วารสารพยาบาลศาสตร ์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ปที ่ี 31 ฉบบั ท่ี 3 กันยายน - ธนั วาคม 2562 45 References King Chulalongkorn Memorial Hospital; 1. Nightingale CE, Margarson MP, Shearer E, 2016 1 Jan 2016 - 31 Aug 2016. (In Thai) Redman JW, Lucas DN, Cousins JM, 8. Kasama K, Mui W, Lee WJ, Lakdawala M, et al. Guidelines Peri-operative Naitoh T, Seki Y, et al. IFSO-APC management of the obese surgical consensus statements 2011. Obesity patient 2015. Anesthesia 2015; 70(7): surgery 2012; 22(5): 677-84. 859-76. 9. Deitel M. Overview of operation for morbid 2. Weingarten TN, Flores AS, McKenzie JA, obesity. World journal of surgery 1998; Nguyen LT, Robinson WB, Kinney TM, et 22(9): 913-8. al. Obstructive sleep apnoea and 10. Bauchowitz A, Azarbad L, Day K, Gonder- perioperative complications in bariatric Frederick L. Evaluation of expectations patients. BJA: The British Journal of and knowledge in bariatric surgery Anaesthesia 2011; 106(1): 131-9. patients. Surg Obese Relat Dis 2007; 3. Driscoll S, Gregory DM, Fardy JM, Twells LK. 3(5): 554-8. Long-Term Health-Related Quality of 11. Aguilera M. Post-surgery support and the Life in Bariatric Surgery Patients: A long-term success of bariatric surgery. Systematic Review and Meta-Analysis. Practice Nursing 2014; 25(9): 455-9. Obesity 2016; 24(1): 60-70. 12. Wykowski K, Krouse HJ. Self-Care Predictors 4. Doolen JL, Miller SK. Primary care for Success Post-Bariatric Surgery. management of patients following Gastroenterology Nursing 2013; 36(2): bariatric surgery. Journal of the American 129-35. Academy of Nurse Practitioners 2005; 13. LePage CT. The lived experience of 17(11): 446-50. individuals following Roux-en-Y gastric 5. Zhang L, Tan WH, Chang R, Eagon JC. bypass surgery: A phenomenological Perioperative risk and complications of study. Bariatric Nursing and Surgical revisional bariatric surgery compared to Patient Care 2010; 5(1): 57-64. primary Roux-en-Y gastric bypass. 14. Sobhani Z, Amini M, Zarnaghash M, Hosseini Surgical Endoscopy 2015; 29(6): 1316-20. SV, Foroutan HR. Self-Management 6. Puchong Timrat. Bariatric and Metabolic Behaviors in Obese Patients Undergoing Surgery: An Overview. In Theerapol Surgery Base on General and Specific Angkoolpakdeekul, Preeda Samlitpradit Adherence Scales. World journal of and Paisal Pongchailert, editors. plastic surgery 2019; 8(1): 85-92. Salayasardwiwat 44 (Surgery for 15. Rudolph A, Hilbert A. Post-operative Metabolic and Morbid Obesity). Bangkok: behavioural management in bariatric Bangkok Vejchasarn; 2011. (In Thai) surgery: a systematic review and 7. Medical Records of King Chulalongkorn meta-analysis of randomized controlled Memorial Hospital. Data of Bariatric trials. Obesity reviews 2013; 14(4): 292-302. Surgery at Sirindhorn Operating Theatre 16. McGrice M, Paul KD. Interventions to King Chulalongkorn Memorial Hospital. improve long-term weight loss in
46 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 patients following bariatric surgery: 19. Bloom S, Hand book on Formative and challenges and solutions. Diabetes, Summative Evaluation of Student Metabolic Syndrome and Obesity: Learning. New York: Mc Graw-Hill Book Targets and Therapy 2015; 8: 263-74. Company; 1971. Doi: 10.2147/DMSO.S57054. 20. Chaiyawat W. Orem's Self-care. In: Waraporn 17. Orem DE. Nursing: Concepts of Practice. 6th Chaiyawat and Jintana Yunibhand, ed. St. Louis: Mosby; 2001. editor. Nursing Theory. Bangkok: 18. Srisa - Ard B. Basic Research. Bangkok: Chulalongkorn University; 2550. Suriyasan; 2018.
วารสารพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีท่ี 31 ฉบบั ท่ี 3 กนั ยายน - ธันวาคม 2562 47 บทความวิจัย ผลของโปรแกรมเสริมสร้างพลงั อ�ำนาจตอ่ การฟ้นื สภาพหลงั ผา่ ตดั ระยะทา้ ยในผปู้ ว่ ยทไี่ ดร้ บั การผา่ ตดั กระดกู สนั หลงั ระดบั เอว รตั ติยา เตยศร*ี และ ปชาณัฏฐ์ นนั ไทยทวีกุล** คณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั อาคารบรมราชชนนศี รศี ตพรรษ เขตปทุมวนั กรงุ เทพมหานคร 10330 บทคดั ย่อ วตั ถุประสงค์: เพือ่ ศกึ ษาผลของโปรแกรมเสริมสรา้ งพลังอ�ำนาจตอ่ การฟืน้ สภาพหลังผา่ ตัดระยะทา้ ยใน ผปู้ ่วยท่ีไดร้ ับการผา่ ตดั กระดูกสนั หลังระดบั เอว รูปแบบการวิจัย: การวจิ ัยกึ่งทดลอง วิธดี ำ� เนินการวจิ ัย: กลมุ่ ตัวอยา่ ง คือ ผปู้ ว่ ยผา่ ตดั กระดกู สันหลังระดับเอว อายุ 30-59 ปี ท่พี กั รักษาตวั ในหอผู้ปว่ ยศลั ยกรรมประสาท สถาบันประสาทวทิ ยา จำ� นวน 46 คน แบ่งเป็นกลุ่มควบคุมและกลมุ่ ทดลอง กลุ่มละ 23 คน คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง จับคู่กลุ่มตัวอย่างให้ใกล้เคียงกันในเรื่อง อายุระดับความ ปวดหลงั ผา่ ตดั และจำ� นวนปลอ้ งกระดกู สนั หลงั ทที่ ำ� ผา่ ตดั เครอ่ื งมอื วจิ ยั ประกอบดว้ ย โปรแกรมเสรมิ สรา้ ง พลังอ�ำนาจที่ประยุกต์ใช้แนวคิดของ Gibson สมุดบันทึกการปฏิบัติตน และแบบประเมินการฟื้นสภาพ หลังผ่าตัดในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดกระดูกสันหลังระดับเอว มีค่าความเที่ยงเท่ากับ .83 วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ร้อยละ คา่ เฉลย่ี ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการวจิ ยั : คะแนนเฉลย่ี การฟน้ื สภาพหลงั ผา่ ตดั ระยะทา้ ยของกลมุ่ ทไี่ ดร้ บั โปรแกรมเสรมิ สรา้ งพลงั อ�ำนาจ สูงกวา่ กล่มุ ทไ่ี ด้รับการพยาบาลตามปกติ อยา่ งมีนยั สำ� คัญทางสถิติท่รี ะดบั .05 สรุป: โปรแกรมเสริมสร้างพลังอ�ำนาจท�ำให้ผู้ป่วยเกิดความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง รับรู้ถึงความสามารถ ในการดูแลตนเองและจัดการตนเองในการปฏิบัติกิจกรรมเพ่ือฟื้นสภาพหลังผ่าตัดได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลใหม้ กี ารฟน้ื สภาพหลงั ผ่าตดั ทด่ี ี คำ� ส�ำคัญ: ผู้ป่วยผา่ ตัดกระดูกสนั หลังระดับเอว/ การฟน้ื สภาพหลังผา่ ตดั / การเสรมิ สรา้ งพลงั อำ� นาจ วารสารพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2562, 31(3) : 47-59 * นสิ ติ หลกั สูตรพยาบาลศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ** ผรู้ ับผดิ ชอบหลัก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ คณะพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย อาจารยท์ ปี่ รึกษาวทิ ยานพิ นธ์ Email: [email protected]
48 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 ThPeosEtfofpeecrtaotifvEemRpecoowveerrmyeAnmt oPnroggPraomsStuoLrnguemLryabtaPeraPtSihpeainnstees Rattiya Toeysri* and Pachanut Nanthaitaweekul** Abstract Purpose: To study the effects of empowerment program on late phase postoperative recovery among post lumbar spine surgery patients. Design: Quasi-experimental research Methods: The participants were 46 patients aged 30-59 years old, under postoperative lumbar spine surgery were admitted into the Neurosurgery ward at Prasat Neurological Institute. Randomly selected and assigned into either experimental and control group comprised 23 patients in each group with matching technique for age, pain scale, and level of lumbar spine surgery. The research instruments consisted of the empowerment program base on the concept of Gibson, notebook with activity, and postoperative recovery profile for lumbar spine surgery patients. The reliability analysis was .83. Data were analyzed using percentage, mean, standard deviation and t-test. Results: The mean score of late phase postoperative recovery in experimental group after receiving the empowerment program was significantly higher than the control group at the significance level of .05 Conclusion: The empowerment program enables the patients increase self-esteem for self-care ability and good self-management in performing activities for good postoperative recovery. Keywords: Lumbar spine surgery patients/ Postoperative recovery/ Empowerment Journal of Nursing Science Chulalongkorn University 2019, 31(3) : 47-59 Article info: Received May 05, 2019; Revised July 10, 2019; Accepted August 10, 2019 * Student in Master of Nursing Science Program, Faculty of Nursing, Chulalongkorn University ** Corresponding author, Assistance Professor, Faculty of Nursing, Chulalongkorn University. Research Advisor. Email: [email protected]
วารสารพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั ปที ่ี 31 ฉบบั ท่ี 3 กันยายน - ธนั วาคม 2562 49 บทนำ� การฟื้นสภาพหลังผ่าตัด (Postoperative recovery) เป็นสภาวะที่ร่างกายคืนสภาพจากการเจ็บ สถิติผู้ป่วยผ่าตัดกระดูกสันหลังระดับเอวที่ ปว่ ยสสู่ ภาวะปกตหิ รอื ใกลเ้ คยี งกบั สภาวะเดมิ กอ่ นผา่ ตดั สหรฐั อเมริกาในปี ค.ศ. 2015 มจี ำ� นวนรอ้ ยละ 32.1 ต่อ และปราศจากภาวะแทรกซอ้ น5 แบง่ เปน็ 3 ระยะ คือ 1) ประชากร 100,000 คน1 ส�ำหรับประเทศไทยปี พ.ศ. ระยะแรก (Early phase) คอื ตง้ั แตก่ ารผา่ ตัดเสรจ็ และ 2556 มีผู้ป่วยผ่าตัดกระดูกสันหลังระดับเอวของโรง ส้ินสุดการได้ยาระงับความรู้สึก 2) ระยะกลาง พยาบาลสงั กดั กรมการแพทย์ จำ� นวน 810 คน2 และจาก (Intermediate phase) คือ ต้ังแต่ร่างกายผู้ป่วยเร่ิม สถิติสถาบันประสาทวิทยาปี พ.ศ. 2559, 2560 และ ท�ำงานปกติ และมีความพร้อมจ�ำหน่ายออกจากโรง 2561 มีจ�ำนวน 268, 238 และ 274 คน ตามลำ� ดับ3 พยาบาล และ 3) ระยะท้าย (Late phase) คอื ต้ังแตผ่ ู้ สาเหตุที่พบมากที่สุดคือ เกิดจากความเสื่อมท�ำให้เกิด ป่วยจ�ำหน่ายออกจากโรงพยาบาล และไปพักฟื้นที่บ้าน พยาธสิ ภาพของกระดกู สนั หลงั และหมอนรองกระดกู สนั ประกอบด้วย 5 ด้าน คือ 1) ด้านอาการทางกาย หลงั สง่ ผลให้ผูป้ ่วยมีอาการปวดเอว (Low back pain) (physical symptoms) เป็นการกลับสู่ภาวะปกติของ หรือปวดรา้ วลงขา (Leg pain) อาจมกี ล้ามเน้ือขาอ่อน การอาการทางกาย เชน่ อาการปวดลดลง ความออ่ นล้า แรงและอาการชาร่วมด้วย ผู้ป่วยต้องทุกข์ทรมานจาก ลดลง 2) ด้านการท�ำหน้าที่ของร่างกาย (physical อาการปวด เกิดความยากลำ� บากในการท�ำงาน และการ function) เป็นการกลับสู่ภาวะปกติของระบบต่างๆใน ด�ำเนินชีวิตประจำ� วนั รา่ งกายและการเคลอื่ นไหว 3) ดา้ นจติ ใจ (psychological) เปน็ การกลบั สภู่ าวะปกตขิ องจติ ใจและอารมณ์ สามารถ การผ่าตัดกระดูกสันหลังระดับเอวเป็นวิธีการ เผชญิ เหตกุ ารณต์ า่ งๆ ได้ 4) ด้านสังคม (social) เป็นการ รักษาพยาธิสภาพของกระดูกสันหลังเมื่อการรักษาด้วย กลบั สบู่ ทบาทหน้าท่ีทางสังคม และ 5) ด้านการด�ำเนนิ วธิ อี นรุ กั ษไ์ มไ่ ดผ้ ล ซง่ึ จะชว่ ยแกไ้ ขพยาธสิ ภาพทางระบบ ชวี ิตประจำ� วนั (Activity) เป็นการปฏิบัติกิจวัตรไดด้ ว้ ย ประสาท ท�ำให้ผู้ป่วยสามารถท�ำกิจกรรมและกลับไป ตนเอง6 การพยาบาลผปู้ ว่ ยผา่ ตดั กระดกู สนั หลงั ระดบั เอว ดำ� เนนิ ชวี ติ ไดต้ ามปกติ อยา่ งไรกต็ ามการผา่ ตดั สง่ ผลกระ จะเป็นการดูแลและให้ค�ำแนะน�ำเพื่อส่งเสริมการฟื้น ทบตอ่ ผปู้ ว่ ยทง้ั ทางดา้ นรา่ งกายและจติ ใจ เนอื่ งจากภาย สภาพหลงั ผา่ ตดั ตงั้ แตใ่ นระยะแรก (Early phase) ระยะ หลงั ผา่ ตดั ผปู้ ว่ ยมกี ารเปลย่ี นแปลงดา้ นการทำ� หนา้ ทข่ี อง กลาง (Intermediate phase) และระยะท้าย (Late รา่ งกาย ทำ� ใหเ้ กดิ ขอ้ จำ� กดั ในการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมเพอ่ื ฟน้ื phase) ซ่ึงเป็นการดูแลด้านร่างกาย และส่งเสริมให้ผู้ สภาพหลังผ่าตดั และกระทบต่อการปฏบิ ตั กิ จิ วตั ร การ ปว่ ยมคี วามสามารถในการทำ� กจิ กรรม เชน่ การดแู ลแผล ทำ� งาน และการเขา้ สังคม โดยพบว่าผูป้ ่วยประมาณรอ้ ย ผ่าตัด การจัดการความปวด การสวมอุปกรณ์พยุงหลัง ละ 29 ยังคงมีปญั หาการฟื้นสภาพหลังผา่ ตดั ระยะท้าย4 การบริหารกล้ามเนือ้ และการให้ค�ำแนะน�ำเกย่ี วกับการ ได้แก่ ดา้ นอาการทางกาย เช่น อาการปวดหลังและปวด ปฏิบัติตนเมอื่ กลับไปอยูท่ บ่ี ้าน7 ซง่ึ กิจกรรมการดังกล่าว ขา อาการเหน่ือยล้าหลังผ่าตัด ด้านการท�ำหน้าท่ีของ ผู้ป่วยมีส่วนร่วมค่อนข้างน้อย ท�ำให้มีการรับรู้คุณค่าใน รา่ งกาย เชน่ การสญู เสยี ความสามารถในการเคลอื่ นไหว ตนเองตำ่� โดยเฉพาะในระยะของการฟน้ื สภาพหลงั ผา่ ตดั และความพิการด้านร่างกายที่หลงเหลืออยู่ ด้านจิตใจ ระยะทา้ ย (Late phase) ผปู้ ว่ ยตอ้ งเผชญิ กบั การปรบั ตวั เชน่ วติ กกงั วล กลัวการเคลือ่ นไหว และไม่มั่นใจในการ ในระยะเปลี่ยนผ่านจากสภาวะเจ็บป่วยไปสู่สภาวะปกติ ปฏบิ ตั กิ ิจกรรมหลงั ผา่ ตัด ด้านสังคม เช่น ความสามารถ และต้องกลับไปดูแลตนเอง โดยผู้ป่วยประมาณร้อยละ ในการท�ำงานลดลง ต้องหยดุ งานเพอื่ พักรักษาตัว และมี 50 ยังขาดความม่ันใจและวิตกกังวลในการปฏิบัติ ปฏสิ มั พนั ธก์ บั ผอู้ น่ื ลดลง และดา้ นการดำ� เนนิ ชวี ติ ประจำ� วนั กิจกรรมฟื้นสภาพหลังผ่าตัดท่ีถูกต้องและต่อเน่ืองใน เชน่ ความสามารถในการปฏบิ ัติกิจวัตรประจำ� วนั ลดลง
50 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 ระหว่างพักฟื้นที่บ้าน8 ส่งผลให้การฟื้นสภาพหลังผ่าตัด ตนเองที่ช่วยให้ผู้ป่วยมีความสามารถในการควบคุมและ ระยะท้ายมคี วามลา่ ช้า และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน จดั การกบั ปจั จยั ทมี่ ผี ลตอ่ ชวี ติ และสขุ ภาพของตนไดอ้ ยา่ ง เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ12 โดยมีการน�ำแนวคิดดัง จากการทบทวนวรรณกรรมพบว่า ปัจจัยที่มี กลา่ วมาใชส้ ง่ เสรมิ การฟน้ื สภาพหลงั ผา่ ตดั ในผปู้ ว่ ยผา่ ตดั ผลต่อการฟื้นสภาพหลังผ่าตัดระยะท้ายในผู้ป่วยผ่าตัด เปลี่ยนข้อเข่าเทียมและผู้ป่วยผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพก กระดกู สนั หลงั ระดบั เอวมที ง้ั ปจั จยั ดา้ นรา่ งกายและจติ ใจ เทียม ซ่ึงช่วยให้ผู้ป่วยสามารถจัดการกับความเจ็บป่วย ไดแ้ ก่ อายุ ความปวด ตำ� แหน่งความเจ็บปวดกอ่ นผา่ ตัด ของตนได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ มีอาการปวดลดลง ระยะ จ�ำนวนปลอ้ งกระดกู สนั หลังทีท่ ำ� ผ่าตดั 9 ความวติ กกงั วล ทางการเดินเพิ่มข้ึน องศาการเหยียดและงอข้อเข่ามาก การกลัวการเคลื่อนไหวหลังผ่าตัด8 ภาวะซึมเศร้า และ ขนึ้ มีความวิตกกงั วลลดลง และรสู้ กึ มพี ลังในการปฏิบตั ิ ความรู้สึกมคี ุณค่าในตนเอง10 ปัจจัยด้านร่างกายควบคมุ กิจกรรมหลังผ่าตัด ส่งผลให้มีการฟื้นสภาพหลังผ่าตัดท่ี ได้โดยการใช้ยาบรรเทาอาการปวดและการท�ำ ดี และมีคุณภาพชีวิตท่ีดีข้ึน13,14 จากการทบทวน กายภาพบ�ำบดั ซ่ึงกระท�ำโดยบคุ ลากรทางการแพทยใ์ น วรรณกรรมยังไม่มีการน�ำแนวคิดการเสริมสร้างพลัง ระยะท่ผี ปู้ ว่ ยพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ส่วนปจั จยั ดา้ น อำ� นาจมาใชส้ ง่ เสรมิ การฟน้ื สภาพหลงั ผา่ ตดั ระยะทา้ ยใน จิตใจจัดการได้โดยการให้ข้อมูลและค�ำแนะน�ำเก่ียวกับ ผปู้ ว่ ยผา่ ตดั กระดกู สนั หลงั ระดบั เอว ในการศกึ ษานผี้ วู้ จิ ยั โรคและการปฏิบตั ติ นทเี่ หมาะสม รวมทั้งการส่งเสริมให้ จึงพัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างพลังอ�ำนาจในผู้ป่วยผ่าตัด ผู้ป่วยตระหนักในคุณค่าของตนเอง11 เน่ืองจากผู้ป่วยมี กระดกู สันหลังระดบั เอว ซึง่ โปรแกรมดงั กล่าวจะช่วยให้ การเปล่ียนแปลงในด้านการท�ำหน้าที่ของร่างกาย ต้อง ผู้ป่วยเกิดความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง ท�ำให้มีความเข้ม พ่ึงพาผู้อ่นื สง่ ผลให้ความรสู้ กึ มคี ณุ ค่าในตนเองลดลง ซ่งึ แขง็ ในการกระทำ� สงิ่ ตา่ งๆ และรบั รสู้ มรรถนะในการดแู ล การศึกษาท่ีผ่านมาพบว่าการดูแลผู้ป่วยกลุ่มน้ีส่วนใหญ่ ตนเอง จึงสามารถควบคุมและจัดการกับปัญหาการฟื้น จะให้ความส�ำคัญกับการฟื้นสภาพด้านร่างกาย และส่ง สภาพหลังผ่าตัดได้อย่างเหมาะสม และมีการปฏิบัติ เสรมิ ใหผ้ ปู้ ว่ ยสามารถกลบั ไปทำ� กจิ กรรมไดต้ ามปกติ แต่ กิจกรรมฟื้นสภาพหลังผ่าตัดที่ต่อเนื่องในระยะพักฟื้นที่ ในดา้ นจติ ใจผปู้ ว่ ยไมส่ ามารถเผชญิ ปญั หาหรอื จดั การกบั บ้าน ส่งผลให้การฟื้นสภาพหลังผ่าตัดระยะท้ายที่ดี ความเจ็บป่วยของตนเองได้อย่างเหมาะสม ท�ำให้ยังคง รวดเรว็ และไมเ่ กดิ ภาวะแทรกซ้อน ความรสู้ กึ มคี ณุ คา่ ในตนเองลดลง10ซง่ึ นำ� ไปสคู่ วามพรอ่ ง ในการดูแลตนเองขณะพักฟื้นที่บ้าน ส่งผลให้การฟื้น วตั ถปุ ระสงคก์ ารวจิ ยั สภาพหลงั ผา่ ตดั ระยะทา้ ยใชเ้ วลานานข้นึ การศกึ ษาน้ีผู้ วิจัยจึงสนใจจัดกระท�ำกับปัจจัยความรู้สึกมีคุณค่าใน เพอื่ เปรยี บเทยี บการฟน้ื สภาพหลงั ผา่ ตดั ระยะ ตนเอง เน่ืองจากเม่ือผู้ป่วยรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าจะเกิด ทา้ ยในผปู้ ว่ ยผา่ ตดั กระดกู สนั หลงั ระดบั เอวระหวา่ งกลมุ่ ความเชื่อมั่นถึงความสามารถในการดูแลตนเอง ท�ำให้ ที่ได้รับโปรแกรมเสริมสร้างพลังอ�ำนาจกับกลุ่มที่ได้รับ สามารถจัดการดูแลตนเองในการปฏิบัติกิจกรรมฟื้น การพยาบาลตามปกติ สภาพหลังผ่าตัด และมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม สขุ ภาพทดี่ ขี น้ึ 10 นำ� ไปสกู่ ารฟน้ื สภาพหลงั ผา่ ตดั ระยะทา้ ย สมมตุ ฐิ านการวจิ ัย ทดี่ คี รอบคลุมในทุกดา้ น ผู้ป่วยผ่าตัดกระดูกสันหลังระดับเอวกลุ่มท่ีได้ การเสรมิ สรา้ งพลงั อำ� นาจ (Empowerment) รบั โปรแกรมเสรมิ สรา้ งพลงั อำ� นาจมคี ะแนนเฉลย่ี การฟน้ื เป็นกระบวนการหนึ่งในการสร้างความรู้สึกมีคุณค่าใน สภาพหลังผ่าตัดระยะท้ายสูงกว่ากลุ่มที่ได้รับการ พยาบาลตามปกต ิ
วารสารพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ปที ่ี 31 ฉบับท่ี 3 กันยายน - ธนั วาคม 2562 51 กรอบแนวคิดการวิจยั ปฏิบัติกิจกรรมฟื้นสภาพหลังผ่าตัดที่เหมาะสมและต่อ เนื่องในระยะพักฟื้นที่บ้าน ส่งผลให้มีการฟื้นสภาพหลัง การศกึ ษาน้ีผ้วู จิ ยั ประยกุ ตใ์ ชแ้ นวคิดการเสริม ผ่าตดั ระยะท้ายท่ีรวดเร็ว ครอบคลมุ ทุกดา้ น ได้แก่ ด้าน สร้างพลังอ�ำนาจของ Gibson12 เป็นกรอบแนวคิด อาการทางกาย สามารถควบคุมและจัดการอาการทาง ในการพัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างพลังอ�ำนาจในผู้ป่วย กายท่ีเกิดข้ึนได้ ด้านการท�ำหน้าที่ของร่างกาย กลับสู่ ผา่ ตดั กระดูกสันหลังระดับเอว ประกอบดว้ ย 4 ขั้นตอน สภาวะปกตใิ นการท�ำหนา้ ทีข่ องรา่ งกายและระบบตา่ งๆ ได้แก่ 1) การค้นพบสภาพการณ์จริง เป็นการให้ผู้ป่วย ทรี่ วดเรว็ ไมเ่ กดิ ภาวะแทรกซอ้ น สามารถปฏบิ ตั กิ จิ กรรม สามารถค้นหาปัญหาการฟื้นสภาพหลังผ่าตัดระยะท้าย ตา่ งๆ ได้ ด้านจติ ใจ ปราศจากความวติ กกงั วล สามารถ ทกี่ ำ� ลงั เผชญิ อยู่ โดยผปู้ ว่ ยจะตระหนกั ถงึ ความสำ� คญั ของ เผชญิ ปญั หาและปรบั ตวั ตอ่ ความเจบ็ ปว่ ยไดอ้ ยา่ งเหมาะ ปัญหา ท�ำให้มีการปรับตัวและพร้อมท่ีจะปฏิบัติตาม สม ดา้ นสงั คม มกี ารกลบั สบู่ ทบาทหนา้ ทท่ี างสงั คมไดต้ าม แผนการรักษาเพื่อให้การดูแลตนเองเป็นไปอย่างมี ปกติ และด้านการดำ� เนนิ ชวี ิตประจ�ำวัน สามารถปฏบิ ตั ิ ประสทิ ธภิ าพ 2) การสะทอ้ นความคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณ กิจวัตรประจำ� วนั ได้ดว้ ยตนเอง เปน็ การใหผ้ ปู้ ว่ ยทำ� ความเขา้ ใจปญั หา มกี ารพฒั นาความ รู้ความสามารถ ท�ำให้ได้มาซ่ึงทางเลือกในการแก้ไข วธิ ีด�ำเนนิ การวิจัย ปัญหา มีการตั้งเป้าหมายเพ่ือให้เกิดการกระท�ำท่ีเป็น ประโยชน์ ผู้ป่วยรับรู้ถึงความสามารถของตน น�ำไปสู่ การวจิ ยั ครง้ั นี้เป็นการวจิ ัยกงึ่ ทดลอง (Quasi- พฤติกรรมการปฏิบัติกิจกรรมฟื้นสภาพหลังผ่าตัดท่ีมี experimental research) แบบสองกลมุ่ วดั ผลครง้ั เดยี ว ประสิทธิภาพ 3) การตดั สินใจเลอื กวธิ ีปฏิบตั ิที่เหมาะสม (The-Posttest-only with nonequivalent groups) และลงมอื ปฏบิ ตั ิ เปน็ การใหผ้ ปู้ ว่ ยตดั สนิ ใจเลอื กวธิ ปี ฏบิ ตั ิ ท่ตี รงตามสภาพปัญหา เม่อื สามารถปฏบิ ัติไดส้ ำ� เรจ็ ตาม ประชากร คอื ผปู้ ว่ ยผา่ ตดั กระดกู สนั หลงั ระดบั ทต่ี นเองเลอื กท�ำใหร้ บั รถู้ งึ ความสามารถของตนและเกดิ เอวในระยะ 1 เดอื นแรกหลงั ผ่าตัด ทเี่ ข้ารับการรักษาใน ความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง ท�ำให้ปฏิบัติกิจกรรมฟื้น หอผู้ป่วยศัลยกรรมประสาท โรงพยาบาลระดับตติยภูมิ สภาพหลงั ผา่ ตัดทีม่ ปี ระสิทธภิ าพอย่างต่อเนอ่ื ง และ 4) ในเขตกรุงเทพมหานคร การคงไวซึ่งการปฏิบัติทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพ เป็นการกระต้นุ และให้ก�ำลังใจ เม่ือผู้ป่วยรับรู้ถึงความรู้สึกมีคุณค่าใน กลุม่ ตวั อยา่ ง คอื ผปู้ ่วยผ่าตัดกระดูกสันหลัง ตนเอง ทำ� ใหม้ น่ั ใจในศกั ยภาพของตน จงึ ยงั คงพฤตกิ รรม ระดบั เอว เพศชายและหญิง อายุ 30-59 ปี ทเี่ ข้ารบั การ การปฏิบัติกิจกรรมฟื้นสภาพหลังผ่าตัดอย่างต่อเนื่องใน รักษาในหอผู้ป่วยศัลยกรรมประสาท สถาบันประสาท ระยะพักฟื้นท่ีบ้าน ส่งผลให้มีการฟื้นสภาพหลังผ่าตัด วิทยา ค�ำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้โปรแกรม ระยะท้ายที่ดี โปรแกรมเสริมสร้างพลังอ�ำนาจช่วยให้ผู้ ส�ำเรจ็ รูป G*power ก�ำหนดอ�ำนาจทดสอบ 80% ระดับ ป่วยมีการพัฒนาความรู้ความสามารถในการแสวงหาวิธี นัยสำ� คญั .05 ขนาดอิทธิพล .80 ไดก้ ลุ่มตัวอยา่ ง 42 คน การเพื่อให้บรรลุความต้องการของตนเองในการฟื้น เพอื่ ปอ้ งกนั การสญู หาย (Drop out) ผวู้ จิ ยั จึงเพิ่มขนาด สภาพหลงั การผา่ ตดั ทร่ี วดเรว็ และสามารถกลบั ไปดำ� เนนิ กลมุ่ ตวั อยา่ งรอ้ ยละ 1015 ดงั นน้ั กลมุ่ ตวั อยา่ งจงึ มที งั้ หมด ชวี ิตได้ตามปกตมิ ากที่สุด โดยผู้ป่วยสามารถดูแลตนเอง 46 คน แบง่ เปน็ กลมุ่ ทดลองและกลมุ่ ควบคมุ กลมุ่ ละ 23 และปฏบิ ตั ิกจิ กรรมฟื้นสภาพหลังผา่ ตดั ไดถ้ ูกตอ้ ง บรรลุ คน จับคู่กลุ่มตัวอย่างให้มีความใกล้เคียงกันมากท่ีสุด เป้าหมาย ท�ำให้เกิดการรับรู้ถึงความรู้สึกมีคุณค่าใน (Matched pair) โดยตัวแปรท่ีก�ำหนดคือ อายุ ระดับ ตนเอง12 ซึ่งน�ำไปสู่พฤติกรรมการดูแลตนเองและการ ความปวดหลงั ผ่าตดั และจ�ำนวนปลอ้ งกระดูกสนั หลงั ที่ ท�ำผ่าตัด คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling) ตามเกณฑท์ ก่ี ำ� หนด (Inclusion
52 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 criteria) ดังนี้ 1) ได้รับการวินิจฉัยโรคกระดูกสันหลัง การด�ำเนินชีวิตประจ�ำวัน ผู้วิจัยขออนุญาตใช้และ ระดับเอวเสื่อม (L1-S1) ได้แก่ โรคหมอนรองกระดูกสัน ดดั แปลงเครอื่ งมอื จาก Allvin โดยใชเ้ ทคนคิ การแปลยอ้ น หลงั เคลอ่ื นกดทบั รากประสาท โรคขอ้ ตอ่ กระดกู สนั หลงั กลับ (Backward translation) ภายหลงั ได้รบั อนญุ าต ระดบั เอวเสอื่ ม โรคโพรงกระดกู สนั หลงั ตบี แคบ และโรค ได้น�ำไปให้ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันภาษา จุฬาลงกรณ์ ข้อตอ่ กระดูกสนั หลังเคล่ือน และเขา้ รบั การรักษาโดยวธิ ี มหาวิทยาลัย แปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษเป็นภาษา ผา่ ตดั กระดกู สนั หลงั ระดบั เอวเปน็ ครงั้ แรก 2) ผา่ ตดั ภาย ไทย และให้ผู้เช่ียวชาญอีกท่านหน่ึงแปลกลับจากภาษา ใต้การระงับความรู้สึกแบบทั่วร่างกาย 3) มีอาการคงท่ี ไทยเปน็ ภาษาองั กฤษ ดดั แปลงข้อคำ� ถามจ�ำนวน 1 ข้อ ไม่มีข้อห้ามลุกจากเตียงและการฝึกเดิน 4) มีความ คือ ขอ้ ท่ี 1 จากเดิม “ท่านมอี าการปวด” เป็น “ท่านมี สามารถในสอื่ สารและเขา้ ใจภาษาไทย และ 5) มอี ปุ กรณ์ อาการปวดหลงั ปวดเอว หรอื ปวดหลงั รา้ วลงขา” ซง่ึ เปน็ ส่ือสารที่ใช้งาน Application Line ได้ ยินดีให้ผู้วิจัย อาการปวดที่เฉพาะเจาะจงของผู้ป่วยผ่าตัดกระดูกสัน ติดต่อสื่อสารทาง Line และทางโทรศัพท์ หลังระดบั เอว แบบสอบถามเป็น Rating scale 4 ระดับ คือ ไม่เคยเลย บางคร้ัง บ่อยๆ และเป็นประจ�ำ มีค่า เครอื่ งมือที่ใช้ในการวจิ ยั ประกอบดว้ ย 3 ส่วน คอื คะแนน 1-4 คะแนนรวม 1-76 คะแนน ค่าคะแนนมาก หมายถึง มีการฟื้นสภาพหลังผ่าตัดมาก ผ่านการตรวจ 1. เครื่องมือที่ใช้ด�ำเนินการวิจัย คือ สอบจากผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน มีค่าดัชนีความตรงตาม โปรแกรมเสริมสร้างพลังอ�ำนาจ ประกอบด้วย คู่มือ เน้ือหาเท่ากับ .95 และน�ำไปทดลองใช้ในผู้ป่วยท่ีมี โปรแกรมเสริมสร้างพลังอ�ำนาจ คู่มือการดูแลตนเอง ลกั ษณะเชน่ เดียวกบั กล่มุ ตัวอยา่ ง 30 คน ไดค้ ่าประสทิ ธิ์ ส�ำหรับผู้ป่วยผ่าตัดกระดูกสันหลังระดับเอว สื่อภาพน่ิง แอลฟาของครอนบาคเท่ากบั .83 ประกอบคำ� บรรยาย แผน่ พบั ขน้ั ตอนการใช้ Application Line ผา่ นการตรวจสอบจากผ้ทู รงคุณวุฒิจ�ำนวน 5 ท่าน 3. เครื่องมือก�ำกับการทดลอง คือ สมุด และนำ� ไปทดลองใชก้ บั กบั ผปู้ ว่ ยทม่ี ลี กั ษณะใกลเ้ คยี งกลมุ่ บนั ทกึ การปฏบิ ัตติ นในการเสริมสร้างพลงั อ�ำนาจ ผวู้ ิจัย ตัวอย่างจ�ำนวน 5 คน พบว่า ผู้ป่วยเข้าใจภาษาและ สร้างข้ึนให้สอดคล้องกับการด�ำเนินกิจกรรมโปรแกรม เนอื้ หาในโปรแกรมเปน็ อยา่ งดี เพ่ือให้ผู้ป่วยใช้บันทึกการปฏิบัติตนตามกระบวนเสริม สรา้ งพลงั อำ� นาจทง้ั 4 ขน้ั ตอน ในแตล่ ะสปั ดาห์ ผา่ นการ 2. เคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิจ�ำนวน 5 ท่าน และน�ำไป ได้แก่ ทดลองใชก้ ับกับผ้ปู ่วยท่มี ีลักษณะใกล้เคียงกลุม่ ตัวอยา่ ง จำ� นวน 5 คน พบวา่ ผปู้ ว่ ยเขา้ ใจในภาษาและเนอื้ หาเปน็ 2.1 แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล อย่างดี สามารถบันทึกข้อมูลได้อย่างถูกต้องและ ประกอบด้วย เพศ อายุ สถานภาพสมรส ศาสนา ระดบั สอดคลอ้ งกบั การปฏิบัตกิ ิจกรรม การศึกษา อาชีพ รายได้ต่อเดือน โรคประจ�ำตัว ประวตั ิการผา่ ตัด การวนิ ิจฉยั โรค ประวัติการรกั ษาเพ่อื การพทิ ักษ์สทิ ธ์ิกล่มุ ตวั อย่าง ลดอาการปวด ชนดิ การผา่ ตดั ระดบั ความปวดหลงั ผา่ ตดั และจำ� นวนปล้องกระดูกสนั หลังทผ่ี า่ ตัด การวิจัยนี้ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการ พิจารณาจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์สถาบันประสาท 2.2 แบบประเมนิ การฟน้ื สภาพหลงั ผา่ ตดั วทิ ยา เลขที่ 61050 ลงวันท่ี 3 ตุลาคม 2561 ผู้วิจยั ชี้แจง ในผปู้ ว่ ยผ่าตัดกระดูกสนั หลงั ระดบั เอว ใชแ้ บบประเมนิ วัตถุประสงค์การวิจัย ข้ันตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล Postoperative Recovery Profile ของ Allvin6 จำ� นวน ระยะเวลาการวจิ ยั และประโยชนท์ ก่ี ลมุ่ ตวั อยา่ งจะไดร้ บั 19 ข้อ แบ่งเป็น 5 ดา้ น ไดแ้ ก่ ด้านอาการทางกาย ดา้ น รวมทงั้ สทิ ธใ์ิ นการตอบรบั หรอื ปฏเิ สธการเขา้ รว่ มการวจิ ยั การทำ� หนา้ ทขี่ องรา่ งกาย ดา้ นจติ ใจ ดา้ นสงั คม และดา้ น
วารสารพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั ปีที่ 31 ฉบับท่ี 3 กนั ยายน - ธันวาคม 2562 53 และสามารถถอนตัวจากการวิจัยได้ทุกเมื่อโดยไม่มีผลก ใหผ้ ปู้ ว่ ยบอกถงึ ประสบการณจ์ ดั การปญั หาสขุ ภาพทผี่ า่ น ระทบต่อการรักษาหรือคุณภาพการบริการที่จะได้รับ มา ตั้งเป้าหมายการฟื้นสภาพหลังผ่าตัดร่วมกับผู้วิจัย ขอ้ มลู ของกลมุ่ ตวั อยา่ งจะถกู เกบ็ เปน็ ความลบั และผลการ และฝึกทักษะปฏิบัติกิจกรรมในการดูแลตนเองและการ วิจัยจะนำ� เสนอเป็นภาพรวม โดยกล่มุ ตัวอย่างท่สี มคั รใจ บรหิ ารรา่ งกายเพอื่ เสรมิ สรา้ งความแขง็ แรงของกลา้ มเนอื้ เขา้ รว่ มการวจิ ยั จะมกี ารลงนามเปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษร เพ่ือให้ผู้ป่วยเกิดความม่ันใจในการปฏิบัติกิจกรรมฟื้น สภาพหลังผ่าตดั และ 3) การตัดสนิ ใจเลอื กวิธปี ฏบิ ัตทิ ี่ การดำ� เนินการวจิ ัยและการเก็บรวบรวมขอ้ มูล เหมาะสมและลงมอื ปฏบิ ัติ ใหผ้ ปู้ ่วยทบทวนเปา้ หมายที่ ขนั้ เตรยี มการทดลอง เตรยี มความพรอ้ มผวู้ จิ ยั ตงั้ ไวแ้ ละบอกแนวทางทค่ี ดิ วา่ จะปฏบิ ตั เิ พอ่ื ใหส้ �ำเรจ็ ตาม โดยทบทวนและศึกษาต�ำราและเอกสารงานวิจัยท่ี เปา้ หมาย ทบทวนการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมฟน้ื สภาพหลงั ผา่ ตดั เกย่ี วขอ้ ง เตรยี มเครอ่ื งมอื ทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั และขออนญุ าต และใหผ้ ู้ปว่ ยสาธิตย้อนกลบั ในทกั ษะการปฏบิ ตั ิ กระตนุ้ เก็บข้อมูลวิจัย เมื่อได้รับอนุญาตแล้วประสานงานกับ ให้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมตามวิธีท่ีตัดสินใจเลือกอย่างต่อ พยาบาลประจำ� การเพอ่ื ชแ้ี จงวตั ถปุ ระสงค์ และขอความ เน่ืองพร้อมทั้งมอบคู่มือการดูแลตนเองส�ำหรับผู้ป่วย รว่ มมือในการเกบ็ ข้อมูลวจิ ยั ผา่ ตดั กระดกู สนั หลงั ระดบั เอว และใหก้ ลมุ่ ตวั อยา่ ง Add ข้นั ด�ำเนนิ การทดลอง Line “Spine Empowerment” กลมุ่ ควบคมุ ผวู้ จิ ยั สมั ภาษณข์ อ้ มลู สว่ นบคุ คล กิจกรรมคร้ังท่ี 2 (1 วันกอ่ นจ�ำหนา่ ยออกจาก โดยผู้ป่วยได้รับการพยาบาลตามปกติจากพยาบาล โรงพยาบาล) ใช้เวลา 30-45 นาที ดำ� เนนิ กิจกรรม ขั้น ประจำ� การตามแนวทางการพยาบาลผปู้ ว่ ยผา่ ตดั กระดกู ตอนท่ี 3 ของกระบวนการเสริมสร้างพลังอ�ำนาจต่อ สนั หลงั ของสถาบนั ประสาทวทิ ยา ครอบคลมุ ในเรอ่ื งการ เนื่องจากกิจกรรมในครั้งท่ี 1 โดยเย่ียมเตือนใจเพ่ือ ดูแลแผลผ่าตัด การจัดการความปวด การสวมอุปกรณ์ ทบทวนกิจกรรมการดูแลตนเองและการบริหารร่างกาย พยุงหลัง การบริหารกล้ามเนื้อ และค�ำแนะน�ำในการ เพ่ือเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และกระตุ้น ปฏิบัติตนเม่ือกลับบ้าน หลังจ�ำหน่ายออกจากโรง ใหผ้ ปู้ ว่ ยปฏบิ ตั กิ จิ กรรมฟน้ื สภาพหลงั ผา่ ตดั อยา่ งตอ่ เนอื่ ง พยาบาลผปู้ ่วยกลบั ไปใชช้ ีวิตตามปกติ จนเกดิ ความชำ� นาญ กลุ่มทดลอง ผู้วิจยั สมั ภาษณ์ขอ้ มลู ส่วนบุคคล กิจกรรมครั้งที่ 3 (วันที่จ�ำหน่ายออกจากโรง และด�ำเนินโปรแกรมเสริมสร้างพลังอ�ำนาจ โดยจัด พยาบาล) ใช้เวลา 45-60 นาที ดำ� เนนิ กิจกรรมขั้นตอน กิจกรรมเป็นรายบุคคลจ�ำนวน 5 ครั้ง ใช้ระยะเวลา 3 ท่ี 4 ของกระบวนการเสรมิ สรา้ งพลังอำ� นาจ ให้กำ� ลงั ใจ สัปดาห์ ประกอบดว้ ย 4 กจิ กรรม ดงั นี้ เพื่อให้ผู้ป่วยมีความม่ันใจในศักยภาพของตน มีการตั้ง เป้าหมายในการฟื้นสภาพหลังผ่าตัดอย่างต่อเน่ืองเมื่อ กิจกรรมคร้ังท่ี 1 (วันแรกที่แพทย์วางแผน กลบั ไปอยทู่ บี่ า้ น เตรยี มความพรอ้ มและสรา้ งความมน่ั ใจ จำ� หนา่ ยกลบั บา้ น) ใชเ้ วลา 60-90 นาที ดำ� เนนิ กจิ กรรม ก่อนกลับบ้าน ทบทวนกิจกรรมฟื้นสภาพหลังผ่าตัด ขน้ั ตอนท่ี 1, 2 และ 3 ของกระบวนการเสริมสร้างพลัง ทั้งหมดท่ีไดป้ ฏิบัตใิ นช่วงพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ให้ อ�ำนาจ ดังน้ี 1) การค้นพบสภาพการณ์จริง ให้ผู้ป่วย ผู้ป่วยบอกถึงส่ิงท่ียังเป็นปัญหาหรืออุปสรรค พร้อมท้ัง ระบายความรู้สึกต่อการฟื้นสภาพหลังผ่าตัด ให้ความรู้ เสนอแนวทางแกไ้ ข โดยผวู้ จิ ยั ชว่ ยใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั และ เก่ยี วกบั โรค ภาวะแทรกซ้อนทีอ่ าจเกดิ และการปฏบิ ัติ ใหค้ ำ� แนะนำ� เพิม่ เตมิ ตนหลังผ่าตัด เพ่ือให้ผู้ป่วยยอมรับปัญหาการฟื้นสภาพ หลงั ผา่ ตดั ทก่ี ำ� ลงั เผชญิ อยตู่ ามสภาพจรงิ และสรปุ ปญั หา กจิ กรรมครงั้ ท่ี 4 และกจิ กรรมครงั้ ที่ 5 (ระหวา่ ง รว่ มกบั ผวู้ จิ ยั 2) การสะทอ้ นความคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณ พักฟ้นื ทบี่ า้ นในสปั ดาหท์ ี่ 2-3 หลงั จ�ำหนา่ ยออกจากโรง
54 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 พยาบาล) ใช้เวลา 20-30 นาที ดำ� เนินกจิ กรรมขั้นตอน ผลการวจิ ยั ท่ี 4 ของกระบวนการเสริมสร้างพลังอ�ำนาจ โดยใช้ Application Line ในการติดตามเพื่อกระตุ้นและ ส่วนที่ 1 ข้อมูลท่ัวไปของกลมุ่ ตวั อย่าง สนบั สนนุ ขอ้ มลู เกย่ี วกบั การดแู ลตนเองสปั ดาหล์ ะ 2 ครงั้ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง คิดเป็น และติดตามเยี่ยมทางโทรศัพท์สัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อ รอ้ ยละ 63 มีอายเุ ฉลย่ี 54.65 ปี (S.D. = 3.86) ประกอบ กระตุ้นและให้ก�ำลังใจให้กลุ่มตัวอย่างม่ันใจในศักยภาพ อาชพี เกษตรกรรมมากทีส่ ุด คดิ เปน็ รอ้ ยละ 23.90 และ ของตนและยงั คงพฤตกิ รรมการดแู ลตนเองเพอื่ ฟน้ื สภาพ ส่วนใหญ่มีคา่ ดัชนมี วลกาย 25-29.99 กก./ตรม. คดิ เป็น อย่างตอ่ เน่ืองในขณะพักรักษาตวั ที่บา้ น รอ้ ยละ 32.60 ซง่ึ เกนิ เกณฑม์ าตรฐาน กลมุ่ ตวั อยา่ งไดร้ บั การวินิจฉัยโรคข้อต่อกระดูกสันหลังเคลื่อน (Lumbar ขน้ั ประเมนิ ผลการทดลอง ผวู้ จิ ยั ประเมนิ การ spondylolisthesis) คิดเป็นร้อยละ 39.10 โรคโพรง ฟน้ื สภาพหลงั ผา่ ตดั ระยะทา้ ยของผปู้ ว่ ยกลมุ่ ทดลองและ กระดูกสันหลังตีบแคบ (Spinal canal stenosis) คิด กล่มุ ควบคมุ ในสปั ดาหท์ ี่ 4 วนั ทแ่ี พทย์นัดตรวจเปน็ ครั้ง เป็นรอ้ ยละ 30.40 โรคหมอนรองกระดูกสันหลังเคลอื่ น แรกหลังจ�ำหน่ายจากโรงพยาบาล ภายหลังเสร็จส้ิน กดทับรากประสาท (Herniated nucleus pulposus) กจิ กรรม กลมุ่ ควบคมุ จะไดร้ บั คมู่ อื การดแู ลตนเองสำ� หรบั คดิ เปน็ รอ้ ยละ 21.70 และโรคขอ้ ตอ่ กระดกู สนั หลงั ระดบั ผปู้ ว่ ยผา่ ตดั กระดกู สนั หลงั ระดบั เอว รวมทงั้ คำ� แนะนำ� ใน เอวเสือ่ ม (Lumbar spondylosis) คดิ เปน็ รอ้ ยละ 8.70 การดูแลตนเองและการปฏิบัติกิจกรรมฟื้นสภาพหลัง ส่วนใหญ่มีระยะเวลาของอาการปวดก่อนผ่าตัด 1-2 ปี คิดเป็นร้อยละ 56.50 มีประวัติการรักษาโดยการ ผา่ ตัดเชน่ เดยี วกบั กลมุ่ ทดลอง กายภาพบำ� บดั รว่ มกบั รบั ประทานยาแกป้ วด คดิ เปน็ รอ้ ย ละ 47.80 ได้รับการผ่าตัดกระดูกสันหลังระดับเอว 2 การวิเคราะห์ข้อมูล วเิ คราะหข์ อ้ มลู ดว้ ยโปรแกรมสำ� เรจ็ รปู กำ� หนด ระดับมากทสี่ ดุ คิดเป็นรอ้ ยละ 50 และสว่ นใหญ่มรี ะดบั ระดับนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ใช้สถิติพรรณนา ความปวดหลังผ่าตัดในระดับปวดปานกลาง คิดเป็น (Descriptive statistic) และสถิติ Independence รอ้ ยละ 82.60 t-test ตารางท่ี 1 เปรยี บเทยี บคะแนนเฉล่ียการฟ้ืนสภาพหลังผ่าตัดระยะท้ายในผปู้ ว่ ยท่ีไดร้ บั การผ่าตดั กระดูกสันหลงั ระดบั เอวระหว่างกลมุ่ ทดลองและกลุ่มควบคมุ โดยใช้สถิติ Independent t-test การฟื้นสภาพหลังผา่ ตดั n SD. df t p-value ระยะทา้ ยในผปู้ ่วยทไ่ี ดร้ ับการผา่ ตัด .006 กระดูกสนั หลงั ระดับเอว กลุ่มทดลอง 23 73.608 2.083 44 5.505 กลุ่มควบคุม 23 68.217 4.209 p < .05
วารสารพยาบาลศาสตร ์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีท่ี 31 ฉบับที่ 3 กันยายน - ธนั วาคม 2562 55 ตารางที่ 2 เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยการฟื้นสภาพหลังผ่าตัดระยะท้ายโดยรวมและรายด้านในผู้ป่วยที่ได้รับการ ผา่ ตดั กระดกู สันหลังระดบั เอวระหว่างกลุ่มทดลองและกลมุ่ ควบคมุ โดยใช้สถติ ิ Independent t-test การฟนื้ สภาพหลัง กลมุ่ ทดลอง กลุ่มควบคมุ ผา่ ตดั ระยะท้าย SD. SD. ในผู้ปว่ ยทไี่ ด้รับ df t p-value การผา่ ตัดกระดกู 5.505 .006 สนั หลังระดับเอว 4.156 .031 1.749 .009 รวมทง้ั 5 ดา้ น 73.608 2.083 68.217 4.209 44 4.784 .000 ด้านอาการทางกาย 19.304 0.764 17.913 1.411 44 3.617 .001 ด้านการทำ� หน้าทข่ี องรา่ งกาย 19.130 0.967 18.478 1.503 44 2.991 .003 ด้านจิตใจ 15.826 0.387 14.043 1.744 44 ด้านสงั คม 11.826 0.387 11.087 0.900 44 ด้านการด�ำเนินชีวติ ประจำ� วัน 7.521 0.593 6.695 1.184 44 p < .05 สว่ นที่ 2 การฟน้ื สภาพหลังผ่าตัดระยะทา้ ย อภปิ รายผลการวิจัย ของกลมุ่ ตวั อย่าง ผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยผ่าตัดกระดูกสันหลัง เม่ือน�ำคะแนนเฉล่ียการฟื้นสภาพหลังผ่าตัด ระดับเอวกลุ่มทดลองท่ีได้รับโปรแกรมเสริมสร้างพลัง ระยะทา้ ยในผปู้ ว่ ยทไ่ี ดร้ บั การผา่ ตดั กระดกู สนั หลงั ระดบั อ�ำนาจมีคะแนนเฉลี่ยการฟื้นสภาพหลังผ่าตัดระยะท้าย เอวระหวา่ งกลมุ่ ทดลองและกลมุ่ ควบคมุ มาเปรยี บเทยี บ สูงกว่ากลุ่มควบคุมท่ีได้รับการพยาบาลตามปกติอย่างมี กันดว้ ยวธิ ที างสถติ ิ โดยใช้ Independent t-test พบวา่ นยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั .05 เปน็ ไปตามสมมตุ ฐิ านการ กลมุ่ ทดลองมคี ะแนนเฉลยี่ การฟน้ื สภาพหลงั ผา่ ตดั ระยะ วจิ ยั ทีต่ ั้งไว้ เนอ่ื งจากกระบวนการเสรมิ สรา้ งพลังอำ� นาจ ทา้ ยสงู กวา่ กลมุ่ ควบคมุ อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั ผู้ป่วยจะได้รับความรู้และการฝึกทักษะต่างๆในการ .05 (t = 5.505, p < .05) โดยกลมุ่ ทดลองมคี ะแนนเฉลย่ี ปฏิบัติกิจกรรมฟื้นสภาพหลังผ่าตัด โดยได้รับ การฟน้ื สภาพหลงั ผา่ ตดั ระยะทา้ ยสงู กวา่ กลมุ่ ควบคมุ ดงั ประสบการณ์ทั้งหมดด้วยตนเองจากการค้นพบปัญหา ตารางท่ี 1 ตามสภาพการณจ์ รงิ การต้ังเป้าหมาย และการวางแผน เมื่อพิจารณาคะแนนเฉลี่ยการฟื้นสภาพหลัง แกไ้ ขปัญหาใหส้ ำ� เร็จตามเป้าหมาย ท�ำใหเ้ กดิ การเรียนรู้ ผา่ ตดั ระยะทา้ ยโดยรวมและรายดา้ นพบวา่ คะแนนเฉลย่ี จากการปฏบิ ตั แิ ละการแกไ้ ขปญั หา และรบั รถู้ งึ ศกั ยภาพ การฟน้ื สภาพหลงั ผา่ ตดั ระยะทา้ ยโดยรวม และเฉลย่ี การ ในการควบคุมสถานการณ์ต่างๆ น�ำไปสู่การเกิดความ ฟื้นสภาพหลังผ่าตัดระยะท้ายด้านอาการทางกาย ด้าน รสู้ กึ มคี ุณค่าในตนเอง ซ่งึ เปน็ ความรสู้ กึ เชื่อมน่ั ในตนเอง การทำ� หนา้ ทขี่ องรา่ งกาย ดา้ นจติ ใจ ดา้ นสงั คม และดา้ น มีความเข้มแข็งในการกระท�ำสิ่งต่างๆ และเป็นอ�ำนาจ การด�ำเนินชีวิตประจ�ำวันของกลุ่มทดลองและกลุ่ม ภายในตนทกี่ ระตนุ้ ใหร้ บั รสู้ มรรถนะในการดแู ลตนเอง ผู้ ควบคมุ แตกตา่ งกนั อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .05 ปว่ ยจงึ สามารถดแู ลตนเองและปฏบิ ตั กิ จิ กรรมฟ้นื สภาพ ดงั ตารางท่ี 2 หลังผ่าตัดได้อย่างต่อเนื่องในระยะพักฟื้นท่ีบ้าน
56 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 สอดคล้องกับการศึกษาของ Chobkarnrai และคณะ10 ปว่ ยสามารถคน้ พบปญั หาดา้ นอาการทางกายทเ่ี กดิ ขน้ึ ใน พบว่า ความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองมีความสัมพันธ์ทาง ระยะหลังผ่าตัดตามสภาพการณ์จริงและยอมรับปัญหา บวกกบั พฤตกิ รรมการดแู ลตนเองของผปู้ ว่ ยผา่ ตดั กระดกู ที่ก�ำลังเผชิญอยู่ ท�ำให้เกิดการต้ังเป้าหมายและแก้ไข สนั หลงั ระดับเอวอยา่ งมนี ยั ส�ำคญั ทางสถติ ิ และสามารถ ปญั หา โดยแสวงหาความรแู้ ละใชป้ ระสบการณท์ ผี่ า่ นมา ท�ำนายพฤติกรรมการดแู ลตนเองของผู้ป่วยได้อยา่ งมีนยั ในการแก้ปญั หาและปฏิบัตกิ ิจกรรมฟน้ื สภาพหลังผ่าตดั ส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยผู้ป่วยมีการรับรู้ภาวะ ทำ� ใหส้ ามารถควบคมุ และจดั การกบั อาการทางกายตา่ งๆ สขุ ภาพของตน จงึ ปรบั ตวั และพรอ้ มปฏบิ ตั ติ ามแผนการ ท่ีเกิดข้ึนได้ สอดคล้องกับการศึกษาของ Iemphong17 รกั ษาดว้ ยความเตม็ ใจ รวมทง้ั มกี ารปรบั เปลยี่ นพฤตกิ รรม ซึ่งพบว่าผู้ป่วยผ่าตัดเปล่ียนข้อเข่าเทียมกลุ่มที่ได้รับ สุขภาพได้เหมาะสมท้งั ดา้ นรา่ งกายและจติ สงั คม เม่ือได้ โปรแกรมเสริมสร้างพลังอ�ำนาจมีอาการปวดน้อยกว่าผู้ รับความรู้ร่วมกับฝึกทักษะในการปฏิบัติท�ำให้ผู้ป่วยมี ป่วยกลุ่มท่ีได้รับการพยาบาลตามปกติอย่างมีนัยส�ำคัญ สว่ นร่วมในการเรยี นรู้ จงึ สามารถดแู ลตนเองและปฏิบัติ ทางสถิติที่ระดับ .05 เน่ืองจากผู้ป่วยที่สามารถเลือกวิธี กิจกรรมฟื้นสภาพหลังผ่าตัดได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ปฏิบัติกิจกรรมท่ีเหมาะสมเพ่ือลดอาการปวดได้ด้วย การที่ผู้วิจัยสนับสนุนข้อมูลและกระตุ้นผ่านทาง ตนเอง ทำ� ใหไ้ ดร้ บั การแกไ้ ขเมอ่ื เรมิ่ มอี าการปวดเพยี งเลก็ Application Line และการติดตามเยี่ยมทางโทรศัพท์ น้อยจึงสามารถควบคุมอาการปวดได้ดีกว่าผู้ป่วยกลุ่มที่ เปน็ การเพมิ่ ความมนั่ ใจใหแ้ กผ่ ปู้ ว่ ยมากขนึ้ ทำ� ใหส้ ามารถ ได้รับการพยาบาลตามปกติ ปฏบิ ตั ไิ ดอ้ ยา่ งสมำ่� เสมอและยงั คงพฤตกิ รรมนนั้ อยา่ งตอ่ เนือ่ ง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีการฟ้ืนสภาพหลังผา่ ตัดระยะท้าย ดา้ นการทำ� หนา้ ทข่ี องรา่ งกาย ปว่ ยกลมุ่ ทดลอง ท่ีดี สอดคล้องกับการศึกษาของ Sasuan และ มคี ะแนนเฉลย่ี การฟน้ื สภาพหลงั ผา่ ตดั ระยะทา้ ยดา้ นการ Phatisena14 ซ่ึงพบว่าผู้ป่วยผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม ทำ� หนา้ ทข่ี องรา่ งกายสงู กวา่ กลมุ่ ควบคมุ อยา่ งมนี ยั สำ� คญั กลมุ่ ทไ่ี ดร้ บั โปรแกรมเสรมิ สรา้ งพลงั อำ� นาจมคี วามรมู้ าก ทางสถติ ิ (p < .05) เนอ่ื งจากผปู้ ว่ ยได้รบั ความรูแ้ ละฝึก กว่าก่อนได้รับโปรแกรมและมากกว่าผู้ป่วยกลุ่มที่ได้รับ ทักษะต่างๆ ในการดูแลตนเองและปฏิบัติกิจกรรมฟื้น การพยาบาลตามปกติ รวมทงั้ มกี ารฟน้ื สภาพดา้ นอาการ สภาพหลังผ่าตัด ท�ำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ปวด การเหยียดงอข้อเขา่ ระยะทางการเดิน และระยะ เพอื่ ปอ้ งกนั ไมใ่ หก้ ระดกู สนั หลงั เกดิ แรงกดมากเกนิ ไป อนั เวลานอนพักดีกว่าผู้ป่วยกลุ่มท่ีได้รับการพยาบาลตาม จะก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อน รวมท้ังมีการบริหารกล้าม ปกตอิ ยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั .05 และสอดคลอ้ ง เนอื้ ทเี่ หมาะสม สง่ ผลใหก้ ลา้ มเนอ้ื และกระดกู สนั หลงั ฟน้ื กบั การศึกษาของ Yuncharoen และคณะ16 ซงึ่ พบว่าผู้ จากพยาธิสภาพของโรคและการผ่าตัดอย่างรวดเร็ว สูงอายุผ่าตัดเปล่ียนข้อเข่าเทียมกลุ่มที่ได้รับโปรแกรม สอดคลอ้ งกบั การศกึ ษาของ Iemphong17 ซง่ึ พบวา่ ผปู้ ว่ ย เสรมิ สร้างพลงั อำ� นาจมกี ารฟื้นสภาพหลงั ผ่าตดั มากกว่า ผา่ ตดั เปลยี่ นขอ้ เขา่ เทยี มกลมุ่ ทไี่ ดร้ บั โปรแกรมเสรมิ สรา้ ง ผปู้ ว่ ยกลมุ่ ทไ่ี ดร้ บั การพยาบาลตามปกตอิ ยา่ งมนี ยั สำ� คญั พลงั อำ� นาจมกี ารฟน้ื สภาพหลงั ผา่ ตดั ดา้ นของการเหยยี ด ทางสถิติท่รี ะดบั .05 การงอขอ้ เขา่ และระยะทางการเดนิ มากกวา่ กลมุ่ ควบคมุ อย่างมนี ัยส�ำคัญทางสถิติท่ีระดบั .05 เนื่องจากผู้ป่วยมี เม่ือพิจารณาคะแนนเฉล่ียการฟื้นสภาพระยะ การรบั รคู้ วามสามารถในการออกกำ� ลงั กลา้ มเนอ้ื ขาและ ท้ายในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดกระดูกสันหลังระดับเอว ปฏิบัตไิ ดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งและต่อเน่อื ง ส่งผลใหม้ กี ารกลับสู่ ของกลมุ่ ทดลองและกลมุ่ ควบคมุ เปน็ รายดา้ น พบวา่ ดา้ น ความสามารถในการทำ� หนา้ ทขี่ องรา่ งกายทรี่ วดเรว็ อาการทางกาย ผู้ปว่ ยกล่มุ ทดลองมคี ะแนนเฉลี่ยการฟื้น สภาพหลงั ผา่ ตดั ระยะทา้ ยดา้ นอาการทางกายสงู กวา่ กลมุ่ ด้านจิตใจ ผู้ป่วยกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ย ควบคุมอย่างมีนัยสำ� คญั ทางสถิติ (p < .05) เนื่องจากผู้ การฟื้นสภาพหลังผ่าตัดระยะท้ายด้านจิตใจสูงกว่ากลุ่ม
วารสารพยาบาลศาสตร ์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ปีที่ 31 ฉบับที่ 3 กันยายน - ธนั วาคม 2562 57 ควบคุมอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติ (p < .05) เน่ืองจากผู้ ชำ� นาญ ทำ� ใหม้ กี ารปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมการดำ� เนนิ ชวี ติ ปว่ ยยอมรบั ตอ่ การเจบ็ ปว่ ยและมคี วามคดิ ดา้ นบวกน�ำไป ประจำ� วนั ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม จงึ สามารถปฏบิ ตั กิ จิ วตั รดว้ ย สกู่ ารปฏบิ ตั ทิ เี่ หมาะสม รวมทง้ั ไดร้ บั ความรแู้ ละฝกึ ทกั ษะ ตนเองได้ สอดคลอ้ งกบั การศกึ ษาของ Garzon-Rey และ การปฏิบัติกิจกรรมฟื้นสภาพหลังผ่าตัด ท�ำให้ลดความ คณะ18 ซ่ึงพบวา่ ผู้ปว่ ยผา่ ตัดกระดกู สันหลังระดบั เอวที่ วิตกกังวลและสามารถการปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ผู้ป่วย ไดร้ บั การสง่ เสรมิ สมรรถนะแหง่ ตนมคี วามสามารถในการ รสู้ กึ ถงึ ความสำ� เรจ็ และพงึ พอใจในความสามารถของตน ปฏิบัติกิจวัตรสูงกว่าผู้ป่วยกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยส�ำคัญ ท�ำให้เกิดความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง จึงสามารถเผชิญ ทางสถิติที่ระดับ .001 เน่ืองจากผู้ป่วยได้รับการเตรียม ปัญหาการฟื้นสภาพหลังผ่าตัดและแก้ไขได้อย่างเหมาะ ความพร้อมในด้านความรู้และทักษะการปฏิบัติ รวมทั้ง สม ท�ำใหม้ ปี ระสบการณท์ ีด่ ีในการผา่ ตัด สอดคลอ้ งกับ ได้รับแรงจูงใจให้มีความเชื่อมั่นในสมรรถนะของตนว่า การศกึ ษาของ Garzon-Rey และคณะ18 ซงึ่ พบวา่ ผปู้ ว่ ย สามารถปฏบิ ัตกิ ิจวตั รประจำ� วนั ได้ดว้ ยตนเอง ผา่ ตดั เปลยี่ นขอ้ เขา่ เทยี มทไี่ ดร้ บั โปรแกรมเสรมิ สรา้ งพลงั อ�ำนาจมีระดับความเครียดลดลง และเกิดความรู้สึกมี ดงั นน้ั การเสรมิ สรา้ งพลงั อำ� นาจจงึ เปน็ บทบาท พลังมากขึน้ ในการปฏิบตั กิ จิ กรรมต่างๆ หลงั ผ่าตัด อิสระของพยาบาลในการส่งเสริมให้ผู้ป่วยรับรู้ถึงความ สามารถในการควบคุมหรือจัดการกับความเจ็บป่วยของ ด้านสังคม ผู้ป่วยกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ย ตนไดอ้ ยา่ งเหมาะสมและมปี ระสทิ ธภิ าพ รวมทง้ั สามารถ การฟื้นสภาพหลังผ่าตัดระยะท้ายด้านสังคมสูงกว่ากลุ่ม ตัดสินใจแก้ไขปัญหาและก�ำหนดแนวทางในการดูแล ควบคมุ อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถิติ (p < .05) เนอื่ งจากผู้ สุขภาพของตนภายใต้การสนับสนุนข้อมูลและทักษะ ป่วยมีการรับรู้ภาวะสุขภาพและความเส่ียงของการเกิด อยา่ งเพยี งพอจากบคุ ลากรทางสขุ ภาพ เพอ่ื ใหผ้ รู้ บั บรกิ าร ภาวะแทรกซ้อน ท�ำให้ตระหนักในการปรับเปล่ียน มสี ขุ ภาวะที่ดที ง้ั ด้านรา่ งกาย จิตใจ และสังคม แม้อยใู่ น พฤติกรรมเหมาะสม และปฏิบัติกิจกรรมฟื้นสภาพหลัง ภาวะเบีย่ งเบนทางสขุ ภาพหรือความเจบ็ ปว่ ย ผ่าตัดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การท�ำหน้าที่ของร่างกาย กลบั สสู่ ภาวะปกตอิ ยา่ งรวดเรว็ รวมทงั้ ในดา้ นจติ ใจผปู้ ว่ ย ขอ้ เสนอแนะในการน�ำผลการวิจัยไปใช้ สามารถเผชิญกับการปรับตัวในระยะเปลี่ยนผ่านจาก สภาวะเจ็บป่วยไปสสู่ ภาวะปกตไิ ด้อย่างเหมาะสม ส่งผล สามารถน�ำโปรแกรมเสริมสร้างพลังอ�ำนาจไป ใหก้ ลบั สบู่ ทบาทหนา้ ทแี่ ละมปี ฏบิ ตั สิ มั พนั ธท์ างสงั คมกบั ใช้ในการส่งเสริมความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองในผู้ป่วยที่ ผู้อ่ืนได้อย่างรวดเร็ว สอดคล้องกับการศึกษาของ Tzu- ไดร้ บั การผา่ ตดั กระดกู สนั หลงั ระดบั เอวในระยะพกั ฟน้ื ที่ Ting Huang และคณะ13 พบว่าผู้ป่วยผ่าตัดเปล่ียนข้อ บ้าน ท�ำให้สามารถดูแลตนเองและปฏิบัติกิจกรรมฟื้น สะโพกเทยี มทไ่ี ดร้ บั โปรแกรมเสรมิ สรา้ งพลงั อำ� นาจมกี าร สภาพหลงั ผา่ ตดั ไดอ้ ยา่ งเหมาะสมและตอ่ เนอื่ ง รวมทง้ั มี ปรับเปล่ียนพฤตกิ รรมสุขภาพ การดำ� เนินชีวิตประจำ� วัน การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมสุขภาพท่ีดีข้ึน ซึ่งจะน�ำไปสู่ การเคลอ่ื นไหว และมคี ณุ ภาพชวี ติ ทดี่ ใี นระหวา่ งเขา้ รว่ ม การฟน้ื สภาพหลงั ผา่ ตัดระยะทา้ ยท่ีดี โปรแกรม ขอ้ เสนอแนะในการท�ำวจิ ยั ครัง้ ตอ่ ไป ด้านการด�ำเนินชีวิตประจ�ำวัน ผู้ป่วยกลุ่มมี คะแนนเฉลี่ยการฟื้นสภาพหลังผ่าตัดระยะท้ายด้านการ ควรมีการศึกษาผลของโปรแกรมเสริมสร้าง ดำ� เนนิ ชวี ติ ประจำ� วนั สงู กวา่ กลมุ่ ควบคมุ อยา่ งมนี ยั สำ� คญั พลังอ�ำนาจในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดกระดูกสันหลัง ทางสถติ ิ (p < .05) เนอื่ งจากผปู้ ว่ ยได้รับความรแู้ ละฝึก ระดับเอวอยา่ งตอ่ เนื่องในระยะ 3 เดอื น 6 เดือน และ 1 ทักษะในการดูแลตนเองอย่างต่อเน่ืองจนเกิดความ ปี เพือ่ เปรยี บเทยี บการฟ้นื สภาพหลงั ผ่าตดั ในแตล่ ะชว่ ง เวลา และติดตามความยั่งยืนของการเสริมสร้างพลัง อ�ำนาจระยะยาว
58 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 บทสรุป กิตติกรรมประกาศ การศกึ ษาครง้ั นพ้ี บวา่ โปรแกรมเสรมิ สรา้ งพลงั ขอขอบคณุ บณั ฑติ วทิ ยาลยั และคณะพยาบาล อ�ำนาจช่วยให้ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดกระดูกสันหลัง ศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ทส่ี นบั สนนุ ทนุ อดุ หนนุ ระดับเอวรับรู้ถึงความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง และเกิด วทิ ยานพิ นธส์ �ำหรบั งานวิจัยในครั้งนี้ ความเช่ือม่ันในศักยภาพของตน ท�ำให้สามารถดูแล ตนเองและปฏิบัติกิจกรรมฟื้นสภาพหลังผ่าตัดท่ีเหมาะ สมและต่อเนื่องในขณะพักฟื้นที่บ้าน ส่งผลให้มีการฟื้น สภาพหลังผา่ ตดั ระยะท้ายท่ดี ี ครอบคลุมในทุกดา้ น References analysis. Journal of Advanced Nursing 2007; 57(5): 552-8. 1. Martin BI, Mirza SK, Spina N, Spiker WR, Lawrence B, Brodke DS. Trends in 6. Allvin R, Ehnfors M, Rawal N, Svensson E, Lumbar Fusion Procedure Rates and Idvall E. Development of a questionnaire Associated Hospital Costs for to measure patient-reported posto- Degenerative Spinal Diseases in the perative recovery: content validity and United States, 2004 to 2015. Spine 2019; intra-patient reliability. Journal of 44(5): 369-76. evaluation in clinical practice 2009; 2. Department of medical services ministry of 15(3): 411-9. Public health. Statistical report 7. Prasat neurological institute. Clinical nursing department of medical services ministry practice guidelines for surgical spine of public health on medical services Tanapress company: Bangkok; 2013. 2013. Department of medical services; (In Thai) 2013. (In Thai) 8. Archer KR, Seebach CL, Mathis SL, Riley III 3. Operating department of Prasat neurological LH, Wegener ST. Early postoperative institute. Statistical report of operating fear of movement predicts pain, room of Prasat neurological institute. disability, and physical health six 2016-2018. (In Thai) months after spinal surgery for 4. Jansson KA, Nemeth G, Granath F, Jonsson B, degenerative conditions. The Spine Blomqvist P. Health-related quality of Journal 2014; 14(5): 759-67. life (EQ-5D) before and one year after 9. Gu J, Guan F, Zhu L, Guan G, Chi Z, Wang H, et al. Risk Factors of Postoperative surgery for lumbar spinal stenosis. The Low Back Pain for Lumbar Spine Disease. Journal of bone and joint surgery, British Volume 2009; 91(2): 210-6. World Neurosurg 2016; 94: 248-54. Doi. org/10.1016/j.wneu.2016.07.010 5. Allvin R, Berg K, Idvall E, Nilsson U. 10. Chobkarnrai S , Chanruangvahich W, Postoperative recovery: a concept Tosingha O, Watthanaapisit T. Factors
วารสารพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั ปที ่ี 31 ฉบบั ที่ 3 กันยายน - ธันวาคม 2562 59 in the prediction of self-care behaviour Patients. In: The National Conference& amongst post-lumbar surgery degene- Research Presentation 2015 “Crate and rative spine patients. Thai Journal of Development to Approach ASEAN Nursing Council 2013; 28(3): 68-79. Community II”; 2015 June 18-19; (In Thai) NakhonRatchasima College. Nakhonrat- 11. Sangsaikaew A, Somkumlung P. Holistic chasima, Thailand; 2015.110-19. (In Thai) nursing approach: Its implications for 15. Polit D, Hungler B. Nursing Research: practice of caring for patients after Principle and Method. 6th ed. Philadelphia: undergoing lumbar spine surgery. Lippincott Company; 1999. Journal of Humanities and Social 16. YuncharoenK,JitramontreeN,Jirathummakoon Sciences Nakhon Phanom University S. The effects of empowerment program 2018; (Special issue of the 25th Nursing on postoperative recovery in older Conference): 203-8. (In Thai) patients undergoing knee arthroplasty. 12. Gibson CH. The process of empowerment Journal of Nursing Science 2016; 34(1): in mothers of chronically ill children. 167-78. (In Thai) Journal of advanced nursing 1995; 21(6): 17. Iemphong L. The effects of empowerment 1201-10. program on postoperative recovery and 13. Huang TT, Sung CC, Wang WS, Wang BH. The knowledge of minimally invasive total effects of the empowerment education knee arthroplasty surgery. Christian program in older adults with total hip University of Thailand; 2010. (In Thai) replacement surgery. Journal of 18. Garzon-Rey JM, Arza-Valdes A, Nuevo-Gayoso advanced nursing 2017; 73(8): 1848-61. M, Aguilo J. Effectiveness of patient 14. Sasuan A, Phatisena T. The Effects of empowerment over stress related to Empowerment Program on Postoperative knee arthroplasty surgery. Enfermeria Recovery of Knee Arthroplasty Surgery Clinica 2018; 28(3): 186-93.
60 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 บทความวิจัย ปจั จัยทมี่ คี วามสัมพนั ธก์ บั พฤติกรรมการปอ้ งกันการติดเช้ือ เอชไอวีของเยาวชนแรงงานขา้ มชาตชิ าวเมยี นมา เอกลักษณ์ ฟกั สุข* ปรีย์กมล รชั นกุล** และ วนลดา ทองใบ*** คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 99 หมู่ 18 คลองหน่งึ คลองหลวง ปทมุ ธานี 12120 บทคัดย่อ วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันการติดเช้ือเอชไอวีของเยาวชน แรงงานข้ามชาติชาวเมยี นมา แบบแผนงานวิจยั : การศกึ ษาวจิ ยั เชงิ พรรณาหาความสัมพันธ์ วิธีด�ำเนินการวิจัย: กลุ่มตัวอย่างคือ เยาวชนแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมาจ�ำนวน 120 คน ที่เข้ารับการ ตรวจ ณ โรงพยาบาลสังกดั กรมการแพทย์ เขตกรงุ เทพมหานครแห่งหนึง่ ระหว่างเดือน ตุลาคม ถึง เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์ข้อมูลส่วนบุคคล ความรู้เก่ียวกับเช้ือเอชไอวี และการป้องกันการติดเช้ือเอชไอวี ทัศนคติต่อการป้องกันการติดเช้ือเอชไอวี การรับรู้โอกาสเส่ียงต่อการ ติดเช้ือเอชไอวี การรับรู้สมรรถนะของตนในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี และพฤติกรรมการป้องกัน การติดเช้ือเอชไอวี วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน และสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ แบบพอยท์ไบซีเรียล ผลการวิจัย: ปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันการติดเช้ือเอชไอวีของเยาวชนแรงงานข้าม ชาตชิ าวเมยี นมาอยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ ่ี (p < .05) ไดแ้ ก่ ความรเู้ กยี่ วกบั เชอื้ เอชไอวแี ละการปอ้ งกนั การ ตดิ เชือ้ เอชไอวี (r = .44) ทัศนคตติ อ่ การป้องกนั การตดิ เช้ือเอชไอวี (r = .48) การรบั ร้คู วามเสย่ี งตอ่ การ ติดเช้ือเอชไอวี (r =.51) และการรับรู้สมรรถนะของตนในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี (r =.43) ส่วน ปจั จยั ที่ไมม่ คี วามสัมพนั ธ์ ไดแ้ ก่ เพศ สถานภาพการสมรส และระดับการศึกษา สรุป: การวางแผนส่งเสริม และจัดการให้เยาวชนแรงงานข้ามชาติเกิดพฤติกรรมการป้องกันการติดเช้ือ เอชไอวีนั้น ควรเน้นส่งเสริมให้เยาวชนแรงงานข้ามชาติเกิดการรับรู้โอกาสเส่ียง เสริมสร้างการรับรู้ สมรรถนะของตน การปรับทัศนคติทางบวก และส่งเสริมความรู้ เก่ียวกับเช้ือเอชไอวีและการป้องกันการ ติดเชื้อเอชไอวีท่ีเหมาะสมเพื่อน�ำไปสู่การเกิดพฤติกรรมการป้องกันการติดเช้ือเอชไอวี และลดจ�ำนวน ผู้ตดิ เชื้อรายใหม่ในเขตกรุงเทพมหานครตอ่ ไป ค�ำสำ� คญั : ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ พฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี/ เยาวชนแรงงานข้ามชาติ/ ชาวเมียนมา วารสารพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย 2562, 31(3) : 60-73 * นกั ศกึ ษาหลกั สตู รพยาบาลศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าการพยาบาลเวชปฏบิ ตั ชิ มุ ชน คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ** ผู้รับผิดชอบหลัก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ Email: [email protected] *** อาจารย์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์
วารสารพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั ปีที่ 31 ฉบบั ท่ี 3 กันยายน - ธันวาคม 2562 61 The Factors Related to HIV Prevention Behavior among Myanmarese Youth Migrant Workers Ekkalak Faksook* Pregamol Rutchanagul** and Wanalada Thongbai*** Abstract Purpose: To investigate factors related to HIV preventive behaviors among Myanmarese youth migrant workers. Design: descriptive correlation research study Method: The sampling consisted of 120 young Myanmar migrant workers Visited to the hospital under the Department of Medical Services, Bangkok area between October and November 2018. Data were collected using a set of questionnaires. The questionnaires included questionnaires about personal information, knowledge, attitude toward HIV infection, perceived susceptibility to HIV infection, self-efficacy for HIV prevention and HIV prevention behavior. Data were analyzed using descriptive and inferential statistics. Correlations were identified using the Pearson product-moment correlation coefficient, and the point biserial correlation coefficient. Finding: The results revealed that knowledge of HIV prevention (r=0.45), attitude toward HIV prevention (r = 0.53), perceived susceptibility to HIV (r=0.55), and self-efficacy for HIV prevention (r=0.43) were positively and significantly related to HIV prevention behavior (p<.05) among Myanmar youth migrant workers in Bangkok, Thailand. The results further revealed that the non-correlation factors for HIV prevention behaviors were sex, marital status, and education level. Conclusion: The findings of this study can be used in planning and organizing projects to increase the recognition of perceived susceptibility to HIV, perceived self-efficacy for HIV prevention, attitude toward HIV prevention, and increased knowledge of HIV prevention in Bangkok, Thailand. Keywords: HIV prevention behaviors/ Youths/ Migrant workers/ Myanmarese Journal of Nursing Science Chulalongkorn University 2019, 31(3) : 60-73 Article info: Received October 10, 2018; Revised January 13, 2019; Accepted Febuary 18, 2019 * Student in Master of Nursing Science Program, Faculty of Nursing, Thamasat University ** Corresponding author, Assistant Professor, Faculty of Nursing, Thamasat University. Email: [email protected] *** Lecturer, Faculty of Nursing Thamasat University
62 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 บทน�ำ นำ้� ยาทำ� ความสะอาดอวยั วะสบื พนั ธส์ุ ามารถปอ้ งกนั การ ติดเช้ือได้8 การมีทัศนคติต่อถุงยางอนามัยโดยเชื่อว่า เอชไอวี เปน็ ปญั หาส�ำคญั ทอี่ งคก์ รสาธารณสขุ การสวมถุงยางอนามัยท�ำให้ความสุขทางเพศลดลง6 ท่ัวโลกพยายามแก้ไขมาอย่างต่อเน่ืองตั้งแต่อดีตจนถึง และยังเช่ือว่าสมุนไพรพื้นบ้านสามารถช่วยรักษาเช้ือ ปัจจุบัน แต่ก็ยังคงมีผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลกสูงถึง 36.7 เอชไอวีได้9 ความรู้ท่ีไม่เพียงพอและความเชื่อดังกล่าว ล้านคน1 และมีแนวโน้มเพ่ิมมากข้ึนในกลุ่มแรงงาน สง่ ผลทำ� ใหเ้ ยาวชนแรงงานขา้ มชาตเิ กดิ ความเสย่ี งตอ่ การ ข้ามชาติ โดยเฉพาะในประเทศไทยท่ีมีแรงงานข้ามชาติ ติดเชื้อเอชไอวีมากเพ่มิ ขนึ้ ติดเช้ือเอชไอวีสูงถึงร้อยละ 4 ของผู้ติดเชื้อทั้งหมดใน ประเทศ1 และพบความชุกของผู้ติดเชื้อเอชไอวีมากถึง แรงงานขา้ มชาตทิ ม่ี กี ารตดิ เชอ้ื เอชไอวนี อกจาก ร้อยละ 49.302 ส่วนใหญ่เป็นแรงงานข้ามชาติชาว มีโอกาสแพร่กระจายเช้ือไปยังแรงงานข้ามชาติด้วยกัน เมยี นมา3 ซงึ่ เขา้ มาทำ� งานในประเทศไทยในกลมุ่ แรงงาน แล้วยังมีโอกาสแพร่มาสู่แรงงานไทย ก่อให้เกิดปัญหา ไร้ฝีมือที่ไม่ต้องการทักษะในการท�ำงานสูงมาก เช่น สุขภาพกับคนไทยเพิ่มมากขึ้นได้อีกด้วย นอกจากนี้ยัง อาชีพรบั จา้ งก่อสร้าง ประเภทประมง ลูกจา้ งในโรงงาน ส่งผลให้ประเทศไทยต้องสูญเสียก�ำลัง แรงงานส�ำคัญ อุตสาหกรรม เกษตรกร ลูกจ้างในครัวเรือนร้านค้า พนื้ ฐาน และตอ้ งสญู เสยี คา่ ใชจ้ า่ ยในการดแู ลปอ้ งกนั การ เปน็ ต้น4 ตดิ เชอื้ เอชไอวเี พม่ิ มากขน้ึ ตามสทิ ธปิ ระกนั สขุ ภาพแรงงาน ข้ามชาติ ถึงร้อยละ 2.4 เพิ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2553 ท่ีใช้ แรงงานขา้ มชาตทิ เี่ ขา้ มาทำ� งานในประเทศไทย งบประมาณร้อยละ 2.2 เท่านน้ั 10 ดงั น้นั การส่งเสริมให้ ถูกจัดเป็นกลุ่มเส่ียงสูงต่อการติดเช้ือเอชไอวี เน่ืองจาก เยาวชนแรงงานข้ามชาติเกิดพฤติกรรมป้องการติดเชื้อ สว่ นใหญเ่ ปน็ กลมุ่ เยาวชนอายุ 18-25 ปี5 ชว่ งวยั ดงั กลา่ ว เอชไอวจี งึ เปน็ แนวทางทจ่ี ะชว่ ยลดภาระและปญั หาตา่ งๆ น้ี เปน็ ชว่ งการเปลยี่ นผา่ นจากวยั รนุ่ ตอนปลายสวู่ ยั ผใู้ หญ่ ทีเ่ กดิ ขนึ้ กบั ประเทศไทย แต่การทจี่ ะส่งเสรมิ ใหเ้ ยาวชน เป็นชว่ งที่มกี ารเปล่ียนแปลงท้ังดา้ นรา่ งกาย จิตใจ และ แรงงานข้ามชาติเกิดพฤติกรรมการป้องกันการติดเช้ือ อารมณ์ เป็นวัยที่มีพัฒนาการทางเพศที่สมบูรณ์และ เอชไอวีได้อย่างเหมาะสมน้ัน จ�ำเป็นต้องทราบถึงปัจจัย อยใู่ นวยั เจรญิ พนั ธ์ุ (Full sexual maturation) มโี อกาส ที่เก่ียวข้องกับพฤติกรรมการป้องกันการติดเช้ือเอชไอวี มีเพศสัมพันธ์อย่างอิสระได้สูง ท�ำให้มีพฤติกรรมทาง ในกลุ่มเยาวชนแรงงานข้ามชาติก่อน จึงจะท�ำให้การ เพศและความเสย่ี งทางเพศทจี่ ะนำ� ไปสกู่ ารตดิ เชอ้ื เอชไอ จัดแนวทางการป้องกันเป็นไปอย่างเหมาะสมและมี วีได้มากกว่ากลุม่ อน่ื ๆ6 อกี ทงั้ กลุ่มเยาวชนทีเ่ ปน็ แรงงาน ประสิทธภิ าพ ข้ามชาติเป็นกลุ่มท่ีหน่วยงานทางสาธารณสุขเข้าถึงได้ ยาก มกี ารยา้ ยทอ่ี ยตู่ ลอดเวลาตามสถานทที่ ำ� งานบางคน ผวู้ จิ ยั จงึ ทบทวนวรรณกรรมทผี่ า่ นมาถงึ ปจั จยั อยู่แบบหลบซ่อนเน่ืองจากเข้าเมืองอย่างไม่ถูกกฎหมาย ท่ีน่าจะมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันการ ซึ่งมีรายงานพบว่ากลุ่มเยาวชนแรงงานข้ามชาติที่อยู่ใน ติดเชื้อเอชไอวีในกลุ่มเยาวชนแรงงานข้ามชาติชาวพม่า ประเทศไทยท่ังท่ีเข้าเมืองอย่างถูกกฎหมายและผิด โดยเลือกจาก ปัจจัยที่เคยศึกษาในกลุ่มบริบทใกล้เคียง กฎหมาย มีสัดส่วนสูงท่ีสุดในการจ่ายเงินเพ่ือการมีเพศ กันแล้วพบว่ามีความสัมพันธ์ระดับสูงกับพฤติกรรม สัมพันธ์คิดเป็นร้อยละ 27 ของกลุ่มเยาวชนที่มีความ การป้องกันการติดเช้ือเอชไอวี แต่ยังไม่เคยน�ำมาศึกษา เสย่ี งทง้ั หมด7 จึงเพ่ิมโอกาสเสยี่ งมากขึน้ ท่จี ะติดเช้อื เอช ในกล่มุ เยาวชนแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมา ปัจจัยที่ยัง ไอว5ี ,7 ประกอบกบั แรงงานขา้ มชาตมิ ากถึงรอ้ ยละ 47.5 มีทิศทางความสัมพันธ์ท่ีไม่ชัดเจน มาใช้ในการศึกษา มีการซ้ือบริการทางเพศ6 และแรงงานข้ามชาติยังมี ครั้งนคี้ ือ 1) ความรูเ้ รอ่ื งเอชไอวีและการปอ้ งกันการติด ความรูท้ ่ีบิดเบอื น เช่น เข้าใจว่ายุงเปน็ พาหะนำ� เชือ้ โรค เชื้อเอชไอ11,12,13,14 2) การรับรโู้ อกาสเส่ียงตอ่ การติดเช้อื
วารสารพยาบาลศาสตร ์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั ปีท่ี 31 ฉบับที่ 3 กันยายน - ธนั วาคม 2562 63 เอชไอวี9,11,12,14 3) ทัศนคติต่อการป้องกันการติดเช้ือ การป้องกันการติดเช้ือในเยาวชนแรงงานข้ามชาติ เพื่อ เอชไอวี8,13 4) การรับรู้สมรรถนะของตนในการป้องกัน ลดการติดเช้ือรายใหม่ให้ได้มากที่สุดในชุมชนของกลุ่ม การติดเชื้อเอชไอว1ี 1,13 และ 5) ปัจจัยสว่ นบคุ คล ไดแ้ ก่ เยาวชนแรงงานข้ามชาติ ตามนโยบาย Getting to เพศ สถานภาพสมรส ระดับการศกึ ษา7,9,11 Zero หรอื “เขา้ ใกลเ้ ปา้ หมายทเ่ี ปน็ ศนู ย”์ ของกระทรวง สาธารณสุข และ องค์การอนามัยโลกท่ีมีนโยบายเพื่อ การศึกษาเก่ียวกับพฤติกรรมการป้องกันการ ลดปัญหาการติดเชื้อเอชไอวีโดยเป้าหมายหลักส�ำคัญ ติดเช้ือเอชไอวีในกลุ่มเยาวชนแรงงานข้ามชาติชาว ประกอบไปดว้ ย สามศูนย์ (000) ไดแ้ ก่ การทไี่ ม่มผี ู้ตดิ เมียนมาที่ผ่านมานั้นนานเกินกว่า 10 ปี ส่วนใหญ่เป็น เชอื้ รายใหม่ (Zero new infection) การทไี่ มม่ ผี เู้ สยี ชวี ติ การศกึ ษาเชิงบรรยายส�ำรวจซึ่งยังไมส่ ามารถบอกปจั จัย จากเอดส์ (Zero death) และการไมม่ กี ารตตี ราหรอื การ ท่ีมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อ แบง่ แยกผู้ตดิ เชื้อ (Zero stigma and discrimination) เอชไอวีได้อย่างชัดเจน และผลการวิจัยยังไม่สอดคล้อง ตอ่ ไป1,4 ไปในทิศทางเดียวกัน การศึกษาส่วนใหญ่ศึกษาในวัย แรงงานผใู้ หญไ่ มไ่ ดม้ งุ่ เนน้ ทก่ี ลมุ่ เยาวชนแรงงานขา้ มชาติ กรอบแนวคดิ การวจิ ยั ชาวเมียนมา จึงอาจไม่สามารถน�ำมาอธิบายในบริบท ปัจจุบันของกลุ่มประชากรที่แตกต่างกันได้ ดังน้ัน การศึกษาวิจัยครั้งนี้ใช้กรอบแนวคิด ข้อมูล การศกึ ษาครงั้ นผ้ี วู้ จิ ยั จงึ มงุ่ เนน้ ศกึ ษาเฉพาะกลมุ่ เยาวชน แรงจูงใจ และทักษะพฤติกรรม (Information- แรงงานข้ามชาติชาวเมียนมา เพื่อหาปัจจัยที่มีความ Motivation-Behavioral Skill: IMB) ของ Fisher, สมั พันธก์ ับพฤติกรรมการป้องกันการติดเชือ้ เอชไอวีของ Fisher และ Shuper15 ซ่ึงแนวคดิ ดงั กลา่ วเชอ่ื ว่าบุคคล เยาวชนแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมาท่ีอาศัยอยู่ในเขต จะเกิดพฤติกรรมการป้องกันโรคเอดส์ได้นั้นขึ้นอยู่กับ กรุงเทพมหานคร ซ่ึงเป็นจังหวัดที่มีประชากรแรงงาน องค์ประกอบหลักคอื 1) ขอ้ มูล (Information) การรบั รู้ ขา้ มชาติชาวเมยี นมาอาศัยอยู่มากท่สี ดุ ในประเทศไทย ข้อมูลความรู้ท่ีมีความเฉพาะกับบุคคลท่ียังขาดเก่ียวกับ เช้ือเอชไอวี และการป้องกนั การติดเช้อื เอชไอวที ี่เหมาะ ผู้วิจัยในฐานะท่ีเป็นพยาบาลเวชปฏิบัติชุมชน สมจะท�ำให้บุคคลเกิดพฤติกรรมการป้องกันการติดเช้ือ ซึ่ ง มี โ อ ก า ส ป ฏิ บั ติ ง า น ห น ่ ว ย บ ริ ก า ร ป ฐ ม ภู มิ ข อ ง เอชไอวีได้โดยตรง15 2) แรงจูงใจ (Motivation) คือ โรงพยาบาลทร่ี ับการตรวจสขุ ภาพแรงงานขา้ มชาติ เพ่ือ แรงผลักดันที่เหมาะสมที่ท�ำให้เกิดความต้ังใจที่จะท�ำ คัดกรองสุขภาพกลุ่มแรงงานข้ามชาติท่ีเข้ามาท�ำงานใน พฤติกรรมการป้องกันการติดเช้ือเอชไอวี ความตั้งใจ เขตกรุงเทพมหานคร ซ่ึงกลุ่มแรงงานข้ามชาตินี้ถือเป็น ท่ีหนักแน่นจะท�ำให้บุคคลมีแนวโน้มแสดงพฤติกรรมใน อกี หนึ่งกลุ่มชุมชนท่มี บี ริบทเฉพาะ มีความแตกตา่ งทาง การป้องกันโรคเอดส์มาก และ 3) ทักษะพฤติกรรม วัฒนธรรม มีความเชื่อในการดูแลสุขภาพที่ต่างจาก (Behavioral skill) โดยเมื่อบุคคลรับรู้เชื่อม่ันว่าตน แรงงานคนไทย อีกท้ังยังเป็นกลุ่มเยาวชนซึ่งจัดเป็น สามารถควบคุมตนเองในการกระท�ำพฤติกรรมป้องกัน กลุ่มเส่ยี งตอ่ การตดิ เชื้อเอชไอวีดว้ ย4 จงึ สนใจศึกษาวิจัย การติดเช้ือเอชไอวีจะท�ำให้บุคคลตัดสินใจและแสดง ในคร้ังนี้ และเลือกเก็บข้อมูลในหน่วยบริการปฐมภูมิซ่ึง พฤติกรรมการป้องกันการติดเชือ้ เอชไอวีตามมา เป็นสถานที่เข้าถึงเยาวชนแรงงานข้ามชาติได้ เพราะ โดยบริบทแล้วน้ันเยาวชนแรงงานข้ามชาติเป็นกลุ่มที่ การศกึ ษาในครงั้ นไี้ ดใ้ ชท้ งั้ 3 องคป์ ระกอบตาม เข้าถึงได้ยาก เพ่ือจะเป็นการรวบรวมข้อมูลที่ได้ในการ แนวคดิ Information - Motivation - Behavioral Skill ศกึ ษาใหพ้ ยาบาลเวชปฏบิ ตั ชิ มุ ชน นำ� ปจั จยั ทไ่ี ดจ้ ากการ (IMB) โดยศกึ ษาปัจจยั ดังต่อไปน้ี 1) ดา้ น Information ศึกษาครั้งน้ีไปขยายผลสร้างแนวทางในการส่งเสริม ไดแ้ ก่ ความรเู้ กยี่ วกบั เชอ้ื เอชไอวแี ละการปอ้ งกนั การตดิ เช้ือเอชไอวี ถึงแม้บุคคลจะมีแรงจูงใจ พยายามกระท�ำ
64 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 พฤติกรรมป้องกันการติดเช้ือเอชไอวีมากเท่าไร แต่ถ้า ท่จี ะติดเชือ้ เอชไอวีได้มากเท่าใด ก็จะทำ� ให้เกดิ แรงจงู ใจ ยังขาดข้อมูลท่ีมีความเฉพาะเจาะจงเพื่อเติมเต็มใน พยายามท่ีจะกระท�ำพฤติกรรมการป้องกันการติดเช้ือ สว่ นทเ่ี ยาวชนแรงงานขา้ มชาตยิ งั ขาดอยกู่ จ็ ะไมส่ ามารถ เอชไอวี เพ่ือป้องกันไม่ให้ตนเองติดเช้ือเอชไอวีได้ และ แสดงพฤตกิ รรมการปอ้ งกนั การตดิ เชอ้ื เอชไอวที เ่ี หมาะสม 3) ทักษะพฤติกรรม (Behavioral skills) ได้แก่ การ ถกู ตอ้ งออกมาได้ 2) ด้าน Motivation ได้แก่ ทศั นคตติ อ่ การป้องกนั การตดิ เชื้อเอชไอวี และการรับรโู้ อกาสเสี่ยง รับรู้สมรรถนะของตนในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ต่อการติดเช้ือเอชไอวี ซึ่งทั้งสองปัจจัยดังกล่าวจัดเป็น จะสง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ พฤตกิ รรมการปอ้ งกนั การตดิ เชอ้ื เอชไอวี แรงจูงใจระดับบุคคล เม่ือเยาวชนแรงงานข้ามชาติมี ได้ดีมากข้ึน จากการทบทวนวรรณกรรมพบว่าปัจจัย ทศั นคตทิ างบวกตอ่ พฤตกิ รรมการปอ้ งกนั การตดิ เชอื้ เอช ส่วนบคุ คลบางประการ ไดแ้ ก่ เพศ สถานภาพการสมรส ไอวี จะท�ำให้เกิดแรงจูงใจ ตั้งใจที่จะพยามท�ำให้เกิด ระดับการศึกษา ก็มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการ พฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีให้ส�ำเร็จได้ ปอ้ งกนั การตดิ เชอ้ื เอชไอวี ผวู้ จิ ยั จงึ ไดน้ ำ� ตวั แปรดงั กลา่ ว ส�ำหรับการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี เมื่อ มาร่วมศึกษาในครั้งน้ีด้วย ดังแสดงในกรอบแนวคิดการ เยาวชนแรงงานขา้ มชาตมิ กี ารรบั รวู้ า่ ตนเองมโี อกาสเสยี่ ง วิจัยตามแผนภาพท่ี 1 แผนภาพที่ 1 กอบแนวคดิ การวจิ ัย ขอ มลู (Information) พฤตกิ รรมการปองกนั การติดเช้ือ ความรเู กย่ี วกับเชอ้ื เอชไอวีและการปองกัน เอชไอวขี องเยาวชนแรงงานขามชาติ การติดเช้อื เอชไอวี แรงจูงใจ (Motivation) ชาวเมยี นมา ทัศนคตติ อการปอ งกันการตดิ เชือ้ เอชไอวี - ดานการมีเพศสัมพนั ธ การรับรโู อกาสเส่ยี งตอการติดเชื้อเอชไอวี - ดานการดําเนนิ ชีวิตประจําวนั ทักษะพฤตกิ รรม (Behavioral skills) การรับรสู มรรถนะของตนในการปอ งกนั การติด และการใชส ารเสพติด เชื้อเอชไอวี ลกั ษณะเฉพาะสวนบคุ คล (Social demographics) - เพศ - สถานภาพการสมรส - ระดบั การศึกษา
วารสารพยาบาลศาสตร ์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ปที ี่ 31 ฉบบั ที่ 3 กนั ยายน - ธนั วาคม 2562 65 วัตถปุ ระสงค์การวจิ ัย นมาทมี่ อี ายรุ ะหว่าง 18-25 ปี ท้ังเพศชายและเพศหญงิ ทอ่ี าศยั อยใู่ นเขตกรุงเทพมหานคร ปี พ.ศ. 2561 เพอื่ ศกึ ษาปจั จยั ทมี่ คี วามสมั พนั ธก์ บั พฤตกิ รรม การป้องกันการติดเช้ือเอชไอวีของเยาวชนแรงงาน กลมุ่ ตวั อยา่ ง คอื เยาวชนแรงงานขา้ มชาตชิ าว ขา้ มชาติชาวเมียนมา เมยี นมาทอ่ี าศยั อยู่ในเขตกรุงเทพมหานครปี พ.ศ. 2561 มอี ายุระหว่าง 18-25 ปี ท้งั เพศชายและหญงิ ประกอบ สมมตฐิ านการวิจยั อาชีพในกลุ่มงานไรฝ้ มี อื ไม่ต้องการทักษะในการทำ� งาน สูงมาก มีใบอนญุ าต ทมี่ าตรวจสุขภาพ ณ โรงพยาบาล 1. ความรเู้ กย่ี วกบั เชอ้ื เอชไอวแี ละการปอ้ งกนั แห่งหน่ึง สังกัดกรุงเทพมหานคร ซ่ึงโรงพยาบาลที่เก็บ การติดเช้ือเอชไอวี ทัศนคติต่อการป้องกันการติดเช้ือ ข้อมูลได้มาจากการสุ่มแบบง่าย (Simple random เอชไอวี การรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี sampling) เลือกโรงพยาบาลในเขตกรุงเทพมหานครท่ี การรับรู้สมรรถนะของตนในการป้องกันการติดเชื้อ รับการตรวจรักษาสุขภาพแรงงานข้ามชาติเป็นขอบเขต เอชไอวี มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันการ ของการสุ่มตัวอย่าง (Sampling frame) สุ่มเลือกมา ตดิ เชอ้ื เอชไอวขี องเยาวชนแรงงานขา้ มชาตชิ าวเมยี นมา 1 โรงพยาบาล โดยการเลอื กโดยไมม่ กี ารใสค่ นื (Sampling without replacement) คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างตาม 2. เพศ สถานภาพการสมรส ระดบั การศกึ ษา คุณสมบัติที่ก�ำหนดไว้โดยสุ่มเลือกตัวอย่างแบบการ มคี วามสมั พนั ธก์ บั พฤตกิ รรมการปอ้ งกนั การตดิ เชอ้ื เอชไอวี สุ่มอย่างมีระบบ (Systematic random sampling) ของเยาวชนแรงงานข้ามชาตชิ าวเมยี นมา ค�ำนวณเพื่อหา Interval จากสูตร Interval= N/n ประมาณขนาดของกลมุ่ ตวั อยา่ ง (Sample size estimate) การพิทักสิทธ์ขิ องกลุ่มตวั อยา่ ง โดยใช้โปรแกรมส�ำเร็จรูป G*power version 3.1.9.2 กำ� หนดอำ� นาจการทดสอบ (Power of the test , 1-ß) โครงการวจิ ยั ผา่ นการรบั รองจากคณะอนกุ รรมการ ทีร่ ะดับร้อยละ 95 ก�ำหนดความเช่ือมั่นระดบั นยั สำ� คญั จริยธรรมการวิจัยในคน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทางสถิติ (Level of significance) ที่ .05 หาความ ชุดท่ี 3 สาขาวทิ ยาศาสตร์ เลขท่ี COA No. 094/2561 สัมพันธ์แบบทางเดียว One tailed จากค่ามาตรฐาน วันท่ี 28 สิงหาคม พ.ศ. 2561และผ่านการรับรองจาก ของ Cohen16 ไดค้ า่ Effect size อย่ใู นระดบั Medium คณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยที่โรงพยาบาลท่ีเข้า เท่ากับ 0.3 จึงได้กลมุ่ ตวั อย่างจ�ำนวน 115 คน ผ้วู จิ ัยได้ เกบ็ ข้อมลู เอกสารเลขที่ 170/2561 เมอ่ื วันท่ี 21 ตุลาคม ก�ำหนดอัตราการไม่ครบถ้วนจากการศึกษาวิจัยในอดีต พ.ศ. 2561 ข้อมูลท่ีได้จากการวิจัยจะถูกเก็บเป็นความ ทพ่ี บวา่ สว่ นใหญข่ อ้ มลู ทไี่ มค่ รบถว้ นประมาณรอ้ ยละ 10 ลับ และน�ำเสนอผลโดยภาพรวมเพื่อประโยชน์ทางการ ผู้วิจัยจึงเพิ่มจ�ำนวนกลุ่มตัวอย่างจากสูตร nnew = ศึกษาเท่านัน้ 75 /(1-0.10) = 127 คน จึงเก็บข้อมูลในคร้ังนี้จ�ำนวน 127 คน เม่ือรวบรวมข้อมูลแลว้ พบว่ามแี บบสมั ภาษณ์ที่ วิธกี ารวจิ ัย ไม่สมบูรณ์จ�ำนวน 7 ชุดผู้วิจัยจึงตัดออกไม่น�ำมาใช้ใน การวิเคราะห์ข้อมูลจึงเหลือจ�ำนวนกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ใน การวิจัยคร้ังนี้เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ทงั้ สน้ิ 120 คน (Descriptive correlation research) ปจั จยั ที่มีความ สมั พันธ์กบั พฤตกิ รรมการปอ้ งกนั การติดเชอื้ เอชไอวขี อง เยาวชนแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมา ประชากรและกลุม่ ตวั อยา่ ง เครื่องมอื ทใ่ี ช้ในการวจิ ัย ประชากร คอื เยาวชนแรงงานขา้ มชาตชิ าวเมยี เครื่องมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมลูเป็น
66 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 แบบสมั ภาษณ์ ทผ่ี า่ นการตรวจสอบความตรงของเนอ้ื หา มาก เห็นด้วยปานกลาง เห็นด้วยน้อย และไม่เห็นด้วย จากผูท้ รงคณุ วฒุ ิ 3 ท่าน ไดแ้ ก่ ผู้เชีย่ วชาญด้านแรงงาน จำ� นวน 7 ข้อถาม มคี ำ� ถามดา้ นบวก 3 ข้อ และด้านลบ ข้ามชาติ ผู้เชียวชาญด้านเชื้อเอชไอวี และผู้เชี่ยวชาญ จ�ำนวน 4 ข้อ การแปลผลแบ่งคะแนนรวมตามเกณฑ์ ด้านการสร้างเครื่องมือและเยาวชน ซึ่งค�ำนวนค่าดัชนี ของ Best18 คะแนนรวมสูงหมายถึงทัศนคติต่อการติด ความตรงเชิงเน้ือหา (Content validity index: CVI) เช้อื เอชไอวีดี คา่ ดัชนีความตรงเชงิ เน้ือหา เทา่ กับ 1.00 และค่าความเชือ่ ม่ัน (Reliability) ดังนี้ สัมประสิทธิแ์ อลฟ่า (Cronbach’s alpha coefficient) เท่ากับ .87 1. แบบสมั ภาษณ์ ขอ้ มลู สว่ นบคุ คล ประกอบ ไปดว้ ย อายุ เพศ ระดับการศกึ ษา ระยะเวลาการอยใู่ น 4. แบบสมั ภาษณก์ ารรบั รโู้ อกาสเสยี่ งตอ่ การ ประเทศไทย สถานภาพการสมรส การใช้สารเสพติด ติดเชื้อเอชไอวีผู้วิจัยได้พัฒนาเครื่องมือขึ้นใหม่จากการ เป็นแบบเติมคำ� และเลอื กตอบจำ� นวน 8 ขอ้ ทบทวนวรรณกรรมที่ผ่านมา โดยครอบคลุมการรับรู้ ท้ังในอดีตและปัจจุบัน โดยมีเนื้อหาครอบคลุมเก่ียวกับ 2. แบบสมั ภาษณค์ วามรเู้ กย่ี วกบั เชอื้ เอชไอวี การแสดงออกถงึ ความรู้สกึ นึกคดิ ความเชื่อของเยาวชน และการป้องกันการตดิ เชือ้ เอชไอวี ท่ผี ้วู ิจัยได้พฒั นาขึน้ แรงงานขา้ มชาตชิ าวเมยี นมาวา่ ตนเองมโี อกาสเสยี่ งและ ใหมจ่ ากการทบทวนวรรณกรรม โดยขอ้ คำ� ถามครอบคลมุ มีแนวโน้มที่จะติดเช้ือเอชไอวีจ�ำนวนค�ำถาม 5 ข้อ เรื่องความเข้าใจเกี่ยวกับเช้ือเอชไอวี วิธีทางการติดต่อ ลักษณะการวัดเป็นแบบมาตรวัด 4 ระดับ ได้แก่ เห็น ความเสยี่ งทจี่ ะตดิ เชอื้ วธิ กี ารและการปอ้ งกนั การตดิ เชอื้ ด้วยมาก เห็นด้วยปานกลาง เห็นด้วยน้อย และไม่เห็น เอชไอวีทั้งด้านการมีเพศสัมพันธ์ และการด�ำเนินชีวิต ด้วยการแปลผลแบ่งคะแนนรวมตามเกณฑ์ของ Best18 ประจ�ำวันของเยาวชนเแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมา คะแนนรวมสูงหมายถึงรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการติดเช้ือ เป็นแบบตอบถูกผิดจ�ำนวน 15 ข้อ ลักษณะการแปล เอชไอวีมาก ค่าดัชนีความตรงเชิงเน้ือหา เท่ากับ 1.00 ผลพจิ ารณาจากเกณฑข์ อง Bloom17 คะแนนสงู หมายถงึ สมั ประสทิ ธแิ์ อลฟ่า (Cronbach’s alpha coefficient) มีความรู้เข้าใจเกี่ยวกับเช้ือเอชไอวีและการป้องกันการ เท่ากบั .83 ติดเช้ือเอชไอวีในระดับสูง ค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา เทา่ กบั .83 คูเดอร์รชิ าร์ดสนั 20 (Kuder-richardson 5. แบบสัมภาษณ์การรับรู้สมรรถนะของตน reliability: K 20) เท่ากับ .92 ในการปอ้ งกนั การตดิ เชอื้ เอชไอวี ผวู้ จิ ยั ไดพ้ ฒั นาเครอ่ื งมอื จากการทบทวนวรรณกรรมที่ผ่านมา โดยครอบคลุม 3. แบบสัมภาษณท์ ัศนคติตอ่ การป้องกันการ เน้ือหาการรับรู้ถึงความสามารถและความมั่นใจของ ติดเช้ือเอชไอวี ท่ีผู้วิจัยได้ประยุกต์ใช้เครื่องมือแบบ เยาวชนแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมาในการป้องกันการ สอบถามทัศนคติต่อการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ติดเชื้อเอชไอวีท้ังด้านเพศสัมพันธ์ และด้านการด�ำเนิน ของ Saechee และ Thato12 โดยน�ำมาปรับ ชีวติ ิประจ�ำวนั และสารเสพติด มจี �ำนวน 6 ขอ้ ลกั ษณะ เพิ่มข้อค�ำถามทัศนคติด้านการด�ำเนินชีวิตประจ�ำวัน ค�ำถามเป็นแบบมาตรวัด 4 ระดับ ได้แก่ มั่นใจมาก และสารเสพติด ในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี และ มั่นใจปานกลาง มั่นใจน้อย และไม่มั่นใจเลย การแปล ลดข้อค�ำถามเร่ืองเพศสัมพันธ์ที่คล้ายคลึงลง โดยข้อ ผลแบ่งคะแนนรวมตามเกณฑ์ของ Best18 คะแนนรวม ค�ำถามครอบคลุมเรื่อง ความรู้สึกนึกคิดของเยาวชน สูงหมายถึงรับรู้สมรรถนะแห่งตนมากค่าดัชนีความตรง แรงงานข้ามชาติชาวเมียนมาท่ีมีต่อการปฏิบัติตัวเพ่ือ เชงิ เนอื้ หา เทา่ กบั 1.00 สมั ประสทิ ธแิ์ อลฟา่ (Cronbach’s ป้องกันการติดเช้ือเอชไอวีในด้านการมีเพศสัมพันธ์และ alpha coefficient) เท่ากับ .81 การด�ำเนินชีวิตประจ�ำวันและการใช้สารเสพติด แบบ ของลิเคิร์ท (Likert scale) 4 ระดับได้แก่ เห็นด้วย 6. แบบสัมภาษณ์พฤติกรรมการป้องกันการ
วารสารพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ปีท่ี 31 ฉบับท่ี 3 กันยายน - ธันวาคม 2562 67 ตดิ เชอื้ เอชไอวขี องกลมุ่ เยาวชนแรงงานขา้ มชาตชิ าวพมา่ โดย 1) ผู้วิจัยมอบแบบสัมภาษณ์ภาษาไทยแก่ล่าม ผู้วิจัยได้พัฒนาเครื่องมือจากการทบทวนวรรณกรรมที่ ชาวเมียนมา (ลา่ ม A) 2) (ลา่ ม A) สัมภาษณเ์ ป็นภาษา ผ่านมามีจ�ำนวน 14 ข้อแบ่งเป็นด้านการด�ำเนินชีวิต เมยี นมากบั กลมุ่ ตวั อยา่ งชาวเมยี นมา 3) ลา่ มชาวเมยี นมา ประจ�ำวันและการใช้สารเสพติดจ�ำนวน 5 ข้อ เนื้อหา (ลา่ ม B) รวบรวมขอ้ มูลที่ไดจ้ ากกลุ่มตัวอย่าง แปลเปน็ เกี่ยวกับการไม่ใช้สารเสพติดชนิดใช้เข็มร่วมกัน การ ภาษาไทยสง่ กลับมายงั ผูว้ จิ ยั ผวู้ ิจยั ตรวจสอบขอ้ มลู ทไ่ี ด้ ไม่ใช้ของท่ีมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเช้ือเอชไอวีร่วมกัน ว่าถูกต้องตามแบบสัมภาษณ์หรือไม่ เมื่อข้อมูลถูกต้อง ไดแ้ ก่ ใบมีดโกน กรรไกรตดั เล็บ เขม็ ฉีดยา การไม่สมั ผัส ถือว่าล่ามชาวเมียนมา (ล่าม A) ผ่านการทดสอบความ สารคัดหลั่งต่างๆ การไม่สักตามร่างกายหรือตกแต่ง เขา้ ใจทางภาษา และ 4) ผู้วจิ ยั จดั การเตรียมความรู้และ อวัยวะเพศ และด้านการมีเพศสัมพันธ์ 9 ข้อ โดยมี ความพร้อมให้แก่ล่ามชาวเมียนมาและทดสอบล่ามการ เนื้อหาเก่ียวกับ การปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์กับคนท่ี วิจัยโดยสร้างสถานการณ์จ�ำลองให้ล่ามการวิจัยทดลอง ไม่ใช่สามีภรรยาตนเอง การใช้ถุงยางอนามัย การมีคู่ การเก็บขอ้ มลู การวิจัย นอนเพียงคนเดียว การพกถุงยางอนามัย การปฏิเสธ การมเี พศสมั พนั ธเ์ มอื่ ไมม่ กี ารสวมถงุ ยางอนามยั ลกั ษณะ 2. ขัน้ ด�ำเนินการเก็บรวบรวมขอ้ มูล แบบประมาณค่า 3 ระดับ (Rating scale) ได้แก่ ปฏิบตั ิ 2.1 คำ� นวณ interval สำ� หรับเกบ็ ข้อมลู ทุกครั้ง ปฏิบัติบางคร้ัง และไม่เคยปฏิบัติ การแปล ล่วงหน้าจากจ�ำนวนแรงงานข้ามชาติเฉล่ียในอดีตท่ีเคย ผลการตอบพิจารณาตามเกณฑ์ของ Best18 แบ่งเป็น 3 มาตรวจต่อวันย้อนหลัง 2 ปีจากสูตร Interval= N/n ระดับคือพฤติกรรมการป้องกันการติดเช้ือเอชไอวีดี (เมอ่ื N คือจานวนประชากรที่ไดร้ ับนดั หมายให้มาตรวจ พฤติกรรมการป้องกันการติดเช้ือเอชไอวีปานกลาง ในอดีตโดยเฉล่ียแตล่ ะวันได้เท่ากบั 50 ราย และ n คอื พฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีไม่ดี ค่าดัชนี จานวนกลุ่มตัวอย่างที่ผู้วิจัยตั้งเป้าหมายท่ีต้องการใน ความตรงเชิงเน้ือหา เท่ากับ .90 สัมประสิทธ์ิแอลฟ่า แตล่ ะวนั เท่ากับ 10 ดังน้นั ได้ Interval เทา่ กับ 50/10 = (Cronbach’s alpha coefficient) เท่ากับ .89 5 เม่ือได้ Interval จากนั้นสุ่มหมายเลขตั้งต้นระหว่าง 1-9 จ�ำนวนหนึ่งหมายเลขโดยการสุ่มแบบง่าย ได้ วิธเี ก็บรวบรวมขอ้ มลู หมายเลข 5 ตง้ั ตน้ ในการเกบ็ ขอ้ มูล 2.2 ตรวจสอบคณุ สมบตั ติ ามเกณฑ์ทดสอบ 1. ข้นั เตรียมผชู้ ่วยวจิ ัยก่อนการลงเก็บข้อมูล ความเข้าใจภาษาโดยการถามค�ำถามที่เตรียมไว้ในการ ดังน้ี ทดสอบความเข้าใจเพ่ือประเมินความเข้าใจภาษาไทย หลังจากน้ันขอความยินยอมเบ้ืองต้นในการวิจัยโดยการ 1.1 เพ่อื ใหไ้ ดข้ ้อมลู ทีน่ า่ เช่อื ถือ ตรงตาม สอบถามปากเปล่า บริเวณจุดคดั กรอง แบบสัมภาษณ์จึงได้ก�ำหนดให้มีล่ามท่ีเข้าใจภาษาไทย 2.3 แยกอาสาสมัครการวิจัยมาพ้ืนท่ีถูก และภาษาเมยี นมา สำ� หรบั อธบิ ายคำ� ถาม โดยมคี ณุ สมบตั ิ เตรียมไว้เป็นสัดส่วนมีความเป็นส่วนตัวจากผู้รับบริการ ดงั น้ี 1) เป็นชาวเมียนมาและอาศยั อยเู่ มืองประเทศไทย อื่นๆ เพ่ือปกป้องข้อมูลกลุ่มตัวอย่าง อากาศถ่ายเท มาแล้วกว่า 5 ปี 2) มีประสบการณ์การท�ำงานด้าน สะดวก เย็นสบาย ปราศจากส่ิงรบกวน ผู้วิจัยแนะน�ำ สาธารณสุข จบการศึกษา ปริญญาตรี คณะเภสชั ศาสตร์ ตัว และลา่ ม อธิบายวัตถุประสงค์ อธิบายใบยนิ ยอมและ จากประเทศพม่า และจบการศึกษาปริญญาโท จาก ขอให้ลงนามในใบยินยอมร่วมการวิจัย เพ่ือรักษาสิทธิ มหาวิทยาลัยในประเทศไทย และ 3) เข้าใจภาษาไทย ตามลำ� ดบั การตรวจพยาบาลประจำ� หอ้ งตรวจจะแจง้ ลว่ ง และภาษาเมยี นมา สามารถอา่ น ฟัง พดู ไดใ้ นระดบั ดี 1.2 การทดสอบล่ามก่อนลงการศึกษา
68 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 หน้ากบั ผูว้ จิ ัยประมาณ 15 นาทีก่อนถึงล�ำดับการตรวจ ทงั้ หมดไดร้ บั การศกึ ษาจากประเทศพมา่ เมอื่ สมุ่ ถามเกย่ี ว กรณีท่ียินยอมเข้าร่วมวิจัยแต่ใกล้ถึงล�ำดับการตรวจจะ กบั การศกึ ษาดา้ นเพศศกึ ษาในประเทศพมา่ กลมุ่ ตวั อยา่ ง ท�ำการเกบ็ ขอ้ มูลหลงั ไดร้ บั การตรวจเสรจ็ แลว้ อธิบายว่ายังไม่มีการเปิดกว้างด้านการศึกษาเร่ืองเพศ 2.4 ด�ำเนินการเก็บข้อมูลโดย ผู้วิจัยเป็น และการตดิ เช้ือเอชไอวี ถึงแม้จะเรยี นถึงชัน้ มัธยมศกึ ษา ผู้อ่านแบบสัมภาษณ์ลงค�ำตอบในแบบสัมภาษณ์เอง แล้วก็ตาม เยาวชนแรงงานข้ามชาติบางรายท่ีมีความรู้ เพื่อป้องกันข้อมูลสูญหายไม่ครบถ้วน โดยมีล่ามช่วย เรอื่ งเกย่ี วกบั เชอื้ เอชไอวเี นอ่ื งจากไดร้ บั การอบรมในประเทศ อธิบายเป็นภาษาเมียนมาเพิ่มเติมในคณะสัมภาษณ์ พมา่ จากองคก์ รการทนุ เพ่อื เด็กแหง่ สหประชาชาติ หรอื หลังตอบแบบสมั ภาษณเ์ สร็จผู้วิจัย ตรวจสอบความครบ ยนู ิเซฟ (United Nations Children's Fund: UNICEF) ถ้วนข้อมูล หลังจากน้ันกล่าวลาขอบคุณและมอบของท่ี ที่มีการจัดอบรมตามชุมชนหมู่บ้านแล้วแต่ผู้สนใจจะ ระลึก เข้ารับการอบรม กลุ่มตัวอย่างโดยส่วนมากประกอบ อาชพี ลกู จา้ งขายของ/ บรกิ ารรา้ นอาหารรอ้ ยละ 56.70 การวิเคราะหข์ ้อมลู และจ�ำนวนรอ้ ยละ 50.80 มรี ายได้ท่ีต่อเดือนอยู่ในชว่ ง 1. วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร 5,000 บาท ถึง 10,000 บาท อิสระได้แก่ ความรู้เร่ืองการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ขอ้ มลู พฤตกิ รรมการปอ้ งกนั การตดิ เชอื้ เอชไอวี ทศั นคตติ อ่ การปอ้ งกนั การตดิ เชอื้ เอชไอวี การรบั รโู้ อกาส ของกลุ่มตัวอย่างเยาวชนแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมามี เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี ของแรงงานข้ามชาติ กับ คะแนนเฉลย่ี ดา้ นพฤตกิ รรมการปอ้ งกนั การตดิ เชอ้ื เอชไอวี ตวั แปรตาม ไดแ้ ก่ พฤติกรรมการป้องกันการติดเชือ้ เอช รวมทัง้ สองดา้ นอยใู่ นระดบั ปานกลาง ( = 28.73, S.D. ไอวี โดยใช้สถิติวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ = 4.82) เมือ่ พิจารณารายด้านพบวา่ ด้านพฤตกิ รรมการ เพยี ร์สนั (Pearson’s product moment correlation ปอ้ งกนั การตดิ เชอ้ื เอชไอวดี า้ นการดำ� เนนิ ชวี ติ ประจำ� วนั coefficient) และการใชส้ ารเสพตดิ อยใู่ นระดบั ปานกลาง คดิ เปน็ รอ้ ยละ 47.50 ( = 10.57, S.D. = 1.71) และ พฤติกรรมการ 2. วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร ปอ้ งกนั การตดิ เชอื้ เอชไอวดี า้ นการมเี พศสมั พนั ธใ์ นระดบั อิสระที่อย่มู าตรวัดตวั แปรระดับ นามมาตรา (Nominal ปานกลาง คดิ เปน็ รอ้ ยละ 39.20 ( = 18.15, S.D. = 3.80) scale) และอันดับมาตรา (Ordinal scale) ไดแ้ ก่ เพศ สถานภาพการสมรส ระดับการศึกษา กับตัวแปรตาม ในการวเิ คราะหห์ าความสมั พนั ธพ์ ฤตกิ รรมการ ได้แก่พฤติกรรมการป้องกันการติดเช้ือเอชไอวี โดย ป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีพบว่า ความรู้เกี่ยวกับเช้ือ ใช้สถิติวิเคราะห์ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พอยท์ไบ เอชไอวีและการป้องกันการติดเช้ือเอชไอวี (r =.44) ซีเรียล (Point biserial correlation) ทัศนคตติ ่อการป้องกันการตดิ เชอ้ื เอชไอวี (r =.48) การ รับร้โู อกาสเสย่ี งตอ่ การตดิ เชือ้ เอชไอวี (r =.51) การรบั รู้ ผลการวิจัย สมรรถนะของตนในการป้องกันการติดเช้ือเอชไอวี กลุ่มตัวอย่างมีอายุเฉล่ีย 21.06 ปี (S.D. = (r =.43) มคี วามสมั พนั ธท์ างบวกในระดับปานกลาง กับ 2.10) เปน็ เพศชายร้อยละ 69.20 และเพศหญิงรอ้ ยละ พฤติกรรมการป้องกันการติดเช้ือเอชไอวีของเยาวชน 30.80 สถานภาพสมรสส่วนใหญ่ อยู่กับคู่ครองของ แรงงานข้ามชาติชาวเมียนมา อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติ ตนเองคดิ เปน็ ร้อยละ 55.80 รองลงมาคอื แยกกันอยู่กับ ที่ระดับ p < .05 ส�ำหรับเพศ สถานภาพการสมรส คคู่ รองรอ้ ยละ 23.33 สว่ นใหญม่ กี ารศกึ ษาในระดบั มธั ยม และระดบั การศกึ ษา พบวา่ ไมม่ คี วามสมั พนั ธก์ บั พฤตกิ รรม ศกึ ษาตอนตน้ รอ้ ยละ 50.80 รองลงมาคอื มัธยมศกึ ษา การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ตามล�ำดับดังแสดงใน ตอนปลายร้อยละ 42.50 การศึกษาของกลุ่มตัวอย่าง ตารางที่ 1 และ ตารางที่ 2
วารสารพยาบาลศาสตร ์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ปีท่ี 31 ฉบบั ท่ี 3 กันยายน - ธนั วาคม 2562 69 ตารางที่ 1 แสดงการวิเคราะหค์ า่ สัมประสทิ ธส์ิ หสมั พนั ธ์เพียรส์ นั ของปจั จัยตา่ งๆ ทศ่ี ึกษา (n =120) ปัจจัยต่างๆ ทีศ่ กึ ษา 1 2 3 4 5 1. ความรเู้ กีย่ วกับเชอื้ เอชไอวแี ละการปอ้ งกันการตดิ เชื้อเอชไอวี 1.00 2. ทศั นคตเิ ก่ยี วกับเช้ือเอชไอวีและการปอ้ งกันการตดิ เชื้อเอชไอวี .37** 1.00 3. การรับรูโ้ อกาสเสีย่ งตอ่ การตดิ เชือ้ เอชไอวี .18* .32** 1.00 4. การรบั รู้สมรรถนะของตนในการป้องกันการตดิ เช้อื เอชไอว ี .32** .25** .15 1.00 5. พฤตกิ รรมการป้องกันการติดเช้อื เอชไอวี .44** .48** .51** .43** 1.00 หมายเหต:ุ *p < .05, ** p < .01 ตารางท่ี 2 แสดงการวิเคราะห์ค่าสมั ประสิทธ์ิสหสมั พันธ์พอยท์ไบซีเรยี ล ของปจั จยั ต่างๆ ท่ีศึกษา (n=120) ตัวแปรต่างๆ ที่ศกึ ษา 1 2 3 4 1. เพศ 1.00 1.00 2. สถานภาพการสมรส -.01 1.00 3. ระดับการศกึ ษา -.28** -.06 1.00 4. พฤตกิ รรมการปอ้ งกนั การตดิ เชอ้ื เอชไอวี .03 .03 -.06 หมายเหตุ: *p < .05, ** p < .01 อภิปรายผล เอชไอวตี ามมา ในทสี่ ดุ บคุ คลกจ็ ะพยายามแสดงพฤตกิ รรม ป้องกันไม่ให้ตนเองติดเช้ือเอชไอวี15 สอดคล้องกับการ จากผลการศกึ ษาพบวา่ ปจั จยั ทมี่ คี วามสมั พนั ธ์ ศกึ ษาในอดตี ทพ่ี บวา่ ความรมู้ คี วามสมั พนั ธก์ บั พฤตกิ รรม ทางบวกในระดบั ปานกลางกบั พฤตกิ รรมการปอ้ งกนั การ การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีรวมถึงการใช้ถุงยาง ติดเชอื้ เอชไอวขี องเยาวชนแรงงานขา้ มชาติชาวเมียนมา อนามัยของแรงงานข้ามชาตดิ ว้ ย12,13 สำ� หรับทัศนคติต่อ อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถติ ทิ ี่ระดับ .05 มีทั้งหมด 4 ปัจจัย การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีน้ันพบว่า การท่ีเยาวชน ได้แก่ ความรู้เก่ียวกับเช้ือเอชไอวีและการป้องกันการ แรงงานขา้ มชาตชิ าวเมยี นมาเชอื่ วา่ การกระทำ� พฤตกิ รรม ตดิ เชอ้ื เอชไอวี (r =.44) ทศั นคตเิ กี่ยวกับเชอื้ เอชไอวีต่อ ปอ้ งกนั การตดิ เชอ้ื เอชไอวที ำ� แลว้ เกดิ ประโยชนก์ บั ตนเอง การป้องกนั การติดเชื้อเอชไอวี (r =.48) การรับร้โู อกาส จะทำ� ใหเ้ ยาวชนแรงงานขา้ มชาตชิ าวเมยี นมาเกดิ ทศั นคติ เสยี่ งต่อการตดิ เช้อื เอชไอวี (r =0.51) การรบั รสู้ มรรถนะ ทางบวกตอ่ พฤตกิ รรมนนั้ ยง่ิ มที ศั นคคตทิ างบวกมากเทา่ ของตนในการป้องกันการติดเช้ือเอชไอวี (r =.43) ซ่ึง ไหร่ก็จะส่งผลให้เกิดความตั้งใจ (Intention) ที่จะ เป็นไปตามสมมติฐานและสามารถอภิปรายได้ดังนี้ แสดงออกถึงพฤติกรรมการป้องกันการติดเช้ือเอชไอวี มากข้ึนตามไปด้วย19 เมื่อเกิดความตั้งใจท่ีมากขึ้นจะท�ำ เนอ่ื งจากเมอ่ื บคุ คลไดร้ บั ขอ้ มลู ความรทู้ ถี่ กู ตอ้ ง ให้เยาวชนแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมา มีแรงจูงใจ เกี่ยวกับเช้ือเอชไอวี และการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี (Motivation) มากขึ้นส่งผลต่อแนวโน้มการเกิด ซึง่ เป็นปจั จยั น�ำหลกั ทำ� ใหเ้ กิดการจดจำ� และระลึกได้ถงึ พฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีท่ีสูงข้ึนด้วย ขอ้ มูล จนทำ� ให้เกิดการรับร้อู นั ตรายจากการตดิ เช้ือเอช ไอวี รวมถึงการรับรู้ประโยชน์ในการป้องกันการติดเช้ือ
70 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 เช่นกัน19 ส�ำหรับการรับรู้โอกาสเส่ียงซ่ึงเป็นอีกหนึ่ง ความรู้และสามารถแสดงออกถึงพฤติกรรมการป้องกัน ปัจจัยส�ำคัญท่ีท�ำให้เกิด แรงจูงใจ (Motivation) ตาม การตดิ เช้ือเอชไอวที ่ีเหมาะสมได้ แนวคิด IMB model ของ Fisher, Fisher และ Shuper15 ในการกระท�ำพฤติกรรมป้องกัน โดยหาก ส�ำหรับปัจจัยด้านเพศ จากการศึกษาครั้งน้ี บุคคลมีความรู้สึกนึกคิด ความเช่ือ และประเมินตนเอง พบว่าทั้งเพศชายและเพศหญิง เป็นกลุ่มเยาวชนซ่ึงเป็น ว่าตนเองเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีจะท�ำให้บุคคลนั้น ช่วงวัยทีม่ ีการพัฒนาการทางเพศสมบรู ณ์ (Full sexual เกิดความต้ังใจท่ีจะกระท�ำพฤติกรรมป้องกันการเกิด maturation)14 ท�ำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเพศท่ีมี โรค ย่ิงมีการรับรวู้ ่าตนเองเสี่ยงต่อการเกดิ โรคนน้ั ๆ มาก อทิ ธพิ ลมาจากฮอรโ์ มนเพศเปน็ สำ� คญั ตามพฒั นาการของ เท่าใด บุคคลก็จะเกิดแรงจูงใจและความพยายามอย่าง ช่วงวัยท�ำให้เยาวชนทั้งเพศชายและเพศหญิง มีอารมณ์ มากข้ึนเท่าน้ันที่จะแสดงออกถึงพฤติกรรมเพ่ือป้องกัน ความรู้สึกทางเพศ มีความจริงจังกับความรัก ความ ไม่ให้เกิดโรคน้ัน ท้ังนี้ยังพบว่า ปัจจัยด้าน การรับรู้ สนใจเพศตรง อาจเป็นไปได้ว่าลักษณะการมีพัฒนา สมรรถนะของตน ช่วยส่งเสริมให้เกิดพฤติกรรมการ การทางเพศตามช่วงวัยดังกล่าวจึงท�ำให้เยาวชนทั้ง ป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีได้โดย เมื่อบุคคลมีการรับรู้ เพศชาย และเพศหญิงมีการแสดงออกถึงพฤติกรรม สมรรถนะของตนเองสูงท�ำให้เชื่อมั่นว่าตนเองสามารถ การปอ้ งกนั การตดิ เชอื้ เอชไอวที ไี่ มต่ า่ งกนั และการศกึ ษา กระท�ำพฤติกรรมนั้นๆ ได้ ส่งผลให้เกิดการตัดสินใจ คร้ังนี้ยังพบว่าเยาวชนแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมา ท้ัง ปฏิบัติพฤติกรรมน้ันๆ เกิดก�ำลังใจและแรงจูงใจสูงท่ีจะ เพศชาย และเพศหญิง มักไม่นิยมใช้ถุงยางอนามัยกับ มุง่ ม่นั ให้เกดิ การปฏบิ ตั พิ ฤติกรรมน้ันๆ จนส�ำเร็จ15 คู่นอนประจ�ำไม่ต่างกันแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมการ ป้องกันการติดเช้ือเอชไอวีทั้งสองเพศไมแ่ ตกต่างกัน อีก สำ� หรบั ปจั จยั ทไี่ มม่ คี วามสมั พนั ธก์ บั พฤตกิ รรม ทั้งยังพบอีกว่าเยาวชนแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมาท้ัง การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีของเยาวชนแรงงานข้าม เพศชายและเพศหญิงส่วนใหญ่มีคู่ครองเพียงคนเดียว ชาติชาวเมียนมาได้แก่ ปัจจัยส่วนบุคคลเรื่อง เพศ ไม่มีการซ้ือขายบริการทางเพศกับผู้ขายบริการท้ังเพศ สถานภาพการสมรส ระดับการศึกษาซึ่งไม่เป็นไปตาม หญิงและเพศชาย โดยการศึกษาครั้งน้ีสอดคล้องกับ สมมตฐิ านท่ตี ้ังไวโ้ ดยสามารถอภิปรายได้ดังน้ี ระดับการ การศึกษาของ Haehapruk 20 และ Ni Ni Khaing9 ทีพ่ บ ศึกษา เยาวชนแรงงานข้ามชาติส่วนใหญ่มีระดับการ ว่า เพศไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันการ ศกึ ษาชน้ั มธั ยมศกึ ษาไมแ่ ตกตา่ งกนั ทำ� ใหเ้ ยาวชนแรงงาน ติดเชื้อเอชไอวี สถานภาพการสมรส สามารถอภิปราย ข้ามชาตชิ าวเมียนมา มีการได้รับขอ้ มลู (Information) ได้ว่าแรงงานที่มีคู่อยู่แล้วจะซ่ือสัตย์กับคู่ครองไม่มีการ ที่ใกล้เคียงกัน มีทักษะการคิดวิเคราะห์ที่ไม่ต่างกันมาก มเี พศสมั พนั ธก์ บั บคุ คลอนื่ และไมม่ กี ารซอ้ื ขายบรกิ ารทาง นกั จงึ อาจทำ� ใหก้ ารแสดงออกถึงพฤติกรรมการป้องกัน เพศ ซง่ึ ไมต่ า่ งจากกลมุ่ คนทยี่ งั โสด ถงึ แมต้ นเองจะยงั โสด การติดเช้ือเอชไอวไี ม่ต่างกนั สอดคล้องกับการศึกษาใน กไ็ มม่ กี ารสำ�่ สอ่ นทางเพศหรอื เปลยี่ นคนู่ อนบอ่ ย ไมม่ กี าร อดตี ทกี่ ลา่ วไวว้ า่ การไดร้ บั การศกึ ษานอ้ ยไมไ่ ดห้ มายความ ซื้อขายบริการทางเพศ8 ซ่ึงสอดคล้องกับการศึกษาของ วา่ บคุ คลจะไมม่ คี วามรเู้ รอ่ื งการปอ้ งกนั การตดิ เชอ้ื เอชไอว8ี ,9 Maung, Soe, Than and Madan8 ทพี่ บวา่ บคุ คลทมี่ ีคู่ สอดคล้องกับการสุ่มสัมภาษณ์เพิ่มเติมจากเยาวชน จะซอื่ สตั ยก์ บั คขู่ องตนแมจ้ ะอยหู่ า่ งกนั หรอื แมก้ ระทง่ั คน แรงงานข้ามชาติชาวเมียนมา ได้ให้ข้อมูลเพ่ิมเติมไว้ว่า ท่ีเคยสมรสแล้วก็จะมีพฤติกรรมการป้องกันการติดเช้ือ องค์การ UNICEF มีการลงไปให้ข้อมูลเกี่ยวกับเช้ือ เอชไอวที ดี่ 7ี เนอื่ งจากเขาสามารถพดู คยุ กบั คนู่ อนใหมไ่ ด้ เอชไอวใี นหมู่บ้านในประเทศพม่าอย่างสม่�ำเสมอ ท�ำให้ อย่างไม่เขนิ อาย7 ไปในทิศทางเดยี วกับการศึกษาของ Ni ถึงแม้ว่าแรงงานบางรายไม่ได้รับการศึกษาก็อาจจะมี Ni Khaing9 ท่พี บวา่ คนโสดพยายามทจ่ี ะป้องกนั การติด
วารสารพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ปที ี่ 31 ฉบบั ที่ 3 กนั ยายน - ธนั วาคม 2562 71 เชื้อเอชไอวี และใช้ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ จำ� กดั ในการนำ� ไปอา้ งองิ ถงึ ประชากรเยาวชนแรงงานขา้ ม เพราะคิดว่าตนเองโสด ยังไม่มีคู่จ�ำเป็นต้องดูแลตนเอง ชาตชิ าวเมียนมาท้งั หมดทเ่ี ข้ามาทำ� งานในประเทศไทย เพื่อมีครอบครัวในอนาคต ไม่ต่างจากคนที่มีคู่ครองที่มี ความซ่ือสัตย์ต่อคู่ครองแม้จะอยู่ห่างกันก็ตามแม้กระทั่ง สรุป คนท่ีเคยสมรสแล้วก็มีพฤติกรรมป้องกันการติดเชื้อเอช ไอวมี ากเพราะสามารถพดู คยุ เรอ่ื งเพศและการปอ้ งกนั กบั ปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการ ค่นู อนได้อยา่ งไม่รสู้ ึกเขินอาย9 ป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีของเยาวชนแรงงานข้ามชาติ ชาวเมียนมจากการศึกษาครั้งน้ีมีความสอดคล้อง ขอ้ เสนอแนะ กับแนวคิด ข้อมูล แรงจูงใจ และทักษะพฤติกรรม (Information Motivation Behavioral Skill)15 พยาบาลเวชปฏบิ ตั ชิ มุ ชนสามารถนำ� ขอ้ มลู จาก ครบทั้ง 3 องค์ประกอบ การศึกษาคร้ังนี้ยังพบว่า การศกึ ษาครง้ั นส้ี รา้ งแนวทางแผนกลยทุ ธก์ ารปอ้ งกนั การ ความรู้ ความเชอ่ื ทศั นคติ ตอ่ เชอื้ เอชไอวแี ละการปอ้ งกนั ติดเช้ือเอชไอวีส�ำหรับเยาวชนแรงงานข้ามชาติชาว การติดเช้ือเอชไอวีของเยาวชนแรงงานข้ามชาติชาว เมียนมาในชุมชนโดยการสร้างสื่อส่ิงพิมพ์ การพัฒนา เมียนมาในปัจจุบันยังคงมีความบิดเบือน เข้าใจผิด ไม่ รูปแบบส่ือวิทยุประชาสัมพันธ์โดยมีการแปลเป็นภาษา เหมาะสม จ�ำนวนมาก ไม่ต่างจากการศึกษาในอดีตที่ เมียนมา จดั การอบรมเพ่ือเสรมิ สร้างความรู้เกี่ยวกับเชอื้ ผ่านมา ดังนั้นการลดจ�ำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในกลุ่ม เอชไอวีและการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี สร้าง เยาวชนแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมานั้นควรมีการให้ ทัศนคติต่อการป้องกันกันติดเช้ือเอชไอวี ส่งเสริมการ ข้อมูลความรู้ สร้างทัศนคติ เพ่ิมการรับรู้โอกาสเส่ียง รับรู้สมรรถนะของตนในการป้องกันการติดเช้ือเอชไอวี และส่งเสริมให้เกิดความม่ันใจรับรู้สมรรถนะของตนใน และเพิ่มการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีแก่ การป้องกันการติดเช้ือเอชไอวีที่เหมาะสมถูกต้อง โดย เยาวชนแรงงานขา้ มชาติชาวเมยี นมาในชมุ ชนตอ่ ไป การจดั กจิ กรรม โครงการ และสอ่ื ตา่ งๆ ทใ่ี ชใ้ นการดำ� เนนิ การควรมีการแปลเป็นภาษาเมียนมา หรือมีล่ามท่ีช่วย ข้อจำ� กดั ของการศึกษา แปลภาษาและอธิบายเป็นภาษาเมียนมาเพ่ิมเติมเพื่อให้ เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง และน�ำไปสู่การลดลงของ การศึกษาครั้งน้ีเป็นการศึกษาเฉพาะเยาวชน ผู้ติดเช้ือรายใหม่จนกระทั่งเข้าใกล้ศูนย์ (Getting to แรงงานข้ามชาติชาวเมียนมาที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพ- zero) มากท่ีสดุ ตอ่ ไป มหานคร ทม่ี คี ณุ สมบตั ติ รงตามเกณฑท์ กี่ ำ� หนดไมร่ วมไป ถึงกลุ่มอ่ืนและพนื้ ทอี่ ่นื ซึ่งอาจมบี ริบทตา่ งกัน จงึ เปน็ ขอ้
72 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 References 7. Htoo KM, Panza A. Factors Associated with 1. UNAIDS. The Gap Report (Migrants). Joint Unsafe Sex Behaviors for Prevention of United Nations Programme on HIV/AIDS HIV/AIDS T ransmission Among Myanmar [Internet]. 2014 [cited 2018 Jan 10]. Migrant Fishermen in Ranong, Thailand. Available from: http://www.unaids.org/ Journal of Health Research 2009; sites/default/files/media_asset/gobal- 23(Suppl.): 45-47. AIDS-update-2016_en.pdf 8. Maung KT, Soe HHK, Than NN, Madan SS. 2. Meyoutam C, Chaimanee A. AIDS among High Risk Behavior, Knowledge and immigrant and Thai HIV infected workers Attitude of HIV/AIDS among Workers in cared at Nopparat Rajathanee Hospital. Factories Manufacturing Alcohol in Thamassat medical journal 2017; 18(1): Mandalay, Myanmar. World Journal of 71-77. (In Thai) AIDS 2013; 3(2): 147-53. Doi: 10.4236/ 3. Tanaiswrryanggul S, Seeno W, Pongpan S. wja.2013.32019. Report on the situation of infection 9. Khaing NN. HIV/AIDS Preventive Behavior: among migrant workers in Thailand. Factors underlying condom use among Nonthaburi: Group of AIDS epidemiological Myanmar migrant workers in Samut surveillance system for TB And sexually Sakhon Province, Thailand [Doctoral transmitted diseases Bureau of dissertation, MA Thesis in Health Social Epidemiology, Department of Disease Science]. Nakhon Pathom: Mahidol Control, Ministry of Public Health, University; 1998. (In Thai) Nonthaburi; 2013. (In Thai) 10. Chamratrithirong A, and Boonchalaksi W. 4. UNAIDS. Global AIDS Update. Joint United Prevention of HIV/AIDS among migrant Nations Programme on HIV/AIDS workers in Thailand project (PHAMIT): [Internet]. 2016 [cited 2017 Dec 30]. the impact survey 2008. Institute for Available from: http://www.unaids.org/ Population and Social Research, sites/default/files/media_asset/gobal- Mahidol University; 2009. (In Thai) AIDS-update-2016_en.pdf 11. Nyunt KS, Kiewkarnka B, Sillabutra J Safe sex 5. Chamratrithirong A, Boonchalaksi W, et al. behavior towards HIV/AIDS among Promotion of AIDS prevention in migrant Myanmar reproductive aged migrants workers (Pha Mit-2 Project). Nakhon in Muang district, Samutsakhon province, Pathom: Institute for Population and Thailand [Doctoral dissertation]. Nakon Social Research Mahidol University; Pratom: Mahidol University; 2008. 2010. (In Thai) (In Thai) 6. UNICEF. Country programme document 12. Saechee P, Thato R. Factors predicting 2012 [Internet]. 2012 [cited 2018 Dec condom use behavior of Myanmar male 10]. Available from: http://www.unicef. workers in industrial factories, the upper org/about/execboard/files/Thailand_ southern region of Thailand. Princess of final_approved_2012-2016-English_ Naradhiwas University Journal 2017; 10Feb2012_.pdf 7, 9(2): 26-37. (In Thai)
วารสารพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั ปีที่ 31 ฉบับท่ี 3 กันยายน - ธันวาคม 2562 73 13. Klam C, Tan K. Factors influencing AIDS Lawerence Enlbaum associates publishers; preventive behaviors of male migrant 1998. workers in Myanmar following the sea 17. Bloom BS. Handbook on Formative and fishery Samut Sakhon Province [Master's summation Evaluation of student thesis Faculty of Public Health, Health learning. New York: Mc Graw Hall; 1971. Education]. Nakhon Pathom. Mahidol 18. Best JW. Research in education. New Jersey: University; 1998. (In Thai) Prentice Hall; 1981. 14. World Health Organization. HIV/AIDS Fact 19. Ajzen I, Fishbein M. Understanding attitudes Sheet update [Internet]. 2016 [cited and predicting social behavior. Engle- 2017 Dec 30]. Available from: www.who. wood Cliffs, NJ: Prentice-Hall1980. int/mediacentre/factsheets/fs360/en/. 20. Haehapruk J. Factors affecting the prevention 15. Fisher JD, Fisher WA, Shuper PA. The behavior of AIDS among foreign workers Information-Motivation-Behavioral Skills In Mueang District Ratchaburi Province Model of HIV preventive behavior. [Master’s Thesis Faculty of Public Emerging theories in health promotion Health]. Nakon Pratom: Mahidol practice and research 2009; 2: 21-64. University; 1999. (In Thai) 16. Cohen J. Statistical power analysis for the behavioral sciences.New York:
74 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 บทความวจิ ัย ผลของโปรแกรมเสรมิ สรา้ งความสามารถในการดแู ลของครอบครวั ตอ่ อาการออทสิ ติกของเดก็ ออทิสตกิ วัยกอ่ นเรียน สชุ าวลี พนั ธ์พงษ*์ จินตนา ยูนิพนั ธ*ุ์ * และ สนุ ิศา สขุ ตระกลู *** คณะพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย อาคารบรมราชชนนีศรีศตพรรษ เขตปทุมวัน กรงุ เทพมหานคร 10330 บทคัดยอ่ วัตถุประสงค:์ เพอ่ื เปรียบเทยี บอาการออทสิ ตกิ ของเดก็ ออทิสตกิ วยั ก่อนเรียนก่อนและหลงั ไดร้ ับโปรแกรม เสรมิ สรา้ งความสามารถในการดแู ลของครอบครวั และเปรยี บเทยี บอาการออทสิ ตกิ ของเดก็ ออทสิ ตกิ วยั กอ่ น เรยี นทไ่ี ดร้ บั โปรแกรมเสรมิ สรา้ งความสามารถในการดแู ลของครอบครวั กบั กลมุ่ ทไ่ี ดร้ บั การพยาบาลตามปกติ รูปแบบการวิจยั : การวจิ ัยก่งึ ทดลอง วิธีด�ำเนนิ การวจิ ัย: กลุ่มตวั อย่างคือ เด็กทอี่ อทิสติกอายุ 3-6 ปี และครอบครวั ท่มี ารับบริการแผนกผู้ปว่ ย นอก โรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถมั ภ์ ซง่ึ มคี ณุ สมบัติตามเกณฑ์ โดยได้รับการจับคู่ (Matched pair) และการสุ่มเขา้ กล่มุ ทดลองและกล่มุ ควบคมุ จำ� นวนกลุ่มละ 20 คู่ กลุ่มทดลองได้รบั การเข้าร่วมโปรแกรม เสริมสร้างความสามารถในการดูแลของครอบครัว เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ ส่วนกลุ่มควบคุมได้รับการ พยาบาลตามปกติ เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ โปรแกรมเสริมสร้างความสามารถในการดูแลของ ครอบครัว และคู่มือการดูแลเด็กออทิสติก ส�ำหรับครอบครัว เก็บข้อมูลโดยใช้แบบประเมินอาการรุนแรง ของโรคออทซิ มึ และแบบประเมินพลงั อำ� นาจ มคี ่าดชั นคี วามตรงตามเน้ือหา เท่ากบั .92 และ .80 ตาม ลำ� ดบั และมีค่าความเทย่ี งสมั ประสทิ ธแ์ิ อลฟาครอนบาค เท่ากับ .96 และ .89 ตามล�ำดับ วิเคราะหข์ ้อมูล โดยใช้สถิตทิ ดสอบที (t-test) ผลการวจิ ยั 1) คะแนนเฉลยี่ อาการออทสิ ติกของกลุม่ ท่ีได้รบั โปรแกรมเสริมสร้างความสามารถในการดูแล ของครอบครัวน้อยกว่าก่อนได้รับโปรแกรม อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 2) คะแนนเฉล่ีย อาการออทิสติกของกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมเสริมสร้างความสามารถในการดูแลของครอบครัวลดลงมากกว่า กลุ่มที่ได้รบั การพยาบาลตามปกติ อยา่ งมนี ยั ส�ำคญั ทางสถิติทีร่ ะดับ .01 สรปุ : การใช้โปรแกรมเสรมิ สร้างความสามารถในการดูแลของครอบครัวสามารถท�ำให้อาการออทิสติกของ เดก็ ออทสิ ตกิ วยั กอ่ นเรยี นลดลงได้ ซงึ่ เป็นไปตามสมมตฐิ านทต่ี ั้งไว้ คำ� สำ� คญั : ความสามารถในการดูแล/ อาการออทิสติก/ เด็กออทิสตกิ วัยกอ่ นเรยี น วารสารพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย 2562, 31(3) : 74-86 * นสิ ติ หลกั สตู รพยาบาลมหาบัณฑติ คณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย ** ผรู้ บั ผิดชอบหลัก รองศาสตราจารย์ คณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาจารย์ทปี่ รึกษาวิทยานพิ นธ์ Email: [email protected] *** อาจารย์ คณะพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย อาจารย์ท่ีปรกึ ษาวทิ ยานิพนธร์ ว่ ม
วารสารพยาบาลศาสตร ์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ปีท่ี 31 ฉบับที่ 3 กันยายน - ธนั วาคม 2562 75 The Effect of Enhancing Family Cargiving Abilty Program on Autistic Symptoms among Autistic Preschoolers Suchawalee Punphong* Jintana Yunibhand** and Sunisa Suktrakul*** Abstract Purpose: 1) to compare autistic symptoms among autistic preschoolers before and after using the enhancing family caregiving ability program, and 2) to compare autistic symptoms among autistic preschoolers using the enhancing family caregiving ability program and those received usual nursing care. Design: Quasi-experimental research Methods: Research sample consisted of forty Autistic children, aged 3-6 and family receiving services in the outpatient clinic of Yuwaprasartwaithayopathum hospital, selected by inclusion criteria, were matched pair by sex of autistic children and type of medicine which autistic children received in the same type, then, equally randomly assigned to an experimental group and a control group with 20 subjects in each group. The experimental group received the enhancing family caregiving ability program for 4 weeks. The control group received usual nursing care. The experimental instruments included the Enhancing Family Cargiving Abilty Program and the autism caring manual for family. Data were collected using the autistic symptoms assessment scale and the empowerment assessment scale. Its CVI were .92 and .80, respectively. Their Cronbach’s alpha coefficients were .96 and .89, respectively. The t-test was used in data analysis. Findings: 1) The mean score of autistic symptoms after using the enhancing family caregiving program was significantly lower than those before, at the .01 level. 2) The mean score of autistic symptoms who received the enhancing family caregiving program was significantly decreased more than such mean score of autistic children who received usual nursing care, at the .01 level. Conclusion: The result of this study support that the enhancing family caregiving program can reduce the autistic symptom among autistic preschoolers. Keywords: Enhancing family caregiving ability/ Autistic symptoms/ Autistic preschoolers Journal of Nursing Science Chulalongkorn University 2019, 31(3) : 74-86 Article info: Received May 8, 2019; Revised June 4, 2019; Accepted June 16, 2019 * Student in Master of Nursing Science Program, Faculty of Nursing, Chulalongkron University ** Corresponding author, Associate Professor, Faculty of Nursing, Chulalongkron University. Research Advisor. Email Adress: [email protected] *** Lecturer, Faculty of Nursing, Chulalongkron University. Co-advisor.
76 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 บทนำ� เด่นชัดเมอ่ื เดก็ มีอายุ 18 เดอื นขึ้นไป ท้งั นี้จะพบอาการ ความผดิ ปกติอย่างเร็วทสี่ ดุ ในช่วงกอ่ นวัยเรียน ซ่ึงแตล่ ะ โรคออทซิ มึ เปน็ โรคทมี่ คี วามผดิ ปกตขิ องสมอง คนจะมอี าการทมี่ คี วามแตกตา่ งกนั ไป ตง้ั แตค่ วามรนุ แรง บางสว่ นโดยยงั ไมท่ ราบแนช่ ดั วา่ อะไรเปน็ สาเหตปุ จั จบุ นั ของอาการนอ้ ยไปจนถึงมาก6 พบการเพิ่มจ�ำนวนของผู้ป่วยออทิสติกมากข้ึนในทุก ประเทศทว่ั โลก1 จากรายงานลา่ สดุ ของการสำ� รวจความ ปจั จยั สำ� คญั ทม่ี ผี ลตอ่ อาการออทสิ ตกิ ประกอบ ชุกของเด็กออทิสติกอย่างเป็นทางการในทุกประเทศท่ัว ด้วยหลายปัจจัย แบ่งออกเป็น 2 ปัจจัยหลัก ดังนี้ โลกเมอ่ื ปี พ.ศ. 2558 พบวา่ มีความชกุ ของโรคออทิซมึ 1) ปจั จยั ดา้ นเดก็ ออทสิ ตกิ พบวา่ ความผดิ ปกตขิ องสมอง คอื 1 คน ตอ่ เด็กทกุ 68 คน2 สำ� หรับในประเทศไทยมี ท�ำให้เกิดความบกพร่องของพัฒนาการในหลายๆ การส�ำรวจอย่างเป็นทางการในเด็กอายุ 0-5 ปี ในปี ด้าน ได้แก่ พัฒนาการด้านภาษาและสังคมล่าช้า มี พ.ศ. 2547 พบมีสัดส่วนความชุกของโรคออทิซึมคือ พฤติกรรม ความสนใจ และการกระท�ำที่ซ้�ำๆ หรือ 1 คน ต่อเด็กทุก 1,000 คน พบในเด็กชายมากกว่า จ�ำกัด7 รวมท้ังสติปัญญา อายุ เพศ ก็เป็นปัจจัยท่ีมี เด็กหญิงเท่ากับ 4-5:1 แต่ในเพศหญิงมักจะมีอาการ ส่วนเกี่ยวข้องด้วย และ 2) ปัจจัยด้านครอบครัว โดย รุนแรงมากกว่า3 จากข้อมูลการเข้ารับการบ�ำบัดรักษา พบว่า ความสามารถในการดแู ลเดก็ ออทสิ ติก มีอิทธพิ ล ของโรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมภ์ระหว่างปี อย่างมากต่ออาการออทิสติก โดยเฉพาะเด็กวัยก่อน พ.ศ. 2558-2560 พบมผี ู้ป่วยออทสิ ติกจำ� นวน 17,931, เรียนเปน็ ผทู้ ี่ไม่สามารถดูแลตนเองไดท้ ้งั หมด ครอบครัว 16,350, และ 16,762 คนตามล�ำดับ และพบผปู้ ว่ ยเด็ก จึงเป็นผู้ดูแลหลัก โดยพบว่าครอบครัวที่ดูแลเด็ก ออทิสติกรายใหม่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558-2560 ที่มารับ ออทิสติกได้ไม่เหมาะสม ท�ำใหอ้ าการออทสิ ตกิ แยล่ งได6้ บริการที่แผนกผู้ป่วยนอกมีจ�ำนวน 4,086 คน และ ช่วงอายุท่ีพบมากท่ีสุดน้ันเป็นเด็กวัยก่อนเรียนคือ อายุ อาการออทสิ ตกิ ไมส่ ามารถรกั ษาใหห้ ายขาดได้ 3-6 ปี จ�ำนวน 1,804 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 44.15 แต่สามารถบรรเทาอาการให้ลดลงได้ แนวทางการดูแล รักษาเด็กออทิสติกท่ีเหมาะสมในปัจจุบันมีหลายวิธี อาการออทสิ ติก เปน็ คำ� ท่ีใชใ้ น 2 ลกั ษณะ คือ เชน่ การสง่ เสรมิ ความสามารถครอบครวั กจิ กรรมบำ� บดั ใชอ้ ธบิ ายอาการทเ่ี ปน็ เกณฑก์ ารวนิ จิ ฉยั โรคออทสิ ซมึ ของ อรรถบ�ำบัด พฤติกรรมบ�ำบัด การรักษาด้วยยาเพ่ือ DSM-5 กลา่ วคอื เป็นการแสดงออกของความบกพรอ่ ง ควบคุมอาการ และการเร่ิมให้การดูแลช่วยเหลือเด็ก ใน 2 กลุ่มอาการหลกั ได้แก่ 1) ความบกพร่องด้านการ ออทิสตกิ อย่างเหมาะสม ต้ังแต่เริม่ ไดร้ ับการวนิ จิ ฉัยโรค ใช้ภาษาและการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และ 2) การมี และท�ำอย่างต่อเน่ืองถือเป็นสิ่งที่ส�ำคัญ8 การดูแลเด็ก พฤตกิ รรมและความสนใจทเี่ ปน็ แบบจำ� กดั หรอื เปน็ แบบ ออทสิ ตกิ จำ� เปน็ ตอ้ งไดร้ บั การดแู ลจากทมี งานผเู้ ชยี่ วชาญ แผนซ�้ำๆ4 และเป็นค�ำที่ใช้อธิบายลักษณะความผิดปกติ จากสหวิชาชีพ แต่หัวใจส�ำคัญของการดูแลไม่ได้อยู่ ของการแสดงออกท่ีไม่สอดคล้องกับพัฒนาการตามวัย ท่ีผู้เช่ียวชาญแต่เพียงเท่านั้น แต่ข้ึนอยู่กับครอบครัว ซ่ึงใช้ในการประเมินผลลัพธ์ของการดูแลช่วยเหลือ โดย ทจี่ ะมคี วามสามารถในการนำ� วธิ กี ารบำ� บดั รกั ษาตา่ งๆ ที่ Rimland และ Edelson5 ได้กล่าวถึงอาการออทิสติก ได้รบั มาประยกุ ต์ใช้ในการดูแลเด็กออทสิ ติกที่บา้ นอยา่ ง ว่าเป็นความผิดปกติของการแสดงออก 4 ด้าน ได้แก่ ตอ่ เนอ่ื งและสมำ�่ เสมอหรอื ไม่9 ครอบครวั นบั เปน็ สถาบนั 1) ด้านการพูด การใช้ภาษาและการติดต่อส่ือสาร หลักท่ีจะต้องให้การดูแลช่วยเหลือเด็กออทิสติกตั้งแต่ 2) ดา้ นสงั คม 3) ด้านประสาทรบั ความรสู้ ึกและการรบั รู้ ระยะแรกเริ่มหรือทันทีเมื่อได้รับทราบผลการวินิจฉัย และ 4) ด้านสุขภาพและพฤติกรรม อาการดังกล่าวจะ สอดคล้อง กับการศึกษาของ Oono, Honey และ ปรากฏให้เห็นในช่วงขวบปีแรก และจะพบอาการอย่าง McCoachie10 ที่ได้ท�ำการศึกษาการบ�ำบัดรักษาเด็ก
วารสารพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั ปที ี่ 31 ฉบบั ที่ 3 กนั ยายน - ธันวาคม 2562 77 ออทิสติก ในระยะเริ่มต้น โดยการให้ผู้ปกครองมี ครอบครัวมีความสามารถในดูแลเด็กออทิสติกได้อย่าง สว่ นรว่ มในการดแู ลรกั ษาพบวา่ มคี วามจำ� เปน็ อยา่ งยง่ิ ที่ เหมาะสมและเกดิ ความตอ่ เนอ่ื งของการดแู ล ปอ้ งกนั การ ตอ้ งดแู ลเดก็ ออทสิ ตกิ ตง้ั แตร่ ะยะเรม่ิ ตน้ หรอื ทนั ทเี มอ่ื รบั เกดิ อาการออทสิ ตกิ ท่ีรุนแรงมากข้ึนได้ ทราบผลการวินิจฉัย โดยจะต้องเน้นการช่วยเหลือให้ ครอบครัวเกิดความสามารถในการดูแลเด็กออทิสติกได้ จากการทบทวนแนวคิดการเสริมสร้างความ อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ เพอื่ ปอ้ งกนั การเกดิ อาการออทสิ ตกิ สามารถในการดูแลของครอบครัวเด็กออทิสติกพบว่า ทร่ี นุ แรงมากขนึ้ ได้ ดงั นน้ั การทจ่ี ะทำ� ใหอ้ าการออทสิ ตกิ ดี แนวคิดการเสริมสร้างพลังอ�ำนาจเป็นแนวคิดที่ได้รับ ขึ้นได้น้ัน นอกจากจะเป็นการดูแลรักษาที่ตัวเด็กแล้ว การยอมรับว่ามีผลต่อการพัฒนาความสามารถในการ แต่ปัจจัยที่ส�ำคัญอย่างมากอีกหน่ึงปัจจัยก็คือ ปัจจัย ดูแลของครอบครัวเด็กออทิสติก น�ำไปสู่การท�ำให้อากา ครอบครวั ทจี่ ะตอ้ งมคี วามสามารถในการดแู ลเดก็ ออทสิ ตกิ รออทิสติกดีข้ึนได้12 ซ่ึงแนวคิดทฤษฏีเกี่ยวกับกับการ ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยเช่นกัน ดังนั้นผู้วิจัยจึงเลือก เสริมสร้างพลังอ�ำนาจมีหลากหลาย ในการศึกษาคร้ังนี้ ปัจจัยด้านครอบครัว คือ ความสามารถการดูแลเด็ก ผู้วิจัยสนใจแนวคิดการเสริมสร้างพลังอ�ำนาจของ ออทสิ ตกิ มาจดั กระทำ� โดยมงุ่ เนน้ ใหค้ รอบครวั เกดิ ความ Miller มาเป็นกรอบแนวคิด โดยมีพื้นฐานแนวคิดที่มี สามารถในการดูแลเดก็ ออทสิ ตกิ ได้อย่างเหมาะสม เพือ่ ความเชอื่ วา่ พลงั อำ� นาจ คอื แหลง่ ทรพั ยากรทป่ี รากฏอยู่ น�ำไปส่อู าการออทิสตกิ ทด่ี ขี นึ้ ตามมา ในตัวของแต่ละบุคคล เมื่อบุคคลน้ันๆ มีการพัฒนาให้ บุคคลน�ำทรัพยากรเหล่าน้ีมาใช้ได้อย่างเหมาะสมจะ จากการทบทวนสถานการณก์ ารดแู ลเดก็ ออทสิ ตกิ สง่ ผลทำ� ใหบ้ คุ คลตระหนกั ในศกั ยภาพและความสามารถ ในปัจจุบัน พบปัญหาเด็กออทิสติกยังไม่ได้รับการดูแล ของตน นำ� ไปสกู่ ารเปลยี่ นแปลงความสามารถของตนเอง ที่ดี โดยพบว่าครอบครัวให้การดูแลเด็กออทิสติกได้ ในการจัดการณ์กับสถานการณ์ต่างๆ ได้เหมาะสม ไม่เหมาะสม น�ำไปสู่อาการออทิสติกที่รุนแรงมาก จงึ สนใจนำ� แนวคดิ การเสรมิ สรา้ งพลงั อ�ำนาจของ Miller ข้ึนได้11 สอดคล้องกับข้อมูลทางสถิติของโรงพยาบาล มาใชใ้ นโปรแกรมเสรมิ สรา้ งความสามารถในการดแู ลของ ยวุ ประสาทไวทโยปถัมภ์ ซึ่งเปน็ โรงพยาบาลตตยิ ภมู ทิ ม่ี ี ครอบครัวเด็กออทิสติก และจัดท�ำเป็นคู่มือดูแลเด็ก ความเช่ียวชาญและมีความเป็นเลิศในการดูแลเด็ก ออทสิ ตกิ สำ� หรบั ครอบครวั เพอื่ ใหค้ รอบครวั ได้ทบทวน ออทิสติกพบว่า จ�ำนวนเด็กออทิสติกที่มีอาการรุนแรง แหล่งพลังอ�ำนาจของตน ท�ำให้ครอบครัวเด็กออทิสติก ซับซ้อนหรือมีพฤติกรรมที่เป็นปัญหามีจ�ำนวนมากขึ้น ไดพ้ ฒั นาศกั ยภาพ นำ� ไปสกู่ ารเกดิ ความความสามารถใน อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับปัญหาจากการท่ีครอบครัว การดูแลเด็กออทิสติกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ร่วมกับ ไม่สามารถดูแลเด็กออทิสติกได้อย่างเหมาะสม ท�ำให้ แนวคดิ กระบวนการกลมุ่ (Group process) โดยดำ� เนนิ จำ� นวนเดก็ ออทสิ ตกิ ทถี่ กู สง่ ตอ่ เขา้ รบั การบ�ำบดั รกั ษาใน กิจกรรมเป็นรายกลุ่ม เนื่องจากกระบวนการกลุ่มจะ โปรแกรมการดูแลแบบเข้มข้นในแผนกผู้ป่วยในมากขึ้น ท�ำให้สมาชิกในกลุ่มเกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน ตอ้ งรอควิ การเขา้ รบั การรกั ษา ประกอบกบั การไมม่ คี มู่ อื มีการปรับตัวเข้าหากัน และจะพยายามช่วยกันท�ำงาน ส�ำหรับพยาบาล และคู่มือส�ำหรับครอบครัวเก่ียวกับ โดยอาศัยความสามารถของแต่ละบุคคลซ่ึงจะท�ำให้ การดแู ลเดก็ ออทสิ ตกิ ทมี่ คี วามชดั เจนในแผนกผปู้ ว่ ยนอก เปา้ หมายส�ำเรจ็ ได้13,14 อกี ท้ังยงั เปน็ การเสริมสรา้ งแหลง่ ซึ่งหากครอบครัวไดร้ บั การชว่ ยเหลอื ตง้ั แตร่ ะยะแรกเรมิ่ พลังอ�ำนาจในด้านการสนับสนุนทางสังคมด้วย เน้ือหา ให้มีความสามารถในการดูแลเด็กออทิสติกได้อย่างรวด ภายในเปน็ เนอ้ื หาทมี่ งุ่ เนน้ การพฒั นาแหลง่ พลงั อำ� นาจท่ี มากที่สุด ก็จะส่งผลลัพธ์ท่ีดีต่อทั้งเด็กออทิสติกและ มีอยใู่ นตวั บคุ คล เพ่อื ใหค้ รอบครวั เกดิ ศกั ยภาพ นำ� ไปสู่ ครอบครวั ได้ ดังนน้ั จึงมคี วามจำ� เป็นอย่างยง่ิ ทีจ่ ะทำ� ให้ การเกดิ ความสามารถในการดแู ลเดก็ ออทสิ ตกิ โดยเฉพาะ
78 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 อยา่ งยงิ่ ในเรอื่ งของการจดั การกบั อาการออทสิ ตกิ ท่ีเกิด 2. คะแนนเฉลย่ี อาการออทสิ ตกิ ของเดก็ ออทสิ ตกิ ข้ึนสอดคล้องกับการศึกษาของ Ebrahimi, Malek, วยั กอ่ นเรยี นทไ่ี ดร้ บั โปรแกรมเสรมิ สรา้ งความสามารถใน Babapoor และ Abdorrahmani15 ทไ่ี ดท้ ำ� การศกึ ษาการ การดูแลของครอบครัวลดลงมากกว่ากลุ่มที่ได้รับการ สรา้ งเสรมิ พลงั อำ� นาจแกม่ ารดาของเดก็ ออทสิ ตกิ พบว่า พยาบาลตามปกต ิ มารดาที่ได้รับการเสริมสร้างพลังอ�ำนาจมีความสามารถ การดูแลเด็กออทิสติกมากข้ึน ส่งผลลัพธ์ท่ีดีต่ออาการอ วิธีด�ำเนินการวิจัย เป็นการวิจัยก่ึงทดลอง (Quasi อทิสติกของเด็กออทิสติกเชน่ กัน experimental research) ใช้รูปแบบสองกลุ่มวัดก่อน จากงานวิจัยดังกล่าวจะเห็นได้ว่า การเสริม และหลงั การทดลอง (The pretest – posttest control สร้างความสามารถของครอบครัว ตามแนวการเสริม group design) สร้างพลังอ�ำนาจ ท�ำให้ครอบครัวได้พัฒนาแหล่งพลัง อ�ำนาจภายในตน ท�ำให้ครอบครัวเกิดความสามารถใน ประชากร คือ เด็กที่ได้รับการวินิจฉัยจาก การดูแลเด็กออทิสติกได้ดีข้ึน ซึ่งเม่ือครอบครัวมีความ แพทย์ตามเกณฑ์ DSM-5 ว่าเป็นโรคออทิซึมมารับ สามารถในการดูแลท่ีดีขึ้นแล้วนั้น ก็จะส่งผลท�ำให้เด็ก บริการรักษาที่แผนกผู้ป่วยนอก และครอบครัวเด็ก ออทสิ ติกมอี าการดขี ้นึ เช่นกัน ดว้ ยเหตุผลดงั กล่าวผู้วิจยั ออทสิ ตกิ จึงสนใจศึกษาการน�ำแนวคิดการเสริมสร้างพลังอ�ำนาจ มาเป็นกรอบแนวคิดในการพัฒนาโปรแกรมเสริมสร้าง กลมุ่ ตวั อยา่ ง คือ เดก็ ท่ีออทสิ ติกอายุ 3-6 ปี ความสามารถในการดูแลของครอบครัวเด็กออทิสติก และครอบครวั ทม่ี ารบั บรกิ ารแผนกผปู้ ว่ ยนอก โรงพยาบาล เพ่ือเสริมสร้างศักยภาพของครอบครัวให้มีความรู้ความ ยวุ ประสาทไวทโยปถมั ภ์ จ�ำนวน 40 คน แบ่งเป็นกลมุ่ เข้าใจในการดูแลเด็กออทิสติก เกิดแรงจูงใจในการดูแล ควบคมุ 20 คน กลมุ่ ทดลอง 20 คน มรี ายละเอยี ดของ และสง่ เสรมิ ใหค้ รอบครวั เดก็ ออทสิ ตกิ ไดร้ บั การสนบั สนนุ กลมุ่ ตวั อยา่ ง คอื จากแหล่งสนับสนุนต่างๆ เพ่ือให้น�ำไปสู่การเกิดความ สามารถในการดูแลเด็กออทิสติกได้อย่างเหมาะสม 1. เด็กออทิสติก ต้องเป็นเด็กที่ได้รับการ ส่งผลให้เดก็ ออทสิ ติกมอี าการดขี ้นึ วินิจฉัยจากแพทย์ตามเกณฑ์ DSM-5 ว่าเปน็ โรคออทิซึม อายุ 3-6 ปี ทั้งเพศชายและเพศหญิง วัตถุประสงค์ 2. ครอบครัวเด็กออทิสติก คือ เป็นผู้ดูแลที่ เพื่อเปรยี บเทียบอาการออทสิ ติกของเด็กออทิ อาศยั อยูใ่ นบ้านเดียวกันกับเด็กออทิสติก ทม่ี หี น้าทีด่ ูแล สตกิ วยั กอ่ นเรยี นกอ่ นและหลงั ไดร้ บั โปรแกรมเสรมิ สรา้ ง โดยตรงอย่างสม่�ำเสมอและต่อเนื่อง เป็นเวลาตั้งแต่ 6 ความสามารถในการดูแลของครอบครัว และเพอื่ เปรยี บ เดือนขึ้นไป และเป็นผ้ทู อี่ ยใู่ นระดับยอมรับการเจบ็ ป่วย เทยี บอาการออทสิ ตกิ ของเดก็ ออทสิ ตกิ วยั กอ่ นเรยี นทไี่ ด้ ของเด็กออทิสตกิ ไดแ้ ลว้ รับโปรแกรมเสริมสร้างความสามารถในการดูแลของ ครอบครวั กับกลมุ่ ท่ไี ดร้ บั การพยาบาลตามปกติ กำ� หนดขนาดของกลมุ่ ตวั อยา่ ง โดยใชห้ ลกั การ เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive สมมตฐิ านการวิจยั sampling) และค�ำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ โปรแกรม G*Power ก�ำหนดค่าอ�ำนาจการทดสอบ 1. คะแนนเฉลย่ี อาการออทสิ ตกิ ของเดก็ ออทิ (Power of test) ท่ี 80% ก�ำหนดค่าขนาดอิทธิพล สตกิ วยั กอ่ นเรยี นทไี่ ดร้ บั โปรแกรมเสรมิ สรา้ งความสามารถ (Effect size) ขนาดกลางที่ 0.5 และก�ำหนดระดับนัย ในการดูแลของครอบครัวหลังการทดลองน้อยกว่าก่อน ส�ำคญั ทางสถิติ (Significant level) ท่ี .05 ได้ขนาดกลมุ่ ได้รับการทดลอง ตัวคอื อย่างน้อยที่สุดควรมจี �ำนวน 34 คน เพ่อื ป้องกนั การสูญหาย (Drop out) ของกลุ่มตัวอย่างระหว่าง
วารสารพยาบาลศาสตร ์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ปที ี่ 31 ฉบับท่ี 3 กันยายน - ธนั วาคม 2562 79 การศึกษาผู้วิจัยจึงได้ก�ำหนดให้มีกลุ่มตัวอย่างรวม การเก็บรวบรวมข้อมลู ทง้ั หมด 40 คน โดยแบ่งเปน็ กลุ่มทดลอง 20 คน และ กลุ่มควบคมุ 20 คน 1. ขน้ั เตรยี มการทดลอง โดยการเตรยี มความ พรอ้ มของผวู้ จิ ยั เตรยี มเครอ่ื งมอื ในการวจิ ยั เตรยี มสถาน เครือ่ งมอื ทีใ่ ชใ้ นการวิจัย ทที่ ใ่ี ชใ้ นการทำ� การทดลอง จดั เตรยี มผชู้ ว่ ยผวู้ จิ ยั จำ� นวน 1 คน เตรียมกลุ่มตัวอย่าง และด�ำเนินการขออนุมัติใน 1. เคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล การเกบ็ ขอ้ มลู วิจยั คือ แบบประเมนิ ความรนุ แรงของโรคออทิซึม โดยผวู้ ิจัย นำ� เครอ่ื งมอื นมี้ าจากอญั ชรส ทองเพช็ ร ซง่ึ ปรบั จากฉบบั ที่แปลโดยวนาลักษณ์ เมอื งมลมณรี ตั น์ และภัทราภรณ์ 2. ขน้ั ดำ� เนนิ การทดลอง ทุ่งคำ� ปนั สร้างโดย Rimland และ Edelson5 จำ� นวน 77 ขอ้ มคี า่ ดัชนีความตรงตามเนอ้ื หา (CVI) เท่ากบั .92 2.1 กลุ่มควบคุม ผู้วิจัยได้ด�ำเนินการกับ กลุ่มควบคุม ดงั น้ี และหลังน�ำไปทดลองใช้ในการศึกษาน้ีพบว่ามีค่าความ 2.1.1 ผู้วิจัยสัมภาษณ์ข้อมูลส่วน บคุ คลเปน็ ขอ้ มลู ทวั่ ไปทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั เดก็ ออทสิ ตกิ ไดแ้ ก่ เทีย่ งสัมประสทิ ธ์ิแอลฟาครอนบาคเท่ากับ .96 อายุ เพศ บุตรคนที่ อายุที่ได้รับการวินิจฉัยคร้ังแรก การไดร้ บั ยา และขอ้ มูลของครอบครวั 2. เครอื่ งมอื ทใี่ ชใ้ นการทดลอง คอื โปรแกรม เสริมสร้างความสามารถในการดูแลของครอบครัว และ 2.1.2 ผวู้ จิ ยั ใหค้ รอบครวั เดก็ ออทสิ ตกิ คู่มือการดูแลเด็กออทิสติก ส�ำหรับครอบครัว มีค่าดัชนี ความตรงตามเนอื้ หา (CVI) เท่ากบั 1 ทง้ั สองเครือ่ งมอื ประเมินอาการออทิสติกของเด็กออทิสติกในความดูแล และผวู้ จิ ยั ไดน้ ำ� โปรแกรมเสรมิ สรา้ งความสามารถในการ ตามแบบประเมินอาการรนุ แรงของโรคออทซิ มึ ดูแลของครอบครัวไปทดลองใช้จริงกับผู้ที่มีคุณสมบัติ เชน่ เดียวกบั กลุ่มตวั อยา่ ง จำ� นวน 5 คน พบว่าโปรแกรม 2.1.3 เด็กออทิสติกและครอบครัว มีความเหมาะสมในด้านเน้ือหา ความถูกต้อง ชัดเจน จะไดร้ ับการพยาบาลตามปกติ ครอบคลุมเหมาะสมของภาษาท่ีใช้ รูปแบบความ 2.2 กลุ่มทดลอง ผู้วิจัยได้ด�ำเนินการกับ เหมาะสมของกจิ กรรม ตลอดจนการจดั ลำ� ดบั ของเนอ้ื หา กล่มุ ทดลอง ดงั นี้ และความเหมาะสมของเวลาที่ใช้ในแต่ละกจิ กรรม 2.2.1 ผู้วิจัยสัมภาษณ์ข้อมูลส่วน 3. เครื่องมือก�ำกับการทดลอง คือ แบบ บุคคลเปน็ ข้อมูลทัว่ ไปท่ีเกยี่ วขอ้ งกับเด็กออทิสติก ได้แก่ ประเมนิ พลงั อำ� นาจ ประกอบดว้ ยคำ� ถาม จำ� นวน 20 ขอ้ อายุ เพศ บุตรคนท่ี อายุที่ได้รับการวินิจฉัยคร้ังแรก มีค่าดัชนีความตรงตามเน้ือหา (CVI) เท่ากับ .80 และ การได้รบั ยา และขอ้ มลู ของครอบครัว หลังน�ำไปทดลองใช้ในการศึกษานี้พบว่ามีค่าความเที่ยง สัมประสทิ ธ์แิ อลฟาครอนบาค เทา่ กบั .89 2.2.2 ผวู้ จิ ยั ใหค้ รอบครวั เดก็ ออทสิ ตกิ ประเมินอาการออทิสติกของเด็กออทิสติกในความดูแล ตามแบบประเมินอาการรนุ แรงของโรคออทซิ ึม การพทิ ักษส์ ทิ ธิ์กลุ่มตัวอย่าง งานวิจัยน้ี ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ 2.2.3 ผู้วิจัยด�ำเนินการทดลอง พิจารณาจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ โรงพยาบาลยุว โดยเด็กออทิสติกและครอบครัวจะได้รับการพยาบาล ประสาทไวทโยปถมั ภ์ เลขที่ 003/62 ผูว้ จิ ยั ด�ำเนนิ การ ตามปกติ และไดร้ บั โปรแกรมเสรมิ สรา้ งความสามารถใน พิทักษ์สิทธิ์กลุ่มตัวอย่าง โดยกลุ่มตัวอย่างเข้าร่วมการ การดูแลของครอบครัว 6 กิจกรรม ใช้ระยะเวลา 4 วิจัยดว้ ยความสมัครใจ สปั ดาห์
80 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 การกำ� กับการทดลอง กลุ่มควบคุม ผู้วิจัยได้ให้ความรู้เรื่องโรคออทิซึม และ การดูแลเด็กออทิสติก พร้อมท้ังมอบคู่มือการดูแลเด็ก แบบประเมนิ พลงั อำ� นาจเปน็ การประเมนิ พลงั ออทสิ ติก ส�ำหรับครอบครัวใหก้ ลุ่มควบคมุ อ�ำนาจของครอบครัวเด็กออทิสติกที่เข้าร่วมในการวิจัย เพราะการมีพลังอ�ำนาจจะท�ำให้ครอบครัวเกิดความ การวิเคราะหข์ อ้ มลู สามารถในการดแู ลไดด้ ขี นึ้ ผวู้ จิ ยั ใหค้ รอบครวั เดก็ ออทสิ ตกิ ทำ� แบบประเมนิ พลงั อำ� นาจ ทำ� แบบประเมนิ พลงั อำ� นาจ ผู้วิจัยท�ำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรม เม่ือสิ้นสุดการบ�ำบัดในวันสุดท้ายของการบ�ำบัด หาก คอมพวิ เตอรส์ ำ� เรจ็ รปู ในการวเิ คราะหใ์ นการวเิ คราะหผ์ ล พบว่าครอบครัวประเมินแหล่งพลังอ�ำนาจอยู่ในระดับ ข้อมูล สถติ ทิ ี่ใช้ ไดแ้ ก่ คา่ ร้อยละ คา่ เฉลย่ี ส่วนเบีย่ งเบน คะแนนเฉล่ียของพลังอ�ำนาจอยู่ในระดับท่ีน้อย หรือ มาตรฐาน เปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉล่ีย ระดบั น้อยทสี่ ุด ซงึ่ ใน 2 ระดับน้ี ผ้วู จิ ัยจะน�ำครอบครวั คะแนนอาการของเดก็ ออทสิ ตกิ กอ่ นและหลงั การทดลอง กลุ่มนม้ี าทบทวนการเสรมิ สรา้ งพลังอำ� นาจเป็นรายกลมุ่ โดยใช้สถิติทดสอบที (Paired t-test) เปรียบความ หรือรายบุคคลต่อไปจนกว่าครอบครัวจะได้คะแนนตาม แตกตา่ งของคา่ เฉลย่ี คะแนนอาการออทสิ ตกิ กลมุ่ ทดลอง เกณฑท์ กี่ ำ� หนดภายในระยะเวลา 4 สัปดาหข์ องการเข้า และกลมุ่ ควบคมุ กอ่ นและหลงั การทดลอง ใชส้ ถติ ทิ ดสอบ ร่วมโปรแกรม ทีแบบกลุ่มท่ีเป็นอิสระต่อกัน (Independent t-test) และทดสอบผลต่างคะแนนเฉล่ียอาการออทิสติกก่อน 3. ขั้นการเกบ็ รวบรวมข้อมลู และหลังการทดลองของกลุ่มทดลองท่ีได้รับโปรแกรม รวบรวมข้อมูลก่อนทดลองของกลุ่มทดลอง เสริมสร้างความสามารถในการดูแลของครอบครัว และ และกลมุ่ ควบคมุ (Pre-test) กลุ่มควบคุมท่ีได้รับการพยาบาลตามปกติ โดยใช้สถิติ กอ่ นการดำ� เนนิ กจิ กรรม 1 สัปดาห์ โดยผวู้ ิจัย ทดสอบทีแบบกลุ่มท่ีเป็นอิสระต่อกัน (Independent นัดพบครอบครัวของเด็กออทิสติก เพื่อให้ครอบครัว t-test) ประเมินอาการออทิสติกของเด็กออทิสติกตามแบบ ประเมนิ ความรนุ แรงของโรคออทซิ ึม โดยผูว้ ิจยั ใหค้ วาม ผลการวิจยั รู้และอธิบายวิธีประเมินอาการออทิสติก และให้ ครอบครวั ประเมนิ อาการออทสิ ตกิ ของเดก็ ออทสิ ตกิ ทนั ที 1. เด็กออทิสติกทั้งในกลุ่มทดลองและกลุ่ม และเก็บแบบประเมินหลังจากครอบครัวประเมิน ควบคมุ สว่ นใหญเ่ ปน็ เพศชาย คดิ เปน็ รอ้ ยละ 85 เทา่ กนั เรยี บรอ้ ยแล้ว มีอายอุ ยู่ในช่วง 3-4 ปี คิดเปน็ รอ้ ยละ 75 และ 45 ตาม ลำ� ดบั เป็นบตุ รคนที่ 1 คิดเป็นรอ้ ยละ 65 และ 80 ตาม รวบรวมข้อมูลหลังทดลองของกลุ่มทดลอง ล�ำดับ อายทุ ่ีได้รบั การวินจิ ฉัยวา่ เป็น Autism ครัง้ แรก และกลุ่มควบคุม (Post-test) ช่วงอายุ 3-6 ปี คดิ เป็นรอ้ ยละ 75 เท่ากัน การรกั ษาใน ปัจจบุ ัน ร้อยละ 65 ของทัง้ กลุ่มทดลองและกล่มุ ควบคมุ หลังเสรจ็ สน้ิ โปรแกรม ผวู้ ิจัยนัดพบครอบครวั ไม่ได้รับการรักษาด้วยยาเช่นเดียวกัน และในส่วน ของเดก็ ออทสิ ติกหลังเสร็จสิ้นโปรแกรม 2 สัปดาห์ โดย ครอบครวั ของเดก็ ออทิสตกิ โดยสว่ นมากแลว้ ทั้งในกลุ่ม ให้ครอบครัวได้ประเมินอาการออทิสติก ตามแบบ ทดลองและกลมุ่ ควบคมุ เปน็ เพศหญงิ คดิ เปน็ รอ้ ยละ 75 ประเมนิ ความรนุ แรงของโรคออทซิ มึ โดยนดั กลมุ่ ทดลอง และ 90 ตามล�ำดบั สว่ นใหญ่มอี ายุอยใู่ นช่วง 30-39 ปี ให้มาประเมินอาการออทิสติกของเด็กออทิสติก หลัง คดิ เปน็ ร้อยะละ 45 และ 60 ตามล�ำดบั สถานภาพสมรส จากนั้นผู้วิจัยตรวจสอบความสมบูรณ์ของแบบประเมิน คู่ คิดเป็นร้อยละ 75 และ 90 ตามล�ำดับ มีระดับการ ทุกชุดก่อนน�ำไปวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ และส�ำหรับ ศึกษา ในช่วงปริญญาตรี คิดเป็นร้อยละ 45 เท่ากัน
วารสารพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั ปที ี่ 31 ฉบบั ท่ี 3 กนั ยายน - ธันวาคม 2562 81 มีอาชีพรับจา้ ง คดิ เปน็ ร้อยละ 35 และ 45 ตามล�ำดบั สามารถในการดูแลของครอบครัวน้อยกว่ากลุ่มท่ีได้รับ ความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับเด็กคือ มารดาเป็นผู้ดูแล การพยาบาลตามปกติ อยา่ งมีนยั สำ� คัญทางสถิติท่ีระดับ คิดเป็นรอ้ ยละ 60 และ 85 ตามล�ำดบั และระยะเวลาท่ี .01 (ดังตารางท่ี 2) ดแู ลเด็กในกลุ่มทดลองส่วนใหญ่ คอื ช่วง 3 ปี 1 เดือน ถึง 6 ปี คดิ เป็นร้อยละ 55 และ 65 ตามล�ำดับ 4. ผลต่างของคะแนนเฉล่ียอาการออทิสติก 2. คะแนนเฉลย่ี อาการออทสิ ตกิ ของเดก็ ออทิ ของเด็กออทิสติกวัยก่อนเรียนก่อนและหลังท่ีได้รับ สติกวัยก่อนเรียนที่ได้รับโปรแกรมเสริมสร้างความ โปรแกรมเสริมสร้างความสามารถในการดูแลของ สามารถในการดูแลของครอบครัวหลังการทดลองน้อย ครอบครวั ลดลงมากกวา่ กลมุ่ ทไ่ี ดร้ บั การพยาบาลตามปกติ กว่าก่อนได้รับการทดลอง อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติท่ี อย่างมีนัยส�ำคญั ทางสถติ ิท่รี ะดับ .01 (ดงั ตารางที่ 3) ระดับ .01 (ดงั ตารางท่ี 1) ภายหลังจากส้ินสุดโปรแกรมทันที ผู้วิจัย 3. คะแนนเฉลยี่ อาการออทสิ ตกิ ของเดก็ ออทิ ให้ครอบครัวเด็กออทิสติกท�ำแบบประเมินพลังอ�ำนาจ สตกิ วยั กอ่ นเรยี นในกลมุ่ ทไ่ี ดร้ บั โปรแกรมเสรมิ สรา้ งความ ผลการประเมนิ พบวา่ ครอบครวั เดก็ ออทสิ ตกิ กลมุ่ ทดลอง ตารางท่ี 1 เปรียบเทียบคะแนนเฉล่ียอาการออทิสติกของเด็กออทิสติกวัยก่อนเรียน ก่อนและหลังได้รับโปรแกรม เสริมสร้างความสามารถในการดูแลของครอบครัว คะแนนเฉลีย่ อาการออทิสติก SD. df t p-value กอ่ นการทดลอง 75.90 18.393 19 16.173* .000 หลงั การทดลอง 51.10 19.812 ตารางที่ 2 เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยอาการออทิสติกของเด็กออทิสติกวัยก่อนเรียน หลังการทดลองระหว่างกลุ่ม ทดลองซง่ึ ไดร้ บั โปรแกรมเสรมิ สรา้ งความสามารถในการดแู ลของครอบครวั กบั กลมุ่ ควบคมุ ซง่ึ ไดร้ บั การ พยาบาลตามปกติ คะแนนเฉลยี่ อาการออทิสตกิ SD. df t p-value กลมุ่ ทดลอง 53.10 19.812 38 2.572* .014 กล่มุ ควบคุม 68.85 18.905 ตารางท่ี 3 เปรียบเทียบผลต่างคะแนนเฉลี่ยอาการออทิสติกของเด็กออทิสติกวัยก่อนเรียนก่อนและหลังการ ทดลองระหว่างกลุ่มทดลองซึ่งได้รับโปรแกรมเสริมสร้างความสามารถในการดูแลของครอบครัวกับ กลมุ่ ควบคุมซึ่งได้รับการพยาบาลตามปกติ คะแนนเฉลี่ยอาการออทิสติก df t p-value กลมุ่ ทดลอง 23.55 1.282 38 -11.615* .000 กลมุ่ ควบคมุ 6.85 .650
82 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 ทั้ง 20 คน ได้คะแนนพลังอ�ำนาจผา่ นตามเกณฑ์ทุกคน สถานการณไ์ ด้ ซ่ึงการท่ผี ดู้ แู ลมีความสามารถท่เี พ่ิมมาก คดิ เป็นร้อยละ 100 ขึ้น และสอดคล้องกับการศึกษาของ Suprajitno18 ท่ีได้ท�ำการศึกษา การเสริมสร้างพลังอ�ำนาจให้กับ อภิปรายผล มารดาเด็กออทิสติก พบว่า การเสริมสร้างพลังอ�ำนาจ เป็นการเพ่มิ ศกั ยภาพ ทำ� ใหม้ ารดาเกดิ ความสามารถใน สมมติฐานการวิจัยข้อท่ี 1 ผลการวิจัยพบว่า การปรับตัวต่อสถานการณ์ต่างๆ ได้พัฒนาความรู้ คะแนนเฉล่ียอาการออทิสติกของเด็กออทิสติกวัยก่อน ความคิด และความเข้าใจ รวมทั้งการรู้จักตนเอง การ เรียนท่ีได้รับโปรแกรมเสริมสร้างความสามารถในการ ยอมรับตัวเอง สามารถควบคุมตนเองได้ เกิดความ ดแู ลของครอบครวั น้อยกว่าก่อนได้รับการทดลอง อย่าง ม่นั ใจ และมวี ิธีการแก้ไขปัญหาอยา่ งเหมาะสม มนี ยั ส�ำคญั ทางสถติ ทิ ่รี ะดับ .01 เมอ่ื พจิ ารณาคะแนนเฉลย่ี อาการออทสิ ตกิ ของ ผลวิจัยแสดงว่า อาการออทิสติกของเด็ก เด็กออทิสติกวัยก่อนเรียนที่ได้รับโปรแกรมเสริมสร้าง ออทสิ ตกิ วยั กอ่ นเรยี นลดลงจากการไดร้ บั โปรแกรมเสรมิ ความสามารถในการดูแลของครอบครัวพบว่า หลังการ สร้างความสามารถในการดูแลของครอบครัว ซึ่งมี ทดลองมีคะแนนเฉลี่ยอาการออทิสติกน้อยกว่าก่อนการ รูปแบบการบ�ำบัดท่ีมุ่งเน้นการเสริมสร้างพลังอ�ำนาจ ทดลอง ซึ่งอธิบายได้ว่า โปรแกรมเสริมสร้างความ ตามแนวคิดของ Miller16 เนื่องจากการเสริมสร้างพลัง สามารถในการดูแลของครอบครัว ซ่ึงสร้างโดยผู้วิจัย อ�ำนาจครอบครัวเด็กออทิสติก จะมีส่วนช่วยท�ำให้ ศึกษาจากเอกสาร ต�ำราและงานวิจัยต่างๆ ท่ีเกี่ยวข้อง ครอบครัวเกิดความสามารถในการดูแลเด็กออทิสติกท่ี กบั การเสรมิ สรา้ งความสามารถในการดแู ลของครอบครวั เพิ่มมากขึ้น12 สอดคล้องกับแนวคิดของ Miller16 ที่ โดยปฏิบัติการพยาบาลตามแนวคิดการเสริมสร้างพลัง กล่าวว่า พลังอ�ำนาจคือ แหล่งทรัพยากรส�ำหรับการ อ�ำนาจของ Miller16 มาเป็นกรอบแนวคิดในการออก ด�ำรงชีวิตที่ปรากฏอยู่ในตัวของทุกคน และเป็นความ แบบกิจกรรม เนื้อหาในกิจกรรมมุ่งเน้นให้ครอบครัวใช้ สามารถที่จะมีอิทธิพลกับสิ่งใดก็ตามท่ีเกิดข้ึนกับตน ศักยภาพและใช้ความสามารถของตนเองในการจัดการ โดยแหล่งพลังอ�ำนาจในตัวของบุคคลมี 7 แหล่ง ซึ่ง กับการดูแลเด็กออทิสติกได้อย่างเหมาะสม โดยผู้วิจัย ประกอบด้วย 1) ความเข้มแข็งทางกายภาพ 2) ความ พฒั นาข้ึนประกอบดว้ ย 6 กิจกรรม โดยด�ำเนนิ กิจกรรม เขม้ แขง็ ทางจติ และการสนบั สนนุ ทางสงั คม 3) อตั มโนทศั น์ เปน็ รายกลมุ่ เปน็ เวลา 4 สัปดาห์ เปน็ กระบวนการท่ีมงุ่ เชิงบวก 4) พลังงาน 5) ความรแู้ ละการรับรู้ดว้ ยปัญญา เน้นการเสริมสร้างศักยภาพ ได้พัฒนาแหล่งทรัพยากร 6) แรงจูงใจ และ 7) ระบบความเช่อื ทง้ั น้คี วามบกพร่อง ท่ีมีอยู่ในตัวบุคคล ท�ำให้ครอบครัวมีความสามารถใน ของแหลง่ พลงั อำ� นาจของแตล่ ะบคุ คลจะมคี วามแตกตา่ งกนั การดูแลท่ีเพิ่มมากขึ้น สอดคล้องกับการศึกษาของของ ซึ่งแหล่งพลังอ�ำนาจดังกล่าวสามารถพัฒนาให้พลัง Oono, Honey และ McCoachie10 ท่ีไดท้ ำ� การศึกษา อ�ำนาจเข้มแข็งขึ้นได้ และในการศึกษาของการศึกษา การบ�ำบัดรักษาเด็กออทิสติกในระยะเร่ิมต้น มุ่งเน้น ของ Ebrahimi, Malek, Babapoor และ Abdorrahmani15 การเสรมิ สรา้ งใหค้ รอบครวั เกดิ ความสามารถในการดแู ล ที่ได้ท�ำการศึกษาการสร้างเสริมพลังอ�ำนาจแก่มารดา การใหค้ รอบครวั มสี ว่ นรว่ มในการดแู ลรกั ษา ตง้ั แตร่ ะยะ ของเด็กออทิสติกพบว่า มารดาท่ีได้รับการเสริมสร้าง เรม่ิ ตน้ หรอื ทนั ทเี มอื่ รบั ทราบผลการวนิ จิ ฉยั จะชว่ ยทำ� ให้ พลงั อำ� นาจมคี วามสามารถการดแู ลเดก็ ออทสิ ตกิ มากขนึ้ เด็กออทิสติกมีอาการท่ีดีขึ้นได้ ซ่ึงรายละเอียดเน้ือหา สง่ ผลลพั ธท์ ด่ี ตี อ่ อาการออทสิ ตกิ ของเดก็ ออทสิ ตกิ เชน่ กนั ภายในโปรแกรมเสรมิ สรา้ งความสามารถในการดแู ลของ ผลการศึกษาคร้ังนี้ยังมีความสอดคล้องกับ Gibson17 ครอบครัวในการวิจัยครั้งน้ี มีการให้ครอบครัวเด็ก พบว่า การเสริมสร้างพลังอ�ำนาจ คือ การเพิ่มความ สามารถและความแขง็ แกรง่ ของผดู้ แู ลใหส้ ามารถควบคมุ
วารสารพยาบาลศาสตร ์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย ปีท่ี 31 ฉบับท่ี 3 กันยายน - ธนั วาคม 2562 83 ออทิสติกแต่ละครอบครัวได้มีสัมพันธภาพท่ีดีต่อกัน ควบคมุ ไดร้ ับการพยาบาลตามปกติ โดยการศกึ ษาครงั้ นี้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์เรื่องการดูแลเด็กออทิสติก ผวู้ จิ ยั ไดม้ กี ารควบคมุ กลมุ่ ตวั อยา่ งทมี่ ลี กั ษณะคลา้ ยคลงึ การพูดคุยเกี่ยวกับอาการออทิสติกและปัญหาการดูแล กัน (Matched pair) ด้วยวิธีการจับคู่เพศของเด็ก เด็กออทิสติกของแต่ละครอบครัว มีการให้ความรู้กับ ออทิสติกและการได้รับยาของเด็กออทิสติก ดังน้ัน ครอบครัวเกี่ยวกับเรื่องโรคออทิซึม สาเหตุของการเกิด ผลการวิจัยที่พบจึงสามารถสรุปได้ว่า เป็นผลท่ีเกิดข้ึน โรค แนวทางการดแู ล โดยเนน้ ความรเู้ กย่ี วกบั การจดั การ จากการด�ำเนินกิจกรรมต่างๆ ตามขั้นตอนตามแนวคิด กับอาการออทิสติกท่ีเป็นปัญหา และเอื้ออ�ำนวยให้มี การเสริมสร้างพลังอ�ำนาจของ Miller16 ท่ีมีการจัด ทักษะและวิธีการจัดการกับอาการออทิสติก การน�ำ กิจกรรมที่ส่งเสริมให้ครอบครัวมีพลังอ�ำนาจ ท�ำให้ ความรู้ความสามารถท่ีมีอยู่ไปใช้ในการดูแลและจัดการ ครอบครวั เกดิ ความตระหนกั ในศกั ยภาพและความสามารถ กับอาการออทิสติกของเดก็ ออทสิ ติก และวางแผนเก่ียว ของตน ทำ� ให้เกดิ การเปล่ยี นแปลงความสามารถในการ กับการดูแลเด็กออทิสติกได้ เกิดความสามารถในการ ดแู ลเดก็ ออทสิ ตกิ ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ สง่ ผลใหอ้ าการ ดูแลเด็กออทิสติกได้อย่างม่ันใจ และมีความต่อเนื่อง ออทิสตกิ ของเด็กออทสิ ติกลดลง ในการดูแลเด็ออทิสติกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท�ำให้ ครอบครัวมีความสามารถในการดูแลและจัดการกับ เมอื่ เปรียบเทียบคะแนนเฉลยี่ อาการออทิสตกิ อาการออทสิ ตกิ ของเดก็ ออทสิ ตกิ ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ของเดก็ ออทสิ ตกิ ภายหลงั การทดลองในกลมุ่ ทดลองทไ่ี ด้ ส่งผลทำ� ใหอ้ าการออทสิ ตกิ ของเด็กออทสิ ตกิ ลดลงได้ รบั โปรแกรมเสรมิ สรา้ งความสามารถในการดแู ลของครอบครวั และกลุ่มควบคุมซึ่งได้รับการพยาบาลตามปกติพบว่า สมมตฐิ านการวจิ ัยข้อที่ 2 ผลการวิจยั พบวา่ คะแนนเฉลี่ยอาการออทิสติกของเด็กออทิสติกวัยก่อน คะแนนเฉล่ียอาการออทิสติกของเด็กออทิสติกวัยก่อน เรยี นในกลมุ่ ทดลองนอ้ ยกวา่ กลมุ่ ควบคมุ อยา่ งมนี ยั สำ� คญั เรยี นทไี่ ดร้ บั โปรแกรมเสรมิ สรา้ งความสามารถในการดแู ล ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .01 และเมอ่ื พจิ ารณาผลตา่ งของคะแนน ของครอบครัวลดลงมากกว่ากลุ่มที่ได้รับการพยาบาล เฉล่ียอาการออทิสติกก่อนและหลังการทดลองของกลุ่ม ตามปกต ิ ทดลองที่ได้รับโปรแกรมเสริมสร้างความสามารถในการ ดแู ลของครอบครวั และกลมุ่ ควบคมุ ทไ่ี ดร้ บั การพยาบาล จากผลการวิจยั อภิปรายไดว้ ่า โปรแกรมเสรมิ ตามปกตพิ บวา่ ผลตา่ งของคะแนนเฉลย่ี อาการออทสิ ตกิ สร้างความสามารถในการดูแลของครอบครัวเป็น ของกลุ่มทดลองลดลงมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัย โปรแกรมท่ีมีประสิทธิภาพในการลดความรุนแรงของ ส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งสามารถอธิบายได้ว่า อาการออทิสติกของเด็กออทิสติกวัยก่อนเรียนได้ อาการออ ทิสติกของเด็กออทิสติกในกลุ่มทดลองลดลง เนื่องจากเป็นโปรแกรมที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างความ มากกวา่ อาการออทสิ ตกิ ของเดก็ ออทสิ ตกิ ในกลมุ่ ควบคมุ สามารถของครอบครัว ตามแนวคิดการเสริมสร้าง เนื่องมาจากกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมเสริมสร้างความ พลังอ�ำนาจของ Miller16 ซ่ึงเป็นกระบวนที่น�ำไปสู่การ สามารถในการดูแล ตามแนวคิดการเสริมสร้างพลัง เสรมิ สรา้ งใหค้ รอบครวั เดก็ ออทสิ ตกิ เกดิ ความสามารถใน อ�ำนาจ ส่งผลท�ำให้ครอบครัวได้พัฒนาศักยภาพของ การดูแลเด็กออทิสติกที่เพ่ิมมากขึ้น ซ่ึงกิจกรรมใน ตนเอง ทำ� ใหเ้ กดิ ความสามารถในการดแู ลและจดั การกบั โปรแกรมมีท้ังหมด 6 กิจกรรม ท�ำให้กลุ่มทดลองซ่ึงได้ อาการออทิสติกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่กลุ่ม รับโปรแกรมเสริมสร้างความสามารถในการดูแลของ ควบคมุ ซึ่งไดร้ บั การพยาบาลตามปกติ ผลการศกึ ษาพบ ครอบครัวได้รับการพัฒนาความสามารถและศักยภาพ วา่ หลงั การทดลองคะแนนเฉลย่ี อาการออทสิ ตกิ ของเดก็ ของตนเองดังท่ีได้อธิบายไว้ในข้อ 1 นอกจากน้ีกลุ่ม ออทิสติกลดลงเช่นกัน แต่ลดลงน้อยกว่ากลุ่มทดลอง ทดลองยังได้รับการพยาบาลตามปกติด้วย ส่วนกลุ่ม
84 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 เนอ่ื งจากกลมุ่ ควบคมุ ไดร้ บั การดแู ล โดยทางโรงพยาบาล เฉลย่ี อาการออทสิ ตกิ ลดลงมากกวา่ กลมุ่ ควบคมุ ซงึ่ ไดร้ บั มีการจัดกิจกรรมการดูแลให้กับเด็กออทิสติกหลังจากท่ี การพยาบาลตามปกติ อาจส่งผลให้ครอบครัวในกลุ่ม รับทราบผลการวินิจฉัยโรคออทิซึม มีทีมสหวิชาชีพเป็น ควบคมุ ไมส่ ามารถวางแผน และจดั การกบั อาการออทสิ ตกิ ผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด โดยพยาบาลวิชาชีพท�ำกลุ่มกับเด็ก ของเด็กออทสิ ติกไดอ้ ย่างมีประสทิ ธิภาพ ออทิสติกและครอบครัว ประกอบด้วยด้วย กิจกรรม พัฒนาทักษะสังคม กิจกรรมพัฒนาทักษะการรับรู้ทาง ข้อเสนอแนะในการนำ� ผลการวิจยั ไปใช้ ภาษา กิจกรรมพัฒนาทักษะการแสดงออกทางภาษา กจิ กรรมพฒั นาทกั ษะดา้ นกลา้ มเนอื้ มดั เลก็ และกจิ กรรม 1. ด้านการปฏิบัติการพยาบาล ควรมีการ พัฒนาทักษะการเล่น การเรียนรู้ ท�ำให้เด็กออทิสติก น�ำโปรแกรมเสริมสร้างความสามารถในการดูแลของ และครอบครัวได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที สอดคล้อง ครอบครัว ตามแนวคิดการเสริมสร้างพลังอ�ำนาจ ไปใช้ กับ Scott และ Chris19 กลา่ วไวว้ า่ การดแู ลเดก็ ตั้งแต่ ในการปฏิบัติการพยาบาลในการดูแลเด็กออทิสติกและ อายุน้อยๆ และท�ำอย่างต่อเน่ืองเป็นสิ่งที่ส�ำคัญที่สุด ครอบครัว ในแผนกผู้ป่วยนอก เพ่ือให้ครอบครัวเกิด ทจ่ี ะชว่ ยเสรมิ สร้างทักษะด้านภาษา ทกั ษะสังคม ทกั ษะ ความสามารถในการจัดการกับอาการออทิสติก โดย การคิด และทักษะอน่ื ๆ ดงั นั้นจึงพบว่ากลุม่ ควบคมุ จึงมี เฉพาะอยา่ งยง่ิ การจดั การกบั อาการออทสิ ตกิ ในดา้ นการ คะแนนอาการออทิสติกของเด็กออทิสติกลดลงเช่นกัน พูด การใช้ภาษาและการส่ือสาร และด้านประสาทรับรู้ แต่เนื่องจากครอบครัวเด็กออทิสติกในกลุ่มในกลุ่ม ความรสู้ ึกและการรบั รใู้ หม้ ากข้ึน โดยอาจการเพม่ิ ระยะ ควบคมุ ไม่ได้ผ่านกระบวนการเสริมสร้างความสามารถ เวลาของการท�ำกิจกรรมน้ันให้นานข้ึน หรือใช้ร่วมกับ ของครอบครัว ตามแนวคิดการเสริมสร้างพลังอ�ำนาจ โปรแกรมอ่นื ๆ ทีม่ ีความเหมาะสม และไมไ่ ดร้ บั การพฒั นาแหลง่ พลงั อำ� นาจในตนเองใหเ้ กดิ ความสมดุล อาจสง่ ผลทำ� ให้ครอบครวั เดก็ ออ ทิสติกใน 2. ด้านการศึกษา หน่วยงานต่างๆ ได้แก่ กลุ่มควบคุม ไม่สามารถวางแผน และจัดการกับอาการ โรงพยาบาล โรงเรียน และชุมชน ควรไดร้ บั การพัฒนา ออทิสติกของเด็กออทิสติกได้อย่างมีประสิทธิภาพ การศกึ ษาในเรอื่ งการเสรมิ สรา้ งความสามารถในการดแู ล ทำ� ใหอ้ าการออทิสติกลดลงน้อยกวา่ กลุม่ ทดลองได้ ของครอบครัว เพื่อให้เด็กออทิสติกได้รับการดูแลท่ี เหมาะสม และเสรมิ สรา้ งให้ครอบครวั เกิดความสามารถ สรุปได้ว่า โปรแกรมเสริมสร้างความสามารถ ในการดูแลเด็กออทสิ ติกได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ ในการดูแลของครอบครัว สามารถลดอาการออทิสติก ของเด็กออทสิ ตกิ ได้ เน่ืองจากโปรแกรมนเ้ี ป็นโปรแกรม ขอ้ เสนอแนะในการทำ� วิจัยตอ่ ไป ท่ีมุ่งเน้นให้ครอบครัวเกิดความสามารถในการดูแลเด็ก ออทิสติกตามแนวคิดการเสริมสร้างพลังอ�ำนาจ ท�ำให้ ควรมกี ารพฒั นาโปรแกรมทม่ี งุ่ เนน้ การกระทำ� ครอบครัวได้รับการเสริมสร้างแหล่งทรัพยากรท่ีปรากฏ ต่อเด็กออทิสติกร่วมด้วย เช่น มีการส่งเสริมพัฒนา อยู่ในตัวของแต่ละบุคคล ท�ำให้ครอบครัวมีศักยภาพ การการเด็กออทิสติก การเล่นบ�ำบัดในเด็กออทิสติก น�ำไปสู่การเปลี่ยนแปลงความสามารถของตนเองในการ เปน็ ต้น และควรมกี ารตดิ ตามผลในระยะยาว ดแู ลและจดั การอาการออทสิ ตกิ ของเดก็ ออทสิ ตกิ ไดอ้ ยา่ ง เหมาะสม ส่งผลให้กลุ่มทดลองซึ่งได้รับโปรแกรมเสริม กิตติกรรมประกาศ สร้างความสามารถในการดูแลของครอบครัวมีคะแนน ขอขอบคุณบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย และคณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั ทใ่ี หท้ นุ สนบั สนุนการทำ� วิจยั
วารสารพยาบาลศาสตร ์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ปที ี่ 31 ฉบับท่ี 3 กันยายน - ธนั วาคม 2562 85 References spectrum disorders: Guide to evidence- based interventions: Missouri 1. Elsabbagh M, Divan G, Koh YJ, Kim YS, Foundation for Health: St. Louis and Kauchali S, Marcín C, et al. Global Springfiled, MO; 2012. prevalence of autism and other 9. Siriratlekha T. The manaul of caring for pervasive developmental disorders. patients with autism spectrum disorder. Autism research 2012; 5(3): 160-79. 5 ed. Bangkok: National office of Buddhism; 2012. 2. Zablotsky B, Black LI, Maenner MJ, Schieve 10. Oono IP, Honey EJ, McConachie H. Parent- LA, Blumberg SJ. Estimated prevalence mediated early intervention for young of autism and other developmental children with autism spectrum disorders disabilities following questionnaire (ASD). Evidence‐Based Child Health: A changes in the 2014 National Health Cochrane Review Journal 2013; 8(6): Interview Survey [Internet]. 2015 [cited 2380-479. 2017 Dec 20]. Available from: https:// 11. Meirsschaut M, Roeyers H, Warreyn P. www.cdc.gov/ncbddd/autism/ data. Parenting in families with a child with html. autism spectrum disorder and a typically developing child: Mothers’ experiences 3. Carter AS, Black DO, Tewani S, Connolly CE, and cognitions. Research in Autism Kadlec MB, Tager-Flusberg H. Sex Spectrum Disorders 2010; 4(4): 661-9. differences in toddlers with autism 12. Stillman W. Empowered autism parenting: spectrum disorders. Journal of autism celebrating (and defending) your child's and developmental disorders 2007; place in the world. San Francisco: 37(1): 86-97. Jossey Bass; 2009. 13. Webster M, Whitmeyer JM. Applications of 4. American Psychiatric Association. Diagnostic theories of group processes. Sociological and statistical manual of mental Theory 2001; 19(3): 250-70. disorders (DSM-5). 5th ed. Washington, 14. Lewin K. Frontiers in group dynamics: D.C.: American Psychiatric Pub; 2013. Concept, method and reality in social science; social equilibria and social 5. Rimland B, Edelson SM. Autism treatment change. Human relations 1947; 1(1): evaluation checklist (ATEC). SanDiego: 5-41. Autism Research Institute; 2000. 15. Ebrahimi H, Malek A, Babapoor J, Retrieved October, 23; 2006. Abdorrahmani N. Empowerment of mothers in raising and caring of child 6. Zablotsky B, Bramlett M, Blumberg SJ. with autism spectrum disorder. Factors associated with parental rating International research journal of applied of condition severity for children with and basic sciences 2013; 4(10): 3109-13. autism spectrum disorder. Disability and 16. Miller JF. Coping with chronic illness: Health Journal 2015; 8(4): 626-34. 7. Steinman GD, Mankuta D, Zuckerman R, Gray F. The cause of autism: Concepts and Misconceptions. New York: Baffin Book Publishing; 2014. 8. Missouri Autism Guidelines Initiative. Autism
86 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 overcoming powerlessness. 2nd ed. CAPABILITIES OF CHILDREN WITH Philadelphia: Davis; 2000. AUTISM. Belitung Nursing Journal 2017; 17. Gibson. The process of empowerment in 3(5): 533-40. mothers of chronically ill children. 19. Myers SM, Johnson CP. Management of Journal of advanced nursing 1995; 21(6): Children With Autism Spectrum 1201-10. Disorders. Pediatrics 2007; 120(5). 1162- 18. Suprajitno S. EFFECT OF FAMILY 82. EMPOWERMENT IN ENHANCING THE
วารสารพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ปีที่ 31 ฉบบั ที่ 3 กันยายน - ธนั วาคม 2562 87 บทความวิจยั ปัจจัยคัดสรรท่สี มั พนั ธก์ ับการท�ำหนา้ ท่ีดา้ นร่างกายของ ผูส้ ูงอายโุ รคหลอดเลือดสมอง บณุ ฑรกิ า มณโี ชต*ิ และ ศิริพนั ธุ์ สาสตั ย*์ * คณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั อาคารบรมราชชนนศี รีศตพรรษ เขตปทมุ วัน กรงุ เทพมหานคร 10330 บทคดั ยอ่ วัตถุประสงค์: 1) เพื่อศึกษาการท�ำหน้าท่ีดา้ นรา่ งกายของผสู้ ูงอายุโรคหลอดเลือดสมอง และ 2) เพ่อื ศึกษา ความสัมพันธร์ ะหว่าง เพศ อายุ ภาวะซมึ เศร้า การสนบั สนุนทางสงั คม และการรูค้ ิด กับการทำ� หน้าท่ดี า้ น รา่ งกายของผ้สู งู อายโุ รคหลอดเลือดสมอง รปู แบบการวิจยั : การวิจัยเชงิ บรรยายเชงิ วิเคราะหค์ วามสมั พันธ์ วิธีด�ำเนินการวิจัย: กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ท่ีมีอายุเกิน 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ทั้งเพศหญิงและเพศชายโรค หลอดเลือดสมอง ทม่ี ารับบรกิ ารในแผนกผ้ปู ว่ ยนอกโรงพยาบาลตติยภูมิ 2 แหง่ จำ� นวน 121 คน คดั เลอื ก กลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงตามเกณฑ์คัดเข้า เก็บข้อมูลโดยใช้การตอบแบบ สอบถาม เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามการสนับสนุน ทางสังคม แบบประเมินภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุไทย แบบประเมินการรู้คิดโดยใช้ MMSE-Thai 2002 และแบบประเมินการท�ำหน้าท่ีด้านร่างกาย โดยใช้ Barthel ADL Index ซึ่งมีค่าความตรงตามเน้ือหา เทา่ กบั .92 มคี า่ ความเทย่ี ง เทา่ กบั .71, .80, .83 และ .91 ตามลำ� ดบั การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ใชส้ ถติ เิ ชงิ พรรณนา สถติ สิ หสัมพนั ธ์ของเพยี ร์สัน และสถติ ิไคสแควร์ ผลการวิจัย: 1) การท�ำหน้าที่ด้านร่างกายของผู้สูงอายุโรคหลอดเลือดสมองโดยรวมอยู่ในระดับช่วยเหลือ ตนเองในการทำ� กจิ กรรมได้มาก ( = 16.56, SD. = 4.11) 2) อายแุ ละภาวะซมึ เศร้ามคี วามสมั พันธท์ างลบ กับการท�ำหน้าท่ีด้านร่างกายของผู้สูงอายุโรคหลอดเลือดสมองอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (r =-.399, r = -.337 ตามล�ำดับ) 3) การรู้คิดมีความสัมพันธ์ทางบวกกับการท�ำหน้าท่ีด้านร่างกายของ ผู้สูงอายุโรคหลอดเลือดสมองอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 (r= .348) 4) เพศมีความสัมพันธ์กับ การท�ำหน้าท่ีด้านร่างกายของผู้สูงอายุโรคหลอดเลือดสมองอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 และ 5) การสนับสนุนทางสงั คมไม่มีความสมั พนั ธก์ ับการทำ� หนา้ ทด่ี ้านรา่ งกายของผูส้ ูงอายโุ รคหลอดเลอื ดสมอง สรุป: อายุท่ีเพิ่มมากข้ึนมีผลต่อการท�ำหน้าท่ีด้านร่างกายท่ีลดลง โดยในเพศชายมีการท�ำหน้าที่ด้าน ร่างกายได้ดีกว่าเพศหญิง ดังน้ัน การให้การพยาบาลที่เหมาะสมกับช่วงอายุและเพศ โดยมีการคัดกรอง ภาวะซมึ เศรา้ และการรคู้ ดิ จะชว่ ยให้ผู้สงู อายโุ รคหลอดเลอื ดสมองมีการทำ� หน้าท่ดี า้ นร่างกายท่ีดียิง่ ขนึ้ ค�ำสำ� คญั : โรคหลอดเลือดสมอง/ การท�ำหน้าทีด่ า้ นรา่ งกาย/ ผู้สงู อายุ วารสารพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั 2562, 31(3) : 87-100 * นสิ ิตหลกั สูตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต คณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั ** ผูร้ ับผิดชอบหลัก รองศาสตราจารย์ คณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั อาจารย์ทป่ี รกึ ษาวทิ ยานิพนธ์ Email: [email protected]
88 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 Selected Factors Related to Physical Functional Ability among Stroke Older Persons Boontarika Maneechot* and Siriphan Sasat** Abstract Purpose: 1) To study the physical functional ability of stroke older persons and 2) To study relationships between gender, age, depression, social support, cognition, and physical functional ability of stroke older persons. Research Design: Descriptive correlational research Methodology: The participants were 121 men and women with stroke, aged over 60, who visited the out-patient department of the 2 tertiary hospitals. They came from purposive sampling. The questionnaire was applied to collect data. The instruments were the demographic questionnaire, Social supports assessment, Thai Geriatric Depression Scale, cognition assessment using MMSE-Thai 2002, and Barthel ADL Index. The content validity is .92 and the reliability is .71, .80, .83, .93, respectively. Data were analyzed by descriptive statistic, Pearson’s Product-Moment Correlation Coefficient and Chi-square test. Result: 1) The overall physical functional ability of stroke older persons for self-care is at a good level ( = 16.56, SD. = 4.11) 2). Age and depression were significantly negative correlation with physical functional ability among stroke older persons at the level of .05. (r=-.399, r=-.337). 3) The cognition was significantly positive correlation with physical functional ability among stroke older persons at the level of .05 (r= .348) 4) Gender was significantly correlation with physical functional ability among stroke older persons at the level of .05, and 5) Social supports have no correlation with physical functional ability among stroke older persons. Conclusion: The older of age affects the degradation of physical functional ability while the physical functional ability of men is better than women. Therefore, to give appropriate care for age and gender, the screening of depression and cognition will also help the physical functional ability of stroke older persons to work better. Keywords: Stroke / Physical functional ability/ Older Persons Journal of Nursing Science Chulalongkorn University 2019, 31(3) : 87-100 Article info: Received October 10, 2019; Revised November 13, 2019; Accepted December 18, 2019 * Student in master of nursing science program faculty of nursing Chulalongkorn University. ** Corresponding author, Associate Professor, Faculty of Nursing, Chulalongkorn University. Thesis Advisor. Email: [email protected]
วารสารพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั ปีที่ 31 ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม 2562 89 บทน�ำ ส่งผลให้มีการท�ำกิจวัตรประจ�ำวันลดลง กล้ามเน้ือลีบ ข้อติดเกรง็ เกดิ ภาวะนอนติดเตยี ง เกดิ ภาวะทพุ พลภาพ โรคหลอดเลือดสมอง (Cerebrovascular ต้องดูแลเพิ่มข้ึนตามมา โดยผลกระทบดังกล่าวส่งผล disease: CVD หรอื Stroke) เปน็ สาเหตสุ ำ� คญั ของการ ต่อทั้งผู้ป่วยและครอบครัว การหาแนวทางเพ่ือช่วย เสียชีวิตและความพิการภายหลังจากรอดชีวิต และเป็น ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุกลุ่มนี้มีการท�ำหน้าที่ด้านร่างกายที่ดี สาเหตขุ องการเสยี ชวี ติ สงู สดุ เปน็ อนั ดบั 2 ของประชากร จึงจ�ำเป็นต้องทราบถึงปัจจัยที่มีผลต่อการท�ำหน้าที่ด้าน ทว่ั โลก รองจากโรคหลอดเลอื ดหวั ใจ1 สำ� หรบั ประเทศไทย รา่ งกายดงั กลา่ ว โดยการทำ� หนา้ ทดี่ า้ นรา่ งกาย หมายถงึ พบอัตราตายต่อประชากรแสนคนเพิ่มขึ้นจาก 38.7 การท่ีผู้ป่วยมีการท�ำกิจกรรมเก่ียวกับชีวิตประจ�ำวัน เม่ือปี พ.ศ. 2557 เป็น 47.8 ในปี พ.ศ. 25602 และ และการเคลอ่ื นไหวไดส้ �ำเรจ็ ตามความมงุ่ หมาย ประกอบ พบอตั ราปว่ ยดว้ ยโรคหลอดเลอื ดสมองในกลมุ่ อายุ 60 ปี ดว้ ย การอาบน�ำ้ การหวผี ม การสวมเสือ้ ผ้า เขา้ ห้องนำ้� ขึ้นไป 2,088.91 คนต่อประชากรแสนคน ซ่ึงสูงกว่า ลกุ นง่ั จากทนี่ อน การเคลอ่ื นไหว การรบั ประทานอาหาร ผู้ป่วยวัยอื่นและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง2 และ การควบคมุ การถา่ ยอจุ จาระ ปสั สาวะ และการขนึ้ บนั ได7 เมอ่ื ภายหลงั เกดิ โรคหลอดเลอื ดสมองพบวา่ ความชกุ ของ อัมพฤกษ์ อัมพาตดว้ ยโรคหลอดเลอื ดสมองร้อยละ 1.3 การมงุ่ เนน้ ใหผ้ ปู้ ว่ ยมกี ารทำ� หนา้ ทด่ี า้ นรา่ งกาย ความชุกสูงขึ้นตามอายุท่ีมากข้ึนและสูงท่ีสุดในกลุ่มอายุ ท่ีดีเป็นเป้าหมายส�ำคัญส�ำหรับผู้สูงอายุโรคหลอดเลือด 70-79 ปี ร้อยละ 4 รองลงมาคือกลุ่มอายุ 60-69 สมอง การศึกษาการท�ำหน้าที่ด้านร่างกาย ได้น�ำกรอบ รอ้ ยละ 2.33 แนวคดิ การจำ� แนกการทำ� หนา้ ทด่ี า้ นรา่ งกาย ความพกิ าร ทางกายและภาวะสุขภาพนานาชาติ (International ความพิการหรืออัมพาตส่งผลกระทบต่อผู้สูง Classification of Functioning, Disability and อายทุ ง้ั ดา้ นรา่ งกาย จติ ใจ สงั คม พบวา่ ดา้ นรา่ งกายท�ำให้ Health: ICF) สร้างโดยองค์การอนามัยโลก (World ผู้ป่วยอัมพาตคร่ึงซีก ผู้ป่วยเสียการทรงตัว มีความ Health Organization: WHO)8 ซึ่ง ICF model มัก บกพร่องทางการรู้คิด มีผลท�ำให้ผู้ป่วยมีการตัดสินใจ ใชใ้ นการประเมนิ ความพกิ ารทเี่ กดิ ขนึ้ กบั ผปู้ ว่ ยโรคหลอด และพฤติกรรมไม่เหมาะสม มีปัญหาการควบคุมการ เลือดสมองในการฟื้นฟูสมรรถภาพและการท�ำหน้าที่ ขับถ่าย ส่งผลให้การท�ำกิจวัตรประจ�ำวันด้วยตนเองได้ ด้านร่างกายของผู้ป่วยโดยใช้หลักเชื่อมโยงปัญหาและ น้อยลง ด้านจิตใจ ผู้ป่วยจะกลัวเก่ียวกับความพิการ หาสาเหตุความบกพร่องของร่างกาย ท�ำให้ผู้ป่วยได้รับ กลัวการหกล้ม และกลัวเป็นภาระครอบครัว4 ท�ำให้ การแก้ไขอย่างเหมาะสม เพ่ือให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิต ผปู้ ว่ ยหลายคนเกดิ ภาวะซมึ เศรา้ ตามมา5 สว่ นดา้ นสงั คม ประจำ� วนั ไดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ ประกอบดว้ ย 1) การทำ� งาน ความพิการท่ีหลงเหลือท�ำให้ผู้ป่วยมีโอกาสในการ ของร่างกายและโครงสรา้ งร่างกาย (Body functional ติดต่อสังคมลดลง และเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมและ and structures) รวมถึงสุขภาพจิต 2) ด้านกิจกรรม ครอบครัวลดลง มีความรู้สึกต้องพ่ึงพาผู้อื่น ท�ำให้รู้สึก (Activity) 3) การมีสว่ นร่วม (Participation) โดยมีสิ่ง มคี ณุ คา่ ในตวั เองลดลง4 ซงึ่ ผลกระทบเหลา่ นเ้ี มอ่ื รว่ มกบั แวดล้อม (Environmental factors) และปัจจัยส่วน ความเสอ่ื มตามวยั ของผสู้ งู อายทุ ำ� ใหค้ วามสามารถในการ บุคคล (Personal factors) มาเกย่ี วขอ้ ง8 โดยผสู้ งู อายุ ท�ำหน้าท่ีของร่างกายและการฟื้นหายเป็นไปอย่างล่าช้า โรคหลอดเลือดสมองมีปัญหาทางภาวะสุขภาพท่ีท�ำให้ กว่าวัยผู้ใหญ่ ซ่งึ จะส่งผลใหก้ ารทำ� หน้าทดี่ ้านรา่ งกายใน เกดิ ขอ้ จำ� กดั ในดา้ นการทำ� กจิ กรรม (Activity limitation) การปฏบิ ตั ิกจิ กรรมตา่ งๆ ลดลง ทำ� ให้มีผลต่อการปฏบิ ัติ ดงั นน้ั ในการศกึ ษาคร้ังนี้ จงึ ไดน้ ำ� แนวคิด ICF model กิจวัตรประจ�ำวันลดลง6 ผลท่ีตามมาจากการท่ีผู้สูงอายุ ในส่วนของการท�ำกิจกรรมมาศึกษา ซึ่งแสดงให้เห็นถึง โรคหลอดเลอื ดสมองมกี ารทำ� หนา้ ทดี่ า้ นรา่ งกายไดล้ ดลง
90 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 ความสามารถการท�ำหน้าที่ด้านร่างกายในด้านการ วตั ถุประสงค์การวิจยั เคล่อื นไหวรา่ งกาย การท�ำกิจวัตรประจ�ำวนั และการท�ำ กิจกรรมตา่ งๆ เนื่องจากการท�ำหน้าทดี่ า้ นรา่ งกายท�ำให้ 1. เพ่ือศึกษาการท�ำหน้าท่ีด้านร่างกายของผู้ สามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงและการฟื้นสภาพของ สงู อายโุ รคหลอดเลอื ดสมอง ผู้สูงอายุได้ชัดเจนท่ีสุด และใช้ ICF model ในการ คดั สรรปจั จยั ทสี่ ง่ ผลตอ่ การทำ� หนา้ ทดี่ า้ นรา่ งกายรว่ มกบั 2. เพ่ือศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง เพศ การทบทวนวรรณกรรม โดยจากการศึกษา พบว่า อายุ ภาวะซึมเศร้า การสนับสนุนทางสังคม และการ ปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับการท�ำหน้าที่ด้านร่างกาย รู้คิด กับการท�ำหน้าท่ีด้านร่างกายของผู้สูงอายุโรค ได้แก่ อายุ9 เพศ10 ภาวะซึมเศร้า11 การรคู้ ิด12 และการ หลอดเลอื ดสมอง สนบั สนุนทางสังคม13 เมือ่ ใช้กรอบ ICF model มารว่ ม ประเมินปัจจัยท่ีส่งผลต่อการท�ำหน้าที่ด้านร่างกายใน สมมติฐานการวจิ ยั ด้านต่างๆ พบว่า ปัจจัยด้านการท�ำหน้าที่ด้านร่างกาย และโครงสร้างร่างกายและภาวะสุขภาพจิต ได้แก่ การ 1. อายุ ภาวะซมึ เศรา้ และการรูค้ ดิ มีความ รู้คิดและภาวะซึมเศร้า ปัจจัยด้านส่ิงแวดล้อม ได้แก่ สมั พนั ธท์ างลบกบั การท�ำหนา้ ทด่ี า้ นรา่ งกายของผสู้ งู อายุ การสนับสนุนทางสังคม และปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ โรคหลอดเลือดสมอง อายุและเพศ ในส่วนของการมีส่วนร่วมพบว่ามีความ ซำ้� ซอ้ นกบั ตวั แปรตามในสว่ นของการประเมนิ ผลจงึ ไมไ่ ด้ 2. การสนบั สนนุ ทางสงั คมมคี วามสมั พนั ธท์ าง นำ� มาศกึ ษา บวกกบั การทำ� หนา้ ทด่ี า้ นรา่ งกายของผสู้ งู อายโุ รคหลอด เลือดสมอง ท้ังน้ีการศึกษาถึงการท�ำหน้าท่ีด้านร่างกาย ดังกล่าว พบว่า ยังขาดการศึกษาท่ีเฉพาะเจาะจงใน 3. เพศมีความสัมพันธ์กับการท�ำหน้าที่ด้าน กลุ่มผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองการศึกษาที่มุ่งเน้นไปท่ี ร่างกายของผูส้ งู อายุโรคหลอดเลือดสมอง กลุ่มผู้สูงอายุยังมีไม่ชัดเจนเป็นการศึกษากลุ่มอายุโดย รวมตั้งแต่ 18 ปขี ้ึนไป ทำ� ให้กลุม่ ผูป้ ่วยกลุม่ นี้อาจไมไ่ ด้ วิธีการด�ำเนนิ การวจิ ยั รับการพยาบาลท่ีตอบสนองตามความต้องการท่ีแท้จริง เพราะความต้องการการดูแลของผู้ป่วยแต่ละช่วงวัยมี การศึกษาครั้งน้ีเป็นการวิจัยเชิงบรรยายเพื่อ ความแตกตา่ งกนั ดังน้ัน การศกึ ษาถงึ การท�ำหน้าทดี่ า้ น หาความสัมพันธ์ (Descriptive correlation research) รา่ งกายและปจั จยั ทม่ี คี วามสมั พนั ธก์ บั การทำ� หนา้ ทดี่ า้ น รา่ งกายของผสู้ งู อายโุ รคหลอดเลอื ดสมอง จงึ มปี ระโยชน์ ประชากร คอื ผู้ทม่ี ีอายเุ กิน 60 ปบี ริบูรณ์ข้นึ อยา่ งยง่ิ ในการพัฒนาแนวทางและวางแผนการพยาบาล ไป ท้ังเพศหญิงและเพศชายที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น ร่วมกับการรักษาให้เหมาะสมกับบริบทผู้ป่วยสูงอายุใน โรคหลอดเลือดสมองท่ีมารับการรักษาแผนกผู้ป่วยนอก การฟ้ืนฟกู ารทำ� หนา้ ทข่ี องร่างกายภายหลังการเจ็บปว่ ย โรงพยาบาลตติยภูมิในเขตกรุงเทพมหานคร และท�ำให้ผู้สูงอายุสามารถช่วยเหลือตนเองในการท�ำ กจิ วตั รประจ�ำวนั ได้และดำ� เนินชีวติ อยา่ งมคี วามสุข กลุ่มตวั อยา่ ง คือ ผู้ที่มอี ายุเกิน 60 ปีบริบรู ณ์ ขนึ้ ไป ทง้ั เพศหญงิ และเพศชายทไ่ี ดร้ บั การวนิ จิ ฉยั วา่ เปน็ โรคหลอดเลอื ดสมองทมี่ ารบั การรกั ษาประเภทผปู้ ว่ ยนอก หน่วยตรวจโรคอายุรกรรม หน่วยตรวจโรคศัลยกรรม และหน่วยตรวจเวชศาสตร์ฟื้นฟู 2 โรงพยาบาล ได้แก่ โรงพยาบาลราชวิถี และโรงพยาบาลศิริราช โดยมีวิธี การดำ� เนินการเลอื กกลมุ่ ตัวอย่างดงั น้ี
วารสารพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั ปที ี่ 31 ฉบบั ท่ี 3 กนั ยายน - ธันวาคม 2562 91 1. ก�ำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง ตามวิธีการ 2. มีแขนขาออ่ นแรงครง่ึ ซีก Motor power ค�ำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างของ Thorndike14 จากการ grade 1- 4 ในดา้ นที่อ่อนแรง ค�ำนวณได้ขนาดกลุ่มตัวอย่าง 110 คน และพิจารณา เพิ่มขนาดกลุ่มตัวอย่างเพื่อป้องกันการสูญหายและการ 3. สอ่ื สาร โดยถามและตอบเปน็ ภาษาไทยได้ ผิดพลาดของการเก็บข้อมูลอีกร้อยละ 10 ได้ขนาด 4. สมคั รใจและยนิ ยอมใหค้ วามรว่ มมอื ในการ ของกลมุ่ ตัวอยา่ ง คือ 121 คน วิจยั เกณฑ์การคดั ออก (Exclusion criteria) 2. การสุ่มกลุ่มตัวอย่าง ใช้การสุ่มตัวอย่าง 1. มีภาวะวิกฤตระหว่างเก็บรวบรวม แบบง่าย (Simple random sampling) ดังนี้ 1) แบ่ง ข้อมลู เช่น อาการชัก หมดสติ สังกดั ของโรงพยาบาลในเขตกรุงเทพมหานคร ออกเป็น 4. สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive 5 สงั กดั ประกอบดว้ ย สงั กดั กระทรวงกลาโหม สงั กดั กรม sampling) ตามคุณสมบัติที่ก�ำหนดไว้ จากผู้ป่วยโรค การแพทย์ กระทรวงสาธารณสขุ สงั กดั กรงุ เทพมหานคร หลอดเลอื ดสมองตบี และแตกจากโรงพยาบาลทงั้ 2 แหง่ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการและสังกัดองค์กรการกุศล โดยเก็บข้อมลู ระหว่างวันท่ี 1 ธนั วาคม พ.ศ. 2561 ถงึ 2) สมุ่ สงั กดั โรงพยาบาล โดยสุ่มมา 2 สังกดั จาก 5 สังกัด วนั ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 และเก็บขอ้ มูลจนครบ ใช้การสุ่มอย่างง่ายด้วยการจับฉลากแบบไม่แทนท่ี จ�ำนวนที่ต้องการ (Selection without replacement) ได้โรงพยาบาล ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการและสังกัดกรมการแพทย์ เคร่อื งมอื ท่ใี ช้ในการวจิ ยั กระทรวงสาธารณสุข สุ่มโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ ในสังกัดทั้ง 2 สังกัด สุ่มสังกัดละ 1 โรงพยาบาล โดย 1. แบบบันทึกข้อมูลทั่วไป เป็นแบบบันทึก การจับฉลากแบบไม่แทนที่ ได้แก่ โรงพยาบาลศิริราช ขอ้ มูลของผูป้ ่วยหลังเกดิ โรคหลอดเลือดสมอง ประกอบ และโรงพยาบาลราชวถิ ี ดว้ ย เพศ อายุ รายได้ สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา โรคประจ�ำตวั และระยะเวลาการเกิดโรค 3. กำ� หนดขนาดกลมุ่ ตวั อยา่ งแตล่ ะโรงพยาบาล ดงั นี้ 2. แบบสอบถามการสนับสนุนทางสังคม ผู้วิจัยดัดแปลงมาจากแบบสอบถามแรงสนับสนุนทาง จ�ำนวนกลุ่มตัวอย่างจ�ำแนกตาม รพ. = สังคมของ Arsanok15 ท่ีแปลมาจาก The Personal จำ� นวนกลมุ่ ตวั อยา่ ง (121) x จำ� นวนประชากรแตล่ ะ รพ. Resource Questionnaire (PRQ 85: Part 2) ของ Brandt และ Weinert16ประกอบด้วย 5 ด้าน คอื ด้าน จ�ำนวนประชากรทง้ั หมด (420) ความใกลช้ ดิ ผกู พนั ดา้ นความชว่ ยเหลอื ในขอ้ มลู ขา่ วสาร ไดก้ ลมุ่ ตวั อยา่ งจากโรงพยาบาลศริ ริ าช 66 คน ด้านอารมณ์และด้านวัตถุ การรับรู้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของ และโรงพยาบาลราชวถิ ี 55 คน สงั คม ดา้ นการรบั รคู้ ณุ คา่ ในตนเอง ลกั ษณะแบบสอบถาม เกณฑ์ในการคัดเลือกผู้เข้าร่วมการวิจัย เป็นแบบมาตรฐานส่วนประมาณค่า (Rating scale) 6 (Inclusion criteria) ดังน้ี ระดับ จำ� นวน 15 ขอ้ แปลผลคะแนน ดา้ นบวก ไม่เห็น 1. ไดร้ บั การวนิ จิ ฉยั ครงั้ แรกวา่ เปน็ โรคหลอด ด้วยมาก (1)-เห็นด้วยมาก (6) ด้านลบกลับคะแนน เลือดสมองท้ังชนิดตีบและชนิดแตกท่ีได้รับการรักษาจน การแปลผลใช้คะแนนเฉล่ีย แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ พ้น Acute stage เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 2 สปั ดาห์ การสนับสนุนทางสังคมอยู่ในระดับต�่ำ (1.00-2.66) ขน้ึ ไปภายหลังจากเกิดโรค การสนบั สนนุ ทางสงั คมอยใู่ นระดบั ปานกลาง (2.67-4.33)
92 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 การสนบั สนนุ ทางสงั คมอย่ใู นระดบั สงู (4.34-6.00) ประกอบดว้ ย 10 กิจกรรม ได้แก่ การรับประทานอาหาร 3. แบบประเมนิ การรคู้ ดิ ผวู้ จิ ยั ใชแ้ บบทดสอบ การหวผี ม การลกุ จากทน่ี อน การใชห้ อ้ งสขุ า การควบคมุ การขับถ่ายอุจจาระ การควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะ สมรรถภาพสมองเบอ้ื งตน้ (Mini-mental examination- การอาบนำ้� การ สวมใส่เส้อื ผ้า การเคลอื่ นทภี่ ายในบา้ น thai version 2002 หรือ MMSE ฉบับภาษาไทย) ที่ และการขึ้นลงบันได 1 ขั้น ดัชนีการช่วยเหลือตนเอง คณะกรรมการจดั ทำ� แบบประเมนิ สมรรถภาพสมองเบอื้ ง (Intraclass correlation coefficient: ICC เทา่ กบั 0.87) ตน้ สถาบนั เวชศาสตรผ์ สู้ งู อายุ กรมการแพทย์ กระทรวง และดชั นกี ารเคลอื่ นไหว (ICC เทา่ กบั 0.86) แบบสอบถาม สาธารณสุข แปลมาจากแบบประเมิน MMSE ของ มีทงั้ หมด 10 ขอ้ คะแนนรวม 0-20 คะแนน เกณฑ์การ Folstein และคณะ17 ประกอบด้วยการประเมิน 6 ดา้ น แปลผล ดังนี้ ช่วยเหลือตนเองในการท�ำกิจกรรมไม่ได้ คือ การรับรู้เวลาสถานที่ (Orientation) การจดจ�ำ (0-4 คะแนน) ชว่ ยเหลอื ตนเองในการทำ� กจิ กรรมไดน้ อ้ ย (Registration) ความต้ังใจ (Attention) การค�ำนวณ (5-8 คะแนน) ชว่ ยเหลอื ตนเองในการทำ� กจิ กรรมไดป้ าน (Calculation) การใช้ภาษา (Language) และการระลกึ กลาง (9-12 คะแนน) ชว่ ยเหลอื ตนเองในการทำ� กจิ กรรม ได้ (Recall) มีค�ำถามจ�ำนวน 11 ข้อใหญ่ แต่ละข้อ ไดด้ ี (12-20 คะแนน) มีข้อค�ำถามย่อย รวมท้ังหมด 30 ข้อ การแปลคะแนน ตอบถกู ไดข้ อ้ ละ 1 คะแนน คะแนนรวม 30 คะแนน แปล การตรวจสอบคณุ ภาพเคร่ืองมอื ผลจุดตัดส�ำหรับคะแนนที่สงสัยการท�ำหน้าที่ด้านรู้คิด บกพร่อง คือ ไมไ่ ดเ้ รียนหนังสือ (อา่ นไมอ่ อก เขยี นไมไ่ ด)้ ตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมือโดยน�ำแบบสอบ จุดตดั ≤ 14 เรียนระดบั ประถมศกึ ษา จดุ ตดั ≤ 17 เรยี น ถามการสนับสนุนทางสังคมไปให้ผู้ทรงคุณวุฒิจ�ำนวน ระดบั สูงกวา่ ประถมศกึ ษา จุดตดั ≤ 22 5 ท่าน ตรวจสอบความตรงตามเน้ือหา ได้ค่าดชั นคี วาม ตรงตามเนื้อหา เท่ากับ 0.92 แลจากน้ันตรวจสอบ 4. แบบประเมนิ ภาวะซมึ เศรา้ ผวู้ จิ ยั ใชแ้ บบ คุณภาพเคร่ืองมือด้านความเที่ยง โดยการน�ำแบบสอบ วัดภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุไทย (Thai geriatric ถามไปทดลองใช้กับผู้สูงอายุโรคหลอดเลือดสมองที่มี depression scale: TGDS) ทก่ี ลมุ่ ฟน้ื ฟสู มรรถภาพสมอง คณุ สมบตั ิเชน่ เดยี วกบั กลมุ่ ตัวอยา่ ง จำ� นวน 30 คน และ ของไทยแปลมาจากแบบประเมนิ Geriatric depression ค�ำนวณหาความเที่ยงโดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟา- scale (GDS) ของ Yesavage และคณะ18 แบบสอบถาม ครอนบาค (Cronbach’s alpha coefficient) ได้ค่า มีทัง้ หมด 30 ข้อมาตรประเมินแบบถูกผิด เกณฑ์การคิด ความเท่ียงของแบบสอบถามการสนับสนุนทางสังคม คะแนนข้อ 1, 5, 7, 9, 15, 19, 21, 27, 29, 30 ถา้ ตอบ เทา่ กับ 0.71 แบบประเมนิ การรูค้ ิด เทา่ กับ 0.83 แบบ ว่า “ไม่ใช่” ได้ 1 คะแนน ข้อที่เหลือถ้าตอบว่า “ใช่” ประเมนิ ภาวะซมึ เศรา้ เทา่ กบั 0.80 แบบประเมนิ การทำ� ได้ 1 คะแนน คะแนนรวม 0-30 คะแนน การแปลผล หนา้ ที่ดา้ นร่างกาย เทา่ กับ 0.91 แบง่ เปน็ 4 ระดบั คือ ไม่มีภาวะซมึ เศร้า (0-12 คะแนน) มคี วามเศรา้ เลก็ น้อย (13-18 คะแนน) มคี วามเศรา้ ปาน การพิทักษ์สทิ ธ์กิ ลุ่มตัวอย่าง กลาง (19-24 คะแนน) มีความเศร้ารุนแรง (25-30 คะแนน) การวิจัยคร้ังนี้ ผู้วิจัยขออนุมัติจากคณะ กรรมการการวิจัยและคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัย 5. แบบประเมนิ การทำ� หนา้ ทดี่ า้ นรา่ งกายของ ในคนโรงพยาบาลราชวิถี รหัสโครงการเลขท่ี 61182 ผู้สูงอายุโรคหลอดเลือดสมอง Jitapunkul7 แปลเป็น เอกสารเลขที่ 197/2561 ลง ณ วันที่ 14 พฤศจิกายน ภาษาไทยและปรับปรุงมากจากแบบประเมิน Barthel พ.ศ. 2561 และคณะกรรมการจรยิ ธรรมการวิจยั ในคน index ที่สร้างข้ึนโดย Mahoney และ Barthel19 คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลโรงพยาบาลศิริราช
วารสารพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั ปที ี่ 31 ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม 2562 93 หนังสือเลขท่ี COA no. Si 152/2019 ลง ณ วันท่ี 28 1. วิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล และวิเคราะห์ กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 ผู้วิจัยได้อธิบายวัตถุประสงค์ ปจั จัยคดั สรร ไดแ้ ก่ อายุ เพศ การสนับสนนุ ทางสงั คม และขั้นตอนในการเก็บรวบรวมข้อมูล กลุ่มตัวอย่างได้ ภาวะซมึ เศรา้ การรคู้ ดิ และการทำ� หนา้ ทดี่ า้ นรา่ งกาย โดย ตัดสนิ ใจเขา้ ร่วมการวจิ ยั ดว้ ยตนเอง ใช้สถติ เิ ชิงพรรณนา หาคา่ ความถ่ี ร้อยละ ค่าเฉล่ยี และ สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน การเก็บรวบรวมขอ้ มลู 2. วเิ คราะห์ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งอายุ ภาวะ เม่ือได้รับการอนุมัติให้เก็บรวบรวมข้อมูลจาก ซึมเศร้า การสนับสนุนทางสังคม และการบกพร่อง โรงพยาบาลทง้ั 2 แห่ง ผู้วิจัยติดต่อประสานกบั หวั หน้า ทางการรู้คิดและการท�ำหน้าที่ด้านร่างกายของผู้สูงอายุ หนว่ ยตรวจเพอ่ื ชแี้ จงวตั ถปุ ระสงคแ์ ละกำ� หนดวนั เขา้ เกบ็ โรคหลอดเลือดสมองด้วยสถิติสหสัมพันธ์เพียร์สัน ข้อมูล ผู้วิจัยด�ำเนินการเก็บข้อมูลด้วยตนเอง ก่อนเก็บ (Pearson’s product moment correlation) ขอ้ มลู ผวู้ จิ ยั แนะนำ� ตนเองและสรา้ งสมั พนั ธภาพกบั ผปู้ ว่ ย และญาติ ชี้แจงรายละเอียดการท�ำวิจัยวัตถุประสงค์ 3. วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง เพศกับ การวิจัย ข้ันตอนการด�ำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลและ การท�ำหน้าท่ีด้านร่างกายของผู้สูงอายุโรคหลอดเลือด ระยะเวลาที่เก็บข้อมูลการวิจัย ประโยชน์ของการวิจัย สมองดว้ ยสถติ ิไคสแควร์ (Chi square) และเปดิ โอกาสใหก้ ลมุ่ ตวั อยา่ งซกั ถามขอ้ สงสยั และตดั สนิ ใจ อยา่ งอสิ ระ เมอ่ื กลุ่มตัวอย่างยนิ ดเี ข้ารว่ มในการวจิ ัย ให้ ผลการวจิ ยั กลมุ่ ตวั อยา่ งอา่ นเอกสารชแ้ี จงขอ้ มลู และหนงั สอื ยนิ ยอม กลมุ่ ตวั อยา่ ง คอื ผสู้ งู อายโุ รคหลอดเลอื ดสมอง เข้าร่วมการวจิ ยั และลงช่อื ในใบยินยอมเข้ารว่ มการวจิ ยั จ�ำนวน 121คน พบว่า กลุ่มตัวอย่างเป็นเพศหญิงพอๆ หลังจากนั้นผู้วิจัยอธิบายรายละเอียดของแบบสอบถาม กับเพศชาย (60-61 คน) มอี ายุระหว่าง 60-69 ปี มาก แต่ละส่วนจนผู้เข้าร่วมวิจัยเข้าใจ ผู้วิจัยด�ำเนินการเก็บ ทสี่ ดุ ร้อยละ 62 ( = 68.60, SD.= 5.60) สถานภาพ ข้อมูล โดยอ่านแบบสอบถามให้กลุ่มตัวอย่างฟังและให้ สมรสคู่มีจ�ำนวนมากที่สุด จบการศึกษาระดับประถม กลุ่มตัวอย่างเลือกตอบ ใช้เวลาในการสอบถามกลุ่ม ศึกษา ร้อยละ 52.1 ประกอบอาชีพรับจา้ ง ร้อยละ 54.7 ตวั อยา่ งคนละประมาณ 30-45 นาที ผวู้ ิจยั เกบ็ รวบรวม สว่ นใหญม่ รี ายไดเ้ พยี งพอไมเ่ หลอื เกบ็ โรคประจำ� ตวั ทพ่ี บ ข้อมูลระหว่างเดือน ธันวาคม พ.ศ. 2561 ถึงเดือน มากท่ีสุด คือ โรคความดันโลหิตสูง ระยะเวลาการเจ็บ พฤษภาคม พ.ศ. 2562 โดยด�ำเนินการเก็บข้อมูลท่ี ป่วยภายหลังเกิดโรคหลอดเลือดสมองส่วนใหญ่อยู่ใน โรงพยาบาลราชวิถีในวันจันทร์ ถึง พฤหัสบดี เวลา ช่วง 1-6 เดอื น จำ� นวน 63 คน และพบผปู้ ่วยโรคหลอด 7.30-13.00 น. เรม่ิ เกบ็ ขอ้ มลู 1 ธ.ค. พ.ศ.2561 และเกบ็ เลอื ดสมองตีบมากทส่ี ุด จำ� นวน 95 คน ข้อมูลท่ีโรงพยาบาลศิริราชในวันจันทร์ พุธ พฤหัสบดี การทำ� หนา้ ทด่ี า้ นรา่ งกายของผสู้ งู อายเุ กดิ โรค และศกุ ร์ เวลา 7.30-12.00 น. เริม่ เก็บข้อมลู 15 ม.ี ค. หลอดเลอื ดสมองคะแนนโดยรวมอยใู่ นชว่ งการชว่ ยเหลอื พ.ศ. 2562 ตนเองในการทำ� กจิ กรรมไดม้ าก ( = 16.56, SD. = 4.11) การวเิ คราะห์ข้อมูล โดยท่ีการช่วยเหลือตนเองในการท�ำกิจกรรมได้มาก จำ� นวน 99 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 81.8 รองลงมา คือ ช่วย ผู้วิจัยน�ำข้อมูลที่ได้จากกลุ่มตัวอย่างมา เหลือตนเองในการท�ำกิจกรรมได้ปานกลางจ�ำนวน 12 วิเคราะห์ตามระเบียบวิธีวิจัยทางสถิติด้วยโปรแกรม คน ช่วยเหลือตนเองในการท�ำกิจกรรมได้น้อย จ�ำนวน คอมพวิ เตอร์สำ� เร็จรูป วิเคราะหข์ อ้ มูลดงั ต่อไปน้ี 8 คน และช่วยเหลือตนเองในการท�ำกิจกรรมไม่ได้ จ�ำนวน 2 คน ดงั ตารางที่ 1
94 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 ตารางที่ 1 จ�ำนวน ร้อยละ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของระดับการท�ำหน้าท่ีด้านร่างกายของผู้สูงอายุ ภายหลงั เกดิ โรคหลอดเลือดสมอง (n=121) คะแนนการท�ำหนา้ ท่ี จำ� นวน รอ้ ยละ SD. การท�ำหน้าที่ด้านรา่ งกาย ดา้ นร่างกาย 0-4 คะแนน 2 1.70 4.00 .000 การทำ� กจิ กรรมไม่ได้ 5-8 คะแนน 8 6.60 7.22 .926 การท�ำกจิ กรรมไดน้ ้อย 9-12 คะแนน 12 9.90 11.00 .853 การทำ� กจิ กรรมไดป้ านกลาง 13-20 คะแนน 99 81.80 18.21 2.017 การท�ำกิจกรรมไดม้ าก รวม 121 100 16.56 4.11 การทำ� กจิ กรรมได้มาก ตารางที่ 2 คา่ สมั ประสทิ ธ์ิสหสมั พันธร์ ะหว่าง อายุ การร้คู ิด ภาวะซมึ เศร้า และการสนับสนนุ ทางสงั คม กับ การทำ� หนา้ ท่ีดา้ นรา่ งกายของผสู้ ูงอายโุ รคหลอดเลือดสมอง ตัวแปรทีศ่ กึ ษา สัมประสทิ ธิส์ หสมั พนั ธ ์ p-value ระดบั ความสมั พนั ธ์ อาย ุ -.399 .000 ปานกลาง การรูค้ ิด .348 .000 ปานกลาง ภาวะซมึ เศร้า -.337 .000 ปานกลาง การสนับสนนุ ทางสงั คม .025 .790 ไมม่ ีความสมั พนั ธ์ กลมุ่ ตวั อยา่ งช่วงอายุ 60-69 ปี ส่วนใหญช่ ่วย ปานกลางและมาก กลมุ่ ตวั อยา่ งชว่ งอายนุ ต้ี อ้ งการความ เหลือตนเองในการท�ำกิจกรรมได้มาก จ�ำนวน 65 คน ช่วยเหลือด้านการอาบน�้ำ การข้ึนบันได และการควบ รองลงมา คอื ช่วยเหลือตนเองในการท�ำกิจกรรมได้ปาน ควบการถา่ ยอจุ จาระ กลางและน้อยตามล�ำดับ เม่ือพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า กิจกรรมท่ีกลุ่มตัวอย่างช่วงอายุนี้ต้องการความ กลุ่มตัวอย่างไม่มีผู้มีความบกพร่องด้านการ ช่วยเหลือมากท่ีสุด คือการอาบน�้ำ จ�ำนวน 11 คน รู้คิด โดยกลุ่มตัวอย่างท่ีมีการศึกษาระดับประถมศึกษา รองลงมา คือ การเขา้ หอ้ งน้�ำ การขึน้ บันได และการล้าง จำ� นวน 63 คน มคี ะแนนเฉลยี่ เทา่ กบั 24.43 (SD. = 3.13) หนา้ ตามลำ� ดบั ชว่ งอายุ 70-79 ปี กลมุ่ ตวั อยา่ งชว่ ยเหลอื และการศึกษาสูงกว่าประถมศึกษา จ�ำนวน 58 คน มี ตนเองในการท�ำไดก้ จิ กรรมไดม้ ากเป็นส่วนใหญ่ จำ� นวน คะแนนเฉลี่ยเท่ากบั 26.33 (SD. = 3.14) กล่มุ ตัวอย่าง 31 คน รองลงมา คือ ช่วยเหลือตนเองได้น้อย จำ� นวน ไมม่ ีภาวะซึมเศรา้ จ�ำนวน 104 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 86 5 คน และช่วยเหลือตนเองในการท�ำกิจกรรมไม่ได้ รองลงมา คือ มคี วามซมึ เศร้าเลก็ นอ้ ย จ�ำนวน 15 คน จ�ำนวน 2 คน กจิ กรรมที่กลุม่ ตวั อย่างช่วงอายุนต้ี อ้ งการ คดิ เปน็ รอ้ ยละ 12.4 และพบมซี มึ เศรา้ ปานกลาง จำ� นวน ความชว่ ยเหลอื มากทส่ี ดุ คอื การลา้ งหนา้ จำ� นวน 11 คน 2 คนคิดเป็นรอ้ ยละ 1.7 ตามล�ำดบั การสนบั สนนุ ทาง รองลงมา คอื การปสั สาวะ การอาบน้�ำ และการควบคุม สังคมของผู้สูงอายุภายหลังเกิดโรคหลอดเลือดสมอง การถ่ายอุจจาระตามล�ำดับ ช่วงอายุ 80 ปีข้ึนไป มี โดยรวมอยใู่ นระดบั สงู มคี ะแนนเฉลยี่ 4.66 (SD. = 0.47) จ�ำนวน 4 คนช่วยเหลือตนเองในการท�ำกิจกรรมได้ เม่ือพิจารณาจากรายด้านพบว่าส่วนใหญ่อยู่ในระดับสูง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111