องค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถ่ินกบั การจดั การทรัพยากรธรรมชาติเมื่อแยก อปท. ออกเป็นกลุ่มตามวิสัยทัศน์ 3 กลุ่ม ตามวิธีการที่ระบุไว้แล้วในบทที่ 2 พบว่า 99ทัง้ 3 กลุม่ มคี วามรูค้ วามเขา้ ใจดา้ นกฎหมายในการจดั การทรพั ยากรธรรมชาตไิ มแ่ ตกตา่ งกนัอย่างมีนัยสำ�คัญทางสถิติที่ 0.05 (ทดสอบด้วยสถิติ F) ยกเว้น ในด้านการใช้ที่สาธารณะซึ่งกลุ่ม 1 มีสูงกว่ากลุ่ม 2 และกลุ่ม 3 เพียงเล็กน้อย นอกจากนี้ เมือ่ พจิ ารณารอ้ ยละของค�ำ ตอบทีต่ อบถกู โดยรวมแลว้ พบวา่ มผี ูบ้ รหิ ารตอบคำ�ถามเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติถูกร้อยละ 50 ของผู้ตอบคำ�ถามในข้อนั้นๆ หมายความว่า ผู้บริหาร อปท. ยังไม่ได้ให้ความสำ�คัญกับการบริหารทรัพยากรธรรมชาติ จึงไม่ได้ให้ความสนใจกับอำ�นาจทางกฎหมาย ซึ่งสอดคล้องกับการศกึ ษาในอดตี (มณภี ทั ร เพชรค�ำ , 2551; แพรว ตรรี ตั น,์ 2551) และยงั ใชง้ บประมาณในดา้ นนี้ค่อนข้างน้อย (ธนกร ค�ำ มาเรว็ , 2552)5.3 อำ�นาจในการบรหิ ารจัดการ เมื่อแบ่ง อปท. ตามกลุ่มขอบเขตวิสัยทัศน์ออกเป็น 3 กลุ่ม (ดูรายละเอียดของการแบ่งกลุ่มในบทที่ 2) พบว่า กลุ่ม 1 เป็นกลุ่มที่ต้องการอำ�นาจมากขึ้นในเกือบทุกเรื่องอย่างมีนัยสำ�คัญทางสถิติที่ 0.05 เนื่องจากเป็นกลุ่มที่สนใจขับเคลื่อนทุกด้าน(ตารางที่ 5.4) อย่างไรก็ดี เพื่อให้ทราบความเร่งด่วนและความสำ�คัญของอำ�นาจที่ต้องการในแต่ละเรื่อง ในที่นี้จึงประยุกต์ใช้การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (CFA) ในการค้นหาความสำ�คัญของอำ�นาจการบริหารจัดการที่ อปท. ต้องการเพิ่มขึ้นตารางที่ 5.4 ทัศนคติเก่ียวกับอำ�นาจที่ อปท. ควรมีเพ่ิมข้ึนของ อปท. ในแต่ละกลุ่มตามความเข้าใจขอบเขตวสิ ยั ทัศนข์ องการกระจายอำ�นาจ ค่าคะแนนเต็ม = 10อำ�นาจหนา้ ทข่ี อง อปท. ท่คี วรมเี พ่ิม กลุ่ม 1 กลมุ่ 2 กล่มุ 3 F-statistic1. อำ�นาจในการนำ�ทดี่ ินสาธารณะมาจดั สรร 7.72 7.47 6.96 25.52***มีอ�ำ นาจในการน�ำ ท่ีดนิ สาธารณะมาจัดสรรให้ผไู้ รท้ ที่ ำ�กินในทอ้ งถ่ิน 7.05 6.94 6.35 9.89***มอี �ำ นาจน�ำ ที่ดนิ สาธารณะมาจัดสรรไดเ้ พ่อื กิจกรรมสาธารณะประโยชน์ 8.07 7.79 7.20 21.34***2. อำ�นาจในการดแู ลและจัดการท่ีสาธารณะ 8.22 7.87 7.17 48.40***มอี ำ�นาจในการนำ�ทด่ี ินสาธารณะมาหารายได้ให้ท้องถิ่น 8.61 8.04 7.46 36.24***มอี ำ�นาจตรวจสอบและเพิกถอนเอกสารสิทธิทไี่ ด้มาโดยมิชอบ 8.22 7.87 7.17 22.67***มีอ�ำ นาจขบั ไล่ เพิงพกั ร้านค้าในท่ีาธารณะ 8.02 7.71 6.90 31.04***3. อำ�นาจในการจดั การที่เก่ียวกับประมง 8.62 8.24 7.55 51.19***มีสว่ นรว่ มในการกำ�หนดพนื้ ทีจ่ ับและเพาะเลย้ี งสัตว์น้าํ ร่วมกบั กรมประมง 8.88 8.32 7.82 38.27***มีส่วนรว่ มในการกำ�หนดชนิดและลกั ษณะเครอ่ื งมือร่วมกับกรมประมง 9.02 8.27 7.72 53.87***มีอำ�นาจจับกมุ ผกู้ ระทำ�ผิดตามกฎหมายประมง 7.72 7.63 6.89 16.35***4. การถา่ ยโอนอำ�นาจในการจัดสรรทรพั ยากร 8.89 8.36 8.06 22.51***การถา่ ยโอนอ�ำ นาจในการจดั สรรทรพั ยากรควรเปน็ ไปตามศกั ยภาพของทอ้ งถน่ิ 8.89 8.36 8.06
โครงสรา้ ง วิสัยทศั น์ การขบั เคลอื่ นสขุ ภาวะ และการจดั การทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอ้ มในท้องถน่ิตารางที่ 5.4 ทัศนคติเก่ียวกับอำ�นาจท่ี อปท. ควรมีเพิ่มข้ึนของ อปท. ในแต่ละกลุ่มตามความเข้าใจขอบเขตวสิ ัยทัศน์ของการกระจายอำ�นาจ (ตอ่ ) คา่ คะแนนเตม็ = 10อ�ำ นาจหนา้ ทข่ี อง อปท. ทีค่ วรมเี พ่มิ กลุ่ม 1 กลุ่ม 2 กลุ่ม 3 F-statistic100 5. อำ�นาจในการจัดการทางดา้ นการคลัง 8.92 8.58 8.00 34.48***มอี ิสระทจี่ ะตราขอ้ บงั คบั ในด้านการคลัง 9.05 8.41 7.78 51.58***มอี �ำ นาจออกขอ้ บญั ญตั ิเพื่อกำ�หนดประเภทและเก็บค่าธรรมเนียม 9.45 8.87 8.31 56.97***การใช้ทรพั ยากรทอ่ งเทยี่ วมีส่วนแบ่งรายไดจ้ ากการท่องเท่ยี ว 9.39 8.83 8.41 48.90***ควรก�ำ หนดให้ภาษสี งิ่ แวดล้อมเปน็ ภาษที อ้ งถ่ิน 9.56 9.14 8.74 41.30***มสี ว่ นแบง่ รายไดจ้ ากภาษีทเ่ี ก็บจากรายได้ทุกประเภทท่ีเกดิ ข้นึ ในทอ้ งถ่ิน 9.32 8.81 8.31 74.36***หมายเหตุ: ***, ** และ * แสดงระดับนัยส�ำ คัญทางสถติ ิท่ี 0.01, 0.05 และ 0.10 ตามลำ�ดบัทีม่ า: จากการค�ำ นวณจากตารางที่ 5.5 ค่าสถิติ KMO แสดงให้เห็นว่า อำ�นาจที่ อปท. ต้องการเพิ่มทั้ง 5 ด้านมีความสัมพันธ์กันสูงจนสามารถนำ�มาสกัดเป็นองค์ประกอบ หรือจัดเป็นชุดปัจจัยที่สะท้อนทัศนคติเกี่ยวกับอำ�นาจที่ อปท. ควรมีเพิ่ม และองค์ประกอบที่สกัดได้สามารถอธิบายความแปรปรวนที่เกิดขึ้นในประเด็นอำ�นาจย่อยที่ อปท. ต้องการเพิ่มทั้ง 5 ด้าน ได้สูงกว่าร้อยละ 50 ขณะที่ค่านํ้าหนักองค์ประกอบที่ได้จากวิธี PCA สะท้อนให้เห็นความสำ�คัญของอำ�นาจในแต่ละด้านที่ อปท. แต่ละกลุ่มต้องการเพิ่ม ผลการวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่าอปท. กลุ่ม 1 ต้องการอำ�นาจการดูแลที่สาธารณะและประมงมากที่สุด ขณะที่กลุ่ม 2 คือกลุ่มท้องถิ่นนิยม และกลุ่ม 3 คือ กลุ่มบริการนิยม ต้องการอำ�นาจเพิ่มขึ้นในด้านการประมงและการคลังมากที่สุดตารางท่ี 5.5 ค่าน้ําหนกั ความสำ�คัญของทัศนคตเิ กี่ยวกบั อำ�นาจที่ อปท. ควรมีเพิม่ ของ อปท. ในแต่ละกล่มุ ตามความเข้าใจขอบเขตวิสยั ทัศนข์ องการกระจายอำ�นาจอ�ำ นาจหน้าท่ขี อง อปท. ที่ควรมเี พ่มิ กล่มุ 1 กลมุ่ 2 กลมุ่ 31. อำ�นาจในการนำ�ทีด่ ินสาธารณะมาจดั สรร 0.596 0.765 0.6802. อำ�นาจในการดแู ลและจัดการทีส่ าธารณะ 0.815 0.798 0.7993. อ�ำ นาจในการจัดการท่เี ก่ยี วกับการประมง 0.804 0.825 0.8484. การถ่ายโอนอำ�นาจในการจดั สรรทรัพยากร 0.549 0.720 0.7245. อำ�นาจในการจดั การทางด้านการคลัง 0.742 0.819 0.817 0.78 0.84 0.81 Kaiser-Meyer-Olkin (KMO) [% of variance] [50.34%] [61.87%] [60.21%]ทม่ี า: จากการค�ำ นวณ
องค์กรปกครองส่วนทอ้ งถน่ิ กับการจัดการทรพั ยากรธรรมชาติส่วนตารางที่ 5.6 แสดงค่านํ้าหนักความสำ�คัญของประเด็นอำ�นาจย่อยที่ อปท. แต่ละกลุ่ม 101ต้องการ ซึ่ง อปท. แต่ละกลุ่มต้องการอำ�นาจย่อยแตกต่างกัน เช่น อปท. กลุ่ม 3 ต้องการมีส่วนร่วมในการกำ�หนดชนิดและลักษณะเครื่องมือประมงร่วมกับกรมประมง ส่วนกลุ่ม 2ต้องการมีส่วนร่วมในการกำ�หนดทั้งพื้นที่และชนิดของเครื่องมือประมงกับกรมประมงอย่างไรก็ตาม อปท. ทั้ง 3 กลุ่ม ต้องการอำ�นาจในการจัดการด้านการคลังในเรื่องรายได้ด้านการท่องเที่ยว ส่วนอำ�นาจในการดูแลจัดการที่สาธารณะ อปท. ทั้ง 3 กลุ่ม ต้องการมีอำ�นาจตรวจสอบเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ได้มาโดยมิชอบ และต้องการอำ�นาจในการขับไล่เพิงพักร้านค้าในที่สาธารณะเหมือนกันตารางที่ 5.6 ค่านาํ้ หนกั ความสำ�คัญของทศั นคติเกยี่ วกบั อำ�นาจที่ อปท. ควรมีเพ่มิ 3 ลำ�ดบั แรกของ อปท. ในแต่ละกลุ่มตามความเขา้ ใจขอบเขตวิสัยทัศน์ของการกระจายอำ�นาจอำ�นาจหนา้ ท่ขี อง อปท. ทค่ี วรมเี พ่มิ กล่มุ 1 กลมุ่ 2 กลมุ่ 31. อำ�นาจในการจดั การเกี่ยวกบั ประมง 0.915 0.945 0.915 มีสว่ นรว่ มในการกำ�หนดพนื้ ทจ่ี ับและเพาะเล้ยี งสัตว์นํ้ารว่ มกบั กรมประมง 0.936 0.946 0.926 มสี ว่ นร่วมในการก�ำ หนดชนิดและลักษณะเครื่องมือรว่ มกบั กรมประมง 0.711 0.800 0.787 มีอำ�นาจจับกุมผู้กระทำ�ผิดตามกฎหมายประมง 0.61 0.66 0.67 [74.02%] [80.96%] [77.16%] Kaiser-Meyer-Olkin (KMO) [% of variance] 0.708 0.741 0.6732. อำ�นาจในการจัดการทางด้านการคลงั มอี สิ ระที่จะตราข้อบังคบั ในดา้ นการคลงั 0.869 0.861 0.860 ออกขอ้ บญั ญัตเิ พ่ือกำ�หนดประเภทและเก็บคา่ ธรรมเนียม การใชท้ รพั ยากรท่องเท่ียว 0.922 0.902 0.919 มีสว่ นแบง่ รายไดจ้ ากการทอ่ งเท่ยี ว 0.900 0.896 0.899 ควรก�ำ หนดใหภ้ าษสี ิ่งแวดลอ้ มเปน็ ภาษที ้องถนิ่ 0.891 0.808 0.866 มีสว่ นแบง่ รายได้จากภาษีที่เก็บจากรายไดท้ กุ ประเภททเ่ี กิดข้ึนในท้องถิน่ 0.85 0.85 0.85 [74.23%] [71.18%] [71.91%] Kaiser-Meyer-Olkin (KMO) [% of variance] 0.671 0.708 0.7413. อำ�นาจในการดแู ลและจัดการท่ีสาธารณะ 0.821 0.845 0.824 มอี �ำ นาจในการนำ�ที่ดนิ สาธารณะมาหารายได้ใหท้ อ้ งถน่ิ 0.800 0.829 0.835 มีอ�ำ นาจตรวจสอบและเพกิ ถอนเอกสารสทิ ธทิ ่ไี ด้มาโดยมิชอบ 0.62 0.64 0.66 มอี ำ�นาจขบั ไล่ เพงิ พัก รา้ นคา้ ในท่ีสาธารณะ [58.80%] [63.41%] [64.16%] Kaiser-Meyer-Olkin (KMO) [% of variance]ที่มา: จากการคำ�นวณ
โครงสร้าง วสิ ัยทัศน์ การขบั เคลอื่ นสขุ ภาวะ และการจัดการทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ้ มในท้องถนิ่ 5.4 สรปุ อภิปราย และข้อเสนอแนะ บทนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความพร้อมจากความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับ กฎหมายที่มีอยู่ของผู้บริหาร และทัศนคติเกี่ยวกับอำ�นาจที่ควรมีเพิ่ม ผลการศึกษาสรุปได้ว่า หากแบง่ อปท. ออกเปน็ 3 กลุม่ ตามแนวคดิ บรกิ ารนยิ ม การมสี ว่ นรว่ มนยิ ม และทอ้ งถิน่ นยิ ม102 และการใหค้ วามส�ำ คญั กบั วสิ ยั ทศั นห์ รอื เปา้ หมายของการกระจายอ�ำ นาจ โดยกลมุ่ ทต่ี อบสนอง ต่อแนวคิดทุกด้านมีประมาณร้อยละ 18 ของทั้งหมด ความพร้อมที่วัดในด้านความรู้ในการ จัดการทรัพยากรธรรมชาติไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำ�คัญทางสถิติที่ 0.05 เช่นเดียวกับ ความพร้อมในด้านการมีกลุ่มอนุรักษ์ภายในท้องถิ่นก็ไม่แตกต่างกันด้วย ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า อปท. กลุ่มใหญ่ๆ (ร้อยละ 28) มีความพร้อมในระดับจิตสำ�นึก ซึ่งงานศึกษาในอดีตบางชิ้น พบว่า อปท. ส่วนใหญ่ให้ความสำ�คัญกับภารกิจการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม น้อยมาก ยกเว้น ด้านการจัดการนํ้าและการการจัดการขยะ (มณีภัทร เพชรคำ�, 2551; แพรว ตรรี ัตน,์ 2551) โดยดูได้จากการจัดสรรงบประมาณที่จำ�กัด (ธนกร คำ�มาเร็ว, 2552) นอกจากนี้ อปท. ส่วนใหญ่ไม่มีความเขา้ ใจในตัวบทกฎหมายมากนกั ซึ่งสอดคล้อง กับงานศึกษาในอดีตหลายผลงานที่พบว่า การที่ อปท. ไม่สามารถจัดการบริหารทรัพยากร ธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากขาดองค์ความรู้ ประสบการณ์ บุคลากร งบประมาณ และการมีกฎหมายหลายฉบับ (สุวารี วงศ์กองแก้ว, 2540; ภูเบศร์ จักรสมศักด์ิ, 2546; วชั รี ชรู กั ษา, 2548; ชาญยทุ ธ เทพา, 2550) ขณะเดียวกัน อปท. ยังเผชิญกับปัญหาการทับซ้อน ระหว่างกฎหมายของ อปท. และกฎหมายที่กำ�กับทรัพยากรธรรมชาติของหน่วยงานราชการ สว่ นกลาง ท�ำ ให้ อปท. มบี ทบาทในการจดั การทรพั ยากรธรรมชาตไิ มม่ ากนกั (วชั รี ชรู กั ษา, 2548) อยา่ งไรกต็ าม อปท. กลุม่ ทีม่ คี ะแนนขอบเขตวสิ ยั ทศั นส์ งู ตอ้ งการอ�ำ นาจมากกวา่ อปท. กลุม่ อืน่ และ อปท. ทุกกลุ่มต้องการอำ�นาจด้านประมงมากที่สุด อำ�นาจที่ อปท. ไม่ค่อยอยากได้ คือ อำ�นาจการหารายได้เพื่อเลี้ยงตนเอง จุดอ่อนของการศึกษานี้อยู่ที่การใช้ทัศนคติ ความรู้ ความเข้าใจของผู้บริหาร ซึ่งเป็นความรู้และทัศนคติของปัจเจกแทนความรู้และบรรทัดฐานขององค์กร ซึ่งผู้สนใจ อาจนำ�จุดอ่อนนี้ไปแก้ไขในการศึกษาครั้งต่อไป ข้อเสนอในด้านนโยบายสาธารณะได้แก่ การให้ความสำ�คัญกับความรู้เกี่ยวกับ กฎหมายกับทั้งบุคลากรและผู้นำ� ให้โอกาส อปท. เข้าถึงข้อมูลที่ดินของกรมที่ดิน กรมป่าไม้ และกรมธนารักษ์ ได้โดยสะดวกโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพื่อความสะดวกในการ ตรวจสอบข้อมูล ดำ�เนินการให้มีกฎหมายด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ให้ อำ�นาจ อปท. ตามความจำ�เป็นมากขึ้น รวมทั้งให้ความรู้และกระตุ้นให้ อปท. พยายาม พัฒนาขีดความสามารถในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติโดยเฉพาะในสถานการณ์ที่กำ�ลัง เกิดการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ซึ่งจะทำ�ให้การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติในระดับ พื้นที่มีความสำ�คัญมากขึ้น
องค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถ่นิ กบั การจดั การทรพั ยากรธรรมชาติเอกสารอา้ งอิง 103กอบกุล รายะนาคร. 2555. การปฏริ ปู กฎหมายเพอื่ สง่ เสรมิ ประสทิ ธภิ าพและนวตั กรรมของการบรหิ าร จดั การทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ มขององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ . สถาบันศึกษา นโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.ชาญยุทธ เทพา. 2550. พน้ื ท่ีทางการเมอื งขององค์การบริหารสว่ นตำ�บลในการจัดการความขัดแย้ง ทรพั ยากรนาํ้ :กรณศี กึ ษาลมุ่ นาํ้ ยอ่ ยแมศ่ กึ ในต�ำ บลปางหนิ ฝนต�ำ บลแมศ่ กึ และต�ำ บลชา่ งเคงิ่ อ�ำ เภอแมแ่ จม่ จงั หวดั เชยี งใหม่. วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการใช้ที่ดินและ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.ธนกร คำ�มาเร็ว. 2552. การศกึ ษาเปรยี บเทยี บบทบาทองคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำ บลชา่ งเคง่ิ กบั ภาคประชา สังคมในการบริหารจดั การนาํ้ เพอ่ื การเกษตร ลมุ่ น้าํ แมแ่ จม่ จงั หวัดเชียงใหม.่ การค้นคว้า แบบอิสระรัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการเมืองและการปกครอง บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.แพรว ตรรี ตั น.์ 2551. การมสี ว่ นรว่ มของประชาชนในการอนรุ กั ษท์ รพั ยากรนา้ํ กรณศี กึ ษาต�ำ บลบา้ นตอ๋ ม อำ�เภอเมือง จงั พะเยา. การค้นคว้าแบบอิสระศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการ มนุษย์กับสิ่งแวดล้อม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.ภูเบศร์ จักรสมศักดิ์. 2545. การจัดทำ�ฐานขอ้ มูลทรัพยากรนํ้าของตำ�บลสถานอ�ำ เภอเชยี งของจงั หวดั เชียงราย. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด และคณะ. 2555. การศกึ ษานโยบายทรพั ยากรธรรมชาตเิ พอ่ื ขบั เคลอื่ นการกระจาย อำ�นาจสู่ อปท. และชุมชน. สถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.มณีภัทร เพชรคำ�. 2551. ความขัดแยง้ เรอ่ื งนํ้าจากการใชท้ ่ดี ินเพื่อการเกษตรอยา่ งเข้ม : กรณศี ึกษา ชมุ ชนในลมุ่ นา้ํ แมเ่ ตยี๊ ะ ต�ำ บลดอยแกว้ อ�ำ เภอจอมทอง จงั หวดั เชยี งใหม.่ วิทยานิพนธ์วิทยา ศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการใช้ที่ดินและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน บัณฑิต วิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.วัชรี ชูรักษา. 2548. รายงานวิจัยฉบับย่อ บทสรุปสำ�หรับผู้บริหารงานวิจัยในหัวข้อ “ศักยภาพขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นในประเทศไทย: ผลกระทบและการตอบสนองต่อการพัฒนาการท่องเที่ยว อย่างยั่งยืน” e-TAT Tourism Journal (3/2548 กรกฎาคม-กันยายน).สวุ ารี วงศก์ องแกว้ . 2540. ความขดั แยง้ อนั เกดิ จากการจดั การทรพั ยากรนาํ้ ของรฐั :กรณศี กึ ษาอา่ งเกบ็ นาํ้ แม่สาร อำ�เภอเมอื ง จงั หวดั ล�ำ พนู . วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการเมือง และการปกครอง บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
โครงสร้าง วสิ ัยทศั น์ การขบั เคลื่อนสุขภาวะ และการจดั การทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ มในท้องถิ่น ภาคผนวก 1. ทรัพยากรปา่ ไม้ 1.1 การแตง่ ต้งั เปน็ พนักงานเจ้าหนา้ ท่ี104 1) ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง แต่งตั้งพนักงาน เจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 ลงวันที่ 16 ธันวาคม 2547 แต่งตั้ง บุคลากรของหน่วยงานต่างๆ รวมถึงผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ได้แก่ นายกเทศมนตรี (ทต.) รองนายกเทศมนตรี นายกองค์การบริหารส่วนตำ�บล (อบต.) รองนายก อบต. ปลัด อบต. เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ มีอำ�นาจ หน้าที่ป้องกัน จับกุม ปราบปรามผู้กระทำ�ผิด และยึดของกลางที่ได้จากการกระทำ�ผิด กฎหมายป่าไม้ 2) ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง แต่งตั้งพนักงาน เจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 และพระราชบัญญัติสงวน และคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ลงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2547 แต่งตั้งบุคลากรของ หน่วยงานต่างๆ รวมถึงผู้บริหาร อปท. ได้แก่ นายกเทศมนตรี ปลัดเทศบาล นายก อบต. ปลัด อบต. เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ และพระราช บัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่ามีอำ�นาจหน้าที่ในการจับกุมและปราบปรามผู้กระทำ�ผิด ตามกฎหมายทั้งสองฉบับ 1.2 อ�ำ นาจในการจบั กมุ /ร้ือถอน ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง แต่งตั้งพนักงาน เจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 ลงวันที่ 16 ธันวาคม 2547 แต่งตั้ง บคุ ลากรของหนว่ ยงานตา่ งๆ รวมถงึ ผูบ้ รหิ าร อปท. ไดแ้ ก่ นายกเทศมนตรี รองนายกเทศมนตรี นายก อบต. รองนายก อบต. ปลัด อบต. เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พระราชบัญญัติ ป่าสงวนแห่งชาติมีอำ�นาจหน้าที่ป้องกัน จับกุม ปราบปรามผู้กระทำ�ผิด และยึดของกลาง ที่ได้จากการกระทำ�ผิดกฎหมายป่าสงวน 1.3 การให้ความเห็นชอบโครงการในพืน้ ท่ี 1) ระเบียบกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ว่าด้วยการดำ�เนินการ เกี่ยวกับคำ�ขอประทานบัตร การออกประทานบัตร การต่ออายุประทานบัตร และการโอน ประทานบัตร พ.ศ. 2547 กำ�หนดให้มีขั้นตอนที่ต้องขอความเห็นชอบจาก อบต. หรือ อปท. อื่นที่พื้นที่คำ�ขอประทานบัตรตั้งอยู่ 2) ระเบยี บกรมปา่ ไม้ วา่ ดว้ ยการอนญุ าตใหเ้ ขา้ ท�ำ ประโยชนห์ รอื อยูอ่ าศยั ภายใน เขตป่าสงวนแห่งชาติ ลงวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2548 กำ�หนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนการ ดำ�เนินการเกี่ยวกับการขออนุญาตเข้าทำ�ประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตามมาตรา 16 แห่ง พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่ป่าไม้ซึ่งจะอนุญาตให้บุคคล
องคก์ รปกครองสว่ นท้องถน่ิ กบั การจดั การทรัพยากรธรรมชาติเข้าอยู่อาศัยหรือทำ�ประโยชน์ได้จะต้อง “ไม่มีปัญหากับราษฎรในพื้นที่และบริเวณใกล้เคียง 105และต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาตำ�บลหรือ อบต. ท้องที่ที่ป่านั้นตั้งอยู่” 3) ระเบียบกรมป่าไม้ว่าด้วยการอนุญาตให้ทำ�การปลูกสร้างสวนป่าหรือปลูกไม้ยืนต้นภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2548 ลงวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2548 กำ�หนดหลกั เกณฑ์และขั้นตอนการอนุญาตให้บคุ คลหรอื นิตบิ คุ คล รวมทั้งสว่ นราชการ เข้าปลกู สร้างสวนป่าหรือไม้ยืนต้นภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยพื้นที่ดังกล่าวต้องเป็นพื้นที่“ป่าเสื่อมโทรม” และต้องเป็นพื้นที่ที่ “ไม่มีปัญหากับราษฎรในพื้นที่และบริเวณใกล้เคียงและต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาตำ�บลหรือองค์การบริหารส่วนตำ�บลท้องที่ที่ป่านั้นตั้งอยู่”1.4 การได้รับสว่ นแบง่ จากภาษี/คา่ ธรรมเนียม พระราชบญั ญตั สิ ภาต�ำ บลและองคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำ บล พ.ศ. 2537 มาตรา 77-79อบต. มีรายได้ หรือได้รับส่วนแบ่งจากเงินที่หน่วยงานอื่นเรียกเก็บจากการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นที่ของ อบต. นั้น ตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่กำ�หนด2. ทสี่ าธารณะ2.1 การดแู ล บำ�รงุ รกั ษา/ควบคุม 1) พระราชบัญญัติกำ�หนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำ�นาจฯ พ.ศ. 2542มาตรา 16 (27) กำ�หนดให้เทศบาลเมืองพัทยาและ อบต. มีอำ�นาจหน้าที่ในการดูแลรักษาที่สาธารณะ 2) พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช 2457 มาตรา 122 • นายอ�ำ เภอ และ อปท. มหี นา้ ทีใ่ นการดแู ลรกั ษาสาธารณสมบตั ขิ องแผน่ ดนิที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน • นายอำ�เภอ และ อปท. ร่วมกันดำ�เนินการในกรณีที่มีข้อพิพาทหรือคดีเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าว หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเป็นผู้ดำ�เนินการก็ได้ • อปท. รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการคุ้มครองดูแลที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดำ�เนินการกับข้อพิพาทในที่ดินดังกล่าว 3) ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำ�หรับพลเมืองใช้ร่วมกัน พ.ศ. 2553 • นายอ�ำ เภอ รว่ มกบั อปท. ดแู ลรกั ษาและคุม้ ครองปอ้ งกนั ทีด่ นิ สาธารณสมบตั ิของแผ่นดินสำ�หรับพลเมืองใช้ร่วมกัน • อปท. ดำ�เนินการระงับข้อพิพาทหรือร้องทุกข์กล่าวโทษภายใน 30 วันนับแต่รู้เหตุ • นายอ�ำ เภอ รว่ มกบั อปท. ด�ำ เนนิ การจดั ท�ำ ทะเบยี นทีด่ นิ สาธารณประโยชน์นายอำ�เภอ ร่วมกับ อปท. ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่ดินสาธารณประโยชน์โดยสำ�นักงานที่ดินจังหวัดให้การสนับสนุน
โครงสรา้ ง วิสยั ทัศน์ การขบั เคลอื่ นสุขภาวะ และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อมในท้องถ่ิน 4) คำ�สั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 12/2543 ลงวันที่ 18 มกราคม 2543 • มอบหมายให้ กรุงเทพมหานคร จังหวัด เมืองพัทยา เทศบาล และ อบต. ดูแลรักษาที่ดินสาธารณะตามประมวลกฎหมายที่ดินภายในเขตพื้นที่ของตน 5) พระราชบัญญัติเดินเรือในน่านนํ้าไทย พระพุทธศักราช 2456 มาตรา 117106 • กรมเจ้าท่ามอบอำ�นาจเจ้าท่าให้ อปท. ในการควบคุมป้องกันมิให้บุคคลใด ปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งอื่นใดล่วงลํ้าเข้าไปเหนือนํ้า ในนํ้า และใต้นํ้าของแม่นํ้า ลำ�คลอง บึง อ่างเก็บนํ้า ทะเลสาบ อันเป็นทางสัญจรของประชาชนหรือที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือทะเลภายในน่านนํ้าไทย เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากกรมเจ้าท่า ซึ่งรวมถึง “ที่ชายตลิ่ง” “ที่นํ้าท่วมถึง” และ “ที่ชายหาด” 2.2 การอนญุ าตใหป้ ระชาชนใชป้ ระโยชนใ์ นท่ดี นิ ของรฐั ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการอนุญาตให้ประชาชนใช้ประโยชน์ใน ที่ดินของรัฐ พ.ศ. 2547 ลงวันที่ 6 กันยายน 2547 กระทรวงมหาดไทยได้เห็นชอบให้ กรมที่ดินนำ�ที่ดินสาธารณประโยชน์ประเภทที่ทำ�เลเลี้ยงสัตว์และที่ป่าช้าสาธารณประโยชน์ ที่ประชาชนเลิกใช้ประโยชน์ร่วมกัน และมีการออกหนังสือสำ�คัญสำ�หรับที่หลวงแล้ว ให้นำ�ไปดำ�เนินการตามนโยบายการแก้ไขปัญหาความยากจน โดยกำ�หนดให้ผู้ว่าราชการ จังหวัดเป็นประธานกรรมการ และมีผู้แทนของ อปท. ซึ่งที่ดินนั้นตั้งอยู่เป็นคณะกรรมการ ร่วมเพื่อพิจารณาอนุญาตให้ประชาชนเข้าไปใช้ประโยชน์ 2.3 การให้ความเห็นชอบโครงการในพน้ื ที่ ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการเปลี่ยนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติ ของแผ่นดินสำ�หรับพลเมืองใช้ร่วมกันจากการใช้เพื่อสาธารณประโยชน์อย่างหนึ่ง เป็นอีกอย่างหนึ่ง พ.ศ. 2543 แนวทางปฏิบัติในการเปลี่ยนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติ ของแผ่นดินสำ�หรับพลเมือง ใช้ร่วมกัน จากการใช้เพื่อสาธารณประโยชน์อย่างหนึ่ง เป็นอีกอย่างหนึ่ง ข้อ 5 (2) เมื่อจังหวัดได้รับคำ�ขอ ให้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ และสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่ดิน และพิจารณาความเหมาะสมพร้อมทั้งผลกระทบ ในด้านต่างๆ พร้อมกับขอทราบความเห็นไปยังส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสิ่งแวดล้อม ผังเมือง การจราจร รวมทั้งขอทราบความเห็นไปยัง อปท. อำ�เภอ กิ่งอำ�เภอ ฯลฯ 2.4 อำ�นาจ/ภารกิจในการเก็บภาษี พระราชบญั ญตั กิ ารเดนิ เรอื ในนา่ นนํา้ ไทย พระพทุ ธศกั ราช 2456 มาตรา 117 ทวิ บัญญัติให้ผู้รับอนุญาตปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งอื่นใดล่วงลํ้าเข้าไปเหนือนํ้า ในนํ้า และใต้นํ้า ของแมน่ ํา้ ล�ำ คลอง บงึ อา่ งเกบ็ นํา้ ทะเลสาบ อนั เปน็ ทางสญั จรของประชาชน หรอื ทีป่ ระชาชน ใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือทะเลภายในน่านนํ้าไทย หรือบนชายหาดของทะเลดังกล่าว ตอ้ งเสยี คา่ ตอบแทนรายปตี ามวธิ กี ารและอตั ราทีก่ �ำ หนดในกฎกระทรวง คา่ ตอบแทนทีเ่ กบ็ ได้ ให้ตกเป็นของกรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา เทศบาล อบจ. หรือ อบต. อื่นซึ่งมีกฎหมาย จัดตั้งขึ้น แล้วแต่กรณีที่อาคารหรือสิ่งอื่นใดนั้นอยู่ในเขต
องคก์ รปกครองสว่ นท้องถนิ่ กับการจัดการทรพั ยากรธรรมชาติ3. การขดุ ดนิ และถมดิน 1073.1 การแตง่ ตงั้ เปน็ พนักงานเจา้ หน้าที่ 1) นายกเทศมนตรี นายก อบต. ผวู้ า่ ราชการกรงุ เทพมหานคร และนายกเมอื งพทั ยาเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามมาตรา 4 ในพระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ. 25433.2 อ�ำ นาจในการออกข้อบญั ญัติ/กฎหมายรอง 1) พระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ. 2543 • มาตรา 7 อปท. ถือปฏิบัติตามกฎกระทรวงที่รัฐมนตรีฯ ออกตามมาตรา 6และ อปท. มีอำ�นาจออกข้อบัญญัติท้องถิ่นกำ�หนดเรื่องใดตามมาตรา 6 ได้ในกรณีที่ยังไม่มีกฎกระทรวงกำ�หนดในเรื่องนั้น แต่ถ้าต่อมามีการออกกฎกระทรวงกำ�หนดเรื่องดังกล่าวให้ข้อกำ�หนดของข้อบัญญัติท้องถิ่นในส่วนที่ขัดหรือแย้งกับกฎกระทรวงเป็นอันยกเลิกและการยกเลิกข้อบัญญัติท้องถิ่นไม่มีผลต่อการดำ�เนินการที่ได้กระทำ�ไปแล้วโดยถูกต้องตามข้อบัญญัติท้องถิ่น • มาตรา 8 อปท. มีอำ�นาจออกข้อบัญญัติท้องถิ่นในกรณีที่มีการออกกฎกระทรวงกำ�หนดตามมาตรา 6 แล้วได้ในกรณีต่อไปนี้ 1) ออกข้อบัญญัติท้องถิ่นกำ�หนดรายละเอียดเพิ่มเติมจากที่กำ�หนดไว้ในกฎกระทรวง โดยไม่ขัดหรือแย้งกับกฎกระทรวงดังกล่าว 2) ออกข้อบัญญัติท้องถิ่นกำ�หนดในเรื่องที่ขัดหรือแย้งกับกฎกระทรวง เนื่องจากมีความจำ�เป็นหรือเหตุผลพิเศษเฉพาะท้องถิ่น แต่ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการขุดดินและถมดิน และได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรีฯ3.3 อ�ำ นาจในการระงบั กจิ กรรม เนื่องจากยังไม่มีกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา 6 ของพระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ. 2543 กำ�หนดในเรื่องนี้ อปท. สามารถใช้อำ�นาจตามมาตรา 7 วรรค 2กำ�หนดหลักเกณฑ์การประกันความเสียหายที่เกิดจากการขุดดินและถมดิน รวมทั้งมีอำ�นาจออกคำ�สั่งให้ผู้รับจ้างขุดดินหรือถมดินหยุดการขุดดินหรือถมดินไว้เป็นการชั่วคราวในกรณีที่เห็นว่าอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายสูงกว่าหลักประกันที่ได้วางไว้และให้วางหลักประกันเพิ่มเติมก่อนที่จะดำ�เนินการต่อไปได้3.4 อำ�นาจในการให้วางเงนิ ประกัน เนื่องจากยังไม่มีกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา 6 ของพระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ. 2543 กำ�หนดในเรื่องนี้ อปท. สามารถใช้อำ�นาจตามมาตรา 7 วรรค 2กำ�หนดหลักเกณฑ์การประกันความเสียหายที่เกิดจากการขุดดินและถมดินได้ ตัวอย่างเช่นอบต. บ้านเกาะ จังหวัดนครราชสีมา ได้ออกข้อบัญญัติองค์การบริหารส่วนตำ�บลบ้านเกาะเรื่อง หลักเกณฑ์การประกันความเสียหายที่เกิดจากการขุดดินและถมดิน พ.ศ. 2552ซึ่งกำ�หนดให้ผู้รับจ้างขุดดินหรือถมดิน หรือเจ้าของที่ดินซึ่งใช้เส้นทางอันเป็นสิ่งก่อสร้างที่อยู่ในเขต อบต. บ้านเกาะ (เช่น ถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก ถนนลาดยาง ถนนหินคลุกถนนดินลูกรัง ฯลฯ) มีหน้าที่ยื่นคำ�ขอเพื่อวางหลักประกันเงินสดหรือหลักทรัพย์อื่น
โครงสรา้ ง วิสยั ทศั น์ การขบั เคลื่อนสขุ ภาวะ และการจัดการทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมในท้องถิน่ เพื่อประกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินดังกล่าวในเขต อบต. รวมทั้งมีอำ�นาจ ออกคำ�สั่งให้ผู้รับจ้างขุดดินหรือถมดินหยุดการขุดดินหรือถมดินไว้เป็นการชั่วคราวในกรณี ที่เห็นว่าอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายสูงกว่าหลักประกันที่ได้วางไว้และให้วางหลักประกัน เพิ่มเติมก่อนที่จะดำ�เนินการต่อไปได้108 3.5 อำ�นาจ/ภารกิจในการเก็บภาษี 1) ประมวลกฎหมายทีด่ นิ พ.ศ. 2497 มาตรา 9/1 ใหผ้ ูไ้ ดร้ บั อนญุ าตตามมาตรา 9 เสียค่าตอบแทนเป็นรายปีให้แก่ เทศบาล อบต. กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา หรือ อปท. อื่นที่มีกฎหมายจัดตั้งที่ที่ดินที่ได้รับอนุญาตนั้นตั้งอยู่ ยกเว้น อบจ. ตามวิธีการและอัตราที่ กำ�หนดในข้อบัญญัติท้องถิ่น แต่ต้องไม่เกินอัตราตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายนี้ ให้ อปท. ที่ได้รับค่าตอบแทนแบ่งค่าตอบแทนดังกล่าวให้แก่ อบจ. ในอัตราร้อยละ 40 ส่วนที่เหลือ ให้ตกเป็นรายได้ของ อปท. นั้น ในกรณีที่ อปท. ไม่ได้ตั้งอยู่ในเขต อบจ. ให้ค่าตอบแทน ตกเป็นของ อปท. นั้นทั้งหมด 2) พระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 17 มาตรา 18 และมาตรา 26 ผู้ที่ประสงค์จะขุดดินหรือถมดินมีหน้าที่ต้องแจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น (นายกเทศมนตรี นายก อบต. ผู้ว่า กรุงเทพมหานคร และนายกเมืองพัทยา) และจะต้อง เสียค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายตามที่กำ�หนดในกฎกระทรวง โดยให้ค่าธรรมเนียมและ ค่าใช้จ่ายที่เก็บได้เป็นรายได้ของ อปท. ที่มีการขุดดินหรือถมดินนั้น 3.6 การได้รบั สว่ นแบง่ จากภาษี/คา่ ธรรมเนียม 1) พระราชบญั ญตั กิ ารขดุ ดนิ และการถมดนิ พ.ศ. 2543 มาตรา 18 คา่ ธรรมเนยี ม และค่าใช้จ่ายที่เก็บได้ตามมาตรา 17 วรรค 5 ให้เป็นรายได้ของ อบต. แห่งท้องที่ที่มีการ ขุดดินนั้น 2) พระราชบญั ญตั สิ ภาต�ำ บลและองคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำ บล พ.ศ. 2537 มาตรา 77 รายได้จากค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยนํ้าบาดาล เงินอากร ประทานบัตร ใบอนุญาต และอาชญาบตั รตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการประมง คา่ ภาคหลวงและคา่ ธรรมเนยี มตามกฎหมาย ว่าด้วยป่าไม้ และค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน ที่เก็บใน อบต. ใด ให้เป็นรายได้ของ อบต. นั้น 4. ทรพั ยากรประมง 4.1 การไดร้ ับส่วนแบ่งจากภาษี/คา่ ธรรมเนยี ม พระราชบัญญัติสภาตำ�บลและองค์การบริหารส่วนตำ�บล พ.ศ. 2537 มาตรา 77 รายได้จากค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยนํ้าบาดาล เงินอากร ประทานบัตร ใบอนุญาต และอาชญาบตั รตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการประมง คา่ ภาคหลวง และคา่ ธรรมเนยี มตามกฎหมาย ว่าด้วยป่าไม้ และค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน ที่เก็บใน อบต. ใด ให้เป็นรายได้ของ อบต. นั้น
องคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถิน่ กับการจดั การทรัพยากรธรรมชาติ5. ทรพั ยากรแร่ 1095.1 การดูแล บำ�รุงรกั ษา/ควบคุม ตามคำ�สั่งกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ 127/2547 เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 ลงวันที่ 17 พฤษภาคม 2547 พนักงานเจ้าหน้าที่ตามคำ�สั่งนี้มีอำ�นาจและหน้าที่ปฏิบัติตามมาตรา 70 แห่ง พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510เฉพาะในเขตท้องที่ซึ่งอยู่ในอำ�นาจหน้าที่ของตน โดยให้มีหน้าที่เฉพาะการตรวจสอบการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมในการทำ�เหมืองแร่ และการให้ความเห็น คำ�แนะนำ� และการรายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาการร้องเรียนจากการทำ�เหมืองแร่5.2 การแตง่ ตั้งเปน็ พนักงานเจา้ หน้าที่ พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 ตามคำ�สั่งกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ 127/2547เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 ลงวันที่ 17 พฤษภาคม2547 แต่งตั้งให้ผู้ดำ�รงตำ�แหน่งต่อไปนี้เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติแร่ คือ1) เทศบาล ได้แก่ นายกเทศมนตรี ปลัดเทศบาล ผู้อำ�นวยการสำ�นักหรือกองการสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม 2) อบต. ได้แก่ นายก อบต. ปลัด อบต. ผู้อำ�นวยการกองหรือหัวหน้าส่วนสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม5.3 การให้ความเห็นชอบโครงการในพน้ื ท่ี ระเบียบกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ว่าด้วยการดำ�เนินการเกี่ยวกับค�ำ ขอประทานบตั ร การออกประทานบตั ร การตอ่ อายปุ ระทานบตั ร และการโอนประทานบตั รพ.ศ. 2547 กำ�หนดให้ขั้นตอนการดำ�เนินการต่างๆ กับคำ�ขอประทานบัตร ประกอบด้วยขั้นตอนที่ต้องทำ�หนังสือขอความเห็นชอบจาก อบต. หรือ เทศบาล ที่พื้นที่คำ�ขอประทานบัตรนั้นตั้งอยู่5.4 การได้รบั สว่ นแบ่งจากภาษี/คา่ ธรรมเนียม 1) พระราชบญั ญตั สิ ภาต�ำ บลและองคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำ บล พ.ศ. 2537 มาตรา 77รายได้จากค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยนํ้าบาดาล เงินอากร ประทานบัตร ใบอนุญาตและอาชญาบตั รตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการประมง คา่ ภาคหลวงและคา่ ธรรมเนยี มตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ แร่ และค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดินที่เก็บใน อบต. ใด ให้เป็นรายได้ของ อบต. นั้น 2) พระราชบัญญัติกำ�หนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำ�นาจให้แก่องค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถิน่ พ.ศ. 2542 มาตรา 23 (12) ประกอบกบั มาตรา 24 (8) คา่ ภาคหลวงแร่ตามกฎหมายว่าด้วยแร่หลังจากหักส่งเป็นรายได้ของรัฐในอัตราร้อยละ 40 และให้จัดสรรให้ อปท. ตามสัดส่วนที่ได้กำ�หนดไว้
โครงสรา้ ง วิสัยทัศน์ การขบั เคลอื่ นสุขภาวะ และการจัดการทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอ้ มในทอ้ งถนิ่ 6. ทรพั ยากรน้าํ 6.1 การดูแล บำ�รงุ รักษา/ควบคุม คำ�สั่งกรมชลประทาน ที่ ข.1056/2546 เรื่อง แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ขององค์การ บริหารส่วนตำ�บลและเจ้าหน้าที่ของเทศบาลเป็นเจ้าพนักงาน ลงวันที่ 5 กันยายน 2546110 เจ้าพนักงานมีหน้าที่ดูแลรักษาทางนํ้าชลประทานประเภท 2 และผิวจราจรทางลำ�เลียงย่อย บนคันคลองชลประทานภายในเขตพื้นที่ของ อปท. 6.2 การแตง่ ตั้งเป็นพนกั งานเจ้าหนา้ ที่ 1) คำ�สั่งกรมชลประทาน ที่ ข.1056/2546 เรื่อง แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ขององค์การ บริหารส่วนตำ�บลและเจ้าหน้าที่ของเทศบาลเป็นเจ้าพนักงาน ลงวันที่ 5 กันยายน 2546 แต่งตั้ง 1) ประธานสภา อบต. 2) นายก อบต. 3) ปลัด อบต. 4) ประธานสภาเทศบาล 5) นายกเทศมนตรี 6) ปลัดเทศบาลมีหน้าที่ดูแลรักษาทางนํ้าชลประทานประเภท 2 และ ผิวจราจรทางลำ�เลียงย่อยบนคันคลองชลประทานภายในเขตพื้นที่ของ อปท. 2) คำ�สั่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ 298/2553 เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติทรัพยากรนํ้าบาดาล พ.ศ. 2520 ลงวันที่ 7 ตุลาคม 2553 แต่งตั้งให้ผู้บริหารท้องถิ่นและพนักงานส่วนท้องถิ่นของเทศบาล และ อบต. ดังต่อไปนี้เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินํ้าบาดาล พ.ศ. 2520 เฉพาะในเขต เทศบาลหรือ อบต. ที่ตนมีอำ�นาจหน้าที่รับผิดชอบ • ขา้ ราชการการเมอื งสว่ นท้องถิน่ ได้แก่ นายกเทศมนตรี นายก อบต. ในเขต เทศบาลหรือ อบต. ซึ่งตั้งอยู่ในเขตนํ้าบาดาลจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดขอนแก่น และจังหวัด นครราชสีมา • ขา้ ราชการพลเรอื นสว่ นทอ้ งถิน่ ไดแ้ ก่ ปลดั เทศบาล ปลดั อบต. ผูอ้ �ำ นวยการ กองชา่ ง หวั หนา้ สว่ นโยธา นติ กิ ร วศิ วกรโยธา นายชา่ งโยธา ชา่ งโยธา เจา้ พนกั งานการประปา และเจ้าหน้าที่การประปา ซึ่งดำ�รงตำ�แหน่งตั้งแต่ระดับ 3 ขึ้นไป หรือประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการขึ้นไป หรือประเภททั่วไประดับชำ�นาญงานขึ้นไป ซึ่งสังกัดเทศบาล หรือ อบต. ที่ตั้งอยู่ในเขตนํ้าบาดาลจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดขอนแก่น และจังหวัดนครราชสีมา 3) คำ�สั่งกรมทรัพยากรนํ้าบาดาลที่ 103/2554 เรื่อง แต่งตั้งพนักงานนํ้าบาดาล ประจำ�ท้องที่ (องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) ลงวันที่ 20 เมษายน 2554 ซึ่งแต่งตั้งผู้ดำ�รง ตำ�แหน่งต่อไปนี้ในเทศบาล และ อบต. เป็นพนักงานนํ้าบาดาลประจำ�ท้องที่ คือ • แตง่ ตัง้ นายกเทศมนตรี ในเขตทอ้ งทีจ่ งั หวดั เชยี งใหม่ จงั หวดั ขอนแกน่ และ จังหวัดนครราชสีมา เป็นพนักงานนํ้าบาดาลประจำ�ท้องที่ในเขตนํ้าบาดาลจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดขอนแก่น และจังหวัดนครราชสีมา ตามลำ�ดับ มีอำ�นาจหน้าที่เฉพาะในเขตเทศบาล ที่ตนรับผิดชอบ • แต่งตั้งนายก อบต. ในเขตท้องที่จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดขอนแก่น และ จังหวัดนครราชสีมา เป็นพนักงานนํ้าบาดาลประจำ�ท้องที่ในเขตนํ้าบาดาลจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดขอนแก่น และจังหวัดนครราชสีมา ตามลำ�ดับ มีอำ�นาจหน้าที่เฉพาะในเขต อบต. ที่ตนรับผิดชอบ
องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถ่ินกับการจดั การทรัพยากรธรรมชาติ6.3 อ�ำ นาจในการให้ใช้ประโยชน์ 111 ค�ำ สงั่ กรมทรพั ยากรนาํ้ บาดาลที่ 104/2554 เรือ่ ง มอบหมายใหเ้ ปน็ ผอู้ อกใบอนญุ าตแทนอธบิ ดกี รมทรพั ยากรนํา้ บาดาล (องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถิน่ ) ลงวนั ที่ 20 เมษายน 2554มอบหมายใหน้ ายกเทศมนตรี และนายก อบต. ในเขตนํา้ บาดาลจงั หวดั เชยี งใหม่ เขตนํา้ บาดาลจงั หวดั ขอนแกน่ และเขตนํา้ บาดาลจงั หวดั นครราชสมี า ซึง่ เปน็ จงั หวดั น�ำ รอ่ ง มอี �ำ นาจหนา้ ที่เฉพาะในเขตเทศบาลและเขต อบต. ที่ตนเองรับผิดชอบ 1) ออกใบอนุญาตเจาะนํ้าบาดาล ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของท่อกรุบ่อตอนบนสุดน้อยกว่า 100 มิลลิเมตร และใบอนุญาตใช้นํ้าบาดาลที่มีปริมาณนํ้าไม่เกินกว่าวันละ 10 ลูกบาศก์เมตร 2) โอนใบอนุญาตเจาะนํ้าบาดาล ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของท่อกรุบ่อตอนบนสุดน้อยกว่า 100 มิลลิเมตร และใบอนุญาตใช้นํ้าบาดาลที่มีปริมาณนํ้าไม่เกินกว่าวันละ 10 ลูกบาศก์เมตร 3) ต่ออายุใบอนุญาตเจาะนํ้าบาดาล ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของท่อกรุบ่อตอนบนสุดน้อยกว่า 100 มิลลิเมตร และใบอนุญาตใช้นํ้าบาดาลที่มีปริมาณนํ้าไม่เกินกว่าวันละ 10 ลูกบาศก์เมตร6.4 อำ�นาจในการเพิกถอนสิทธ/ิ ใบอนญุ าต คำ�สั่งกรมทรัพยากรนํ้าบาดาลที่ 105/2554 เรื่อง มอบอำ�นาจให้ปฏิบัติราชการแทนอธบิ ดกี รมทรพั ยากรนํา้ บาดาล (องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถิน่ ) ลงวนั ที่ 20 เมษายน 2554มอบอ�ำ นาจใหน้ ายกเทศมนตรี และนายก อบต. ในเขตนา้ํ บาดาลจงั หวดั เชยี งใหม่ เขตนา้ํ บาดาลจังหวัดขอนแก่น และเขตนํ้าบาดาลจังหวัดนครราชสีมา มีอำ�นาจปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมทรัพยากรนํ้าบาดาลดังนี้ 1) แก้ไขหรือเพิกถอนใบอนุญาตตามมาตรา 33 แห่งพระราชบัญญัตินํ้าบาดาลพ.ศ. 2520 เฉพาะใบอนุญาตเจาะนํ้าบาดาล และใบอนุญาตใช้นํ้าบาดาล ที่นายกเทศมนตรีและนายก อบต. ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ออกใบอนุญาต ส่วนใบอนุญาตที่ไม่ได้รับมอบอำ�นาจ ให้เสนอความเห็นได้ โดยแจ้งเป็นหนังสือต่ออธิบดีกรมทรัพยากรนํ้าบาดาลเพื่อพิจารณาต่อไป 2) สั่งและกำ�หนดวิธีการให้ผู้รับใบอนุญาตแก้ไขเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกดิ ขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมในเขตนํ้าบาดาลตามทีเ่ หน็ สมควร ตามมาตรา 34 แหง่ พระราชบัญญตั ินํ้าบาดาล พ.ศ. 2520 เฉพาะใบอนุญาตเจาะนํ้าบาดาล และใบอนุญาตใช้นํ้าบาดาลที่ได้รับมอบหมายใหเ้ ปน็ ผูอ้ อกใบอนญุ าต สว่ นใบอนญุ าตทีไ่ มไ่ ดร้ บั มอบอ�ำ นาจ ใหเ้ สนอความเหน็ ได้โดยแจ้งเป็นหนังสือต่ออธิบดีกรมทรัพยากรนํ้าบาดาลเพื่อพิจารณาต่อไป 3) เพกิ ถอนใบอนญุ าตตามมาตรา 35 แหง่ พระราชบญั ญตั นิ ํา้ บาดาล พ.ศ. 2520เฉพาะใบอนุญาตเจาะนํ้าบาดาล และใบอนุญาตใช้นํ้าบาดาลที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ออกใบอนุญาต ส่วนใบอนุญาตที่ไม่ได้รับมอบอำ�นาจให้เสนอความเห็นได้ โดยแจ้งเป็นหนังสือต่ออธิบดีกรมทรัพยากรนํ้าบาดาลเพื่อพิจารณาต่อไป
โครงสร้าง วิสยั ทศั น์ การขบั เคล่อื นสขุ ภาวะ และการจัดการทรพั ยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ้ มในท้องถิ่น 7. คู คลอง ทางนํา้ สาธารณะ 7.1 การดูแล บำ�รุงรกั ษา/ควบคุม 1) ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยวิธีการเกี่ยวกับการขุดลอกแหล่งนํ้า สาธารณประโยชน์ที่ตื้นเขิน พ.ศ. 2547 อาศัยอำ�นาจตามความในมาตรา 20 แห่ง112 พระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ พ.ศ. 2534 ซงึ่ แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั ิ ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 ข้อ 10 นายอำ�เภอหรือองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้รับผิดชอบในการตรวจสอบและควบคุมการขุดลอกให้เป็นไปโดย ถูกต้องตามเงื่อนไข 2) พระราชบญั ญตั กิ ารเดนิ เรอื ในนา่ นนํา้ ไทย พระพทุ ธศกั ราช 2456 มาตรา 117 กรมเจ้าท่ามอบอำ�นาจเจ้าท่าให้ อปท. ในการควบคุมป้องกันมิให้บุคคลใดปลูกสร้างอาคาร หรือสิ่งอื่นใดล่วงลํ้าเข้าไปเหนือนํ้า ในนํ้า และใต้นํ้าของแม่นํ้า ลำ�คลอง บึง อ่างเก็บนํ้า ทะเลสาบ อันเป็นทางสัญจรของประชาชนหรือที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือทะเล ภายในน่านนํ้าไทย เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากกรมเจ้าท่า ซึ่งรวมถึง “ที่ชายตลิ่ง” “ที่นํ้า ท่วมถึง” และ “ที่ชายหาด” 7.2 อ�ำ นาจในการจบั กมุ /รอ้ื ถอน ค�ำ สัง่ กรมการขนสง่ ทางนํา้ และพาณชิ ยนาวี ที่ 320/2547 ลงวนั ที่ 8 มถิ นุ ายน 2547 มอบอำ�นาจ “เจ้าท่า” ให้ อปท. ดำ�เนินการตามมาตรา 118 ทวิ 1) ออกคำ�สั่งให้ผู้ฝ่าฝืนรื้อถอนหรือแก้ไขอาคารหรือสิ่งอื่นใดนั้น 2) ในกรณีที่เจ้าของหรือผู้ครอบครองไม่รื้อถอนหรือไม่ปรากฏตัวเจ้าของหรือ ผู้ครอบครอง ขอให้ศาลมีคำ�สั่งให้เจ้าท่าดำ�เนินการรื้อถอน โดยเจ้าของหรือผู้ครอบครอง เป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายเพื่อการนั้น และนำ�วัสดุที่ได้จากการรื้อถอนออกขายทอดตลาดหรือขาย โดยวิธีอื่น ในกรณีที่เจ้าของหรือผู้ครอบครองไม่ยอมชดใช้ค่าใช้จ่ายให้ ฯลฯ 7.3 อำ�นาจในการอนญุ าตให้ใช้ประโยชน์ พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านนํ้าไทย พระพุทธศักราช 2456 1) มาตรา 117 การอนญุ าตใหป้ ลกู สรา้ งสิง่ ลว่ งลํา้ ล�ำ นํา้ อปท. มอี �ำ นาจพจิ ารณา และอนญุ าตใหป้ ลกู สรา้ งสงิ่ ลว่ งลาํ้ ล�ำ นาํ้ 8 รายการ ดงั นี้ 1) โรงสบู นาํ้ 2) การวางทอ่ สายเคเบลิ และการปักเสาไฟฟ้า 3) กระชังเลี้ยงสัตว์นํ้า 4) เขื่อนกันนํ้าเซาะ 5) ท่าเทียบเรือขนาดไม่ เกิน 20 ตันกรอส 6) โป๊ะเทียบเรือและสะพานปรับระดับ 7) สะพานข้ามคลอง 8) คานเรือ 2) มาตรา 120 การอนญุ าตใหข้ ดุ ลอกรอ่ งนาํ้ ทางเรอื เดนิ อปท. มอี �ำ นาจอนญุ าตให้ ขดุ ลอก ดแู ลรกั ษารอ่ งนํา้ ทางเรอื เดนิ และงานตดิ ตัง้ บ�ำ รงุ รกั ษาเครือ่ งหมายการเดนิ เรอื รวมถงึ การด�ำ เนนิ คดกี บั ผกู้ ระท�ำ ผดิ ดงั นี้ 1) รอ่ งนาํ้ ภายในประเทศทีเ่ ปน็ บงึ ล�ำ คลอง แมน่ ํา้ ขนาดเลก็ ที่มีพื้นที่อยู่ใน อปท. นั้นๆ เพียงแห่งเดียว 2) ร่องนํ้าชายฝั่งทะเลขนาดเล็ก
องคก์ รปกครองสว่ นท้องถน่ิ กับการจดั การทรพั ยากรธรรมชาติ7.4 อ�ำ นาจในการปรับ 113 ค�ำ สัง่ กรมการขนสง่ ทางนํา้ และพาณชิ ยนาวี ที่ 320/2547 ลงวนั ที่ 8 มถิ นุ ายน 2547ข้อ 4. ให้ อปท. ดำ�เนินการเกี่ยวกับการเปรียบเทียบปรับให้เป็นไปตามมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านนํ้าไทย พระพุทธศักราช 2477 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบญั ญตั กิ ารเดนิ เรอื ในนา่ นนํา้ ไทย (ฉบบั ที่ 14) พ.ศ. 2535 ซึง่ มผี ลให้ อปท. มอี �ำ นาจเปรียบเทียบปรับผู้ต้องหาได้เมื่อผู้เสียหายยินยอม ในกรณีที่เป็นความผิดซึ่งมีโทษปรับสถานเดียวไม่เกิน 10,000 บาท7.5 อ�ำ นาจ/ภารกิจในการจดั เก็บภาษี พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านนํ้าไทย พระพุทธศักราช 2456 1) การบริหารและดูแลรักษาสถานีขนส่งทางนํ้า (ท่าเทียบเรือสาธารณะ) และการด�ำ เนนิ การตามมาตรา 46 ทวิ อปท. เปน็ ผูด้ แู ลการใชป้ ระโยชนโ์ ดยไมเ่ รยี กเกบ็ คา่ บรกิ ารการใช้ท่าเรือ แต่จัดเก็บค่าธรรมเนียมสำ�หรับการจัดบริการสาธารณะตามอำ�นาจหน้าที่ของตนได้ เช่น ค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ค่านํ้า ค่าไฟ ค่ารักษาความสะอาด ค่ารักษาความปลอดภัย ฯลฯ 2) มาตรา 117 ทวิ บัญญัติให้ผู้รับอนุญาตปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งอื่นใดล่วงลํ้าเข้าไปเหนือนํ้า ในนํ้า และใต้นํ้าของแม่นํ้า ลำ�คลอง บึง อ่างเก็บนํ้า ทะเลสาบ อันเป็นทางสัญจรของประชาชน หรือที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือทะเลภายในน่านนํ้าไทยหรือบนชายหาดของทะเลดังกล่าว ต้องเสียค่าตอบแทนรายปีตามวิธีการและอัตราที่กำ�หนดในกฎกระทรวง ค่าตอบแทนที่เก็บได้ ให้ตกเป็นของกรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา เทศบาลองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นซึ่งมีกฎหมายจัดตั้งขึ้นแล้วแต่กรณีที่อาคารหรือสิ่งอื่นใดนั้นอยู่ในเขต7.6 การไดร้ บั ส่วนแบ่งจากภาษี/คา่ ธรรมเนยี ม พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านนํ้าไทยพระพุทธศักราช 2456 มาตรา 117 ทวิแก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านนํ้าไทย (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2535ผู้รับอนุญาตปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งอื่นใดตามมาตรา 117 ต้องเสียค่าตอบแทนเป็นรายปีตามวิธีการและอัตราที่กำ�หนดในกฎกระทรวง ซึ่งต้องไม่น้อยกว่าตารางเมตรละ 50 บาทและถ้าเป็นอาคารหรือสิ่งอื่นใดซึ่งมีลักษณะหรือวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการประกอบธุรกิจให้เสียเป็นสองเท่าของอัตราดังกล่าว ในกรณีที่อาคารหรือสิ่งอื่นใดดังกล่าวถูกปลูกสร้างขึ้นโดยมิได้รับอนุญาตหรือไม่เป็นไปตามที่ได้รับอนุญาตให้เสียค่าตอบแทนเป็นสามเท่าของอัตราดังกล่าว การกำ�หนดค่าตอบแทนตามวรรคหนึ่ง ให้คำ�นึงถึงสภาพของแต่ละท้องที่และประโยชน์ที่ผู้ปลูกสร้างหรือผู้ครอบครองพึงได้รับ ค่าตอบแทนที่เก็บได้ตามวรรคหนึ่งให้ตกเป็นของกรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา เทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด สุขาภิบาลหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นซึ่งมีกฎหมายจัดตั้งขึ้น แล้วแต่กรณี ที่อาคารหรือสิ่งอื่นใดนั้นอยู่ในเขต ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร จะออกกฎกระทรวงยกเว้นหรือลดหย่อนค่าตอบแทนให้หน่วยงานหรือบุคคลใดก็ได้
โครงสรา้ ง วสิ ยั ทัศน์ การขบั เคลือ่ นสขุ ภาวะ และการจดั การทรพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อมในทอ้ งถิน่114
องคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถิ่นกับการจัดการขยะมลู ฝอยในท้องถ่นิ6 115 องค์กรปกครองสว่ นท้องถน่ิ กบั การจดั การขยะมูลฝอย ในทอ้ งถนิ่การจดั การขยะมลู ฝอยเปน็ อ�ำ นาจหนา้ ทข่ี ององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ (อปท.) ตามมาตรา 18ของพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 กำ�หนดให้ “การกำ�จัดสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยในเขตราชการส่วนท้องถิ่นใดให้เป็นอำ�นาจหน้าที่ของราชการส่วนท้องถิ่นนั้น”เมื่อพิจารณาตามความในมาตรา 20 ของพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535จะเห็นได้ว่า ขอบเขตของการจัดการขยะถูกจำ�กัดใน 3 กิจกรรมหลัก ได้แก่ การเก็บ การขนและการกำ�จัดด้วยอุปกรณ์หรือกระบวนการที่ออกแบบมาโดยเฉพาะตามหลักสุขาภิบาลเช่น ถังขยะที่มีฝาปิดมิดชิด รถเก็บขยะแบบเปิดข้าง รถเก็บขยะแบบอัดท้าย เตาเผาขยะและหลุมฝังกลบ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม อปท. จำ�นวนมากประสบปัญหาไม่สามารถจัดการขยะตามกรอบแนวคิดดังกล่าว จากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษในปี พ.ศ. 2557 มีขยะเพียง 7.43 ล้านตันหรือประมาณร้อยละ 30 ของปริมาณขยะทั้งหมด (ประมาณ 26.17 ล้านตัน) ถูกเก็บขนและนำ�ไปกำ�จัดอย่างถูกหลักสุขาภิบาล (ในจำ�นวนนี้เป็นของกรุงเทพมหานคร 3.56 ล้านตัน)ขยะอีก 6.91 ล้านตัน หรือประมาณร้อยละ 28 ของปริมาณขยะทั้งหมด มีการเก็บขนถูกกำ�จัดอย่างไม่ถูกต้องด้วยการเทกองและเผาท�ำ ลายกลางแจ้งหรือเผาทำ�ลายด้วยเตาเผาขนาดเล็กที่ไม่มีระบบควบคุมมลพิษตามมาตรฐาน ซึ่งอาจก่อให้เกิดมลพิษที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพของประชาชนและคุณภาพของสิ่งแวดล้อม ขยะที่ถูกนำ�กลับมาใช้ประโยชน์มีเพียง 4.82 ล้านตัน หรือประมาณร้อยละ 18 ของปริมาณขยะทั้งหมด ส่วนขยะที่เหลืออีกประมาณ 1 ใน 4 อยู่ในพื้นที่ของ อปท. จำ�นวน 3,337 แห่ง ซึ่งยังไม่มีการให้บริการเก็บขนและก�ำ จดั ขยะตามกฎหมาย (กรมควบคมุ มลพษิ , 2558) อปท. เหลา่ นีส้ ว่ นใหญเ่ ปน็ หรอื เคยเปน็องค์การบริหารส่วนตำ�บล (อบต.) ที่ตั้งอยู่ในเขตชนบท ดงั นัน้ การจดั การขยะเปน็ ทัง้ โอกาสและความทา้ ทายของ อบต. เนือ่ งจากการพฒั นาระบบการจดั การเพอ่ื ใหบ้ รกิ ารเกบ็ ขนและก�ำ จดั ขยะเหมอื นกบั อปท. ในเขตเมอื งเปน็ ไปไดย้ ากเพราะ อบต. มีพื้นที่ดูแลรับผิดชอบกว้างขวาง แต่กลับมีทรัพยากรด้านงบประมาณและ
โครงสรา้ ง วิสัยทัศน์ การขับเคล่อื นสขุ ภาวะ และการจัดการทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อมในทอ้ งถ่ิน บุคลากรที่มีประสบการณ์ด้านการสุขาภิบาลจำ�กัด อย่างไรก็ตาม การมีเศรษฐกิจหลัก ในภาคเกษตรกรรม และชุมชนยังมีความใกล้ชิดกันได้ช่วยเอื้อต่อการสร้างการมีส่วนร่วม ของประชาชนในการจัดการขยะ ดังที่หลาย อบต. ประสบความสำ�เร็จในการพัฒนาระบบ การจัดการอย่างยั่งยืนที่ครัวเรือนไม่ได้เป็นเพียงผู้ทิ้งขยะ แต่ยังเป็นผู้จัดการขยะร่วมกับ116 ชุมชนและท้องถิ่น อย่างเช่น อบต.หาดสองแคว อ.ตรอน จ.อุตรดิตถ์ อบต.ดอนแก้ว อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เป็นต้น สำ�หรับเนื้อหาในบทนี้พยายามนำ�เสนอและแสดงให้เห็นถึงบทบาทและความ สามารถของ อปท. ในการจัดการขยะมูลฝอยในท้องถิ่น โดยเน้นและให้ความสำ�คัญกับการ จัดการขยะของ อบต. และใช้จังหวัดเชียงรายเป็นกรณีตัวอย่างในการศึกษา เนื่องจากปัญหา การจัดการขยะในจังหวัดเชียงรายทวีความรุนแรงมากขึ้นหลังจากที่โรงงานคัดแยกขยะของ เอกชนที่รับขยะจากหลายพื้นที่ไปจัดการใน อ.แม่จัน ต้องหยุดดำ�เนินการในปี พ.ศ. 2555 เพราะประกอบกจิ การผดิ ประเภทจนเกดิ มลพษิ จากขยะทีน่ �ำ มากองทิง้ ไว้ ท�ำ ใหห้ ลายทอ้ งถิน่ ไม่มีที่กำ�จัดขยะและต้องหยุดให้บริการหรือพิจารณานำ�เตาเผาขยะขนาดเล็กที่ไม่มีระบบ ควบคุมมลพิษอย่างเพียงพอมาใช้เพื่อบรรเทาปัญหา ทั้งนี้จากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษในปี พ.ศ. 2557 พบว่า มีขยะประมาณ 50,965 ตัน จากทั้งหมด 222,266 ตัน ใน จ.เชียงราย ที่ถูกนำ�ไปกำ�จัดอย่างไม่ถูกต้อง และ มี อปท. จำ�นวน 81 แห่ง จากทั้งหมด 143 แห่ง ที่ไม่มีการให้บริการเก็บขนและกำ�จัดขยะ (กรมควบคุมมลพษิ , 2558) อย่างไรก็ตาม ในจำ�นวน อปท. 81 แห่ง ที่ไม่มีการให้บริการเก็บ ขนขยะทั่วไป มีบางชุมชนที่สามารถสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะและ เคยได้รับรางวัลจากการประกวดชุมชนปลอดขยะระดับประเทศของกรมส่งเสริมคุณภาพ สิง่ แวดลอ้ ม ไมว่ า่ จะเปน็ บา้ นสนั ทราย ต.เชยี งเคีย่ น อ.เทงิ ทีไ่ ดร้ บั รางวลั ดาวรุง่ ในปี พ.ศ. 2555 หรือบ้านโป่งศรีนคร ต.โรงช้าง อ.ป่าแดด ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศประจำ�ปี พ.ศ. 2558 จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่า มีชุมชนและ/หรือท้องถิ่นบางแห่งมีแนวทาง การพัฒนาระบบการจัดการขยะมูลฝอยที่เหมาะสมกับบริบทของท้องถิ่นในเขตชนบท ทั้งนี้ การเข้าใจถึงแนวทางการพัฒนาที่ประสบความสำ�เร็จดังกล่าวย่อมเป็นข้อมูลสำ�คัญสำ�หรับ อปท. อื่นๆ ใช้ในการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองให้มีความสามารถในการจัดการขยะมูลฝอย ในท้องถิ่นของตนเอง โดยไม่จำ�เป็นต้องยึดตัวแบบของ อปท. ในเขตเมือง แต่อาศัยการเรียนรู้ และถอดบทเรียนจากประสบการณ์จริงของท้องถิ่นที่มีรูปแบบการจัดการและระดับการให้ บริการที่แตกต่างกัน 6.1 ระเบียบวธิ วี ิจัยและกรอบแนวคดิ การศึกษานี้เป็นการสังเคราะห์ข้อค้นพบจากกรณีศึกษาจำ�นวน 4 กรณี ที่คัดเลือก แบบมุ่งเป้า (purposive sampling) ให้เป็นตัวแทนของรูปแบบและระดับการพัฒนาระบบ การจัดการขยะที่แตกต่างกันตามแนวทางของกรณีศึกษาเชิงเปรียบเทียบ (comparative case study) โดยอาศัยระเบียบวิธีวิจัยแบบผสม (mixed methodology) ที่เก็บและ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ (qualitative&quantitative methods)
องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถิน่ กับการจัดการขยะมลู ฝอยในทอ้ งถน่ิกรณีศึกษาอาศัยวิธีวิจัยเชิงคุณภาพหลัก 3 ประการ ได้แก่ การศึกษาเอกสาร การสัมภาษณ์ 117เชิงลึก และการสังเกต การศึกษาเอกสารจะเน้นศึกษากฎระเบียบท้องถิ่น รายงานประจำ�ปีของ อปท. ยุทธศาสตร์และแผนการพัฒนาท้องถิ่น ส่วนการสัมภาษณ์เชิงลึกอาศัยผู้ให้ข้อมูลสำ�คัญ (key informants) ที่เกี่ยวข้องกับนโยบายและการบริหารของ อปท. เช่นผู้บริหารฝ่ายการเมือง ปลัดเทศบาล ผู้อำ�นวยการกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม หรือเจ้าหน้าที่รับผิดชอบงานด้านการจัดการขยะมูลฝอย เจ้าหน้าที่กองการคลัง หรือเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบด้านการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการเก็บขนขยะมูลฝอย เจ้าหน้าที่ฝ่ายโยธาธิการและคนงานประจำ�รถขยะ สำ�หรับการสังเกตเป็นการตรวจสอบข้อมูลที่ได้จากเอกสารและการสัมภาษณ์ นอกจากนี้นักวิจัยยังมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบการจัดการขยะของแต่ละพื้นที่ผ่านการเป็นวิทยากรและกิจกรรมของการวิจัยเชิงปฏิบัติ โดยเฉพาะกรณีของ อบต.ป่าตึง และ อบต.เมืองพาน สำ�หรับระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณทั้ง 4 กรณีศึกษา อาศัยแบบสอบถามในการสำ�รวจทัศนคติและพฤติกรรมของครัวเรือน แบบสอบถามประกอบด้วย 23 ข้อคำ�ถามหลักแบ่งเป็น 6 ส่วน ได้แก่ (1) พฤติกรรมการจัดการขยะของครัวเรือน (2) ทัศนคติต่อการจัดการขยะ (3) ความรู้เกี่ยวกับการจัดการขยะ (4) กิจการที่เกี่ยวข้องและระบบการจัดการขยะในท้องถิ่น (5) ข้อมูลพื้นฐานของครัวเรือน และ (6) ข้อเสนอแนะอื่นๆ การเก็บข้อมูลกำ�หนดขนาดตัวอย่างพื้นที่ละ 200 ครัวเรือน โดยอาศัยการสุ่มแบบชั้นภูมิ (stratifiedrandom sampling) ด้วยการสุ่มเลือกหมู่บ้านในแต่ละตำ�บล ก่อนจะสุ่มครัวเรือนภายในแตล่ ะหมูบ่ า้ น ยกเวน้ กรณขี อง ต.เชยี งเคีย่ น ทีก่ �ำ หนดการเกบ็ ขอ้ มลู เฉพาะ 2 ชมุ ชนตน้ แบบเทา่ นัน้ รวมแลว้ ไดช้ ดุ ตวั อยา่ งส�ำ หรบั การวเิ คราะหจ์ �ำ นวน 869 ตวั อยา่ ง สามารถดรู ายละเอยี ดผลการสำ�รวจแต่ละพื้นจากรายงานแต่ละกรณีศึกษา (ทัศนีย์ เจียรพสุอนันต์, 2558;พัชรพร สุคนธสรรพ,์ 2558; พทั ธยาพร อนุ่ โรจน์, 2558ก; มงคลกร ศรวี ิชยั , 2558ก) การสังเคราะห์ข้อมูลจากกรณีศึกษาเป็นการเปรียบเทียบผลการพัฒนาระบบการจัดการขยะกับการจัดการขยะตามกรอบแนวคิดเรื่องลำ�ดับชั้นของวิธีการจัดการขยะ(waste management hierarchy) (รูปที่ 6.1) ที่ให้ความสำ�คัญกับการเลี่ยงการนำ�ขยะไปกำ�จัด (waste diversion) ด้วยวิธีการลดขยะ (reduction) การใช้ซํ้า (reuse) และการนำ�กลับมาใช้ใหม่ (recycling) ตามหลัก 3Rs ก่อนนำ�กลับมาใช้ใหม่ในรูปของพลังงาน (energyrecovery) และการกำ�จัดอย่างปลอดภัย (safe disposal) กรอบแนวคิดนี้มีข้อดี คือไม่ได้กำ�หนดรูปแบบทางเทคโนโลยีที่ตายตัว วิธีการจัดการขยะถูกจัดลำ�ดับความสำ�คัญตามความสามารถในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการจัดการขยะ ดังนั้นการสังเคราะห์จึงเน้นการถอดบทเรียนเพื่อระบุประเด็นส�ำ คัญที่สนับสนุนการพัฒนาระบบขยะตามกรอบแนวคิดนี้ ก่อนประมวลเป็นหลักคิดที่ท้องถิ่น โดยเฉพาะอบต. สามารถนำ�ไปใช้กำ�หนดแนวทางการพัฒนาที่เหมาะสมกับบริบทของตน
โครงสรา้ ง วสิ ัยทัศน์ การขบั เคลอ่ื นสุขภาวะ และการจดั การทรพั ยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ้ มในทอ้ งถน่ิ รปู ที่ 6.1 ลำ�ดับชน้ั วิธีการจัดการขยะมูลฝอย (waste management hierarchy) การลดปร�มาณขยะ (reduction)118 การใชซ้ำ (reuse) การนำกลับมาใชใ หม (recycling) การแปรรปู เปน พลงั งาน (energy recovery) การกำจดั อยา งปลอดภยั (safe disposal) 6.2 ต้นทุนการจัดการขยะ ในการตัดสินใจพัฒนาระบบจัดการขยะ ผู้ที่เกี่ยวข้องจำ�เป็นต้องตระหนักถึง โครงสร้างต้นทุนของการจัดการขยะมูลฝอย ความเข้าใจนี้จะช่วยให้เห็นความสำ�คัญของการ ลดปริมาณขยะ และการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนการรณรงค์ให้ผู้ทิ้งลดและคัดแยกขยะ เพราะปริมาณขยะที่ไม่ต้องนำ�ไปกำ�จัดย่อมหมายถึงต้นทุนการให้บริการและต้นทุนภายนอก ของการกำ�จัดขยะที่ลดลง 6.2.1 โครงสรา้ งของตน้ ทุนการจัดการขยะ การพฒั นาระบบการจดั การขยะมคี วามเกยี่ วขอ้ งกบั ตน้ ทนุ จากการวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ าร อย่างมีส่วนร่วมพบว่า การสร้างแบบจำ�ลองที่แสดงความเชื่อมโยงของการตัดสินใจออกแบบ ระบบการจัดการขยะ และสื่อสารออกมาในรูปของต้นทุนทางการเงินจะช่วยให้ผู้มีส่วนได้ ส่วนเสียที่พัฒนาระบบมีความเข้าใจและสามารถพิจารณาระดับการให้บริการและระบบการ จัดการที่เหมาะสมกับบริบทของตนได้ดีขึ้น (อภสิ ม อนิ ทรลาวณั ย์ และปเนต มโนมยั วบิ ลู ย,์ 2556) ขณะที่ความเข้าใจโครงสรา้ งองค์ประกอบของต้นทุนการจดั การขยะอย่างครบวงจรจะช่วยให้ เห็นถึงต้นทุนค่าเสียโอกาส (opportunity cost) หาก อปท. สามารถเลือกที่จะไม่จ่ายต้นทุน (ในการศึกษานี้จะไม่ลงลึกถึงรายละเอียดของตัวแบบทางคณิตศาสตร์ของต้นทุนต่างๆ ซึ่งสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จาก Porter (2002)) รูปที่ 6.2 แสดงโครงสร้างและสัดส่วนองค์ประกอบของต้นทุนการจัดการขยะ ซึ่งประกอบด้วยต้นทุน 4 ประเภท ได้แก่ (1) ต้นทุนการดำ�เนินงานที่เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น จากการเก็บขนขยะไปกำ�จัดและเป็นต้นทุนที่แปรผันตามปริมาณของขยะหลังการคัดแยก
องคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถ่นิ กับการจัดการขยะมูลฝอยในทอ้ งถ่นิ(2) ต้นทุนการรณรงค์และการจัดการเศษวัสดุอื่นที่ถูกคัดแยกออกจากขยะทั่วไป เช่น 119ค่าประชาสัมพันธ์ ค่าบำ�รุงรักษาศูนย์รีไซเคิลของเทศบาล ค่าอุปกรณ์รองรับเศษวัสดุรีไซเคิลฯลฯ (3) ต้นทุนการลงทุนในที่ดิน เครื่องจักรสำ�หรับการกำ�จัดและเทคโนโลยีป้องกันและควบคุมมลพิษ และ (4) ต้นทุนการบริหารจัดการที่เป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่แปรผันโดยตรงกับปริมาณขยะที่นำ�ไปกำ�จัด เช่น ค่าใช้จ่ายสำ�นักงาน เงินเดือนผู้บริหารและพนักงาน ตลอดจนค่าโสหุ้ย เป็นต้นรปู ท่ี 6.2 โครงสร้างและสดั สว่ นต้นทนุ การจัดการขยะมูลฝอย ตน ทนุ สัดส�วนตอคา ธรรมเนยี ม (%) 100ตน ทุน ตน ทุน 70แปรผัน การดำเนินงานเกบ็ ขนขยะ หลังการคดั แยกไปกำจัด 42.5ตนทุน ตน ทุนการรณรงคแ ละการจัดการ 27.5 คงที่ เศษวัสดทุ ี่ถูกคดั แยก ตนทนุ ตนทนุ จากการลงทนุ ในระบบกำจัดขยะ พน�้ ฐาน ตน ทนุ ในการบรห� ารจัดการ 0 ปร�มาณขยะหลังการคัดแยกท่ตี องนำไปกำจัดท่มี า: ปรับปรุงมาจาก Bilitewski (2008)ส�ำ หรบั สดั สว่ นองคป์ ระกอบของตน้ ทนุ ทแ่ี สดงในรปู ท่ี 6.2 เปน็ สดั สว่ นตามคา่ บรกิ ารจดั การขยะของประเทศเยอรมนี (Bilitewski, 2008) เหตุผลที่เลือกประเทศเยอรมนีเป็นตัวอย่างเนื่องจากระบบการจัดการขยะและการคำ�นวณต้นทุนมีความก้าวหน้าในการลดต้นทุนภายนอก (externalities) โดยเปลี่ยนมาเป็นต้นทุนภายในทำ�ให้เห็นภาพของต้นทุนทั้งหมดอย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น ต้นทุนของมลพิษจากการกำ�จัดขยะที่ปรากฏในรูปของการลงทุนในเทคโนโลยีควบคุมมลพิษ ค่าใช้จ่ายในการเดินเครื่องจักรและค่าบุคลากรในการบริหารจัดการระบบ ตลอดจนภาษีสิ่งแวดล้อมที่คำ�นึงถึงต้นทุนทางสังคมของมลพิษที่ยังเหลือหลังจากการบำ�บัดซึ่งจะถูกรวมเข้าไปในค่ากำ�จัด (tipping fee) ที่คิดต่อปริมาณของขยะที่ส่งเข้าระบบ นอกจากนี้ยังมีการดำ�เนินการตามลำ�ดับชั้นวิธีการจัดการขยะมูลฝอยที่ให้ความสำ�คัญกับการลดและนำ�ขยะมาใช้ประโยชน์ โดยจะเห็นว่าต้นทุนการรณรงค์และการจัดการเศษวัสดุที่ถูกคัดแยกจากขยะทั่วไปมีสัดส่วนค่อนข้างสูง
โครงสรา้ ง วิสยั ทศั น์ การขบั เคลือ่ นสขุ ภาวะ และการจดั การทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอ้ มในท้องถนิ่ 6.2.2 ทางเลอื กของการลงทุน ระบบการจัดการขยะที่ยังไมเ่ ป็นไปตามลำ�ดบั ชั้นหรอื หลกั การสขุ าภิบาลจะไมเ่ ห็น ตน้ ทนุ เหลา่ นอ้ี ยา่ งชดั เจนในงบประมาณหรอื คา่ ธรรมเนยี ม เนอื่ งจากตน้ ทนุ บางสว่ นถกู ถา่ ยเท ไปยังสังคมภายนอก ตัวอย่างเช่น มลพิษที่เกิดจากการกองทิ้งหรือการเผาขยะในที่โล่ง120 แมว้ า่ อปท. หรอื ผูท้ ิง้ จะยงั จา่ ยตน้ ทนุ ของควนั ไฟ นํา้ เสยี และความไมง่ ามตาโดยตรงในทนั ที แต่สิ่งเหล่านี้มีผลกระทบและสร้างความเสียหายต่อการสาธารณสุข คุณภาพของสิ่งแวดล้อม และมูลค่าของที่ดินในพื้นที่ ดังนั้นในระยะยาวจึงเป็นไปไม่ได้ที่ อปท. จะมองข้ามต้นทุน ของการจัดการขยะได้ตลอดไป นอกจากนี้เหตุการณ์ เช่น เพลิงไหม้หรือนํ้าท่วม อาจจะเป็น ตัวเร่งที่ทำ�ให้ต้นทุนเหล่านี้ปรากฏชัดขึ้น หรือเมื่อบ่อขยะที่เคยใช้ทิ้งขยะอย่างไม่ถูกต้องเต็ม ความยากลำ�บากในการหาพื้นที่ใหม่จากการต่อต้านไม่ยอมรับสถานที่กำ�จัดขยะใกล้บ้าน (NIMBY – not in my backyard) ก็สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เต็มใจยอมรับและต้นทุน ภายนอกของการจัดการขยะที่ไม่ถูกต้องที่มีค่าสูง ที่ผ่านมามีท้องถิ่นบางแห่งเช่น อบต.หาดสองแคว จ.อุตรดิตถ์ และ ทต.เชียงเคี่ยน (ตัง้ แตย่ งั เปน็ อบต.) เปน็ ตน้ พยายามจะบรรเทาผลกระทบจากการจดั การขยะ โดยยอมจา่ ย ต้นทุนของการรณรงค์เพื่อให้ประชาชนลดและคัดแยกขยะผ่านกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารขยะหรือการทำ�เสวียน (จะกล่าวถึงต่อไปในหัวข้อที่ 6.4) เนื่องจากมองเห็นว่า การสร้างระบบเก็บขนและกำ�จัดขยะมีต้นทุนการลงทุนและการดำ�เนินงานค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับงบพัฒนาของท้องถิ่น และไม่แน่ว่าจะช่วยแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ได้จริง ขณะที่การรณรงค์ที่ประสบผลสำ�เร็จนอกจากจะช่วยลดปริมาณขยะที่จะถูกนำ�ไป กำ�จัดอย่างไม่ถูกต้องแล้วยังช่วยลดต้นทุนภายนอก ประหยัดงบการพัฒนาและทำ�ให้ชุมชน เข้มแข็ง ทั้งนี้กรณีศึกษาของ ต.เชียงเคี่ยน ยังมีเสียงเรียกร้องให้ อปท. ลงทุนและดำ�เนินการ เก็บขนขยะไปกำ�จัดน้อยที่สุด โดย ทต.เชียงเคี่ยน จะพัฒนาเฉพาะระบบในส่วนที่หมู่บ้าน จัดการกันเองไม่ได้ เช่น การเก็บขนขยะอันตรายที่ให้บริการเก็บรวบรวมเป็นประจำ�ทุกเดือน เพื่อรอส่งไปทำ�ลายต่อไป เป็นต้น (พทั ธยาพร อุ่นโรจน,์ 2558ก) แต่ในบางกรณี อปท. อาจจะไม่สามารถเลี่ยงต้นทุนการลงทุนและการดำ�เนินการ เกบ็ ขนขยะไปก�ำ จดั ได้ เกดิ เปน็ ตน้ ทนุ ภายนอกทีป่ รากฏชดั เชน่ ใน ต.ปา่ ตงึ หลงั จากทีบ่ รษิ ทั เอกชน ใน อ.แม่จัน ถูกสั่งให้หยุดดำ�เนินการเนื่องจากไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในใบอนุญาต การหยุดดำ�เนินการดังกล่าวได้สร้างความเดือดร้อนให้กับชุมชนเนื่องจากไม่มีผู้เข้ามาให้ บริการรับเก็บขนขยะไปกำ�จัด แม้ว่าทาง อบต. และหมู่บ้านจะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยการขุดบ่อขยะ แต่ก็ไม่เพียงพอกับปริมาณขยะที่เกิดขึ้นทำ�ให้เกิดกองขยะอยู่ตาม จุดต่างๆ ในพื้นที่ ทำ�ลายทัศนียภาพและกลายเป็นแหล่งขยายพันธุ์ของพาหะนำ�โรค จนในปีงบประมาณ 2558 อบต.ป่าตึง จึงตัดสินใจลงทุนซื้อรถขยะ ทำ�โรงเรือนและซื้อ เตาเผาขยะขนาด 5 ตันต่อวัน เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว การลงทุนซื้อเตาเผาขนาดเล็กเป็นทางเลือกที่ อปท. หลายแห่งให้ความสนใจ เนื่องจากอยู่ในวิสัยที่จะจัดหามาได้ด้วยงบประมาณของตัวเอง อย่างไรก็ตาม การเผาขยะ โดยไม่มีการควบคุมมลพิษตามมาตรฐานเป็นเพียงการย้ายปัญหาจากกองขยะไปเป็น ฝุน่ ละอองในอากาศและขีเ้ ถา้ ทีม่ สี ารพษิ ปนเปือ้ น นอกจากนีเ้ ตาเผายงั เปน็ การรวมผลกระทบ
องค์กรปกครองส่วนทอ้ งถิ่นกับการจดั การขยะมูลฝอยในทอ้ งถิ่นต่อสิ่งแวดล้อมจากการกำ�จัดขยะอย่างไม่ถูกหลักสุขาภิบาล ซึ่งเป็นต้นทุนภายนอกที่เคย 121กระจายตัวอยู่ในพื้นที่มาไว้ที่จุดเดียว โครงการลักษณะนี้แม้ว่าจะได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางในตำ�บล แต่มักจะถูกต่อต้านจากชุมชนที่อาศัยอยู่ใกล้กับที่ตั้งของเตาเผาอย่างรุนแรง สำ�หรับเตาเผาที่สามารถเดินหน้าได้ ถ้าไม่ตั้งอยู่ที่สำ�นักงานของ อปท. ก็ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลของชุมชนซึ่งมีต้นทุนการเก็บขนเพิ่มมากขึ้น การลงทุนพัฒนาระบบเก็บขนและกำ�จัดขยะของตัวเองอย่างเบ็ดเสร็จเป็นเรื่องที่ท้าทายความสามารถของท้องถิ่นโดยเฉพาะกรณีของ อบต. ตัวอย่างเช่น อบต.ป่าตึงซึ่งไม่มีกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมและไม่มีบุคลากรที่เคยมีประสบการณ์ด้านการจัดการขยะต้องวางแผนการให้บริการประชาชนกว่า 2 หมื่นคน ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่220 ตารางกิโลเมตร โดยใช้รถขนขยะแบบอัดท้าย 1 คัน ดังนั้นภารกิจแรกของการวิจัยเชิงปฏิบัติหลังจากที่ อบต. จัดซื้อจัดจ้างจึงเป็นการลงพื้นที่สำ�รวจเส้นทางและการวางจุดรวบรวมขยะให้สามารถทำ�งานได้ครบทั้ง 20 หมู่บ้าน ตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ แม้ว่าสามารถทำ�ได้ แต่ อบต. ต้องรองรับต้นทุนการดำ�เนินการที่มาจากการลงทุนไม่ว่าจะเป็นค่าจ้างพนักงาน ค่านํ้ามันรถ และค่าเชื้อเพลิงที่ใช้ในการเผาขยะ ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการบำ�รุงรักษาเครื่องจักรที่เพ่ิมมากขึ้นตามปริมาณขยะที่ประชาชนไม่ค่อยให้ความร่วมมือในการคัดแยก (ทศั นีย์ เจียรพสุอนันต์, 2558)6.2.3 การประหยดั จากการเขา้ มามสี ่วนร่วมจดั การ อบต. สามารถลดการลงทุนและค่าใช้จ่ายในการดำ�เนินการได้ โดยให้หมู่บ้านเขา้ มารว่ มจดั บรกิ าร อยา่ งเชน่ ในกรณขี อง ต.แมข่ า้ วตม้ ซึง่ หมูบ่ า้ น 22 แหง่ ทีเ่ ขา้ รว่ มโครงการกำ�จัดขยะจะเป็นผู้รวบรวมและขนส่งขยะมายังเตาเผาของเอกชนที่เช่ามา ซึ่งตั้งอยู่ที่หมู่ 13 อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการนำ�แผนการจัดการขยะมูลฝอยไปปฏิบัติในช่วงแรกไม่ว่าจะเป็นปริมาณหรือประเภทของขยะที่ไม่เหมาะสมกับการเผาที่ถูกส่งมาจากหมู่บ้าน (พชั รพร สุคนธสรรพ์, 2558) อาจจะเกิดจากการถ่ายทอดนโยบายที่ไม่สมบูรณ์เนอื่ งจากในกรณนี ี้ อบต. เปน็ ผจู้ า่ ยคา่ ก�ำ จดั ขยะใหก้ บั เอกชนทงั้ หมดในอตั รากโิ ลกรมั ละ 2 บาทไม่เหมือนกับ ทต.นางแล ที่ให้หมู่บ้านเข้ามารับผิดชอบค่ากำ�จัดด้วยครึ่งหนึ่ง นอกจากนี้ทต.นางแล ยงั ใหค้ วามส�ำ คญั กบั การชีแ้ จง ท�ำ ความเขา้ ใจ และจดั การฝกึ อบรมใหก้ บั หมูบ่ า้ นที่เข้าร่วมโครงการพร้อมทั้งสนับสนุนอุปกรณ์สำ�หรับทำ�ธนาคารขยะและให้เงินประเดิมกองทุนขยะหมู่บ้านละ 10,000 บาท เพื่อส่งเสริมให้คนลดและคัดแยกขยะ หรือในกรณีของทต.เวียงเทิง ที่แม้จะมีการให้บริการเก็บขนและกำ�จัด แต่ก็มีแผนการดำ�เนินการรณรงค์เพื่อควบคมุ ปรมิ าณขยะ โดยมีการประชาสัมพันธ์ให้ครัวเรือนและสถานประกอบการในพื้นที่ช่วยกันลดและคัดแยกขยะก่อนที่จะทิ้งมาให้เทศบาลเก็บขนไปกำ�จัด และการชั่งนํ้าหนักและจัดเก็บค่าธรรมเนียมต่อหน่วยเป็นมาตรการควบคุมเพื่อให้ข้อมูลตอบกลับ (feedback)อย่างต่อเนื่อง ซึ่งรูปที่ 6.3 แสดงภาพของการจัดการขยะของทั้งสองเทศบาล
โครงสรา้ ง วิสยั ทศั น์ การขับเคลื่อนสุขภาวะ และการจดั การทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ มในทอ้ งถ่ินรปู ท่ี 6.3 กจิ กรรมการรณรงคส์ ำ�หรับการเกบ็ คา่ ธรรมเนยี มขยะตอ่ หน่วย 6-9 เดือน • ผ้บู รหิ ารเหน็ ชอบ • ตั้งคณะท�ำ งาน122 • เก็บขอ้ มลู • ศกึ ษาดูงาน • ก�ำ หนดเป้าหมาย• สร้างเครือข่าย 3-6 เดือน กบั ธรุ กิจเอกชน• สรา้ งทีมในชมุ ชน• ออกแบบระบบ• ออกแบบการคิด คา่ ธรรมเนยี ม 1-3 เดือน • พัฒนาขอ้ บัญญัติ • จัดหาอปุ กรณ์ • ประชาสมั พนั ธ์ • ฝึกอบรมพนักงาน กอ่ น เริ่มปฏบิ ตั กิ าร หลัง• นำ�รอ่ งการคดั แยก 1-3 เดือน • ช้ีแจงรายละเอียด• ทดลองวัดปริมาณ 3-6 เดือน ท่ีมีการปรบั แก้ (ถ้าม)ี• ส�ำ รวจความพงึ พอใจ • เร่มิ คดิ คา่ ธรรมเนียม และปัญหา ต่อหน่วย• ทบทวนและปรบั ปรงุ แก้ไข• เกบ็ ขอ้ มลู ขยะ ทุก 6 เดือน• สำ�รวจความพึงพอใจ และปญั หา• จัดกจิ กรรม 3Rs• ปรบั ปรงุ อยา่ งต่อเน่อื งอปท. บางแห่งเลือกที่จะจ่ายเป็นค่าดำ�เนินการขนส่งขยะที่รวบรวมได้ออกไปทิ้งนอกพื้นที่แทนการจ่ายลงทุนในระบบกำ�จัดขยะของตนเอง ในกรณีนี้ อปท. ควรจะพิจารณามาตรฐานการจัดการของสถานที่รับกำ�จัดขยะ เพราะค่ากำ�จัดที่ตํ่าอาจจะหมายถึงต้นทุนภายนอกจากการนำ�ขยะไปทิ้งในพื้นที่ของคนอื่นซึ่งเป็นเรื่องอ่อนไหวและอาจจะนำ�มาสู่การต่อต้านจนถึงขั้นหยุดดำ�เนินการ ดังที่เกิดขึ้นกับผู้ประกอบการเอกชนใน อ.แม่จัน เมื่อปี พ.ศ. 2555โดย อบต.เมืองพาน เป็นพื้นที่หนึ่งที่ได้รับผลกระทบจึงเลือกที่จะส่งขยะไปกำ�จัดที่ อ.ฮอด
องค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถ่ินกับการจดั การขยะมลู ฝอยในท้องถน่ิซึ่งเป็นศูนย์กำ�จัดขยะอย่างถูกหลักสุขาภิบาลขนาดใหญ่ของภาคเหนือตอนบน แม้ว่าจะมี 123ตน้ ทนุ การด�ำ เนนิ การเพิม่ มากขึน้ คา่ ก�ำ จดั ขยะทีส่ งู ขึน้ กลายเปน็ แรงกระตุน้ ให้ อบต.เมอื งพานหันมาให้ความสำ�คัญกับการรณรงค์ให้ครัวเรือนและสถานประกอบการในพื้นที่ช่วยลดปริมาณขยะด้วยการสนับสนุนเงินอุดหนุน 21 หมู่บ้านๆ ละ 15,000 บาท ในการสร้างการมสี ว่ นรว่ มในการจดั การขยะทีต่ น้ ทาง โดยเมือ่ เสรจ็ สิน้ ปที ีห่ นึง่ อบต. สามารถลดคา่ สง่ ขยะไปกำ�จัดจากเดิมเดือนละกว่า 200,000 บาท เหลือเพียงประมาณเดือนละ 75,000 บาทจากปริมาณขยะที่ลดลง (มงคลกร ศรีวิชัย, 2558ข) การเลี่ยงการนำ�ขยะไปกำ�จัดตามหลัก3Rs เป็นวิธีที่ช่วยลดต้นทุนการจัดการขยะ ดังนั้นในหัวข้อต่อไปจะกล่าวถึงความเป็นไปได้ของการลดปริมาณขยะ6.3 การเกิดขึ้นของขยะในทอ้ งถน่ิ ขยะส่วนใหญ่ที่ถูกทิ้งมาให้ อปท. เก็บขน เป็นสิ่งที่ไม่จำ�เป็นต้องนำ�ไปกำ�จัดจากการรณรงค์ที่ประสบความสำ�เร็จจะช่วยให้เห็นว่า เกิดการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของขยะโดยเฉพาะเศษวัสดุอินทรีย์ที่ย่อยสลายได้และเศษวัสดุรีไซเคิลเป็นเป้าหมายสำ�คัญตามลำ�ดับของการลดปริมาณขยะ6.3.1 ขยะในฐานะผลผลติ ทางสังคม “ขยะมลู ฝอย” (solid waste) เปน็ ค�ำ ทีใ่ ชเ้ รยี กสิง่ ทีเ่ จา้ ของไมต่ อ้ งการและประสงค์จะทิ้ง ไม่มีสิ่งใดที่เป็นขยะโดยธรรมชาติด้วยตัวของมันเอง (Strasser, 2000) แต่ขึ้นอยู่กับการให้คุณค่าของคนในสังคม เศษผักจากตลาดหรือเศษอาหารที่เหลือจากการรับประทานอาจจะเป็นขยะของคนในเมือง แต่สิ่งเดียวกันนี้อาจจะมีค่าเป็นอาหารสัตว์ในสังคมชนบทในภาคเกษตรกรรม เช่นเดียวกับบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วที่สามารถกลายมาเป็นวัตถุดิบให้กับอุตสาหกรรมผ่านธุรกิจรับซื้อของเก่า ดังนั้นขยะจึงมีพลวัตสูงและสะท้อนระบบการผลิตและการบริโภคของสังคม การปรับคำ�นิยามของ “มูลฝอย” ในพระราชบัญญัติการสาธารณสุข (ฉบับที่ 2)พ.ศ. 2550 โดยเพิ่มรายการจากคำ�นิยามเดิมในปี พ.ศ. 2535 เป็น “เศษกระดาษ เศษผ้าเศษอาหาร เศษสินค้า เศษวัตถุ ถุงพลาสติก ภาชนะที่ใส่อาหาร เถ้า มูลสัตว์ ซากสัตว์หรือสิ่งอื่นใดที่เก็บกวาดจากถนน ตลาด ที่เลี้ยงสัตว์ หรือที่อื่น และหมายความรวมถึงมูลฝอยตดิ เชือ้ มลู ฝอยทีเ่ ป็นพษิ หรืออันตรายจากชุมชน” แสดงให้เหน็ ถึงบริบทของสงั คมไทยที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วง 15 ปีดังกล่าว โดยคนไทยมีการใช้บรรจุภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ที่มีวัตถุอันตรายเป็นองค์ประกอบเพิ่มมากขึ้น เมื่อสิ่งของเหล่านี้ไม่เป็นที่ต้องการหรือหมดอายุการใช้งานจึงปรากฏออกมาเป็นขยะ6.3.2 ความเปน็ ไปได้ของการลดปรมิ าณขยะมลู ฝอย ขยะเป็นปัญหาของสังคมเมือง เดิมทีเมื่อมนุษย์อยู่ในสังคมเกษตรกรรม ขยะไม่ใช่ประเด็นทางนโยบายสาธารณะ ครัวเรือนในอดีตมีพื้นที่เหลือเฟือสำ�หรับจัดการของเหลือใช้ที่ส่วนใหญ่เป็นเศษวัสดุอินทรีย์ที่ย่อยสลายได้ และสามารถนำ�มาใช้ประโยชน์ทางการเกษตร
โครงสรา้ ง วิสยั ทศั น์ การขับเคล่ือนสุขภาวะ และการจัดการทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ้ มในท้องถ่ิน ต่อมาการปฏิวัติอุตสาหกรรมได้กลายเป็นกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจ เกิดการ เข้ามาตั้งถิ่นฐานอย่างหนาแน่นในเมืองใหญ่ ครัวเรือนในเมืองจึงมีพื้นที่จัดการขยะลดลง ขณะเดียวกันภาคอุตสาหกรรมก็ได้พัฒนาและผลิตสินค้าหลากหลายประเภทในปริมาณมาก สินค้าจำ�นวนมากถูกออกแบบให้ใช้ครั้งเดียวเพื่ออำ�นวยความสะดวกให้กับคนในเมือง124 ที่ต้องดำ�เนินชีวิตประจำ�วันอย่างเร่งรีบ ปริมาณขยะที่สังคมเมืองทิ้งจึงเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว จนถึงขั้นที่มีการเรียกสังคมสมัยใหม่ว่าสังคมแห่งการทิ้งขว้าง (throw-away society) อย่างไรก็ตาม ปริมาณขยะไม่ได้ถูกกำ�หนดจากจำ�นวนประชากรหรือระดับการ พัฒนาเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว ดังจะเห็นได้จากช่วงของการเกิดขยะของประเทศพัฒนา แล้วในกลุ่ม OECD (2015) ที่ค่อนข้างกว้างมีตั้งแต่ 0.80 ไปจนถึง 2.06 กิโลกรัมต่อคน ต่อวัน โดยปัจจัยหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อปริมาณขยะคือ การยกระดับและเงื่อนไขการให้บริการ จัดการขยะที่จะมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของผู้ทิ้ง สำ�หรับประเทศไทยจากข้อมูลของกรม ควบคุมมลพิษในปี พ.ศ. 2557 พบว่า ประเทศไทยมีขยะมูลฝอยชุมชนเกิดขึ้นประมาณ 1.10 กิโลกรัมต่อคนต่อวัน ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ของตัวชี้วัดที่สำ�นักงานพัฒนาเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติได้กำ�หนดไว้ที่ 0.80 กิโลกรัมต่อคนต่อวัน อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเหล่านี้เป็น คา่ เฉลี่ยของทัง้ ประเทศที่รวมขอ้ มูลและสถิติจากท้องถิน่ และชุมชนทีม่ บี รบิ ทแตกตา่ งกนั มาก จากการเปรียบเทียบปริมาณขยะใน อ.เชียงแสน (ปเนต มโนมัยวิบูลย์ และ ณัฎฐิกาฑ์ เหมภัทรสุวรรณ, 2557) พบว่า ในพื้นที่ตัวอำ�เภอที่อยู่ภายใต้การดูแลของ ทต.เวยี งเชยี งแสน มกี ารตง้ั บา้ นเรอื นและรา้ นคา้ อยา่ งหนาแนน่ และมกี ารใหบ้ รกิ ารเกบ็ ขนขยะ ทุก 2 วัน อัตราการเกิดขยะสูงถึง 1.03-1.32 กิโลกรัมต่อคนต่อวัน ส่วนเขตรอบนอก ต.เวียง ทีอ่ ยูภ่ ายใตก้ ารดแู ลของ ทต.เวยี ง ซึง่ มกี ารใหบ้ รกิ ารเกบ็ ขนสปั ดาหล์ ะ 1-2 วนั ยกเวน้ บรเิ วณ สามเหลี่ยมทองคำ�ที่มีการให้บริการเป็นประจำ� 6 วันต่อสัปดาห์ จะมีอัตราการเกิดขยะ อยูร่ ะหวา่ ง 0.51-0.78 กโิ ลกรมั ตอ่ คนตอ่ วนั ชว่ งของอตั ราการเกดิ ขยะเปน็ คา่ เฉลีย่ ในฤดแู ลง้ และฤดูฝน นํ้าหนักขยะที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากมวลของนํ้าฝนที่ตกค้างในถุงและถังขยะ แต่ในกรณีของ ทต.บ้านแซว ที่ยังไม่มีการให้บริการเก็บขนและกำ�จัดขยะเนื่องจากอยู่ใน เขตชนบทและเพิ่งยกฐานะขึ้นจาก อบต. มีปริมาณขยะต่อประชากรเพียง 0.26 กิโลกรัม ต่อคนต่อวัน และไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำ�คัญระหว่างฤดูกาล ผลการเปรียบเทียบนี้นำ�ไปสู่ข้อสังเกตซึ่งอาจเป็นสมมติฐานสำ�หรับการวิจัย ในอนาคตว่า การให้บริการเก็บขนขยะไปกำ�จัดของ อปท. อาจจะส่งผลให้อัตราการเกิดขยะ เพิม่ สงู ขึ้นถ้าไมม่ มี าตรการหรือการรณรงคใ์ ห้คนชว่ ยกันลดและคัดแยกขยะ เพราะการพึ่งพา การบริการของท้องถิ่นทำ�ให้ความสามารถในการจัดการขยะมูลฝอยที่ต้นทางของชุมชน ลดลง ดังนั้นความท้าทายของการจัดการขยะ คือ การออกแบบระบบที่สามารถอำ�นวย ความสะดวกให้กับประชาชนพร้อมกับควบคุมปริมาณขยะ รูปที่ 6.4 แสดงผลของมาตรการควบคุมปริมาณขยะในระดับท้องถิ่นและในระดับ ชุมชนของ ต.นางแล โดย ทต.นางแล มีโครงการกำ�จัดขยะด้วยเตาเผาเพื่อตอบสนอง เสียงเรียกร้องจากประชาชนในหมู่บ้านที่ไม่มีบ่อขยะหลังการยกฐานะจาก อบต. โดยให้ หมู่บ้านรับผิดชอบเก็บขนขยะที่จัดการเองไม่ได้ มาส่งให้โครงการด้วยตนเองทุกๆ 10 วัน และร่วมจ่ายค่าจ้างเผาขยะกับเทศบาลกิโลกรัมละ 1 บาท โดยเทศบาลมีการสนับสนุนเงิน
องคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถ่นิ กับการจดั การขยะมลู ฝอยในทอ้ งถ่นิประเดิมกองทุนขยะให้กับ 9 หมู่บ้าน ที่เข้าร่วมโครงการในปีที่ 1 จำ�นวน 10,000 บาท 125พร้อมอุปกรณ์ในการทำ�ธนาคารขยะ ผลการดำ�เนินการในปีแรกแสดงให้เห็นว่า มาตรการระดับตำ�บลได้ผลในระดับหนึ่ง แม้ปริมาณขยะจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแต่ก็ยังอยู่ในระดับตํ่าเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วประเทศ สิ่งที่น่าสนใจ คือ กรณีของหมู่ที่ 2 บ้านนางแล ซึ่งเป็นหมู่บ้านเดียวในขณะนั้นที่คิดค่าธรรมเนียมการเก็บขนขยะกับครัวเรือนตามนํ้าหนักที่ทิ้งและมีปริมาณขยะที่ส่งไปเผาเฉลี่ยเพียงวันละ 0.006 กิโลกรัมต่อคนต่อวันรูปท่ี 6.4 การทง้ิ ขยะเพ่ือนำ�ไปกำ�จัดใน ต.นางแล จ.เชียงราย0.35 9 หมูบาน หมู 20.30.250.20.150.10.050ก.ย.-11 พ.ย.-11 ธ.ค.-11 ก.พ.-12 เม.ย.-12 พ.ค.-12 ก.ค.-12 ส.ค.-12 ต.ค.-12ที่มา: ปเนต มโนมัยวิบลู ย์ (2558)6.3.3 องคป์ ระกอบของขยะมลู ฝอยทล่ี ดลง องค์ประกอบของขยะเป็นตัวชี้วัดถึงคำ�นิยามเชิงปฏิบัติการของขยะที่คนในแต่ละพื้นที่ให้ค่ากับเศษวัสดุแต่ละชนิดและระดับการเข้ามามีส่วนร่วมจัดการขยะที่ต้นทางของชุมชน ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบขยะมักพบว่า ประกอบด้วยเศษวัสดุที่สามารถนำ�ไปใช้ประโยชน์ได้ (กรมควบคุมมลพิษ, 2547) ทั้งขยะที่ย่อยสลายได้ร้อยละ 50-60 และขยะรีไซเคิลร้อยละ 15-25 (รูปที่ 6.5) ก็เป็นผลที่ขึ้นกับบริบทของการศึกษาที่ส่วนใหญ่จะทำ�การสำ�รวจองค์ประกอบขยะในพื้นที่ที่มีการให้บริการเก็บขนขยะไปกำ�จัดเป็นประจำ�เนื่องจากสามารถใช้วิธีการสุ่มโดยแบ่งกองขยะที่เก็บรวบรวมแล้วออกเป็น 4 ส่วน(quartering method) ซึ่งทำ�ได้ง่ายกว่าการสำ�รวจปริมาณขยะจากแหล่งกำ�เนิด
โครงสร้าง วสิ ยั ทศั น์ การขับเคลื่อนสุขภาวะ และการจัดการทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ้ มในท้องถ่ิน รูปท่ี 6.5 ตัวอยา่ งผลการวิเคราะห์องคป์ ระกอบของขยะมูลฝอย ก.แหลง� ทอ งเทยี่ วในตำบลเว�ยง อำเภอเชียงแสน ข.หมูบา นในตำบลปาตงึ อำเภอแมจ นั ขยะทว�ั ไป 17% 1% ขยะอนั ตราย ขยะทั�วไป 7% 1% ขยะอนั ตราย126 17% 27% ขยะขายได ขยะขายได 65% 65% ขยะยอยสลายได ขยะยอยสลายได ท่มี า: ปเนต มโนมยั วิบูลย์ (2557) และทัศนีย์ เจียรพสุอนนั ต์ (2558) รปู ท่ี 6.6 การเปลยี่ นแปลงองคป์ ระกอบขยะระหวา่ งการสง่ เสรมิ การคดั แยกขยะของบา้ นปา่ กวา๋ วทองกวาว ก่อนเริ่มปริมาณขยะเฉลี่ย 1,096 กก.ต่อสัปดาห์ รอบที่ 1 5% 11% 412 33% กก.ต่อสัปดาห์ 65% รอบที่ 2 27% ขยะย่อยสลายได้ 327 64% 9% ขยะขายได้ ขยะท่ัวไป กก.ต่อสัปดาห์ ขยะอนั ตราย รอบที่ 3 6% 122 30% กก.ต่อสัปดาห์ 64% ทม่ี า: มงคลกร ศรีวชิ ยั (2558)
องค์กรปกครองสว่ นท้องถิน่ กบั การจัดการขยะมูลฝอยในทอ้ งถน่ิรูปที่ 6.6 แสดงการเปลี่ยนแปลงขององค์ประกอบขยะระหว่างการส่งเสริมให้ครัวเรือน 127คัดแยกขยะในหมู่ที่ 25 บ้านป่ากว๋าวทองกวาว ต.เมืองพาน ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดชุมชนปลอดขยะ ภายใต้โครงการเมืองพานน่าอยู่ เชิดชูคุณธรรมน้อมนำ�ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของ อบต.เมืองพาน โดยสามารถลดปริมาณขยะที่เคยทิ้งให้ อบต. มาเก็บขนไปกำ�จัดที่ อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ จากเดิมสัปดาห์ละ 1,096 กิโลกรัม หรือ0.43 กิโลกรัมต่อคนต่อวัน (ก่อนเริ่มโครงการฯ) เหลือเพียงสัปดาห์ละ 122 กิโลกรัม หรือเพียง 0.05 กิโลกรัมต่อคนต่อวัน ซึ่งจะเห็นได้ว่าสัดส่วนขยะย่อยสลายได้ลดลง ต่อจากนั้นจึงเป็นขยะรีไซเคิลซึ่งแม้ว่าสัดส่วนจะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 9 เมื่อสิ้นสุดรอบที่สอง มาเป็นร้อยละ 30 ในรอบที่สาม แต่เมื่อพิจารณาถึงปริมาณขยะทั้งหมดที่ลดลงจาก 327 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ เหลือ 122 กิโลกรัมต่อสัปดาห์แล้ว ก็ถือว่าปริมาณขยะรีไซเคิลที่ถูกทิ้งค่อนข้างคงที่ สุดท้ายขยะส่วนใหญ่ที่ครัวเรือนไม่ได้คัดแยกแต่ทิ้งไปให้ อบต. คือ ผ้าอ้อมของเด็กและผู้ใหญ่และผ้าอนามัยซึ่งเป็นขยะทั่วไปที่ยังไม่มีวิธีการใช้ประโยชน์ในชุมชน6.4 พฤตกิ รรมของผ้ทู ง้ิ ขยะในท้องถิน่ ในบริบทของสังคมเกษตรกรรม การสร้างเงื่อนไขทางกายภาพที่เอื้ออำ�นวยให้แหล่งกำ�เนิด ครัวเรือนสามารถจัดการเศษวัสดุอินทรีย์ที่ต้นทาง เป็นวิธีการที่มีประสิทธิผลต่อการส่งเสริมการคัดแยกขยะ ส่วนเศษวัสดุรีไซเคิล การรณรงค์ควรให้ความสำ�คัญกับการสร้างจิตสำ�นึกและบรรทัดฐานทางสังคม โดยการจัดกิจกรรมร่วมกันของชุมชนในรูปแบบของตลาดนัดหรือธนาคารขยะจะช่วยให้มีการคัดแยกมากกว่าการให้แต่ละครัวเรือนคัดแยกขยะไปขายเอง6.4.1 แนวคดิ และทฤษฎเี ก่ียวกับพฤติกรรมของผทู้ ิ้งขยะ ทฤษฎีทางจิตวทิ ยาและพฤตกิ รรมศาสตร์ เช่น ทฤษฎพี ฤติกรรมตามแผน (theoryof planned behavior: TPB) (Ajzan, 1991) และทฤษฎีทัศนคติ-พฤติกรรม-เงื่อนไข(attitude-behavior-condition theory: A-B-C) (Guagnano et al., 1995) ตา่ งใหค้ วามส�ำ คญักับทัศนคติในฐานะที่เป็นเครื่องชี้นำ�พฤติกรรม โดยเมื่อคนมีทัศนคติที่ดีกับสิ่งใดก็จะมีความตั้งใจทำ�สิ่งนั้น Stern (2000) ระบุว่า การกระตุ้นค่านิยมที่เห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่น (altruisticvalue) ดว้ ยความตระหนกั ถงึ ผลเสยี กบั ผูอ้ ืน่ (awareness of adverse consequences) และการยอมรับความรับผิดชอบของตน (ascription of responsibility to self) เป็นปัจจัยสำ�คัญของการมีพฤติกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในทางกลับกัน ทัศนคติด้านลบต่อข้อจ�ำ กัดส่วนบุคคล เช่น เมื่อบุคคลมองว่าการคัดแยกขยะเป็นเร่ืองเสียเวลา จะบั่นทอนความตั้งใจที่จะมีพฤติกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Tho/gersen, 2005) อย่างไรก็ดี ความตั้งใจจะกลายมาเป็นพฤติกรรมหรือไม่ขึ้นกับสถานการณ์หนึ่งๆว่า เอื้ออำ�นวยหรือเป็นอุปสรรคต่อการแสดงพฤติกรรม กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ความสัมพันธ์ระหวา่ งทศั นคตแิ ละพฤตกิ รรมถกู ก�ำ กบั (moderate) ดว้ ยเงือ่ นไขทางสงั คมและทางกายภาพโดยทัศนคติส่วนบุคคลจะมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมมากที่สุดเม่ือเง่ือนไขของการแสดงพฤติกรรมอยู่ในระดับกลางๆ แต่เมื่อเงื่อนไขเอื้ออำ�นวยหรือเป็นอุปสรรคอย่างที่สุด การแสดงออกทาง
โครงสร้าง วสิ ัยทศั น์ การขับเคลือ่ นสขุ ภาวะ และการจัดการทรพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ้ มในท้องถนิ่ พฤติกรรมจะไม่ขึ้นกับทัศนคติแต่เป็นไปตามสถานการณ์นั้น (รูปที่ 6.7) อย่างเช่น ในงาน ศกึ ษาของ Ölander and Thørgersen (2006) ทีแ่ สดงใหเ้ หน็ วา่ การเพิม่ การเกบ็ ขนเศษอาหาร สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ของเมือง Herning ประเทศเดนมาร์ก ในปี ค.ศ. 1999 ช่วยให้ครัวเรือน ที่อยากจะคัดแยกขยะแต่อาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนต์และไม่มีพื้นที่สำ�หรับหมักเศษอาหาร128 ด้วยตัวเองสามารถมีพฤติกรรมการคัดแยกเศษอาหารตามทัศนคติของตนเองได้มากขึ้น หลังการปรับปรุงเงื่อนไขทางกายภาพให้ทางออกกับขยะที่คัดแยก รปู ท่ี 6.7 ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งทัศนคติและพฤติกรรมภายใต้เงือ่ นไขแบบต่างๆ ความสัมพันธร์ ะหวา่ งทศั นคติกับพฤตกิ รรมจ�ำ กดั เง่อื นไขการแสดงพฤตกิ รรม เออ้ื อ�ำ นวย6.4.2 ปจั จยั และเง่อื นไขทม่ี ผี ลตอ่ พฤตกิ รรมของครวั เรือน จากการสำ�รวจทัศนคติและพฤติกรรมการจัดการขยะของครัวเรือนจำ�นวน869 ตัวอย่าง ที่อาศัยใน ต.แม่ข้าวต้ม ต.ป่าตึง ต.เมืองพาน และ ต.เชียงเคี่ยน ซึ่งยังมีสภาพเป็นสังคมเกษตรกรรม พบว่า ร้อยละ 91.1 ของชุดตัวอย่าง อาศัยอยู่ในตำ�บลมานานกว่า15 ปี และเกือบทั้งหมดอาศัยอยู่ในบ้านเดี่ยวที่มีพื้นที่สวน มีเพียงร้อยละ 6.1 ที่อาศัยอยู่ในตกึ แถว ทาวนเ์ ฮาสห์ รอื หอพกั รอ้ ยละ 66.0 มอี าชพี หลกั ในภาคเกษตรกรรม โดยรอ้ ยละ 62.4มีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 10,000 บาทต่อเดือน และมีเพียงร้อยละ 13.2 ที่มีรายได้เกิน20,000 บาทต่อเดือน ผลการส�ำ รวจพบวา่ ในภาพรวมชดุ ตวั อยา่ งสว่ นใหญม่ ที ศั นคตทิ ีส่ ง่ เสรมิ การเขา้ มามสี ว่ นรว่ มจดั การขยะทีต่ น้ ทางดว้ ยการคดั แยกขยะ โดยรอ้ ยละ 83.3 เหน็ ดว้ ยวา่ ถา้ ครอบครวัของตนคัดแยกขยะจะช่วยลดภาระของชุมชน นอกจากนี้เมื่อพิจารณาถึงทัศนคติต่อข้อจำ�กัดส่วนบุคคลก็พบว่า มีเพียงส่วนน้อยที่มองว่าขยะของครอบครัวตนเป็นสิ่งสกปรก หรือการคัดแยกขยะเป็นเรื่องน่ารำ�คาญ หรือเป็นสิ่งที่ครอบครัวตนไม่มีเวลาทำ� ในทางตรงกันข้ามครัวเรือนร้อยละ 76.1 เห็นด้วยว่า การคัดแยกขยะสามารถสร้างรายได้เสริมให้กับครอบครัวและร้อยละ 74.9 เห็นด้วยว่า เป็นสิ่งที่ทำ�ได้ง่ายมาก
องคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถิ่นกับการจัดการขยะมูลฝอยในท้องถ่ินผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์เบื้องต้นระหว่างทัศนคติและพฤติกรรมโดยยังไม่คำ�นึงถึง 129อิทธิพลของเงื่อนไขทางกายภาพและบริบททางสังคม พบว่า ค่าดัชนีทัศนคติที่ดีต่อการคัดแยกขยะที่สร้างขึ้นจากคะแนนระดับความคิดเห็นด้วยข้อความทัศนคติด้านบวก 3 ข้อด้วยเทคนิคการวิเคราะห์องค์ประกอบ (factor analysis) มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการคัดแยกขยะประเภทต่างๆ อย่างมีนัยสำ�คัญทางสถิติที่ 0.01 โดยค่า Pearsoncorrelation ระหว่างคะแนนทัศนคติกับการคัดแยกขยะย่อยสลายได้ไปหมักอยู่ที่ 0.176(n = 864, p-value < 0.01) ส่วนค่า Pearson correlation ระหว่างคะแนนทัศนคติกับการคัดแยกขยะขายได้อยู่ที่ 0.351 (n = 864, p-value <0.01) อย่างไรก็ตาม ค่าสหสัมพันธ์ที่พบระหว่างทัศนคติและพฤติกรรมการคัดแยกขยะที่มีความสำ�คัญกับการลดปริมาณขยะที่นำ�ไปกำ�จัดยังอยู่ในระดับน้อยถึงค่อนข้างน้อย กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มีปัจจัยหรือตัวแปรอื่นนอกจากทัศนคติต่อขยะหรือต่อการคัดแยกขยะที่มีอิทธิพลกับพฤติกรรมของครัวเรือน เงื่อนไขหนึ่งที่พบว่ามีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการคัดแยกขยะย่อยสลายได้ของครัวเรือน คือ อุปกรณ์รองรับขยะที่เรียกว่า “เสวียน” (รูปที่ 6.8) ซึ่งเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมสำ�หรับจัดการเศษวัสดุอินทรีย์ในภาคเหนือที่นำ�ไม้ไผ่ที่หาได้ทั่วไปในท้องถิ่นมาสานเป็นที่เกบ็ เศษใบไม้ กิง่ ไม้ และเศษวสั ดอุ นิ ทรยี อ์ ืน่ ๆ อยา่ งเปน็ ระเบยี บ อยา่ งไรกต็ าม เสวยี นไดห้ ายไปจากชุมชนส่วนใหญ่ตามสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เหลือไว้แต่ความทรงจำ�ของคนรุ่นอายุ 40 ปีขึ้นไป ที่เคยเห็นอุปกรณ์นี้เมื่อยังเป็นเด็ก ยกเว้น ในพื้นที่ที่ส่งเสริมให้ครัวเรือนจัดการขยะด้วยตนเองบางแห่ง เช่น อบต.ดอนแก้ว อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่บ้านทุ่งศรี ต.โป่งศรี อ.ร้องกวาง จ.แพร่ และบ้านโป่งศรีนคร ต.โรงช้าง จ.เชียงรายโดยเมื่อทำ�การสำ�รวจในพื้นที่กรณีศึกษาเมื่อปลายปี พ.ศ. 2557 พบเสวียนอยู่หนาแน่นใน 2 หมู่บ้านต้นแบบของ ต.เชียงเคี่ยน และบางส่วนของ ต.เมืองพาน แต่ไม่พบเสวียนเลยใน ต.แม่ข้าวต้ม และ ต.ป่าตึงรูปท่ี 6.8 การส่งเสริมการใช้เสวียนสำ�หรับการจัดการเศษวัสดุอินทรีย์ใน ต.เชียงเคี่ยน อ.เทิงจ.เชยี งราย
โครงสร้าง วสิ ัยทัศน์ การขบั เคลื่อนสุขภาวะ และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ มในท้องถิ่นตารางท่ี 6.1 จำ�นวนและสดั สว่ นครวั เรอื นทค่ี ดั แยกขยะยอ่ ยสลายไดจ้ ำ�แนกตามการมเี สวยี นและทศั นคติต่อการคดั แยกขยะของครัวเรอื น สัดส่วนครวั เรือนท่ีคัดแยกขยะยอ่ ยสลายได้ (ร้อยละ)การมีเสวียน คะแนนทัศนคติ จำ�นวนครวั เรอื น ไมเ่ คยเลย นานๆ ครัง้ ทำ�บา้ ง บ่อยๆ เป็นประจ�ำ130 มี 190 1.6 1.6 3.2 14.2 79.5 ตํา่ กวา่ มธั ยฐาน 53 3.8 3.8 1.9 17.0 73.6 สงู กวา่ มัธยฐาน 137 0.7 0.7 3.6 13.1 81.8ไม่มี 674 39.0 7.1 9.8 13.5 30.6 ตํ่ากวา่ มัธยฐาน 453 38.0 7.7 10.8 13.0 30.5 สงู กว่ามธั ยฐาน 221 41.2 5.9 7.7 14.5 30.8ท่ีมา: ปเนต มโนมยั วิบูลย์ (2558)ตารางที่ 6.1 แสดงให้เห็นว่า ครัวเรือนที่มีเสวียนจำ�นวน 190 ครัวเรือน มีการคัดแยกขยะย่อยสลายได้เป็นประจำ�สูงถึงร้อยละ 79.5 หรือ 2.6 เท่า เมื่อเทียบกับกลุ่มครัวเรือนที่ไม่มีเสวียน ทั้งนี้หากจำ�แนกครัวเรือนในแต่ละกลุ่มตามคะแนนทัศนคติออกเป็น 2 กลุ่มย่อยตามค่ามัธยฐาน และวิเคราะห์เพิ่มเติม พบว่า ทัศนคติและพฤติกรรมไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำ�คัญทางสถิติที่ 0.01 โดยค่า Person correlation ระหว่างตัวแปรทั้งสองของกลุ่มที่มีเสวียนและไม่มีเสวียนเท่ากับ 0.088 (n = 189, p-value = 0.23) และ 0.070(n = 673, p-value = 0.07) ตามลำ�ดับ ดังนั้นสามารถสรุปว่า การมีเสวียนซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่อำ�นวยความสะดวกในการจัดการขยะที่ต้นทางในครัวเรือนช่วยทำ�ให้เกิดการคัดแยกขยะย่อยสลายได้ โดยไม่ขึ้นกับทัศนคติที่เกี่ยวกับการคัดแยกขยะของครัวเรือน ในทางกลับกันเมื่อไม่มีอุปกรณ์ที่ใช้งานได้ง่ายสะดวกและสามารถใช้ทิ้งขยะย่อยสลายได้อย่างต่อเนื่องเช่น เสวียน (หรือตัวช่วยในการเก็บขนขยะย่อยสลายได้ที่คัดแยกแล้วไปใช้ประโยชน์เหมือนในต่างประเทศ) ก็จะทำ�ให้ครัวเรือนกลุ่มหนึ่งไม่สามารถแสดงพฤติกรรมที่สอดคล้องกับทัศนคติที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมของตนเองได้ เงื่อนไขสำ�คัญอีกประการหนึ่งจากผลการวิเคราะห์เป็นการวางบรรทัดฐานทางสงั คมในรปู ของการจดั ตัง้ ธนาคารขยะชมุ ชน ซึง่ นอกจากจะเปน็ การใหบ้ รกิ ารควบคูไ่ ปกบัสร้างแรงจูงใจทางการเงินเช่นเดียวกับการรับซื้อเศษวัสดุรีไซเคิลของธุรกิจรับซื้อของเก่าแล้วยังเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงความคาดหวังของชุมชนในการให้สมาชิกคัดแยกเศษวัสดุขายได้เข้าร่วมกิจกรรม (พทั ธยาพร อนุ่ โรจน,์ 2558ข) ผลการแยกกลุ่มวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่า การมีธนาคารขยะช่วยให้ครัวเรือนสามารถแสดงพฤติกรรมตามทัศนคติด้านสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้นโดยค่าสหสัมพันธ์ Pearson correlation ระหว่างทัศนคติกับพฤติกรรมการคัดแยกขยะที่ขายได้มีค่าเท่ากับ 0.414 (p-value < 0.00) สำ�หรับครัวเรือนจำ�นวน 288 หลังคาเรือนที่รับรู้ถึงการมีอยู่ของธนาคารขยะในหมู่บ้าน ขณะที่ค่าสหสัมพันธ์เดียวกันของครัวเรือนอีก570 หลังคาเรือน มีค่าในระดับตํ่ากว่าที่ 0.320 (p-value < 0.00) ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างทัศนคติและพฤติกรรมการคัดแยกเศษวัสดุสองประเภทที่ได้กล่าวถึงข้างต้น หากแปลความตามรูปที่ 6.7 ที่มีแบบแผนเป็นรูปชามควํ่า
องคก์ รปกครองส่วนท้องถิ่นกับการจดั การขยะมูลฝอยในท้องถิ่นหรือตัว U กลับหัวตามเงื่อนไขระดับต่างๆ ที่ทฤษฎี A-B-C ทำ�นายไว้ สามารถสรุปได้ว่า 131เมื่อเปรียบเทียบการคัดแยกเศษวัสดุขายได้กับเศษวัสดุย่อยสลายได้ในประเทศไทย ภายใต้เงื่อนไขปกติที่ยังไม่มีมาตรการหรือการรณรงค์ส่งเสริมให้มีการคัดแยกเศษวัสดุเหล่านี้การมีทัศนคติที่ดีต่อการคัดแยกขยะมีแนวโน้มจะนำ�ไปสู่การคัดแยกเศษวัสดุขายได้มากกว่าส่วนหนึ่งต้องให้เครดิตกับธุรกิจรับซื้อของเก่าที่มีอยู่ในเกือบทุกพื้นที่ซึ่งทำ�ให้การแสดงพฤตกิ รรมนีไ้ มย่ ากเกนิ ไปนกั ขณะทีก่ ารคดั แยกเศษวสั ดยุ อ่ ยสลายไดท้ �ำ ไดย้ ากกวา่ เนือ่ งจากโดยปกติไม่มีตลาดหรือช่องทางให้กับของที่คัดแยกได้ ดังนั้นแม้ว่าจะมีทัศนคติที่ดีต่อการคัดแยกขยะก็ยากที่ครัวเรือนส่วนหนึ่งจะสามารถแปลงทัศนคติมาเป็นพฤติกรรมได้ ต่อเมื่อมีการรณรงค์ส่งเสริมการคัดแยกอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว การสนับสนุนให้ครัวเรือนมีอุปกรณ์สำ�หรับจัดการขยะย่อยสลายได้ในบ้านเป็นสิ่งที่เหมาะสมและทำ�ได้ง่ายในสังคมชนบทที่ยังอาศัยอยู่ในภาคเกษตรกรรม ส่วนการทำ�ธนาคารขยะแม้จะช่วยให้ครัวเรือนมีพฤติกรรมที่สอดคล้องกับทัศนคติได้มากขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างเงื่อนไขที่อำ�นวยความสะดวกได้เท่ากับการทำ�เสวียนในครัวเรือน6.4.3 ปัจจยั กำ�หนดการลดปริมาณขยะ ผลการส�ำ รวจทศั นคตแิ ละพฤตกิ รรมทน่ี �ำ เสนอมาแลว้ ในสว่ นทผี่ า่ นมา ยงั มขี อ้ จ�ำ กดัเนื่องจากอาศัยข้อมูลเฉพาะที่รายงานโดยครัวเรือน ดังนั้นแม้จะวัดความเข้มข้นของทัศนคติและพฤติกรรมได้ แต่ไม่สามารถคำ�นวณผลของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของแหล่งกำ�เนิดต่อปริมาณขยะที่ท้องถิ่นต้องนำ�ไปกำ�จัด ซึ่งต้องอาศัยการเก็บข้อมูลปริมาณขยะควบคู่ไปกับการวัดระดับการคัดแยกขยะที่ต้นทาง ซึ่งทำ�ได้ยากสำ�หรับครัวเรือนที่เป็นแหล่งกำ�เนิดที่กระจายตัวไม่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ผลการวิเคราะห์การเกิดขยะจากสถานประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการทอ่ งเทยี่ วใน อ.เชยี งแสน และ อ.เชยี งของ (ปเนต มโนมยั วบิ ลู ย,์ 2557) โดยมรี ะดบั ความเขม้ ขน้ของการจัดการขยะที่ต้นทางซึ่งได้จากการสังเกตของผู้วิจัยเป็นปัจจัยหนึ่งของการสร้างตัวแบบด้วยการวิเคราะห์การจำ�แนกพหุ (multiple classification analysis: MCA)ตามสมการด้านล่าง จะช่วยให้เห็นศักยภาพของการคัดแยกขยะที่ต้นทางและโอกาสในการลดปริมาณขยะที่ อปท. ต้องเสียเงินไปเก็บขนเพื่อนำ�ไปกำ�จัดได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นWastei = α + ∑2 bjDistrictji + ∑5 ckTypeki + ∑2 dlSeasonli j=1 k=1 l=1 + ∑2 emManagemi m=1โดยที่ Wastei = ปริมาณขยะของจุดสำ�รวจที่ i (กิโลกรัมต่อวัน) α = ค่าคงที่ bj = ค่าสัมประสิทธิ์ของที่ตั้งที่ j Districtji = ทีต่ งั้ ที่ j (ได้แก่ อ.เชียงแสน และ อ.เชียงของ) ณ จุดสำ�รวจท่ี i
โครงสรา้ ง วสิ ัยทัศน์ การขับเคล่ือนสุขภาวะ และการจัดการทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดล้อมในท้องถิ่น ck = ค่าสัมประสิทธิ์ของประเภทกิจกรรมที่ k Typeki = ประเภทกิจกรรมท่ี k (ได้แก่ เกสท์เฮาส์ โรงแรม โรงแรม 5 ดาว แหล่งท่องเที่ยว และสถานีขนส่ง) ณ จุดสำ�รวจที่ i dl = ค่าสัมประสิทธิ์ของช่วงเวลาที่ l132 Seasonli = ช่วงเวลาที่ l (ช่วงท่องเที่ยวธรรมดา และช่วงวันหยุดยาว) ณ จุดสำ�รวจที่ i em = ค่าสัมประสิทธิ์ของการมีการจัดการขยะที่ต้นทาง (m) Managemi = การมีการจัดการขยะที่ต้นทาง (m) โดยมีระบบการจัดการที่ ต้นทางมากกว่าปกติ เช่น มีการน�ำ เศษอาหารไปเป็นอาหารสัตว์ การทำ�ปุ๋ยหมัก การคัดแยกขยะอันตราย เป็นต้น ณ จุดสำ�รวจที่ iตารางที่ 6.2 แสดงผลการวิเคราะห์การจำ�แนกพหุ พบว่า ตัวแปรทั้ง 4 ตัว มีอิทธิพลต่อปริมาณขยะอย่างมีนัยสำ�คัญทางสถิติที่ 0.05 โดยตัวแปรที่มีอิทธิพลมากที่สุด เมื่อพิจารณาค่า Eta และค่า Beta คือ ประเภทของกิจกรรม โดยสถานประกอบการที่เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว ก่อให้เกิดขยะมากกว่าแหล่งกำ�เนิดอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด แต่ผลการวิเคราะห์ที่สำ�คัญ คือ สามารถเห็นถึงอิทธิพลของตัวแปรแต่ละตัวได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยการจัดการที่ต้นทาง ซึ่งหากไม่มีการวิเคราะห์ด้วยวิธี MCA อาจทำ�ให้เข้าใจว่า ปริมาณขยะเฉลี่ยของจุดสำ�รวจที่มีการจัดการที่ต้นทางมีค่าสูงกว่าจุดที่ไม่มีการจัดการที่ต้นทาง และปัจจัยดังกล่าวไม่มีอิทธิพลต่อปริมาณขยะมากนัก เนื่องจากมีค่า Etaเพียง 0.014 แต่เมื่อควบคุมอิทธิพลของตัวแปรอื่นๆ พบว่า ค่า Beta ของการจัดการขยะที่ต้นทางใกล้เคียงกับอิทธิพลของอีก 2 ตัวแปรที่เหลือ คือ ช่วงเวลาและที่ตั้ง นอกจากนี้ยงั เหน็ วา่ จดุ ทีม่ รี ะบบการจดั การขยะทีต่ น้ ทางกอ่ ใหเ้ กดิ ขยะนอ้ ยกวา่ คา่ เฉลีย่ (grand mean)ถงึ 10.81 กโิ ลกรมั ตอ่ วนั ผลการวเิ คราะหท์ ีไ่ ด้ สอดรบั กบั ขอ้ มลู จากการสงั เกตอยา่ งมสี ว่ นรว่ มและการสัมภาษณ์เชิงลึก พบว่า สถานประกอบการที่เป็นโรงแรมขนาดใหญ่ซึ่งตามประเภทกิจกรรมแล้วมีปริมาณขยะสูงเป็นทุนเดิม ดังนั้นแม้จะมีการคัดแยกขยะแล้วก็ยังมีปริมาณขยะที่ต้องส่งให้เทศบาลนำ�ไปกำ�จัดสูงกว่าแหล่งกำ�เนิดประเภทอื่นอยู่ดีตารางที่ 6.2 ผลการวเิ คราะหก์ ารจำ�แนกพหุ (MCA) ของปัจจยั ท่มี ีอิทธิพลตอ่ ปรมิ าณขยะจากกิจกรรมการทอ่ งเที่ยวตวั แปรอสิ ระ จำ�นวนการสังเกต ความเบย่ี งเบน grand means = 37.90 กิโลกรัมต่อวนั1. ทต่ี ง้ั (ครัง้ ) ทีย่ ังไมไ่ ด้ปรับ ความเบย่ี งเบน 1.1 อำ�เภอเชยี งแสน 207 9.31 Eta ทีป่ รบั แล้ว Beta 1.2 อ�ำ เภอเชียงของ 85 -22.67 0.282 0.134 4.40 -10.73
องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินกับการจดั การขยะมลู ฝอยในท้องถิ่นตารางท่ี 6.2 ผลการวิเคราะห์การจำ�แนกพหุ (MCA) ของปจั จัยทม่ี อี ทิ ธิพลตอ่ ปริมาณขยะจากกิจกรรมการทอ่ งเทยี่ ว (ต่อ)ตัวแปรอิสระ จำ�นวนการสงั เกต ความเบย่ี งเบน grand means = 37.90 กโิ ลกรมั ตอ่ วัน 133 (ครัง้ ) ทย่ี ังไมไ่ ด้ปรับ2. ประเภทกจิ กรรม ความเบี่ยงเบน 2.1 เกสทเ์ ฮาส์ 87 -19.98 Eta ทป่ี รบั แลว้ Beta 2.2 โรงแรม 43 -6.92 2.3 โรงแรม 5 ดาว 20 135.68 0.730 0.724 2.4 แหล่งท่องเที่ยว 76 0.17 -17.35 2.5 สถานขี นสง่ 66 -10.45 0.99 135.253. มีการจดั การทต่ี ้นทาง 221 -0.42 -5.02 3.1 ไม่มี 71 1.30 -12.98 3.2 มี 229 -3.90 0.014 0.1194. ช่วงเวลา 66 14.16 3.47 4.1 High Season -10.81 4.2 Peak Season 0.144 0.158หมายเหตุ: R2 = 0.583 -4.25ทมี่ า: ปเนต มโนมยั วบิ ลู ย์ (2557) 15.46ผลการศึกษาการเกิดขยะจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้ยืนยันความสำ�คัญของการจัดการขยะ ณ ต้นทาง มีการวิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มเติมของ อ.เชียงแสน ที่มีฐานข้อมูลจำ�นวนประชากรของจุดทิ้งขยะที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวที่ชัดเจน และแสดงให้เห็นว่าหากจุดต่างๆ มีการจัดการขยะที่ต้นทางโดยสถานประกอบการที่เป็นที่พักของนักท่องเที่ยวมกี ารจดั การเศษวสั ดอุ นิ ทรยี ด์ ว้ ยตนเอง และจดุ อนื่ ๆ ทเี่ ปน็ ทพี่ กั นกั เดนิ ทางและแหลง่ ทอ่ งเทยี่ วมีการคัดแยกเศษวัสดุรีไซเคิลในระดับที่แหล่งกำ�เนิดที่เป็นจุดตัวอย่างในการสำ�รวจและมีแนวปฏิบัติที่ดีทำ�อยู่แล้ว จะสามารถช่วยลดปริมาณขยะได้ถึงร้อยละ 70 ยกเว้น ในช่วงที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาจำ�นวนมาก และสถานประกอบการให้เวลาและความสนใจกับการคัดแยกขยะน้อยลง ดังแสดงในตารางที่ 6.3ตารางที่ 6.3 ปริมาณขยะมลู ฝอยในช่วงฤดูกาลทอ่ งเทีย่ วปกติและชว่ งวนั หยดุ ปใี หม่ระหวา่ งกรณีทเี่ ปน็ อยู่และในกรณีท่ีแหลง่ กำ�เนิดมีแนวการปฏิบตั ิทดี่ ีเกสท์เฮาส์ จ�ำ นวนแหลง่ ก�ำ เนิด ปรมิ าณขยะของกรณที เี่ ปน็ อยู่ ปรมิ าณขยะของกรณที ีม่ ีโรงแรม (จดุ ) (กก.) แนวทางปฏบิ ัติที่ดี (กก.)โรงแรม 5 ดาวแหลง่ ทอ่ งเที่ยว เวยี ง เวียงเชียงแสน ชว่ งปกติ ชว่ งหยุดปใี หม่ ช่วงปกติ ชว่ งหยดุ ปใี หม่สถานขี นส่งรวมทง้ั หมด 15 8 1,189 1,841 177 602 31 299 412 88 177ที่มา: Manomaivibool (2015) 20 395 541 277 334 16 9 1,319 2,027 442 909 56 426 738 118 260 41 24 3,627 5,469 1,102 2,281
โครงสร้าง วสิ ัยทศั น์ การขบั เคลื่อนสขุ ภาวะ และการจัดการทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในทอ้ งถนิ่ 6.5 แนวทางบรู ณาการการจดั การขยะมลู ฝอยในท้องถ่ิน หัวข้อนี้จะกล่าวถึงแนวทางการทำ�งานของท้องถิ่นและชุมชนที่ต้องทำ�งานเชิงรุก และบูรณาการการจัดการขยะเข้ากับภารกิจและการพัฒนาด้านอื่นๆ เพื่อให้กิจกรรมการ134 รณรงค์มีความต่อเนื่องและยั่งยืน ดังมีรายละเอียดในแต่ละส่วนดังนี้ 6.5.1 การจดั การขยะเชงิ บรู ณาการ จากหัวข้อที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า การจัดการขยะอย่างยั่งยืนต้องอาศัยความร่วมมือ จากชุมชนในการลดปริมาณขยะ ด้วยการรณรงค์ให้ครัวเรือนและสถานประกอบการคัดแยก เศษวัสดุที่สามารถนำ�กลับมาใช้ประโยชน์ใหม่หรือสามารถจัดการได้เอง โดยไม่ก่อให้เกิด ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากนักและแยกออกจากขยะที่ท้องถิ่นต้องจัดการ โดยเฉพาะใน พื้นที่ของ อปท. ที่มีข้อจำ�กัดทางการคลังในการลงทุนกับเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อนำ�มากำ�จัด ขยะตามหลักสุขาภิบาลด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยาก คือ การสร้างการมีส่วนร่วม ซึ่งแม้ว่าหลายพื้นที่จะเคยไปศึกษาดูงานจาก อปท. ต้นแบบด้านการจัดการขยะหรือตัวอย่าง ชุมชนปลอดขยะที่ดีมาหลายครั้งแล้วก็ตาม บ่อยครั้งที่มักจะมีการอ้างถึงความไม่พร้อมของ คนในพื้นที่ซึ่งแม้จะถูกต้องบางส่วน แต่เป็นมายาคติของ “การกล่าวโทษเหยื่อ” (blaming the victim) ที่ไม่ช่วยให้เกิดการปรับปรุงพัฒนา ซึ่งจากผลการเปรียบเทียบการดำ�เนินการ ในกรณีศึกษา พบว่า ความสำ�เร็จของการจัดการขยะขึ้นอยู่กับความเข้าใจและความพร้อม ของทีมงานในการทำ�งานเชิงบูรณาการ การจัดการขยะมูลฝอยเชิงบูรณาการ (integrated solid waste management: ISWM) เป็นตัวแบบที่ได้รับการพัฒนามาตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1980 โดยในช่วงแรกเป็น ความพยายามทางวิศวกรรมในการผสมผสานเทคโนโลยีทางจักรกล เคมี และชีวภาพเพื่อให้ สามารถนำ�เศษวัสดุจากขยะที่ถูกทิ้งกลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด พร้อมกับลดผลกระทบ ตอ่ สงิ่ แวดลอ้ มจากการก�ำ จดั ขยะใหน้ อ้ ยทสี่ ดุ (White et al., 1995) ผลผลติ ของการพฒั นาในชว่ งนี้ คือ ศูนย์รีไซเคิลวัสดุ (material recovery facilities: MRFs) และศูนย์จัดการขยะ แบบผสมผสาน เมื่อแนวคิดนี้ถูกนำ�มาประยุกต์ใช้ในบริบทของประเทศกำ�ลังพัฒนา ซึ่งมีการ ใหค้ วามส�ำ คญั กบั ตวั “I” ของการบรู ณาการ (integration) มากยิง่ ขึน้ นกั วชิ าการและผูป้ ฏบิ ตั ิ ทัง้ ในภาครฐั และองคก์ รพฒั นาเอกชน (non-governmental organizations: NGOs) ไดเ้ นน้ ถงึ มติ ขิ องการพฒั นาระบบทีค่ รอบคลมุ (inclusive) โดยใหค้ วามส�ำ คญั ของการน�ำ ภาคสว่ นตา่ งๆ ตลอดจนเทคโนโลยีที่เหมาะสมและภูมิปัญญาท้องถิ่นสำ�หรับส่งเสริมการลดและนำ�ขยะ กลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ (Guerrero et al., 2013) อย่างไรก็ตาม การบูรณาการหนึ่งที่มัก จะไม่มีการพูดถึงอย่างเป็นระบบ คือ การบูรณาการภายในองค์กรของผู้บริหารจัดการเอง อบต.เมืองพาน และ ทต.เชียงเคี่ยน เป็นตัวอย่างของกรณีศึกษาที่ประสบความ สำ�เร็จในการสร้างการมีส่วนร่วมในชุมชน มีลักษณะการทำ�งานที่คล้ายคลึงกัน 3 ประการ ได้แก่ (1) ผู้บริหารมอบนโยบายและให้ความสำ�คัญกับการติดตามการทำ�งานอย่างจริงจัง (2) ส่วนงานต่างๆ เข้ามาช่วยกันทำ�งานโดยสอดแทรกการจัดการขยะเข้าไปในงานหลัก ของตน และ (3) มีระบบพี่เลี้ยงโดยมอบหมายให้มีพนักงานของท้องถิ่นเป็นผู้รับผิดชอบ ในการประสานงานกับหมู่บ้านที่เข้าร่วมโครงการ ดังนั้นการทำ�งานจึงไม่เพียงแต่เกิดผลดี
องค์กรปกครองสว่ นท้องถนิ่ กบั การจัดการขยะมลู ฝอยในท้องถนิ่ในเรื่องการจัดการขยะ แต่ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง อปท. กับชุมชน และเป็น 135ตัวอย่างที่ดีของการบูรณาการการทำ�งานให้กับชุมชน ซึ่งจะเห็นว่าต้นแบบชุมชนปลอดขยะส่วนมากไม่ได้โดดเด่นเฉพาะเรื่องของขยะ แต่ยังมีความเข้มแข็งในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเกษตรอินทรีย์ การเสริมสร้างอาชีพ การสร้างเสริมสุขภาพ และการเรียนรู้ตลอดชีวิตซึ่งล้วนแล้วแต่มีรากฐานมาจากการทำ�งานเป็นทีมทั้งสิ้น6.5.2 วธิ กี ารทำ�งานบูรณาการเชิงรุก อบต.เมืองพาน เป็นตัวอย่างของการบริหารการจัดการขยะในเชิงรุกโดยผู้บริหารอบต. และทมี นกั วจิ ยั เพอื่ ท�ำ การชงั่ และบนั ทกึ นา้ํ หนกั ขยะส�ำ หรบั การประกวดชมุ ชนปลอดขยะภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของตำ�บล โดยผู้บริหารตั้งแต่ตัวนายก รองนายก ปลัดและหัวหน้าสำ�นักงานปลัด จะแบ่งหน้าที่ออกเป็น 5 ชุด และผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำ�หน้าที่นี้เพื่อแสดงให้หมู่บ้านเห็นว่า อบต. ให้ความสำ�คัญและหวังผลจริงจากการดำ�เนินโครงการนี้ (มงคลกร ศรีวิชัย, 2558) ทั้งนี้ในระดับหมู่บ้านกิจกรรมการลดและคัดแยกขยะมักจะเริ่มต้นที่บ้านของกำ�นัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำ�ชุมชนคนอื่นๆ เป็นอันดับแรก เนื่องจากการขอความร่วมมือจากชาวบ้านโดยที่ตนเองไม่ทำ�เป็นตัวอย่างนั้นยากที่จะประสบความสำ�เร็จ การดำ�เนินการด้านการจัดการขยะโดยไม่มีกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมอาจเป็นเรื่องท้าทาย แต่ในอีกด้านหนึ่งอาจเป็นโอกาสที่ทำ�ให้ส่วนงานต่างๆ ของ อบต.ได้เข้ามาทำ�งานร่วมกัน ปัจจัยหนึ่งที่สำ�คัญของการจัดการขยะอย่างมีส่วนร่วมโดยไม่ยึดติดกับกรอบของการเก็บขนขยะไปกำ�จัด คือ การสร้างความตระหนักและความสามารถในการจัดการตัวเองของชุมชนและศักยภาพในการบูรณาการความสามารถนี้เข้ากับภารกิจอื่นๆของท้องถิ่น ซึ่งอาจแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ 1) การสอดแทรกให้ความรู้และการขอความร่วมมือจากชุมชนให้ร่วมรับผิดชอบจัดการขยะในการลงพื้นที่ให้บริการด้านอื่นที่ไม่จำ�เป็นต้องเกี่ยวข้องกับการจัดการขยะโดยตรง แต่มีกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน เช่นการแจกเบี้ยผู้สูงอายุ การให้บริการคลินิกเคลื่อนที่ ฯลฯ เป็นต้น โดยอาจมีเงื่อนไขให้สิทธิประโยชน์กับสมาชิกของชุมชนที่ให้ความร่วมมือคัดแยกขยะ ทำ�เสวียน ทำ�นํ้าหมักหรือกิจกรรมอื่นที่ท้องถิ่นและหมู่บ้านส่งเสริมเป็นลำ�ดับแรก 2) เป็นการต่อยอดกิจกรรมการจัดการขยะไปสู่ประเด็นการพัฒนาอื่นๆ โดยอาศัยผลผลิตหรือกองทุนที่ชุมชนสะสมจากการจัดการเศษวัสดุ เช่น การทำ�โครงการผักสวนครัวรั้วกินได้ เกษตรอินทรีย์จากปุ๋ยมูลไส้เดือน การผลิตสินค้าจากเศษวัสดุ หรือการนำ�ผลกำ�ไรส่วนหนึ่งจากธนาคารขยะไปจัดสวัสดิการที่ตอบสนองความต้องการของชุมชน ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำ�ให้กิจกรรมการจัดการขยะของชุมชนมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังช่วยให้ภารกิจด้านอื่นๆ ของท้องถิ่นมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย สุดท้ายการจัดพนักงานท้องถิ่นเป็นพี่เลี้ยงให้กับหมู่บ้านจะช่วยทำ�ให้การประสานระหว่างท้องถิ่นและชุมชนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ยกตัวอย่าง ทต.เชียงเคี่ยน ที่การดำ�เนินโครงการต่างๆ ทาง ทต.เชียงเคี่ยน จะออกคำ�สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ของเทศบาล หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง และตัวแทนชุมชนในพื้นที่ที่ดำ�เนิน
โครงสร้าง วสิ ยั ทศั น์ การขับเคลอ่ื นสุขภาวะ และการจดั การทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ มในทอ้ งถ่นิ โครงการ พร้อมทั้งระบุหน้าที่ของคณะกรรมการอย่างชัดเจน และมีการมอบหมายให้มี พนกั งานของเทศบาลอยา่ งนอ้ ย 1 คน รบั ผดิ ชอบประสานงานในแตล่ ะหมูบ่ า้ น ผูป้ ระสานงานนี้ จะมีหน้าที่ส่งสารจากเทศบาลไปยังหมู่บ้านและรับฟังความต้องการของหมู่บ้านมายัง เทศบาลผ่านช่องทางทั้งที่ไม่เป็นทางการและเป็นทางการ โดยทางเทศบาลจะจัดประชุม136 เจา้ หนา้ ทีท่ กุ เดอื นเพือ่ ตดิ ตามความคบื หนา้ และขา่ วสารในต�ำ บล และยงั ท�ำ หนา้ ทีเ่ ปน็ พีเ่ ลีย้ ง ในการดำ�เนินการต่างๆ เช่น การออกแบบระบบเอกสารและแบบฟอร์มของธนาคารขยะ ร่วมกับคณะกรรมการของหมู่บ้าน (พทั ธยาพร อุน่ โรจน,์ 2558ข) การทำ�งานเชิงรุกที่เน้นการ อำ�นวยความสะดวกนี้ได้สร้างความพึงพอใจให้กับประชาชน และยังแสดงให้เห็นถึงความ โปร่งใสสามารถตรวจสอบได้ตามหลักธรรมาภิบาล ทั้งยังเป็นการพัฒนาความสามารถและ ทักษะทางมนุษย์ (human skills) ของพนักงานท้องถิ่นให้มีความเข้าใจบริบทและความ ต้องการของชุมชน และสามารถทำ�งานกับมวลชนได้ดีขึ้น 6.6 สรปุ และข้อเสนอแนะ บทนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสังเคราะห์ข้อค้นพบเกี่ยวกับการขับเคลื่อนการจัดการ ขยะมูลฝอยของ อปท. ที่ได้จากกรณีศึกษา 4 กรณี จากความเข้าใจองค์ประกอบพื้นฐาน ของการจัดการขยะ คือ ปริมาณและองค์ประกอบขยะ แหล่งกำ�เนิดของขยะ ต้นทุนของการ พัฒนาระบบการจัดการ และแนวทางการทำ�งานเชิงบูรณาการ นำ�มาประมวลเป็นหลักคิด 4 ข้อ ที่สำ�คัญสำ�หรับองค์การบริหารส่วนตำ�บล (อบต.) ที่กำ�ลังอยู่ระหว่างการวางแผน ทบทวนนโยบาย หรือปรับปรุงการดำ�เนินงานด้านการจัดการขยะ ดังนี้ 1) “เม่ือรับรู้ถึงต้นทุน ก็จะเริ่มปรับปรุงประสิทธิภาพ” ผลการศึกษาพบว่า แรงผลักดันที่ทำ�ให้เกิดการปรับปรุงประสิทธิภาพและการสนับสนุนการจัดการขยะตาม แนวทางชุมชนปลอดขยะ คือ การตระหนักถึงต้นทุนของการจัดการขยะแบบทั่วไปที่เน้น การเก็บขนขยะไปกำ�จัด ซึ่งเริ่มต้นจากการลงทุนซื้อถัง ซื้อรถ และซื้อเตาเผาขยะขนาดเล็ก แม้ว่าจะอยู่ในวิสัยที่ อบต. สามารถจัดหาได้ด้วยงบประมาณของตัวเอง แต่ทำ�ให้งบพัฒนา ท้องถิ่นในด้านอื่นลดลง นอกจากนี้การซื้ออุปกรณ์และเครื่องจักรมาเป็นของตัวเองตั้งแต่แรก ยังทำ�ให้เกิดต้นทุนการดำ�เนินการสูงและลดความสามารถการจัดการขยะของประชาชน หากไม่มีการรณรงค์ส่งเสริมให้แหล่งกำ�เนิดขยะลดลง และการคัดแยกขยะซึ่งส่วนใหญ่ เป็นสิ่งที่ครัวเรือนและสถานประกอบการสามารถนำ�กลับมาใช้ประโยชน์หรือจัดการเองได้ จึงไม่น่าที่จะต้องเสียเงินเสียงบประมาณขนเศษวัสดุเหล่านี้ไปกำ�จัดให้เกิดผลเสียกับสุขภาพ และสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ อปท. ควรส่งผ่านข้อมูลให้กับชุมชนและครัวเรือนไม่ว่าจะด้วยการ สื่อสารผ่านผู้นำ�ชุมชน ในเรื่องของมูลค่าของวัสดุที่ถูกทิ้งปะปนไปกับขยะและชักชวนให้มา ร่วมกันนำ�ทุนนี้กลับคืนสู่ชุมชน หรือการใช้การคิดค่าธรรมเนียมต่อหน่วยตามปริมาณขยะ ที่แต่ละครัวเรือนทิ้งเป็นเครื่องมือ ซึ่งอาจจะเหมาะสมกับพื้นที่ชุมชนเมืองหรือกึ่งเมืองที่มี ความเป็นปัจเจกสูงขึ้น ดงั นัน้ จงึ สามารถสรปุ ไดว้ า่ ผูบ้ รหิ ารและทมี งานของ อปท. ควรศกึ ษาท�ำ ความเขา้ ใจ ต้นทุนการจัดการขยะให้ถ่องแท้และออกแบบระบบการบริหารจัดการที่จะช่วยให้ได้ข้อมูล ทางการเงิน เพื่อประโยชน์ของการติดตามตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบอย่างต่อเนื่อง
องคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถิน่ กับการจดั การขยะมูลฝอยในทอ้ งถ่ิน 2) “อย่าโทษคน แต่ให้ดูที่ระบบ” ผลการสำ�รวจทัศนคติและพฤติกรรมของ 137ครัวเรือนพบว่า ผู้ทิ้งขยะส่วนใหญ่ยินดีเข้าร่วมรับผิดชอบจัดการสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นแต่ทัศนคตินี้จะส่งผลให้เกิดพฤติกรรมการลดและคัดแยกขยะหรือไม่ ขึ้นกับเงื่อนไขทางกายภาพและทางสังคมที่เป็นผลมาจากการจัดการขยะของ อปท. และข้อตกลงของชุมชนสำ�หรับขยะย่อยสลายได้ซึ่งมีสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งของขยะมูลฝอยของชุมชนในประเทศไทยครัวเรือนส่วนใหญ่ในพื้นที่ชนบทสามารถจัดการได้เองถ้ามีการสนับสนุนให้มีอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับการหมักเศษวัสดุอินทรีย์ในบ้าน เช่น เสวียน เป็นต้น ส่วนการคัดแยกเศษวัสดุรีไซเคิล การจัดกิจกรรมของชุมชนในรูปของธนาคารขยะหรือตลาดนัดขยะสามารถช่วยลดภาระของท้องถิ่นและสร้างรายได้ให้กับครัวเรือน แต่ยังคงต้องอาศัยการฝึกอบรมสร้างความรู้และทัศนคติที่ดีให้กับคนในชุมชน ดังนั้นจึงสามารถสรุปได้ว่า การพัฒนาการจัดการขยะอย่างยั่งยืนเป็นผลมาจากการบริหารจัดการของ อปท. และหมู่บ้าน ในการส่งเสริมการคัดแยกขยะ การกำ�หนดแนวทางการเก็บขน และนำ�ขยะไปกำ�จัดอย่างชัดเจน เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนในพื้นที่อย่างเป็นระบบและมีแบบแผนที่ดี 3) “ทำ�งานเป็นทีมเชิงบูรณาการ” จากการเปรียบเทียบการดำ�เนินการพื้นที่กรณศี กึ ษาพบวา่ เงอ่ื นไขส�ำ คญั ประการหนง่ึ ทที่ �ำ ใหก้ ารปรบั ปรงุ ประสทิ ธภิ าพการจดั การขยะประสบผลสำ�เร็จคือ อปท. ต้องทำ�งานเป็นทีมตั้งแต่ผู้บริหารจนถึงผู้ปฏิบัติงาน โดยต้องตระหนักว่าการสร้างการมีส่วนร่วมไม่สามารถเกิดได้จากการทำ�งานประจำ�ตามภาระหน้าที่เป็นแบบแยกส่วน ดังนั้นการทำ�งานตามโครงสร้างเดิมๆ โดยให้กองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม หรือเจ้าหน้าที่เพียงคนใดคนหนึ่งรับผิดชอบจึงยากที่จะสำ�เร็จ ผู้บริหารตั้งแต่นายก รองนายก ปลัด รองปลัด หัวหน้าสำ�นักงานปลัด ตลอดจนเจ้าหน้าที่ในส่วนงานต่างๆต้องช่วยกันทำ�งานเชิงรุก เพื่อทำ�ความเข้าใจและส่งเสริมโครงการการจัดการขยะอย่างยั่งยืนด้วยชุมชน โดยการลงพื้นที่พบปะกับประชาชนในวาระโอกาสต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการประชุมหมู่บ้าน การแจกเบี้ยผู้สูงอายุ การทำ�ประชาคม การตรวจเยี่ยมบ้าน ฯลฯ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้งานขยะบรรลุผลแล้วยังสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง อปท. กับชุมชน และเปน็ ตวั อยา่ งของการบรู ณาการการท�ำ งานใหก้ บั ชมุ ชน ซง่ึ จะเหน็ ไดว้ า่ ตน้ แบบชมุ ชนปลอดขยะส่วนใหญ่ไม่ได้ทำ�เฉพาะเรื่องของขยะเท่านั้น แต่ยังโดดเด่นในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงการเสริมสร้างอาชีพ เกษตรอินทรีย์ การสร้างเสริมสุขภาพที่ดี และการเรียนรู้ตลอดชีวิตอีกด้วย ดงั นนั้ จงึ สามารถสรปุ ไดว้ า่ หาก อปท. ตอ้ งการจะเปลย่ี นจากการจดั การขยะแบบเดมิไปสู่การสร้างชุมชนปลอดขยะที่ประชาชนเข้ามาร่วมรับผิดชอบ อปท. ต้องเริ่มจากการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรของตนให้สามารถทำ�งานเป็นทีมเชิงบูรณการและเป็นตัวอย่างให้กับชุมชน 4) “ประสิทธิภาพเกิดจากตัวชี้วัดท่ีชัดเจน” การปรับปรุงประสิทธิภาพจะประสบความสำ�เร็จและยั่งยืนต่อเนื่องได้นั้น คนทำ�งานจะต้องมีเป้าหมายและตัวชี้วัดที่ชัดเจน ทั้งนี้การจัดประกวดชุมชนผ่านการวิจัยเชิงปฏิบัติการที่ผู้ปฏิบัติงานและนักวิจัยร่วมกันโดยมีประเด็นขยะเป็นตัวนำ� มีตัวชี้วัดที่ชัดเจนทั้งในส่วนขององค์ประกอบพื้นฐาน
โครงสรา้ ง วิสัยทัศน์ การขบั เคล่ือนสุขภาวะ และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ้ มในทอ้ งถ่นิ (เช่น การมีคณะทำ�งาน การจัดสรรความรับผิดชอบ การมีเครือข่าย เป็นต้น) กิจกรรม (เช่น การสื่อสาร การฝึกอบรม การรองรับและการนำ�เศษวัสดุประเภทต่างๆ กลับมาใช้ ประโยชน์ เป็นต้น) และผลลัพธ์ของการทำ�งานคือ ปริมาณขยะที่ต้องนำ�ไปกำ�จัดลดลง โดยมีการประเมินอย่างต่อเนื่อง เป็นเครื่องมือที่มีพลังในการกระตุ้นและขับเคลื่อนให้เกิด138 การเปลี่ยนแปลงและสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน ดังนั้นจึงสามารถสรุปได้ว่า การสร้างชุมชนปลอดขยะอย่างยั่งยืนจำ�เป็นต้องมี ตัวชี้วัดที่ครอบคลุมมิติสำ�คัญของการทำ�งานที่ชัดเจน เพื่อให้ทราบเป้าหมายที่ต้องการ สถานภาพในปัจจุบันของตน และให้ข้อมูลย้อนกลับ (feedback) ถึงผลการทำ�งานที่ผ่านมา ซึ่งจะเป็นกำ�ลังใจให้กับคนทำ�งาน
องคก์ รปกครองส่วนท้องถน่ิ กบั การจัดการขยะมูลฝอยในทอ้ งถ่นิเอกสารอา้ งอิง 139กรมควบคุมมลพิษ. 2558. ข้อมูลการสำ�รวจขยะมูลฝอย (First Draft) 77 จังหวัด ปี 2557 (ข้อมูล ณ วันที่ 12 มกราคม 2558). http://www.pcd.go.th/Info_Serv/roadmapWaste.html (28 กันยายน 2558). . 2547. รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการสำ�รวจและวิเคราะห์องค์ประกอบขยะมูลฝอย ชุมชนของเทศบาลทั่วประเทศ. คพ. 04-041. กรุงเทพฯ: กรมควบคุมมลพิษ กระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม.ทัศนีย์ เจียรพสุอนันต์. 2558. การวางแผนออกแบบระบบการจัดการขยะมูลฝอย: กรณีศกึ ษาองคก์ าร บริหารสว่ นต�ำ บลปา่ ตึง อำ�เภอแม่จัน จังหวดั เชยี งราย. ภายใต้การสนับสนุนของ สำ�นักงาน กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ.รายงานฉบับสมบูรณ์.ปเนต มโนมัยวิบูลย์. 2558. คมู่ อื การคดิ คา่ ธรรมเนยี มขยะตอ่ หนว่ ยส�ำ หรบั องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ . ภายใต้การสนับสนุนของ สำ�นักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ. เชียงใหม่: ล็อคอินดีไซน์เวิร์ค. . 2557. การให้บริการดา้ นสง่ิ แวดล้อมเพ่ือรองรบั กจิ กรรมทเี่ ก่ียวข้องกับการท่องเท่ยี ว: กรณีการจัดการขยะมูลฝอยและน้ําเสียในอำ�เภอเชียงของ และอำ�เภอเชียงแสน จังหวัด เชยี งราย. ภายใตก้ ารสนบั สนนุ ของ ส�ำ นักงานกองทุนสนับสนนุ การสร้างเสริมสขุ ภาพ. รายงาน ฉบับสมบูรณ์.ปเนต มโนมัยวิบูลย์ และ ณัฎฐิกาฑ์ เหมภัทรสุวรรณ. 2557. การเปรยี บเทียบสมรรถนะในการจดั การ ขยะขององคก์ รปกครองสว่ นท้องถิน่ : กรณีศึกษา อปท. ในเขตอำ�เภอเชยี งของและอ�ำ เภอ เชียงแสน จงั หวัดเชยี งราย. ภายใต้การสนับสนุนของ สำ�นักงานกองทุนสนับสนุนการสร้าง เสริมสุขภาพ. รายงานฉบับสมบูรณ์.พัชรพร สุคนธสรรพ์. 2558. การน�ำ แผนการจดั การขยะมลู ฝอยไปปฏบิ ตั ิ : กรณีศกึ ษาองคก์ ารบรหิ าร ส่วนตำ�บลแม่ข้าวต้ม อำ�เภอเมือง จังหวัดเชียงราย. ภายใต้การสนับสนุนของ สำ�นักงาน กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ. รายงานฉบับสมบูรณ์.พัทธยาพร อุ่นโรจน์. 2558ก. การพัฒนาระบบการจัดการขยะไปสู่ความยั่งยืน: กรณีศึกษาเทศบาล ตำ�บลเชียงเค่ียน อำ�เภอเทงิ จงั หวัดเชียงราย. ภายใต้การสนับสนุนของ สำ�นักงานกองทุน สนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ. รายงานฉบับสมบูรณ์. . 2558ข. ธนาคารขยะบ้านสันปูเลย. ภายใต้การสนับสนุนของ สำ�นักงานกองทุนสนับสนุน การสร้างเสริมสุขภาพ. เชียงใหม่: ล็อคอินดีไซน์เวิร์ค.มงคลกร ศรีวิชัย. 2558ก. การปรบั ปรงุ ประสทิ ธภิ าพการจดั การขยะมลู ฝอย: กรณศี กึ ษาองคก์ ารบรหิ าร สว่ นต�ำ บลเมอื งพาน อ�ำ เภอพาน จงั หวดั เชยี งราย. ภายใตก้ ารสนบั สนนุ ของ ส�ำ นกั งานกองทนุ สนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ. รายงานฉบับสมบูรณ์. . 2558ข. ดคู นพานจัดการขยะ. ภายใต้การสนับสนุนของ สำ�นักงานกองทุนสนับสนุนการ สร้างเสริมสุขภาพ. เชียงใหม่: ล็อคอินดีไซน์เวิร์ค.แสงจริง. 2555. หาดสองแคว. Healthy Planet: สุขคดีท่องเที่ยวชุมชนเพื่อการเรียนรู้. กรุงเทพฯ: สำ�นัก สนับสนุนสุขภาวะชุมชน, สำ�นักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ.อภิสม อินทรลาวัณย์ และ ปเนต มโนมัยวิบูลย์. 2556. การใชก้ ารวิเคราะหต์ น้ ทนุ และผลตอบแทน เพื่อการเรียนรู้ทางนโยบายของชุมชน: กรณีศึกษาโครงการสร้างเตาเผาขยะขององค์การ บริหารสว่ นตำ�บลแม่สลองในอ�ำ เภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชยี งราย. ภายใต้การสนับสนุนของ สำ�นักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ. รายงานฉบับสมบูรณ์.
โครงสร้าง วิสยั ทศั น์ การขบั เคลือ่ นสขุ ภาวะ และการจดั การทรพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อมในทอ้ งถน่ิ Ajzen, I. 1991. The theory of planned behavior. Organizational Decision and Human Decision Process 50(2): 179-211. Bilitewski, B. 2008. From traditional to modern fee systems. Waste Management 28(12): 2760-2766. Guagnano, G.A., Stern, P.C. and Dietz, T. 1995. Influences on attitude-behavior relationships:140 A natural experiment with curbside recycling. Environment and Behavior 27: 699-718. Guerrero, L.A., Maas, G., and Hogland, W. 2013. Solid waste management challenges for cities in developing countries. Waste Management 33(1): 220-232. Manomaivibool, P. 2015. Wasteful tourism in developing economy? A present situation and sustainable scenarios. Resources, Conservation and Recycling 103: 69-76. OECD. 2015. Municipal Waste, Generation and Treatment. https://stats.oecd.org/Index.aspx? DataSetCode=MUNW (Accessed 28 Sept 2015). Ölander, F., and Thørgersen, J. 2006. The A-B-C of recycling. European Advances in Consumer Research 7: 1-6. Porter, R.C. 2002. The Economics of Waste. Washington, DC: Resources for the Future. Stern, P.C. 2000. Toward a coherent theory of environmentally significant behavior. Journal of Social Issues 56(3): 407-424. Strasser, S. 2000. Waste and Want: A Social History of Trash. New York: Owl Books. Thøgersen, J. 2005. How may consumer policy empower consumers for sustainable lifestyles? Journal of Consumer Policy, 28: 143-178. White, P., Franke, M., and Hindle, P. 1995. Integrated Solid Waste Management: Lifecycle Inventory. London: Blackie Academic & Professional.
7 บทสรปุ บทสรปุ 141รายงานฉบบั นใี้ หค้ วามส�ำ คญั กบั ผลของโครงสรา้ ง (ประเภท/ขนาดของ อปท.) ตอ่ การด�ำ เนนิ งานและความสัมฤทธิ์ผลของ อปท. โดยใช้แนวคิด Structure-Conduct-Performance(S-C-P) paradigm เป็นกรอบแนวคิดในการศึกษา บทที่ 2 ศึกษาผลของปัจจัยด้านโครงสร้างต่อวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร อปท. ส่วนบทที่ 3 พัฒนาดัชนีสุขภาวะที่ดีโดยอาศัยกรอบแนวคิด S-C-P และศึกษาผลของโครงสร้างต่อดัชนีสุขภาวะที่ดี อย่างไรก็ดี เนื่องจากการวัดประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และผลลัพธ์จากการดำ�เนินงานของ อปท. ข้อมูลทุติยภูมิที่เป็นข้อมูลสาธารณะยังมีไม่เพียงพอ ต้องใช้ข้อมูลความพึงพอใจของประชาชน จึงยังไม่สามารถใช้แบบจำ�ลองที่สมบูรณ์ในบทที่ 3 เนื่องจากงบประมาณจำ�กัด ทำ�ให้ต้องใช้การส่งแบบสอบถามทางไปรษณีย์และการจัดประชุมกลุ่มย่อย (focus group) ร่วมกับตัวแทนของ อปท. อย่างไรก็ดี กรอบแนวคิด S-C-P ถูกประยุกต์ใช้ในบทที่ 4 และประยุกต์ใช้สมการโครงสร้าง (Structural Equation Model: SEM) ตรวจสอบและวิเคราะห์บทบาทของ อปท. ที่มีต่อความสัมฤทธิ์ผลของการท่องเที่ยวที่วัดจากจำ�นวนนักท่องเที่ยวและรางวัลที่ได้รับ บทที่ 5 วิเคราะห์ขอบเขตอำ�นาจและข้อจำ�กัดของ อปท. ในด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและความพร้อมของ อปท. ในด้านดังกล่าว และบทที่ 6 เป็นบทที่ศึกษาปัจจัยแห่งความสำ�เร็จในการขับเคลื่อนการจัดการขยะภายในท้องถิ่น สามารถสรุปผลโดยย่อในแต่ละส่วนดังนี้7.1 ผลกระทบของโครงสร้างตอ่ วสิ ยั ทศั น์ การศึกษาในบทที่ 2 เป็นการสำ�รวจ อปท. ทั่วประเทศ ในปี พ.ศ. 2554 โดยได้รับแบบสอบถามคนื มารวมทัง้ สิน้ 2,680 แหง่ พบวา่ ในระดบั ภารกจิ จะมคี วามแตกตา่ งระหวา่ งเทศบาล และ อบต. ในด้านความสามารถในการให้บริการสาธารณะและการหารายได้ในด้านการหารายได้ ผู้นำ� อปท. ในชนบทให้ความสำ�คัญกับการหารายได้น้อยกว่า อปท.
โครงสรา้ ง วสิ ัยทศั น์ การขับเคลอ่ื นสุขภาวะ และการจดั การทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดล้อมในท้องถนิ่ ในเขตเมือง โดย อปท. ในชนบทจะให้ความสนใจกับการมีส่วนร่วมของประชาชนมากที่สุด และเมื่อแบ่ง อปท. ตามระดับขนาดของงบประมาณ อปท. ขนาดเล็ก (งบประมาณตํ่ากว่า 15 ล้านบาทต่อปี) จะให้ความสำ�คัญกับการมีส่วนร่วมและระบบธรรมาภิบาลที่โปร่งใสมาก ในแบบสำ�รวจของการศึกษานี้ ผู้นำ� อปท. จะต้องระบุถึงวิสัยทัศน์ของตน142 ในการบริหารราชการท้องถิ่น (จำ�กัดให้ผู้ตอบต้องมีตำ�แหน่งนายก หรือปลัดเท่านั้น) โดยตั้งคำ�ถามว่า เมื่อการกระจายอำ�นาจเป็นไปอย่างสมบูรณ์แล้ว ผู้บริหารองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นมองภาพอนาคตของ อปท. ว่ามีขอบเขตอำ�นาจการบริหารจัดการเพียงใด โดยมี คำ�ตอบ 6 ข้อให้เลือก ซึ่งคำ�ถาม 6 ข้อจะเกี่ยวข้องกับภารกิจ เช่นการให้บริการสาธารณะ การให้ประชาชนมีส่วนร่วม การหารายได้ การจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่น ฯลฯ การศึกษาพบว่า แม้ว่าผู้นำ� อปท. จะให้คะแนนภารกิจทุกข้อเป็นบวกในระดับค่อนข้างสูง ทกุ ขอ้ แตย่ งั มคี วามแตกตา่ งในระหวา่ งหวั ขอ้ ผบู้ รหิ ารทอ้ งถน่ิ ใหค้ วามส�ำ คญั กบั การมสี ว่ นรว่ ม มากที่สุด ซึ่งเป็นประเด็นที่สำ�คัญเนื่องจากเกี่ยวข้องกับฐานเสียง และสนใจการพึ่งตัวเอง ด้านรายได้น้อยที่สุด เมื่อนำ�วิสัยทัศน์ทั้ง 6 ข้อนี้ มาทำ� (แยก+รวม) ให้เป็นองค์ประกอบ ของ 3 แนวคิด คือ หนง่ึ บริการนิยม ซึ่งเป็นแนวทางที่มีมาแต่เดิมของ อปท. สอง การมี ส่วนร่วมนิยม ซึ่งเน้นให้ประชาชนมามีส่วนร่วมคิด ร่วมทำ� ร่วมพัฒนาท้องถิ่น และ สาม ท้องถิ่นนิยม คือ มีความอิสระในการจัดการตนเอง ตามแนวคิดดังกล่าวสามารถ แบ่งกลุ่ม อปท. ตัวอย่างเป็น 3 กลุ่ม โดยกลุ่มที่ยอมรับแนวคิดบริการนิยมเป็นกลุ่มใหญ่สุด (ของตัวอย่างทั้งหมด) รองลงมาคือ กลุ่มที่ยอมรับแนวคิดทั้ง 3 ด้าน กลุ่มที่เล็กที่สุด คือ กลุ่มที่ยอมรับแนวคิดการมีส่วนร่วมและท้องถิ่นนิยม ทั้ง 3 กลุ่มมีความแตกต่างในด้านขนาด งบประมาณ และทำ�เลที่ตั้ง (เมือง/ชนบท/กึ่งเมือง-กึ่งชนบท) หมายความว่า ผู้นำ� อปท. มองขอบเขตภารกิจของตนตามบริบทของพื้นที่และความต้องการของประชาชนในท้องถิ่น วิสัยทัศน์ด้านการพึ่งตนเองด้านรายได้เป็นสิ่งที่ อปท. ทุกกลุ่ม ทุกประเภทโครงสร้าง ให้ค่าคะแนนตํ่าที่สุด การศึกษาวิสัยทัศน์ของผู้นำ� อปท. สะท้อนความต้องการของชุมชนท้องถิ่น ในชนบทและในท้องถิ่นที่ขาดแคลน ประชาชนจะเลือกผู้นำ�ที่ให้โอกาสการมีส่วนร่วมในการ จัดสรรทรัพยากร (รวมงบประมาณ ทรัพยากรสาธารณะ และอื่นๆ) มาใช้ในการดำ�รงชีพ ให้ได้ประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ เนื่องจากโอกาสการสร้างรายได้ในท้องถิ่นที่ห่างไกล ค่อนข้างตํ่า อปท. ในชนบทและท้องถิ่นที่ขาดแคลนจึงไม่เน้นการแสวงหารายได้ ส่วนในด้าน บริการสาธารณะ ด้านขยะมลพิษ ยังไม่ใช่ปรากฏการณ์สำ�คัญในท้องถิ่นชนบททั่วไป จึงทำ�ให้ อปท. ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ชนบท ให้ความสนใจด้านสิ่งแวดล้อมไม่สูงนัก แต่ให้ความ สนใจกับการมีส่วนร่วมและธรรมาภิบาลท้องถิ่น 7.2 โครงสร้างทอ้ งถ่ินและดัชนสี ุขภาวะท่ีดีของชมุ ชน ในบทที่ 3 ศึกษาว่าประเภททำ�เลที่ตัง้ และขนาดของท้องถิน่ มผี ลต่อระดบั สขุ ภาวะ ที่ดีของชุมชนหรือไม่ โดยใช้ดัชนีย่อย 10 ด้าน ได้แก่ สุขภาพอนามัย ความปลอดภัย การป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติ สวัสดิการชุมชน การสนับสนุนส่งเสริมการทำ�เกษตรอินทรีย์ การศึกษาเรียนรู้ภายในชุมชน การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การจัดการสิ่งแวดล้อม
บทสรุปในชุมชน การมีส่วนร่วมของประชาชน และเศรษฐกิจชุมชน โดยมีตัวชี้วัดทั้งหมด 44 ตัว 143ทำ�การส่งแบบสอบถามไปยัง อปท. ทั่วประเทศ และได้แบบสอบถามคืนมาที่สามารถวิเคราะห์ได้ 674 ตัวอย่าง (สำ�รวจในปี พ.ศ. 2557) การศึกษาพบว่า ขนาดที่วัดโดยจำ�นวนประชากรและงบประมาณมีผลต่อการสร้างสุขภาวะที่ดีในภาพรวม โดยเฉพาะในเรื่องการจดั การสิง่ แวดลอ้ มในชมุ ชน อปท. ขนาดใหญ่ (วดั จากงบประมาณ) และ อปท. ในเขตเมอื งสามารถทำ�ได้ดีกว่ากลุ่มอื่น นอกจากนี้ อปท. ที่มีงบประมาณมากจะสามารถจัดการเรื่องสุขภาพอนามัยและการจัดการสิ่งแวดล้อมในชุมชนและมีระดับสุขภาวะที่สูงกว่า ส่วน อปท.ที่มีงบประมาณน้อยจะมีค่าเฉลี่ยสุขภาวะที่ดีกว่าในด้านการป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติการศึกษาเรียนรู้ในชุมชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน การศึกษายังพบอีกว่า อปท.ที่ได้รับการสนับสนุนให้เป็นศูนย์จัดการเครือข่ายสุขภาวะชุมชน โดย สสส. และ อปท. ที่เป็นเครอื ขา่ ยของ สสส. มรี ะดบั สขุ ภาวะทีด่ ขี องชมุ ชนดกี วา่ อปท. นอกเครอื ขา่ ย โดยเฉพาะในดา้ นสวสั ดกิ ารชมุ ชน การจดั การทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอ้ มภายในชมุ ชน ความปลอดภยัการมีส่วนร่วมของชุมชน และเศรษฐกิจชุมชน ข้อค้นพบสำ�คัญของการศึกษานี้ คือ ปัจจัยที่เป็นเงื่อนไขให้เกิดการสร้างเสริมสุขภาวะที่ดีของชุมชน มี 2 ปัจจัยสำ�คัญ คือ ขนาดของ อปท. (วัดจากจำ�นวนประชากรหรืองบประมาณ) และการสนับสนุนจากองค์กรภายนอก (ในการศึกษานี้ คือ สสส.) มีส่วนสำ�คัญในการสร้างสุขภาวะที่ดีแก่ชุมชน การศึกษานี้ยังชี้ให้เห็นว่า ข้อเสนอของนักเศรษฐศาสตร์ที่ให้มีการหลอมรวม อปท. ขนาดเล็กเพื่อให้เกิดการประหยัดจากขนาด (economies ofscale) จะทำ�ให้สุขภาวะดีขึ้น หากถือเกณฑ์ประชากรหรือเกณฑ์งบประมาณ แต่หากพิจารณาตามเกณฑ์ของกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งมีเงื่อนไขหลายประการก็จะไม่มีความจำ�เป็นในการหลอมรวม เพราะไม่มีความแตกต่างในระดับสุขภาวะที่ดีระหว่าง อปท. ที่มีขนาดแตกต่างกัน สำ�หรับการให้ความสำ�คัญและช่องว่างการพัฒนา พบว่า อบต. ขนาดเล็กสนใจการป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติ การจัดการสิ่งแวดล้อมในชุมชน และการศึกษาเรียนรู้ภายในชุมชน ในลักษณะของการจัดการความรู้ภายในท้องถิ่น เช่น การแสวงหาและใช้ปราชญ์ท้องถิ่น อบต. ขนาดกลางและใหญ่จะเน้นด้านสุขภาพอนามัย สิ่งแวดล้อมภายในชุมชนมากขึ้น ส่วนเทศบาลตำ�บลให้ความสำ�คัญกับการจัดการสิ่งแวดล้อมภายในชุมชนโดยเฉพาะเรื่องขยะที่เริ่มเป็นปัญหาสำ�คัญเมื่อมีความเป็นเมืองมากขึ้น อย่างไรก็ตาม อปท.ทุกประเภทสนใจให้มีการมีส่วนร่วมของประชาชน จากการศึกษาดัชนีชี้วัดสุขภาวะที่ดีเชิงลึกโดยการจัดประชุมกลุ่มย่อย พบว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ สสส. ตั้งให้เป็นศูนย์จัดการเครือข่ายสุขภาวะชุมชนเป็นหัวรถจักรของการพัฒนาในทุกๆ ด้านที่เป็นความรับผิดชอบของ อปท. สามารถแสวงหานวัตกรรมและสร้างสุขภาวะที่ดีให้กับคนท้องถิ่นได้อย่างที่รัฐส่วนกลางไม่สามารถทำ�ได้หรือทำ�ไม่ได้อย่างทันการณ์ เช่น มีการกำ�กับกติการักษาป่าชุมชน และการทำ�เกษตรอินทรีย์ของ อบต.แม่ทา จังหวัดเชียงใหม่ การให้สวัสดิการชุมชนตั้งแต่การเกิดจนตายของเทศบาลตำ�บลอุโมงค์ จังหวัดลำ�พูน การให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการทำ�ผังชุมชนของเทศบาลตำ�บลปริก จังหวัดสงขลา การแยกและจัดการขยะของ อบต.ดอนแก้ว จังหวัดเชียงใหม่
โครงสร้าง วิสัยทัศน์ การขับเคล่อื นสขุ ภาวะ และการจัดการทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ มในท้องถ่ิน การจัดการภัยพิบัติของ อบต.แม่พูล จังหวัดอุตรดิตถ์ หรือเทศบาลเมืองยะลา ที่พยายาม ใช้ทุกวิถีทางตั้งแต่สภาประชาชน ทีมฟุตบอล วงออร์เคสตราเด็กมาช่วยสลายความขัดแย้ง เป็นต้น144 7.3 โครงสรา้ งการขบั เคลอ่ื นและผลสมั ฤทธขิ์ องการจดั การการทอ่ งเทยี่ ว บทที่ 4 ส�ำ รวจการสง่ เสรมิ การทอ่ งเทีย่ วของ อปท. ทีม่ แี หลง่ ทอ่ งเทีย่ ว โดยคดั เลอื ก จากข้อมูล กชช.2ค ในปี พ.ศ. 2554 จำ�นวน 1,889 แห่ง รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ทางไปรษณีย์ ซึ่งมี อปท. ตอบกลับมาจำ�นวน 256 แห่ง (สำ�รวจในปี พ.ศ. 2555) พบว่า อปท. ให้ความสนใจด้านการท่องเที่ยวในระดับค่อนข้างสูง กล่าวคือ ประมาณครึ่งหนึ่ง มีแผนกลยุทธ์และแผนปฏิบัติการด้านการท่องเที่ยว คิดเป็นร้อยละ 75 มีเว็บไซต์เพื่อการ เผยแพรแ่ หลง่ ทอ่ งเทีย่ ว งบประมาณจากการทอ่ งเทีย่ วมาจากหลายหมวด เชน่ การทอ่ งเทีย่ ว การอนุรักษ์วัฒนธรรม เป็นต้น โดยรวมแล้วจะมีขนาดประมาณร้อยละ 10 ของงบประมาณ ทั้งหมด ในบทนี้ยังพบว่า แม้ในตำ�บลจะไม่มีสิ่งดึงดูดใจด้านการท่องเที่ยวที่โดดเด่น อย่างเช่น เทศบาลตำ�บลอุโมงค์ จังหวัดลำ�พูน แต่สามารถใช้รางวัลจากการบริหารจัดการ ด้านต่างๆ ดึงดูดให้มีผู้มาดูงานและทัศนศึกษา ก่อให้เกิดรายได้จากการท่องเที่ยวในท้องถิ่น เป็นต้น จากการประยุกต์ใช้การวิเคราะห์องค์ประกอบสองระดับ (second-order factor analysis) ศกึ ษาแบบจ�ำ ลองการวดั ศกั ยภาพดา้ นการทอ่ งเทย่ี วของทอ้ งถนิ่ พบวา่ การด�ำ เนนิ งาน ของ อปท. (มนี โยบาย/กิจกรรม และการสนับสนุนให้ประชาชนมสี ่วนร่วม) เปน็ องคป์ ระกอบ ที่มีนํ้าหนักความสำ�คัญมากที่สุดในการบ่งชี้ศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของท้องถิ่น ตามด้วย โครงสร้างเชิงกายภาพ ขณะที่การศึกษาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุขององค์ประกอบต่างๆ ของศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของท้องถิ่น โดยใช้แบบจำ�ลองสมการโครงสร้าง (Structural Equation Model: SEM) พบว่า องค์ประกอบด้านโครงสร้างมีผลดึงดูดการลงทุนจาก ภาคเอกชน ส่วนการสนับสนุนกิจกรรมการท่องเที่ยวของ อปท. ยังไม่มีผลต่อจำ�นวนผู้มา เยี่ยมเยือน เพียงแต่มีผลต่อรางวัลที่ได้รับเท่านั้น ความสำ�คัญของ อปท. ต่อการท่องเที่ยว ยังอยู่ที่การสร้างความพร้อมของสภาพแวดล้อมเชิงกายภาพ (การกำ�จัดขยะ การเข้าถึง แหล่งท่องเที่ยว และอื่นๆ) มากกว่าการส่งเสริมกิจกรรมด้านท่องเที่ยวโดยตรง 7.4 อปท. กับการจดั การทรัพยากรธรรมชาติ การศึกษาในบทที่ 5 ได้ทบทวนกฎหมายที่กำ�กับทรัพยากรธรรมชาติ พบว่า อปท. ไดร้ บั อ�ำ นาจและทรพั ยากรเพือ่ การจดั การสิง่ แวดลอ้ มนอ้ ยมาก ปญั หากค็ อื ถงึ แมว้ า่ กฎหมาย ขั้นตอนกระจายอำ�นาจ (มาตรา 16) จะให้อำ�นาจ อปท. จัดการตามภารกิจ (รวมทั้ง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) โดยไม่ขัดต่อกฎหมายอื่นได้ก็จริง แต่คณะกรรมการ กฤษฎีกามีคำ�วินิจฉัยมาแล้วว่า กฎหมายว่าด้วยการกำ�หนดแผนและขั้นตอนการกระจาย อ�ำ นาจใหแ้ กอ่ งคก์ รปกครองสว่ นถิน่ พ.ศ. 2542 เปน็ เพยี งกฎหมายสนบั สนนุ อปท. ยงั ตอ้ งการ กฎหมายหลักที่ให้อำ�นาจ และแม้ว่ามาตราที่ 290 ของรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2540 และปี พ.ศ. 2550 ก�ำ หนดไวว้ า่ อปท. ยอ่ มมอี �ำ นาจหนา้ ทีส่ ง่ เสรมิ คณุ ภาพสิง่ แวดลอ้ มตามทีก่ ฎหมาย
บทสรุปบัญญัติ 4 เรื่อง คือ (1) การจัดการบำ�รุงรักษาและใช้ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมที่อยู่ใน 145เขตพื้นที่ (2) การเข้าไปมีส่วนร่วมในการบำ�รุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่อยู่นอกเขตพื้นที่เฉพาะในกรณีที่อาจมีผลกระทบต่อการดำ�รงชีวิตของประชาชนในพื้นที่ของตน (3) การมีส่วนร่วมในการพิจารณาเพื่อริเริ่มโครงการหรือกิจกรรมใดนอกเขตพื้นที่ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมหรือสุขภาพอนามัยของประชาชน และ 4) การมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่น จนมาถึงบัดนี้ กฎหมายลูกที่จะรองรับมาตรา 290 ก็ยังไม่เกิดขึ้น ในบทที่ 5 ยงั ไดศ้ กึ ษาความรูค้ วามเขา้ ใจของผูบ้ รหิ าร อปท. ซึง่ พบวา่ มคี วามเขา้ ใจในกฎหมายน้อยมาก ความพร้อมของ อปท. ที่จะช่วยการขับเคลื่อนให้บรรลุวัตถุประสงค์เปน็ ความพรอ้ มในระดับจติ สำ�นึกมากกว่าในระดบั ปฏบิ ตั กิ าร จงึ ควรมกี ารให้ความรูเ้ พิม่ เติมโดยเริ่มที่การทบทวนกฎหมายต่างๆ ที่กำ�กับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ นอกจากนี้ยังพบว่าผูน้ �ำ อปท. สว่ นใหญม่ คี วามรูค้ วามเขา้ ใจกฎหมายการจดั การทรพั ยากรธรรมชาตไิ มถ่ กู ตอ้ งนกัอปท. กลุม่ ทีม่ วี สิ ยั ทศั นร์ วมทกุ ดา้ น (แยกกลุม่ ตามวธิ กี ารในบทที่ 2) ตอ้ งการอ�ำ นาจมากกวา่อปท.กลุ่มอื่น นอกจากนี้ อปท. ทุกกลุ่มยังต้องการได้อำ�นาจเพิ่มด้านประมงมากที่สุด และทุกกลุ่มให้ความสำ�คัญน้อยกับอำ�นาจในการหารายได้เพื่อเลี้ยงตัวเอง7.5 การขบั เคล่ือนการจัดการขยะท้องถนิ่ อย่างบูรณาการ บทที่ 6 เนน้ ดา้ นการด�ำ เนนิ งานหรอื การขบั เคลือ่ น (conduct) ซึง่ เปน็ ผลการศกึ ษาจาก 4 กรณีศึกษา ที่มีการจัดการขยะในระดับที่แตกต่างเพื่อถอดบทเรียนการพัฒนา พบว่ามีความเป็นไปได้ที่จะลดขยะ หากมีกิจกรรมรณรงค์ที่เข้มแข็งและใช้เครื่องมือการเก็บค่าธรรมเนียมที่เหมาะสม เช่น เก็บตามนํ้าหนักขยะ เป็นต้น สถานประกอบการท่องเที่ยวเป็นแหล่งกำ�เนิดขยะที่สำ�คัญในเขต อปท. ที่มีการท่องเที่ยวและโรงแรมระดับ 5 ดาวอาจมขี ยะมากกวา่ คา่ เฉลีย่ ของขยะจากตน้ ก�ำ เนดิ อืน่ ถงึ 3 เทา่ ปจั จยั แหง่ ความส�ำ เรจ็ ของการขับเคลื่อนการจัดการขยะท้องถิ่นอย่างบูรณาการมี 5 ประการด้วยกัน คือ หนง่ึ ทั้งผู้บริหารและประชาชนมีความเข้าใจโครงสร้างองค์ประกอบต้นทุนอย่างครบวงจร กล่าวคือ ให้มีความเข้าใจว่า ต้นทุนการสร้างระบบเก็บขนและกำ�จัดขยะรวมไปถึงการดำ�เนินงานต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง และมีต้นทุนเสียโอกาสจากการนำ�เงินงบประมาณไปใช้ในการพัฒนาด้านอื่นๆ และยังมีผลด้านสิ่งแวดล้อมจากการกำ�จัดที่ไม่ถูกต้อง สอง ประชาชนต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการขยะ การขับเคลื่อนให้ประชาชนใช้หลัก 3Rs (reduce-reuse-recycle) ทำ�ให้ อบต.เมืองพาน สามารถลดค่าใช้จ่ายในการกำ�จัดขยะจากเดือนละกว่า200,000 บาท เป็น 75,000 บาท สามารถลดปริมาณขยะจาก 0.43 กิโลกรัมต่อคนต่อวันเหลือ 0.05 กิโลกรัมต่อคนต่อวัน การมีส่วนร่วมนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการประกาศให้รางวัลชุมชนปลอดขยะ และให้ชุมชนมีรายได้จากธนาคารขยะ รวมทั้งการเก็บค่าธรรมเนียมขยะตามนํา้ หนกั ไมใ่ ชค่ า่ ธรรมเนยี มในอตั ราคงที่ สาม ตอ้ งมอี ปุ กรณท์ ีเ่ หมาะสม ในการศกึ ษาพบว่า แม้ทัศนคติที่เป็นบวกจะนำ�ไปสู่พฤติกรรมการจัดการขยะที่เป็นบวกและมีนัยสำ�คัญทางสถิติก็จริง แต่ค่าสหสัมพันธ์ที่พบยังอยู่ในระดับตํ่า (0.351) แสดงว่า ยังมีปัจจัยอื่นที่จำ�เป็นต่อพฤติกรรมการคัดแยกขยะ ทีมวิจัยได้ค้นคว้าจนพบว่า หากมีการใช้อุปกรณ์รองรับขยะที่เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ หาง่าย ต้นทุนตํ่า ที่เรียกว่า เสวียน เพื่อแยกขยะ
โครงสรา้ ง วสิ ัยทัศน์ การขับเคล่อื นสุขภาวะ และการจัดการทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ มในท้องถ่ิน ครัวเรือนที่มีเสวยี นจะคัดแยกขยะยอ่ ยสลายได้สูงถงึ 2.6 เท่าของกลุม่ ทีไ่ ม่มี ส่ี การขับเคลื่อน แบบบรู ณาการเชงิ รกุ เปน็ เรือ่ งจ�ำ เปน็ การขบั เคลือ่ นจ�ำ เปน็ ตอ้ งมผี ูน้ �ำ องคก์ รเปน็ ตวั ขบั เคลือ่ น ในตำ�บลที่ประสบความสำ�เร็จ นายก รองนายก ปลัด ผลัดเปลี่ยนกันนำ�ทีมไปเป็นผู้นำ� ของการชั่งและบันทึกขยะสำ�หรับการประกวด และมีกำ�นันผู้ใหญ่บ้านให้การสนับสนุนอย่าง146 เข้มแข็ง มีการสอดแทรกการให้ความรู้ในการจัดการขยะไปกับการให้บริการกลุ่มเป้าหมาย เดียวกันในทุกกิจกรรมของ อปท. ที่ประชาชนเข้ามารับบริการ เช่น การแจกเบี้ยผู้สูงอายุ การให้บริการคลินิกเคลื่อนที่ เกษตรปลอดสารพิษที่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์จากขยะ การเลี้ยงกบขวด กลุม่ ผูผ้ ลติ สนิ คา้ พืน้ เมอื งจากเศษวสั ดุ เปน็ ตน้ กลา่ วคอื ท�ำ ใหก้ ารจดั การขยะเปน็ สว่ นหนึง่ ใน ทกุ กจิ กรรมของ อปท. รวมทัง้ การพฒั นา สวสั ดกิ าร บรกิ ารสาธารณสขุ และ หา้ มธี รรมาภบิ าล และการมีตัวชี้วัดที่ชัดเจน ได้แก่ การออกแบบระบบจัดการรายได้จากขยะ มีตัวชี้วัดแสดง จำ�นวนขยะและต้นทุนที่ลดลง เป็นข้อมูลย้อนกลับ เพื่อให้กำ�ลังใจแก่คนทำ�งาน นอกจากปัจจัยแห่งความสำ�เร็จตามที่กล่าวมาแล้ว การศึกษานี้ยังแสดงให้ที่ว่า แมพ้ ืน้ ทีท่ ีศ่ กึ ษาจะเปน็ พืน้ ทีก่ ึง่ เมอื ง-กึง่ ชนบท แตข่ ยะเริม่ เปน็ ปญั หาส�ำ คญั และเปน็ กจิ กรรม ที่ใช้พละกำ�ลัง (efforts) ขององค์กรอย่างยิ่ง ความพยายามให้ประชาชนมีส่วนร่วมแต่เนิ่นๆ จะท�ำ ใหเ้ กดิ วนิ ยั และทศั นคตทิ ีด่ ตี อ่ การคดั แยกขยะ ท�ำ ใหก้ ารจดั การขยะทีด่ มี คี วามเปน็ ไปได้ มีประสิทธิภาพ และมีความยั่งยืน 7.6 ข้อเสนอแนะ 7.6.1 การเพิ่มศกั ยภาพทวั่ ไป 1) ควรกระจายภารกิจและให้อำ�นาจการจัดการแก่ อปท. ให้เป็นไปตามกลุ่ม ตามศักยภาพและความพร้อม เพื่อให้สามารถจัดการปัญหาในบริบทที่แตกต่างกัน แทนที่ จะให้อำ�นาจเหมือนกันเท่ากันอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน การศึกษานี้พบว่า อปท. มีศักยภาพ และความต้องการการสนับสนุนแตกต่างกัน การเพิ่มอำ�นาจให้ อปท. จึงควรเพิ่มให้ตาม ความพร้อมของท้องถิ่นตามตัวชี้วัดด้านศักยภาพ โดยให้จัดกลุ่มตามศักยภาพและให้ระดับ อำ�นาจหน้าที่สอดคล้องกับศักยภาพ ระดับอำ�นาจในการจัดการควรขึ้นอยู่กับตัวชี้วัด การหารายได้ และการทำ�งานร่วมกับประชาคม และระดับการมีส่วนร่วมของประชาชน 2) ต้องดำ�เนินการสร้างองค์ความรู้ให้แก่ อปท. ทั้งระดับนโยบายและปฏิบัติการ ผ่านการเผยแพร่แนวทางปฏิบัติที่เป็นเลิศหรือการให้ความรู้โดยตรงและต่อเนื่อง เพราะมี ภารกจิ ทีม่ อบหมายมาจากสว่ นราชการตา่ งๆ จ�ำ นวนมาก แมว้ า่ อปท. จะมอี �ำ นาจในการวา่ จา้ ง เอกชนมาด�ำ เนนิ การตา่ งๆ กต็ าม แต่ อปท. กม็ คี วามจ�ำ เปน็ ทีจ่ ะตอ้ งมเี จา้ หนา้ ทีใ่ นหนว่ ยงาน ซึง่ มคี วามรูใ้ นเรือ่ งการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาตทิ ัง้ การอนุรกั ษ์ การพัฒนา และการ ผังเมือง เป็นต้น 3) ตอ้ งสรา้ งกระบวนการตรวจสอบตดิ ตามบทบาทของ อปท. ทง้ั ในดา้ นลบและบวก เพื่อสร้างการยอมรับบทบาทของ อปท. จากสาธารณะ และเพื่อเป็นการขับเคลื่อนกฎหมาย ที่ตราขึ้นใหม่ในการเพิ่มประสิทธิภาพของ อปท. ซึ่งปัจจุบันสาธารณะยังไม่มีความไว้วางใจ ต่อ อปท. ในบางประเด็น เช่น การใช้อำ�นาจและข้อมูลในการฉ้อฉลเพื่อนำ�ที่ดินหรือลำ�นํ้า สาธารณะมาเป็นส่วนตน เป็นต้น
บทสรุป 4) ใชต้ วั ชว้ี ดั ดา้ นการจดั การสขุ ภาวะทดี่ เี ปน็ ตวั ก�ำ หนดเงนิ อดุ หนนุ เงนิ งบประมาณ 147ในด้านที่เกี่ยวข้อง7.6.2 การเพิม่ ประสทิ ธิภาพด้านการจัดการสง่ิ แวดล้อมและการท่องเท่ียว การเขียนกฎหมายการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมใหม่ทั้งฉบับสำ�หรับ อปท. โดยโอนอำ�นาจทั้งหมดในพื้นที่จากหน่วยงานเดิมคงจะเป็นไปได้ยากแตท่ นี่ า่ จะเปน็ ไปไดม้ ากทสี่ ดุ คอื การระบกุ จิ กรรมที่ อปท. มคี วามจ�ำ เปน็ ตอ้ งการอ�ำ นาจเพม่ิ เตมิในการจัดการทั้งในด้านการกำ�กับควบคุมและการหารายได้ ดังนี้ 1) ให้ อปท. มีอำ�นาจเก็บภาษีและ/ค่าธรรมเนียมต่างๆ เกี่ยวกับการจัดการสิ่งแวดล้อมและการท่องเที่ยว เพื่อให้สามารถมีรายได้เพียงพอสำ�หรับนำ�มาจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น การเก็บขยะ การขจัดของเสียอันตราย เป็นต้น 2) สามารถลงทนุ รว่ มกนั เปน็ เครอื ขา่ ยเพือ่ จดั การทรพั ยากรทอ่ งเทีย่ ว ทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มีระบบนิเวศเดียวกัน โดยหน่วยงานภูมิภาคยังมีหน้าที่ในการตรวจสอบทุกปี 3) ขยายอาณาเขตอำ�นาจ อปท. ให้ครอบคลุมทะเลช่วง 3 กิโลเมตร จากชายฝั่งในพื้นที่ที่มีการท่องเที่ยวหนาแน่น7.6.3 การเพม่ิ ประสิทธิภาพการปกครองตนเองท่ปี ระชาชนมีส่วนรว่ ม หากมีการตรากฎหมายขึ้นใหม่เพื่อรองรับตามมาตรา 290 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 หรือรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะตามมาเพื่อให้เกิดความชัดเจนถึงขอบเขตหน้าที่ของ อปท. ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์การปกครองตนเองที่มีประชาชนมีส่วนร่วม การบัญญัติกฎหมายใหม่ควรเพิ่มเติมอำ�นาจ ดังนี้ 1) ให้สิทธิแก่ อปท. ในการเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับการถือครองกรรมสิทธิ์ หรือการมีใบอนุญาตทรัพยากรธรรมชาติของราชการส่วนภูมิภาค โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย 2) ให้อำ�นาจ อปท. ตรวจสอบและเสนอชื่อเพื่อเพิกถอนสิทธิในการเข้าถึงหรือครอบครองทรัพยากรธรรมชาติอันได้มาโดยมิชอบ และให้ขั้นตอนการขอเพิกถอนสิทธิสิ้นสุดในระดับจังหวัด 3) ใหเ้ พมิ่ อ�ำ นาจให้ อปท. กรณที กี่ ฎหมายมไิ ดบ้ ญั ญตั ไิ ว้ ให้ อปท. มอี �ำ นาจในการออกข้อบัญญัติการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติตามความจำ�เป็น โดยสามารถกำ�หนดพื้นที่แนวเขต ประเภท และปริมาณทรัพยากรที่อนุญาตให้ใช้ได้ หากกฎหมายเฉพาะมิได้ห้ามไว้หรือได้มีข้อตกลงร่วมกับส่วนราชการซึ่งเป็นเจ้าของกฎหมายเฉพาะต้องมีการกำ�หนดกระบวนการและขั้นตอนที่ชัดเจนให้ชุมชนท้องถิ่น และหน่วยงานส่วนภูมิภาคเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการออกข้อบัญญัติ โดยหน่วยงานส่วนภูมิภาคมีหน้าที่ในการตรวจสอบประเมินผล และให้ขั้นตอนการขออนุญาตนี้สิ้นสุดในระดับจังหวัด 4) ให้อำ�นาจ อปท. ในการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างซึ่งขัดต่อกฎหมายเฉพาะ (เช่นการบุกรุกที่สาธารณะ สิ่งก่อสร้างที่ล่วงลํ้าลำ�นํ้า เป็นต้น)
โครงสร้าง วิสยั ทัศน์ การขับเคลอ่ื นสขุ ภาวะ และการจัดการทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดล้อมในทอ้ งถนิ่ 5) โครงการของรัฐส่วนกลาง หรือการให้ใบอนุญาต/ประทานบัตร/การต่ออายุโครงการเอกชนในท้องถิ่น ต้องแจ้งให้ท้องถิ่นรับทราบและท้วงติงได้ในเวลาที่กำ�หนด7.6.4 ข้อเสนอแนะของการทำ�วจิ ัยในข้นั ต่อไป148 1) ควรมีการใช้ความพึงพอใจของประชาชนเป็นตัววัดความสัมฤทธิ์ผลของการดำ�เนินงานของ อปท. และควรใช้เครื่องมือ อย่างเช่น anchoring vignette มาจัดข้อมูลประเภทความพึงพอใจของประชาชนต่อผลการดำ�เนินงานของ อปท. เพื่อขจัดความแปรปรวนและอคติของข้อมูลในระดับปัจเจก 2) ศึกษาในเชิงลึกเกี่ยวกับนิยามต่างๆ ของ “ขนาด” และผลต่อการประหยัดจากขนาดของ อปท. อาจพิจารณาความแตกต่างของผลกระทบระหว่างกลุ่ม (betweengroup) และภายในกลุ่ม (within group)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152