเภออุทยั จังหวดั พระนครศรอี ยธุ ยา (อบต.สามบัณฑิต, 2553, หน้า4) รวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามและ การสัมภาษณผ์ ใู้ หข้ อ้ มูลหลัก เป็นการวิจยั เชงิ สารวจเพ่ือค้นหาความต้องการทจ่ี ะให้สอนภาษาญ่ีปุ่นในโรงเรียน และความต้องการด้านเนือหา ทกั ษะ ชันเรยี น จานวนคาบที่ต้องการใหส้ อน 3
นิยำมศพั ทเ์ ฉพำะ ควำมต้องกำร หมายถึง ความรู้สึกนึกคิดตามการรับรู้ของแต่ละบุคคลที่อยากจะให้มีการสอน ภาษาญีป่ ุน่ ในสถานศึกษา นักเรียน หมายถึง นักเรียนระดับชันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 , 2 , 3 ท่ีกาลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนวัด ดอนพดุ ซา ตาบลสามบัณฑิต โรงเรียนวดั พรานนก ตาบลโพธ์สิ าวหาญ และโรงเรยี นวดั หนองไม้ซงุ ตาบลหนอง ไมซ้ ุง อาเภออุทยั จังหวดั พระนครศรอี ยุธยา ครู หมายถึง ครูผู้สอนและผู้บริหารของโรงเรียนวัดดอนพุดซา ตาบลสามบัณฑิต โรงเรียนวัด พรานนก ตาบลโพธ์ิสาวหาญ และโรงเรียนวัดหนองไม้ซุง ตาบลหนองไม้ซุง อาเภออุทัย จังหวัด พระนครศรอี ยุธยา ผู้ปกครอง หมายถึง ผู้ปกครองของนักเรยี นระดับชนั มัธยมศึกษาปีที่ 1 , 2 , 3 ที่กาลังศึกษาอยู่ ในโรงเรยี นวัดดอนพุดซา ตาบลสามบัณฑิต โรงเรียนวัดพรานนก ตาบลโพธ์ิสาวหาญ และโรงเรียนวัดหนองไม้ ซุง ตาบลหนองไมซ้ ุงอาเภออทุ ัย จังหวดั พระนครศรอี ยธุ ยา สถำนศึกษำ หมายถึง โรงเรียนวัดดอนพุดซา ตาบลสามบัณฑิต โรงเรียนวัดพรานนก ตาบล โพธิส์ าวหาญ และโรงเรยี นวดั หนองไม้ซงุ ตาบลหนองไม้ซุง อาเภออุทัย จงั หวัดพระนครศรีอยุธยา กำรจัดกำรสอนภำษำญ่ปี นุ่ หมายถึง การกาหนดใหม้ กี ารสอนภาษาญีป่ นุ่ เป็นวิชาในกลุ่มสาระ ภาษาต่างประเทศ ประโยชนท์ คี่ ำดว่ำจะได้รับ 1. ผ้บู รหิ ารสถานศึกษาในการวิจัยครังนีทราบความต้องการของนักเรียน ผู้ปกครอง และครู ท่ี มีต่อการจดั การสอนภาษาญี่ป่นุ ในสถานศกึ ษาตาบลสามบัณฑิต อาเภออทุ ยั จังหวัดพระนครศรีอยธุ ยา 2. ครูผู้สอนและผู้บริหารสถานศึกษาในการวิจัยครังนีสามารถนาผลจากการวิจัยไปใช้ในการ ดาเนินการจัดทาหลักสูตรการเรียนการสอนภาษาญี่ปุ่นที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้เรียนในพืนท่ีตาบล สามบัณฑิต อาเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นอกจากนีสามารถนาไปประยุกต์ใช้กับโรงเรียนอื่นๆที่มี ลกั ษณะความตอ้ งการในทานองเดยี วกนั 4
3. มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยาสามารถนาผลจากการวิจัยไปใช้เป็นแนวทางในการ ดาเนนิ การจัดบรกิ ารทางการศึกษาให้แกส่ ถานศึกษาในการวิจัยครงั นี และสถานศึกษาอ่ืนๆท่ีมีความต้องการใน ลักษณะเดยี วกัน 5
บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยท่ีเก่ยี วข้อง การศึกษาความต้องการของนักเรียน ผู้ปกครองและครูท่ีมีต่อการจัดการสอนภาษาญี่ปุ่นใน สถานศึกษาตาบลสามบัณฑิต อาเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยาน้ี ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิดและทฤษฎีเพื่อ นามาเป็นกรอบแนวคิดในการดาเนินงานวิจัย รวมท้ังการค้นคว้าเอกสาร รายงานการวิจัยท่ีเกี่ยวข้องดังมี เน้ือหาท่จี ะนาเสนอต่อไปนี้ 1. สภาพท่ัวไปและข้อมลู พ้นื ฐานทส่ี าคญั ขององค์การบริหารส่วนตาบลสามบณั ฑิต 2. ขอ้ มูลพื้นฐานของสถานศึกษาในงานวิจัย 3. แนวคิดเก่ียวกับความต้องการ 4. หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 5. ภาคธุรกิจญีป่ นุ่ ในประเทศไทย 6. งานวิจยั และการสารวจเกีย่ วกบั การเรยี นการสอนภาษาญีป่ นุ่ ในประเทศไทย 1. สภาพท่ัวไปและขอ้ มูลพื้นฐานทส่ี าคัญขององคก์ ารบริหารสว่ นตาบลสามบัณฑิต องค์การบริหารส่วนตาบลสามบัณฑิต อาเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ต้ังอยู่ห่างจาก อาเภออุทัยประมาณ 9 กิโลเมตร และห่างจากอาเภอพระนครศรีอยุธยาประมาณ 25 กิโลเมตร เป็นองค์การ บริหารส่วนตาบลขนาดกลาง มีหมู่บ้านในความรับผิดชอบ 10 หมู่บ้าน ภูมิประเทศเป็นท่ีราบลุ่ม มีเน้ือท่ี 17.17 ตารางกิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อกับตาบลใกล้เคียงคือ ทิศเหนือติดต่อกับตาบลบ้านหีบและตาบล หนองไมซ้ ุง ทศิ ใตต้ ิดต่อกับตาบลหนองน้าส้มและตาบลโพธ์ิสาวหาญ ทิศตะวันออกติดต่อกับตาบลหนองไม้ซุง และตาบลโพธ์ิสาวหาญ ทิศตะวันตกติดต่อกับตาบลหนองน้าส้ม การคมนาคมสะดวก มีถนนเข้าถึงหมู่บ้าน มี เส้นทางหลักคือ ทางหลวงหมายเลข 3043 การคมนาคมภายในตาบลมีถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก ถนนลูกรัง และถนนดนิ ราษฎรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทาการเกษตร รองลงมาคือรับจ้างในโรงงานอุตสาหกรรม และ รับจ้างท่ัวไป มีการประกอบอุตสาหกรรมในท้องถ่ินซึ่งเป็นโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่นอกเขตพื้นที่สวน อุตสาหกรรม ในปี 2554 มีการขยายพื้นที่สวนอุตสาหกรรมโรจนะโครงการ 3 เม่ือดาเนินการแล้วเสร็จจะมี โรงงานที่อยู่ในพ้ืนที่ของตาบลสามบัณฑิตส่วนหนึ่ง ปัจจุบันโรงงานอุตสาหกรรมที่ดาเนินกิจการในเขตตาบล 6
สามบัณฑิตมี 14 แห่ง ส่วนหนึ่งเป็นโรงงานอุตสาหกรรมของญ่ีปุ่น ตัวอย่างเช่น บริษัทไดได – เทค จากัด บรษิ ทั ซติ เิ ซน วอท์ชเมนเู ฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย ) จากดั บรษิ ัทคาวาเบะ เทคโนพลาส (ไทยแลนด)์ จากัด สถานศกึ ษาในตาบลมี 3 แห่งได้แก่ โรงเรียนวัดสามบัณฑิต โรงเรียนวัดกุ่มแต้ และโรงเรียนวัด ดอนพดุ ซา ซึ่งเป็นโรงเรียนขยายโอกาสมีการสอนถึงระดับมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ประชาชนส่วนใหญ่จบการศึกษา ระดบั มัธยมตน้ ประชากรสว่ นใหญน่ ับถือศาสนาพุทธ มวี ดั ในตาบล 3 แห่งคือ วดั สามบัณฑติ วัดกุม่ แต้ และวัดดอนพุดซา ตาบลสามบณั ฑิตเปน็ พน้ื ทที่ ี่มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การพัฒนาการเกษตร และเป็นพ้ืนท่ี ที่มคี วามเก่ยี วข้องกบั ประวัตศิ าสตร์ชาติไทย อย่างไรก็ตามการพัฒนาระบบอุตสาหกรรมมีการขยายตัวเพิ่มข้ึน ในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งมีผลดีต่อการสร้างงานและรายได้แก่ประชาชน ขณะเดียวกันได้ส่งผลกระทบต่อการทา การเกษตรในพื้นท่ี ปัจจุบันประชากรร้อยละ 60 ยังประกอบอาชีพทาการเกษตร (อบต.สามบัณฑิต, 2553, หนา้ 4-8) 2. ข้อมลู พน้ื ฐานของสถานศกึ ษาในงานวิจยั ในงานวจิ ัยนี้ สถานศึกษา หมายถงึ โรงเรียนวัดดอนพุดซา ตาบลสามบัณฑิต โรงเรียนวัดพราน นก ตาบลโพธ์ิสาวหาญ และโรงเรยี นวดั หนองไม้ซุง ตาบลหนองไม้ซุง อาเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา1 มีข้อมูลพน้ื ฐานต่อไปนี้ 2.1 โรงเรียนวัดดอนพุดซา ตั้งอยู่ที่หมู่ 10 ตาบลสามบัณฑิต อาเภออุทัย จังหวัด พระนครศรีอยธุ ยา ระยะทางจากโรงเรยี นถงึ อาเภออทุ ัยรวม 12 กิโลเมตร สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา พระนครศรอี ยุธยาเขต 1 โรงเรียนนี้เปิดสอนครั้งแรกในปี พ.ศ. 2483 ปัจจุบันเป็นโรงเรียนขยายโอกาสทาง การศึกษาทาการสอนต้ังแต่ระดับช้ันอนุบาล 1 ถึงมัธยมศึกษาปีท่ี 3 มีนายชาญณรงค์ สุทธิกุล เป็น ผู้อานวยการสถานศึกษา มีครู 12 คน นักเรียน 155 คน ในจานวนน้ีมีนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นรวม 38 คน มีอาคารเรียน 2 หลัง ห้องสมุด 1 ห้อง และห้องคอมพิวเตอร์ 1 ห้อง มีการสอนภาษาต่างประเทศคือ ภาษาอังกฤษ ( http://data.bopp-obec.info/web/index-view.php ) 1 ดูคาอธบิ ายประกอบในบทที่ 3 ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง หนา้ 22-23 7
ภาพท่ี 1 โรงเรยี นวัดดอนพุดซา ( ทม่ี า : http://data.bopp-obec.info/web/index-view.php ) 2.2 โรงเรียนวัดพรานนก ตั้งอยู่ท่ี หมู่ที่ 2 ตาบลโพธิ์สาวหาญ อาเภออุทัย จังหวัด พระนครศรีอยุธยา สงั กดั สานักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษาพระนครศรีอยุธยาเขต 1 เปดิ สอนคร้งั แรกในปี พ.ศ. 2481 เป็นโรงเรียนประเภทนายอาเภอจัดตั้ง เปิดสอนตั้งแต่ ชน้ั เตรยี มประถม ในปตี อ่ มาไดเ้ ปดิ สอนชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 1,2,3,4 ตามลาดับ โดยอาศัยศาลาการเปรียญของ วัดพรานนก ปีการศกึ ษา 2536 เปดิ สอนระดับมัธยมศึกษาตามโครงการขยายโอกาสทางการศึกษา ปัจจุบนั เปน็ โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาทาการสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล 1 ถึง มัธยมศึกษาปีที่ 3 มีนายปรีชา ญานธรรม เป็นผู้อานวยการสถานศึกษา มีครู 10 คน นักเรียน 139 คน ใน จานวนนี้มีนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นรวม 24 คน มีอาคารเรียน 2 หลัง ห้องสมุด 1 ห้อง และห้อง คอมพวิ เตอร์ 1 หอ้ ง มีการสอนภาษาตา่ งประเทศคือ ภาษาอังกฤษ (http://soc-ay1.aru.ac.th/14104386 ) ภาพท่ี 2 โรงเรยี นวดั พรานนก ( ทม่ี า : http://soc-ay1.aru.ac.th/14104386 ) 8
2.3 โรงเรียนวัดหนองไม้ซุง ตั้งอยู่ท่ีหมู่ที่ 1 ตาบลหนองไม้ซุง อาเภออุทัย จังหวัด พระนครศรีอยุธยา สังกดั สานกั งานเขตพืน้ ท่กี ารศกึ ษาพระนครศรอี ยุธยาเขต 1 โรงเรียนน้ีจัดต้ังข้ึนในปี พ.ศ. 2481 โดยมีเจ้าอาวาสวัดและชาวบ้านร่วมกันจัดตั้งข้ึน ตอ่ มาในปี พ.ศ.2482 ได้ประกาศจัดต้ังเป็นโรงเรียนประชาบาล มีนายอาเภอเป็นผู้สนับสนุน ในปี พ.ศ. 2533 ไดร้ บั คัดเลอื กเปน็ โรงเรยี นนารอ่ งขยายโอกาสทางการศึกษา เปิดสอนระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น ปจั จุบันเป็นโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาทาการสอนตั้งแต่ระดับช้ันอนุบาล 1 ถึง มัธยมศึกษาปที ี่ 3 มีนายเชาวลิต คงคาดิษฐ์ เป็นผู้อานวยการสถานศกึ ษา มีครู 13 คน นักเรียน 276 คน ใน จานวนน้ีมีนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นรวม 58 คน มีอาคารเรียน 3 หลัง ห้องสมุด 1 ห้อง ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ห้องปฏิบัติการทางภาษา ห้องปฏิบัติการพลศึกษา ห้องปฏิบัติการคหกรรม อยา่ งละ 1 หอ้ ง มีการสอนภาษาตา่ งประเทศคือ ภาษาอังกฤษ ภาพท่ี 3 โรงเรียนวัดหนองไม้ซงุ ( ทีม่ า : http://school.obec.go.th/watnongmaisung/ ) 9
3. แนวคิดเกีย่ วกับความต้องการ แบรดชอว์ (Bradshaw,1972 อ้างถึงใน Spicker, n.d., para2; Steinbach, 2009, p.1) กลา่ วว่า ความตอ้ งการทางสังคมแบ่งออกไดเ้ ป็น 4 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. ความตอ้ งการบรรทดั ฐาน (Normative need) เป็นความต้องการที่กาหนดโดยยึด มาตราฐานจากผ้เู ชี่ยวชาญ ซงึ่ อาจแตกตา่ งกันไปตามแต่ผเู้ ชีย่ วชาญน้ันๆ 2. ความต้องการที่บคุ คลรู้สกึ (Felt need) หมายถึงความตอ้ งการที่เกิดขนึ้ จากความรู้สึก หรอื จากมุมมองของบุคคลใดบคุ คลหนง่ึ 3. ความต้องการท่ีบุคคลแสดงออก (Expressed need) เป็นความต้องการท่ีเกิดจาก ความรสู้ ึกท่ีกลา่ วถึงในขอ้ 2 และบุคคลน้ันไดส้ ื่อสารให้ผ้อู นื่ รับทราบวา่ ต้องการได้รับการแก้ปัญหา 4. ความต้องการเชิงเปรียบเทียบ (Comparative need) หมายถึงความต้องการท่ีเกิดกับ เฉพาะกล่มุ โดยเปรยี บเทียบกบั ผูอ้ นื่ ที่ไมม่ คี วามต้องการนั้นๆ นอกจากนี้ แมคคิลลิป ( Makillip, 1977 อ้างถึงใน เยาวลักษณ์ รอดงาม, 2542, หน้า45-46) ได้จาแนกความต้องการตามความคาดหวังไว้ 3 ประเภท ซ่ึงสอดคล้องกับการแบ่งประเภทความต้องการทาง สงั คม 4 ประเภทตามทแ่ี บรดชอว์ได้กล่าวไว้ดังน้ี 1. ความตอ้ งการบรรทัดฐาน (Normative need) เปน็ ความต้องการในรูปของความแตกต่าง ระหว่างสภาพที่เป็นจริงกับสภาพท่ีควรจะเป็น โดยกาหนดมาตรฐานที่ชัดเจนมาตรฐานเหล่านี้อาจถูกกาหนด โดยผู้ เชี่ยวชาญ ดังนั้นในการสารวจความต้องการจึงเป็นการเปรียบเทียบสภาพที่เป็นจริงนั้นกับมาตรฐานที่ กาหนด 2. ความต้องการท่ีสื่อแสดงออก (Expressed need) เป็นความต้องการในรูปของความ แตกตา่ งระหวา่ งสภาพท่ีเป็นจริงกับสภาพท่ีควรจะเป็น เช่นเดียวกับความต้องการบรรทัดฐาน แต่สภาพที่ควร จะเป็น จะกาหนดจากความคาดหวังของกลมุ่ เป้าหมายทีร่ บั บริการ ดังน้ันการสารวจความต้องการ จาเป็นต้อง เปรียบเทียบสภาพท่เี ปน็ จริงน้ันๆกบั ความคาดหวงั ของกลมุ่ เปา้ หมายท่ีไดร้ บั บริการ 3. ความต้องการเชิงเปรียบเทียบ หรือความต้องการสัมพัทธ์ ( Comparative needs or Relative needs) เป็นความต้องการตามความรับรู้หรือความรู้สึกของบุคคล ซ่ึงพิจารณาได้จากการประสบ ปัญหาของกลุ่มเปา้ หมาย เปน็ ความต้องการที่มีประโยชน์อย่างย่ิงสาหรับการวางแผน หรือการพัฒนาโครงการ ดา้ นการใหบ้ ริการแกส่ ังคม 10
ส่วน สตัฟเฟิลบีมและคณะ (Stufflebeam,D.L.et al, 1985 อ้างถึงใน เยาวลักษณ์ รอดงาม, 2544, หน้า 45) มแี นวคดิ เร่อื งประเภทของความต้องการแบ่งเป็น 4 ทัศนะคือ 1. ทศั นะเก่ยี วกับการวิเคราะห์ความไม่สอดคล้อง (The discrepancy view) ตามทัศนะนี้ คือความไม่สอดคล้องกับสภาพทเ่ี ป็นจรงิ กับสภาพท่ีควรจะเปน็ 2. ทัศนะเชิงประชาธปิ ไตย (The democratic view) จะเน้นการศกึ ษาความต้องการตาม การรบั รูข้ องกลุ่มบุคคลท่ีอา้ งอิงที่สาคัญๆขององค์กรนัน้ ๆ และถือเอาความต้องการของบคุ คลเหลา่ น้ีเป็นความ ต้องการขององค์กร 3. ทศั นะเชิงวเิ คราะห์ (The analytic view) จะเน้นการรวบรวมปัญหาอยา่ งเปน็ ระบบและ แกป้ ญั หาอย่างมีแบบแผน 4. ทัศนะเชิงวินิจวิเคราะห์ (The diagnostic view) จะมองความต้องการจาเป็นในลักษณะ ความจา เปน็ ขนั้ พ้ืนฐาน ซงึ่ ถ้าขาดหายไปหรอื ไมไ่ ด้รบั การตอบสนองแล้วจะเกิดความเสียหายหรืออนั ตราย คมู ส์และอาเมท (Coombs and Ahmed, 1974 อ้างถงึ ใน จิรชน ตงั้ เจริญสมทุ ร, 2546, หนา้ 19 ) ได้กลา่ วถงึ ความต้องการดา้ นการศึกษาของบคุ คลไวด้ ังนี้ 1. ความต้องการในดา้ นการศึกษาขน้ั พื้นฐานและเร่ืองท่วั ๆไป เชน่ การเรยี นรหู้ นังสอื การอา่ น ออกเขียนได้ คดิ เลขเป็น มีความเขา้ ใจอยา่ งง่ายๆ เรื่องของวิทยาศาสตรแ์ ละภาวะแวดล้อมรอบตัว 2. ความต้องการในการศึกษาเพ่ือปรับปรุงชีวิตครอบครัวให้ดีข้ึน เช่น ความรู้พ้ืนฐาน ทักษะ และทัศนคตพิ นื้ ฐาน ซึง่ จะเป็นประโยชนต์ ่อการปรบั ปรุงคณุ ภาพชีวิตใหด้ ชี นึ้ 3. ความต้องการในการศึกษาเพ่ือปรับปรุงชุมชนที่ตนอยู่อาศัย เช่น ความรู้เก่ียวกับสถาบัน การปกครองของท้องถน่ิ และประเทศ 4. ความต้องการในการศึกษาดา้ นอาชพี เช่น ความรู้และทักษะเฉพาะซ่ึงเกี่ยวข้องกับกิจกรรม ทางเศรฐกจิ และท่เี ปน็ ประโยชน์ในการดารงชีพ เป็นตน้ ซสี สัน (Scisson, 1982 อา้ งถงึ ในรัชดา คงคาหลวง, 2550, หนา้ 42) ให้คานิยามความต้องการ ทางการศึกษาว่า ความต้องการทางการศึกษาเป็นผลของความสัมพันธ์ร่วมกันระหว่างองค์ประกอบความ ต้องการ (Need Component) 3 องค์ประกอบคือ 1. สมรรถภาพ (Competence) เปน็ ความสามารถของบุคคลในการกระทาสง่ิ ใดส่ิงหน่งึ 11
2. ความเกี่ยวข้อง (Relevance) เป็นความสามารถในการกระทาส่ิงใดส่ิงหน่ึงที่คิดว่าน่าจะ เหมาะสมเพ่อื การปฏิบัตหิ น้าทใ่ี หเ้ กิดประสิทธผิ ล 3. แรงจูงใจ (Motivation) เป็นความต้ังใจของบุคคลที่จะปรับปรุงความสามารถในการ กระทาส่ิงใดส่งิ หนึ่งของตนเอง เพอื่ การปฏิบัตหิ น้าทใ่ี ห้เกิดประสิทธิผล จากการศึกษาแนวคิดของนักวิชาการเก่ียวกับ“ความต้องการ” ที่กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัย สามารถสรุปแนวคิด เร่ืองความต้องการได้เป็น 3 แนวทางหลักคือ ความต้องการที่มีมุมมองจากบรรทัดฐานท่ี ควรจะเป็น ความต้องการที่มาจากความรู้สึกของตัวบุคคลที่เป็นกลุ่มเป้าหมายไม่ว่ากลุ่มเป้าหมายนั้นจะ แสดงออกถึงความต้องการหรือไม่ก็ตาม และความต้องการเพ่ือให้เกิดการปรับปรุงพัฒนาเปลี่ยนแปลงท้ังใน องคก์ รหรอื ตวั บุคคล ส่วนแนวคิดด้านการศึกษาความต้องการนั้น โนวส์ (Knowles, 1980, อ้างถึงใน รัชดา คงคา หลวง, 2550, หน้า 43) ได้เสนอแนะแหล่งข้อมูลและวิธีการรวบรวมข้อมูลความต้องการทางการศึกษาเพ่ือไป ประกอบการประเมินความต้องการ (Needs assessment) ตามคานิยามความต้องการซ่ึงได้เสนอไว้ว่า แหลง่ ขอ้ มูลความต้องการทางการศึกษาได้แก่ 1. ตวั บุคคลที่เป็นเป้าหมายของการศกึ ษา 2. บคุ คลอน่ื ๆที่มีส่วนเก่ยี วข้องกับบุคคลเป้าหมาย 3. ส่อื มวลชนตา่ งๆในสังคมบุคคลเปา้ หมาย 4. องค์กรทางสังคมและชมุ ชนของบุคคลเป้าหมาย ในการวิจัยเรื่อง ความต้องการของนักเรียน ผู้ปกครองและครูท่ีมีต่อการจัดการสอนภาษา ญี่ปุ่นในสถานศึกษาน้ี ผู้วิจัยได้นาแนวคิดของ แบรดชอว์ (Bradshaw,1972 ) ประเภทความต้องการที่บุคคล รูส้ ึก (Felt need) มาเปน็ แนวทางในการนิยามความต้องการ ดังน้ันความต้องการของนักเรียน ผู้ปกครองและ ครทู ่มี ตี อ่ การจัดการสอนภาษาญ่ีปุ่นในสถานศึกษาจึงหมายถึง ความรู้สึกนึกคิดตามการรับรู้ของแต่ละบุคคลที่ อยากจะให้มีการสอนภาษาญี่ปุ่นในสถานศึกษา และนาแนวคิดด้านการศึกษาความต้องการของ โนวส์ (Knowles, 1980 ) เรื่องแหล่งข้อมูลความต้องการทางการศึกษามาเป็นแนวทางในการเก็บข้อมูล ซ่ึงใน งานวิจัยน้ีกาหนดให้แหล่งข้อมูลได้แก่ ตัวบุคคลที่เป็นเป้าหมายของการศึกษา คือนักเรียน และบุคคลอื่นๆที่มี สว่ นเกย่ี วข้องกับบุคคลเป้าหมาย คอื ผู้ปกครอง และครู 12
4. หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 การจัดการสอนภาษาต่างประเทศในระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐานเป็นส่วนหนึ่งท่ีกาหนดไว้ใน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ดังนั้นในท่ีน้ีจึงขอนาเสนอประเด็นท่ีสาคัญที่ เก่ียวข้องกบั การสอนภาษาต่างประเทศดงั นี้ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ศธ., 2551, หน้า8) เป็นหลักสูตร ท่ีมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นมนุษย์ท่ีมีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม ในด้านความรู้มุ่งเน้นให้มีท้ัง ความรู้และทกั ษะพ้นื ฐาน รวมทง้ั เจตคตทิ ่ีจาเปน็ ตอ่ การศกึ ษา ต่อการประกอบอาชีพ และการศึกษาตลอดชีวิต เพ่อื พฒั นาผู้เรยี นให้เกดิ ความสมดลุ หลักสูตรจงึ ยดึ หลักพัฒนาการทางสมองและพหุปัญญา กาหนดให้ผู้เรียน เรยี นรู้ 8 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ ดงั นี้ 1. ภาษาไทย 2. คณติ ศาสตร์ 3. วิทยาศาสตร์ 4. สงั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม 5. สุขศึกษาและพลศกึ ษา 6. ศิลปะ 7. การงานอาชีพและเทคโนโลยี 8. ภาษาตา่ งประเทศ ในแต่ละกลมุ่ สาระการเรียนรู้ ได้กาหนดสาระการเรียนรู้และมาตรฐานการเรยี นรู้เป็น เป้าหมายสาคัญของการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศได้กาหนดสาระการ เรียนรู้ 4 สาระ และมาตรฐานการเรยี นรู้ 8 มาตรฐาน ดังนี้ 4.1 สาระการเรียนรู้กลุ่มสาระภาษาต่างประเทศ ภาษาอังกฤษเปน็ สาระการเรียนร้พู น้ื ฐานซ่งึ กาหนดให้เรยี นตลอดหลกั สูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ส่วนภาษาต่างประเทศอ่ืน เช่น ภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน จีน ญ่ีปุ่น อาหรับ บาลี และภาษากลุ่มประเทศเพื่อน บ้าน หรือภาษาอ่ืนๆ ให้อยู่ในดุลยพินิจของสถานศึกษาที่จะจัดทารายวิชาและจัดการเรียนรู้ตามความ เหมาะสม 13
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ มุ่งหวังให้ผู้เรียนมีเจตคติท่ีดีต่อภาษาต่างประเทศ สามารถใช้ภาษาต่างประเทศสื่อสารในสถานการณ์ต่าง ๆ แสวงหาความรู้ ประกอบอาชีพ และศึกษาต่อใน ระดับที่สูงข้ึน รวมทั้งมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องราวและวัฒนธรรมอันหลากหลายของประชาคมโลก และ สามารถถ่ายทอดความคดิ และวัฒนธรรมไทยไปยังสังคมโลกได้อย่างสร้างสรรค์ ประกอบด้วยสาระสาคัญ ดังนี้ (ศธ. , 2551, หนา้ 193-194) 1. ภาษาเพ่ือการสื่อสาร ได้แก่ การใช้ภาษาต่างประเทศในการฟัง-พูด-อ่าน-เขียน แลกเปล่ียนข้อมูล ข่าวสาร แสดงความรู้สึกและความคิดเห็น ตีความ นาเสนอข้อมูล ความคิดรวบยอดและ ความคดิ เห็นในเรือ่ งตา่ งๆ และสรา้ งความสัมพนั ธร์ ะหว่างบุคคลอย่างเหมาะสม 2. ภาษาและวัฒนธรรม ได้แก่ การใช้ภาษาต่างประเทศตามวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา ความสัมพันธ์ ความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษากับวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา ภาษาและ วฒั นธรรมของเจ้าของภาษากบั วัฒนธรรมไทย และนาไปใชอ้ ย่างเหมาะสม 3. ภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ได้แก่ การใช้ภาษาต่างประเทศในการ เช่อื มโยงความรกู้ บั กลมุ่ สาระการเรยี นรอู้ น่ื เป็นพ้นื ฐานในการพฒั นา แสวงหาความรู้ และเปิดโลกทัศนข์ องตน 4. ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก ได้แก่ การใช้ภาษาต่างประเทศในสถานการณ์ ต่างๆ ท้ังในห้องเรียนและนอกห้องเรียน ชุมชน และสังคมโลก เป็นเครื่องมือพื้นฐานในการศึกษาต่อประกอบ อาชีพ และแลกเปลี่ยนเรียนรูก้ บั สังคมโลก 4.2 มาตรฐานการเรยี นรู้กลุม่ สาระภาษาต่างประเทศ มาตรฐานการเรียนรู้ระบุสิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้ ปฏิบัติได้ มีคุณธรรมจริยธรรม และค่านิยมที่พึง ประสงคเ์ ม่ือจบการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน สะทอ้ นว่าต้องการอะไร จะสอนอย่างไร และประเมินอย่างไร รวมทั้งเป็น เคร่อื งมอื ในการตรวจสอบเพ่ือการประกันคุณภาพการศึกษา มาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระภาษาต่างประเทศ กาหนดโดยยึดสาระการเรียนรู้ 4 สาระท่ีได้กล่าวข้างต้น มีทั้งหมด 8 มาตราฐาน (ศธ., 2551, หน้า 200-211) ได้แก่ สาระที่ 1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเร่ืองที่ฟังและอ่านจากส่ือประเภทต่างๆและแสดงความ คดิ เหน็ อย่างมีเหตุผล 14
มาตรฐาน ต 1.2 มีทักษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แสดง ความร้สู กึ และความคิดเห็นอย่างมีประสิทธิภาพ มาตรฐาน ต 1.3 นาเสนอข้อมลู ข่าวสาร ความคดิ รวบยอด และความคิดเหน็ ในเรื่องต่างๆโดย การพูดและการเขียน สาระที่ 2 ภาษาและวัฒนธรรม มาตรฐาน ต 2.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา และ นาไปใช้ไดอ้ ยา่ งเหมาะสมกับกาลเทศะ มาตรฐาน ต 2.2 เข้าใจความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษาและวัฒนธรรมของ เจ้าของภาษากบั ภาษาและวัฒนธรรมไทย และนามาใชอ้ ยา่ งถูกตอ้ งและเหมาะสม สาระที่ 3 ภาษากบั ความสมั พันธ์กบั กลุ่มสาระการเรียนรูอ้ น่ื มาตรฐาน ต 3.1 ใชภ้ าษาตา่ งประเทศในการเชื่อมโยงความรู้กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น และ เป็นพนื้ ฐานในการพัฒนาแสวงหาความรแู้ ละเปิดโลกทัศนข์ องตน สาระท่ี 4 ภาษากบั ความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก มาตรฐาน ต 4.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในสถานการณ์ตา่ งๆท้งั ในสถานศกึ ษา ชมุ ชน และ สังคม มาตรฐาน ต 4.2 ใชภ้ าษาต่างประเทศเปน็ เคร่ืองมือพื้นฐานในการศึกษาต่อ การประกอบ อาชพี และการแลกเปลยี่ นเรยี นรกู้ บั สงั คมโลก 4.3 การจัดเวลาเรียน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน ไดก้ าหนดกรอบโครงสรา้ งเวลาเรียนขั้นต่าสาหรับกลุ่ม สาระการเรยี นรู้ 8 กลุ่ม และกิจกรรมพัฒนาผูเ้ รียน ซงึ่ สถานศกึ ษาสามารถเพิม่ เตมิ ไดต้ ามความพร้อมและ จุดเนน้ โดยสามารถปรับให้เหมาะสมตามบริบทของสถานศึกษาและสภาพของผู้เรียน ในระดับช้ันมัธยมศึกษา ตอนตน้ (ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 1 – 3) ให้จดั เวลาเรียนเปน็ รายภาค มีเวลาเรียนวนั ละไม่เกิน 6 ช่ัวโมง คิดน้าหนัก ของรายวิชาท่ีเรียนเป็นหน่วยกติ ใช้เกณฑ์ 40 ชัว่ โมงตอ่ ภาคเรยี นมีค่าน้าหนกั วชิ าเท่ากับ 1 หน่วยกิต กาหนดกรอบโครงสร้างเวลาเรียนสาหรับกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศระดับช้ันละ 120 ช่ัวโมง จานวน 3 หน่วยกติ (ศธ., 2551, หน้า 20-21) 15
5. ธรุ กจิ ญปี่ นุ่ ในประเทศไทย ปัจจุบันผู้ลงทุนธุรกิจจากประเทศญ่ีปุ่นมีอัตราส่วนสูงเป็นอันดับหนึ่งจากบรรดานักลงทุนชาว ต่างประเทศท้ังหมด เห็นได้จากข้อมูลคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ ต้ังแต่เดือนมีนาคม 2543 จนถงึ เดอื นพฤษภาคม 2554 มีท้ังหมด 2,714 ราย ในจานวนนี้ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีจานวนผู้ลงทุนสูง ทส่ี ดุ ถงึ 978 ราย คิดเปน็ ร้อยละ 36 ของจานวนผู้ได้รบั อนญุ าตทั้งหมด (กรมพฒั นาธุรกิจการค้า, 2554 อ้างถึง ใน นรีนชุ ดารงชยั , ม.ป.ป. , หน้า10) ในปี 2555 มีบริษัทญ่ีปุ่นท่ีเป็นสมาชิกของหอการค้าญ่ีปุ่นประจาประเทศไทยอยู่ 1371 แห่ง (Japanese Chamber of Commerce, 2012) ประเภทธุรกิจท่ีมีสัดส่วนสูงเป็นอันดับหนึ่งได้แก่ อตุ สาหกรรมการผลิต คิดเปน็ ร้อยละ 47.4 รองลงมาไดแ้ ก่ ธรุ กจิ การค้าระหว่างประเทศ (ร้อยละ 18.8 ) ธุรกิจ ขนส่ง (ร้อยละ 5.8) บริษัทก่อสร้าง (ร้อยละ 5.3) ธุรกิจประกันภัย (ร้อยละ 3.9) โรงแรมและร้านอาหาร การค้าปลีก (รอ้ ยละ 3.2) เป็นตน้ บริษทั ญี่ปนุ่ ส่วนใหญจ่ ะตั้งอยู่หนาแน่นในพื้นท่ีตอนกลางของกรุงเทพมหานคร และบางส่วนใน ตอนเหนอื และตะวันออกเฉียงเหนอื ของกรงุ เทพมหานคร ในส่วนท่ีอยู่นอกเขตกรงุ เทพมหานคร บริษัทญ่ีปุ่นจะ รวมตัวอยู่บริเวณภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออกตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือบางจังหวัด ใน ภาคเหนือมีอยู่เพียงแค่จังหวัดเดียวคือจังหวัดลาพูน ส่วนภาคอื่นๆ ในประเทศไทยน้ัน ยังไม่มีข้อมูลการ ลงทะเบียนกบั หอการค้าญี่ปนุ่ แต่อยา่ งใดดงั แสดงในภาพท่ี 4 16
ภาพที่ 4 แสดงความหนาแน่นของธุรกิจญป่ี ่ ุนจาแนกตามพ้ืนท่ีประกอบการในประเทศไทย (ท่ีมา: นรีนชุ ดารงชยั , ม.ป.ป., หน้า 9) ในภาพท่ี 4 จะเห็นว่าจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นพื้นท่ีหนึ่งที่มีธุรกิจญ่ีปุ่นรวมตัวอยู่อย่าง หนาแน่น สอดคล้องกับข้อมูลแผนพัฒนาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. 2554 – 2556 ท่ีระบุไว้ว่า จังหวัด พระนครศรีอยุธยาเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพในการพัฒนาค่อนข้างสูง โดยในปี 2550 ผลผลิตมวลรวมของ จังหวัด (GPP) มีมูลค่า 328,846 ล้านบาท สูงเป็นอันดับท่ี 3 ของประเทศ รายได้ส่วนใหญ่อยู่ในสาขา อตุ สาหกรรม การคา้ และค้าปลกี (จังหวัดพระนครศรีอยุธยา, 2552, หนา้ 2) 17
6. งานวิจัยและการสารวจเก่ียวกบั การเรียนการสอนภาษาญี่ปุน่ ในประเทศไทย 6.1 จานวนสถานศึกษาและผ้เู รียนภาษาญป่ี ่นุ ในประเทศไทย จากการสารวจสภาพการเรียนการสอนภาษาญ่ีปุ่นในประเทศไทย ของเจแปนฟาวน์เดชั่น กรุงเทพ ในปี 2555 พบว่ามีสถาบันการศึกษาท่ีสอนภาษาญี่ปุ่นรวมท้ังหมด 465 แห่ง มีผู้เรียนจานวน 129,616 คน เพ่ิมขึ้นเกือบเท่าตัวเม่ือเปรียบเทียบกับผลจากการสารวจในปี 2552 ท่ีมีผู้เรียนจานวน 78,802 คน นับเป็นลาดับที่ 7 ของโลก ในจานวนน้ีมีผู้เรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษามากถึง 88,325 คน เป็นสถิติที่ เพิ่มข้ึน ตรงข้ามกับผู้เรียนในระดับอุดมศึกษาที่มีจานวนเพียง 19,908 คนและเป็นสถิติที่ลดลง (Japan Foundation, 2556, หน้า 1-3) ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่าการสอนภาษาญี่ปุ่นในระดับมัธยมศึกษามีบทบาท สาคัญต่อการเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นในประเทศไทย การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการสอนภาษาญ่ีปุ่นในระดับช้ัน มธั ยมศกึ ษาจงึ มคี วามสาคัญ 6.2 การสอนภาษาญี่ป่นุ ในสถานศกึ ษาในประเทศไทย มิฮะระ ริวชิ (Mihara Ryushi), นพวรรณ บุญสมและ ประภา แสงทองสุข (2541, หน้า 153-157) สารวจเกี่ยวกับคอร์สภาษาญ่ีปุ่นท่ีเปิดสอนในโรงเรียนระดับมัธยมปลายในเดือนตุลาคม 2540 จานวน 64 แห่ง แบ่งตามภาคเป็น ภาคกลาง 45 แห่ง ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 7 แห่ง ภาค ตะวันออก 6 แห่ง และภาคตะวันตก 1 แห่ง ผลการสารวจด้านเหตุผลในการเปิดสอนภาษาญ่ีปุ่นท่ีมีจานวน ผู้ตอบสูงสุดได้แก่ เปิดสอนตามนโยบายของผู้บริหาร 37 แห่ง รองลงมาได้แก่การเปิดสอนตามความต้องการ ของนักเรียน 31 แห่ง เปิดสอนตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 14 แห่ง และเปิดสอนตามความ ต้องการของผู้ปกครอง 8 แห่ง นอกจากนี้ยังมีเหตุผลอ่ืนๆ เช่น มีครูได้รับการอบรมภาษาญี่ปุ่น มีบริษัทญี่ปุ่น รอบๆโรงเรียนเปน็ จานวนมาก นักเรียนคิดจะเข้าทางานท่ีบริษัทญี่ปุ่นเม่ือจบการ ศึกษา และต้องการมีความรู้ ภาษาญป่ี ุ่นเพอื่ ใชส้ อบเข้ามหาวิทยาลัย เปน็ ตน้ ดา้ นปญั หาในการสอนที่พบสูงสุดได้แก่ สื่ออุปกรณ์การสอนไม่ เพียงพอ ลาดับรองลงมาได้แก่ ตาราเรียนราคาแพง ขาดแคลนครู จานวนคาบสอนไม่เพียงพอต่อการสอน นักเรยี นไมส่ นใจเรียน เป็นต้นตามลาดบั ทัศนยี ์ เมธาพิสิฐ, น้าทพิ ย์ เมธเศรษฐ, สมเกียรติ เชวงกิจวณิช และ สุณีย์รัตน์ เนียรเจริญสุข (2547, หน้า 223-233 ) สารวจความต้องการของนกั เรยี นมธั ยมศกึ ษาตอนปลายที่เรียนภาษาญี่ปุ่น สัปดาห์ละ 1-4 คาบในโรงเรียนมัธยมศึกษาท่ัวประเทศ จานวน 68 แห่ง สารวจในเดือนมิถุนายน 2546 ผลการสารวจ 18
ประเด็นเรอ่ื งเหตผุ ลทเี่ ลอื กเรียนภาษาญป่ี นุ่ พบวา่ เหตุผลท่ีมาจากความต้องการของผู้เรียนจะอยู่ในลาดับต้นๆ ได้แก่ เลือกเรียนเพราะชอบภาษาญ่ีปุ่นร้อยละ 74.43 ลาดับรองลงมาได้แก่ สนใจวัฒนธรรมญี่ปุ่น ร้อยละ 69.28 ต้องการใช้ประกอบอาชีพ ร้อยละ 39.67 และต้องการศึกษาต่อท่ีประเทศญี่ปุ่น ร้อยละ 22.76 ส่วน เหตุผลที่ไม่เกิดจากความต้องการของผู้เรียนเช่น เพราะเพื่อนชักชวน ผู้ปกครองแนะนาให้เรียน มีญาติเรียน จะอย่ใู นลาดบั ตา่ ประมาณ รอ้ ยละ 10 ผลการสารวจยังชี้ว่าหวั ขอ้ ทีน่ กั เรยี นสนใจเกีย่ วกับญป่ี ่นุ มากทีส่ ุด ได้แก่ ภาษาและวัฒนธรรม ญี่ปุ่น ร้อยละ72.16 รองลงมาได้แก่สนใจคนญี่ปุ่นและสังคมญ่ีปุ่น ร้อยละ 63.99 เทคโนโลยีของญี่ปุ่น ร้อยละ 56.78 การต์ นู และเกม ร้อยละ 53.59 ในประเด็นเหลา่ น้นี ักเรียนในเขตกรงุ เทพและปริมณฑลกับในต่างจังหวัด ไม่มีความแตกต่างกันมากนัก คือหัวข้อภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่น คนญ่ีปุ่นและสังคมญ่ีปุ่น สนใจเป็นลาดับท่ี หนึ่งและสองเช่นเดียวกัน แต่นักเรียนในเขตกรุงเทพและปริมณฑลจะสนใจการ์ตูนและเกมในลาดับที่สูงกว่า นักเรียนในต่างจงั หวดั สุพรพันธ์ จิตรบรรเทา (2553, หน้า 21-30 ) ใช้กรอบแนวคิดของ อีเลน เค โฮวิตซ์ (Elaine K. Horwitz ) เรื่องความเช่ือ2 (Belief) ศึกษาวิเคราะห์ความเชื่อในการเรียนรู้ภาษาญ่ีปุ่นของนักเรียน ม.6 ท่ี เรยี นแผนการเรียนภาษาญปี่ ุน่ ในเขตกรุงเทพมหานคร จานวน 505 คน และความเชอ่ื ของครูผูส้ อน จานวน 30 คน ผลการวิจัยพบว่านักเรียนมีความเช่ือด้านบวกที่ส่งผลดีต่อการเรียนรู้ค่อนข้างมาก ความเช่ือด้านแรงจูงใจ ในการเรียนภาษาญี่ปุ่นสูงที่สุด คือ อยากพูดภาษาญี่ปุ่นเก่ง และรองลงมาได้แก่ หากพูดภาษาญี่ปุ่นเก่งจะมี โอกาสทางานดีๆ การเรียนรู้เพลง ละคร การ์ตูนญ่ีปุ่นจะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนภาษาญี่ปุ่น ตามลาดับ ความเช่ือด้านกลยุทธ์การเรียนและการส่ือสารที่อยู่ในลาดับสูงๆได้แก่ การพูดและฝึกซ้าๆ การออกเสียงที่ ถกู ต้อง การแกไ้ ขข้อผิดพลาดในระยะเริ่มเรยี น ด้านครูผ้สู อนพบว่ามีความเชื่อดา้ นบวกท่ีคลา้ ยคลงึ กับนกั เรยี น ในส่วนทแ่ี ตกต่างกนั ได้แก่ บทบาทที่แตกต่างกนั เช่นความเชอ่ื ทวี่ ่าการเรียนไม่ไดด้ มี ีสาเหตจุ ากครู และการเรียนกวดวิชาเปน็ สิง่ จาเปน็ ดังนั้นครูอาจปรบั เทคนิคการสอน การทากจิ กรรมในห้องใหน้ ่าสนใจ และทาความเขา้ ใจกบั นักเรยี นในด้าน สาระสาคัญของหลักสตู ร รวมทั้งคานึงถงึ ความตอ้ งการในการนาไปใช้สอบเข้ามหาวิทยาลยั ของนักเรียนด้วย 2 ความเชื่อ (Belief) หมายถงึ ความคดิ หรือความรูส้ ึกในใจหรอื ความเช่อื มนั่ ทีผ่ ูเ้ รียนหรอื ผู้สอนมีต่อวธิ กี ารเรียนภาษา การเรยี นภาษาจะบรรลุ วัตถปุ ระสงค์ได้ถา้ ผู้สอนมวี ธิ กี ารสอนทสี่ อดคลอ้ งกับความเชอ่ื ของผู้เรยี น 19
โยชิกะวะ (Yoshikawa) (2011, p.75-84) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่เพิ่มแรงจูงใจ ในการเรียนภาษาญ่ีปุ่นกับพฤติกรรมการเรียนของนักเรียนระดับมัธยมปลาย โดยการสอบถามนักเรียนท่ีเรียน ภาษาญ่ีปุ่นตามแผนการเรียนสัปดาห์ละ 4 คาบ จากนักเรียนช้ัน ม.4 จานวน 910 คน ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยท่ีเพิ่มแรงจูงใจในการเรียนภาษาญี่ปุ่นมาจาก ปัจจัยภายในท่ีเกิดจากตัวผู้เรียน ได้แก่ความสัมพันธ์ ระหวา่ งครกู ับนักเรยี น นักเรยี นกบั นกั เรยี น ความรสู้ ึกว่าตนเองมคี วามสามารถ และปัจจัยด้านเน้ือหาสาระการ สอนท่ีทาให้รู้สึกว่าสัมผัสความเป็นญ่ีปุ่นได้ พฤติกรรมการเรียนท่ีมีผลผลต่อการเพ่ิมแรงจูงใจในการเรียน ภาษาญ่ีปุ่น เช่น เมื่อมีการประกวดสุนทรพจน์ภาษาญี่ปุ่น และเม่ือมีคนญี่ปุ่นมาร่วมในกิจกรรมต่างๆ ผล การศึกษานี้ช้ีให้เห็นว่าการสอนโดย คานึงถึง ระดับการเรียนรู้และควา มต้องการของผู้เรียนแล ะการสร้า ง เครอื ขา่ ยกบั ชาวญ่ปี นุ่ มีความสาคญั ต่อผูเ้ รียน นภสินธ์ุ แผลงศร (2006, หน้า65-74) สรุปแนวคิดเก่ียวกับการเรียนรู้ภาษาและวิธีสอน ภาษาต่างประเทศท่ีได้มีผู้นามาประยุกต์ใช้ในการสอนภาษาญี่ปุ่นในปัจจุบันไว้ 7 วิธีคือ สอนแบบอธิบาย ไวยากรณ์และแปล วิธีสอนตรง สอนแบบฟัง-พูด สอนแบบธรรมชาติ สอนแบบเงียบ สอนแบบชักชวน และ สอนแบบเพื่อการสอื่ สาร นอกจากนไ้ี ด้เสนอแนวทางการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนว่า ไม่เพียงแต่กิจกรรมท่ี เป็นไปตามหลักกระบวนการเรียนรู้ภาษาและวัตถุประสงค์ของบทเรียนมุ่งเน้นการเรียนรู้และการฝึกปฏิบัติใน ห้องเรียนเท่านั้น แต่จะต้องมีกิจกรรมเสริมหลักสูตร เช่นการฟัง การเข้าห้องสมุด การเข้าค่ายภาษา การเข้า ร่วมการประกวดทางภาษา เป็นต้น เพ่อื เสริมสรา้ งความเข้าใจดา้ นสงั คมและวฒั นธรรมควบค่กู นั ไป นรีนุช ดารงชยั (ม.ป.ป., บทคัดยอ่ ) วจิ ัยเกี่ยวกับความคาดหวงั ตอ่ คณุ สมบตั ขิ องบคุ ลากรด้าน ญี่ปุ่นศึกษาตลอดจนความคาดหวังต่อแนวทางการเรียนการสอนด้านญ่ีปุ่นศึกษา เพ่ือนาไปเป็นข้อมูลพ้ืนฐาน ในการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนด้านญี่ปุ่นศึกษา ให้เป็นหลักสูตรท่ีตรงกับความต้องการของทั้งผู้เรียน และผ้ปู ระกอบการชาวญ่ีปุ่น เพอ่ื ผลิตบคุ ลากรที่มีคุณสมบัติและมีคุณภาพตรงกับความต้องการของสังคม โดย ทาการเกบ็ ขอ้ มลู ( ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2553 – กันยายน 2554 ) จากท้ังบัณฑิตที่สาเร็จการศึกษาด้าน ญี่ปุ่นศึกษาจากมหาวทิ ยาลัยต่างๆทั้งสิ้นจานวน 123 คน และผู้ประกอบการชาวญ่ีปุ่นท่ีมีประสบการณ์ในการ ทางานกับพนกั งานชาวไทยท่มี ีความรคู้ วามสามารถด้านภาษาญีป่ ุ่น จานวน 53 คน ผลการวิจัยพบว่า ความจาเป็นในการว่าจ้างบุคลากรที่สาเร็จการศึกษาด้านญี่ปุ่นศึกษายังมี อยมู่ าก แต่หลายองค์กรประสบกับปัญหาการสรรหาบุคลากรด้านญี่ปุ่นศึกษาเพ่ือเข้าทางาน เพราะบุคลากรท่ี มีคุณสมบัติเหมาะสมกับความต้องการยังมีอยู่น้อย ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเน่ืองมาจากความคาดหวังต่อคุณสมบัติของ 20
ผู้สาเร็จการศึกษาด้านญี่ปุ่นศึกษามีความคลาดเคล่ือนระหว่างบัณฑิตและผู้ประกอบการ กล่าวคือ บัณฑิตจะ คาดหวังและให้ความสาคัญกับระดับความสามารถและทักษะทางการใช้ภาษามากท่ีสุด ในขณะท่ี ผู้ประกอบการคาดหวังบุคลากรที่มีความสามารถในการทาความเข้าใจและตัดสินใจ อีกทั้งนาภาษาญี่ปุ่นมาใช้ ในการดาเนินธุรกิจและปฏิบัติจริงได้อย่างถูกต้อง โดยมองว่าทักษะด้านภาษาญ่ีปุ่นโดยรวมเป็นเพียงพ้ืนฐาน อยา่ งหน่งึ ในการทางานเทา่ นนั้ นอกจากนย้ี ังพบว่าทั้งบณั ฑติ และผู้ประกอบการ ตอ้ งการให้มีการเรียนการสอน ที่เน้นการฝึกปฏิบัติ และสามารถนาไปประกอบวิชาชีพได้จริง มากกว่าการเรียนการสอนจากตาราเรียนและ ผสู้ อนเพียงอยา่ งเดยี ว จากการศึกษางานวิจยั เกย่ี วกบั การสอนภาษาญี่ปุ่นในประเทศไทย สรุปเป็นภาพรวมได้เป็น 3 แนวทางคอื ศึกษาเพ่ือหาเหตุผลในการเปิดสอนโปรแกรมภาษาญ่ีปุ่น หรือความต้องการเลือกเรียนภาษาญี่ปุ่น ของนักเรียน แนวทางต่อมาคือศึกษาด้านจิตวิทยาหรือปัจจัยด้านกระบวนการจัดการเรียนรู้ภาษาญ่ีปุ่นใน สถานศึกษาท่ีเปิดสอนภาษาญี่ปุ่น และแนวทางสุดท้ายเป็นการวิจัยเพ่ือหาแนวทางในการจัดการสอนญ่ีปุ่น ศึกษาในระดับอดุ มศึกษาให้ตอบสนองตอ่ ความตอ้ งการทรัพยากรบคุ คลภาคธุรกจิ ญีป่ ุน่ โดยสรุปจะเห็นได้ว่างานวิจัยเหล่าน้ีได้มุ่งเน้นไปที่สถานศึกษาที่มีการเปิดสอนภาษาญี่ปุ่นอยู่ แล้ว เนน้ การวิจยั เกบ็ รวบรวมข้อมูลในภาพรวมมากกวา่ การวิจัยเฉพาะพ้ืนท่ี หรือไม่ก็เป็นการศึกษาเพ่ือมุ่งจัด การศึกษาในระดับอุดมศึกษาเพ่ือผลิตบัณฑิต ดังนั้นการวิจัยเพ่ือศึกษาความต้องการของผู้เรียน ผู้สอน ผู้ปกครองซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ก่อนที่จะมีการเปิดสอนภาษาญ่ีปุ่นเป็นวิชาภาษาต่างประเทศในระดับ การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน และทาการสารวจในสถานศึกษาระดับท้องถ่ินเฉพาะพื้นที่จึงเป็นอีกแนวทางหน่ึงที่ควร ศึกษา 21
บทท่ี3 วิธีดำเนนิ กำรวิจยั การศึกษาความต้องการของนักเรียน ผู้ปกครอง และครู ที่มีต่อการจัดการสอนภาษาญ่ีปุ่นใน สถานศกึ ษาตาบลสามบณั ฑิต อาเภออทุ ัย จังหวดั พระนครศรีอยุธยา มวี ัตถุประสงคเ์ พ่ือศึกษาและเปรียบเทียบ ความตอ้ งการของนกั เรยี น ผปู้ กครอง และครูท่ีมีตอ่ การจัดการสอนภาษาญป่ี ุ่นในสถานศึกษาตาบลสามบัณฑิต อาเภออทุ ัย จังหวัดพระนครศรอี ยธุ ยา มีวธิ กี ารดาเนนิ การวิจัยแบง่ เปน็ 4 หัวข้อดงั นี้ 1. ประชากรและกลุม่ ตวั อยา่ ง 2. เครอ่ื งมือทีใ่ ช้ในการวิจัย 3. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 4. การวิเคราะหข์ ้อมูล 1.ประชำกรและกลุ่มตวั อยำ่ ง ประชากรทีใ่ ช้ในการศกึ ษาครง้ั นี้ มจี านวน 3 กลุม่ ประกอบดว้ ย 1. นักเรียนที่ศึกษาระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 มัธยมศึกษาปีท่ี 2 และ มัธยมศึกษาปีท่ี 3 ใน โรงเรียนวดั ดอนพุดซา ตาบลสามบัณฑิต โรงเรียนวัดพรานนก ตาบลโพธ์ิสาวหาญ และโรงเรียนวัดหนองไม้ซุง ตาบลหนองไม้ซุง อาเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา รวมจานวนประชากรที่เป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา ตอนตน้ 120 คน ในการวจิ ยั ครง้ั น้ไี มม่ กี ารสุ่มตัวอย่าง เนอ่ื งจากประชากรมขี นาดเล็ก สาเหตุที่ผู้วิจัยเลือกประชากรเป็นนักเรียนระดับมัธยศึกษาตอนต้น มีเหตุผล 2 ประการ กล่าวคือ ประการแรก ผู้วิจัยอ้างอิงจากผลการสารวจสภาพการเรียนการสอนภาษาญี่ปุ่นในประเทศไทยของ เจแปนฟาวน์เดชั่น กรุงเทพ ในปี 2555 มีจานวนผู้เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษาจานวนสูง ทีส่ ดุ คือ 88,325 คน (Japan Foundation, 2556, หน้า 1-3) ซึ่งเป็นประชากรท่ีมากกว่ากลุ่มประชากรอ่ืนๆ ดังนั้นระดับมัธยมศึกษา จึงถือว่าเป็นระดับช้ันเรียนที่โรงเรียนส่วนใหญ่พิจารณาว่าเหมาะสมที่จะจัดการสอน ภาษาญปี่ ่นุ การวิจยั คร้งั นจี้ งึ เลอื กประชากรใหส้ อดคลอ้ งกบั ผลการสารวจดงั กลา่ ว ประการที่สอง สถานศึกษาในการวิจัยครั้งนี้เป็นโรงเรียนขยายโอกาสท่ีจัดการศึกษาสูงสุดใน ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น ประกอบกับข้อมูลจากแผนพัฒนาตาบลสามปี (2556-2558) องค์การบริหารตาบล 22
สามบัณฑิต ระบุไว้ว่าประชากรส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับมัธยมต้น (อบต.สามบัณฑิต, 2556, หน้า 6) ต่อจากน้ันเข้าสู่ภาคแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรม ดังน้ันการสารวจความต้องการให้มีการจัดการสอน ภาษาญีป่ นุ่ ในระดับมัธยมศึกษาตอนตน้ จึงเปน็ การให้ความสาคัญต่อการจดั การศึกษาก่อนจบการศึกษา ขอบเขตการวจิ ยั ด้านสถานศกึ ษาน้นั ตามท่ีกล่าวไว้ในบทท่ี 1 ว่าถึงแม้การวิจยั ครั้งนี้จะเป็นการ วิจัยที่มีพ้ืนท่ีตาบลสามบัณฑิตเป็นเป้าหมาย แต่เน่ืองจากประชากรที่มีคุณสมบัติสอดคล้องกับเป้าหมายพ้ืนที่ ของการวิจัยคือศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นนั้น มีเพียง 1 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนวัดดอนพุดซา ซ่ึง ในโรงเรียนน้มี ปี ระชากรกลมุ่ ตวั อย่างจานวนเพียง 32 คน ทาให้ขนาดประชากรของการวิจัยมีขนาดเล็ก ดังน้ัน ผู้วิจัยจึงได้กาหนดขอบเขตของสถานศึกษาเพ่ิมเติมอีก 2 โรงเรียนที่ไม่ได้ต้ังอยู่ในตาบลสามบัณฑิตตามการ แบ่งส่วนราชการ แต่มีพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ติดต่อกับตาบลสามบัณฑิตทางทิศตะวันออก(อบต.สามบัณฑิต, 2556, หน้า 4 ) จึงอนุโลมได้ว่ามีเงื่อนไขในด้านท่ีตั้งเหมือนกัน และเป็นโรงเรียนขยายโอกาสท่ีอยู่ในกลุ่ม เดียวกบั โรงเรยี นวดั ดอนพดุ ซา มสี ภาพแวดลอ้ มทางการศกึ ษาเช่นเดียวกนั จงึ เหมาะสมทีจ่ ะขยายขอบเขตด้าน สถานศกึ ษาเพมิ่ เตมิ อีก 2 โรงเรียนดงั ทก่ี ลา่ วมา ไดแ้ ก่ โรงเรยี นวดั พรานนก ตาบลโพธิ์สาวหาญ และโรงเรียน วัดหนองไม้ซุง ตาบลหนองไมซ้ ุง อาเภออทุ ัย จังหวดั พระนครศรอี ยธุ ยา รวมจานวนประชากรกลุ่มตัวอย่างใน การวจิ ยั ทง้ั สิน้ 120 คน 2. ผู้ปกครองของนักเรียนในข้อ 1 กาหนดให้ผู้ปกครอง 1 คน ต่อนักเรียน 1 คน ดังนั้น ประชากรกลุ่มตัวอยา่ งจึงมี 120 คน เท่ากบั จานวนนักเรียน โดยไม่มีการสุ่มตัวอย่างเช่นเดียวกันกับประชากร ในข้อ 1 เนื่องจากกลมุ่ ประชากรมีขนาดเลก็ 3. ครู ได้แกผ่ ู้บรหิ าร และอาจารย์ที่ปฏิบัติงานอยู่ในโรงเรียนวัดดอนพุดซา ตาบลสามบัณฑิต โรงเรียนวัดพรานนก ตาบลโพธิ์สาวหาญ และโรงเรียนวัดหนองไม้ซุง ตาบลหนองไม้ซุง อาเภออุทัย จังหวัด พระนครศรีอยุธยา รวมจานวน 38 คน โดยไม่มีการสุ่มตัวอย่างเช่นเดียวกันกับประชากรในข้อ 1 เน่ืองจาก กลมุ่ ประชากรมขี นาดเล็ก 2. เครื่องมือทีใ่ ช้ในกำรวิจยั เครอ่ื งมือทใ่ี ช้ในการวจิ ยั ประกอบด้วยแบบสอบถามและการสมั ภาษณ์ ดงั ต่อไปนี้ 1. แบบสอบถาม ใช้เก็บข้อมูลจากประชากรทั้ง 3 กลุ่มดังท่ีได้กล่าวมาข้างต้น เป็นคาถาม เก่ียวกับความต้องการที่จะให้จัดการสอนภาษาญี่ปุ่นในโรงเรียน ที่ผู้วิจัยสร้างข้ึนโดยยึดวัตถุประสงค์ของการ 23
วิจัยและตัวแปรท่ีต้องการศึกษา จัดทาเป็น 3 ชุดท่ีมีเน้ือหาตรงกัน แต่มีการปรับสานวนภาษาเพ่ือให้นักเรียน และผู้ปกครองเข้าใจง่ายขน้ึ นอกจากน้จี ะมีคาถามเพ่ิมเตมิ สาหรับครู แบบสอบถามแบง่ เปน็ 3 ส่วนคอื สว่ นท่ี 1 เป็นคาถามเกีย่ วกับขอ้ มลู ส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม คาถามเป็นแบบตรวจ รายการ ( Check list ) ในกลุ่มประชากรนักเรียน คาถามที่ถามได้แก่ เพศ ช้ันปีที่ศึกษา กลุ่มประชากร ผปู้ กครอง ถามคาถามดา้ น เพศ อายุ คุณวฒุ ิ อาชพี และกล่มุ ประชากรครู ถามคาถาม เพศ อายุ คุณวุฒิ และ ประสบการณก์ ารทางาน ส่วนท่ี 2 เป็นคาถามเก่ียวกับความต้องการท่ีจะให้จัดการสอนภาษาญี่ปุ่นในโรงเรียน ในการ วิจัยน้ีได้ยึดแนวคิดเกี่ยวกับความต้องการตามนิยามของ แบรดชอว์1 (Bradshaw, 1972) กล่าวคือเป็นความ ต้องการที่เกิดขึ้นจากความรู้สึก หรือจากมุมมองของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ดังนั้นในการวัดความต้องการ จึง อ้างอิงแบบวัดเจตคติของลิเคอร์ท (Likert Scale) ( นภาภรณ์ จันทรศัพท์และคณะ,2549,หน้า132-134 ) ซึ่ง แบง่ เป็น 5 ระดบั คือ ความต้องการระดับมากทส่ี ดุ ระดับมาก ระดับน้อย ระดบั นอ้ ยท่สี ุด และไม่ตอ้ งการ ดงั นี้ คะแนน ระดับความตอ้ งการ 5 มากที่สุด 4 มาก 3 ปานกลาง 2 นอ้ ย 1 นอ้ ยที่สุด ส่วนที่ 3 เป็นคาถามเก่ียวกับความคิดเห็นด้านทักษะและเน้ือหาที่ต้องการให้สอน คาถาม ด้านทักษะได้แก่ทักษะการพูด ฟัง อ่าน เขียน ส่วนคาถามด้านเนื้อหาได้แก่ ไวยากรณ์ภาษาญี่ปุ่น การสนทนา ภาษาญี่ปุ่นในชีวิตประจาวัน สังคมและวัฒนธรรมญ่ีปุ่น ภาษาญ่ีปุ่นสาหรับการทางาน และการบูรณาการ ภาษาญ่ีปุ่นกับวิชาอ่ืนๆ หัวข้อคาถามท้ัง 5 ข้อนี้ กาหนดโดยอ้างอิงจาก หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 2 สาระการเรียนรู้กลุ่มสาระภาษาต่างประเทศ เป็นแบบสอบถามท่ีให้ตอบ ตามลาดบั ความต้องการ 1 ดรู ายละเอยี ดในบทท่ี 2 หน้า 10 2 ดูรายละเอยี ดในบทที่ 2 หน้า 13 24
ส่วนที่ 4 เป็นคาถามเกี่ยวกับเหตุผลที่ต้องการให้สอนภาษาญี่ปุ่นในโรงเรียนจานวน 10 ข้อ กาหนดโดยผู้วิจัยซึ่งพิจารณาจากปัจจัยแวดล้อมทางการศึกษา เป็นคาถามให้เลือกคาตอบได้มากกว่า 1 คาตอบ 2. การสัมภาษณ์ ทาการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสาคัญ ( Key informant Interviews ) ได้แก่ ผ้อู านวยการโรงเรียน รองผูอ้ านวยการฝา่ ยวชิ าการ และหัวหนา้ กล่มุ สาระการเรยี นรู้ภาษาต่างประเทศ ของแต่ ละโรงเรียน มีวัตถุประสงค์เพ่ือให้ได้ข้อมูลเชิงลึกจากผู้บริหารสถานศึกษา นามาตอบโจทย์วัตถุประสงค์การ วิจัยในขอ้ 3 ในเร่อื งความพรอ้ มของสถานศึกษาในการจัดการสอนภาษาญี่ปุ่น การสัมภาษณ์พูดคุยในประเด็น ด้านความคิดเห็นความต้องการให้มีการจัดการสอนภาษาญ่ีปุ่น ความพร้อมในการจัดการสอนเพ่ือตอบสนอง ความต้องการ และความต้องการการมีส่วนร่วมจากมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยาในการจัดการสอน ภาษาญ่ีปุ่น แนวทางการตั้งคาถามน้ีอ้างอิงจากแนวคิดเรื่อง ทรัพยากรการบริหาร 4 ประเภท ( จอมพงศ์ มงคลวนชิ , 2555, หน้า 87 ) ซ่ึงเปน็ ปจั จัยสาคญั ในการบรหิ ารโรงเรียน ไดแ้ ก่ Man หมายถึง การบริหารคนให้มีคุณภาพเหมาะสมกับงาน ในการวิจัยน้ีหมายถึง ครูที่มี ศักยภาพเหมาะสมทจี่ ะสอนภาษาญ่ปี นุ่ Money หมายถึง การบริหารการเงิน มีงบประมาณเพียงพอ ในการวิจัยนี้หมายถึง งบประมาณในการพัฒนาศกั ยภาพครู และจดั หาสื่อการสอน Material หมายถึง การจัดการวัสดุ อุปกรณ์ ให้สมบูรณ์และคุ้มค่า ในการวิจัยน้ีหมายถึง ห้องเรยี น สือ่ การสอนทันสมยั หนังสอื Management หมายถงึ การจดั การงานทง้ั หมดใหด้ าเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ ในการวิจัย น้ีหมายถึง การจัดคาบเรยี นโดยคานึงถงึ หลกั สตู รท้ังหมด การสัมภาษณ์เป็นแบบไม่มีโครงสร้างแน่นอน ( Unstructured Interview ) และทาการจด บนั ทกึ 3. กำรสร้ำงเคร่ืองมอื ท่ใี ชใ้ นกำรวจิ ยั การสรา้ งเคร่อื งมือทใ่ี ช้ในการวิจัยดาเนินตามขนั้ ตอนต่อไปน้ี 1. ศึกษาเอกสารตาราและงานวจิ ัยท่ีกย่ี วข้อง 25
2. นาผลจากการศกึ ษามาสร้างเป็นแบบสอบถาม และวางแนวทางการสัมภาษณ์ ให้มีเนื้อหา ที่ครอบคลุมและตรงตามวตั ถปุ ระสงค์ของการวิจยั 3. ใหผ้ ู้เช่ียวชาญตรวจสอบเครอ่ื ง 4. แก้ไขเคร่ืองมือตามคาแนะนาของผู้เชีย่ วชาญ 5. นาแบบสอบถามและแนวทางการสัมภาษณ์ท่ปี รบั ปรุงแลว้ ไปเก็บข้อมลู 4. กำรเกบ็ รวมรวมข้อมูล การเกบ็ รวมรวมข้อมูลดาเนินการดังนี้ 1. ผู้วจิ ัยใชแ้ บบสอบถามเพื่อเก็บรวบรวมขอ้ มูล ดาเนนิ การในเดือนตุลาคม 2556 ดังตอ่ ไปน้ี 1.1 เก็บรวบรวมจากประชากรกลุ่มนักเรียน โดยการนาแบบสอบถามไปให้ตอบท่ีโรงเรียน มีการขออนุญาตจากผู้อานวยการโรงเรียน และครูประจาชั้นเรียนก่อน เม่ือนักเรียนทาเสร็จแล้ว จะเก็บ รวบรวมแบบสอบถามกลบั มา 1.2 เก็บรวบรวมจากประชากรกลุ่มผู้ปกครอง โดยการให้นักเรียนท่ีทาแบบสอบถาม นา กลับไปใหผ้ ปู้ กครองทาท่บี ้าน และนากลับมาคืนในวนั ตอ่ มา ผ้วู จิ ยั เกบ็ รวบรวมแบบสอบถามกลบั คืนมา 1.3 เกบ็ รวบรวมจากประชากรกลุ่มครู โดยการนาแบบสอบถามไปแจกท่ีโรงเรียน มีการขอ อนุญาตจากผอู้ านวยการโรงเรียน เมื่อทาเสร็จแลว้ จะเก็บรวบรวมแบบสอบถามกลับมา 2. ผู้วิจัยสัมภาษณ์เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้บริหารสถานศึกษา โดยการขอนัดเวลา ล่วงหน้า และไปสัมภาษณ์ที่โรงเรียน ใช้เวลาในการสัมภาษณ์คนละประมาณ 30 นาที ผู้สัมภาษณ์จดบันทึก ขอ้ มลู ของผ้ถู กู สมั ภาษณ์ แล้วนากลับมาทาการวิเคราะหเ์ นือ้ หา 5. กำรวิเครำะหข์ ้อมูล การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ดาเนินการดังน้ี 1. ข้อมูลจากแบบสอบถาม ได้นามาประมวลผลโดยโปรแกรมสาเร็จรูปเพ่ือการวิจัยทาง สังคมศาสตร์ ดังนี้ 1.1 ใช้สถติ ิคา่ ร้อยละ ในการอธิบายข้อมลู ส่วนบคุ คล 26
1.2 ใช้สถิติค่าร้อยละ ค่าเฉล่ียและส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน ในการวัดความต้องการให้มี การสอนภาษาญี่ปุ่นและการเปรียบเทียบความต้องการ คะแนนเฉลี่ยที่ได้จากการใช้แบบวัดเจตคติของ ลเิ คอร์ท3 เพอ่ื วดั ความต้องการ นามาแปลความหมายดังนี้ คะแนนเฉลยี่ ระหวา่ ง หมายถงึ ระดบั ความต้องการ 4.50-5.00 มากท่สี ดุ 3.50-4.49 มาก 2.50-3.49 ปานกลาง 1.50-2.49 น้อย 1.00-1.49 น้อยทส่ี ดุ 1.3 ใช้สถิติค่าร้อยละและผลรวมของค่าระดับคะแนนในการจัดลาดับความต้องการด้าน ทกั ษะ เนอ้ื หาทีต่ อ้ งการใหส้ อน และเหตุผลทต่ี ้องการใหส้ อน การกาหนดค่าคะแนนเพ่ือจัดลาดบั มดี งั นี้ คาตอบ ค่าคะแนน ลาดับที่ 1 1 ลาดบั ที่ 2 2 ลาดับที่ 3 3 ลาดบั ที่ 4 4 ลาดับที่ 5 5 2. ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ นามาประมวลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ( Content Analysis ) โดยการบรรยายเนื้อหาตามที่จดบันทึกได้มา ไม่เน้นการตีความและความรู้สึกส่วนตัว มีการแจกแจงนับ ใจความ ( สุภางค์ จนั ทวานชิ , 2549, หนา้ 144 ) 3 ดูรายละเอยี ดในบทนี้ หนา้ 24 27
บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล การวจิ ยั คร้ังนีเ้ ปน็ การวิจัยเพื่อสารวจความต้องการของนักเรียน ผู้ปกครอง และครู ที่มีต่อการ จดั การสอนภาษาญี่ปุ่นในสถานศึกษาตาบลสามบัณฑิต อาเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีวัตถุประสงค์ คอื 1.เพื่อศึกษาความต้องการของนักเรียน ผู้ปกครอง และครูท่ีมีต่อการจัดการสอนภาษาญ่ีปุ่น ในสถานศึกษา ตาบลสามบณั ฑิต อาเภออทุ ยั จังหวดั พระนครศรีอยุธยา 2. เพื่อเปรียบเทียบความต้องการของนักเรียน ผู้ปกครองและครู ที่มีต่อการจัดการสอน ภาษาญปี่ ุน่ ในสถานศกึ ษาตาบลสามบัณฑติ อาเภออทุ ยั จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา 3. เพื่อศึกษาความพร้อมของสถานศึกษาตาบลสามบัณฑิต อาเภออุทัย จังหวัดพระนครศรี อยธุ ยาในการจัดการสอนภาษาญีป่ ุ่น ผลการวิเคราะห์จากเคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บข้อมูลมี 2 ส่วนได้แก่ ข้อมูลจากแบบสอบถาม และข้อมูลจากการสัมภาษณ์ ข้อมูลจากแบบสอบถามนามาวิเคราะห์เชิงปริมาณด้วยสถิติ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตราฐาน แสดงผลการวิเคราะห์ในรูปตารางประกอบคาบรรยาย นาเสนอในส่วนท่ี 1-4 ส่วนข้อมูลจากการสัมภาษณ์นามาวิเคราะห์เชิงคุณภาพ แสดงผลการวิเคราะห์ด้วยการเขียนบรรยายเชิง พรรณา นาเสนอในส่วนที่ 5 ดงั รายละเอียดต่อไปน้ี ส่วนที่ 1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลความต้องการของนักเรียนท่ีมีต่อการจัดการสอนภาษาญ่ีปุ่นใน สถานศึกษาตาบลสามบัณฑิต อาเภออทุ ัย จังหวัดพระนครศรอี ยุธยา ส่วนท่ี 2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลความต้องการของผู้ปกครองท่ีมีต่อการจัดการสอนภาษาญ่ีปุ่น ในสถานศกึ ษาตาบลสามบณั ฑิต อาเภออุทยั จงั หวัดพระนครศรีอยุธยา ส่วนที่ 3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลความต้องการของครูที่มีต่อการจัดการสอนภาษาญี่ปุ่นใน สถานศกึ ษาตาบลสามบัณฑติ อาเภออทุ ัย จงั หวัดพระนครศรีอยุธยา ส่วนที่ 4 ผลการเปรียบเทียบความต้องการให้จัดการสอนภาษาญี่ปุ่นในสถานศึกษาตาบลสาม บณั ฑติ อาเภออทุ ัย จงั หวัดพระนครศรอี ยธุ ยา ระหวา่ งนักเรียน ผปู้ กครอง และครู 28
ส่วนท่ี 5 ผลการสัมภาษณ์ข้อมูลความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาตาบลสามบัณฑิต อาเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยาที่มีต่อการจัดการสอนภาษาญี่ปุ่น ความพร้อมในการจัดการสอนเพื่อ ตอบสนองความต้องการ และความต้องการการมีส่วนร่วมจากมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยาในการ จัดการสอนภาษาญีป่ ุ่นในสถานศึกษาตาบลสามบณั ฑิต อาเภออทุ ยั จงั หวดั พระนครศรีอยุธยา 29
ส่วนท่ี 1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลความตอ้ งการของนักเรียนทีม่ ตี อ่ การจัดการสอนภาษาญ่ีปุ่นในสถานศึกษา ตาบลสามบัณฑิต อาเภออทุ ยั จงั หวดั พระนครศรอี ยุธยา ผู้วิจยั ไดแ้ จกแบบสอบถามแก่นกั เรียน รวมทงั้ ส้ิน 120 ชดุ ได้รับแบบสอบถามกลับคืน 112 ชุด ไม่ได้รับคนื 8 ชดุ ในจานวนทกี่ ลับคนื มา 112 ชุด มีคาตอบท่ีสมบูรณ์จานวน 74 ชุดและไม่สมบูรณ์จานวน 38 ชดุ ผู้วจิ ัยได้ใชข้ อ้ มูลเฉพาะคาตอบท่ีสมบรู ณ์จานวน 74 ชุดในการวเิ คราะห์ ผ ล ก า ร วิ เ ค ร า ะ ห์ ข้ อ มู ล ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร ข อ ง นั ก เ รี ย น ท่ี มี ต่ อ ก า ร จั ด ก า ร ส อ น ภ า ษ า ญ่ี ปุ่ น ประกอบด้วย 1) ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม 2) ข้อมูลความต้องการของนักเรียนที่มีต่อการจัดการ สอนภาษาญ่ีปุ่นในโรงเรียน 3) ข้อมูลความคิดเห็นของนักเรียนด้านทักษะและเน้ือหาที่ต้องการให้สอน 4) ข้อมูลเหตผุ ลของนักเรียนทีต่ อ้ งการให้โรงเรียนจัดการสอนภาษาญป่ี ุ่น ดงั ตารางที่ 4.1 – 4.9 1 ขอ้ มูลท่ัวไปของผูต้ อบแบบสอบถาม ตารางที่ 4.1 แสดงจานวนและร้อยละของนักเรียนจาแนกตามเพศ รอ้ ยละ เพศ จานวน 40.54 59.46 ชาย 30 100.00 หญิง 44 รวม 74 จากตารางท่ี 4.1 พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่ เป็นเพศหญิง จานวน 44 คน คิดเป็นร้อยละ 59.46 และเป็นเพศชาย จานวน 30 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 40.54 ตารางท่ี 4.2 แสดงจานวนและรอ้ ยละของนักเรียนจาแนกตามระดบั ชน้ั เรยี น เรยี นอยชู่ ั้น จานวน รอ้ ยละ ม.1 27 36.49 ม.2 23 31.08 ม.3 24 32.43 รวม 74 100.00 จากตารางที่ 4.2 พบวา่ นักเรียนสว่ นใหญ่ เรยี นอย่ชู น้ั ม.1 จานวน 27 คน คดิ เป็นร้อยละ 36.49 รองลงมา คอื เรียนอยู่ ชนั้ ม.3 จานวน 24 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 32.43 และ เรยี นอยู่ ชนั้ ม.2 จานวน 23 คน คิด เป็นร้อยละ 31.08 30
2 ขอ้ มูลความตอ้ งการของนักเรยี นทีม่ ตี ่อการจัดการสอนภาษาญี่ปนุ่ ในโรงเรียน ตารางท่ี 4.3 แสดงจานวนและรอ้ ยละของความต้องการของนักเรียนให้จัดการสอนภาษาญปี่ ุ่นในโรงเรียน ความต้องการให้จัดการสอนภาษาญ่ีปุน่ ในโรงเรียน จานวน ร้อยละ ลาดับท่ี 1. ต้องการมากทีส่ ุด 21 28.38 3 2. ต้องการมาก 25 33.78 1 3. ตอ้ งการปานกลาง 24 32.43 2 4. ตอ้ งการน้อย 2 2.70 4 5. ตอ้ งการน้อยทีส่ ดุ 2 2.70 5 รวม 74 100 จากตารางท่ี 4.3 พบว่า ความต้องการให้จัดการสอนภาษาญี่ปุ่นในโรงเรียนของนักเรียนส่วน ใหญ่ คือต้องการมาก เปน็ ลาดบั ที่ 1 มจี านวน 25 คน คิดเป็นร้อยละ 33.78 ลาดับท่ี 2 คือ ต้องการปานกลาง มีจานวน 24 คิดเป็นร้อยละ 32.43 ลาดับท่ี 3 คือต้องการมากท่ีสุด มีจานวน 21 คน คิดเป็นร้อยละ 28.38 ลาดบั ที่ 4 และ5 คือตอ้ งการน้อยและตอ้ งการน้อยทส่ี ุด มจี านวนเท่ากัน คอื 2 คน คิดเปน็ ร้อยละ 2.70 ตารางท่ี 4.4 แสดงค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของความตอ้ งการของนักเรยี นให้จดั การสอน ภาษาญปี่ ุ่นในโรงเรียน คาถาม คา่ เฉลีย่ ส่วนเบยี่ งเบน ระดับความ มาตรฐาน ต้องการ นักเรยี นตอ้ งการใหโ้ รงเรยี นสอนภาษาญป่ี นุ่ ให้ 3.82 นกั เรียน เพียงใด 0.97 มาก จากตารางที่ 4.4 พบว่า นักเรียนมีความต้องการให้จัดการสอนภาษาญ่ีปุ่นในโรงเรียน อยู่ใน ระดับมาก โดยมคี า่ เฉลยี่ เทา่ กับ 3.82 และสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน 0.97 31
3 ข้อมูลความคดิ เห็นของนกั เรยี นดา้ นทกั ษะและเนอื้ หาท่ีตอ้ งการใหส้ อน ตารางท่ี 4.5 แสดงจานวนและร้อยละของความคิดเห็นของนกั เรียนดา้ นทักษะท่ีต้องการให้สอน ทักษะทน่ี กั เรยี นตอ้ งการใหส้ อนมากท่ีสดุ เรยี งตามลาดบั ทกั ษะ ลาดบั ที่ 1 ลาดับท่ี 2 ลาดับท่ี 3 ลาดบั ท่ี 4 1) สอนพูดและฟงั จานวน ร้อยละ จานวน ร้อยละ จานวน ร้อยละ จานวน รอ้ ยละ 2) สอนอ่าน 3) สอนเขยี น 8 10.81 32 43.24 15 20.27 19 25.68 4) สอนพูด ฟัง อา่ น เขยี น 6 8.11 22 29.73 29 39.19 17 22.97 ทกุ ด้าน รวม 5 6.76 18 24.32 27 36.49 24 32.43 55 74.32 2 2.70 3 4.05 14 18.92 74 100 74 100 74 100 74 100 จากตารางที่ 4.5 พบว่าทักษะที่นักเรียนต้องการให้สอนมากที่สุดเป็นลาดับที่ 1 คือ ทักษะ พูด ฟัง อ่าน เขียน ทุกด้าน มีจานวน 55 คน คิดเป็นร้อยละ 74.32 รองลงมาได้แก่ ทักษะพูดและฟัง มี จานวน 8 คน คิดเป็นร้อยละ 10.81 และทักษะการอ่าน มีจานวน 6 คน คิดเป็นร้อยละ 8.11 ตามลาดับ ทักษะที่นักเรียนต้องการให้สอนมากที่สุดเป็นลาดับที่ 2 คือ ทักษะพูดและฟัง มีจานวน 32 คน คิดเป็นร้อยละ 43.24 รองลงมาได้แก่ ทักษะการอ่าน มีจานวน 22 คน คิดเป็นร้อยละ 29.73 และ ทักษะการเขียน มีจานวน 18 คน คิดเป็นร้อยละ 24.32 ตามลาดับ ทักษะที่นักเรียนต้องการให้สอนมากที่สุดเป็นลาดับท่ี 3 คือ ทักษะการอ่าน มีจานวน 29 คน คิดเป็นร้อยละ 39.19 รองลงมาได้แก่ ทักษะการเขียน มีจานวน 27 คน คิดเป็นร้อยละ 36.49 และทักษะ พูดและฟัง มีจานวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 20.27 ตามลาดับ ทักษะที่นักเรียนต้องการให้สอนมากที่สุดเป็นลาดับที่ 4 คือ ทักษะการเขียน มีจานวน 24 คน คิดเป็นร้อยละ 32.43 รองลงมาได้แก่ ทักษะพูดและฟัง มีจานวน 19 คน คิดเป็นร้อยละ 25.68 และ ทักษะการอ่าน มีจานวน 17 คน คิดเป็นร้อยละ 22.97 ตามลาดับ 32
ตารางที่ 4.6 แสดงผลรวมของคา่ ระดบั คะแนนและลาดับของความคิดเหน็ ของนักเรยี นด้านทักษะทีต่ ้องการให้ สอน ผลรวมของ ทกั ษะทน่ี กั เรียนต้องการให้สอนมากที่สดุ ค่าระดับ ลาดับที่ คะแนน 1) สอนพดู และฟงั 193 2 2) สอนอา่ น 205 3 3) สอนเขยี น 218 4 4) สอนพดู ฟัง อ่าน เขยี น ทุกดา้ น 124 1 จากตารางที่ 4.6 พบว่าทักษะที่นักเรียนต้องการให้สอนมากที่สุดเป็นลาดับที่ 1 คือ ทักษะ พูด ฟัง อ่าน เขียน ทุกด้าน มีผลรวมของระดับค่าคะแนนเท่ากับ 124 รองลงมาลาดับที่ 2 คือ ทักษะพูด และฟัง มีผลรวมของระดับค่าคะแนนเท่ากับ 193 และลาดับท่ี 3 คือ ทักษะการอ่าน มีผลรวมของระดับค่า คะแนนเท่ากับ 205 และสดุ ท้ายลาดับท่ี 4 คอื ทกั ษะการเขยี น มีผลรวมของระดับค่าคะแนนเท่ากับ 218 ตารางท่ี 4.7 แสดงจานวนและรอ้ ยละของความคิดเหน็ ของนกั เรียนด้านเนื้อหาทตี่ ้องการให้สอน เน้ือหาทนี่ ักเรยี นต้องการใหส้ อนมากท่ีสดุ เรียงตามลาดบั เนือ้ หา ลาดบั ที่ 1 ลาดับท่ี 2 ลาดบั ที่ 3 ลาดับที่ 4 ลาดับที่ 5 จานวน ร้อยละ จานวน ร้อยละ จานวน ร้อยละ จานวน รอ้ ยละ จานวน ร้อยละ 1) ไวยากรณ์ 7 9.46 16 21.62 10 13.51 19 25.68 22 29.73 ภาษาญป่ี ุ่น 2) สนทนาภาษาญปี่ ุ่น 41 55.41 19 25.68 4 5.41 8 10.81 2 2.7 ในชวี ติ ประจาวนั 3) ความรดู้ า้ นประเทศ 15 20.27 18 24.32 20 27.03 13 17.57 8 10.81 ญ่ีปุน่ และคนญี่ป่นุ 4) ภาษาญป่ี ่นุ เก่ยี วกบั 4 5.41 16 21.62 31 41.89 13 17.57 10 13.51 การทางานอยา่ งง่ายๆ 5) เช่ือมโยงภาษาญป่ี ุ่น 7 9.46 5 6.76 9 12.16 21 28.38 32 43.24 กบั วชิ าอืน่ ๆ รวม 74 100 74 100 74 100 74 100 74 100 จากตารางที่ 4.7 พบว่าเน้ือหาที่นักเรียนต้องการให้สอนมากที่สุดเป็นลาดับที่ 1 คือ สนทนา ภาษาญ่ีปุ่นในชีวิตประจาวัน มีจานวน 41 คน คิดเป็นร้อยละ 55.41 รองลงมา คือ ความรู้ด้านประเทศญ่ีปุ่น 33
และคนญ่ีปุ่น มีจานวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 20.27 และเนื้อหาด้านไวยากรณ์ภาษาญ่ีปุ่น กับเนื้อหาด้าน การเช่อื มโยงภาษาญปี่ ุน่ กับวชิ าอน่ื ๆ มีจานวนเท่ากัน คือ 7 คน คิดเป็นร้อยละ 9.46 ตามลาดับ เนื้อหาที่นักเรียนต้องการให้สอนมากที่สุดเป็นลาดับที่ 2 คือ สนทนาภาษาญี่ปุ่นใน ชวี ติ ประจาวัน มีจานวน 19 คน คิดเป็นร้อยละ 25.68 รองลงมา คือ ความรู้ด้านประเทศญ่ีปุ่นและคนญี่ปุ่น มีจานวน 18 คน คิดเป็นร้อยละ 24.32 และเนื้อหาด้านไวยากรณ์ภาษาญี่ปุ่น กับภาษาญี่ปุ่นเกี่ยวกับการ ทางานอย่างง่ายๆ มีจานวนเท่ากัน คือ 16 คน คิดเป็นร้อยละ 21.62 ตามลาดับ และเนื้อหาด้านการ เช่ือมโยงภาษาญี่ปุ่นกับวิชาอ่ืนๆมีจานวนน้อยที่สุดคือ 5 คน คิดเป็นร้อยละ 6.76 เนื้อหาท่ีนักเรียนต้องการให้สอนมากท่ีสุดเป็นลาดับที่ 3 คือ เนื้อหาภาษาญี่ปุ่นเกี่ยวกับการ ทางานอย่างง่ายๆ มีจานวน 31 คน คิดเป็นร้อยละ 41.89 รองลงมา คือ ความรู้ด้านประเทศญี่ปุ่นและคน ญป่ี นุ่ มีจานวน 20 คน คิดเป็นร้อยละ 27.03 และเนื้อหาด้านไวยากรณ์ภาษาญ่ีปุ่น มีจานวน 10 คน คิดเป็น ร้อยละ 13.51 ตามลาดับ เนื้อหาที่นักเรียนต้องการให้สอนมากที่สุดเป็นลาดับที่ 4 คือ เนื้อหาด้านการเช่ือมโยง ภาษาญ่ีปุ่นกับวิชาอื่นๆ มีจานวน 21 คน คิดเป็นร้อยละ 28.38 รองลงมา คือ เนื้อหาด้านไวยากรณ์ ภาษาญี่ปุ่น มีจานวน 19 คน คิดเป็นร้อยละ 25.68 และเนื้อหาความรู้ด้านประเทศญ่ีปุ่นและคนญี่ปุ่น กับ เนื้อหาภาษาญี่ปุ่นเกี่ยวกับการทางานอย่างง่ายๆ มีจานวนเท่ากัน คือ 13 คน คิดเป็นร้อยละ 17.57 ตามลาดับ เนื้อหาที่นักเรียนต้องการให้สอนมากที่สุดเป็นลาดับที่ 5 คือ เนื้อหาด้านการเช่ือมโยง ภาษาญ่ีปุ่นกับวิชาอ่ืนๆ มีจานวน 32 คน คิดเป็นร้อยละ 43.24 รองลงมา คือ เนื้อหาด้านไวยากรณ์ ภาษาญ่ปี ุ่น มีจานวน 22 คน คิดเป็นร้อยละ 29.73 และเนื้อหาภาษาญี่ปุ่นเกี่ยวกับการทางานอย่างง่ายๆ มี จานวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ 13.51 ตามลาดับ 34
ตารางท่ี 4.8 แสดงผลรวมของค่าระดบั คะแนนและลาดับของความคิดเห็นของนักเรยี นด้านเน้อื หาทตี่ ้องการ ใหส้ อน ผลรวมของ เน้อื หาทน่ี ักเรยี นตอ้ งการให้สอนมากที่สดุ คา่ ระดับ ลาดบั ที่ คะแนน 1) ไวยากรณ์ภาษาญป่ี ุ่น 255 4 2) สนทนาภาษาญีป่ ่นุ ในชีวิตประจาวัน 133 1 3) ความร้ดู ้านประเทศญ่ีปุ่นและคนญ่ีปุน่ 203 2 4) ภาษาญปี่ ุ่นเกี่ยวกับการทางานอย่างงา่ ยๆ 231 3 5) เช่ือมโยงภาษาญี่ปุ่นกบั วชิ าอ่นื ๆ 288 5 จากตารางท่ี 4.8 พบว่าเนื้อหาที่นักเรียนต้องการให้สอนมากที่สุดเป็นลาดับที่ 1 คือสนทนา ภาษาญี่ปุ่นในชีวิตประจาวัน มีผลรวมของค่าคะแนนเท่ากับ 133 รองลงมา ลาดับที่ 2 คือ ความรู้ด้าน ประเทศญ่ปี นุ่ และคนญป่ี ุน่ มีผลรวมของค่าคะแนนเท่ากับ 203 ลาดับที่ 3 คือ ภาษาญป่ี ุ่นเกีย่ วกับการทางาน อยา่ งง่ายๆ มีผลรวมของค่าคะแนนเท่ากับ 231 ลาดับท่ี 4 คือ ไวยากรณ์ภาษาญี่ป่นุ มีผลรวมของค่าคะแนน เท่ากับ 255 และ เนื้อหาด้านการเช่ือมโยงภาษาญ่ีปุ่นกับวิชาอื่นๆ ต้องการเป็นลาดับสุดท้าย มีผลรวมของ ค่าคะแนนเท่ากับ 288 35
4 ข้อมูลเหตุผลของนกั เรียนที่ตอ้ งการใหโ้ รงเรียนจดั การสอนภาษาญี่ปุ่น ตารางที่ 4.9 แสดงจานวน ร้อยละและลาดบั ทีด่ ้านเหตุผลของนักเรยี นท่ีต้องการให้โรงเรียนจัดการสอน ภาษาญป่ี นุ่ เหตุผล จานวน รอ้ ยละ ลาดบั ที่ 66 23.16 1 1. นักเรยี นอยากรภู้ าษาตา่ งประเทศเพม่ิ ข้นึ อีก 1 ภาษา นอกเหนือจาก ภาษาองั กฤษ 42 14.74 2 2. นักเรยี นสนใจภาษาญ่ปี ่นุ และวัฒนธรรมญีป่ ุน่ 8 2.81 9 3. ผูป้ กครองทางานในโรงงานญ่ีปนุ่ 10 3.51 7 4. ผู้ปกครองเคยพดู ว่าอยากให้ครูสอน 33 11.58 4 5. ในจังหวดั อยธุ ยามโี รงงานญป่ี ่นุ คนญีป่ ุ่น จานวนมาก 9 3.16 8 6. ในโรงเรยี นมีครูที่สอนภาษาญีป่ นุ่ ได้ 38 13.33 3 7. โรงเรยี นอน่ื ๆมีสอนภาษาญป่ี ุ่นจึงอยากให้สอนทโ่ี รงเรียนของตัวเองบ้าง 38 13.33 3 8. จะนาความร้ภู าษาญ่ปี นุ่ ไปทางาน 17 5.96 6 9. ภาษาญ่ีปนุ่ เปน็ วชิ าใช้สอบเข้ามหาวทิ ยาลัยได้ 24 8.42 5 10. ภาษาญีป่ นุ่ เปน็ ภาษาท่สี าคญั ในโลกปัจจบุ ัน 285 100 รวม จากตารางที่ 4.9 พบว่า เหตุผลท่ีนักเรียนต้องการให้โรงเรียนจัดการสอนภาษาญ่ีปุ่นมากท่ีสุด เปน็ ลาดบั ท่ี 1 คือ นกั เรยี นอยากรู้ภาษาต่างประเทศเพิ่มข้นึ อกี 1 ภาษา นอกเหนือจากภาษาอังกฤษ มีจานวน 66 คน คิดเป็นร้อยละ 23.16 รองลงมา ลาดับที่ 2 คือ นักเรียนสนใจภาษาญ่ีปุ่นและวัฒนธรรมญ่ีปุ่น มี จานวน 42 คน คิดเป็นร้อยละ 14.74 ลาดับที่ 3 คือ โรงเรียนอ่ืนๆมีสอนภาษาญ่ีปุ่นจึงอยากให้สอนที่ โรงเรียนของตัวเองบ้าง มีจานวน 38 คน คิดเป็นร้อยละ 13.33 เท่ากันกับเหตุผลด้านการนาความรู้ ภาษาญ่ีปุ่นไปทางาน มีจานวน 38 คน คิดเป็นร้อยละ 13.33 เช่นกัน ลาดับที่ 4 คือ ในจังหวัดอยุธยามี โรงงานญี่ปุ่น คนญ่ีปุ่น จานวนมาก มีจานวน 33 คน คิดเป็นร้อยละ 11.58 ลาดับท่ี 5 คือ ภาษาญ่ีปุ่นเป็น ภาษาท่ีสาคัญในโลกปัจจุบนั มีจานวน 24 คน คิดเป็นร้อยละ 8.42 ลาดบั ที่ 6 คือ ภาษาญี่ปุ่นเป็นวิชาใช้สอบ เข้ามหาวิทยาลยั ได้ มีจานวน 17 คน คิดเป็นร้อยละ 5.96 ลาดับท่ี 7 คอื ผปู้ กครองเคยพูดว่าอยากให้ครูสอน มีจานวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ 3.51 ลาดบั ที่ 8 คือ ในโรงเรียนมคี รูทส่ี อนภาษาญ่ีปุ่นได้ มีจานวน 9 คน คิด เป็นร้อยละ 3.16 และนอ้ ยท่ีสุดคอื ผู้ปกครองทางานในโรงงานญี่ป่นุ มีจานวน 8 คน คิดเป็นร้อยละ 2.81 36
ส่วนที่ 2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลความต้องการของผู้ปกครองท่ีมีต่อการจัดการสอนภาษาญ่ีปุ่นใน สถานศึกษาตาบลสามบัณฑติ อาเภออุทยั จังหวัดพระนครศรีอยธุ ยา ผูว้ จิ ัยไดแ้ จกแบบสอบถามแก่ผปู้ กครอง รวมทงั้ ส้นิ 120 ชุด ไดร้ ับแบบสอบถามกลับคนื 95 ชดุ ไมไ่ ดร้ บั คนื 25 ชดุ ในจานวนทกี่ ลับคืนมา 95 ชุด มีคาตอบท่สี มบูรณ์จานวน 72 ชุด และไม่สมบรู ณ์ จานวน 23 ชดุ ผู้วิจยั ได้ใชข้ ้อมลู เฉพาะคาตอบทีส่ มบรู ณจ์ านวน 72 ชดุ ในการวิเคราะห์ ผลการวิเคราะห์ความต้องการของผ้ปู กครองทมี่ ตี อ่ การจัดการสอนภาษาญี่ปุ่นประกอบด้วย 1) ข้อมลู ท่ัวไปของผู้ตอบแบบสอบถาม 2) ข้อมูลความต้องการของผู้ปกครองท่ีมีต่อการจัดการสอนภาษาญี่ปุ่น ในโรงเรยี น 3) ขอ้ มูลความคิดเห็นของผ้ปู กครองด้านทกั ษะและเน้ือหาท่ีต้องการให้สอน 4) ข้อมูลเหตุผลของ ผู้ปกครองท่ตี ้องการใหโ้ รงเรียนจดั การสอนภาษาญ่ปี ุน่ ดงั ตารางท่ี 4.10 – 4.20 1 ขอ้ มูลท่ัวไปของผ้ตู อบแบบสอบถาม ตารางท่ี 4.10 แสดงจานวนและรอ้ ยละของผู้ปกครองจาแนกตามเพศ ร้อยละ เพศ จานวน 29.17 70.83 ชาย 21 100.00 หญงิ 51 รวม 72 จากตารางท่ี 4.10 พบว่า ผู้ปกครองที่ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ เป็นเพศหญิง จานวน 51 คน คิดเปน็ ร้อยละ 70.83 และเป็นเพศชาย จานวน 21 คน คิดเปน็ ร้อยละ 29.17 ตารางท่ี 4.11 แสดงจานวนและรอ้ ยละของผ้ปู กครองจาแนกตามอายุ รอ้ ยละ อายุ จานวน 4.17 น้อยกวา่ 25 ปี 3 9.72 25 – 30 ปี 7 37.50 31 – 40 ปี 27 43.06 41 – 50 ปี 31 5.56 มากกว่า 50 ปี 4 100.00 72 รวม จากตารางที่ 4.11 พบว่า ผู้ปกครองท่ีตอบแบบสอบถามมีอายุระหว่าง 41 – 50 ปี มีจานวน มากท่ีสุด จานวน 31 คน คิดเป็นร้อยละ 43.06 รองลงมามีอายุระหว่าง 31 – 40 ปี จานวน 27 คน คิดเป็น 37
ร้อยละ 37.50 อายุระหว่าง 25 – 30 ปี มีจานวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 9.72 เป็นลาดับที่3 อายุมากกว่า 50 ปี มีจานวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 5.56 เป็นลาดับท่ี 4 และผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 25 ปี มีจานวนน้อยท่ีสุด จานวน 3 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 4.17 ตารางท่ี 4.12 แสดงจานวนและรอ้ ยละของผู้ปกครองจาแนกตามคุณวุฒิ คุณวุฒิ จานวน รอ้ ยละ ต่ากว่าปริญญาตรี 70 97.22 2.78 ปริญญาตรี 2 ปรญิ ญาโท - - 100.00 รวม 72 จากตารางที่ 4.12 พบว่า ผู้ปกครองท่ีตอบแบบสอบถามมีคุณวุฒิทางการศึกษาต่ากว่าปริญญา ตรี มากที่สุด จานวน 70 คน คิดเป็นร้อยละ 97.22 ลาดับรองลงมามีคุณวุฒิทางการศึกษาระดับปริญญาตรี จานวน 2 คน คดิ เป็นร้อยละ 2.78 และไม่มีผู้มคี ุณวฒุ ริ ะดบั ปรญิ ญาโท ตารางที่ 4.13 แสดงจานวนและรอ้ ยละของผู้ปกครองจาแนกตามอาชพี อาชีพ จานวน ร้อยละ 1.39 งานราชการ 1 31.94 20.83 พนกั งานบริษทั 23 26.39 2.78 เกษตรกร 15 1.39 12.50 รับจ้างท่ัวไป 19 2.78 100.00 ค้าขาย 2 ทาธุรกิจสว่ นตวั 1 แมบ่ ้าน 9 อน่ื ๆ 2 รวม 72 จากตารางที่ 4.13 พบว่า อาชีพของผู้ปกครองที่ตอบแบบสอบถามลาดับสูงสุดได้แก่ พนักงาน บริษัท จานวน 23 คน คิดเป็นร้อยละ 31.94 รองลงมาได้แก่ รับจ้างท่ัวไป จานวน 19 คน คิดเป็นร้อยละ 26.39 ลาดับที่ 3 ได้แก่ เกษตรกร จานวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 20.83 ลาดับท่ี 4 ได้แก่ แม่บ้าน จานวน 9 คน คิดเป็นร้อยละ 12.50 ลาดับที่ 5 ได้แก่ ค้าขาย และอื่นๆ มีจานวนเท่ากัน อาชีพละ 2 คน คิดเป็นร้อยละ 38
2.78 และจานวนน้อยที่สุดได้แก่ ราชการและธุรกิจส่วนตัว มีจานวนเท่ากัน อาชีพละ 1 คน คิดเป็นร้อยละ 1.39 2 ข้อมูลความต้องการของผ้ปู กครองทม่ี ตี ่อการจดั การสอนภาษาญป่ี ่นุ ในโรงเรยี น ตารางท่ี 4.14 แสดงจานวนและรอ้ ยละของความต้องการของผูป้ กครองทีม่ ีต่อการจดั การสอนภาษาญี่ปุ่นใน โรงเรียน ความต้องการของผู้ปกครอง จานวน รอ้ ยละ ลาดับท่ี ที่มีต่อการจดั การสอนภาษาญปี่ ่นุ ในโรงเรยี น 1. ต้องการมากทส่ี ุด 17 23.61 3 2. ตอ้ งการมาก 25 34.72 2 3. ตอ้ งการปานกลาง 29 40.28 1 4. ตอ้ งการน้อย 1 1.39 4 5. ตอ้ งการน้อยทสี่ ุด - -5 รวม 72 100 จากตารางที่ 4.14 พบวา่ ความตอ้ งการผู้ปกครองท่ีมีต่อการจัดการสอนภาษาญ่ีปุ่นในโรงเรียน ส่วนใหญ่คือต้องการปานกลางเป็นลาดับท่ี 1 มีจานวน 29 คน คิดเป็นร้อยละ 40.28 ลาดับท่ี 2 คือ ต้องการ มาก มจี านวน 25 คิดเป็นร้อยละ 34.72 ลาดับท่ี 3 ต้องการมากท่ีสุด มีจานวน 17 คน คิดเป็นร้อยละ 23.61 ลาดับที่ 4 ตอ้ งการน้อย มีจานวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 1.39 และไมม่ ีผู้ตอบ ต้องการนอ้ ยทีส่ ดุ ตารางท่ี 4.15 แสดงค่าเฉลย่ี และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของความต้องการของผู้ปกครองท่ีมตี ่อการจดั การ สอนภาษาญป่ี ่นุ ในโรงเรียน คาถาม ค่าเฉลยี่ สว่ นเบ่ียงเบน ระดบั ความ มาตรฐาน ต้องการ ท่านต้องการให้โรงเรยี นสอนภาษาญ่ีปุ่นใหบ้ ตุ ร 3.81 0.816 มาก หลาน เพียงใด จากตารางที่ 4.15 พบว่า ผู้ปกครองมีความต้องการให้จัดการสอนภาษาญ่ีปุ่นให้บุตรหลานใน ระดับมาก โดยมีค่าเฉล่ีย เท่ากับ 3.81 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.816 39
3 ข้อมลู ความคิดเหน็ ของผปู้ กครองดา้ นทกั ษะและเน้อื หาท่ตี ้องการให้สอน ตารางท่ี 4.16 แสดงจานวนและร้อยละของความคดิ เหน็ ของผู้ปกครองด้านทักษะทต่ี ้องการให้สอนแก่ บตุ รหลาน ทักษะทต่ี ้องการใหส้ อนแกบ่ ตุ รหลานมากท่ีสุดเรียงตามลาดับ ทกั ษะ ลาดบั ท่ี 1 ลาดับท่ี 2 ลาดบั ท่ี 3 ลาดบั ท่ี 4 จานวน ร้อยละ จานวน รอ้ ยละ จานวน รอ้ ยละ จานวน ร้อยละ 1) สอนพูดและฟัง 15 20.83 31 43.06 11 15.28 15 20.83 2) สอนอา่ น 4 5.56 14 19.44 32 44.44 22 30.56 3) สอนเขยี น 1 1.39 19 26.39 25 34.72 27 37.50 52 72.22 8 11.11 4 5.56 8 11.11 4) สอนพดู ฟัง อ่าน เขียน ทกุ ด้าน รวม 72 100 72 100 72 100 72 100 จากตารางท่ี 4.16 พบวา่ ทักษะท่ีผู้ปกครองต้องการให้สอนมากที่สุดเป็นลาดับที่ 1 คือ ทักษะ พูด ฟัง อ่าน เขียน ทุกด้าน มีจานวน 52 คน คิดเป็นร้อยละ 72.22 รองลงมาได้แก่ ทักษะพูดและฟัง มี จานวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 20.83 และทักษะการอ่าน มีจานวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 5.56 ตามลาดับ ทักษะท่ีผู้ปกครองต้องการให้สอนมากที่สุดเป็นลาดับท่ี 2 คือ ทักษะพูดและฟัง มีจานวน 31 คน คิดเป็นร้อยละ 43.06 รองลงมาได้แก่ ทักษะการเขียน มีจานวน 19 คน คิดเป็นร้อยละ 26.39 และ ทักษะการอ่าน มีจานวน 14 คน คิดเป็นร้อยละ 19.44 ตามลาดับ ทักษะที่ผู้ปกครองต้องการให้สอนมากที่สุดเป็นลาดับที่ 3 คือ ทักษะการอ่าน มีจานวน 32 คน คิดเป็นร้อยละ 44.44 รองลงมาได้แก่ ทักษะการเขียน มีจานวน 25 คน คิดเป็นร้อยละ 34.72 และ ทักษะพูดและฟัง มีจานวน 11 คน คิดเป็นร้อยละ 15.28 ตามลาดับ ทักษะที่ผู้ปกครองต้องการให้สอนมากที่สุดเป็นลาดับที่ 4 คือ ทักษะการเขียน มีจานวน 27 คน คิดเป็นร้อยละ 37.50 รองลงมาได้แก่ ทักษะการอ่าน มีจานวน 22 คน คิดเป็นร้อยละ 30.56 และ ทักษะพูดและฟัง มีจานวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 20.83 ตามลาดับ 40
ตารางที่ 4.17 แสดงผลรวมของคา่ ระดบั คะแนนและลาดบั ของความคดิ เหน็ ของผปู้ กครองด้านทักษะท่ี ต้องการใหส้ อนแก่บุตรหลาน ทกั ษะทต่ี อ้ งการให้สอนแก่บตุ รหลาน ผลรวมของ ลาดับที่ ค่าระดับคะแนน 1) สอนพูดและฟงั 170 2 2) สอนอา่ น 216 3 3) สอนเขยี น 222 4 4) สอนพูด ฟัง อา่ น เขียน ทุกด้าน 112 1 จากตารางที่ 4.17 พบว่าทักษะท่ีผู้ปกครองต้องการให้สอนมากท่ีสุดเป็นลาดับที่ 1 คือ ทักษะ พูด ฟัง อ่าน เขียน ทุกด้าน มีผลรวมของค่าระดับคะแนนเท่ากับ 112 รองลงมา ลาดับที่ 2 คือ ทักษะพูด และฟัง มีผลรวมของค่าระดับคะแนนเท่ากับ 170 ลาดับที่ 3 คือ ทักษะการอ่าน มีผลรวมของค่าระดับ คะแนนเท่ากับ 216 และลาดับสุดท้ายได้แก่ ทักษะการเขียน มีผลรวมของค่าระดับคะแนนเท่ากับ 222 ตารางท่ี 4.18 แสดงจานวนและร้อยละของความคดิ เหน็ ของผูป้ กครองด้านเน้ือหาทต่ี ้องการให้สอนแก่ บตุ รหลาน เน้ือหา เนอ้ื หาทตี่ อ้ งการให้สอนแกบ่ ตุ รหลานมากทสี่ ุดเรยี งตามลาดับ 1) ไวยากรณภ์ าษาญี่ปุ่น ลาดบั ที่ 1 ลาดับท่ี 2 ลาดบั ที่ 3 ลาดบั ที่ 4 ลาดับท่ี 5 จานวน รอ้ ยละ จานวน รอ้ ยละ จานวน ร้อยละ จานวน ร้อยละ จานวน ร้อยละ 13 18.06 7 9.72 18 25.00 15 20.83 19 26.39 2) สนทนาภาษาญ่ปี ุ่นใน 32 44.44 21 29.17 10 13.89 6 8.33 3 4.17 ชีวติ ประจาวัน 3) ความรดู้ ้านประเทศ 15 20.83 18 25.00 17 23.61 10 13.89 12 16.67 ญ่ปี ุ่นและคนญ่ีปนุ่ 4) ภาษาญีป่ ุน่ เก่ยี วกับ 7 9.72 21 29.17 17 23.61 19 26.39 8 11.11 การทางานอย่างง่ายๆ 5) เช่อื มโยงภาษาญ่ีป่นุ 5 6.94 5 6.94 10 13.89 22 30.56 30 41.67 กบั วิชาอน่ื ๆ รวม 72 100 72 100 72 100 72 100 72 100 จากตารางที่ 4.18 พบว่าเนื้อหาที่ผู้ปกครองต้องการให้สอนมากที่สุดเป็นลาดับที่ 1 คือ สนทนาภาษาญี่ปุ่นในชีวิตประจาวัน มีจานวน 32 คน คิดเป็นร้อยละ 44.44 รองลงมา คือ ความรู้ด้าน 41
ประเทศญี่ปุ่นและคนญี่ปุ่น มีจานวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 20.83 และเนื้อหาด้านไวยากรณ์ภาษาญ่ีปุ่น มี จานวน 13 คน คิดเป็นร้อยละ 18.06 ตามลาดับ เนื้อหาที่ผู้ปกครองต้องการให้สอนมากที่สุดเป็นลาดับที่ 2 คือ สนทนาภาษาญี่ปุ่นใน ชวี ติ ประจาวนั มีจานวนเท่ากับเน้ือหาภาษาญี่ปุ่นเก่ียวกับการทางานอย่างง่ายๆ คือ 21 คน คิดเป็นร้อยละ 29.17รองลงมา คือ ความรู้ด้านประเทศญี่ปุ่นและคนญี่ปุ่น มีจานวน 18 คน คิดเป็นร้อยละ 25.00 และ เน้ือหาด้านไวยากรณภ์ าษาญ่ีปุ่น มีจานวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 9.72 ตามลาดับ เนื้อหาที่ผู้ปกครองต้องการให้สอนมากที่สุดเป็นลาดับที่ 3 คือ เนื้อหาด้านไวยากรณ์ ภาษาญี่ปุ่น มีจานวน 18 คน คิดเป็นร้อยละ 25.00 รองลงมา คือ เนื้อหาความรู้ด้านประเทศญ่ีปุ่นและคน ญ่ีปุ่น กับเนื้อหาภาษาญี่ปุ่นเกี่ยวกับการทางานอย่างง่ายๆ มีจานวนเท่ากัน คือ 17 คน คิดเป็นร้อยละ 23.61 และเนื้อหาด้านการสนทนาภาษาญ่ปี นุ่ ในชวี ิตประจาวนั กับเน้อื หาด้านการเชอื่ มโยงภาษาญี่ปุ่นกับวิชา อื่นๆ จานวนเท่ากัน คือ 10 คน คิดเป็นร้อยละ 13.89 ตามลาดับ เนื้อหาที่ผู้ปกครองต้องการให้สอนมากที่สุดเป็นลาดับที่ 4 คือ เนื้อหาด้านการเช่ือมโยง ภาษาญ่ีปุ่นกับวิชาอ่ืนๆ มีจานวน 22 คน คิดเป็นร้อยละ 30.56 รองลงมา คือ เนื้อหาภาษาญี่ปุ่นเกี่ยวกับ การทางานอย่างง่ายๆ มีจานวน 19 คน คิดเป็นร้อยละ 26.39 และเนื้อหาด้านไวยากรณ์ภาษาญ่ีปุ่น มี จานวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 20.83 ตามลาดับ เนื้อหาที่ผู้ปกครองต้องการให้สอนมากที่สุดเป็นลาดับที่ 5 คือเนื้อหาด้านการเชื่อมโยง ภาษาญี่ปุ่นกับวิชาอื่นๆ มีจานวน 30 คน คิดเป็นร้อยละ 41.67 รองลงมา คือ เนื้อหาด้านไวยากรณ์ ภาษาญี่ปุ่น มีจานวน 19 คน คิดเป็นร้อยละ 26.39 และเนื้อหาความรู้ด้านประเทศญี่ปุ่นและคนญ่ีปุ่น มี จานวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 16.67 ตามลาดับ 42
Search