Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Cancer PN 61

Cancer PN 61

Published by SIRIKAN RAENOKASIKORN, 2018-09-22 00:27:30

Description: Cancer PN 61

Search

Read the Text Version

อ.สิริกานต์ แรงกสกิ ร อาจารยส์ าขาวิชาการพยาบาลเด็กวิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สวรรคป์ ระชารกั ษ์ นครสวรรค์

เลอื ด เป็ นของเหลวทไี่ หลเวยี นทวั่ ร่างกาย โดยปริมาณ เลอื ดในร่างกายทง้ั หมด • เมอ่ื แรกเกดิ มี 85 มล./กก. • เมอ่ื อายุ 6 เดอื น มี 75 มล./กก. • หลงั อายุ 1 ปี มี 70 มล./กก. และตดิ ตอ่ กบั เซลลเ์ นอ้ื เยือ่ และอวยั วะตา่ งๆ ทางหลอดเลอื ด

1. สว่ นที่เป็ นของเหลว คือ พลาสมา่ (plasma) เป็ นนา้ สีเหลอื งออ่ นคอ่ นขา้ งใส ประกอบดว้ ย สารชวี เคมตี า่ งๆ เอนไซม์ ฮอรโ์ มน อิมมโู นโกลบลู ิน และปัจจยั การ แขง็ ตวั ของเลอื ด พลาสมา่ จะเป็ นตวั กลาง ในการขนสง่ เลอื ดใหไ้ หลเวียนในหลอด เลือด รกั ษาภาวะสมดลุ ของรา่ งกายใน การขนส่งและแพรก่ ระจายอาหาร ฮอรโ์ มน สารเคมี และของเสยี

2. เม็ดเลือด- เม็ดเลือดเร่ิมสรา้ งจากไขแ่ ดง (yolk sac) เมอื่ ทารกในครรภ์ อายไุ ด้ 2 สปั ดาห์- เมอ่ื อายไุ ด้ 6-8 สปั ดาห์ จะสรา้ งที่ตบั มา้ ม ซ่ึงตบั เป็ นแหลง่ สาคญั ในการสรา้ งเม็ดเลอื ดจนอายคุ รรภไ์ ด้ 20-24 สปั ดาห์- เมอ่ื ทารกในครรภอ์ ายปุ ระมาณ 10-12 สปั ดาห์ จะเริ่มสรา้ งที่ไข กระดกู และเป็ นแหลง่ สาคญั ในการสรา้ งเม็ดเลอื ดเมอ่ื อยนู่ อกครรภ์

ซ่ึงสว่ นท่เี ป็ นเม็ดเลอื ดไดแ้ ก่ 2.1 เม็ดเลอื ดแดง (erythrocyte หรอื red blood cell) ทาหนา้ ที่ขนสง่ ออกซิเจนจากปอดไปเลยี้ งเนอื้ เย่ือ ตา่ งๆ และรบั คารบ์ อนไดออกไซดจ์ ากเนอ้ื เยอื่ มาขบั ออกทป่ี อด เม็ด เลอื ดแดงจะมอี ายปุ ระมาณ 120 วนั 2.2 เม็ดเลือดขาว (leukocyte หรอื white blood cell) ทาหนา้ ท่ีในการป้ องกนั และทาลายสิง่ แปลกปลอม ท่เี ขา้ มาในรา่ งกาย

2.3 เกล็ดเลอื ด (thrombocyte หรอื platelet)ทาหนา้ ท่ีเกย่ี วกบั กลไกการแขง็ ตงั ของเลือด ซึ่งกลไกการทาใหเ้ ลอื ดหยดุ (hemostatic mechanism) หรือกลไกการหา้ มเลอื ดขนึ้ กบั 3 ปัจจยั ไดแ้ ก่ หลอดเลือด เกล็ดเลือด และปัจจยั การแข็งตวั ของเลือด (coagulating factors)



ประวตั ิการเจ็บป่ วย - เด็กที่มคี วามผดิ ปกตขิ องเลอื ดอาจมาดว้ ยอาการเหนอ่ื ยงา่ ย ออ่ นเพลยี ไมม่ แี รง หวั ใจเตน้ เร็ว ใจสนั่ เจ็บหนา้ อกจากภาวะซีด - มจี ดุ เลอื ดออก จา้ เขยี วตามรา่ งกาย มีเลือดกาเดาออก เลือดออก ตามไรฟัน มเี ลือดออกงา่ ยหยดุ ยากภายหลงั การมบี าดแผล ไดร้ บั อบุ ตั เิ หตหุ รือถอนฟัน - มอี าการปวดศีรษะจากเลอื ดออกในสมอง มอี าการซีดลงเมอ่ื มไี ข้

ประวตั ิการเจ็บป่ วย (ตอ่ )- ถามรายละเอียดเกยี่ วกบั สาเหตขุ องโรค ปริมาณเลอื ดท่ีออก ระยะเวลาที่เริ่มเกดิ มปี ระวตั พิ บกอ้ นบริเวณคอเนอื่ งจากตอ่ ม นา้ เหลืองโต ปวดตามขอ้ ขอ้ บวมยึดตดิ จากเลอื ดออกในขอ้ กดเจ็บท่ี ทอ้ งจากมา้ มโต สีผวิ ซีด เหลืองประวตั ิครอบครวั มบี คุ คลในครอบครวั มภี าวะธาลสั ซีเมยี หรือมี ประวตั เิ ลอื ดออกงา่ ยหยดุ ยาก

 ระบบผิวหนงั - ซีด เหลอื ง จากเม็ดเลอื ดแดงตา่ หรือมกี ารแตกตวั ของเม็ดเลอื ดแดง - พบจดุ เลอื ดออก (petichiae) เป็ นจดุ แดงเล็กๆตามผวิ หนงั ขนาด 1-5 มม. เวลากดแลว้ ไมจ่ างหายไป ไมเ่ จ็บ เกดิ จากความผดิ ปกติ ของเกล็ดเลอื ดหรือหลอดเลอื ด - พบรอยจา้ เลอื ดหรือพรายยา้ (ecchymosis) เป็ นรอยแดงคลา้ หรือเขยี วหรือมว่ ง ขนาดเทา่ ปลายนว้ิ ขน้ึ ไป กดเป็ นไตแข็งเล็กนอ้ ย - พบกอ้ นเลือด (hematoma) จากมเี ลอื ดออกในชน้ั กลา้ มเนอ้ื เมื่อ คลาดจู ะรสู้ กึ แข็ง เป็ นความผดิ ปกตขิ องเกล็ดเลือดและปัจจยั การแขง็ ตวั ของเลือดและหลอดเลอื ด - พบภาวะเขยี ว (Cyanosis) จากเนอื้ เย่ือไดร้ บั ออกซิเจนไมเ่ พียงพอ









ตา พบเย่อื บตุ าซีด เหลอื ง หรือมเี ลือดออกใตเ้ ยื่อบตุ า

จมกู ชอ่ งปาก พบเยื่อบภุ ายในชอ่ งปากซีดจากเม็ดเลอื ดแดงตา่ มี เลอื ดกาเดา เลอื ดออกตามเหงอื ก ชอ่ งเย่ือบชุ อ่ งปาก หรือไรฟันจาก มคี วามผดิ ปกตขิ องเกล็ดเลือด ปัจจยั การแขง็ ตวั ของเลือด เยื่อบุ ภายในชอ่ งปากอกั เสบจากเม็ดเลอื ดขาวตา่ ทาใหต้ ดิ เชอื้ งา่ ย

ต่อมน้าเหลอื ง ตบั มา้ ม พบตบั มา้ ม ตอ่ มนา้ เหลอื งโตทรวงอก อาจพบหวั ใจเตน้ เร็ว มเี สยี งฟ่ ู หายใจเร็ว หอบเหนอื่ ยจากภาวะซีดมาก ทา ใหเ้ นอ้ื เยื่อไดร้ บั ออกซิเจนไมเ่ พียงพอ การ เคลือ่ นไหวของกระบงั ลมลดลงจากตบั มา้ ม โต พบอาการกดเจ็บบริเวณกระดกู อก (sternum) ในผปู้ ่ วยมะเร็งเม็ดเลือด ขาว

ระบบประสาท อาจพบอาการชกั กระหมอ่ มหนา้ โป่ งตงึ ปวดศีรษะ ซึม หมดสติ จากการมเี ลอื ดออกในสมอง ในผปู้ ่ วยมะเร็งเม็ดเลอื ด ขาวจะพบอาการระคายเคอื งเยื่อหมุ้ สมอง เชน่ คอแข็ง ปวดศีรษะ จากเซลลม์ ะเร็งลกุ ลามเขา้ สรู่ ะบบประสาทสว่ นกลาง

ระบบกระดกู และกลา้ มเน้ือ จะพบขอ้ บวม มรี ปู ร่างผดิ ปกติ จาก เลือดออกในขอ้ กลา้ มเนอื้ ลบี ในกรณีทไ่ี มไ่ ดใ้ ชก้ ลา้ มเนอ้ื เป็ นเวลานาน จากเลอื ดออกในขอ้ และเจ็บปวด

3.1 การตรวจนบั เม็ดเลอื ดแดง (Complete blood count : CBC) จะพบความผดิ ปกตติ า่ งๆ ดงั น้ี 3.1.1 เม็ดเลือดแดง จะพบฮโี มโกลบินและฮมี าโตคริตตา่ ชว่ ยบอก ความร3นุ.1แร.ง2ภเามว็ดะเซลีดอื ดขาว ถา้ ตา่ อาจเกดิ จากมีการสรา้ งไดน้ อ้ ย หรือมี การทาลายเพม่ิ ขน้ึ ถา้ มจี านวนมากอาจเกดิ จากการติดเช้ือ หรือพบ เซลลต์ วั อ่อน (blast cell) อาจเป็ นมะเรง็ เม็ดเลือดขาว 3.1.3 เกล็ดเลือด ตรวจดทู งั้ จานวน ขนาด รปู ร่าง การตดิ สี การ ยึดตดิ และการจบั กลมุ่ ถา้ พบจานวนนอ้ ย อาจเกิดจากการสรา้ งไดน้ อ้ ย จากโรคของไขกระดกู หรือมกี ารทาลายมากขนึ้ ถา้ ตา่ กว่า 50,000 เซลล/์ ลบ.มม. จะมีเลอื ดออกง่ายเมอื่ ถกู กระทบกระแทก แตถ่ า้ ตา่ กว่า 20,000 เซลล/์ ลบ.มม. จะมเี ลอื ดออกไดเ้ อง

3.t2imกาeร3ต.ห2รร.1วือจรvกะeยาระnเแวoขลu็งาทตs่เี งัลcขือlอดoงกtเลลtาiอื nยดเgป็(นctลio่มิma(ewg)uhจolะaบleอtiกobคnlวoาsมotผduิดdcปlกioeตtsิขtอ)inงg การแข3็ง.2ต.2วั ขรอะยงเะลเวือลดากคา่ารปแกข็งตตปิ วั รขะมองาณพล5าส-ม1า่5(นpาทlaี sma clotting fVtiibmVreIi--In)PAXเcพrcl่ือoคotดา่ itปtvกhู กาaขrตรอotแปิงemปขรd็งฏะbมติกpาiริวั ณnaิยขาrอ1tใtงนi2imเเa-ลน1lอือื้e5เดtยh(ว่ือปPrินเรปoาT็ะนทกmก)ีอาบคbรดอื ตoกว้รpยาวรจlตaหรนsวาt้ จiทนn่ีขบั อtเงวiแmลฟาคกeเาตรอสรร์ า้IงII (APTT, PTT) คอื การตรวจนบั เวลาการสรา้ ง fibrin clot ของ XปฏIิกIิรคิย-า่ าปTในกhเตลrปิ ือoรดmะมเปาb็ นณiกnา3ร0tต-iรm3ว8จeหวินน(Tาา้ ททT่ีขี อ)งตแฟรวคจเตนอบั รเว์ IลาIใIนVกาVรสIรIาI้ งIXfibXriXnI เป็ นการตรวจทง้ั ปริมาณและหนา้ ท่ีของ fibrinogen (แฟคเตอร์ I) คา่ ปกตปิ ระมาณ 1-2 วินาที

3.3 ตรวจระยะเวลาเลอื ดออก (bleeding time) เพ่ือดู หนา้ ที่ของเกล็ดเลือดและหลอดเลือด ค่าปกตปิ ระมาณ 2-7 นาที3.4 ระยะเวลาลม่ิ เลือดหดตวั (clot retraction) ดหู นา้ ท่ี ของเกล็ดเลอื ด จะหดตวั ดภี ายใน 1-2 ชวั่ โมง หลงั เลือดแข็งตวั3.5 ตรวจปัสสาวะ อจุ จาระ จะพบมเี ลอื ดออกในปัสสาวะ และพบ เลอื ดออกในอจุ จาระ เป็ น occult blood หรือ melena

3.6 การตรวจไขกระดกู โดยในเด็กอายตุ า่ กวา่ 1 ปี จะเจาะกระดกู ทิเบีย (tibia) บริเวณตาแหนง่ anteromedial surface ห่างจากชขอบ ลา่ งของกระดกู สะบา้ ลงมา 1 ซม. เด็กโตมกั จะเจาะจากของกระดกู เชงิ กราน (iliac crest) ท่ตี าแหนง่ posterior superiopr iliac spine เป็ นการตรวจเพอื่ ความแขง็ แรงของเม็ดเลือด และความผดิ ปกตใิ นการสรา้ งเม็ด เลือดแดง วิธกี ารตรวจมี 2 วิธี 3.6.1 Bone marrow aspiration เป็ นการเจาะและดดู ไข กระดกู มาศึกษาในปริมาณเล็กนอ้ ย จะทาในผปู้ ่ วยท่มี ภี าวะซีด มะเร็งเม็ดเลือด ขาว ภาวะเม็ดเลือดขาวตา่ (neutropenia) ภาวะเกล็ดเลือดตา่ (Thrombocytopenia) และมะเร็งทก่ี ระจายไปไขกระดกู 3.6.2 Bone marrow biopsy เจาะตดั เอาไขกระดกู มาตรวจ





หมายถึง ภาวะท่ีผปู้ ่ วยมรี ะดบั ฮโี มโกลบนิ (hemoglobin,Hb) และระดบั ฮีมาโตคริต (hematocrit, Hct) ตา่ กว่า 2ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐานของคา่ เฉล่ยี ของค่าปกติ ตามคาจากดั ความขององคก์ ารอนามยั โลก ถือวา่ ผปู้ ่ วยมภี าวะซีด

ค่าเฉล่ยี ปกตขิ อง ฮีโมโกลบนิ และฮมี าโตคริต ในเด็กวยั ตา่ งๆ มดี งั น้ี ตารางท่ี 1 ค่าฮโี มโกลบิน และฮีมาโตคริตท่ใี ชเ้ ป็ นเกณฑใ์ นการ วินจิ ฉยั ภาวะซีดอายุ ฮีโมโกลบนิ ฮีมาโตคริต6 เดือน – 6 ปี < 11 กรัม% <33%6 – 14 ปี < 12 กรัม% <36%

1. ร่างกายสรา้ งเม็ดเลือดแดงนอ้ ยลง2. ร่างกายมกี ารทาลายเม็ดเลือดแดงเพม่ิ ขน้ึ เชน่ โรคธาลสั ซีเมยี3. รา่ งกายเสยี เลือดหรือถกู ใชเ้ ลอื ดไปมาก4. ร่างกายมีความผดิ ปกตใิ นการเจริญของเซลลเ์ ม็ดเลอื ดแดง เชน่ขาดสารอาหาร ภาวะโลหิตจางที่พบบอ่ ยในเด็ก ไดแ้ ก่ โรคภาวะไขกระดกู ไม่ทางาน โรคธาลสั ซีเมยี ภาวะพร่องเอนไซม์ G-6-PD โรคฮีโมฟีเลีย โรคเกล็ดเลือดตา่ (ITP) เป็ นตน้

ภาวะซีด เป็ นภาวะท่ีรา่ งกายมจี านวนเม็ดเลอื ดแดงนอ้ ยกว่าปกติ ทาให้การนาออกซิเจนไปสเู่ ซลลล์ ดลง เกิดอาการและอาการแสดงตามระบบตา่ งๆ ของรา่ งกายได้ ดงั น้ี1. ผิวหนงั มอี าการซีด สงั เกตไดจ้ ากบริเวณที่ไมม่ ี pigment เชน่เล็บ ฝ่ ามอื ฝ่ าเทา้ ริมฝี ปาก เหงอื ก เยื่อบตุ า2. ระบบกลา้ มเน้ือ มอี าการกลา้ มเนอื้ อ่อนแรง อ่อนเพลีย3. ระบบทางเดินอาหาร อาจมอี าการทอ้ งอืด อาหารไมย่ อ่ ย หรือทอ้ งเดนิ จากการยอ่ ยผดิ ปกติ เบ่ืออาหาร4. ระบบประสาทสว่ นกลาง มอี าการมนึ ศีรษะ ปวดศีรษะ ตนื่ เตน้ ตกใจงา่ ย ความตงั้ ใจลดลง ซึม งว่ ง

5. ระบบหวั ใจและหลอดเลอื ด หัวใจจะทางานมากกว่าปกติ หวั ใจทางานมากกวา่ ปกติ ในรายที่มภี าวะซีดรนุ แรง จะเกดิ ภาวะหวั ใจลม้ เหลวเนอ่ื งจากภาวะซีดได้6. การเจรญิ เติบโตชา้ กว่าปกติ เนอื่ งจากการเผาผลาญภายในเซลลล์ ดลง และเด็กมกั มอี าการเบื่ออาหารเรื้องรงั ทาใหไ้ ด้สารอาหารไมเ่ พียงพอ7. ระบบภมู ิคมุ้ กนั ทางานลดลง เนอื่ งจากการสรา้ งภมู คิ มุ้ กนัตา่ งๆ ตอ้ งอาศยั สารอาหารและธาตเุ หล็กดว้ ย

1. การซกั ประวตั ิ- การวินจิ ฉยั ภาวะซีดในเด็ก ควรซักตงั้ แตป่ ระวตั กิ ารตงั้ ครรภข์ องมารดา ประวตั กิ ารคลอด- ชนดิ ของนมและอาหารเสริมอายทุ ่ีเร่ิมใหอ้ าหารเสริม- ประวตั โิ รคทางระบบทางเดนิ อาหาร ถ่ินทอ่ี ยู่ สขุ นสิ ยั สว่ นบคุ คล ซ่ึงอาจนาไปสกู่ ารหาสาเหตุ เชน่ การมพี ยาธปิ ากขอในลาไส้ การรบั ประทานอาหารทร่ี ะคายเคืองตอ่ กระเพราะอาหาร- สง่ิ แวดลอ้ ม ประวตั กิ ารมปี ระจาเดอื นในเด็กวยั ร่นุ หญิง- อาการอ่อนเพลยี หายใจหอบเหนอื่ ย อาการไมส่ ขุ สบายตา่ งๆ เชน่ปวดศีรษะ ปวดทอ้ ง โรคประจาตวั อื่นๆ

2. การตรวจรา่ งกาย เพ่ือสงั เกตและหาสาเหตขุ องภาวะซีด ไดแ้ ก่- สผี วิ ฝ่ ามอื ฝ่ าเทา้ ริมฝี ปาก เย่ือบตุ า- เล็บบางหรือชอ้ นขนึ้ หรอื ไม่- ลน้ิ เลี่ยน- มรี ิดสีดวงทวารหนกั หรือไม่- การทางานของหวั ใจ อตั ราชพี จร ความดนั โลหิต เป็ นตน้

3. การตรวจทางหอ้ งปฏิบตั ิการ มีดงั ต่อไปน้ี (Complete เม็ดเลือดขาว และbloo3d.1 cกาoรuตnรวtจ:นCบั เBม็ดCเล)ือไดดแแ้ กด่ งเมท็ดง้ั เล3อื ดชแนดิดงเกล็ดเลือด เม็ดเลือดแดงของผปู้ ่ วยทมี่ ภี าวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กจะมขี นาดเล็ก ตดิ สจี าง (microcytic hypochromic)สว่ นเม็ดเลอื ดขาวและเกล็ดเลอื ดมกั ปกติ 3.2 การเจาะเลอื ดหาระดบั เฟอรร์ ติ ินในพลาสม่า(serum ferritin) จะชว่ ยบอกปริมาณเหล็กสะสมในร่างกายได้หากพบว่ามนี อ้ ยกว่า 10 ไมโครกรมั /ลิตร ถือว่ามภี าวะขาดธาตเุ หล็ก3.3 การตรวจหาไข่พยาธิในอจุ จาระ เพอื่ หาสาเหตขุ องการขาดธาตเุ หล็ก ถือเป็ นการตรวจเพื่อคดั กรองโรค

1. การรกั ษาตามาสาเหต ุเชน่ การใหธ้ าตเุ หล็กในผปู้ ่ วยทม่ี ภี าวะโลหิตจางจากการขาดธาตเุ หล็ก การรกั ษาโรคพยาธิ2. การรกั ษาตามอาการ ไดแ้ ก่ การใหเ้ ลือดถา้ มอี าการซีดมาก การรกั ษาภาวะหวั ใจลม้ เหลวเนอ่ื งจากภาวะซีด การรกั ษาภาวะตดิ เชอื้



วตั ถปุ ระสงคก์ ารพยาบาล เพื่อใหผ้ ปู้ ่ วยไดร้ บั ออกซิเจนอย่างเพียงพอกจิ กรรมการพยาบาล 1. ดแู ลใหผ้ ปู้ ่ วยไดน้ อนพกั ผอ่ นใหม้ ากท่ีสดุ เพ่ือลดความตอ้ งการของ ออกซิเจนในรา่ งกาย จดั ส่งิ แวดลอ้ มท่พี กั ของผปู้ ่ วยใหเ้ งยี บสงบ อาการ ถ่ายเทไดส้ ะดวก ไมร่ บกวนผปู้ ่ วยขณะหลบั 2. แนะนาการทากจิ กรรมทีผ่ ปู้ ่ วยสามารถทาไดต้ ามความรนุ แรงของ ภาวะซีดใหผ้ ปู้ ่ วยและผปู้ กครองทราบ เชน่ ตอ้ งพกั บนเตยี งตลอด หรือ นงั่ ขา้ งตยี ง ทากจิ วตั รประจาเองไดบ้ างส่วน 3. ดแู ลใหไ้ ดร้ บั อาหารที่จาเป็ นในการสรา้ งเม็ดเลือดแดง เชน่ ธาตเุ หล็ก (ยกเวน้ ในผปู้ ่ วยโรคธาลสั ซีเมยี ) โปรตนี วิตามนิ ซี โฟลอิ ามนี และเป็ น อาหารอ่อน ย่องา่ ย 4. แนะนาใหร้ บั ประทานยาใหค้ รบถว้ นตามแผนการรกั ษา

5. วดั และบนั ทกึ สญั ญาณชพี รวมทงั้ คา่ ความอม่ิ ตวั ของออกซิเจน(oxygen saturation: O2sat) เพ่ือประเมนิ ภาวะพร่องออกซิเจน6. ลดและหลีกเล่ียงความเครียดทง้ั ร่างกายและจิตใจ เชน่ การรอ้ งไห้ความตอ้ งการใหญ้ าตมิ าอย่ดู ว้ ย ไมร่ บกวนผปู้ ่ วยบ่อยจนเกินไป7. จดั กิจกรรมการเลน่ ท่เี หมาะสมกบั สภาพร่างกายของผปู้ ่ วย เพื่อให้ผปู้ ่ วยลดความวิตกกงั วล แตไ่ มเ่ ป็ นการใชพ้ ลงั งานมากเกินไป8. ป้ องกนั และลดภาวะตดิ เชอื้ ซึ่งตอ้ งทาใหร้ ่างกายตอ้ งใชอ้ อกซิเจนเพ่ิมขนึ้9. สงั เกตอาการผดิ ปกตติ า่ งๆ ที่บง่ ชถ้ี ึงภาวะพร่องออกซิเจน เพื่อประเมนิ ความรนุ แรงและโอกาสเกดิ ภาวะแทรกซอ้ น เชน่ อาการเหนอื่ ยหอบ ออ่ นเพลยี อาการเขยี วปลายมอื ปลายเทา้ ภาวะหวั ใจวาย เป็ นตน้10. ตดิ ตามผลการตรวจทางหอ้ งปฏิบตั กิ าร

ภาวะแทรกซอ้ นจากการวินิจฉยั และการรกั ษา เช่น การเจาะเลอื ด การเจาะไขกระดกู การไดร้ บั เลอื ดวตั ถปุ ระสงคก์ ารพยาบาล เพื่อป้ องกนั การเกดิ ภาวะแทรกซอ้ นจากการ วินจิ ฉยั และการรกั ษา ไดแ้ ก่ การตดิ เชอื้ อาการแทรกซอ้ นจากการไดร้ บั เลือดกจิ กรรมการพยาบาล 1. ทาความสะอาดผวิ หนงั บริเวณทจ่ี ะเจาะเลอื ด เจาะไขกระดกู หรือให้ เลอื ด ดว้ ยนา้ ยาฆา่ เชอื้ เชน่ แอลกอฮอล์ 70% หรือโพวิโดนไอโอดนี 2. รกั ษาความสะอาดของผวิ หนงั และดแู ลใหแ้ หง้ เสมอ โดยเฉพาะการเจาะ ไขกระดกู หา้ มถกู นา้ หลงั เจาะไขกระดกู 24 ชวั่ โมง 3. ระหว่างท่ีผปู้ ่ วยไดร้ บั เลอื ด วดั และบนั ทึกสญั ญาณชพี จนเลือดหมด

4. สงั เกตอาการผิดปกตติ า่ งๆ ระหวา่ งทผ่ี ปู้ ่ วยไดร้ บั เลอื ด เชน่ อาการหอบเหนอ่ื ย แนน่ หนา้ อก ผ่ืนลมพิษ ไข้ หนาวสนั่ ชกั หมดสติ หรือซึมลง หากพบความผดิ ปกตใิ ดๆ ควรแจง้ พยาบาลเพ่ือหยดุ เลือดท่ีใหท้ นั ที และรีบรายงานแพทย์5. ระมดั ระวงั อบุ ัตเิ หตตุ า่ งๆ โดยเฉพาะเด็กเล็กๆ ซึ่งไมส่ ามารถบอกไดว้ า่ มีอาการออ่ นเพลยี ไมม่ แี รง เสีย่ งตอ่ การเกิดการหกลม้ หรืออบุ ัติเหตอุ ่ืนๆ ไดง้ า่ ยหรือผปู้ ่ วยเด็กโรคธาลสั ซีเมยี ซ่ึงมีกระดกู บาง เปราะหักงา่ ย6. สงั เกตอาการแสดงของภาวะตดิ เชอื้ ท่ีอาจปนมากบั เลอื ด เชน่ อาการตวั ตาเหลอื ง ออ่ นเพลียเนอ่ื งจากตดิ เชอื้ ไวรสั ตบั อกั เสบอาการไขห้ นาวสนั่ จากเชอื้มาเลเรีย เป็ นตน้7. แนะนาผปู้ ่ วยเด็ก/ผปู้ กครองใหส้ งั เกตอาการผดิ ปกตทิ ่ีอาจเกดิ ขน้ึ ภายหลงัเชน่ อาการแสดงของการตดิ เชอ้ื ทอ่ี าจปนมากบั เลือด หรืออาการผดิ ปกตอิ ื่นๆหากมอี าการผิดปกตใิ ดๆ ใหร้ ีบมาพบแพทยท์ นั ที

วตั ถปุ ระสงคก์ ารพยาบาล ผปู้ ่ วยเด็ก/ผปู้ กครองมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจ เกย่ี วกบั ภาวะซีดและการปฏิบตั ติ นเมอ่ื มภี าวะซีดกจิ กรรมการพยาบาล 1. สอบถามความเขา้ ใจของผปู้ ่ วยเด็ก/ผปู้ กครองเก่ียวกบั ภาวะซีดท่ี เกดิ ขนึ้2. อธบิ ายใหผ้ ปู้ ่ วยเด็ก/ผปู้ กครองเขา้ ใจเก่ียวกบั โรค สาเหตุ อาการ แผนการรกั ษา และวิธีการควบคมุ โรค3. ใหค้ าแนะนาเก่ยี วกบั การปฏิบตั ติ น ดงั นี้ การป้ องกนั การตดิ เชอื้ การ รบั ประทานอาหารทเี่ ป็ นประโยชน์ การรบั ประทานยาตามแผนการรกั ษา การออกกาลงั กาย การดารงชวี ิตประจาวนั การสงั เกตอาการผดิ ปกตทิ ่ี ควรมาพบแพทย์ และวิธีการดแู ลตนเองเบื้องตน้ กอ่ นมาพบแพทยเ์ มอื่ มี การเจ็บป่ วยเกดิ

วตั ถปุ ระสงคก์ ารพยาบาล ลดความวิตกกงั วลกิจกรรมการพยาบาล 1. ประเมนิ การรบั รขู้ องผปู้ ่ วยเด็กและผปู้ กครองเก่ียวกบั ความเจ็บป่ วย ของบตุ ร 2. สรา้ งสมั พนั ธภาพทด่ี กี บั ผปู้ ่ วยเด็กและผปู้ กครอง 3. อธิบายเหตทุ ่ีผปู้ ่ วยตอ้ งไดร้ บั หัตถการเพื่อการวินจิ ฉยั หรือการรกั ษา หรือการตอบขอ้ สงสยั ของผปู้ ่ วยเด็กและผปู้ กครองดว้ ยทา่ ทีเป็ นมติ ร 4. อธบิ ายปฏิกริ ิยาของเด็กตอ่ การเจ็บป่ วย และพฤตกิ รรมที่ผปู้ ่ วยอาจ แสดงออก เชน่ กา้ วรา้ ว ถดถอย ใหค้ รอบครวั เกดิ ความเขา้ ใจ

5. เปิ ดโอกาวใหผ้ ปู้ ่ วยเด็กและผปู้ กครองระบายความรสู้ ึก ซักถามสงิ่ ทสี่ งสยั และรบั ฟังความรสู้ ึกของผปู้ ่ วยเด็กและผปู้ กครองดว้ ยทา่ ทเี ต็มใจ6. เลือกกจิ กรรมการเลน่ ที่เหมาะสมกบั วยั และสภาพการเจ็บป่ วยของผปู้ ่ วยเด็ก เชน่ การฟังนทิ าน หรือเพลงสาหรบั เด็ก การดทู วี ีเพ่ือใหเ้ กิดความเพลดิ เพลนิ ลดความวิตกกงั วลของผปู้ ่ วยเด็ก7. ใหผ้ ปู้ ่ วยเด็กและผปู้ กครองมีสว่ นร่วมในการรกั ษาพยาบาลทีไ่ ม่ซบั ซอ้ น เชน่ การสดั อณุ หภมู ิ การเช็ดตวั การทาความสะอาดผวิ หนงั กอ่ นไดร้ บั การเจาะเลือด เป็ นตน้

วตั ถปุ ระสงคก์ ารพยาบาล ป้ องกนั การเกดิ อบุ ตั เิ หตใุ นผปู้ ่ วยเด็กกจิ กรรมการพยาบาล 1. จดั ส่ิงแวดลอ้ มใหป้ ลอดภยั แนะนาผปู้ กครองยกไมก้ น้ั เตยี งขนึ้ เสมอ 2. ดแู ลใหผ้ ปู้ ่ วยอย่ใู นสายตาของพยาบาลหรือผปู้ กครองเสมอ 3. หาวิธจี งู ใจใหผ้ ปู้ ่ วยอยบู่ นเตยี งท่ีปลอดภยั 4. จบั ตอ้ งและใหก้ ารพยาบาลผปู้ ่ วยอยา่ งนมุ่ นวล หลีกเลีย่ งการกด อย่างรนุ แรงบนร่างกายผปู้ ่ วย

วตั ถปุ ระสงคก์ ารพยาบาล สง่ เสริมการเจริญเตบิ โตและพฒั นาการ ใหเ้ ป็ นไปตามวยักจิ กรรมการพยาบาล 1. ตดิ ตามชงั่ นา้ หนกั อย่างนอ้ ยสปั ดาหล์ ะ 1 ครงั้ วดั สว่ นสงู เดอื น ละ 1 ครงั้ 2. ดแู ลใหไ้ ดร้ บั สารอาหารท่ีเหมาะสมตามวยั และโรค 3. จดั กจิ กรรมเพอื่ กระตนุ้ พฒั นาการและสง่ เสริมใหผ้ ปู้ กครอง สง่ เสริมพฒั นาการอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง

วตั ถปุ ระสงคก์ ารพยาบาล เพื่อป้ องกนั การตดิ เชอ้ืกิจกรรมการพยาบาล 1. ดแู ลตดั เล็บผปู้ ่ วยใหส้ น้ั รกั ษาความสะอาดของร่างกาย ของใชแ้ ละ สงิ่ แวดลอ้ มของผปู้ ่ วย 2. ทาความสะอาดมอื ทกุ ครง้ั กอ่ นและหลงั การสมั ผสั และทากิจกรรมกบั ผปู้ ่ วยทกุ คน 3. ใชห้ ลกั aseptic technique ในการปฏิบตั กิ จิ กรรมกบั ผปู้ ่ วย ทกุ ครง้ั 4. ประเมนิ อาการ อาการแสดง รวมทงั้ สญั ญาณชพี ทีบ่ ง่ บอกถึงภาวะ ตดิ เชอื้ โดยรีบแจง้ พยาบาลเพื่อทาการรายงานแพทยอ์ ย่างทนั ทว่ งที

หมายถึง ภาวะทก่ี ลไกการหา้ มเลอื ดของร่างกายผดิ ปกติ เม่อื มกี าร ฉีกขาดของหลอดเลอื ด จงึ มเี ลอื ดออกมาก และเลือดออกเป็ น เวลานานกวา่ ปกติ

ปกตใิ นหลอดเลือดมกี ลไกในการหา้ มเลือดหรือทาใหเ้ ลือดหยดุ ออก ซ่ึง ทาเป็ นขนั้ ตอนตามขนาดของบาดแผลทห่ี ลอดเลอื ดฉกี ขาดถา้ เป็ นบาดแผลขนาดเล็กหลอดเลอื ดจะตบี ตนั ผดิ รอยฉีดขาดถา้ แผลขนาดใหญ่ขน้ึ เกล็ดเลือดจะรวมตวั เพ่อื อดุ รอยฉีกขาดนน้ัถา้ หลอดเลอื ดฉีกขาดขนาดใหญ่มาก เลือดจะแขง็ เป็ นลิ่มปิ ด บาดแผลขนาดใหญ่นน้ั

ขนึ้ อย่กู บั ปัจจยั สาคญั 3 ปัจจยั ดงั นี้1. ความผิดปกติของหลอดเลอื ด อาจมสี าเหตมุ าจากหลอดเลอื ด เปราะในผปู้ ่ วยท่ีมปี ัญหาตดิ เชอื้ ขาดอาหาร ขาดวิตามนิ ซี รบั ประทานยา steroid นานๆ โรคเบาหวาน มภี าวะภมู แิ พ้ จะมี อาการเลือดออกไมร่ นุ แรง เชน่ เลอื ดออกตามไรฟัน เลือดออกท่ี ผวิ หนงั เนอ่ื งจากผนงั หลอดเลอื ดไมแ่ ขง็ แรง

2. ความผิดปกติของเกล็ดเลอื ด อาจเกิดจากปริมาณเกล็ดเลอื ดตา่ ซ่ึง อาจเนอ่ื งจากมกี ารสรา้ งลดลง เชน่ ในผปู้ ่ วยมะเร็งเม็ดเลอื ดขาว โรค aplastic anemia หรือมกี ารทาลายเพ่ิมขนึ้ เชน่ ในโรคเกล็ดเลือด ตา่ (Immune Thrombocytopenic Purpura หรือ บางครงั้ เรียกว่า Idiopathic Thrombocytopenic Purpura : ITP) หรือในโรคท่ีเกล็ดเลือดทาหนา้ ท่ีผดิ ปกติ เชน่ ใน โรค Acquired plastic dysfunction with eosinophilia (APDE) ภาวะเหลา่ นที้ าใหม้ เี ลือดออกเป็ น เวลานาน และยงั ทาใหผ้ นงั หลอดเลือดไมแ่ ข็งแรง ฉีกขาดงา่ ย

3. ความพรอ่ งในปัจจยั การแข็งตวั ของเลือด ทาใหเ้ ลอื ดไม่ สามารถแขง็ ตวั เป็ นล่มิ เลอื ดเมอ่ื มกี ารฉีกขาดของหลอดเลือด ทาให้ เลอื ดไหลออกมาจากรอยฉีกขาดตลอดเวลา โรคท่ีพบบอ่ ยไดแ้ ก่ ฮี โมฟิ เลยี (Hemophilia), โรค Acquired prothrombin complex deficiency (APCD)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook