Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สื่อการสอน E- book วิชาศาสนาและหน้าที่พลเมือง สค31002

สื่อการสอน E- book วิชาศาสนาและหน้าที่พลเมือง สค31002

Published by kanyaphat258879, 2022-06-10 10:01:52

Description: สื่อการสอน E- book วิชาศาสนาและหน้าที่พลเมือง สค31002

Search

Read the Text Version

กศน.อาเภอแมร่ ิม รายวิชา ศาสนาและหน้าที่พลเมือง รหัสวิชา สค31002 ครูผู้สอน กัญพัชร์ ลังกาวีระนันท์

คำนำ ส่ือหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e–book) รายวิชา ศาสนาและหน้าที่ พลเมอื ง รหัสวิชา สค 31002 ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายชุดนี้ เป็นส่ือ ทางวิชาการที่ช่วยในการจัดการเรียนการสอนตามนโยบายและจุดเน้นของ สานกั งาน กศน. ประจาปงี บประมาณ พ.ศ. 2565 ในนโยบายขอ้ ท่ี 3 พัฒนา หลักสูตร ส่ือ เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการศึกษา แหล่งเรียนรู้ และ รูปแบบการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ ในทุกระดับ ทุกประเภท เพ่ือ ประโยชน์ต่อ การจัดการศึกษาที่เหมาะสม กับทุกกลุ่มเป้าหมาย มีความ ทันสมัย สอดคล้องและพร้อมรองรับกับบริบทสภาวะสังคมปัจจุบัน ความ ต้องการ ของผู้เรียน และสภาวะการเรียนรู้ ในสถานการณ์ต่าง ๆ ท่ีจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจากสถานการณ์ปัจจุบันการแพร่ระบาดของเช้ือ ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ส่งผลกระทบต่อระบบการจัดการเรียน การสอนของไทยในทุกระดับช้ัน กระทรวงศึกษาธิการ ได้ออกประกาศและ มีมาตรการเฝ้าระวังเพ่ือป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส จึงจัดการ เรียนรู้แบบออนไลน์ การจัดการเรียนรู้ผ่านระบบการออกอากาศทาง โทรทศั น์ วิทยุ และโซเซียลมีเดยี ตา่ ง ๆ รวมถึง การสอ่ื สารแบบทางไกลหรือ ด้วยวิธีอิเล็กทรอนิกส์ และควรสร้างสื่อช่วยในการจัดการเรียนการสอนให้ สอดคล้องกับเหตุการณ์ปัจจุบันและจุดหมายหลักสูตรการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ซึ่งหวังเป็นอย่างย่ิงว่า สื่อหนงั สอื อเิ ล็กทรอนกิ ส์ (e–book) ชุดน้ี จะเปน็ ประโยชน์ต่อครูและผู้เรียน อย่างไรก็ตาม หากมีข้อเสนอแนะหรือข้อสงสัยประการใด ขอโปรดติดต่อ ผู้จัดทา เพื่อจะได้นามาเป็นข้อมูลในการพัฒนาและปรับปรุงให้ดีย่ิงขึ้นใน โอกาสต่อไป กัญพชั ร์ ลังกาวรี ะนนั ท์ ครูผ้ชู ว่ ย

สารบัญ โครงสร้างรายวชิ า 1 แบบทดสอบกอ่ นเรยี น 3 บทที่ 1 ศาสนาต่าง ๆ 4 บทท่ี 2 วัฒนธรรม ประเพณี และ 45 คานิยมของประเทศของโลก บทที่ 3 รฐั ธรรมนูญแหงราชอาณาจกั รไทย 49 บทที่ 4 สทิ ธมิ นุษยชน 61 แบบทดสอบหลังเรียน 65 แบบประเมนิ ความพงึ พอใจ 66 ครกู ัญพชั ร์ ลงั กาวีระนันท์

โครงสร้าง รายวชิ า ศาสนาและหนา้ ทพ่ี ลเมือง รหัสวชิ า สค31002 ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย สาระสาคัญ เป็นสาระที่เก่ียวกับศาสนาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ กาเนดิ ศาสนาและศาสดา หลกั ธรรมที่สาคัญ การเผยแพร่ศาสนา ความขัดแย้งในศาสนา การปฏิบัติตนให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข การฝกึ จิต การพฒั นาปญั ญาในการแกไ้ ขปญั หาตนเอง ครอบครัว ชุมชนกสังคม วัฒนธรรม และประเพณีด้านภาษา การแต่งกาย อาหาร รวมถึงประเพณีสาคัญ ๆ ของประเทศต่าง ๆ ในโลก การอนุรักษ์ และสืบทอดวัฒนธรรม ประเพณี การมีส่วนร่วมใน ก า ร สื บ ท อ ด แ ล ะ ป ฏิ บั ติ ต น เ ป็ น แ บ บ อ ย่ า ง ใ น ก า ร อ นุ รั ก ษ์ วฒั นธรรมประเพณีของชาติ การเลือกปรับใช้วัฒนธรรมต่างชาติ ได้อย่างเหมาะสมกับตนเองและสังคมไทย ค่านิยมท่ีพึงประสงค์ ของสังคมไทยแล่ะต่างประเทศ การปฏิบัติตนเป็นผู้นาในการ ป้องกันและแกไ้ ขพฤตกิ รรมไม่ถงึ ประสงคใ์ นสงั คมไทย 1 ครูกัญพัชร์ ลงั กาวรี ะนันท์

ผลการเรียนร้ทู ี่คาดหวงั 1. อธบิ ายประวตั ิ หลกั คาํ สอน และการปฏบิ ตั ติ นตามหลกั ศาสนาทต่ี น นบั ถอื 2. เหน็ ความสาํ คญั ของวฒั นธรรม ประเพณี และมสี ่วนในการปฏบิ ตั ติ น ตามวฒั นธรรม ประเพณี ทอ้ งถนิ่ 3. ปฏบิ ตั ติ นตามหลกั ธรรมทางศาสนา วฒั นธรรม ประเพณี 4. ยอมรบั และปฏบิ ตั ติ นเพอ่ื การอย่รู ว่ มกนั อยา่ งสนั ตสิ ุขในสงั คมทม่ี ี ความหลากหลายทางศาสนา วฒั นธรรม ประเพณี 5. วเิ คราะหห์ ลกั การสาํ คญั ของประชาธปิ ไตยและปฏบิ ตั ติ นตามคณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ มใน การอย่รู ่วมกนั อยา่ งสนั ติ สามคั คี ปรองดอง สมานฉนั ท์ 6. วเิ คราะหแ์ นวทางการแกป้ ัญหาการทุจรติ และมสี ่วนรว่ มในการป้องกนั และปราบปรามการทุจรติ ขอบข่ายเนื้อหา บทท่ี 1 ศาสนาต่าง ๆ ในโลก บทท่ี 2 วฒั นธรรมประเพณี และค่านยิ มของประเทศไทยและของโลก บทท่ี 3 รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย บทท่ี 4 สทิ ธมิ นุษยชน 2 ครกู ญั พชั ร์ ลังกาวีระนนั ท์

แบบทดสอบกอ่ นเรยี น รายวิชาศาสนาและหนา้ ท่พี ลเมอื ง (สค31002) ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 3 ครกู ญั พชั ร์ ลังกาวีระนันท์

บทที่ 1 ศาสนาตา่ งๆ ในโลก เร่อื งท่ี 1 ความหมาย คุณคา่ และประโยชนข์ องศาสนา เรอ่ื งท่ี 2 พทุ ธประวตั แิ ละหลกั ธรรมคาสอนของศาสนาพุทธ เรื่องท่ี 3 ประวตั ศิ าสดา และคาสอนของศาสนาอิสลาม เรื่องท่ี 4 ประวตั ศิ าสดา และคาสอนของศาสนาครสิ ต์ เรอ่ื งท่ี 5 ประวตั ิศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู และคาสอน เรอื่ งท่ี 6 ประวัตศิ าสดา และคาสอนของศาสนาซกิ ซ์ เร่ืองท่ี 7 การเผยแพร่ศาสนาต่าง ๆ ในโลก เรอ่ื งที่ 8 กรณีตัวอยา่ งปาเลสไตน์ เรื่องท่ี 9 แนวทางป้องกนั และแก้ไขความขัดแย้งทางศาสนา เรื่องท่ี 10 หลกั ธรรมในแตล่ ะศาสนาท่ีส่งผลใหอ้ ยรู่ ่วมกับ ศาสนาอนื่ ไดอ้ ย่างมีความสขุ เรือ่ งที่ 11 วธิ ีฝกึ ปฏิบัติพฒั นาจติ ในแต่ละศาสนา 4 ครูกญั พัชร์ ลงั กาวรี ะนนั ท์

เรอ่ื งที่ 1 ความหมายคณุ ค่าและประโยชน์ของศาสนา ศาสนา คอื คําสอนท่ศี าสดานํามาเผยแผ่สงั่ สอน แจกแจง แสดงให้ มนุษย์เวน้ จากความชวั่ กระทําแต่ความดี ซ่งึ มนุษยย์ ดึ ถอื ปฏิบตั ติ ามคําสอน นัน้ ด้วยความเคารพเล่อื มใสและศรทั ธา ประโยชน์ของศาสนา สรปุ มี 6 ประการ 1. ศาสนาเป็นแหล่งกาํ เนิดจรยิ ธรรม 2. ศาสนาเป็นแนวทางการดาํ เนนิ ชวี ติ 3. ศาสนาทาํ ใหผ้ นู้ บั ถอื ปกครองตนเองได้ 4. ศาสนาชว่ ยใหส้ งั คมดขี น้ึ 5. ศาสนาชว่ ยควบคมุ สงั คมดขี น้ึ ศาสนาในประเทศ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจําชาติไทยมผี ู้นับถือมากท่ีสุด รองลงมาคอื ศาสนาอสิ ลาม ศาสนาครสิ ต์ ศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู และ ศาสนาซกิ ข์ 5 ครกู ัญพัชร์ ลังกาวรี ะนันท์

เรื่องที่ 2 พทุ ธประวัตแิ ละหลกั ธรรมคาสอนของพทุ ธศาสนา ประวัติพระพุทธเจ้า พระเจ้าสุทโธทนะ พระนางสิริมหามายา พระประสตู ิกาลท่ีใต้ต้นสาละ ณ สวน ลุมพินีวนั เม่ือวนั ศกุ รข์ ึน้ สิบห้าคา่ เดือน วิสาขะ ปี จอ 80 ปี ก่อนพทุ ธศกั ราช สิทธตั ถะ ประสูติกาลได้แล้ว 7 วนั พระนางสิริมหามายาก็ เสดจ็ สวรรคาลยั พระนางประชาบดีโคตมี ผ้ดู ูแล ชีวิตในวยั เดก็ เจา้ ชายสทิ ธตั ถะทรงศกึ ษาเล่าเรยี นจนจบศลิ ปศาสตร์ทงั้ 18 ศาสตร์ ใน สํานักครูวิศวามติ รและเน่ืองจากพระบิดาไม่ประสงค์ให้เจ้าชายสทิ ธัตถะเป็น ศาสดาเอกของโลกจงึ พยายามทาํ ใหเ้ จา้ ชายสทิ ธตั ถะพบเหน็ แต่ความสุขโดยการ สรา้ งปราสาท 3 ฤดู ใหอ้ ย่ปู ระทบั และจดั เตรยี มความพรอ้ มสาํ หรบั การราชาภเิ ษก ใหเ้ จา้ ชายขน้ึ ครองราชยเ์ มอ่ื มพี ระชนมายุd16dพรรษาdทรงอภเิ ษกสมรสกบั พระ นางพิมพาหรือยโสธรา พระธดิ าของพระเจา้ กรุงเทวทหะซ่งึ เป็นพระญาตฝิ ่ าย มารดา จนเมอ่ื มพี ระชนมายุ 29 พรรษา พระนางพมิ พาไดใ้ หป้ ระสตู พิ ระราชโอรส มพี ระนามว่า “ราหลุ ” ซง่ึ หมายถงึ “บว่ ง” 6 ครกู ญั พชั ร์ ลงั กาวรี ะนนั ท์

เ ส ด็ จ อ อ ก ผ น ว ช เจา้ ชายสทิ ธตั ถะทรงประทบั อย่ใู นปราสาท 3 ฤดู (ฤดฝู น ฤดหู นาว ฤดรู อ้ น) เสดจ็ ประพาสอุทยาน ไดท้ อดพระเนตรเหน็ คนแก่ คนเจบ็ คนตาย และนกั บวช โดยเทวทตู (ทตู สวรรค)์ ทแ่ี ปลงกายมา ทรงเบอ่ื หน่าย จงึ แสวงหาทางพน้ จาก ความทุกข์ พระชนมายุไดก้ 29dพรรษากทรงเสดจ็ ออกผนวชกโดยมา้ พระทน่ี งั่ กนามวา่ กณั ฑกะ กบั สารถี ชอ่ื นายฉันนะ ณ ฝัง่ แมน่ ้ําอโนมานที ประทบั บนกองทราย ทรงตดั พระเมาลดี ว้ ยพระขรรค์ และเปลย่ี นชดุ ผา้ กาสาวพตั ร์ (ผา้ ยอ้ มดว้ ยรสฝาด แหง่ ตน้ ไม)้ และใหน้ ายฉนั ทะนําเครอ่ื งทรงกลบั พระนครกอ่ นทพ่ี ระองค์จะเสดจ็ ออกมหาภเิ นษกรมณ์ (การเสดจ็ ออกเพอ่ื คณุ อนั ยงิ่ ใหญ่) เพยี งลาํ พงั เพอ่ื มงุ่ พระ พกั ตรไ์ ปยงั แควน้ มคธ บาเพ็ญทกุ รกริ ิยา หลงั จากทรงผนวชแล้วพระองค์มุ่งไปท่ีแม่นาคยา แคว้นมคธได้พยายามเสาะแสวงทาง พน้ ทกุ ขด์ ้วยการศกึ ษาค้นคว้าทดลองในสานักอาฬารดาบสกาลามโคตรและอุทกดาบสรามบุตร แต่เม่อื เรยี นจบทงั 2 สานักแล้ว ทรงเห็นว่านยี่ ังไม่ใชท่ างพน้ ทกุ ข์ พระองค์ได้เสด็จไปที่แม่นาเนรัญชราdตาบลอุรุเวลาเสนานิคมdและทรงบาเพ็ญ ทุกรกริ ยิ า ดังนี วาระแรก ทรงกดพระทนต์ (ฟัน) ด้วยพระทนต์ กดพระตาลุ (เพดานปาก) ด้วยพระ ชวิ หา (ลนิ ) ไว้ให้แนน่ จนพระเสโท (เหงื่อ) ไหลออกจากพระกัจฉะ (รกั แร้) วาระท่ีสอง ทรงผ่อนกลันลมหายใจเข้าออก เม่ือลมเดินทางไม่สะดวกทังทางช่อง พระนาสิก (จมูก) และช่องพระโอษฐ์ (ปาก) ก็เกิดเสียงดังอู้ทางช่องพระกรรณ (หู) ทังสอง ทาให้ปวดพระเศียร (หวั ) เสียดพระอทุ ร (ท้อง) ร้อนในพระกาย วาระทส่ี าม ทรงอดอาหาร ผอ่ นเสวยแต่ละวันละนอ้ ยๆ บา้ งเสวยอาหารละเอยี ดบา้ ง ทรงบาเพ็ญทุกรกิริยาd6dปีdทรงเห็นว่านี่ยังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์dจึงทรงเลิกบาเพ็ญ ทกุ รกริ ยิ า และหนั มาฉันอาหารตามเดมิ ท้าวสกั กเทวราชได้เสด็จลงมาดีดพิณถวาย 3 วาระ คือ ดดี พณิ สายที่ 1 ขงึ ไว้ตงึ เกนิ ไป เมือ่ ดีดก็จะขาด ดดี พิณวาระที่ 2 ซ่ึงขึงไว้หย่อน เสียงจะยืดยาด ขาดความไพเราะ และวาระที่ 3 ดีดพิณสายสุดท้ายท่ีขึงไว้พอดี จึงมีเสียงกังวานไพเราะ ดังนัน จงึ ทรงพจิ ารณาเห็นวา่ ทางสายกลาง คือไม่ตึงและไม่หย่อนเกินไป น่ันคือทางที่จะนาสู่การพ้น ทกุ ข์ 7 ครกู ญั พชั ร์ ลังกาวรี ะนันท์

หลงั จากพระองคเ์ ลกิ บําเพ็ญทุกรกริ ยิ า ทาํ ใหพ้ ระปัญจวคั คยี ท์ งั้ 5 ไดแ้ ก่ โกณฑญั ญะ วปั ปะ ภทั ทยิ ะ มหานามะ อสั สชิ ทม่ี าคอยรบั ใช้ พระองคด์ ว้ ยความคาดหวงั วา่ เมอ่ื พระองคค์ น้ พบทางพน้ ทกุ ขจ์ ะไดส้ อนพวก ตนให้บรรลุด้วยเกดิ เส่อื มศรทั ธาท่พี ระองค์ลม้ เลิกความตงั้ ใจจงึ เดินทาง กลบั ไปทป่ี ่าอสิ ปิ ตนมฤคทายวนั ตาํ บลสารนาถ เมอื งพาราณสี ตรสั รู้ ครานันพระองค์ทรงประทับนั่งขัดสมาธิใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ อุรุเวลาเสนา นิคม เมอื งพาราณสี หนั พระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และตังจิตอธิษฐานด้วย ความแน่วแน่ว่าตราบใดท่ยี ังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ก็จะไม่ลุกขึนจากสมาธิ บัลลังก์dแม้จะมีหมู่มารเข้ามาขัดขวางdแต่ก็พ่ายแพ้พระบารมีของพระองค์ กลับไป จนเวลาผา่ นไปในท่ีสุดพระองค์ทรงบรรลุรปู ฌาน คือ ยามต้น หรอื ปฐมยาม ทรงบรรลปุ พุ เพนวิ าสานุสสตญิ าณ คอื สามารถ ระลึกชาตไิ ด้ ยามสอง ทางบรรลุจุตปู ปาตญาณ (ทิพยจักษุญาณ) คอื รเู้ รือ่ งการเกดิ การตายของสตั วท์ ังหลายวา่ เป็นไปตามกรรมทกี่ าหนดไว้ ยามสาม ทรงบรรลอุ าสวักขยญาณ คอื ความร้ทู ี่ทาให้สินอาสวะ หรอื กิเลส ดว้ ยอริยสจั 4 ได้แก่ ทุกข์ สมทุ ยั นิโรธ และมรรค และไดต้ รสั รดู้ ้วย พระองคเ์ องเป็นพระสมั มาสัมพทุ ธเจ้า และเปน็ ศาสดาเอกของโลก ซง่ึ วนั ท่ีd พระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ ตรัสรู้ ตรงกบั วนั เพญ็ เดอื น 6 ขณะทม่ี ีพระชนมายุ 35 พรรษา อ้างองิ ใน : https://www.brighttv.co.th/lifestyle/vesak-day-buddha 8 ครูกัญพชั ร์ ลังกาวีระนนั ท์

แสดงปฐมเทศนา หลงั จากพระสมั มาสมั พุทธเจ้าตรสั รแู้ ลว้ dทรงพจิ ารณาธรรมท่พี ระองค์ ตรสั รมู้ าเป็นเวลาd7dสปั ดาห์dและทรงเหน็ ว่าพระธรรมนนั้ ยากต่อบุคคลทวั่ ไปท่ี จะเขา้ ใจและปฏบิ ตั ไิ ดพ้ ระองค์จงึ ทรงพจิ ารณาว่าบุคคลในโลกน้ีมหี ลายจําพวกd บวั d4dเหลา่ มที งั้ ผทู้ ส่ี อนไดง้ า่ ย และผทู้ ส่ี อนไดย้ าก พระองคจ์ งึ ทรงระลกึ ถงึ อาฬารดาบสและอุทกดาบส ผเู้ ป็นพระอาจารย์ แต่ ทงั้ สองทา่ นเสยี ชวี ติ แลว้ พระองคจ์ งึ ทรงระลกึ ถงึ ปัญจวคั คยี ท์ งั้ 5 ทเ่ี คยมาเฝ้ารบั ใชจ้ งึ ไดเ้ สดจ็ ไปโปรดปัญจวคั คยี ท์ ป่ี ่าอสิ ปิ ตนมฤคทายวนั ธรรมเทศนากณั ฑแ์ รกคอื \"ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสตู ร\" แปลว่า สตู รของการ หมนุ วงลอ้ แหง่ พระธรรมใหเ้ ป็นไป ซ่งึ ถอื เป็นการแสดงพระธรรมเทศนาครัง้ แรก ในวนั เพญ็ ขน้ึ 15 ค่าํ เดอื น 8 ซง่ึ ตรงกบั วนั อาสาฬหบชู า ในการน้ีพระโกณฑญั ญะไดธ้ รรมจกั ษุคอื ดวงตาเห็นธรรมเป็นคนแรก พระพุทธองคจ์ งึ ทรงเปล่งวาจาว่า \"อญั ญาสิ วตโภโกณฑญั โญ\" แปลว่า โกณ ฑญั ญะไดร้ แู้ ลว้ ท่านโกณฑญั ญะจงึ ไดส้ มญาว่า อญั ญาโกณฑญั ญะ และไดร้ บั การบวชเป็นพระสงฆอ์ งคแ์ รกในพระพทุ ธศาสนาโดยเรยี กการบวชทพ่ี ระพุทธเจา้ บวชใหว้ า่ \"เอหภิ กิ ขอุ ุปสมั ปทา\" หลงั จากปัญจวคั คยี อ์ ุปสมบททงั้ หมดแลว้ พทุ ธองคจ์ งึ ทรงเทศน์อนตั ต ลกั ขณสตู ร ปัญจวคั คยี จ์ งึ สาํ เรจ็ เป็นอรหนั ตใ์ นเวลาต่อมา 9 ครูกญั พัชร์ ลังกาวีระนนั ท์

การเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา ต่อมาพระพุทธเจา้ ไดเ้ ทศน์พระธรรมเทศนาโปรดแก่ยสกุลบุตร รวมทงั้ เพอ่ื นของยสกุลบตุ ร จนไดส้ าํ เรจ็ เป็นพระอรหนั ตท์ งั้ หมด รวม 60 รปู พระพุทธเจา้ ทรงมพี ระประสงค์จะใหม้ นุษยโ์ ลกพน้ ทุกข์ พน้ กเิ ลส จงึ ตรสั เรยี กสาวกทงั้ 60 รปู มาประชุมกนั และตรสั ใหพ้ ระสาวก 60 รปู จารกิ แยกยา้ ยกนั เดนิ ทางไปประกาศศาสนา 60 แห่ง โดยลําพงั ในเส้นทางทไ่ี ม่ซ้ํากนั เพ่อื ให้ สามารถเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาไดใ้ นหลายพน้ื ทอ่ี ย่างครอบคลุม ส่วนพระองคเ์ อง ไดเ้ สดจ็ ไปแสดงธรรม ณ ตาํ บลอุรุเวลา เสนานิคม หลงั จากสาวกไดเ้ ดนิ ทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในพน้ื ทต่ี ่างๆทําใหม้ ผี ู้ เลอ่ื มใสพระพุทธศาสนาเป็นจํานวนมากพระองคจ์ งึ ทรงอนุญาตใหส้ าวกสามารถ ดาํ เนนิ การบวชได้ โดยใชว้ ธิ กี าร \"ตสิ รณคมนูปสมั ปทา\" คอื การปฏญิ าณตนเป็นผู้ ถงึ พระรตั นตรยั พระพุทธศาสนาจงึ หยงั่ รากฝังลกึ และแพร่หลายในดนิ แดนแห่ง นนั้ เป็นตน้ มา 10 ครกู ญั พชั ร์ ลังกาวีระนันท์

เสดจ็ ดบั ขนั ธป์ รินิพพาน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จโปรดสัตว์และแสดงพระธรรมเทศนาตลอด ระยะเวลา 45 พรรษา - 3 เดือนก่อนจะปรินิพพาน จึงได้ทรงปลงอายุสังขาร ณ เวฬุคาม ใกล้เมือง เวลาสี แควน้ วัชชี - 1 วัน กอ่ นเสดจ็ ดับขนั ธป์ รนิ ิพพาน ได้เสวยสุกรมทั ทวะทีน่ ายจุนทะทาถวาย แตเ่ กิดอาพาธลง ทาให้พระอานนท์โกรธ แต่พระองค์ตรัสว่า \"บิณฑบาตท่ีมีอานิสงส์ ท่ีสุด มี 2 ประการ คือ เม่ือตถาคต (พุทธองค์) เสวยบิณฑบาตแล้วตรัสรู้ และ ปรินิพพาน\" - มีพระดารัสท่ีสาคัญว่า \"ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวินัยอันท่ีเราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่เธอทังหลาย ธรรมวินัยนัน จักเป็นศาสดาของเธอทังหลาย เมื่อเรา ล่วงลับไปแล้ว\" -dกอ่ นท่จี ะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ทรงอุปสมบทแก่พระสุภัททะปริพาชก ซ่งึ ถือได้วา่ \"พระสุภภัททะ\" คอื สาวกองค์สุดทา้ ยทีพ่ ระพุทธองคท์ รงบวชให้ -dปัจฉิมโอวาท ได้แก่ \"ดูกอ่ นภกิ ษทุ งั หลาย เราขอบอกเธอทังหลาย สังขาร ทังปวงมีความเส่ือมสลายไปเป็นธรรมดาdพวกเธอจึงทาประโยชน์ตนเองdและ ประโยชน์ของผอู้ ่ืนให้สมบูรณ์ดว้ ยความไมป่ ระมาทเถดิ \" (อปปมาเทน สมปาเทถ) - เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ใต้ต้นสาละ ณ สาลวโนทยาน ของมัลลกษัตริย์ เมอื งกสุ ินารา แควน้ มัลละ ในวนั ขึน 15 คา่ เดอื น 6 (วันวิสาขบูชา) รวมพระชนมายุ 80 พรรษา และวนั นถี ือเป็นการเร่ิมต้นของพทุ ธศกั ราช 11 ครกู ัญพชั ร์ ลงั กาวรี ะนนั ท์

สรปุ หลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนา พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประเภทอเทวนิยมคอื ไม่นับถอื พระเจ้า พระสมั มาสมั พุทธเจ้าทรงตรสั รูค้ วามจรงิ ของชวี ติ ว่าองค์ประกอบของชวี ติ มนุษยป์ ระกอบดว้ ยรปู และนามเทา่ นนั้ รปู และนามเมอ่ื ขยายความก็จะเป็นรูป จติ และเจตสกิ จากรปู จติ และเจตสกิ กข็ ยายความดว้ ยขนั ธ์ 5 ไดแ้ ก่ 1. รูปขนั ธ์ (รปู ) 2. วญิ ญาณขันธ์ (จิต) 3. เวทนาขันธ์ (เจตสิก) 4. สัญญาขนั ธ์ (เจตสกิ ) 5. สังขารขนั ธ์ (เจตสิก) 6. จติ (วญิ ญาณขนั ธ์) จะเกิดขนึ โดยมเี จตสกิ (เวทนาขนั ธ์สัญญาขันธ์สงั ขาร ขนั ธ์) เกิดขนึ รว่ มด้วยเสมอเฉพาะจติ อย่างเดียวไม่สามารถรับรู้หรือนึกคิดอะไรได้เลย 1. หลกั ธรรมเพอ่ื ความหลุดพน้ เฉพาะตวั คือ อริยสจั 4 อริยสัจ 4 แปลว่าความจรงิ อนั ประเสริฐ มีอยูส่ ่ปี ระการคือ 1) ทุกข์ คือสภาพท่ที นไดย้ ากภาวะท่ที นอยู่ในสภาพเดมิ ไม่ไดส้ ภาพทีบ่ ีบคนั 2) ทกุ ขสมุทยั คอื สาเหตุท่ที าใหเ้ กดิ ทกุ ข์ 3) ทุกขนโิ รธ คอื ความดบั ทกุ ข์ 4) ทกุ ขนิโรธคามนิ ปี ฏิปทา คอื แนวปฏิบตั ทิ น่ี าไปส่หู รือนาไปถงึ ความดบั ทุกข์ ได้แก่ มรรค อนั มอี งคป์ ระกอบอยแู่ ปดประการคอื (1) สัมมาทิฏฐิ –ความเหน็ ชอบ (2)สมั มาสังกปั ปะความดาหริชอบ (3) สมั มาวาจาเจรจาชอบ (4) สัมมากมั มันตะ - ทาการงานชอบ (5) สมั มาอาชวี ะ เลยี งชพี ชอบ (6) สมั มาวายามะ - พยายามชอบ (7) สมั มาสติ - ระลึกชอบและ (8) สมั มาสมาธิ-ตังใจชอบ เรียกอีกอยา่ งหนึง่ วา่ “มัชฌมิ าปฏปิ ทา” หรอื ทางสายกลาง 12 ครกู ัญพัชร์ ลงั กาวรี ะนันท์

2. หลกั ธรรมเพอ่ื การอย่รู ว่ มกนั ในสงั คม 1) สปั ปรุ สิ ธรรม 7 สปั ปรุ สิ ธรรม 7 คอื หลกั ธรรมของคนดหี รอื หลกั ธรรมของสตั ตบรุ ุษ 7 ประการ ไดแ้ ก่ (1) รจู้ กั เหตุหรอื ธมั มญั ญุตา (2) รจู้ กั ผลหรอื อตั ถญั ญตุ า (3) รจู้ กั ตนหรอื อตั ตญั ญตุ า (4) รจู้ กั ประมาณหรอื มตั ตญั ญตุ า (5) รจู้ กั กาลเวลาหรอื กาลญั ญตุ า (6) รจู้ กั บุคคลหรอื ปรสิ ญั ญุตา (7) รจู้ กั บุคคลหรอื ปคุ คลญั ญตุ า 2) อิทธบิ าท 4 อิทธิบาท 4 คอื หลกั ธรรมที่นาไปสู่ความสาเรจ็ แหง่ กิจการมี 4 ประการคอื (1) ฉนั ทะ คอื ความพอใจใฝ่รักใฝ่หาความรู้และความสร้างสรรค์ (2) วริ ยิ ะ คอื ความเพียรพยายามมคี วามอดทนไมท่ อ้ ถอย (3) จิตตะ คือ ความเอาใจใส่และตงั ใจแน่วแนใ่ นการทางาน (4) วิมังสา คอื ความหมั่นใช้ปญั ญาและสติในการตรวจตราและคิด ไตร่ตรอง 3) กุศลธรรมบถ 10 กศุ ลกรรมบถ 10 เปน็ หนทางแหง่ การทาความดงี ามทางแหง่ กุศลซึง่ เป็น หนทางนาไปส่คู วามสขุ ความเจริญ แบง่ ออกเป็น 3 ทางคอื กายกรรม 3 วจกี รรม 4 และมโนกรรม 3 13 ครูกัญพัชร์ ลงั กาวีระนนั ท์

สงั คหวตั ถุ 4 สงั คหวัตถุ 4 เป็นหลักธรรมคาสอนทางพระพุทธศาสนาที่เป็นวิธีปฏิบัติเพ่ือยึด เหนีย่ วจิตใจของคนที่ยังไม่เคยรักใคร่นับถือให้มีความรักความนับถือ สังคหวัตถุเป็น หลักธรรมทช่ี ว่ ยผูกไมตรีซ่ึงกันและกันให้ แน่นแฟ้นยิ่งขึนประกอบ มี 4 อย่าง ได้แก่ ทาน ปยิ วาจา อตั ถจริยา สมานัตตตา อบายมขุ 6 คาํ ว่าอบายมขุ คอื หนทางแหง่ ความเสอ่ื มหรอื หนทางแห่งความหายนะ ความฉบิ หาย มี 6 อยา่ ง ไดแ้ ก่ 1. การเป็นนกั เลงผหู้ ญงิ 2. การเป็นนกั เลงสรุ า 3. การเป็นนกั เลงการพนนั 4. การคบคนชวั่ เป็นมติ ร 5. การเทย่ี วดกู ารละเลน่ 6. เกยี จครา้ นทาํ การงาน เบญจศีลเบญจธรรม เบญจศลี เบญจธรรม คอื หลักธรรมทค่ี วรปฏบิ ตั คิ วบค่กู นั ม่งุ ใหบ้ คุ คลทา ความดีละเวน้ ความชัว่ ธรรมคมุ้ ครองโลก โลกบาลธรรมหรือธรรมคมุ้ ครองโลก เปน็ หลกั ธรรมท่ีช่วยให้มนษุ ยท์ กุ คน ในโลกอย่กู ันอยา่ งมีความสุขมนี าใจเออื เฟอ้ื มีคุณธรรมและทาแต่สิ่งทเ่ี ป็น ประโยชนป์ ระกอบด้วยหลักธรรม 2 ประการ ไดแ้ ก่ หริ ิ โอตตปั ปะ 14 ครูกญั พัชร์ ลงั กาวรี ะนันท์

นิกายสาคญั ของพระพทุ ธศาสนา หลังจากท่ีพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วประมาณ 100 ปี พระพุทธศาสนาก็เร่มิ มกี ารแตกแยกในด้านความคดิ เห็นเก่ยี วกบั การ ปฏบิ ตั ติ ามพระธรรมวนิ ยั จนถงึ สมยั พระเจา้ อโศกมหาราช กแ็ ตกแยกกนั ออกเป็นนิกายใหญ่ ๆ 2 นิกายคอื มหายาน (อาจารยิ วาท) กบั หนิ ยาน (เถรวาท) มหายาน “มหายาน” แปลว่า “ยานใหญ่” เป็นลทั ธขิ องภกิ ษุฝ่ าย เหนือของอนิ เดยี ซง่ึ มจี ุดมุ่งหมายทจ่ี ะเผยแพร่พระพุทธศาสนาใหม้ หาชน เล่ือมใสเสียก่อนแล้วจึงสอนให้ระงบั ดับกิเลสทงั้ ยงั ได้แก้ไขคําสอนใน พระพุทธศาสนาให ผนั แปรไปตามลําดบั ลทั ธนิ ้ีไดเ้ ขา้ ไปเจรญิ รุ่งเรอื งอยู่ ในทเิ บต จนี เกาหลี ญป่ี ่นุ และ เวยี ดนาม เป็นตน้ หนิ ยาน คาํ ว่า “หนิ ยาน” เป็นคาํ ทฝ่ี ่ายมหายานตงั้ ใหแ้ ปลวา่ “ยาน เลก็ ” เป็นลทั ธขิ องภกิ ษุฝ่ายใตท้ ส่ี อนใหพ้ ระสงฆป์ ฏบิ ตั เิ พอ่ื ดบั กเิ ลสของ ตนเองกอ่ น และหา้ มเปลย่ี นแปลงแกไ้ ขพระวนิ ยั อยา่ งเดด็ ขาด นิกายน้มี ี ผู้ นบั ถอื ในประเทศศรลี งั กา ไทย พมา่ ลาวและกมั พชู า บคุ คลสาคญั ในสมยั พทุ ธกาล พระสารบี ตุ รเป็นอคั รสาวกเบอ้ื งขวาของพระพุทธเจา้ ไดร้ บั การยก ย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเลิศกว่าพระสงฆท์ งั้ ปวงในด านสติป ญญา นอกจากน้พี ระสารบี ตุ รยงั มคี ณุ ธรรมในด านความกตญั ูแู ละ การบาํ เพญ็ ประโยชน ให แก พุทธศาสนาอกี ด วย ท านได รบั การยกย องว าเป นธรรมเสนาบดคี ู กบั พระพทุ ธเจ าทเ่ี ป นธรรมราชา เน่ืองจากท านเป นผู มปี ฏญิ าณในการแสดงพระ ธรรมเทศนา คอื ช้แี จงให ผู ฟ งเข าใจได ชดั เจน สาํ หรบั ในด านความกตญั ูนู นั้ ท านได ฟ งธรรมจากพระอสิ ชเิ ป นท านแรก และเกดิ ธรรมจกั ษุคอื ดวงตาเหน็ 15 ครกู ญั พัชร์ ลงั กาวีระนนั ท์

ธรรม หมายความวาสิง่ ใดเกิดเปนธรรมดายอมดับเปนธรรมดา จากนนั เม่ือกอนที่ทานจะนอนทานจะกราบทิศท่ีพระอัสสชิอยูและหันศรีษะนอนไป ยังทศิ นนั พระมหาโมคคัลลานะ เปนอัครสาวกเบืองซายของพระพุทธเจาเปน ผู มีเอตทัคคะในด านผู มีฤทธ์ิท านเป นผู ฤทธานุภาพมากสามารถกระทา อิทธิฤทธ์ิไปเยี่ยมสวรรคและนรกได จากนนั นาขาวสารมาบอกญาติมิตรของผู ที่ไปเกิดในสวรรค และนรกให ได ทราบประชาชนทังหลายจึงมาเล่ือมใส พระพุทธศาสนา ทาใหประชาชนเสื่อมคลายความเคารพเดียรถีย (นักบวช ลัทธิหนง่ึ ในสมยั พทุ ธกาล) พวกเดียรถียจึงโกรธแคนทานมากจึงลงความเห็น วาใหกาจัดพระโมคคัลลานะ นอกจากนันจึงจางโจรไปฆาพระเถระ พวกโจร จึงลอมจับพระเถระทานรูตัวหนีไปได 2 ครัง ในครังที่ 3 ทานพิจารณาเห็น วาเปนกรรมเกาจึงยอมใหโจรจับอยางงายดาย โจรทุบกระดูกทานจนแหลก เหลวไมมีชินดี กอนที่ ทานจะยอมนิพพานเพราะกรรมเกา ทานไดไปทูลลา พระพุทธเจากอนแลวจึงนพิ พาน อนาถบิณฑิกเศรษฐี เป นผู ได รับการยกย องเป นนายกฝ ายอุบาส ก ทานเปนเศรษฐีอยูเมืองสาวัตถีเปนผูมีศรัทธาแรงกลาเปนผูสรางพระเชตุวัน มหาวิหารถวายแก พระพุทธเจ าพระพุทธเจ าทรงประทับอยู ท่ีวัดนีถึง19 พรรษา นอกจากทานจะอุปถัมภบารุงพระภิกษุสงฆแลวยังไดสงเคราะหคน ยากไรอนาถาอยางมากมายเปนประจาจึงไดชอ่ื วา อนาถบิณฑิก ซึ่งแปลวา ผู มีกอนขาวเพื่อคนอนาถาพระเจาพมิ พสิ าร เปนอุบาสกที่สาคัญอีกผูหน่ึง พระ องคเปนพระเจาแผนดินครองแควนมคธครองราชยสมบัติอยูท่ีกรุงราชคฤห ท านถวายพระราชอุทยานเวฬุวันแก พระพุทธเจ านับว าเป นวัดแห งแรกใน พระพทุ ธศาสนา 16 ครกู ญั พัชร์ ลังกาวีระนนั ท์

พระอานนท เปนสหชาติและพทุ ธอุปฏฐากของพระพทุ ธเจา ไดรับการ ยกยองวาเปนเอตทัคคะวาเปนผมู พี หูสตู เนอื่ งจากทรงจาพระสูตรท่ีพระพุทธ เจาตรัสไว และเปนผูสาธยายพระสูตรจนทาให การปฐมสังคายนาสาเร็จ เรยี บรอย นอกจากนนั ทานยังทาหนาทีเ่ ปนพุทธอุปฏฐากของพระพุทธเจาได อยางดรี วม 25 พรรษา ดวยความขยันขันแข็งที่เปนภารกิจประจาและไดรับ การยกย องจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ าให เป นเอตทัคคะd(เลิศ)d5 ประการ คอื 1. มสี ติรอบคอบ 2. มคี วามทรงจาแมนยา 3. มีความเพยี ร สรุป 1. ศาสดา = พระพทุ ธเจ้า (ศากยโคดม) 2. คัมภรี ์ = พระไตรปฎิ ก (พระวนิ ัย พระสตู ร พระอภิธรรม) 3. สาวก = พุทธบริษัท (บริษัท 4 ได้แก่ ภกิ ษุ ภิกษุณี อุบาสก อุปาสกิ า) 4. ศาสนสถาน = วัด เจดยี ์ อุโบสถ 5. พิธีกรรม = เวียนเทยี น สวดมนต์ 6. สญั ลักษณ์ = เสมาธรรมจักร 17 ครกู ัญพัชร์ ลงั กาวรี ะนันท์

อเริสอ่ื ลงาทม่ี 3 ประวตั ิศาสดาและคาสอนของศาสนา ศาสนาอิสลาม ถอื กาํ เนิดเมอ่ื พ.ศ. 1113 โดย นบี มุฮมั มดั เป็นศาสดาผู้ก่อตงั้ มุฮมั มดั เป็นเดก็ กาํ พรา้ โตมา ไดแ้ ต่งงานกบั เศรษฐนี ีหมา้ ย เมอ่ื อายุ 40 ปี เทว ทูตได้นําโองการท่ีพระเจ้าประทานมาให้แก่มุฮมั มดั เพ่ือนําไปสงั่ สอน ประชาชน ศาสดามุฮมั มดั ไดส้ งั่ ใหป้ ระชาชน ทําลายรปู เคารพเพราะถือว่า เป็นเร่อื งงมงาย ให้นบั ถอื อลั เลาะห์เพยี งองค์เดยี ว แต่ถูกต่อต้านจาก ชาวเมอื งมกั กะฮจ์ งึ หนีไปทอ่ี ่นื ภายหลงั ไดก้ ลบั มายดึ dเมอื งมกั กะฮไ์ ดd้ ได้ เผยแพร่ศาสนาตงั้ แต่นนั้ มาจนส้นิ พระชนมเ์ มอ่ื อายุได้ 62 ปี (พ.ศ. 1175) คมั ภรี ์ ของ ศาสนาอสิ ลามคอื อลั กุรอาน คําว่า \"อสิ ลาม\" มรี ากศพั ท์เดมิ หมายถงึ \"สนั ต\"ิ ในความหมายท่ี สมบูรณ์dหมายถึงd\"สันติสุขอันสมบูรณ์ท่ีมาจากการยอมรบั นับถือใน พระอลั ลอฮ. (อลั เลาะห)์ \" ผทู้ น่ี บั ถอื ศาสนาอสิ ลาม หรอื ศาสนิกของ ศาสนา อสิ ลามเรยี กวา่ มสุ ลมิ อา้ งใน : http://www.satit.up.ac.th/BBC07/AroundTheWorld/reli/14.htm แนวประพฤตปิ ฏบิ ัติและหลักคาสอนของศาสนาอิสลาม แนวประพฤติปฏิบัติและหลักคาสอนของศาสนาอิสลามประกอบด วย รายละเอยี ดทส่ี าคัญๆ ดังตอไปนคี ือ 1. ศรทั ธาตออลั เลาะห 2. ศรัทธาตอมลาอกิ ะฮซุ ง่ึ เปนบาวอัลเลาะหประเภทหนึง่ ที่ไมอาจมองเหน็ ตัวตนหรือทราบรปู ราง ท่ีแทจริง 3. ศรทั ธาในพระคัมภรี ของพระเจา 2 ประเภทคือ (1) สอนถงึ ความสมั พันธระหวางมนุษยกับพระเจา (2) การไดยินเสยี งในลกั ษณะอยูในภวงั คหรือการฝน (3) โดยมลาอกิ ะฮฺมนี ามวาญบิ รีลถกู สงมาพรอมกับโองการของพระเจา 18 ครกู ัญพชั ร์ ลงั กาวีระนนั ท์

4. ศรทั ธาในบรรดาศาสนทูต 5. ศรทั ธาตอวันปรโลก 6. การศรทั ธาตอกฎกาหนดสภาวะ 7. การถอื ศีลอด การถือศีลอดเปนหลกั มูลฐานของอิสลามขอหน่งึ ท่ีมุสลิมทุกคนตองปฏิบัติ มีกาหนดขึนในทุกๆ ป ปละ 1 เดือน คือ ตกเดือนรอมฎอน อันเปนเดือนท่ี 6 แหงปอิสลาม นับแบบ จนั ทรคติ การถือศีลอด คือ การงดเวนจากการบริโภคและอนื่ ๆ ตามทกี่ าหนดไวแนนอน มหี ลกั เกณฑในการปฏบิ ัตคิ ือ 1. เปนมสุ ลิม 2. มอี ายบุ รรลุศาสนาภาวะ (ประมาณ 15 ป) 3. มีสตสิ ัมปชัญญะ 4. มพี ลงั ความสามารถท่ีจะปฏบิ ัตไิ ด กิจกรรมทกี่ ระทาในพธิ ีศีลอด คอื 1. ตงั จติ ปรารถนา (นียะฮ) ไวแตกลางคนื วา ตนจะถือศีลอด 2. งดเวนการกนิ ด่ืม และอ่นื ๆ ตามขอกาหนด จุดประสงคของการถือศลี อด 1. เพือ่ ทาใหจิตใจบรสิ ทุ ธ์ิ 2. ใหรจู ักควบคุมจติ ใจและตดั กเิ ลส 3. ใหรจู กั รสของการมขี นั ติ 4. ใหรูจักสภาพของคนยากจนอนาถา จะทาใหเกิดความเมตตาแกคนทั่วไป สรปุ 1. ศาสดา = นบมี ูฮัมหมดั 2. คัมภีร์ = อลั กุรอาน 3. สาวก = มุสลมิ 4. ศาสนสถาน = มสั ยดิ 5. พิธกี รรม = การละหมาด ถือศลี อด การจ่ายซะกาต พธิ ีฮัจย์ 6. สญั ลกั ษณ์ = พระจันทร์ครงึ่ เสยี วและมีดาวอยขู่ า้ งบน 19 ครกู ญั พชั ร์ ลงั กาวีระนนั ท์

เครรื่อิสงตท์ ี่ 4 ประวตั ิศาสดาและคาสอนของศาสนา ศาสนาคริสตเปนศาสนาประเภทเอกเทวนิยมคือเช่ือวามีพระเจา สูงสุดเพียงองค เดียวเป นผู สร างโลกและสรรพส่ิงdพระเจ าองค นันคือ d พระยะโฮวาหdศาสนาคริสตเช่ือวามนุษยมีบาปมาแตกาเนิดพระเจาจึงสง พระเยซมู าไถบาปdเชื่อวาวิญญาณเปนอมตะdเมื่อถึงวันตัดสินโลกมนุษยจะ ไปอยูในสวรรคหรือในนรกชั่วนิรันดรdเชื่อวามีเทวดาอยูมากมายทังฝายดี และฝายช่ัว ซาตานเปนหวั หนาฝายชัว่ ในท่ีสุดก็จะถูกพระเจาทาลาย ศาสนาคริสตเปนศาสนาท่ีมีผูนับถือมากที่สุดในโลก คาวา Christ มาจากภาษาโรมนั วา Christus และคานมี าจากภาษากรีก อีกอย่างหน่ึง คือ คาวา Christos ซึ่งแปลมาจากคาวา Messiah ในภาษาฮิบรูคาวา messiah แปลวา พระผูปลดเปลืองทุกขภัย ศาสนาคริสตเกิดในปาเลสไตนเม่ือ พ.ศ. 543 โดยคานวณจากปเกิดของพระเยซูซึ่งเปนศาสดาของศาสนานี ศาสนา คริสตเปนศาสนาทีพ่ ฒั นามาจากศาสนายดู ายหรือยิว เพราะศาสนาคริสตนับ ถอื พระเจาองคเดียวกนั กบั ศาสนายดู ายคือพระยะโฮวาห พระเยซูเปนชาวยิว มิไดปรารถนาที่จะตังศาสนาใหมแตทรงตองการปฏิรูปศาสนายิวใหบริสุทธ์ิ ขึนทรงก ล าว ว า“อ ย าคิดว า เรามาทาลาย พระบั ญญั ติแ ละ คา ขอ งศาสดา พยากรณเสีย เรามิไดมาทาลายแตมาเพ่ือทาใหสาเร็จ” กอนหนาที่พระเยซู ประสูติdประเทศปาเลสไตนไดตกเปนเมืองขึนของจักรวรรดิใกล เคียง ติดตอกันเปนระยะเวลากวา 100 ป เร่ิมตังแตศตวรรษที่ 1 กอนคริสตกาล ตกเปนเมืองขึนของอัสซีเรียบาบิโลเนียจักรวรรดิเปอรเซียdจักรวรรดิกรีกใน สมัยพระเจ าอเล็กซานเดอร มหาราชdและในที่สุดตกเป นของอาณานิคม จัก รว รรดิโ รมัน dตลอ ดเวลาท่ี ตก เป นเมืองขึนนีผู พ ยา กรณ หลาย ท านได พยากรณถึงพระเมสสิอา (Messiah) พระผูชวยใหรอด ซึ่งเปนพระบุตรของ พระเจาที่จะเสด็จมาปลดแอกชาวยิวใหไดรับเสรีภาพและจะทรงไถบาปให ชาวยวิ พนจากความหายนะและไดรบั ความรอดชว่ั นริ นั ดร 20 ครกู ญั พชั ร์ ลังกาวรี ะนนั ท์

ในสมัยนันชาวยิวเชื่อในคาพยากรณนมี ากและพระเยซูประสูติในชวงเวลานัน พอดี พระเยซเู กิดที่หมูบานเบธเลเฮม แขวงยดู ายd กรุงเยรูซาเล็ม มารดาช่ือ มาเรีย บิดาชื่อโยเซฟ ตามประวัติมาเรียนันตังครรภมากอนขณะท่ียังเปนคู หมันกับโยเซฟเทวทูต จงึ มาเขาฝนบอกโยเซฟวาบุตรในครรภมาเรียเปน บุตร ของพระเจาใหตังช่ือวาเยซูdตอมาจะเปนผูไถบาปใหกับชาวยิวdโยเซฟจึง ปฏิบัติตามและรับมาเรียมาอยูดวยโดยไมสมสูเย่ียงภริยาพระเยซูไดรับการ เลยี งดูอยางดเี ปนศษิ ยของโยฮนั ศกึ ษาพระคัมภรี เกาจนแตกฉานทานมนี ิสยั ใฝ สงบชอบวเิ วก เมือ่ อายุ 30 ป ไดรับศีลลางบาปที่แมนาจอรแดน ตังแตนันมา ถือวาทานสาเร็จภูมิธรรมสงู สุดในศาสนาพระองคมีสาวก 12 คน เปนหลักใน ศาสนาทาหนาที่สืบศาสนามีนักบุญเปโตรd(SaintPeter)dปนหัวหนาผูสืบ ตาแหนงนักบญุ เปโตรตอ ๆ มาจนถงึ ปจจบุ นั เรยี กวาสมเด็จพระสันตะปาปา พระเยซูเผยแผศาสนาท่ัวดินแดนปาเลสไตนเปนเวลา 3 ปีมีพวกปุโรหิตธรร มาจารยและพวกซีซารเกลียดชังขณะท่ีพระองครับประทานอาหารมือค่ากับ สาวก 12 คน เปนมือสุดทายทหารโรมันจับตัวทานในขอหาเปนกบฎและถูก ตัดสนิ ใหลงโทษประหารชีวิตโดยตรึงกับไมกางเขนไวจนสิน พระชนม หลักธรรมของศาสนาคริสต ศาสนาครสิ ตจารกึ หลกั ธรรมไวในคมั ภีรไบเบลิ หลกั ธรรมของพระเยซู บางขอตรงขามกับศาสนายวิ บางขอใหการปฏริ ูปและประยกุ ตเสียใหม เชน 1. พระเจาทรงเปนบิดาทดี่ พี รอมทจ่ี ะประทานอภัยใหแกบุตรทก่ี ลบั ใจ แตขณะเดียวกันกท็ รงเปน ผูทรงไวซ่ึงความเด็ดเดี่ยวลงโทษผูท่ไี มเชอื่ ฟง 2. พระเยซูทรงเปนผปู ระกาศขาวดีโดยแจงใหทราบวาอาณาจักรของ พระเจามาถงึ แลว ผูที่ศรทั ธาจะไดรับมหากรณุ าธคิ ุณจากพระเจา 3. หลกั การสานกึ ผดิ ใหพิจารณาตนเองวาใหทาผิดอะไรและตังใจท่ีจะ เลิกทาความชั่วนนั เสยี 21 ครกู ญั พชั ร์ ลงั กาวรี ะนนั ท์

หลักธรรมของศาสนาคริสต (ตอ่ ) 4. หลักความเสมอภาค คอื ความรักความเมตตาของพระเจาทีม่ ตี อม นุษยทังมวลโดยไมเลอื กชนั วรรณะ ผทู ที่ าความดแี ลวตองไดรบั รางวลั จาก พระเจาโดยเสมอภาคกนั 5. ใหละความเคยี ดแคนพยาบาทการจองเวรซงึ่ กันและกนั ใครรักก็รัก ตอบ ใครอาฆาตมุงราย ก็ตองใหอภัย นกิ ายของศาสนาครสิ ต 1. โรมันคาทอลิก มีศูนยกลางอานาจอยูทส่ี านกั วาติกนั กรุงโรม ใชภาษา ละตินเปนภาษาของศาสนา ประมุขของศาสนาคือสันตะปาปาเปนผูสืบทอด ศาสนาคาสอนของพระเยซู มพี ระคอื บาทหลวง เปนนิกายทีเ่ ชอื่ เรื่องบญุ บาป รูป เคารพถือไมกางเขนทีพ่ ระเยซูถกู ตรึงอยู 2. กรกี ออรธอดอกซ์ มีศูนยกลางท่ีกรุงคอนสแตนติโนเปล ประเทศตุรกี ปจจุบันมคี วามเปนอสิ ระ มีประมขุ ท่ีเรียกวา ปาตริอารค หรืออารคบชิ อป 3. โปรเตสแตนต์ เนนคมั ภีรไมมนี กั บวช รับศีลศักดิส์ ทิ ธเ์ิ พียง 2 อยางคือ ศีลลางบาปและศลี มหาสนทิ สรุป 1. ศาสดา = พระเยซู 2. คมั ภีร์ = ไบเบลิ 3. สาวก = บาทหลวง คริสเตียน 4. ศาสนสถาน = โบสถ์ 5. พธิ ีกรรม = ศลี ลา้ งบาป ศลี มหาสนทิ 6. สัญลักษณ์ = ไมก้ างเขน 22 ครกู ญั พชั ร์ ลังกาวีระนันท์

เรอ่ื งที่ 5 ประวัตศิ าสนาพราหมณ-ฮินดแู ละคาสอน ศาสนาพร าหมณ หรื อฮินดูdเกิ ดในเอเชี ยใต dคือ dประเทศอิ นเดีย dเมื่ อ ประมาณd1,400dปdกอนคริสตศักราชdเกิดจากพวกอารยันที่อพยพเขามาใน ประเทศอินเดียถือกันวาเปนศาสนาทีเ่ กาแกท่ีสดุ ในโลกพระเวทเปนคัมภีรศาสนา พราหมณไดรับการยกยองวาเปนคัมภีรท่ีเกาแกท่ีสุดในโลกและเปนวรรรคดีที่ เกาแกที่สุดในโลกชื่อของศาสนาเปลี่ยนไปตามกาลเวลาในตอนแรกเร่ิมเรียก ตัวเองวา “พราหมณ” ตอมาศาสนาเสอื่ มลงระยะหน่งึ และไดมาฟนฟูปรับปรุงให้ เปนศาสนาฮินดูโดยเพ่ิมบางส่ิงบางอยางเขาไปมกี ารปรบั ปรุงเนือหาหลักธรรมคา สอนใหดีขึน คาวา“ฮินด”ู เปนคาท่ใี ชเรียกชาวอารยนั ทอ่ี พยพเขาไปตงั ถิ่นฐานใน ลมุ แมนาสินธุ และเปนคาท่ีใชเรียกลูกผสมของชาวอารยันกับชาพืนเมืองในชมพู ทวีปและชนพนื เมืองนีไดพัฒนาศาสนาพราหมณโดยการเพ่ิมเติมอะไรใหม ๆ ลง ไปแลวเรียกศาสนาของพวกนีวา “ศาสนาฮินดู” เพราะฉะนนั ศาสนาพราหมณจึง มีอกี ชือ่ ในศาสนาใหมวา “ฮินดู” จนถงึ ปจจบุ ัน ในอดตี ศาสนาพราหมณหรอื ฮินดู จะมีการจัดคมั ภีรออกเปน 3 พวกตามการยกยองนับถือเทวะทัง 3 โดยแยกเปน 3 นิกายใหญj ๆ นิกายใดนบั ถือเทวะองคใดก็ยกยองวาเทวะองคนันสูงสุด ตอมา นักปราชญชาวฮินดูไดกาหนดใหเทวะทัง 3 องค์ เปนใหญสูงสุดเสมอกัน เทวะ ทงั 3 องคนรี บั การนามารวมกันเรียกวา “ตรมี ูรต”ิ ใชคาสวดวา “โอม” ซึ่งยอมา จาก “อะอุมะ” แตละพยางคแทนเทวะ 3 องค คอื “อะ” แทนพระวษิ ณหุ รือพระนารายณ “อุ” แทนพระศิวะหรอื อิศวร “มะ” แทนพระพรหม ในประเทศอินเดียไดมีการแบงชนชันออกเปน 4 วรรณะ คือ พราหมณ กษัตริย แพศย คือ พอคาคหบฎี และศูทรกรรมกรคนใชแรงงาน วรรณะพราหมณ ถือวา เปนวรรณะสูงสุด เปนพวกทาหนาท่ีทางศาสนา “พราหมณ” เปนคาศัพทท่เี นื่องมาจากคาวา “พรหม” 23 ครกู ัญพชั ร์ ลงั กาวีระนันท์

พระนารายณ์ พระศิวะ พระพรหม อา้ งอิงใน : https://www.siamganesh.com/shiva.html พราหมณ์ ถอื วาตนสืบเชอื สายมาจากพรหมสามารถติดตอเกี่ยวของกับ โองการตางdๆdจากพรหมซ่ึงเปนพระผูเปนเจามาแจงแกชาวโลกมนุษยได สามารถติดตอบวงสรวงออนวอนเทพเจาใหมาประสาทพรหรือบันดาลความ เปนไปตาง ๆ ในโลกมนุษยได พวกพราหมณจึงเปนท่ีเคารพยาเกรงของคนทุก วรรณะ แมแตกษัตริยผูเปนใหญในการปกครอง เม่ือพวกพราหมณมีอานาจ มากมคี นยาเกรงมากโอกาสท่ีจะแสวงหาลาภสักการะจึงมีมาก พวกพราหมณ แตละพวกจะแขงขันในการทาพิธีโดยถือวาการจัดทาพิธีตางๆ ใหถูกตองตาม พิธีท่ีกาหนดไวในพระเวทเปนส่ิงสาคัญชนวรรณะพราหมณไดรวบรวมสรรพ วิชาทงั หลายท่ีตนคนพบหรือเขาใจเรื่องประมวลความรูเรียกวา “ไสยศาสตร” ซึ่งขึนตนดวยวิชาท่ีสาคัญท่ีสุดคือ “พระเวท” อันหมายถึงวิชาการที่เกี่ยวกับ พรหม เทวดาและสิ่งศักด์ิสิทธิ์ทังหลายท่ีมนุษยตองเคารพบูชา สมัยนันยังไมมี หนังสอื จงึ ตองใชวิธที องจาและสอนตอๆ กนั มาพระเวทประกอบดวย “มนตรี” คอื คาถาสาหรับทองจากับ “พราหมณะ” ซง่ึ เปนคมั ภรี คมู ือที่พวกพราหมณแต ละกลุมไดเพ่ิมเติมในพิธีกรรมของตนใหละเอียดพิศดารขึนจนพราหมณเองไม สามารถทองจาไดจึงตองมีคมู อื “พราหมณะ” คอื คาอธบิ ายลัทธิพิธีกรรมตางๆ ของพระเวทแตเดิมมี 3 อยางเรียกวา“ไตรเพท” 24 ครกู ญั พชั ร์ ลงั กาวีระนนั ท์

วรรณะพราหมณในศาสนาฮนิ ดู ในประเทศอินเดียไดแบงออกเปน 4 วรรณะ คือ พราหมณ กษัตริย แพศย ศูทร วรรณะพราหมณหรือตระกูลนกั บวช แบงออกเปน 4 ชนั คือ 1. พรหมจารี คอื พวกนักเรยี น มหี นาที่เปนผปู ฏบิ ัติและศกึ ษาพระเวทใน สานักคณาจารยคนใด คนหน่งึ (เทียบกบั ศาสนาพุทธ คอื สามเณร และนวกะ) 2. คฤหบดี คือผูครองเรือน มีภรรยา มีครอบครัว เปนหัวหนาในบาน อาน และสอนพระเวททาการบชู าเองหรือชวยผูอนื่ กระทายญั กรรมใหทานและรบั ทักษิณา 3. วานปรัสถ คือ ผูอยูปา ละเคหสถานและครอบครัวเขาปาเพ่ือทรมานตน มกั นอยในอาหารและเครอ่ื งนงุ หม กระทาทุกรกริ ยิ า สมาธมิ น่ั คงในกิจวตั ร ไดแก ฤๅษี แปลวา ผแู สวงหมายถงึ แสวงหาโมกษะ คอื การหลดุ พนจากการเวียนวาย ตาย เกิด โยคี แปลวา ผบู าเพญ็ โยคะ คือทรมานกายโดยวิธีแหงอิริยาบถตางๆ เพ่ือหวัง ผลสาเร็จเปน ผวู เิ ศษ เชน ยนื ขาเดียวเหนีย่ วกนิ ลมนานนับสบิ ป นัง่ สมาธโิ ดยไมลุกขึน เลยเปนเวลาสิบป ดาบส แปลวา ผูบาเพ็ญตน คือความเพงเลง็ ในดวงจิตเพื่อประโยชนใหอาตมัน เขารวมอยูในปรมตั ถ(หรือปรพรหม) ใหเกิดความบริสุทธิ์ใสสะอาด แมกระทบอารมณ ใดๆ กไ็ มแปรปรวน มุนี แปลวา ผูสงบไดแกผูสาเร็จฌานสมบตั ิ คือผกู ระทาตบะและโยคะจนถงึ ที่สดุ แลว สทิ ธา แปลวา ผูสาเร็จฌานสมบัติ คอื ผูกระทาตบะและโยคะจนถึงที่สดุ แลว นักพรต แปลวา ผบู วชและถือพรตตามลัทธิพราหมณ ชฎิล แปลวา ฤๅษีผูมุนมวยผมสงู เปนชฎา 25 ครูกญั พชั ร์ ลงั กาวีระนนั ท์

นิกายและลัทธิ มี 4 นิกายดวยกัน คือ 1. นิกายไศวะ ถอื พระอิศวรเปนใหญ และนับถอื พระนารายณ พระพรหมกับ เทพอืน่ ๆ ดวย 2. นกิ ายไวษณพ ถือพระนารายณเปนใหญ และนับถอื พระศวิ ะ พระพรหม กบั เทพอืน่ ๆ ดวย 3. นกิ ายศากต ถือวาพระแมอาทิศักตหี รือพระแมปราศกั ตีเปนใหญ และนับ ถือพระพรหม พระนารายณกับเทพอื่นๆดวย 4. นิกายสมารต ถอื เทพหาองคดวยกันค อื พระพฆิ เณศวร พระแมภวานี คอื พระศักตี พระพรหม พระนารายณ พระศวิ ะ ไมมีองคใดใหญกวาโดยเฉพาะ ลัทธิ ปรมาตมัน คอื พรหมัน แบงออกเปน 2 ระดับ อปรหมนั ความเจริญสงู สุด (UltimateReality) ละปรพรหมนั คือ ความจริงขันเทพเจาสงู สุด (SupremeBeing) คาสอนใน คัมภรี อุปนษิ ัท ทาใหศ้ าสนาพราหมณเปนเอกนิยม (Monoism) เชอื่ วาสรรพสิ่งมา จากหนึง่ และกลบั ไปสูความเปนหนง่ึ หลงั จาก คมั ภรี อปุ นษิ ทั ไดพฒั นาจนถึงขีดสุด ทาใหเกดิ ลทั ธปิ รชั ญาอีก 6 สานักดังตอไปนี 1. นยายะเจาลัทธิ คอื โคตมะ 2. ไวเศษกิ ะเจาลทั ธิ คอื กนาทะ 3. สางขยะเจาลัทธิ คอื กปละ 4. โยคะเจาลทั ธิ คือ ปตญั ชลี 5. มมี างสาหรือปูรวมีมางสาเจาลทั ธิ คอื ไชมนิ ิ 6. เวทานตะหรอื อตุ ตรมีมางสาเจาลทั ธิ คอื พาทรายณะหรอื วยาส 26 ครกู ญั พัชร์ ลงั กาวรี ะนนั ท์

ลัทธินยายะ นยายะ แปลวา การนาไป คือนาไปสูการพิจารณา สอบสวน อยางละเอียดถ่ีถ วนหรอื วธิ กี ารหาความจริงซงึ่ อาศยั หลกั ตรรกวิทยาเพราะเหตุนีช่ือเรียกสาหรบั ลัทธนิ ยายะจึงมหี ลายอยาง เชน ตรรกวิทยาบาง วชิ าวาดวยวาทะบาง โคตมะผู้เปนเจาของ ลัทธินีเกิดประมาณ 550 ป กอน ค.ศ. หรือกอนพระพุทธเจาปรินิพพานประมาณ 7 ป วิธีที่จะไดความรู้ ความเขาใจที่ถูกตองตามหลักของลัทธินยายะนันมีอยู 16 ประการ เชน 1. ประมาณหรือวิธีใหเกิดความรชู อบนันมี 4 อยางคอื 1. การรูประจักษ 2. การอนมุ านหรือ คาดคะเน 3. การเปรียบเทยี บ 4. บรรยายถอยคา 2. ประเมยะเร่ืองทพี่ ง่ึ รูชอบมี 12 อยางคือ 1. อามัน 2. สรีระ 3. อนินทรยี 4. อรรถ 5. พทุ ธิ 6. มนะ 7. พฤตกิ รรม 8. โทษ 9. การเกดิ อกี (หลังตายไปแลว) 10. ผลแหงความดีความชวั่ 11. ความทุกข 12. ความหลุดพน 3. สังสะยะความสงสยั เปนตน 27 ครูกญั พชั ร์ ลงั กาวรี ะนันท์

ลัทธไิ วเศษกิ ะ คาวาไวเศษิกะคือวเิ ศษหมายถงึ ลกั ษณะที่ทาใหส่งิ หนง่ึ ตางไปจากอกี หน่ึง ทานกณา ทะผตู ังลัทธินี เกิดในศตวรรษท่ี 3 กอนคริสตศักราช ลัทธินีสอนเพื่อความหลุดพนไปการหลุด พนนนั การรูอาตมนั ไดอยางแจมแจงเปนวิธกี ารสาคญั ย่งิ ลัทธนิ ใี ชวธิ ตี รรกวทิ ยา คอื สิ่งที่มีอยูจรงิ ช่ัวนิรนั ดร มอี ยู 9 อยางคอื 1. ดิน 2. นา 3. ไฟ 4. ลม 5. อากาศ 6. กาละ 7. ทิศ 8. อาตมนั 9. ใจ ดวยการรวมตวั ของสิง่ เหลานสี งิ่ อ่ืนๆ ยอมเกดิ ขึนมากมาย ลัทธสิ างขยะ ลัทธสิ างขยะนถี ือวาเปนปรชั ญาฮนิ ดูทเ่ี กาแกท่สี ุด เพราะนบั เปนครงั แรกทไี่ ด มีการพยายามทาใหปรัชญาของพระเวทกลมกลืนก ับเหตผุ ล ฤาษีกปละเปนผแู ต งคัมภรี แหงลัทธินีทานเกิดในสมยั ศตวรรษท่ี 6 กอน ค.ศ. รวมสมยั กับพระพุทธเจา คาวา สางขยะ แปลวา การนับหรือจานวน กลาวถึงความจริงแท 25 ประการยอมลงเปน 2 คือ บุรุษ ไดแก อาตมัน หรือวิญญาณสากล และประกฤติ (ปกต)ิ คอื สงิ่ ท่เี ปนเนือหาหรือตนกาเนดิ ของส่งิ ทงั หลาย ความมุงหมายของลัทธินี้ เพือ่ สรางปญญาใหเกิดเพอื่ ทาลายเหตแุ หงความ ทกุ ขทงั ปวงและ ปลดเปลอื งอาตมนั ออกจากสิ่งผกู พัน ความทกุ ขในความหมายของ ลทั ธินแี บงออกเปน 3 ประการ ดงั นี 1. ความทกุ ขทเี่ กิดขนึ จากเหตุภายใน เชน ความผิดปกตขิ องรางกายและ จติ ใจ 2. ความทุกขทีเ่ กดิ ขึนจากเหตภุ ายนอก เชน มนษุ ย สัตว หรือส่งิ ไมมีชวี ติ อ่ืนๆ 3. ความทุกขทเ่ี กดิ ขนึ จากเหตุนอกอานาจ หรอื เหนอื ธรรมชาติ 28 ครกู ัญพัชร์ ลังกาวีระนนั ท์

ลัทธิโยคะ ลัทธโิ ยคะ คาวา โยคะเปนศาสตรเดิมทีม่ มี านานแลว ปตัญชลีเปนผรู วบรวม เรยี บเรียงขึน ทานจงึ ไดรบั เกยี รตวิ าเปนผตู ังลัทธิโยคะ ประมาณ 3 หรอื 4 ศตวรรษ กอน ค.ศ. โยคตะ แปลวา การประกอบหรอื การลงมือทาใหเกิดผล ลัทธนิ อี าศัย ปรัชญาของสางขยะเปนฐานจุดหมาย คอื จะชวยมนษุ ยใหหลุดพนออกจากความทุกข 3 ประการดังกลาวในลัทธิสางขยะ คือ 1. ในการทาใหหลดุ พนจากความทุกขซง่ึ เกิดจากเหตุภายใน 2. ในการทาใหหลุดพนจากความทุกข ซง่ึ เกดิ จากเหตุภายนอก 3. ในการทาใหหลุดพนจากเหตุนอกอานาจ หรอื เหนอื ธรรมชาติ ลัทธิมีมางสา คาวา มีมางสา แปลวา พิจารณา สอบสวน หมายถึง พิจารณา สอบสวนพระเวทไดแก สอบสวน มันตระกับพราหณะ ไชมินิผูแตงคัมภีรมีมางสูตร เกิดขึนสมัยระหวาง 600 - 2000 ป กอนคริสตศักราช ความมุงหมายของลัทธิมีมาง สา คือ สอบสวนถึงธรรมชาติแหงการกระทาที่ถูกตองซึ่งเรียกสัน ๆ วา “ธรรม”การ กระทาทกุ อยางมีผล 2 ทาง คือ ผลภายนอกกับผลภายใน ผลภายนอกเปนผลหยาบ เปนสิง่ ที่ แสดงตวั ออกมา ผลภายในเปนผลละเอียดเปนส่ิงที่เรียกวา “ศักยะ” คือยัง ไมแสดงตวั แตอาจใหผลได เหมือนนาฬิกาท่ีไขลานไว ยอมมีกาลังงานสะสมพรอมที่ จะแสดงผลออกมา dผ ลภายนอกเป นขอ งชั่วคราว dผลภายใน เป นของชั่วนิรันด ร เพราะฉะนนั การกระทาทงั หลายจึง เทากับเปนการปลูกพืชในอนาคต ในขอเสนอขัน มลู ฐานนี ลัทธิมมี างสาสอบสวนถึงการกระทาหรือกรรมทังปวงอันปรากฏพระเวท แล วแบงออกเปน 2 สวน คอื มันตระ กบั พราหมณะ มี 5 หัวขอ ดังนี 1. วิธรี ะเบียบวิธี 2. มนั ตระหรอื บทสวด 3. นามเธยะชอ่ื 4. นิเสธะขอหาม 5. อรรถวาทะคาอธิบายความหมายหรือเนอื ความ 29 ครูกญั พชั ร์ ลังกาวีระนนั ท์

นอกจากหลักฐานทางศิลปกรรมแลวในดานวรรณคดีไดแสดงใหเห็นถึงความเชื่อ ของศาสนาพราหมณ เชน ตารับทาวศรีจุฬาลักษณหรือนางนพมาศ หรือแมแต ประเพณีลอยกระทงเพอื่ ขอขมาลาโทษพระแมคงคาdนาจะไดอิทธิพลจากศาสนา พราหมณเชนกันdในสมัยอยุธยาเปนสมัยที่ศาสนาพราหมณเขามามีอิทธิพลทาง วฒั นธรรมประเพณเี ชนเดียวกับสโุ ขทัยพระมหากษตั รยิ หลายพระองคทรงยอมรับ พิธีกรรมที่มีศาสนาพราหมณ เขามาdเชนdพิธีแชงนาพิธีนาอภิเษกกอนขึน ครองราชย สมบัติพิธีบรมราชภิเษก dพ ระรา ชพิธีจองเปรียง dพระ ราชพิธีจรด พระนังคัลแรก นา ขวัญ dพระ รา ชพิธีตรียัมปวา ย dเป นต นdโ ดย เฉพ าะ สมเด็จ พระนารายณมหาราชทรงนับถือทางไสยศาสตรมากถึงขนาดทรงสรางเทวรูปหุม ดวยทองคาทรงเครื่องทรงยาราชาวดสี าหรบั ตงั ในการพระราชพิธหี ลายองค ในพิธี ตรียัมปวายพระองคไดเสด็จไปสงพระเปนเจานับถือเทวสถานทุก ๆ ป ตอมาใน สมยั รตั นโกสินทรตอนตนพิธตี างๆ ในสมยั อยธุ ยายงั คงไดรบั การยอมรับนบั ถอื จาก พระมหากษัตริยและปฏิบตั ติ อกันมา คือ 1. พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีนีมีความสาคัญเพราะเป นการเทิดพระเกียรติขององค พระประมุขพระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟาจุฬาโลกไดโปรดเกลาฯ ใหผูรูแบบ แผนครังกรงุ เกาทาการคนควาเพ่ือจะไดสรางแบบแผนท่ีสมบูรณตามแนวทางแต เดิมมาในสมัยกรงุ ศรอี ยุธยาและเพิม่ พิธสี งฆเขาไปซึ่งมี 5 ขนั ตอน คอื 1) ขันเตรียมพิธี มีการทาพิธเี สกํน้าการทาพิธจี ารกึ พระสพุ รรณบัฏดวงพระ ราชสมภพและแกะพระราชลญั จกรประจารชั กาล 2) ขันพธิ เี บอื งตน มีการเจรญิ พระพุทธมนต 3) ขันพธิ บี รมราชาภเิ ษกมีการสรงพระมุรธาภิเษก จากนันรับการถวายสิริ ราชสมบัติและเครือ่ งสิรริ าชกกธุ ภัณฑ 4) ขันพิธีเบืองปลาย เสด็จออกมหาสมาคมและสถาปนาสมเด็จพระบรม ราชินีแลวเสด็จพระราชดาเนินไปทาพิธีประกาศพระองคเปนศาสนูปถัมภกใน พระพุทธศาสนา พรอมทงั ถวายบังคมพระบรมศพ พระบรมอัฐิพระเจาอยูหัวองค กอนและเสด็จเฉลิมพระราชมณเฑียรเสด็จเลยี บพระนคร 30 ครกู ญั พชั ร์ ลงั กาวรี ะนันท์

2. พระราชพธิ ีจองเปรยี ง (เทศกาลลอยกระทง) คือ การยกโคมตามประทีปบูชาเทพเจาตรีมูรติ กระทาในเดือนสิบสอง หรือเดือนอาย โดยพราหมณเปนผูทาพิธีในพระบรมมหาราชวัง พระราชครูฯ ตองกินถั่วกินงา 15 วัน สวนพราหมณอื่นกินคนละ 3 วันทุกเชาตองถวายนา มหาสังขทกุ วันจนถงึ ลดโคมลง ตอมาสมัยรชั การที่ 4 ไดทรงโปรดใหเพิ่มพิธีทาง พุทธศาสนาdเขามาดวยโดยโปรดใหมีสวดมนตเย็นแลวฉันเชาอาลักษณอาน ประกาศพระราชพิธจี ากนนั แผพระราชกศุ ลใหเทพยดาพระสงฆเจริญพุทธมนต ตอไป จนไดฤกษแลวทรงหลั่งํนา้ สังขและเจิมเสาโคมชัยจึงยกโคมขึนเสาโคมชัย นีทย่ี อดมฉี ัตรผาขาว 9 ชัน โคมประเทียบ 7 ชัน ตลอดเสาทาํน้าปูนขาว มีหงส ตดิ ลกู กระพรวนนอกจากนีมีเสาโคมบริวารประมาณ 100 ตน ยอดฉัตรมีผาขาว 3 ชนั 3.พระราชพิธตี รยี มั ปวาย เปนพธิ สี งทายปเกาตอนรบั ปใหมของพราหมณเชอื่ กนั วาเทพเจาเสด็จมา เยี่ยมโลกทุกปจึงจัดพิธี ตอนรับใหใหญโตเปนพิธีหลวงที่มีมานานแลว ในสมัย รตั นโกสนิ ทรไดจัดกันอยางใหญโตมากกระทาพระราชพิธีนีที่เสาชิงชาหนาวัดสุ ทัศน ชาวบานเรยี กพธิ นี วี า “พิธโี ลชงิ ชา” พิธนี ีกระทาในเดือนอายตอมาเปลี่ยน เปนเดือนย่ี 31 ครกู ญั พัชร์ ลังกาวีระนันท์

4.พระราชพธิ พี ชื มงคลจรดพระนังคลั แรกนาขวัญ แตเดิมมาเปนพราหมณ ภายหลังไดเพม่ิ พธิ ี สงฆจงึ ทาใหเกดิ เปน 2 ตอนคือ พธิ ีพชื มงคลเปน พิธีสงฆเรมิ่ ตงั แตการนาพนั ธุพืชมารวมพธิ ีพระสงฆ สวดมนตเย็นทีท่ องสนามหลวงจนกระทั่งรุงเชามีการ เลยี งพระตอ สวนพิธีจรดพระนงั คลั แรกนาขวญั เปน พิธขี องพราหมณกระทาในตอนบาย ปจจุบันนี พิธีกรรมของพราหมณท่ีเขามามอี ทิ ธพิ ลตอสงั คม ไทยเรม่ิ ลดบทบาทลงไปมากเพราะพุทธศาสนาได เขามามอี ทิ ธพิ ลแทนทงั ในพระราชพิธแี ละพธิ กี รรม ท่ัวๆ ไปในสังคม อยางไรก็ตามพิธีพราหมณเทาที่เหลืออยูและยังมีผูปฎิบัติสืบ กันมา ไดแก พิธีโกนผมไฟ พิธีโกนผมจุก พิธีตังเสาเอก พิธีตังศาลพระภูมิ พิธี เหลานยี งั คงมีผนู ิยมกระทากันทว่ั ไปในสงั คม สวนพระราชพธิ ที ปี่ รากฏอยู ไดแก พระราชพิธพี ืชมงคลจรดพระนังคลั แรกนาขวัญ พระราชพิธีบรมราชภิเษก และ พิธที านาอภิเษก เปนตน้ สรปุ 1. ศาสดา = นบั ถือเทพเจา้ หลายพระองค์ 2. คมั ภรี ์ = ไตรเภท หรือ ไตรเวท 3. สาวก = พราหมณ์ 4. ศาสนสถาน = เทวสถาน 5. พิธีกรรม = จองเปรียง ตรียัมปวาย 6. สัญลักษณ์ = อกั ษรเทวะนาคี 32 ครกู ัญพัชร์ ลงั กาวีระนนั ท์

เรอื่ งท่ี 6 ประวัติศาสดาและคาสอนของศาสนาซกิ ข์ 1. ประวตั ศิ าสดา ศาสนาซิกข เปนศาสนาประเภทเอกเทวนิยม มีทานคุรุนานักเทพเปนศาสดา องคที่ 1 สบื ตอมาถึง ทานคุรโุ ควนิ ทสงิ หเปนศาสดาองคท่ี 10 มีสุวรรณวิหารตังอยูที่ เมืองอัมรสิ สา แควนปญจาป ประเทศอินเดียเปนศูนยชาวซิกขทั่วโลก ตามท่ีปรากฏ ในประวตั ศิ าสตร มปี ระมขุ แหงศาสนาซกิ ขอยู 10 ทานดวยกนั คือ 1. คุรุนานัก กอนสินชีพไมสามารถพึ่งลูกชายสองคนเปนผูสืบตอทางลัทธิได ท านจึงได ป ระกาศแต งตั งศิษย ท่ีรักขอ งท านคนหนึ่งซ่ึงเป นคนขวั นเชือกขายช่ื อ ลาหินา (Lahina) เปนผูสืบตอ แตเนื่องจากศิษย ผูนีมีการเสียสละตอทานคุรุนานัก ตลอดมาทานจึงเปลย่ี นนามใหใหมวาองั คตั (Angal) แปลวา ผเู สยี สละรางกาย 2. คุรุอังคัต (พ.ศ.2081-2095) ทานผูนีเปนนักภาษาศาสตรสามารถเผยแผ คาสอนของอาจารยไปไดย่ิงกวาคุรุคนใดdทานเปนคนแรกที่แนะนาสาวกใหนับถือ ครุ ุนานักวาเปนพระเจาองคหน่งึ 3. คุรุอมาร ทาส (Amardas พ.ศ. 2095-2117) ทานเปนผูท่ีไดช่ือวาเปนคน สุภาพ ไดตังองคการลทั ธิซกิ ขขึนมา ไดชื่อวาเปนผสู งเสรมิ ลัทธิซกิ ขไวไดอยางมั่นคง 4. คุรุรามทาส (Ramsas พ.ศ. 1117-2124) ทานเปนผูสรางศูนยกลางของ ลัทธซิ กิ ขไวแหงหน่งึ ใหช่ือวา “หริมณเฑียร” คือวิหารซิกขไวในทะเลสาบเล็กๆ แหง หน่ึง อยูทางทศิ ตะวันออกเฉียงใตของแควน ลาฮอร สถานท่ีดังกลาวเรียกวา อมฤต สระdกลายเปนท่ีบาเพ็ญบุญศูนยกลางลัทธิซิกขเชนเดียวกับเมืองเมกกะศูนยกลาง ของลทั ธอิ ิสลาม ทานไดตังแบบแผนไววาผูสืบตอตาแหนงคุรุจาเปนตองเปนเชือสาย ของตนเองดงั นันทานไดแตงตงั บตุ รชายของทานเปนคุรุตอไป 5. คุรุอรชุน (Arjan พ.ศ. 2124-2149) เปนผูรวบรวมคัมภีรในลัทธิซิกขได มากกวาผูใด คัมภีรท่ีรวบรวมเก็บจากโอวาทของคุรุทังสี่ทานที่ผานมา และไดเพ่ิม โอวาทของทานเองไวในคัมภรี ดวย เปนผูออกบัญญัติวาชนชาติซิกข ตองแตงตัวดวย เคร่ืองแตงกายของศาสนานิยม ไมนิยมแตงตัวดวยวัตถุมีราคาแพง ตังกฏเกณฑเก็บ ภาษีเพอื่ บารุงศาสนา ไดชื่อวาเปนผูเผยแผลัทธิไดอยางกวางขวางสรางหริมณเฑียร ขนึ เปนสวุ รรณวหิ าร สินชพี ในการตอสกู ับกษตั รยิ กรงุ เดลี 33 ครกู ญั พัชร์ ลังกาวีระนันท์

6. คุรุหริโควินทะ (HarI Covind พ.ศ. 2149-2181) เปนคุรุคนแรกท่ีสอนให ชาวซิกขนยิ มดาบใหถือดาบเปนเคร่ืองหมายของชาวซิกขผูเครงครัดในศาสนาเปนผู สงเสริมกาลังทหารส่ังสอนใหชาวซิกขเปนผูกลาหาญตานทานศัตรู(ซ่ึงเขามาครอง ดนิ แดนอินเดียอยูในขณะนัน) เปนท่ีนาสังเกตวานับตังแตสมัยนีเปนตนไป เร่ืองของ ศาสนาซิกขเปนเรือ่ งของอาวุธเรื่องความกลาหาญเพอ่ื ตอสูศตั รผู มู ารกุ รานแผนดิน 7. คุรุหริไร (HarI Rai พ.ศ.2181-2207) ทานผูนีไดทาการรบตานทานโอรัง เซฟกษัตริยมสุ ลิมในอนิ เดยี 8. คุรุหริกิษัน (HarI Rai พ.ศ.2207-2181) ไดดาเนินการเผยแพรลัทธิดวย การตอตานกษตั ริย โอรังเซฟเชนเดียวกับคุรหุ รไิ ร 9. คุรุเทคพาหาทรู (Tegh Bahadur พ.ศ.2218-2229) เปนนกั รบทแ่ี กลวกลา สามารถตานทานการรุกรานของกษัตริยอิสลามท่ีเขามาครอบครองอินเดียและขมขู ศาสนาอ่ืนทานไดเผยแพรศาสนาซกิ ข ออกไปไดกวางขวางสดุ เขตตะวนั ตกเฉยี งเหนือ ของประเทศอินเดีย และแผมาทางใตจนถงึ เกาะลงั กา ทานไดตานทานอิสลามทุกทาง พวกมุสลิมในสมยั นนั ไมกลาสูรบกับครุ ุทานนีได 10. คุรุโควินทสิงห (Covind Singh พ.ศ.2229-2251) เปนบุตรของคุรุ เทคพาหาทูรเปนผูริเร่ิมตังบทบัญญัติใหมในศาสนาซิกข ดวยวิธีปลุกใจสานุศิษยให เปนนกั รบตอตานกษัตรยิ มสุ สิมผเู ขามาขมข่ศี าสนาอน่ื เพื่อจรรโลงชาตทิ านไดตังศูนย กลางการเผยแผ ลัทธิซิกขอยูท่ีเมืองดัคคา(Dacca)และแคว นอัสสัมในเบงกอล ตะวันออก ทานไดประกาศแกสานศุ ษิ ยทงั หลายวา ทกุ คนควรเปนนักรบตอสูกับศัตรู เพื่อจรรโลงชาติศาสนาของตน ซิกขทุกคนตองเปนคนกลาหาญ คาวา “สิงห” อัน เปนความหมายของความกลาหาญเปนชอ่ื ของบรรดาสานุศิษยแหงศาสนาซิกขมาตัง แตครังนนั และ “สิงห” ทุกคนตองรวมเปน ครอบครวั บริสุทธิ์ 34 ครกู ญั พัชร์ ลังกาวรี ะนนั ท์

2.พระคัมภีร เปนส่งิ สาคัญท่ตี องเคารพสงู สดุ จดั วางในทสี่ ูงบนแทนบูชาจะตองมีผูปรนนิบัติ พระคมั ภีรอยูเสมอคือการศกึ ษาและปฏบิ ัติตามอยางเครงครัด ชาวซกิ ขทุกคนจะตอง ถอดรองเทาและโพกศีรษะกอนเขาไปในโบสถจะตองเขาไปกราบพระคัมภีรดวย ความเคารพเสียกอนdคัมภีรของศาสนาซิกขเรียกวาdครันถ-ซาหิปหรือคันถะd(ใน ภาษาบาลี) หมายความวา คัมภีรหรือหนังสือ สวนใหญเปนคารอยกรองสันๆ รวม 1,430 หนามีคาไมนอยกวาลานคามี 5,894 โศลก โศลกเหลานีเขากับทานองสังคตี ไดถึง 30 แขนง จัดเปนเลมได 37 เลม ภาษาที่ใชในคัมภีรมีอยู 6 ภาษาหลักคือ ปญจาบี (ภาษาประจาแควนปญจาปอันเปนถิ่นเกิดของศาสนา) มุลตานี เปอรเซียน ปรากริตฮนิ ดแี ละมารถี ศาสนาซกิ ขโบราณประมาณรอยละ 90 เชนเดียวกับศาสนิก ชนในศาสน าอ่ืนท่ีไม เคยรอบรู คัมภีร ของศาสนาของต น dดังนันdคัมภี ร จึงกลา ย เปนวัตถศุ ักดสิ์ ิทธ์ผิ ูไมเก่ียวของไมสามารถแตะตองไดที่หริมณเฑียรหรือสุวรรณวิหาร ในเมืองอมฤตสรา แควนปญจาปมีสถานที่ประดิษฐานคัมภรี ถือเปนศูนยกลางศาสนา ซกิ ขในวิหารของศาสนาซิกขไมบงั คับใหรปู มเี คารพนอกจากคัมภีร ใหถือวาคัมภีรนัน คือตัวแทนของพระเจาdทุกเวลาเชาผูรักษาวิหารจะนาผาปกดินราคาแพงมาหุม หอคัมภีรเปนการเปลี่ยนผาคลุมทาความสะอาดวางคัมภีรลงบนแทนภายในมาน ซ่งึ ปกดวยเกลด็ เพชร กอนพิธีสวดในเวลาเชา ครันตกเย็น ก็นาคัมภีรไปประดิษฐาน ไวบนตง่ั ทองในหองพเิ ศษ ไมยอมให ฝนุ ละอองจับตองได คัมภรี เดมิ หรือชวงแรกของ ศาสนานีเรียกวา อาทิคันถะ รวบรวมโดยคุรุทานท่ีหาคือคุรุอรชุน (เทพ) ประมวล จากนานาโอวาทซ่งึ ครุ ทุ านแรกคอื คุรุนานัก และโอวาทของคุรุทานตอๆ มาพรอมทัง วาณี (คาภาษิต) ของภคัตคือ ปราชญผูท่ีมีความภักดีอยางย่ิงตอลัทธินีอีก 11 ทาน และมีวาณีของภคตั ผูมีอาชีพ ประจาสกลุ มารวมไวในอาทคิ นั ถะดวย ในเวลาตอมาได มกี ารรวบรวมโอวาทของครุ ุอกี ครังหนึง่ โดยครุ โุ ควินทสิงหไดรวบรวมโอวาทของ คุรุ เทคพาหาทูรรวมเปนคมั ภีรครนั ถ-ซาหิป อนั สมบูรณ 3.จริยธรรมของซิกข คาสอนตามคัมภีรครันถ-ซาหิป ซ่ึงบรรดาทานคุรุทังหลายได ประกาศไวเกีย่ วกบั จริยธรรมอนั เปน เครอื่ งยงั สังคมและประเทศชาตใิ หมั่นคงอยูได 35 ครกู ญั พชั ร์ ลงั กาวีระนันท์

ซง่ึ บรรดาทานครุ ทุ งั หลายไดประกาศไวเก่ยี วกบั จรยิ ธรรมอันเปน เคร่ืองยังสังคมและ ประเทศชาติให มั่นคงอยูไดdและยังจิตใจของผู ปฎิบัติใหบรรลุถึงความผาสุก ขนั สดุ ทายได มีนัยโดยสังเขป คอื เกยี่ วกบั พระเจา“รูปทังหลายปรากฏขึนตามคาสั่ง ของพระเจา (อกาลปุรษุ ) ส่ิงมชี วี ิตทงั หลายอบุ ตั ิมาตามคาสงั่ ของพระเจา บุตรธดิ าจะ ไดรูถึงกาเนิดบิดามารดาไดอยางไรdโลกทังหมดรอยไวดวยเสนดายdคือdคาสั่งของ พระเจา” “มนุษยทังหลายมีพระบิดาผูเดียว เราทังหลายเปนบุตรของทาน เราจึง เปนพ่นี องกัน” “พระเจาผูสรางโลก (อกาลปุรุษ) สิงสถิตอยูในสิ่งทังหลายที่พระเจา สรางและส่งิ ทังหลายกอ็ ยูใน พระเจา” “อาหลา (อัลลอห) ไดสรางแสงสวางเปนครัง แรกdสัตว ทังหลายอุบัติมาเพราะศักดิ์ของอ าหล าส่ิงท่ีอ าหล าสร างขึนเกิดมาแต แสงสวางนันเองจึงไมมีใครสูง ไมมีใครต่า ใครจะไมถามถึงวรรณะ และกาเนิดของ ทานdทานจงแสวงหาความจริงซึ่งพระเจาแสดงแกทานdวรรณะและกาเนิดของ ทานเปนไปตามจารตี ของทานเอง” “อยาใหใครถือตัวเพราะวรรณะของตน ผูซึ่งรูจัก พรหมนัน่ แหละเปนพราหมณอยาถือตัวเพราะวรรณะdความถือตัวเชนนีเปนบอเกิด แหงความชั่ว ฯลฯ “คนทังหลาย บางก็เปนอุทาสี สันยาสี โยคี พรหมจารี ยติ ฮินธุ ฯลฯdบางคนเปนอิมานซาฟจึงถือวาคนทังหลายเปนวรรณะเดียวกันหมดdกรุตา (ผูสรางโลกตามสานวนฮินดู)dและกรีมd(อาหลาตามสานวนมุสลิม)dเปนผูเดียวกัน เปนผเู ผ่ือแผประทานอภัยอยาเขาใจผดิ เพราะความสงสัยและเชือ่ ไปวามีพระเจาองค ท่ีสองdคนทังหลายจงปฏิบัติแตพระเจาองคเดียวdคนทังหลายยอมมีพระเจาเดียว ทานจงรูไวซึ่งรูปเดียว และ วิญญาณเดียว” เกี่ยวกับการสรางโลก ซิกขสอนวา แต เร่ิมแรกมีแตกาลบุรุษdตอมามีหมอกและกาซหมุนเวียนอยู่ไดลานโกฎิปdจึงมีธรณี ดวงดาว นา อากาศ ฯลฯ อุบัติขึนมา มีชีวิตอุบัติมาบนสิ่งเหลานีนับดวยจานวน 8,400,000 ชนิด มนุษยมีฐานะสูงสุด เพราะมีโอกาสบาเพ็ญธรรมเปนการฟอกดวง วญิ ญาณใหสะอาดอันเปนหนทางใหหลุดพนจากการเกิดการตาย โลกมีมากตอมาก ดวงสุรยิ ะ ดวงจันทร์มีมากตอมาก อากาศและอวกาศกวางใหญ ไพศาลอันผูมีกิเลส ยากที่จะหย่ังรูได 36 ครกู ญั พัชร์ ลงั กาวรี ะนันท์

4. ศาสนาซิกขเขาสูประเทศไทย ชาวซกิ ขสวนมากยดึ อาชีพขายอสิ ระ บางก็แยก ยายถ่นิ ฐาน ทามาหากินไปอยูตางประเทศ บางก็เดนิ ทางไปมาระหวางประเทศ ในบรรดาชาวซกิ ขดังกลาวมพี อคาชาวซิกขผูหนึ่งชอื่ นายกิรปาราม มาคาน ไดเดินทางไปประเทศอฟั กานสิ ถาน เพือ่ หาซอื สินคาแลวนา ไปจาหนายยงั บานเกดิ สนิ คาทซี่ อื ครังหนึ่งมมี าพนั ธุดีรวมอยูหน่ึงตัว เมอื่ ขายสินคาหมดแลวไดเดินทางมาแวะท่ปี ระเทศสยาม โดยไดนา มาตัวดงั กลาวมาดวยเขาไดมาอาศัยอยูในพระบรมโพธสิ มภารของ พระมหากษตั รยิ สยามไดรับความอบอุนใจเปนอยางยิ่ง ดังนันเขามี โอกาสเขาเฝาพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลาเจาอยูหัวและไดถวาย มาตวั โปรดของเขาแดพระองคดวยความสานึกในพระมหากรุณาธิคณุ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล าเจาอยูหัวเห็นในความจงรักภักดีของเขาได พระราชทานช างให เขาหนึ่งเชือกตลอดจนข าวของเคร่ืองใช ท่ีจาเป นในระหว าง เดินทางกลับอินเดียdเม่ือเดินทางกลับมาถึงอินเดียแล วเห็นว าของที่ได รับ พระราชทานมานันสูงคาอยางยิ่งควรที่จะเก็บรักษาใหสมพระเกียรติยศแหงพระเจา กรุงสยาม จงึ ไดนาชางเชือกนนั ไปถวายพระราชาแหงแควนแคชเมียรและยามูพรอม ทังเล าเรื่องท่ีตนได เดินทางไปประเทศสยามได รับความสุขความสบายจากพี่น อง ประชาชนชาวสยามซ่ึงมีพระเจาแผนดินปกครองดวยทศพิธราชธรรมเปนที่ยกยอง สรรเสริญของประชาชนdพระราชาแหงแควนแคชเมียรไดฟงเรื่องราวแลวก็มีความ พอพระทัยอยางย่ิงdทรงรับชางเชือกดังกลาวเอาไวแลวขึนระวางเปนราชาพาหนะ ตอไป พรอมกับมอบแกวแหวนเงินทองใหนายกิรปารามมาคานเปนรางวัล จากนัน เขากไ็ ดเดนิ ทางกลบั บานเกิด ณ แควนปญจาป แตครังนเี ขาไดรวบรวมเงนิ ทองพรอม ทังชักชวนเพ่ือนพ องให ไปตังถิ่นฐานอาศัยอยู ใต ร มพระบรมโพธิสมภารพระเจ า กรุงสยามตลอดไป ตอมาไมนานผูคนที่เขาไดชักชวนไวก็ทยอยกันมาเรื่อยๆ ดังนัน ศาสนาสถานแหงแรกจึงไดถูกกาหนดขึน โดยศาสนิกชนชาวซิกขไดเชาเรือนไมหน่ึง คูหาท่บี ริเวณบานหมอหลงั โรงภาพยนตรเฉลมิ กรุงปจจุบนั เมอ่ื ป 2455 มาตกแตงให เหมาะสมเพ่อื ใชประกอบศาสนากจิ 37 ครูกัญพชั ร์ ลังกาวีระนันท์

เรอ่ื งท่ี 7 การเผยแผศาสนาตางๆในโลก ในจานวนประชากรประมาณ 4,500 ลานคนมผี นู ับถือศาสนาตางๆดงั ตอไปนีคือ 1) ศาสนาครสิ ตประมาณ 2,000 ลานคน 2) ศาสนาอสิ ลามประมาณ 1,500 ลานคน 3) ศาสนาพราหมณ-ฮินดูประมาณ 900 ลานคน 4) ศาสนาพุทธประมาณ 360 ลานคน 5) ทีเ่ หลือเปนนบั ถอื ลัทธิตางๆ เทพเจาหรอื ไมนบั ถือศาสนาอะไรเลย ศาสนาท่ีสาคัญของโลกทุกศาสนาตางเกิดในทวีปเอเชียซ่ึงแหลงกาเนิดดังนี เอเชียตะวันตกเฉียงใตเปนตนกาเนิดของศาสนายูดายdศาสนาคริสตและอิสลาม ศาสนายูดายเปนศาสนาท่ีเกาแกที่สุดในเอเชียตะวันตกเฉียงใตเปนตนกาเนิดของ ศาสนาคริสตdซึ่งเปนศาสนาท่ีมีผูนับถือมากท่ีสุดในโลกขณะนีโดยไดเผยแผไปสู ยุโรปซกี โลกตะวันตกอ่นื ๆและชาวยุโรปนามาเผยแผสทู วีปเอเชยี อีกครังหนึ่งศาสนา อิสลามเกิดกอนศาสนาคริสตประมาณd600dปdเปนศาสนาท่ีสาคัญของเอเชีย ตะวนั ตกเฉียงใตปจจุบันศาสนานีไดเผยแผไปทางภาคเหนือของอินเดียดินแดนทาง ตอนเหนือของอ าวเบงกอลคาบสมุทรมลายูและประเทศอินโดนีเซียเอเชียใต เป น แหล่งกาเนิดศาสนาฮินดู ศาสนาซิกข ศาสนาพุทธ ศาสนาฮินดูมีความเชื่อมาจาก ศาสนาพราหมณซ่ึงเปนศาสนาเกาแกของโลกเมื่อประมาณd5,000dปdและเปน แนวทางการดาเนินชีวิตของชาวอินเดียจนกระท่ังถึงปจจุบันนีสวนพุทธศาสนาเกิด ก อนศาสนาคริสต d500dป และถึงแม จะเกิดในอินเดียแต ชาวอินเดียนับถือ พระพุทธศาสนานอยแตมีผูนับถือกันมากในทิเบตศรีลังกาdพมาdไทยdลาวและ กมั พชู า เอเชยี ตะวันออก เปนแหลงกาเนิดของลัทธิขงจือ เตาและชินโต ตอมาเม่ือ พระพุทธศาสนาไดเผยแผเขาสูจีนท่ีปรากฏวาหลักธรรมของศาสนาพุทธสามารถ ผสมผสานกบั คาสอนของขงจอื ไดดี สวนในญ่ีปุน นับถอื พุทธศาสนาแบบชนิ โต 38 ครกู ญั พัชร์ ลังกาวีระนนั ท์

เรือ่ งท่ี 8 กรณตี วั อยา่ งปาเลสไตน์ สาหรับความขัดแย้งในดินแดนปาเลสไตน์ เป็นกรณีที่น่าศึกษากรณี หนึ่ง เพราะส่งผลเกิดสงครามยืดเยือมานับสิบๆ ปี ย้อนหลังไปในช่วงสมัย สงครามโลกครังท่ี 1 ดินแดนนีอยู่ในความครอบครองของจักรวรรดิออตโต มันเติร์ก (ตรุกี) ถ้าปาเลสไตน์สืบเชือสายมาจากชาวปาเลสไตน์ดังเดิมผสม กับชาวอาหรับชนเผ่าคะนาคัน และชนเผ่าอ่ืนๆ ท่ีมีถ่ินที่อยู่ในบริเวณนี สืบเนื่องจากชาวอังกฤษซึ่งเป็นชาติมหาอานาจในขณะนันสนับสนุนให้เอก ราชแก่ปาเลสไตน์หลังจากเป็นพันธมิตรร่วมรบในสงครามโลกครังที่ 1 จน ชนะ แต่เมื่อสงครามโลกสินสุดลงอังกฤษออกประกาศบัลโฟร์ให้ชาว ยิวอพยพเข้าสู่ดินแดนปาเลสไตน์ในปี ค.ศ. 1922 สันนิบาตชาติยก ปาเลสไตน์ใหอ้ ยใู่ นอาณัตอิ ังกฤษ ชาวยิวอพยพเข้าสู่ดินแดนปาเลสไตน์ปีละ 16,500 คนขออธิบายความย้อนหลังว่าก่อนสงครามโลกครังท่ี 1 ยิวใน เยอรมันถูกฮิตเลอร์ฆ่าตายจานวนมากเพราะความขัดแย้งด้านเชือชาติ เนื่องจากชาวยิวเป็นชาติที่ฉลาดมีฐานะดีเป็นพ่อค้า วิศวกรต่างๆ ฮิตเลอร์ ผ้นู าเยอรมนั ประกาศว่าชาวเยอรมันเปน็ ชาติบริสุทธิ์สูงส่งและเขารังเกียจยิว มาก ชาวยิวไม่มีประเทศอยู่ หลังจากสงครามสินสุดลงอังกฤษจึงสนับสนุน ให้ยิวมีประเทศอยูแ่ ละเลอื กดนิ แดนปาเลสไตน์ ซ่งึ สอดคล้องกับชาวยิวแสดง ความเป็นเจ้าของดินแดนนีโดยยกข้อความคัมภีร์ไบเบิลว่า ในวันพระยะโฮ วาร์ได้ทาสัญญากับอัมซาฮามไว้ว่า เราได้มอบดินแผ่นดินนันไว้ให้แก่ พงศ์พันธ์ุของเจ้าตังแต่แม่นาอายบโตไปจนถึงแม่นายูเฟรติสและตังรัฐ อิสราเอลขึนในแดนปาเลสไตน์ แต่ขณะเดียวกันชาวปาเลสไตน์ไม่พอใจ เพราะพวกเขายังคงอยู่อย่างลาบาก แม้ว่าอังกฤษจะช่วยปลดแอกจากชาว เตริ ์กขณะที่ชาวยิวเปน็ ชนฉลาด เช่น ทาความเจริญให้กบั อสิ ราเอลมาก 39 ครูกัญพชั ร์ ลังกาวีระนันท์

ขณะเดียวกันอังกฤษ สหรัฐ องค์การสหประชาชาติล้วนสนับสนุนส่ง ยิวอพยพจากประเทศต่าง ๆ เพ่ือให้มีดินแดนอยู่ในปาเลสไตน์ต่อมาในราว 20 ปีหลังจากยิวชาติอิสราเอลอยู่ในปาเลสไตน์เกิดสงครามก้อนหิน 2 ครัง คือชาวปาเลสไตน์ต้องการขับไล่ชาตินีออกไปจากดินแดนเก่าแก่ของตนเอง เพราะตนเองยังอยู่กับความยากจนสินหวังเช่นเดิม การสู้ครังแรกของชาว ปาเลสไตนไ์ มม่ อี าวธุ แตใ่ ชก้ อ้ นหนิ ขวา้ งปารถถงั ของอิสราเอลซ่ึงรบชนะได้ อย่างง่ายดายและสหประชาชาติก็ประนามการกระทาของอิสราเอล อสิ ราเอลได้รับความเห็นใจจากท่ัวโลกน้อยลง ต่อมามีกลุ่มฮามาสเป็นกลุ่มท่ี ลกุ ขนึ มาตอบโต้อิสราเอลด้วยมาตรการรุนแรงเช่นกนั กลุม่ ฮามาสเป็นกระแส ฟื้นฟูอิสลามจุดประกายรัฐอิสลามและเป้าหมายคือขับไล่อิสราเอลจาก ปาเลสไตน์และกลุ่มฮามาสนียินดีปฏิบัติการระเบิดพลีชีพ และสงครามชิง ดินแดนยังเกิดต่อมาเป็นระยะๆมีการเจรจาเพ่ือสงบศึกหลายครังแต่ยังไม่ สาเรจ็ 40 ครกู ัญพัชร์ ลงั กาวรี ะนนั ท์

เร่อื งที่ 9 แนวทางป้องกนั และแก้ไขความขดั แย้งทางศาสนา ความหมายของคาว่า \"ความขดั แยง้ \" ความขดั แย้ง ตามพจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2525 หมายถึง \"การไม่ลงรอยกันการไม่ถูกกันความคิดไม่ตรงกัน ความพยายามอยากเป็น เจ้าของ และความเป็นคนตา่ งมมุ มองกนั \" ความขัดแย้งในสังคมเป็นส่ิงที่ไม่มีใครปรารถนาแต่ก็หลีกเล่ียงได้ยาก เพราะตราบใดทีม่ นุษย์มีชวี ติ อยรู่ ่วมกันในสังคมก็ย่อมมีความขัดแย้งเป็นธรรมดา ความขดั แย้งมที ังประโยชน์และโทษสาเหตุที่ทาให้เกดิ ความขดั แย้ง วธิ ปี ้องกันและแก้ไขความขัดแยง้ ทางศาสนาตอ่ การอย่รู ว่ มกันในสังคม วธิ ีปอ้ งกนั แก้ไขความขดั แย้งทางศาสนาตอ่ การอยรู่ ่วมกันมหี ลายวิธี เชน่ 1. วิธียอมกัน 2. วธิ ผี สมผสาน 3. วิธหี ลกี เล่ยี ง 4. วธิ ีการประนีประนอม 41 ครูกญั พัชร์ ลงั กาวรี ะนันท์

เร่ืองที่ 10 หลักธรรมในแต่ละศาสนาทส่ี งผลใหอย่รู ว่ มกบั ศาสนาอ่ืนไดอ้ ยา่ งมคี วามสุข ศาสนาพทุ ธมหี ลักสาคญั คือการมุ่งเน้นใหไ้ มเ่ บยี ดเบียนไมจ่ องเวรซึง่ กัน และกัน จะเห็นว่าศีลข้อ 1 ของศาสนาพุทธ คือ ปาณาติปาตา เวระมะณี สกิ ขา ปะทัง สะมาทยิ ามิ คอื งดเว้นการฆ่าเบียดเบียน ทาร้ายร่างกายคนและ สัตว์ และหลักสาคัญต่อมาอกี คอื ยดึ หลัก พรหมวหิ าร 4 คือ 1. เมตตา คือ ความปรารถนาใหผ้ ูอ้ น่ื มคี วามสขุ 2. กรณุ า คอื ความปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นจากความทุกข์ 3. มทุ ติ า คอื ความยินดีเมื่อผู้อ่ืนไดด้ ี 4. อเุ บกขา คอื การวางเฉย ไม่ลาเอยี ง ทาใจเปน็ กลางใครทาดยี ่อมไดด้ ี หลักธรรมท่สี าคญั อีกคือสังคหวตั ถุ 4 คือ หลักธรรมที่เปน็ เคร่ืองยดึ เหนี่ยว นาใจผู้อื่นไดแ้ ก่ ทาน คือ การใหค้ วามเสยี สละแบง่ ปันของตนเองให้ผู้อน่ื ปยิ วาจา คอื พดู จาด้วยถอ้ ยคาที่ไพเราะอ่อนหวานพูดด้วยความจริงใจ อัตถจรยิ า คอื การสงเคราะห์ผู้อน่ื ทาประโยชน์ใหผ้ ้อู ื่น สมานัตตาคอื ความเปน็ ผสู้ ม่าเสมอ ประพฤตเิ สมอต้นเสมอปลาย เน้น คุณธรรมสาคัญในการอยกู่ บั ผอู้ ่ืนในสงั คม ศาสนาอิสลาม ได้วางหลกั เกณฑแ์ บบแผนในการประพฤตปิ ฏิบัติในส่วนท่ีเป็น ศีลธรรมและจริยธรรมอันนามาซ่ึงความสามัคคีและความสงบสุขในการอยู่ รว่ มกันของกลมุ่ ในสงั คม และหลกั การปฏบิ ตั สิ าส์นแห่งอสิ ลามทีถ่ ูกส่งมาให้แก่ มนุษยท์ ังมวลมีจุดประสงค์ 3 ประการคอื 1. เป็นอุดมการณ์ท่ีสอนมนุษย์ให้ศรัทธาในอัลลอห์ พระผู้เป็นเจ้าเพียง พระองค์เดียวที่สมควรแก่ การเคารพบูชาและภกั ดี 2. เปน็ ธรรมนูญสาหรบั มนุษย์เพ่ือให้เกดิ ความสงบสขุ ในชีวิตสว่ นตวั และสงั คม 3. เปน็ จรยิ ธรรมอันสงู ส่งเพอื่ การครองตนอย่างมีเกยี รติ 42 ครูกญั พัชร์ ลังกาวรี ะนนั ท์

ศาสนาครสิ ต์ นอกจากบัญญัติ 10 ประการท่ีสาคัญในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นของ ศาสนาคริสต์ คือจงอย่าฆ่าคน จงอย่าล่วงประเวณีในคู่ครองของผู้อื่น จงอย่า ลกั ขโมย จงอยา่ พูดเท็จ จงอย่ามักได้ในทรัพย์ของเขา และคาสอนที่สาคัญคือ ใหร้ ักเพ่ือนบ้านเหมอื นรักตวั เอง ให้มีเมตตาต่อกัน จงรักผู้อ่ืนเหมือนพระบิดา รักเรา ให้อภยั แลว้ ทา่ นจะไดร้ บั การอภัย ล้วนแต่เป็นคุณธรรมพืนฐานที่สาคัญ ที่ทาใหก้ ารอยูร่ ่วมกันในสงั คมอย่างมีความสุข ศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู สอนใหม้ คี วามม่ันคง มีความเพียร ความพอใจในส่ิงท่ี ตนมี ให้อดทน อดกลันมีเมตตากรุณา ข่มใจไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ ไม่ลัก ขโมย ไม่โจรกรรม ทาตนให้สะอาดทังกายและใจมีธรรมะสาหรับคฤหัสถ์คือ จบการศึกษาใหก้ ลบั บา้ นชว่ ยบดิ ามารดาทางาน แตง่ งานเพื่อรักษาวงศ์ตระกูล ประกอบอาชพี โดยยึดหลักธรรมเครือ่ งดาเนนิ ชวี ติ 43 ครูกัญพัชร์ ลงั กาวรี ะนนั ท์

เร่อื งท่ี 11 วิธีฝกึ ปฏิบตั ิพัฒนาจิตในแตล่ ะศาสนา การพฒั นาคุณธรรมและจริยธรรมในศาสนาพุทธ หลกั ธรรมในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงแสดงวิธีการปฏิบัติท่ี เรียกว่า \"สมาธิ\" คาว่า สมาธิ แปลว่า จิตที่สงบตังม่ันอยู่ในเร่ืองใดเรื่องหนึ่งไม่ ฟุ้งซ่าน หรือการจัดระเบียบความคิดได้ เช่นในขณะอ่านหนังสือจิตสงบอยู่กับ หนังสือทเ่ี ราอา่ นกเ็ รียกว่าจิตมสี มาธิ หรือในขณะท่ที างานจิตสงบอยู่กับงานท่ีทา ก็เรียกว่าทางานอย่างมีสมาธิ สติ สมาธิ และปัญญา มีลักษณะเกือกูลกันและมี ความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดสติคือความตังม่ันเป็นจุดเร่ิมแล้วมีสมาธิคือจิตใจแน่ว แน่ และปญั ญาคอื การไตรต่ รองให้รอบคอบ จดุ มุ่งหมายของสมาธิ 1. เพือ่ ความตังมั่นแหง่ สติสมั ปชัญญะ 2. เพอื่ อยู่เปน็ สุขในปัจจุบนั 3. เพอื่ ไดฌ้ านทัศนะ หลักสอนที่สอดคลอ้ งของศาสนาตา่ งๆ คาสอนของศาสนาแต่ละศาสนาสอนใหเ้ ป็นคนดีตามแนวทางของตน แต่ เม่อื กลา่ วโดยรวมๆ แล้วหลกั ธรรมของทกุ ศาสนามีลกั ษณะสอดคล้องกันในเรอ่ื ง ใหญๆ่ คือการอยูร่ ว่ มกนั อย่างสันติโดยเนน้ ประเด็นเหลา่ นี คือ 1. สอนให้รจู้ กั รกั และใหอ้ ภยั กนั 2. สอนใหใ้ จกว้างยอมรบั ความเชื่อทแ่ี ตกตา่ งกัน 3. สอนให้เป็นคนดตี ามหลกั ศาสนาของตน 44 ครกู ัญพัชร์ ลังกาวีระนันท์

บทท่ี 2 วฒั นธรรมประเพณีและค่านยิ มของ ประเทศไทยและของโลก เรอ่ื งที่ 1 ความหมาย ความสาคญั ของวฒั นธรรม เรือ่ งที่ 2 ลักษณะวัฒนธรรมไทย เรอื่ งที่ 3 การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและการเลอื กรบั วัฒนธรรม เร่ืองที่ 4 ประเพณใี นโลก เรอ่ื งท่ี 5 ความสาคญั ของคา่ นิยมและค่านยิ มในสงั คมไทย เร่อื งท่ี 6 คา่ นิยมที่พึงประสงค์ของสังคมโลก เรื่องท่ี 7 การป้องกนั และแกไ้ ขปัญหาพฤติกรรมตามคา่ นยิ ม ทีไ่ มพ่ ึงประสงคข์ องสงั คมไทย ครกญั พชั ร์ ลังกาวรี ะนันท์ 45

เรือ่ งที่ 1 ความหมายความสาคญั ของวัฒนธรรม คาว า “วัฒนธรรม” เป็นคาสมาสระหว่างภาษาบาลีและภาษา สันสกฤต โดยคาวา “วัฒน” มาจาก ภาษาบาลี คาวา “วฑฺฒน” แปลวา เจริญ งอกงาม สวนคาวา “ธรรม” มาจากภาษาสันสกฤต คาวา “ธรฺม” หมายถึง ความดี วัฒนธรรม เป็นเครื่องวัดและเคร่ืองกาหนดความเจริญ หรือความเส่ือม ของสังคม และขณะเดียวกันวัฒนธรรมยังกาหนดชีวิต ความเป็นอยู่ ของคนใน สังคม ดังนัน วัฒนธรรม จึงมีอิทธิพลต่อความเป็นอยู่ของบุคคลและตอความ เจรญิ กาวหนาของประเทศชาติมาก ความสาคญั ของวฒั นธรรม โดยสรุปมีดังนี้ 1. วฒั นธรรมเป็นเครื่องสร้างระเบยี บแกสังคมมนุษย์ 2. วฒั นธรรมทาใหเกิดความสามัคคีความเป็นอันหนง่ึ อนั เดยี วกัน 3. วัฒนธรรมเป็นตัวกาหนดรปู แบบของสถาบัน 4. วฒั นธรรมเป็นเครอ่ื งมอื ชว่ ยแกปญหา และสนองความตองการของ มนุษย์ 5. วัฒนธรรมช่วยใหประเทศชาตเิ จรญิ กา้ วหนา 6. วัฒนธรรมเป็นเครอ่ื งแสดงเอกลกั ษณของชาติ เร่ืองท่ี 2 เอกลักษณของวฒั นธรรมไทย เอกลักษณหรือลักษณะประจาชาติ ในทางวิชาการ มีความหมาย 2 ประการ คือ ประการแรก หมายถึง ลักษณะท่ีเป็นอุดมคติ อีกประการหน่ึง หมายถึง ลักษณะนิสัยที่ คนทั่วไปในสังคมนันแสดงออกในสถานการณต่าง ๆ เชน ในการทางาน การพกั ผ่อนหยอนใจ การติดต่อสัมพันธกับผู้อื่น และในการ ดาเนินชีวิตทั่วไปในสังคมเป็นลักษณะนิสัยที่พบในคนส วนใหญ่ของประเทศ และส วนมากมักจะแสดงออกโดยไม่รู ตัวเพราะเป็นเร่ืองของความเคยชินท่ี ปฏิบตั ิกนั มาอยา่ งนัน 46 ครกู ญั พชั ร์ ลงั กาวรี ะนนั ท์

เรอื่ งท่ี 3 การเปลย่ี นแปลงทางวฒั นธรรมและการเลอื กรบั วัฒนธรรม การสรางวัฒนธรรมและการเปล่ียนแปลงทางวัฒนธรรม ก็ดาเนินมาอยาง ตอเนื่องในทุกยุคสมัย แตในสังคมในอดีตกอนยุคลาอาณานิคม (เร่ิมตังแตสมัย รัชกาลที่ 4 แห ง กรุงรัตนโกสินทร ) สังคมไทยแม ว าจะมีการติดต อกับ ชาวตางชาติบาง ก็ยังไมเปนที่กวางขวางนักในหมูราษฎรความเปลี่ยนแปลงทาง วัฒนธรรมที่เกิดขึนจึงดาเนินไปอยางคอยเปนคอยไป แตเมื่อถึงยุคลาอาณานิคม เริ่มการตดิ ตอกับชาวตางชาติ โดยเฉพาะชาติตะวันตกที่หลง่ั ไหลเขามาจานวนมาก ขึน ความเปลี่ยนแปลงจึงเกิดขึนเร็ว ซ่ึงสังเกตไดจากการแตงกายของขุนนาง ซึ่งเปนอยางตะวนั ตกมากขนึ ลกั ษณะอาคารบานเรือนแบบยุโรปเริ่มมีขึน เรื่องท่ี 4 ประเพณใี นโลก ประเพณี คือ วัฒนธรรมท่ีสืบทอดกันมา เปนเร่ืองที่แสดงถึงวิถีชีวิตของ คนแตละชาติตังแตอดีตจนถึงปจจุบัน เราจะเห็นความเจริญรุงเรืองของชาติ ตาง ๆ จากประเพณี ส่ิงที่มีอิทธิพลตอประเพณี คือ ศาสนา ความเชื่อของคนใน ชาติตาง ๆ ประเพณีที่เก่ียวของกับการเกิด การแตงงาน การตาย รวมทัง ประเพณีในศาสนาตาง ๆ ของแตละชาตจิ ะแตกตางกันไป เร่ืองที่ 5 ความสาคญั ของคานิยมและคานยิ มในสังคมไทย คานิยมที่เปน องคประกอบท่ีสาคัญของการจัดระเบียบสังคมมนุษย คือ คานิยมทางสังคม (Social Value) ซ่ึงหมายถึง รูปแบบความคิดที่สมาชิกสวน ใหญตัดสินและประเมินวาเปนส่ิงที่มีคุณคา มีประโยชน พึงปรารถนา ถูกตอง เหมาะสมดีงาม ควรแกการประพฤติปฏิบัติรวมกัน คานิยมทางสังคม เกิดจาก การท่ีสมาชิกในสังคมดารงชีวิตอยูรวมกัน แลกเปล่ียนประสบการณ ถายทอด ความคิดเหน็ ระหวางกนั เกดิ รปู แบบทีส่ อดคลองในแนวทางเดียวกนั 47 ครกู ัญพัชร์ ลงั กาวีระนันท์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook