ดา้ นงานประณีตศลิ ปส์ มยั อยุธยา งานชา่ งทุกแขนงมีความรงุ่ เรอื งอย่างยิ่ง เห็นได้จากเครื่องทองสมยั อยธุ ยาตอนตน้ พบที่กรพุ ระปรางค์ วัดราชบูรณะ และวดั หาธาตุ งานไม้แกะสลัก เช่น บานประตวู หิ าร หรอื อโุ บสถ ตู้พระธรรมลายรดน้า งานเครอ่ื งมกุ งานประดบั กระจก ฯลฯ แม้กรงุ ศรอี ยุธยาสิ้นสดุ ลง ทว่าความ วจิ ติ รบรรจง และความเช่ียวชาญของงานประณตี ศิลป์ ลว้ นได้รบั การสืบทอด สู่กรงุ รัตนโกสนิ ทร์ พระลกั ษมี ศิลปะอยธุ ยา พธุ ศตวรรษที่ ๒๑ (๕๐๐ ปี มาแล้ว) สมบตั เิ ดมิ ชองพพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ พระนคร
พระลกั ษมสี องกร ยืนหยอ่ นพระชานซุ ้ายเลก็ น้อย ทรงยกพระกรซ้ายถือดอกบวั ศิราภรณ์ มกี ระบงั หน้า และครอบพระ เศยี รยอดแหลม สะท้อนถงึ เครื่องทรงของพระอรรคมเหสี พระราชเทวี ในวฒั นธรรมอยธุ ยา วา่ ลกั ษณะเช่นเดยี วกบั ทีพ่ บใน เทวสตรีสโุ ขทยั แตต่ า่ งกนั ท่ไี มม่ มี วยพรเกศาทท่ี ้ายทอย พระวษิ ณุ ศลิ ปะอยธุ ยา พธุ ศตวรรษที่ ๒๐ – ๒๑ (๕๐๐ – ๖๐๐ ปี มาแล้ว ) สมบตั พิ ระนคร พระวษิ ณุส่ีกรยนื ทรงเครอ่ื งประดบั อยา่ งกษตั ริย์ลกั ษณะเด่นคอื พระเกศายาว และเกลา้ พระเมาลสี ูงคาดผ้า คลมุ ทรงกระบอกมชี ายแทรกดา้ นหนา้ แบบนกั บวชหรือฤๅษี คล้ายกับการเกล้ามวยของพระวิษณบุ างองค์ใน ศลิ ปะลพบรุ ีหรือศิลปะเขรมในประเทศไทย หรอื พระฤๅษีในภาพสลัชาดกอุโมงคว์ ดั ศรีชมุ จงั หวดั สุโขทยั ซงึ้ สร้างสรรคข์ ้ึนก่อน
แผ่นไม้จา้ หลกั ภาพสถูปและเทวดา ศลิ ปะอยธุ ยา พธุ ศตวรรษที่ ๒๒ – ๒๓ (๓๐๐ – ๔๐๐ ปี มาแล้ว ) ได้จากทา่ มะนาว จงั หวดั สพุ รรณบรุ ี แผน่ ไมจ่ าหลกั ภาพสถปู ประกอบเทวดาสอี่ งค์ ด้านหลงั เป็ นเครื่องสงู สถปู เป็ นตวั แทนของพระพทุ ธเจ้า “สงั คโลก” คือเคร่ืองป้ันดินเผาเนอ้ื แกรง่ เผาไฟในอุณหภมู ิสงู ระหวา่ ง ๑,๐๐๐- ๑,๒๐๐ องศาเซลเซยี ส เป็น ค้าท่มี าจากช่อื เมือง “สวรรคโลก” ซ่ึงเป็นชื่อเดมิ ของเมืองศรีสัชนาลัยในสมัยอยุธยา เคร่อื งสงั คโลกไดร้ ับ อิทธพิ ลมาจากเคร่ืองปั้นดนิ เผาจีนและเป็นสนิ ค้าสง่ ออกทส่ี ้าคญั ของอาณาจักรอยธุ ยา เม่ือชว่ งกลางพุทธ ศตวรรษที่ ๒๐ ถึงต้นพุทธศตวรรษท่ี ๒๒ เตาเมอื งศรีสชั นาลัย พทุ ธศตวรรษที่ ๒๑ เตาเมืองศรีสชั นาลัย พุทธศตวรรษท่ี ๒๐ ไดจ้ ากแหลง่ เรอื จมเกาะคราม จังหวัดชลบรุ ี
เตาเมืองศรีสัชนาลยั พุทธศตวรรษท่ี ๒๑ ไม่ปรากฏท่ีมา เตาเมอื งศรสี ชั นาลยั พุทธศตวรรษท่ี ๒๑ ไม่ปรากฏที่มา เตาเมอื งศรีสชั นาลัย พุทธศตวรรษที่ ๒๑ ได้จากแหล่งเรือจมกลางอ่าไทย เตาเมอื งศรสี ชั นาลัย พทุ ธศตวรรษที่ ๒๑ ไดจ้ ากแหลง่ เรือจมเกาะกระตาด จงั หวดั ตราด
กระปกุ พร้อมฝา ลายคราม ศิลปะอยธุ ยา พธุ ศตวรรษท่ี ๒๓ (๓๐๐ ปมี าแล้ว ) พระยาดารงธรรมสาร (สรา่ ง วิเศษศิร)ิ มอบให้พพิ ธิ ๓ณ สถานแห่งชาติ เม่ือพทุ ธศักราช ๒๔๘๔ กระปุกพร้อมฝา เขียนลายครามใต้เคลือบ เป็นลายไทย ลายดอกไมป้ ระดิษฐ์ก้านขด โดยลงรายละเอียดของ ลวดลายด้วยเส้นขาวบนพืน้ สีคราม เป็นเอกลกั ษณ์อนั โดดเด่นของเครอื่ งลายครามสมยั อยธุ ยาตอนปลายที่สั่ง ทาพิเศษจากราชสานกั จีน
พระปรางคจ์ ้าลอง ศิลปะอยุธยา พธุ ศตวรรษท่ี ๒๒ – ๒๓ พบท่ีวัดเชิงทา่ จงั หวัดนนทบรุ ี พระปางจาลองดนิ เผา รูปทรงคล้ายฝกั ข้าวโพด ประกอบดว้ ยส่วนเรอื นธาตุ ซ่ึงแต่ละด้านมีซุ้มจระนาเปน็ ชอ่ ง เว้าเขา้ ไป และส่วนยอดเป็นชั้นรดั ประคดซ้อนช้นั ประดบั ด้วยกลีบขนนุ ทด่ี ้านและมุมทุกชนั้ พระปรางค์เป็น รูปแบบสถาปตั ยกรรมสาคัญในสมยั อยธุ ยามีรปู แบบท่คี ลค่ี ลายมาจากปราสาทเขมร
หวั โขน โขน เปน็ มหรสพหลวงทแ่ี สดงในพระราชพธิ ีสาคัญมาแตค่ ร้ังกรุงศรีอยุธยา ผ้แู สดงโขนแต่โบราณเป็นชายลว้ น ทั้งตัวพระ นาง ยกั ษ์ ลงิ นกั แสดงจะตอ้ งสวมหัวโขนหรือ หนา้ โขน ยกเวน้ ผแู้ สดงเปน็ ตวั นาง และใช้ลีลา ท่าทางการแสดงด้วยการเตน้ ไปตามบทพากย์ การเจรจาของผพู้ ากยแ์ ละตามทานองเพลงหนา้ พาทยท์ ี่บรรเลง ดว้ ยวงป่พี าทย์ เรอ่ื งทแี่ สดงเป็นหลักคอื รามเกยี รต์ิ อนั เปน็ เรื่องเก่ียวข้องกับพระผูเ้ ป็นเจ้าผูส้ วมบทต่างๆจงึ ต้องแสดงดว้ ยความเคารพ การแสดงโขนทุกขัน้ ตอนจึงประกอบดว้ ยขนบธรรมเนยี มและพธิ ีกรรม
ต้พู ระธรรมประดับมุก ศิลปะอยธุ ยา ปลายศตวรรษที่ ๒๓ จอมพลเรือ สมเดจ็ พระเจ้าพรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟ้าบริพตั รสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรคว์ รพินิต ประทานเมื่อ ๒ พฤษจิกายน ๒๔๗๕ ต้พู ระธรรมขาหมู ยานตู้ท้ังดา้ นหน้าและด้านข้างประดบั มุกเปน็ ลายกนกรูปสัตวห์ ิมพานในวงกลม บานตูป้ ระดับมุกใบนี้ดัดแปลงมาจากบานประตูพระอโุ บสถสมนั อยุธยาทชี่ ารดุ โดยบานประตปู ระดบั มกุ สมยั อยุธยา ส่วนใหญ่สร้างขน้ึ
บานประตูประดบั มุก ศลิ ปะอยุธยา พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๒๙๕เดิมเป็นบานประตูพระอโุ บสถวัดบรมพุทธารราม จงั หวัด พระนครศรอี ยธุ ยา กรมศลิ ปากรรบั จากสานกั พระราชวงั เมื่อ เดอื นมนี าคม ๒๕๕๖ บานประตปู ระดับมุกค่นู สี้ มเด็จพระเจ่อย่หู ัวบรมโศก โปรดเกล้าฯ ใหช้ า่ งมุกสร้างขึน้ โดยใชเ้ วลาทา เดือน ๒๔ วนั และเคยเป็นบานประตูทางเข้าหอพระมณเฑียรธรรม ในวัดพระศรรี ตั นศาสดาราม ระหวา่ ง พุทธศกั ราช ๒๔๗๔ – ๒๕๕๖
พระลักษมี ศิลปะอยุธยา พุทธศตวรรษท่ี ๒๑-๒๒ (๔๐๐-๕๐๐ ปมี าแล้ว) สารดิ
พระพทุ ธรปู ทรงเคร่ืองพระมหาจกั รพรรดิ ศลิ ปะอยธุ ยา พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๓ (๓๐๐ ปีมาแล้ว) สาริด ไดจ้ ากวดั เบญจมบพิตรดุสติ วนาราม กรงุ เทพมหานคร
พระพทุ ธรูปทรงเครอ่ื งปางประธานอภัย ศลิ ปะอยุธยา พทุ ธศักราช ๒๐๘๔ สารดิ ได้จากวัดเบญจมบพติ รดุสติ วนาราม กรงุ เทพมหานคร ปางประทานอภยั หรอื ทภี่ าษาสนั สฤตเรียกวา่ “อภยมุทรา” คาว่า มุทรา มีความหมายถึงการแสดง ท่าดว้ ยมือ เพ่ือส่ือความหมายตา่ งๆ ของพระพุทธรปู ซ่ึงอาจเกี่ยวขอ้ หรอื ไมเก่ียวข้องกบั พทุ ธประวตั ิก็ได้ “อภัย” แปลวา่ ไม่มีอภัย หรือ “ไมห่ ว่ันเกรงภยั ใดๆ” โดยภัยทย่ี ิ่งใหญ่ สาหรับสัตวโ์ ลกคือ ทุกข์ นน่ั เอง ทง้ั น้ีพระพทุ ธองคท์ รงมีพระเมตตาสงั่ สอนให้มนุษย์ถึงเรื่องทุกข์และวธิ ีปฏบิ ตั ิ ใหถ้ ึงความดับทกุ ข์
พระเศียรพระพุทธรูป ศิลปะอยธุ ยา พุทธศตวรรษท่ี ๒๑ (๕๐๐ ปีมาแลว้ ) สาริด จากการขดุ ค้นวหิ ารหลวง วัดพระศรีสรรเพชญ์ พระราชวังโบราณ จ.พระนครศรอี ยธุ ยา
พระพทุ ธรูปทรงเครื่อง ปางประทานอภยั ศิลปะอยุธยา พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๑-๒๒ (ประมาณ ๔๐๐-๕๐๐ ปมี าแล้ว) พบในเจดียว์ ัดเขาธรรมามูล อาเภอเมืองชัยนาท จังหวัดชยั นาท
พระเจดยี ์จ้าลองบรรจพุ ระบรมสาริริกธาตุ ศลิ ปะอยุธยา พุทธศตวรรษที่ ๒๑ (๕๐๐ ปีมาแลว้ ) ขดุ ได้ในวดั พรศรีสรรเพชญ์พระราชวงั โบราณ จงั หวัดพร นครศรีอยธุ ยา พระเจดีย์จาลองบรรจพุ ระบรมสารีรกิ ธาตุ จาลองจากเจดีย์ทรงระฆังในสมยั อยธุ ยาตอนกลาง มรี ูปแบบ สถาปัตยกรรมใกลเ้ คยี งกบั กลุ่มเจดยี ป์ ระธานทรงระฆัง ภายในวดั พระศรสี รรเพชญ์ จงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา ซง่ึ ไดร้ บั อิทธิพลจากเจดยี ์ทรงระฆงั จากลงั กาผา่ นทางอาณาจักรสุโขทัย
พระพทุ ธรูปปางมารวิชัย ศิลปะอยธุ ยา ราวสตวรรษท่ี ๒๐-๒๑ (ประมาณ ๕๐๐-๖๐๐ ปีมาแล้ว) ไดจ้ ากวัดร้างแห่งหนง่ึ ใกล้วัดบางอ้อยชา้ ง จงั หวดั นนทบรุ ี
โคอุสภุ ราช พาหนะของพระอิศวร (โนนทิ) ศิลปะอยุธยา พุทธศตวรรษท่ี ๒๑-๒๒ (ประมาณ ๔๐๐-๕๐๐ ปมี าแลว้ )
พระพทุ ธรูปทรงเครอื่ งใหญ่ ปางมารวิชยั ศิลปะอยธุ ยา พทุ ธศตวรรษที่ ๒๓ (ประมาณ ๓๐๐ ปมี าแลว้ )
พระวิษณุส่กี ร ศิลปะอยธุ ยา พุทธศตวรรษท่ี ๒๑ (ประมาณ ๕๐๐ ปแี ล้ว) ได้จากเทวสถาน กรงุ เทพฯ
พระสทาศวิ ะ ศลิ ปะอยธุ ยา พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๑-๒๒ (ประมาณ ๔๐๐-๕๐๐ ปมี าแลว้ ) พบท่วี ัดหนา้ พระเมรุ จ.พระนครศรีอยธุ ยา
เศียรพระพรหม (พรหมพักตร์) ศลิ ปะอยธุ ยา พุทธศตวรรษที่ ๒๑ (ประมาณ ๕๐๐ ปมี าแลว้ ) พบท่วี ดั แก้ว อ.ไชยา จ.สรุ าษฎรธ์ านี
พระพทุ ธรูปไมป้ างมารวชิ ัย ศลิ ปะอยธุ ยา พุทธศตวรรษท่ี ๒๐-๒๑ (ประมาณ ๕๐๐-๖๐๐ ปีมาแล้ว) เดมิ ได้มาจากทา่ มะนาว อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี กรมศลิ ปากรซอ้ื จากพพิ ิธภณั ฑ์ของหม่อมเจา้ ปิยะภักดีนาถ สปุ ระดษิ ฐ์
พระพทุ ธรูปทรงเครอื่ ง ปางประทานอภยั ศิลปะอยธุ ยา พทุ ธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ (ประมาณ ๔๐๐-๕๐๐ ปมี าแลว้ )
ประตมิ ากรรสาริด ๔. ศรี ษะลิง ๕. ศรี ษะสนุ ขั ศิลปะอยุธยา พุทธศักราช ๒๐๐๑ พบทว่ี ัดพระศรีสรรเพชญ์ จ.พระนครศรีอยธุ ยา ๑. เศรยี รเทพ ๒-๓. เศียรฤาษีหรือพรหมณ์
ประติมากรรมสาริดรูปพระโพธิสตั ว์เสวยพระชาตเิ ป็ นฤาษีหรือโยคี ศิลปะอยุธยา พุทธศักราช ๒๐๐๑ พบทีว่ ัดพระศรีสรรเพชญ์ จ. พระนครศรีอยธุ ยา พระพทุ ธรูปปางมารวชิ ยั
ศลิ ปะอยธุ ยา พุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ (ประมาณ ๔๐๐-๕๐๐ ปมี าแลว้ ) พระพทุ ธรูปปางมารวชิ ยั ศิลปะอยุธยา พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๑-๒๒ (ประมาณ ๔๐๐-๕๐๐ ปมี าแลว้ )
พระพทุ ธรูปปางประทานอภยั ศลิ ปะอยุธยา พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๑-๒๒ (ประมาณ ๔๐๐-๕๐๐ ปมี าแลว้ )
พระพทุ ธรูปทรงเคร่ืองใหญ่ ปางประทานอภยั ศลิ ปะอยุธยา พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๒-๒๓ (ประมาณ ๓๐๐-๔๐๐ปมี าแลว้ )
พระพทุ ธรูปผจญมารประดบั ใต้ซ้มุ โพธิ์ ศิลปะอยธุ ยา พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๑-๒๒ (ประมาณ ๔๐๐-๕๐๐ ปีมาแลว้ ) เดิมประดิษฐานที่วดั บวรนิเวศวิหาร เป็นของสมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส
พระพทุ ธรปู ตา่ งๆ ศิลปะอยธุ ยา พุทธศตวรรษที่ ๒๑ (ประมาณ ๕๐๐ ปีมาแล้ว) พบในกรุพระเจดีย์ประธานองค์ทศิ ตะวันออก วันพระศรีสรรเพชญ์ จ.พระนครศรอี ยุธยา เม่อื พ.ศ. ๒๔๗๕
รอยพระพุทธบาท ศลิ ปะอยุธยา พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๑-๒๒ (ประมาณ ๕๐๐-๖๐๐ ปีมาแล้ว) พบทีว่ ัดพระราม อ. เมืองพระนครศรอี ยุธยา จ.พระนครศรีอยธุ ยา
เศียรพระพุทธรปู ศลิ ปะอยธุ ยา พุทธศตวรรษที่ ๒๐ (ประมาณ ๖๐๐ ปีมาแล้ว) พบท่วี ัดนครโกษา อ.เมืองลพบุรี จ.ลพบุรี
เศยี รพระพุทธรูป ศลิ ปะอยธุ ยาตอนตน้ พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙-๒๐ (ประมาณ ๖๐๐-๗๐๐ ปมี าแลว้ )
เศียรพระพุทธรูป ศลิ ปะอยธุ ยาตอนตน้ พทุ ธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐ (ประมาณ ๖๐๐-๗๐๐ ปมี าแลว้ ) สมบัติของพิพธิ ภณั ฑสถานแห่งชาตมิ าแตเ่ ดิม
พระพทุ ธรูปยนื ศลิ ปะก่อนอยุธยา พทุ ธศตวรรษที่ ๑๘-๑๙ (ประมาณ ๗๐๐-๘๐๐ ปมี าแลว้ ) ได้จากวดั กฏุ ิ จ.ปราจีนบรุ ี
เศียรพระพทุ ธรปู ศิลปะอยุธยาตอนตน้ ราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๙ – ตน้ พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐ (ประมาณ ๖๐๐-๗๐๐ ปมี าแล้ว) ๑-๒ พบทีว่ ดั มหาธาตุ จ. ลพบรุ ี
วดั ราชบูรณะ จ. พระนครศรีอยธุ ยา
แผนที่กรุงศรีอยุธยา เขียนโดยชาวฮอลนั ดา เม่ือประมาณตน้ พธุ ศตวรรษท่ี ๒๓ งานประณตี ศลิ ปส์ มัยอยุธยา งานประณตี ศลิ ป์ หมายถึง งานศิลปกรรมทีจ่ ัดสรา้ งข้ึนอย่างวจิ ิตรบรรจง งดงามด้วยฝมี อื โดยให้ ความสาคัญกบั คณุ ค่างามมากกวา่ ประโยชน์ใชส้ อย โดยมากสร้างขึ้นเพ่ือรับใช้ศาสนา และราชสานัก สมยั อยธุ ยาเปน็ ชว่ งทง่ี านประณีตศลิ ป์มีความรุ่งเรืองมากท่ีสุดสมัยหน่งึ งานประณีตศลิ ป์สมยั อยุธยา เกิดจากการสบทอดความรู้ และฝมี อื ของช่างรุ่นต่อร่นุ ทาให้มีทั้งความงาม และเอกลกั ษณเ์ ฉพาะตวั งานโลหะ ได้แก่ เคร่ืองทอง เคร่ืองเงิน หรือโลหะอืน่ ๆ โดยใชว้ ธิ ตี ่างๆ ได้แก่ การตี การบุ การดนุ การ หลอ่ การสลัก เพื่อสรา้ งศลิ ปกรรม เชน่ พระพุทธรูป เคร่ืองราชูปโภค เครอื่ งประดับ ฯลฯ งานไมจ้ า้ หลัก เกิดจากการแกะสลกั ไมใ้ ห้เกดิ ลวดลาย เชน่ ธรรมาสน์ ตพู้ ระธรรม ราชยาน บษุ บก ฯลฯ งานประดบั กระจก เปน็ การตกแต่งผิววัตถกุ ระจกสีตา่ งๆ เช่น ราชรถ ราชยาน ฯลฯ
งานประดบั มุก เป็นการตกแต่งผิววัตถดุ ้วยชนิ มกุ ขนาดเลก็ ใหเ้ กดิ ลวดลาย เชน่ บานประตู หน้าตา่ ง ตู้พระธรรม ฯลฯ งานลงรักปิดทอง เปน็ การปดิ ทองบนพนื้ รัก เพ่อื ให้เกดิ ลวดลายตัดกนั ระหว่างพน้ื หลังทเ่ี ปน็ สีดาและ ลวดลายทเ่ี ป็นสีทอง เชน่ บานประตู บานหน้าตา่ ง ตู้พระธรรม ฯลฯ งานปนู ป้ัน เปน็ การป้ันปนู เป็นลวดลายตา่ งๆ มักใชต้ กแต่งอาคาร เชน่ สถปู เจดีย์ หนา้ บันชองอโุ บสถ วหิ าร ท้ังนี้การสรา้ งสรรคง์ านประณีตศลิ ป์ต่างๆ อาจใช้หลายกรรมวธิ ีผสมผสานกนั เพ่ือให้เกดิ ความ สวยงามเป็นพิเศษ ท้งั นี้ ข้ึนอย่กู ับฐานานุศักดขิ์ องผสู้ รา้ งถวายหรอื ผูใ้ ชส้ อย เช่น เครอ่ื งไม้จาหลักปดิ ทอง เครือ่ งประดบั จก เปน็ กานประณีตศลิ ป์ประดับสงู สดุ ใช้เฉพาะองค์พระมหากษัตริย์ หรือพระมหากษัตริย์สรา้ ง ถวายเนอ่ื งในพระพทุ ธศาสนา เชน่ เรือพระท่นี ่ัง ราชรถ ราชยาน เปน็ ต้น ความภัคดตี อ่ กษัตรยิ ์และความสทั ธาในพระพุทธศาสนาทมี่ ีพระมหากษัตริย์ เปน็ องค์อุปถมั ภ์ ก่อให้เกดิ งานประณีตศิลป์เป็นจานวนมาก แมว้ า่ กรุงศรอี ยุธยาไม่ไดเ้ ปน็ ราชธรณอี ีกต่อไป แตภ่ มู ปิ ัญญาของ ช่างศลิ ปกรรมในราชนัก ไดก้ ลายเปน็ แรงบรรดาใจทส่ี าคัญของงานประณีตศิลป์สมัยกรงุ รตั นโกสินทรส์ บื ต่อมา จวบจนถึงปัจจุบนั
ศลิ ปะรตั นโกสนิ ทร์ (พุทธศตวรรษท่ี ๒๔ –๒๕ ) พระคเณศสก่ี รทรงเต่า ศิลปะรัตนโกสนิ ทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔- ๒๕ (๑๐๐- ๒๐๐ ปมี าแล้ว) ประตมิ ากรรมไมแ้ กะสลกั รปู พระคเณศสี่กร ยนื อย่บู นหลังเต่า สวมเครือ่ งทรงอยา่ งกษัตริย์ พระกรทง้ั ส่ีถือ ส่งิ ของตา่ งๆ ได้แก่ พระหตั ถข์ วาบนถือขอชา้ ง พระหตั ถ์ขวาถอื งาหัก พระหตั ถ์ซ้ายบนถือเชอื กบ่วง และพระ หตั ถซ์ ้ายล่างถือขนมโมทกะ คงใช้ประดบั ตกแต่งสถาปตั ยกรรม ซงึ่ หมายถงึ การเป็นเทพผู้พิทกั ษ์รกั ษาศาสน สถานหรอื ทวารบาลของชา่ งไทย พระครปู ะก้า ศลิ ปะรตั นโกสนิ ทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๕ (ประมาณ ๑๐๐ ปีมาแลว้ )
พระครปู ะกา เป็นรูปเคารพของหมอช้าและควาญชา้ งในพิธคี ล้องชา้ งพระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยหู่ วั โปรดเกลา้ ให้หล่อรปู นแี้ ละประดษิ ฐานคู่กับพระคเณศทห่ี อบาศเพนยี ดคล้องช้าง จงั หวดั พระนครศรีอยุธยา ต่อมาสมัยรัชกาลท่ี ๗ ทรงพรกรุณาโปรดเกล้าฯ ใหเ้ ชิญมาเก็บรกั ษาในพิพิธภณั ฑ์สาหรับพระนคร เจวด็ ศลิ ปะรตั นโกสนิ ทร์ พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๕ (ประมาณ ๑๐๐ ปีมาแล้ว) แผน่ ไม้คลา้ ยใบเสมาเขียนลายทองรดน้าเป็นรูเทวดายืน ถือพรขรรคใ์ นพระหัตถซ์ ้าย สาหรับประดิษฐานในศาล พระภมู ิหรือศาลเจา้ ท่ีเพื่อทาหน้าทีพ่ ิทักษ์รักษาอาณาเขตและบ้านเรอื นตามคติความเช่อื ทางศาสนาพราหมณ์- ฮนิ ดู เทวรปู และเทพรักษาทศิ สมยั รตั นโกสินทร์ ฝมี ือช่างลา้ นนา พทุ ธศตวรรษที่ ๒๕ ๑. พระอินทร์ เทพประจาทิศตะวันออก
๒. พระนิรฤติ เทพประจาทิศตะวันตกเฉียงใต้ ๓. พระพรหม เทพเจา้ ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดใู นฐานะผสู้ รา้ งโลก ๔. พระกเุ วณ เทพประจาทศิ เหนือ ประติมากรรมหลอ่ จากทองเหลอื ง ทรงเครื่องตามแบบประติมากรรมลา้ นนาสนั นิษฐานวา่ ใชใ้ นการ ประกอบพธิ กี รรม โถพร้อมฝา ลายกลบี บวั ศิลปะรตั นโกสินทร์ พทุ ธศตวรรษที่ ๒๔ (ประมาณ ๒๐๐ ปมี าแลว้ ) ตวั โถและฝาตกแตง่ ลายกลบี บวั นูน เคลอื บสแี ดงปนสม้ เขยี นลายสอดเสน้ สที อง ดา้ นในของโถและภาษา เขยี นลายปลาทอง ปลาเงินและสาหร่ายเปน็ เครื่องป้นั ดินเผาส่ังทา้ พิเศษ จากเตาจิ่งเต๋อเจนิ มณฑลเจียงซี ประเทศจนี ใช้ส้าหรบั เป็นครอบน้าพระพุทธมนต์ ชามเบญจรค์ เนอ้ื กระเบือ้ ง เขยี นสลี งยาบนเคลอื บ ศิลปะรตั นโกสนิ ทร์ พุทธศตวรรษท่ี ๒๔ (ประมาณ ๒๐๐ ปีมาแล้ว)
ชามเบญจรงค์ เขียนลายลงยาสบี นเคลอื บทงั ดา้ นนอกและดา้ นในตกแต่งลายไทยเป็นลายกนกเปลวและ ลายพุ่มข้าวบิณฑ์เครอื่ งเบญจรงค์เป็นของทีส่ ยามส่งั ท้าเฉพาะจากประเทศจีนเพื่อใช้ในราชสา้ นัก กลมุ่ ชน ชนั สงู และคหบดี คันฉอ่ ง สมัยรัตนโกสินทร์ ราวผา้ ซบั พระพกั ตร์ สมัยรตั นโกสนิ ทร์
พระทนี่ ่งั ราเชนทรยาน สมัยรตั นโกสนิ ทร์ รชั กาลท่ี ๑ พุทธศตวรรษที่ ๒๔ พระท่นี ั่งราเชนทรยาน เป็นพระราชยานทส่ี ร้างขน้ึ โดยช่างหลวงในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอด ฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลท่ี ๑ สร้างจากไม้แกนสลกั ลงรกั ปิดทองประดับกระจก ทรงบุษรบกยอ่ มุมไมส้ ิบสอง หลังคาซอ้ น ๕ ชั้น พนกั พิงและกระจงั ปฏิญาณแกะสลักเป็นภาพเทพนมไว้ตรงกลาง มีรปู ครุฑยุดนาคประดบั รอบฐาน แสดงถึงความเป็นองคส์ มมุติเทพของพระมหากษัตริย์ มีคานหาม ๔ คาน ใช้พนักงานหามรวม ๕๖ คน ประทบั แบบนัง่ ห้อยพระบาท ใช้เมอื่ เสด็จฯ โดย ขบวนแห่อยา่ งใหญท่ เี่ รยี กว่า ขบวนนสี่ าย เช่น ในพระราชพธิ บี รมราชาภเิ ษก เสดจ็ ฯ จากพระราชมณเฑยี รไป ถวายสกั การะพระพุทธมหามณรี ัตนปฏมิ ากร ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และใช้ในการเชญิ พระบรมโกศพระ บรมอฐั พิ ระมหากษตั ริย์ หรอื สมเดจ็ พระบรมราชินี จากพระเมรุมาศท้องสนามหลวงเข้าสูพ่ ระบรมหาราชวัง
ชดุ ยนั ต์ อยใู่ นช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๔ เป็นเครอ่ื งสวมใส่ของทหารไว้ใช้ออกรบ ทีผ่ า่ นการลงยนั ต์อักขระและเขยี นพรุ พุทธรูปปางต่างๆ โดยเป็นเคร่ืองรางเพมิ่ ความม่นั ใจในการต่อสู้ มโหระทึกยางแดง สมยั รัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔ กลองมโหระทกึ สาริด ใช้ตใี นพระราชพิธี พระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้า เจ้าอยู่ รัชการที่ ๗ พระราชทาน
เคร่อื งดนตรีในพระราชพิธหี รือกองทัพ สมัยรตั นโกสนิ ทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๕ ๑. กลองชนะเงนิ กลองสองหน้าสาหรบั ตีบอกสญั ญาณในกองทัพ หรือสาหรับตีในขบวนพระราชิธี ๒. กลองชนะซ้าย กลองสองหนา้ สาหรับตีบอกสญั ญาณในกองทพั หรือสาหรบั ตีในขบวนพระราชพธิ ี ๓. แตรฝรั่ง ๔. แตรงอน ๕. สงั ข์ พระเก้าอล้ี ายไม้ จ.ป.ร สมัยรัตนโกสินทร์ พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๕
พระเก้าอี้ แบบตะวนั ตก ไมบ้ ุผ้า จาหลกั ลายลงรกั ปิดทอง เหนอื พนักพงิ มีตราแผน่ ดนิ สมัยพระบาทสมเด็จพระ จลุ จอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัว รชั กาลที่ ๕ ฉัตรเครือ่ งสูงทองแผล่ วด ๕ ชัน สมยั รัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษท่ี ๒๔-๒๕ ฉัตรเครือ่ งสูงทองแผ่ลวด เปน็ เคร่ืองประกอบพระเกยี รติยศสาหรบั พระบรมวงศ์ช้นั เจ้าฟา้ และพระ บรมวงศ์ท่ีไดร้ ับพระราชทานเบญจปฏลเศวตฉตั รใน ๑ สารบั ประกอบดว้ ยฉตั รทองแผ่ลวด ๗ ชน้ั ๕ ช้นั และ ๓ ช้ัน
ฉตั รเครือ่ งส.ู ทองแผ่ลวด ๗ ชัน สมยั รตั นโกสนิ ทร์ พทุ ธศตวรรษที่ ๒๔-๒๕ ฉตั รเคร่อื งสู.ทองแผ่ลวด เปน็ เคร่ืองประกอบพระเกยี รตยิ ศสาหรบั พระบรมวงศช์ ้นั เจ้าฟ้า และบรม วงศ์ทไี่ ด้รับพระราชทานเบญจปฏลเศวตฉัตร ใน ๑ สารับ ประกอบดว้ ยฉตั รทองแผล่ วด ๗ ชัน้ ๕ ชนั้ และ ๓ ชั้น
ชุมสายทองแผล่ วด ๓ ชนั สมัยรตั นโกสนิ ทร์ พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๔-๒๕ ฉัตรเคร่อื งสูงทองแผล่ วด เป็นเครือ่ งประกอบเกียรติยศสาหรบั พระบรมวงศ์ชั้นเจา้ ฟา้ และพระบรม วงศท์ ี่ได้รับพระราชทานเบญจปฏลเศวตฉัตร ใน ๑ สารบั ประกอบดว้ ยฉัตรทองแผล่ วด ๗ ชัน้ ๕ ชั้น และ ๓ ชน้ั
ฉัตรเคร่ืองสายทองแผ่ลวด ๓ ชัน สมัยรัตนโกสนิ ทร์ พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๔-๒๕ ฉตั รเครื่องทองแผล่ วด เปน็ เครือ่ งประกอบพระเกยี รตสิ าหรับพระบรมวงศช์ น้ั เจ้าฟา้ แลพระบรมวงศ์ ทไี่ ดร้ บั พระราชทานเบญจปฏลเศวตฉัตร ใน ๑ สาหรบั ประกอบดว้ ยฉัตรทองแผล่ วด ๗ ชนั้ ๕ ชนั้ และ ๓ ชนั้
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140