Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ฐานการเรียนรู้ กาแฟ

ฐานการเรียนรู้ กาแฟ

Published by กรกนก เพชรสงฆ์, 2022-03-25 03:55:43

Description: ฐานการเรียนรู้ กาแฟ

Search

Read the Text Version

1 รายงานการวจิ ัยเรื่อง การศึกษาผลการจัดการเรยี นรู้โดยใชก้ ิจกรรมฐานการเรียนรกู้ าแฟของศนู ย์ฝกึ และพฒั นาอาชีพราษฎรไทยบรเิ วณชายแดนชุมพร นางกรกนก เพชรสงฆ์ ศูนยฝ์ กึ และพฒั นาอาชีพราษฎรไทยบรเิ วณชายแดนชมุ พร สานักงานส่งเสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัย สานักงานปลดั กระทรวงศกึ ษาธกิ าร กระทรวงศึกษาธกิ าร

ก ช่อื เร่ือง การศกึ ษาผลการจัดการเรยี นรโู้ ดยใช้กจิ กรรมฐานการเรยี นร้กู าแฟของศูนยฝ์ ึกและพฒั นา อาชพี ราษฎรไทยบรเิ วณชายแดนชุมพร ชือ่ ผู้วจิ ัย นางกรกนก เพชรสงฆ์ ปที ่ีวิจัย 2564 บทคัดยอ่ การศึกษาผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมฐานการเรียนรู้กาแฟของศูนย์ฝึกและพัฒนา อาชีพราษฎรไทยบริเวณชายแดนชุมพร มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรม ฐานการเรียนรกู้ าแฟ ของศูนยฝ์ ึกและพัฒนาอาชพี ราษฎรไทยบริเวณชายแดนชุมพร ประชากรทใ่ี ช้ใน การวิจัย ได้แก่ ผู้รับบริการการศึกษาตามอัธยาศัยของศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพราษฎรไทยบริเวณ ชายแดนชมุ พร จานวน 300 คน กลมุ่ ตัวอย่าง ได้แก่ ผู้รับบรกิ ารการศึกษาตามอัธยาศัยของศูนย์ฝึก และพัฒนาอาชีพราษฎรไทยบริเวณชายแดนชุมพร ผู้วิจัยกาหนดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ค่าร้อยละ 15 ของประชากร ได้จานวน 45 คน จากน้ันสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจงกับผู้ที่เข้ามารับบริการฐาน การเรียนรู้ของศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพราษฎรไทยบริเวณชายแดนชุมพร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบทดสอบ และแบบสอบถาม สถิติท่ีใช้ในการวิจัยได้แก่ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย . ส่วนเบ่ียงเบน มาตรฐาน สถติ ิคา่ ที ผลการศึกษาพบว่า 1.ผู้รับบริการ มีคะแนนทดสอบหลังทากิจกรรมฐานการเรียนรู้กาแฟสูงกว่าก่อนทากิจกรรม ฐานการเรียนรู้กาแฟ จานวน 39 คน คิดเป็นร้อยละ 86.67 มากกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้คือ ผู้รับบริการ ร้อยละ 80 มีความรู้ความเข้าใจใน เรื่องของ กาแฟ และยังพบอีกว่า ผู้รับบริการมีคะแนนหลังทา กจิ กรรมฐานการเรียนรู้กาแฟสงู กว่าคะแนนก่อนทากิจกรรมฐานการเรียนรู้กาแฟอย่างมีนัยสาคัญทาง สถิตทิ รี่ ะดบั .01 2. ความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมฐานการเรียนรู้ กาแฟ ของผู้รับบริการ โดยรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด โดย ด้านความรู้ท่ีได้รับ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ ด้านส่ือการเรียนรู้ด้านวิทยากร และด้านบรรยากาศการเรียนรู้ ตามลาดับ และเม่ือพิจารณารายด้าน พบวา่ 2.1 ด้านส่ือการเรียนรู้ ความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมฐานการเรียนรู้ กาแฟของผู้รับบริการ โดยภาพรวมมี ความพึงพอใจ อยู่ในระดับมากท่ีสุด เมื่อพิจารณารายข้อ พบว่า ส่ือ อุปกรณ์ มีความทันสมัย เหมาะสมเพียงพอ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ เนื้อหาของส่ือ สอดคล้องกบั ฐานการเรยี นรู้ ตามลาดับ 2.2 ด้านวิทยากร ความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมฐานการเรียนรู้กาแฟ ของผรู้ ับบริการ โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด เมอื่ พจิ ารณารายข้อพบวา่ ความ ชดั เจนในการอธบิ ายเน้อื หา มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคอื ความเหมาะสมของเนอื้ หาทีใ่ ช้ การใช้เวลา ในการอธิบายและการเปล่ียนฐานเหมาะสม ส่วนความน่าสนใจของการนาเสนอเนื้อหา มีค่าเฉล่ียนอ้ ย ท่สี ุด ตามลาดับ

ข 2.3 ด้านบรรยากาศการเรียนรู้ ความพึงพอใจในการจัดการเรียนรูโ้ ดยใช้กจิ กรรมฐานการ เรียนรู้กาแฟของผู้รับบริการโดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากท่ีสุด เม่ือพิจารณารายข้อ พบว่าการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แลกเปล่ียนหรือซักถามมีค่าเฉล่ียสูงสุด รองลงมาคือ การมีส่วนร่วม ของผเู้ รยี น 2.4 ด้านความรู้ที่ได้รับ ความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมฐานการเรียนรู้ กาแฟของผู้รับบริการ โดยภาพรวมมี ความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด เม่ือพิจารณารายข้อพบว่า ความเข้าใจเน้ือหาที่วิทยากรอธิบาย มีค่าเฉล่ียสูงสุด รองลงมาคือ มีความรู้เพ่ิมมากข้ึน นาไปใช้ใน การดาเนินชีวิตได้ ส่วนการนาไปต่อยอดความรู้และศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติมได้ มีค่าเฉล่ียน้อยท่ีสุด ตามลาดับ 3. ผูร้ ับบริการมีข้อเสนอแนะว่า ควรมีส่อื ที่ทันสมยั รองลงมาได้แก่ ควรมีฐานการเรียนรู้ด้าน การทาอาหาร ควรมีการฝึกปฏิบัติจริง และควรเปิดบริการวันเสาร์-อาทิตย์สาหรับกลุ่มเล็กๆ ตามลาดับ

ค กติ ติกรรมประกาศ งานวิจัยฉบับน้ีสาเร็จลงได้ด้วยดี เนื่องจากได้รับความกรุณาอย่างสูงจาก คุณสุพรรณ ฐนิ ะกุล ผู้อานวยการศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพราษฎรไทยบริเวณชายแดนชมุ พร ท่ีปรึกษางานวิจัย ที่ กรุณาให้คาแนะนาปรึกษา ตลอดจนปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ด้วยความเอาใจใส่อย่างดีย่ิง ผู้วิจัยตระหนักถึง ความตั้งใจจริงและความทุ่มเทของท่ีปรึกษาและขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ไว้ ณ ท่นี ี้ ขอขอบพระคุณ คุณณัฐภัสสร แดงมณี รองผู้อานวยการ กศน.ภาคกลาง และคุณสมจิตร เต็นรัมย์ รองผู้อานวยการศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพราษฎรไทยบริเวณชายแดนชุมพร ซ่ึงเป็น ผ้ทู รงคณุ วุฒิทีใ่ ห้ความอนเุ คราะห์ตรวจสอบคณุ ภาพเคร่ืองมอื ตลอดจนนักศึกษาท่ีมาศกึ ษาดงู านฐาน การเรียนรู้การเพาะเห็ดนางฟ้า ทุกท่านที่ให้ความร่วมมือในการตอบแบบสอ บถาม จนทาใหง้ านวิจัยนสี้ าเร็จลุล่วงไป ดว้ ยดี อน่ึง ผูว้ ิจยั หวังว่า งานวิจัยฉบบั นจ้ี ะมปี ระโยชนอ์ ยูไ่ ม่น้อย จึงขอมอบส่วนดี ท้ังหมดนี้ให้แก่เหล่าคณาจารย์ท่ีได้ประสิทธิประสาทวิชาจนทาให้ผู้งานวิจัย เป็น ประโยชน์ตอ่ ผทู้ ่ีเกีย่ วข้องและขอมอบความกตญั ญกู ตเวทติ าคุณ แด่บิดา มารดา และผมู้ ี พระคุณ ทุกท่าน สาหรบั ขอ้ บกพร่องต่าง ๆ ทอ่ี าจจะเกิดขึน้ นน้ั ผู้วิจัยขอนอ้ มรบั ผิดเพยี ง ผู้เดยี ว และยินดีทจ่ี ะ รับฟงั คาแนะนาจากทุกท่านที่ได้เขา้ มาศึกษา เพือ่ เป็นประโยชนใ์ นการพัฒนางานวิจยั ต่อไป ผ้วู ิจยั นางกรกนก เพชรสงฆ์

ง สารบัญ หน้า บทคัดย่อ………………………………………………………………………………………………………………… ก กิตติกรรมประกาศ…………………………………………………………………………………………………… ค สารบัญ………………………………………………………………………………………………………………….. ง สารบญั ตาราง………………………………………………………………………………………………………… จ สารบญั ภาพ…………………………………………………………………………………………………………… ฉ บทท่ี 1 บทนา……………………………………………………………………………………………… 1 1 ความเป็นมาและความสาคัญปัญหา……………………………………………………. 3 วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจัย………………………………………………………………….. ขอบเขตการวจิ ยั ……………………………………………………………………………… 3 นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ……………………………………………………………………………… 3 ประโยชนท์ ี่คาดว่าจะได้รับ…………………………………………………………………. 4 กรอบแนวคิดในการวิจัย…………………………………………………………………….. 4 บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจยั ที่เก่ียวข้อง…………………………………………………………… 5 แนวคิดเก่ยี วกับการพัฒนาแหลง่ เรยี นรู้หรอื ฐานการเรียนรู้…………………….. 5 แนวคดิ เกี่ยวกับการทาค่มู ือ………………………………………………………………… 13 แนวคิดเก่ยี วกับฐานการเรียนรูก้ าแฟ.......................................................... 19 งานวิจยั ที่เกีย่ วข้อง..................................................................................... 31 บทที่ 3 วิธีการดาเนินการวิจัย………………………………………………………………………… 33 ประชากรและกล่มุ ตวั อยา่ ง………………………………………………………………… 33 เครือ่ งมอื ที่ใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล………………………………………………… 33 วิธีการเก็บข้อมูล……………………………………………………………………………….. 34 การวิเคราะห์ขอ้ มลู และสถติ ิที่ใชใ้ นการวเิ คราะหข์ ้อมลู ………………………….. 34 บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล………………………………………………………………………. 35 สัญลกั ษณท์ ี่ใชใ้ นการนาเสนอข้อมลู …………………………………………………….. 35 ลาดบั ข้นั ตอนการวิเคราะหข์ ้อมูล………………………………………………………… 35 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู ……………………………………………………………………….. 35 บทท่ี 5 สรปุ อภปิ ราย และข้อเสนอแนะ ……………………………………………………….. 42 สรุป……………………………………………………………………………………………….. 42 อภปิ ราย………………………………………………………………………………………….. 42 ขอ้ เสนอแนะ……………………………………………………………………………………. 42 บรรณานกุ รม 46 ภาคผนวก 48 49 เครอื่ งมือที่ใช้ในการวจิ ัย

จ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1 แสดงผลการทดสอบระหว่างกอ่ นและหลังทากจิ กรรมฐานการเรียนรู้กาแฟ......... 35 2 เปรียบเทียบคะแนนผลความรู้ ความเข้าใจก่อนและหลังทากิจกรรมฐานการ เรยี นรกู้ าแฟ........................................................................................................... 35 3 แสดงจานวนและค่าร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม............................................. 37 4 แสดงค่าเฉล่ียและค่าเบยี่ งเบนมาตรฐานระดบั ความพึงพอใจในการจดั การเรียนรู้ โดยใชก้ ิจกรรมฐานการเรียนรู้ กาแฟโดยรวม........................................................ 38 5 แสดงคา่ เฉลี่ยและคา่ เบย่ี งเบนมาตรฐานระดับความพึงพอใจในการจดั การเรียนรู้ โดยใช้กิจกรรมฐานการเรียนรู้ กาแฟ ด้านส่ือ...................................................... 39 6 แสดงคา่ เฉล่ยี และค่าเบ่ียงเบนมาตรฐานระดับความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้ โดยใชก้ จิ กรรมฐานการเรยี นรู้ ฐานกาแฟ ดา้ นวทิ ยากร....................................... 39 7 แสดงค่าเฉลย่ี และค่าเบย่ี งเบนมาตรฐานระดบั ความพึงพอใจในการจัดการเรยี นรู้ โดยใชก้ ิจกรรมฐานการเรยี นรู้ ฐานกาแฟ ด้านบรรยากาศการเรยี นรู้................... 40 8 แสดงคา่ เฉล่ียและคา่ เบ่ยี งเบนมาตรฐานระดับความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้ โดยใชก้ ิจกรรมฐานการเรยี นรู้ ฐานกาแฟ ดา้ นความรู้ทไ่ี ด้รับ............................ 40 9 แสดงจานวนและคา่ ร้อยละข้อเสนอแนะของผตู้ อบแบบสอบถาม......................... 41

สารบัญภาพ ฉ แผน่ ภาพที่ หน้า 4 1 กรอบแนวคิดในการวจิ ยั 22 2 การเตรียมตน้ กลา้ 23 3 การเตรยี มพ้ืนที่ 23 4 การขุดหลมุ ปลูกกาแฟ 24 5 การผสมดนิ 24 6 การปลูกกาแฟ 25 7 การใสป่ ยุ๋ 25 8 การคุมโคน 26 9 การตัดแตง่ กง่ิ แบบเปดิ ขา้ ง 26 10 การตัดจนเหลือแตต่ อ

1 บทท่ี 1 บทนา ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหา หลักการตามนโยบาย ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 กระทรวงศึกษาธิการมุ่งม่ัน ดาเนินการภารกิจหลักตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) ในฐานะ หน่วยงานเจ้าภาพขับเคล่ือนทุกแผนย่อยในประเด็น 12 การพัฒนาการเรียนรู้ และแผนย่อยที่ 3 ใน ประเด็น 11 ศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต รวมทั้งแผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา และนโยบาย รฐั บาลท้ังในส่วนนโยบายหลักดา้ นการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ และการพัฒนาศกั ยภาพของคนไทย ทุกช่วงวัย และนโยบายเร่งด่วน เรื่องการเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษท่ี 21 นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการ ขับเคล่ือนแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติประเด็นอื่น ๆ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 12 (พ.ศ. 2561 – 2564) นโยบายและแผนระดับชาติวา่ ด้วยความม่ันคงแห่งชาติ (พ.ศ. 2562 – 2565) รวมทั้งนโยบายและแผนต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง โดยคาดหวังว่าผู้เรียนทุกช่วงวัยจะได้รับการ พัฒนาในทุกมิติ เป็นคนดี คนเก่ง มีคุณภาพ และมีความพร้อมร่วมขับเคล่ือนการพัฒนาประเทศ สู่ ความมน่ั คง มัง่ คง่ั และย่งั ยนื จุดเน้นประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เก่ียวกับการเรียนรู้ตลอดชีวิต เน้นไปที่การจัดการ เรียนรู้ตลอดชีวิตสาหรับประชาชนทุกช่วงวัย เน้นส่งเสริมและยกระดับทักษะภาษาอังกฤษ (English for All) ส่งเสริมการเรียนการสอนท่ีเหมาะสมสาหรับผู้ท่ีเข้าสู่สังคมสูงวัย อาทิ อาชีพที่เหมาะสม รองรับสังคมสูงวัย หลักสูตรการพัฒนาคุณภาพชีวิต และหลักสูตรการดูแลผู้สูงวัย หลักสูตร BUDDY โดยเน้นการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน โรงเรียน และผู้เรียน หลักสูตรการเรียนรู้ออนไลน์ เพื่อ สง่ เสริมประชาสมั พันธ์สินคา้ ออนไลนร์ ะดบั ตาบล ส่งเสริมโอกาสการเข้าถงึ การศึกษาเพอ่ื ทกั ษะอาชีพ และการมีงานทา ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเขตพื้นท่ีพิเศษ (พ้ืนท่ีสูง พ้ืนท่ีตามแนวตะเข็บ ชายแดน และพ้ืนท่ีเกาะแก่ง ชายฝ่ังทะเล ทั้งกลุ่มชนต่างเช้ือชาติ ศาสนา และ วัฒนธรรม กลุ่มชนชายขอบ และแรงงานต่างด้าว) รวมท้ังการพัฒนาครูให้มีทกั ษะ ความรู้ และความ ชานาญในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ และภาษาอังกฤษ รวมทัง้ การจัดการเรยี นการสอน เพ่ือฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบและมีเหตุผลเป็นข้ันตอน พัฒนาสมรรถนะและความรู้ ความสามารถของบุคลากรกระทรวงศึกษาธิการ ให้มีความพร้อมในการปฏิบัติงานรองรับความเป็น รัฐบาลดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจัดให้มีศูนย์พัฒนาสมรรถนะบุคลากรระดบั จังหวัดท่ัวประเทศ (นโยบายและจดุ เน้นของกระทรวงศึกษาธกิ าร, 2564 ) ส่วนนโยบายและจุดเน้นการดาเนินงาน สานักงาน กศน. ประจาปงบประมาณ พ.ศ. 2564 ด้านการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ ข้อ 1.4 การศึกษาตามอัธยาศัย มีนโยบายในการพัฒนาแหล่ง การเรียนรูที่มีบรรยากาศและสภาพแวดลอมท่ีเอ้ือตอการอ่านและพัฒนาศักยภาพ การเรียนรูให้ เกิดขึ้นในสังคมไทย ให้เกิดข้ึนอย่างกว้างขวางและท่ัวถึง เช่น การพัฒนา กศน. ตาบล หองสมุด ประชาชนทุกแหงให้มีการบริการที่ทันสมัย สงเสริมและสนับสนุนอาสาสมัครสงเสริมการอ่าน การ สร้างเครือขา่ ย สงเสริมการอ่าน จัดหน่วยบริการหองสมุดเคล่ือนที่ หองสมุดชาวตลาด พรอมหนังสือ

2 และอุปกรณ์เพื่อจัดกิจกรรม สงเสริมการอ่านและการเรียนรูที่หลากหลายให้บริการกับประชาชนใน พื้นท่ีต่างๆ อย่างท่ัวถึง สม่าเสมอ รวมท้ัง เสริมสร้างความพรอมในด้านบุคลากร ส่ืออุปกรณ์เพ่ือ สนับสนุนการอ่าน และการจัดกิจกรรมเพ่ือส่งเสริมการอ่าน อย่างหลากหลายรูปแบบ (สานักงาน กศน. สานกั ปลัดกระทรงศึกษาธกิ าร,2564) ศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพราษฎรไทยบริเวณชายแดนชุมพร จึงดาเนินการขยายแหล่งเรียนรู้ รวบรวมข้อมูล ความรู้ ตลอดจนกิจกรรมต่าง ๆ ที่สามารถส่งเสริมการเรียนรู้ให้ประชาชนได้นาไปปฏิบัติ การปลูกกาแฟ ตามหลกั เกษตรธรรมชาติ และแนวทางการพฒั นาแหล่งการเรยี นรู้ทต่ี อ้ งอาศัยการมีสว่ นร่วม ของคนในท้องถ่นิ หรอื คนในชมุ ชน เพื่อพฒั นาใหแ้ หล่งการเรียนรสู้ ามารถตอบสนองกบั ความตอ้ งการของคน ในชุมชนไดอ้ ยา่ งแท้จริง นอกจากนีก้ ารประยกุ ต์ใช้สือ่ และเทคโนโลยีสมัยใหม่เพอื่ อานวยความสะดวกในการ เข้าถึงแหล่งการเรียนร้กู ็เป็นสิ่งท่ีสาคัญเพื่อเปดิ โอกาสการเข้าถึงแหล่งการเรียนรู้ได้ทุกท่ี ทุกเวลา เพ่ือเป็น การสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ได้อย่างต่อเน่ืองตลอดชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ กว้างขวางและเป็น รปู ธรรม ตามวิสัยทัศน์ พันธกจิ ของสานักงาน กศน. ตามเป้าหมายของหน่วยงาน และเป็นการสร้างความรู้ ความเขา้ ใจใหก้ ับบคุ ลากรของหนว่ ยงานให้มอี งคค์ วามรทู้ ่ชี ดั เจน กาแฟถือเป็นวัตถุดิบในการผลิตเคร่ืองดื่มที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก และเป็นสินค้าที่มี ความสาคัญต่อการค้าสินค้าเกษตรระหว่างประเทศ และมีมูลค่าการค้าขายสูงเป็นอันดับสองของโลก ในประเทศไทยกาแฟเป็นพืชเศรษฐกิจที่สาคัญมีพื้นท่ีปลูกกาแฟท้ังประเทศประมาณ 271,992 ไร่ ผลผลิตรวม 26,089 ตัน ประมาณร้อยละ 80 เป็นกาแฟพันธ์ุโรบัสต้า มีพื้นท่ีปลูกมากในภาคใต้ อาทิ จังหวัดชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี กระบี่ และนครศรีธรรมราช อีกประมาณร้อยละ 20 เป็นพันธุ์อา ราบิก้า ปลูกมากในภาคเหนือ อาทิ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และแม่ฮ่องสอน เกษตรกรส่วนใหญ่ ปลูกกาแฟโรบัสต้า เนื่องจากสามารถต้านทานโรคราสนิม ทนต่อสภาพอากาศ และผลผลิตสูง มีการ ยอมรับจากนานาชาตอิ ย่างกวา้ งขวางในตลาดส่งออกของไทย (สานักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2558) จังหวัดชุมพรเป็นแหล่งปลูกกาแฟโรบัสต้าแหล่งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย มีพ้ืนท่ีปลูก 129,829 ไร่ คิดเปน็ ประมาณร้อยละ 69 ของพื้นท่ีปลกู ในภาคใต้ โดยมีแหลง่ เพาะปลูกทสี่ าคัญ ได้แก่ อาเภอเมอื ง อาเภอท่าแซะ อาเภอหลังสวน อาเภอพะโต๊ะ อาเภอปะทิว อาเภอสวี อาเภอทุ่งตะโก และอาเภอ ละแม ซึ่งอาเภอท่าแซะเป็นอาเภอทีม่ ีการปลูกกาแฟโรบัสตา้ มากทสี่ ดุ (สานักงานเกษตรจังหวดั ชุมพร, 2558) แต่ในช่วงท่ีผ่านมาพ้ืนท่ีปลูกมีแนวโน้มลดลง ขณะที่โรงงานแปรรูปกาแฟในประเทศไทยมี ความต้องการเมล็ดกาแฟในปริมาณเพ่ิมสูงข้ึนในปี พ.ศ. 2555-2558 จาก 67,620 70,000 75,000 และ 80,000 ตัน/ปี เพิ่มข้ึนตามลาดับ (สานักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2558) ตาบลรับร่อ อาเภอ ท่าแซะ จังหวัดชุมพร มีประชากรโดยส่วนใหญ่ในพื้นที่ประกอบอาชีพทาสวนกาแฟโรบัสต้า โดยการ ปลูกกาแฟโรบัสต้ามากท่ีสุด 62,939 ไร่ คิดเป็นประมาณร้อยละ 80 ของพ้ืนที่ปลูกในอาเภอท่าแซะ (สานกั งานเกษตรอาเภอทา่ แซะ จงั หวดั ชมุ พร, 2558) เนื่องจากมสี ภาพอากาศ สภาพดนิ และลกั ษณะ พ้นื ท่ีเหมาะสม แกก่ ารปลูกกาแฟโรบัสตา้ แตใ่ นการปลูกกาแฟโรบัสต้าของเกษตรกรมกั ประสบปัญหา ตน้ ทนุ การผลิตจากการใช้ปุ๋ยการจา้ งแรงงานในการเกบ็ เก่ยี วผลผลิตกาแฟโรบัสต้า และประสบปญั หา โรคแมลงระบาดมีการใช้สารเคมี ทาให้ คณุ ภาพและปริมาณผลผลิตกาแฟโรบสั ต้าลดลง ศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพราษฎรไทยบริเวณชายแดนชุมพรได้ดา เนินการขยายผลการปลูก กาแฟเกษตรธรรมชาติ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตแก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมายในพื้นท่ีชายแดน

3 หลังจากได้มีการทดลองได้ผลเป็นท่ีน่าพอใจ สามารถนาไปปรับใช้หรือเป็นต้นแบบในการดาเนินชีวิต ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพราษฎรไทยบริเวณชา ยแดนชุมพร โดยได้ดาเนินการจัดทาแหล่งเรียนรู้ การปลูกกาแฟ ให้เป็นศูนย์การเรียนรู้เกษตรธรรมชาติตาม แนวทางปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ในศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพราษฎรไทยบริเวณชายแดนชุมพร เพ่ือเป็นศนู ย์สาธิตและถ่ายทอดให้แก่ประชาชนตามแนวชายแดนท่ีทาอาชีพทางดา้ นการเกษตร และ ประชาชนทส่ี นใจเขา้ มาศกึ ษาหาความรู้และเผยแพรค่ วามรู้สชู่ ุมชน วัตถปุ ระสงคข์ องการวิจัย เพ่ือศึกษาผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมฐานการเรียนรู้กาแฟของศูนย์ฝึกและพัฒนา อาชีพราษฎรไทยบรเิ วณชายแดนชมุ พร ขอบเขตการวจิ ัย 1. ขอบเขตดา้ นเน้อื หา ตัวแปรตน้ ได้แก่ การจัดการเรียนร้โู ดยใชก้ ิจกรรมเป็นฐาน ประกอบด้วย การจัดกิจกรรม การปฏบิ ตั จิ ริง การบรรยาย แลกเปลีย่ นเรียนรู้ และการสาธิตการแปรรปู ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลการวิจัย การจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน ประกอบด้วย ความรู้ ความเข้าใจ และความพึงพอใจของผู้รับบรกิ าร 2. ขอบเขตด้านประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้รับบริการศึกษาตามอัธยาศัยของศูนย์ฝึกและพัฒนา อาชพี ราษฎรไทยบรเิ วณชายแดนชุมพร จานวน 300 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้รับบริการศึกษาตามอัธยาศัยของศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพราษฎร ไทยบริเวณชายแดนชมุ พร จานวน 45 คน 3. ขอบเขตดา้ นระยะเวลา เดอื น เมษายน – เดอื นมถิ ุนายน 2564 นิยามศัพทเ์ ฉพาะ 1. การจัดการเรียนรู้ หมายถึง กิจกรรมที่บุคลากรของ ศฝช.ชุมพร ได้ใช้ความรู้และ ประสบการณใ์ นการถา่ นทอดใหก้ ับบุคลอ่ืน อย่างสร้างสรรค์เพื่อสนบั สนุนให้เกิดการเรยี นรู้ โดยอาศัย วิธีการบรรยาย การฝึกปฏิบัติ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กระบวนการกลุ่ม และการจัดทาฐานเรียนรู้ต่าง ๆ ทเ่ี หมาะสมสอดคล้องกบั บรบิ ทของชมุ ชนและสถานศึกษา 2. กจิ กรรมเป็นฐาน หมายถงึ การจดั กิจกรรมในฐานการเรียนรู้ของศนู ย์ฝึกและพัฒนาอาชีพ ราษฎรไทยบริเวณชายแดนชุมพร ในท่ีนี้หมายถึงฐาน กาแฟ ซึ่งเป็นกิจกรรมหลักๆ ได้แก่ การจัด กิจกรรมการปฏบิ ตั ิจรงิ การบรรยาย แลกเปลี่ยนเรียนรู้ การสาธิตการแปรรูป 3. ความรู้ ความเข้าใจ หมายถึง ความรู้ความเข้าใจของผู้รับบริการ ซ่ึงเกิดจากการท่ีผู้เรียน ได้รับความรู้และประสบการณ์จากการจัดการเรียนร้หู รอื การถา่ ยทอดจากวิทยากร โดยวดั จากผลการ ทดสอบก่อน-หลงั เขา้ รับความรู้

4 4. ความพึงพอใจของผู้รับบริการ หมายถึง ความรู้สึกชอบ ไม่ชอบ ต่อการจัดการเรียนรู้โดย ใช้กิจกรรมเป็นฐานของศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพราษฎรไทยบริเวณชายแดนชุมพร ใน 4 ด้าน ได้แก่ ด้านส่อื การเรียนรู้ ดา้ นวทิ ยากร ด้านบรรยากาศการเรียนรู้ และดา้ นความรู้ทีไ่ ด้รับ 4.1 ด้านสื่อการเรียนรู้ หมายถึง ส่ืออุปกรณ์ แผ่นพับ ท่ีผู้วิจัยได้พัฒนาข้ึนเพ่ือใช้ในฐาน การเรียนรู้โดยเนอ้ื หาของส่อื สอดคล้องกบั ฐานการเรียนรู้ สอ่ื มคี วามทนั สมยั เหมาะสม เพียงพอ 4.2 ด้านวิทยากร หมายถึง ผู้ทาหน้าท่ีจัดกระบวนการเรียนรู้หรือถ่ายทอดความรู้และ ประสบการณ์ โดยวิทยากรต้องมีความชดั เจนในการอธบิ ายเนอื้ หา การนาเสนอเน้ือหามคี วามนา่ สนใจ เหมาะสม รวมถงึ การใชเ้ วลาในการอธิบายและการเปล่ยี นฐานเหมาะสม 4.3 ด้านบรรยากาศการเรียนรู้ หมายถึง การจัดสภาพแวดล้อมให้เอื้ออานวยต่อการ เรียนรู้ เนน้ การมีส่วนรว่ มของผเู้ รียน เปดิ โอกาสให้ผู้รับบรกิ ารได้แลกเปลี่ยนหรือซักถาม 4.4 ด้านความรู้ท่ีได้รับ หมายถึง สิ่งท่ีผู้รับบริการได้รับจากฐานการเรียนรู้ ได้แก่ ความ เข้าใจเน้ือหาที่วิทยากรอธิบาย มีความรู้เพิ่มมากขึ้น นาไปใช้ในการดาเนินชีวิตได้ และสามารถนาไป ตอ่ ยอดความร้แู ละศกึ ษาเรยี นรเู้ พิ่มเติมได้ 5. ผ้รู บั บรกิ าร หมายถึง ผู้ทเี่ ข้ามาศกึ ษาดงู านฐานการเรียนรขู้ อง ศฝช.ชุมพร 6. ศฝช.ชมุ พร หมายถึง ศนู ย์ฝกึ และพฒั นาอาชีพราษฎรไทยบรเิ วณชายแดนชมุ พร ผรู้ บั บริการ หมายถงึ ผู้ทีเ่ ข้ามาศกึ ษาดงู านฐานการเรยี นรู้ของ ศฝช.ชมุ พร ศฝช.ชมุ พร หมายถงึ ศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพราษฎรไทยบริเวณชายแดนชุมพร ประโยชนท์ ่ีคาดว่าจะไดร้ ับ 1.ทราบถึงผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐานของศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพราษฎร ไทยบรเิ วณชายแดนชมุ พร 2.เป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน ศูนย์ฝึกและพัฒนา อาชีพราษฎรไทยบรเิ วณชายแดนชุมพร กรอบแนวคดิ ในการวิจัย การวิจัยครั้งน้ีเป็นการศกึ ษาผลการจดั การเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมฐานการเรียนรู้กาแฟของศูนย์ ฝกึ และพัฒนาอาชพี ราษฎรไทยบริเวณชายแดนชุมพร ซึ่งผ้วู ิจยั กาหนดกรอบแนวคดิ ไวด้ ังนี้ ตัวแปรตน้ ตวั แปรตาม การจัดการเรียนรโู้ ดยใช้กจิ กรรมฐานการ ผลการจัดการเรยี นรูโ้ ดยใช้ เรียนรู้กาแฟ กจิ กรรมฐานการเรียนรู้กาแฟ 1 การจดั กิจกรรมการปฏิบัตจิ ริง - ความรู้ ความเข้าใจ 2. การบรรยาย - ความพึงพอใจของ 3. แลกเปลีย่ นเรียนรู้ 4. การสาธิตการแปรรูป ผ้รู ับบริการ แผนภาพท่ี 1 กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั

5 บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยท่ีเกย่ี วข้อง งานวิจัยเรือ่ ง การศึกษาผลการจดั การเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมฐานการเรียนรู้กาแฟของศูนย์ฝกึ และ พฒั นาอาชีพราษฎรไทยบรเิ วณ ชายแดนชมุ พร ผวู้ ิจัยได้ศกึ ษาทบทวนหลักการ แนวคดิ ทฤษฏี เอกสารและงานวิจัยทีเ่ ก่ียวข้อง โดยได้ รวบรวมสาระสาคัญนาเสนอตามลาดับ ดงั นี้ 1. แนวคดิ เกีย่ วกับการพฒั นาแหลง่ เรยี นรู้หรอื ฐานการเรียนรู้ 2. แนวคิดเกี่ยวกบั การจดั ทาคู่มือ 3. แนวคดิ เก่ียวกับฐาน. กาแฟ 4. งานวจิ ัยทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง แนวคดิ เก่ยี วกับแหล่งเรียนรู้ 1. ความหมายของแหล่งเรียนรู้ ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ได้ให้คาจากัดความของคาว่า “แหล่ง” หมายถึง ถ่ินท่ีอยู่ บริเวณ ศูนย์รวม บ่อเกิด แห่ง ที่ ดังน้ัน แหล่งเรียนรู้ จึงอาจหมายถึง ถิ่น ที่อยู่ บริเวณ ศูนย์รวม บ่อ เกดิ แหง่ การเรยี นรูห้ รือความรู้ สุมาลี สังข์ศรี (2556) กล่าวว่า แหล่งการเรียนรู้สาหรับการศึกษาตลอดชีวิตมีมากมาย หลากหลาย เริม่ ต้งั แต่บ้าน กลุ่มเพอื่ น บคุ คลในชุมชน โรงเรียนหรอื สถานศึกษา สถานท่ีทางาน สถาน 12ประกอบการ ห้องสมุด สวนสาธารณะ สถาบันศาสนา ศูนย์ข่าวสารข้อมูล ศูนย์ศิลปะพ้ืนบ้าน พพิ ธิ ภณั ฑท์ ้องถ่ิน ส่ือประเภทต่าง ๆ ฯลฯ ณัฏฐลักษณ์ ธาระวานิช (2557) กล่าวว่า แหล่งการเรียนรู้เป็นสถานที่หรือศูนย์รวบรวม ข้อมูลความรู้ ตลอดจนกิจกรรมต่าง ๆ ที่สามารถส่งเสริมการเรียนรู้ของประชาชนในแต่ละด้าน รวมทั้งสร้างความเพลิดเพลินแก่ผู้ใช้บรกิ าร อีกท้ังยังเป็นปัจจัยสาคัญและจาเป็นที่สดุ อยา่ งหน่งึ ในการ พัฒนาคนมบี ทบาทสาคัญต่อความเจริญกา้ วหน้าของมนุษยชาติ สังคม และโลก สามารถ รอดสาราญ (2557) ไดใ้ ห้ความหมายไว้วา่ แหลง่ การเรยี นรู้ (Learning Resource) หมายถงึ แหลง่ ข้อมลู ข่าวสาร สารสนเทศ และประสบการณ์ทสี่ นับสนนุ ให้ ผู้เรยี น ใฝ่รู้ ใฝเ่ รยี น แสวงหาความรู้ และเรียนรู้ด้วยตนเองตามอัธยาศัยอย่างกว้างขวางและต่อเน่ือง เพอื่ สง่ เสรมิ ใหผ้ ้เู รยี นเกดิ การเรยี นรู้ และเป็นบคุ คลแห่งการเรียนรูพ้ จนานุกรมฉบับ วิเชียร วงค์คาจันทร์ (อ้างถงึ ใน วีระพน ภานุรักษ์.2558) แหล่งเรียนรู้หมายถึงแหล่งข้อมูล ข่าวสาร สารสนเทศ วิทยากร ภูมปิ ญั ญาชาวบา้ นและประสบการณอ์ ่ืน ๆ ทีส่ นบั สนุนส่งเสรมิ ให้ผู้เรียน เกดิ กระบวนการเรียนรแู้ ละเปน็ บคุ คลแหง่ การเรียนรู้ วิรุฬห์ นิลโมจน์ (2558) กล่าวว่า แหล่งวิทยาการชุมชน หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างในชุมชน ท้ังที่มีอยู่ตามธรรมชาติ และท่ีมนุษย์สร้างข้ึน รวมทั้งตัวบุคคลเอง ขนบธรรมเนียมประเพณี และ ทรัพยากรสารสนเทศต่าง ๆ ท่ีสามารถให้ความร้หู รือเปน็ แหล่งทชี่ มุ ชนสามารถเรียนรูส้ ิง่ ตา่ ง ๆ ได้ตาม ความต้องการจากนิยามความหมายของแหล่งการเรียนรู้สะท้อนให้เห็นถึงความสาคัญของชุมชนที่มี

6 บทบาทสาคัญต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต เนื่องจากเป็นแหล่งท่ีจะให้ความรู้แก่บุคคลถัดจากบ้าน กล่าวคือ เดก็ จะเรียนรูจ้ ากกลุ่มเพอื่ น จากเพื่อนบ้าน จากกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นในสังคม และชุมชน หรือสังคมก็จะให้ความรู้แก่บุคคลตลอดไปไม่ว่าเป็นช่วงที่บุคคลเข้าศึกษาในโรงเรียนหรือสถานศึกษา หรือเมื่อจบจากโรงเรียนหรือสถานศึกษา ดังน้ันความหมายของแหล่งการเรียนรู้ชุมชนสรุปได้ดังนี้ แหล่งการเรียนรู้ชุมชนหมายถึงแหล่งทใ่ี ห้ความรู้และประสบการณ์การเรียนรู้แกค่ นในชุมชนทั้งท่ีมีอยู่ ตามธรรมชาติและท่ีมนุษย์สร้างขึ้น รวมท้ังบุคคลในชุมชน กิจกรรมดาเนินชีวิต กิจกรรมศาสนา ประเพณี และทรัพยากรสารสนเทศต่าง ๆ เพื่อการศกึ ษาเรียนรูต้ ลอดชวี ิตของคนในชมุ ชน ชลดา สมัครเกษตรการ (ม.ป.ป.) แหล่งเรียนรู้ หรือ แหล่งการเรียนรู้ ก็คือ แหล่งข้อมูล ขา่ วสารสารสนเทศ แหล่งความร้ทู างวิชาการ ทร่ี วมความรู้ ใหแ้ นวคดิ เพ่ือสนบั สนุน สง่ เสริมให้ผูเ้ รียน เกิดความรู้และประสบการณ์ เกิดความใฝร่ ู้ ใฝ่เรียน แสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเองตามอัธยาศัย อย่าง กวา้ งขวางและต่อเนอื่ ง เพอ่ื เสริมสรา้ งให้ผ้เู รยี นเกดิ กระบวนการเรยี นรู้ และเป็นบุคคลแหง่ การเรียนรู้ สรุปได้ว่า แหล่งเรียนรู้ หมายถึง แหล่งข้อมูลข่าวสาร สารสนเทศ วิทยากร ภูมิปัญญา และประสบการณ์ รวมทั้งห้องสมุด สวนสาธารณะ สถาบันศาสนา ศูนย์ข่าวสารข้อมูล ศูนย์ศิลปะ พื้นบ้าน พิพิธภัณฑ์ท้องถ่ิน ท่ีสนับสนุนส่งเสริมให้ผู้เรียนใฝ่เรียน ใฝ่รู้ แสวงหาความรู้และเรียนรู้ด้วย ตนเองตามอธั ยาศยั อย่างกวา้ งขวางและต่อเน่อื ง เพื่อเสรมิ สร้างให้ผู้เรียนเกดิ กระบวนการเรยี นรู้ และ เปน็ บคุ คลแห่งการเรยี นรู้ 2. ความสาคญั ของแหล่งการเรยี นรู้ พนั ธป์ ระภา พูนสิน (2554) การเพมิ่ ศักยภาพของผู้เรียนให้สูงข้ึน สามารถดารงชวี ิตอย่าง มีความสุขได้บนพ้ืนฐานของความเป็นไทย และความเป็นสากลเป็นการเรียนรู้คู่ขนานระหว่างความรู้ สากลกับความรู้ท้องถ่ิน เพราะท้องถิ่นเป็นระบบความรู้ท่ีมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยผ่านมิติ สัมพันธ์การส่ังสมและถ่ายทอดผ่านรุ่นสู่รุ่น ส่วนใหญ่เป็นชิ้นงาน เคร่ืองดนตรี เคร่ืองใช้ ผ้าไหม ผ้า ฝ้ายการละเล่น ของเล่น และความรู้ท่ีอยู่ในตัวของบุคคลท่ีเป็นข้อควรปฏิบัติ บทสวด ภาษาเขียน นทิ านคากลอน บทเพลง ตารายาของปราชญ์ชาวบ้าน ซ่ึงสง่ิ เหลา่ นี้มีความเชื่อมโยงกบั ธรรมชาติ และ เทคโนโลยีพื้นบ้าน สอดคล้องกับสังคมการดารงชีวิตของผู้เรียน ถือว่าเป็นการเรียนรู้แบบคู่ขนาน ระหว่างความรู้ท้องถ่ินสู่สากลแหล่งการเรียนรู้ช่วยเชื่อมโย งเร่ืองราวในท้องถิ่นสู่การเรียนรู้สากล พฒั นาคณุ ลกั ษณะและความคดิ ความเข้าใจในคณุ คา่ และทศั นคติ ค่านยิ ม ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน รักการเรียนรู้ มีทักษะการแสวงหาความรู้ สามารถจัดการความรู้ได้ ซึ่งมีความสาคัญและมีความหมายอย่างมาก สาหรบั ผู้เรียน ดงั น้ี 1. ผู้เรียนไดเ้ รยี นรู้จากสภาพชีวิตจริง สามารถนาความรู้ที่ได้ไปใช้ในชีวติ ประจาวนั ได้ช่วย ให้เกดิ การพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ ของตน ครอบครวั ท้องถนิ่ 2. ผู้เรียนได้เรียนในสิ่งท่ีมีคุณค่า มีความหมายต่อชีวิต ทาให้เห็นคุณค่า เห็นความสาคัญ ของส่ิงทีเ่ รยี น 3. ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้ท้องถิ่นสู่ความรู้สากลสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวไปสู่ส่ิงที่อยู่ไกลตัว ได้อยา่ งเปน็ รปู ธรรม 4. เห็นความสาคัญของการอนุรักษ์และพัฒนาภูมิปัญญาท้องถ่ิน วัฒนธรรม ทรัพยากร และส่งิ แวดลอ้ มในท้องถิน่ ได้อยา่ งต่อเน่ือง

7 5. มีส่วนร่วมในองคก์ ร ทอ้ งถ่ิน บุคคล และครอบครวั ในการพัฒนาท้องถิ่น 6. ได้เรียนรู้จากแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลาย ได้ลงมือปฏิบัติจริง ส่งผลให้ เกิดทักษะ การแสวงหาความรู้ เปน็ บุคคลแหง่ การเรยี นรู้ วิรุฬห์ นิลโมจน์ (2558) แหล่งการเรียนรู้มีความสาคัญเพราะเป็นแหล่งให้ความรู้ หรือ การศกึ ษาเรียนรูเ้ ร่ืองราวต่าง ๆอนั เปน็ รากฐานของชมุ ชน สงั คม และประเทศชาติ ซง่ึ สรุปได้ดงั น้ี 1. เป็นแหลง่ การเรียนรทู้ ี่ผเู้ รยี นและประชาชนในชุมชนทุกเพศทุกวยั สามารถศึกษา เรยี นรู้ไดด้ ้วยตนเองตามความสนใจ ศักยภาพ ความพร้อม และโอกาส ท่เี รียกวา่ การศึกษา ตามอัธยาศัย 2. เปน็ แหล่งการเรียนรู้ท่ีผเู้ รียนได้เรยี นรูจ้ ากประสบการณ์จริง โดยเลือกศกึ ษาจากแหลง่ วิทยาการชมุ ชนตา่ ง ๆ ตามท่ีสถานศกึ ษากาหนดหรือความสนใจของผเู้ รียนเอง 3. ช่วยส่งเสริมสนับสนุนใหก้ ารเรยี นรู้เกดิ ข้ึนไดท้ ุกเวลา ทุกสถานที่ เพื่อใหเ้ ป็นการศึกษา ตลอดชีวติ สาหรับประชาชน 4. ชว่ ยให้การจัดการศกึ ษามีคุณภาพ การจดั การเรียนการสอนหรือกจิ กรรมการเรียนรู้ เปน็ ไปตามทห่ี ลักสูตรแกนกลางกาหนด รวมท้ังการตอบสนองการพฒั นาหลกั สตู รสถานศึกษาหรอื หลกั สตู รท้องถิน่ ไดต้ ามจุดมุ่งหมายของการศึกษา ทั้งนี้ หากปราศจากแหล่งวทิ ยาการชมุ ชนแล้ว จดุ ม่งุ หมายการศึกษาท่ีต้องการใหบ้ รรลุผลตามทห่ี ลักสูตรกาหนดไว้ คงเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะอย่าง ยง่ิ การจัดการศึกษาเพื่อตอบสนองความต้องการของชมุ ชนท้องถ่นิ 5. เป็นแหลง่ ให้บรกิ ารการเรียนร้ทู งั้ ในแง่ของสถานท่ีและวทิ ยากรใหค้ วามร้ใู นแงข่ อง แหลง่ วิทยาการชุมชนทเ่ี ปน็ ผู้ร้หู รอื ผูท้ รงภูมิปญั ญาเป็นการเสรมิ สร้างสงั คมแหง่ การเรียนรู้ ชว่ ยใหค้ น ในชมุ ชนมีความกระตือรือรน้ สนใจใฝ่เรยี นรู้อยา่ งต่อเน่อื งตลอดชวี ิต 6. เปน็ ทรพั ยากรทางการศกึ ษาและเปน็ ทุนของชมุ ชนทีส่ ามารถนามาใช้ประโยชนเ์ พอื่ การศึกษาและการพัฒนาของชุมชนอย่างค้มุ ค่าและมปี ระโยชน์โดยตรงตอ่ ชมุ ชน 7. เปน็ รากฐานสาคญั ในการสร้างพลงั การพึง่ พาตนเองและความเขม้ แขง็ ของชมุ ชน 8. เป็นแหล่งเชอื่ มโยงความเข้าใจและความร่วมมือของคนในชมุ ชน และระหว่างชมุ ชนใน แง่ของการสร้างเครอื ขา่ ยการเรยี นรู้ ทาใหเ้ กิดการแลกเปลี่ยนเรยี นรรู้ ะหว่างชมุ ชนอย่างกว้างขวาง และต่อเน่ือง สรปุ ไดว้ ่า แหล่งการเรียนรู้ มีความสาคัญต่อการเรียนรตู้ ามอัธยาศัยของคนในชมุ ชนทาให้ สามารถเรียนรจู้ ากประสบการณ์จริง เป็นการสรา้ งสงั คมแหง่ การเรียนรู้ใหเ้ กิดข้ึนในชุมชนและเปน็ รากฐานของการสรา้ งความเข้มแขง็ ของชมุ ชนอยา่ งยงั่ ยืน แสวงหาความร้ไู ด้ดว้ ยตนเองตามอัธยาศยั อย่างกว้างขวางและตอ่ เน่ือง เพื่อเสรมิ สรา้ งใหผ้ ู้เรยี นเกดิ กระบวนการเรียนรู้และเปน็ บคุ คลแห่งการ เรียนรู้ 3. ประเภทของแหล่งเรียนรู้ ประเภทของแหลง่ การเรยี นรู้สามารถจาแนกไดห้ ลายรปู แบบ ดงั น้ี ชยั ยศ อมิ่ สวุ รรณ์ (อ้างถึงใน พันธ์ประภา พูนสนิ . 2554) ไดส้ รุปประเภทแหล่งการเรียนรู้ ไว้ 2 ประเภท คือ

8 1. แหล่งการเรียนรู้ที่จัดกระทาไว้เพื่อวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ เช่น ห้องสมุด ประชาชนพพิ ิธภณั ฑ์ สวนพฤกษศาสตร์ อุทยาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เปน็ ตน้ 2. แหล่งการเรียนรู้ท่ีจัดกระทาไว้เพื่อวัตถุประสงค์อ่ืนเป็นหลัก โดยมีหรือไม่มี วัตถปุ ระสงค์เพื่อการเรยี นรู้ เช่น หอศลิ ป์ ศนู ยก์ ีฬาและนนั ทนาการ สวนสตั ว์ สวนสาธารณะ เป็นต้น กัญญาวัฒน์ สุขวราห์ (2558) แหล่งเรียนรู้ท่ีสามารถสนับสนุนการเรียนการสอนนั้น นกั การศึกษาไดจ้ าแนกแหล่งเรยี นรู้ไวห้ ลายประเภท 1. สื่อประเภทบุคคล หมายถึง บุคคลท่ีมีความรู้ความสามารถ มีความเชี่ยวชาญ ประสบการณด์ ้านต่างๆ ทีส่ ามารถถ่ายทอดความรู้ทีต่ นมีอยู่ให้ผ้สู นใจดว้ ยการเรียนรู้ในท้องถ่ิน ได้แก่ บุคคลท่ีมีทักษะความสามารถในสาขาอาชีพต่างๆ เช่น ช่างฝีมือ ช่างทอง ช่างไม้ หรือผู้เช่ียวชาญใน สาขาวิชาต่างๆ อาทิศิลปินทุกแขนง นักกฎหมาย นักหนังสือพิมพ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ หรือมีอาวุโสท่ีมี ประสบการณม์ ามาก เปน็ ตน้ 2. แหล่งเรียนรู้ ประเภททรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรที่มนุษย์ สร้างข้ึน หมายถึง ทรัพยากรหรือสิ่งท่ีเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ หรือทรัพยากรที่มนุษย์ สร้างขึ้น เช่น ทรัพยากรป่าไม้ ทรัพยากรน้า ทรัพยากรแร่ธาตุ ทรัพยากรสัตว์ เขื่อน อ่างเก็บน้า ฝายชลประทาน ลาคลอง อุทยาน แห่งชาติ ศูนยอ์ นุรักษแ์ ละคมุ้ ครองสัตว์ป่าเปน็ ตน้ 3. แหล่งเรียนรู้ ประเภทอาคาร สถานที่ และสิ่งก่อสร้าง หมายถึง อาคาร สถานท่ี หรือ สิ่งก่อสร้างตา่ งๆ ที่มนุษย์สร้างข้นึ ท้ังในอดีตและปัจจบุ ัน เช่นโบราณสถาน โบราณวตั ถุ วดั พพิ ิธภัณฑ์ พระพุทธรูป โบสถ์ วิหาร ศูนย์ราชการ โรงพยาบาลสถาบันการศึกษา โรงงานอุตสาหกรรม ตลาด อนุสาวรีย์ ศาลหลักเมือง เรือนจา สถานีตารวจ สวนสาธารณะ สวนสัตว์ ศูนย์วิทยาศาสตร์ ศูนย์ พัฒนาวชิ าการเกษตร โรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น 4. แหล่งเรียนรู้ ประเภทส่ือนวัตกรรม และเทคโนโลยี หมายถึง แหล่งการเรียนรู้ท่ีเป็น สิ่งประดิษฐ์คิดค้นท่ีเป็นผลมาจากความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ได้แก่ สื่อการเรียนรู้ต่างๆ ท่ี เป็นนวัตกรรม หรือเทคโนโลยี ที่มีอยู่ในชุมชน เช่น ห้องสมุดประชาชน เครื่องอิเลคทรอนิกส์ ต่างๆ ระบบเคร่ืองยนต์ต่างๆ เคมีภัณฑ์ สิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ เทคโนโลยีสารสนเทศ การสอนทางไกลผ่าน ดาวเทียม คอมพิวเตอร์ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ วิทยุ โทรทัศน์ ห้องสมุดอิเลคทรอนิกส์ อินเทอร์เน็ต เป็นต้น 5. แหล่งเรียนรู้ ประเภทศิลปะ วัฒนธรรมและจารีตประเพณี หมายถึง แหล่งการเรียนรู้ ทางสังคมท่ีแสดงถึงความเป็นอยู่ความเชื่อ วิถีชีวิตที่สืบต่อกันมาต้ังแต่อดีต เช่นศิลปหัตถกรรม พื้นบ้าน ดนตรีพ้ืนเมือง การแสดงพ้ืนบ้าน วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชน กิจกรรมชุมชน พิธี ทางศาสนา ประเพณีความเชื่อ พิธีกรรมต่างๆ ศิลปกรรม แกะสลัก เคร่ืองป้ันดินเผาภาพวาด ภาพเขียน เป็นตน้ วิโรจน์ นลิ โมจน์ (2558) จดั ประเภทของแหลง่ วิทยาการชุมชนไว้ 7 รูปแบบ ดงั น้ี 1. แหล่งวิทยาการชุมชนประเภททรัพยากรธรรมชาติที่อยู่บริเวณชุมชน เช่น แม่น้า ป่าไม้ ภูเขา น้าตก เปน็ ต้น

9 2. แหล่งวิทยากรชุมชนประเภทกิจกรรมท่ีเกิดจากการดาเนินชีวิตของคนในชุมชน เช่น กิจกรรมการประกอบอาชีพ ตลาดนัด การจัดเวทีประชาคม การสนทนาแลกเปล่ียนเรียนรู้ ข้อมูล ข่าวสารต่าง ๆ ในชีวิตประจาวัน การละเลน่ ต่าง ๆ ฯลฯ 3. แหล่งวิทยาการชุมชนประเภทบุคคล ได้แก่ ผู้ทรงภูมิปัญญา ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้รู้ใน สาขาวิชาตา่ ง ๆ ผนู้ าทางศาสนา ฯลฯ 4. แหล่งวิทยาการชุมชนประเภทศาสนา ประเพณี ได้แก่ ศาสนสถาน ประเพณีและพิธีกรรม ทางศาสนา 5. แหล่งวทิ ยาการชุมชนประเภทสถานท่ที ่ีจดั สร้างขนึ้ เพ่อื การศึกษาและการเรยี นรู้ของชมุ ชน โดยตรง ได้แก่ โรงเรียนหรือสถานศึกษา ห้องสมุด ศูนย์การเรียนชุมชน ท่ีอ่านหนังสือประจาหมู่บ้าน ฯลฯ 6. แหลง่ วิทยาการชุมชนประเภทหนว่ ยงาน องค์กรภาครฐั และเอกชน เช่น สถานที่ราชการ ตา่ ง ๆ ทีต่ ั้งอยูใ่ นชุมชน องค์กร มูลนิธติ า่ ง ๆ ทตี่ ัง้ อยู่ในชุมชน พิพิธภัณฑ์ ฯลฯ 7. แหล่งวิทยาการชุมชนประเภทแหล่งสารสนเทศ ซ่ึงให้บริการทรัพยากรสารสนเทศ ในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ สารสนเทศในรูปของวัสดุสิ่งพิมพ์ สารสนเทศในรูปของโสตทัศนวัสดุส่ือ อเิ ล็กทรอนิกส์ลักษณะตา่ ง ๆ และอินเทอรเ์ น็ต สรุปได้ว่า ประเภทของแหล่งการเรียนรู้ ได้แก่ 1) แหล่งเรียนรู้ประเภทบุคคล เช่น บุคคลท่ี มีความรูค้ วามสามารถ มคี วามเชยี่ วชาญ ประสบการณด์ า้ นต่างๆ ท่สี ามารถถ่ายทอดความรูท้ ีต่ นมอี ยู่ ให้ผู้สนใจด้วยการเรียนรู้ในท้องถ่ิน ได้แก่บุคคลท่ีมีทักษะความสามารถในสาขาอาชีพต่างๆ เช่น ช่างฝีมือ ช่างทอง ช่างไม้ หรือผู้เช่ียวชาญในสาขาวิชาต่างๆ อาทิศิลปินทุกแขนง นักกฎหมาย นักหนังสือพิมพ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ หรือมีอาวุโสที่มีประสบการณ์มามาก 2) แหล่งเรียนรู้ ประเภท ทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรท่ีมนุษย์ สร้างข้ึน หมายถึง ทรัพยากรหรือส่ิงท่ีเกิดข้ึนเองตาม ธรรมชาติ หรือทรัพยากรที่มนุษย์ สร้างข้ึน เช่น ทรัพยากรป่าไม้ทรัพยากรน้า ทรัพยากรแร่ธาตุ ทรพั ยากรสัตว์ เข่อื น อ่างเกบ็ น้า ฝายชลประทาน ลาคลอง อุทยานแห่งชาติ ศนู ยอ์ นุรกั ษแ์ ละคมุ้ ครอง สัตว์ป่า 3) แหล่งเรียนรู้ ประเภทอาคาร สถานที่ และส่ิงก่อสร้าง หมายถึง อาคาร สถานที่ หรือ สิ่งกอ่ สรา้ งตา่ งๆ ทม่ี นุษย์สร้างข้ึน ทงั้ ในอดีตและปัจจบุ นั เช่นโบราณสถาน โบราณวตั ถุ วัด พพิ ิธภณั ฑ์ พระพุทธรูป โบสถ์ วิหาร ศูนย์ราชการ โรงพยาบาลสถาบันการศึกษา โรงงานอุตสาหกรรม ตลาด อนุสาวรีย์ ศาลหลักเมือง เรือนจา สถานีตารวจ สวนสาธารณะ สวนสัตว์ ศูนย์วิทยาศาสตร์ ศูนย์ พัฒนาวิชาการเกษตร โรงงานอุตสาหกรรม 4) แหลง่ เรียนรู้เชงิ วัฒนธรรม แสดงถึงความเป็นอยู่ความ เชือ่ วิถชี ีวิตทส่ี ืบตอ่ กนั มาต้ังแต่อดตี เช่นศลิ ปหัตถกรรมพื้นบ้าน ดนตรีพ้นื เมือง การแสดงพ้ืนบ้าน วิถี ชีวิตความเปน็ อยู่ของคนในชมุ ชน กิจกรรมชุมชน พิธีทางศาสนา ประเพณคี วามเชื่อ พธิ กี รรมต่างๆ แนวทางการพัฒนาแหลง่ เรียนรู้ สมุ าลี สังข์ศรี (2555) การศึกษาตลอดชีวติ จะเกดิ ข้นึ ไมไ่ ด้ถ้าไม่มีการจัดบริการแหลง่ การ เรียนรู้ ในทางปฏิบตั หิ นว่ ยงานผูจ้ ัดการศกึ ษาควรจะดาเนนิ การแหล่งการเรยี นรู้ ดงั นี้ 1. จดั ให้เปน็ แหลง่ ความรทู้ บี่ ริการการศึกษาทกุ ประเภท ทั้งการศกึ ษาในระบบ การศึกษา นอกระบบ และการศึกษาตามอธั ยาศยั

10 2. จัดสาหรับกลุม่ เป้าหมายทุกคนโดยไม่จากัดเพศ วัย พ้นื ฐานความรู้ อาชีพ ฐานะ ความ สนใจ เข้าศกึ ษาหาความรู้ได้ในลกั ษณะใดลักษณะหนงึ่ 3. เขา้ ถึงกล่มุ เป้าหมายหรือให้กลุ่มเป้าหมายเขา้ ถงึ ได้ง่าย การเขา้ ถงึ กลุ่มเป้าหมายอาจจะทา โดยจดั แหล่งความรู้ใหใ้ กล้ตัวผูเ้ รยี น ให้ผู้เรยี นสะดวกทจ่ี ะมาหาความรู้ ไม่มีกฎระเบียบหรือเงอื่ นไขท่ี ยงุ่ ยาก จะศึกษาเมื่อไรหรือจะหยดุ ศึกษาเมอ่ื ใดก็ทาได้ อาจจะสร้างเป็นเครือขา่ ยของแหล่งการเรียนรู้ และอาจจะใชส้ ื่อประเภทตา่ ง ๆ เข้าชว่ ยเพ่อื เชอื่ มโยงผเู้ รยี นเขา้ ถงึ แหล่งการเรียนรู้ประเภทต่าง ๆ ได้ โดยง่าย และผเู้ รยี นกส็ ามารถเป็นเครอื ข่ายของแหล่งการเรียนร้ไู ด้ 4. ใหบ้ รกิ ารอย่างต่อเนื่อง กลุ่มเป้าหมายท่ีมีความสนใจจะศึกษาหาความรูส้ ามารถศึกษาได้ ทุกเวลาที่ต้องการ ณฏั ฐลักษณ์ ธาระวานิช (2557) เสนอภาพรวมของแหลง่ การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เพ่อื ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชวี ติ ของประชาชนวา่ ควรมลี ักษณะดงั นี้ 1. การเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และพัฒนาทักษะท่ีจาเป็นของชุมชนการกระจายแหล่งการ เรียนรู้ให้กว้างขวางและครอบคลุมพื้นท่ีของผู้รับบริการเป็นศูนย์กลางความรู้ในชุมชน โดยให้บริการ ทุกเพศ ทุกวัยอย่างเท่าเทียมกัน และเปิดโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้รับบริการมีส่วนร่วมในการ แสดงความคิดเห็นเก่ียวกับความต้องการที่คาดหวังจะได้รับจากแหล่งการเรียนรู้ แม้วัตถุประสงค์ใน การจัดต้ังแหล่งการเรียนรู้จะเป็นทิศทางเดียวกันแต่กิจกรรมต่าง ๆ ท่ีขับเคล่ือนในแหล่งการเรียนรู้ อาจมีความแตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบริบทชุมชนพ้ืนฐานเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และความ ต้องการของผรู้ ับบริการในพ้นื ที่ 2. การส่งเสริมให้ประชาชนรู้และเข้าใจการใช้ทรัพยากรในแหล่งการเรียนรู้การมีทรัพยากร การเรียนรู้ที่ทันสมัยในแหล่งการเรียนรู้เป็นส่ิงจาเป็น แต่สิ่งท่ีสาคัญที่สุดคือ ผู้รับบริการต้องรู้และ เข้าใจวิธีการใช้ทรพั ยากรการเรียนรู้ดังกล่าว เพื่อนาไปสู่เป้าหมายที่ต้องการดังน้ันในแหล่งการเรียนรู้ ต้องมีคาแนะนาการใช้ทรัพยากรการเรียนรู้ที่นาไปสู่ผลลัพธ์การเรียนรู้ที่พึงประสงค์ เนื่องจาก ผู้รับบริการแต่ละคนมีทักษะพื้นฐานและประสบการณ์ในการใช้ทรัพยากรการเรียนรู้ท่ีแตกต่างกัน หากบุคลากรในแหล่งการเรียนรู้มีจากัดควรมีวิดีโออธิบายและสาธิตการใช้ทรัพยากรการเรียนรู้เช่น สือ่ เทคโนโลยี วสั ดุ อุปกรณ์ เปน็ ตน้ เน่ืองจากในบางกรณปี ้ายนิเทศคาชี้แจงแต่เพียงอย่างเดียวไม่ทา ให้ผู้รับบริการรู้และเข้าใจวิธีการใช้ หรือไม่สามารถใช้ทรัพยากรการเรียนรู้ให้เกิดประโยชน์ในระดับ สูงสุดหากใช้ทรัพยากรในแหล่งการเรียนรู้ไม่คุ้มค่า การลงทุนต่อทรัพยากรในแหล่งการเรียนรู้จะสูญ เปลา่ ไปโดยมิได้ประโยชนเ์ ป็นเพยี งเครื่องมอื ทแี่ สดงใหเ้ ห็นความทันสมัยของแหล่งการเรยี นร้เู ทา่ นนั้ 3. การใช้เทคโนโลยีอานวยความสะดวกในการเข้าถึงแหล่งการเรียนรู้ประชาชนบางกลุ่ม ต้องการใช้บริการแหล่งการเรียนรู้ แต่เน่ืองจากติดภารกิจด้านการทางานหรือความจาเป็นอื่น ๆ เช่น ระยะทาง เวลาในการให้บริการของแหล่งการเรียนรู้ เป็นต้น ทาให้เป็นอุปสรรคในการเข้าถึงแหล่ง การเรียนรู้ ดังนั้น การให้บริการการเข้าถึงแหล่งการเรียนรู้ได้อย่างสะดวกตามความต้องการของ บุคคลเป็นเร่ืองจาเป็น โดยการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นตัวกลางเชื่อมต่อระหว่างแหล่งการเรียนรู้และ ผู้รับบริการ ผู้สนใจสามารถเข้าเว็บไซต์ของแหล่งการเรียนรู้ที่สนใจ และเลือกบริการท่ีสนใจในแหล่ง การเรียนรู้ ในเว็บไซต์ของแหล่งการเรียนรู้จะมเี กมหรือกิจกรรมให้ผู้รับบริการมีส่วนร่วม โดยเป็นเกม หรือกิจกรรมที่พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์ และการแก้ปัญหา ซ่ึงอานวยความ

11 สะดวกในการเข้าถึงแหล่งการเรียนรู้ นับว่าเป็นแรงจูงใจที่ทาให้มีผู้สนใจรับบริการแหล่งการเรียนรู้ มากข้ึนบางเว็บไซต์เป็นรูปแบบแหล่งการเรียนรู้เสมือนจริงและนิทรรศการออนไลน์ โดยผู้เข้ารับ บริการสามารถเยี่ยมชมแหล่งการเรียนรู้เสมือนกาลังอยู่ในแหล่งการเรียนรู้ดังกล่าว และเยี่ยมชม นทิ รรศการตา่ ง ๆ ไดโ้ ดยผา่ นเว็บไซตข์ องแหลง่ การเรียนรู้ นอกจากนี้ แหล่งการเรียนรู้ยังมีการให้บริการผ่านแอปพลิเคชันของโทรศัพท์มือถือสมาร์ต โฟนและแท็บเล็ต เน่ืองจากเป็นอุปกรณ์ท่ีพกพาสะดวกและผู้รับบริการสามารถพกติดตัวไปได้ทุกท่ี การใหบ้ รกิ ารก็ทาไดง้ ่ายเพียงเชื่อมตอ่ กบั สัญญาณอินเทอร์เน็ต อาทิ แอปพลิเคชัน STOR ซึ่งเปน็ แอป พลิเคชันที่รวบรวมแหล่งการเรียนรู้ของนิวซีแลนด์ เช่น พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์ หอศิลป์ สวนสาธารณะ เป็นต้นผู้สนใจสามารถค้นหารายละเอียดของแหล่งการเรียนรู้ท่ีต้องการทราบข้อมูล หรือระบุพิกัดท่ี กาลังอยู่ในขณะนั้นเพื่อให้ระบบค้นหาแหล่งการเรียนรู้ท่ีอยู่ในบริเวณใกล้เคียง โดยจะมีรายละเอียด ต่าง ๆ ของแหล่งการเรียนรู้ ได้แก่ แผนท่ี วันเวลาเปิดบริการ ค่าบริการ เน้ือหาความรู้ และวิดีโอ นาเสนอกิจกรรม 4. การสร้างบรรยากาศท่ีส่งเสริมการเรียนรู้และการทางานร่วมกันแหล่งการเรียนรู้จะมี บรรยากาศท่ีมีความเป็นกันเอง มีสภาพแวดล้อมทางกายภาพที่เอ้ือต่อการเรียนรู้ ให้ผู้รับบริการรู้สึก เสมือนกาลังเรียนรู้อยู่ที่บ้าน มีส่ือการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย จัดวางโต๊ะเก้าอ้ี และระดับแสงสว่างที่ เหมาะสม มีขนาดพ้ืนท่ีท่ีเพียงพอต่อจานวนผู้รับบริการ มีบริการอินเทอร์เน็ตไร้สาย (Wifi) มีห้อง ประชุมกลุ่มย่อยที่ผู้รับบริการสามารถพูดคุยแลกเปล่ียนเรียนรู้ร่วมกัน ในกรณีท่ีพื้นท่ีส่วนใหญ่ของ แหล่งการเรียนรู้ไม่ได้อยูใ่ นอาคาร เชน่ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ เป็นต้น ควรจัดสรรพ้นื ที่ให้ มสี ว่ นมมุ ความรู้เพอ่ื ใหผ้ ู้ใชบ้ ริการค้นคว้าขอ้ มลู และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน ท้ังน้ีบรรยากาศของ แหล่งการเรียนรู้มีความสาคัญต่อการใช้บริการเป็นอย่างย่ิง ดังท่ีประเทศสวีเดนเปรียบเทียบห้องสมุด ประชาชนซงึ่ เปน็ แหลง่ การเรยี นรทู้ ี่กระจายอยูใ่ นชมุ ชนต่าง ๆ วา่ เปน็ เสมือนหอ้ งนงั่ เล่น หรือร้านเสริม สวยท้ังน้เี พราะสถานทดี่ ังกลา่ วทาใหผ้ ใู้ ชบ้ รกิ ารมีความร้สู ึกผ่อนคลายและสบายใจทจ่ี ะใชบ้ รกิ าร 5. การพัฒนาประสิทธิภาพของบุคลากรนอกเหนือจากบุคลิกภาพที่เหมาะสม การบริการท่ี เปน็ มติ ร และการแนะนาข้อมูลความรใู้ นแหลง่ การเรียนรู้แก่ผ้รู บั บริการ บคุ ลากรทีป่ ฏิบัติงานในแหล่ง การเรียนรู้ต้องเป็นผู้มีความรู้และประสบการณ์ท่ีเหมาะสมกับแหล่งการเรียนรู้ โดยมแี หล่งการเรียนรู้ ต้นสังกัดให้การสนับสนุนนอกจากน้ี บุคลากรต้องมีความรู้พ้ืนฐานในการใช้สื่อและเทคโนโลยีต่าง ๆ เพ่ือให้คาแนะนาและให้คาปรึกษาเบื้องต้นแก่ผู้รับบริการในการใช้บริการแหล่งการเรียนรู้ได้อย่าง ถูกต้องเหมาะสมและสอดคล้องกับเป้าหมายของผู้รับบริการ รวมท้ังสามารถตอบคาถามแก่ ผูร้ ับบรกิ ารได้อยา่ งถูกตอ้ งและทันทว่ งที 6. การสร้างความร่วมมือระหว่างเครือข่ายที่เก่ียวข้องบางกรณีการจัดกิจกรรมที่มีความ หลากหลายและส่งเสริมทักษะที่จาเป็นแก่ผู้รับบริการไม่สามารถใช้เฉพาะบุคลากรหรือทรัพยากรที่มี อยู่ในแหล่งการเรียนรู้ได้จาเป็นต้องสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานอ่ืน ๆ ท่ีเก่ียวข้องเพื่อประโยชน์ ของผรู้ ับบริการ เช่น องคก์ รวิชาชีพ บรษิ ัท หา้ งรา้ น เปน็ ต้นยิ่งมเี ครือข่ายท่กี ว้างขวาง โอกาสท่ีจะเพิ่ม ความหลากหลายของเน้ือหา ความรู้และกิจกรรมในแหลง่ การเรียนรู้จะมากขึ้น ทาให้ตอบสนองความ ต้องการของผูร้ ับบริการไดอ้ ย่างครอบคลมุ

12 7. การวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ของแหล่งการเรียนรู้อย่างต่อเน่ืองการศึกษา ค้นคว้า วิจัย และพัฒนาองค์กรความรู้ของแหล่งการเรียนรู้อย่างสม่าเสมอทาให้เกิดการพัฒนาการดาเนินงาน อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นแหล่งการเรียนรู้ที่ตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการอย่างแท้จริง ซึ่ง ข้อค้นพบจากงานวิจัยไม่ได้มีประโยชน์เฉพาะแหล่งการเรียนรู้เท่านั้น แต่สามารถต่อยอดองค์ความรู้ นั้นไปยังระดับท่กี ว้างขวางยง่ิ ขึน้ วรพงศ์ ผูกภู่ (2561) กล่าวว่าจากการศึกษาข้อมูลและประสบการณ์การทางาน เพ่ือค้นหา แนวทางการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ พบว่าการพัฒนา แหล่งเรียนรู้ ประกอบด้วยองค์ประกอบท่ีสาคัญ 7 ด้าน ได้แก่ 1) ข้อมูล/ชุดความรู้ ข้อมูล หรอื เร่อื งราว หรือส่งิ ทไ่ี ดจ้ ากแหลง่ ทมี่ าของความรู้ มีการ นามาเรียบเรียงให้เป็นระบบ เป็นหมวดหมู่ สามารถทาความเข้าใจได้และพร้อมต่อการนาไปใช้ ประโยชน์เพ่ือเพ่ิมพูนความรู้ ประสบการณ์ ท้ังความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (Tacit Knowledge) ซึ่งเป็น ความรู้ท่ีได้จากประสบการณ์ พรสวรรค์หรือสัญชาตญาณของแต่ละบุคคล เช่น ทักษะในการทางาน ความคิดทัศนคติ และความรู้ท่ีชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) ซึ่งเป็นความรู้ท่ีเป็นเหตุเป็นผล ผ่าน การวิเคราะห์ สังเคราะห์จนเป็นหลักทั่วไป สามารถรวบรวมและถ่ายทอดได้ โดยผ่านวิธีต่างๆ เช่น การบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ทฤษฎี หนังสือ คู่มือต่างๆ และบางคร้ังเรียกว่าเป็นความรู้แบบ รูปธรรม การเก็บข้อมูลจากแหล่งความรู้ข้ึนอยู่กับลักษณะของที่มา เช่น ถ้าเป็นสถานท่ีอาจเก็บ ภาพถ่าย พรอ้ มประวัติความเป็นมา ความสาคัญของแหล่งความรู้หรอื ถ้าเป็นตัวบุคคล อาจเก็บข้อมูล ประวัติย่อ บทสัมภาษณ์ คุณงามความดีบันทึกประสบการณ์หรือความรู้ท่ีมีแต่ถ้าหากอยู่ในรูปแบบ ของประเพณี อาจบันทึกถึงความเป็นมา ความสาคัญ พิธีกรรมหรือขั้นตอนการปฏิบัติ เป็นต้น 2) ผู้ให้ข้อมูล/ผู้ถ่ายทอด บุคคลที่สามารถบอกเล่าหรือถ่ายทอดข้อมูล ชุดความรู้น้ันๆ แก่ผู้เรียน ให้ เกิดการเรียนรู้ เกิดความเข้าใจ และสร้างประสบการณ์ได้ ผู้ให้ข้อมูลต้องมีความเช่ียวชาญ มีความรู้ เก่ียวกับเร่ืองท่ีถ่ายทอดเป็นอย่างดี และสามารถนาเสนอเรื่องราวออกมาได้อย่างน่าสนใจ 3) การ ออกแบบและการจัดลาดับขั้นตอน วิธีการจัดกระบวนการเรียนรู้ รูปแบบการเผยแพร่ หรือการนา ข้อมูล เนื้อหาความรู้มาถ่ายทอดให้กับผู้ท่ีสนใจ เช่น การลาดับเร่ืองราว เหตุการณ์ที่นาเสนอ การ จัดทากิจกรรมสาธิต เป็นต้น 4) กิจกรรมและกระบวนการเรียนรู้ หมายถึง กิจกรรมและกระบวนการ ท่ีจะทาให้เกิดการเรียนรู้ เช่น การจัดกิจกรรมท่ีเน้นการเรียนรู้จากการลงมือทา การเรียนรู้ผ่าน ประสบการณ์จริง เป็นต้น 5) ส่ือการเรียนรู้ หมายถึง สื่อรูปแบบต่าง ๆ ท่ีทาให้การเรียนรู้มี ประสทิ ธิภาพมากกว่าการไดฟ้ ังบรรยายเพยี งอย่างเดียว เชน่ อปุ กรณ์สาธติ สง่ิ ของจริง (ของจริง) ปา้ ย ข้อมูล โมเดลจาลอง วีดีทัศน์ เทคโนโลยีสื่อเสมือนจริง สื่ออินเตอร์แอคทีฟ แอนิเมชั่น เกมมัลติมีเดีย เป็นต้น การเลือกใช่ส่ือการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย สัมพันธ์กับข้อมูล จะช่วยสร้างความ น่าสนใจให้แหล่งเรียนรู้ และช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ได้ 6) สถานท่ี ส่วนใหญ่ใช้สถานท่ีจริงหรือ แหล่งที่มาของความรู้เป็นสถานท่ีจัดการเรียนรู้ เพราะจะสามารถเรียนรู้ได้จากสถานท่ีจริง ไม่ว่าจะ เป็นที่บ้านของผู้รู้ แปลงเกษตร ฟาร์ม วัด ป่า ฯลฯ โดยมีการปรับสภาพแวดล้อมของแหล่งเรียนรู้ให้ เป็นห้องเรียน ไม่จาเป็นต้องเรียนในห้องท่ีเป็นทางการ แต่ถ้าหากแหล่งเรียนรู้ไม่สะดวกต่อการจัด กระบวนการเรียนรู้ ก็อาจใชส้ ถานท่อี ืน่ ทใ่ี กล้เคยี ง สร้างบรรยากาศ หรือเอื้อต่อการจัดการเรยี นรู้ และ 7) การบริหารจัดการ แหล่งเรียนรู้จาเป็นต้องมีการบริหารจัดการท่ีเป็นระบบชัดเจน เพื่อให้การ ดาเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และนาไปสู่เป้าหมายของแหล่งเรียนรู้ดังน้ันจึงต้องมีการ

13 บริหารจัดการท่ีดี ท้ังการวางแผนการปฏิบัติงาน การบริหารจัดการคณะทางานที่ขับเคล่ือนงานของ แหลง่ เรียนรู้ การจัดการงบประมาณหรอื แหลง่ ทมี่ าของรายได้ สรุปได้ว่าแนวทางการพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ จาเป็นต้องอาศัย การมีส่วนร่วมของคน ในท้องถิ่นหรือคนในชุมชน เพ่ือพัฒนาให้แหล่งการเรียนรู้สามารถตอบสนองกับความต้องการของคน ในชุมชนไดอ้ ยา่ งแท้จริง นอกจากนี้การประยุกต์ใช้สอื่ และเทคโนโลยีสมยั ใหมเ่ พอ่ื อานวยความสะดวก ในการเข้าถึงแหล่งการเรียนรู้ก็เป็นสิ่งที่สาคัญเพ่ือเปิดโอกาสการเข้าถึงแหล่งการเรีย นรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา เพื่อเปน็ การสรา้ งแรงจูงใจในการเรียนรไู้ ด้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต แนวคิดเกี่ยวกบั การทาคมู่ อื 1. ความหมายของคู่มือ การดาเนินกิจกรรมจะต้องใช้ส่ือ และส่ือที่สาคัญ คือ คู่มือ เพราะเป็นส่ิงท่ีกาหนด จดุ มุ่งหมายของการเรยี นรเู้ น้ือหาวธิ ีการ สอื่ ตลอดจนการวดั ผลสาเร็จของการดาเนนิ งาน ความหมาย ของคมู่ อื นนั้ มีผูใ้ ห้ความหมาย ดงั น้ี สริ ิกร ประสบสุข (2555) กล่าวถึงความหมายของคู่มือว่า คู่มือ หมายถงึ หนงั สือท่ีเขยี น ขึ้นเพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ใช้คู่มือได้ศกึ ษาทาความเข้าใจและง่ายต่อการปฏิบตั ติ ามได้ ในการทากิจกรรม อย่างใดอย่างหน่ึงให้มีมาตรฐานใกล้เคียงกันมากท่ีสุด และทาให้นักเรียนนักศึกษามีความรู้ ความสามารถและทักษะที่ใกลเ้ คียงกัน สรุปได้ว่า คู่มือ หมายถึง หนังสือหรือเอกสารท่ีให้ความรู้เก่ียวกับการทา สิ่งใดส่ิงหนึ่ง แก่ผู้อ่าน โดยมุ่งหวังให้ผู้อ่านหรือผู้ใช้มีความเข้าใจสามารถดาเนินการในเร่ืองน้ันด้วยตนเองได้อย่าง เหมาะสม หรือหนังสือ หรือเอกสารท่ีใช้ประกอบควบคู่เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานอย่างใดอย่าง หน่งึ เพื่อใหบ้ รรลุผลสาเรจ็ ตามเปา้ หมายอย่างมีประสทิ ธภิ าพ 2. ประเภทของคมู่ ือ นักวชิ าการหลายทา่ นแบง่ ประเภทของค่มู ือตามความเหมาะสมกบั การใชง้ าน ดังน้ี คัมภีร์ สดุ แท้ (2553) ได้แบ่งคู่มือออกเป็น 3 ประเภท ไดแ้ ก่ 1.คู่มือเก่ียวกับการเรียนการสอนตามหลักสูตร เป็นคู่มือเสนอแนะแนวทางหรือเทคนิค วิธีการสอน การใช้หนังสือหรือนวัตกรรมท่ีสัมพันธ์กับวิชาใดวิชาหน่ึง หรือระดับชั้นเรียนท่ีกาหนดไว้ ในหลักสูตรน้ัน ๆ เช่น คู่มือรายวิชา คู่มือระดับช้ันเรียน คู่มือการใช้สื่อนวัตกรรมการเรียนการสอน เปน็ ต้น 2. คูม่ อื หนังสอื เรยี น เป็นคู่มือท่ีจัดทาขน้ึ ควบคู่กบั หนงั สอื เรียน 3. คู่มือการจัดกิจกรรมโดยทั่วไป เป็นคู่มือท่ีเสนอแนะแนวทางหรือวิธีการดาเนิน กิจกรรมตา่ ง ๆ เพอื่ สง่ เสรมิ ใหก้ ารจัดกจิ กรรมบรรลุตามวตั ถุประสงคท์ ี่กาหนดไว้ วฒั นา ฉมิ ประเสริฐ (2554) ได้แบง่ คมู่ ือออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1. คูม่ อื เกีย่ วกับการสอน เปน็ คมู่ ือในการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนตามกล่มุ ต่าง ๆ ที่ เสนอแนะแนวทางหรือเทคนิค วธิ ีการสอน การใช้สอ่ื หรอื นวัตกรรมท่สี ัมพนั ธก์ นั เชน่ คมู่ อื รายวชิ า คมู่ ือจัดกจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รียน เปน็ ต้น

14 2. คู่มือการปฏิบัติกจิ กรรม เป็นเอกสารที่เสนอแนวทางการปฏิบัตงิ านของผูเ้ รียนท้งั สถานศกึ ษาหรือสถานประกอบการ รวมทง้ั ให้ผูม้ สี ว่ นเกี่ยวข้องกบั การฝึกงาน ได้มีแนวทางในการ ปฏิบัตใิ หเ้ ปน็ ไปในทิศทางเดยี วกัน เปน็ คมู่ ือทเ่ี กี่ยวข้องกบั การปฏิบัติกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งให้บรรลุ วัตถุประสงค์ตามท่ีกาหนดไว้ 3. คู่มอื ทั่วไป เป็นหนังสอื ท่ีให้ขอ้ ความรเู้ ก่ยี วกบั การทาสง่ิ ใดสิ่งหนงึ่ แกผ่ อู้ ่านโดยมุ่งหวงั ให้ผู้อา่ นหรือผู้ใช้เข้าใจ สามารถดาเนินการในเรื่องนน้ั ๆ ด้วยตัวเองได้อยา่ งถูกต้อง เชน่ คู่มอื ประกอบ อาหาร เปน็ ต้น สิรกิ ร ประสบสขุ (2555) อธิบายวา่ โดยทวั่ ไปหนังสอื คูม่ ือท่ีพบมี 3 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. คู่มือครู (Teacher’s Manual or Handbook) เป็นหนังสือที่ให้แนวทางและ คาแนะนาแก่ครูเก่ียวกับสาระวิธีการกิจกรรม ส่ือวัสดุอุปกรณ์และแหล่งข้อมูลอ้างอิงต่างๆปกติมักใช้ ควบคู่กับตาราเรียนหรือหนังสือเรียน เช่น คู่มือจัดกิจกรรมบูรณาการสาหรับเด็กปฐมวัยคู่มือ ปฏิบตั กิ ารนิเวศวิทยา เปน็ ต้น 2. คู่มือเรียน แบบฝึกปฏิบัติ(Student’s Manual or Workbook)คือ หนังสือที่ผู้เรียน ใช้ควบคู่กับตาราทีเ่ รยี นปกติจะประกอบไปด้วยสาระคาส่ังแบบฝึกหัด ปัญหาหรอื คาถามที่ว่างสาหรับ เขียนคาตอบและการทดสอบ ปัจจุบันคู่มือผู้เรียนไม่เพียงแต่จัดทาขึ้นเพ่ือใช้ควบคู่กับหนังสือตารา เท่าน้ัน แต่อาจจะใช้เปน็ คู่มือสาหรับการศึกษาควบคู่ไปกับ ส่ืออื่นๆ ท่ที าหน้าที่แทนครูหรอื ตารา เช่น บทเรยี น วดี ีทัศนบ์ ทเรียนทางไกล ภาพยนตรห์ รือบทเรยี นคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน เปน็ ต้น 3. ค่มู ือทั่วไป เป็นหนังสือที่ให้ขอ้ ความรู้เกีย่ วกับการทา สิ่งใดสิ่งหน่ึงแก่ผ่านโดยมุ่งหวัง ใหผ้ อู้ า่ นหรอื ผู้ใช้มคี วามเขา้ ใจและสามารถดาเนินการในเร่ืองนนั้ ๆดว้ ยตนเองได้อยา่ งถกู ต้องเหมาะสม สรุปได้ว่าคู่มือไม่ว่าจะมีกี่ประเภท ส่วนมากจะเกี่ยวกับการเรียน การสอนหรือการจัด กิจกรรม เป็นคู่มือท่ีเสนอแนะแนวทางเทคนิคในการดาเนินการสอนหรือกิจกรรมต่าง ๆ เพ่ือให้บรรลุ จดุ ประสงค์ทวี่ างไวซ้ ง่ึ มีส่วนประกอบทสี่ าคัญๆทจี่ ะช่วยใหส้ ามารถปฏบิ ัติงานไดส้ าเร็จ 3. ลกั ษณะของคมู่ ือท่ดี ี นักการศกึ ษากลา่ วถงึ ลกั ษณะของคู่มือที่ดไี วด้ ังเช่น กนกวรรณ ศริ นิ ิมติ กุล (2553) ได้กล่าวถงึ ลกั ษณะคู่มอื ที่ดเี ปน็ 3 ดา้ น คอื 1. ดา้ นเนอ้ื หา เน้อื หาสาระหรือรายละเอยี ดในคมู่ ือ ควรตรงกบั เร่ืองทีศ่ ึกษา และไม่ยาก เกนิ ไปจนทาใหไ้ มม่ ีผู้สนใจจะหยบิ อา่ น การดาเนนิ การกบั เนื้อหาควรให้ความเหมาะสมกับพ้ืนความรู้ผู้ ทจี่ ะศกึ ษา ข้อมูลทม่ี ีในคู่มอื ผู้อา่ นสามารถประยุกต์ใช้ได้ เน้ือหาควรจะเหมาะสมท่ีจะอา้ งอิงได้ ควรมี กรณีตัวอยา่ งประกอบในบางเรื่อง เพื่อจะได้ทาความเขา้ ใจง่าย และควรมีการปรับปรุงเน้ือหาของคมู่ ือ ใหท้ นั สมัยเสมอ 2. ด้านรูปแบบ ตัวอักษรท่ีใช้ควรมีตัวโต และมีรูปแบบที่ชัดเจน อ่านง่าย เหมาะสมกับ ผใู้ ช้ ควรมีภาพหรือตวั อย่างประกอบเนื้อหา ลักษณะการจัดรูปเล่มควรทาให้น่าสนใจ การใช้ภาษาให้ เข้าใจง่าย เหมาะสมกับผู้ใช้คู่มือ และระบบการนาเสนอควรเป็นระบบจากง่ายไปหายาก หรือเป็น เรอื่ ง ๆ ใหช้ ัดเจน 3. ด้านการนาเอาไปใช้ ควรระบุข้ันตอน วิธีการใช้คู่มือให้ชัดเจน มีแผนภูมิตาราง ตัวอย่างประกอบให้สามารถนาไปใช้ปฏิบัติได้จริง มีข้อมูลเพื่อสามารถให้ประสานงานต่าง ๆ ได้ สะดวก รวดเรว็ และบอกสิทธปิ ระโยชน์ และข้อควรปฏบิ ตั ิให้เขา้ ใจงา่ ย

15 วัฒนา ฉิมประเสริฐ (2554) กล่าวว่าลักษณะที่ดีของคู่มือจะต้องมีการเรียงลาดับ ข้นั ตอนการใช้ให้ชัดเจนและง่ายต่อการทาความเข้าใจเม่ืออ่านแล้วต้องสามารถนาไปปฏิบัติได้ถูกต้อง ต้องเน้นแนวปฏิบตั ิทสี่ าคัญ ควรแสดงแผนภาพ แผนภูมแิ ผนผงั เพ่ือช่วยให้ ปฏิบัติตามข้ันตอนต่าง ๆ ได้ง่ายและรูปแบบของคู่มือควรจะมีรูปแบบท่ีน่าสนใจ สวยงาม นา่ อา่ น และทนทานต่อการใช้งาน สิริกร ประสพสุข (2555) กลา่ วว่าลกั ษณะของคู่มือที่ดีควรมีลักษณะ ดังน้ี 1.ด้านรปู แบบ มีขนาดรูปเล่มเหมาะสม ตวั อักษรอา่ นง่าย ชัดเจน รปู ประกอบเหมาะสม กบั เน้ือหาและการนาเสนอกิจกรรมแต่ละขน้ั ตอนมีความชดั เจน 2. ด้านเนื้อหาวัตถุประสงค์ของคู่มือกาหนดไว้ชัดเจน เหมาะสมระบุขอบข่ายเน้ือหา เน้ือหาครอบคลุมตามวัตถุประสงค์คาแนะนาการศึกษาคู่มือเขียนได้ชัดเจน เข้าใจง่ายเนอ้ื หาความรู้มี ความเหมาะสมตรงกับความต้องการและความจาเปน็ 3. ด้านการนาไปใช้กาหนดข้ันตอนการศึกษาคมู่ ือไวช้ ัดเจน กาหนดกิจกรรมเนื้อหาและ แบบฝกึ ไดส้ ัมพนั ธม์ กี ิจกรรมประเมินผลเหมาะสมกับเน้ือหา วงจนั ทร์ แก้วสนี วล (2557) กล่าววา่ คู่มือทดี่ ตี อ้ งมเี น้ือหาเหมาะสมตรงกับเรอื่ งที่ศกึ ษา ถูกต้อง และครอบคลุมเนื้อหาสาระของคู่มือนั้น การจัดข้อมูลเรียงลาดับนาเสนอเป็นข้ันตอนท่ีเข้าใจ ง่ายช่วยให้สามารถดาเนินการตามแนวทางและขั้นตอนต่าง ๆ ได้ดี และรายละเอียดของคู่มือชัดเจน ไมย่ ากเกนิ ไป สรปุ ได้ว่า ลกั ษณะของคมู่ อื ท่ดี ีนั้น ควรประกอบดว้ ยเนอ้ื หาท่ีชดั เจน เขา้ ใจง่าย มรี ูปเล่ม กระทดั รดั ตัวอักษรอ่านงา่ ย ชัดเจน มีการจัดลาดับขอ้ มลู นาเสนอเป็นข้ันตอนที่เข้าใจง่าย ในด้านของ เน้ือหาควรมีการกาหนดวัตถุประสงค์ไว้อย่างชัดเจน มีการระบุขอบข่ายเน้ือหาที่ครอบคลุม มี คาแนะนาในการศึกษาคู่มือ ซึ่งเขยี นไว้ชัดเจน มีความเหมาะสมตรงกับความต้องการและความจาเป็น ส่วนในด้านการนาไปใช้นั้น ควรมีการกาหนดข้ันตอนการศึกษาคู่มือกิจกรรม เน้ือหาและแบบฝึกท่ี สมั พันธ์กนั รวมทัง้ มีการประเมินผลท่เี หมาะสมกับ 4. องคป์ ระกอบของคู่มือ จากการศกึ ษาเอกสารเกยี่ วกับองคป์ ระกอบของค่มู อื การจัดกิจกรรมการเรียนรพู้ บว่ามีผู้ อธิบายองค์ประกอบของคู่มอื การจดั กิจกรรมการเรียนร้ไู ว้ดงั น้ี กนกวรรณ ศริ นิ มิ ิตกุล (2553) กล่าวถึง องคป์ ระกอบของค่มู ือวา่ ควรประกอบด้วยรายละเอียดทส่ี าคัญ ดงั นี้ 1. คาช้ีแจงการใช้คู่มือ โดยครอบคลุมถึง วัตถุประสงค์ของคู่มอื ความรู้พ้ืนฐานท่ีจาเป็น ในการใช้คู่มือ วิธกี ารใช้ และคาแนะนา 2. เน้ือหาสาระ ปกตจิ ะมีการให้เน้ือหาสาระ โดยมีคาชแี้ จงหรือคาอธิบายประกอบ และ อาจมีการวเิ คราะหเ์ นือ้ หาสาระให้ผ้อู า่ นเกดิ ความเขา้ ใจท่ีกระจ่าง 3. การเตรียมการ ประกอบด้วย รายละเอียดเกี่ยวกับการเตรียมสถานที่ วัสดุ ส่ือ อุปกรณ์ และเครือ่ งมอื ทจี่ าเปน็ การเตรียมวัสดุ และการตดิ ต่อประสานงานทจ่ี าเปน็ 4. กระบวนการ วิธีการ กิจกรรม ส่วนนี้นับว่าเป็นส่วนสาคัญของคู่มือ คู่มือจาเป็นต้อง ใช้ข้อมูลหรือรายละเอียดต่าง ๆ ดังน้ี คาแนะนาเกี่ยวกับข้ันตอนและวิธีดาเนินการ คาแนะนาและ

16 ตัวอยา่ งเกีย่ วกับกิจกรรมทีจ่ ะช่วยให้บรรลุผล คาถาม ตัวอยา่ ง แบบฝกึ หัด แบบฝกึ ปฏบิ ตั ิ และสอื่ ตา่ ง ๆ ท่ใี ช้ และขอ้ เสนอแนะเกีย่ วกบั สิ่งควรทา ไม่ควรทา ซ่ึงมักจะมาจากประสบการณ์ของผเู้ ขยี น ฯลฯ 5. การวัดและประเมนิ ผล คู่มือท่ีดีควรจะใหค้ าแนะนาที่เกี่ยวข้องอย่างครบถว้ น การวัด และประเมนิ ผล นบั เป็นองค์ประกอบสาคัญอีกองค์ประกอบหน่งึ ที่คมู่ ือจาเป็นต้องใหร้ ายละเอียดต่าง ๆ เช่น เคร่ืองมือวัดผล วิธีวัดผล และเกณฑ์การประเมินผล คู่มือครูอาจเสนอแนะเกณฑ์ในการ ประเมินผล หรอื ใหค้ าแนะนาในการพัฒนาเกณฑ์เพ่ือประเมนิ ด้วย 6. ความรู้เสริม คู่มือท่ีดจี ะตอ้ งคานงึ ถึงความต้องการของผใู้ ช้ และสามารถคาดคะเนได้ ว่า ผ้ใู ช้มักจะประสบปญั หาในเรื่องใด และจัดหาหรือจัดทาข้อมูลทจ่ี ะชว่ ยสง่ เสริมความรู้ อนั จะทาให้ มปี ระสทิ ธิภาพย่งิ ขนึ้ 7. ปญั หาและคาแนะนาเก่ียวกบั การปอ้ งกันและแก้ไขปัญหา 8. แหล่งข้อมูลและแหล่งอ้างอิงต่าง ๆคัมภีร์ สุดแท้ (2553) กล่าวว่า องค์ประกอบของ คมู่ ือประกอบไปดว้ ย 3 ส่วนหลกั คอื 1. สว่ นท่ี 1 บทนา เป็นส่วนท่ีอธบิ ายถึงความเปน็ มาในการจดั ทาคู่มือ ความมงุ่ หมาย ความสาคัญและประโยชนข์ องคูม่ ือ 2. สว่ นท่ี 2 คาชแ้ี จงการใชค้ ู่มอื เป็นสว่ นเกยี่ วกับวธิ กี ารใชค้ ู่มอื 3. ส่วนที่ 3 สว่ นเนือ้ หา เปน็ ส่วนอธิบายเก่ยี วกบั เนือ้ หาของคมู่ ือ พัชรพร สนั ติวจิ ิตรกุล (2553) กล่าวว่า การจดั ทาคมู่ อื จะต้องประกอบด้วยองคป์ ระกอบ ทีส่ าคัญ ได้แก่ วธิ ีการใช้คู่มือหรือคาแนะนาในการใชค้ ู่มอื เนอ้ื หาสาระ คาชแ้ี จงเก่ียวกบั การจัดเตรียม วัสดุอุปกรณ์ การจัดกิจกรรม แหล่งข้อมูลอ้างอิงเพื่ออานวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้คู่มือให้สามารถ ดาเนินงานได้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ และแบบฝึกหัดหรือแบบฝึกปฏิบัติเพ่ือช่วยใน การฝึกฝน เพ่ือประโยชน์ในการช่วยให้การปฏิบัติงานประสบความสาเร็จบรรลุตามเป้าหมาย ทั้งยัง ชว่ ยในการประหยดั ทรัพยากร ประหยดั เวลา และบคุ ลากร ตลอดจนผลงานมีคุณภาพตามเปา้ หมาย นันท์มนัส รอดทัศนา (2554) กล่าวว่า องค์ประกอบของคู่มือน้ันจาเป็นต้องมีให้ ครบถ้วนและชัดเจนทุกองค์ประกอบ เพ่ือให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียน ซ่ึงได้แบ่งออกเป็นส่วน ๆ ดงั น้ี 1. สว่ นของคาช้ีแจง 2. สว่ นของเนื้อหาสาระ 3. สว่ นของกจิ กรรม ขน้ั ตอนวิธีการและเวลาดาเนินการ 4. ส่วนของสถานท่ี วัสดุ อุปกรณ์ และสอ่ื ต่าง ๆ 5. ส่วนข้อเสนอแนะ 6. สวนของการวัดและประเมินผล วัฒนา ฉิมประเสริฐ (2554) กล่าวว่า องค์ประกอบของคู่มือท่ีดีน้ันต้องเป็นประโยชน์ต่อ ผูน้ าไปใช้งา่ ยต่อการทาความเข้าใจโดยประกอบไปด้วยคาช้ีแจงในการใช้คู่มือ เนื้อหาเหมาะสมกับวัย ของนักเรียน และครอบคลุมทุกด้าน วิธีนาไปใช้และการแนะนาแหล่งความรู้ อ้างอิงต่าง ๆ ตลอดจน การเสนอส่ืออุปกรณท์ ี่สอดคล้องกับเน้ือหาหรือกจิ กรรม

17 สรุปได้ว่า องค์ประกอบที่สาคัญของคู่มือ ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 คาช้ีแจงการใช้ คู่มอื และวัตถปุ ระสงค์คูม่ ือ สว่ นท่ี 2 เน้ือหาสาระแบบฝกึ กจิ กรรมและการวดั ประเมินผลและ ส่วนที่ 3 แหล่งอ้างอิง ซ่ึงองค์ประกอบที่สาคัญของคู่มือน้ันจะต้องง่าย ต่อการทาความเข้าใจ มีวิธีการใช้ไม่ สลับซบั ซอ้ น การนาเสนอแหล่งความรสู้ อ่ื อุปกรณม์ คี วามสอดคลอ้ งกับเน้ือหาหรอื กจิ กรรม ขั้นตอนการจัดทาคมู่ อื จากการศกึ ษาเกี่ยวกบั ขน้ั ตอนการจัดทาคู่มือมผี ู้กลา่ วไวว้ ่า ดงั น้ี พิเศษ ปั้นรัตน์ (2556) กล่าวถึงขั้นตอนและแนวทางการจัดทาคู่มือ ว่ามีรายละเอียด ดังตอ่ ไปนี้ 1. กาหนดหัวขอ้ เรื่องที่จะทา ค้นคว้า จัดหารวบรวม และ ศึกษารายละเอียดเอกสารท่ี เกี่ยวข้อง 2. จดั ทากระบวนงาน /ข้นั ตอนงาน Work Flow 3. เขียนรายละเอยี ดในแตล่ ะกระบวนงาน /ขนั้ ตอนงาน 4. ทดสอบ 5. ปรบั ปรุง เผยแพรใ่ ชง้ านจรงิ 6. ประเมิน ปรับปรุง พัฒนาให้เป็นปัจจุบันและใช้เป็นมาตรฐาน สรรญ จินตภวัต (2557) กล่าววา่ ขนั้ ตอนการจดั ทา ค่มู อื ประกอบด้วย 12 ขัน้ ตอน คือ 1. ศกึ ษารายละเอียดของงานจากเอกสาร 2. สังเกตการณ์ปฏบิ ัติงานจรงิ จากหน้างาน 3. จัดทาขัน้ ตอนการปฏิบัตงิ าน (Work Flow) ขั้นต้น 4. จดั ทา รายละเอียดขน้ั ตอนการปฏบิ ตั ิงานโดยละเอยี ด 5. ตรวจสอบรายละเอียดข้ันตน้ (ทาความเขา้ ใจ) 6. ตรวจสอบในประเดน็ กฎหมาย/กฎระเบียบ 7. ข้ออนมุ ตั ิการประกาศบงั คบั ใช้คมู่ ือปฏบิ ตั ิงาน 8. บันทกึ เขา้ ระบบการควบคมุ เอกสาร 9. เผยแพรค่ มู่ ือปฏิบตั งิ าน 10. ฝกึ อบรมและใหค้ วามรู้วธิ ีการใชง้ านคู่มอื ปฏิบตั งิ าน 11. ทดสอบความเขา้ ใจของผใู้ ชง้ าน 12. รวบรวมขอ้ เสนอแนะเพ่อื ปรบั ปรงุ คูม่ ือ วิยะดา ธนสรรวนิช (2558)กล่าวว่า แนวคิดในการจัดทาคู่มือการปฏิบัติงาน ควรมี รายละเอยี ดดงั นี้ 1. การเลือกเรื่องหรือต้ังชือ่ เรอื่ งของค่มู ือการปฏิบัติงาน ควรเลือกเร่ืองให้ตรงกับความรู้ ความสามารถท่ผี ู้เขียนจะสามารถศึกษาคน้ ควา้ ไดอ้ ย่างละเอียดและครบคลมุ เน้ือหาทัง้ หมด ควรตงั้ ชื่อ เร่อื งท่เี ป็นงานหลักหรือเป็นงานทีป่ ฏิบตั จิ ริง 2. ต้องเพิ่มประสบการณ์ให้ตัวเอง โดยการศึกษาผลงานของบุคคลอื่นหรือเข้ารับการ อบรม

18 3. อ่าน จดบันทึกถ่ายสาเนาเอกสาร เก็บรวบรวม ข้อมูลจากแหล่งใด ใครเป็นผู้เขียน เขียนเม่ือใด ปใี ด เพอ่ื ใช้เป็นบรรณานุกรม อา้ งอิงเพ่อื ทจ่ี ะทา ให้เกิดความเชอื่ ถอื 4. วางแผนในการเขียน การวางโครงรา่ ง เปน็ บท เป็นตอน เปน็ หัวข้อใหญ่หัวขอ้ ยอ่ ย 5. เรียบเรยี ง ที่ไดจ้ ากการอา่ น คน้ คว้าเขียนเป็นตอนแล้วนามาเรียงปะตดิ ปะตอ่ จนครบ แล้วลงมือเขียน ภาษาท่ีใช้พยายามใช้ภาษาง่าย ๆ จะต้องคานึงถึงผู้อื่น ควรตอบสนองความต้องการ และความสนใจของผู้อ่นื เนื้อหาสาระถูกต้องตามหลักวิชา ทันสมัยครอบคลมุ ประเด็นที่เขียน รูปแบบ ทดี่ ตี อ้ งมลี ักษณะเปน็ วชิ าการแบง่ บท แบ่งตอนชัดเจน 6. ในแต่ละประเด็นหลักที่เขียน ควรมีน้าหนักพอๆ กัน มีความยาวพอๆ กัน ให้ความ ละเอียดไล่เล่ียกนั และต้องเขียนผสมผสานกนั ระหว่างสง่ิ ท่ีคน้ คว้ามากับประสบการณ์ท่ปี ฏิบัติจรงิ 7. เรียบเรียงเป็นต้นฉบับ เร่ิมทดลองใช้ปฏิบัติจริง ซ่ึงอาจมีการเพ่ิม – ลด และแก้ไข แล้วทดลองใช้ปฏิบัติซ้า อ่านทบทวน หาขอบกพร่องเพ่ือมิให้เกิดความซ้า ซ้อนและเพ่ิมเติมส่ิงที่ขาด ไปใหส้ มบูรณ์ 8. จัดทารูปเล่ม ให้เพ่ือนร่วมงานช่วยอ่าน หรือผู้มีประสบการณ์ช่วยอ่าน เพ่ือให้ข้อ เสนอแนะหรือหาข้อ บกพร่อง ซ่ึงอาจมีการเพ่ิม – ลดหรอื สลบั บท ตอน ใหม่ เพอื่ ให้การเสนอแนวคิด ราบรืน่ สานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบข้าราชการ (2557) กล่าวว่า ขั้นตอนการจัดทา เอกสารการปฏิบตั ิงาน ดงั นี้ 1. ศกึ ษารายละเอยี ดของงานจากเอกสาร 2. สงั เกตการปฏบิ ตั ิงานจรงิ 3. จัดทา Work Flow อยา่ งง่าย 4. จัดทา รายละเอยี ดในแต่ละขั้นตอน 5. มกี ารทดสอบโดยให้ผปู้ ฏบิ ตั ิงานอ่านและผู้ท่ีไม่ไดป้ ฏิบัติงานอ่าน 6. ตรวจสอบกับนิติกรว่ามีประเด็นใดขัด ต่อกฎหมาย หรือกฎระเบียบของทาง หน่วยงานหรือไม่ หากมีให้แก้ไขปรับปรุง 7. ขออนุมตั ิ 8. บนั ทึกเข้าระบบการควบคมุ และแจกจ่ายเอกสาร 9. ดา เนนิ การแจกจ่ายหรือเผยแพร่ 10. ดาเนนิ การฝกึ อบรมหรอื ชี้แจงวิธกี ารใช้ 11. มีการทดสอบความเข้าใจของผใู้ ชง้ าน 12. รวบรวมข้อเสนอแนะเพอื่ ปรับปรงุ ค่มู ือให้เกิดประสทิ ธิภาพสงู สุดจากการศึกษา สรปุ ได้วา่ การดาเนนิ ขัน้ ตอนการจัดทาคู่มือควรเร่มิ จากกาหนดหวั ข้อเร่อื งท่ีจะศึกษา ศึกษาเอกสารท่ีเก่ยี วข้องจดั ทา ตามขนั้ ตอนการปฏบิ ตั งิ าน ตรวจสอบและทดสอบเน้อื หาปรับปรงุ คู่มอื และใชง้ าน ประเมินผล รวบรวมข้อเสนอแนะ เพอื่ ปรับปรงุ คมู่ ือ และจดั ทาคู่มือ ทีส่ มบูรณ์ เหมาะสมต่อการใชง้ าน 6. ประโยชนข์ องคู่มือ พรทิพย์ คารมรืน่ (2555) กลา่ วถงึ ประโยชนข์ องคู่มือในการปฏบิ ัตงิ านไว้ดงั น้ี

19 1. คู่มอื ถือเปน็ บรรทัดฐานสาหรับการปฏบิ ัตงิ าน ชว่ ยใหก้ ารปฏบิ ัตงิ านเป็นไปอยา่ งมี เกณฑ์ ไม่วา่ ใครจะเป็นผูป้ ฏิบัติหรือปฏบิ ตั ติ อ่ ใคร ทาใหเ้ กิดแบบแผนทด่ี ี 2. ชว่ ยให้ผปู้ ฏบิ ัตงิ านตระหนกั ในหนา้ ทแี่ ละความรบั ผดิ ชอบอย่างชัดเจน 3. ใช้เปน็ คู่มอื ในการฝกึ บุคลากรใหม่ทาให้สามารถเรยี นรู้งานไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง 4. ช่วยลดเวลาและลดความผิดพลาดและความบกพร่องในการปฏิบตั งิ าน 5. ชว่ ยลดค่าใชจ้ า่ ยในการดาเนนิ งาน 6. ชว่ ยเพ่ิมประสทิ ธิภาพในการทางาน วงจันทร์ แก้วสีนวล (2557) กล่าวว่า คู่มือปฏิบัติงานที่จัดทาขึ้นจะเป็นประโยชน์ต่อ หนว่ ยงานและผู้ปฏบิ ัตงิ าน ดังนี้ 1. เป็นบรรทัดฐานสาหรับการปฏิบัติงาน คือ ช่วยให้การปฏบิ ัติงานเป็นไปอย่างมีเกณฑ์ ไมว่ า่ ใครจะเปน็ ผู้ปฏบิ ัตหิ รือปฏบิ ัติตอ่ ใคร ทาใหเ้ กดิ แบบแผนทด่ี ี 2. ชว่ ยให้ผปู้ ฏิบตั ิงานตระหนกั ในหน้าที่และความรับผดิ ชอบอย่างชดั เจน 3. ใชเ้ ป็นคมู่ อื ในการฝึกบุคลากรใหม่ทาให้สามารถเรยี นรู้งานไดถ้ ูกตอ้ งรวดเรว็ 4. ชว่ ยลดเวลาและลดความผิดพลาดและความบกพร่องในการปฏิบตั ิงาน 5. ช่วยลดค่าใช้จา่ ยในการดาเนินงาน 6. ชว่ ยเพมิ่ ประสิทธภิ าพในการทางาน สว่ น อรยา พลู ทรัพย์ (2562) กลา่ วถึง ประโยชน์ของคมู่ อื การปฏิบตั งิ านไว้ว่า 1. ช่วยลดการตอบคาถาม 2. ชว่ ยลดเวลาในการสอนงาน 3. ชว่ ยเสรมิ สร้างความม่นั ใจในการทางาน 4. ช่วยใหเ้ กดิ ความสมา่ เสมอในการทางาน 5. ช่วยลดความชดั แยง้ ท่ีอาจเกดิ ขึ้นในการทางาน 6. ทาใหก้ ารปฏิบตั งิ านเปน็ แบบมืออาชพี 7. ช่วยในการปรับปรงุ งานและออกแบบกระบวนงานใหม่ สรุปได้ว่า คู่มือมีประโยชน์ในการช่วยผู้ปฏิบัติงาน โดยเฉพาะบุคลากรที่เข้าใหม่เพื่อให้ การทางานเป็นไปตามขั้นตอนทีถ่ ูกต้อง ลดขอ้ ผิดพลาดและเพิม่ ประสิทธิภาพในการทางาน แนวคดิ เกย่ี วกับฐาน. กาแฟ ประวตั ิของกาแฟ และความรูเ้ บอ้ื งตน้ เกยี่ วกับกาแฟ ประวัติของกาแฟ กาแฟเป็นเคร่ืองดื่มยอดนิยมในวัฒนธรรมปัจจุบัน ดังจะเห็นได้ว่ามี ร้านกาแฟเกิดข้ึนทุกหัวมุมถนน มีท้ังรายใหญ่ระดับนานาชาติ และแม่ค้าเล็กๆระดับรากหญ้าก็ สามารถเปิดร้านกาแฟได้ และยังเป็นสมัยนิยมและความฝันของเด็กยุคใหม่ที่จะมีร้านกาแฟสวยๆดีๆ สักหนึ่งร้าน เอาไว้นั่งสังสรรค์กับเพ่ือนๆ ก่อนจะไปดื่มกาแฟและเปิดร้านขายกาแฟ มาศึกษาหา ความรู้เก่ียวกับกาแฟกันเสียหน่อยเป็นไรไป เร่ิมต้นด้วย บทท่ี 1 ประวัติของกาแฟ และความรู้ เบ้ืองต้น บทความเก่ียวกับกาแฟนี้เราจะเขียนเป็นตอนๆไปเอาต้ังแต่เบื้องต้นไปเรื่อยๆ กรุณาติดตาม ไปเรือ่ ยๆนะครับ

20 ลกั ษณะโดยทั่วไป ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของกาแฟ Botanical classification กาแฟมีชอ่ื ทางวิทยาศาสตร์วา่ Coffea เปน็ ไม้พุ่มเขตรอ้ นขนาดกลาง ผ้เู ชี่ยวชาญเช่ือว่า มีมากมายหลายสายพันธุ์โดยไม้พุ่มเขตร้อนกว่า 500 สกุล 6,000 กว่าสปีชีย์ เป็นกาแฟเสีย 25 ถึง 100 สปีชยี ์ มกี ารบรรยายลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ของกาแฟไว้คร้ังแรกตงั้ แตค่ รสิ ศตวรรษที่ 18 โดย นักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน Carolus Linneaus และยังบรรยายลักษณะทางพฤษศาสตร์ของกาแฟ อาราบีกา้ ในสายพันธ์ุ Plantarum ในปี ค.ศ. 1753 นับตั้งแตม่ ีการบรรยายลักษณะสายพันธท์ุ ี่แนน่ อน ของการกาแฟ นักพฤกษศาสตร์ตา่ งๆกไ็ ดโ้ ตแ้ ย้งเรอ่ื ยๆมา ด้วยเหตุผลที่วา่ กาแฟมีลกั ษณะหลากหลาย แตกต่าง โดยมีลักษณะตั้งแต่เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กไปจนเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ มีความสูงถึง 9 เมตร เลยทเี ดียว มีใบขนาดตั้งแต่ 1 น้วิ ไปจนถึง 16 น้วิ ความร้เู บอื้ งตน้ เกย่ี วกับกาแฟ กาแฟ เชื่อว่าคนส่วนมากเคยเห็นเมล็ดกาแฟเฉพาะท่ีมันค่ัวเสร็จแล้ว แต่บางคนแม้ต้น กาแฟกย็ ังไม่เคยเห็น บางทบี ารสิ ต้าที่ชงกาแฟให้เราดมื่ ก็ยังไมเ่ คยเห็นเลย ไม่เป็นไรเรามาเรยี นรู้กันว่า กาแฟมนั มลี กั ษณะอยา่ งไร กาแฟ ผลิตมาจากผลกาแฟที่เรยี กกนั วา่ เชอรร์ ่คี อฟฟี (Cherry Coffee) ในผลของ กาแฟดิบเมื่อสีหรอื กะเทาะเปลือกมักมีเมล็ดกาแฟอยู่ 2 เมล็ด หรือ 2 ซกี เรยี กวา่ คอฟฟีบีน Coffee Bean อันเนอ่ื งมนั มลี ักษณะคล้ายเมล็ดถั่ว กาแฟทยี่ งั ไม่คั่วเรียกว่า กรนี บนี Green Bean เมือ่ นามา คั่วแลว้ จงึ เรยี กวา่ Roasted Coffee Bean ซึ่งเรื่องการคั่วกาแฟจะนามาเขียนในบทต่อๆไป มใี บสีมว่ ง สีเหลอื ง ไปจนถงึ เขียวเข้ม ลกั ษณะทางพฤกษศาสตรโ์ ดยทั่วไปของกาแฟ ลาต้นกาแฟ มีลักษณะตรงโดยเริ่มแรกของการเติบโดต้นกาแฟจะไมม่ ีการแตกก่ิง แต่จะ มีใบแตกออกมาตรงข้ออยู่ตรงข้ามกันเป็นคู่ ต่อมาจึงมีการแตกกิ่งออกมาจากลาต้นในลักษณะขนาน กบั พน้ื ดนิ หรือห้อยต่าลงดิน ในบริเวณก่ิงนี้เองจะเป็นท่ีออกดอกและติดผลของกาแฟ กาแฟจะแตกก่ิง ออกมาเรื่อยๆทาให้เกิดพุ่มท่ีหนาทึบอันเป็นที่มาของโรคและแมลงทาให้ผลผลิตตกต่าดงั น้ันเม่ือมีการ แตกกงิ่ ออกมามากเกษตรกรจะต้องตัดแตง่ กงิ่ เพ่อื เพิ่มผลผลติ และเก็บเกย่ี วงา่ ย ดอกกาแฟ มีลักษณะคลา้ ยดอกมะลิป่า มีกล่ินหอม มีรูปคล้ายดาว มีก้านส้นั ดอกกาแฟ ส่วนมากจะออกตามข้อของก่ิงกาแฟ ดอกกาแฟเป็นดอกสมบูรณ์เพศมีท้ัง เกสรตัวผู้และเกสรตัวเมีย รวมอยู่ในดอกเดียวกัน เกสรตัวเมียจะมีอยู่ในดอกเดียวกัน เกสรตัวเมียจะมีอยู่สองส่วน เกสรตัวเมีย จะมอี ยสู่ องส่วน เกสรตัวผูม้ อี ยู่จานวนเทา่ กับกลีบดอกคอื ประมาณ2-4 อนั ผลกาแฟ เกิดมาจากดอกของกาแฟ แต่ท่ีเราเห็นดอกกาแฟมีมากๆก็ไม่ใช่ทุกดอกจะติด เป็นผลกาแฟ โดยมากก็จะมีปริมาณ 15-25 เปอร์เซ็นต์เท่าน้ันท่ีจะติดเป็นผลกาแฟ ลักษณะของผล กาแฟมันจะคล้ายลูกหว้า เน้ือกาแฟเมื่อสุกเต็มที่จะมีรสหวานเล็กน้อยมีลักษณะเป็นยางเหนียวๆ เปลือกนอกเมื่อสุกจะมีสีส้มแดง แดงเข้ม หรือเหลือง แล้วแต่พันธ์ุ ในผลหนึ่งๆ จะมีเมล็ดจานวน 2 เมลด็ ยกเว้นบางผลอาจมีเมลด็ เดียว หรือใหญ่ 1 เมล็ด เล็ก 1 เมล็ด เนื่องจากการลม้ เหลวในการผสม เกสรหรอื แท้ง

21 เมล็ดกาแฟ มีลักษณะโค้งด้านหน่ึง ส่วนอีกด้านหนึ่งจะเรียบและมีร่องตรงกลาง โดย 1 ผลจะมีเมล็ดกาแฟ 2 เมล็ด ซ่ึงอยู่ในลักษณะเอาด้านเรียบประกบกันเป็นรูปลักษณะเรียวยาวรูปไข่ ยาวประมาณ 8 -12 มิลลิเมตร เมล็ดมีเยื่อบางๆ สีเงินหมุ้ อยู่ และอยู่ภายในเปลือกหุ้มที่เรียกว่ากะลา (Parchment) เมล็ดท่ีมีเปลือกหุ้มอยู่น้ีเรียกว่า กาแฟกะลา (Parchment Coffee) เม่ือกะเทาะกะลา นี้ออกจะเหลอื เมลด็ เรียกว่า สารกาแฟ (Green coffee) ซึ่งเม่ือสดมีสขี าว เมื่อแหง้ จะมีสเี ขยี วออ่ น จึง เรียกวา่ กรนี คอฟฟี่ เมื่อเกบ็ ไวน้ านๆ จะคอ่ ยๆ เปลย่ี นเปน็ สีดา เมล็ดกาแฟกลายพันธุ์ ในจานวนผลกาแฟท้ังหมดมีปริมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ท่ีเป็นกาแฟ เมล็ดเดี่ยวซ่ึงเกิดจากการกลายพันธุ์ทางธรรมชาติ เรียกว่า peaberry บางคนเชื่อว่า peaberries มี ความหวาน และมีรสชาติท่ีดีกว่าเมล็ดกาแฟปกติ ดังน้ันบางครั้งพวกมันก็จะถูกคัดแยกออกเพื่อขาย พิเศษ สายพนั ธุ์ กาแฟมีสายพันธุ์แต่ที่นิยมปลูกกันมีเพียงสองสายพันธุ์เท่านั้น คือ อาราบิก้า และ โร บัสตา้ 1. กาแฟอาราบิก้า Coffea Arabica – C. Arabica มีหลากหลายสายพันธ์ุ เช่น : Bourbon, Typica, Caturra, Mundo Novo, Tico, San Ramon, จาเมกา Blue Mountain เป็น กาแฟท่ีสืบเช้ือสายมาจากพันธุ์ด้ังเดิมที่ถูกค้นพบในเอธิโอเปีย เป็นพันธุ์ท่ีมีความนุ่มนวล และมีกล่ิน หอม เป็นกาแฟทม่ี ีมากที่สดุ ในโลกคือโดยประมาณ 70 เปอร์เซน็ ต์ ลักษณะของเม็ดกาแฟจะแบนและ ยาวกว่ากาแฟโรบัสต้า และมีคาเฟอีนต่ากว่าในตลาดกาแฟ อาราบิก้า จะเป็นกาแฟท่ีมีราคาสูงท่ีสุด และกาแฟอาราบีก้าท่ีดีเป็นอาราบีก้าท่ีปลูกบนท่ีสูง โดยทั่วไปจะอยู่ระหว่าง 2,000 ถึง 6,000 ฟุต (610 ถึง 1830 เมตร) เหนือระดับน้าทะเล ปัจจัยท่ีสาคัญอีกอย่างหน่ึงก็คืออุณหภูมิบริเวณท่ีปลูก จะต้องไม่สูงหรือต่าเกินไปอยู่ในช่วงประมาณ 15 – 23 องศาเซนเซียส และต้องการปริมาณน้าฝน ประมาณ 1,500 มิลลเิ มตรต่อปี การปลูกและผลิตกาแฟอาราบีก้ามีต้นทุนสูงเพราะต้องปลูกบนพื้นที่ท่ีมีความสูง มี อณุ หภูมิพอเหมาะ มีปรมิ าณน้าฝนที่เพียงพอ นอกจากนแ้ี ล้วกาแฟอาราบกี ้ายงั มีความทนทานตอ่ โรค ต่าจงึ ต้องการการเอาใจใสอ่ ยา่ งสูง 2. กาแฟโรบัสต้า Coffea canephora – C. canephora var กาแฟโรบัสต้าส่วนมาก จะปลูกในตอนกลางและด้านตะวันตกของทวีปแอฟริกา และบางส่วนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น เวียตนาม และอินโดนีเซีย และในประเทศบราซิล ในปัจจุบันได้มีการผลิตกาแฟโรบัสต้าเพิ่มข้ึน แตก่ เ็ ป็นเพยี งแค่ 30 เปอร์เซน็ ตข์ องกาแฟทั้งโลก กาแฟโรบัสต้าส่วนมากเอาไว้ใช้ผสมกับกาแฟอาราบีก้า และทากาแฟพร้อมด่ืม เมล็ด กาแฟโรบัสต้าจะมีลักษณะค่อนข้างกลม และเล็กกว่ากาแฟอาราบีก้า ต้นกาแฟโรบัสต้ามีความ ทนทานและต้านทานต่อโรคสูง เพาะปลูกได้ง่ายมีการเจริญเติบโตดีในสภาพภูมิอากาศร้อน อุณหภูมิ ในช่วง 23-30 องศาเซนเซียส มีความตอ้ งการนา้ ฝนเฉลีย่ ปรมิ าณ 1500 มลิ ลิเมตรต่อปีและไม่สามารถ ทนทานต่อน้าคา้ งแข็งได้กาแฟโรบัสต้าเมื่อเทียบกับอาราบีก้าแล้วมีรสชาตทิ ี่รุนแรงกว่าและมีคาเฟอีน สูงกว่าถงึ 50-60 เปอร์เซน็ ต์

22 การคดั เลอื กพันธ์ุ เมล็ดกาแฟท่ีนาไปเพาะจะต้องมีการคัดเลือกพันธ์ุก่อน โดยคัดเลือกจากต้นท่ีมีอายุ ประมาณ 8 – 10 ปี มกี ารเจรญิ เติบโตและแขง็ แรงดี มีความอดทนตอ่ สะภาพแวดล้อม โรค และแมลง ไดด้ ี ใหผ้ ลผลติ ตดิ ตอ่ กนั สมา่ เสมอและเมล็ดทนี่ าไปเพาะต้องสกุ ดี สภาพแวดล้อมทเ่ี หมาะสม วิธีการปลกู กาแฟ พนั ธุห์ ลกั ของกาแฟทค่ี า้ ขายจาหน่ายกันมาเป็นเครอื่ งดมื่ กาแฟต่างๆก็ มีอยู่ 2 สายพันธุ์ คอื … 1. โรบสั ตา้ [Robusta] และ 2. พนั ธุอ์ ราบิก้า..Arabica] ความแตกต่างนอกจากสายพันธแุ์ ลว้ ก็อยู่ทีพ่ ืน้ ทปี่ ลูกในระดบั ความสงู จากน้าทะเล ภมู อิ ากาศแถบที่ปลกู รวมท้ังดินที่มีแรธ่ าตุต่างกนั ความเดน่ กล่ิน-รสชาติก็ยอ่ มไมเ่ หมือนกัน พันธโ์ุ รบัสตา้ – เปน็ กาแฟท่ตี ้านทานโรคสงู เตบิ โตเร็ว – ผลผลิตสูง กล่นิ -รสชาติ และราคาตา่ กว่าพนั ธ์ุอราบกิ า้ – ผลผลติ จะถกู นาไปทากาแฟผงสาเรจ็ รปู เป็นสว่ นใหญ่ พันธอุ์ ราบิก้า – จะเปน็ กาแฟท่ีสมบูรณด์ ว้ ยรสชาติ-กลิน่ หอม – และราคาสูงกว่าเป็นเทา่ ตัว และปลูกในพนื้ ท่สี งู – ยิ่งสูงคุณภาพย่ิงดี และต้องพนื้ ท่ีดนิ ดี มีฝนตกชุกพอควร การปลูกกาแฟ กาแฟเป็นพืชท่ีมีถ่ินกาเนิดมาจากอาระเบียหรือประเทศเอธิโอเปียในปัจจุบัน กาแฟท่ี ปลูกเป็นการค้าในประเทศไทยมี 2 ชนิด ได้แก่ กาแฟโรบัสต้า ซ่ึงมีการผลิตประมาณ 50 ล้านตัน เพาะปลกู มากในแถบจงั หวัดชุมพรและภาคใตข้ องประเทศไทย อกี ชนิดหน่ึงคอื กาแฟอาราบิกา้ ซ่ึงปลูก มากในภาคเหนือท่ีเป็นภูเขาสูงและอากาศหนาวเย็น กาแฟโรบัสตา้ น้ันนิยมนาไปทากาแฟผงสาเร็จรูป ชนิดชงละลายหมด ในขณะที่กาแฟอาราบิก้านิยมนามาค่ัว บด และชงโดยการกรองกากออกหรือท่ี ปัจจบุ นั นิยมเรียกว่า “กาแฟสด” การปลูกกาแฟมีวธิ กี ารดังต่อไปน้ี การเพาะกล้า ขน้ั ตอนการเตรยี มตน้ กลา้ แผนภาพท่ี 2 การเตรยี มต้นกล้า

23 เตรียมแปลงเพาะเมล็ดกาแฟโดยใช้ ทรายผสมข้ีเถ้า แกลบ อัตราส่วน 1:1 เกลี่ยใน กระบะหรือแปลงที่สามารถระบายน้าได้ดี แปลงเพาะเมล็ดนี้ควรอยู่ในโรงเรือนท่ีมีหลังคาบังแดด ให้ แสงเขา้ ได้ 50%และปราศจากสตั ว์เลีย้ งเข้าไปขุดคุ้ย รบกวน นาเมล็ดพันธุ์กาแฟแช่น้าผสมยาฆ่าเชื้อรา เช่น สารประกอบทองแดง เป็นเวลา 1 คืน มาเพาะลงใน แปลงท่ีเตรียมไว้ โดยใชไ้ ม้กดเป็นรอ่ งหา่ งกัน ประมาณ 5 ซม. แลว้ โรย เมล็ดลงไป หมายเหตุ เมล็ดพันธุ์กาแฟท่ีใช้ควรเป็นเมล็ดพันธุ์ท่ีดี มาจากต้นแม่ที่ได้รับการรับรอง จากหน่วยงานทีเ่ ช่ือถือได้ มีอตั ราการงอกสงู (เมลด็ ไม่ควรเกบ็ ไวน้ านเกิน 6 เดอื น) ขนั้ ตอน การเตรียมพน้ื ท่ี แผนภาพท่ี 3 การเตรยี มพ้ืนที่ พืน้ ท่ีที่เหมาะสมสาหรับปลกู กาแฟควรเป็นท่ีๆมีความ สูง ประมาณ 800-12,000 เมตร จากระดับน้าทะเล ความลาดชันไม่เกิน 50% ทาการกาจัดวัชพืชโดยการถางให้โล่ง เตรียมทาแนว ระดับ การเตรียมพ้ืนที่ส่วนมากเร่ิมทาในช่วงฤดูแล้ง เพื่อให้พร้อมสาหรับปลูกกาแฟในฤดูฝน ท่ีจะ มาถึง (ประมาณมถิ นุ ายน-กรกฎาคม) ทาแนวระดบั โดยใช้อุปกรณช์ ่วย เช่นไม้รูปตัวเอ เขาควายหรอื ระดับนา้ ทาแนวปลูก กาแฟโดยมีระยะระหว่างต้น 2 เมตร ระยะห่างระหว่างแถวข้ึนอยู่กับ ความลาดชัน โดยเฉลี่ย ประมาณ 1.5-2 เมตร แผนภาพท่ี 4 การขดุ หลมุ ปลูกกาแฟ

24 ขุดหลุมปลกู กาแฟขนาด 0.5 x 0.5x 0.5 เมตร (หรอื 1 X 1 X 1 ศอก) แยกหน้าดินกับ ดนิ กน้ หลมุ ออกจากกัน หนา้ ดนิ จะใช้ผสมใส่ลงทก่ี น้ หลุม แผนภาพท่ี 5 การผสมดิน การผสมดนิ ใสก่ น้ หลมุ จะประกอบด้วยหน้าดิน ปุ๋ยคอก ปนู ขาว (โดโลไมท์) ปยุ๋ ฟอสเฟต และฟูราดาน ผสมให้เข้ากัน ใส่ก้นหลุมไว้กลบด้วยกินก้นหลุมให้เสมอปาก ใช้ไม้ปักทาเคร่ืองหมาย หลมุ ไว้ ขน้ั ตอนการปลูก นาต้นกล้าที่มีขนาดเหมาะสมความสูงประมาณ 45-50 ซม. มีใบ 6-8 คู่ สมบูรณ์ แข็งแรง ผ่านการฝกึ ให้ทนทานต่อแสงแดดจัดและการขาดนา้ ในเบือ้ งตน้ แลว้ แผนภาพที่ 6 การปลกู กาแฟ

25 การดแู ลรักษากาแฟ กาแฟควรไดร้ ับการกาจัดวัชพืชสมา่ เสมอในฤดูฝน โดยเฉพาะหลงั ปลกู ใหม่อายุ 1-3 ปี เพราะตน้ ยังเลก็ ไมส่ ามารถเจริญ เติบโตแขง่ กบั วชั พชื ได้ โดยการถางรอบๆ บรเิ วณสวนกาแฟ และ ถางใหส้ ะอาดบรเิ วณ โคนต้นเพอื่ การใสป่ ุย๋ ต่อไป เศษวัชพืชที่ถางออก สามารถนามาเป็นวสั ดุคลุมดนิ ได้ การใสป่ ุ๋ย แผนภาพที่ 7 การใส่ปยุ๋ ในระยะทีก่ าแฟยงั ไม่ตดิ ผล ควรใสป่ ๋ยุ 46-0-0 เม่ือ กาแฟเร่มิ ตดิ ผลแลว้ (ปีท่ี 4 เปน็ ต้นไป) ตอ้ งใชป้ ๋ยุ 15-15-15 ใชห้ ลักการคร่าวๆคือ ใส่ 3 ครั้ง ในเวลา ตน้ -กลาง-ปลายฤดฝู น ครงั้ หน่งึ ๆใส่ 30-150 กรัม (1-5 กามอื ) ข้ึนอย่กู บั ปริมาณการติดผล และขนาดการเติบโตของลาต้น การคลุมโคน แผนภาพท่ี 8 การคุมโคน ทุกคร้ังหลังใส่ปุ๋ยต้องมีการคลุมโคนต้นเพื่อไม่ให้ปุ๋ย ถูกชะล้างหรือระเหยสูญหายไป นอกจากนั้นเมื่อสิ้นสุดฤดูฝน ควรคลุมโคน ให้หนาประมาณ 30 ซม. เพื่อรักษาความช้ืนในดิน ทาให้ กาแฟรอดตาย พน้ ฤดรู ้อนได้

26 การตดั แต่งก่ิงสาหรับระยะ 3-5 ปแี รก การตัดแต่งกิ่งแบบ 2 ลาตน้ ต้นกาแฟทีม่ ีลาต้นเดยี ว ถ้าตอ้ งการให้มีสองลาต้น ให้ตัดยอดสงู จากพ้ืนดินประมาณ 45 ซม. เม่ือมีหน่อให้เกิดข้ึนท่ีปลายยอด ให้ตัดท้ิงเหลือไว้ 2 ก่ิง แต่งก่ิงแขนงท่ีอยู่ ชิดลาต้นออกให้หมด รวมทั้งก่ิงแขนงที่อย่ตู า่ กวา่ 30 ซม.จากพ้ืนดิน เพื่อไมใ่ หเ้ ปน็ มด และแมลงใช้เปน็ ทางข้ึนตน้ กาแฟ การตัดแตง่ กงิ่ สาหรับต้นกาแฟอายุตั้งแต8่ ปเี ปน็ ตน้ ไป หลังจากกาแฟอายุ 8-10 ปี มีจานวนข้อที่ติดผล น้อยลง สภาพต้นทรุดโทรม และ ผลผลิตตา่ ต้องมกี ารตดั แต่งกิ่ง เพ่อื ให้เกดิ ยอดใหม่ การตัดแต่งกงิ่ แบบเปิดด้านข้าง แผนภาพที่ 9 การตัดแตง่ กิ่งแบบเปดิ ขา้ ง การตดั แบบเปดิ ข้างจะตัดกง่ิ แขนงท่ีอยดู่ ้านตะวนั ออก ทงิ้ ท้งั หมด (แสงเปน็ ตวั กระตนุ้ ให้หนอ่ เจริญ ออกมา) เมอ่ื หน่อใหม่เกิดขนึ้ อายปุ ระมาณ 6 เดือน จงึ ตดั ลาตน้ เก่าออก คดั เลอื กหนอ่ ที่แข็งแรงไว้ เพียง 1-2 อัน เพื่อเลยี้ งใหเ้ ป็นลาต้นหลักต่อไป แผนภาพท่ี 10 การตัดจนเหลือแตต่ อ จุดประสงคเ์ ชน่ เดยี วกบั การตัดแต่งกงิ่ แบบเปดิ ขา้ ง การตัดออกท้งั หมดจะทาใหเ้ กิดหน่อใหม่ จานวน มาก แตกออกมา คัดเลือกไวไ้ ม่เกนิ 3 หนอ่ ปล่อยใหเ้ จรญิ เตบิ โตเปน็ ลาต้นหลกั ต่อไป

27 การเก็บเก่ยี วผลผลติ การเกบ็ เก่ียว ต้นกาแฟจะโตเต็มท่ีพร้อมผลิดอกออกผลให้เก็บเก่ียวเมื่ออายุประมาณ 4-5 ปี และจะ ให้ผลเร่อื ยไปจนอายุ 30 ปี สว่ นระยะเวลาท่ีเก็บเกีย่ วผลกาแฟนนั้ จะ แตกต่างกันไปตามสถานท่ปี ลูก ประเทศท่ีอยู่เหนอื เส้นศูนยส์ ูตรสามารถเก็บเกี่ยวได้ระหว่าง เดือน กันยายนถึงเดือนมีนาคม ประเทศ ที่อยู่ใต้เส้นศูนย์สูตรเก็บเกี่ยวช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม และอาจยาวไปถึงเดือนสิงหาคม ส่วนประเทศท่ีอยู่แถบเส้นศูนย์สูตรพอดีสามารถเก็บเก่ียวได้ตลอดปี แต่ถ้าประเทศไหนหน้าร้อน หน้าฝนไมค่ อ่ ยตา่ งกันมากนกั จะเก็บเก่ยี วได้ถึงปลี ะ 2 ครั้ง วธิ ีการเกบ็ กาแฟสามารถเกบ็ ได้ 2 วิธี คอื 1. แบบเดด็ ทงั้ กงิ่ ท่ีมีลกู กาแฟอยู่ กับ 2. แบบเลือกเก็บ แต่เน่ืองจากลูกกาแฟจะสุกไม่พร้อมกัน ดังนั้นการเก็บเก่ียวกาแฟจึงนิยมใช้วิธีหลัง มากกว่า ซ่ึงทาให้คนเก็บต้องวนเวียนอยู่ท่ีต้นเดิมประมาณ 8-10 วัน แต่ละคร้ังเก็บได้เฉพาะลูกท่ีสุก ได้ที่เท่าน้ัน ทาให้วิธีดังกล่าวมีค่าใช้จ่ายสูง โดยเฉล่ีย 1 วันจะสามารถเก็บผลผลิตกาแฟได้100-200 ปอนด์ ซ่ึงคิดเป็นน้าหนักเมล็ดที่ใช้จริงเพียง 20% หรือ 20-40 ปอนด์เท่าน้ัน ผู้เก็บต้องใช้เวลา 6-10 วนั ในการเกบ็ ผลกาแฟให้ได้ 1 กระสอบ การขยายพนั ธ์ุ การขยายพันธุ์กาแฟท่ีปลูกเพ่ือวตั ถุประสงค์ด้านเศรษฐกิจ ท่ีมีกระทากันปัจจุบันคอื การ เพาะเมล็ด โดยมีวิธีการพอสังเขป คอื การนาผลกาแฟทส่ี ุกเตม็ ที่มาแกะเอาเมล็ดออก และให้นาเฉพาะ เมล็ดท่สี มบูรณ์เทา่ น้ันไปเพาะเพ่อื ขยายพันธ์ุ การเพาะเมล็ด ทาได้โดยวิธีการนาเมล็ดที่ได้ล้างไว้สะอาดแล้ว มาเรียงในกระบะเพาะ เมล็ดที่วัสดุปลูกที่สมบูรณ์ (วัสดุดินเพาะ) โดยปิดเมล็ดและให้น้าอย่างสม่าเสมอ จนระยะเวลา ประมาณ 50 ถึง 60 เมล็ดกาแฟก็จะเร่ิมงอก มีขนาด 1 ถึง 2 คู่ใบ จากนั้นให้ถอนต้นออกและนาไปเพาะต่อ ในถุงพลาสติกที่ได้บรรจุดนิ ไวห้ รือนาไปเพาะในแปลงเพาะทีเ่ ตรยี มดินไว้ โดยปลูกให้มีระยะ ประมาณ

28 30 X 100 เซนติเมตร และรดน้าให้ปุ๋ยอย่างสม่าเสมอ จนอายุได้ประมาณ 1 ถึง 1 ปีคร่ึง (มีใบอย่าง นอ้ ย 7 คู่ใบ) กส็ ามารถนาไปปลูกในแปลงได้ การแปรรูปกาแฟ การแปรรูปกาแฟ เป็นการเพมิ่ มลู คา่ ที่ผลิตได้ ทั้งกาแฟอาราบิกา้ และโรบสั ตา้ โดย การนามาคั่ว ก็จะได้ราคาท่ีเพิ่มสูงกว่าราคาขายเมล็ดกาแฟดิบ 3 – 4 เท่า และเมื่อนามาบรรจุเป็น ผลิตภัณฑใ์ นรปู ของกาแฟผงสาเร็จรูป กาแฟกระป๋อง หรือกาแฟสด มูลค่าจะเพ่มิ ข้ึน 5 – 10 เทา่ ของ ราคาเมล็ดกาแฟดิบ หรอื มากกวา่ น้ัน ปัจจัยทส่ี าคัญที่มีผลต่อคณุ ภาพผลติ ภัณฑ์ / กาแฟค่ัว 1.ที่มาของเมล็ดกาแฟดิบ ตั้งแต่พันธ์ พื้นท่ีปลูก การดูแล ระบบการผลิตเป็นเมล็ด กาแฟดบิ เชน่ วธิ ีผลิตแบบแห้ง หรือแบบเปยี ก 2.เทคโนโลยกี ารสรา้ งผลติ พนั ธุ์ / การคั่วกาแฟ -อุปกรณ์ / เคร่อื งคัว่ กาแฟ -วธิ ีการคว่ั 3. บคุ ลากรความชานาญ ประสบการณ์ 4. การบดใหเ้ หมาะสมกับอปุ กรณ์ท่ใี ชช้ ง 5. ภาชนะบรรจุหรือบรรจุภัณฑแ์ ละการเกบ็ รกั ษาใหม้ ีคุณภาพยาวนาน

29 การควั่ กาแฟแบง่ เป็น 2 แบบ 1. การคว่ั แบบอนา้ หรอื การค่วั แบบนง่ึ เป็น การค่ัวแบบที่ให้เมล็ดกาแฟดิบกลิ้งตวั ในถัง ท่ี มีทอ่ ไอน้าขดอยภู่ ายในถัง เป็นการควั่ ทใี่ ชเ้ วลานานกวา่ จะไล่ความชน้ื ในเมลด็ ออกจน หมดและเมล็ดกาแฟจะเริม่ เปล่ยี นสีขาวหรือเขยี วอมเทา เป็นสีน้าตาลอ่อน จนถึงสี น้าตาลเขม็ โดยอุณหภูมจิ ะอยปู่ ระมาณ 120 – 150 องศา 2. การคัว่ แบบความร้อนแห้ง เปน็ การค่วั เมลด็ กาแฟแบบที่ให้เมล็ดกาแฟดิบกล้งิ ตวั ในถงั โดยใหค้ วามรอ้ นด้วยแกส๊ หรือไมฟ้ ืน เม่ือควั่ เสรจ็ กาแฟจะถูกเทลงในถาดทมี่ ีรรู ะบาย ความรอ้ นได้ เพื่อให้กาแฟเยน็ เร็วท่สี ดุ เมลด็ กาแฟจะถูกค่ัวทอ่ี ณุ หภมู ติ ั้งแต่ 180 – 300 องศา

30 การคัว่ แบ่งออกเป็น 3 ระดับ 1. การคว่ั อ่อน การคั่วระดับอ่อนมาก อ่อนทส่ี ดุ ไมม่ ีกล่นิ ความเข้มข้นขา้ งน้อย มีสีเหมือน ข้าวสาลี มกั จะใชใ้ นการทดลอง ระดบั การคัว่ ธรรมดา มรี สค่อนข้างเปรีย้ ว มกี ล่นิ หอม ออ่ นๆ 2. การคั่วแบบปานกลาง การคั่วระดบั ปานกลาง มีความหอมละมนุ รสเปร้ยี วกลาง ๆ คอ่ นข้างคล่องคอ สีเหมือนเกาลดั แต่กลิน่ หอม มีรสขมหนักกว่ารสเปรี้ยว 3. การคั่วแบบเข้ม กาแฟ ควั่ แบบเข้ม ไม่มรี สเปร้ยี ว มรี สขมเปน็ หลัก เหมาะทจ่ี ะใชท้ า กาแฟเย็น เมล็ดทีค่ ่ัวเสร็จแลว้ จะมีนา้ มนั เคลือบอยู่ มีสีดาเข้ม โดยท่วั ไปใชช้ งกาแฟเอส เฟรสโซ่ การคั่ว จะทาให้เกิดการพัฒนาการพัฒนากลิ่นและรสชาติโดยการเปล่ียนแปลง องค์ประกอบทางเคมีภายในเมล็ดเม่ือได้รบั ความร้อน การบดเมลด็ กาแฟทีค่ ว่ั แล้ว เป็นข้ันตอนสาคัญ ทาให้สารประกอบท่ีละลายได้ภายในกาแฟท่ีคั่วแล้วถูกสกัดออกมา ได้ง่ายด้วยน้ารอ้ นท่ีรนิ ผ่านผงกาแฟ การบดละเอียดมากน้อยขึ้นอยู่กับวิธีการและเคร่ืองมือในการชง เช่น ถ้าชงกาแฟโดยการใช้กระดาษกรอง ควรใช้กาแฟบดละเอยี ดปานกลาง แตถ่ ้าชงแบบเอสเปรสโช่ ควรบดใหล้ ะเอียดมาก การด่มื กาแฟสดใหอ้ ร่อยควรใช้กาแฟผงจากกาแฟเมล็ดทีค่ ัว่ เสรจ็ ใหมๆ่ ในการ ชงแต่ละคร้ัง แต่หากจาเป็นต้องเก็บกาแฟไว้นานกว่าหนึ่งสัปดาห์ควรเก็บไว้ในสภาพของเมล็ด โดย เก็บไว้ในภาชนะที่ปิดสนิท หรือเก็บไว้ในที่เย็น คุณภาพของกาแฟคั่วบดที่เป็นผงแล้วจะเปล่ียนแปลง ไดง้ า่ ยกว่ากาแฟเมล็ด

31 งานวิจยั ทีเ่ กี่ยวขอ้ ง กัญญา ประเสริฐไทย (2555) ได้ทาการศึกษาเกี่ยวกับ เรื่อง การบริหารแหล่ง เรียนรู้ เพ่ือจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนกลุ่มเครือข่ายพัฒนาการศึกษาเวียงเชียงแสน จังหวัด เชียงราย ผลการศึกษาพบวา่ โรงเรียนในกลมุ่ เครือข่ายพฒั นาการศกึ ษาการศึกษาเวียงเชยี งแสน มี แหลง่ เรียนรู้ ในโรงเรียน 4 ประเภท ได้แก่ ห้องปฏิบัติการ ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ ห้องสมุด และอุทยาน การศึกษา แหล่งเรียนรู้นอกห้องเรียนมี 3 ประเภท ได้แก่ แหลง่ เรียนรู้ท่ีเป็นธรรมชาติ แหล่งเรียนรู้ที่ สร้างข้ึน และแหล่งเรียนรู้ที่เป็นบุคคล สภาพการบริหารแหล่งเรียนรู้มีการนาแหล่ง เรียนรู้นอก โรงเรียนทั้ง 3 ประเภท มาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย จัดทาแผนการ เรียนรู้โดย บรู ณาการใช้แหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ในการจัดการเรยี นการสอน ปัญหาในการบริหารแหล่ง เรียนรู้พบว่า งบประมาณในการดาเนนิ การจัดทาแผนประจาปขี องโรงเรยี น ด้านการปฏิบัตติ ามแผนนาแหล่งเรยี นรู้ มาใช้จัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยปรากฏในแผนการสอนอย่างเหมาะสม ด้าน การตรวจสอบ และประเมิน กาหนดให้มีผู้รับผิดชอบในการนิเทศ ติดตามในรูปของคณะกรรมการดา้ น การปรับปรุง แก้ไขควรมีการปรบั ปรงุ ระบบสารสนเทศให้เป็นปัจจบุ นั และปรับปรุงแก้ไขข้อบกพรอ่ งที่ พบหลังจาก ทไ่ี ดร้ ับการนิเทศติดตามผลอยา่ งตอ่ เน่ือง มะลิวัน สมศรี (2558) ศึกษาการพัฒนาคู่มือพัฒนาสมรรถนะทางวิชาการของครูผู้สอน ในสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 2 ผลการวิจัยพบว่า 1. องค์ประกอบสรรถนะทางวิชาการของครูผ้สู อนในสถานศกึ ษาประกอบด้วย 4 องคป์ ระกอบหลกั ดังนี้ 1) การบริหารหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้ 2) การพัฒนาผู้เรียน 3) การบริหารจัดการชั้นเรียน 4) การวิเคราะห์ สังเคราะห์และการวิจัยเพ่ือพัฒนาผู้เรียน และ 15 องค์ประกอบย่อย ประกอบด้วย 1) การสร้างและพฒั นาหลกั สตู ร 2) ความรูค้ วามสามารถในการออกแบบการเรียนรู้ 3) การจดั การเรยี นรู้ ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ 4) การใช้และพัฒนาส่ือนวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อการจัดการเรียนรู้ 5) การวัด และประเมินผลการเรียนรู้ 6) การปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมให้แก่ผู้เรียน 7) การพัฒนาทักษะชีวิต และสุขภาพกายและสุขภาพจิตผู้เรยี น 8) การปลกู ฝงั ความเป็นประชาธิปไตย ความภมู ิใจในความเป็น ไทยให้กับผู้เรียน 9) การจัดระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 10) จัดบรรยากาศที่ส่งเสริมการเรียนรู้ ความสุขและความปลอดภัยของผู้เรียน 11) จัดทาข้อมูลสารสนเทศและเอกสารประจาช้ันเรียน/ ประจาวชิ า 12) กากบั ดูแลชน้ั เรียนรายชั้น / รายวชิ า 13) การวิเคราะห์ 14) การสังเคราะห์ และ 15) การวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียน พบว่า ระดับความคิดเห็นต่อองค์ประกอบของสมรรถนะทางวิชาการของ ครูผู้สอนในสถานศึกษา จากการสังเคราะห์ของผู้เช่ียวชาญทั้ง 6 คน มีระดับความคิดเห็นต่อ องค์ประกอบของสมรรถนะทางวิชาการของครูผู้สอนในสถานศึกษา เป็นไปในทิศทางเดียวกันและ สอดคล้องกัน อยู่ในระดับ มากทสี่ ดุ 2. การศึกษาสภาพปจั จุบันและความตอ้ งการพัฒนาสมรรถนะทาง วิชาการของครูผู้สอนในสถานศึกษา พบว่า สภาพปัจจุบันโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็น รายด้าน พบว่า ด้านที่มีการปฏิบัติมากเป็นอันดับหน่ึง คือ ด้านการพัฒนาผู้เรียนรองลงมาคือ ด้าน การบริหารจัดการช้ันเรียน ด้านการสร้างและพัฒนาหลักสูตร และด้านท่ีมีการปฏิบัติน้อยท่ีสุด คือ ด้านการวิจัยเพ่ือพัฒนาผู้เรียน ส่วนด้านความต้องการ พบว่าความต้องการพัฒนาสมรรถนะทาง

32 วิชาการของครูผู้สอนในสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด เม่ือพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านทค่ี รูผู้สอนมีความตอ้ งการพัฒนามากเป็นอันดับหนึง่ คอื ดา้ นการวิจยั เพ่ือพัฒนาผู้เรียน รองลงมา คือ ด้านการบริหารจัดการชั้นเรียนและด้านการสร้างและพัฒนาหลักสูตร และด้านท่ีครูผู้สอนมีความ ต้องการพฒั นาน้อยที่สุด คือ ด้านการพัฒนาผเู้ รียน3. การสร้างคมู่ ือพฒั นาสมรรถนะทางวิชาการของ ครูผู้สอนในสถานศึกษาประกอบด้วย วิสัยทัศน์ หลักการ วัตถุประสงค์ เนื้อหา กระบวนการของคู่มือ พัฒนาการประเมินประสิทธภิ าพและประสิทธิผลของโปรแกรม โดยกระบวนการของค่มู ือพฒั นาพบว่า ค่มู ือพัฒนาสมรรถนะทางวชิ าการของครูผูส้ อนในสถานศกึ ษาท่ีสรา้ งข้ึน โดยรวมอยู่ในระดับ มากท่สี ุด สว่ นผลการทดลองใชค้ ู่มอื กล่มุ เป้าหมาย พบวา่ คู่มอื พัฒนาน้มี ีประสิทธภิ าพ 92.21/90.00 ซึ่งสูงกว่า เกณฑ์ที่ต้ังไว้ คือ 80/80 และประสิทธิผลของคู่มือพัฒนาสมรรถนะทางวิชาการของครูผู้สอนใน สถานศึกษา หลังใช้คู่มือพัฒนาสูงกว่าก่อนใช้อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 และเม่ือประเมิน ความพึงพอใจของครูท่ีมีต่อคู่มือพัฒนาสมรรถนะทางวิชาการของครูผู้สอนในสถานศึกษา พบว่า โดยรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด4. ผลการศึกษาความพึงพอใจต่อคู่มือพัฒนาสมรรถนะ ทางวิชาการของครูผู้สอนในสถานศึกษา จากการนาเสนอต่อผู้อานวยการสถานศึกษาและครูวิชาการ กลุ่มเครือข่ายของกลุ่มเครือข่ายโรงเรียน มีความเห็นว่า คู่มือมีความเหมาะสมและมีประโยชน์ในการ นาไปใช้ในการพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษาท้ังกลุ่มใหญ่และสามารถศึกษาพัฒนาด้วย ตนเองไดอ้ ยู่ในระดบั มากท่สี ุดในทกุ ขอ้ สุเทพ ไชยวฒุ ิ (2560) ศกึ ษาการพฒั นาคู่มือการบริหารจดั การงานวิชาการของคณะครุ ศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ผลการวิจัยพบว่า 1. คู่มือการบริหารจัดการงานวิชาการของ คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ประกอบด้วยการบริหารจัดการ ตามวงจรคุณภาพเดม่ิง (PDCA) มีคุณภาพอยู่ในระดับดีท้ัง3 ด้านได้แก่ ด้านรูปเล่มของคู่มือ ด้านเนื้อหาของคู่มือ และด้าน การนาไปใช้ 2. ผลการใช้คู่มือ พบว่า คณาจารย์คณะครุศาสตร์มีความพึงพอใจต่อคู่มือการบริหาร จดั การงานวิชาการของคณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ในภาพรวมอยู่ในระดับมากท้ัง3 ดา้ น ไดแ้ ก่ ดา้ นรูปเลม่ ของค่มู ือ ดา้ นเนอื้ หาของคมู่ ือ และดา้ นการพฒั นาคมู่ อื ไปใช้ เกริกฤทธิ์ นิลอุบล (2563) ศึกษาการพัฒนาคู่มือครูการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสรุ าษฎรธ์ านีเขต 1 ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัญหาในการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานของครู อยู่ในระดับปานกลางด้าน ปัจจัยสนบั สนุน มรี ะดับปัญหาสูงสุด รองลงมาคือด้านหลักสูตรและการวางแผนการจัดการเรียนรู้ 2) ผลการพัฒนาคู่มือครู ในการสร้างเนื้อหาประกอบไปด้วย โครงงานและการจัดการเรียนรู้แบบ โครงงาน ประเภทของโครงงาน บทบาทหน้าที่ของครูและนักเรียนในการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน สมรรถนะและแนวทางการพัฒนาสมรรถนะการเป็นครูท่ีปรึกษาโครงงาน การสร้างหลักสูตรและ โครงสร้างรายวิชาโครงงาน กระบวนการขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน 3) ผลการใช้คู่มือ พบว่า ความรู้ความเข้าใจในการใช้คู่มือครู มีค่าเฉล่ียหลังการทดลองใช้สูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนทดลองใช้ อยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถติ ิท่รี ะดับ .01 ผลการประเมินความเหมาะสมของคูม่ อื ครู อยู่ในระดบั มากที่สุด ดา้ นเน้ือหา มีระดับความเหมาะสมสงู สุด ผลการประเมินความพึงพอใจหลังการใช้คมู่ ือครูอยใู่ นระดับ มาก และรายด้านอย่ใู นระดบั มากทสี่ ดุ ได้แก่ ด้านการออกแบบและรปู เลม่

33 บทที่ 3 วธิ ดี าเนินการวิจัย การวิจัยในครงั้ น้ี มีวัตถุประสงคเ์ พื่อศึกษาผลการจัดการเรียนรโู้ ดยใช้กิจกรรมฐานการเรียนรู้ กาแฟของศูนย์ฝกึ และพัฒนาอาชีพราษฎรไทยบริเวณชายแดนชุมพร ซ่ึงผวู้ จิ ัยมีวธิ ดี าเนนิ การวิจัย ดังนี้ 1. ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง 2. เคร่ืองมอื ทีใ่ ช้ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 3. วธิ กี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 4. การวิเคราะห์ขอ้ มูลและสถิตทิ ใ่ี ช้ในการวิเคราะหข์ ้อมูล ประชากรและกล่มุ ตัวอย่าง ประชากร ประชากรทใ่ี ช้ในการวจิ ยั ได้แก่ ผู้รบั บรกิ ารการศกึ ษาตามอัธยาศัยของศูนย์ฝกึ และพัฒนา อาชพี ราษฎรไทยบริเวณชายแดนชุมพร จานวน 300 คน กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างท่ใี ช้ในการวิจัย ได้แก่ ได้แก่ ผู้รับบริการการศึกษาตามอัธยาศัยของศูนย์ฝึกและ พฒั นาอาชีพราษฎรไทยบรเิ วณชายแดนชุมพรโดยผวู้ จิ ัยกาหนดกลมุ่ ตวั อยา่ งโดยใชค้ ่ารอ้ ยละ 15 ของ ประชากร(รณิดา เชยชุ่ม. 2560 ; อ้างใน ณัฐภัสสร แดงมณี. 2563) ได้จานวน 45 คน จากนั้นสุ่ม ตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจงกบั ผู้ที่เข้ามารับบริการฐานการเรียนรู้ของศูนย์ฝกึ และพัฒนาอาชีพราษฎร ไทยบรเิ วณชายแดนชุมพร เคร่อื งมอื ท่ีใช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู 1. เคร่อื งมือที่ใชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมูลของงานวิจัยคร้งั น้ี ได้แก่ 1.1 แบบทดสอบก่อน-หลังทากิจกรรมฐานการเรียนรู้ มีลักษณะเป็นแบบทดสอบ 4 ตัวเลือก จานวน 20 ขอ้ 1.2 แบบสอบถาม แบ่งออกเป็น 3 ตอนคือ ตอนที่ 1 เปน็ แบบสอบถามขอ้ มลู พ้ืนฐานของผู้ตอบแบบสอบถาม ซง่ึ ประกอบดว้ ยเพศ อายุ สถานภาพ และระดับการศกึ ษา เปน็ แบบสารวจรายการ (Checklist) ตอนที่ 2 แบบสอบถามความคิดเห็นต่อการเข้ารับบริการฐานการเรียนรู้ กาแฟ เป็น แบบมาตราส่วนประมาณค่า(Rating scales) 5 ระดับ ของลิเคิร์ท (Likert ; อ้างใน พิสณุ ฟองศรี. 2549 : 127) ชนิด 5 ตัวเลือก ได้แก่ มากทส่ี ดุ มาก ปานกลาง นอ้ ย และน้อยทสี่ ดุ ดงั น้ี 5 หมายถึง มากทีส่ ดุ 4 หมายถงึ มาก 3 หมายถึง ปานกลาง

34 2 หมายถงึ นอ้ ย 1 หมายถงึ นอ้ ยที่สดุ ตอนท่ี 3 แบบสอบถามความคดิ เห็นและขอ้ เสนอแนะ เป็นแบบสอบถามปลายเปดิ 2. ข้นั ตอนการสร้างเคร่ืองมือ เครือ่ งมอื ที่ใช้ในการวิจยั คร้ังนี้เป็นแบบสอบถามทีผ่ ูว้ ิจัยไดด้ าเนินการตามขั้นตอน ดงั น้ี 2.1 ศึกษาทฤษฎี เอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง เพื่อนาข้อมูลมาเป็นแนวทางในการสร้าง แบบสอบถาม 2.2 สร้างแบบสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับ กาแฟ วธิ ีการเก็บรวบรวมขอ้ มูล ผู้วิจัยได้ดาเนินการเก็บรวบรวมขอ้ มูล โดย ตนเอง โดยใชแ้ บบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมลู และสถติ ทิ ใี่ ช้ในการวิเคราะหข์ ้อมูล การวิเคราะห์ข้อมลู 1. การวิเคราะห์ข้อมูลของแบบทดสอบวัดความรู้ ก่อน-หลังทากิจกรรมฐานการเรยี นรู้ 1.1 ผู้วิจยั ทาการวเิ คราะหโ์ ดยการให้คะแนนข้อละ 1 คะแนน 20 ข้อ รวม 20 คะแนน 1.2 นาคะแนนทดสอบกอ่ น-หลงั เรียนมาเปรียบเทยี บกันโดยใช้สถิติคา่ ที (t-test) 2. การวเิ คราะห์ขอ้ มูลการวิเคราะห์ข้อมูลของแบบสอบถาม ผู้วิจยั ดาเนินการวิเคราะห์ขอ้ มูล โดยใชโ้ ปรแกรมคอมพิวเตอรส์ าเรจ็ รปู ดงั นี้ 2.1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถามทาการวิเคราะห์โดยหาค่าความถ่ี (Frequency) และคา่ รอ้ ยละ (Percentage) 2.2 ข้อมูลความคิดเห็นต่อการเข้ารับบริการฐานการเรียนรู้ กาแฟ ทาการวิเคราะห์โดย หาค่าเฉลี่ย(Mean)และค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) แล้วนามาแปลความหมายใช้ เกณฑ์แปลความหมายกับเกณฑ์ทก่ี าหนด (ปรีชา จันทรมณี. 2546) ดงั นี้ คา่ เฉลย่ี 4.50 – 5.00 หมายถงึ ระดบั มากท่สี ดุ ค่าเฉลย่ี 3.50 – 4.49 หมายถงึ ระดบั มาก ค่าเฉลย่ี 2.50 – 3.49 หมายถึง ระดับปานกลาง คา่ เฉลย่ี 1.50 – 2.49 หมายถงึ ระดับนอ้ ย ค่าเฉลย่ี 1.00 – 1.49 หมายถงึ ระดับนอ้ ยท่สี ดุ 2.3 ข้อมูลความคิดเห็นและข้อเสนอแนะทาการวิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าคว ามถี่ (Frequency) และคา่ ร้อยละ (Percentage) สถติ ิทใี่ ช้ในการวเิ คราะห์ข้อมูล สถิตทิ ใ่ี ชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มลู ผู้วจิ ยั ได้ใชโ้ ปรแกรมสาเร็จรปู ในการวเิ คราะหห์ าคา่ สถติ ิดงั นี้ 1. คา่ ร้อยละ (Percentage) 2. ค่าเฉล่ีย (Mean:  ) 3. สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation: S.D.) 4. สถติ ิค่าที (t-test)

35 บทท่ี 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมลู จากการศึกษาผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมฐานการเรียนรู้กาแฟของศูนย์ฝึกและ พฒั นาอาชีพราษฎรไทยบริเวณชายแดนชุมพร ผวู้ จิ ัยนาเสนอผลการวจิ ัยในรูปของตารางประกอบการ บรรยาย ตามข้นั ตอนการวจิ ัย ดังนี้ 1. สัญลักษณ์ทใ่ี ชใ้ นการนาเสนอข้อมลู 2. ลาดับข้ันตอนการวเิ คราะห์ข้อมูล 3. ผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู สัญลกั ษณ์ทีใ่ ช้ในการนาเสนอข้อมูล  แทน คา่ เฉล่ีย S.D. แทน คา่ เบี่ยงเบนมาตรฐาน t แทน คา่ วกิ ฤตใน t-distribution ลาดบั ขนั้ ตอนการวิเคราะหข์ อ้ มูล ผู้วิจัยนาเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามข้ันตอนการวจิ ยั ดังนี้ ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะหเ์ ปรียบเทียบผลการเรยี นรู้ก่อนและหลงั ทากิจกรรมฐานการเรียนรู้ ตอนที่ 2 ผลการวิเคราะห์ความพงึ พอใจชองผรู้ บั บรกิ าร ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล ตอนท่ี 1 ผลการวิเคราะหเ์ ปรยี บเทียบผลการเรียนรกู้ อ่ นและหลังทากิจกรรมฐานการเรียนรู้ ตารางที่ 1 ผลการทดสอบระหวา่ งก่อนและหลงั ทากจิ กรรมฐานการเรยี นรู้ คนที่ คะแนน คะแนน เพม่ิ (+)/ กอ่ นทากจิ กรรม หลงั ทากิจกรรม ลด(-) 1. 10 16 +6 2. 12 17 +5 3. 10 15 +5 4. 13 16 +3 5. 12 17 +5 6. 15 13 +3 7. 10 16 +6 8. 12 17 +5

36 ตารางที่ 1 ผลการทดสอบระหว่างก่อนและหลงั ทากจิ กรรมฐานการเรียนรู้ (ต่อ) คนท่ี คะแนน คะแนน เพิม่ (+)/ ก่อนทากิจกรรม หลังทากจิ กรรม ลด(-) 9. 10 15 +5 10. 10 16 +6 11. 12 17 +5 12. 10 15 +5 13. 13 16 +3 14. 12 17 +5 15. 15 13 +3 16 10 16 +6 17 12 17 +5 18 10 16 +6 19 12 17 +5 20 12 17 +5 21 10 15 +5 22 13 16 +3 23 12 17 +5 24 10 16 +6 25 12 17 +5 26. 10 16 +6 27 10 16 +6 28 12 17 +5 29 12 17 +5 30 10 15 +5 31 13 16 +3 32 12 17 +5 33 10 16 +6 34 12 17 +5 35 15 13 -2 36 17 15 -2 37 13 16 +3 38 12 17 +5 39 10 16 +6

37 ตารางท่ี 1 ผลการทดสอบระหวา่ งก่อนและหลงั ทากจิ กรรมฐานการเรียนรู้ (ต่อ) คนท่ี คะแนน คะแนน เพิ่ม(+)/ ก่อนทากจิ กรรม หลงั ทากจิ กรรม ลด(-) 40 12 17 +5 41 15 13 -2 42 17 15 -2 43 16 15 -1 44 17 16 -1 45 16 17 +1 จากตารางท่ี 1 แสดงให้เห็นว่า ผู้รับบรกิ าร มีคะแนนทดสอบหลังทากิจกรรมฐานการเรียนรู้ สงู กว่าก่อนทากิจกรรมฐานการเรียนรู้ จานวน 39 คน คิดเป็นร้อยละ 86.67 มากกว่าเกณฑ์ท่ีตั้งไว้ คือ ผู้รบั บริการรอ้ ยละ 80 มีความรู้ความเขา้ ใจใน เรื่องของ กาแฟ ตารางที่ 2 เปรียบเทยี บคะแนนผลความรู้ความเข้าใจ ก่อนและหลงั ทากิจกรรมฐานการเรียนรกู้ าแฟ คะแนน N  S.D. t Sig. 2.16 8.99 0.00 กอ่ นทากิจกรรมฐานการเรยี นรู้ 45 12.22 1.76 หลังทากิจกรรมฐานการเรียนรู้ 45 15.93 จากตารางที่ 2 พบว่า ผู้รับบริการ มีจานวน 45 คน คะแนนผลสัมฤทธ์ิหลังทากิจกรรมฐาน การเรยี นรูก้ าแฟ มคี ะแนนเฉลย่ี (  ) เท่ากับ 15.93 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เทา่ กับ 1.76 และ คะแนนความรู้ ความเข้าใจ ก่อนทากิจกรรมมีคะแนนเฉลี่ย (  ) เท่ากับ 12.22 ค่าเบ่ียงเบน มาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 2.16 แสดงให้เห็นว่าความรู้ ความเข้าใจของผู้รับบริการมีคะแนนหลังทา กิจกรรมฐานการเรียนรู้กาแฟสูงกวา่ คะแนนก่อนทากิจกรรมฐานการเรียนรู้กาแฟอยา่ งมีนัยสาคัญทางสถิติ ที่ระดบั .01 ตอนที่ 2 ผลการวิเคราะหค์ วามพึงพอใจชองผรู้ ับบริการ จานวน รอ้ ยละ ตารางที่ 3 แสดงจานวนและคา่ รอ้ ยละของผตู้ อบแบบสอบถาม 10 22.22 35 77.78 ที่ ข้อมูล 45 100.00 1 เพศ ชาย หญงิ รวม

38 ตารางท่ี 3 แสดงจานวนและค่าร้อยละของผ้ตู อบแบบสอบถาม (ต่อ) ท่ี ข้อมูล จานวน ร้อยละ 2. อายุ - 00.00 15- 30 ปี 30 66.67 31-45 ปี 15 33.33 46-60 ปี 00.00 61 ปขี ึ้นไป 45 100.00 - 00.00 รวม 20 44.44 20 44.44 3. ประถม 5 11.11 มัธยมศกึ ษาตอนตน้ - 00.00 มัธยมศกึ ษาตอนปลาย/ปวช. - 00.00 อนุปริญญา/ปวส. ปรญิ ญาตรี สงู กว่าปรญิ าตรี รวม 45 100.00 จากตารางที่ 3 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญงิ คิดเป็นร้อยละ 77.78 เพศ ชาย คิดเป็นร้อยละ 22.22 อายุ 31 – 45 ปี คดิ เป็นร้อยละ 66.67 และอายุ 46-60 ปี คิดเป็นรอ้ ย ละ 33.33 การศึกษามัธยมศึกษาตอนต้น คิดเป็นร้อยละ 44.44 มัธยมศกึ ษาตอนปลาย/ปวช.คิดเป็น ร้อยละ 44.44 รองลงมาไดแ้ ก่ อนปุ รญิ ญา/ปวส. คดิ เปน็ ร้อยละ 11.11 ตารางที่ 4 แสดง ค่าเฉลย่ี และค่าเบย่ี งเบนมาตรฐานระดับความพงึ พอใจการจดั การเรียนรู้โดยใช้ กจิ กรรมฐานการเรียนรู้ ฐานกาแฟ ท่ี ความพึงพอใจ  S.D. ระดบั 1. ดา้ นสื่อการเรยี นรู้ 4.83 0.37 มากทสี่ ุด 2. ดา้ นวทิ ยากร 4.71 0.45 มากที่สุด 3. ดา้ นบรรยากาศการเรียนรู้ 4.35 0.43 มากทส่ี ดุ 4. ดา้ นความรทู้ ี่ไดร้ ับ 4.88 0.13 มากทสี่ ุด รวม 4.70 0.35 มากทส่ี ุด จากตารางท่ี 4 แสดงให้เห็นว่า ระดับความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรม ฐานการเรียนรู้ กาแฟ ของผู้รับบริการโดยรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากท่ีสุด (  = 4.70, S.D. = 0.35 ) โดย ด้านความรทู้ ี่ไดร้ ับ มคี า่ เฉล่ียสูงสดุ (  = 4.88, S.D. = 0.13) รองลงมาคอื ดา้ น

39 สื่อการเรยี นรู้(  = 4.83, S.D. = 0.37 ) ดา้ นวิทยากร (  =4.71, S.D. =0.45) และด้านบรรยากาศ การเรยี นรู้ (  = 4.88, S.D. = 0.13) ตามลาดับ ตารางท่ี 5 คา่ เฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานระดับความพึงพอใจการจดั การเรยี นรู้ โดยใชก้ ิจกรรม ฐานการเรียนรู้ ฐานกาแฟ ด้านสื่อ ที่ ความพึงพอใจ  S.D. ระดับ 1. เน้อื หาของสือ่ สอดคล้องกับฐานการเรยี นรู้ 4.75 0.43 มากที่สุด 2. สื่อ อุปกรณ์ มคี วามทนั สมยั เหมาะสม เพียงพอ 4.90 0.30 มากทสี่ ุด รวม 4.83 0.37 มากที่สดุ จากตารางที่ 5 แสดงให้เห็นว่าระดับความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมฐาน การเรียนรู้ กาแฟ ด้าน สื่อการเรียนรู้ของผู้รับบริการ โดยภาพรวมมี ความพึงพอใจ อยู่ในระดับมาก ท่ีสุด (  = 4.83, S.D. = 0.37) เม่ือพิจารณารายข้อพบว่า ส่ือ อุปกรณ์ มีความทันสมัย เหมาะสม เพียงพอ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด (  = 4.90, S.D. = 0.30) รองลงมาคือ เนื้อหาของสื่อสอดคล้องกับฐาน การเรยี นรู้ (  = 4.75, S.D. = 0.43 ) ตามลาดับ ตารางที่ 6 ค่าเฉลย่ี และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานระดบั ความพงึ พอใจการจดั การเรยี นรู้โดยใช้กิจกรรม ฐานการเรยี นรู้ ฐานกาแฟ ด้านวทิ ยากร ท่ี ความพึงพอใจ  S.D. ระดบั 1. ความชัดเจนในการอธิบายเนื้อหา 4.75 0.43 มากทส่ี ุด 2. ความนา่ สนใจของการนาเสนอเนือ้ หา 4.65 0.48 มากที่สุด 4.75 0.43 มากทีส่ ดุ 3. ความเหมาะสมของเนื้อหาที่ใช้ 4. การใชเ้ วลาในการอธบิ ายและการเปลย่ี นฐาน 4.70 0.46 มากที่สุด 4.71 0.45 มากท่สี ุด เหมาะสม รวม จากตารางท่ี 6 แสดงให้เห็นว่าระดับความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมฐาน การเรียนรู้กาแฟ ดา้ น วิทยากร โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากทส่ี ุด (  = 4.75, S.D. = 0.45 ) เม่ือพิจารณารายข้อพบว่า ความชัดเจนในการอธิบายเนื้อหา มีค่าเฉล่ียสูงสุด (  = 4.75, S.D. = 0.43) รองลงมาคือ ความเหมาะสมของเนื้อหาท่ีใช้ (  = 4.75, S.D. = 0.43 ) เม่ือพิจารณา รายขอ้ พบว่า การใช้เวลาในการอธิบายและการเปล่ยี นฐานเหมาะสม(  = 4.70, S.D. = 0.46) ส่วน ความนา่ สนใจของการนาเสนอเน้ือหา มีคา่ เฉลีย่ น้อยท่ีสุด (  = 4.65, S.D. = 0.48) ตามลาดับ

40 ตารางที่ 7 ค่าเฉล่ยี และค่าเบย่ี งเบนมาตรฐานระดับความพงึ พอใจการจดั การเรียนรู้โดยใช้กจิ กรรม ฐานการเรียนรู้ ฐานกาแฟ ด้านบรรยากาศการเรียนรู้ ที่ ความพงึ พอใจ  S.D. ระดับ 1. การมีสว่ นรว่ มของผู้เรยี น 4.15 0.36 มาก 2. การเปิดโอกาสใหผ้ ้เู รียนได้แลกเปลย่ี นหรอื ซักถาม มากท่ีสุด 4.55 0.50 มากทส่ี ุด รวม 4.35 0.43 จากตารางที่ 7 แสดงให้เห็นว่าระดับความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมฐาน การเรียนรู้กาแฟ ด้านบรรยากาศการเรียนรู้ โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดบั มากท่ีสดุ (  = 4.35, S.D. = 0.43) เม่ือพิจารณารายข้อพบว่าการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แลกเปล่ียนหรือซักถามมี ค่าเฉล่ียสูงสุด (  = 4.55, S.D. = 0.50) รองลงมาคือ การมีส่วนร่วมของผู้เรียน(  = 4.15, S.D. = 0.36 ) ตารางที่ 8 ค่าเฉล่ียและค่าเบยี่ งเบนมาตรฐานระดับความพงึ พอใจดา้ นวิทยากร โดยใช้กิจกรรมฐาน การเรียนรู้ ฐานกาแฟ ด้านความรทู้ ่ไี ด้รับ ท่ี ความพงึ พอใจ  S.D. ระดับ มากที่สุด 1. ความเขา้ ใจเน้ือหาทวี่ ทิ ยากรอธิบาย 5.00 0.00 มากที่สดุ มากทส่ี ุด 2. มีความรูเ้ พ่ิมมากขน้ึ 5.00 0.00 มาก มากทส่ี ุด 3. นาไปใช้ในการดาเนนิ ชีวติ ได้ 5.00 0.00 4. สามารถนาไปต่อยอดความรู้และศกึ ษาเรียนรเู้ พิ่มเตมิ ได้ 4.50 0.50 รวม 4.88 0.13 จากตารางท่ี 8 แสดงให้เห็นว่าระดับความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมฐาน การเรียนรู้กาแฟ ด้าน ความรู้ท่ีไดร้ ับ โดยภาพรวมมี ความพึงพอใจอยู่ในระดับมากทส่ี ุด (  =4.88 , S.D. = 0.13 ) เมื่อพิจารณารายขอ้ พบว่าความเขา้ ใจเนือ้ หาท่ีวทิ ยากรอธบิ าย มคี ่าเฉลี่ยสงู สุด (  = 5.00, S.D. = 0.00) รองลงมาคือ มีความรู้เพ่ิมมากขึ้น(  = 5.00, S.D. = 0.00) รองลงมานาไปใช้ ในการดาเนินชีวิตได้ (  =5.00, S.D. = 0.00) ส่วนการนาไปต่อยอดความรู้และศึกษาเรียนรู้ เพมิ่ เตมิ ได้ มคี ่าเฉลยี่ นอ้ ยท่สี ุด (  = 4.88, S.D. = 0.13) ตามลาดับ

41 ตอนท่ี 3 ขอ้ มลู ความคิดเห็นและขอ้ เสนอแนะ ตารางท่ี 9 แสดงจานวนและค่ารอ้ ยละข้อเสนอแนะของผู้ตอบแบบสอบถาม ที่ ข้อมูล จานวน ร้อยละ 1 ควรมสี ือ่ ที่ทนั สมัย 24 38.70 2 ควรมีการฝึกปฏบิ ัตจิ รงิ 12 19.35 3 ควรมีฐานการเรยี นรู้ด้านการทาอาหาร 15 24.19 4 ควรเปิดบริการวันเสาร์-อาทติ ย์สาหรับกลมุ่ เลก็ ๆ 11 17.76 รวม 62 100 จากตารางท่ี 9 แสดงให้เห็นว่าผู้รับบริการมีข้อเสนอแนะว่า ควรมีสื่อที่ทันสมัย คิดเป็นร้อย ละ 38.70 รองลงมาได้แก่ ควรมีฐานการเรียนรู้ด้านการทาอาหาร คิดเป็นร้อยละ 24.19 ควรมีการฝึก ปฏิบตั ิจรงิ คดิ เป็นรอ้ ยละ19.35 และควรเปดิ บริการวันเสาร์-อาทติ ย์สาหรบั กลุ่มเล็กๆ คดิ เปน็ ร้อยละ 17.76 ตามลาดับ

42 บทท่ี 5 สรปุ อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ จากการศึกษาผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมฐานการเรียนรู้กาแฟของศูนย์ฝึกและ พัฒนาอาชีพราษฎรไทยบริเวณชายแดนชมุ พร มขี ้อสรปุ ผล อภปิ รายผลและข้อเสนอแนะ ดังน้ี สรุป วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพ่ือศึกษาผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมฐานการเรียนรู้กาแฟของศูนย์ฝึกและพัฒนา อาชพี ราษฎรไทยบริเวณชายแดนชุมพร ขอบเขตการวจิ ยั ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง ประชากร ประชากรท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้รับบริการการศึกษาตามอัธยาศัยของศูนย์ฝึกและพัฒนา อาชีพราษฎรไทยบริเวณชายแดนชุมพร จานวน 300 คน กลมุ่ ตวั อย่าง กลุ่มตัวอย่างท่ใี ช้ในการวิจยั ได้แก่ ได้แก่ ผู้รับบริการการศึกษาตามอัธยาศัยของศูนย์ฝึกและ พัฒนาอาชพี ราษฎรไทยบริเวณชายแดนชุมพรโดยผวู้ จิ ัยกาหนดกลมุ่ ตวั อยา่ งโดยใช้ค่าร้อยละ 15 ของ ประชากร(รณิดา เชยชุ่ม. 2560 ; อ้างใน ณัฐภัสสร แดงมณี. 2563) ได้จานวน 45 คน จากน้ันสุ่ม ตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจงกบั ผู้ที่เข้ามารับบรกิ ารฐานการเรียนรู้ของศูนย์ฝกึ และพัฒนาอาชีพราษฎร ไทยบริเวณชายแดนชุมพร เครือ่ งมอื ทใี่ ชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมลู เครอื่ งมอื ท่ีใช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ของงานวจิ ยั ครง้ั น้ี ได้แก่ 1. แบบทดสอบก่อน-หลงั เรยี น มีลกั ษณะเป็นแบบทดสอบ 4 ตวั เลือก จานวน 20 ข้อ 2. แบบสอบถามแบง่ ออกเป็น 3 ตอนคอื ตอนที่ 1 เป็นแบบสอบถามข้อมลู พนื้ ฐานของผตู้ อบแบบสอบถาม ตอนท่ี 2 แบบสอบถามความคดิ เหน็ ต่อการเขา้ รบั บรกิ ารฐานการเรียนรู้ กาแฟ ตอนท่ี 3 แบบสอบถามความคิดเหน็ และข้อเสนอแนะ วิธีการเกบ็ รวบรวมข้อมูล ผูว้ ิจัยไดด้ าเนินการเก็บรวบรวมขอ้ มูล โดย ตนเอง โดยใช้แบบสอบถาม การวเิ คราะหข์ ้อมลู และสถิตทิ ใ่ี ช้ในการวเิ คราะหข์ ้อมลู 1. ผู้วิจยั ทาการวิเคราะหโ์ ดยการให้คะแนนข้อละ 1 คะแนน 20 ข้อ รวม 20 คะแนน

43 2. การวิเคราะห์ข้อมูลการวิเคราะห์ข้อมูลของแบบสอบถาม ผู้วิจัยทาการวิเคราะห์โดยใช้ สถิติ 2.1. คา่ รอ้ ยละ (Percentage) 2.2. ค่าเฉลยี่ (Mean:  ) 2.3. ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation: S.D.) 2.4. สถติ คิ ่าที (t-test) ผลการวจิ ยั ผลการวิจยั การเรียนร้โู ดยใชก้ ิจกรรมฐานเรียนรู้ กาแฟ ของศูนยฝ์ ึกและพัฒนาอาชีพราษฎร ไทยบริเวณชายแดนชมุ พร พบว่า ผลการจัดการเรยี นรู้โดยใชก้ ิจกรรมฐานการเรยี นรกู้ าแฟของศนู ยฝ์ ึก และพัฒนาอาชีพราษฎรไทยบรเิ วณชายแดนชมุ พร 1. ผรู้ บั บริการ มีคะแนนทดสอบหลังทากิจกรรมฐานการเรียนรู้สงู กวา่ ก่อนทากิจกรรมฐาน การเรียนรู้ จานวน 39 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 86.67 มากกว่าเกณฑ์ที่ตัง้ ไว้คอื ผู้รบั บริการรอ้ ยละ 80 มีความรคู้ วามเขา้ ใจใน เรอ่ื งของ กาแฟ และยงั พบอีกวา่ ความรู้ ความเข้าใจของผู้รับบริการมีคะแนน หลังทากิจกรรมฐานการเรียนรู้กาแฟสูงกว่าคะแนนก่อนทากิจกรรมฐานการเรียนรกู้ าแฟอย่างมนี ัยสาคัญ ทางสถิตทิ ่ีระดับ .01 2. ความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใชก้ จิ กรรมฐานการเรียนรู้ กาแฟ ของผรู้ ับบรกิ าร โดยรวมมคี วามพึงพอใจอยู่ในระดบั มากที่สุด โดย ดา้ นความรทู้ ไ่ี ดร้ บั มีคา่ เฉล่ยี สงู สุด รองลงมาคือ ดา้ นสอื่ การเรยี นรู้ดา้ นวทิ ยากร และด้านบรรยากาศการเรยี นรู้ ตามลาดบั และเม่ือพิจารณารายด้าน พบวา่ 2.1 ส่ือการเรียนรู้ ความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมฐานการเรียนรู้ กาแฟ ดา้ น สอ่ื การเรียนรู้ของผู้รับบริการ โดยภาพรวมมี ความพึงพอใจ อยู่ในระดับมากท่ีสุด เมื่อพิจารณา รายข้อพบว่า สื่อ อุปกรณ์ มีความทันสมัย เหมาะสมเพียงพอ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ เน้ือหา ของส่อื สอดคล้องกับฐานการเรยี นรู้ ตามลาดับ 2.2 ด้านวิทยากรความพงึ พอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมฐานการเรยี นรกู้ าแฟ ดา้ น วิทยากร โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด เม่ือพิจารณารายข้อพบว่า ความชัดเจน ในการอธิบายเนื้อหา มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ ความเหมาะสมของเน้ือหาทใี่ ช้ เมื่อพิจารณาราย ข้อพบว่า การใช้เวลาในการอธิบายและการเปลี่ยนฐานเหมาะสม ส่วนความน่าสนใจของการนาเสนอ เนอื้ หา มคี ่าเฉลี่ยนอ้ ยทีส่ ุด ตามลาดบั 2.3 ด้านบรรยากาศการเรียนรู้ ความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมฐานการ เรียนรู้กาแฟ ด้านบรรยากาศการเรียนรู้ โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อ พจิ ารณารายข้อพบว่าการเปิดโอกาสให้ผู้เรยี นได้แลกเปลย่ี นหรือซักถามมีค่าเฉล่ียสูงสดุ รองลงมาคือ การมสี ่วนร่วมของผู้เรียน 2.4 ด้านความรู้ที่ได้รับ ความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมฐานการเรียนรู้ กาแฟ ด้าน ความรู้ที่ได้รับ โดยภาพรวมมี ความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด เม่ือพิจารณารายข้อ พบว่าความเข้าใจเน้ือหาท่ีวิทยากรอธิบาย มีค่าเฉล่ียสูงสุด รองลงมาคือ มีความรู้เพิ่มมากข้ึน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook