Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รหัสวิชา ทช31002 รายวิชา สุขศึกษา ระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์

รหัสวิชา ทช31002 รายวิชา สุขศึกษา ระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์

Published by chonthioha_bum, 2020-04-20 02:31:52

Description: รหัสวิชา ทช31002 รายวิชา สุขศึกษา ระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์

Search

Read the Text Version

ส่อื การเรียนการสอน ทกั ษะการดาเนินชวี ติ (มัธยมปลาย) รหสั วิชา ทช31002 รายวิชา สขุ ศกึ ษา รวบรวมข้อมูลจัดทาขนึ้ โดย กศน.อาเภอคาเขื่อน จังหวัดยโสธร



ระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์ โครงสร้างการทางานของร่างกายมนษุ ย์ ในการศึกษาทางจติ วิทยา จาเปน็ อย่าง ยง่ิ ทจ่ี ะทาความเข้าใจเก่ยี วกับพฤตกิ รรมต่าง ๆ ของ มนษุ ย์ ซง่ึ การทีม่ นุษยจ์ ะแสดง พฤตกิ รรมใด ๆ ออกมานัน้ เปน็ เพราะระบบการทางานของรา่ งกาย ไม่ ว่านักปรัชญาและ นักวิทยาศาสตร์ ซ่งึ ไดท้ าการศกึ ษาคน้ คว้ามาเป็นระยะเวลายาวนานต่างมคี วาม คดิ เห็น ตรงกนั ว่าร่างกายมนุษย์ สตั ว์ หรือพชื ทงั้ หลายจะมโี ครงสร้างท่ีประกอบขน้ึ จากหน่วยที่ เลก็ ท่ีสุดท่ไี มส่ ามารถมองเหน็ ได้ด้วยตาเปลา่ จนกระท่ังถงึ ส่วนประกอบทใี่ หญท่ ่สี ดุ แตล่ ะ สว่ นจะมีการ ทางานท่สี มั พันธ์กัน

รา่ งกายต่างๆในรา่ งกายมีการทางานท่ีสมั พนั ธ์กันเพื่อให้มนุษย์สามารถดารงชวี ติ ได้อยา่ ง ปกติ การทางานของระบบภายในร่างกาย มีดังต่อไปนี้ 1.ระบบย่อยอาหาร 2.ระบบหมุนเวยี นเลือดและภูมิคุม้ กนั 3.ระบบหายใจ 4.ระบบกาจดั ของเสีย 5. ระบบประสาท 6. ระบบสืบพนั ธุ์

1.ระบบย่อยอาหาร อาหารประเภทตา่ งๆทีเ่ ราบริโภคโดยเฉพาะสารอาหารทใ่ี ห้พลังงานแกร่ ่างกาย คอื คาร์โบไฮเดรตโปรตีนและไขมนั ล้วนแตม่ ีโมเลกลุ ขนาดใหญ่เกนิ กว่าทจี่ ะลาเลียงเขา้ สเู่ ซลล์สว่ นต่างๆ ของรา่ งกายได้ ยกเวน้ วติ ามนิ และเกลอื แรซ่ ึง่ มีอนภุ าคขนาดเล็กจงึ จาเป็นตอ้ งมีอวยั วะและกลไกการ ท างานตา่ งๆที่จะทาใหโ้ มเลกลุ ของสารอาหาร เหลา่ นั้นมีขนาดเล็กลงจนสามารถลาเลยี งเข้าสูเ่ ซลลไ์ ด้ เรยี กว่า “การย่อย ” การยอ่ ยอาหาร หมายถงึ การทาใหส้ ารอาหารทม่ี ีโมเลกุลขนาดใหญ่กลายเป็น สารอาหารทีม่ ี โมเลกลุ เลก็ ลงจนกระทัง่ แพร่ผ่านเยื่อหุม้ เซลลไ์ ด้ การยอ่ ยอาหารในรา่ งกายมี 2 วิธี คือ 1. การยอ่ ยเชงิ กล คอื การบดเคี้ยวอาหารโดยฟนั เปน็ การเปล่ียนแปลงขนาดโมเลกุลทาให้ สารอาหาร มขี นาดเลก็ ลง 2. การยอ่ ยเชิงเคมีคือการเปล่ียนแปลงขนาดโมเลกุลของสารอาหารโดยใชเ้ อนไซม์ท่ี เกี่ยวขอ้ งทา ใหโ้ มเลกุลของสารอาหารเกิดการเปลีย่ นแปลงทางเคมีได้โมเลกลุ ทมี่ ขี นาดเลก็ ลง



1. อวัยวะทมี่ ีส่วนเกีย่ วข้องกบั การยอ่ ยอาหาร:: 1.1 ตบั มหี นา้ มี่สร้างนา้ ดีสง่ ไปเก็บทถ่ี งุ นา้ ดี 1.2 ตับออ่ น มหี น้าท่ีสรา้ งเอนไซม์สง่ ไปย่อยอาหารที่ลาไส้เลก็ 1.3 ลาไส้เล็กสรา้ งเอนไซม์มอลเทส ซูเครส และแลก็ เทสยอ่ ยอาหารท่ลี าไส้เล็ก เอนไซม์ (Enzyme) เป็นสารประกอบประเภทโปรตีนทรี่ ่างกายสร้างข้ึนเพอ่ื ทาหนา้ ท่ีเร่งอัตราการ เกิดปฏกิ ิริยาเคมีในร่างกาย เอนไซมท์ ใี่ ชใ้ นการยอ่ ยสารอาหารเรยี กว่า \"นา้ ยอ่ ย\" เอนไซมม์ ี สมบตั ทิ ีส่ าคัญ ดังนี้ -เป็นสารประเภทโปรตนี ทส่ี รา้ งขนึ้ จากเซลลข์ องสิ่งมีชวี ิต -ชว่ ยเรง่ ปฏิกริ ยิ าในการยอ่ ยอาหารให้เรว็ ขึ้นและเมื่อเร่งปฏกิ ิริยาแล้วยังคงมสี ภาพ เดมิ สามารถใชเ้ ร่งปฏิกริ ิยาโมเลกุลอน่ื ได้อกี -มีความจาเพาะต่อสารท่เี กิดปฏิกิริยาชนดิ หนง่ึ ๆ -เอนไซม์จะทางานไดด้ ีเม่ืออยู่ในสภาวะแวดลอ้ มที่เหมาะสม



ปจั จัยทีม่ ีผลต่อการทางานของเอนไซม์ ได้แก่ 1. อณุ หภูมิ เอนไซมแ์ ตล่ ะชนิดทางานไดด้ ที ีอ่ ณุ หภมู ติ ่างกัน แตเ่ อนไซมใ์ นรา่ งกายทางานได้ดี ที่ อณุ หภมู ิ 37 องศาเซลเซียส 2. ความเป็นกรด - เบส เอนไซมบ์ างชนิดทางานได้ดเี มอ่ื มีสภาพทเ่ี ปน็ กรด เชน่ เอนไซมเ์ พปซินใน กระเพาะอาหารเอนไซมบ์ างอย่างทางานไดด้ ีในสภาพทเ่ี ป็นเบส เชน่ เอนไซม์ในลาไสเ้ ลก็ เปน็ ต้น 3. ความเข้ม เอนไซม์ทม่ี คี วามเข้มข้นมากจะทางานได้ดีกว่าเอนไซมท์ มี่ ีความเข้มขน้ นอ้ ย การทางานของเอนไซม์จาแนกไดด้ ังนี้ 1. เอนไซม์ในน้าลาย ทางานไดด้ ใี นสภาวะเป็นเบสเล็กน้อยเป็นกลางหรอื กรด เลก็ น้อยจะขึน้ อย่กู ับ ชนดิ ของน้าตาลและที่อุณหภมู ปิ กตขิ องร่างกายประมาณ 37 องศาเซลเซียส 2. เอนไซม์ในกระเพาะอาหาร ทางานได้ดใี นสภาวะเป็นกรดและท่อี ุณหภูมิปกติ ของร่างกาย 3. เอนไซม์ในลาไสเ้ ลก็ ท างานได้ดีในสภาวะเปน็ เบสและอณุ หภูมปิ กติรา่ งกาย

สารอาหารที่มโี มเลกลุ ขนาดใหญ่จะถกู ยอ่ ยใหม้ ีขนาดโมเลกลุ เลก็ ท่สี ดุ คารโ์ บไฮเดรต (กลายเปน็ ) กลโู คส โปรตีน (กลายเป็น) กรดอะมิโน ไขมนั (กลายเปน็ ) กรดไขมันและกลีเซอรอล

อวยั วะทเ่ี ป็นทางเดินอาหาร ทาหน้าท่ใี นการรบั และส่งอาหารโดยเร่มิ จาก ปาก>> คอหอย >> หลอดอาหาร >> กระเพาะ >> ลาไสเ้ ล็ก>> ลาไสใ้ หญ่ >> ทวารหนกั ปาก คอหอย ทวารหนกั หลอดอาหาร กระเพาะ ลาไสเ้ ลก็ ลาไสใ้ หญ่

เมือ่ รับประทานอาหารอาหารจะเคลอ่ื นท่ผี า่ นอวัยวะที่เกีย่ วขอ้ ง กบั ทางเดินอาหารเพอ่ื เกิดการยอ่ ย ตามลาดับดงั ต่อไปน้ี 1.ปาก ( mouth) มีการย่อยเชงิ กล โดยการบดเคย้ี ว ของฟัน และมีการยอ่ ยทางเคมี โดยเอนไซม์อะไมเลสหรอื ไทยาลีน ซึ่งทางานได้ดใี นสภาพที่เป็นเบส เลก็ น้อย 2.คอหอย ( pharynx) เป็นทางผา่ นของอาหาร ซึ่งไม่มกี าร ยอ่ ยใดๆ ทัง้ สิ้น

3. หลอดอาหาร(esophagus) หลอดอาหาร มลี ักษณะเปน็ กล้ามเนอ้ื เรียบมี การย่อยเชิงกล โดยการบบี ตัวของกลา้ มเน้ือทางเดินอาหาร กระเพาะอาหาร กระเพาะอาหาร(stomach) เป็นชว่ งๆ เรียกว่า “เพอริสตสั ซิส (peristalsis)” เพอื่ ใหอ้ าหารเคลื่อนทลี่ งสู่ หลอดอาหาร กระเพาะ อาหาร ลาไสเ้ ลก็ ส่วนตน้ รอยพบั 4.กระเพาะอาหาร(stomach) มีการย่อยเชงิ กลโดยการบีบตวั ของกล้ามเนื้อ ทางเดนิ อาหารและมกี ารย่อยทางเคมโี ดยเอนไซมเ์ พปซนิ (pepsin) ซ่งึ จะทางานได้ดี ในสภาพทีเ่ ปน็ กรด โดยช้นั ในสุดของกระเพาะจะ มตี ่อมสรา้ งนา้ ย่อยซ่ึงมเี อนไซม์เพป ซนิ และกรดไฮโดรคลอริก เป็น ส่วนประกอบเอนไซมเ์ พปซินจะย่อยโปรตีนให้เปน็ เพป ไทด์ ( peptide)ใน กระเพาะอาหารนย้ี งั มเี อนไซมอ์ ยู่อีกชนิดหนึง่ ชอื่ ว่า “ เรนนิน '' ทาหนา้ ที่ ย่อยโปรตนี ในนา้ นม ในขณะทีไ่ ม่มีอาหาร กระเพาะอาหารจะมีขนาด 50 ลกู บาศก์เซนติเมตร แตเ่ มอ่ื มีอาหารจะมีการขยายไดอ้ ีก 10 – 40 เท่า *สรปุ การย่อยท่ีกระเพาะอาหารจะมกี ารย่อยโปรตนี เพยี งอย่างเดียวเทา่ นน้ั



5.ลาไส้เลก็ (small intestine) เป็นบริเวณที่มกี ารยอ่ ยและการดดู ซมึ มากที่สดุ โดย เอนไซมใ์ นลาไส้เลก็ จะทางานไดด้ ใี นสภาพที่เป็นเบส ซง่ึ เอนไซม์ทีล่ าไส้เล็กสร้างข้นึ ไดแ้ ก่  มอลเทส (maltase) เป็นเอนไซม์ทย่ี อ่ ยนา้ ตาลมอลโทสใหเ้ ปน็ กลูโคส  ซูเครส (sucrase) เปน็ เอนไซม์ทีย่ อ่ ยน้าตาลทรายหรอื น้าตาลซโู ครส (sucrose) ให้เปน็ กลโู คสกับฟรกั โทส (fructose)  แลก็ เทส (lactase) เป็นเอนไซมท์ ่ียอ่ ยนา้ ตาลแล็กโทส (lactose) ให้เปน็ กลโู คสกับกา แลก็ โทส (galactose) ลาไสเ้ ล็ก

การย่อยอาหารท่ีลาไส้เล็กใชเ้ อนไซมจ์ ากตับอ่อน (pancreas) มาช่วยยอ่ ย เชน่ ทริปซิน (trypsin) เป็นเอนไซมท์ ่ยี อ่ ยโปรตีนโปรตนี หรอื เพปไทดใ์ หเ้ ปน็ กรดอะมโิ น อะไมเลส (amylase) เปน็ เอนไซม์ทยี่ อ่ ยแปง้ ใหเ้ ปน็ น้าตาลมอลโทส  ไลเปส (lipase) เป็นเอนไซม์ทยี่ อ่ ยไขมนั ให้เปน็ กรดไขมันและกลเี ซอรอล

6.น้าดี (bile) เป็นสารทผ่ี ลติ มา นา้ ดี (bile) จากตับ (liver) แลว้ ไปเก็บไวท้ ถ่ี งุ น้าดี(gall bladder) นา้ ดีไม่ใช่ เอนไซม์ เพราะไม่ใชส่ ารประกอบ ประเภทโปรตีน นา้ ดีจะทาหน้าท่ี ย่อยโมเลกลุ ของโปรตีนใหเ้ ล็กลง แลว้ นา้ ยอ่ ย จากตับอ่อนจะย่อย ตอ่ ทาให้ได้อนุภาคที่เลก็ ท่ีสดุ ที่ สามารถแพรเ่ ขา้ สเู่ ซลล์

สาไสใ้ หญก่ ลาง สาไสใ้ หญ่ขวา ลาไสใ้ หญ่ซา้ ย ก้อนกากอาหาร สาไสใ้ หญเ่ ล็กส่วนปลาย กะเปาะสาไสใ้ หญ่ ไสต้ ิ่ง หูรดู ทวารหนกั ไสต้ รง ทวารหนัก 7.ลาไส้ใหญ่ (large intestine ) ท่ีลาไส้ใหญไ่ มม่ ีการย่อย แต่ทาหน้าทเ่ี กบ็ กากอาหาร และดดู ซมึ น้าออกจากกากอาหาร ดงั น้นั ถา้ ไม่ถา่ ยอจุ จาระเปน็ เวลาหลายวนั ตดิ ต่อกนั จะทาให้เกิด อาการท้องผูก ถ้าเปน็ บอ่ ยๆจะทาใหเ้ กิด โรคริดสดี วงทวาร

2.ระบบหมุนเวยี นเลอื ดและภมู ิค้มุ กัน เลอื ด (Blood) ประกอบดว้ ย 2 สว่ น คือ สว่ นที่เป็นของเหลว 55 เปอรเ์ ซน็ ต์ ซึ่ง เรยี กวา่ “น้าเลือดหรอื พลาสมา (plasma)”และสว่ นทเ่ี ปน็ ของแข็งมี 45 เปอร์เซน็ ต์ ซง่ึ ไดแ้ ก่ เซลล์เม็ดเลือด และเกลด็ เลือด 1. นา้ เลอื ดหรือพลาสมา ประกอบด้วยน้าประมาณ 91 เปอร์เซ็นต์ ทาหน้าท่ลี าเลียง เอนไซม์ ฮอร์โมน แกส๊ แร่ธาตุ วิตามินและสารอาหารประเภทตา่ งๆท่ผี า่ นการยอ่ ย อาหารมาแลว้ ไปให้เซลล์และรบั ของเสยี จากเซลล์ เช่น ยเู รยี แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ นา้ ส่งไปกาจดั ออกนอกรา่ งกาย เซลลเ์ ม็ดเลอื ด

2. เซลล์เม็ดเลือด ประกอบด้วย 2.1 เซลลเ์ มด็ เลือดแดง (red blood cell) มีลักษณะคอ่ นขา้ งกลมตรงกลางจะ เว้าเข้าหากัน ( คล้ายขนมโดนทั ) เนือ่ งจาก ไม่มีนวิ เคลียส องค์ประกอบสว่ นใหญ่ เป็น สารประเภทโปรตนี ท่ีเรยี กวา่ “ ฮโี มโกลบนิ ” ซงึ่ มีสมบตั ิในการรวมตัวกบั แก๊สต่างๆ ได้ ดี เชน่ แกส๊ ออกซิเจน แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ หน้าที่แลกเปลีย่ นแกส๊ โดยจะลาเลยี งแก สออกซิเจน ไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย และ ลาเลียงแกส๊ คาร์บอนไดออกไซดจ์ ากสว่ น ต่างๆ ของร่างกายกลบั ไปท่ีปอด แหลง่ สร้างเม็ดเลือดแดง คือ ไขกระดูก ผ้ชู ายจะมีเซลล์ เมด็ เลอื ดแดงมากกว่าผู้หญิง เซลล์ เม็ดเลอื ดแดงมีอายปุ ระมาณ 110-120 วนั หลงั จาก นน้ั จะถูกนาไปทาลายท่ตี บั และมา้ ม เซลลเ์ ม็ดเลอื ดแดง

2.2 เซลล์เมด็ เลือดขาว (white blood cell) มลี กั ษณะคอ่ นขา้ งกลม ไมม่ สี แี ละมี นิวเคลยี ส เมด็ เลือดขาวในรา่ งกาย มอี ยู่ดว้ ยกนั หลายชนดิ หนา้ ท่ี ท าลายเช้ือโรคหรอื สารแปลกปลอมที่เข้ามาสูร่ ่างกาย แหลง่ ทสี่ ร้างเม็ดเลอื ดขาว คอื มา้ ม ไขกระดกู และ ตอ่ มน้าเหลือง มี อายปุ ระมาณ 7-14 วนั เซลล์เม็ดเลอื ดขาว

3. เกล็ดเลือดหรอื แผน่ เลอื ด (blood pletelet) ไมใ่ ชเ่ ซลล์แตเ่ ปน็ ช้ินสว่ นของเซลล์ซ่งึ มรี ุปรา่ งกลมรแี ละแบนเกลด็ เลือดมีอายุประมาณ 4 วัน หน้าทชี่ ่วยให้เลือดแข็งตัวเม่อื มี การไหลของเลือดจากหลอดเลือดออกส่ภู ายนอก รูปอีเลก็ ตรอนไมโครก ราฟของเกลด็ เลือด รปู ของเกลด็ เลอื ดจากสแกนนงิ อเี ล็กตรอน ไมโครกราพเห็นไซโตพลาสมกิ โปรเซสชัดเจน

หัวใจ (Heart) ทาหน้าที่ สูบฉีดเลือดไปยังส่วนตา่ งๆ ของร่างกาย โดยทาให้เกิดความดัน เลือดในหลอดเลือดแดงเพ่ือใหเ้ ลอื ดเคลื่อนทีไ่ ปยังอวัยวะส่วนต่างๆ ของรา่ งกายได้ ทั่วถงึ หลอดเลือดดาใหญ่ หลอดเลือดแดงใหญ่ หัวใจห้องขวาบน ล้ินหวั ใจเอออร์ตกิ หัวใจ หัวใจดา้ นขวา ลนิ้ หัวใจดา้ นซ้าย (ไตรคัสปิด) (ไมตรลั ) หวั ใจห้องซ้ายลา่ ง กล้ามเน้อื หัวใจ กลา้ มเนือ้ หวั ใจ ผนงั กัน้ หวั ใจ

วงจรการไหลเวยี นเลอื ด วงจรการไหลเวียนเลือด เรมิ่ จากหัวใจห้องบนซา้ ยรบั เลอื ดท่ีมปี รมิ าณ ออกซิเจนสูงจากปอด แล้วบบี ตัวดันผา่ นลิ้นหวั ใจลงสู่หัวใจหอ้ งล่างซา้ ยแลว้ บบี ตัวดันเลือดไปยังส่วนตา่ งๆของร่างกายและ เปลย่ี นเปน็ เลือดทมี่ ี คารบ์ อนไดออกไซด์สงู หรือเลอื ดดาไหลผ่านหลอดเลอื ดดาหวั ใจห้องบนขวาแลว้ บบี ตวั ดนั ผ่านลน้ิ หัวใจลงสหู่ ้องลา่ งขวา แล้วกลบั เข้าสปู่ อดเพื่อแลกเปล่ยี นแก๊ส คารบ์ อนไดออกไซดใ์ ห้ เปน็ แก๊สออกซเิ จน เปน็ วฏั จักรการหมนุ เวยี นเลอื ดใน รา่ งกายเช่นน้ตี ลอดไป



หลอดเลือด หลอดเลอื ด ทาหน้าทล่ี าเลียงเลอื ดจากหัวใจไปยังอวัยวะสว่ นต่างๆ ท่ัวร่างกาย และเปน็ เส้นทางให้เลือดจากอวยั วะต่างๆ ทั่วรา่ งกายกลบั เข้าส่หู วั ใจ หลอดเลอื ดในรา่ งกายมี 3 ชนิด ดังตอ่ ไปน้ี 1. หลอดเลอื ดแดง ( artery) หลอดเลอื ดแดง กลา้ มเน้ือเรียบ เปน็ หลอดเลือดทนี่ าเลือดดีจากหวั ใจไปสู่เซลล์ ชนั้ นอก ตา่ งๆ ของ รา่ งกายหลอดเลอื ดแดงมีผนังหนา เนื้อเยอ้ื เสน้ ใย แขง็ แรง และไมม่ ีลนิ้ กนั้ ภายใน เลือดที่อยู่ใน แบบยดื หย่นุ ได้ หลอดเลอื ดแดงเป็น เลอื ดทมี่ ปี รมิ าณแกส๊ ออกซิเจนสงู หรือเรียกว่า “ เลือดแดง ”ยกเวน้ ชั้นเนื้อเยือ้ บางๆ หลอดเลอื ดแดงท่ีนาเลือดออกจาก หวั ใจไปยงั เรยี กวา่ เนื้อเย้อื บโุ พง ปอดภายในเป็นเลือดทม่ี ีปรมิ าณแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์มากหรือเรียกว่า“เลือดดา”

2. หลอดเลอื ดดา(vein) เป็นหลอดเลือดที่นาเลอื ดดาจากส่วนต่างๆ ของรา่ งกายเขา้ สหู่ ัวใจ หลอด เลอื ดมผี นงั บางกว่าหลอดเลอื ดแดง มีล้ินกั้นภายในเพ่ือปอ้ งกนั เลือดไหลย้อนกลบั เลอื ดทไี่ หล อยภู่ ายในหลอดเลือดจะเปน็ เลอื ดทม่ี ีปริมาณแกส๊ ออกซเิ จนตา่ ยกเวน้ หลอดเลอื ดดาท่นี าเลือดจาก ปอดเข้าสู่หัวใจ จะเป็นเลือดแดง 3. หลอดเลือดฝอย (capillary) เสน้ เลือดฝอย เนอื้ เยอื้ บโุ พง เปน็ หลอดเลือดที่เช่อื มตอ่ ระหว่างหลอดเลอื ด เนอื้ ช้นั นอก แดงและหลอด เลือดดาสานเปน็ รา่ งแหแทรกอยู่ หลอดเลอื ดดา กล้ามเน้ือเรียบ ตามเนอ้ื เยื่อต่างๆ ของรา่ งกาย มีขนาดเล็กและ ล้ินหวั ใจ ละเอยี ดเปน็ ฝอยและ มผี นังบางมากเป็นแหลง่ ท่ี เนอื้ เยื้อเส้นใย มีการแลกเปลยี่ นแกส๊ และสารต่างๆ ระหวา่ ง แบบยืดหยุ่นได้ เลอื ดกับเซลล์

ชนดิ ของหลอดเลอื ด

ความดนั เลือด (blood pressure) ความดนั เลือด ( blood pressure ) หมายถงึ ความดันในหลอดเลือดแดง เป็นส่วนใหญเ่ กิดจาก บบี ตัวของหวั ใจท่ีดันเลือดใหไ้ หลไปตามหลอดเลอื ดความดันของ หลอดเลอื ดแดงท่อี ย่ใู กล้หวั ใจจะมี ความดนั สูงกว่าหลอดเลอื ดแดงทอ่ี ย่ไู กลหัวใจ ส่วน ในหลอดเลอื ดดาจะมีความดันตา่ กวา่ หลอดเลือด แดงเสมอความดนั เลอื ดมหี น่วยวดั เปน็ มลิ ลเิ มตรปรอท (mmHg) เป็นตวั เลข 2 คา่ คอื

ค่าความดันเลือดขณะหัวใจบบี ตัว และคา่ ความดันเลือดขณะหวั ใจคลายตวั เช่น 120/80 มลิ ลเิ มตรปรอท ค่าตัวเลข 120 แสดงค่าความดนั เลอื ดขณะหวั ใจบีบตัวใหเ้ ลือดออกจากหวั ใจ เรยี กวา่ ความดันระยะหัวใจบบี ตวั (Systolic Pressure) 14 ส่วนตวั เลข 80 แสดงความดนั เลอื ดขณะหัวใจคลายตัว เพอ่ื รับเลอื ดเขา้ สหู่ ัวใจ เรยี กว่า ความดันระยะหัวใจคลายตัว (Diastolic Pressure) เครอ่ื งมือวดั ความดันเลือดเรียกวา่ “ มาตรความดันเลือด จะใช้คู่กับ สเตตโตสโคป (stetoscope)'' โดยจะวัดความดนั ทห่ี ลอด เลือดแดง ปกตคิ วามดนั เลอื ดสูงสุดขณะหัวใจบบี ตวั ใหเ้ ลอื ดออกจากหัวใจมคี ่า 100 + อายุ และความดัน เลือดขณะหวั ใจรบั เลือดไม่ควรเกิน 90 มลิ ลิเมตรปรอท ถ้าเกนิ จะเป็น โรคความดันเลือดสงู ซงึ่ มี สาเหตุหลายประการ เชน่ หลอดเลือดตีบตนั คอเลสเตอรอล ในเลือดสงู โกรธง่ายหรอื เครียดอยู่เปน็ ประจา พบมากในผู้สูงอายหุ รือผทู้ ่ีมีจิตใจอยู่ใน สภาวะเครียด นอกจากนยี้ งั เกดิ จากอารมณ์โกรธทาให้ รา่ งกายผลิตสารชนิดหนึ่งออกมา ซึ่งสารน้ีจะมผี ลต่อการบีบตวั ของหัวใจโดยตรง

ชพี จร (Pulse) ชพี จร หมายถึง การหดตวั และการคลายตวั ของหลอดเลือดแดง ซ่ึงตรงกับ จังหวะการเต้นของ หวั ใจคนปกตหิ วั ใจเต้นเฉลี่ยประมาณ 72 ครง้ั ต่อนาที การเตน้ ของ ชีพจรแตล่ ะคนจะแตกต่างกนั ปกติ อัตราการเตน้ ของชีพจรในเพศชายจะสงู กว่าเพศ หญิง

ปัจจัยทม่ี ีผลตอ่ ความดันเลือด 1. อายุ ผู้สูงอายมุ คี วามดนั เลือดสงู กวา่ เดก็ 2. เพศ เพศชายมีความดันเลือดสงู กว่าเพศหญงิ ยกเวน้ เพศหญิงท่ใี กล้หมดประจาเดอื นจะ มี ความดันเลอื ด ค่อนข้างสงู 3. ขนาดของร่างกาย คนทมี่ ีร่างกายขนาดใหญม่ ักมีความดันเลอื ดสงู กวา่ คนท่ีมีร่างกาย ขนาดเล็ก 4. อารมณ์ ผทู้ มี่ ีอารมณ์เครียด วิตกกงั วล โกรธหรอื ตกใจงา่ ยทาใหค้ วามดันเลือดสงู กว่าคน ที่ อารมณป์ กติ 5. คนทางานหนักและการออกกาลงั กาย ทาใหม้ คี วามดนั เลือดสงู

ระบบน้าเหลอื ง สารตา่ งๆในเซลลจ์ ะถูกลาเลียงกลบั เข้าสู่หลอดเลือดด้วยระบบน้าเหลอื งโดย สมั พนั ธก์ บั การ ไหลของเลือดในหลอดเลอื ดฝอย ระบบนา้ เหลอื งมสี ่วนประกอบ ดงั น้ี 1. อวัยวะน้าเหลือง เปน็ ศูนย์กลางผลิตเซลลต์ ่อตา้ นสิ่งแปลกปลอม ได้แก่ ต่อม น้าเหลือง ต่อมทอนซิล มา้ ม และตอ่ มไทมสั มหี น้าทผ่ี ลติ สารต่อต้านเชื้อโรค และ สง่ิ แปลกปลอมทเี่ ข้าสรู่ ่างกาย 2. ท่อน้าเหลอื ง (lymph vessel) มีหนา้ ที่นาน้าเหลอื งเขา้ สหู่ ลอดเลือดดาในระบบ หมุนเวยี น ของเลอื ด 3. น้าเหลอื ง (lymph) มีลกั ษณะเปน็ ของเหลวใสอาบอย่รู อบๆ เซลล์ สามารถซึมผ่าน เขา้ ออกผนังหลอดเลอื ดฝอยไดม้ หี น้าที่เป็นตัวกลางแลกเปล่ยี นสารระหว่างหลอดเลือด ฝอยกับเซลล์ได้

ระบบภมู คิ ุ้มกนั ร่างกายของคนเราท่ีมีสภาพภมู คิ ้มุ กันสิ่งแปลกปลอมที่อาจกอ่ ใหเ้ กดิ โรคได้ ร่างกายซงึ่ มีกลไกกาจดั สง่ิ แปลกปลอมตามธรรมชาติ ดงั นี้ 1. เหงอื่ เปน็ สารทรี่ ่างกายขับจากตอ่ มเหงอ่ื ออกมาท่ีบรเิ วณผวิ หนังทัว่ ร่างกายสามารถปอ้ งกัน การเจริญเติบโต ของแบคทเี รยี และป้องกนั ไมใ่ ห้เชอ้ื โรคเข้าสรู่ า่ งกายทางผิวหนัง 2. นา้ ตาและนา้ ลาย ชว่ ยทาลายเชื้อแบคทเี รียบางชนดิ ได้ 3. ขนจมกู และน้าเมือกในจมกู ชว่ ยป้องกนั ฝนุ่ ละอองและเช้ือโรคท่เี ข้าสู่รา่ งกายทางลมหายใจ

4. เซลลเ์ มด็ เลอื ดขาวที่อยใู่ นเซลล์รา่ งกายและทอ่ น้าเหลอื ง สรา้ งสารตอ่ ตา้ นเช้ือโรคที่เรียกวา่ “แอนตบิ อดี (Antibody)” เพ่อื ทาลายเช้อื โรคท่ีเข้าสู่รา่ งกาย ระบบภูมิคุ้มกนั โรคท่รี ่างกายสรา้ งข้ึน เพ่ือตอ่ ต้านเฉพาะโรค ทเ่ี ขา้ ส่รู ่างกายนนั้ สรา้ งได้ 2 ลกั ษณะ ดังนี้ (1). ภูมิคุ้มกนั ที่รา่ งกายสร้างขึ้นเอง เปน็ วธิ ีการกระตุ้น ให้รา่ งกายสร้างภมู ิคุม้ กนั จากสิง่ แปลกปลอมหรือเช้อื โรค เช่น การฉดี วคั ซีนคุม้ กันโรคอหวิ าตกโรค เป็นการ กระตุ้นให้รา่ งกายสรา้ ง แอนตบิ อดี เพือ่ ทาลายเช้อื อหิวาตกโรค ทีจ่ ะเขา้ สูร่ า่ งกาย เปน็ ต้น (2). ภูมิคุม้ กันท่ีรับมา เป็นวธิ ีการใหแ้ อนติบอดีแก่ รา่ งกายโดยตรง เพอ่ื ให้เกิดภมู ิคมุ้ กนั ทนั ที เช่น การฉดี เซรมุ่ แกพ้ ษิ งใู ชฉ้ ดี เมอ่ื ถูกงกู ัด จะเกิดภมู คิ ุ้มกนั ทันที

3.ระบบหายใจ การหายใจ (respiration) เป็นการนาอากาศเขา้ และ ออกจากร่างกาย ส่งผลใหแ้ ก๊ส ออกซิเจนทาปฏกิ ิรยิ ากับสารอาหาร ได้พลังงาน นา้ และแก๊สคาร์บอนไดออกไซต์ กระบวนการหายใจ เกิดขึน้ กับทุกเซลลต์ ลอดเวลา การหายใจจาเป็นตอ้ งอาศัย โครงสรา้ ง 2 ชนิดคอื กลา้ มเน้ือกะบังลม และกระดกู ซโ่ี ครง ซ่งึ มีกลไกการทางานของระบบหายใจ ดงั นี้

กลไกการทางานของระบบหายใจ 1. การหายใจเขา้ (Inspiration) กะบงั ลมจะเลื่อนต่าลง กระดกู ซโ่ี ครงจะเลือ่ นสงู ขึน้ ทาให้ ปริมาตรของช่อง อกเพม่ิ ขึน้ ความดนั อากาศในบรเิ วณรอบ ๆ ปอดลดตา่ ลงกว่าอากาศภายนอก อากาศภายนอกจึงเคล่อื นเข้าสู่ จมูก หลอดลม และไปยงั ถงุ ลมปอด

2. การหายใจออก (Expiration) กะบงั ลมจะเลือ่ นสูง กระดกู ซ่ีโครงจะเลื่อนตา่ ลง ทาให้ ปริมาตรของช่อง อกลดน้อยลง ความดนั อากาศในบรเิ วณรอบ ๆ ปอดสูงกวา่ อากาศภายนอก อากาศ ภายในถุงลมปอดจงึ เคลอื่ นที่จากถุงลมปอดไปส่หู ลอดลมและออกทางจมกู ส่ิงทีก่ าหนดอตั ราการหายใจเข้าและออก คอื ปริมาณ กา๊ ซคาร์บอนไดออกไซดใ์ นเลอื ด ถา้ ปรมิ าณก๊าซคาร์บอนไดออกไซดใ์ นเลอื ดในเลอื ดต่าจะทาให้การหายใจช้าลง เชน่ การนอนหลบั ถา้ ปรมิ าณก๊าซคาร์บอนไดออกไซดใ์ นเลือดในเลอื ดสูงจะทาให้การหายใจเรว็ ขน้ึ เช่น การ ออกกาลังกาย

การหมนุ เวยี นของแก๊ส การหมุนเวยี นของแกส๊ เป็นการแลกเปลย่ี นกา๊ ซคาร์บอนไดออกไซดแ์ ละกา๊ ซ ออกซเิ จน เกดิ ขึ้นที่บรเิ วณถุงลมปอด ดว้ ยการแพร่ของก๊าซออกซเิ จนไปสูเ่ ซลลต์ า่ งๆ ท่วั รา่ งกาย และก๊าซ ออกซิเจนทา ปฏกิ ิรยิ ากับสารอาหารในเซลล์ของรา่ งกายทาให้ได้ พลงั งาน นา้ และกา๊ ซ คาร์บอนไดออกไซด์ ดงั สมการ กา๊ ซคาร์บอนไดออกไซดท์ เี่ กิดจากปฏกิ ิรยิ าเคมรี ะหวา่ งก๊าซออกซเิ จนกับอาหารจะแพร่ออก จากเซลล์เข้าสู่หลอดเลอื ดฝอยและลาเลียงไปยงั ปอด ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะแพร่เข้าสู่หลอดลม เลก็ ๆ ของปอดขับออกจากร่างกายพรอ้ มกบั ลมหายใจออก

การไอ การจาม การหาวและการสะอึก การไอ การจาม การหาวและการสะอึก อาการท่เี ก่ียวขอ้ งกับการหายใจมดี ังน้ี 1. การจาม เกดิ จากการหายใจเอาอากาศท่ีไมส่ ะอาดเข้าไปในร่างกาย รา่ งกายจึงพยายามขับ สงิ่ แปลกปลอมเหลา่ นนั้ ออกมานอกร่างกาย โดยการหายใจเข้าลึกแล้วหายใจออกทนั ที 2. การหาว เกดิ จากการที่มีปรมิ าณก๊าซคารบ์ อนไดออกไซดส์ ะสมอยใู่ นเลอื ดมากเกนิ ไป จงึ ต้องขบั ออก จากรา่ งกาย โดยการหายใจเขา้ ยาวและลึก เพ่อื รบั แกส๊ ออกซิเจนเขา้ ปอดและแลกเปลย่ี น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากเลือด 3. การสะอึก เกดิ จากกะบังลมหดตัวเป็นจงั หวะๆ ขณะหดตวั อากาศจะถกู ดนั ผ่านลงสู่ปอดทันที ทาใหส้ ายเสยี งสน่ั เกดิ เสียงขึน้ 4. การไอ เปน็ การหายใจอย่างรนุ แรงเพ่อื ปอ้ งกนั ไม่ให้ส่งิ แปลกปลอมหลุดเขา้ ไปในกล่อง เสียงและหลอดลม รา่ งกายจะมีการหายใจเขา้ ยาวและหายใจออกอย่างแรง

แขนงหลอดลมลาดับท3่ี หลอดลมฝอย กลุม่ ถงุ ลม ถุงลม หลอดเลือดฝอย เลอื ดจากหวั ใจ ผนังถงุ ลม หลอดเลือดฝอย เลอื ดกลับสหู่ ัวใจ

4.ระบบกาจดั ของเสีย ของเสยี หมายถงึ สารที่เกดิ จากกระบวนการเมแทบอรซิ ึม ( metabolism) ภายในรา่ งกาย ของส่ิงมชี วี ติ ท่ี ไม่มีประโยชนต์ ่อรา่ งกายเช่น นา้ แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ ยเู รยี เปน็ ต้น นอกจากนี้ สารท่ีมปี ระโยชน์ ์ปริมาณมากเกินไป ร่างกายกจ็ ะกาจดั ออก เมแทบอรซิ มึ ( metabolism) หมายถงึ กระบวนการหมุนเวยี นเปล่ยี นแปลง ทางชีวเคมที ่ี เกดิ ขึ้นภายในรา่ งกายของสงิ่ มีชวี ติ การกาจดั ของเสยี ในรา่ งกายเกดิ ข้ึนไดห้ ลายทาง เชน่ ทางไต ทางผวิ หนัง ทางปอด ทาง ลาไส้ ใหญ่ เปน็ ตน้

การกาจัดของเสียทางไต ไต (Kidney) ทาหนา้ ท่ีกาจัดของเสยี ในรปู ของน้าปัสสาวะ มี 1 คู่ รปู ร่างคลา้ ยเมล็ดถ่วั ดา อยู่ ในช่องทอ้ งสองขา้ งของกระดกู สนั หลังระดับเอว ถ้าผ่าไตตามยาวจะพบวา่ ไตประกอบด้วยเนือ้ เยื่อ 2 ชัน้ คอื เปลอื กไตช้นั นอกกบั เปลือกไตชั้นในมขี นาดยาวประมาณ 10 เซนตเิ มตร กว้าง 6 เซนตเิ มตร หนา 3 เซนตเิ มตร บรเิ วณตรงกลางของไตมีสว่ นเว้าเปน็ กรวยไต มีหลอดไตตอ่ ไปยงั กระเพาะปสั สาวะ ไตแตล่ ะขา้ งประกอบดว้ ยหน่วยไต ( nephron) นับล้านหน่วยเปน็ ท่อทขี่ ดไปมาโดยมีปลายทอ่ ขา้ งหนึ่งตน้ เรียกปลายทอ่ ท่ตี นั นว้ี า่ “ โบวแ์ มนสแ์ คปซลู (Bowman s capsule)” ซ่ึงมีลักษณะเปน็ แอง่ คลา้ ยถ้วย ภายในแอ่งจะมกี ลมุ่ เลอื ดฝอยพนั กันเป็นกระจุกเรยี กวา่ “ โกลเมอรูลสั (glomerulus)” ซึ่งทาหน้าทก่ี รอง ของเสยี ออกจากเลอื ดท่ไี หลผา่ นไต ที่บริเวณท่อของหน่วยไตจะมีการดูดซึมสารท่ี เปน็ ประโยชนต์ อ่ ร่างกาย เช่น แร่ธาตุ น้าตาลกลูโคส กรดอะมโิ นรวมทั้งนา้ กลบั คนื สหู่ ลอดเลอื ดฝอย และเข้าส่หู ลอดเลอื ดดา สว่ น ของเสยี อ่นื ๆ ที่เหลอื คอื นา้ ปสั สาวะ จะถูกส่งมาตามหลอดไตเข้าสู่ กระเพาะปัสสาวะ ซง่ึ มคี วามจปุ ระมาณ 500 ลกู บาศก์เซนติเมตร แต่กระเพาะปัสสาวะสามารถที่จะ หดตัวขับนา้ ปัสสาวะออกมาได้ เมอ่ื มีปสั สาวะ มาคล่งั อย่ปู ระมาณ 250 ลูกบาศกเ์ ซนติเมตร ซึง่ ในวนั หน่ึงๆ รา่ งกายจะขบั นา้ ปัสสาวะออกมาประมาณ 1 – 1.5 ลิตร



น้าปัสสาวะประกอบดว้ ยสารตา่ งๆ ดังนี้ คือ นา้ 95% โซดยี ม 0.35% โพแทสเซยี ม 0.15% คลอรนี 0.6% ฟอสเฟต 0.15% แอมโมเนีย 0.04% ยูเรยี 2.0% กรดยูริก 0.05% และครเี อทินิน 0.75% น้าปสั สาวะจะประกอบไปด้วยน้าและยูเรียเป็นสว่ นใหญ่ ส่วนแร่ธาตมุ ีอยเู่ ล็กน้อย ถ้ามีการ ตกตะกอนของ แรธ่ าตไุ ปอุดตันทางเดินทอ่ ปัสสาวะ จะทาใหป้ สั สาวะลาบาก เรียกลกั ษณะอาการอยา่ ง นวี้ า่ “โรคนิ่ว ” เม่ือไตผิดปกตจิ ะทาให้สารบางชนิดปนออกมากับนา้ ปัสสาวะ เชน่ เมด็ เลือดแดง กรดอะมิโน นา้ ตาลกลูโคส เป็นต้น ปจั จุบนั แพทยม์ ีการใช้ไตเทยี มหรอื อาจจะใช้การปลกู ไตให้กบั ผูป้ ว่ ยทไี่ ตไม่สามารถทางานได้ ไต เทยี ม เป็นเคร่อื งมือทีอ่ ยู่ภายนอกร่างกาย ส่วนการปลกู ไตเปน็ การนาไตของผอู้ ่ืนมาใส่ใหก้ ับผ้ปู ว่ ย โซดียม 0.35% ส่วนประกอบปสั สาวะ โพแทสเซยี ม 0.15% คลอรนี 0.6% นา้ 95% ฟอสเฟต 0.15% ยูเรยี 2.0% แอมโมเนยี 0.04% กรดยรู ิก 0.05% และครเี อทนิ ิน 0.75%

การกาจัดของเสียทางผวิ หนงั เหงื่อ (sweat) ประกอบดว้ ยนา้ เปน็ สว่ นใหญ่ และมสี ารอ่นื ๆ บ้างชนิดปนอยู่ ดว้ ย เชน่ เกลือ โซเดยี มคลอไรด์ ยูเรยี เปน็ ตน้ เหง่อื จะถกู ขบั ออกจากรา่ งกายทางผิวหนงั โดยผา่ นทางงต่อมเหงอ่ื ซงึ่ มอี ยูท่ ่วั รา่ งกายใตผ้ วิ หนัง

ต่อมเหงอื่ ของคนเราแบ่งไดเ้ ปน็ 2 ชนิด คอื 1. ต่อมเหงอ่ื ขนาดเล็ก มอี ยทู่ ี่ผวิ หนังทวั่ ทุกแห่งของรา่ งกาย ยกเว้นทร่ี ิมฝีปากและทอี่ วยั วะ สบื พันธ์ุ บางสว่ น ต่อมเหง่ือเหล่านตี้ ิดตอ่ กบั ท่อขบั ถ่ายซึ่งเปิดออกทีผ่ วิ หนังช้นั นอกสุด ตอ่ มเหงื่อขนาด เลก็ นี้สรา้ ง เหง่ือแล้วขับถ่ายออกมาตลอดเวลา แตเ่ น่ืองจากมีการระเหยไปตลอดเวลาเช่นกัน ดังนนั้ จึงมักสงั เกตไม่ ค่อยได้ แต่เม่ืออุณหภูมิภายนอกรา่ งกายสงู ขึน้ หรือขณะออกกาลังกาย ปริมาณเหง่ือที่ ขบั ถ่ายออกมาจะ เพ่มิ ข้นึ จนสังเกตเห็นได้ ทอ่ี ณุ หภูมิ 32 องศาเซลเซยี ส จะมีการขบั เหงอ่ื ออกมาเห็น ไดช้ ดั เจน เหง่ือจาก ต่อมเหง่ือขนาดเลก็ เหลา่ นป้ี ระกอบดว้ ยนา้ รอ้ ยละ 99 สารอ่ืนๆ รอ้ ยละ 1 ซง่ึ ไดแ้ ก่ เกลอื โซเดียมคลอ ไรด์และสารอนิ ทรยี พ์ วกยเู รีย นอกนนั้ เปน็ สารอน่ื อีกเลก็ น้อยเช่น แอมโมเนีย กรดอะมโิ น น้าตาล กรด แลกตกิ

2. ต่อมเหงอื่ ขนาดใหญ่ ไม่ได้มีอยู่ท่วั ร่างกาย พบไดเ้ ฉพาะบางแหง่ ได้แก่ รกั แร้ รอบหัวนม รอบสะดือ ชอ่ งหูสว่ นนอก จมกู อวัยวะสบื พนั ธบุ์ างส่วน ต่อมเหลา่ น้ีมีท่อขบั ถา่ ยใหญก่ วา่ ชนดิ แรก และจะเปดิ ท่ีรูขน ใตผ้ ิวหนงั ปกติจะไมเ่ ปดิ โดยตรง ท่ผี ิวหนงั ช้ันนอกสดุ ตอ่ มชนดิ นี้จะทางาน ตอบสนองตอ่ การกระตุ้นทาง จิตใจ สารที่ขบั ถา่ ยจากต่อมชนิดนี้มกั มีกลน่ิ ซงึ่ ก็คือกลิ่นตวั นัน่ เอง โครงสร้างภายในตอ่ มเหง่อื จะมีท่อขด อยเู่ ป็นกลุ่มและมีหลอดเลอื ดฝอยมาหล่อเลย้ี งโดยรอบ หลอดเลือดฝอยเหลา่ นจี้ ะลาเลียงของเสยี มายงั ต่อม เหงื่อเมอื่ ของเสียมาถึงบริเวณตอ่ เหง่ือกจ็ ะแพร่ ออกจากหลอดเลอื ดฝอยเข้าสทู่ อ่ ในต่อมเหงอ่ื จากน้ันของ เสียซ่ึงก็คอื เหงื่อ จะถกู ลาเลยี งไปตามท่อ จนถึงผิวหนังชัน้ บนสุด ซงึ่ มีปากทอ่ เปิดอยู่ หรือท่ีเรียกว่า รเู หงื่อ ผวิ หนงั นอกจากจะทาหน้าทกี่ าจดั ของเสียในรูปของเหง่ือแลว้ ยังทาหนา้ ที่ชว่ ยระบายความ รอ้ นออกจาก รา่ งกายด้วยโดยความร้อน ท่ีขับออกจากร่างกายทางผิวหนงั มปี ระมาณรอ้ ยละ 87.5 ของความรอ้ นทงั้ หมด

การกาจดั ของเสียทางลาไส้ใหญ่ หลังจากการยอ่ ยอาหารเสร็จสิ้นลง อาหารสว่ นทเี่ หลือและส่วนทร่ี า่ งกายไม่สามารถย่อย ได้ จะถูกกาจดั ออกจากรา่ งกายทางลาไสใ้ หญ่( ทวารหนัก ) ในรปู รวมท่เี รียกว่า “อจุ จาระ” ถ้า อุจจาระตกคา้ งอยู่ในลาไส้ใหญห่ ลายวนั ผนังลาไสใ้ หญจ่ ะดดู นา้ กลบั เขา้ ไปในเส้นเลอื ด ทาให้อุจจาระ แขง็ เกิดความยากในการขบั ถ่าย เรียกว่า “ท้องผกู ” ท่ีมีอาการท้องผกู จะรสู้ กึ แนน่ ท้อง อดึ อดั บาง รายอาจมอี าการปวดท้องหรือปวดหลงั ด้วย อาการต่างๆ เหล่านี้จะหายไปเมือ่ ถ่ายอุจจาระ ออกจาก รา่ งกาย ผทู้ ม่ี ีอาการทอ้ งผกู นานๆ อาจเป็นสาเหตุของโรคริดสีดวงทวารไดส้ าเหตุเกดิ จาก การ รบั ประทานอาหารที่มีกากใยอาหารนอ้ ยเกินไป กินอาหารรสจดั ถา่ ยไมเ่ ปน็ เวลา เครยี ด สบู บุหร่ี จดั ดื่มน้าชาหรอื กาแฟมากเกินไป ใยอาหาร ไดแ้ ก่ พชื ผักตา่ งๆ ใยอาหารนอกจากจะไมท่ าใหท้ อ้ งผกู แลว้ ยังช่วยลดสารพษิ ตา่ งๆ ทาใหส้ ารพษิ ผา่ นลาไส้ใหญ่ไปอยา่ งรวดเรว็ ป้องกนั โรคมะเร็งลาไสใ้ หญ่ ใน ลาไสใ้ หญม่ ี แบคทเี รียอาศัยอยจู่ านวนมาก มที งั้ ทีเ่ ปน็ ประโยชน์ ( ช่วยสังเคราะห์วิตามิน B 12 ) และ โทษ (เชอ้ื โรคตา่ งตา่ งๆ)

การกาจัดของเสยี ทางปอด ของเสียทถี่ กู กาจดั ออกนอกรา่ งกายทางปอด ได้แก่ น้าและแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ ซงึ่ เกดิ ข้ึนจากกระบวนการหายใจของเซลล์ต่างๆ ในรา่ งกาย ขน้ั ตอนในการกาจัดของเสยี ออกจากรา่ งกายทางปอด มีดังน้ี 1. น้าและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดข้ึนแพรอ่ อกจากเซลล์เขา้ สู่หลอดเลือด โดยจะละลาย ปน อยูใ่ นเลอื ด 2. เลอื ดทีม่ ขี องเสยี ละลายปนอยจู่ ะถกู ลาเลยี งส่งไปยังปอด โดยการลาเลียงผา่ นหัวใจเพ่ือส่ง ตอ่ ไป แลกเปลย่ี นแก๊สทปี่ อด 3. เลอื ดท่ีมขี องเสียละลายปนอยู่เมอื่ ไปถงึ ปอด ของเสียต่างๆทีส่ ะสมอย่ใู นเลือดจะแพร่ผา่ น ผนัง ของหลอดเลอื ดเขา้ สถู่ งุ ลมของปอดแลว้ ลาเลียงไปตามหลอดลม เพื่อกาจัดออกจากรา่ งกาย ทาง จมกู พรอ้ มกับลมหายใจออก