Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ประวัติศาสตร์ศิลปะไทย

ประวัติศาสตร์ศิลปะไทย

Published by hathipat kaldnuam, 2021-10-07 19:21:26

Description: ประวัติศาสตร์ศิลป์ไทยPDF

Search

Read the Text Version

พระแท่นราชบัลลงั ก์ สมยั รัตนโกสนิ ทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๕ พระแทน่ ราชบัลลังคส์ มัยรัชกาลที่ ๔ ไม้จาหลักปดิ ทองประดับกระจก ใช้สาหรบั ประทบั เวลาเสด็จ ออกเตม็ ยศ

ราวพระแสง สมัยรตั นโกสินทร์ พุทธศตวรรษท่ี ๒๕ ทวี่ างพระแสงดาบ ไม้จาหลักลงรกั ปิดทองประดับกระจก รูปพญานาคไขว้ บษุ บกพรหมพักตร์ (ปราสาททอง) สมยั รตั นโกสนิ ทร์ พุทธศตวรรษที่ ๑๔บุษบกยอดปราสาท หรอื ปราสาททอง ฝมี ือชา่ งคร้งั

รัชกาลที่ ๑ สรา้ งจากไมจ้ าหลักลาย ปิดทองประดับกระจก ฐานสงิ หป์ ระดับลายกระจัง หลงั คาซอ้ น ชั้น มเี รอื นยอด ประดับครุฑแบกทมุ ุมท้ัง ๔ ยอดพรหมพักตร์ สมยั รชั กาลท่ี ๔ ใชป้ ระดิษฐานพระโกศบรรจุพระอัฐิสมเดจ็ พระบวรราชเจ้า กรมพระราชวงั บวรสถาน มงคล ในรัชกาลที่ ๑-๓ ได้แก่ สมเดจ็ พระบวรราชเจ้ามหาสุรสนี าท สมเด็จพระบวรเจ้ามหาเสนานรุ กั ษ์ และ สมเดจ็ พระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ พระทน่ี ง่ั ราเชนทรยานน้อย สมัยรตั นโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๖ สานกั ช่างสบิ หมู่ กรมศิลปกร จดั สร้างพระท่ีนั่งราเชนทรยานนอ้ ยเพ่ือใชใ้ นพระราชพิธีถวายพระเพลิง พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร รัชกาลท่ี ๙ เมือ่ พ.ศ. ๒๕๖๐ เปน็ พระราชยานสาหรบั อัญเชิญพระผอบพระบรมราชสรีรางคาร จากพระเมรุมาศท้องสนามหลวงเข้าสู่

พระบรมมหาราชวังโดยยึดรูปแบบการจัดสรา้ งมาจากพระที่น่ังราเชนทรยาน และปรบั เปลย่ี นรายละเอยี ด บางอยา่ งใหเ้ หมาะสม พระวอ สมัยธนบรุ ี – รตั นโกสินทร์ ตอนตน้ พทุ ธศตวรรษที่ ๒๔ วอชอ่ ฟ้า สรา้ งจากไม้ จาหลักลาย ลงรกั ปิดทอง ประดับกระจก หลังคาทรงไทยลดช้ันทาจากหวายหรือไผส่ าน เคลอื บรักหุ้มดว้ ยผา้ กรอบหน้าบันประดบั ชอ่ ฟา้ ใบระกา หางหงส์ จาหลักลายเหลาคายนาค หนา้ บันปัน้ ลาย กา้ นขดดว้ ยรกั กระแหนะ กลางหน้าบนั จาหลักปดิ ทองทุกสว่ น สนั นฐิ านว่านา่ จะเปน็ พระวอสาหรบั พระมหากษัตริย์หรือพระมเหสี รบั มาจาก หมอ่ มเจ้าปยิ ะภักดนี ารถ สขุ ประดิษฐ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๙

แครข่ ุนนาง สมัยรตั นโกสนิ ทร์ พุทธศตวรรษท่ี ๒๔-๒๕ เสลี่ยงไม้ ตรงกลางถักด้วยหวาย ขอบและปลายคานหุ้มทองเหลอื ง ปัจจุบนั ใช้ในพธิ ีอญั เชิญพระพทุ ธสิหงิ ค์ เนอ่ื งในสงกรานต์ พระยาศรีธรรมาธริ าช มอบให้พิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติ พระนคร

คานหาม สมยั รตั นโกสินทร์ พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๔-๒๕ คานหาม ใช้สาหรับขุนนาง สร้างจากไม้ แกะสลกั เครือไมแ้ ละรูปสงิ โตนอนหมอบ(ชิ้นบน) หมอยา้ กห่อ เวี๋ยนกลุ (ช้นิ ล่าง) พระยาสโุ ขทยั มอบให้พิพธิ ภณั ฑสถานแหง่ าติ พระนคร

วอพนกั หวาย สมยั รตั นโกสนิ ทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔-๒๕ ยานแบบนง่ั ราบ โครงสรา้ งเป็นไม้ พน้ื แผน่ ปดิ ราวก้นั ทาจากหวาย หลงั คาเปน็ หวายสานห้มุ ผา้

พระเสลย่ี ง สมยั รัตนโกสนิ ทร์ พุทธศตวรรษท่ี ๒๔-๒๕ ราชยานแบบประทับราบ สร้างจากไม้ จาหลักลาย ประดับกระจก พนื้ เปน็ หวย พนกั และขอบพนกั ทาด้วยงา ปลายคานหามต่องาจาหลักเป็นหสั เมด็ พระเจ้าบรมวงษเ์ ธอ กรม หลวงสงิ หสกิ รมเกรยี งไกร ประทานแก่ พพิ ิธภัณฑสถานแหง่ ชาติ พระนคร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๔

พระเสลย่ี งกง สมยั รตั นโกสินทร์ พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๔-๒๕ ราชยานแบบประทับราบ สาหรบั พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ ัวทรงในเวลาเสด็จฯ โดยกระบวนราบปกติ สรา้ ง จากไมจ้ าหลักลายปิดทองประดบั มีพนกั พงิ มกี งหรือทว่ี างแขนเปน็ วงโคง้ พื้นเปน็ หวาย พระแทน่ ทาเป็นฐาน สิงห์เตยี้ ๆ ขอบด้านบนประดับลายกระจงั ขนาดใหญ่โดยรอบ ปลายคานหามต่องาจาหลักเปน็ เมด็ การหามใช้ วธิ ผี ูกเชือกเป็นสาแหรกกับคานนอ้ ย พิพธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ พระนคร รับมาจากกระทรวงวัง

พระวอสีวกิ ากาญจน์ (พระวอชอ่ ฟ้า) สมัยรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔-๒๕ พระราชยานแบบประทบั ราบ สาหรับเจ้านายฝายใน (หญงิ ) และเดจ็ พระมหาสมณเจ้าทรง นอกจากนี้ ยังใช้อญั เชิญพระบรมราชสรรี างคารจากพระเมรุมาศสูพ่ ระบรมราชวัง สร้างจากไม้ จาหลกั ลายลงรักปดิ ทอง ประดับกระจก เคร่ืองบนทรงไทย ช่อฟา้ ใบระกา หางหงส์ หลงั คาเป็นผา้ ปิดลายทอง มีพนักพิง ราวกนั และ ผา้ มา่ นโดยรอบ การหามใช้วธิ ผี ูกเชอื กเป็นสาแหรกกบั คานนอ้ ยพิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติ พระนคร รับมาจาก กระทรวงวงั

๑. พระพทุ ธรปู ปางสมาธิหุ้มทองคา้ ศลิ ปะรัตนโกสนิ ททร์ พุทธศตวรรษท่ี ๒๔ (๒๐๐ ปมี าแล้ว) สมบตั ิเดิมของพิพิธภัณฑแห่งชาติ พระนคร ๒. พระพทุ ธรปู ปางสมาธกิ ะไหล่ทอง ศลิ ปะรตั นโกสินททร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๕ (๑๕๐ ปมี าแลว้ ) เดิมประดิษฐานอยใู่ นพระท่นี ่ังพทุ ธไธสวรรย์

สัปคับ สมยั รตั นโกสนิ ทร์ ฝีมือช่างลา้ นนา พุทธศตวรรษที่ ๒๕ พระเจา้ อนิ ทวชิ ยานนทถ์ วายเป็นเครอ่ื งราชบรรณาการแต่พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั เนื่องในการพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๒๐ พรรษา (พ.ศ.๒๔๒๖) ประกอบจากงาช้างจาหลกั พนัก ด้านนอกกลึงงาเปน็ ซี่คลา้ ยลูกมะหวด แผน่ หลงั จาหลกั แผ่นงาเปน็ ลายสตั ว์มงคล สิงห์ นกยงู ไก่ฟา้ ประกอบ ลายพรรณพฤกษา กลางพนกั จาหลกั เปน็ รูปบคุ คล สปั คบั นี้เคยใช้ประดิษฐานพระพุทธรปู ในงานยกชอ่ ฟา้ วัด พระศรีรัตนศาสดาราม ในสมัยรัชกาลที่ ๗

สัปคับพรอ้ มกบู สมัยรัตนโกสินทร์ ฝีมอื ช่างล้านนา พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๕ เจา้ อนิ ทวโรรสสุรยิ วงศ์ ถวายเปน็ เครอื่ งประกอบพระราชอิสริยยศพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจา้ อยหู่ ัว เมอื่ คร้ังยงั ทรงดารงพระราชอสิ รยิ ยศเปน็ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟา้ มหาวชริ าวธุ สยาม มกฎุ ราชกุมาร ในขบวนแห่รับเสดจ็ เข้าเมืองครงั้ เสด็จพระราชดาเนนิ ประพาทเมืองเชยี งใหม่ เมอื่ ๒๐ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๔๘

สปั คบั พร้อมกูบทรงกระโจม สมยั รัตนโกสินทร์ พุทธสตวรรษท่ี ๒๔-๒๕ เก็บรักษาในพิพธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร มาแต่เดิม ประกอบจากไมล้ งรักปิดทองประดบั กระจก กบู เปน็ ทรงกระโจม เปดิ โลง่ ส่ีด้าน ทาจากไม้ไผส่ าน กรอบซุ้มโค้งเขียนลายรดนา้ สนั นษิ ฐานว่าเป็นของเจ้านาย ฝายใน พระโอรสพระธิดา ทรงใช้ในการพระราชพธิ สี าคัญต่างๆ

ธรรมาสน์เทา้ สงิ ห์ สมยั รัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๕ บตุ ร ธิดา ของพระยาชยั วชิ ติ วศิ ิษฎธ์ รรมดา (ขา ณ ป้อมเพชร์) มอบให้เมื่อวันที่ ๑๙ กนั ยายน ๒๕๐๓ ธรรมาสนป์ ระดบั มุกสร้างขึ้นตามรปู แบบธรรมาสนส์ งั เคด็ งานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระ จลุ จอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั โดยมีรปู แบบจากสปั คับพระคชาธาร ดา้ นข้างและดา้ นหลังมีกระจังรปู ใบไม้ขนาดใหญ่ เรยี กว่า “ใบปรือ” ซง่ึ เดมิ มหี นา้ ทส่ี าหรบั กาบงั อาวธุ

พระพทุ ธรปู ทรงเคร่อื งพระมหาจกั รพรรดิ ศลิ ปะรัตนโกสินทร์ พทุ ธศกั ราช ๒๔๑๑ ทองเหลืองปดิ ทองคาเปลว ไดจ้ ากวัดวิเศษการ เมือ่ พุทธศักราช ๒๕๐๒

พระพุทธรปู ปางหา้ มสมทุ ร ศลิ ปะรตั นโกสนิ ทร์ พทุ ธศกั ราช ๒๔๓๔ ทองเหลืองปดิ ทองคาเปลว ไดจ้ ากวัดวเิ ศษการ เมอ่ื พทุ ธศกั ราช ๒๕๐๒ พระพทุ ธรปู ทรงจวี รลายดอก เป็นหน่ึงในการแสดงออกแบบสัจนิยมตามความ จริง ซง่ึ พระสงฆใ์ นสมยั นัน้ นิยมหม่ จวี รที่ยอ้ มจากแพรจีนมลี วดลาย แตก่ ็ยังคงสบื จารีต เดิม โดยพระพทุ ธรปู ยังคงมีลกั ษณะงามตามแบบอดุ มคติ

เอกอัครศาสนูปถัมภก นับตง้ั แต่พรพุทธศาสนาจากชมพทู วปี เข้ามาสถิตประดิษฐานเปน็ ศาสนาประจาอาณาจกั รต่างๆ ใน ดินแดนไทย พระมหากษตั รยิ ์ทกุ พรองคล์ ว้ นไดท้ รงทานุบารุงใหร้ ุง่ เรือ่ งสบื ต่อกันมาทุกยุคทุกสมัย ในสมยั กรุง รตั นโกสนิ ทร์ พระบรมกษัตริยแ์ ห่งราชวงศจ์ ักรี ทรงฟ้ืนจติ รใจ ความเช่ือมั่น ของคนไทยหลงั จากสูญเสยี กรุงศรี อยุธยา โดยโปรดเกล้าฯ ให้สงั คายนาพระไตรปฎิ กเปน็ งานใหญ่ มกี ารรวบรวมคัมภีรใ์ บลานอักษรต่างๆ ทว่ั ทุก หวั เมอื งมาตรวจชระและบันทึกใหม่ให้ถกู ต้องสมบูรณ์ ดังที่ยดึ ถือสืบมาถงึ ปัจจุบนั การทานุบารงุ พระพุทธศาสนาโดยสถาบันพระมหากษัตรยิ ์ ครอบคลุมถึงการอปุ ถมั ภค์ า้ ชูสถาบันสงฆ์ ไม่วา่ จะเปน็ พระภิกษุสามเณรผ้รู ูธ้ รรมสอบไลไ่ ด้เปรียญ หรือเป็นพระภิกษผุ ู้มีหน้าท่ีปกคครองสถาบนั สงฆ์ ไดแ้ ก่ พระสงั ฆาธิการพระราชาคณะท้งั ปวง โปรดเกล้าฯ พระราชทานนติ ยภัต เปน็ ปัจจัยสาหรบั บารงุ สมณ บรโิ ภคท่ีทรงปวารณาถวายไวเ้ ปน็ ประจา ตลอดจนพระราชทานเครอ่ื งอามิสบูชาแดพ่ ระสงฆท์ ง้ั ในวาระของ พระราชพิธี การเฉลิมฉลองและวาระพิเศษตา่ งๆ การบารุงอุปัฏฐากพระพุทธศาสนาของสถาบนั พระมหากษัตรยิ ต์ ลอดมา ไมเ่ พียงแสดงถึงพระจรยิ า วตั รทที่ รงน้อมนาธรรมะมาใช้ในการทรงงานพระราชกรณียกิจต่างๆ เทา่ นน้ั แตท่ รงครองพระองคเ์ ปน็ กษตั รยิ ์ ในการดารงไว้ซึ่งกรอบความประพฤติและศลี ธรรมจรรยาเป็นแบบอย่างแก่อาณาประชาราษฎรอ์ กี ดว้ ย ทัง้ จารตี ประเพณี ขนบธรรมเนียม พธิ ีกรรม ตลอดจนคา่ นิยมทดี่ ตี ามหลักพระพุทธศาสนา



หุ่นหลวง ห่นุ หลวงหรือหุ่นใหญ่ นิยมสร้างขนาดความสูงจากระดับศรี ษะถึงปลายเท้าตั้งแต่ ๘๕-๑๑๐ เซนติเมตร มีลาตัว แขน ขาและแตง่ ตัวเช่นเดียวกบั ละครภายในตวั หนุ่ ทาสายโยงติดกับอวยั วะของตวั ห่นุ และ ปลายเชอื กลงมารวมกันทแ่ี กนไม้ส่วนลา่ งเพ่ือใช้ดึงบงั คับใหเ้ คลื่อนไหวหนุ่ หลวงหนึ่งตวั ใช้ผู้เชิดเพียง ๑ คน

วงมโหรีเครอ่ื งใหญ่ วงมโหรี เป็นวงดนตรปี ระเภทขับกล่อมเพื่อความบนั เทงิ เรงิ รมย์ ซ่งึ มมี าแลว้ อยา่ งน้อยตัง้ แต่กรงุ ศรี อยุธยาตอนดันสันนิษฐานว่าผสมวงข้ึนโดยนาการบรรเลงพิณและขับไมเ้ ข้าด้วยกัน สมัยกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ไดน้ า เคร่อื งป่ีพาทย์ทล่ี ดขนาดให้เลก็ ลงเพิ่มเข้าในวงมโหรี ปจั จุบันวงมโหรีมีแบบแผนการผสมวง ๓ ขนาด คอื วง มโหรีวงเลก็ วงมโหรีเครื่องคู่ และวงมโหรีเคร่อื งใหญ่

เครือ่ งโขนบรรดาศักด์ิ รัชสมัยพระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยูห่ ัว รัชกาลท่ี ๖ (พ.ศ. ๒๕๕๓ -๒๙๖๘) เปน็ ยคุ ทนี่ าฏ ศลิ ปไี ทยเฟอื่ งฟู พระองคโ์ ปรดเกล้าฯ ให้ตงั้ กรมมหรสพซึง่ รวมเอากรมโขนพลวง กรมปีพาทยห์ ลวง กรมชง มหาดเล็กและกองเครื่องส่ายฝรง่ั หลวงไว้ ทัง้ ยังโปรดเกล้าๆ ให้ขนุ นาง ข้าราชการที่มียศมีตาแหน่ง มาฝึกแสด่ ง โขนเพ่ือการกุศล จงึ เรยี กกนั ว่า \"โขนบรรดาศกั ด์ิ\" เครื่องโขนละครบรรดาศักด์ิ เป็นชุดที่โปรดกล้าๆ ให้สร้างข้ึน เป็นพเิ ศษ เครื่องประดับส่งั ทาจากยุโรป

เครอื่ งดนตรีขับกล่อม MUSICAL INSTRUMENT FOR ROYAL SERENADE การดนตรี เป็นความรู้ท่ีอยูใ่ นหมวด \"คนั ธัพพศาสตร์\" ๑ ในศลิ ปะศาสตร์ ๑๘ หรอื วิชาความรูด้ ่างๆ ๑๘ ประการ สาหรับนักปกครองมีการเลา่ เรียนในชมพทู วีปตง้ั แตก่ ่อนพุทธกาล ซ่งึ ในจานวนท้ัง ๑๘ วิชาน้ี มี ประเภทของวชิ าแตกคา่ งกนั ไป ตามแค่ละคัมภรี ์จะระบุ โดยโบราณราชประเพณขี องพระมหากษัตราธิราชเจา้ น้นั กาหนดให้ผู้ทจ่ี ะเป็นกษัตริยต์ ้องทรงชานชิ านาญในศาสตร์เหล่านี้ ในกฎมณเฑียรบาล ซ่งึ คราขึน้ เมือ่ พ.ศ. ๒๐๐๐ รัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนากแห่งกรงุ ศรอี ยุธยา กาหนดเวลาพระราชานุกิจของพระเจา้ แผน่ ดนิ ไว้ว่า “หกทุ่มบกุ สภาดนตรี” อันหมายความว่า การฟังดนตรี เป็นพระราชกิจท่ีจะต้องทรงปฏิบตั ิเปน็ ประจาอย่างหนึ่งซึง่ เป็นขนบประเพณีราชสานักสืบเนื่องเร่ือยมากระทั่ง ถึงสมัยกรงุ รัตนโกสินทร์ สาหรับดนตรที ท่ี รงสดับตามกฎมณเฑยี รบาล มักใช้เครอ่ื งที่มีสายเปน็ อปุ กณ์ทาลานา คอื การบรรเลง พณิ ผูด้ ดี พิณ ขบั ร้องไปด้วยอย่างหนึง่ กบั ขับไม้ มซี อสามสายเปน็ เครอื่ งทาลานามีคนขับรอ้ งตา่ งหาก และ มบี ัณเทฑาะว์ประกอบจังหวะ โดยความหมายเดมิ ของคาว่า \"ดนตร\"ี นตี้ รงกับคาในภาษาสันสกฤตวา่ “ตะตะ ตนั ติ” ซงึ่ หมายถึง การเลน่ เครื่องสาย อนั ได้แก่การบรรเลงพณิ และขับไม้นัน้ เอง

หอ้ งพระวิมารที่ประทับ พระวิมานที่ประทบั พระทน่ี ่ังวสันตพมิ าน เปน็ พระวมิ านองคท์ ิศใดในหมู่พระวมิ าน ต องค์ สมเดจ็ พระบวรราชเจ้ามหา สุรสงิ หนาท ในสมยั รชั กาลท่ี ๑ โปรดใหส้ ร้างพระทนี่ งั่ องค์นข้ี ึน้ เปน็ พระราชมณเทยี รที่ประทับในฤดฝู น มี ลักษณะเปน็ อาคารก่ออิฐถือปูนสอ่ งช้นั ขนาดยาว๗หอั ง มีประตูทางเข้าทง้ั ดา้ นหน้าและด้านหลัง โดยทาเปน็ ชน และบนั ไดขนึ้ ทงั้ สองดัน ต่อมามีการปรับปรุงหมพู่ ระวิมานในมัยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักติพลเสพ ครง้ั รัชกาลที่ ๓ พระท่นี ่ังองค์น้ีจึงมิได้ถูกใชเ้ ป็นที่ประทับตลอดสมยั ในสมยั รชั กาลท่ี ๔ เมอ่ื พระบทสมเด็จพระป่ินกล้าเจ้าอยหู่ วั ทรงรับบวรราชาภเิ ษกและเฉลมิ พระรา ชมณเทียรแลว้ พระองคไ์ ด้เสด็จฯ มาประทบั ในพระทีน่ ัง่ องค์น้ชี ่วั ระยะหน่งึ ในขณะท่ีพระราชมณเทียรใหม่ คือ

พระท่นี ั่งอิศเรศราชนุสรณ์ยงั ไมแ่ ล้วเสรจ็ โดยมีการตั้งพระแท่นบรรทม แขวนเศวตฉัตรในพระทีน่ ่ังสันตพิมานน้ี ดังเช่นหอ้ งหระบรรทมที่พระท่นี งั่ จกั รพรรดิพมิ าน ภายในพระบรมมหาราชวัง การเฉลิมพระราชมณเฑียร หรอื คาสามัญคือ \"พธิ ีข้ึนบา้ นใหม่\" เป็นพระราชพิธีสาคญั ที่พระมหากษัตริ ยาธริ าชเจา้ ทรงรบั บรมราชาภิเษก บวรราชาภเิ ษก หรอื สมเดจ็ บวรราชเจ้าได้อุปราชาภิเษก หากพระมหากษตั ริย์ท่ีทรงครองราชยแ์ ลว้ ยงั ไม่ได้รับบรมราชาภเิ ษก บวรราชาภิเษก หรือสมเด็จบวร ราชเจา้ ท่ยี ังไม่ได้รับการอุปราชาภิเษก จะไม่เสด็จประทัพระราชมณเฑยี รเป็นอนั ขาด ต่อเมือ่ เสด็จขน้ึ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั ิ บรมราชาภิเษก บวรราชาภเิ ษก หรอื ไดร้ บั การอปุ ราชาภเิ ษกตามโบราณราชประเพณีแล้ว เท่านั้น จง่ึ จะเสด็จขึน้ ประทับ ณ ทบ่ี รรทมน้ไี ด้ พระแทน่ ทรงศลี พระแท่นองคน์ ี้ใช้สาหรับสมาทานพระอุโบสถศีลในวนั ธรรมสวนะ (ขน้ึ -แรม ๘ และ 1๕ ค่า) ซ่ึงมี ลกั ษณะตามหนึ่งในข้อกาหนดของการสมาทานศลี คือไมใ่ ห้ผู้ปฏิบัตนิ ั่งนอนเหนอื เตยี งตงั้ ทเี่ ท้าสงู เกนิ ภายในมี นนุ่ หรือสาลี โดยแทน่ ทรงศีลท่ปี รากฏนเี้ ปน็ ของสมเด็จพระบวรราชเจา้ มหาศกั ดิพลเสพ กรมพระราชวังบวร สถานมงคล ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวสว่ นบนของพระแทน่ ใชห้ ินอ่อนปูเพื่อให้ความรู้สกึ เย็นและสบายขณะประทับ

พระแท่นบรรทม พระแทนบรรทมองค์น้ี ตามประวัติระบวุ า่ ได้มาจากวัดอรณุ ราชวราราม สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ ทรงสันนิฐานว่าเดิมเป็นพระแทน่ ของสมเด็จพระศรสี ุรเิ ยนทราบรมราชินีใน รัชกาลท่ี ๒ ตงั้ แตค่ รงั้ ประทบั อยทู่ ่ีพระตาหนักแดงในพระบรมมหาราชวัง ภายหลงั เม่อื เสดจ็ พรอ้ มด้วย พระโอรสออกไปประทับทพ่ี ระราชวงั เดิม ธนบุรี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจา้ อยูห่ วั รัชกาลท่ี ๓ ทรงพระ กรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหย้ า้ ยพระตาหนักแดงท้งั หมูไ่ ปปลูกถวายและคงนาแทน่ นี้ไปดว้ ย ต่อมาเมือ่ พระโอรส คือ สมเด็จเจ้าฟา้ กรมขุนอิศเรศรงั สรรค์ ได้เสดจ็ บวรราชาภเิ ษกเป็นพระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจ้าอย่หู ัวแล้ว จึง โปรดใหย้ ้ายพระตาหนกั แดงส่วนท่ีเป็นท่ปี ระทับของพระองค์มาปลกู รักษาในพระราชวงั บวรสถานมงคล และ เม่ือพพิ ธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ไดร้ ับพระแทน่ บรรทมองค์นี้ซึ่งสันนิฐานวา่ เคยอย่ใู นพระตาหนักแดงมา กอ่ น จึงนาไปจัดแสดง ณ ทน่ี ั้น ก่อนจะย้ายมายงั พระท่นี ั่งวสนั ตพมิ านแหง่ น้ีดังในปจั จบุ ัน

หมากรุก พระเจ้ายาอภัยราชา ให้

เครื่องถ้วยในพระราชสา้ นกั เคร่อื งถ้วย คอื ภาชนะเครื่องปนั้ ดนิ เผา หตั ถศิลป์ทเี่ กิดจากการสร้างสรรค์ของมนุษย์เพื่อการดารงชีพ และสะสมอาหาร สะท้อนใหเ้ ห็นถงึ ภมู ิปัญญา สนุ ทรภี าพ และลักษณะของสังคม ในสังคมไทย เครอื่ งเบญจ รงค์ ลายนา้ ทอง ถือเปน็ เครื่องถว้ ยประเภทนเ้ี รยี กอีกอยา่ งหน่ึงวา่ เครือ่ งถ้วย “ให้อยา่ ง” ด้วยราชสานกั สยาม เปน็ ผู้ให้ตัวอย่างในการสั่งผลิต เครือ่ งเบญจรงค์ ราชสานกั สยามสรา้ งสรรค์ลวดลายท่มี ีความวิจติ รงดงามเป็นเอกลักษณ์บนเครอื่ งถว้ ย โดยได้แรงบันดาลใจจากเทพปกรณัมธรรมชาติ และผา้ แพรพรรณ เครื่องเบญจรงค์มแี หลง่ ผลิตสาคญั อยูใ่ น ประเทศจีน บรเิ วณแถบแม่น้าแยงซี เมืองจนิ่ เตอ๋ เจนิ้ มณฑลเขียงซี เมอื งเฉวยี นโจว มณฑลฝเู จย้ี น เมอื งเฉา โจว เมอื งกวางโจว และเมืองฝ่อซาน มลฑลกว่างตง หลกั ฐานทางโบราณคดใี นประเทศไทยพบการใช้เคร่ือง เบญจรงค์ยคุ แรกๆ บริเวณพระราชวงั โบราณ, วัดพระศรีสรรเพชญ,์ พระราชวงั จันทรเกษม จงั หวัด พระนครศรีอยุธยา, พระทน่ี ่ังเย็น, วัดพระศรีรตั นมหาธาตุ จังหวัดลพบรุ ี นอกจากน้ียงั พบเครอื่ งเบญจรงค์ใน พระราชวงั บวรสถานมงคล (วงั หน้า) กรงุ เทพฯ วัดและชมุ ชนโบราณในภาคกลาง เชน่ จงั หวดั พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี อ่างทอง สิงห์บุรี วัดและชุมชนโบราณบางจงั หวดั ในภาคเหนือ ภาคใต้ และภาค ตะวันออกเฉียงเหนอื ของประเทศ อย่างไรก็ดี ในพุทธศตวรรษที่ ๒๕ กระแสความนยิ มเครอ่ื งเบญจรงคใ์ นราช สานกั สยามลดลง ด้วยเกิดเหตกุ ารณ์กบฏได้ผงิ ในประเทศจีน ส่งผลใหเ้ ตาเผาเคร่อื งถ้วยที่เมอื งจ่ินเต๋อถูก ทาลายเป็นจานวนมาก การเลน่ เคร่ืองโต๊ะ กระแสการสะสมเครื่องลายครามคณุ ภาพดี เอการประดับตกแตง่ พระท่ีนงั่ พระ ตาหนัก และการเล่นโตะ๊ เคร่ืองบูชาอย่างจนี เกิดขนึ้ ในสมัยพระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลศิ หลา้ นภาลัย (พ.ศ. ๒๓๕๒-๒๓๖๗) กอ่ เกิดความนยิ มจัดเคร่อื งโต๊ะประกวดแข่งขนั อย่างแพร่หลายจนต้องมีการกาหนด หลักเกณฑ์การจัดเครือ่ งโต๊ะและการตดั สินใหร้ างวลั ต่อมาในสมัยพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั (พ.ศ.๒๔๑๑-๒๔๕๓) ทรงมพี ระราชดาริตังกฎหมายสาหรบั การตรวจโตะ๊ ข้ึน และทรงแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ ตราเป็น พระราชบญั ญตั ิข้อบงั คบั ในการตัดสนิ เครื่องโต๊ะ ร.ศ.๑๑๙ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๔๓ ซึง่ ยังคงใช้ในหมนู่ ักสะสม จนถึงปัจจุบนั โดยไม่มีการแก้ไขเปลีย่ นแปลงหลักเกณฑ์ในการประกวดเครื่องโตะ๊ แต่อย่างใด







โลหะกับงานประณตี ศิลป์ โลหะ คอื หน่งึ ในแร่ธาตุอนั มีคา่ และมีความสาคญั ต่อชวี ติ มนษุ ย์ ดว้ ยคุณสมบัติคงทน แขง็ แรง สามารถปรบั เปล่ียนให้มรี ูปลักษณ์ต่างๆ ได้หลากหลายวธิ ชี าวไทยจงึ ใชป้ ระโยชนจ์ ากโลหะหลายชนดิ โดยเฉพาะการนาโลหะทยี่ าก และมีมูลค่าสู. มาประดิษฐ์ดว้ ยฝีมือเชงิ ชา่ งอนั ประณตี ให้เป็นเครอ่ื งใช้ใน ชีวติ ประจาวัน เครื่องประดบั และศาสนวตั ถุ ที่เรยี กรวมกนั วา่ “เครอ่ื งโลหะ” ศลิ ปวัตถเุ ครื่องโลหะของไทย นอกจากจะสะท้อนถงึ วถิ ชี วี ติ เปน็ อยขู่ องผู้คนในแต่ละยุค ผา่ นรูปลักษณ์ และประโยชนใ์ ช้สอยแลว้ ยังสื่อสัญญะถึงค่านิยมคติความเชื่อ และธรรมเนียมประเพณขี องแต่ละกาลสมัยอกี ทง้ั เปน็ เครื่องแสดงอานาจ สถานะทางสงั คมของผู้ครอบครอง ผา่ นการพระราชทาย “เครื่องยศ” หรือ “เคร่ือง ราชอสิ ริยยศ” แก่ พระบรมวงศานวุ งศ์ ขนุ นางและข้าราชกาบ ผสู้ รา้ งคณุ ประโยชนใ์ หแ้ ก่บ้านเมืองซ่ึงแตกตา่ ง กันไปตามฐานันดรศักดิ์ท่ีได้รับ ลาดับชนั้ ของบรรดาศกั ดิ์ สังเกตได้จากความแตกต่างของเครือ่ งยศที่เป็นเครื่องอุปโภคบรโิ ภค ท้งั ใน ส่วนของโลหะทใ่ี ชผ้ ลติ การตกแตง่ และรูปทรง เชน่ ข้าราชการท่ไี ด้รบั พระราชทานพานทอง หรือทเ่ี รยี กว่า “พระยาพานทอง” จะมยี ศศักดิ์ส.ู กวา่ พระยาท่ไี ด้รับพระราชทายโต๊ะทองหรือทีเ่ รยี กว่า “พระยาโตะ๊ ทอง” หรือเคร่ืองยศทองคาลงยาราชาวดีจะเป็นเคร่อื งใชเ้ ฉพาะพระบรมวงศานวุ งศแ์ ละขนุ นางช้นั สูง





ราชรถในบรมพิธี พระมหาพชิ ยั ราชรถ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกลา้ ฯ ให้สรา้ งขน้ึ เพ่ือถวายพระเพลงิ พระ บรมอฐั ิสมเด็จพระปฐมบรมราชรถ ในปี พุทธศักราช ๒๓๓๘ โดยใชม้ หาพิชัยราชรถทรงพระบรมโกศ เพ่ือ ถวายพระเพลงิ ณ พระเมรุ ในปี พุทธศกั ราช ๒๓๓๙ จากนนั้ มาจึงถือเปน็ ราชประเพณีจะนาราชองค์นเ้ี ปน็ ราช รถเชิญพระโกศกพระบรมศพพระมหากษัตรยิ ์ พระบรมราชินี และพระมหาอุปราชในสมยั ต่อๆมา พระมหาพชิ ยั ราชรถ สร้างด้วยไมแ้ กะสลกั ปิดทองประดับกระจก มขี นาดกว้าง ๔.๙๐ เมตร ความยาว พรอ้ มงอนรถ ๑๘ เมตร (เฉพาะตัวรถ ๑๔.๑๐ เมตร) สูง ๑๑.๒๐ เมตร นา้ หนกั ๑๓.๗ ตนั ใชก้ าลังพลชักลาก จานวน ๒๑๖ คน

พระจิตกาธาน งานพระราชทานเพลงิ พระศพ สมเด็จพระเจา้ ภคนิ เี ธอ เจา้ ฟ้าเพชรรตั นราชสุดา สริ ิโสภาพณั ณ วดี “จิตกาธาน” คอื เชงิ ตะกอน หรอื ฐานทที่ าขน้ึ สาหรบั เผาศพ คาว่า จติ กาธาน ใชส้ าหรบั พระเจ้า แผ่นดนิ และพระบรมวงศานุวงศ์ ประกอบดว้ ยฐานเผารปู สเ่ี หล่ียม ภายในใส่ดนิ เสมอปากฐาน สาหรับวางฟืน เรยี กวา่ เรอื นไฟ เหนอื เรือนไฟเปน็ ตารางเผา มีเสาเหล็ก ๔ เสา รองรับตารางเผาและชน้ั เรือนยอด ตกแต่งด้วย กระดาษสีและเครือ่ งสดเปน็ เครอื่ งกนั ไฟและเครือ่ งประกอบสาหรบั ยศผตู้ าย

พระโกศจนั ทร์และพระหีบจนั ทร์ พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดลุ ยเดช บรมนาถบพติ ประดิษฐานบนพระจติ กาธาน พระโกศจันทรแ์ ละพระหบี จันทรป์ ระดิษฐานบนพระแท่นจิตกาธาน เบือ้ งล่างท่อนฟืนไม้จันทร์ลงรัก ปิดทองจานวน ๒๔ ท่อน ล้อมรอบดว้ ยเทวดานั่งและยืนถือตาลปิ ัตรบังเพลิง พร้อมดว้ ยยอดพระจติ กาธานรูป “พรหมพักต์”

ราชรถนอ้ ย ราชรถบษุ บกขนาดเล็ก ซ่ึงสร้างข้ึนในสมัยรัชกาลที่ ๑ สามองค์ เมื่อพุทธศักราช ๒๓๓๘ คอื รถพระ รถโยง และรถโปรย องคแ์ รกใชส้ าหรบั พระสงฆป์ ระทบั สวดพระอภิธรรมนาหน้ารถทรงพระโกศ เพราะนับถอื ว่าพระสงฆ์เปน็ ผู้ทรงศลิ ป์บรสิ ุทธิ์ ผู้ซง่ึ จะนาทางแกผ่ ตู้ ายไปสสู่ ุขคติในภพหน้า องค์ท่สี องสาหรบั พระบรม วงศานุวงศโ์ ยงผา้ สดบั ปกรณ์ โดยถือทางคติธรรมว่า ลกู หลานตอ้ งชกั จูงบิดามารดาใหน้ อ้ มไปทางธรรม และ องค์ทสี่ ามสาหรับโปรยขา้ วสาร ขา้ วตอก ดอกไม้ เป็นคตธิ รรมวา่ ผู้ตายเปรียบเสมือนข้าวสาร และขา้ วตอก

เปรียบเสมอื นสงั ขารรา่ งกายแตกทาลายแล้วย่อมไม่กลับคนื เพอื่ ท่านผรู้ จู ะได้ปลงสงั เวช ต่อมารัชกาลท่ี ๖ โปรดเกล้าฯ ให้เลอื กประเพณีโยงและโปรย ขบวนแหพ่ ระบรมศพและพระศพจึงคงเหลือแตร่ ถพระสงฆ์อา่ น พระอภธิ รรมนาหนกั ราชรถทรงพระโกศเทา่ นนั้ จนถงึ ปัจจุบัน ขบวนพระราชอสิ ริยยศในพระราชพธิ ีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ปัจจุบัน ขบวนพระราชอิสริยยศในพิธถี วายพระบรมศพ ประกอบดว้ ย ๖ ร้วิ ขบวน คือ รวิ ขวนท่ี ๑ อัญเชิญพระบรมศพดว้ ยพระยานมาศสามลาคานพระทน่ี ่งั ดุสิตมหาปราสาทไปยังหน้าวัดพระเชตุ พนวิมลมงั คลาราม แล้วเทียบเกรนิ อญั เชิญพระบรมศพประดษิ ฐานบนพระมหาพิชัยราชรถ ร ริวขบวนที่ ๒ อัญเชญิ พระบรมศพจากหน้าวดั พระเชตุพนวิมลมังคลาราม แลว้ เทยี บเกรินอญั เชญิ พระบรมศพ รวิ ขบวนท่ี ๓ อัญเชญิ พระบรมศพจากพระมหาพิชยั ราชรถด้วยเกริน ประดิษฐานพระบรมศพบนยานมาศสาม ลาคานเวียนอตุ ราวฏั รอบพระเมรุมาศ ๓ รอบ จากนั้น เทยี บเกรนิ ขึ้นสพู่ ระเมรุมาศ

ริวขบวนท่ี ๔ อัญเชิญพระบรมอัฐิ ประดิษฐานบนพระทน่ี ั่งราเชนทรยานและพระบรมราชสรีรางคาร ประดิษฐานบนพระวอสวี กิ าญจน์ จากพระเมรุมาศเข้าสู่พระบรมมหาราชวงั รวิ ขบวนที่ ๕ อัญเชญิ พระบรมอฐั จิ ากพระท่นี ่ังดสุ ิตมหาปราสาทขน้ึ ประดษิ ฐานบนพระที่น่ังจกั รีมหาปราสาท รวิ ขบวนที่ ๖ อัญเชญิ พระบรมราชศรรี างควรไปสสุ านหลวง สาหรบั ขบวนพระราชอิสรยิ ยศในพระราชพีถวาย พระเพลงิ พระบรมศพน้นั จะถวายพระเกยี รติยศสงู สดุ ดว้ ยขบวนสี่สาย คอื ในหนง่ึ ขบวนนน้ั จะประกอบด้วยขา้ ราชบริพารขากกรมกองตา่ งๆ จัดเปน็ ๔ ร้วิ หรอื ๔ แถว


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook