Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิจัยในชั้นเรียน.วิทย์.ป6

วิจัยในชั้นเรียน.วิทย์.ป6

Published by ซาบีดี ปะดอฮิง, 2022-06-12 14:56:41

Description: วิจัยในชั้นเรียน.วิทย์.ป6

Keywords: วิจัย

Search

Read the Text Version

นายซาบดี ี ปะดอฮิง ตาแหน่ง ครูผ้ชู ่วย โรงเรียนบ้านดือแยหะยี สังกดั สานักงานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต ๑ สังกดั สานักงานการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ผจู้ ดั ทำ : นายซาบดี ี ปะดอฮงิ ตำแหนง่ ครูผู้ช่วย โรงเรยี นบา้ นดอื แยหะยี

วจิ ัยในชัน้ เรียน เรอ่ื ง การศึกษาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนของนักเรียนท่ีเรยี น โดยใช้ชุดส่ือพฒั นากระบวนการคดิ ก เร่อื งแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟา้ ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปที ่ี 6 วชิ าวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี คำนำ คำนำ เอกสารงานวิจัยฉบับนี้จัดทำข้ึนเพ่ือเป็นส่วนหน่ึง ในงานวิจัยชั้นเรียนของการจัดการเรยี นการสอนใน รายวิชาของนักเรียน ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้ได้ถูกพัฒนาขึ้นเพ่ือพัฒนาปรับปรุงการเรียนการสอนในโรงเรียนให้ดี ยิง่ ขน้ึ จากปัญหาการเรียนการสอนในห้องเรียนท่ีครูผู้สอนได้พบเจอพบว่า ปัญหาการเรียนรู้ของนักเรียน เน่ืองด้วยความไม่รบั ผิดชอบของนกั เรยี นและวุฒิภาวะ ทำให้ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนตำ่ และนกั เรียนเกดิ ความ เบื่อหน่ายกับการเรียนในรายวิชา ครูผู้สอนจึงได้ใช้เทคนิคการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ชุดสื่อพัฒนา กระบวนการคิด ซึ่งเป็นวิธีท่ีเหมาะสมในการแก้ปัญหาดังกล่าว ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะเป็นเอกสารที่ กอ่ ให้เกดิ ประโยชนต์ อ่ ผู้อา่ นทุกท่าน ซาบีดี ปะดอฮงิ ผูจ้ ดั ทำ ผูจ้ ดั ทำ : นายซาบดี ี ปะดอฮิง ตำแหนง่ ครูผู้ชว่ ย โรงเรยี นบา้ นดอื แยหะยี

วจิ ัยในชั้นเรียน เรอื่ ง การศกึ ษาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นของนกั เรยี นท่เี รียน โดยใชช้ ุดส่อื พฒั นากระบวนการคิด ข เรื่องแรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟ้า ของนักเรียนช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 6 วิชาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี บทคดั ย่อ บทคดั ยอ่ การศกึ ษาครัง้ นี้มวี ัตถุประสงค์ เพ่ือการศึกษาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นของนักเรียนที่เรียน โดยใช้ชดุ ส่ือ พัฒนากระบวนการคิด เร่ืองแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยใช้ชุดสื่อพัฒนา กระบวนการคิด ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 กลุ่มเป้าหมายคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาค เรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 23 คน เคร่ืองมือที่ใช้ในการศึกษา คือ แบบฝึกทักษะ เรื่องแรงไฟฟ้า และวงจรไฟฟ้า ท่ีผู้วิจัยได้พัฒนาข้ึน มีค่าเฉล่ยี โดยรวมเท่ากับ 81.16 และแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการ เรียน ใช้เป็นข้อสอบก่อนเรียนและหลังเรียน แบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก ซ่ึงมีค่าเฉล่ียโดยรวม เท่ากับ 60.60 การหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะใช้เกณฑ์หาประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 80/80 ค่าเฉล่ีย คา่ ร้อยละ และสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน ผลการศกึ ษาค้นควา้ พบวา่ 1. การจัดกจิ กรรมการเรียนรวู้ ชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรอื่ งแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า โดยใช้ชุด ส่ือพัฒนากระบวนการคิด มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.16/60.60 หมายถึง นักเรียนท้ังหมดได้คะแนนเฉล่ีย จากการประเมินพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม และการทำแบบฝึกทักษะ คิดเป็นร้อยละ 40.58 และได้คะแนน เฉล่ียจากการทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หลังเรียน คิดเป็นร้อยละ 60.60 แสดงว่า การจัดกิจกรรม การเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เร่ืองแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า โดยใช้ชุดสื่อพัฒนากระบวนการคิด มปี ระสทิ ธิภาพสูงกว่าเกณฑม์ าตรฐาน 80/80 ทต่ี ้งั ไว้ 2. ผลการใช้ชุดส่ือพัฒนากระบวนการคิดมาช่วยสอน นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 เป็นวิธีการ เรียนรู้ท่ีได้ผลน่าพอใจ สังเกตจากนักเรียนให้ความสนใจการเรียนดี มีความรับผิดชอบในหน้าที่ ส่ิงที่แสดงถึง ความสนใจของนักเรียน คือ นักเรียนสามารถทำแบบฝึกทักษะท้ายแผนทุกแผน ได้คะแนนอยใู่ นเกณฑ์ดีทุกคน ที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดสื่อพัฒนากระบวนการคิดเป็นการจัดการเรียนรู้ที่ รว่ มมือกันในการทำงาน นักเรยี นทุกคนรว่ มกันรับผดิ ชอบงาน และนำประสบการณต์ ่าง ๆ ที่ได้จากการเรียนรู้ มาสรปุ เป็นองคค์ วามรขู้ องกลุม่ ตนเอง มกี ารช่วยเหลอื กนั ในการทำงานกลุ่ม ผู้จดั ทำ : นายซาบีดี ปะดอฮิง ตำแหนง่ ครผู ู้ช่วย โรงเรียนบา้ นดือแยหะยี

วิจยั ในชั้นเรียน เร่ือง การศึกษาผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนของนักเรียนทเี่ รยี น โดยใช้ชดุ ส่อื พัฒนากระบวนการคดิ ค เรื่องแรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟ้า ของนกั เรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 วิชาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี กิตตกิ รรมประกาศ กิตตกิ รรมประกาศ รายงานการศกึ ษาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนของนกั เรยี นที่เรียนโดยใช้ชุดส่ือพฒั นากระบวนการคิดเล่มนี้ สำเร็จลงได้ด้วยความกรุณาจากเพื่อนครู ครูผู้อาวุโส ผู้อำนวยการ และผู้เช่ียวชาญจากเขตพ้ืนที่การศึกษาท่ี กรุณาสละเวลาและให้โอกาสในการให้คำปรึกษาเพ่ือการทำวิจัยฉบับน้ี จึงขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ ผ้วู ิจัยขอขอบคุณเพ่ือนครูในกลมุ่ สาระ ที่ไดก้ รุณาใหค้ ำปรึกษาตรวจสอบแบบฝึกทักษะ และแบบทดสอบวัดผล สมั ฤทธิ์ทางการเรยี นท่ีใชก้ บั นักเรยี น และใช้ในการวจิ ยั ในคร้ังนี้เป็นอย่างยิ่ง ขอขอบพระคุณครูทุกท่านที่ได้ประสิทธ์ิประสาทวิชาให้แก่ผู้วิจัยทุกระดับการศึกษา ขอขอบคุณคณะ คุณครู ที่ให้กำลังใจจนทำการวิจัยครั้งนี้ได้สำเร็จ ขอขอบใจนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 ท่ีให้ความร่วมมือ ในการทำวิจัยคร้ังนี้ และประโยชน์ที่พึงได้รับในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยขอมอบให้ทุกท่านที่มีส่วนสำคัญต่อ ความสำเร็จในการวิจัยครัง้ น้ีดว้ ย ซาบีดี ปะดอฮิง ผู้จดั ทำ : นายซาบดี ี ปะดอฮิง ตำแหนง่ ครผู ชู้ ว่ ย โรงเรียนบ้านดอื แยหะยี

วิจัยในช้ันเรยี น เรอื่ ง การศกึ ษาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนของนักเรียนทเี่ รียน โดยใชช้ ุดส่ือพฒั นากระบวนการคิด ง เรอื่ งแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า ของนกั เรยี นช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 6 วชิ าวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี สารบัญ สารบญั เร่ือง หนา้ คำนำ.......................................................................................................................................... ก บทคดั ย่อ.................................................................................................................................... ข กิตติกรรมประกาศ..................................................................................................................... ค สารบัญ....................................................................................................................................... ง สารบัญตาราง............................................................................................................................ จ บทท่ี 1 บทนำ........................................................................................................................ 1 1 ความเปน็ มาและความสำคัญของปัญหา................................................................... 1 วตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย.........…….......………..……..………………………................…... 2 ขอบเขตการวจิ ัย..............……………….......………...……………………....................……... 2 สมมุตฐิ านการวจิ ยั .................................................................................................... 2 ข้อตกลงเบ้อื งตน้ ....................................................................................................... 2 นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ…………...………......……………………...………………….....................…. 3 ประโยชนท์ ่คี าดวา่ จะไดร้ ับ....................................................................................... 4 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจยั ทเ่ี กี่ยวขอ้ ง............................................................................... 4 ทฤษฎกี ารเรยี นร้.ู .........................................…………………………….....................……... 8 แนวคดิ การจดั การเรียนรทู้ ่ีเนน้ ผเู้ รียนเป็นสำคัญ....................................................... 11 แบบฝึกทักษะ............................................................................................................ 20 งานวจิ ยั ที่เกี่ยวข้อง..................................................................................................... 22 กรอบแนวคิดในการวจิ ยั ............................................................................................. 23 บทที่ 3 วธิ กี ารดำเนนิ งาน..................................................................................................... 23 กล่มุ เป้าหมาย........................................................................................................... 23 เครือ่ งมอื ที่ใชใ้ นการทดลอง...................................................................................... 23 การสรา้ งและการหาคณุ ภาพของเครอ่ื งมอื ............................................................... 25 แบบแผนการทดลองและข้ันตอนการดำเนนิ การทดลอง.......................................... 26 การจดั กระทำข้อมลู และการวเิ คราะห์ขอ้ มลู ............................................................ 26 สถติ ิทใี่ ชใ้ นการวิเคราะหข์ ้อมลู ................................................................................. 28 บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู .............................................................................................. 28 สัญลกั ษณท์ ่ีใชใ้ นการนำเสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู ............…...……......……………….. 28 ลำดับขนั้ ตอนในการเสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมลู ....................................................... 28 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล…………….....………………………….......………….....................……. ตอนท่ี 1 ผลการวิเคราะหห์ าประสทิ ธภิ าพของการเรียนรูโ้ ดยใช้แบบฝึกทกั ษะ 28 ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 6............................................................................................... ผู้จดั ทำ : นายซาบดี ี ปะดอฮิง ตำแหน่ง ครผู ชู้ ว่ ย โรงเรยี นบา้ นดอื แยหะยี

วิจัยในชัน้ เรยี น เรือ่ ง การศกึ ษาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นของนกั เรียนทเ่ี รียน โดยใชช้ ดุ สื่อพฒั นากระบวนการคดิ ง เรื่องแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟา้ ของนักเรยี นชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 6 วิชาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี สารบัญ สารบญั (ต่อ) เรอ่ื ง หนา้ บทท่ี 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ......................................................... 32 วัตถปุ ระสงคข์ องการศึกษา....…………………..........…………….…………………….. 32 กล่มุ เปา้ หมาย................................................................................................ 32 เครอื่ งมอื ทีใ่ ชใ้ นการศึกษาค้นคว้า.................................................................. 32 การดำเนินการศกึ ษา...................................................................................... 32 สรุปผล........................................................................................................... 33 อภิปรายผล.................................................................................................... 33 ขอ้ เสนอแนะ.................................................................................................. 33 35 บรรณานุกรม................................................................................................................. 37 ภาคผนวก...................................................................................................................... ผจู้ ดั ทำ : นายซาบดี ี ปะดอฮงิ ตำแหน่ง ครูผูช้ ว่ ย โรงเรยี นบา้ นดอื แยหะยี

วจิ ยั ในชน้ั เรยี น เรื่อง การศกึ ษาผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นของนกั เรียนท่เี รยี น โดยใช้ชุดสื่อพัฒนากระบวนการคดิ จ เร่อื งแรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟ้า ของนักเรียนช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 6 วชิ าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สารบญั ตาราง สารบญั ตาราง ตาราง หน้า 1 แบบแผนการทดลองแบบ One Group Pre – test Post – test Design..…...…......…... 25 2 แสดงคา่ คะแนนเฉล่ยี รอ้ ยละ และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน ของนักเรยี นชน้ั ประถมศกึ ษา ปีที่ 6 โดยใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะ เรอ่ื งแรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟา้ ................................................. 29 3 เปรียบเทยี บคะแนนสอบกอ่ นเรียนและหลังเรยี นของนกั เรยี น............................................ 29 4 ประสทิ ธภิ าพของการทำแบบฝกึ ทักษะตามเกณฑ์ 80/80................................................ 30 5 การวเิ คราะหค์ วามคิดเหน็ ของผทู้ รงคุณวฒุ ิต่อแบบทดสอบท่ใี ช้ในการเรยี นการสอน......... 31 สารบญั ภาพ ภาพ หนา้ 1 กรอบแนวคิดในการวจิ ัย....................................................................................................... 22 ผู้จดั ทำ : นายซาบดี ี ปะดอฮิง ตำแหน่ง ครผู ู้ช่วย โรงเรยี นบ้านดอื แยหะยี

วิจยั ในช้ันเรยี น เร่อื ง การศกึ ษาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนของนักเรียนท่เี รียน โดยใช้ชดุ สอ่ื พฒั นากระบวนการคดิ 1 เร่ืองแรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟา้ ของนักเรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 6 วชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี บทนำ บทท่ี 1 บทนำ 1.1 ความเปน็ มาและความสำคญั ของปญั หา การวิจัยเป็นเคร่ืองมือสำคัญประการหน่ึงที่จะช่วยให้การปฏิรูปการเรียนรู้ประสบความสำเร็จ ดังจะเห็นได้ จากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ซ่ึงเป็นกฎหมาย แมบ่ ททางการศึกษาของไทย ได้ให้ความสำคัญกับการวิจยั และกำหนดมาตราหลายมาตรา ที่ช้ใี ห้เห็นว่าการวจิ ัยเป็น ส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ กล่าวคือ มาตรา 24 (5) ระบุให้ใช้การวิจัยเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการเรียนรู้ ผู้เรียนสามารถใช้การวิจัยเพ่ือศึกษาค้นคว้าหาคำตอบหรือแก้ไขปัญหาที่เกิดข้ึน การวิจัยจึงสัมพันธ์กับกระบวนการ เรียนรู้ ซ่ึงจะช่วยฝึกกระบวนการคิด วิเคราะห์ หาเหตุผลในการตอบปัญหา และแก้ไขปัญหา มาตรา 30 ระบุให้ ครผู ู้สอนทำการวิจัยเพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับผู้เรียน ผู้สอน นอกจากจัดกระบวนการเรียนการสอนแล้ว ยังใช้การวิจัยเพื่อศึกษาปัญหา หรือส่ิงที่ต้องการรู้คำตอบ พัฒนาควบคู่กันไปอย่างต่อเน่ือง โดยบูรณาการ กระบวนการจดั การเรยี นการสอน และทำการวจิ ยั ใหเ้ ปน็ กระบวนการเดียวกนั ทัง้ หมด เมือ่ พจิ ารณาเป้าหมายประการหน่ึงของการจัดการเรยี นรู้ คือเพอ่ื ให้ผู้เรยี นเป็นมนุษย์ท่สี มบูรณ์ ดี เกง่ มสี ุข ผู้สอนจึงมีบทบาทสำคัญในการสร้างผู้เรียนให้ไปสู่เป้าหมายดังกล่าว โดยจะต้องคำนึงถึงมาตรฐานคุณภาพการ จัดการเรียนรู้ และบูรณาการการจัดการเรียนการสอนกับการวิจัยให้เป็นกระบวนการเดียวกัน น่ันคือผู้สอนจะต้อง จัดกระบวนการเรียนการสอน และใช้การวิจัยเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการเรียนรู้ ทำการวิจัยเพื่อจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ท่ีเหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละระดับการศึกษา และนำผลการวิจัยมาใช้ปรับปรุงกระบวนการเรียนการสอน ส่วนของผู้เรียน กระบวนการวิจัยจะเป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนมีเคร่ืองมือการเรียนรู้ติดตัวไปตลอดชีวิต เพราะการ เรียนรู้ด้วยกระบวนการวิจัย จะฝึกให้ผู้เรียนค้นคว้าทดลอง หรือศึกษาหาความรู้อย่างมีแผนงานที่เป็นระบบ นา่ เชอ่ื ถือได้ จากการผลการทดสอบก่อนเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 ปีการศึกษา 2564 ในรายวิชา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้นพบว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 ปีการศึกษา 2564 ตำ่ และการเรยี นมปี ัญหาเสมอ ไม่เป็นไปตามเกณฑท์ ่ีโรงเรยี นตั้งไว้ ผวู้ ิจัยจึงหาแนวทางในการแก้ปัญหาเพื่อ พัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 จึงได้จัดทำแบบฝึกทักษะโดยใช้ชุดส่ือพัฒนา กระบวนการคดิ เป็นตัวขบั เคลอ่ื น เพ่อื พัฒนาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นของนกั เรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ใหด้ ีข้ึน 1.2 วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั 1. เพ่ือพฒั นาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนของนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 6 เร่ืองแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟา้ 2. เพ่ือสรา้ งและพัฒนาแบบฝกึ ทักษะ เรื่องแรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟ้า ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 ใหม้ ปี ระสิทธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80 ผจู้ ดั ทำ : นายซาบีดี ปะดอฮงิ ตำแหน่ง ครผู ูช้ ว่ ย โรงเรียนบ้านดือแยหะยี

วจิ ยั ในชัน้ เรยี น เรอ่ื ง การศกึ ษาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนของนกั เรยี นที่เรียน โดยใชช้ ดุ สือ่ พัฒนากระบวนการคดิ 2 เร่ืองแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า ของนักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 6 วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี บทนำ 1.3 ขอบเขตการวิจัย 1.3.1 กลมุ่ เปา้ หมาย กลุ่มเป้าหมายท่ีใช้ในการวิจัยในคร้ังนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศกึ ษา 2564 จำนวน 23 คน 1.3.2 เนอื้ หาในการวจิ ัย เป็นเน้ือหาที่ใช้ในการทดลองเพื่อการศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรู้ของนักเรียน เร่ืองแรงไฟฟ้า และวงจรไฟฟ้า 1.3.3 ระยะเวลาในการวิจยั ระยะเวลาในการวิจยั ภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2564 ระหวา่ งวนั ท่ี 1 ธ.ค. 2564 ถึงวันท่ี 31 ม.ี ค. 2565 1.3.4 ตวั แปร - ตัวแปรตน้ การสอนโดยใชช้ ดุ สื่อพฒั นากระบวนการคดิ - ตัวแปรตาม ผลสัมฤทธิท์ างการเรียนรใู้ นรายวชิ า 1.4 สมมตุ ฐิ านการวจิ ยั นกั เรยี นชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ทีไ่ ด้รับการฝึกทกั ษะ เรือ่ งแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟา้ ซงึ่ จะสง่ ผลให้การเรยี น ของนกั เรยี นมีผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นสูงขน้ึ และนักเรียนจะมีเจตคติทดี่ ตี อ่ การเรียนเพม่ิ ข้ึน 1.5 ขอ้ ตกลงเบื้องต้น การวิจยั ในครงั้ น้ี เป็นการจดั กจิ กรรมการสอนตามปกติในการพฒั นาการเรยี นรู้ ซงึ่ จะดำเนินการ วนั ละ 1 ช่ัวโมง สัปดาหล์ ะ 2 วัน 1.6 นยิ ามศพั ท์เฉพาะ แบบฝึกทักษะ คือ ส่ือการเรียนการสอนชนิดหนึ่งท่ีใช้ฝึกทักษะกับผู้เรียน เพ่ือฝึกฝนให้เกิดความรู้ ความสามารถ ความเข้าใจ รวมท้ังเกิดความชำนาญในเร่ืองน้ัน ๆ ท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้นตามเนื้อหาที่สอน โดยอิงจาก จุดประสงค์การเรียนรแู้ ละตวั ชีว้ ดั จะอยู่ในรูปของชดุ กิจกรรมหรอื ใบงาน ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน คือ ความสามารถหรือผลสำเร็จท่ีได้รับจากกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการ เปล่ียนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์เรียนรู้ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย และยังได้จำแนก ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นไวต้ ามลกั ษณะของวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนทแ่ี ตกต่างกัน คะแนนจากการทดสอบ เร่ืองแรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟา้ ของนักเรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 แบบทดสอบ คือ แบบทดสอบที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เพ่ือทดสอบนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลัง ทดลองใช้แบบฝกึ ทักษะ ผจู้ ดั ทำ : นายซาบดี ี ปะดอฮิง ตำแหนง่ ครูผชู้ ่วย โรงเรียนบา้ นดอื แยหะยี

วจิ ยั ในช้ันเรยี น เรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนกั เรยี นทีเ่ รียน โดยใชช้ ุดสอื่ พัฒนากระบวนการคดิ 3 เรอ่ื งแรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟา้ ของนักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 6 วชิ าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี บทนำ 1.7 ประโยชนท์ ี่คาดวา่ จะไดร้ บั 1. ได้แบบฝึกทักษะ เร่ืองแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า ที่ผ่านการพัฒนาและหาประสิทธิภาพจากผู้เช่ียวชาญ เรยี บร้อยแลว้ 2. ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน เร่ืองแรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟา้ ของนกั เรยี นชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 6 สูงขึ้น 3. โรงเรียนมีแนวทางในการจัดทำแบบฝึกทกั ษะ เรื่องแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟา้ และพัฒนากลุ่มสาระอ่นื ๆ 4. โรงเรียนสามารถนำแนวทางนี้ไปส่งเสริมให้ครคู นอื่น ๆ ได้นำไปพัฒนากลุ่มสาระอื่น ๆ ได้ตามมาตรฐาน วิชาชีพ ผู้จดั ทำ : นายซาบีดี ปะดอฮงิ ตำแหน่ง ครผู ชู้ ่วย โรงเรียนบ้านดอื แยหะยี

วจิ ัยในชั้นเรียน เร่อื ง การศึกษาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรยี นท่เี รยี น โดยใชช้ ดุ สื่อพฒั นากระบวนการคดิ 4 เร่อื งแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า ของนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 6 วชิ าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เอกสารและงานวจิ ัยทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ยั ที่เก่ียวข้อง การวิจัยในครั้งน้ี ได้ศึกษาแนวทางจากเอกสารต่าง ๆ และงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง ดังรายละเอียดตามลำดับ ตอ่ ไปน้ี 1. ทฤษฎีการเรยี นรู้ 2. แนวคิดการจัดการเรียนรู้ทเ่ี น้นผู้เรียนเปน็ สำคัญ 3. แบบฝึกทักษะ 4. งานวจิ ยั ท่เี ก่ียวข้อง 5. กรอบแนวคดิ ในการวิจยั 1. ทฤษฎีการเรียนรู้ (Theory of Learning) De Cecco & Crawford (อา้ งถึง มาลี จุฑา, 2542) กล่าวไว้ว่าการเรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อมีการฝึก และการฝึกนั้นต้องมีการเสริมแรงและมีจุดมุ่งหมาย จึงจะทำให้ เกดิ การเรียนรขู้ น้ึ ซ่ึงสงั เกตได้จากการเปลยี่ นแปลงพฤติกรรมท่คี อ่ นขา้ งถาวร ไมใ่ ชเ่ ปน็ การเปลย่ี นแปลงชวั่ คราว การเรียนรู้ (Learning) หมายถึงกระบวนการของการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมอันเนื่องมาจาก ประสบการณ์ทแ่ี ต่ละบุคคลได้รับมา ผลของการเรยี นร้จู ะช่วยให้เกดิ การเปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรมในดา้ นความรู้ ทักษะ และความรู้สึก กระบวนการเรียนรู้เป็นไปตามข้ันตอนธรรมชาติของการเรียนรู้ขึ้นอยู่กับความต้องการ สิ่งเร้า การ ตอบสนอง และรางวัล (มาลี จุฑา, 2542) สงวน สุทธิเลิศอรุณ (2531) ได้ให้ความหมายการเรียนรู้ว่า การเรียนรู้เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม อนั เน่อื งมาจากประสบการณ์ อุบลรัตน์ เพ็งสถิต (2530) ได้ให้ความหมายของการเรียนรู้ว่า การเรียนรู้เป็นกระบวนการเปล่ียนแปลง ของพฤติกรรมท่ีเกิดข้ึน โดยการเชื่อมโยงระหว่างส่ิงเร้าและการตอบสนองบ่อยครั้งเข้าจนในที่สุดกลายเป็น พฤติกรรมทเี่ กิดข้ึนอย่างถาวร ดังนั้น จึงสรุปความหมายของการเรียนรู้ได้ว่า การเรียนรู้เป็นกระบวนการของการเปล่ียนแปลงพฤติกรรม อันเน่ืองมาจากประสบการณ์ท่ีแต่ละบุคคลได้รับมา ซ่ึงผลของการเรยี นรู้จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม 3 ด้าน คือความรู้ ทักษะ และความรู้สึก ทฤษฎีการเรียนรู้ในปัจจุบัน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ (มาลี จุฑา, 2542) 1) กลุ่มทฤษฎีเช่ือมโยงความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงเร้าและการตอบสนอง (S-R Theory) ได้แก่ ทฤษฎีการ เรียนรู้แบบต่อเน่ือง (Connectionism) ของ Edward L. Throndike นักจิตวิทยาชาวอเมริกันกล่าวว่า การเรียนรู้ เกิดข้ึนระหว่างส่ิงเร้าและการตอบสนองโดยสิ่งเร้าสิ่งหน่ึง อาจทำให้เกิดการตอบสนองได้หลายทาง ได้กล่าวว่าเมื่อ บคุ คลพร้อมแลว้ ได้กระทำจะเกดิ ความพอใจ ถา้ บุคคลไดก้ ระทำส่งิ ใดแล้วได้ผลเปน็ ท่นี ่าพอใจก็อยากจะกระทำสิ่งน้ัน อีก การนำความรู้จากทฤษฎีการเรียนรู้แบบต่อเนื่องไปใช้ในการเรียนการสอน ก่อนจะเริ่มดำเนินการสอน ผูจ้ ดั ทำ : นายซาบดี ี ปะดอฮิง ตำแหนง่ ครูผชู้ ว่ ย โรงเรียนบา้ นดือแยหะยี

วิจัยในชัน้ เรียน เร่ือง การศึกษาผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนของนกั เรยี นทีเ่ รยี น โดยใชช้ ดุ สือ่ พัฒนากระบวนการคดิ 5 เรือ่ งแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟา้ ของนักเรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 วชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี เอกสารและงานวจิ ัยที่เกี่ยวข้อง ครูจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมและกระตุ้นให้นักเรียนพร้อมที่จะเรียนเสียก่อน โดยมีการนำเขา้ สู่บทเรียนทุก ครั้ง ควรมีการมอบหมายงานกจิ กรรม แบบฝึกหัด และการบ้านให้นักเรียนไดฝ้ ึกหัดกระทำเพือ่ ใหบ้ รรลุตามหลักสูตร ที่ว่าให้คิดเป็นทำเป็นและแก้ปัญหาเป็น ใช้หลักการ การให้รางวัลและการลงโทษเพื่อให้นักเรียนรู้ว่า “ทำดีได้ดี ทำชวั่ ไดช้ ว่ั ” ทฤษฎีเช่ือมโยงของกทั ธรี (Guthrie’s Contiguity Theory) นกั จิตวทิ ยาชาวอเมริกันกล่าวไว้ว่าการเรยี นรู้ เกิดจากการกระทำ คือมีความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงเร้า และการตอบสนองท่ีเข้าคู่กันได้ในลักษณะท่ีมีการกระทำหรือ สัมผัสไม่น้อยกว่าหนึ่งครั้ง ก็เกิดการเรียนรู้ได้ ดังนั้นการนำความรู้จากทฤษฎีไปใช้ในการเรียนการสอน ครูผู้สอนควร ปฏิบัติดงั นี้ ก่อนดำเนินการสอนของครูจะตอ้ งจูงใจให้นักเรยี นต้ังใจเรยี นและมีความสนใจทีจ่ ะเรียน ดำเนินการสอน ตามเนอ้ื หาสาระหู้เดน่ ชดั เพ่ือใหน้ ักเรยี นเรยี นรไู้ ดด้ ี ฝึกให้นักเรียนได้เรียนรูด้ ว้ ยการกระทำ และก่อนจบบทเรียนควร ให้นกั เรยี นช่วยกนั สรุปบทเรยี นให้ถูกตอ้ ง ทฤษฎีการเรียนรู้ของฮัลล์ (Hull’s Systematic Behavior Theory) นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน มีหลักการ เรียนรู้เกิดจากการเสริมแรง การเสริมแรงเป็นการให้รางวัลเพ่ือก่อให้เกิดการลดแรงขับหรือลดความต้องการลง ทำให้บุคคลเกิดการเรียนรู้ขึ้น ดังนั้นครูผู้สอนควรนำทฤษฎีนี้ไปใช้โดยพยายามจัดการศึกษาโดยคำนึงถึงความ ต้องการและสนองความต้องการของผู้เรียน พยายามสร้างแรงเสริมทุกขั้นตอนของบทเรียน จัดการเรียนการสอน จากง่ายไปหายาก จัดคาบเรียนให้พอเหมาะแก่วัยของผู้เรียนและเปลี่ยนกิจกรรมการสอนเมื่อพบว่าผู้เรียนเหน่ือย หล้าหรืองว่ งนอน 2) กลุ่มทฤษฎีการวางเง่ือนไข ได้แก่ ทฤษฎีการวางเง่ือนไขแบบคลาสสิค ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการ กระทำ ทฤษฎีการวางเง่ือนไขแบบคลาสสิค (Classic Conditioning Theory) ซึ่ง Ivan P. Pavlov นักจิตวิทยา ชาวรัสเซีย กล่าวว่า การเรียนรู้เกิดจากการท่ีอินทรีย์ได้ตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้หลาย ๆ ชนิด โดยท่ีการตอบสนอง อย่างเดียวกันอาจมาจากส่ิงเร้าต่างชนิดกันได้หากมีการวางเง่ือนไขท่ีแน่นแฟ่นเพียงพอ การนำทฤษฎีนี้ไปใช้ในการ เรียนการสอนควรปฏิบัตดิ ังนี้ ครูต้องสร้างบรรยากาศทีด่ ีในการเรยี นการสอนอันเป็นการวางเง่ือนไขที่ดี ครวู างตัวให้ นักเรียนศรัทธาและรักเพ่ือจะได้รักวิชาท่ีครูสอนด้วย ครูจัดบทเรียนให้น่าสนใจและเกิดความสนุกสนาน ครูสร้าง ความเป็นกนั เองกับนักเรยี นและให้ความอบอุ่นแกน่ ักเรียน ครจู ัดหาและใช้ส่อื การสอนที่ดีเพ่ือการเรยี นรทู้ ่ีมีคุณภาพ ครใู ช้หลักการลบพฤติกรรมทไี่ มด่ ใี นตัวนักเรยี น ไมใ่ หค้ วามสนใจในพฤตกิ รรมทีไ่ ม่ดีท่สี ดุ พฤติกรรมดงั กลา่ วจะหายไป ครูนำกฎพฤติกรรมการจำแนกมาใช้ คือให้นักเรียนได้ทบทวนบทเรียนท่ีได้เรียนรไู้ ปแล้ว จะได้เรียนรู้เหมือนเดิม ครู นำกฎพฤติกรรมการจำแนกมาใช้ คือให้นักเรียนได้รู้จักวิธีการจำแนกหรือวิเคราะห์บุคคล วัตถุ สิ่งของ ท้ังในด้านดี และดา้ นไมด่ ี ครูใช้ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบในการเปลย่ี นเจตคตทิ ีไ่ มด่ ีตอ่ วิชาต่าง ๆ ของนักเรยี น ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำ (Operant Conditioning Theory) Burrhus F. Skimmer นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน มีหลักการว่า การเรียนรู้เกิดจากการท่ีบุคคลได้มีการกระทำแล้วได้รับการเสริมแรง ซึ่งนำ ความรูจ้ ากทฤษฎไี ปใชใ้ นการสอนโดย สร้างนิสยั ทีด่ ีให้แก่เด็ก เพื่อการสร้างคุณภาพแหง่ ชีวิต ลบนิสัยที่ไม่ดีออกจาก ผู้จดั ทำ : นายซาบดี ี ปะดอฮิง ตำแหนง่ ครูผูช้ ่วย โรงเรียนบ้านดือแยหะยี

วจิ ัยในช้ันเรยี น เรือ่ ง การศกึ ษาผลสัมฤทธิท์ างการเรียนของนกั เรียนทีเ่ รยี น โดยใชช้ ดุ ส่อื พัฒนากระบวนการคิด 6 เร่อื งแรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟ้า ของนกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 วิชาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี เอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี กย่ี วข้อง ตวั นักเรียนโดยวิธีการปรับพฤตกิ รรมปลกู ฝังคา่ นิยมพน้ื ฐานใหแ้ กน่ ักเรียน ใหก้ ารสรมิ แรงแก่นกั เรียนท่กี ระทำความดี และจัดประกวดเด็กดใี นด้านตา่ ง ๆ และใหร้ างวัลตามความเหมาะสม 3) กลุ่มทฤษฎีสนาม ได้แก่ ทฤษฎีสนาม ทฤษฎีการเรียนรู้ของเลวิน และทฤษฎีการเรียนรู้โดยใช้ เครื่องหมายของทอลแมน ทฤษฎีสนาม (Field Theory) Wolfgang Kohler และคณะ นักจิตวิทยาชาวเยอรมัน กล่าวว่า ในการ เรียนรู้หรือในการแก้ปัญหาบุคคลจะพิจารณาส่ิงเร้าหรือโครงสร้างของปัญหาโดยส่วนร่วมทุกแง่ทุกมุมเสียก่อน จากนัน้ จะแยกเป็นสว่ นย่อย ๆ เหล่าน้ันจนในทส่ี ดุ จะเกิดความคดิ หรือเห็นชอ่ งทางในการแก้ปัญหานัน้ ได้โดยฉบั พลัน จะเกิดการเรียนรู้ด้วยความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง หรือเกิดการหย่ังเห็นหรือที่เรียกว่า พิปัสญาณ (Insight) การนำ ทฤษฎีไปใช้ก่อนดำเนินการสอนควรชี้ให้เห็นถึงจุดมุ่งหมาย หรือวัตถุประสงค์ของบทเรียน อธิบายให้นักเรียนเห็น ภาพรวม ๆ หรือโครงสร้างของบทเรียนก่อนลงมือสอน แนะนำกิจกรรมท่ีนักเรียนควรฝึกปฏิบัติ เพ่ือนำไปสู่ความรู้ ความเขา้ ใจในบทเรียน สอนใหน้ ักเรียนแก้ปญั หาดว้ ยตนเอง อันจะนำไปส่กู ารคิดเป็น ทำเปน็ และแก้ปญั หาเปน็ ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ของเลวิน (Lewin’s Field Theory) Kurt Lewin นักเรยี นจิตวิทยาชาวอเมรกิ ัน กล่าวว่า การเรยี นรเู้ กิดจากการเปล่ียนแปลงความรู้ ความเข้าใจเดิมหรือเกดิ จากการกระทำซ้ำ ๆ หรือได้มีการแก้ปัญหาหรือ มกี ารเปลี่ยนการจงู ใจทำใหเ้ กดิ ความรู้ ความเข้าใจอยา่ งแจ่มแจ้ง การนำทฤษฎีไปใช้ ครใู ช้วธิ ีการกลมุ่ สัมพนั ธเ์ พื่อให้ นักเรยี นมีปฏิสัมพันธ์กับครูจะได้เกิดการเรียนรู้ด้วยความเข้าใจ ครูจัดให้มศี ูนย์การเรียนในหอ้ งเรียน มุ่งเน้นนักเรียน เป็นศนู ย์กลางเพื่อใหน้ กั เรยี นเรียนรูด้ ว้ ยความเข้าใจให้นักเรยี นต้ังเปา้ หมายของชวี ิต เปา้ หมายในแตล่ ะวชิ าและในแต่ ละบทเรียนเพื่อให้การเรียนและการดำเนินชีวิตมีเป้าหมายที่ชัดเจน ใช้วิธีการจูงใจเพื่อกระตุ้นให้นักเรียนตอบสนอง อย่างเขม้ ขน้ ต่อบทเรียน ฝึกใหน้ ักเรยี นรู้จกั แกป้ ญั หาในเกมงา่ ย ๆ หรือปญั หาง่าย ๆ และยากขน้ึ ตามลำดับ ทฤษฎีการเรียนรู้ของทอลแมน (Tolman’s Learning Theory) Edward C. Tolman นักจิตวิทยาชาว อเมริกัน มีหลักว่า การเรียนรู้เกิดจากการท่ีบุคคลท่ีตอบสนองต่อสิ่งเร้า โดยใช้เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์เป็น แนวทางนำไปสู่เป้าหมายทำให้เกิดการเรียนรู้ด้วยความเข้าใจ การนำทฤษฎีไปใช้ การจัดการเรียนการสอนให้ นกั เรียนได้มสี ่วนร่วมในการคิด เปิดโอกาสให้นักเรียนได้พูดและแสดงความคดิ เห็นเพ่ือส่งเสรมิ ความคดิ เป็น จัดแบ่ง นักเรียนเป็นกลุ่มเล็ก ๆ หรือศูนย์การเรียน มอบงานหรือจัดกิจกรรมให้ทุกกลุ่มได้กระทำให้สมาชิกได้มีส่วนร่วมใน กิจกรรมการเรียนการสอน จัดการเรียนการสอนโดยให้นักเรียนได้อภิปรายในช้ันเรียน หรือใช้กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ ให้นกั เรียนมีปฏิสัมพนั ธ์กับครูกบั เพ่อื น ๆ เพอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจบทเรียนได้ดยี ิง่ ข้ึน 1.1 ผลจากการเรยี นรู้ (Learning Outcomes) เมื่อผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในบทเรียนที่ครูสอนแล้วจะทำให้ผู้เรียนเกิดผลการเรียนรู้ ดังน้ี (ชูชีพ อ่อน โคกสูง, 2522) ผูจ้ ดั ทำ : นายซาบีดี ปะดอฮงิ ตำแหน่ง ครูผชู้ ว่ ย โรงเรียนบา้ นดือแยหะยี

วิจยั ในชัน้ เรียน เร่ือง การศกึ ษาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นของนกั เรียนท่ีเรียน โดยใชช้ ุดสอื่ พัฒนากระบวนการคดิ 7 เร่ืองแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า ของนกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 6 วชิ าวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เอกสารและงานวจิ ัยที่เก่ยี วขอ้ ง 1.1.1 เกิดการรับรู้ (Perception) การรับรู้เป็นกระบวนการซึ่งสมองตีความหรือแปลความหมาย ข้อมูลที่ได้จากการสัมผัสของร่างกายหรือของประสาทสัมผัสต่าง ๆ กับสิ่งแวดล้อมทำให้เราทราบว่าส่ิงเร้าหรือ ส่งิ แวดล้อมทเ่ี ราสัมผัสน้ันเป็นอะไรมคี วามหมายอยา่ งไร มลี ักษณะอยา่ งไร 1.1.2 เกิดมโนคติ (Concept) เป็นผลมาจากการรับรู้ ความจำจนิ ตนาการและส่งิ แวดล้อมอืน่ ๆ ท้ัง ภายนอกและภายในตัวบคุ คล มโนคตจิ ะเกิดขนึ้ เมอ่ื มีการประสมประสานกันระหว่างการแยกแยะ การย่นย่อและการ สรปุ รวบยอดในระหวา่ งท่ีมีการสมั ผสั การทำงานของกล้ามเนื้อ การตงั้ คำถาม การอ่านและการแก้ปัญหา 1.1.3 เจตคติ (Attitudes) เกิดจากการเรียนรู้และประสบการณ์ของบุคคลซึ่งเป็นความพร้อมท่ีจะ ตอบสนอง หรือแสดงความรู้สึกต่อวัตถุ ส่ิงของ คน มโนคติอื่น ๆ ตลอดจนสถานการณ์ต่าง ๆ ความรู้สึกหรือการ ตอบสนอง ดงั กล่าว อาจเป็นไปในทางท่ีชอบหรอื ไม่ชอบก็ได้ 1.1.4 เกดิ การคิด (Thinking) การคิดเป็นพฤติกรรมที่เกดิ ข้ึนในสมองซึ่งเปน็ กระบวนการท่ีภาพหรือ สัญลกั ษณข์ องส่งิ ของหรือสถานการณต์ ่าง ๆ มาปรากฏในแนวคิดหรือจิตใจเรา 1.1.5 เกิดการแก้ปัญหา (Problem Solving) เมื่อบุคคลมีเป้าหมาย แต่มีอุปสรรคขัดขวางไม่ให้ไป ถึงหรือไม่ได้มาซ่ึงสิ่งที่ต้องการท่ีจะเกิดปัญหาขึ้นดังนั้น บุคคลจะพยายามขจัดปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนให้หมดไปเพื่อ บรรลเุ ป้าหมายที่ตอ้ งการ 1.2 การรับรู้ของสมอง วารินทร์ รัศมีพรหม (2531) กล่าวถึงการวิจัยเกี่ยวกับการรบั รู้ของสมองต่อส่ือหรือสารดา้ นภาพและ เสียงว่า พบลักษณะท่ัวไปของสมองมนุษย์โดยทำการทดลองให้คนหลายคนดูสื่อโฆษณาประเภทต่าง ๆ และวัด ปฏกิ ิริยาตอบสนองของสมองคนแต่ละคนในการดูภาพโฆษณาน้นั ผลปรากฏวา่ สมองด้านซ้ายจะมีปฏิกริ ยิ ามากกว่า ดา้ นขวา ในขณะทีด่ สู อื่ โฆษณาท่ีไม่ค่อยจะดีนกั แสดงว่าสือ่ โฆษณามรผลต่อสมองดา้ นซา้ ยนนั่ เอง ไสว เล่ียมแก้ว (2528) กล่าวว่า ในปัจจุบันมีการศึกษาและวิจัยเก่ียวกับหน้าที่ของสมองมนุษย์ พบว่า สมองมนุษย์แบ่งออกเป็น 2 ซีก คือ ซีกซ้ายและซีกขวา ซึ่งแต่ละซีกทำหน้าท่ีในการคิดที่แตกต่างกัน กล่าวคือสมองซีกซ้ายมีความสามารถทางภาษาและมีหน้าท่ีในการคิดเชิงวิเคราะห์ คือ จะศึกษาส่วนย่อยต่าง ๆ ที่ ประกอบข้ึนเป็นส่วนรวมท้ังหมดซึ่งกระบวนการคิดของสมองซีกซ้ายเป็นทีละข้ันตอนตามลำดับก่อนหลัง และ วิเคราะห์ออกจากแนวเส้นตรง มีลักษณะตรงไปตรงมา ส่วนสมองซีกขวา จะมีความเช่ียวชาญในการมองภาพรวม ทั้งหมดกล่าวคือ ดึงเอาส่วนย่อยต่าง ๆ เข้าด้วยกันเพื่อประกอบเป็นส่วนรวม ดังนั้น สมองซีกขวาจึงมีหน้าท่ีในการ สร้างโครงร่าง โดยการตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างส่วนตา่ ง ๆ ทปี่ ระกอบขึน้ เป็นโครงร่างซึ่งลักษณะการทำงาน หรือการคิดของสมองซีกขวาจะทำการวิเคราะห์ทุกจุดพร้อมกันหรือคู่ขนานกันไป ไม่แยกศึกษาเป็นส่วน ๆ เหมือน สมองซกี ซา้ ย ดังนั้นสมองซีกขวาจึงมีประสิทธิภาพสูงในการมองเห็น (Visual) และการกะระยะในการสร้างภาพรวม (Spatial) แต่มีความสามารถจำกัดด้านภาษาอาจกล่าวได้ว่าสมองซีกขวามีลักษณะในการควบคุมเกี่ยวกับภาพ การ มองเห็น ความกลมกลืน ช่องว่าง และความสมดุล มีการสังเคราะห์การเห็นความสัมพันธ์ของส่ิงต่าง ๆ การมีสามัญ สำนกึ และมีความคดิ แบบตะวนั ออก ผู้จดั ทำ : นายซาบีดี ปะดอฮิง ตำแหน่ง ครูผู้ช่วย โรงเรยี นบา้ นดอื แยหะยี

วจิ ยั ในชน้ั เรียน เรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนกั เรยี นทเ่ี รียน โดยใช้ชุดสอ่ื พัฒนากระบวนการคิด 8 เรอ่ื งแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า ของนักเรยี นชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 6 วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เอกสารและงานวจิ ัยที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น สรุปผลเก่ียวกับการตอบสนองของสมองทั้งสองส่วน สามารถนำมาเป็นแนวทางในการจัดทำ แผนการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ซ่ึงจะเป็นการส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียนทำให้การรับรู้มี ประสทิ ธิภาพมากข้นึ และทำให้การเรยี นการสอนมีประสทิ ธภิ าพมากย่งิ ขนึ้ 2. แนวคดิ การจัดการเรียนรู้ทเี่ นน้ ผู้เรยี นเปน็ สำคัญ พิมพ์พันธ์ เดชะคุปต์ (2544) ให้ความหมายว่าการจัดการเรียนรูท้ เ่ี น้นผเู้ รียนเป็นสำคญั คอื การจัดการ เรียนรูท้ เี่ นน้ ให้ผ้เู รยี นใชท้ ักษะกระบวนการสรา้ งความรดู้ ้วยตนเอง และสามารถถ่ายโอนความรู้ นำความรู้ไปใชไ้ ดจ้ ัด ให้สอดคล้องกับความสนใจ ความถนัดและศักยภาพของผู้เรียนเน้นการผสมผสานสาระการเรียนรู้ หรือเน้นการ บูรณาการค้นคว้าจากแหล่งเรียนรู้หลากหลายด้านตลอดจนมีการวัดและประเมินผลตามสภาพจริง ทักษะ กระบวนการที่ผู้เรียนใช้ในการสร้างความรู้นั้น คือ 1) กระบวนการทางปัญญา คือ การคิดและกระบวนการ 2) กระบวนการทางสงั คม คอื กระบวนการทำงานเปน็ กลุ่ม ทำงานเป็นทีมมีปฏิสมั พนั ธก์ นั มกี ารเคล่อื นไหวทางกาย ในการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ผู้สอนควรต้องมีการส่งเสริมจัดบรรยากาศสภาพแวดล้อม ส่ือการเรียน และอำนวยความสะดวก เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 24 ข้อ 5 หมวด 4 แนวการจัด การศึกษา ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 การจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เป็นวิธีท่ีจะ ช่วยให้การพัฒนาคนไทยมีลักษณะของคนยุคใหม่ หรือยุคปฏิรูปการศึกษา คือ เป็นคนไทยที่รู้เท่าก้าวทันโลก ทันสมัย ทันเหตุการณ์ ทันคน รู้วิธีการเรียนรู้ รู้วิธีการคิด คือ คิดเป็น รู้วิธีการวิจัยและพัฒนา เป็นคนดีมีคุณภาพ รู้เรา รู้เขา เป็นคนดี เก่ง มีสุข ตามเป้าหมายที่คาดหวัง แต่ได้พบว่า การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ นั้นมี ปจั จัยท่ีผ้สู อนพึงตระหนัก คือบรรยากาศทางกายภาพและบรรยากาศทางจิตใจและส่ิงที่เป็นปัจจยั สำคัญ คือ ผสู้ อน เองควรต้องมที ักษะท่ีจำเปน็ 4 ประการ เพอื่ จะเปน็ แบบของการพฒั นาให้ผเู้ รียนเป็นผู้มลี กั ษณะดงั กลา่ วข้างต้นทพ่ี ึง ประสงค์ ทักษะจำเป็น 4 ประการ คือ 1) ทักษะความสามารถในการรู้จักตนเองหรือรู้เรา คือ ความสามารถเข้าใจ อารมณ์ของตนเองเพื่อเปน็ แนวทางสู่การพัฒนาวินัยตนเอง การควบคุมตนเอง และเพื่อการเรียนรู้ประสบการณ์ต่าง ๆ 2) ทักษะความสามารถเข้าใจผอู้ ื่นหรือรู้เขา คือ ความสามารถทำงานร่วมกบั ผู้อื่นได้ดี มีความสุข สามารถสอ่ื สาร เข้าใจ ร่วมมือร่วมใจทำงานกับคนอ่ืนได้ แสดงความคิดเห็น รับฟังความคิดเห็นผู้อื่นตลอดจนเห็นใจผู้อ่ืน 3) ทักษะ ความมีระบบและความสามารถปรับตัวได้ คือ ความสามารถที่จะดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข ด้วยการมีความ รบั ผิดชอบ ความสามารถปรับตนได้ ความยืดหยุ่นต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ และ 4) ทักษะความสามารถในการตัดสินใจ คือ ความสามารถทางปัญญาท่ีใช้ในการประเมินสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างฉลาดและรอบคอบ มีค่านิยมต่อตนเอง และต่อสังคม พิมพ์พันธ์ เดชะคุปต์ (2544) กล่าวว่า การจัดการศึกษาในยุคปัจจุบัน เป็นการจัดเพื่อรองรับกระแส การเปลยี่ นแปลงอยา่ งรวดเรว็ ในดา้ นต่อไปน้ี 1) ด้านหลักสูตร ในเรื่องเก่ียวกบั หลักสตู รนนั้ ต้องมกี ารกำหนดจุดหมายของหลักสูตรใหไ้ ด้ผลผลิต คือ ผเู้ รยี นมีคุณสมบตั ิ ดงั น้ี ผู้จดั ทำ : นายซาบดี ี ปะดอฮงิ ตำแหน่ง ครผู ชู้ ่วย โรงเรยี นบา้ นดือแยหะยี

วิจยั ในชั้นเรียน เรือ่ ง การศกึ ษาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นของนกั เรยี นท่ีเรียน โดยใชช้ ดุ สื่อพัฒนากระบวนการคิด 9 เร่ืองแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า ของนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 วชิ าวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เอกสารและงานวิจยั ทเี่ กยี่ วขอ้ ง 1.1) เป็นผู้มีคุณภาพ (Quality) คือ มีความดี มีจริยธรรม อยู่ร่วมกับผู้อ่ืนได้ดี ด้วยการเป็นผู้มี คุณธรรมประจำ มีระเบียบวินัยในตนเอง รักษาระเบียบประเพณี วัฒนธรรมอันเป็นสมบัติประจำชาติ มีค่านิยม สังคม ตลอดจนรกั ชาติเป็นจติ สำนกึ 1.2) เป็นผู้มีสมรรถภาพ (Competency) คือ มีความเก่งในความคิด วิเคราะห์ วิพากย์ วิจารณ์ ทำงานกอปรด้วยความคิดริเริ่ม เก่งในการใช้ภาษา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษาสากล เก่งในการใช้ คอมพวิ เตอร์ รวมท้ังเครือ่ งมอื อิเล็กทรอนิกส์ท้ังหลาย 1.3) เป็นผู้มีสุขภาพดี (Healthy) คือ มีสุขภาพดีทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต การเป็นผู้มี สุขภาพดี คือมีร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ นอกจากสุขภาพกายดีต้องเป็นผู้มีสุขภาพจิตดี คือ ร่าเริง แจ่มใส มนั่ ใจ ไมเ่ ครียด มอี ตั มโนทศั น์ คือเป็นผรู้ จู้ ักตวั เองและเหน็ คุณคา่ ในชวี ิตของตนเอง 2) ด้านการจัดการเรียนรู้ กิจกรรมการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผูเ้ รียนเป็นสำคัญ ต้องเน้นให้นักเรียนได้คิด วิเคราะห์ วิพากย์ วิจารณ์ แก้ปัญหาเป็น มีความตระหนัก มีจิตสำนึก และสามารถนำความรู้ไปปฏิบัติใน ชวี ิตประจำวนั และชวี ติ การทำงานได้ เปน็ ผู้มีความสามารถแก้ปญั หาไดด้ ีเพอื่ สามารถดำรงชีวติ ไดอ้ ยา่ งมีความสุข แนวคิดการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ มีแนวคิดจากปรัชญาคอนสตรัคติ วิซึม (Constructivism) ที่เชื่อว่า การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่เกิดข้ึนภายในตัวผู้เรียน ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้จาก ความสมั พันธ์ระหวา่ งสง่ิ ที่พบเหน็ กับความรู้ ความเข้าใจทมี่ ีอยู่เดิมเปน็ ปรชั ญาทมี่ ขี อ้ สนั นิษฐานวา่ ความรู้ไมส่ ามารถ แยกจากความอยากรู้ ความรู้ได้มาจากการสร้างเพอื่ อธบิ าย แนวคิดคอนสตรัคติวิซมึ เน้นให้ผเู้ รียนสรา้ งความรู้ โดย ผ่านกระบวนการคิดด้วยตนเอง โดยผู้สอนไม่สามารถปรับเปลีย่ นโครงสร้างทางปัญญา (Cognitive Structure) ของ ผู้เรียนได้ แต่ผู้สอนสามารถช่วยผู้เรียนปรับเปล่ียนโครงสร้างทางปัญญาได้ โดยจัดสถานการณ์ให้ผู้เรียนเกิดการ ขัดแย้งทางปัญญาหรือเกิดสภาวะไม่สมดุล (Unequilibrium) ข้ึนซึ่งเป็นสภาวะที่ประสบการณ์ใหม่ไม่สอดคล้องกับ ประสบการณเ์ ดมิ ผู้เรยี นตอ้ งพยายามปรับขอ้ มูลใหมก่ บั ประสบการณท์ ม่ี อี ยเู่ ดมิ แลว้ สร้างเป็นความรใู้ หม่ 2.1) ตวั บ่งชขี้ องการจดั การเรียนรู้ทเ่ี น้นผเู้ รยี นเปน็ สำคญั พมิ พ์พันธ์ เดชะคปุ ต์ (2544) กลา่ ววา่ วิธกี ารจัดการเรียนร้ทู เ่ี น้นผ้เู รยี นเป็นสำคญั ผสู้ อนสามารถ ใช้วิธีการใด ๆ ก็ได้ที่เป็นการจัดการเรียนรู้ท่ีให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียน อาจใช้วิธีใดวิธีหน่ึงหรือหลาย ๆ วิธีใน การจัดการเรียนรู้ครั้งหน่ึง ๆ ดังเช่น วิธีการอภิปราย การค้นพบ การสืบสวนแบบแนะนำ วิธีอริยสัจส่ี กรณีศึกษา ทักษะกระบวนการ 9 ขั้น การใช้สถานการณ์จำลอง การเชื่อมโยงมโนมติ วิธีกลุ่มสัมพันธ์ การเรียนแบบร่วมมือ เป็นต้น การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ มีตัวบ่งช้ีที่จะใช้เป็นแนวทางในการประเมินได้ว่าได้มีการจัดการ เรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญหรือไม่ โดยประเมินจากผู้สอนเมื่อเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ และเมื่อนำแผนการ จดั การเรียนรู้ไปใช้ในห้องเรยี น การจดั การเรยี นร้ทู ่เี น้นผเู้ รยี นเป็นสำคญั น้นั ยังมรี ะดับจากต่ำสุดไปหาสูงสดุ เกณฑ์ท่ี ใช้ประเมินคือ สงั เกตว่าผูเ้ รยี นมสี ่วนร่วมมากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตาม ถา้ ผู้เรยี นมีส่วนร่วมสรา้ งความรู้ด้วยตนเอง อย่างแท้จริงจากส่ิงที่ผู้เรียนต้องการเรียนรู้ด้วยตนเองผู้เรียนจะมีบทบาทมากที่สุด แต่ผู้สอนจะมีบทบาทน้อยลง ในทางตรงข้ามถ้าผู้สอนมีบทบาทกำหนดหัวเรื่องกิจกรรม รวมท้ังสื่อเพื่อจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้ผู้เรียนสร้าง ความรู้เองในลักษณะนี้ผู้สอนและผู้เรียนอาจมีบทบาทเท่า ๆ กัน ซ่ึงก็ยังจัดเป็นการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็น ผจู้ ดั ทำ : นายซาบีดี ปะดอฮงิ ตำแหน่ง ครูผู้ช่วย โรงเรยี นบ้านดือแยหะยี

วจิ ัยในชน้ั เรยี น เร่อื ง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของนักเรยี นท่เี รยี น โดยใช้ชุดสือ่ พัฒนากระบวนการคิด 10 เร่อื งแรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟ้า ของนักเรียนช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 6 วิชาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เอกสารและงานวจิ ัยทเี่ กีย่ วขอ้ ง สำคัญเช่นกัน แต่อยู่ในระดับปานกลาง เพื่อให้การจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้สอนจึงอาจเร่ิมต้นฝึกให้ผู้เรียนเร่ิมมีบทบาทในการเรียนรู้จากระดับน้อยจนมากข้ึนตามลำดับ ซึ่งจะทำให้ผู้สอนมี บทบาทในการสอนน้อยลงตามลำดับไปด้วย ตัวบ่งช้ีของการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยพิจารณาทั้ง ผู้สอนและผู้เรียน มดี งั ต่อไปนี้ 2.1.1) เม่ือพิจารณาผ้สู อน ไดแ้ ก่ 1. ผสู้ อนจดั การเรยี นรโู้ ดยให้ผเู้ รยี นสรา้ งความรูใ้ หม่เอง 2. ผู้สอนให้ผเู้ รยี นใช้ทักษะกระบวนการ คือ กระบวนการคดิ กระบวนการกลมุ่ และสรา้ งความรู้ ดว้ ยตนเอง 3. ผู้สอนให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียน คือมีส่วนร่วมทั้งด้านปัญญา กาย อารมณ์ และสังคม รวมทง้ั ให้ผู้เรียนมปี ฏสิ ัมพนั ธ์ทั้งสิ่งมชี วี ติ และสง่ิ ไม่มีชีวิต เชน่ หนงั สือ สถานที่ต่าง ๆ คอมพวิ เตอร์ เปน็ ต้น 4. ผู้สอนสรา้ งบรรยากาศเอ้ือต่อการเรียนรู้ ท้ังบรรยากาศทางกายภาพ และจิตใจ เพื่อให้ผู้เรียน เรียนร้อู ยา่ งมคี วามสขุ 5. ผู้สอนมีการวัดและประเมินผลท้ังทักษะกระบวนการ ขีดความสามารถศักยภาพของผู้เรียน และผลผลิตจากการเรียนรซู้ ง่ึ เปน็ การประเมนิ ตามสภาพจริง 6. ผสู้ อนพัฒนาผเู้ รียนให้สามารถนำความรไู้ ปใชใ้ นชีวติ ประจำวนั ได้ 7. ผู้สอนเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้อำนวยความสะดวก คือ เป็นผู้จัดประสบการณ์รวมทั้งสื่อการ จดั การเรียนรู้ เพ่อื ใหผ้ ู้เรยี นใชเ้ ป็นแนวทางในการสรา้ งความร้ดู ้วยตนเอง คอื ผู้สอนที่เป็นผู้อำนวยความสะดวกนั้นมี บทบาทดงั น้ี เปน็ ผนู้ ำเสนอ เป็นผู้สังเกต เป็นผู้ถาม เป็นผูใ้ หก้ ารเสริมแรง เปน็ ผ้แู นะนำ เป็นผู้สะท้อนความคดิ เป็นผู้ จดั บรรยากาศ เปน็ ผจู้ ดั ระเบยี บ เป็นผู้แนะแนว เป็นผูป้ ระเมิน เป็นผู้ให้คำช่ืนชม และเปน็ ผ้กู ำกบั 2.1.2) เม่ือพจิ ารณาผเู้ รียน ได้แก่ 1. ผเู้ รียนสร้างความรู้ รวมทัง้ สร้างส่งิ ประดิษฐด์ ้วยตนเอง 2. ผู้เรียนใช้ทักษะกระบวนการ คือ กระบวนการคิด กระบวนการกลุ่ม และสร้างความรู้ด้วย ตนเอง 3. ผเู้ รียนมสี ่วนรว่ มในการเรียน และมปี ฏสิ มั พนั ธ์ 4. ผู้เรียนเรียนรูอ้ ย่างมคี วามสุข 5. ผเู้ รียนสามารถนำความร้ไู ปใชไ้ ด้ ดังนั้น จากแนวคิดการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ผู้วิจัยได้เห็นความสำคัญของแนวคิดนี้ โดยสามารถนำแนวคิดมาจัดรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเพื่อพัฒนาทักษะในด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนให้ บรรลตุ ามเป้าหมายของหลักสูตร และนอกจากน้ผี สู้ อนยังสามารถพัฒนาวิชาชีพของตนเองโดยการพฒั นาการจัดทำ แ ผ น ก า ร จั ด ก า ร เรี ย น รู้ ที่ มุ่ ง เน้ น ที่ ตั ว ข อ ง ผู้ เรี ย น ได้ อ ย่ า งมี ป ร ะ สิ ท ธิ ภ า พ แ ล ะ ส า ม า ร ถ พั ฒ น า ใ ห้ ยั่ งยื น ต่ อ ไป ผู้จดั ทำ : นายซาบีดี ปะดอฮงิ ตำแหน่ง ครผู ชู้ ่วย โรงเรียนบา้ นดอื แยหะยี

วิจยั ในชั้นเรยี น เรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนของนักเรียนทีเ่ รยี น โดยใชช้ ดุ ส่ือพฒั นากระบวนการคดิ 11 เรือ่ งแรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟ้า ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 6 วิชาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เอกสารและงานวจิ ัยที่เกี่ยวขอ้ ง 3. แบบฝกึ ทกั ษะ 3.1 ความหมายและความสำคัญของแบบฝกึ ทักษะ สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550: 53) ได้สรุปความสำคัญของแบบฝึกทักษะว่า แบบฝึกทักษะมีความสำคัญต่อผู้เรียนไม่น้อย ในการที่จะช่วยส่งเสริมสร้างทักษะให้กับผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้และ เข้าใจได้เร็วขึ้น ชัดเจนขึ้น กว้างขวางข้ึนทำให้การสอนของครูและการเรียนของนักเรียนประสบผลสำเร็จอย่างมี ประสิทธิภาพ ไพทูลย์ มูลดี (2546: 48) ได้สรปุ ความหมายของแบบฝึกทักษะ คือชุดฝึกการเรียนรู้ทค่ี รสู ร้างข้ึน ให้นักเรียนได้ทบทวนเนื้อหาท่ีเรียนรู้มาแล้วเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ และช่วยเพิ่มทักษะความชำนาญและฝึก กระบวนการคิดให้มากขึ้น ท้ังยังมีประโยชน์ในการลดภาระการสอนให้กับครู อีกทั้งพัฒนาความสามารถของผู้เรียน และทำใหผ้ ูเ้ รียนสามารถมองเหน็ ความก้าวหนา้ จากผลการเรียนรู้ของตนเองได้ คมขำ แสนกล้า (2547: 32) ได้สรุปความสำคัญของแบบฝึกว่า แบบฝึกทักษะเป็นส่วนสำคัญใน การเรียนการสอน เพราะถ้าขาดแบบฝึกทักษะเพื่อใช้ในการฝึกฝนทักษะความรู้ต่าง ๆ หลังจากเรียนไปแล้ว เด็กก็ อาจจะลืมเลอื นความรู้ท่เี รียนไปได้ ซง่ึ อาจสง่ ผลใหน้ กั เรยี นไม่มปี ระสิทธภิ าพเทา่ ที่ควร ฐานิยา อมรพลัง (2548: 75) ได้สรุปถึงความหมายของแบบฝึกทักษะ คือ งานกิจกรรมหรือ ประสบการณ์ที่ครูจัดให้นักเรียนได้ฝึกหัดกระทำ เพื่อทบทวนฝึกฝนเนื้อหาความรู้ต่าง ๆ ที่ได้เรียนไปแล้วให้เกิด ความจำ จนสามารถปฏบิ ัติได้ดว้ ยความชำนาญ และให้ผเู้ รียนสามารถนำไปใช้ในชวี ติ ประจำวนั ได้ วรรณภา ไชยวรรณ (2549: 40) ได้สรุปความหมายและความสำคัญของแบบฝึกได้ว่า แบบฝึก คือ แบบฝึกหัด หรือชุดฝึกที่ครูจัดให้นักเรียน เพื่อให้มีทักษะเพ่ิมขึ้นหลังจากท่ีได้เรียนรู้เรื่องนั้น ๆ มาบ้างแล้ว โดย แบบฝกึ ต้องมที ศิ ทางตรงตามจดุ ประสงค์ ประกอบกิจกรรมท่ีน่าสนใจและสนกุ สนาน อกนิษฐ์ กรไกร (2549: 18) ได้สรุปความหมายของแบบฝึกทักษะไว้ว่า แบบฝึก-ทักษะหมายถึง ส่ือที่สร้างข้ึนเพื่อเสริมสร้างทักษะให้แก่นักเรียน มีลักษณะเป็นแบบฝึกหัดที่มีกิจกรรมให้นักเรียนทำโดยมีการ ทบทวนสิ่งท่ีเรียนผ่านมาแล้วจากบทเรียน ให้เกิดความเข้าใจและเป็นการฝึกทักษะ และแก้ไขในจุดบกพร่องเพ่ือให้ นกั เรยี นได้มีความสามารถและศกั ยภาพย่ิงข้นึ เข้าใจบทเรียนดขี ้นึ พินิจ จันทร์ซ้าย (2546: 90) กล่าวถึงแบบฝึกทักษะว่า หมายถึง งาน กิจกรรม หรือ ประสบการณ์ท่ีครูผู้สอนจัดให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติเพื่อทบทวนความรู้ท่ีเรียนมาแล้วนำมาปรับประยุกต์ใช้ใน ชวี ิตประจำวนั สามารถฝกึ ฝนด้วยตนเองได้ ผู้รายงานได้ศึกษาความหมายและความสำคัญของแบบฝึกทักษะแล้วพอสรุปได้ว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง ชุดฝึกทักษะที่ครูสร้างขึ้นให้นักเรียนได้ทบทวนเนื้อหาท่ีเรียนรู้มาแล้วเพ่ือสร้างความเข้าใจ และช่วยเพิ่ม ทักษะความชำนาญและฝึกกระบวนการคิดให้มากขึ้น ทำให้ครูทราบความเข้าใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียน ฝึกให้ เด็กมีความเช่ือม่ันและสามารถประเมินผลของตนเองได้ ท้ังยังมีประโยชน์ช่วยลดภาระการสอนของครู และยังช่วย พัฒนาตามความแตกตา่ ง ผจู้ ดั ทำ : นายซาบดี ี ปะดอฮงิ ตำแหน่ง ครผู ชู้ ่วย โรงเรยี นบา้ นดือแยหะยี

วิจัยในชน้ั เรยี น เร่ือง การศกึ ษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นของนกั เรยี นทเี่ รยี น โดยใช้ชุดส่ือพฒั นากระบวนการคิด 12 เร่ืองแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า ของนักเรยี นชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 6 วิชาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เอกสารและงานวจิ ัยที่เกย่ี วข้อง 3.2 ลกั ษณะของแบบฝกึ ทีด่ ี แบบฝึกเป็นเคร่ืองมือท่ีสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างทักษะให้แก่ผู้เรียน การสร้างแบบฝึกให้มี ประสิทธิภาพจึงจำเป็นจะต้องศึกษาองค์ประกอบและลักษณะของแบบฝึก เพื่อใช้ให้เหมาะสมกับระดับ ความสามารถของนักเรียน สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550: 60-61) ได้สรุปลักษณะของแบบฝึกที่ดีควร คำนึงถึงหลักจิตวิทยาการเรียนรู้ผู้เรียนได้ศึกษาด้วยตนเอง ความครอบคลุม ความสอดคล้องกับเนื้อหา รูปแบบ นา่ สนใจ และคำสง่ั ชดั เจน และได้สรปุ ลกั ษณะของแบบฝึกไว้ดงั น้ี 1. ใช้หลักจติ วิทยา 2. สำนวนวิทยาศาสตร์ 3. ใหค้ วามหมายต่อชวี ติ 4. คิดไดเ้ รว็ และสนกุ 5. ปลุกความนา่ สนใจ 6. เหมาะสมกบั วยั และความสามารถ 7. อาจศึกษาได้ดว้ ยตนเอง และไดแ้ นะนำใหผ้ ู้สร้างแบบฝกึ ให้ยึดลกั ษณะของแบบฝกึ ไวด้ ังน้ี 1. แบบฝึกหัดที่ดีควรมคี วามชัดเจนท้ังคำสั่งและวิธีทำคำสั่งหรือตัวอย่างวิธีทำที่ใช้ไม่ควร ยาวเกินไป เพราะจะทำให้เข้าใจยาก ควรปรับให้ง่ายเหมาะสมกับผู้ใช้ท้ังน้ีเพ่ือให้นักเรียนสามารถศึกษาด้วยตนเอง ได้ถ้าต้องการ 2. แบบฝึกหัดที่ดีควรมีความหมายต่อผู้เรียนและตรงตามจุดมุ่งหมายของการฝึกลงทุน น้อยใชไ้ ดน้ าน ๆ และทันสมัยอยูเ่ สมอ 3. ภาษาและภาพทใี่ ชใ้ นแบบฝึกหดั ควรเหมาะสมกับวัยและพ้ืนฐานความรูข้ องผูเ้ รียน 4. แบบฝึกหัดท่ีดีควรแยกฝึกเป็นเรื่อง ๆ แต่ละเรื่องไม่ควรยาวเกินไปแต่ควรมีกิจกรรม หลายรปู แบบ เพ่ือเร้าใหน้ กั เรียนเกิดความสนใจและไม่น่าเบื่อหน่ายในการทำ และเพอ่ื ฝกึ ทักษะใดทักษะหนึง่ จนเกิด ความชำนาญ 5. แบบฝึกหัดที่ดีควรมีทั้งแบบกำหนดให้โดยเสรี การเลือกใช้คำ ข้อความหรือรูปภาพใน แบบฝึกหัด ควรเป็นสิ่งที่นักเรียนคุ้นเคยและตรงกับความในใจของนักเรียนเพ่ือว่าแบบฝึกหัดท่ีสร้างขึ้นจะได้ กอ่ ให้เกิดความเพลดิ เพลินและพอใจแก่ผ้ใู ช้ ซ่ึงตรงกับหลักการเรยี นรูไ้ ดเ้ ร็วในการกระทำท่กี อ่ ให้เกิดความพึงพอใจ 6. แบบฝึกหัดท่ีดีควรเปิดโอกาสให้ผเู้ รียน ได้ศึกษาด้วยตนเองให้รูจ้ ักค้นคว้ารวบรวมสงิ่ ท่ี พบเห็นบ่อย ๆ หรือท่ีตนเองเคยใช้จะทำให้นักเรียนสนใจเร่ืองนั้น ๆ มากยิ่งข้ึนและจะรู้จักความรู้ในชีวิตประจำวัน อยา่ งถกู ต้อง มหี ลกั เกณฑแ์ ละมองเหน็ ว่าสิง่ ท่ีเขาไดฝ้ ึกฝนนั้นมคี วามหมายต่อเขาตลอดไป 7. แบบฝึกหัดท่ีดีควรจะสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้เรียนแต่ละคนจะมีความ แตกต่างกันหลาย ๆ ด้าน เช่น ความต้องการ ความสนใจ ความพร้อม ระดับสติปัญญาและประสบการณ์ ฯลฯ ฉะนั้นการทำแบบฝึกหัดแต่ละเรื่อง ควรจัดทำให้มากพอและมีทกุ ระดับ ตงั้ แตง่ า่ ย ปานกลาง จนถึงระดับค่อน ผูจ้ ดั ทำ : นายซาบดี ี ปะดอฮงิ ตำแหน่ง ครผู ูช้ ่วย โรงเรยี นบ้านดอื แยหะยี

วจิ ยั ในชั้นเรยี น เรอ่ื ง การศกึ ษาผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นของนกั เรยี นทเ่ี รยี น โดยใชช้ ดุ ส่อื พัฒนากระบวนการคิด 13 เรื่องแรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟ้า ของนักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 6 วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เอกสารและงานวจิ ัยท่ีเกี่ยวขอ้ ง ข้างยาก เพื่อว่าท้ังเด็กเก่ง กลาง และอ่อนจะได้เลือกทำได้ตามความสามารถ ท้ังน้ีเพื่อให้เด็กทุกคนประสบ ความสำเร็จในการทำแบบฝึกหดั 8. แบบฝึกหัดท่ีดีควรสามารถเร้าความสนใจของนักเรียนได้ต้ังแต่หน้าปกไปจนถึงหน้า สดุ ท้าย 9. แบบฝึกหัดที่ดีควรได้รับการปรับปรุงไปคู่กับหนังสือแบบเรียนอยู่เสมอและควรใช้ได้ดี ทง้ั ในและนอกบทเรยี น 10. แบบฝึกหัดที่ดีควรเป็นแบบท่ีสามารถประเมิน และจำแนกความเจริญงอกงามของ เด็กได้ด้วย ฐานิยา อมรพลัง (2548: 78) ได้เสนอลักษณะท่ีดีของแบบฝึก คือ แบบฝึกที่เรียงลำดับจากง่าย ไปหายาก มีรูปภาพประกอบ มีรูปแบบน่าสนใจ หลากหลายรูปแบบ โดยอาศัยหลักจิตวิทยาในการจัดกิจกรรมหรือ จัดแบบฝึกให้สนุก ใช้ภาษาเหมาะสมกับวัย และระดับชั้นของนักเรียน มีคำส่ัง คำช้ีแจงส้ัน ชัดเจน เข้าใจง่าย มตี วั อยา่ งประกอบ มกี ารจดั กิจกรรม การฝกึ ทเี่ รา้ ความสนใจ และแบบฝกึ นัน้ ควรทนั สมัยอยเู่ สมอ วรรณภา ไชยวรรณ (2549: 43) ไดอ้ ธิบายถึงลกั ษณะของแบบฝกึ ทีด่ ี คือ ควรมคี วามหลากหลาย รูปแบบ เพื่อไม่ให้เกิดความเบ่ือหน่าย และต้องมีลักษณะที่เร้า ยั่วยุ จูงใจ ได้ให้คิดพิจารณา ได้ศึกษาค้นคว้าจนเกิด ความรู้ ความเข้าใจทักษะ แบบฝึกควรมีภาพดึงดูดความสนใจเหมาะสมกับวัยของผู้เรียนตรงกับจุดประสงค์การ เรียนรู้ มเี นื้อหาพอเหมาะ ถวลั ย์ มาศจรสั และคณะ (2550: 20) ได้อธิบายถึงลักษณะของแบบฝึกหัดและแบบฝึกทักษะที่ดี ไว้ว่า ดงั น้ี 1. จดุ ประสงค์ 1.1 จุดประสงค์ชดั เจน 1.2 สอดคล้องกับการพฒั นาทักษะตามสาระการเรียนรู้ และกระบวนการเรียนรู้ ของกลุม่ สาระการเรยี นรู้ 2. เนอื้ หา 2.1 ถกู ต้องตามหลกั วชิ า 2.2 ใชภ้ าษาเหมาะสม 2.3 มีคำอธบิ ายและคำสัง่ ที่ชดั เจน งา่ ยตอ่ การปฏบิ ตั ติ าม 2.4 สามารถพัฒนาทักษะการเรียนรู้ นำผู้เรียนสู่การสรุปความคิดรวบยอดและ หลกั การสำคญั ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ 2.5 เป็นไปตามลำดับขั้นตอนการเรียนรู้สอดคล้องกับวิธีการเรียนรู้ และความ แตกต่างระหว่างบุคคล 2.6 มีคำถามและกิจกรรมที่ท้าทายส่งเสริมทักษะกระบวนการเรียนรู้ของ ธรรมชาติวิชา ผ้จู ดั ทำ : นายซาบีดี ปะดอฮิง ตำแหน่ง ครูผชู้ ่วย โรงเรยี นบา้ นดือแยหะยี

วิจยั ในชั้นเรยี น เร่อื ง การศึกษาผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นของนักเรยี นทเ่ี รียน โดยใช้ชุดสอื่ พฒั นากระบวนการคิด 14 เรื่องแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟา้ ของนักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 6 วชิ าวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เอกสารและงานวจิ ัยท่เี ก่ยี วข้อง 2.7 มีกลยทุ ธ์การนำเสนอและการต้ังคำถามท่ีชัดเจน น่าสนใจปฏิบัติได้สามารถ ให้ขอ้ มลู ยอ้ นกลับเพ่อื ปรบั ปรงุ การเรียนไดอ้ ยา่ งตอ่ เนื่อง ผู้รายงานพอสรุปลักษณะของแบบฝึกที่ดีได้ว่า แบบฝึกที่ดีและมีประสิทธิภาพ ช่วยทำให้นักเรียนประสบ ความสำเร็จในการฝึกทักษะได้เป็นอย่างดี และแบบฝึกที่ดีเปรียบเสมือนผู้ช่วยท่ีสำคัญของครู ทำให้ครูลดภาระการ สอนลงได้ ทำให้ผู้เรียนพัฒนาความสามารถของตนเพ่ือความมั่นใจในการเรยี นไดเ้ ป็นอย่างดี ดังน้ันครูยังจำเป็นต้อง ศึกษาเทคนิควธิ ีการ ขั้นตอนในการฝึกทกั ษะตา่ ง ๆ มีประสิทธภิ าพทส่ี ุด อันส่งผลให้ผู้เรยี นมีการพัฒนาทักษะต่าง ๆ ได้อย่างเต็มท่ีและแบบฝึกท่ีดีนั้นจะต้องคำนึงถึงองค์ประกอบหลาย ๆ ด้าน ตรงตามเนื้อหา เหมาะสมกับวัย เวลา ความสามารถ ความสนใจ และสภาพปญั หาของผเู้ รียน 3.3 ประโยชนข์ องแบบฝึกทกั ษะ ยุพา ยิ้มพงษ์ (อ้างใน สุนันทา สุนทรประเสริฐ, 2544, หน้า 3) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึก ไวห้ ลายขอ้ ด้วยกนั ดังตอ่ ไปน้ี 1. เป็นส่วนเพิ่มเติมหรือเสริมหนังสือเรียนในการเรียนทักษะ เป็นอุปกรณ์การสอนท่ีช่วยลดภาระ ครูได้มาก เพราะแบบฝึกเป็นสิ่งท่จี ัดทำขึ้นอย่างเปน็ ระบบและมีระเบยี บ 2. ช่วยเสริมทักษะแบบฝึกหัดเป็นเคร่ืองมือที่ช่วยเด็กในการฝึกทักษะ แต่ทั้งน้ีจะต้องอาศัยการ ส่งเสริมและความเอาใจใส่จากครผู ้สู อนด้วย 3. ช่วยในเร่ืองความแตกต่างระหว่างบุคคล เนื่องจากเด็กมีความสามารถทางภาษาแตกต่าง กัน การให้เด็กทำแบบฝึกหัดที่เหมาะสมกับความสามารถของเขา จะช่วยให้เด็กประสบผลสำเร็จในด้านจิตใจมาก ข้ึน ดังน้ันแบบฝกึ หัดจงึ ไม่ใชส่ มุดฝึกท่คี รจู ะให้เดก็ ลงมอื ทำหนา้ ตอ่ หน้า แตเ่ ปน็ แหลง่ ประสบการณเ์ ฉพาะสำหรับเด็ก ท่ตี อ้ งการความชว่ ยเหลอื พเิ ศษและเปน็ เคร่อื งมือชว่ ยท่ีมีค่าของครทู จ่ี ะสนองความตอ้ งการเปน็ รายบคุ คลในชนั้ เรยี น 4. แบบฝึกช่วยเสริมทักษะให้คงทน ลักษณะการฝึกเพื่อช่วยให้เกิดผลดังกล่าวนั้น ได้แก่ ฝึกทันที หลังจากทีเ่ ดก็ ไดเ้ รยี นรู้ในเรอื่ งน้นั ๆ ฝึกซำ้ หลาย ๆ ครั้ง เนน้ เฉพาะในเรื่องทีผ่ ิด โดยสรุป แบบฝึกที่ดีและมีประสิทธิภาพจะช่วยทำให้นักเรียนประสบผลสำเร็จในการฝึกทักษะได้เป็น อยา่ งดี แบบฝกึ ท่ีดีเปรยี บเสมอื นผ้ชู ่วยท่ีดขี องครทู ำให้ครูลดภาระการสอนลงทำให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองได้ อย่างเต็มที่และเพิ่มความมั่นใจในการเรียนได้เป็นอย่างดี อีกทั้งแบบฝกึ จะช่วยในเรื่องของความแตกต่างระหวา่ ง บุคคล โดยเฉพาะเด็กท่ีมีปัญหาในการเรียนรู้น้ัน จำเป็นต้องมีการสอนต่างจากกลุ่มเด็กปกติท่ัวไป หรือเสริมเพิ่มเติม ใหเ้ ป็นพิเศษ ฉะนั้นแบบฝึกจึงมปี ระโยชน์มากสำหรับเด็กที่มีปัญหาในการเรียนรู้ที่จะช่วยให้เด็กได้ฝึกปฏิบัติเพื่อให้ เกิดทกั ษะทางภาษาได้มากข้นึ ไพทูลย์ มูลดี (2546: 52) ได้อธิบายประโยชน์ของแบบฝึกไว้ดังน้ี คือ แบบฝึกมีความสำคัญ และจำเป็นต่อการเรยี นทักษะทางภาษามาก เพราะจะชว่ ยให้ผูเ้ รียนเข้าใจในบทเรียนได้ดีขึ้นสามารถจดจำเนื้อหาใน บทเรยี นและคำศัพท์ต่าง ๆ ไดค้ งทน ทำให้เกดิ ความสนุกสนานในขณะเรียนทราบความกา้ วหน้าของตนเอง สามารถ ผูจ้ ดั ทำ : นายซาบีดี ปะดอฮงิ ตำแหน่ง ครูผู้ช่วย โรงเรียนบา้ นดือแยหะยี

วิจยั ในช้ันเรยี น เรอ่ื ง การศกึ ษาผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นของนกั เรยี นที่เรยี น โดยใช้ชุดส่อื พัฒนากระบวนการคดิ 15 เรอื่ งแรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟา้ ของนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ 6 วชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี เอกสารและงานวิจัยทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง นำแบบฝึกมาทบทวนเนื้อหาเดิมด้วยตนเองได้ นำมาวัดผลการเรียนหลังจากท่ีเรียนแล้ว ตลอดจนสามารถทราบ ข้อบกพรอ่ งของนกั เรยี นและนำไปปรับปรงุ แก้ไขได้ทนั ทว่ งที ซงึ่ จะมผี ลทำให้ครูประหยัดเวลา ค่าใช้จ่ายและลดภาระ ได้มาก และยังใหน้ กั เรียนนำภาษาไปใชส้ อื่ สารได้อย่างมีประสทิ ธิภาพดว้ ย วรรณภา ไชยวรรณ (2549: 41) ได้อธิบายถึงประโยชน์ของแบบฝึกทักษะไว้ว่า แบบฝึกช่วย ในการฝึกหรือเสริมทักษะทางภาษา การใช้ภาษาของนักเรียนสามารถนำมาฝึกซ้ำทบทวนบทเรียน และผู้เรียน สามารถนำไปทบทวนด้วยตนเอง จดจำเนือ้ หาไดค้ งทน มเี จตคตทิ ี่ดีต่อการเรียนวทิ ยาศาสตร์ แบบฝึกถอื เปน็ อุปกรณ์ การสอนอย่างหน่ึงซ่ึงสามารถทดสอบความรู้ วัดผลการเรียนหรือประเมินผลการเรียนก่อนและหลังเรียนได้เป็น อย่างดี ทำให้ครูทราบปัญหาข้อบกพร่องของผู้เรียนเฉพาะจุดได้ นักเรียนทราบความก้าวหน้าของตนเอง ครู ประหยัดเวลา ค่าใชจ้ ่ายและลดภาระได้มาก ถวัลย์ มาศจรัส และคณะ (2550: 21) ได้อธิบายถึงประโยชน์ของแบบฝึกหัดและแบบฝึก ทักษะเป็นสื่อการเรียนรู้ ที่มุ่งเน้นในเร่ืองของการแก้ปัญหา และการพัฒนาในการจัดการเรียนรู้ในหน่วยการเรียนรู้ และสามารถเรยี นรูไ้ ด้ โดยสรุปได้ดงั นี้ 1. เป็นสอื่ การเรยี นรู้ เพ่ือพัฒนาการเรียนรใู้ หแ้ ก่ผเู้ รยี น 2. ผเู้ รียนมสี ือ่ สำหรบั ฝึกทกั ษะด้านการอา่ น การคิด การคดิ วิเคราะห์ และการเขยี น 3. เป็นสือ่ การเรยี นร้สู ำหรบั การแก้ปัญหาในการเรียนรูข้ องผเู้ รียน 4. พัฒนาความรู้ ทกั ษะ และเจตคติดา้ นต่าง ๆ ของผูเ้ รียน จากประโยชน์ของแบบฝึกท่ีกล่าวมา สรุปได้ว่า แบบฝึกท่ีดีและมีประสิทธิภาพช่วยทำให้นักเรียนประสบ ผลสำเรจ็ ในการฝกึ ทักษะได้เปน็ อย่างดี ทกั ษะได้ดังน้ี สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550: 53-54) ได้สรุปประโยชน์ของแบบฝึก 1. ทำให้เขา้ ใจบทเรียนดีขึ้น เพราะเปน็ เคร่อื งอำนวยประโยชนใ์ นการเรียนรู้ 2. ทำใหค้ รูทราบความเข้าใจของนกั เรียนทมี่ ตี ่อบทเรียน 3. ฝึกให้เดก็ มคี วามเชือ่ มัน่ และสามารถประเมนิ ผลของตนเองได้ 4. ฝกึ ใหเ้ ดก็ ทำงานตามลำพงั โดยมคี วามรบั ผดิ ชอบในงานที่ไดร้ ับมอบหมาย 5. ชว่ ยลดภาระครู 6. ช่วยให้เดก็ ฝกึ ฝนได้อยา่ งเตม็ ท่ี 7. ช่วยพัฒนาตามความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล 8. ชว่ ยเสริมใหท้ กั ษะคงทน ซึ่งลักษณะการฝึกเพื่อช่วยให้เกิดผลดังกลา่ วนั้นได้แก่ 8.1 ฝึกทนั ทีหลังจากท่เี ดก็ ได้เรียนรู้ในเร่ืองนนั้ ๆ 8.2 ฝกึ ซำ้ หลาย ๆ ครัง้ 8.3 เน้นเฉพาะในเรือ่ งท่ีผดิ 9. เปน็ เครอื่ งมือวดั ผลการเรยี นหลงั จากจบบทเรยี นในแตล่ ะครั้ง 10. ใช้เป็นแนวทางเพอ่ื ทบทวนดว้ ยตนเอง ผู้จดั ทำ : นายซาบดี ี ปะดอฮงิ ตำแหน่ง ครูผชู้ ว่ ย โรงเรียนบ้านดือแยหะยี

วิจยั ในชนั้ เรียน เรอ่ื ง การศึกษาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นของนกั เรียนท่เี รยี น โดยใช้ชดุ สอ่ื พฒั นากระบวนการคิด 16 เรอ่ื งแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟา้ ของนักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 6 วิชาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เอกสารและงานวิจยั ทเ่ี กี่ยวข้อง 11. ช่วยใหค้ รมู องเหน็ จดุ เด่นหรือปัญหาต่าง ๆ ของเด็กไดช้ ัดเจน 12. ประหยัดค่าใช้จา่ ยแรงงานและเวลาของครู ผูร้ ายงาน ได้ศกึ ษาค้นคว้าเก่ียวกับประโยชน์ของแบบฝึกทกั ษะแลว้ พอสรปุ ได้ว่าแบบฝึกมคี วามสำคัญ และ จำเป็นต่อการเรียนทักษะทางภาษามาก เพราะจะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนได้ดีขึ้น สามารถจดจำเนื้อหาใน บทเรียนและคำศพั ท์ต่าง ๆ ไดค้ งทน ทำใหเ้ กิดความสนกุ สนาน ในขณะเรยี นทราบความก้าวหน้าของตนเอง และครู มองเห็นจุดเด่นหรือปัญหาต่าง ๆ ของเด็กได้ชัดเจน สามารถนำแบบฝึกทักษะมาทบทวนเน้ือหาเดิมด้วยตนเอง ตลอดจนสามารถทราบข้อบกพร่องของนักเรียนและนำไปปรับปรุงได้ทันท่วงที ซ่ึงจะมีผลทำให้ครูประหยัดเวลา ประหยดั คา่ ใช้จา่ ย 3.4 หลักการสร้างแบบฝกึ วรรณภา ไชยวรรณ (2549: 45) ไดส้ รปุ หลักการสร้างแบบฝึกทกั ษะดังน้ี 1. ความใกล้ชิด คือ ถ้าใช้สิ่งเร้าและการตอบสนองเกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกันจะสร้างความ พอใจใหก้ ับผูเ้ รียน 2. การฝึก คือ การให้นกั เรียนได้ทำซ้ำ ๆ เพอื่ ช่วยสรา้ งความรู้ ความเข้าใจท่ีแม่นยำ 3. กฎแห่งผล คือ การที่ผู้เรียนได้ทราบผลการทำงานของตนด้วยการเฉลยคำตอบจะช่วยให้ ผเู้ รียนทราบข้อบกพร่องเพื่อปรบั ปรุงแกไ้ ขและเป็นการสรา้ งความพอใจแกผ่ ้เู รียน 4. การจูงใจ คือ การสร้างแบบฝึกเรียงลำดับ จากแบบฝึกง่ายและสั้นไปสู่แบบฝึกเร่ืองที่ยาก และยาวขึ้น ควรมภี าพประกอบและมีหลายรส หลายรปู แบบ สุวิทย์ มูลคำ และสนุ นั ทา สุนทรประเสริฐ (2550: 54-55) ไดส้ รุปหลกั ในการสร้างแบบฝกึ วา่ ต้องมกี ารกำหนดเงอ่ื นไขท่ีจะช่วยให้ผูเ้ รียนทกุ คนสามารถผ่านลำดับขั้นตอนของทุกหน่วยการเรยี นได้ ถ้านักเรียนได้ เรียนตามอตั ราการเรยี นของตนกจ็ ะทำให้นักเรียนประสบความสำเรจ็ มากขน้ึ 3.5 ส่วนประกอบของแบบฝึก สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550: 61-62) ได้กำหนดส่วนประกอบของแบบ ฝึกทกั ษะได้ดงั น้ี 1. คู่มือการใช้แบบฝึก เป็นเอกสารสำคัญประกอบการใช้แบบฝึก ว่าใช้เพ่ืออะไรและมีวิธีใช้ อยา่ งไร เชน่ ใชเ้ ปน็ งานฝกึ ท้ายบทเรยี น ใช้เป็นการบ้าน หรือใช้สอนซ่อมเสรมิ ประกอบดว้ ย - ส่วนประกอบของแบบฝึก จะระบุว่าในแบบฝึกชุดนี้ มีแบบฝึกทั้งหมดกี่ชุด อะไรบ้าง และมสี ่วนประกอบอนื่ ๆ หรอื ไม่ เช่น แบบทดสอบ หรอื แบบบันทกึ ผลการประเมนิ - ส่ิงที่ครูหรือนักเรียนต้องเตรียม (ถ้ามี) จะเป็นการบอกให้ครูหรือนักเรียนเตรียมตัวให้ พรอ้ มล่วงหน้าก่อนเรยี น - จดุ ประสงค์ในการใชแ้ บบฝึก ผู้จดั ทำ : นายซาบีดี ปะดอฮงิ ตำแหนง่ ครูผู้ช่วย โรงเรียนบ้านดอื แยหะยี

วจิ ยั ในช้ันเรยี น เร่ือง การศกึ ษาผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นของนกั เรียนทเ่ี รียน โดยใชช้ ดุ สอ่ื พฒั นากระบวนการคิด 17 เรอื่ งแรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟ้า ของนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เอกสารและงานวิจยั ท่เี กย่ี วข้อง - ขั้นตอนในการใช้ บอกข้อตามลำดับการใช้ และอาจเขียนในรูปแบบของแนวการสอน หรือแผนการสอนจะชดั เจนย่งิ ข้นึ - เฉลยแบบฝกึ ในแตล่ ะชุด 2. แบบฝึก เป็นสื่อท่ีสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนฝึกทักษะ เพ่ือให้เกิดการเรียนรู้ที่ถาวรควรมี องค์ประกอบ ดงั นี้ - ชื่อชดุ ฝึกในแตล่ ะชดุ ยอ่ ย - จดุ ประสงค์ - คำสงั่ - ตวั อย่าง - ชดุ ฝกึ - ภาพประกอบ - ข้อทดสอบกอ่ นและหลังเรยี น - แบบประเมนิ บนั ทึกผลการใช้ 3.6 รปู แบบการสรา้ งแบบฝกึ สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550: 62-64) ได้เสนอแนะรูปแบบการสร้าง แบบฝึก โดยอธิบายว่าการสร้างแบบฝึกรูปแบบก็เป็นส่ิงสำคัญในการที่จะจูงใจให้ผู้เรียนได้ทดลองปฏิบัติแบบฝึกจึง ควรมีรปู แบบท่ีหลากหลาย มใิ ช่ใช้แบบเดียวจะเกิดความจำเจนา่ เบื่อหน่าย ไมท่ ้าทายใหอ้ ยากรอู้ ยากลองจึงขอเสนอ รปู แบบที่เป็นหลักใหญ่ไว้ก่อน ส่วนผู้สร้างจะนำไปประยุกต์ใช้ ปรับเปล่ียนรูปแบบอื่น ๆ ก็แล้วแต่เทคนิคของแต่ละ คน ซง่ึ จะเรยี งลำดบั จากงา่ ยไปหายาก ดังนี้ 1. แบบถูกผิด เป็นแบบฝึกที่เป็นประโยคบอกเล่า ให้ผู้เรียนอ่านแล้วใส่เคร่ืองหมายถูกหรือผิด ตามดุลยพนิ จิ ของผเู้ รียน 2. แบบจับคู่ เป็นแบบฝึกท่ีประกอบด้วยตัวคำถามหรือตัวปัญหา ซ่ึงเป็นตัวยืนไว้ในสดมภ์ ซา้ ยมือ โดยมีที่วา่ งไวห้ นา้ ขอ้ เพอ่ื ใหผ้ เู้ รียนเลือกหาคำตอบท่ีกำหนดไว้ในสดมภ์ขวามอื มาจับคู่กบั คำถามใหส้ อดคล้อง กนั โดยใชห้ มายเลขหรอื รหัสคำตอบไปวางไวท้ ีว่ ่างหนา้ ขอ้ ความหรอื จะใชก้ ารโยงเสน้ ก็ได้ 3. แบบเติมคำหรอื เติมข้อความ เป็นแบบฝึกทีม่ ีขอ้ ความไว้ให้ แต่จะเว้นชอ่ งวา่ งไว้ใหผ้ เู้ รยี นเติม คำหรือขอ้ ความที่ขาดหายไป ซง่ึ คำหรอื ขอ้ ความทน่ี ำมาเติมอาจใหเ้ ตมิ อย่างอสิ ระหรือกำหนดตวั เลอื กให้เติมกไ็ ด้ 4. แบบหมายตัวเลอื ก เป็นแบบฝึกเชิงแบบทดสอบ โดยจะมี 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นคำถาม ซึ่ง จะตอ้ งเปน็ ประโยคคำถามท่สี มบรู ณ์ ชดั เจนไม่คลุมเครือ สว่ นท่ี 2 เป็นตัวเลือก คอื คำตอบซ่ึงอาจจะมี 3-5 ตวั เลอื ก ก็ได้ ตัวเลือกทัง้ หมดจะมตี ัวเลอื กทถี่ ูกทส่ี ุดเพยี งตวั เลือกเดยี วส่วนทเ่ี หลือเป็นตวั ลวง 5. แบบอัตนัย คือความเรียงเป็นแบบฝึกที่ตัวคำถาม ผู้เรียนต้องเขียนบรรยายตอบอย่างเสรี ตามความรู้ความสามารถ โดยไม่จำกัดคำตอบ แต่กำจัดคำตอบ แต่จำกัดในเรื่องเวลา อาจใช้คำถามในรูปทั่ว ๆ ไป หรือเป็นคำสั่งให้เขยี นเรอ่ื งราวตา่ ง ๆ กไ็ ด้ ผ้จู ดั ทำ : นายซาบีดี ปะดอฮงิ ตำแหนง่ ครผู ชู้ ว่ ย โรงเรียนบา้ นดอื แยหะยี

วิจัยในช้ันเรยี น เร่ือง การศกึ ษาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นของนักเรียนท่เี รยี น โดยใช้ชุดสื่อพฒั นากระบวนการคิด 18 เรอื่ งแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า ของนักเรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 วชิ าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เอกสารและงานวิจัยที่เก่ยี วขอ้ ง 3.7 ข้ันตอนการสร้างแบบฝกึ สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550: 65) ได้เสนอแนะ การสร้างแบบฝึกว่า ข้นั ตอนการสร้างแบบฝึก จะคล้ายคลงึ กบั การสร้างนวัตกรรมทางการศกึ ษาประเภทอนื่ ๆ ซึง่ มรี ายละเอียดดังนี้ 1. วิเคราะห์ปัญหาและสาเหตุจากการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน เช่น - ปญั หาทีเ่ กิดขนึ้ ในขณะทำการสอน - ปัญหาการผ่านจุดประสงคข์ องนักเรียน - ผลจากการสงั เกตพฤตกิ รรมทีไ่ ม่พึงประสงค์ - ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน 2. ศึกษารายละเอียดในหลักสูตร เพอื่ วิเคราะหเ์ นอ้ื หา จดุ ประสงคแ์ ละกจิ กรรม 3. พจิ ารณาแนวทางแกป้ ญั หาท่ีเกดิ ข้ึนจากขอ้ 1 โดยการสรา้ งแบบฝกึ และเลอื กเนื้อหาในส่วน ท่ีจะสร้างแบบฝกึ นน้ั วา่ จะทำเรือ่ งใดบ้าง กำหนดเปน็ โครงเรื่องไว้ 4. ศึกษารปู แบบของการสรา้ งแบบฝกึ จากเอกสารตัวอย่าง 5. ออกแบบชดุ ฝึกแต่ละชุดให้มีรปู แบบท่ีหลากหลายนา่ สนใจ 6. ลงมือสร้างแบบฝึกในแต่ละชุด พร้อมท้ังข้อทดสอบก่อนและหลังเรียนให้สอดคล้องกับ เนื้อหาและจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 7. ส่งใหผ้ เู้ ชี่ยวชาญตรวจสอบ 8. นำไปทดลองใช้ แลว้ บันทกึ ผลเพ่ือนำมาปรบั ปรงุ แกไ้ ขสว่ นท่บี กพร่อง 9. ปรับปรุงจนมปี ระสิทธิภาพตามเกณฑ์ทตี่ ั้งไว้ 10. นำไปใชจ้ ริงและเผยแพรต่ อ่ ไป ถวัลย์ มาศจรสั และคณะ (2550: 21) ได้อธบิ ายขน้ั ตอนการสรา้ งแบบฝกึ ทักษะ ดงั นี้ 1. ศกึ ษาเนอ้ื หาสาระสำหรับการจัดทำแบบฝึกหัด แบบฝึกทักษะ 2. วิเคราะห์เน้อื หาสาระโดยละเอียดเพอ่ื กำหนดจุดประสงค์ในการจัดทำ 3. ออกแบบการจัดทำแบบฝึกหดั แบบฝึกทกั ษะตามจดุ ประสงค์ 4. สรา้ งแบบฝกึ หัด และแบบฝึกทักษะและส่วนประกอบอน่ื ๆ เชน่ 4.1 แบบทดสอบกอ่ นฝึก 4.2 บตั รคำสงั่ 4.3 ข้นั ตอนกิจกรรมท่ีผเู้ รียนต้องปฏบิ ัติ 4.4 แบบทดสอบหลังฝึก 5. นำแบบฝกึ หัด แบบฝกึ ทักษะไปใช้ในการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ 6. ปรับปรุงพฒั นาให้สมบูรณ์ ผูจ้ ดั ทำ : นายซาบีดี ปะดอฮิง ตำแหนง่ ครูผชู้ ่วย โรงเรยี นบา้ นดือแยหะยี

วจิ ัยในชัน้ เรยี น เร่อื ง การศกึ ษาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนของนกั เรยี นท่เี รียน โดยใช้ชุดสอ่ื พฒั นากระบวนการคดิ 19 เร่อื งแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟา้ ของนักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 6 วิชาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เอกสารและงานวจิ ัยทเี่ กี่ยวข้อง 3.8 แนวคดิ หลกั การทีเ่ กยี่ วขอ้ งกับแบบฝกึ ทักษะ อกนิษฐ์ กรไกร (2549: 17) ได้ดำเนินการสร้างแบบฝึกทักษะ ยึดหลักให้นักเรียนได้เรียนรู้ ดว้ ยตนเองตามศักยภาพของแตล่ ะบุคคล ในความคาดหวงั ต้องการให้เด็กทีใ่ ชแ้ บบฝกึ ทักษะมีพฤตกิ รรม ดงั น้ี 1. Active Responding ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนอย่างกระฉับ-กระเฉง ไม่ว่าจะเป็น คดิ ในใจหรอื แสดงออกมาดว้ ยการพดู หรือเขยี น นกั เรียนอาจเขียนรูปภาพเติมคำแตง่ ประโยคหรือหาคำตอบในใจ 2. Minimal Error ในการเรียนแต่ละคร้ังเราหวังว่า นักเรียนจะตอบคำถามได้ถูกต้องเสมอ แต่ ในกรณีท่ีนักเรียนตอบคำถามผิด นักเรียนควรมีโอกาสฝึกฝนและเรียนรู้ในสิ่งที่เขาทำผิดเพ่ือไปสู่คำตอบที่ถูกต้อง ตอ่ ไป 3. Knowledge of Results เมื่อนักเรียนสามารถตอบถูกต้องเขาควรได้รับเสริมแรง ถ้า นักเรียนตอบผิดเขาควรได้รับการชี้แจง และให้โอกาสท่ีจะแก้ไขให้ถูกต้องเช่นเดียวกับประสบการณ์ที่เป็น ความสำเร็จสำหรบั มนษุ ยแ์ ลว้ เพียงได้รวู้ า่ ทำอะไรสำเร็จก็ถอื เป็นการเสรมิ แรงในตัวเอง 4. Small Step การเรียนจะต้องเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้ไปทีละน้อยด้วยตนเอง โดยให้ ความรู้ตามลำดับข้ันและเปิดโอกาสให้ผู้เรยี นใคร่ครวญตามซ่ึงจะเป็นผลดตี ่อการเรียนรขู้ องเด็กอย่างมาก แม้ท่ีเรียน ออ่ นก็จะสามารถเรยี นได้ สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550: 54-55) ได้อธิบายแนวคิดและหลักการ สร้างแบบฝกึ วา่ การศกึ ษาในเร่ืองจิตวทิ ยาการเรียนรู้ เปน็ สง่ิ ทผ่ี ู้สร้างแบบฝกึ มิควรละเลยเพราะการเรียนรู้จะเกดิ ขึ้น ได้ต้องขึ้นอยู่กับปรากฏการณ์ของจิตและพฤติกรรมท่ีตอบสนองนานาประการ โดยอาศัยกระบวนการที่เหมาะสม และเป็นวิธีท่ีดีท่ีสุด การศึกษาทฤษฎีการเรียนรู้จากข้อมูลท่ีนักจิตวิทยาได้ทำการค้นพบ และทดลองไว้แล้ว สำหรับ การสรา้ งแบบฝึกในสว่ นทีม่ คี วามสมั พนั ธ์กนั ดงั น้ี 1. ทฤษฎกี ารลองถกู ลองผดิ ของธอรน์ ไดค์ ซึง่ ไดส้ รปุ เป็นกฎเกณฑก์ ารเรียนรู้ 3 ประการ คือ 1.1 กฎความพรอ้ ม หมายถึง การเรียนรูจ้ ะเกดิ ขึน้ เมอ่ื บุคคลพรอ้ มที่จะกระทำ 1.2 กฎผลทไี่ ด้รับ หมายถงึ การเรียนรทู้ เี่ กิดข้นึ เพราะบุคคลกระทำซำ้ ง่าย 1.3 กฎการฝึกหัด หมายถงึ การฝึกหัดใหบ้ ุคคลทำกิจกรรมตา่ ง ๆ นัน้ ผูฝ้ ึกจะตอ้ งควบคมุ และจัดสภาพการใหส้ อดคล้องกบั วตั ถปุ ระสงค์ของตนเอง บุคคลจะถูกกำหนดลักษณะพฤตกิ รรมทแ่ี สดงออก ดงั น้ัน ผู้สรา้ งแบบฝกึ จึงจะตอ้ งกำหนดกิจกรรมตลอดจนคำสั่งต่าง ๆ ใบแบบฝกึ ใหผ้ ฝู้ ึกได้แสดง พฤติกรรมสอดคล้องกบั จดุ ประสงคท์ ผี่ สู้ รา้ งตอ้ งการ 2. ทฤษฎพี ฤตกิ รรมนยิ มของสกินเนอร์ ซง่ึ มีความเชอ่ื ว่า สามารถควบคุมบุคคลให้ทำตามความ ประสงค์หรือแนวทางท่ีกำหนดโดยไม่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกทางด้านจิตใจของบุคคลผู้นั้นว่าจะรู้สึกนึกคิดอย่างไร เขาจึงได้ทดลองและสรุปวา่ บุคคลสามารถเรียนรู้ด้วยการกระทำโดยมีการเสริมแรงเป็นตัวการ เป็นบุคคลตอบสนอง การเร้าของสงิ่ เรา้ ควบคกู่ นั ในช่วงเวลาทเ่ี หมาะสม สิง่ เร้าน้ันจะรกั ษาระดบั หรอื เพ่มิ การตอบสนองใหเ้ ข้มขนึ้ 3. วิธีการสอนของกาเย่ ซึ่งมีความเห็นว่าการเรียนร้มู ีลำดบั ขน้ั และผู้เรียนจะต้องเรียนรู้เนือ้ หา ทง่ี า่ ยไปหายาก การสร้างแบบฝึก จงึ ควรคำนงึ ถึงการฝกึ ตามลำดับจากงา่ ยไปหายาก ผจู้ ดั ทำ : นายซาบีดี ปะดอฮิง ตำแหน่ง ครผู ้ชู ่วย โรงเรียนบ้านดอื แยหะยี

วจิ ัยในช้ันเรียน เรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของนักเรยี นทเ่ี รียน โดยใช้ชุดส่ือพัฒนากระบวนการคดิ 20 เรอ่ื งแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า ของนักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 6 วิชาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เอกสารและงานวจิ ยั ท่เี กี่ยวข้อง 4. แนวคิดของบลูม ซึ่งกล่าวถึงธรรมชาติของผู้เรียนแต่ละคนว่ามีความแตกต่างกันผู้เรียน สามารถเรยี นรเู้ นอ้ื หาในหน่วยย่อยต่าง ๆ ไดโ้ ดยใชเ้ วลาเรยี นท่แี ตกต่างกัน 4. งานวจิ ยั ทเี่ ก่ียวข้อง จากการทบทวนงานวิจัยที่เก่ียวข้องกับการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ทัง้ ในประเทศและตา่ งประเทศ พบว่า Kahkone (2009) ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับกิจกรรมการสอน โดยใช้วิจัยเชิงปฏิบัติการแบบ ศึกษารายกรณีเพ่ือพัฒนาและประเมินผลตามแนว Constructivism เรื่อง กฎการเคล่ือนท่ีของนิวตัน โดยอาศัย กรอบของการสอนการวิจัยและพัฒนาหลักสตู ร พบว่า สื่อการเรยี นการสอนท่ีมีความสำคัญอย่างมากต่อการพัฒนา และการประเมินผลการเรียนการสอนตามแนว Constructivism เน่ืองจากนักเรียนมีความเข้าใจมโนมติที่ คลาดเคล่ือนการนำเสนอมโนมตทิ ี่ถูกต้องในรปู ของเอกสาร การอา่ น และการฟังบรรยายน้ันยังไม่สามารถแก้ปัญหา ได้ นอกจากน้ีการวิจัยคร้งั นี้ยังพบว่า การให้นักเรียนไดเ้ ผชิญกับสถานการณ์จรงิ มีส่วนในกิจกรรมการเรียนการสอน ไดป้ รกึ ษาหารือและแลกเปลยี่ นความคดิ เห็นกนั จะชว่ ยให้สามารถเปลย่ี นมโนคตทิ ีค่ ลาดเคลื่อนของนกั เรยี นได้ ถวัลย์ มาศจรัส (2557, หน้า 148-149) ได้ทำการศึกษาส่วนประกอบของแบบฝึกทักษะไว้ว่า ต้องมีจุดประสงค์ชัดเจนสอดคล้องกับการพัฒนาทักษะตามสาระการเรียนรู้และกระบวนการ เรียนรู้ของกลุ่มการ เรยี นรู้ ในส่วนของเนื้อหาตอ้ งถูกตอ้ งตามหลกั วชิ าใหภ้ าษาเหมาะสม มีคำอธบิ ายและคำสั่งท่ีชัดเจนง่ายต่อการปฏิบัติ ตาม สามารถพัฒนาทักษะการเรียนรู้ นำผู้เรียนสู่การสรุปความคิดรวบยอดและหลักการสำคัญของกลุ่มสาระการ เรียนรู้ เป็นไปตามลำดับขั้นตอนการเรียนรู้ สอดคล้องกับวิธีการเรียนรู้ และความแตกต่างระหว่างบุคคล มีคำถาม และกิจกรรมที่ท้าทายส่งเสริมทักษะกระบวนการเรียนรู้ของธรรมชาติวิชามีกลยุทธ์การนำเสนอ และการต้ังคำถามท่ี ชดั เจนน่าสนใจ ปฏบิ ตั ิได้ สามารถใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั เพ่อื ปรบั ปรงุ การเรยี นรขู้ องผูเ้ รียนไดอ้ ย่างต่อเนอื่ ง สมวงษ์ แปลงประสพโชค (2558, หนา้ 26) ได้ทำการศึกษาหลกั การใหน้ ักเรียนทำแบบฝกึ หัดไว้ดังน้ี แบบฝึกหัดและกิจกรรมควรเรียงจากง่ายไปยากหาคำตอบของแบบฝึกหัดบางข้อเพื่อให้นักเรียนตรวจสอบผลงาน และควรมีข้อแนะนำอธิบายสำหรับข้อท่ียาก ควรให้นักเรียนได้ทำแบบฝึกหัดในชั่วโมงเรียน จะได้จำแนกข้อยาก และมีโอกาสซักถาม หลีกเลี่ยงการให้แบบฝึกหัด ที่ซ้ำซากและกิจกรรมท่ีเป็นกิจวัตร ควรสอดแทรก เกม ปริศนา และกิจกรรมทดลองท่ีน่าสนใจ ควรมีแบบฝึกหัดแบบปลายเปิดที่นักเรียนเลือกปัญหาด้วยตนเอง ควรอนุญาตให้ นักเรียนทำงานเป็นคู่หรือกลุ่มในบางโอกาส พยายามส่งเสรมิ การทำงานเป็นกลุ่มและลดการลอกงานกนั ฉวีวรรณ กีรติกร (2558, หน้า 10) ได้ทำการศึกษาการส่งเสริมและพัฒนาทักษะโดยใช้ แบบ ฝึกทักษะจะส่งผลถึงพฤติกรรมการเรียนของผู้เรียนคือ ช่วยในการปรับพฤติกรรมการเรียน ส่งเสริมความเข้า ใจความชำนาญ การคิดในใจ และแก้ปญั หาดว้ ยตนเองได้เร็ว ถกู ตอ้ งและแมน่ ยำ ประทีป แสงเปี่ยมสุข (2559, หน้า 34) ได้ทำการศึกษาประโยชน์ของแบบฝึกไว้เช่นกันคือแบบ ฝึกเป็นอุปกรณ์ช่วยลดภาระของครู ช่วยให้ครูมองเห็นปัญหาต่าง ๆ ของนักเรียนได้ชัดเจน ช่วยให้นักเรียนได้ฝึก ทักษะในการใชภ้ าษาให้ดีขนึ้ ช่วยในเรอ่ื งความแตกต่างระหวา่ งบุคคล ทำให้นักเรียนประสบผลสำเร็จในทางจิตใจ มากขึ้น ช่วยเสริมทักษะทางภาษาให้คงทน เป็น เครื่องมือวัดผลการเรียนหลังจากเรียนบทเรียนแล้ว ผู้จดั ทำ : นายซาบีดี ปะดอฮิง ตำแหน่ง ครูผูช้ ว่ ย โรงเรยี นบา้ นดอื แยหะยี

วจิ ยั ในชน้ั เรียน เรือ่ ง การศกึ ษาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นของนกั เรียนท่ีเรียน โดยใช้ชุดสอ่ื พฒั นากระบวนการคดิ 21 เร่อื งแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า ของนกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 6 วชิ าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เอกสารและงานวจิ ยั ท่เี กย่ี วข้อง ช่วยให้นักเรียนสามารถทบทวนได้ด้วยตนเอง ช่วยให้นักเรียนฝึกฝนได้เต็มที่ นอกเหนือจากที่เรียนในเวลาเรียน และช่วยให้ผู้เรียนเห็นความก้าวหน้าของตนเองด้วย ยุพิน พิพิธกุล (2560, หน้า 13) ได้ทำการศึกษาข้อควรคำนึงในการทำแบบฝึกว่า การฝึกจะให้ ได้ผลดีต้องคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ควรจะฝึกไปทีละเร่ือง เมื่อจบบทเรียนหน่ึง และเม่ือเรียนได้หลาย บท ก็ควรจะฝกึ รวบยอดอีกคร้ัง ควรจะมีการตรวจสอบแบบฝึกแต่ละครั้งที่ให้นักเรียนทำเพื่อประมวลผลนักเรียน คัดเลือกแบบฝึกที่สอดคล้องกับบทเรียนและพอเหมาะไม่มากเกินไป คำนึงถึงความยากง่าย และพึง ตระหนักอยู่เสมอว่าก่อนที่จะให้นักเรียนทำ โจทย์นั้นนักเรียนเข้าใจในวิธีการทำโจทย์นั้นโดยถ่องแท้แล้ว อย่าปล่อยให้นักเรียนทำโจทย์ตามตัวอย่าที่ครูสอนโดยไม่เกดิ ความริเรม่ิ สร้างสรรค์ สมทรง สุวพานิช (2561, หน้า 42) ได้ทำการศึกษาวิธีการให้ทำแบบฝึกหัดดังต่อไปนี้ การให้ฝึก ปฏิบัติควรจะมาหลังการสอน เม่ือนักเรียนเข้าใจดีแล้ว และควรให้ฝึกทุก ๆ ด้าน โดยฝึกทำจากสิ่งที่ง่ายไปหาสิ่งที่ยาก ให้ระยะเวลาสั้น ๆ ในการฝึกแต่บ่อยคร้ังจะดีกว่าการฝึกติดต่อกัน เป็นเวลานาน เน่ืองจากเดก็ แต่ละคนอาจจะใช้ วิธีการทำที่แตกต่างกัน ดังน้ันครูต้องติดตามผลการฝึกอยู่เสมอ ควรให้งานตามความสามารถ ตามความเหมาะสมเป็น กลมุ่ ๆ ครคู วรจัดให้เด็กเก่งศกึ ษาปัญหาทางคณิตศาสตร์ประเภทลับสมองเพือ่ ใหเ้ ขาได้พบสิ่งแปลกใหม่ เปน็ การเรา้ ความ สนใจ ไม่ควรปล่อยให้ทำแบบฝึกหัดมาก ๆ ทุกคร้ังไป ครูต้องสร้างทัศนคติที่ดีต่อการให้แบบฝึกหัด โดยให้เด็กเห็น ความสำคัญและให้ใช้เป็นสิ่งแสดงความก้าวหน้าของแต่ละคน ครูต้องแนะนำอย่างใกล้ชิดหากมีผิดพลาดครู ควรแก้ไขเสียก่อนที่จะติดเป็นนิสัย ในการฝึกที่ชัดเจน ครูต้องดูแลและจัดการฝึกให้เหมาะสมกับนักเรียนซึ่งมี ความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล และครูต้องสรรหากิจกรรมท่ีใช้ฝึกให้มีความหลากหลายให้นักเรยี นได้ฝกึ ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2562, หน้า 495) ได้ทำการศึกษา การกำหนดเกณฑ์ E1/E2 ให้มีค่าเท่าใด น้ันควรพิจารณาตามความเหมาะสม โดยปกติเน้ือหาที่เป็นความรู้ความจำ มักจะตั้งไว้ 80/80, 85/85 หรือ 90/90 ส่วนเนื้อหาที่เป็นทักษะอาจตั้งไว้ ต่ำกว่านี้ เช่น 75/75 เป็นต้น เมื่อกำหนดเกณฑ์แล้วนำไปทดลองจริง อาจได้ผลไม่ตรงตามเกณฑ์ แต่ไม่ควรต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ร้อยละ 5 เช่น ถ้ากำหนดไว้ 90/90 ก็ควรได้ไม่ต่ำ กวา่ 85.5/85.5 ขั้นตอนการทดสอบประสิทธิภาพ เมื่อผลิตแบบฝึกเพื่อเป็นต้นแบบแล้วต้องนำแบบฝึกไปทดสอบ ประสทิ ธิภาพตามขนั้ ตอนต่อไปน้ี ชยั ยงศ์ พรหมวงศ์ (2532, หน้า 496-497) 1. ขั้นหาประสิทธิภาพ 1:1 แบบเดี่ยว (Individual Tryout 1:1) เป็นการทดลองกับผู้เรียนกลุ่ม ละ 1 คน โดยใช้เด็กเก่ง ปานกลาง อ่อน เพื่อค้นหาข้อบกพร่องต่าง ๆ เช่น ลักษณะของแบบฝึก จำนวนแบบฝึก ความสนใจของนักเรียนและ ความเหมาะสมในด้านเวลา เสรจ็ แลว้ ปรบั ปรุงใหด้ ีข้ึน 2. ข้ันหาประสิทธิภาพ 1:10 แบบกลุ่ม (Small group Tryout 1:10) เป็นการทดลองกับผู้เรียน กลุ่มละ 6-10 คน (คละผู้เรียนเก่งกับอ่อน) เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสังเกต ตรวจผลงาน สัมภาษณ์ เพ่ือค้นหา ขอ้ บกพร่องแล้วนำไปปรบั ปรงุ แกไ้ ขให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจและปรบั ปรุงจนได้ตามเกณฑ์ ผจู้ ดั ทำ : นายซาบดี ี ปะดอฮงิ ตำแหนง่ ครูผชู้ ่วย โรงเรยี นบา้ นดือแยหะยี

วจิ ยั ในช้นั เรียน เร่ือง การศึกษาผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นของนักเรยี นท่เี รยี น โดยใช้ชุดสือ่ พัฒนากระบวนการคดิ 22 เรอื่ งแรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟ้า ของนกั เรยี นช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 6 วชิ าวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เอกสารและงานวจิ ยั ทเี่ กีย่ วขอ้ ง 3. ข้ันหาประสิทธิภาพ 1:100 แบบสนาม (Field Tryout 1:100) เป็นการทดลองกับผู้เรียนกลุ่ม 26 - 100 คน ให้นักเรียนคละกันทั้งเก่งและอ่อน คำนวณหาประสิทธิภาพของแบบฝึก ผลลัพธ์ที่ได้ควรใกล้เคียงกับท่ีต้ัง จากเกณฑพ์ จิ ารณาประสทิ ธภิ าพดงั กลา่ ว จากการทบทวนงานวิจยั ทั้งในประเทศและต่างประเทศ พบว่า การศึกษารูปแบบกิจกรรมการเรียนการ สอนทเ่ี น้นผเู้ รียนเปน็ สำคญั โดยใช้โครงงาน ผลจากการศกึ ษานกั เรียนมีพัฒนาการในด้านต่าง ๆ เข้าใจเนื้อหา และมี ส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้มากข้ึน ซึ่งส่งผลให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนท่ีสูงข้ึน หลักและวิธีการให้ทำแบบ ฝึกทักษะข้างต้น ผู้ศึกษาขอสรุปวิธีการให้ทำแบบฝึกทักษะท่ีผู้ศึกษาสร้างไว้ดังนี้ คือต้องกระตุ้นให้นักเรียนเห็น ความสำคญั ของการฝึกทักษะ โดยใช้แบบฝกึ ทกั ษะให้ผู้เรียนทำแบบฝึกด้วยความตั้งใจท่ีจะพัฒนาตนเอง ทำด้วยความ เข้าใจตามระดับความสามารถของตน กำหนดระยะเวลาส้ัน ๆ ในการฝึก แต่บ่อยครงั้ ไม่ฝึกติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะผู้เรียนอาจเกิดความเบื่อหน่ายและเมื่อยล้าได้ มีการอธิบายสำหรับข้อที่ยาก รวมทั้งการให้ฝึกปฏิบัติควรจะ มาหลังการสอน เมื่อนักเรียนเข้าใจดีแล้ว โดยฝึกทำจากสิ่งที่ง่ายไปหาสิ่งที่ยาก อีกทั้ง ครูต้องแนะนำอย่าง ใกล้ชิด เพราะถ้าพบข้อผิดพลาดแล้วครูจะได้แก้ไขก่อนที่จะติดเป็นนิสัย ในการฝึก และแจ้งให้นักเรียนทราบ ว่าแบบฝึกทักษะจะเป็นการแสดงถึงความก้าวหน้าของนักเรียน เพื่อครูจะใช้เป็นแนวทางในการช่วยเหลือได้ อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป 5. กรอบแนวคิดในการวิจัย จากแนวคิด ทฤษฎี เอกสารทางวิชาการและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง ผู้วจิ ัยได้นำมาใช้ในการกำหนด ตวั แปร และนำไปสร้างกรอบแนวคดิ ทใี่ ชใ้ นการศกึ ษา ดังตอ่ ไปนี้ 5.1 ตวั แปรอิสระ คอื การจัดการเรียนร้ทู ่ีเน้นผเู้ รยี นเปน็ สำคญั ท่เี นน้ พัฒนาการเรยี นรู้ 5.2 ตวั แปรตาม คือ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วชิ าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษา ปีท่ี 6 ซึง่ กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั (Conceptual Framework of Study) แสดงไว้ดังต่อไปนี้ กรอบแนวคดิ ในการวิจัย (Conceptual Framework) เร่ือง การศกึ ษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า โดยใช้ชุดสื่อพัฒนากระบวนการคิด ของนกั เรียนชั้น ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 ตัวแปรอสิ ระ (Independent Variables) ตวั แปรตาม (dependent Variables) แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่เี น้นผเู้ รียนเปน็ ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนทเ่ี พมิ่ ขึน้ สำคญั โดยใช้ชดุ ส่อื พัฒนากระบวน การคดิ แผนภูมิที่ 1 แสดงกรอบแนวคิดในการวิจัย ผู้จดั ทำ : นายซาบดี ี ปะดอฮงิ ตำแหน่ง ครูผูช้ ว่ ย โรงเรียนบ้านดอื แยหะยี

วิจัยในชัน้ เรยี น เร่อื ง การศึกษาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นของนกั เรยี นที่เรยี น โดยใชช้ ดุ ส่อื พัฒนากระบวนการคิด 23 เรื่องแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟา้ ของนกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 วชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี วธิ กี ารดำเนินงาน บทที่ 3 วิธีการดำเนนิ งาน การทดลองในคร้ังน้ี มีความมุ่งหมายเพ่ือการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน โดยใช้ชุด ส่ือพัฒนากระบวนการคิดของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรื่องแรงไฟฟ้าและ วงจรไฟฟ้า ซงึ่ ผ้รู ายงานไดด้ ำเนินการตามขั้นตอน ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. กลุ่มเปา้ หมาย 2. เครื่องมือท่ีใช้ในการทดลอง 3. การสร้างและการหาคุณภาพของเคร่ืองมอื 4. แบบแผนการทดลองและข้นั ตอนการดำเนนิ การทดลอง 5. การจดั กระทำข้อมูลและการวเิ คราะห์ข้อมลู 6. สถติ ิทใ่ี ชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มูล กลุ่มเปา้ หมาย กลมุ่ เปา้ หมาย กลุ่มเป้าหมายท่ีใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ เป็นนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศกึ ษา 2564 จำนวน 23 คน เครือ่ งมือทใ่ี ช้ในการทดลอง เคร่อื งมอื เครอ่ื งมือที่ใชใ้ นการวจิ ัยในครง้ั น้ี แบง่ ออกเป็น 2 ชนดิ ตามลักษณะการใชด้ ังน้ี 1.1 ชุดแบบฝึกทักษะ วชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี เร่ืองแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟา้ 1.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนกั เรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 เปน็ แบบปรนยั ชนดิ เลอื กตอบ 4 ตวั เลือก การสรา้ งและการหาคุณภาพของเคร่ืองมือ 1. วธิ สี ร้างเคร่อื งมอื 1.1 แบบทดสอบท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เร่ืองแรงไฟฟ้าและ วงจรไฟฟ้า โดยใช้ชุดส่ือพัฒนากระบวนการคิดของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างโดยมี ขนั้ ตอนการสรา้ งดงั ตอ่ ไปน้ี 1.1.1 ศกึ ษาหลักสูตรการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 สาระและมาตรฐานกลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ชิ าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 6 ผู้จดั ทำ : นายซาบีดี ปะดอฮงิ ตำแหนง่ ครผู ู้ช่วย โรงเรียนบา้ นดอื แยหะยี

วจิ ยั ในช้ันเรียน เร่ือง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของนกั เรียนท่เี รยี น โดยใชช้ ดุ สอ่ื พัฒนากระบวนการคดิ 24 เรอื่ งแรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟ้า ของนักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 6 วชิ าวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี วิธีการดำเนินงาน 1.1.2 ศึกษาทฤษฎี หลักการ เอกสารงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง และแนวคิดในการสอนกลุ่ม สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากเอกสารตำรา คู่มือครู แบบเรียนและเอกสารตำรา การสอนท่ีเน้น ผ้เู รียนเป็นสำคัญ โดยใชร้ ปู แบบ 1.1.3 วิเคราะห์เนื้อหาสาระการเรียนรู้และผลการเรียนรู้ที่คาดหวังรายปี คำอธิบาย รายวิชา การจัดสาระการเรียนรู้ โครงสร้างการจัดสาระการเรียนรู้รายวิชา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น ประถมศึกษาปที ่ี 6 2. การทดสอบเครอื่ งมอื 2.1 นำแบบฝึกทักษะที่เนน้ ผเู้ รยี นเป็นสำคัญ วชิ าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรอื่ งแรงไฟฟา้ และ วงจรไฟฟ้า โดยใช้แบบฝึกทักษะของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเสนอต่อกลุ่มงานวิชาการ และ ผูเ้ ช่ียวชาญ เพือ่ พจิ ารณาตรวจความเรยี บรอ้ ย เสนอแนะเพอ่ื ปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องตามขอ้ เสนอแนะ 2.2 กลุ่มงานวิชาการ หรือผู้เช่ียวชาญท่ีได้รับมอบหมาย ประเมินแบบฝึกทักษะโดยวิธีของ Likert เปน็ แบบ Rating Scale มี 5 ระดบั ดงั ตอ่ ไปนี้ (บญุ ชม ศรีสะอาด, 2545) 4.51 – 5.00 มีค่าเทา่ กับ มคี วามเหมาะสมมากทสี่ ดุ 3.51 – 4.50 มคี ่าเทา่ กับ มีความเหมาะสมมาก 2.51 – 3.50 มคี า่ เทา่ กบั มีความเหมาะสมปานกลาง 1.51 – 2.50 มคี า่ เทา่ กับ มีความเหมาะสมนอ้ ย 1.00 – 1.50 มีค่าเทา่ กับ มีความเหมาะสมนอ้ ยทสี่ ดุ โดยค่าความเหมาะสมมีค่าเฉล่ีย 3.50 ข้ึนไปเป็นเกณฑ์ตัดสินถือว่าเป็นแผนการจัดการ เรียนรทู้ ่มี คี วามเหมาะสมและใชไ้ ด้ 2.3 ตรวจสอบความเท่ียงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) โดยหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence) ทมี่ ีคา่ ต้งั แต่ 0.50 2.4 นำแบบสอบถามวัดความพึงพอใจมาทดสอบความเช่ือถือได้ (Reliability) ด้วยการ คำนวณหาค่าคงที่ภายใน (Internal Consistency) โดยใช้สูตรการหาค่าสัมประสิทธิ์ของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient) การคำนวณประสิทธิภาพของแบบฝึก กระทำโดยใชส้ ตู รต่อไปนี้ X E1 = N x 100 A Y E2 = N x 100 B ผู้จดั ทำ : นายซาบีดี ปะดอฮิง ตำแหน่ง ครผู ู้ชว่ ย โรงเรยี นบ้านดอื แยหะยี

วิจัยในชั้นเรยี น เรอ่ื ง การศกึ ษาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนของนกั เรยี นทเี่ รียน โดยใชช้ ดุ สือ่ พัฒนากระบวนการคิด 25 เรอ่ื งแรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟา้ ของนกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 วิชาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี วิธกี ารดำเนนิ งาน E1 แทน ประสทิ ธภิ าพของกระบวนการคดิ เปน็ รอ้ ยละจากการตอบแบบฝึกหัด ของชุดการฝึกไดถ้ กู ต้อง E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลพั ธ์คิดเปน็ ร้อยละจากการทำแบบทดสอบ หลังการฝกึ แตล่ ะชดุ ได้ถูกต้อง X แทน คะแนนรวมของผู้เรียนจากแบบฝึกหดั Y แทน คะแนนรวมของการทดสอบหลงั จากฝกึ N แทน จำนวนของผ้เู รยี น A แทน คะแนนเตม็ ของแบบฝกึ B แทน คะแนนเตม็ ของแบบทดสอบหลงั การฝกึ E1 ได้จากการนำคะแนนงานทุกชน้ิ ของนกั เรียนแตล่ ะคนรวมกันแลว้ หาคา่ เฉลี่ยเทียบเป็นรอ้ ยละ E2 ได้จากการนำคะแนนผลการสอบหลังการทดลองของนักเรียนทง้ั หมดรวมกนั แล้วหาค่าเฉล่ยี เทียบ เปน็ รอ้ ยละ แบบแผนการทดลองและขั้นตอนการดำเนินการทดลอง 1. แบบแผนการทดลอง การศึกษาค้นคว้าคร้ังน้ี เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi – experimental Research) โดย ใช้แบบแผนการทดลองแบบ One Group Pre–test Post–test Design (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2538: 249) โดยมลี ักษณะการทดลองดังตาราง ดังนี้ ตารางที่ 1 แบบแผนการทดลองแบบ One Group Pre–test Post–test Design กลุ่ม Pre-test Treatment Post-test ทดลอง T1 X T2 T1 หมายถึง การทดสอบกอ่ นเรียน (Pre-test) X หมายถึง การจดั การเรยี นรู้ T2 หมายถึง การทดสอบหลังเรยี น (Post-test) 2. ขน้ั ตอนการดำเนินการทดลอง การดำเนินการทดลองครั้งนี้ ผู้รายงานได้ดำเนินการทดลองสอนด้วยตนเองกับนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปีท่ี 6 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 23 คน ใช้เวลาในการทดลอง 20 ช่ัวโมง ทั้งน้ีไม่ รวมเวลาทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรยี น โดยมีขั้นตอนการดำเนนิ การทดลอง ดงั นี้ 2.1 ทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรื่องแรงไฟฟ้าและ วงจรไฟฟ้า โดยใชช้ ุดส่ือพัฒนากระบวนการคดิ ก่อนเรยี น (Pre–test) ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ ที่ผ้รู ายงานสร้างข้ึน ผจู้ ดั ทำ : นายซาบดี ี ปะดอฮิง ตำแหนง่ ครูผู้ชว่ ย โรงเรยี นบ้านดอื แยหะยี

วิจัยในชนั้ เรียน เรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของนกั เรยี นทเ่ี รยี น โดยใชช้ ุดสอื่ พฒั นากระบวนการคดิ 26 เร่ืองแรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟ้า ของนักเรยี นช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 6 วชิ าวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี วิธกี ารดำเนินงาน 2.2 ดำเนินการสอนตามตารางการเรยี นรวู้ ิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรื่องแรงไฟฟ้าและ วงจรไฟฟา้ โดยใชช้ ุดสอ่ื พัฒนากระบวนการคดิ ระหวา่ งวนั ท่ี 1 ธ.ค. 2564 ถงึ วนั ที่ 31 ม.ี ค 2565 2.3 เม่ือดำเนินการสอนครบทุกหน่วยการเรียนรู้แล้วทำการทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการ เรยี นหลังเรยี น (Post–test) โดยใช้แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นชุดเดียวกับทีใ่ ช้ทดสอบกอ่ นเรยี น การจัดกระทำข้อมลู และการวิเคราะหข์ อ้ มลู การศึกษาคร้ังนี้ ผู้รายงานทำการวิเคราะห์ข้อมูล โดยดำเนินการจัดกระทำกับข้อมูล และวิเคราะห์ ขอ้ มูล ดงั น้ี 1. วิเคราะห์หาค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่ได้จากการทำ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลงั เรยี น 2. วิเคราะห์หาประสิทธภิ าพของแบบฝกึ ทกั ษะวิชาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรื่องแรงไฟฟ้า และวงจรไฟฟ้า โดยใชชดุ ส่ือพฒั นากระบวนการคดิ ช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 6 3. วเิ คราะห์หาคะแนนเฉล่ีย ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน และรอ้ ยละของคะแนนเฉลี่ยทีไ่ ด้จากการ ประเมนิ พฤติกรรมการทำงานกิจกรรมกลุ่ม และการทำแบบฝกึ ทกั ษะระหวา่ งเรียน 4. วิเคราะห์หาดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เร่ืองแรง ไฟฟา้ และวงจรไฟฟ้า โดยใชช้ ุดสอื่ พฒั นากระบวนการคดิ ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 โดยมสี ตู รดังนี้ ดัชนีประสิทธผิ ล = ผลรวมของคะแนนทดสอบหลังเรยี น ผลรวมของคะแนนทดสอบก่อนเรียน (จำนวนนักเรยี น × คะแนนเต็ม) – ผลรวมของคะแนนทดสอบก่อนเรียน สถิติท่ีใชใ้ นการวเิ คราะหข์ ้อมูล 1. สถิติพืน้ ฐาน ได้แก่ 1. รอ้ ยละ (Percentage) ใชส้ ูตร P สตู ร P = f 100 N เม่ือ P แทน รอ้ ยละ แทน ความถี่ท่ตี อ้ งการแปลงให้เปน็ รอ้ ยละ f แทน จำนวนความถี่ทั้งหมด N 2. ค่าเฉล่ยี (Arithmetic Mean) ของคะแนน โดยใช้สูตร สูตร X =  X N ผ้จู ดั ทำ : นายซาบีดี ปะดอฮิง ตำแหนง่ ครูผ้ชู ว่ ย โรงเรียนบา้ นดือแยหะยี

วจิ ยั ในชั้นเรยี น เรือ่ ง การศึกษาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นของนกั เรยี นที่เรยี น โดยใช้ชุดสอ่ื พัฒนากระบวนการคดิ 27 เรอ่ื งแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟา้ ของนักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 6 วิชาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี วิธีการดำเนนิ งาน เมื่อ X แทน ค่าเฉลีย่ แทน ผลรวมของคะแนนทัง้ หมดในกลุ่ม X แทน จำนวนคะแนนในกลุ่ม N 3. การหาประสิทธิภาพของวธิ กี ารจดั การเรียนรู้ โดยใช้สูตร E1 / E2 สูตร 1 E1 =  X/ N 100 A เมื่อ E1 แทน ประสทิ ธิภาพของกระบวนการ  X แทน คะแนนรวมของแบบฝกึ หดั หรอื งาน A แทน คะแนนรวมของแบบฝึกทุกช้นิ รวมกนั N แทน จำนวนผเู้ รยี น สูตร 2 E2 =  F/ N 100 B เมอ่ื E2 แทน ประสทิ ธิภาพของผลลัพธ์  F แทน คะแนนเรยี นของผลลัพธ์หลังเรียน B แทน คะแนนเต็มของการสอบหลังเรยี น N แทน จำนวนผเู้ รยี น 4. สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการหาคณุ ภาพเคร่อื งมอื ∑ ������ สูตร ������������������ = ������ เมอื่ ������������������ คอื ดัชนีความสอดคล้องระหวา่ ง -1 ถงึ +1 ∑ ������ คือ ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผเู้ ช่ยี วชาญทงั้ หมด ������ คือ จำนวนผเู้ ชี่ยวชาญทงั้ หมด ผู้จดั ทำ : นายซาบีดี ปะดอฮงิ ตำแหนง่ ครผู ู้ช่วย โรงเรียนบา้ นดือแยหะยี

วจิ ัยในชั้นเรยี น เรอ่ื ง การศกึ ษาผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นของนกั เรียนทเ่ี รยี น โดยใชช้ ุดสอ่ื พฒั นากระบวนการคดิ 28 เรอ่ื งแรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟา้ ของนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 6 วชิ าวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู บทท่ี 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล การรายงานผลการวิจัยการพัฒนาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน โดยใช้ชุดสือ่ พัฒนากระบวนการคิดของ นักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 6 ในครั้งนี้ ผรู้ ายงานไดเ้ สนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู ตามลำดบั ขัน้ ดังนี้ 1. สญั ลักษณ์ทใ่ี ช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู 2. ลำดบั ขั้นในการเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมูล 3. ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล 1. สญั ลกั ษณ์ทใ่ี ชใ้ นการนำเสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล ผูร้ ายงานได้กำหนดสญั ลกั ษณท์ ่ีใช้ในการแปลความหมายผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล ดังน้ี X แทน คะแนนเฉลีย่ ของกลมุ่ เปา้ หมาย N แทน จำนวนนกั เรยี นกลุ่มเปา้ หมาย  X แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมด S.D. แทน สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน E1 แทน ประสทิ ธภิ าพของกระบวนการ E2 แทน ประสิทธภิ าพของผลลพั ธ์ 2. ลำดบั ขนั้ ตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผรู้ ายงานไดด้ ำเนินการวเิ คราะห์ข้อมูลตามลำดับขนั้ ตอน ดังนี้ ตอนท่ี 1 การวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ เร่ืองแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้าชั้นประถมศึกษา ปีท่ี 6 ตามเกณฑม์ าตรฐาน 80/80 ตอนที่ 2 การวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะ ของนักเรียนระดับช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 เรื่อง แรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟ้า 3. ผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่องแรงไฟฟ้าและ วงจรไฟฟา้ ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 6 ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ปรากฏผลดงั ตารางที่ 2 ดงั น้ี ผจู้ ดั ทำ : นายซาบดี ี ปะดอฮงิ ตำแหน่ง ครูผ้ชู ่วย โรงเรยี นบา้ นดอื แยหะยี

วจิ ยั ในช้นั เรยี น เร่อื ง การศึกษาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนของนกั เรียนท่เี รียน โดยใชช้ ุดสื่อพฒั นากระบวนการคิด 29 เรื่องแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟา้ ของนกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 6 วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล ตารางที่ 2 แสดงคะแนนเฉลีย่ และร้อยละ ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ เรื่องแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 6 คะแนน N คะแนนเตม็ X รอ้ ยละ 81.16 40.58 1. การประเมินพฤติกรรมกลุ่มระหว่าง 23 คน 100 60.60 60.60 เรียนและการทำแบบฝึกทักษะ 2. การทำแบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการ 23 คน 100 เรยี น ประสิทธภิ าพของกระบวนการจัดการเรียนรู้ (E1/E2 = 81.16/60.60) จากตารางที่ 2 พบว่า คะแนนเฉล่ียจากการประเมินพฤตกิ รรมกลุ่มระหว่างเรยี นและการทำแบบฝึกทักษะ ของนักเรียนทีเ่ รียนด้วยการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ชุดสอื่ พฒั นากระบวนการคิด เรือ่ งแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟา้ โดยใช้ แบบฝกึ ทักษะช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 23 คน เท่ากับ 81.16 จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน คิดเปน็ ร้อยละ 40.58 ของคะแนนเตม็ และคะแนนเฉลี่ยจากการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นหลังเรยี น เทา่ กับ 60.60 จาก คะแนนเต็ม 100 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 60.60 ของคะแนนเต็ม ดังน้ัน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดส่ือ พัฒนากระบวนการคิด เร่ืองแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 81.16/60.60 ซงึ่ สงู กว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ท่ีตัง้ ไว้ ตารางที่ 3 เปรียบเทียบคะแนนสอบกอ่ นเรียนและหลังเรยี นของนกั เรยี น เลขท่ี คะแนนกอ่ นเรียน คะแนนหลงั เรยี น สรปุ ผลการประเมิน คุณลกั ษณะท่ีพงึ ประสงค์ของนักเรยี น 13 5 ผ่าน 24 6 ผ่าน 32 5 ผ่าน 44 6 ผ่าน 56 6 ผา่ น 63 5 ผา่ น 75 6 ผ่าน 82 4 ผ่าน 92 6 ผา่ น 10 3 5 ผา่ น 11 4 7 ผา่ น 12 5 7 ผ่าน 13 4 6 ผ่าน 14 3 5 ผ่าน 15 2 5 ผ่าน ผ้จู ดั ทำ : นายซาบีดี ปะดอฮิง ตำแหน่ง ครูผู้ชว่ ย โรงเรียนบา้ นดอื แยหะยี

วิจยั ในช้นั เรยี น เรือ่ ง การศกึ ษาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นของนกั เรยี นทเี่ รยี น โดยใช้ชุดส่อื พฒั นากระบวนการคดิ 30 เรื่องแรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟ้า ของนกั เรยี นชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 6 วชิ าวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู เลขท่ี คะแนนก่อนเรยี น คะแนนหลงั เรยี น สรุปผลการประเมนิ คุณลักษณะทพ่ี งึ ประสงคข์ องนกั เรยี น 16 57 17 45 ผา่ น 18 56 ผ่าน 19 45 ผ่าน 20 34 ผ่าน 21 25 ผ่าน 22 46 ผา่ น 23 24 ผ่าน รวม (���̅���) 5.14 6.06 ผ่าน คะแนน ผา่ น พฒั นาการ +0.92 คะแนนที่ - เพ่มิ ข้ึน +17.89% - จากข้อมูลในตารางเปรียบเทียบคะแนนสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน ผลปรากฎว่านักเรียนทุก คนมีผลคะแนนท่ีดีขึ้นหลังจากใช้แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนในภาพรวม ซึ่งมีค่าเฉล่ียผลรวมคะแนนก่อน เรียนเป็น 5.14 คะแนน และค่าเฉลี่ยผลรวมคะแนนหลังเรียนเป็น 6.06 คะแนน และมีค่าผลต่างคะแนน พัฒนาการ +0.92 คะแนน คิดเป็นร้อยละที่เพ่ิมขึ้น 17.89% ซ่ึงผลการวิจัยนี้จะช่วยยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนในรายวิชาของนกั เรียนให้สงู ข้ึนไดต้ อ่ ไป ตารางท่ี 4 ประสทิ ธิภาพของการทำแบบฝึกทกั ษะตามเกณฑ์ 80/80 จำนวน คะแนนแบบฝึกทกั ษะ (E1) คะแนนวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น (E2) นกั เรียน คา่ คะแนนเฉลย่ี (คะแนนเต็ม) ร้อยละ คา่ คะแนนเฉล่ยี (คะแนนเต็ม) รอ้ ยละ 23 คน 81.16 81.16 6.06 60.60 จากตารางท่ี 4 พบวา่ ประสิทธภิ าพของแบบฝกึ ทักษะทสี่ ร้างขนึ้ มีคา่ เท่ากับ 81.16/60.60 หมายความว่า แบบฝึกทักษะทำให้นักเรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้เท่ากับ 81.16 และมีประสิทธิภาพทางการเรียนรู้หรือ ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ ในการเปลี่ยนแปลงผลการเรียนรู้ของนักเรียนเท่ากับร้อยละ 60.60 แสดงว่าแบบ ฝึกทักษะ มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 ตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย และสามารถนำไปใช้ในการเรียนรู้ได้ อยา่ งมีประสิทธิภาพ ผู้จดั ทำ : นายซาบดี ี ปะดอฮงิ ตำแหน่ง ครูผ้ชู ว่ ย โรงเรียนบา้ นดอื แยหะยี

วจิ ยั ในชัน้ เรียน เรือ่ ง การศกึ ษาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นของนกั เรยี นที่เรียน โดยใชช้ ุดสื่อพัฒนากระบวนการคิด 31 เรอื่ งแรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟา้ ของนกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 6 วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู ตารางท่ี 5 การวเิ คราะห์ความคิดเห็นของผทู้ รงคุณวุฒติ อ่ แบบทดสอบทีใ่ ชใ้ นการเรียนการสอน รายการขอความคิดเห็น ประมาณคา่ ความคิดเหน็ ค่า แปลผล ของผ้ทู รงคุณวฒุ ิคนท่ี IOC 123 1. ความสอดคล้องเหมาะสมกับหลักสตู ร +1 +1 0 0.7 ใชไ้ ด้ 2. ความสอดคล้องเหมาะสมกบั ธรรมชาตวิ ชิ า +1 0 +1 0.7 ใช้ได้ 3. ความสอดคลอ้ งเหมาะสมกับวยั ของผู้เรยี น +1 +1 +1 1.0 ใชไ้ ด้ 4. ความสอดคลอ้ งเหมาะสมกับสภาพปจั จุบนั +1 +1 +1 1.0 ใชไ้ ด้ และปัญหา 5. ความเหมาะสมต่อกระบวนการพฒั นาผู้เรยี น +1 0 +1 0.7 ใชไ้ ด้ 6. ความเหมาะสมของเนือ้ หา +1 +1 +1 1.0 ใชไ้ ด้ 7. ความเหมาะสมของขนาดตวั อักษร +1 +1 +1 1.0 ใชไ้ ด้ 8. ความเหมาะสมของการใช้ภาษา +1 +1 +1 1.0 ใชไ้ ด้ 9. ความเหมาะสมกับความสนใจของนกั เรยี น 0 +1 +1 0.7 ใชไ้ ด้ 10.ความเหมาะสมของรปู แบบ +1 +1 +1 1.0 ใชไ้ ด้ ค่า IOC = 0.7+0.7+1.0+1.0+0.7+1.0+1.0+1.0+0.7+1.0/10 = 8.8/10 = 0.88 สรุปว่า แบบทดสอบการเรยี นการสอดังกล่าวนัน้ ใชไ้ ด้ ผจู้ ดั ทำ : นายซาบีดี ปะดอฮงิ ตำแหนง่ ครผู ูช้ ่วย โรงเรียนบ้านดอื แยหะยี

วิจัยในชั้นเรยี น เร่อื ง การศกึ ษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรยี นทีเ่ รยี น โดยใช้ชดุ สอ่ื พฒั นากระบวนการคิด 32 เร่ืองแรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟ้า ของนกั เรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 วชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี สรปุ ผล อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ บทท่ี 5 สรปุ ผล อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ การรายงานในครั้งน้ี เป็นการใช้นวัตกรรม คือ ชุดสื่อพัฒนากระบวนการคิดกับแบบฝึกทักษะของนักเรียน ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 สรุปผลการดำเนินงาน ดงั น้ี 1. วตั ถุประสงค์ของการศกึ ษา 2. กลมุ่ เป้าหมาย 3. เครื่องมอื ท่ีใช้ในการศกึ ษา 4. การดำเนนิ การศกึ ษา 5. สรุปผล 6. อภปิ รายผล 7. ขอ้ เสนอแนะ 1. วตั ถปุ ระสงคข์ องการศกึ ษา 1. เพอื่ พฒั นาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น เร่ืองแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟา้ ของนักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 2. เพ่ือสร้างและพัฒนาแบบฝึกทักษะ เรื่องแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 ใหม้ ีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. กลมุ่ เป้าหมาย กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายท่ีใช้ในการวิจัยในคร้ังนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2564 จำนวน 23 คน 3. เคร่อื งมอื ท่ใี ชใ้ นการศกึ ษาค้นคว้า เคร่อื งมอื ท่ีใช้ในการศกึ ษาคน้ ควา้ ครั้งนม้ี ี 2 ชนิด ประกอบดว้ ย 1. แบบฝึกทักษะเพอ่ื พฒั นาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นรู้ 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรื่องแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า โดยใช้ชุดส่ือพัฒนา กระบวนการคดิ และแบบฝึกทักษะ ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 6 จำนวน 1 ชดุ ชนดิ เลือกตอบ 4 ตัวเลอื ก 4. การดำเนินการศกึ ษา การรายงานในคร้ังนี้ ผู้รายงานเป็นผู้ดำเนินการทดลองด้วยตนเองเอง เป็นการสอนตามปกติ ซ่ึงใช้เวลาใน การทดลอง 20 ช่ัวโมง ท้งั นี้ไม่รวมการทดสอบก่อนเรยี นและหลงั เรยี น ซ่งึ มขี ัน้ ตอนในการดำเนนิ การ ดังนี้ 4.1 ทดสอบก่อนเรียนกับนักเรียนกลุ่มเป้าหมายด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน แบบปรนัย ชนดิ 4 ตัวเลือก 4.2 จัดกิจกรรมการเรียนการสอน ด้วยแบบฝกึ ทักษะ จำนวน 20 ครงั้ เวลา 20 ช่ัวโมง สัปดาห์ละ 2 วัน วันละ 1 ชั่วโมง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ผู้จดั ทำ : นายซาบีดี ปะดอฮงิ ตำแหนง่ ครผู ู้ชว่ ย โรงเรียนบา้ นดือแยหะยี

วิจัยในชั้นเรียน เรอ่ื ง การศกึ ษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนทเ่ี รียน โดยใช้ชุดสอ่ื พฒั นากระบวนการคดิ 33 เรอื่ งแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า ของนักเรยี นช้ันประถมศึกษาปที ี่ 6 วชิ าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สรุปผล อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ 4.3 เม่ือส้ินสุดการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแล้ว ได้ทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ ด้วย แบบทดสอบชดุ เดียวกบั การทดสอบกอ่ นเรยี น 5. สรุปผล ในการทำรายงานวิจัยในคร้งั นี้ ผู้รายงานไดใ้ ช้ชุดสอื่ พัฒนากระบวนการคิดและแบบฝึกทักษะ ในการพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น สรปุ ผลไดด้ งั นี้ วิธีการเรียนรู้โดยใช้ชุดส่ือพัฒนากระบวนการคิดและแบบฝึกทักษะ เรื่องแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า มี ประสิทธภิ าพเทา่ กับ 81.16/60.60 ซ่งึ สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ท่ตี ้ังไวซ้ ่งึ สอดคลอ้ งกบั วตั ถปุ ระสงค์ที่ตั้งไว้ 6. อภปิ รายผล จากผลการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน โดยใช้ชุดสื่อพัฒนากระบวนการคิดและแบบฝึกทักษะ ช้ัน ประถมศึกษาปที ี่ 6 พบประเด็นสำคญั ที่ควรนำมาอภิปรายผล ดังนี้ 1. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เร่ืองแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า โดยใช้ชุดสื่อ พัฒนากระบวนการคิดและแบบฝึกทักษะ ท่ีผู้รายงานได้พัฒนา มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.16/60.60 หมายถึง นักเรียนท้ังหมดได้คะแนนเฉลี่ยจากการประเมินพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม และการทำแบบฝึกทักษะ คดิ เปน็ รอ้ ยละ 40.58 และได้คะแนนเฉล่ียจากการทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หลังเรียน คิดเป็นร้อยละ 60.60 แสดงว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เร่ืองแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า โดยใช้ชุดสื่อพัฒนา กระบวนการคดิ ละแบบฝึกทกั ษะ ทผ่ี รู้ ายงานพัฒนาขึน้ มปี ระสิทธิภาพสงู กวา่ เกณฑม์ าตรฐาน 80/80 ทีต่ ้งั ไว้ 2. ผลการใช้ชุดส่ือพัฒนากระบวนการคิดและแบบฝึกทักษะมาช่วยสอน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 เปน็ วิธกี ารเรียนรู้ท่ไี ด้ผลน่าพอใจ สังเกตจากนกั เรยี นให้ความสนใจการเรยี นดี มคี วามรบั ผิดชอบในหน้าที่ สงิ่ ที่แสดง ถึงความสนใจของนักเรียน คือ นักเรียนสามารถทำแบบฝึกทักษะท้ายแผนทุกแผน ได้คะแนนอย่ใู นเกณฑ์ดีทุกคน ท่ี เป็นเช่นน้ีอาจเป็นเพราะว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะเป็นการจัดการเรียนรู้ที่ร่วมมือกันในการทำงาน นกั เรยี นทกุ คนรว่ มกนั รับผดิ ชอบงาน และนำประสบการณต์ า่ ง ๆ ท่ีไดจ้ ากการเรยี นรู้มาสรุปเปน็ องคค์ วามร้ขู องกลุ่ม ตนเอง มกี ารช่วยเหลอื กันในการทำงานกลมุ่ ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะในการนำไปใช้ 1.1 การจดั การเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เร่ืองแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า โดยใช้ชุดส่ือพัฒนา กระบวนการคิดและแบบฝึกทักษะ เป็นการเรียนรู้แนวใหม่ ท่ีน่าสนใจและน่านำไปใช้ แม้ช่วงแรกนักเรียนอาจจะ สับสนบ้างในการเข้ากลุ่มหรือการปฏิบัติกิจกรรม ทำให้การจัดการเรียนรู้เกิดความล่าช้าบ้าง แต่เม่ือได้เรียนในช่วง ตอ่ ไป นกั เรยี นกม็ ีความชำนาญในการเรยี นรมู้ ากข้นึ กิจกรรมก็ดำเนนิ ไปอยา่ งราบร่นื 1.2 การเลือกเน้ือหาที่นำมาจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นส่ิงสำคัญควรคำนึงถึง เพศ วัย และระดับ ความสามารถในทำแบบฝกึ ทกั ษะของนักเรียนด้วย หากเนื้อหาใดท่ีนักเรียนสนใจ นกั เรยี นจะเกิดการเรยี นรูเ้ พิม่ มาก ขึ้น ผู้จดั ทำ : นายซาบีดี ปะดอฮงิ ตำแหนง่ ครูผู้ชว่ ย โรงเรียนบา้ นดือแยหะยี

วจิ ยั ในชน้ั เรียน เรอ่ื ง การศกึ ษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนกั เรียนที่เรียน โดยใช้ชดุ ส่อื พัฒนากระบวนการคิด 34 เรื่องแรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟา้ ของนักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 6 วชิ าวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี สรุปผล อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ 2. ขอ้ เสนอแนะในการศกึ ษาค้นคว้าครง้ั ต่อไป 2.1 ควรพัฒนาการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยใช้ชดุ สื่อพัฒนากระบวนการ คดิ และแบบฝึกทักษะ ในกลุ่มประสบการณอ์ ืน่ ๆ และในระดับชนั้ อ่นื ๆ 2.2 ควรพฒั นาการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยใช้ชุดสอื่ พฒั นากระบวนการ คดิ และแบบฝกึ ทักษะรปู แบบอ่นื ๆ เพ่อื ท่ีนกั เรียนจะไดเ้ รยี นด้วยวธิ กี ารท่ีหลากหลาย 2.3 ควรพัฒนาการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยใช้ชุดสื่อพฒั นากระบวนการ คดิ และแบบฝึกทักษะในเนื้อหาหรือเรือ่ งราวอน่ื ๆ ท่ีนกั เรียนสนใจ ผ้จู ดั ทำ : นายซาบดี ี ปะดอฮงิ ตำแหน่ง ครผู ู้ช่วย โรงเรยี นบา้ นดอื แยหะยี

วจิ ัยในช้นั เรียน เรื่อง การศกึ ษาผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนของนกั เรยี นทีเ่ รยี น โดยใช้ชดุ สื่อพฒั นากระบวนการคดิ 35 เรอื่ งแรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟา้ ของนักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 วชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี บรรณานุกรม บรรณานกุ รม กรมวชิ าการ. (2557). ครผู สู้ อนกับการวิจยั เพอื่ พัฒนาการเรยี นการสอน. พิมพค์ รัง้ ท่ี 2. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์ครุ สุ ภาลาดพร้าว. จตุพร เจริญชัย. (2557). การพัฒนากิจกรรมการเรยี นการสอนทีเ่ นน้ ผู้เรียนเปน็ สำคญั โดยใช้ โมเดลซปิ ปา ในรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ สำหรบั นกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 6. วทิ ยานพิ นธ์ ปรญิ ญาศึกษาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขา วิทยาศาสตร์ศึกษา. บัณฑติ ศกึ ษา มหาวิทยาลยั ขอนแก่น. ชชู ีพ ออ่ นโคกสูง. (2558). ทฤษฎีการเรยี นรู้ (Theory of Learning) De Cecco & Crawford. วทิ ยานพิ นธ์ปรญิ ญาศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขา วิทยาศาสตรศ์ ึกษา. บัณฑติ ศึกษามหาวิทยาลัยขอนแกน่ . ทศิ นา แขมมณ.ี (2558). การจัดการเรียนการสอนทีเ่ น้นผู้เรยี นเปน็ ศนู ย์กลาง: CIPPA MODEL. วารสารครศุ าสตร์. จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. (มนี าคม – มิถุนายน) นภาวรรณ ประดับคำ. (2558). ผลการใชโ้ มเดลซิปปาในกจิ กรรมการเรียนร้วู ิชาวทิ ยาศาสตรข์ อง นกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 5. รายงานการศกึ ษาอิสระปริญญาศึกษาศาสตร์ มหาบัณฑิต. บณั ฑิตศึกษามหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ . บุญชม ศรีสะอาด. (2558). วธิ ีการศกึ ษาสถิติเพื่อการวจิ ัย เลม่ 2. มหาสารคาม: ภาควชิ าพนื้ ฐานการศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ มหาสารคาม. ปอเรยี ม แสงชาล.ี (2559). เสน้ ขนานโดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนตามรูปแบบซปิ ปา (CIPPA MODEL) และกจิ กรรมการเรยี นรู้ตามรปู แบบของ สสวท. ทีม่ ผี ลตอ่ การเรยี นรขู้ อง นกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 6. วิทยานพิ นธ์ปริญญาศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑิต สาขา หลกั สูตรและการสอน. บณั ฑติ ศึกษา มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม. พิมพ์พันธ์ เดชะคุปต์. (2559). การเรยี นการสอนทีเ่ นน้ ผู้เรยี นเป็นสำคัญ แนวคิดวธิ ีและ เทคนิคการสอน 2. กรุงเทพมหานคร: พมิ พ์ทบ่ี ริษัทเดอะมาสเตอร์กรปุ๊ แมเนจเมน้ ท์ จำกดั . มาลี จุฑา. (2559). ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ (Theory of Learning) De Cecco & Crawford. มหาสารคาม: ภาควชิ าพ้นื ฐานการศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ มหาสารคาม. วราภรณ์ แตงมีแสง. (2559). การจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนทีเ่ นน้ ผเู้ รียนเปน็ สำคัญ โดยใช้โมเดลซิปปาในวชิ ามนุษยก์ ับส่ิงแวดล้อม. วทิ ยานพิ นธ์ปรญิ ญาศึกษาศาสตร มหาบณั ฑติ สาขาวชิ า วิทยาศาสตร์ศึกษา. บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น. วารนิ ทร์ รศั มีพรหม. (2560). ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ (Theory of Learning) De Cecco & Crawford. วทิ ยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขา วิทยาศาสตรศ์ ึกษา. บัณฑติ ศกึ ษามหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ . ผ้จู ดั ทำ : นายซาบดี ี ปะดอฮิง ตำแหนง่ ครูผู้ช่วย โรงเรยี นบ้านดือแยหะยี

วิจยั ในชน้ั เรยี น เรอ่ื ง การศึกษาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นของนักเรียนทีเ่ รยี น โดยใช้ชดุ ส่อื พัฒนากระบวนการคดิ 36 เรอ่ื งแรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟา้ ของนักเรยี นชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 6 วชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี บรรณานกุ รม สงวน สทุ ธิเลิศอรณุ . (2560). ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ (Theory of Learning) De Cecco & Crawford. วทิ ยานพิ นธป์ ริญญาศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขา วทิ ยาศาสตร์ศึกษา. บัณฑิตศึกษามหาวิทยาลัยขอนแกน่ . ไสว เล่ียมแก้ว. (2560). ทฤษฎีการเรียนรู้ (Theory of Learning) De Cecco & Crawford. วิทยานพิ นธ์ปรญิ ญาศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขา วทิ ยาศาสตร์ศกึ ษา. บณั ฑติ ศกึ ษามหาวิทยาลยั ขอนแกน่ . อดศิ ร ศิร.ิ (2561). การพฒั นากิจกรรมการเรยี นการสอนทีเ่ น้นผู้เรยี นเปน็ ศนู ย์กลางโดยใช้ โมเดลซิปปา สำหรับวชิ าวิทยาศาสตร์ในระดับประถมศกึ ษาปีท่ี 6. วทิ ยานิพนธป์ รญิ ญา ศึกษาศาสตร มหาบณั ฑติ สาขาวิชาวทิ ยาศาสตรศ์ กึ ษา. บณั ฑติ วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ . ผ้จู ดั ทำ : นายซาบดี ี ปะดอฮงิ ตำแหน่ง ครผู ้ชู ว่ ย โรงเรยี นบ้านดือแยหะยี

วจิ ัยในชั้นเรยี น เรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิท์ างการเรียนของนกั เรียนทีเ่ รยี น โดยใช้ชดุ ส่อื พฒั นากระบวนการคดิ 37 เรื่องแรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟา้ ของนักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 6 วิชาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภาคผนวก ภาคผนวก ผู้จดั ทำ : นายซาบีดี ปะดอฮงิ ตำแหนง่ ครูผู้ช่วย โรงเรยี นบ้านดือแยหะยี

วิจยั ในช้นั เรยี น เรื่อง การศกึ ษาผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นของนักเรียนทีเ่ รียน โดยใชช้ ุดสื่อพัฒนากระบวนการคดิ 38 เรอื่ งแรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟา้ ของนกั เรยี นช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 6 วชิ าวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ภาคผนวก แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 1 วชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 เร่อื งแรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟ้า เวลา 2 ชั่วโมง 1. มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตวั ช้วี ดั ว 2.2 ป.6/1 อธบิ ายการเกดิ และผลของแรงไฟฟ้าซ่งึ เกดิ จากวตั ถทุ ี่ผ่านการขัดถโู ดยใช้หลักฐาน เชิงประจักษ์ 2. จุดประสงค์การเรยี นรู้ 1) อธิบายการเกิดแรงไฟฟา้ ได้ (K) 2) สังเกตและอธิบายผลของแรงไฟฟา้ ได้ (K) (P) 3) ยกตวั อยา่ งการเกดิ แรงไฟฟา้ ในชีวติ ประจำวันได้ (A) 3. สาระการเรยี นรู้ การเกดิ แรงไฟฟา้ และผลของแรงไฟฟ้าซง่ึ เกิดจากวัตถุท่ผี ่านการขดั ถู 4. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด วัตถุ 2 ชนิดที่ผ่านการขัดถูแล้ว เมื่อนำเข้าใกล้กันอาจดึงดูดหรือผลักกัน แรงท่ีเกิดข้ึนนี้เป็นแรงไฟฟ้า ซ่ึง เปน็ แรงไมส่ มั ผสั เกดิ ขึ้นระหว่างวัตถุทม่ี ีประจไุ ฟฟ้า ซ่งึ ประจไุ ฟฟา้ มี 2 ชนดิ คอื ประจไุ ฟฟา้ บวกและประจไุ ฟฟ้า ลบ วตั ถุทีม่ ีประจุไฟฟา้ ชนดิ เดยี วกันผลกั กนั ชนดิ ตรงขา้ มกันดงึ ดดู กัน 5. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ สมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รยี น ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ 1) ความสามารถในการสือ่ สาร 1) การสงั เกต 1) มีวนิ ยั 2) ความสามารถในการคดิ 2) การทดลอง 2) ใฝเ่ รยี นรู้ 3) ความสามารถในการแกป้ ัญหา 3) การลงความเห็นจากขอ้ มูล 3) ม่งุ มั่นในการทำงาน 4) ความสามารถในการใช้ทกั ษะ 4) การตีความหมายและลงข้อสรุป ชวี ิต 6. กจิ กรรมการเรยี นรู้ แนวคดิ /รูปแบบการสอน/วธิ ีการสอน/เทคนิค: 5Es Instructional Model 1. นกั เรยี นทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี น หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 3 แรงไฟฟ้าและพลงั งานไฟฟา้ แบบปรนยั 4 ตัวเลือก จำนวน 10 ขอ้ (หมายเหตุ: ครูตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน เพ่ือประเมินความรู้เดิมและเข้าใจผู้เรียน เพื่อใช้ในการจัด กจิ กรรม) ขัน้ นำ ขัน้ กระตนุ้ ความสนใจ 1. นักเรยี นตอบคำถามว่า นกั เรียนรูจ้ ักแรงไฟฟา้ หรอื ไม่ แล้วแรงไฟฟา้ เกิดขึ้นไดอ้ ยา่ งไร (แนวคำตอบ ตอบตามความคดิ เหน็ นกั เรียน) ผู้จดั ทำ : นายซาบดี ี ปะดอฮิง ตำแหนง่ ครผู ้ชู ว่ ย โรงเรยี นบ้านดอื แยหะยี

วจิ ัยในช้ันเรียน เร่อื ง การศึกษาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นของนกั เรยี นทีเ่ รียน โดยใชช้ ดุ ส่อื พัฒนากระบวนการคดิ 39 เรอื่ งแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟา้ ของนกั เรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภาคผนวก 2. นักเรียนรับลูกโป่งเล็กคนละ 1 ใบ จากน้ันให้นักเรียนเป่าลูกโป่งแล้วนำลูกโป่งถูกับเส้ือหรือถูกับกระดาษ แล้วนำไปติดกับกระดานไวตบ์ อร์ดหรือกระจก ถ้าใครตดิ ได้ถอื ว่าทำภารกจิ สำเรจ็ 3. นักเรยี นทำกิจกรรม เกมรวมกลมุ่ ปฏิบตั ิดังน้ี 1) นักเรียนนำลูกโป่งมาถูกับผมตัวเอง จากนั้นให้นักเรียนนำไปต่อกับเพื่อน โดยครูจะเป็นคนกำหนดว่า ใหต้ อ่ ลกู โปง่ ก่ีใบ 2) รอบท่ี 1 ให้ต่อลูกโป่ง 2-3 ใบ 3) รอบที่ 2 ใหต้ ่อลูกโป่ง 4-5 ใบ 4. นักเรยี นตอบคำถามต่อไปน้ี - ทำไมลกู โปง่ จึงสามารถต่อกันได้ (แนวคำตอบ เพราะเมื่อนำลูกโป่งไปถูกับเส้ือผ้าหรือกระดาษ จะทำให้เกิดแรงไฟฟ้า ลูกโป่งจึง เกาะติดกบั กระดาน) - ในชีวิตประจำวนั ของนักเรียนมีเหตุการณใ์ ดบา้ งทีเ่ กดิ จากแรงไฟฟา้ (แนวคำตอบ ตามความคดิ เห็นของนกั เรยี น) 5. นักเรียนอ่านกิจกรรม ชวนอ่านชวนคิดก่อนเรียน ตอน ขนของสุนัขติดท่ีหวีไดน้ ะ ในหนงั สอื เรยี นวิทยาศาสตร์ ฯ ป.6 เล่ม 1 หน้า 70 จากนนั้ ตอบคำถามชวนตอบต่อไปน้ี - เมื่อหวีขนให้สุนัขหลาย ๆ ครั้ง แล้วมีขนของสุนัขติดท่ีปลายหวีข้ึนมาด้วย เพื่อน ๆ คิดว่า เก่ียวข้อง กับแรงไฟฟ้าหรือไม่ เพราะอะไร (แนวคำตอบ เกี่ยวข้องกับแรงไฟฟ้า เพราะในฤดูหนาวอากาศจะแห้ง เมื่อใช้หวีหวีขนสุนัขหลาย ๆ ครั้งจะเกดิ แรงไฟฟา้ จงึ ทำใหข้ นติดหวมี าดว้ ย) 6. ครูสนทนากับนักเรียนเพ่ือนำเข้าสู่กิจกรรมการเรียนรู้ว่า เราจะมาเรียนรู้ว่าแรงไฟฟ้าเกิดข้ึนได้อย่างไร จากกิจกรรมต่อไปนี้ (หมายเหต:ุ ครูเริม่ ประเมินนักเรยี น โดยการสงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบุคคล) ขนั้ สอน ขั้นสำรวจคน้ หา 1. นักเรียนแบ่งกลุ่ม ออกเป็นกลุ่มละ 4-5 คน นักเรียนศึกษาข้ันตอนการทำกิจกรรมที่ 1 การเกิดแรงไฟฟ้า ในหนังสือเรยี นวิทยาศาสตรฯ์ ป.6 เล่ม 1 หนา้ 72 2. นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมท่ี 1 การเกิดแรงไฟฟ้า ปฏิบตั ิดงั นี้ 1) สง่ ตวั แทนกลมุ่ มารบั วัสดุ-อุปกรณใ์ นการทำกิจกรรมที่ 1 การเกดิ แรงไฟฟ้า ดังน้ี - ไมบ้ รรทดั พลาสติก 1 อัน - ผา้ แห้ง 1 ผืน - เศษกระดาษช้ินเลก็ ๆ 6-10 ช้นิ - ผา้ ชุบน้ำบิดหมาด ๆ 1 ผืน 2) ทดลองวางเศษกระดาษช้นิ เลก็ ๆ บนโต๊ะ จากน้ันนำไมบ้ รรทัดพลาสติกเข้าใกล้กับเศษกระดาษ สังเกต การเปลย่ี นแปลงและบันทึกผลลงในแบบฝกึ หดั วิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หน้า 43 3) ใช้ผ้าแห้งถูปลายไม้บรรทัดพลาสติกด้านหน่ึงหลาย ๆ คร้ัง จากน้ันนำปลายไม้บรรทัดพลาสติกด้านนั้น เข้าใกลก้ บั เศษกระดาษที่วางบนโต๊ะ สังเกตการเปล่ียนแปลงและบันทึกผล 4) ใช้ผ้าเปียกถูปลายด้านหน่ึงของไม้บรรทัดพลาสตกิ อกี ด้านหน่ึงหลาย ๆ คร้ัง จากนั้นนำปลายไมบ้ รรทัด พลาสติกดา้ นน้นั เข้าใกล้กบั เศษกระดาษท่วี างบนโต๊ะอีกครัง้ สงั เกตการเปล่ยี นแปลงและบันทึกผล 5) ร่วมกันอภิปรายผลการทำกจิ กรรมจนไดข้ อ้ สรปุ ของกล่มุ ผู้จดั ทำ : นายซาบีดี ปะดอฮงิ ตำแหน่ง ครูผูช้ ่วย โรงเรยี นบา้ นดอื แยหะยี

วจิ ยั ในชัน้ เรียน เร่อื ง การศึกษาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นของนักเรียนทีเ่ รยี น โดยใช้ชุดสอ่ื พัฒนากระบวนการคิด 40 เร่อื งแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 6 วชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภาคผนวก (หมายเหต:ุ ครเู ริ่มประเมินนกั เรียน โดยการสงั เกตพฤติกรรมการทำงานกลุม่ ) ขั้นอธิบายความรู้ ๑. นกั เรยี นตอบคำถามตอ่ ไปนี้ - เพราะเหตุใดเศษกระดาษจงึ ลอยข้นึ มาตดิ ไมบ้ รรทัด (แนวคำตอบ เมอ่ื ใชผ้ า้ แหง้ ถกู บั ไม้บรรทัดพลาสตกิ จะเกดิ แรงดึงดดู เศษกระดาษได้) - เพราะเหตุใดเศษกระดาษชิ้นเล็ก ๆ จงึ ไมล่ อยขน้ึ มาติดไม้บรรทดั พลาสติกทถ่ี ูกบั ผ้าเปยี ก (แนวคำตอบ เพราะวัตถทุ ีม่ คี วามช้ืนจะเกดิ แรงไฟฟา้ ได้คอ่ นข้างยาก เน่ืองจากแรงไฟฟา้ เกดิ จาก แรงเสยี ดทาน จะเกิดข้ึนได้เม่อื มคี วามชื้นน้อย) ๒. นักเรียนร่วมกันสรุปผลการทำกิจกรรมว่า เมื่อเรานำผ้าแห้งขัดถูไม้บรรทัดพลาสติกจะเกิดแรงดึงดูดเศษ กระดาษได้ แตถ่ ้าไม้บรรทดั พลาสตกิ มีความช้ืนเน่อื งจากใชผ้ ้าเปยี กถู จะเกิดแรงดงึ ดดู ไดค้ ่อนขา้ งยาก ๓. ครอู ธิบายเพ่มิ เติมวา่ เมื่อนำวัตถุบางชนดิ มาขดั ถกู ันจะทำให้เกดิ แรงไฟฟ้า ซึ่งเปน็ แรงไมส่ ัมผัส ๔. นักเรียนตอบคำถามว่า แรงไฟฟา้ คืออะไร (แนวคำตอบ แรงทเี่ กิดจากปะจุไฟฟา้ ด้วยกนั มีท้งั แรงดงึ ดดู และแรงผลกั ) ๕. นกั เรียนดภู าพท่ี 3.4 ในหนังสอื เรยี นวิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เลม่ 1 หน้า 73 ครูอธบิ ายเพ่มิ เติมว่า ประจุไฟฟา้ มี 2 ชนิด คือ ประจุลบกับประจุบวก โดยปกติวัตถุจะมีประจุท้ังสองเท่า ๆ กัน เช่น ภาพลูกโป่งกับผ้า แต่ เมื่อนำวตั ถมุ าขัดถูกนั จะทำให้วตั ถุนั้นเสยี สมดุลของประจไุ ฟฟา้ จงึ ทำให้เกิดแรงฟา้ ได้ ๖. นกั เรยี นตอบคำถามว่า ปจั จยั ใดบ้างที่ส่งผลตอ่ การเกดิ แรงไฟฟา้ (แนวคำตอบ ความช้นื ของวัตถุ ประเภทของวสั ดุ และระยะเวลาหรือจำนวนครัง้ ในการขดั ถู) ๗. นักเรยี นทำกิจกรรมหนตู อบได้ ในหนังสอื เรยี นวิทยาศาสตรฯ์ ป.6 เล่ม 1 หนา้ 72 บันทกึ ลงสมุดประจำตัว นกั เรยี นหรอื ทำในแบบฝกึ หดั วทิ ยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หนา้ 44 ขั้นสำรวจค้นหา 1. ทบทวนความรเู้ ดิมชว่ั โมงท่แี ลว้ โดยตอบคำถามต่อไปน้ี ถา้ นำลูกโป่งไปถูกบั ผ้าเปียก ลกู โปง่ จะสามารถตดิ กระดานไวต์บอรด์ หรอื กระจกได้หรอื ไม่ เพราะอะไร (แนวคำตอบ ไมไ่ ด้ เพราะผ้าเปียกจะทำใหว้ ตั ถมุ คี วามช้นื จะเกดิ แรงไฟฟา้ ได้คอ่ นข้างยาก) 2. นกั เรยี นศึกษาขั้นตอนการทำกจิ กรรมที่ 2 ผลของแรงไฟฟา้ ในหนังสือวิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หน้า 75 3. นกั เรยี นปฏิบัติกิจกรรมที่ 2 ผลของแรงไฟฟ้า โดยปฏบิ ตั ิดังนี้ 1) แต่ละกลุ่มสง่ ตัวแทนกลมุ่ มารบั วัสด-ุ อุปกรณใ์ นการทำกิจกรรมที่ 2 ผลของแรงไฟฟา้ ดังน้ี - ลกู โป่ง 2 ใบ - เทปกาวใส 1 มว้ น - เชือก 2 เสน้ - หนังยาง 2 เสน้ - ผา้ แหง้ 1 ผืน 2) แตล่ ะกลุ่มเปา่ ลกู โปง่ 2 ใบ ใหม้ ีขนาดเท่า ๆ กนั แล้วใชห้ นงั ยางรดั ปากลกู โป่งใหแ้ น่น 3) ผูกเชอื กกับลูกโป่ง แล้วใชเ้ ทปกาวใสตดิ กบั เชือกห้อยลูกโป่งไว้ทีข่ อบโตะ๊ ห่างกนั ประมาณ 6-8 เซนติเมตร 4) เขยี นอกั ษร ก และ ข ทล่ี กู โป่ง จากนั้นสงั เกตการวางตัวของลกู โปง่ ท้งั 2 ใบ ผู้จดั ทำ : นายซาบีดี ปะดอฮิง ตำแหนง่ ครผู ้ชู ่วย โรงเรยี นบา้ นดอื แยหะยี

วิจัยในชั้นเรยี น เรอ่ื ง การศกึ ษาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นของนกั เรยี นที่เรยี น โดยใช้ชุดสื่อพัฒนากระบวนการคิด 41 เรอ่ื งแรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟ้า ของนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 6 วิชาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ภาคผนวก 5) ใช้ผา้ แห้งถลู กู โปง่ ก และ ข ดา้ นใน แลว้ ห้อยไวอ้ ยา่ งเดมิ สงั เกตลูกโป่งทง้ั 2 ใบ แล้วบันทึกผลลงใน แบบฝกึ หัดวิทยาศาสตรฯ์ ป.6 เลม่ 1 หน้า 45 6) ใชผ้ า้ แห้งถลู กู โป่ง ก และใชม้ อื ท่ีแห้งถือลกู โป่ง ข ดา้ นใน แลว้ หอ้ ยไวอ้ ยา่ งเดมิ สังเกตลูกโปง่ ท้ัง 2 ใบ แลว้ บันทกึ ผล (หมายเหต:ุ ครเู รม่ิ ประเมนิ นกั เรยี น โดยการสงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานกลุม่ ) ขั้นอธบิ ายความรู้ 1. นักเรียนแต่ละกล่มุ นำเสนอผลการทำกิจกรรมที่ 2 ผลของแรงไฟฟา้ 2. นักเรยี นตอบคำถามต่อไปน้ี - เพราะเหตใุ ดลกู โปง่ จงึ เคลอื่ นทอี่ อกห่างกนั (แนวคำตอบ เพราะถ้าขัดถูวัตถุชนิดเดียวกันด้วยส่ิงเดียวกันจะเกิดแรงผลัก เนื่องจาก ประจเุ หมือนกนั ) - ถ้านำหลอดพลาสติกไปถูกับผ้าเปียก แล้วนำไปไว้ใกล้ ๆ กับเศษถุงพลาสติกเล็ก ๆ ผลจะเป็น อยา่ งไร (แนวคำตอบ ไมเ่ กิดการเปลี่ยนแปลง เพราะผ้ามคี วามชน้ื จงึ ทำให้เกดิ แรงไฟฟ้าได้คอ่ นข้าง ยาก อีกท้งั จำนวนรอบท่ถี ูนอ้ ยครง้ั ) - ทำอย่างไรจงึ จะทำใหเ้ ศษถงุ พลาสตกิ เล็ก ๆ ลอยขึน้ มาติดหลอดพลาสติกได้ (แนวคำตอบ ใช้ผ้าแห้งถูกบั หลอดพลาสติกแล้วนำหลอดไปอย่ใู กล้กบั เศษถงุ พลาสตกิ ) - เพราะเหตใุ ดเศษถุงพลาสติกเล็ก ๆ ท่ีไมไ่ ดน้ ำไปขดั ถูกบั วัตถใุ ด จงึ เคลอื่ นทเ่ี ขา้ หาหลอดพลาสติก (แนวคำตอบ เพราะเมื่อนำหลอดพลาสติกไปถูกับผ้าแห้งหลาย ๆ คร้ัง หลอดพลาสติกจะมีปะจุ บวก ผ้าแห้งจะมีประจุลบ และเมื่อนำหลอดพลาสติกท่ีไม่เป็นกลางทางไฟฟ้าเข้าใกล้เศษ ถุงพลาสติกเล็ก ๆ ท่ีมนี ้ำหนักเบา จะเกิดการเหน่ียวนำไฟฟ้า สามารถดึงดูดเศษถงุ พลาสติกเล็ก ๆ ได)้ 3. นักเรยี นร่วมกันสรุปผลการทำกิจกรรมท่ี 2 ผลของแรงไฟฟา้ วา่ ถ้าขัดถูวตั ถชุ นดิ เดียวกนั ดว้ ยสิ่งเดียวกันจะ เกิดแรงผลักระหวา่ งวัตถุ แตถ่ า้ ขดั ถวู ัตถุชนดิ เดยี วกนั กับส่งิ ทตี่ ่างกันจะเกดิ แรงดึงดดู ระหวา่ งวัตถุ 4. ครูเปดิ PowerPoint เรอ่ื ง แรงไฟฟา้ ใหน้ กั เรยี นดู และอธบิ ายเพ่ือเพม่ิ เติมความเข้าใจของนกั เรียน 5. นักเรียนตอบคำถามท้าทายการคิดขั้นสูงว่า ถ้าใช้ผ้าสักหลาดขัดถูไม้บรรทัดพลาสติกเพียงคร้ังเดียว ไม้ บรรทัดจะดูดกระดาษชิน้ เลก็ ๆ ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด (แนวคำตอบ ดดู กระดาษไม่ได้ เน่อื งจากจำนวนคร้งั ในการขดั ถนู อ้ ยเกนิ ไปจึงไม่ทำใหเ้ กิดแรงไฟฟา้ ) 6. นักเรียนทำกิจกรรมหนูตอบได้ ในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หน้า 75 หรือทำในแบบฝึกหัด วทิ ยาศาสตรฯ์ ป.6 เลม่ 1 หน้า 46 7. นักเรียนแต่ละคนเขียนสรุปความรู้เก่ียวกับเร่ืองที่ได้เรียนรู้จากบทที่ 1 ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น แผนผัง ความคดิ แผนภาพ ลงในสมุดประจำตวั นกั เรียน 8. นักเรียนทุกคนศึกษาแผนผังความคิด สรุปสาระสำคัญประจำบทท่ี 1 จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หน้า 78 เพอื่ ตรวจสอบการเขยี นสรปุ ความรูท้ ีน่ กั เรยี นทำไวใ้ นสมดุ ประจำตวั นักเรียน (หมายเหต:ุ ครูเริ่มประเมนิ นักเรียน โดยการสงั เกตพฤติกรรมการทำงานรายบคุ คล) ผูจ้ ดั ทำ : นายซาบีดี ปะดอฮงิ ตำแหน่ง ครผู ้ชู ่วย โรงเรียนบา้ นดอื แยหะยี

วจิ ัยในช้นั เรยี น เรอ่ื ง การศึกษาผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนของนกั เรียนที่เรียน โดยใช้ชดุ สอ่ื พฒั นากระบวนการคดิ 42 เร่ืองแรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟา้ ของนักเรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภาคผนวก ขน้ั ขยายความรู้ 1. นกั เรียนตอบคำถามเพ่อื ทบทวนความรู้เดิมวา่ เพราะเหตใุ ด ในชว่ งฤดูหนาวจงึ เกิดแรงไฟฟ้าขน้ึ บอ่ ย (แนวคำตอบ เพราะความชน้ื ในอากาศตำ่ ทำผวิ วัตถแุ ลกเปล่ียนประจุไฟฟา้ ไดง้ า่ ย) 2. นักเรยี นแบง่ กลุ่ม กลุม่ ละ 4-5 คน (ใช้กลมุ่ เดิม) เพ่ือทำกจิ กรรมพฒั นาการเรียนรู้ โดยปฏบิ ัติ ดงั นี้ 1) แต่ละกล่มุ ส่งตัวแทนออกมารบั อุปกรณ์ ดังนี้ - ลกู โปง่ 1 ใบ - ถงุ พลาสติก 1 ใบ - หนังยาง 1 เส้น - กระป๋องน้ำอัดลมเปล่า 1 ใบ 2) วางกระป๋องน้ำอัดลมเปล่าลงบนพ้ืนห้อง เป่าลูกโป่งให้ใหญ่ แล้วใช้หนังยางมัดปากลูกโป่งให้แน่น ใช้ถุงพลาสตกิ ขดั ถูลกู โปง่ หลาย ๆ คร้ัง 3) นำลูกโป่งด้านท่ีถูกขัดถูเข้าใกล้กระป๋อง จากนั้นสังเกตการเปล่ียนแปลงบันทึกผลลงในสมุดประจำตัว นักเรียน 4) แต่ละกลมุ่ นำผลการทดลองมาอภิปรายรว่ มกนั ภายในช้นั เรยี น 3. ครจู ัดกจิ กรรมแข่งขันกระป๋องซ่ิงของนกั เรยี น โดยปฏิบัตดิ งั น้ี 1) ครเู ตรียมพื้นที่แขง่ ขันคอื บรเิ วณหนา้ ชั้นเรียน จากนนั้ กำหนดจดุ เรมิ่ ต้นและเส้นชัยใหช้ ดั เจน 2) แต่ละกลุม่ จบั สลากเพ่ือแบ่งสาย จากนั้นจบั คใู่ ห้แต่ละกลุ่มแขง่ ขันกันโดยทำใหก้ ระป๋องเคลื่อนท่ี โดยใช้ แรงไฟฟ้า กลุ่มท่ถี งึ เสน้ ชยั ก่อนคือผู้ชนะในเกมน้ัน โดยกติกาการแขง่ ขนั เป็นแบบแพ้คัดออก 3) นักเรียนแต่ละกลุม่ แข่งขันไปเรื่อย ๆ จนไดก้ ลุ่มผูช้ นะ (หมายเหต:ุ ครเู ริม่ ประเมนิ นกั เรยี น โดยการสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม) 4. นักเรียนทำกิจกรรมฝึกทักษะ ในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หน้า 80 บันทึกลงในสมุด ประจำตัวนักเรียน หรือทำในแบบฝกึ หดั วิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หนา้ 47-48 5. นกั เรยี นทำกจิ กรรมท้าทายการคดิ ข้ันสงู ในแบบฝกึ หัดวิทยาศาสตรฯ์ ป.6 เลม่ 1 หน้า 49 ขน้ั ขยายความเขา้ ใจ 1. ทบทวนความรู้เดิม โดยนักเรียนตรวจสอบว่า ตัวอย่างการเกิดแรงไฟฟ้าในชีวติ ประจำวันที่นักเรียนบอกมา ตั้งแต่กจิ กรรมขนั้ กระตนุ้ ความสนใจวา่ เกิดจากแรงไฟฟ้าจริงหรอื ไม่ และเกิดข้นึ ไดอ้ ย่างไร 2. ครสู ุ่มใหน้ กั เรยี นนำเสนอตวั อยา่ งการเกดิ แรงไฟฟ้าในชีวติ ประจำวนั พร้อมท้งั อธบิ ายวธิ กี ารเกิดแรงไฟฟา้ 3. นกั เรียนแบง่ กลุม่ ออกเป็นกลุ่มละ 4-5 คน เพอ่ื ทำกิจกรรมสร้างสรรค์ผลงาน โดยปฏิบตั ิดังน้ี 1) สมาชิกแต่ละกลุ่มผลดั กันเล่าเหตุการณใ์ นชวี ิตประจำวนั ท่ีเกดิ จากแรงไฟฟ้า จากนั้นร่วมกันแสดงความ คิดเห็นว่า เหตกุ ารณ์ของแตล่ ะคนเกดิ ข้ึนได้อยา่ งไร 2) สืบค้นข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เกี่ยวกับการเกิดแรงไฟฟ้าในชีวิตประจำวัน และการใช้ประโยชน์จากแรง ไฟฟ้า 3) แตล่ ะกลุ่มระดมสมองเลอื กเร่ือง การเกดิ แรงไฟฟา้ ในชวี ติ ประจำวนั มา 1-2 เร่อื ง 4) จากน้ันนำข้อมลู มาทำเปน็ แผน่ พบั ใหม้ ีเนอื้ หาท่ีถูกตอ้ ง โดยในแผน่ พบั มขี อ้ มลู ตอ่ ไปน้ี - ความหมายของแรงไฟฟา้ - แรงไฟฟ้าท่ีเกิดข้ึนในชวี ิตประจำวนั - การใชป้ ระโยชนจ์ ากแรงไฟฟ้าในชวี ิตประจำวัน 5) ใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ นำเสนอหนา้ ชั้นเรียน ในประเด็นตอ่ ไปนี้ - ตัวอย่างเหตกุ ารณก์ ารเกิดแรงไฟฟ้าในชวี ิตประจำวัน (อาจใช้วิธกี ารสาธติ เหตุการณ)์ ผู้จดั ทำ : นายซาบดี ี ปะดอฮิง ตำแหนง่ ครูผ้ชู ว่ ย โรงเรียนบา้ นดือแยหะยี

วจิ ยั ในชัน้ เรยี น เรอ่ื ง การศกึ ษาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนของนักเรียนทีเ่ รียน โดยใชช้ ดุ สือ่ พัฒนากระบวนการคิด 43 เรอื่ งแรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟา้ ของนักเรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 วชิ าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภาคผนวก - อธบิ ายการเกดิ และผลของแรงไฟฟ้า - ยกตวั อยา่ งการใช้ประโยชนจ์ ากแรงไฟฟ้าในชวี ติ ประจำวัน 6) นักเรียนนำผลงานไปต้ังไว้ในบริเวณต่าง ๆ ท่ีเหมาะสมของโรงเรียนเพื่อให้ความรู้ เช่น ในห้องสมุด บอรด์ ประชาสมั พนั ธ์ ข้ันสรปุ 1. นักเรียนร่วมกันสรุปความรู้จากกิจกรรมได้ว่า เมื่อนำวัตถุ 2 ชนิดที่ผ่านการขัดถูแล้ว เมื่อนำเข้าใกล้กัน อาจดึงดูดหรือผลักกัน แรงที่เกิดขึ้นนี้เป็นแรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นแรงไม่สัมผัส เกิดขึ้นระหว่างวัตถุที่มีประจุไฟฟ้า ซึ่งประจุไฟฟ้ามี 2 ชนิด คือ ประจุไฟฟ้าบวกและประจุไฟฟ้าลบ วัตถุที่มีประจุไฟฟ้าชนิดเดียวกันผลักกัน ชนิดตรงขา้ มกนั ดึงดูดกนั ข้ันตรวจสอบผล 1. ตรวจบนั ทึกผลกจิ กรรมท่ี 1 การเกิดแรงไฟฟา้ ในแบบฝกึ หดั วทิ ยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หนา้ 43 2. ตรวจบนั ทกึ ผลกิจกรรมที่ 2 ผลของแรงไฟฟา้ ในแบบฝึกหัดวทิ ยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หน้า 45 3. ครูประเมินผลงานแผ่นพบั ความรู้เรือ่ งการเกิดแรงไฟฟา้ 4. ครูตรวจแผนผังความคดิ สรปุ สาระสำคญั ประจำบทท่ี 1 5. ครตู รวจกิจกรรมพัฒนาการเรียนรใู้ นสมดุ ประจำตัวนักเรียน 6. ครูตรวจกจิ กรรมหนูตอบได้ ในสมดุ ประจำตวั นกั เรยี นหรอื ในแบบฝกึ หัดวิทยาศาสตรฯ์ ป.6 เลม่ 1 หนา้ 45 และ 46 7. ครูตรวจกิจกรรมฝึกทักษะในสมุดประจำตัวนักเรียน หรือในแบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หน้า 47-48 8. ครูตรวจกจิ กรรมท้าทายการคิดขั้นสูง ในแบบฝึกหดั วทิ ยาศาสตร์ฯ ป.6 เลม่ 1 หน้า 49 7. การวดั และประเมนิ ผล รายการวัด วิธีการ เครอ่ื งมอื เกณฑ์ - แบบประเมินผลงาน 1) ผลงานแผน่ พับ - ประเมนิ ผลงาน - คณุ ภาพอยใู่ นระดบั ดี ความรู้ เรอ่ื ง ผา่ นเกณฑ์ การเกดิ แรงไฟฟา้ 2) กิจกรรมท่ี 1 - ตรวจแบบฝกึ หดั - แบบฝึกหัดวทิ ยาศาสตรฯ์ - รอ้ ยละ 60 ผา่ น การเกดิ แรงไฟฟา้ วิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เลม่ 1 หน้า 43 ป.6 เลม่ 1 หน้า 43 เกณฑ์ 3) กิจกรรมที่ 2 - ตรวจแบบฝกึ หดั - แบบฝึกหดั วิทยาศาสตรฯ์ - รอ้ ยละ 60 ผา่ น ผลของแรงไฟฟา้ วิทยาศาสตรฯ์ ป.6 เลม่ 1 หนา้ 45 ป.6 เล่ม 1 หนา้ 45 เกณฑ์ ผจู้ ดั ทำ : นายซาบดี ี ปะดอฮิง ตำแหนง่ ครูผูช้ ่วย โรงเรียนบา้ นดอื แยหะยี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook