กจิ กรรมพัฒนาการเรยี นรู้ การอ่านและพจิ ารณาสารคดี ตอนที่ ๑ ตอบคาํ ถาม ๑. สารคดีมคี วามหมายว่าอย่างไร ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... ....................................................................................... ........................................................................ ......... ๒. หนงั สือทจ่ี ัดเป็นสารคดี มลี ักษณะท่ัวไปอยา่ งไรบา้ ง ........................................................................................................................ ................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................................................... ......... ............................................................................................................................. ........................................... 3. จงยกตวั อย่างสารคดีประเภทตา่ งๆต่อไปนีม้ าประเภทละ ๓ เรื่อง พรอ้ มชือ่ ผู้แตง่ 3.1) สารคดที ่องเท่ยี ว ............................................................................................................... ......................................................... ............................................................................................................................. ........................................... 3.2) สารคดีชีวประวตั ิ .................................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................ ................................................................... ......... 3.2) สารคดีวชิ าการ ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... 4. ในการพิจารณาคณุ คา่ ของสารคดคี วรพจิ ารณาในประเด็นใดบา้ ง ................................................................................................................................................ ........................ ............................................................................................................................. ........................................... ....................................................................................... ........................................................................ ......... ............................................................................................................................. ........................................... 5. นกั ศกึ ษาเห็นด้วยหรอื ไม่ว่า สารคดีชีวประวัติและอตั ชวี ประวตั มิ คี ณุ คา่ แกผ่ ้อู ่าน ในด้านการเรยี นรูจ้ ัก แงม่ ุมตา่ งๆ และความเป็นไปตามธรรมดาธรรมชาติแห่งชวี ิต จงอภิปราย ........................................................................................... .................................................................... ......... ............................................................................................................................. ........................................... ...................................................................................................................................... .................................. ................................................................................................ ............................................................... ......... เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชา ท๓๐๒๐๗ การอาํ นและพจิ ารณาวรรณกรรม ๔๕
ตอนท่ี ๒ ใหน้ กั เรียนอา่ นสารคดี เรอ่ื ง เพลงทะเล บรรเลงมาฝากจาก....อ่าวพระนาง” ของ สวุ รรณ บญุ กลาํ่ แล้ววเิ คราะห์ตามประเด็นทีก่ าํ หนด เพลงทะเล บรรเลงมาฝากจาก ...... อ่าวพระนาง สวุ รรณา บญุ กลา่ ห้วงเวลายามส้นิ ฤดูหนาวเขา้ คมิ หันต์ให้บรรยากาศท่ีอบอุ่นเม่ือกลางคืนและแผดร้อน เม่ือกลางวัน อยา่ งน้ดี ูเหมือนทอ้ งทะเลจะเหมาะสมทีส่ ุดกบั การสร้างบรรยากาศใหม่ ๆ ให้ชีวิต ก่อนวนั เดนิ ทางอนั มีเป้าหมายแนน่ อนแลว้ ว่า “เราจะไปอ่าวพระนาง ท่ีจังหวัด กระบ่ี” น้ัน มีเสียง นักเดินทางผ้ผู า่ นโลกแห่งทอ้ งทะเลภาคใต้เสริมให้ได้ยินว่า “อา่ วพระนางไปกค่ี รง้ั ก็ยังสวย” ไดย้ ินชัด ๆ อยา่ งน้ี ความเช่ือม่นั ว่าทีน่ ต่ี ้องสวยจงึ เพมิ่ ขึ้นเป็นทวีคูณ กระนนั้ กย็ ังท่าใจล่วงหน้าด้วย ความไมไ่ ว้วางใจว่าที่ไหนสวยๆ มักจะถูกท่าลายด้วยฝีมือนักเดินทางผู้ไร้ส่านึกเสมอ โดยเฉพาะในประเทศ ไทย เตรยี มใจเสรจ็ ก็ถึงวนั เดนิ ทาง ท่ใี ชถ้ นนสายเดียวทอดยาวสูภ่ าคใตค้ อื เพชรเกษม ชว่ ง ๒-๔ ปีท่ีผ่านมาแม้ถนนสายต่าง ๆ ของประเทศจะค่อนข้างปลอดภัยจากการปล้น จ้ี แต่ส่ิงท่ี มอี ย่แู ล้วและเพม่ิ เขา้ มาแทนท่ีคอื อุบตั เิ หตุ ซง่ึ มีใหไ้ ดย้ นิ กันแทบทุกวนั ในเมื่อ หลีกเลี่ยงการใช้ถนนร่วมกับ รถบรรทุกสิบล้อ หกล้อหรือรถโดยสาร ท้ังปรับอากาศและเปิด โล่งรับลมเย็นไม่ได้ พวกเราจึงต้องคอย เตือนพนกั งานขบั รถยนตต์ ลอดทาง แต่ก่อนนั้นเพชรเกษมไม่ค่อยคับแคบเท่าใดนัก เพราะรถน้อยและว่ิงในช่วงกลางวันมากกว่า แต่ปัจจุบันถนนที่มี ๒ เลนกับไหล่ทางที่เป็นลูกรัง ไม่สามารถรองรับปริมาณรถที่เพ่ิมขึ้นเพราะ การเจริญเติบโตทางธุรกิจได้อย่างทันการณ์ จึงน่าหว่ันกลัวว่าในระยะอันใกล้หากไม่ขยายเส้นทางเห็น จะตอ้ งมโี ศกนาฏกรรมเกดิ ขน้ึ อยา่ งแนน่ อน เอกสารประกอบการเรียน รายวิชา ท๓๐๒๐๗ การอาํ นและพิจารณาวรรณกรรม ๔๖
ทุกคนตัดสินใจเดินทางในช่วงกลางคืน เพ่ือจะได้ถึงกระบี่เช้า ๆ และใช้เวลากับท้องทะเลให้มาก ที่สุดเท่าที่จะท่าได้ ซ่ึงมีข้อดีคือไม่ต้องเสียเวลาในช่วงกลางวัน แต่ข้อเสียก็คือต้องระมัดระวังการเดินทาง มากกวา่ ในช่วงกลางวนั เมื่อพ้นเขตกรุงเทพฯสู่นครปฐมและเพชรบุรีใช้เวลาไม่ก่ีชั่วโมงแต่พอสู่ประจวบคีรีขันธ์เท่านั้นเอง ตื่นมากคี่ รงั้ กย็ งั ไมพ่ น้ เขตจงั หวัดเสยี ทีกวา่ จะถึงชุมพรก็ดกึ มากทีเดยี ว เม่อื พักรถทนี่ ่ี เราถามเส้นทางสู่กระบี่ ท่ีปลอดภยั ก็ได้รบั คา่ ตอบอย่างตืน่ เต้นจาก “เจ้าแหง่ ถนน” คือ รถบรรทุกว่า “อยา่ ไปทางเวยี งสระ (สุราษฎร์ธานี) เชียวนา ดีไม่ดีถูกปล้นง่าย ๆ เมื่อไม่ก่ีวันก็มีรถโดยสารถูกยิง ไปคันหนึ่ง” พวกเราเชื่อสนทิ ใจและบวกเข้ากับเรอื่ งตา่ ง ๆ ทเี่ คยรบั ฟงั กนั มาจน ดูนา่ กลัวและโหดร้ายท่าให้ ตอ้ งเปลยี่ นใชเ้ ส้นทางทอี่ ้อมไกลโดยปริยาย เช้าตรู่เรามาถึงกระบี่ และจัดการกับเรื่องส่วนตัวท่ีโรงแรมริมฝั่งทะเล ก่อนลงเรือหางยาว มุ่งสู่ อ่าวพระนาง อยากจะตั้งข้อสังเกตอย่างหนึ่งก็คือ คนขับเรือที่เป็นลูกทะเล มักจะเป็นไกด์น่าเที่ยวได้ดี และ มีความรู้มากพอท่ีจะอธิบายให้พวกเราได้เข้าใจอะไร ๆ ได้ง่ายข้ึน คนขับ เรือท่ีเป็นชายวัยกว่า ๔๐ ปี คนนก้ี ็เช่นกัน เขาตอบค่าถามทีเ่ ราสงสัย อยากรู้ไดถ้ นดั ซัดเจน “เดือนมกราคมน่ีลมสงบท่ีสุด ไม่ต้องไปฟังไปฟังพยากรณ์กรมอุตุฯหรอก พวกเราอาศัย ประสบการณ์กันมากกว่า โธผ่ มอย่กู ับทะเลมาต้งั ๔๐ กวา่ ปี ” ชายคนเดิมบอกเล่าสนนราคาค่าเรือท่ีแล่นโต้คล่ืนไปตามเกาะต่าง ๆ เท่าที่สามารถไปได้ ไม่ว่าจะ เปน็ หม่เู กาะพีพี หรือตะรุเตา และอา่ วพระนาง “ถ้าเหมาไปอ่าวพระนางน่ี ๕๐๐ บาท ไปกลับ คิดเป็นคนก็คนละ ๔๐ บาท ถ้าไปพีพี่ก็วันละพัน บาท ไปตะรุเตาก็หลายพัน เพราะไกลมากว่ิงเรือตั้ง ๑๒ ช่ัวโมงเลาะเลียบฝั่งไปไม่กล้าออกทะเลลึกหรอก กลัวเหมือนกัน” จากน้ันเรือจึงเร่ิมติดเครื่องออกจากฝั่งกระบ่ี ช่ัวเวลาเพียงไม่ถึง ๑๕ นาที เราก็ลงย่าหาด ไลย์เลดา้ นทิศตะวนั ตกเฉยี งเหนอื ของอา่ วพระนาง เพยียรัตน์ วันดี-เวชประสิทธิ์ หญิงสาววัยเกือบ ๔๐ ปี ผู้ดูแลกิจการบังกะโล บนเกาะมากว่า ๒ ปี เล่าบรรยากาศการท่องเที่ยวท่ีนี่ว่า ช่วงเดือนตุลาคมถึงเมษายน มีนักท่องเที่ยวมาที่น่ีกันมาก เกือบร้อย เปอร์เซน็ ต์เป็นชาวต่างชาติ สวีเดน สวิสเซอร์แลนด์และแคนาดาตามล่าดับ ส่วนคนไทยจะแห่กันไปเฉพาะ เทศกาลเชน่ ปใี หม่ ตรุษจีน สงกรานต์ เปน็ ต้น “แต่ช่วงสงครามน่ีนักท่องเท่ียวลดลงเยอะ ปกติบ้านพักไม่พอหรอก ต้องนอนกางเต็นท์ริมหาด กันเองพวกขับเรือมีรายได้ดีวันละหลายพันบาท ดีกว่าหาปลาเสียอีก” เธอพูดเสร็จรีบก้มหน้าย้ิมเพราะ ไม่เคยถูกสัมภาษณ์นน่ั เอง ฤดนู กี้ ลางวนั คอ่ นขา้ งยาวนาน ทา่ ให้นกั ท่องเที่ยวและผู้ชืน่ ชมทะเลท้งั หลายพากนั สัมผัสความเค็ม และเขียวใสไดม้ ากหน่อย หาดไลยเ์ ลทพ่ี วกเราแวะเม่ือขึน้ จากเรือคอ่ นข้างสกปรกเพราะเปน็ หาดทรายโคลนสีคล่้า เว้นแต่อีก ด้านท่ีอยู่เหนือข้ึนไปซ่ึงสะอาดกว่า แต่จากค่าบอกเล่าของเจ้าของถิ่นว่าอ่าวพระนางนั่นแหละสวยที่สุด พวกเราจึงตดั ข้ามไปตามเส้นทางช่องเขาสูอ่ ่าวพระนางทนั ที ภาพเขาสูงตระหง่านท่ีเต็มไปด้วยหินย้อยและความเขียวชอุ่มของต้นไม้ตัดกับฟ้าคราม ดูสวย เหมือนจิตรกรเขยี นภาพบนผืนผา้ ใบรปู เดยี วกัน เมอ่ื มองออกไปสู่ชายหาดที่มีทราย สะอาด ละเอียด กับน่้า ทะเลใสเขียวอมฟ้าเปน็ แนวโค้งยาวจรดเขาสูงอีกด้านหนึ่ง ท่าให้พวกเราออกจะดีใจกับธรรมชาติที่ยังเหลือ รอดจากการท่าลายล้างมาได้ถึงวันน้ี นับว่าโชคของอ่าวพระนางจริง ๆ ถ้ามีใครถามว่า อ่าวพระนางสวยม้ัย? เหน็ ทา่ จะตอบโดยไม่ต้องคดิ ว่า สวย สวยจรงิ ๆ เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชา ท๓๐๒๐๗ การอาํ นและพจิ ารณาวรรณกรรม ๔๗
“คือยังไงดลี ะ่ ทะเลเป็นทะเล ทรายเป็นทราย น่้าเป็นน้่า เขียวเป็นเขียวน่ะ แต่ทุกอย่างมารวมกัน ถา้ ไมส่ วยก็ไม่รจู้ ะพูดวา่ ไงแลว้ ” เราคงอธิบายได้อย่างน้จี ริงๆ กลางวันที่ร้อนจัดเมื่อได้ลมทะเลพัดช่วยให้เยน็ สบายขนึ้ ทันตาเหน็ หลายคนสาละวนกับการเล่นน้่า หลายคนปนี ปา่ ยตามเนินเขา หลายคนเดินเล่นชายหาด และบางคนหลบแดด เข้าที่ร่มรอเพียงพระอาทิตย์ ลบั ขอบฟ้าและผิวน้่าทะเล เพ่อื เกบ็ ภาพสวยไมใ่ หต้ กหลน่ แม้เพยี งนาทีเดยี ว กว่า ๖ โมงเย็นพระอาทติ ย์ยังแผดแสงจ้าทาบผิวน้่าอยู่เช่นเคย เราอดทนรออย่างใจเย็นจนกระท่ัง แสงจ้าเร่ิมเปลี่ยนเป็นเย็นลงและแผ่รัศมีเป็นสีเหลืองอมส้มหลังเกาะนกคู่หรือนกแฝดท่ีอยู่ใกล้กับอ่าวพระ นาง พระอาทิตย์ตกท่ีน่ีสวยมากจนอยากจะหยุดไว้แค่น้ันอีกสักชั่วโมงให้ทุกคนได้เห็นกันนาน ๆ แต่ สดุ ทา้ ยกเ็ ป็นไปตามวัฏจกั รคอื หลบหายไปกบั ฟากฟา้ ทิศตะวันตก กอ่ นรุ่งเช้ายงั สลวั ๆ เราเตรียมตัวเดนิ เข้าสู่หาดน้่าเมาด้านทิศตะวันออก เพ่ือดักรอพระอาทิตย์ข้ึน ที่น่ีความจริงท่ีพบก็คือ ทั้งพระอาทิตย์ข้ึนและตกรอบอ่าวพระนางสวยงามไม่แพ้กันและออกจะคุ้มค่ากว่า แหล่งทอ่ งเท่ียวหลายแห่งที่มเี พียงพระอาทติ ย์ขึ้นหรือตกเท่าน้ัน เสียแต่ว่าบริเวณหาดน้่าเมาเป็นหาดทราย โคลน ไม่สะอาดมากพอจะเดินเลน่ หรือว่ายนา้่ ได้ แตถ่ า้ ดูบรรยากาศละกไ็ มผ่ ดิ หวงั แน่นอน ในตอนสายวันเดียวกันเรามีโปรแกรมข้ามไปเกาะไก่ แต่ยังพอมีเวลาว่าง จึงตกลงกันว่าปีนเขาดู สระพระนางและภูมิทัศน์ด้านบนน่าจะดีกว่า จึงเกาะกลุ่มเฉพาะผู้สมัครใจและรักป่าจริง ๆ หนทางข้ึนเขา ไม่ว่าทะเลท่ีไหนจะโหดร้ายตรงท่ีลักษณะหินจะแหลมคมเพราะน้่าทะเล และลมทะเลกัดเซาะ ท่าให้ต้อง รอบคอบและระวังมากกว่าการเดินเขาท่ัวไปพวกเราปีนป่าย ด้วยการอาศัยเชือกเส้นใหญ่ที่ผูกไว้ตามจุด อันตรายต่างๆอย่างแข็งแรง จนกระทั่งถึงยอดเขา ด้านตะวันออกที่มองทิวทัศน์บริเวณหาดนาเมากับ ไลย์เลได้อย่างชดั เจนแจม่ แจ๋ว มองดงมะพร้าว เบ้อื งล่างได้เป็นเน้อื ท่ีเดียวกัน และมองไกลออกไปกลางท้อง ทะเลได้กว้างกว่า จากน้ันจึงเปล่ียนใช้เส้นทางชันและอันตรายไม่แพ้กันอีกทางหนึ่ง เพื่อลงสู่สระพระนาง อนั ศกั ด์สิ ทิ ธิส์ ่าหรับชาวทอ้ งถิ่นที่นี่ แต่ความชนั สิง่ ของทางสูส่ ระอันตรายเกนิ ไปสา่ หรบั หลายคน จึงได้แต่น่ัง มองจากดา้ นบนไม่ได้ลงไปอย่างท่ีต้งั ใจไว้ ลงจากเขาสงู สหู่ าดไลย์เลเพือ่ ลงเรือไปเกาะไก่กนั ต่อ จากหาดไลยเ์ ลไปทางทศิ ตะวันตกเพยี ง ๒๐ นาทเี ศษ ก็ถึงเกาะไก่ ซึ่งเป็นเกาะกลาง ทะเลและเห็น สันทรายขาวสะอาดเฉพาะช่วงท่ีนาลงเท่านั้น ซ่ึงสามารถเดินจากเกาะหน่ึงไปยังอีกเกาะหน่ึงได้ มีนักท่องเท่ียวรักสงบจ่านวนมากเลือกด่าน่้าอาบแดดท่ีน่ี เพราะนอกจากคนไม่พลุกพล่านแล้ว ยังมีแนว ปะการังชายฝัง่ ทีส่ วยงามใหช้ มอีก หากใครเคยดูภาพยนตร์เร่ืองมนต์รักทะเลใต้ละก็ พอเห็นเกาะไก่และชายหาดที่น่ีจะนึกถึงทันที เพราะน้่าทะเลใสจนมองเห็นพ้นื ทรายและปะการังในระยะห่างจากฝงั่ เพยี งไมก่ เ่ี มตร ได้เห็นปลาทะเลหลาก ชนิดหลายขนาดว่ายเวยี นตามกลมุ่ ปะการงั ชัดเจน แมไ้ มล่ งดา่ นาก็ตาม เม่ือมีส่ิงประทับใจย่อมมีสิ่งไม่ประทับใจปะปนกันไป อาจจะเป็นส่วนน้อยแต่หากไม่ช่วย กันดูแล รักษาและพยายามตักตวงรายได้กันจนเพลินละก็ความสวยงามของอ่าวพระนางและหาดอ่ืนจะต้องลดลง อย่างแน่นอน เพราะภาพทเ่ี หน็ ปัจจุบนั ท่าใหน้ ่าเป็นห่วงน่นั คือ ปะการัง ท่ีถูกท่าลายจนแตกละเอียดแยกเป็นช้ินๆต่างคนต่างไป เพราะการแล่นเรือโดยไม่ระมัดระวังว่า ใบพดั เรือ ทอ้ งเรือ หรือสมอเรือจะไปทา่ ลายอะไรบ้าง นอกจากทรายสะอาดริมหาดที่อ่าวพระนางแล้ว สิ่งที่ทุกคนได้เห็นเหมือนกันหมดจึง เป็นเศษ ปะการังเนืองแน่นเราออกจากกระบี่เพื่อกลับกรุงเทพฯ และผ่านป้อมยามต่ารวจแห่งหน่ึงก่อนได้ยิน เสียง ตอบวา่ เส้นทางเวยี งสระปลอดภยั นานแลว้ ไมต่ อ้ งอ้อมไปไกลเสียเวลา เลยรู้ว่า ถูก “เจา้ แห่งถนน” หลอกเตม็ ท่ีทเี ดียว เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ า ท๓๐๒๐๗ การอาํ นและพจิ ารณาวรรณกรรม ๔๘
ประเภทของสารคดเี รื่องทอ่ี า่ น รูปแบบของการเขยี น ................................................................................. ................................................................................. ................................................................................. ................................................................................. ................................................................................. ................................................................................. ................................................................................. ................................................................................. จุดประสงคข์ องผเู้ ขยี น ............................................................................................................................. ........................................... ....................................................................................... ...................................................................... ........... ............................................................................................................................. ........................................... .................................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................ ................................................................. ........... ............................................................................................................................. ........................................... เนือ้ หาสาระของเรอื่ งทอี่ า่ น (เขยี นใหค้ รอบคลมุ ประเดน็ สาคญั ) ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................ ................ .................................................................................................................. ...................................................... ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................................................. ........... ....................................................................................................................... ................................................. ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................................................. ........... ............................................................................................................................ ............................................ ทรรศนะหรอื มุมมองของผเู้ ขียนท่ีแฝงอย่ใู นเร่อื ง ความรู้ ความคิด ท่ไี ด้จากการอา่ น ............................................................................. ............................................................................. ............................................................................. ............................................................................. ............................................................................. ............................................................................. ............................................................................. ............................................................................. ............................................................................. ............................................................................. ............................................................................. ............................................................................. ............................................................................. ............................................................................. ความคิดเห็นเกี่ยวกบั เรื่องทอ่ี ่าน ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... ...................................................................................... ....................................................................... ........... ............................................................................................................................. ........................................... ................................................................................................................................. ....................................... ........................................................................................... .................................................................. ........... เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ า ท๓๐๒๐๗ การอาํ นและพิจารณาวรรณกรรม ๔๙
บันเทิงคดี (Fiction) คือ งานเขียนที่มีเน้ือหาเป็นเรื่องสมมุติที่ผู้เขียนใช้จินตนาการใน การสร้างสรรค์ข้ึนโดยยึดความสมจริงเป็นหลัก ท้ังน้ีเพื่อให้ความบันเทิงแก่ผู้อ่านเป็นสําคัญ แตใ่ นขณะเดียวกนั ผูแ้ ต่งกอ็ าจจะสอดแทรกความรู้ ความคดิ และประสบการณ์ต่างๆเขา้ ไวด้ ้วย หนังสือประเภทบันเทิงคดีมีอยู่หลายรูปแบบท่ีสําคัญได้แก่ นวนิยาย เร่ืองสั้น และบทละคร แต่รูปแบบที่มผี นู้ ิยมเขยี นและอ่านกันมากในปจั จุบนั ก็คือ นวนิยาย และเร่ืองสนั้ นวนิยาย นวนยิ าย คําว่า “นวนิยาย\" เป็นศัพท์ท่ีไทยเราคิดข้ึนเพื่อใช้เรียกวรรณกรรมประเภท เรื่องสมมุติ ท่ีแต่งเป็นร้อยแก้วขนาดยาวตามแบบตะวันตก ซึ่งในภาษาไทยแต่เดิม เรียกว่า “เรื่องอ่านเล่น” หรือ “เร่ืองประโลมโลก” มีความหมายแปลตามตัว อักษรว่า นิยายแบบใหม่ หรือ เรื่องเล่าแบบใหม่ ซึ่งตรงกับ ความหมายของคําว่า Novel ในภาษาอังกฤษ และคําว่า Novella ในภาษาอิตาเลียน (สิทธา พินิจภูวดล, ๒๕๑๕) เปล้ือง ณ นคร (๒๕๑๔) ได้ให้ความหมายของนวนิยายว่า คือ เร่ืองร้อยแก้วขนาดยาว ท่ีแต่งข้ึน ด้วยจินตนาการ โดยมีความมุ่งหมาย คือ เพ่ือความบันเทิง แต่ในบางคร้ัง นักเขียนก็อาจใช้นวนิยายเพื่อ เป็นเคร่ืองมือสําหรับเย้ยหยัน เสียดแทง แนะนํา ส่ังสอน หรือแสดงแนวความคิดทางการเมืองและ หลักธรรมต่าง ๆ นวนิยายส่วนใหญ่จะมีเค้าโครงจําลองมาจากเร่ืองราวอันเป็นพฤติกรรมของบุคคลต่าง ๆ ในชีวิตจริง ซึง่ อาจเป็นเรอื่ งราวในอดตี หรอื ปจั จบุ นั ก็ได้ เปน็ เร่ืองราวทส่ี มบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์ก็ได้ เน้ือเร่ือง ของนวนยิ ายจึงมกั สะท้อนใหเ้ หน็ ถงึ ธรรมชาติอยา่ งใดอยา่ งหนึง่ ของมนุษย์เสมอ เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ า ท๓๐๒๐๗ การอ่านและพิจารณาวรรณกรรม ๕๐
องคป์ ระกอบของนวนยิ าย นวนยิ ายเรื่องหนึ่ง ๆ จะประกอบดว้ ยองค์ประกอบท่สี ําคญั ๕ ประการ คอื ๑. โครงเรื่อง (Plot) โครงเร่ือง หมายถึง เค้าโครงของพฤติกรรมหรือเหตุการณ์ สําคัญในเรื่องท่ีผู้เขียนวางไว้เป็น แนวให้เรื่องดําเนินไป โดยท่ัวไปโครงเรื่องมักจะประกอบไปด้วยเหตุการณ์ชุดหนึ่งท่ีเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเปน็ เหตุเป็นผลกัน เชน่ โครงเรื่อง กลา่ วถงึ “หญงิ ชราคนหน่งึ ต้องตรอมใจตายเพราะความโศกเศร้าเสียใจถึงบุตรชาย คนเดียวของนางที่ประพฤติชั่วจนต้องโทษประหารชีวิต” โครงเร่ืองนี้จะมีเหตุการณ์สําคัญสามเหตุการณ์ เกิดข้ึนอย่างต่อเนื่องเป็นเหตุเป็นผลกัน คือ เหตุการณ์แรก กล่าวถึง การประพฤติชั่วของบุตรชายคนเดียว ของหญิงชราจนมผี ลทําให้เกดิ เหตุการณท์ ี่สอง คอื ชายคนน้ีต้องได้รับโทษประหารชีวิต และเป็นเหตุสําคัญ ให้เกิด เหตุการณ์ที่สามตามมา คือ หญิงชราตรอมใจตายเพราะความเศร้าโศกเสียใจคิดถึง บุตรชาย คนเดียวของนาง เปน็ ตน้ (สายทิพย์ นกุ ลู กิจ, ๒๕๓๔) นอกจากเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนอย่างต่อเน่ืองและเป็นเหตุเป็นผลกันดังกล่าวข้างต้นแล้ว โครงเร่ืองอาจเกิดข้ึนจากองค์ประกอบสองอย่าง คือ ความต้องการของตัวละครอย่างหน่ึง และอุปสรรค ที่ขัดขวางไม่ให้ตัวละครบรรลุความต้องการนั้น อีกอย่างหนึ่ง องค์ประกอบสองอย่างน้ีจะทําให้เกิด ความขัดแย้งข้ึน ตัวละครก็จะหาทางต่อสู้ด้ินรนจนเกิดเป็นเหตุการณ์ต่างๆต่อเนื่องกันเป็นเร่ืองราวยืดยาว (อุดม หนูทอง, ๒๕๑๙) โดยมีปัญหาหรืออุปสรรคหรือบางทีก็เรียกว่า ข้อขัดแย้ง (conflict) น้ีเป็นปมของ เร่ือง การแก้ปัญหาหรืออุปสรรคของตัวละครเป็นการดําเนินเรื่อง คือ นําเรื่องไปสู่การคลายปมและจุดจบ ของเรื่อง โครงเร่อื งกับเนอ้ื เรือ่ ง “โครงเรือ่ ง” มีความหมายคนละอย่างกับ “เนือ้ เร่ือง” เพราะแม้ว่าต่าง ก็เป็นการเล่าเหตุการณ์ด้วยกันก็จริง แต่เหตุการณ์ในเนื้อเรื่องจะจัดเรียงตามลําดับเวลาท่ีเกิดข้ึน ส่วน เหตุการณ์ใน “โครงเรื่อง” อาจจัดเรียงตามลําดับเวลาที่เกิดขึ้นหรือไม่ก็ได้ แต่จะต้องเป็นเหตุเป็นผล เกย่ี วขอ้ งสมั พนั ธ์กนั ไป ตวั อยา่ งเช่น ข้อความท่ีกล่าวว่า “หลังจากบุตรชายคนเดียวของหญิงชรา ต้องโทษประหารชีวิต ไปไม่นาน หญิงชราคนนี้ก็ตาย” นั้นถือได้ว่าเป็น “เนื้อเร่ือง”หรือเป็นเหตุการณ์ในเรื่อง เพราะ เป็นเหตุการณ์สองเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นโดยไม่มี ความเกี่ยวข้องกัน และท่ีสําคัญคือ เป็นเหตุการณ์ท่ีไม่มี ปัญหาหรอื ความขัดแย้งใด ๆ ปรากฏอยดู่ ้วย แต่ถ้าเป็นข้อความว่า “หลังจากบุตรชายคนเดียวของหญิงชราต้อง โทษประหารชีวิต ไปไมน่ าน หญิงชราคนนกี้ ็ตรอมใจตายตามบตุ รชายของนางไปด้วย” นน้ั จัดว่าเปน็ “โครงเรื่อง” เพราะเป็น ข้อความท่ีแสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวเนื่อง อย่างเป็นเหตุเป็นผลต่อกัน และแสดงให้เห็นถึงปัญหาท่ีเกิดขึ้น ภายในใจของหญิงชรา เป็นข้อขัดแยง้ ระหวา่ งความรักกับความพลัดพราก เน้นถึงความทุกข์ใจของหญิงชรา อยา่ งรุนแรงจนถงึ ตรอมใจตายในท่ีสุด โครงเร่ืองกับเรื่องย่อ“โครงเร่ือง” จะมีลักษณะบางอย่างคล้ายกับ “เร่ืองย่อ” เพราะเมื่อรู้ โครงเร่ืองก็เท่ากับรู้เรื่องย่อด้วย แต่ก็มิได้หมายความว่าท้ังสองเร่ืองนี้เป็นส่ิงเดียวกัน ทั้งนี้เพราะโครงเรื่อง น้นั มิไดเ้ ป็นแต่เพยี งใจความสาํ คญั ของ เร่อื งราวหรอื ความคิดท่บี อกใหผ้ ูอ้ ่านร้วู า่ มีอะไรเกิดข้ึนกับใคร ท่ีไหน เมื่อไร อย่างไร โดยสังเขปอย่าง “เร่ืองย่อ” เท่าน้ัน หากแต่โครงเร่ืองยังบอกให้ผู้อ่านได้รู้อีกว่า ทําไม ส่ิงเหล่านั้นจึงเกิดขึ้นกับคน ๆ น้ัน หรือกลุ่มนั้น ที่น่ัน และอย่างน้ันอีกด้วย” (สายทิพย์ นุกูลกิจ, ๒๕๑๙, หนา้ ๑๑๙) เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ า ท๓๐๒๐๗ การอา่ นและพจิ ารณาวรรณกรรม ๕๑
ชนิดของโครงเรื่อง เนื่องจากนวนิยายเป็นเร่ืองท่ีมีขนาดยาว ผู้แต่งจึงมักสร้างโครงเรื่องของ นวนิยายไว้สองชนดิ คอื โครงเรอ่ื งใหญ่ (Main Plot) และ โครงเร่ืองย่อย หรือโครงเรื่องรอง (Sub Plot) โครงเร่ืองใหญ่ เป็นแนวที่ผู้ประพันธ์ต้องการให้เรื่องดําเนินไป ส่วนโครงเร่ืองย่อย เป็นเหตุการณ์ท่ีแทรกอยู่ในโครงเรื่องใหญ่ เพื่อสนับสนุนให้โครงเร่ืองใหญ่เด่นขึ้น มีความสมบูรณ์ หรือ มคี วามสนุกสนานยง่ิ ขนึ้ เช่น เร่ือง “ความผดิ ครง้ั แรก” ของ ดอกไม้สด มีเรื่องความรักระหว่างหลวงปราโมทย์ฯ กบั วไลเปน็ โครงเรอ่ื งใหญ่ และความรกั ระหว่างอํานวยกับอมรา เป็นโครงเร่ืองย่อย แทรกซ้อนอยู่เพื่อแสดง ถึงความแตกตา่ งระหว่างความรกั ของคน ๒ คู่ นี้ เร่ืองของชูชกกับนางอมิตดาเป็น โครงเรื่องย่อยของมหาเวสสันดรชาดก เพื่อสนบั สนุนทานบารมขี องพระเวสสนั ดรใหเ้ ด่นข้ึน เป็นตน้ สว่ นประกอบของโครงเร่ือง โดยทัว่ ไปโครงเรื่องจะมีส่วนประกอบดังน้ี ๑) การเปิดเรื่อง คือ การเร่ิมต้นเร่ือง ถือกันว่าเป็นตอนที่มีความสําคัญมากตอนหนึ่ง เพราะเปน็ ตอนทจี่ ะชว่ ยกระตุ้นใหผ้ ้อู า่ นเกิดความอยากรอู้ ยากเห็นและสนใจทจี่ ะติดตามเรื่องราวตอ่ ไป ๒) การผูกปม เป็นการสร้างปัญหาหรืออุปสรรคหรือข้อขัดแย้งให้เกิดข้ึนกับตัวละคร เพื่อทําใหต้ ัวละครตอ้ งต่อสู้ ด้นิ รน ใหพ้ น้ จากปัญหาหรอื อุปสรรค หรอื ขอ้ ขัดแย้งน้ัน ๓) การหน่วงเรื่อง เป็นวิธีการทําให้ผู้อ่านรอคอยด้วยความกระหาย ใคร่รู้ว่าเร่ืองจะ ดําเนินต่อไปอย่างไร ตัวละครจะแก้ปัญหาอย่างไร เช่น วิธีการสร้าง ปัญหาเล็กแทรกเข้ามา ในขณะท่ี ปัญหาใหญ่กําลังได้รับการคลี่คลาย เพ่ือทิ้งค้างปัญหาใหญ่น้ันไว้ให้ผู้อ่านรอคอยด้วยความกระหายใคร่รู้ หรือวิธีการสร้างเหตุการณ์ ท่ีทําให้ตัวละครตกอยู่ในภาวะที่เรียกว่า “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” (dilemma) คือ มีทางเลือกอยู่ ๒ ทาง ซึ่งต่างก็เป็นทางเลือกที่ตัวละครไม่พอใจจะเลือกทั้งส้ิน เพื่อทําให้ผู้อ่านสนใจ ตดิ ตามว่าตัวละครจะตดั สนิ ใจเลอื กทางใด หรอื แกป้ ัญหาอย่างไร เป็นต้น ๔) จดุ สุดยอด เป็นตอนท่ีสนกุ สนานท่สี ดุ เพราะเหตุการณ์หรือปญั หา ไดท้ วีความเข้มข้น จนถึงขีดสดุ ๕) การคลายปม เป็นตอนที่ผู้แต่งขยายความลับหรือแก้ไขปมปัญหาต่าง ๆ ท่ีผู้เขียน ผูกไว้ในตอนตน้ เรื่อง เพือ่ ใหผ้ ู้อ่านไดเ้ ขา้ ใจก่อนปดิ เรอื่ ง ๖) การบิดเรื่อง คือ การจบเร่ืองด้วยวิธีการใดวิธีการหน่ึง ที่ทําให้ประทับใจ เช่น จบแบบหักมมุ หรือพลกิ ความคาดหมาย จบแบบท้ิงทา้ ยหรอื ทิ้ง ปญั หาให้ผู้อา่ นขบคดิ จบแบบสุขนาฏกรรม จบแบบโศกนาฏกรรม เปน็ ตน้ ๒. แกน่ เรื่องหรือสารัตถะหรอื แนวคิดสาํ คญั ของเร่ือง (Theme) แกน่ เรอื่ งเป็นสาระหรือสัจจะท่ีผู้ประพันธ์หยั่งเห็น เชื่อถือหรือยึดถือ และประสงค์จะสื่อสาร ไปยงั ผ้อู ่าน หรอื พูดอีกอยา่ งหนึ่งได้ว่า แก่นเรอ่ื งก็คือ สารท่ีผู้เขียนต้องการ จะสื่อให้ผู้อ่ืนทราบนั่นเอง แก่น เรื่องของนวนิยายเร่ืองหน่ึงอาจมีหลายประการ แต่โดยทั่วไปแล้วแก่นเร่ืองมักจะเป็นการแสดงให้เห็นถึง ลกั ษณะอันเป็นวสิ ยั ธรรมดา ธรรมชาตอิ ย่างใดอยา่ งหน่ึงของโลกและมนุษย์ ในขณะที่เรอื่ งดาํ เนินไป แกน่ เร่ืองจะปรากฏขึ้นอย่างสม่าเสมอ เป็นระยะๆ เพ่ือยืนยันว่า น่ัน คือความมุ่งหมายที่ผู้แต่งต้องการจะแสดงให้ทราบ ผู้อ่านจะจับแก่นเรื่องได้ก็โดยพิจารณาเหตุการณ์ พฤติกรรมและลักษณะนิสัยของตัวละครในเรื่อง ต้ังแต่ต้นจนจบ เม่ืออ่านเรื่องจบลงผู้อ่านก็จะเกิดความ เข้าใจในเชงิ สรปุ ได้วา่ อะไรคอื สงิ่ ทผ่ี ูเ้ ขยี นต้องการจะบอกให้ผอู้ า่ นทราบ เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชา ท๓๐๒๐๗ การอา่ นและพิจารณาวรรณกรรม ๕๒
๓. ตวั ละคร (Character) ตัวละครคือ ผู้รับบทบาทแสดงพฤติกรรม ตามเหตุการณ์ในเรื่องหรือผู้ท่ีได้รับผลจาก เหตกุ ารณ์ที่เกดิ ข้ึนตามโครงเรือ่ งทีก่ ําหนด ไว้ ตัวละครอาจเป็นคน สัตว์ หรอื สิ่งของกไ็ ด้ เช่น เรือ่ ง “มอม” ของ ม.ร.ว. คกึ ฤทธิ์ ปราโมช มี “สุนัข” เปน็ ตวั ละครเอกในเรอ่ื ง เรื่อง “ฉันคอื หนิ ผา เขา หาว่าฉันศักดิ์สิทธ์ิ” ของ ราม ราชพฤกษ์ มี “ก้อนหิน” เป็น ตัวละครเอก เป็นตน้ อยา่ งไรก็ตาม ตวั ละครในนวนิยายสว่ นใหญม่ ักเปน็ คน ลักษณะของตวั ละคร การเสนอลักษณะตัวละครโดยท่วั ไป ผเู้ ขียน มักจะเสนอใน ๒ ลักษณะ คือ ๑) ให้ตัวละครเป็นเพียงตัวแทนความคิดหรือหลักปรัชญาที่เดินได้ พูดได้ หรือเป็นเพียง “กระบอกเสียง” (mouthpiece) ของผู้เขียน หรือเครื่องมือที่ผู้เขียนใช้ระบายแนวคิดของตนเท่าน้ัน ตัว ละครประเภทน้มี ักไมม่ ีชีวติ ชีวา เพราะผเู้ ขยี นแสดงใหเ้ หน็ ลักษณะดา้ นใดด้านหนึ่งของตัวละครเท่าน้ัน เช่น ตัวละครเปน็ คนดหี รอื เป็นคนโกง ตลอดทัง้ เร่อื งเราก็เห็นแต่ลักษณะดีหรือโกงของตัวละครเท่านั้น ตัวละคร ประเภทนเ้ี ปน็ ตวั ละครที่มลี ักษณะไมซ่ บั ซอ้ น ในวิชาวรรณคดีวิจารณ์ เรียก ตัวละครประเภทน้ีว่า ตัวละคร ประเภทนอ้ ยลกั ษณะ(flat character) ในบางคร้ังนอกจากผู้แต่งจะสร้างตัวละครโดยแสดงให้เห็นลักษณะ ด้านใดด้านหนึ่ง ของตัวละครเพียงด้านเดียวแล้ว ผู้แต่งยังอาจสร้างลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของตัวละครขึ้นจน กลายเป็นแบบฉบบั ของตัวละครนัน้ ๆไปดว้ ย เชน่ แม่เล้ยี งใจร้าย แมค่ ้าปากตลาด เปน็ ต้น ตัวละครประเภท น้ี เราเรียกวา่ ตัวละคร ทเ่ี ป็นตัวแบบ (type character) ทง้ั น้ีเพราะพฤติกรรมทั้งหมดของตัวละครประเภท นี้จะเป็นไปตามแบบ คือ ประพฤติตามแบบอย่างที่คนมักกะเกณฑ์ให้แก่ตัวละคร เช่น ถ้าตัวละครเป็นตัว เอกฝ่ายหญิงของเรื่อง ก็จะประพฤติตามแบบอย่างที่คนมักกะเกณฑ์ให้แก่นางเอก อาทิ เป็นคนสวย เรียบรอ้ ย มีเมตตากรุณาพร้อมท่ีจะให้ อภัยคนอ่ืน หรือเป็นคนดี เปน็ ตน้ ๒) ตัวละครท่ีมีลักษณะสมจริง คือ มีชีวิตจิตใจ มีบทบาท บุคลิก ปฏิกิริยา อารมณ์ ความรู้สึก เหมอื นมนษุ ยป์ ถุ ชุ นธรรมดาท่ัวไปในชีวิตจริง ตัวละคร ประเภทน้ีเป็นตัวละครท่ีมีลักษณะซับซ้อน ผแู้ ต่งมักจะไม่แนะนําโดยตรงว่ามีลักษณะ นิสัยอย่างไร ผู้อ่านจะต้องสังเกตเอาเอง เช่น สังเกตความรู้สึกนึก คิดของตวั ละคร คาํ พดู การกระทาํ การปฏิบัติต่อตัวละครอ่นื ๆ ฯลฯ แล้วนํามาตัดสินว่าตัวละครน้ัน เป็นคน เชน่ ไร เพราะเหตุใด เป็นต้น ตัวละครประเภทนี้เป็นตัวละครที่ผู้แต่งสร้างให้ มีชีวิต วิญญาณ เหมือนผู้คนใน สังคมจริง ๆ คือ มีท้ังส่วนดีและส่วนบกพร่องในคนๆ เดียวกัน ผู้อ่านจะมองเห็นลักษณะหลาย ๆ ด้านของ เขาในขณะทีเ่ ร่อื งดําเนนิ ไป ตวั ละครลักษณะน้ี เราเรียกวา่ ตัวละครหลายลกั ษณะ (round character) ตวั ละครท่ดี ีตอ้ งถอดแบบของชวี ิตออกมาได้อย่างแนบเนียน ผู้อ่านอ่านแล้ว เกิดความรู้สึก ว่าเป็นตัวละครท่ีมีชีวิตเหมือนผู้คนในสังคมจริงๆ ตัวละครแต่ละตัวควร มีลักษณะนิสัยเด่นเฉพาะตัว ฝังใจ คนอา่ นและทสี่ ําคญั ที่สดุ คอื ตวั ละครนนั้ ต้องทาํ ให้ผอู้ า่ นเข้าใจชวี ิตในรูปแบบใดรูปแบบหนงึ่ เพิ่มขึน้ กว่าเดิม ๔. บทสนทนา (Dialoque) บทสนทนา คือ คําพูดที่ตัวละครใช้โต้ตอบ กัน บทสนทนาในเร่ืองจะช่วยให้ผู้อ่านได้ทราบถึง ลกั ษณะนิสัยของตัวละคร ข้อขัดแย้งระหว่างตัวละคร ภูมิหลัง ตลอดจนรายละเอียดต่าง ๆ โดยผู้แต่งไม่ต้อง บรรยาย หรือพรรณนาความให้ยดื ยาว นอกจากนบ้ี ทสนทนายังช่วยใหเ้ รื่องดําเนินไปอยา่ งสมจรงิ ยง่ิ ขน้ึ ด้วย เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ า ท๓๐๒๐๗ การอ่านและพจิ ารณาวรรณกรรม ๕๓
๕. ฉากและบรรยากาศ (Setting and Atmosphere) ฉาก คือ สถานที่และเวลาที่เรื่องน้ันๆเกิดข้ึน รวมไปถึงส่ิงแวดล้อมอ่ืนๆรอบตัวละครในขณะ ที่เกิดเหตุการณ์น้ันด้วย ฉากอาจจะมีความหมายเฉพาะห้องแคบๆห้องหน่ึง ซ่ึงเป็นสถานท่ีท่ีทําให้เกิด เหตุการณส์ าํ คัญในเรอื่ งข้นึ ภายในเวลาไม่ก่นี าที หรือจะมคี วามหมายกว้างถึงขนาดเป็นประเทศหรือโลก ซึ่งมี เหตุการณ์ในเรื่องเกิดห่างกันมากเป็นศตวรรษ ๆ ก็ได้ ส่วนบรรยากาศ หมายถึง รายละเอียดต่าง ๆ ที่ผู้แต่ง สร้างข้ึนเพ่ือก่อให้เกิดอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง (สายทิพย์ นุกูลกิจ, ๒๕๑๙, หน้า ๒๑๐) เช่น เศร้าหมอง เครง่ เครยี ด สขุ สงบ ขบขัน เป็นตน้ ฉากมีความสัมพันธ์กับบรรยากาศของเรื่องมากจนอาจกล่าวได้ว่าสองสิ่งนี้ จะต้องปรากฏ ควบคู่กันไปเสมอ เช่น ฉากกล่าวถึงบ้านร้างในคืนเดือนมืด ซึ่งมีเสียง สุนัขหอนมาเป็นระยะ ๆ ย่อมทําให้ ผู้อ่านได้บรรยากาศท่ีวังเวงน่ากลัวตามไปด้วย เป็นต้น หรือในทางกลับกันการท่ีผู้เขียนพยายามสร้าง บรรยากาศของเรือ่ งใหเ้ หมาะสมกับอารมณ์ของตัวละครและสถานการณ์ในเรื่อง ก็มีส่วนทําให้ฉากมีลักษณะ เด่นและน่าสนใจข้ึน เช่น การบรรยายให้เห็นภาพและบรรยากาศท่ีสดชื่นในยามเช้าของหมู่บ้านเล็ก ๆ ในสังคมชนบท อันเป็นที่อยู่ของตัวละครย่อมทําให้ผู้อ่านนึกเห็นภาพ สังคมชนบทและชีวิตความเป็นอยู่ ทเ่ี รียบงา่ ยและสุขสงบของตวั ละครได้โดดเด่นขนึ้ เป็นตน้ ฉากและบรรยากาศมีส่วนสําคัญในการช่วยให้ผู้อ่านรู้ว่าเหตุการณ์น้ันเกิดขึ้นเมื่อใด ท่ีไหน ในสถานการณ์อย่างไร ทําใหผ้ ้อู ่านไดเ้ ข้าใจเหตกุ ารณเ์ ขา้ ถึงอารมณ์ ความรู้สึกของตัวละคร และเกิดมโนภาพ ต่อนาฏการที่ปรากฏได้ชัดเจนย่ิงข้ึน การสร้างฉากให้เกิดผลดังกล่าวอาจทําได้หลายวิธี เช่น ใช้วิธีบรรยาย อย่างตรงไปตรงมา ใช้วิธีพรรณนา ใช้วิธีให้รายละเอียดเกี่ยวกับสภาพทางภูมิศาสตร์ของสถานท่ีเกิด เหตุการณ์ อาชีพหรือการดําเนินชีวิตประจําวันของตัวละคร ระยะเวลาที่เกิดเหตุการณ์ และสภาพแวดล้อม ทางสงั คมของตัวละครเกีย่ วกบั ความเช่ือ คา่ นิยม ศีลธรรม จรรยา ระดับสติปญั ญาและอารมณ์ เปน็ ต้น ประเภทของนวนยิ าย การแบ่งประเภทของนวนิยายอาจทําได้หลายแบบ เช่น แบ่งตามแนวคิดในการเขียน แบ่งตาม เน้ือหา แบ่งตามแนวการเขียน เป็นต้น ในท่ีนี้จะแบง่ ประเภทของนวนิยายออกตามเน้ือหาเป็นประเภทต่าง ๆ ดงั นี้ ๑. นวนิยายอิงประวตั ิศาสตร์ คอื นวนิยายท่ีนําเหตุการณ์บางตอนในประวัติศาสตร์มาเขียนเป็น เน้ือเร่ือง ตัวละครอาจเป็นบุคคลจริงๆในประวัติศาสตร์ หรือตัวละครที่ผู้แต่งสมมติข้ึน ไม่ได้ต้องการแสดง ความจริงทางประวตั ศิ าสตร์ แต่อาศัยฉาก คือ เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์สร้างความบันเทิงแก่ ผู้อ่าน เช่น เรื่องผชู้ นะสิบทิศ ของ ยาขอบ, รตั นโกสนิ ทร์ ของ ว. วินิจฉัยกุล, นายขนมตม้ ของ คมทวน คนั ธนู ฯลฯ ๒. นวนิยายอิงวรรณคดี คือ นวนิยายท่ีมีโครงเรื่องเหมือนวรรณคดี โบราณ แต่มาแต่งใหม่ เป็นนวนิยาย เชน่ ลอดลิ กราช ของ ทมยนั ตี เป็นตน้ ๓. นวนิยายเชิงชีวประวัติ ได้แก่นวนิยายที่สร้างตัวละคร โดยดัดแปลง มาจากชีวิตของบุคคล จริง โดยมุ่งบันทึกพฤติกรรมของตัวเอกในเร่ืองเป็นสําคัญ เช่น เรื่องบ้านขนนก ของ กฤษณา อโศกสิน , พระจนั ทร์สีนํ้าเงิน ของ สุวรรณี สคุ นธา, ฉนั ไมใ่ ช่โสเภณี ของ ผกามาศ ปรชี า ๔. นวนิยายอิงศาสนา ได้แก่ นวนิยายท่ีมุ่งสร้างศีลธรรม ส่งเสริม คําสอนทางศาสนา หรือมี เน้ือหาเกี่ยวกับศาสดา สาวก หรือคําสอนพระศาสนา เช่น กามนิต ของ เสฐียรโกเศศ และนาคะประทีป , ล่มุ นํา้ นัมทา ของ สุชีพ ปุญญานภุ าพ เป็นต้น เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ า ท๓๐๒๐๗ การอา่ นและพิจารณาวรรณกรรม ๕๔
๕. นวนิยายวิทยาศาสตร์ คอื นวนิยายทีใ่ ช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มา ประกอบในการวางโครง เร่ือง เชน่ พฤหสั มฤตยู ของ นพดล เวชสวัสด์ิ ยานมนษุ ย์ ของ พรหมบตุ ร เป็นตน้ ๖. นวนยิ ายสบื สวนหรอื อาชญนิยายเป็นนวนยิ ายทมี่ ีโครงเร่อื งลึกลบั ซบั ซ้อนและมีการสืบสวน สอบสวน เช่น เร่ืองจากบดั นัน้ จนนริ ันดร ของ ศรีรัตน์ สถาปนวัฒน์, วังไวกูรฑ์ ของ จินตวีร์วิวัธน์,นวนิยาย ชุดบัวโรต์ ของ อกาธาคริสต้ี ๗. นวนยิ ายแสดงข้อคดิ ได้แก่ นวนิยายที่มีเนื้อหามุ่งแสดงความคิด หรือทรรศนะอย่างใดอย่าง หนงึ่ ของผู้ประพนั ธ์ เช่น ตล่งิ สูงซุงหนัก ของ นิคม รายวา เป็นตน้ ๔. นวนิยายเชิงจิตวิทยา เป็นเร่ืองที่ตีแผ่จิตใจมนุษย์ออกมาโดยเฉพาะ ในแง่มุมท่ีเป็นปัญหา เช่น จันดารา ของ อษุ ณา เพลิงธรรม, มายา ของ ว. วนิ จิ ฉยั กลุ , เงาราหู ของโสภาค สุวรรณ ๔. นวนยิ ายการเมือง หมายถึง นวนิยายท่ีมีเนื้อเร่ืองเกี่ยวกับการเมือง อาจจะเป็นการต่อสู้ทาง การเมือง สถาบนั ทางการเมอื ง การถกเถยี งทางปรัชญา หรือลัทธิทางการเมือง เช่น จันทร์หอม ของ วสิษฐ์ เดชกุญชร, ไผ่แดง ของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช, รัฐมนตรีหญิง ของ ดวงใจ, มุกดามะดัน ของ สีฟ้า, พริ าบแดง ของ สุวัฒน์วรดิลก, ปีศาจ ของ เสนยี ์ เสาวพงศ์ ๑๐. นวนิยายสะท้อนชีวิตชาวชนบทหรือนวนิยายลูกทุ่ง เป็นเร่ืองที่เกี่ยวกับชีวิตชาวชนบท สังคมชนบท เช่น ผลงานของไม้เมืองเดิมเกือบท้ังหมด อาทิ แสนแสบ ชายสามโบสถ์ เรือเพลงเรือเร่ ฯลฯ ผลงานของ คําพนู บุญทวี เช่น ลกู อสี าน เป็นต้น ๑๑. นวนิยายรัก ได้แก่ นวนิยายที่เป็นเร่ืองเก่ียวกับความรัก บางทีก็ติดข้างจะเพ้อฝัน เช่น ผู้กอง ยอดรัก ของ กาญจนา นาคนันท์, บ้านทรายทอง ของ ก.สุรางคนางค์, ปริศนา ของ ว. ณ ประมวญมารค, คูก่ รรม ของ ทมยันตี ฯลฯ ๑๒. นวนิยายสะท้อนชีวิตครอบครัว เป็นเร่ืองท่ีแสดงความเป็นไปในครอบครัว อาจเป็นความ ขัดแย้งในครอบครวั ในเรื่องของความรกั ปัญหาทางเศรษฐกิจ การแย่งชิงผลประโยชน์ ฯลฯ เช่น เรือมนุษย์ ของ กฤษณา อโศกสนิ , วงศาคณาญาติ ของ ว. วนิ จิ ฉัยกุล เปน็ ต้น ๑๓. นวนิยายสะท้อนปัญหาสังคม ได้แก่ นวนิยายท่ีชี้ให้เห็นปัญหาของ สังคมในแง่มุมต่างๆ เช่น เขาชือ่ กานต์ ของ สวุ รรณี สคุ นธา, เหยื่อ ของ โบตั๋น, เมืองโพล้เพล้ ของ ว. วินิจฉัยกุล, ชีวิตเป้ือนฝุ่น ของ เพชรนา้ํ ค้าง ๑๔. นวนิยายผจญภัย เป็นเร่ืองท่ีเกย่ี วกับการผจญภัย เสยี่ งโชค เส่ียงอันตรายของตัวละคร เช่น ล่องไพร ของ น้อย อนิ ทนนท์, เพชรพระอุมา ของ พนมเทยี น เปน็ ต้น ๑๕. จินตนิยาย ได้แก่ นวนิยายที่มีเนื้อหากล่าวถึงเหตุการณ์ท่ีน่าตื่นเต้น ระทึกใจ และ สนุกสนานตามจินตนาการของผู้แต่ง เช่น เร่ืองรัศมีจันทร์ ของ กนกเรขา, ฟ้าจรดทราย ของ โสภาค สวุ รรณ, จอมนาง ของ แกว้ เก้า ฯลฯ ๑๖. นวนิยายลึกลับเหนือธรรมชาติ ได้แก่ นวนิยายท่ีมีเนื้อหากล่าวถึง ภูติผีปีศาจ จิตวิญญาณ และเหตุการณต์ า่ งๆท่ีพิสจู นไ์ ม่ได้ เช่น เร่ืองวิมานมะพร้าว ของ แก้วเกา้ ทิพย์ ของ ทมยันตี เปน็ ต้น ๑๗. หัสนิยาย หมายถึง นวนิยายท่ีมีเนื้อหาเบาสมอง มุ่งให้ความสนุก เพลิดเพลินแก่ผู้อ่านเป็น สําคัญ เช่น เร่ืองพ่อปลาไหล ของ กนกเรขา, เขยบ้านนอก ของ เพ็ญแข วงศ์สง่า, เรื่องของคุณฉุย ของ ไมตรี ลมิ ปิชาติ เปน็ ต้น เอกสารประกอบการเรียน รายวิชา ท๓๐๒๐๗ การอา่ นและพจิ ารณาวรรณกรรม ๕๕
การแบง่ ประเภทของนวนิยายดังกล่าวขา้ งตน้ น้ี ผู้อ่านจะสังเกตเห็นได้ว่า นวนิยายบางเร่ืองอาจมี ลักษณะคาบเก่ียวระหว่างนวนิยายประเภทต่าง ๆ ๒-๓ ประเภท ก็ได้ เช่น นวนิยายรักบางเร่ืองอาจมี ลักษณะคาบเกี่ยวกับนวนิยายชีวิตครอบครัวหรือนวนิยายชีวิตครอบครัวบางเรื่องก็อาจเป็นนวนิยาย สะท้อนปัญหาสังคมด้วยในขณะเดียวกัน ดังนั้น การแบ่งประเภทของนวนิยายดังกล่าวข้างต้นน้ีเป็นเพียง แนวทางให้ ผู้อ่านมองเห็นเน้ือหาของนวนิยายท่ีมีอยู่มากมายในปัจจุบันเท่านั้น ไม่ได้ต้องการจําแนก นวนิยายตามประเภทต่าง ๆ อยา่ งเบด็ เสรจ็ เดด็ ขาดลงไป คณุ ค่าของนวนิยาย นวนิยายเป็นหนังสือท่ีได้รับความนิยมอ่านแพร่หลายมากกว่าหนังสือประเภทอ่ืน ๆ ท้ังนี้ เพราะนวนิยายมคี ณุ คา่ แกผ่ ู้อ่านหลายประการ คือ ๑. ให้ความเพลิดเพลิน นวนิยายเป็นเรื่องที่ให้ความรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจ สะเทือนอารมณ์ ก่อให้เกดิ จินตนาการ เพ่มิ เติมอารมณส์ ว่ นทห่ี ดหายไป นวนิยายจึงเปน็ หนังสอื ทีอ่ ่านไดอ้ ยา่ งเพลดิ เพลนิ ๒. ให้ประสบการณเ์ ทียม นวนยิ ายส่วนใหญเ่ ปน็ เรอื่ งเก่ียวกบั ชวี ิตและสังคมปัจจุบัน ซ่ึงมีตัว ละครเป็นเครื่องชูโรง การอ่านนวนิยายจึงเป็นเหมือนกับการอ่านชีวิตของคนในแง่มุมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ความสุข ความทุกข์ ความเป็นอยู่ และจิตใจของบุคคล การอ่านเร่ืองราวชีวิตของบุคคลต่าง ๆ ท่ีนวนิยาย เป็นสื่อถ่ายทอดออกมา จึงเป็นบทเรียนทางอ้อมแก่ผู้อ่าน ทําให้ผู้อ่านรู้จักชีวิต รู้จักสังคม รู้จักมนุษย์ได้ ละเอียดลึกซึ้งข้ึน ๓. ให้คติธรรมและข้อคิดแก่ผู้อ่านนวนิยายบางเร่ืองจะแฝงข้อคิดที่ฉลาดเฉียบแหลม เป็น ขอ้ คดิ ทเ่ี ป็นประโยชน์แก่ชีวิต ซ่ึงผู้อ่านจะยึดถือเป็นแบบอย่างได้ หรืออาจจะเป็นแนวกลับหรือตรงข้ามคือ หลกี เลยี่ ง ไม่ควรยึดถอื ไมค่ วรปฏิบัตติ ามก็ได้ เรือ่ งสนั้ เร่ืองส้ัน เป็นบันเทิงคดีท่ีผู้แต่งเขียนขึ้นจากจินตนาการโดยยึดหลักความสมจริงเช่นเดียวกับ นวนิยาย แต่มีขนาดส้ันกว่า ขนาดความยาวของเร่ืองส้ันอาจกําหนด เป็นจํานวนคําได้ตั้งแต่ ๑,๐๐๐- ๑๐,๐๐๐ คํา หรือประมาณ ๕-๔ หน้าหนังสือปกอ่อน ๆ หรือกําหนดเป็นเวลาในการอ่านว่าเป็นเรื่องที่ สามารถอา่ นรวดเดียวจบใน เวลาตั้งแต่ ๕-๔๐ นาที นอกจากจะมีความยาวจํากัดแล้ว เร่ืองส้ันยังมีลักษณะ พเิ ศษเฉพาะตวั คอื ๑. มีจุดมงุ่ หมายของเรอ่ื งอย่างใดอย่างหน่งึ เพยี งอย่างเดียว ๒. ใช้ตัวละครน้อย โดยทั่วไปเร่ืองสั้นเรื่องหนึ่งมักนิยมใช้ตัวละครทั้งหมดไม่เกินห้าตัว และ มตี วั ละครท่มี บี ทบาทเดน่ ในท้องเรื่องเพียงตัวเดยี วเทา่ น้ัน ๓. ใช้ฉากและเวลาในการดําเนินเรื่องน้อย เพ่ือให้บทบาทของตัวละครอยู่ ในวงจํากัดและ อย่ใู นกรอบความคิดเดยี ว ๔. การบรรยายฉาก บรรยากาศ ตัวละคร และบทสนทนา เป็นไปอย่าง กระชับรัดกุม ไม่เยิ่นเยอ้ เพ่อื มงุ่ ไปส่จู ุดหมายของเร่ืองอยา่ งรวดเรว็ เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ า ท๓๐๒๐๗ การอา่ นและพิจารณาวรรณกรรม ๕๖
ความแตกต่างระหวา่ งเรอื่ งสนั้ กับนวนยิ าย ลักษณะของเรื่องส้ันดังกล่าวข้างต้นน้ี ทําให้เร่ืองส้ันมีความแตกต่างจาก นวนิยาย ดังที่จะ เปรียบเทยี บใหเ้ หน็ ดงั นี้ เรื่องส้นั นวนิยาย ๑. มีโครงเรื่องแสดงวัตถปุ ระสงคแ์ ละ และผลของเร่ืองเพียงอย่างเดียว ๑. มีโครงเรื่องแสดงวตั ถุประสงคแ์ ละ ๒. มีขนาดสน้ั และผลของเรือ่ งหลายอย่าง ๓. มตี ัวละครนอ้ ย ๒. มคี วามยาวกวา่ เร่อื งสั้นโดยไม่จาํ กดั ๓. มตี ัวละครมาก โดยไม่จํากดั จาํ นวน ๔. มฉี ากและเวลาในการดําเนนิ เรอ่ื งน้อย แต่ตวั ละครทุกตัวตอ้ งมบี ทบาท สอดคล้องกบั เนอ้ื เรอื่ ง ๕. มีความกระชบั รัดกมุ ในการเขยี น ๔. มีฉากได้มากและอาจมเี วลาสืบเนือ่ ง ทกุ ดา้ น กันนานเพยี งใดก็ได้ ๕. มีโอกาสท่ีจะพรรณนาฉาก ตัวละคร และบรรยายเร่ืองไดย้ ึดยาวไม่จํากดั องค์ประกอบของเรื่องสนั้ เรื่องสั้น มีองค์ประกอบเป็นอย่างเดียวกับนวนิยาย คือ ประกอบไปด้วยโครงเรื่อง แก่นเรื่อง ตัวละคร บทสนทนา ฉาก และบรรยากาศ เพียงแต่องค์ประกอบเหล่าน้ีของเรื่องสั้น มีความกระชับรัดกุม กว่านวนิยาย ท้ังนี้เพราะเร่ืองส้ัน มีความยาวจํากัด จึงบังคับการเขียนไปในตัวว่าจะเขียนเย่ินเย้อ บรรยาย ความโดยละเอียดลออไม่ได้ โครงเรื่อง แนวคิด ฉาก ตัวละคร ฯลฯ ต้องแจ่มแจ้งเพียงโครงเร่ืองเดียว แนวคิดเดียว ฉากเดียว ตัวละครเดน่ ตัวเดียว หรือน้อยตัว ตัวละครเด่นท่ีผู้เขียนกล่าวถึงบางทีผู้อ่านอาจจะ ไม่ทราบภูมิหลัง หรือบางเรื่องไม่ทราบแม้กระทั่ง ชื่อของตัวละคร องค์ประกอบที่สําคัญท่ีสุดของเรื่องส้ัน คือ แก่นเรื่อง (theme) องค์ประกอบอ่ืนๆเป็นส่วนรอง มีเท่าที่จะทําให้แก่นเรื่องเด่นชัดข้ึนเท่าน้ัน และ ด้วยความจํากัดในเรื่องความยาวดังกล่าวน้ีเอง ผู้แต่งจึงต้องพิถีพิถันที่จะสร้างความชัดเจนแจ่มแจ้ง และ ในขณะเดยี วกนั จะต้องให้ความกลมกลนื สอดคล้องกันอยา่ งแนบเนียนในทุก ๆ สว่ นขององค์ประกอบด้วย เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชา ท๓๐๒๐๗ การอ่านและพจิ ารณาวรรณกรรม ๕๗
ประเภทของเร่ืองส้ัน หากพิจารณาแบ่งประเภทของเรื่องสั้น โดยยึดลักษณะการแต่งเป็นหลักก็อาจ แบ่งเรื่องส้ันออก ได้เปน็ ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คอื ๑. เรื่องส้ันท่ีใช้ “เหตุการณ์” เป็นหลักในการดําเนินเร่ือง เรื่องส้ันประเภทนี้มักมี โครงเร่ืองเป็นแบบฉบับ คือ มักเร่ิมต้นด้วยการนําเสนอปมปัญหาให้ผู้อ่านสงสัย แล้วใช้กลวิธีต่าง ๆ ดึง ความสนใจของผู้อ่านให้ติดตามเรื่อง โดยขมวดปม หรือเขม็งเกลียวปัญหาให้เคร่งครัดข้ึนเรื่อย ๆ จนถึงขีด สุด แล้วจึงคลายปมออกพร้อมกับจบเร่ืองลงในแบบหักมุมหรือพลิกความคาดหมาย ทําให้ผู้อ่านเกิดความ ประหลาดใจ สนเท่ห์ ต่ืนเต้น พิศวง ฯลฯ จนทําให้ผู้อ่านเกิดความประทับใจและจดจําเร่ืองนั้น เร่ืองส้ัน ชนิดนี้สมัยก่อนนิยมเขียนกันมาก เช่น เร่ืองซาเก๊าะ ของ มนัส จรรยงค์, จําปูน ของ เทพ มหาเปารยะ, สญั ชาตญาณมืด ของ อ. อุดากร ฯลฯ เร่ืองส้ันท่ีใช้เหตุการณ์เป็นหลักในการดําเนินเร่ือง หรือท่ีเรียกว่าเร่ืองส้ัน ประเภทมี โครงเรอื่ งนี้ ยงั สามารถแยกยอ่ ยออกไปได้อีก ๔ ประเภท ตามองค์ประกอบ ท่ีเป็นจุดเน้นในการเขียน ดังน้ี คอื ๑.๑ เร่ืองส้ันประเภทผูกเรื่อง (Plot Story) คือ เรื่องส้ันท่ีให้ความสําคัญแก่ โครงเรื่องเปน็ พิเศษ ผู้แตง่ มกั จะสร้างปมปัญหาให้ซบั ซอ้ น ชวนฉงน และมักจะจบลงในลักษณะท่ีผู้อ่านคาด ไมถ่ งึ เช่น เร่ืองจบั ตาย ของ มนัส จรรยงค์, สร้อยคอที่หาย ของ ประเสริฐอักษร, และชุดรวมเรื่องส้ัน ของ เรยี มเอง เป็นตน้ ๑.๒ เรื่องสั้นประเภทแสดงลักษณะตัวละคร (Character Story) คือ เรื่องสั้นที่ผู้ แต่งถือเอาตัวละครเป็นจุดเด่นของเร่ือง ตัวละครมีความสําคัญกว่าโครงเร่ือง เพราะเหตุการณ์ในเร่ืองเกิด จากพฤตกิ รรมของตัวละคร ผู้แตง่ จึงนิยมเขียนถึงลักษณะหรอื อปุ นสิ ัยอย่างใดอย่างหน่ึงของตัวละครให้เด่น เปน็ พิเศษ เพื่อใหผ้ ู้อา่ นเหน็ วา่ ลกั ษณะหรืออุปนสิ ัยดังกล่าวนี้เอง ท่ีนําผลอย่างใดอย่างหนึ่งมาสู่ผู้อ่ืนหรือตัว ละครเอง เช่น เรอื่ งสั้นชดุ เฒ่า-เฒ่าหนู เฒา่ เหมือน เฒ่าโพลัง ของ มนัส จรรยงค์, มอม ของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช, ขุนเดช ของ สจุ ิตต์ วงษ์เทศ เปน็ ตน้ ๑.๓ เร่ืองส้ันประเภทเน้นบรรยากาศ (Atmosphere Story) คือ เร่ืองสั้นท่ีผู้แต่ง ต้องการสร้างบรรยากาศของเรื่องให้ดูสมจริง จนผู้อ่านเกิดความรู้สึกเหมือนกับว่าได้ร่วมรับรู้เหตุการณ์ น้ันๆ ด้วยตนเอง เช่น เร่ืองตึกกรอสส์ ของ อ.อุดากร, ตุ๊กแกนรก ของ ปกรณ์ บินเฉลียว, แหลมตะลุมพุก ของ มนัส สัตยารักษ์ เป็นต้น ๑.๔ เรื่องสั้นประเภทแสดงแนวความคิด (Theme Story) คือ เร่ืองส้ันท่ีผู้แต่งมุ่ง เสนอแนวคิดหรือทรรศนะอย่างใดอย่างหนึ่งของตนมายังผู้อ่านเป็นสําคัญ ตัวละคร เหตุการณ์ และ บรรยากาศตา่ งๆล้วนกําหนดขึ้นเพื่อให้แนวคิดท่ีต้องการเสนอปรากฏเด่นข้ึนทั้งสิ้น เช่น เรื่องขอแรงหน่อย เถอะ ของ ศรีบูรพา, เด็กที่ครูไม่ต้องการ ของ นิมิตร ภูมิถาวร, เศรษฐศาสตร์กลางทะเลลึก ของ อาจินต์ ปัญจพรรค์ เปน็ ตน้ ๒. เรื่องส้ันท่ีใช้ ความคิด” หรือ “อารมณ์” เป็นหลักในการดําเนินเรื่อง เรื่องสั้น ชนิดน้ี ดําเนินเรื่องด้วยการพรรณนาหรือบรรยายความคิดความรู้สึกไปเร่ือย ๆ จนรู้สึกว่าความรู้สึกนึกคิด ทั้งสิ้นท้ังปวงของเขาหล่ังไหลออกมาจนหมดสิ้นแล้ว พอแก่ความต้องการแล้วจึงหยุดลักษณะเช่นน้ีทําให้ เร่ืองสั้นชนิดนี้บางเร่ืองไม่มีตัวละครและบทสนทนาเลย มีแต่บทพรรณนาของผู้แต่ง ลักษณะการแต่งเรื่อง ส้ันชนดิ นเ้ี ป็นท่ีนิยมเขยี นกันมากในหม่นู กั เขียนรุน่ ใหมใ่ นปจั จุบัน เช่น เรื่อง และนํา้ นั้นยอ่ ม เซาะตลิ่ง ของ ธงชยั สุรการ, การเดินทางในคืนวันหน่ึง ของ คมกร คณะดลิ ก เป็นต้น เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ า ท๓๐๒๐๗ การอา่ นและพิจารณาวรรณกรรม ๕๘
ข้อสังเกตในการอ่านเรือ่ งสน้ั เนื่องจากรูปแบบการเขียนเรื่องสั้นของไทยมีวิวัฒนาการแยกออกเป็นสองลักษณะ คือ แบบเก่า ท่ีใช้เหตุการณ์เป็นหลักในการดําเนินเรื่อง และแบบใหม่ที่ใช้ความคิดหรืออารมณ์ความรู้สึกที่มีต่อ สถานการณ์ที่เกิดข้ึนเป็นหลักในการดําเนินเรื่อง ในการอ่านผู้อ่านจึงควรศึกษาดูว่าเรื่องสั้นน้ันมีรูปแบบ การเขยี นอย่างไรในสองรปู แบบดังกลา่ ว นอกจากรูปแบบการเขียนแล้ว “แก่นเรื่อง” ของเร่ืองสั้นก็เป็นส่ิงท่ีผู้อ่านควรให้ความสนใจเป็น พิเศษ ดงั ไดก้ ลา่ วแล้วว่า สําหรับเร่ืองสั้น แก่นเร่ืองเป็นเรื่องท่ีสําคัญที่สุด ส่วนประกอบอื่น ๆ เป็นส่วนรอง ทีช่ ว่ ยเสริมใหแ้ ก่นเรื่องเดน่ ชัดข้ึนเท่านน้ั การพจิ ารณาแก่นเรื่อง ผู้อ่านต้องอ่านอย่างพินิจพิจารณา ยิ่งเร่ือง ส้ันปัจจุบันไม่ควรอ่าน อย่างรวดเร็ว หรือผ่านไปดูตอนจบ เพราะนักเขียนจะค่อยๆเผยความคิดของเขา ออกมาอย่างช้าๆทีละนิด เขาจะสร้างเร่ืองหรือทิ้งคําพูดไว้เพื่อให้คนอ่านมองเห็นและ จับความคิดของเขา ไดช้ ัดข้นึ ๆ จนเมื่อจบเร่ืองผู้อ่านจะเข้าใจแก่นเร่ืองหรือจุดมุ่งหมายในการแสดงความคิดของเรื่องส้ันน้ันได้ หรือหากยังคลุมเครือก็ต้องกลับไปอ่านอีกหลายๆ เที่ยว จนกว่าจะตามความคิดผู้เขียนได้ทันจึงจะเข้าใจ เรอ่ื ง นอกจากท่ีกล่าวมาแล้ว ผู้อ่านก็อาจสังเกตลักษณะเด่นอ่ืนๆของเรื่องสั้นนั้นในขณะท่ีอ่านด้วย เช่น ความกระชับรัดกุมของโครงเร่ือง ความสมจริงของตัวละคร และส่วนประกอบท่ีสําคัญอื่น ๆ ความมี พลังของสาํ นวนภาษาทีใ่ ช้ ความฉับไวของการดําเนินเร่ือง หรือตรงกันข้ามกับประการต่าง ๆ ดังกล่าวมานี้ เปน็ ต้น แนวการอา่ นและการประเมนิ ค่านวนยิ ายและเรอ่ื งส้ัน นวนยิ ายและเรอื่ งสัน้ เป็นหนังสือทคี่ นทว่ั ไปนยิ มอ่านกันมาก และมักอ่านกัน ในลักษณะที่เรียกว่า “อ่านเล่น” คือ อ่านแล้วปล่อยอารมณ์ให้แช่มช่ืน เบิกบาน หรือเศร้าสร้อย คล้อยตามไปกับเนื้อเร่ืองโดย ไม่สะดุดใจคิดอะไร นอกจากการแสวงหา ความเพลิดเพลิน แต่ถ้าจะให้ได้ประโยชน์จากการอ่านอย่าง แท้จริงแล้ว ผู้อ่านควรอ่านอย่างพินิจพิจารณา เพื่อจะได้รับคุณค่าอ่ืนๆที่แฝงอยู่ในนวนิยายหรือเร่ืองสั้น นน้ั ดว้ ยการอ่านนวนิยายและเรอ่ื งส้นั เพอื่ ใหไ้ ด้รับประโยชน์ดังกล่าว มีแนวทางในการอา่ น ดงั ตอ่ ไปนี้ ๑. พยายามอ่านให้เข้าใจเรื่องราวโดยตลอดเรื่อง เพ่ือจะได้ทราบถึงแนวของเร่ืองอย่างกว้าง ๆ เสียก่อน กล่าวคือ ต้องอ่านให้รู้ว่านวนิยายหรือเร่ืองส้ันเร่ืองน้ันผู้เขียนกล่าวถึงเรื่องอะไร แง่ใด โดยผู้อ่าน อาจจะสรปุ เป็นแนวเร่อื งสั้น ๆ ด้วยประโยคหน่ึงหรอื สองสามประโยคกไ็ ด้ เช่น อาจสรุปว่าส่ีแผ่นดินเป็นนวนิยายท่ีแสดง ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างวิวัฒนาการ ทางเหตุการณ์และความคิดของคนในสมัยรัตนโกสินทร์ ซ่ึงมองจากทรรศนะของคนในสมัยรัชกาลที่ ๕ คน หนงึ่ ซง่ึ มีอายอุ ยูถ่ ึง ๔ รัชกาล ดงั นี้ เป็นตน้ ๒. อ่านอย่างตั้งใจและพยายามจดจําตัวละครในเรื่องและเหตุการณ์สําคัญ ๆ ให้ได้ นวนิยาย บางเรอ่ื งอาจมีเหตกุ ารณซ์ บั ซอ้ น มตี ัวละครในเรือ่ งมากมายจนอาจ จดจาํ ได้ไม่หมด แต่คําพูด ความรู้สึกนึก คิดของตัวละคร ปฏิกิริยาที่ตัวละครมีต่อบุคคล และเหตุการณ์แวดล้อม อิทธิพลของสภาพแวดล้อมท่ีมีต่อ เขา เหล่าน้ีเป็นส่วนสําคัญที่ทําให้เรื่องดําเนินไป ผู้อ่านจึงต้องพยายามจดจําส่ิงเหล่านี้ไว้ แต่ไม่จําเป็นต้อง จดจาํ ทุกสิง่ ทุกอยา่ ง เพียงแต่จําตัวละครและเหตุการณ์สําคัญ ความสัมพันธ์ระหว่างตัว ละครด้วยกันและ ระหว่างตัวละครกบั เหตกุ ารณ์กน็ บั ว่าไดส้ ่วนสาํ คัญของเรอ่ื งแล้ว เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ า ท๓๐๒๐๗ การอา่ นและพิจารณาวรรณกรรม ๕๙
ผู้อ่านจะเข้าใจพฤติกรรมของตัวละครและจดจําเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้เร็วข้ึน หากผู้อ่านจะทําตัว เสมือนเป็นผู้สังเกตการณ์ คือ เข้าไปเป็นส่วนหน่ึงของเหตุการณ์ หรือเข้าไปรู้สึกร่วมกับตัวละครในเร่ือง เพื่อจะได้เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร อันจะทําให้เข้าใจว่าเหตุใดตัวละครจึงกระทําหรือมีปฏิกิริยา ต่อเหตกุ ารณต์ า่ งๆในเร่ืองอย่างนั้น และเหตกุ ารณต์ า่ งๆน้นั เชอื่ มโยงกนั อยา่ งไร ๓. ดูความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประกอบต่าง ๆ ของเรื่อง คือ ดูลําดับ เร่ืองราวที่ผันแปรไปตาม กาลเวลาจากจุดเริ่มต้นดําเนินไปจนจบ แล้วจับให้ได้ว่าปมปัญหาของเร่ืองเกิดข้ึนที่ตรงไหน ดําเนินไป อย่างไร จุดสุดยอดของเรื่องอยู่ตรงไหน อะไร เป็นเหตุนําไปสู่จุดสุดยอดน้ัน และหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น ตามมา ๔. จบั แกน่ เร่ืองให้ได้ องค์ประกอบของเรือ่ งอนั ไดแ้ ก่ เหตุการณ์ต่าง ๆ ในแต่ละตอน ตัวละครใน เรื่อง คําพูด ความรู้สึก ความคิด และการกระทําของ ตัวละครในเร่ืองเหล่านี้ผู้แต่งสร้างข้ึนอย่างมี จดุ มุ่งหมายแน่นอน ผู้อา่ นต้องพยายาม ค้นหาว่า ผู้แต่งมีจุดมุ่งหมายอะไรและพิจารณาองค์ประกอบต่างๆ ของเรื่องตามแนวนัน้ นวนยิ ายหรือเรอ่ื งสั้นบางเรื่อง ผอู้ ่านอาจค้นหาแก่นของเร่ืองได้ง่าย เพราะ ผู้แต่งได้บอกให้ทราบ โดยตรง หรือปรากฏท่ีช่ือเร่ือง แต่โดยมากผู้แต่งจะไม่บอกไว้ ผู้อ่านต้องค้นหาเอาเอง โดยถามตนเองว่า จดุ มุง่ หมายท่ีสาํ คญั ของเร่อื งทเี่ ราอา่ นคืออะไร ผแู้ ตง่ ต้องการให้เราทราบทรรศนะของชีวิตในแง่ใด เปน็ ต้น การประเมินคา่ นวนยิ ายและเรอื่ งส้ัน การประเมนิ ค่านวนิยายและเรื่องส้ันนนั้ ผอู้ ่านอาจจะพิจารณาจากแง่มุมต่าง ๆ ดงั ต่อไปนี้ ๑. พิจารณาในแง่เนื้อเร่อื ง นวนิยายหรือเรื่องส้ัน เป็นเร่ืองท่ีเขียนเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ โลก สังคม และส่ิงแวดล้อมใน ลักษณะของ “การเลียนแบบจากชีวิตจริง” ดังน้ัน ลักษณะสําคัญ ของเนื้อหาของงานเขียนชนิดน้ี คือ “ความสมจริง” ของส่วนประกอบต่างๆท่ีประกอบกันเข้าเป็นงานเขียน ซ่ึงได้แก่ โครงเรื่อง แก่นเรื่อง ตวั ละคร บทสนทนา ฉากและบรรยากาศ ๑.๑ การพิจารณาโครงเรื่อง ผู้อ่านควรพิจารณาว่า ผู้เขียนผูกเรื่องได้สัมพันธ์ต่อเน่ืองกัน อยา่ งสมเหตสุ มผลหรอื ไม่ ผ้เู ขยี นสะท้อนภาพสงั คมร่วมสมยั ได้ลึกซง้ึ กวา้ งขวาง สมจริงเพยี งใด ๑.๒ การพิจารณาแก่นเร่ือง ให้พิจารณาถึงความตั้งใจของผู้แต่ง ประการใดประการหนึ่ง หรือหลายประการที่ต้องการถ่ายทอดมายังผู้อ่าน แล้วประเมินดูว่าแก่นเร่ืองน้ันมีลักษณะสร้างสรรค์ สง่ เสริม และยกระดับจติ ใจผอู้ า่ นมากน้อยเพยี งใด ๑.๓ การพิจารณาตัวละครและบทสนทนา ให้พิจารณาดูการสร้างตัวละครว่า ผู้แต่งให้ ภูมิหลังของตัวละครอย่างไร เช่น กล่าวถึงชาติกําเนิด การอบรม เล้ียงดู การศึกษา สิ่งแวดล้อม ฯลฯ และ การกระทํา รวมท้ังการคิด การพูดของ ตัวละครน้ันสอดคล้องกับภูมิหลังท่ีผู้แต่งวางไว้หรือไม่ ตัวละคร สําคัญในเร่ืองคือใคร ตัวละครสําคัญรองลงมาได้แก่ตัวละครตัวใดบ้าง ตัวละครเหล่าน้ีมีกลไกชีวิตเป็น อย่างไร มพี ฒั นาการทางความรู้ ความคดิ อารมณ์ ไปตามประสบการณ์ สงิ่ แวดล้อม และ กาลเวลาหรอื ไม่ ๑.๔ การพจิ ารณาฉากและบรรยากาศของเรอ่ื ง ใหพ้ จิ ารณาดูว่า เรอ่ื งน้นั เกิดข้ึนท่ีใด ในช่วง เวลาใด ผู้แต่งใช้วิธีใดในการบรรยายฉาก เช่น ด้วยคําบรรยายของผู้แต่งเอง หรือการใช้ภาษาถ่ินของตัว ละคร หรือการกล่าวถึงประเพณี ท้องถ่ินเพื่อให้ทราบว่าเรื่องเกิดข้ึนท่ีใด สมัยใด หรือใช้เหตุการณ์ทาง ประวตั ศิ าสตร์ เป็นฉากของเร่อื ง และฉากของเร่ืองมีอทิ ธพิ ลต่อพฤติกรรมของตัวละครหรือไม่ อย่างไร เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชา ท๓๐๒๐๗ การอ่านและพจิ ารณาวรรณกรรม ๖๐
การพิจารณาส่วนต่าง ๆ ที่ประกอบกันเข้าเป็นเน้ือเร่ืองในแง่ความสมจริงนี้มีข้อที่ควรคํานึง คือ ต้องพิจารณาตามพื้นฐานที่ผู้แต่งสร้าง อย่าสงสัยหรือปฏิเสธ โลกที่ผู้แต่งสร้าง เช่น ไม่ควรถามว่าทําไม ผู้แต่งต้องให้เร่ืองเป็นเช่นนั้น เช่นนี้ ทําไม ไม่แต่งเร่ืองให้ตัวเอกเป็นคนเข้มแข็งกว่านี้ เป็นต้น ผู้อ่านต้อง ยอมรับว่าความจริง บางแง่มุมอาจไม่ตรงกับประสบการณ์ของผู้อ่าน ดังนั้ นการพิจารณาในเรื่อง ความสมจริงนี้ จึงควรพิจารณาให้กว้างขวางออกไป ทั้งในแง่ความจริงท่ีเป็นอยู่ ความจริงที่ผู้แต่งอยากให้ เปน็ หรือวา่ ควรจะเป็น และความจรงิ ท่อี าจจะเป็นไปได้ท้ังๆที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ท้ังน้ีเพราะการเอาโลกแห่ง ความเป็นจริงที่เราคิด เราเข้าใจไปตัดสินเรื่อง ท่ีเกิดจากจินตนาการของผู้แต่ง เราอาจกล่าวว่า เร่ือง ที่จินตนาการเป็นอุดมคติเกินไป หรือเราไม่เคยพบเห็นเร่ืองนั้นในชีวิตจริงเลย หรือถ้าเราหวังท่ีจะเห็น นวนิยาย หรือเรือ่ งสน้ั น้ันเป็นไปตามอุดมคติของเรา เราอาจหาไม่ได้ถ้าเรื่องน้ันพูดถึงเพียงส่ิงท่ี เกิดขึ้นจริง ในชีวิตประจําวัน ในการอ่านเร่ืองบันเทิงคดีที่ผู้เขียนเขียนจากจินตนาการ เราต้องเข้าใจว่าเป็นการเรียน ประสบการณท์ ีอ่ าจเกดิ ข้ึนไดใ้ นชวี ติ ประจาํ วนั แม้ว่าเรือ่ งเช่นนัน้ จะยงั ไม่เคยเกิดข้ึน หรือไม่เป็นไปตามอุดม คตกิ ต็ าม ทง้ั นีเ้ พราะเราไม่อาจพิสูจนไ์ ดว้ า่ บคุ คลในเร่ืองจะไม่คิดไม่ทําเช่นนั้น เนื่องจากคนเราไม่เหมือนกัน ทุกคนมีลักษณะเฉพาะตัว จึงไม่มีการตัดสินใจใดที่เป็นสากล ไม่มีการตัดสินใจใดที่เป็นไปไม่ได้ แม้แต่ การตัดสินใจที่คนทั่วไปเห็นว่าเป็นความบ้า ก็เป็นสิ่งท่ีคนเราอาจ เลือกทําได้ ดังน้ัน ในการตัดสินใจว่า นวนิยายหรือเรื่องส้ันเรื่องใดสมจริงหรือไม่จึงควรตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความจริงตามที่ผู้แต่งสร้างข้ึน ไม่ใช่ พ้นื ฐานแหง่ ความจริง ตามทีเ่ ราคิด โดยพิจารณาดูว่านักเขียนใช้กลวิธีอะไรที่ทําให้เร่ืองนั้นดูเป็นจริงเป็นจัง น่าเชือ่ ถอื ประกอบด้วย ๒. พจิ ารณาในแง่ศิลปะการแต่ง หนังสือที่เราอ่านจะได้รับการยกย่อง หรือได้รับการประเมินว่า เป็นหนังสือชั้นใด ดีหรือไม่ ก็อยู่ท่ีกลวิธีท่ีผู้เขียนเลือกใช้ในการถ่ายทอดเรื่องราวออกมา ว่าทําได้อย่างมีศิลปะเพียงใด ดังนั้นจุดหน่ึง ที่ควรนํามาพิจารณาในการประเมินค่า หนังสือนวนิยายและเร่ืองสั้นก็คือ กลวิธีการเขียนหรือศิลปะ การแตง่ ซึง่ อาจพจิ ารณา ไดจ้ ากประเดน็ ตา่ งๆดังตอ่ ไปนี้ ๒.๑ กลวิธกี ารดาํ เนินเร่ือง เรื่องต่าง ๆ ที่ผู้แต่งเขียนข้ึนมีกลวิธีการดําเนินเร่ืองไม่เหมือนกัน ผู้แต่งบางคนดําเนินเร่ืองตามลําดับเหตุการณ์ในการพิจารณากลวิธีการดําเนินเรื่อง ผู้อ่านจึงควรวิเคราะห์ ดูว่า ผู้แต่งใช้กลวิธีในการดําเนินเรื่องแบบใด และกลวิธีท่ีใช้น้ันเหมาะสมกับเรื่องหรือไม่ สามารถทําให้ ผู้อา่ นเข้าใจเรอ่ื งราวได้ดเี พยี งใด ๒.๒ กลวิธใี นการบรรยายเรอื่ ง ให้พิจารณาดวู า่ ผู้แตง่ บรรยายเรื่อง เองหรือให้ตัวละครตัวใด ตัวหน่ึงบรรยายให้อีกตัวหนึ่งฟัง หรือให้ตัวหน่ึงเขียนจดหมาย ถึงอีกตัวหน่ึงหรืออาศัยกลวิธีทั้งสามปะปน กัน และการใชก้ ลวธิ ีเหล่าน้มี ผี ลต่อเรอ่ื งอย่างไร ๒.๓ แนวคิดหรอื ปรัชญาในการแต่ง ใหพ้ จิ ารณาดูว่าแนวคิดของ เร่ืองเป็นแบบใด เช่น เป็น แบบเพ้อฝัน แบบสมจรงิ แบบเหนือจริง หรอื แบบ สัญลักษณน์ ยิ ม ๒.๔ ทรรศนะของผู้แต่ง การพิจารณาทรรศนะของผู้แต่งในบางเรื่อง อาจทําได้ยาก เพราะ ผู้แต่งไม่ได้บรรยายความรู้สกึ นึกคดิ ของตนออกมาตรงๆแต่แฝงเรน้ ไว้ในเหตุการณ์ต่างๆ ผู้อ่านจึงต้องสังเกต เอาเอง โดยอาจจะพิจารณาจากคําพูดของตัวละคร หรือจากกลวิธีอื่นๆท่ีผู้แต่งใช้ เช่น การให้ตัวละครสอง ตวั สนทนาโต้ ๒.๕ สํานวนภาษา ควรพิจารณาว่าสํานวนภาษาท่ีใช้มีจุดเด่น จุดด้อยที่สําคัญอย่างไรบ้าง ผอู้ ่านชอบสํานวนภาษาท่ีผู้แตง่ ใชห้ รอื ไม่ เพราะเหตใุ ด โดยอาจพจิ ารณาจากสาํ นวนภาษาที่ผู้แต่งใช้ในตอน ต่างๆ เช่น ภาษาท่ีใช้ในการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร ภาษาท่ีใช้ในบทสนทนา การบรรยาย เร่ือง การพรรณนาฉาก เป็นตน้ เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชา ท๓๐๒๐๗ การอ่านและพิจารณาวรรณกรรม ๖๑
๓. การพจิ ารณาในแงผ่ ลสะท้อนจากการอ่าน การพิจารณาในแง่นี้ หมายถึง การพิจารณาในเรื่องปฏิกิริยาของผู้อ่านที่มี ต่อเร่ืองท่ีอ่านนั้น ซ่งึ อาจพจิ ารณาได้ ๒ ประการ คือ ๓.๑ ผลสะท้อนทางอารมณ์ คือ การพิจารณาว่าได้รับความบันเทิง จากการอ่านมากน้อย เพียงใด ซ่ึงการประเมินค่าในเร่ืองนี้ แต่ละคนอาจจะประเมินค่าไม่เหมือนกัน เรื่องที่คนหนึ่งบอกว่าอ่าน สนุกเพลิดเพลินดี อีกคนหนึ่งอาจจะบอกว่าไม่สนุกก็ได้ ท้ังนี้เพราะรสนิยมในการอ่านของแต่ละคนไม่ เหมอื นกัน บางคนอาจ ชอบเรื่องเบาสมอง ในขณะท่ีบางคนอ่านเร่ืองเบาสมองแล้วไม่รู้สึกสนุก เพราะเห็น ว่าเป็นเร่ืองไร้สาระ เป็นต้น อย่างไรก็ตามผู้อ่านควรตอบคําถามให้ได้ว่าที่ตนชอบหรือไม่ชอบเรื่องนั้นเป็น เพราะเหตใุ ด ๓.๒ ผลสะท้อนทางปัญญา คือ การพิจารณาว่าวรรณกรรมมีคุณค่าในด้านให้ประโยชน์แก่ ผู้อ่าน นอกไปจากความเพลิดเพลิน เช่น สั่งสอน เสนอแนะ หรือแสดงอุดมการณ์ ซ่ึงก่อให้เกิด “ความคิด อา่ น” หรอื ความเจรญิ งอกงามทางสติปัญญา นอกเหนอื ไปจากทางจติ ใจอยา่ งไร กล่าวโดยสรปุ การพจิ ารณานวนยิ ายและเร่อื งสน้ั ผู้อา่ นควรพจิ ารณาใน ดา้ นต่างๆท้ังสามด้านคือ ด้านเน้ือหา ด้านศิลปะการแต่ง และผลที่ได้รับจากการอ่าน เร่ืองน้ัน ท้ังในแง่ความบันเทิงและความ ประเทืองปัญญา เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชา ท๓๐๒๐๗ การอ่านและพิจารณาวรรณกรรม ๖๒
กิจกรรมพัฒนาการเรยี นรู้ การอ่านและพิจารณาบันเทิงคดี ๑. บนั เทิงคดี คอื งานเขยี นทมี่ ีลกั ษณะอย่างไร และไดแ้ กง่ านเขียนในรูปแบบใดบ้าง ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ๒. นวนิยาย คือ งานเขียนท่ีมลี ักษณะท่ัวไปอย่างไร ............................................................................................................................. ........................................... ....................................................................................................................................... ................................. ................................................................................................. ....................................................................... ๓. องคป์ ระกอบท่สี าํ คัญของนวนิยายมีอะไรบา้ ง ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ๔. นวนยิ ายแบง่ ตามเนื้อหา ได้เปน็ ประเภท อะไรบ้าง ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... ....................................................................................... ................................................................................. ............................................................................................................................. ........................................... .................................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................ ............................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ....................................................................................................................................... ................................. ๕. เร่อื งสนั้ คอื งานเขยี นทีม่ ลี ักษณะท่วั ไปอยา่ งไร ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... ๖. เรอื่ งสั้นมลี กั ษณะเหมือนและแตกต่างจากนวนยิ ายอย่างไร .............................................................................................................................. .......................................... ........................................................................................ ................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ................................................................................................................................... ..................................... ............................................................................................. ........................................................................... เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ า ท๓๐๒๐๗ การอา่ นและพิจารณาวรรณกรรม ๖๓
๗. เรื่องส้ันแบ่งออกเป็นก่ีประเภท อะไรบ้าง ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... ....................................................................................... ................................................................................. ............................................................................................................................. ........................................... .................................................................................................................................. ...................................... ๘. แกน่ เร่อื ง คืออะไร และมีความสาํ คัญอย่างไร ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... ๙. ในการอ่านนวนิยายและเรือ่ งสน้ั ผู้อ่านควรปฏบิ ัตอิ ย่างไร จึงจะไดป้ ระโยชนจ์ ากการอา่ นอยา่ งเตม็ ที่ ............................................................................................................................. ........................................... .................................................................................................................................................... .................... .............................................................................................................. .......................................................... ............................................................................................................................. ........................................... ๑๐. ในการประเมินคา่ นวนิยายและเร่ืองสนั้ ผอู้ า่ นควรพจิ ารณาจากสิง่ ใดบ้าง ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... เอกสารประกอบการเรียน รายวิชา ท๓๐๒๐๗ การอ่านและพจิ ารณาวรรณกรรม ๖๔
คําว่า “ร้อยกรอง” เป็นคําท่ีสํานักวัฒนธรรมทางวรรณกรรม ซ่ึงต้ังข้ึนเมื่อพ.ศ. ๒๔๔๕ ใช้เรียก วรรณกรรมประเภทท่ีมีลักษณะบังคับในการแต่งหรือมีการกําหนดคณะ แต่เดิมงานเขียนประเภทนี้ เรียก กันเป็นหลายอย่าง เช่น “กลอน” (ลิลิตพระลอ) “กาพย์” (กาพย์มหาชาติ) “ฉันท์” (ลิลิตยวนพ่าย) “กานต”์ (ลลิ ิตยวนพา่ ย,ทวาทศมาส) หรือเรยี กรวมกนั เปน็ หนงั สอื ประเภท กาพย์กลอน ในปัจจุบันนอกจากจะใช้คําว่า “ร้อยกรอง” แล้ว ยังมีคําอ่ืนท่ีนิยมเรียกกันอีกสองคํา คือ “คําประพันธ์” และ “กวีนพิ นธ์” โดยคาํ หลังนีม้ กั ใช้ในความหมายที่ บ่งบอกถึงคุณค่าของบทร้อยกรองด้วย ดังทีอ่ ดุ ม หนทู อง ไดก้ ล่าวไวใ้ นเรอื่ งลกั ษณะบังคับทางการประพันธไ์ ทยฝา่ ยร้อยกรอง ตอนหน่งึ วา่ “...ร้อยกรอง ใช้ในความหมายตรงกันกับ Poem ในภาษาอังกฤษ หมายถึง หนังสือ ท่ีแต่งโดยใช้ถ้อยคําร้อยเรียงกันภายใต้ลักษณะบังคับทางการประพันธ์ มี จาํ นวนคํา ความยาว สมั ผสั เสยี งสูง เสยี งตา่ํ หนักเบา จังหวะ ฯลฯ ไว้แน่นอน ได้แก่ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ร่าย งานเขียนที่ร้อยเรียงถ้อยคําได้ถูกลักษณะบังคับ จะดี หรือไม่ก็ถือเป็นร้อยกรองทั้งสิ้น แต่ถ้าดี ไพเราะ ก็อาจได้รับการยกย่องเป็น บทกวี หรือกวีนพิ นธ์ ( Poetry ) ส่วนคําประพันธ์นั้น เป็นคําเรียกลักษณะ การแต่งท่ีเป็นร้อย กรองอีกคําหน่ึง เช่น คําประพันธ์ประเภทฉันท์ คําประพันธ์ประเภทร่าย ฯลฯ ถ้าเป็น ร้อยแกว้ กเ็ รียกเปน็ บทประพันธ์...” (อดุ ม หนูทอง, ๒๕๑๙, หน้า ๙๔) เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชา ท๓๐๒๐๗ การอา่ นและพิจารณาวรรณกรรม ๖๕
ลกั ษณะบังคับของบทรอ้ ยกรอง การแต่งร้อยกรองตามปกติจะต้องกระทําตามแบบแผนท่ีบัญญัติไว้ อันได้แก่ การกําหนดจํานวน คํากําหนดสัมผัสกําหนดเสียงหนักเบา ฯลฯ ซึ่งเรียกว่า การกําหนดคณะข้อกําหนดเหล่าน้ีในร้อยกรอง แต่ละประเภทมีเหมือนกันบ้างต่างกันบ้าง ทําให้ร้อยกรองต่างประเภทกันมีลักษณะบังคับหรือฉันทลักษณ์ แตกตา่ งกัน ลักษณะบงั คบั ของรอ้ ยกรองประเภทต่างๆ พอสรปุ ได้ดังนี้ ๑. คณะ คอื การจัดโครงสร้างของคาํ ประพันธใ์ น ๑ บท ออกเป็นบาท วรรค และจํานวนคาํ เช่น กาพย์ยานี ๑๑ กาํ หนดคณะไว้ว่า ๑ บท มี ๒ บาท แต่ละบาทจะประกอบดว้ ย ๒ วรรค วรรคแรกจะต้องมี ๕ คาํ วรรคหลัง 5 คํา คณะของกลอนสุภาพ ๑ บท มี ๒ บาท คือ บาทเอกและบาทโท บาทเอก มี ๒ วรรค วรรคแรกเรียกวา่ วรรคสดับ วรรคที่ ๒ เรยี กวา่ วรรครบั บาทโทมี ๒ วรรค วรรคแรกเรยี กวา่ วรรครอง วรรคท่ี ๒ เรียกวา่ วรรคส่ง ในแต่ละวรรคมี ๔ คํา โดยประมาณ ดงั นเี้ ปน็ ตน้ ลักษณะบังคับข้อนี้เป็นลักษณะสําคัญท่ีร้อยกรองทุกประเภทจะต้องมี มิฉะน้ันก็ไม่อาจบอก ได้วา่ เป็นรอ้ ยกรองประเภทใด ๒. สมั ผัส คอื ลักษณะท่บี งั คับใหใ้ ช้คําที่มเี สียงสอดคลอ้ งกัน มีอยู่ ๔ อย่างคอื ๒.๑ สัมผัสสระ คือ คําท่ีใช้สระตัวเดียวกันหรือเสียงเดียวกัน ถ้ามี ตัวสะกดต้องอยู่ใน มาตราเดยี วกัน เช่น ใคร -ไป - นยั น์ - ใหม่ - ใกล้, วาด - อาจ - ราษฎร์ - บาท เป็นตน้ ๒.๒ สัมผัสพยัญชนะหรือสัมผัสอักษร คือ คําที่ใช้พยัญชนะตัวต้น เดียวกันหรือเสียง เดียวกัน ท้ังน้ีโดยไม่คํานึงถึงสระและวรรณยุกต์ เช่น ทราบ-สร้าง - ศาสตร์-เซ, ท้ิง-ถ่อม-ธรรม-เฒ่า, เข้า- เคียง-ฆ่า-คิด เป็นตน้ ๒.๓ สัมผัสนอก เป็นสัมผัสท่ีส่งและรับสัมผัสกันนอกวรรคออกไป คือ ส่งจากคําสุดท้าย ของวรรคไปยังคําใดคําหน่ึงในวรรคต่อๆไป สัมผัสนอกนี้เป็นสัมผัสบังคับในร้อยกรองทุกประเภท จะไม่มี ไมไ่ ด้ และกําหนดใหใ้ ชแ้ ตส่ ัมผสั สระเทา่ นน้ั ๒.๔ สัมผัสใน เป็นสัมผัสท่ีคล้องจองกันอยู่ภายในวรรคเดียวกัน ไม่เป็นสัมผัสบังคับและ จะใช้สัมผัสสระหรือสัมผัสพยัญชนะก็ได้แล้วแต่ความเหมาะสม กับท้ังไม่มีกฎเกณฑ์จํากัดว่าจะต้องมี ตําแหนง่ แน่นอนเหมอื นสัมผสั นอกดว้ ย อยา่ งไรกต็ าม ถงึ แม้วา่ สัมผัสในจะเป็นสัมผสั ทีไ่ มบ่ งั คับ และไม่มกี ฏเกณฑ์ตายตัว แต่สัมผัสใน เปน็ สงิ่ สาํ คัญที่จะช่วยใหร้ อ้ ยกรองเพมิ่ ความไพเราะยงิ่ ขน้ึ ๓. คาํ ครุ-คําลหุ เป็นค่าที่บังคับใชใ้ นการแตง่ ฉนั ท์เท่านัน้ คําครุ ใชเ้ ครื่องหมาย “ ั” แทน ไดแ้ ก่ คําทุกคาํ่ ท่ีมเี สยี งตัวสะกดและคําที่ประสมกับสระ เสยี งยาวในแม่ ก กา รวมทั้งสระอา ไอ ใอ เอาซ่ึงถือว่ามีเสียงตวั สะกด คําลหุ ใช้เคร่ืองหมาย “ ุ” แทน ได้แก่ คําท่ีประสมกับสระเสียงสั้นและไม่มี ตัวสะกด เช่น ผลิ ปะ เยาะ และคาํ ทีใ่ ชพ้ ยัญชนะตัวเดยี ว เช่น บ่ ณ ธ ๔. คาํ เอก-คาํ โท เปน็ คาํ ท่ใี ชบ้ ังคบั ในการแตง่ โคลง คําเอก ได้แก่ คําหรือพยางค์ท่ีมีรูปวรรณยุกต์เอก และคําตายทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเสียง วรรณยุกต์ใดๆก็ตามนบั ว่าเป็นคาํ เอกท้ังสิน้ คําโท ได้แก่ คําหรอื พยางคท์ ม่ี รี ูปวรรณยกุ ตโ์ ท เชน่ ล้า หนา้ เกล้ียง คําเอก-คําโท น้ี หากหาไม่ได้ในตําแหน่งบังคับจริงๆก็อาจทําเป็นเอกโทษ โทโทษได้ เช่น ใช้ “พา่ ” แทน “ผา้ ” เป็นเอกโทษ ใช้ “ถว้ ม” แทน “ทว่ ม” เป็นโทโทษ เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ า ท๓๐๒๐๗ การอ่านและพจิ ารณาวรรณกรรม ๖๖
๕. คาํ เป็น-คาํ ตาย เปน็ คําทใี่ ชบ้ งั คับในการแตง่ โคลง ร่าย และ กลบท บางชนิด คําเป็น เป็นคําที่ผสมกับสระเสียงยาวในแม่ ก กา และคําที่มีตัวสะกดใน แม่ กง กน กม เกย เกอว เชน่ ลา มี องค์ เสย คําตาย คือ คําท่ีประสมสระเสียงส้ันในแม่ ก กา และคําที่มีตัวสะกดในแม่ กก กด กบ เชน่ ริ มทุ ะลุ ผงาด ลบั ๖. พยางค์ คือ เสียงที่เปล่งออกมาครั้งหนึ่งๆจะมีความหมายหรือไม่มีความหมายก็ได้ ในการ แต่งรอ้ ยกรองจะถือว่าพยางค์ก็คอื คาํ น่นั เอง แต่ถา้ พยางค์ นัน้ มเี สียงเป็นลหุ อาจนบั ๒ พยางค์เป็นหนึ่งคําก็ ได้ เชน่ มธุรส ถา้ ไมร่ วบเสียง กน็ บั เป็น ๒ คาํ ถ้ารวบเสยี งกเ็ ปน็ ๒ คาํ ๗. เสียงวรรณยุกต์ เป็นข้อกําหนดท่ีบังคับใช้ในการแต่งกลอน ได้แก่ เสียงสามัญ เช่น ปา มี แดง ฯลฯ เสียงเอก เช่น ชาด ก่อน ป่า แต่ง ฯลฯ เสียงโท เช่น เชิด คาด ค่า บ้า ฯลฯ เสียงตรี เช่น เพชร เชิต มีด เก๊ ฯลฯ และเสียงจตั วา เชน่ ฉนั หา หมอน แจว๋ ฯลฯ ๘. คํานาํ เป็นคาํ ทีใ่ ชข้ ึน้ ต้นสาํ หรบั รอ้ ยกรองบางประเภท เช่น กลอน สกั วาใช้คํา“สักวา” ขึ้นต้น เช่น “สักวาหวานอื่นมีหมื่นแสน” กลอนดอกสร้อย ใช้คําซ้ําโดยมีคําว่า “เอ๋ย” สลับ เช่น “ ดอกเอ๋ยดอก มะลิ” “คนเอ่ยคนดี” ฯลฯ กลอนบทละครใชว้ ลี “เมือ่ น้ัน” “บัดนั้น” “ครานนั้ ” ฯลฯ เป็นต้น ๙. คําสร้อย เป็นคําท่ีใช้ลงท้ายวรรค ท้ายบาท หรือท้ายบท เพื่อความไพเราะหรือเพ่ือให้ครบ จํานวนตามลักษณะบังคับ บางแห่งก็ใช้เป็นคําถามหรือ ใช้ยํ้าความ คําสร้อยนี้มักจะใช้เฉพาะโคลงกับร่าย และมกั จะเป็นคําเปน็ เช่น พอ่ แม่ พี่ เทอญ นา ฤา แล ฮา ฯลฯ จะเห็นได้ว่าลักษณะบังคับที่สําคัญของร้อยกรองมีอยู่ ๒ ลักษณะคือคณะ และสัมผัส เพราะเป็น ลกั ษณะบงั คับของรอ้ ยกรองทุกประเภท สว่ นลักษณะอ่ืนๆน้ัน ใชบ้ งั คบั เฉพาะบางประเภทดงั กล่าวแล้ว ประเภทของบทร้อยกรอง ร้อยกรองของไทยมีหลายประเภท ในตาราการประพันธ์ท่ัวไปมักแบ่งร้อยกรอง ออกตามลักษณะ บังคับในการแต่งออกเป็น ๕ ประเภทใหญ่ ๆ คือ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน และร่าย ซ่ึงในแต่ละประเภท ยังแบ่งออกเป็นชนิดย่อย ๆ อีกมากมาย ตามลักษณะบังคับในการแต่งที่แตกต่างกันออกไป ดังรายละเอียด ท่จี ะกล่าวถงึ ตอ่ ไปนี้ ๑. โคลง โคลงเป็นคําประพันธ์เก่าแก่ ปรากฏในวรรณคดีสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น เช่น ลิลิต พระลอ โคลงเป็นร้อยกรองที่กําหนดจํานวนคํา สัมผัส และคําเอก คําโท แบ่งออกเป็น ๓ ประเภทใหญ่ ๆ คือ โคลงสภุ าพ โคลงดัน้ และโคลงโบราณ แต่ละประเภทยังแบ่งประเภทย่อยอกี หลายประเภท ๒. ฉันท์ ฉันท์เป็นรูปแบบคําประพันธ์ของอินเดียซึ่งไทยรับมาใช้ จึงมี การบังคับ ครุ-ลหุ และ ไทยเพิ่มสัมผัสเพื่อให้คล้องจองกันตามความนิยมของไทยด้วย ตําราฉันท์ดั้งเดิม คือ วุตโตทัย ซ่ึงสมเด็จ พระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงคิดแปลงแต่งเป็นฉันท์มาตราพฤติและวรรณพฤติ รวม ๕๔ แบบ และนายฉันท์ ขาวิไล แต่งเพ่ิมอีก ๕๐ แบบ รวมชนิดของฉันท์ท่ีปรากฏในตําราฉันท์ของ ไทย ๑๐๘ ชนิด ๓. กาพย์ กาพย์ปรากฏครั้งแรกในหนังสือมหาชาติคําหลวงในสมัยสมเด็จ พระบรมไตรโลกนาถ กาพย์มีลักษณะคล้ายฉันท์แต่ไม่บังคับครุลหุ กาพย์ที่คนนิยม แต่งกันมากได้แก่ กาพย์ยานี กาพย์ฉบัง และ กาพยส์ ุรางคนางค์ เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ า ท๓๐๒๐๗ การอา่ นและพจิ ารณาวรรณกรรม ๖๗
กาพย์และโคลงที่นํามาแต่งต่อกัน โดยแต่งโคลงนํา ๑ บทแล้วตามด้วย กาพย์ ๑ บท ซึ่งมี เน้อื ความเหมือนกันหรอื คลา้ ยคลึงกนั เรียกว่า “กาพย์ห่อโคลง” และถ้าแต่งโคลงนํา ๑ บท ขยายด้วยกาพย์ จะกี่บทก็ตามเรียกว่า “กาพยเ์ ห่เรอื ” ส่วนกาพย์ท่นี าํ มาแต่งคละกับฉันท์ เรยี กวา่ คําฉนั ท์ ๔. กลอน กลอนเป็นคําประพันธ์ท่ีนิยมแต่งและอ่านกันมากในสมัยรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะ ตงั้ แต่รัชกาลท่ี ๒ เป็นต้นมาจนถึงปัจจบุ นั กลอนแบ่งออกได้ เป็นหลายประเภท หากพิจารณาจากลักษณะ บงั คบั ในดา้ นจาํ นวนคาํ ในแตล่ ะวรรคกอ็ าจแบ่งประเภทของกลอนออกได้เป็น ๔ ชนิด คือ กลอนหก กลอน เจ็ด กลอนแปด และกลอนเก้า แต่ถ้าพิจารณาจําแนกตามจุดมุ่งหมายในการแต่งก็อาจแบ่งออกได้ เป็น ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คือ ๔.๑ กลอนขับรอ้ งหรือกลอนลํานํา หมายถึง กลอนที่แต่งข้ึนเพื่อ ใช้ขับหรือร้องเข้ากับเพลง ดนตรี ได้แก่ กลอนสักวา กลอนดอกสรอ้ ย กลอนเสภา กลอนบทละคร รวมท้ังกลอนเพลงพน้ื บา้ น ๔.๒ กลอนเพลง หมายถึง กลอนท่ีแต่งขึ้นสําหรับอ่านท่ัวไป ได้แก่ กลอนนิราศ กลอนเพลง ยาว กลอนนิทานหรือนยิ าย ๕. ร่าย ร่ายเป็นคําประพันธ์โบราณ เพิ่งมีรูปแบบปรากฏชัดเจนใน ลิลิตพระลอ ร่ายแบ่ง ออกเปน็ ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คอื รา่ ยสภุ าพ ร่ายดั้น และ รา่ ยโบราณ นอกจากนี้ยังมีร่ายยาว ซึ่งมิได้กําหนด จํานวนคํา เพียงแตม่ ีสมั ผัสจากวรรคหน่งึ กับวรรคตอ่ ไปใหเ้ ชอ่ื มโยงกันจนจบเรือ่ ง ร่ายเม่ือนํามาแต่งสลับกับโคลงเป็นตอนๆไป โดยร้อยสัมผัสระหว่างร่ายกับโคลงเข้าด้วยกัน เรียกวา่ ลลิ ิต นอกจากร้อยกรองประเภทตา่ งๆ ดงั กลา่ วขา้ งตน้ แล้ว ในปัจจุบันยังมีคําประพันธ์รูปแบบใหม่เพิ่ม ข้ึนมาอีกประเภทหนึ่ง ซ่ึงนิยมจัดเข้าอยู่ในวรรณกรรมฝ่าย ร้อยกรอง คือ คําประพันธ์ประเภทกลอนเปล่า “กลอนเปล่า”เปน็ รปู แบบการเขียนทจี่ ะเรียกวา่ ร้อยแก้วก็ไม่ใช่ร้อยกรองก็ไม่เชิง มีลักษณะสําคัญคือ ไม่มี ข้อบังคับใดๆทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นจํานวนคําในแต่ละวรรค แต่ละบาท แต่ละบท การสัมผัสคําครุ - คําลหุ คําเอก -คําโท ฯลฯ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่ความเรียงติดต่อกันไปอย่างร้อยแก้ว กล่าวคือ การเขียนจะ แบ่งเป็นช่วงๆ เปน็ วรรคทไี่ ดจ้ งั หวะงดงาม สั้น ยาวแล้วแต่เนื้อความและมีการเลือกสรร ถ้อยคํามาใช้อย่าง มศี ิลปะผิดจากร้อยแก้วทั่วๆไป การแบ่งข้อความเป็นวรรคเป็นช่วงน้ีเองทําให้มีลักษณะเหมือนอย่างกลอน แต่กม็ ใิ ช่กลอนชนิดใดชนิดหนึ่ง ดงั ตวั อยา่ ง เต้านมสีขาว เต้านมสขี าว น้าทะเลสหี ม่นมัว ดอกเกสรสที อง ของปวงบปุ ผามาลี ล้วนแต่มากมี แต่ไมใ่ ชข่ องสา้ หรับคนจน (รวมเร่ืองสั้นและบทรอ้ ยกรอง ความเงยี บ : สชุ าติ สวัสด์ศิ รี) กลอนเปล่า เป็นรูปแบบคําประพันธ์ที่มักใช้ในการพรรณนาอารมณ์ ความ รู้สึก ความคิด ไม่ใช่ การบรรยายเร่ืองอย่างความเรียงร้อยแก้ว รูปแบบการเขียน ชนิดน้ียังไม่พบหลักฐานแน่นอนว่ารับมาจาก ที่ใดบางคนก็สันนิษฐานว่าอาจเป็นสิ่งท่ีได้รับอิทธิพลมาจากงานแปลร้อยกรองตะวันตกเป็นร้อยแก้ว ภาษาไทย หรืออาจเกิดขึ้นพร้อมกับความเบ่ือหน่ายในฉันทลักษณ์ (อุดม หนูทอง, ๒๕๑๙, หน้า ๑๑๒) เอกสารประกอบการเรียน รายวิชา ท๓๐๒๐๗ การอ่านและพจิ ารณาวรรณกรรม ๖๘
บางคนก็ว่าผู้เริ่มแต่ง คือ ราช รังรอง (รัตนะ ยาวะประภาษ ) ในคอลัมน์ “ขอบกรุง” ของหนังสือชาวกรุง ฉบับเดือนเมษายน ๒๕๐๒ ด้วยผลงานท่ีมีชื่อว่า “แด่ความสวยและส่ิงท่ีสิ้นไป” (ประทีป เหมือนนิล, ๒๕๑๙, หนา้ ๑๖๕) ร้อยกรองท่ีมีลักษณะบังคับในการแต่งประเภทต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นนี้เป็นคําประพันธ์ท่ีนิยม แตง่ กนั มาแต่โบราณ ปัจจุบันก็ยังนิยมแต่งกันอยู่ หากแต่เลือกรูปแบบคําประพันธ์ท่ีง่ายต่อการแต่งมากข้ึน เช่น กลอนแปด กาพย์ยานี เป็นต้น ส่วน กลอนเปล่า ซ่ึงเป็นคําประพันธ์รูปแบบใหม่นั้นกําลังได้รับ ความนยิ มแตง่ กันมากในปจั จบุ นั วตั ถุประสงคใ์ นการแตง่ บทรอ้ ยกรอง นอกจากจะแบ่งร้อยกรองเป็นประเภทต่าง ๆ ตามลักษณะบังคับในการแต่ง ดังกล่าวแล้วข้างต้น ยงั อาจแบง่ ร้อยกรองตามวัตถุประสงค์ในการแตง่ ไดด้ ังต่อไปนี้ ๑. เพ่อื แสดงความรูส้ กึ ความคิด และจนิ ตนาการ ได้แก่ เพลงยาวและนิราศต่างๆ ท่ีแสดงความ รัก ความอาลัยของกวี เช่น เพลงยาวรบพม่าท่ีท่าดินแดง พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกมหาราช กาพย์ประพาสธารทองแดง พระนิพนธ์เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ นิราศเร่ืองต่าง ๆ ของสุนทรภู่ เปน็ ต้น ๒. เพ่ือให้ความบันเทิง ได้แก่ บทเสภา นิทานคํากลอน บทละคร บทพากษ์โขน บทมโหรี บทพากษ์หนัง บทขับร้อง ลําตัด บทดอกสร้อย สักวา เพลงพ้ืนเมือง เช่น บทเสภาเร่ืองขุนช้างขุนแผน, นิทานคํากลอน เรื่องพระอภัยมณี, โคบุตร สิงหไตรภพ ของ สุนทรภู่, บทพากษ์โขน ชุดนางลอย พรหมาสตร์, บทมโหรีเรอื่ งกากี ของ เจ้าพระยาคลงั (หน) เปน็ ตน้ ๓. เพ่ือประโยชน์ในการประกอบพิธีกรรม เช่น ลิลิตโองการแช่งนา ฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้าง รา่ ยทาํ ขวญั นาค บทเห่เรือ บทบวงสรวงสงั เวย บทสวด และบทสดุดีเฉลมิ พระเกยี รติ เป็นต้น ๔. เพื่อให้ความรู้ ได้แก่ ตําราการแต่งร้อยกรอง แบบเรียน เพื่อให้จําง่าย เช่น ไวพจน์พิจารณ์ (ภาคอ่านประกอบ) กาพย์พระไชยสรุ ิยา โคลงตาํ ราม้า ตํารับพิชยั สงครามคํากลอน ๕. เพอ่ื เปน็ บทสอน เช่น สุภาษติ สอนหญิง กลอนเพลงยาวถวายโอวาท สวัสดริ กั ษา เป็นต้น สนุ ทรียภาพของบทร้อยกรอง สุนทรยี ภาพ หมายถงึ ความงาม ความน่าประทบั ใจ สนุ ทรียภาพของ บทร้อยกรองจะเกิดข้ึนได้ก็ ด้วยการประกอบขึ้นอย่างเหมาะเจาะขององค์ประกอบต่าง ๆ ท่ีประกอบกันเข้าเป็นบทร้อยกรองน้ัน ๆ องคป์ ระกอบดังกลา่ วนี้ ไดแ้ ก่ ๑. เสียง ๒. ศิลปะการใช้ภาษา ๓. สาระของบทรอ้ ยกรอง ๑. เสียง ความพึงพอใจในบทร้อยกรองต้องอาศัยสัมผัสทางหู ความไพเราะจะเกิดต่อเมื่อได้ยิน เสียง หรอื แม้แตก่ ารอ่านในใจกต็ อ้ งทาํ เสียง ซึ่งหมายถึงตอ้ งมีการเวน้ จังหวะ เน้นเสียง แผ่วเสียง (บุญเหลือ เทพยสวุ รรณ, หนา้ ๓) เสียงท่ีไพเราะ ร่ืนหู มีระดับเสียงสูงตํ่าลด หล่ันกันตามลําดับอันควรหรือที่เรียกว่า เอกสารประกอบการเรียน รายวิชา ท๓๐๒๐๗ การอา่ นและพจิ ารณาวรรณกรรม ๖๙
เสียงเสนาะ จึงเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่ ทําให้บทร้อยกรองมีความงาม เสียงเสนาะของบทร้อยกรองน้ัน อาจเกดิ ขึ้นได้จากคณุ สมบตั ิตา่ ง ๆ ดังน้ีคือ ๑.๑ จังหวะลีลา (Rhythm) จังหวะลีลา หมายถึง การซ้ําและการกระเพื่อมของเสียงสูง เสียงต่ําทีเ่ กดิ ขนึ้ เป็นระยะๆมีอตั ราสมา่ํ เสมอกัน ร้อยกรองประกอบด้วยเสียงสูง เสียงตํ่า เสียงส้ัน เสียงยาว เสียงหนัก เสียงเบา อันเกิด จากระดับของเสียงวรรณยุกต์และเสียงของพยัญชนะและสระ รวมท้ังนํ้าหนักของเสียงในแต่ละคําซึ่งหนัก เบาต่างกัน การซาํ้ และการกระเพ่ือมของเสียง สูงตํ่า ส้ันยาว หนักเบาท่ีเกิดขึ้นเป็นระยะๆมีอัตราสม่ําเสมอ กันน้ี ทําให้เกิดจังหวะ ลีลาที่เป็นทํานองเหมือนเสียงเพลง จังหวะลีลาเช่นน้ีทําให้ร้อยกรองมีความไพเราะ และอา่ นไมร่ ู้จกั เบื่อ นอกจากความไพเราะของเสียงที่มีทาํ นองเหมอื นเสยี งดนตรีดังกลา่ วข้างต้น แล้ว การเว้น ช่วงระยะเป็นระยะๆให้สอดคล้องกับกําหนดคณะของร้อยกรองแต่ละประเภท ก็ทําให้เกิดจังหวะลีลา ทเ่ี หมาะสมได้ เชน่ จังหวะลีลาของกลอนสภุ าพจะ เวน้ ช่วงระยะเปน็ ๓/๒/๓ เป็นพื้น แต่ในกรณีท่ีมีจํานวน คําวรรคละ ๙ คาํ ก็จะเปล่ียน จงั หวะเป็น ๓/๓/๓ ดงั ตัวอย่าง ไม่เมาเหลา้ / แตเ่ รา / ยงั เมารัก สุดจะหกั / ห้ามจติ คดิ ไฉน ถึงเมาเหล้า / เช้าสาย / กห็ ายไป แต่เมาใจ / นปี้ ระจ้า / ทุกค่้าคืน การรักษาจังหวะลีลาในบทร้อยกรองนับเป็นสิ่งสําคัญ ถ้าเปลี่ยนจังหวะหรือจังหวะลีลา ไม่แน่นอนก็ไม่ผิดอะไรกับดนตรีท่ีบรรเลงไม่ถูกจังหวะ หรือร้องเพลงไม่ลงจังหวะดนตรี ซ่ึงจะทําให้ขาด ความไพเราะไปมาก ดงั กลอนที่ มาเนาะ ยูเด็น แต่งลอ้ เลียนผแู้ ต่งกลอนทบ่ี รรจคุ ําคร่อมจังหวะไวด้ งั นี้ “ พอจวนสอบ/ ไลฉ่ ะ / นน้ั ระวงั เร่งดูหนงั / สอื ต้า / ราคา้ สอน อย่ามวั ข้ี / เกยี จเท่ียว / หลบหนีนอน ควรตื่นก่อน / ตอนพระ / ย้่าระฆัง ” นอกจากการรักษาจังหวะลีลาให้ถูกต้องเหมาะสมแล้ว การเลือกใช้เสียงหรือทํานอง ให้สอดคล้องกับบรรยากาศของเร่ืองก็ทําให้บทร้อยกรองนั้นมีจังหวะลีลาที่งดงามน่าประทับใจได้ เช่น บรรยากาศตอนใดแสดงอารมณ์รักก็ใช้เสียงอ่อนหวาน ละมุนละไม ตอนใดแสดงอารมณ์โศกเศร้าก็ใช้เสียง เนิบนาบเยือกเย็นโหยหวน ตอน ใดแสดงอารมณ์สนุกสนาน ร่าเริง โกรธ หรืออารมณ์รุนแรง ใช้เสียงที่ให้ จังหวะชัด รวดเร็ว เร้าใจ ตอนเดแสดงการรบพุ่งทําสงคราม ใช้เสียงกระช้ันกระชากหรือ กระแทกกระท้ัน เป็นตน้ ๑.๒ สัมผัส ร้อยกรองน้ันมีสัมผัสสระและสัมผัสอักษร เสียงสัมผัสจะทําให้เกิดความคล้อง จองอันเป็นแง่งามข้อหนึ่งของบทร้อยกรอง สัมผัสที่บังคับในการแต่งบทร้อยกรองเรียกว่า สัมผัสนอก สว่ นสมั ผสั ในเป็นสมั ผัสทไี่ ม่บังคับ แต่กวเี สรมิ พเิ ศษเขา้ ไปเพื่อให้เกิดความไพเราะย่ิงขึ้น สัมผัสในมีท้ังที่เป็น สัมผัสสระ และสัมผัสพยัญชนะหรือสัมผัสอักษร สัมผัสในที่เป็นสัมผัสสระนิยมใช้ในการแต่งกลอน และ กาพย์ สว่ นโคลง ฉันท์ และรา่ ย นิยมใชส้ ัมผสั อกั ษร ดงั ตัวอยา่ ง “พระโหยหวนครวญเพลงวังเวงจิต ใหค้ นคดิ ถงึ ถนิ่ ถวิลหวัง วา่ จากเรือนเหมอื นนกมาจากรงั อย่ขู า้ งหลงั ก็จะแลชะแง้คอย ถึงยามคํา่ ยํา่ ตอ้ งจะรอ้ งไห้ ราํ่ พิไรรญั จวนหวนละหอ้ ย เอกสารประกอบการเรียน รายวิชา ท๓๐๒๐๗ การอา่ นและพิจารณาวรรณกรรม ๗๐
โอ้ยามดึกดาวเคลอื่ นเดอื นก็คลอ้ ย นา้ํ ค้างย้อยเยน็ ท่อี ัมพร หนาวอารมณล์ มเรอ่ื ยเป่อื ยเฉอ่ื ยช่นื ระรวยรื่นรนิ รินกลิ่นเกสร แสนสงสารบ้านเรือนเพ่อื นที่นอน จะอาวรณอ์ ้างว้างอยู่วงั เวง “สรวลเสียงพระสมทุ รครน้ื (พระอภัยมณี) คลืน่ ก็คล่ีคลาฟอง ครวญคะนอง ตาลทรวงปวงกามกอง เพอื่ งพนื้ ออกโอษฐอ์ อกโอยสะอน้ื กลอยสมุทร แม่ฮา อา่ วอื้ออลเวง (นริ าศนรินทร์) ๑.๓ การซําเสยี ง การซาํ้ เสียงมีทั้งที่เป็นการทําคําโดยตรงทั้งคําและซ้ําพยางค์ คือ ซํ้าเฉพาะ พยางค์บางพยางคใ์ นคาํ หรือขอ้ ความทน่ี าํ มาเรียบเรียงกันเข้า การซํ้าเสียงในลักษณะน้ีจะทําให้คํามีนํ้าหนัก เพิ่มมากข้ึนหรือลดลงกว่าเดิม เป็นการสร้างความเคลื่อนไหวและความมีชีวิตชีวาให้เกิดขึ้นแก่คําน้ัน ๆ ดังตัวอย่าง “ รอนรอนสรุ ิยคลอ้ ย สายัณห์ เรือ่ ยเรื่อยเร่อื แสงจนั ทร์ สอ่ งฟา้ รอนรอนจิตตก์ ระสนั เสยี วสวาท แมเ่ อย เร่อื ยเรอ่ื ยเรยี มคอยถ้า ทน่ี ้นั หอ่ นเหน็ ” (กาพย์เหเ่ รอื : เจ้าฟา้ ธรรมธเิ บศร์) จากตัวอยา่ งจะสังเกตเห็นได้วา่ การใช้คํา“รอนรอน” และ “เรื่อยเร่ือย” กับพระอาทิตย์และ พระจันทร์ในช่วงแรกน้ัน ทําให้เรามองเห็นภาพความเคลื่อนไหว ที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆของสิ่งท้ังสองน้ันได้ อย่างชัดเจนขึ้น และการใช้คํา“รอนรอน” และ “เรื่อยเร่ือย” ในช่วงหลัง ก็ช่วยยํ้าอารมณ์ความรู้สึกในใจ ของกวที ่คี อยคะนงึ หานางอันเป็นทร่ี ักใหเ้ ดน่ ชัดขนึ้ ทาํ ให้ผ้อู ่านเกิดความร้สู กึ ออ่ นไหวคล้อยตามไปด้วย ๑.๔ การเลียนเสียง การเลียนเสียง อาจเลียนเสียงธรรมชาติ เช่น เสียง สัตว์ เสียงนํ้าไหล เสียงฟา้ ร้อง ฯลฯ หรือเสียงของสง่ิ ประดิษฐท์ างเทคโนโลยี เชน่ เสียงยวดยานพาหนะ เสียงปืนหรืออาวุธอื่น ๆ เสียงดนตรี ฯลฯ การเลียนเสียงนอก จากจะทําให้เกิดเสียงเสนาะแล้ว ยังสามารถทําให้ผู้อ่านเกิด จนิ ตนาการและภาพพจน์ ในทางเสยี งดว้ ย ดังตวั อยา่ ง เช่น “ทั้งยุงชุมรมุ กดั ปดั เปรียะปะ เสยี งผวั ะผะพบึ พบั ปุบปับแปะ ที่เขน็ เรียงเคยี งลาํ ขยาํ แขยะ มันเกาะแกะกนั จริงจริงหญิงกับชาย” (นิราศเมอื งเพชร) “นกเอยนกกิ้งโคลง หลงเขา้ โพรงนกเอ้ียงเถียงเจา้ ของ ออ้ ยเอยี งออ้ ยเอียงส่งเสียงร้อง เจา้ ของเขาวา่ น่าไมอ่ าย แตน่ กยงั รผู้ ดิ รงั นกั ปราชญร์ ู้พลง้ั ไม่แม่นหมาย แต่ผดิ รับผิดพอผ่อนร้าย ภายหลงั ตอ้ งระวงั อยา่ พล้ังเอย ” (ดอกสร้อยสภุ าษิต) เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชา ท๓๐๒๐๗ การอา่ นและพิจารณาวรรณกรรม ๗๑
๑.๕ การเล่นคํา การเล่นคําเป็นกลวิธีอย่างหน่ึงท่ีทําให้บทร้อยกรองมีความไพเราะ และมี ชีวิตชีวาย่ิงขึ้น การเล่นคําอาจเล่นคําตามบัญญัติบังคับตามแบบท่ีโบราณวางกฎเกณฑ์เอาไว้ หรือเล่นคํา โดยไม่มีบญั ญตั บิ งั คบั ก็ได้ ๒. ศิลปะการใช้ภาษา ในการแต่งร้อยกรองผู้แต่งมักกลั่นกรองและเลือกเฟ้นถ้อยคํามาใช้ด้วย ความประณีตบรรจง เพื่อให้ได้ผลงานที่มีความไพเราะและ สามารถสื่อความคิดและอารมณ์ความรู้สึกของ ตนออกมาได้อย่างหมดจด ภาษาที่ใช้ในการแต่งร้อยกรองบางครั้งจึงอาจไม่ใช่ภาษาธรรมดาท่ีใช้กันอยู่ใน ชีวิตประจําวัน แต่เป็นภาษาที่ผู้แต่งสร้างสรรค์ข้ึนอย่างมีศิลปะเพ่ือให้มีลักษณะและคุณค่าทางสุนทรียะ ความงามส่วนหนง่ึ ของบทรอ้ ยกรองจึงอยู่ที่ศิลปะการใชภ้ าษาในลักษณะตา่ ง ๆ ของกวี ดังตัวอย่าง ๒.๑ การใช้ภาษาให้เกิดความมีชีวิตชีวา การใช้ภาษาให้เกิดความมีชีวิตชีวาเป็น การสร้าง “ความมีวิญญาณ” ให้เกิดขึ้นแก่งานชิ้นนั้น ถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ทําให้เกิดความงาม การใช้ ภาษาให้เกิดความมีชีวิตชีวาอาจทําได้หลายวิธี ดังที่ สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์” (หน้า ๕๕-๕๖) ได้ยกตัวอย่าง เชน่ ๒.๑.๑ การนําเอาอาการของสงิ่ ท่ีไม่มีชีวติ มาเปรยี บเทยี บกับสิ่งมีชีวิต ๒.๑.๒ การนาํ เอาลกั ษณะอันเป็นธรรมชาติที่เด่นท่ีสุดของสง่ิ นนั้ มาพรรณนา ๒.๑.๓ การใชค้ าํ กิริยาบอกอาการ แสดงใหเ้ ห็นถงึ ความมี ๒.๑.๔ การพรรณนาให้เห็นว่าส่ิงน้ันๆเพ่ิงผ่านลักษณะอย่างหนึ่งมา ยังมีเค้ารอยให้ เหน็ เชน่ ๒.๑.๕ การสวมวิญญาณให้กับส่ิงไม่มีวิญญาณประหน่ึงว่าส่ิงนั้นมี อารมณ์และ ความรู้สึกนึกคิดเหมือนคน ๒.๒ การใช้ภาษาให้เกิดจินตภาพ (Image) จินตภาพหรือภาพในจิต คือ ภาพที่ปรากฏ ในความคิดคํานึงของผู้อ่านอันเนื่องมาแต่การพรรณนาของผู้ประพันธ์ การใช้ภาษาเพ่ือสร้างจินตภาพให้ เกดิ ขนึ้ แกผ่ อู้ า่ นนน้ั ผู้แต่งอาจใช้วิธกี ล่าวอยา่ งตรงไปตรงมาเพ่ือให้ผูอ้ ่านมองเห็นภาพชัดเจนตามตัวอักษรท่ี บรรยาย โดยไม่ใช้ความเปรียบเป็นเครื่องประกอบ หรืออาจกล่าวโดยใช้โวหารเปรียบเทียบแบบต่างๆท่ี เรยี กวา่ ภาพพจน์ (Figure of Speech) เปน็ เคร่อื งประกอบช่วยใหผ้ ูอ้ ่านเห็นภาพแจม่ ชัด ย่งิ ข้ึนก็ได้ ดังเช่น ๒.๒.๑ การพรรณนาใหเ้ หน็ ภาพอยา่ งตรงไปตรงมาหรือการสร้างจินตภาพ ๒.๒.๒ การพรรณนาโดยใช้โวหารเปรียบเทยี บแบบต่างๆหรือการสรา้ งภาพพจน์ ๑) การเปรียบเทียบแบบอุปมาอุปไมย หมายถึง การเปรียบส่ิงหนึ่งว่า เหมือนอีกส่ิงหนึ่ง โดยเอาสิ่งที่ต้องการกล่าวถึงมาต้ัง (อุปไมย) แล้วนําอีกส่ิงหนึ่งมาเปรียบเทียบ (อุปมา) โดยใชค้ ําเช่ือมที่บ่งบอกการเปรียบเทียบ ไว้อย่างอย่างชัดเจน เช่น ใช้คําว่า เหมือน ดุจ ดั่ง อุปมา กล เฉก ราว ประดจุ เสมอ เพียง พ่าง ปนู ฯลฯ ดังตัวอยา่ ง “ พระองคโ์ อภาสเพียง ศศิธร เสดจ็ ดุจเดือนขจร แจม่ ฟา้ ดวงดาวดาษอมั พร เรยี งเรยี บ ดดู ุจพลเจ้าหล้า รอบลอ้ มเสดจ็ โดย ” (ลิลิตพระลอ) เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ า ท๓๐๒๐๗ การอ่านและพิจารณาวรรณกรรม ๗๒
๒) อุปลักษณ์ เป็นการเปรียบเทียบส่ิงหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง กวีจะใช้การ เปรียบเทียบโดยตรง นําลักษณะเด่นของสิ่งท่ีต้องการเปรียบเทียบมากล่าวทันทีโดยไม่มีคําเชื่อมโยง บางครงั้ อาจใชค้ ําวา่ เปน็ และ คือ เช่อื มโยงก็ได้ ตัวอยา่ งเชน่ ถา้ เรามนี าวาทิพยท์ าํ ด้วยมกุ ดา มคี วามปรารถนาเปน็ ใบ มคี วามอําเภอใจเป็นหางเสอื (กามนติ : เสฐียรโกเศศ– นาคะประทปี ) กวีเปรียบความปรารถนากบั ใบเรอื และความอาํ เภอใจกับหางเสือเรือโดย ใช้ “เป็น” เป็นคําเช่ือม ๓) การเปรยี บเทียบแบบสมนัย เป็นการเปรียบเทียบ สิ่งหนึ่งว่าเป็นหรือคือ อีกส่ิงหนงึ่ การเปรียบเทียบแบบนี้จะใช้คําเป็น คือ เท่า เป็น ตวั เชอ่ื ม ดังตวั อย่าง นางทรายจามเรศรู้ รักขน คือนุชสงวนงามตน แต่นอ้ ย ตายองตอบตายล ยวนเนตร นางเอย โฉมแมบ่ าดตายอ้ ย อยู่พนู้ ฉันใด (นิราศนรินทร)์ หรือในบางครั้งผู้แต่งอาจจะกล่าวเป็นนัยๆให้เข้าใจเอาเอง โดยไม่มีคําเชื่อม แสดงการเปรยี บเทียบให้เหน็ ดงั ตวั อย่าง “ เต่าเต้ยี ดอกอย่ามาต่อใหต้ ีนสูงมิใช่ยงอย่ามายอ้ มใหเ้ หน็ ขนั หงิ หอ้ ยฤาจะแขง่ แสงพระจนั ทร์ อย่าป้นั นํ้าใหห้ ลงตะลงึ เงา ” (ขนุ ช้างขนุ แผน) ในท่ีน้ีนางแก้วกิริยาเปรียบเทียบตนเองว่าเป็น “เต่าเตี้ย” และ “หิ่งห้อย” ซ่ึงมีฐานะต่ําต้อย ต่างกับฐานะของ “ยูง” และ “แสงพระจันทร์” จะเห็นได้ว่า ผู้แต่งไม่ได้ยกเอาส่ิงที่ ต้องการจะเปรียบเทียบมากล่าวไว้คู่กัน แต่เมื่อจะเปรียบส่ิงใด กับสิ่งใด ก็นําเอาลักษณะเด่นของส่ิงหน่ึง ขน้ึ มากล่าวเพ่ือให้หมายถึงอีกส่ิงหนงึ่ ทันที หรอื ในบางคร้งั อาจกลา่ วเปน็ ทํานองคําพังเพยก็ได้ ๔) การเปรียบเทียบแบบปฏพิ จน์ หรือการเปรียบเทียบ โดยใช้ความตรงกัน ข้าม คือ การนําคําท่ีมีความหมายขัดแย้งกันหรือตรงกันข้ามกัน มาเคียงคู่กันเหมือนการนําสีขาวมาวาง เทียบกบั สดี าํ ทําให้ภาพเด่นชัดข้นึ ดงั ตัวอย่าง “ เขาย่อมเปรยี บเทยี บความเมอ่ื ยามรัก แต่นํ้าผักต้มขมชมว่าหวาน คร้นั จืดจางห่างเหินไปเนิน่ นาน แต่น้ําตาลก็วา่ เปรีย้ วไม่เหลียวแล ” (พระอภยั มณี) เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ า ท๓๐๒๐๗ การอา่ นและพจิ ารณาวรรณกรรม ๗๓
๔) อธิพจน์ หรือการกล่าวเกินความจริง เป็นการใช้โวหารเปรียบเทียบ อย่างเกนิ จริง เพื่อใหเ้ หน็ อารมณ์ความรสู้ ึกทร่ี ุนแรง ดงั ตวั อยา่ ง เอียงอกเธออกอ้าง อวดองค์ อรเอย เมรชุ บุ สมุทรดนิ ลง เลขแต้ม อากาศจกั จารผจง จารึก พอฤๅ โฉมแมห่ ยาดฟ้าแยม้ อย่รู อ้ นฤๅเหน็ (โคลงนิราศนรนิ ทร์: นายนรนิ ทร์ธเิ บศร์) กวใี ชค้ ํา เอียงอกเท แทนสงิ่ ทอ่ี ย่ใู นใจ ใช้เขาพระสุเมรุชุบน้ําและดิน แทนปากกา เขียนข้อความในอากาศ ซง่ึ ลว้ นเป็นลักษณะทเ่ี กินความเปน็ จริง ๕) สัทพจน์ หรือการเลียนเสียงธรรมชาติ กวีใช้การเปรียบเทียบโดยการใช้ คาํ เลียนเสยี งธรรมชาตทิ าํ ให้เสียงไพเราะเกดิ จินตภาพไดช้ ัดเจน เกิดความรู้สึกคลอ้ ยตาม ตัวอย่างเชน่ เกอื บร่งุ ฝูงช้างแซ่ แปร๋นแปร๋น กรวดป่าแกร๋นแกรน๋ เกรนิ่ หย้าน ฮมู ฮูมอุ่มอึงแสน สน่ันรอบขอบแฮ คกึ คึกทึกสะเทือนสะท้าน ถ่นิ ไม้ไพรพนม (โคลงนริ าศสุพรรณ: สุนทรภ)ู่ จนิ ตภาพไดช้ ดั เจน กวีใช้เลียนเสียงของช้างในคํา แปร๋นแปร๋นแกร๋นแกร๋น ฮูมฮูม ทําให้เกิด ๖) บคุ คลวตั หรือ บุคคลสมมติ กวีใช้การสมมุตสิ ิง่ ต่าง ๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์ ให้มี กริ ิยาอาการ ความรู้สึกเหมอื นมนุษย์ ตวั อยา่ งเชน่ มะนาวน้อยอยา่ พลอยไปเหลิงเลน่ ตะวนั เยน็ ลงไปจะไมแ่ จง้ ผกั ชียห่ี ร่าไยตาแดง ตะกร้าเกา่ นอนตะแคงเฝา้ คอยดู (ราร้างอย่างแร้งไร:้ แรคาํ ประโดยคาํ ) กวใี ชม้ ะนาว ผักชี ย่หี รา่ ตะกรา้ ใหม้ กี ริ ิยาเหมือนมนษุ ย์ คอื - มะนาวทาํ กริ ิยาเหลิงเล่น - ผักชี/ย่ีหรา่ ทํากริ ยิ าตาแดง - ตะกร้าทาํ กริ ิยานอนตะแคงเฝ้าคอยดู ๒.๓ การใช้สัญลักษณ์ (Symbol) สัญลักษณ์ หมายถึง ส่ิงท่ีกําหนด ขึ้นเพ่ือใช้แทน ส่ิงหน่ึงท่ีมีความหมายลึกซึ้งกว่า เช่น การนําสิ่งท่ีเป็นรูปธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งมาใช้แทนส่ิงที่เป็น นามธรรม เพอ่ื ให้เกิดความเขา้ ใจได้อย่างกวา้ งขวางลกึ ซึ้ง โดยไมต่ ้องใช้คาํ อธบิ าย เปน็ ต้น สญั ลักษณท์ ี่กวใี ชโ้ ดยท่ัวไปมีอยู่ ๒ ลักษณะ คอื ๒.๓.๑ สัญลักษณ์ตามแบบแผน หมายถึง สัญลักษณ์สากลที่ใช้ เป็นแบบฉบับ เดียวกันมาแต่โบราณ เช่น นกป่า เปน็ สัญลักษณข์ องเสรีภาพ นก ในกรงเป็นสัญลักษณ์ของความไม่มีอิสระ ดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของความรัก และความสวยงาม หงส์เป็นสัญลักษณ์ของความสูงศักดิ์ กาเป็น เอกสารประกอบการเรียน รายวิชา ท๓๐๒๐๗ การอ่านและพิจารณาวรรณกรรม ๗๔
สัญลักษณ์ของความต่ําศักดิ์ ผ้ึงหรือแมลงภู่เป็นสัญลักษณ์ของเพศชาย ดอกไม้เป็นสัญลักษณ์ของเพศหญิง เป็นต้น ๒.๓.๒ สัญลักษณ์เฉพาะบุคคล หมายถึง สัญลักษณ์ซึ่งกวีคนใด คนหนึ่งสมมุติขึ้น แทนส่ิงทต่ี อ้ งการแสดง ใช้เป็นของส่วนตัวโดยเฉพาะ ไม่แพร่หลายเท่าสัญลักษณ์ตามแบบแผน บางครั้งจึง ยากท่ีจะตีความว่าผู้แต่งต้องการใช้สัญลักษณ์ แทนสิ่งใด แต่สัญลักษณ์เฉพาะบุคคลนี้หากกวีใช้ซํ้า ๆ กัน หรอื มีผู้นาํ ไปใชต้ ามแบบอย่างจนเป็นทเี่ ข้าใจกนั ท่วั ไป สัญลักษณ์นั้นก็จะกลายเป็นสัญลักษณ์ตามแบบแผน สามารถตคี วามหมายไดง้ ่ายข้ึน การใช้สัญลักษณ์เป็นศิลปะการใช้ภาษาอย่างหนึ่งที่ทําให้เกิดความงาม เป็นการแนะ ใหผ้ อู้ า่ นคิดและทาํ ใหผ้ ู้อา่ นเกิดความเขา้ ใจได้อย่างกว้างขวางลึกซ้ึง โดยผู้เขียนไมต่ อ้ งอธิบายให้มากความ ๒.๔ การใชภ้ าษาใหส้ อดคลอ้ งกบั เนอื เรื่อง ๒.๔.๑ การเลือกใช้คาํ ทีม่ ีเสยี งสอดคลอ้ งกับบรรยากาศและอารมณ์ ความรสู้ ึกของผูแ้ ตง่ ๒.๔.๒ การเลือกใช้คาํ ทเี่ หมาะสมกับลักษณะนิสัยของตวั ละคร ๓. สาระของบทร้อยกรอง ความงามของบทร้อยกรอง นอกจากจะขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ ในเรอ่ื งเสียงและศิลปะการใช้ภาษาข้างต้นแล้ว สาระของบทร้อย กรองก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งซึ่งทําให้บท ร้อยกรองน้ันมีคุณค่า นา่ ประทบั ใจ สาระในที่นี้ หมายถึง ส่ิงท่ีกวีประสงค์จะสื่อมายังผู้อ่าน ซึ่งอาจจะเป็นข้อเท็จจริง คติชีวิต ข้อคิด ทรรศนะในการมองโลกและชวี ติ หรืออารมณ์ ความรู้สกึ ของกวี และอื่น ๆ ร้อยกรองแต่ละบท แต่ละเร่ือง ย่อมมีสาระอย่างใดอย่างหนึ่งซ่ึงกวีประสงค์ จะส่ือถึงผู้อ่าน สาระดังกล่าวน้ีกวีอาจจะถ่ายทอดให้ผู้อ่านทราบโดยใช้วิธีกล่าวอย่าง ตรงไปตรงมาในเนื้อหาที่เสนอน้ัน หรืออาจกล่าวโดยใช้สํานวนโวหารหรือศิลปะการประพันธ์แบบต่างๆตามความสามารถของกวีเพ่ือให้ผู้อ่าน ตีความเอาเองกไ็ ด้ บทร้อยกรองที่มีความงามน้ัน สาระ และความไพเราะ ตลอดจนศิลปะในการใช้ภาษาต้องมี สัดส่วนสมดุลกัน บทร้อยกรองที่มีความไพเราะแต่ไร้สาระก็เป็นบทร้อยกรองที่ด้อยคุณค่า ส่วนบทร้อย กรองท่ีมีสาระ แต่ขาดศิลปะในการใช้ภาษาก็ไม่ชวนอ่าน บทร้อยกรองท่ีดีจึงต้องประกอบไปด้วย องค์ประกอบทั้งสามสว่ น ดังกล่าวแล้วขา้ งตน้ น้ี แนวการอ่านและประเมนิ ค่าบทร้อยกรอง การอ่านบทร้อยกรองอาจมีข้อยุ่งยากกว่าการอ่านงานเขียนประเภทร้อยแก้วอยู่บ้าง เพราะ การแต่งบทร้อยกรองมีกฎเกณฑ์บังคับทางฉันทลักษณ์ที่ทําให้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประโยค แตกต่างไปจากภาษาร้อยแก้วโดยทั่วไป ทั้งคําท่ีนํามาใช้ในบทร้อยกรองก็อาจจะมีท่ียาก เพราะเป็นคํา ทไี่ ม่ได้ใช้กนั อยู่เป็นประจาํ หรือเป็นคาํ ทม่ี ีความหมายแตกต่างไปจากท่ีเคยทราบกัน นอกจากน้ีข้อความบาง ตอนอาจจะมีความหมายไม่ตรงตามตัวอักษร แต่มีความหมายโดยนัยแฝงอยู่ ซ่ึงผู้อ่านจะต้องตีความให้ ถูกทางจึงจะเข้าใจเรื่องราวได้ เนื่องจากในบทร้อยกรองนั้น คําทุกคํา ข้อความทุกข้อความล้วนแต่ มีความหมายสาํ คญั และสัมพนั ธก์ ันอย่างมาก ในอนั ทจ่ี ะถ่ายทอดเน้อื หาและความรูส้ ึกนึกคิดในบทประพันธ์ นั้นให้กระจ่างแก่ผู้อ่าน ฉะนั้นในการอ่านบทร้อยกรอง ผู้อ่านจึงต้องอ่านอย่างละเอียดลออและระมัดระวัง เพ่ือมใิ ห้ตคี วามผดิ พลาดไปจากที่ผูเ้ ขยี นต้องการได้ เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชา ท๓๐๒๐๗ การอ่านและพจิ ารณาวรรณกรรม ๗๕
การอ่านบทร้อยกรองเพ่ือให้เข้าใจเนื้อหาอย่างถ่องแท้ เพื่อจะได้เกิดความซาบซึ้งในบทกวีนั้น มวี ธิ กี ารแบ่งไดเ้ ปน็ ๓ ขัน้ ดังน้ี ขนั ท่ี ๑ อ่านเพื่อให้เข้าใจข้อความตามตัวอักษรหรืออ่านเอาเร่ือง ในช้ันนี้ผู้อ่านควรจะศึกษา โครงสร้างของประโยคในบทร้อยกรอง เพ่ือให้เข้าใจความคิดของผู้ประพันธ์เสียก่อน แล้วจึงเรียบเรียง ความคิดเป็นภาษาร้อยแก้วดูว่าเข้าใจเนื้อหาท่ีอ่านหรือไม่ ถ้าหากเข้าใจความตามตัวอักษรชัดเจนดีแล้ว จึงคอ่ ยแปลความในอนั ดบั ตอ่ ไป ในบทประพันธ์ประเภทร้อยกรองนัน้ ก็เช่นเดียวกับร้อยแก้ว คือ ข้อความจะประกอบ ข้ึนจากประโยค แต่โครงสร้างประโยคในบทร้อยกรองจะมีลักษณะแตกต่าง ไปจากโครงสร้างของประโยค ในภาษาร้อยแก้วที่ใช้กันอยู่ตามปกติ ท้ังน้ีเพราะในการแต่งร้อยกรอง กวีจําเป็นต้องใช้ถ้อยคําให้ถูกต้อง ตามขอ้ บงั คบั ในการแตง่ เชน่ ขอ้ บังคับในเร่ืองจํานวนคํา สัมผัส เสียงหนัก เสียงเบา เสียงวรรณยุกต์ ฯลฯ จึงเป็นสาเหตุให้การเรียงลําดับคําในประโยคของบทร้อยกรองแตกต่างไปจากประโยคธรรมดา ที่ใช้กัน ในชีวิตประจําวัน ในการอ่านบทร้อยกรองผู้อ่านจึงควรศึกษาลักษณะโครงสร้าง ของประโยคในบท ร้อยกรองให้เขา้ ใจอยา่ งถ่องแท้เสียก่อน เพอื่ ช่วยใหอ้ ่านบทร้อยกรอง ได้เข้าใจอย่างรวดเรว็ ยง่ิ ขึน้ โครงสร้างของประโยคในบทร้อยกรองท่คี วรทาํ ความเข้าใจมีดงั นี้ ๑. การเรียงลําดับคําในประโยค การเรียงลําดับคําในประโยคของบทร้อยกรอง เป็นการเรียงลําดับคําโดยมีฉันทลักษณ์เป็นกรอบบังคับ กวีจะเรียบเรียงคําอย่างใดก็ได้ภายใต้กรอบบังคับ น้ัน โดยไม่จําเป็นต้องคํานึงว่าจะผิดหลักไวยากรณ์หรือไม่ข้อสําคัญให้ความคิดที่จะแสดงออกมานั้นมี ความเด่นชดั มากกวา่ อยา่ งอืน่ ตามปกตกิ ารเรียงลาํ ดับคําในประโยคร้อยแก้วท่ัวไป มักจะเป็นประธาน + กริยา + กรรม ตามลําดับ ถ้ามีส่วนขยายก็มักอยู่หลังส่วนท่ีถูกขยาย จึงจัดว่าเป็น ภาษาท่ีถูกหลักไวยากรณ์ แต่ ประโยคในบทร้อยกรองแตกต่างไปจากน้ี คือ การเรียงลําดับคํา กรรม อาจอยู่ชิดกับประธาน กริยา ตามหลังก็ได้ หรือบางทีอาจจะขาดส่วนใดส่วนหนึ่งของประโยคก็ได้ เช่น ไม่มีประธาน มีเฉพาะกรรมกับ กริยา เปน็ ตน้ ขนั ที่ ๒ แปลความข้อความที่เป็นโวหาร ในขั้นนี้ให้ผู้อ่านลองพิจารณาดูว่า ในบทร้อยกรอง นั้นมีข้อความที่เป็นโวหารหรือข้อความท่ีมีความหมายโดยนัยแฝงอยู่หรือไม่ หากมีผู้อ่านจะต้องแปล ข้อความสว่ นท่เี ป็นโวหารนนั้ เสียก่อนเพ่อื ให้ได้ความหมายท่ีแท้จริงของบทร้อยกรองนนั้ การแสดงความคิดและอารมณ์ของกวีนั้น บางคร้ังกวีอาจจะไม่แสดงออกมาตรง ๆ แต่จะแฝงความคิดและความรู้สึกท่ีต้องการจะส่ือไว้ด้วยการใช้กวีโวหารและกลวิธีการแต่งแบบต่าง ๆ ผู้อ่านจึงต้องพยายามทําความเข้าใจกับความหมายของบทประพันธ์น้ัน โดยพิจารณากันตั้งแต่ความหมาย ที่เห็นได้จะแจ้งหรือความหมายตาม ตัวอักษรเสียก่อน แล้วค่อยหย่ังลึกลงสู่การแปลความหมายท่ีซับซ้อน ซ่ึงแฝงอยใู่ นคําประพนั ธ์ ขนั ที่ ๓ ตีความหรือสรุปความหมายบ้ันปลายของบทประพันธ์ เมื่อผู้อ่าน อ่านบทร้อยกรอง จนเข้าใจเนื้อความตามตัวอักษร และแปลความหมายของกวีโวหารต่าง ๆ จนเข้าใจเน้ือความที่แท้จริงของ คําประพนั ธใ์ นแต่ละบท แตล่ ะตอนแลว้ ให้ผู้อ่านย้อนกลับไปอ่านบทร้อยกรองนั้นใหม่อีกคร้ังหนึ่ง เพ่ือหาดู ว่าเจตนาท่ีแท้จริง ของกวีในการเขียนบทประพันธ์นั้นคืออะไร แล้วพยายามสรุปความหมายของเร่ือง ท้ังหมดออกมาเปน็ ขอ้ ความใหม่ทีส่ ั้นและกระชับ ครอบคลุมท้ังเรื่องหรือเฉพาะตอนที่อ่านนั้น ซึ่งหากผู้อ่าน เข้าใจเนือ้ ความถูกตอ้ งดีแล้ว กจ็ ะสรปุ ความหมายน้ีได้ไมย่ าก เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ า ท๓๐๒๐๗ การอ่านและพิจารณาวรรณกรรม ๗๖
ข้นั ตอนในการอ่านบทร้อยกรองทง้ั สามชน้ั ดงั กลา่ วมาท้ังหมดข้างต้นนี้ ผู้อ่านจะเห็นได้ว่า ข้ันแรก เป็นขน้ั ทสี่ าํ คัญท่สี ดุ เพราะถา้ หากความเขา้ ใจในขัน้ น้ีถูกต้อง ชัดเจนดีแล้ว การแปลความอันดับต่อ ๆ มาก็ จะเข้าแนวที่ถูกต้องตามไปด้วย แต่ถ้าความเข้าใจตามตัวอักษรบกพร่องหรือผิดเพ้ียนไป คืออ่านไม่รู้เร่ือง ตง้ั แตต่ น้ เสียแล้ว การแปลความหรอื การตคี วามขน้ั ตอ่ ๆมากจ็ ะเพ้ียนไปด้วย และบางครั้งอาจจะเพ้ียน มาก จนทําใหเ้ นื้อความท้ังหมดไม่ต่อเนือ่ งกัน หรอื ถงึ กับผิดเรือ่ งไปเลยกเ็ ป็นได้ การประเมินคา่ บทร้อยกรอง ผู้อ่านอาจพิจารณาจากสุนทรียภาพในด้านต่างๆของบทประพันธ์ดังกล่าวอย่างละเอียดแล้ว ข้างต้น โดยเฉพาะในด้านศิลปะการใช้ภาษาน้ัน ควรให้ความสําคัญเป็นพิเศษ ท้ังน้ีเพราะภาษาเป็นพาหะ นําเอาความรู้สึกทางอารมณ์สะเทือนใจและจินตนาการของผู้เขียนมายังผู้อ่าน หากผู้เขียนไม่สามารถ ใช้ภาษาเป็นเคร่ืองมือในการแสดงออกอย่างได้ผลแล้ว ผู้อ่านก็ไม่อาจจะ เข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกของเขา ได้อย่างถ่องแท้ ความประทับใจในบทประพันธ์น้ันก็ไม่เกิดขึ้น การแสดงออกอย่างงดงามด้วยการใช้ภาษา อย่างมศี ลิ ปะจงึ เปน็ ส่งิ สําคญั ทท่ี ําให้งานชิน้ นน้ั มีพลงั จบั ใจผู้อ่าน และมีคณุ คา่ ควรแก่การพจิ ารณา นอกจากความงามในด้านการแสดงออกแล้ว ผู้อ่านอาจจะพิจารณาคุณค่าในด้านผลสะท้อน ทีไ่ ด้รับจากการอ่านบทร้อยกรองนนั้ ประกอบด้วยก็ได้ เช่น ความเพลดิ เพลินและสาระประโยชน์ท่ีได้รับจาก การอ่าน เป็นต้น เม่ือพิจารณาท้ังสองส่วนประกอบกันแล้ว ผู้อ่านก็จะได้คําตอบว่า บทร้อยกรองนั้น มีคณุ ค่าอย่างไร เพียงใด เพราะเหตุใด เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชา ท๓๐๒๐๗ การอา่ นและพิจารณาวรรณกรรม ๗๗
กิจกรรมพฒั นาการเรยี นรู้ การอ่านและพิจารณาบทรอ้ ยกรอง กจิ กรรมท่ี ๑ ๑. รอ้ ยกรอง หมายถึง งานเขยี นท่ีมลี ักษณะอยา่ งไร ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ๒. ลกั ษณะบงั คับท่สี ําคัญของรอ้ ยกรองมอี ะไรบา้ ง ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ๓. ลกั ษณะบงั คับทีส่ าํ คัญของบทร้อยกรองประเภทตา่ งๆต่อไปน้ี ๑) โคลง ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ๒) ฉนั ท์ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ๓) กาพย์ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ๔) กลอน ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ๔. กลอนเปลา่ หมายถึง งานเขียนทีม่ ลี ักษณะอย่างไร และจัดเปน็ งาน เขยี นประเภทรอ้ ยกรองหรือไม่ เพราะเหตใุ ด ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชา ท๓๐๒๐๗ การอา่ นและพจิ ารณาวรรณกรรม ๗๘
๕. บทรอ้ ยกรองทีช่ วนอานและนา่ ประทับใจ ควรมีคณุ สมบัตอิ ยา่ งไรบา้ ง ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ๖. ให้นักศกึ ษาคัดลอกบทรอ้ ยกรองทนี่ ักเรยี นอา่ นแล้วประทับใจ มา ๑ เร่ือง ให้บอกช่อื ผแู้ ตง่ และที่มา รวมท้งั อธบิ ายความหมาย และบอกเหตุผลทท่ี ําให้นักศกึ ษาประทับใจบทร้อยกรองชน้ิ นั้น ชือ่ .......................................................................... ตัวบท ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................ ...................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ความหมาย ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... เหตผุ ลทป่ี ระทับใจ ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ า ท๓๐๒๐๗ การอ่านและพิจารณาวรรณกรรม ๗๙
กจิ กรรมท่ี ๒ ๑. ใหน้ กั เรยี นอ่านบทร้อยกรองทย่ี กมาต่อไปนี้ แล้วตอบคําถามตามประเด็นทก่ี ําหนด ทงุ่ ข้าว ทงุ่ ขา้ วเขยี วขจี สีสดชนื่ ระร่นื ลมไหว ปูปลามาเล็มไคล ในน้าใสใต้สันตะวา แมลงนอ้ ยนดิ ไรเ้ ดียงสา สาหร่ายชดู อกกระจริ ิด แมงมมุ ตัง้ ท่าตะครุบกิน เกาะดอกหญา้ บนคนั นา แววตาหมน่ หมองไม่ส้ิน ควายเค้ียวเออื้ งนอนหนอง เกาะกินเลอื ดลน้ พุงกลวง เหลอื บรนิ้ วนเวียนบิน เสมือนน้าบนใบบัวหลวง เลื้อยไปล้วงรปู ูนา กบเขียดรอ้ งเสยี งใส จิกปลากนิ เกาะกง่ิ หว้า งอู ะไรสเี งินยวง แสงแดดกลา้ กง่ึ กลางวัน เขา้ ร่มไม้ชายนาประหนึ่งสวรรค์ ยางขาวถลาบนิ ชวนกนั นงั่ ลอ้ มวงกนิ เงาเมฆสีหมน่ ลอยมา แกลม้ ยอดหญ้าหวน่ั ใจถวลิ ถอนกลา้ มาเหนือ่ ยเมือ่ ยลา้ คือถน่ิ ทงุ่ ทองของไทยเอย แกห้ ่อขา้ วออกวางพลนั นา้ พรกิ เจอื แมงดา ว่าสวรรค์ในแควน้ แดนดนิ \"กวนี ิพนธ์\" ของ อังคาร กลั ยาณพงศ์ ๑) สารของบทรอ้ ยกรองนคี้ อื อะไร ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ๒) มีส่ิงใดในบทร้อยกรองน้ที ่ีนกั เรยี นคิดว่าเปน็ จดุ เดน่ ทน่ี า่ ชมเชยบา้ ง ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ๓) นกั เรยี นมขี อ้ คดิ เห็นอย่างไรเกี่ยวกบั บทร้อยกรองน้ีและร้สู ึกชอบหรือไม่ เพราะเหตุใด ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชา ท๓๐๒๐๗ การอา่ นและพจิ ารณาวรรณกรรม ๘๐
คาว่า พิจารณา พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ความหมายว่า ตรวจตรา ตริตรอง สอบสวน ฉะนั้น การพิจารณา คือ การดูให้ละเอียด อย่างถ่ีถ้วนแล้วตัดสินวินิจฉัยคุณค่า วา่ ดหี รอื ไม่ดีเพราะเหตุใด การพิจารณาหนังสือเป็นการอ่านหนังสืออย่างละเอียดถ่ีถ้วน แล้วแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับ หนังสือเล่มนน้ั อยา่ งมหี ลกั เกณฑ์ เป็นการวิเคราะห์และวิจารณห์ นังสอื การพิจารณาหนังสือจะช่วยให้ผู้อ่าน อา่ นหนงั สอื อย่างมหี ลกั เกณฑ์ อา่ นหนังสอื อย่างสนุกสนานและมองเห็นคุณค่าของหนังสือ เข้าถึงรสไพเราะ ของหนังสือและการใช้ถ้อยคา ทาให้ผู้อ่านชอบอ่านหนังสือมากข้ึน นอกจากการพิจารณาหนังสือจะเป็น การอ่านเพ่ือเข้าใจหนังสือแล้ว ผู้อ่านยังสามารถอธิบายคุณค่าของหนังสือได้อย่างมีหลักการ ช่วยทาให้ ผู้อ่านรู้จักส่วนประกอบของหนังสือทั้งรูปแบบการแต่งเน้ือเรื่อง ความไพเราะของสานวนโวหาร สามารถ ประเมินคณุ ค่าของหนงั สอื ได้ และทาให้ผ้อู ่านเกิดสตปิ ญั ญาในการอา่ นมากขน้ึ ผ้พู จิ ารณาหนงั สอื จะต้องมีความสามารถหลายอย่าง เช่น อ่านจับใจความได้ ตีความได้ อ่านแล้ว แยกไดว้ ่าข้อความใดเป็นข้อเท็จจริง ข้อความใดเป็นการแสดงความคิดเห็น หรืออ่านแล้วประเมินคุณค่าได้ นอกจากนั้นผู้พิจารณาหนังสือยังจะต้องรูจ้ ักลกั ษณะของหนงั สอื ประเภทต่าง ๆ เพราะการพิจารณาหนังสือ แต่ละประเภทย่อมแตกต่างกนั ไปตามลักษณะของประเภทหนงั สือ เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ า ท๓๐๒๐๗ การอ่านและพจิ ารณาวรรณกรรม ๘๑
การพจิ ารณาหนังสือ ผู้ที่พิจารณาหนังสือเป็น หมายถึง เมื่ออ่านหนังสือแล้วสามารถจับสาระสาคัญ และแสดง ความคิดเห็นในแง่มุมตา่ ง ๆ ตอ่ หนงั สอื ทอ่ี ่านได้อยา่ งมหี ลกั เกณฑ์ การพิจารณาหนังสือ จึงหมายถึง การอ่านหนังสืออย่างละเอียดรอบคอบ และไตร่ตรองอย่าง มวี จิ ารณญาณทุกแง่มุม โดยพิจารณาไปด้วยระหว่างการอ่าน หรือพิจารณาเม่ืออ่านจบแล้ว เพื่อหาคาตอบ ใหไ้ ด้ประโยชน์ตามวตั ถุประสงค์ หลักการพิจารณาหนังสือ การพิจารณาหนังสือ ผู้พิจารณาควรมีหลักการเพื่อเป็นแนวทาง การพจิ ารณาหนังสอื ดงั ตอ่ ไปนี้ ๑. ตั้งจุดมุ่งหมายการอ่านว่า จะอ่านเพ่ือพิจารณาหนังสือ ผู้อ่านจะต้องสามารถบอกจุดดีหรือ จุดดอ้ ยของหนงั สือ บอกรูปแบบของหนงั สือ สามารถบอกคุณค่าของหนงั สอื ได้ ๒. วางใจให้เป็นกลางไม่อ่านด้วยอารมณ์หรืออคติ เพราะจะทาให้การพิจารณาผิดพลาดได้ ๓. อา่ นอยา่ งละเอียดถถี่ ว้ น เพราะจบั สาระสาคญั และวินิจฉัยคณุ ค่าของหนังสือได้ ๔. รู้หลักการวจิ ารณ์หนังสอื เบอ้ื งตน้ ไดแ้ ก่ ๔.๑ รู้ลักษณะของหนังสือประเภทต่าง ๆ เช่น หนังสือวิชาการ สารคดี นวนิยาย เรื่องสั้น นทิ าน เปน็ ตน้ ๔.๒ สามารถบอกแนวคิดของเรือ่ ง ลักษณะโครงเร่ือง และเน้อื เร้อื งโดยย่อได้ ๔.๓ สามารถบอกจุดมุ่งหมายของการแต่งได้ว่า ผู้แต่งมีจุดมุ่งหมายอย่างไร ซ่ึงอาจรู้ได้ จากคานาหรอื แฝงอยู่ในเน้ือเรอื่ ง ๔.๔ มีความรู้เกี่ยวกับการใช้ภาษา สามารถอธิบายการใช้ภาษาในหนังสือได้ถูกต้องตาม หลักภาษา สามารถใช้ภาษาสื่อความหมายให้ผุ้อ่านเข้าใจเร่ืองได้ง่าย อธิบายเรื่องใดเรื่องหน่ึงชัดเจน และ ใชถ้ ้อยคาได้เหมาะสมกบั เนอ้ื เร่อื ง ๔.๕ มคี วามร้เู กีย่ วกบั การใช้โวหารในการแตง่ ไดแ้ ก่ การใชข้ ้อความเปรียบเทยี บเชงิ อุปมาอปุ ไมย การใช้บุคลาธิษฐานเปน็ ข้อความทใ่ี ห้สิ่งไม่มีชวี ิตทากริ ยิ าอาการเหมือนสิง่ มชี วี ิต การใช้สัญลกั ษณ์ คือ ใช้ส่ิงแทนความหมายอย่างใดอย่างหน่ึง ทาให้ผู้อ่านเข้าใจได้ อยา่ งลกึ ซ้งึ การกลา่ วเกินจริง คือ ขอ้ ความทกี่ ลา่ วให้เกินเลยความเปน็ จรงิ ๔.๖ สามารถบอกคุณค่าของหนังสือได้ว่า มีคุณค่าทางด้านภาษา ทางสังคมและ วฒั นธรรม ทางการดาเนนิ ชวี ิตของคนเรา หรือมคี ณุ ค่าทางดา้ นความรู้ดา้ นใดบ้าง ๕. ผู้อ่านต้องนาหลักการวิจารณ์เบ้ืองต้นเป็นเกณฑ์การตัดสินหนังสือ ผู้อ่านจะต้องอ่านหนังสือ โดยตลอดเลม่ ใหเ้ ขา้ ใจเรอื่ งก่อนสามารถเลา่ เรื่องโดยย่อได้ แล้วนาหลักเกณฑไ์ ปพจิ ารณาหนังสือ ๖. ผู้อ่านจะต้องตัดสินใจ โดยใช้เกณฑ์การวินิจฉัยคุณค่าของหนังสือได้ว่า พอใจหรือไม่ และ สามารถสรปุ รปู แบบของหนังสือได้ ๗. สรุปสาระสาคญั ความรู้ แง่คิด ขอ้ คดิ เห็น และเจตนาของผเู้ ขียน ๘. แลกเปล่ียนความคิดเห็นและเหตุผลจากการพิจารณาหนังสือเรื่องเดียวกันกับผู้อ่านคนอ่ืนๆ เพราะอาจมคี วามคิดไม่เหมอื นกนั หรือมีความลกึ ซึ่งตา่ งกัน เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ า ท๓๐๒๐๗ การอา่ นและพจิ ารณาวรรณกรรม ๘๒
การฝกึ ฝนเพอ่ื แสดงทศั นะและการพิจารณาหนังสอื การฝึกฝนเพอ่ื แสดงทศั นะและการพจิ ารณาหนังสือ ควรกระทาดงั นีค้ อื ๑. ตั้งความมุ่งหมายในการอ่านหนังสือแต่ละเร่ืองไว้ก่อนที่จะลงมืออ่านว่า จะอ่านเรื่องนี้ เพ่ืออะไรหวังว่าจะได้รับสิ่งใดจากการอ่าน อย่าอ่านหนังสือโดยไม่คิด คืออย่าอ่านไปเร่ือย ๆ ปล่อยให้ ผา่ นไปกบั การฆ่าเวลา การอา่ นเชน่ น้ันไดป้ ระโยชนน์ ้อย เมอ่ื เทียบกับเวลาท่เี สียไป ๒. ควรอ่านความรู้เกี่ยวกับประเภทหนังสือ ลักษณะเฉพาะวิธีแต่งของหนังสือแต่ละประเภท เป็นการสร้างความรู้พื้นฐานการอ่านหนังสือ เช่น หนังสือประเภทเร่ืองส้ัน มักมีวิธีแต่งต่างกับนิยายตรงที่ ตอนจบจะทิ้งปัญหาไว้ให้ผู้อ่านติดต่อ ผู้อ่านท่ีอ่านเรื่องส้ันก็ต้องเตรียมใจไว้คิดไม่แสดงความไม่พอใจ ท่ีผู้แต่งไม่ชี้แจงจนกระจ่างชัด หรือหนังสือประเภทวีนิพนธ์ก็ควรราบว่าผู้แต่งมักใช้ภาษากวีและดาเนิน เข้าเร่อื งแบบซา้ ๆ กัน และควรทราบว่าบทกวปี ระเภทนั้นๆ มอี งค์ประกอบอย่างไรเปน็ ต้น ๓. พยายามคิดเปรียบเทียบเรื่องราวในหนังสือกับสภาพแวดล้อม เหตุการณ์และชีวิตคนจริง ๆ ในสังคม พิจารณาเร่ืองราวดังกล่าวในหนังสือน้ันมีความเป็นจริง ความถูกต้อง และความเป็นไปได้ เพยี งใด นอกจากนนั้ ยงั ควรฝกึ ฝนใหเ้ กิดความคิดเก่ียวโยงไปถึงสิ่งทเ่ี กีย่ วข้องรอบๆ เนื้อหานนั้ ดว้ ย ๔. ฝึกออกความคิดเห็นเมื่ออ่านจบแล้ว อาจเร่ิมฝึกด้วยการวิจารณ์ส้ัน ๆ ว่า เร่ืองน้ีดีพอใช้ได้ ดีพอหรือไม่สู้ดี คาวิจารณ์ดังกล่าต้องมีเหตุผลด้วยว่า ดีอย่างไร ไม่ดีอย่างไร สามารถประเมินผลจาก การอ่านได้ว่าตรงตามความมุ่งหมายท่ีตั้งไว้ก่อนหรือไม่ และหนังสือมีคุณค่าทางด้านใด เช่น ให้ความรู้ ทแ่ี จ่มชดั ให้ความคดิ สร้างสรรค์ ให้ความบนั เทงิ ใจหรือเสรมิ สรา้ งจรยิ ธรรม ประโยชน์ของการพจิ ารณาหนังสอื 1. ช่วยให้ผู้อ่านมีประสิทธิภาพ คือ จับใจความสาคัญ สรุปความ ประเมินคุณค่า และสามารถ วิจารณ์ ตชิ มหนังสือทีอ่ ่านได้ 2. ช่วยใหร้ จู้ กั อ่านหนงั สือย่างมีหลักเกณฑ์ เขา้ ใจคณุ คา่ และรักการอา่ นมากขน้ึ 3. รูจ้ กั นาเอาสว่ นทีเ่ ปน็ ประโยชนจ์ ากการอา่ นไปใชใ้ หเ้ กดิ คณุ ค่าแกต่ นเอง 4. กระตุ้นให้มกี ารผลิตหนงั สอื ท่ีมามาตรฐานสตู่ ลาดหนังสอื มากขน้ึ การวิจารณ์หนงั สือ การวิจารณ์หนังสือ คือคากล่าวของหนังสืออย่างมีหลักเกณฑ์ การวิจารณ์มีความสาคัญมาก จะช่วยให้ผู้อ่านคนอ่ืน ๆ ได้ทราบความคิดเห็นที่มีต่อหนังสือนั้น และช่วยให้ผู้เขียนรู้จักตนเอง แก้ไข ข้อบกพร่อง อันจะเป็นทางสร้างสรรค์งานวรรณกรรมเรื่องอื่น ๆ ต่อไป ผู้วิจารณ์ควรยึดถือหลักเกณฑ์ ในการประเมินค่าของหนังสือ ดงั น้ี ใช้เกณฑ์การพิจารณาต่าง ๆ กัน สาหรับการวิจารณ์หนังสือแต่ละประเภท ผู้วิจารณ์ต้องศึกษา ลักษณะและแนวทางการแต่งหนังสือแต่ละประเภท ให้ทราบว่าหนังสือแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะ อย่างไรการพิจารณาหนังสือแต่ละเรื่องต้องสอดคล้องกับลักษณะเฉพาะของหนังสือประเภทน้ัน ๆ จะใช้ หลักเกณฑ์เดยี วกนั สาหรับหนงั สอื ทกุ เรอ่ื งไม่ได้ ใช้หลักเหตุผล คือ กล่าวถึงหนังสืออื่นๆ อย่างตรงไปตรงมา ต้องกล่าวโดยอาศัยเหตุและ ความถกู ต้อง ไม่ใช้ความรสู้ กึ ส่วนตวั ตดั สนิ คุณค่าของหนังสอื ใช้หลักความยุติธรรม คือ พยามวิจารณ์ทุกด้านทั้งในด้านดีและด้านด้อยใช่มองแต่ด้านในด้าน หนงึ่ เท่านั้น เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ า ท๓๐๒๐๗ การอ่านและพจิ ารณาวรรณกรรม ๘๓
หลักการอา่ นเพ่อื การวิจารณ์หนังสอื ๑. สามารถอธิบายลักษณะของงานเขียน เพ่ือปูพ้ืนฐานความเข้าใจแก่ผู้อ่านหรือฟังการวิจารณ์ ดงั นี้ ๑.๑ เป็นร้อยกรองหรือร้อยแก้วประเภทใด เช่น เป็นร้อยกรองประเภทกลอนสุภาพ เป็น รอ้ ยแก้วประเภทเรื่องสนั้ ๑.๒ ลักษณะการดาเนินเร่ือง คือ เน้ือหาสาคัญโดยสรุป (ใคร ทาอะไร ท่ีไหน เม่ือไร อย่างไร ทาไม) ๑.๓ กลวธิ ีการเขยี น ถอ้ ยคาภาษาที่ใช้ และความคิดเหน็ หรือความมุ่งหมายของผู้เขยี น ๒. วนิ จิ ฉยั คณุ คา่ ของหนงั สือในแงม่ ุมต่าง ๆ เช่น เนื้อหา วิธีการดาเนินเรื่อง การใช้สานวนโวหาร และผลทีม่ ีต่อผู้อ่าน โดย ๒.๑ อภิปรายและยกรายละเอียดส่วนที่สาคัญของหนังสือข้นึ มาช้ีให้เห็น ๒.๒ ยกข้อดขี ้อเสียของงานเขยี น และแสงความคดิ เหน็ อย่างมีเหตุผลโดยปราศจากอคติ ๒.๓ ประเมนิ คุณคา่ เฉพาะแต่ละประเด็นอยา่ งชัดเจน ๒.๔ บอกประโยชน์ทีผ่ อู้ ่านจะไดร้ บั เช่น ผลทางด้านสตปิ ัญญา หรือความบันเมงิ ใจ รูปแบบวจิ ารณ์หนงั สอื ผู้วิจารณ์อาจวิจารณ์หนังสือได้ ๒ อย่าง คือ วิจารณ์เฉพาะจุดอย่างหนึ่ง กับวิจารณ์เฉพาะ เรื่องอกี อย่างหนง่ึ การวิจารณ์เฉพาะจุด คือ กล่าวถึงองค์ประกอบของหนังสือส่วนใดส่วนหน่ึง โดยเฉพาะ เช่น วจิ ารณ์หนังสือสารคดเี ฉาะเน้อื หาจุดเดียว วิจารณ์ วจิ ารณห์ นงั สอื รอ้ ยกรองเฉพาะแง่ความงดงามของ คาประพนั ธ์ วจิ ารณ์นวนิยายเฉพาะการสร้างตวั ละคร ดงั นเี้ ป็นต้น การวิจารณ์ทัง้ เร่อื ง คือ กลา่ วถึงองค์ประกอบสาคัญทุกอย่างของหนังสือ ได้แก่ เนื้อหา สาระภาษาที่ใช้และการสอดแทรกความร้เู ร่อื งทัศนะท่มี ีค่า เป็นตน้ ผู้วิจารณ์จะเลือกวิจารณ์วิธีใดก็ได้ หนังสือบางเร่ืองเป็นเร่ืองที่รู้จักแพร่หลายและมีผู้วิจารณ์ กันมาก อาจเลือกวิธีวิจารณ์เฉพาะจุด เพ่ือหลีกเลี่ยงการกล่าวซ้า ส่วนหนังสือใหม่ที่ยังไม่แพร่หลายควร วิจารณ์โดยกล่าวรวมทั้งเรื่อง การฝึกหัดวิจารณ์หนังสือในขั้นต้น ควรวิจารณ์เฉพาะจุดอ่อน โดยเลือก กลา่ วถึงจุดท่ีตนสะดุดใจมากที่สดุ การวจิ ารณห์ นงั สือจะเกดิ ขน้ึ ไดต้ อ่ เมือ่ ผู้อา่ นแล้วคิด คือคิดเร่ืองราวตามสาระของหนังสือคิด เหตุผล ความเป็นจริง ความถูกต้อง คิดเทียบความเป็นไปได้ในสังคมจริง และคิดประเมินค่าของหนังสือ ในที่สดุ ประโยชนจ์ ากการวจิ ารณ์หนังสอื ๑. ฝึกใหอ้ ่านอยา่ งมคี วามคิด ทาให้เป็นนักคิดและเกิดสตปิ ัญญาความรอบรู้ ๒. เสริมสร้างนิสัยในการอ่านอย่างมีวิจารณญาณ รู้จักใช้เหตุผลในการตัดสินใจ ช่วยให้ไม่ หลงเช่ือตามขอ้ ความจงู ใจใด ๆ ๒. นาหนักการวจิ ารณไ์ ปใช้ในการพจิ ารณาหนังสอื ได้ เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ า ท๓๐๒๐๗ การอ่านและพิจารณาวรรณกรรม ๘๔
การแนะนาหนงั สอื เน่ืองจากโลกปัจจุบันเป็นยุคแห่งสังคมข่าวสาร มีหนังสือมากมายหลายประเภท การแนะนา หนังสือบางครั้งเรียกเป็นคาศัพท์ว่า การปฏิเทศหนังสือ เป็นการแสดงทัศนะอย่างง่าย ซ่ึงกระตุ้นให้เกิด ความสนใจในการอ่าน และให้ประโยชน์ต่อผู้อ่าน โดยเป็นข้อมูลที่อานวยความสะดวกต่อการเลือกหนังสือ อา่ น หรือช่วยประกอบการตดั สนิ ใจ หลักการเขียนแนะนาหนังสอื ๑. อา่ นหนังสอื ทีจ่ ะแนะนาอย่างละเอียด โดยใช้หลกั การพจิ ารณาหนงั สือ ๒. บอกประเภทของหนงั สือ เช่น นวนิยาย เรื่องสั้น สารคดี ฯลฯ ๓. บอกรายละเอยี ดของหนังสือ ๓.๑ ช่อื เรื่อง คือบอกชอ่ื หนังสือ ๓.๒ ชื่อผู้แต่ง บอกนามปากกาหรือนามจริง อาจแนะนาให้ละเอียดขึ้นได้โดยบอก ประวตั ยิ ่อและผลงานการแสดงหนังสือ ๓.๓ สานกั พมิ พ์ บอกชื่อสานกั พิมพ์ทจ่ี ดั พิมพ์หนงั สอื นนั้ ๓.๔ ปที ี่พมิ พ์ บอกปี พ.ศ. ทพ่ี ิมพ์ไว้ทปี่ กด้านในหรือตอนทา้ ยเลม่ หนงั สือ ๓.๕ ขนาดหนังสือและจานวนหน้า บอกขนาดหนังสือว่ามีกี่หน้ายกเช่น 8 หน้ายก หรือ 16 หนา้ ยก และมที ้งั หมดก่ีหน้า ๓.๖ บอกราคา บอกราคาท่พี มิ พ์ไวท้ ีป่ ก ๔. แนะนาหนังสือโดยเน้ือหาโดยย่อ บอกขอบข่ายของเนื้อหาหรือเนื้อย่ออย่างสั้น ๆ บอกถึง การดาเนินเร่ือง ความน่าสนใจ ประโยชน์ที่ผู้อ่านจะได้รับ เช่น ความสนุกเพลิดเพลิน ความรู้ แง่คิด ข้อเท็จจรงิ โดยหยบิ ยกตัวละครหรือขอ้ ความบรรยายประกอบการอภิปราย ๕. ความเหมาะสมสาหรับผู้อ่าน แนะนาว่าหนังสือน้ันเหมาะกับผู้ใด เช่น เหมาะสาหรับครู ผปู้ ระกอบอาชพี ทาไร่ หรือเหมาะสมกับผูอ้ า่ นวัยรนุ่ ดังน้เี ป็นตน้ ผู้แนะนาหนังสือต้องวางตัวเป็นกลาง คือไม่ยกย้องหรือตาหนิ และท่ีสาคัญคือ ไม่แนะนาอย่าง ละเอยี ดมากเกนิ ไป จนผอู้ ่านหมดความกระตอื รือรน้ ทจี่ ะอา่ น ประโยชน์จากการเขียนแนะนาหนังสือ ๑. ทาให้เป็นนกั อ่านเพราะตอ้ งอ่านหนังสือมาก ๒. ฝึกการพจิ ารณาและวิจารณห์ นงั สอื ๓. สามารถแสดงความคิดเห็นเกย่ี วกับหนังสอื ได้ เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ า ท๓๐๒๐๗ การอ่านและพจิ ารณาวรรณกรรม ๘๕
บรรณานกุ รม กุหลาบ มลั ลิกะมาส. (๒๕๒๐). วรรณคดวี ิจารณ์. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยรามคําแหง โกชัย สาริกบตุ ร. (๒๕๑๘). การสรา้ งความสามารถในการอา่ น. เชยี งใหม่: โรงพมิ พ์กลางเวียง. จติ รลดา สวุ ัตถิกลุ และ มณฑนา วฒั นถนอม. (2533). หนังสือเรยี นภาษาไทย ท022 วรรณกรรม ปัจจบุ นั . นนทบรุ ี: ไทยร่มเกลา้ . จติ รลดา สวุ ัตถิกุล. (2526). วรรณกรรมไทยรว่ มสมัย. นครปฐม: มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร. เจอื สตะเวทนิ . (๒๕๑๗). ตํารบั รอ้ ยแกว้ .กรุงเทพฯ: สทุ ธิสารการพิมพ์. ฉวลี กั ษณ์ บุณยะกาญจน์. (๒๕๒๓). การอา่ นและพิจารณาหนงั สือ. พมิ พค์ รั้งที่ ๒ กรุงเทพฯ: สมาคมห้องสมุดแหง่ ประเทศไทย. ดวงมน จติ ร์จาํ นงค์. (๒๕๒๖). สนุ ทรียภาพในภาษาไทย. กรุงเทพฯ : เคลด็ ไทย. ตรีศลิ ป์ บุญขจร. (๒๕๓๑). “กระบวนการอ่านเพ่ือความรอบรู้” ใน เอกสารสอนชดุ วิชา การใชภ้ าษาไทย หน่วยที่ ๙ - ๑๕. พิมพค์ รง้ั ท่ี ๒. นนทบุรี: มหาวิทยาลยั สุโขทัยธรรมาธิราช. บุญเหลอื เทพยสวุ รรณ, ม.ล. (๒๕๑๔). แนะแนวการเรยี นวรรณกรรมวิจกั ษ์และวรรณคดวี ิจารณ์ นครปฐม: คณะอักษรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร. ปรีชา ชา้ งขวญั ยนื . (2525). ความรูพ้ ื้นฐานการใช้ภาษาไทย. กรงุ เทพฯ: ประทานพร. พรี ะ จิรโสภณ. (๒๕๒๘). “ประเภทของสือ่ สิ่งพมิ พ์” ใน เอกสารการสอนชุดวชิ า ความรู้เบอื้ งต้นเกยี่ วกับสือ่ สิ่งพมิ พ์ หน่วยที่ ๑ - ๒. นนทบุรี: มหาวทิ ยาลยั สุโขทัยธรรมาธริ าช รัญจวน อนิ ทรกําแหง. (๒๕๑๕). การเลือกหนงั สอื และโสตทัศนวัสดุ. กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลยั รามคําแหง. รน่ื ฤทัย สัจจพันธุ.์ (2554). วรรณกรรมปจั จบุ ัน. พมิ พค์ ร้งั ท่ี 18. กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลัยรามคําแหง. วภิ า กงกะนันท์. (๒๕๒๓). วรรณคดีศกึ ษา. กรุงเทพฯ: ไทยวฒั นาพานิช. สายทิพย์ นกุ ูลกิจ. (2537). วรรณกรรมไทยปัจจุบนั . กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ. สทุ ธิวงศ์ พงศ์ไพบลู ย.์ (2520). ท021 การอ่านและพิจารณาหนงั สือ. กรงุ เทพฯ: ไทยวฒั นาพานิช. สุภาพ รงุ่ เจรญิ . (2542). หนงั สอื เสริมความรภู้ าษาไทย การอา่ นและพิจารณาหนงั สือ. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์ครุ ุสภาลาดพร้าว. ประทีป เหมือนนลิ . (๒๕๑๙). วรรณกรรมปจั จุบัน. กรงุ เทพฯ: อักษรสมั พนั ธ์. สทิ ธา พินจิ ภูวดล และประทีป วาทิกทนิ กร. (๒๕๑๖). ร้อยกรอง. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลยั รามคําแหง. สทิ ธา พินิจภูวดล และทิพยสเุ นตร อนมั บตุ ร. (๒๕๒๕). หนงั สอื เรียน ท๐๒๑ : การอา่ น และพจิ ารณาวรรณกรรม ชั้นมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย. กรุงเทพฯ: วัฒนาพานิช. อดุ ม หนทู อง. (๒๕๑๙). พน้ื ฐานการศึกษาวรรณคดีไทย. กรุงเทพฯ: อกั ษรสัมพันธ์. เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ า ท๓๐๒๐๗ การอา่ นและพิจารณาวรรณกรรม
วสิ ัยทศั น์กลุม่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย มุ่งมนั พัฒนาผู้เรยี นให้มีความรู้ ความสามารถในการใช้ภาษาไทยไดอ้ ย่างสร้างสรรค์ ดาํ รงไว้ซึงเอกลักษณข์ องภาษา ภายใตก้ ารเปลียนแปลงของสังคม ควบคู่กับคณุ ธรรม จรยิ ธรรมบนพืนฐานของความเปนไทย กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนวดั สุทธวิ ราราม 252 ถนนเจรญิ กรงุ แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพฯ 10120
Search