Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คณะพยาบาลศาสตร์_ม.บูรพาปีที่28ฉบับที่2เม.ย-มิ.ย63

คณะพยาบาลศาสตร์_ม.บูรพาปีที่28ฉบับที่2เม.ย-มิ.ย63

Published by Sucheera Panyasai, 2020-09-17 23:34:59

Description: คณะพยาบาลศาสตร์_ม.บูรพาปีที่28ฉบับที่2เม.ย-มิ.ย63

Keywords: พยาบาล

Search

Read the Text Version

Effects of Infant Massage on Behavioral Pain Responses, Heart Rate and Oxygen Saturation in Newborn Undergoing Venipuncture Sureetorn Songklin, M.N.S1., Narumon Teerarungsikul, Ph.D.2* Abstract This quasi-experimental research aimed to study the effects of infant massage on behavioral pain responses, heart rate and oxygen saturation in newborns undergoing venipuncture. The sample included 30 newborns with a gestational age of 37-42 weeks admitted to the neonatal ward of Saraburi Hospital. Simple random sampling was used to select 30 newborns, divided equally into experimental and control groups. The control group received routine care and swaddling, while the experimental group received infant massage for two minutes before venipuncture. Data collection instruments were the infant massage program, demographic characteristics, heart rate and oxygen saturation record form, and the Neonatal Infant Pain Scale, which had a Cronbach’s alpha of .90. Data were analyzed using descriptive statistics and Independent t-tests. The results revealed that the mean scores of behavioral pain response in the experimental group immediately after undergoing infant massage and one minute later were significantly lower than those of the control group (t = -13.201, p < .05 and t = -3.154, p < .05) respectively. Heart rate and oxygen saturation were not significantly different between groups. These findings suggest that infant massage could be a practical nursing intervention to relieve pain among newborns undergoing venipuncture or other invasive hospital procedures. Keywords: behavioral pain responses, newborn, infant massage, venipuncture 1 Lecturer Faculty of Nursing Science, St. Theresa International College 2 Assistant Professor, Faculty of Nursing, Burapha University * Corresponding author e-mail: [email protected]

98 ผลของการนวดสัมผัสทารกต่อพฤติกรรมตอบสนองความปวด อตั ราการเต้นของหัวใจและ วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ ค่าความอมิ่ ตวั ของออกซิเจนในทารกแรกเกดิ ทไ่ี ด้รับการเจาะเลือดจากหลอดเลอื ดดา� สว่ นปลาย มหาวทิ ยาลัยบูรพา ความสา� คญั ของปญั หา (Joung & Cho, 2010) และการนวด (Massage) ซึ่งเป็น ทารกแรกเกิดเสี่ยงต่อการได้รับความเจ็บปวดจาก การกระตุ้นใยประสาทขนาดใหญ่ (Large fiber) ท่ีมีผล ทา� ใหป้ ระตคู วบคมุ ความปวดทไี่ ขสนั หลงั ปดิ ทา� ใหก้ ารรบั รู้ การท�าหัตถการเพ่ือการตรวจวินิจฉัย และได้รับการรักษา ความปวดลดลง (Field., Diego, & Hernandez-Reif, หัตถการท่ีพบบ่อย คือ การเจาะเลือดจากหลอดเลือดด�า 2007) นบั วา่ เปน็ วธิ ลี ดความปวดทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพในทารก ส่วนปลาย จากการศึกษาทารกแรกเกิดท่ีเข้ารับการรักษา แรกเกิด ซ่ึงการลดความปวดแต่ละวิธีตามที่กล่าวมาแล้ว ในหอผู้ป่วยวิกฤตทารกแรกเกิด พบว่า ทารกได้รับความ มีท้ังข้อดีและด้อย ดังน้ันการเลือกใช้จึงค�านึงถึงความ เจบ็ ปวดจากหตั ถการ เฉลย่ี วนั ละ 7.5-17.3 ครง้ั ตอ่ คนและ เหมาะสมกับสภาพของทารก ต่อวัน (Cruz, Fernandes, & Oliveira, 2016) ความปวด จะส่งผลกระทบตอ่ ทารกในดา้ นพฤติกรรม และสรรี วทิ ยา การนวดสัมผัส (Infant massage) เป็นวิธีหนึ่งท่ี การตอบสนองความปวดของทารกแรกเกิดไวต่อการตอบ ช่วยลดความปวด เป็นการกระตุ้นประสาทสัมผัสและการ สนองความปวดมากกว่าเดก็ และผูใ้ หญ่ (Gardner, Hines, เคลื่อนไหวที่มีรูปแบบชัดเจน โดยใช้เทคนิคการนวดคลึง & Agarwal, 2016) เม่ือทารกได้รับความปวดเฉียบพลัน กด บีบ และการเคล่ือนไหวแขนขา จากศีรษะถึงเท้า จะมกี ารตอบสนอง ทางดา้ นพฤตกิ รรม เชน่ การแสดงออก (Kulkarni, Kaushik, Gupta, Sharma, & Agrawal, 2010) ทางใบหนา้ เชน่ หนา้ นวิ่ หลบั ตาแนน่ ปกี จมกู บาน เกดิ รอย การนวดสัมผัสเพ่ือลดความเจ็บปวด เป็นการกระตุ้น ย่นของจมูกและริมฝีปาก ห่อลิ้น และคางสั่น เป็นต้น สัญญาณประสาทจากใยประสาทขนาดใหญ่ และปิดกั้น การเคลื่อนไหวของแขนขา การร้องไห้ การตื่นตัว และ สัญญาณประสาทจากใยประสาทขนาดเลก็ (Small fiber) ลกั ษณะการหายใจ หากไดร้ บั ความปวดเปน็ ระยะเวลานาน ทา� ใหป้ ระตปู ดิ ไมม่ กี ารนา� สญั ญาณขน้ึ ไปยงั สมองจงึ ไมเ่ กดิ จะมกี ารตอบสนองความปวดทางสรรี วทิ ยา และการเผาผลาญ การรับรคู้ วามปวด (Melzack, & Wall, 1965) จากการ ของรา่ งกาย เชน่ การลดลงของคา่ ความอม่ิ ตวั ของออกซเิ จน ศึกษาพบว่า ทารกท่ีได้รับการนวดสัมผัสมีการตอบสนอง ในเลอื ด (Hall & Anand, 2014) การเพม่ิ ของอตั ราการเตน้ ด้านพฤติกรรมต่อความปวด อตั ราการเต้นของหัวใจ และ ของหวั ใจ ความดันโลหติ และอตั ราการหายใจ อาจท�าให้ คา่ ความอม่ิ ตวั ของออกซเิ จนทเี่ ปลย่ี นแปลงจากปกติ ตา่� กวา่ ทารกหายจากโรคช้า มีการเจริญเติบโตช้า ซ่ึงมีผลต่อ ทารกท่ีไม่ได้รับการนวดสัมผัส (Hemkunakorn, 2000) พัฒนาการทางสมอง การเรียนรู้ และการจ�าของทารก สอดคลอ้ งกบั การศกึ ษาการนวดกอ่ นการเจาะเลอื ดในทารก (Bellieni, et al., 2009) เปน็ ต้น แรกเกิด พบว่า ทารกมคี วามปวดจากการเจาะเลือดลดลง (Chick, & Wan, 2011) และพบวา่ การตอบสนองความปวด เม่ือทารกได้รับความปวด ไม่สามารถบอกถึง ของทารกแรกเกดิ จะมกี ารเปลยี่ นแปลงสงู สดุ ในชว่ งนาทแี รก ความปวดท่ีเกิดขึ้นได้ พยาบาลจึงมีบทบาทส�าคัญใน หลงั ไดร้ บั การเจาะเลอื ด และจะคอ่ ย ๆ กลบั เชา้ สภู่ าวะปกติ การประเมินความปวดของทารก โดยการประเมินจาก ใน 3 นาที (Tantapong, 2000) ผลการวิจัยคร้ังน้ี การตอบสนองด้านพฤติกรรม และด้านสรีรวิทยาเพ่ือ ทา� การนวดสมั ผสั ในทารกแรกเกดิ ทไี่ ดร้ บั การเจาะเลอื ดจาก วางแผนให้การช่วยเหลือลดความปวดและความรุนแรงท่ี หลอดเลอื ดดา� สว่ นปลาย โดยใชแ้ นวคดิ ทฤษฎคี วบคมุ ประตู อาจเกดิ ขนึ้ กบั ทารก ดว้ ยการไมใ่ ชย้ าและใชย้ า และสว่ นใหญ่ ผลการวิจัยคาดว่าจะช่วยลดความปวดของทารกแรกเกิด ทารกมักไม่ได้รับยาหรือการบรรเทาความปวดขณะได้รับ ท่ีได้รับการเจาะเลือดส่วนปลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ หตั ถการตา่ ง ๆ การไมใ่ ชย้ าลดความปวด เปน็ วธิ ที พ่ี ยาบาล โดยวัดจากพฤติกรรมตอบสนองความปวด และสรีรวิทยา สามารถทา� ไดอ้ ย่างอสิ ระ ซงึ่ มหี ลายวธิ ี แต่ละวิธมี ขี ้อจา� กัด ไดแ้ ก่ อตั ราการเตน้ ของหวั ใจ ความอมิ่ ตวั ของออกซเิ จนใน ในการน�ามาใช้ในทารกแรกเกิด เช่น การห่อตัว (Sinpru, เลอื ดแดงของทารกแรกเกิด Tilokskulchai, Vichitsukon, & Boonyarittipong, 2009) การใช้จุกนมหลอก (Pinelli, Symington, & Ciliska, วัตถุประสงค์การวจิ ยั 2002) การดดู นมแม่ (Thongprong, Chaimongkol, & 1. เพอ่ื เปรยี บเทยี บคะแนนเฉลย่ี พฤตกิ รรมตอบสนอง Pongjaturawit, 2011) การใหส้ ารละลายรสหวานทางปาก Vปoีทl่ีu2m8eฉบ28ับทN่ีo2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

Effects of Infant Massage on Behavioral Pain Responses, Heart Rate The Journal of Faculty of Nursing 99 and Oxygen Saturation in Newborn Undergoing Venipuncture Burapha University ความปวดของทารกแรกเกดิ หลงั ไดร้ บั การเจาะเลอื ดทนั ท,ี ความอม่ิ ตวั ของออกซเิ จนในเลือดแดงเพ่ิมข้ึน 30วนิ าท,ี 1,2และ3นาทีระหวา่ งกลมุ่ ทดลองและกลมุ่ ควบคมุ วธิ ดี า� เนินการวจิ ยั 2. เพ่ือเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยอัตราการเต้น การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยก่ึงทดลอง (Quasi- ของหวั ใจของทารกแรกเกดิ หลังได้รบั การเจาะเลือดทันท,ี 30 วนิ าที, 1, 2 และ 3 นาที ระหว่างกลมุ่ ทดลองและกลมุ่ experimental research design) แบบสองกลุ่มวัดก่อน ควบคุม และหลังการทดลอง (Two-group pretest-posttest design) 3. เพื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉล่ียความอิ่มตัว ของออกซิเจนในเลือดแดงของทารกแรกเกิด หลังได้รับ ประชากร คือ ทารกแรกเกิดที่เข้ารับการรักษาใน การเจาะเลอื ดทนั ที, 30 วินาท,ี 1, 2 และ 3 นาที ระหวา่ ง หอผู้ป่วยทารกแรกเกดิ โรงพยาบาลสระบุรี กลมุ่ ทดลองและกลมุ่ ควบคมุ กลมุ่ ตวั อยา่ ง คดั เลอื กจากประชากร ซงึ่ มคี ณุ สมบตั ิ กรอบแนวคดิ ในการวิจยั ตามเกณฑ์ทกี่ �าหนด (Inclusion criteria) คอื อายคุ รรภ์ จากการทบทวนวรรณกรรมท่ีเกี่ยวข้องพบว่า แรกเกดิ 37-42 สปั ดาห์ น้�าหนกั อย่รู ะหว่าง 2,500-4,000 กรัม คะแนนแอพการ์ท่ี 1 นาทีแรกเกิดมากกว่า 7 และ กรอบแนวคดิ ทฤษฎคี วบคมุ ประตู (Gate control theory) นาทีท่ี 5 เทา่ กบั 10 ไมม่ คี วามพกิ ารแต่กา� เนิด ไม่มภี าวะ ของ Melzack and Wall (1965) ทก่ี ลา่ ววา่ กระแสประสาท เจ็บป่วยที่รุนแรง และทารกได้รับการเจาะเลือดจาก การน�าเข้าจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายจะถูกส่งไปปรับ หลอดเลือดด�าส่วนปลายครั้งแรกภายใน 48 ช่ัวโมงแรก สัญญาณท่ีไขสันหลังก่อนส่งต่อไปยังสมอง กลไกการปรับ หลังคลอด เกณฑ์การคัดกลุ่มตัวอย่างออก (Exclusion สัญญาณเรียกว่า ระบบควบคุมประตูซึ่งอยู่บริเวณ criteria) คือ ทารกไดร้ ับการเจาะเลอื ดเกนิ 1 คร้งั สบั สแตนเชียเจลาติโนสา (Substantia gelatinosa) ซ่งึ จะ ปรับสัญญาณน�าเข้าระหว่างกระแสประสาท 2 กลุ่ม คือ ขนาดของกลมุ่ ตวั อยา่ ง คา� นวณโดยใชข้ นาดอทิ ธพิ ล กระแสประสาทจากใยประสาทขนาดใหญ่ และใยประสาท (Effect size) ผูว้ จิ ัยเลอื กการศกึ ษาของ Chick and Wan ขนาดเล็ก เม่ือมีส่ิงกระตุ้นต่อร่างกายจะเกิดกระแส (2011) เนื่องจากเป็นงานวิจัยท่ีใกล้เคยี งกบั งานวิจัยครั้งนี้ ประสาทจากใยประสาทท้ังสองกลุ่ม ถ้ากระแสประสาท มากที่สุด เป็นการศึกษาการนวดสัมผัสบริเวณแขนต่อ จากใยประสาทขนาดเล็กมีมากกว่ากระแสประสาท ความปวดของทารกแรกเกิดที่ได้รับการเจาะเลือดได้ 0.4 จากใยประสาทขนาดใหญ่ สญั ญาณความปวดจะถกู สง่ ออก หลังจากนั้นเปิดตารางของขนาดกลุ่มตัวอย่างของ Polit จากระบบควบคุมประตูไปยังสมอง การเจาะเลือดจาก and Beck (2004) ประมาณจากคา่ ขนาดอิทธิพลของคา่ หลอดเลือดด�าส่วนปลายเป็นการกระตุ้นกระแสประสาท เฉลีย่ 2 กลุม่ โดยก�าหนดอ�านาจการทดสอบ (Power of จากใยประสาทขนาดเล็ก ซึ่งมีมากกว่ากระแสประสาท test) = .80 ระดับนัยส�าคัญที่ (α) = .05 ได้กล่มุ ตวั อย่าง จากใยประสาทขนาดใหญ่ จึงท�าใหเ้ กดิ การรับรู้ความปวด 28 คน การทดลองคร้ังนี้ กลุ่มตัวอย่างที่เก็บได้ทั้งหมด หากกระแสประสาทจากใยประสาทขนาดใหญ่มีมากกว่า 30 คน เพื่อป้องกันการสญู หายของกลมุ่ ตัวอยา่ ง กระแสประสาทจากใยประสาทขนาดเล็ก ระบบควบคุม ประตูจะปิดท�าให้ไม่มีสัญญาณน�าข้ึนไปยังสมอง ทารกจึง การคัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง โดยการสุ่มแบบง่าย ไม่เกิดการรับรู้ความปวด ดังน้ันการนวดสัมผัสซ่ึงเป็นการ วนั จนั ทร์ วันพุธ วันศกุ ร์ และวนั อาทิตย์ เป็นกลุ่มทดลอง ใช้แรงกด จะไปกระตนุ้ ใยประสาทขนาดใหญ่ ท�าให้ประตู วันอังคาร วันพฤหัสบดี และวันเสาร์ เป็นกลุ่มควบคุม ควบคุมความปวดท่ีไขสันหลังปิด สัญญาณความปวดจึง จากนนั้ จบั ฉลากหมายเลขผปู้ ว่ ยนอก (Hospital Number) ไมส่ ง่ ผา่ นไปยงั สมอง การรบั รคู้ วามปวดของทารกจงึ ลดลง ท่ีลงท้ายดว้ ยเลขค่เี ปน็ กลมุ่ ทดลองและกลุ่มควบคมุ วนั ละ ท�าให้มีผลต่อพฤติกรรมการตอบสนองความปวดลดลง 2 ราย ตามวันท่กี า� หนดกลมุ่ ละ 15 ราย รวมเป็น 30 ราย และสรีรวิทยาได้แก่ อัตราการเต้นของหัวใจลดลง และ เครอ่ื งมอื ที่ใช้ในการวจิ ยั เคร่อื งมอื ทใ่ี ช้ในการวจิ ัยประกอบดว้ ย 2 สว่ น ดังน้ี 1. เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มูล ได้แก่ Vปoีทl่ีu2m8eฉบ28ับทN่ีo2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

100 ผลผขลอขงอกงากรานรวนดวสดัมสผัมัสผทัสาทรากรตกอ่ตพ่อฤพตฤิกตรกิ รรมรตมอตบอสบนสอนงอคงวคาวมาปมวปดวดอัตอรตั ารกาากราเรตเ้นตขน้ อขงอหงัวหใวัจใแจลแะละ วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ ค่าคคา่ วคาวมาอม่มิอตมิ่ วัตขวั อขงอองอกอซกิเซจิเนจในนใทนาทรากรแกรแกรเกกเิดกทิด่ไีทดไี่ ้รดับ้รกับากราเรจเาจะาเะลเือลดือจดาจกาหกลหอลดอเดลเอืลดือดา�ดสา� ว่สนว่ ปนลปาลยาย มหาวทิ ยาลัยบรู พา 1.1 แบบบันทึกข้อมูลท่ัวไปของทารก นวดแตล่ ะส่วนนาน 30 วนิ าที 1.2 แบบประเมินพฤติกรรมการตอบสนอง 2.3 ขั้นตอนที่ 3 นวดบรเิ วณล�าตัว อก และ ความปวดของทารกแรกเกิด (Neonatal Infant Pain Scale: NIPS) ของ Lawrence และคณะ (Lawrence, et ท้อง โดยใหท้ ารกนอนท่าหงาย เร่ิมนวดจากลา� ตัว อก และ al., 1993) ฉบบั ดดั แปลงโดย จนั ทรฉ์ าย ทองโปรง่ และ ท้อง นวดอวัยวะแต่ละส่วนซ้�า 5 ครั้ง และใช้เวลานวด คณะ (Thongprong, et al., 2011) ซ่ึงแบ่งพฤติกรรม แตล่ ะส่วนนาน 30 วนิ าที การตอบสนองตอ่ ความปวดเปน็ 5 ดา้ นไดแ้ ก่ การแสดงออก ทางใบหนา้ การรอ้ งไห้ การหายใจ การเคลอ่ื นไหวของแขน 2.4 ขน้ั ตอนที่ 4 นวดขา และเทา้ โดยใหท้ ารก ขา และการต่ืนตัว ค่าคะแนนในแต่ละด้าน 0-2 คะแนน นอนทา่ หงาย เรม่ิ นวดจากขาซา้ ยดา้ นในและดา้ นนอก ขาขวา รวมท้ังหมดอยู่ระหว่าง 0-10 การแปลผลคะแนน ค่า ดา้ นในและด้านนอก และการลูบฝ่าเทา้ นวดอวยั วะแตล่ ะ คะแนนยง่ิ สงู แสดงวา่ ทารกมคี วามปวดมาก และคา่ คะแนน ส่วนซ้�า 5 คร้งั และใช้เวลานวดแตล่ ะส่วนนาน 30 วนิ าที ย่งิ ต่า� แสดงวา่ ทารกมคี วามปวดนอ้ ย 1.3 เครอ่ื งบนั ทกึ วดี ทิ ศั นจ์ า� นวน 2 เครอ่ื ง โดย 2.5 ขัน้ ตอนที่ 5 นวดหลงั เอว และกน้ โดย ใชเ้ ปน็ เครอื่ งมอื ในการบนั ทกึ ภาพพฤตกิ รรมการตอบสนอง ทารกนอนท่าคว�่า เริ่มนวดจากหลัง เอว ก้นและแก้มก้น ความปวดของทารกแรกเกิด ในระยะก่อนการเจาะเลือด นวดอวยั วะแตล่ ะสว่ นซา�้ 5 ครง้ั และใชเ้ วลานวดแตล่ ะสว่ น ขณะเจาะเลอื ด และภายหลงั ทท่ี ารกแรกเกดิ ไดร้ บั การเจาะ นาน 15 วินาที เลอื ดจากเส้นเลอื ดดา� สว่ นปลาย 2. เคร่ืองมือทใี่ ชใ้ นการทดลอง คอื คมู่ อื การนวด การตรวจสอบคุณภาพของเคร่อื งมอื การวิจยั สมั ผสั โดยผวู้ จิ ยั ไดส้ รา้ งขน้ึ ตามแนวคดิ ทฤษฎคี วบคมุ ประตู การตรวจสอบความตรงตามเนื้อหา (Content ปวด (Melzack, & Wall, 1965) และการประยกุ ตจ์ ากคมู่ อื validity) การนวดสมั ผัสทารก (Pimpat, 2009) ร่วมกับการทบทวน ผู้วิจัยน�าคู่มือการนวดสัมผัสทารกท่ีสร้างข้ึน ไป วรรณกรรมที่เก่ียวข้อง เนื้อหาประกอบด้วยการเตรียม ตรวจสอบความตรงของเน้ือหา โดยผู้ทรงคุณวุฒิจ�านวน ก่อนการนวด ข้อปฏิบัติ ข้อห้ามในการนวด และขั้นตอน 5 ท่าน ประกอบด้วย อาจารย์พยาบาลผู้มีประสบการณ์ การนวด โดยนวดสมั ผัสทารกเปน็ ระยะเวลา 15 นาทกี อ่ น ด้านการนวดสัมผัสทารกจ�านวน 1 ท่าน พยาบาลผู้มี การเจาะเลอื ด 2 นาที ขนั้ ตอนการนวดสมั ผสั ทารกเรม่ิ นวด ประสบการณ์ด้านการนวดสัมผัสทารกจ�านวน 1 ท่าน ตงั้ แตศ่ รี ษะ ใบหนา้ ไหล่ แขน ลา� ตวั หนา้ อก ทอ้ ง ขา ฝา่ เทา้ อาจารย์พยาบาลผู้มีประสบการณ์การดูแลทารกจ�านวน และแผ่นหลัง ตามล�าดับ การนวดสัมผสั ทารกจะนวดโดย 2 ทา่ น และกมุ ารแพทย์ จา� นวน 1 ทา่ น แลว้ นา� มาปรบั ปรงุ การสัมผัส แตะต้องลูบไล้ตามร่างกายอย่างนุ่มนวล และ แก้ไขตามค�าแนะน�าของผู้ทรงคุณวุฒิ ในเรื่องระยะเวลา นวดดว้ ยนา�้ หนกั เบาใชเ้ พยี งนวิ้ มอื และมอื ในการนวดเทา่ นน้ั การนวดทเี่ หมาะสมเพอื่ ไมใ่ หท้ ารกเกดิ ความเครยี ดมากขนึ้ มี 5 ขนั้ ตอน แตล่ ะขน้ั ตอนของการนวดจะทา� ซา�้ ขนั้ ตอนละ การตรวจสอบความเชือ่ มน่ั (Reliability) 5 ครั้ง จนครบ รวมระยะเวลาในการนวด 15 นาที ดงั นี้ แบบประเมินพฤติกรรมการตอบสนองความปวด 2.1 ขนั้ ตอนที่ 1 นวดใบหนา้ โดยใหท้ ารกนอน ของทารกแรกเกิด (NIPS) ของ Lawrence และคณะ ทา่ หงาย เริ่มนวดจากหน้าผาก แก้ม คาง และบรเิ วณใบหู (1993) ฉบบั ดัดแปลงโดย Thongprong, Chaimongkol, นวดอวยั วะแตล่ ะสว่ นซา้� 5 ครง้ั และใชเ้ วลานวดแตล่ ะสว่ น & Pongjaturawit (2011) ซ่ึงผ่านการตรวจสอบความ นาน 30 วินาที เชอ่ื มน่ั โดยใชส้ มั ประสทิ ธอ์ิ ลั ฟา่ ของครอนบาคแลว้ ไดเ้ ทา่ กบั 2.2 ขั้นตอนที่ 2 นวดบริเวณไหล่ แขน มือ .95 และนา� ไปทดลองใชก้ บั ทารกคลา้ ยกลมุ่ ตวั อยา่ ง จา� นวน และนว้ิ มอื โดยใหท้ ารกนอนทา่ หงาย เรมิ่ นวดจากไหล่ แขน 20 ราย โดยหาคา่ interrater ระหวา่ งผวู้ จิ ยั และผชู้ ว่ ยวจิ ยั มอื และนว้ิ มอื นวดอวยั วะแตล่ ะสว่ นซา�้ 5 ครงั้ และใชเ้ วลา ไดเ้ ทา่ กบั 1 แลว้ นา� ขอ้ มลู ทไี่ ดม้ าวเิ คราะหค์ วามเชอื่ มนั่ โดย ใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficiency) ได้เท่ากบั .90 การพิทักษ์สทิ ธิของกลมุ่ ตัวอยา่ ง โครงการวจิ ยั นไี้ ดผ้ า่ นการรบั รองจากคณะกรรมการ Vปoีทl่ีu2m8eฉบ28ับทNี่o2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

Effects of Infant Massage on Behavioral Pain Responses, Heart Rate ThTeheJoJuorunranlaol foFfaFcauclutyltyofoNf uNrusrinsigng 101 and Oxygen Saturation in Newborn Undergoing Venipuncture BuBruarpahpahaUnUinvievresritsyity พจิ ารณาจรยิ ธรรมการวจิ ยั ในมนษุ ยข์ องคณะพยาบาลศาสตร์ สองตัว กล้องตัวแรกอยู่ในต�าแหน่งท่ีสามารถจับภาพ มหาวิทยาลัยบูรพา (02-07-2556) และคณะกรรมการ ทารกแรกเกิดได้อย่างชัดเจน กล้องตัวท่ีสองบันทึกภาพ จริยธรรมโรงพยาบาลสระบุรี (EC033/02/2012) ผู้วิจัย การเปลยี่ นแปลงของอตั ราการเต้นของหัวใจ และค่าความ ขออนุญาตบิดา มารดาของกลุ่มตัวอย่างโดยชี้แจง อ่ิมตัวของออกซิเจนในเลือดจากเคร่ืองพัลส์ออกซิมิเตอร์ฅ วัตถุประสงค์ วธิ ีการวิจัย ขัน้ ตอนการนวดสัมผสั ข้ันตอน ให้ชัดเจนที่สุด ติดเลขที่ของกลุ่มตัวอย่างท่ีเครื่องพัลส์ การทดลองและการปอ้ งกนั ความเสย่ี งทอ่ี าจเกดิ ขนึ้ เพอ่ื ให้ ออกซมิ เิ ตอร์ เพอื่ บนั ทกึ ลงในภาพ บนั ทกึ วดี ทิ ศั นพ์ ฤตกิ รรม บิดา มารดามั่นใจว่าทารกในกลุ่มทดลองจะไม่ได้รับ การตอบสนองความปวดของทารกแรกเกดิ การเปลยี่ นแปลง อันตรายจากการนวดสัมผัส โดยท�าการนวดทารกท่ีเป็น ของอัตราการเต้นของหัวใจ และค่าความอิ่มตัวของ กลมุ่ ตวั อยา่ งดว้ ยตนเองตามหลกั วชิ าการทถ่ี กู ตอ้ งและนวด ออกซิเจนในเลือดจากเครื่องพัลส์ออกซิมิเตอร์ของทารก ดว้ ยความระมดั ระวงั จากนน้ั เปดิ โอกาสใหบ้ ดิ า และมารดา อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง เป็นผู้ตัดสินใจด้วยตนเองในการอนุญาตให้ทารกเข้าร่วม หรือปฏิเสธการให้เข้าร่วมการวิจัยครั้งนี้โดยจะไม่มีผล 1.3.3 เตรียมสถานท่ีนวดในหอผู้ป่วย กระทบใด ๆ ตอ่ การดแู ลรกั ษา ขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากกลมุ่ ตวั อยา่ ง ทารกแรกเกิด ให้อบอุน่ ไม่หนาวหรอื รอ้ นจนเกนิ ไป และ จะถือเปน็ ความลับ ในการรวบรวมข้อมูลจะไม่ระบุชือ่ หรือ เตรียมอุปกรณ์การนวด ใช้แป้งและน�้ามันส�าหรับทามือ ทอี่ ยขู่ องกลมุ่ ตวั อยา่ ง โดยนา� ไปวเิ คราะหข์ อ้ มลู ในภาพรวม ชนดิ เดยี วกบั ทท่ี ารกใชอ้ ยเู่ ปน็ ประจา� เพอ่ื ปอ้ งกนั ไมใ่ หเ้ กดิ เพอื่ แสดงผลการวจิ ยั เทา่ นน้ั เมอื่ บดิ า มารดายนิ ยอมใหบ้ ตุ ร อาการแพ้บรเิ วณผวิ หนงั ของทารก เขา้ เป็นกลุ่มตัวอย่างแลว้ จึงใหล้ งนามในใบยินยอม 2. ขนั้ ด�าเนินการ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 2.1 ก่อนการเจาะเลือด ผวู้ จิ ยั ดา� เนนิ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ดว้ ยตนเอง โดย 2.1.1 ประเมินค่าพื้นฐาน พฤติกรรม มผี ชู้ ว่ ยวจิ ยั 1 คน เปน็ พยาบาลผเู้ ชย่ี วชาญในการเจาะเลอื ด ทารกแรกเกิด โดยผู้วิจยั ด�าเนินการ ดังต่อไปนี้ การตอบสนองความปวดของทารกแรกเกดิ ของกลมุ่ ทดลอง 1. ขัน้ เตรียมการ และกลมุ่ ควบคมุ โดยดจู ากจอภาพทบี่ นั ทกึ ดว้ ยกลอ้ งวดี ทิ ศั น์ ในระยะทารกสงบก่อนการทดลอง 1 นาที 1.1 การเตรียมความพร้อมของผู้วิจัยในการ นวดสมั ผสั ทารก ผวู้ จิ ยั ไดศ้ กึ ษาการนวดทารกกบั ผเู้ ชยี่ วชาญ 2.1.2 ท�าการทดลอง โดยแบ่งเป็น จากโรงเรยี นแพทยแ์ ผนโบราณวดั พระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม กลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง คือ กลุ่มควบคุม ผู้วิจัย โดยผา่ นการศกึ ษาเกยี่ วกบั การนวดพน้ื ฐาน 60 ชว่ั โมง เปน็ ให้การพยาบาลตามปกติก่อนการเจาะเลือดทารกจาก ระยะเวลา 10 วัน การนวดทารกและเด็ก 4 วนั ฝึกปฏิบตั ิ หลอดเลอื ดดา� สว่ นปลาย โดยวธิ กี ารหอ่ ตวั จบั แขนขา้ งหนง่ึ การนวดทารกจนเกดิ ความชา� นาญ จากนั้นจะทดลองนวด วางแนบล�าตวั สว่ นแขนอกี ข้างหนงึ่ กางออก และใหท้ ารก ทารกทมี่ ีลักษณะคลา้ ยกลุม่ ตัวอย่างจา� นวน 10 ราย นอนนง่ิ ๆ นาน 2 นาที จงึ ทา� การเจาะเลอื ดจากหลอดเลอื ด ด�าส่วนปลาย ส่วนกลุ่มทดลองผู้วิจัยเร่ิมนวดทารก 1.2 ผู้วิจัยสุ่มตัวอย่างเข้ากลุ่มทดลอง และ ตามคู่มือการนวดสัมผัสทารกใช้เวลาในการนวด 15 นาที กลุ่มควบคุม ตามเกณฑ์ท่ีก�าหนดจนครบตามจ�านวน คือ จากนน้ั ห่อตวั ทารกไว้ 2 นาที แล้วจงึ ทา� การเจาะเลอื ดจาก กลมุ่ ละ 15 ราย หลอดเลอื ดดา� ส่วนปลาย 1.3 ผู้วิจยั ดา� เนินการกบั กลมุ่ ตวั อยา่ ง ซง่ึ แบ่ง 2.2 ระยะการเจาะเลอื ด กลมุ่ ออกเปน็ กลุ่มทดลองและกล่มุ ควบคมุ ดงั น้ี กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ได้รับการเจาะเลือด จากหลอดเลอื ดดา� สว่ นปลายจากพยาบาลผเู้ ชย่ี วชาญ โดย 1.3.1 บนั ทกึ ขอ้ มลู ตามแบบบนั ทกึ ขอ้ มลู เช็ดผิวหนังบริเวณหลังมือของทารกแรกเกิด ตรงต�าแหน่ง ทวั่ ไปจากรายงานประวตั ทิ ารก เส้นเลือดด�าที่ต้องการเจาะด้วยส�าลีชุบแอลกอฮอล์ 70% แล้วใช้เข็มเบอร์ 25 แทงลงท่ีเส้นเลือดด�า จนกระทั่ง 1.3.2 ติดต้ังกล้องบันทึกวีดีทัศน์บริเวณ ปดิ พลาสเตอรเ์ สร็จนานไมเ่ กิน 1-2 นาที โดยมกี ารบันทกึ ท่ีท�าการทดลองในหอผู้ป่วยทารกแรกเกิด โดยใช้กล้อง Vปoีทlี่u2m8eฉบ28ับทN่ีo2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

102 ผลผขลอขงอกงากรานรวนดวสดัมสผมั สัผทสั าทรากรตกอ่ตพ่อฤพตฤิกตรกิ รรมรตมอตบอสบนสอนงอคงวคาวมาปมวปดวดอัตอรตั ารกาากราเรตเน้ตข้นอขงอหงัวหใวัจใแจลแะละ วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ คา่คคา่ วคาวมาอมม่ิอต่มิ ัวตขวั อขงอองอกอซกิเซจเินจในนใทนาทรากรแกรแกรเกกเิดกทิด่ีไทด่ีไร้ดับ้รกับากราเรจเาจะาเะลเอืลดือจดาจกาหกลหอลดอเดลเอืลดือด�าดสา� ว่สนว่ ปนลปาลยาย มหาวิทยาลัยบรู พา วีดิทศั น์ตัง้ แต่เรมิ่ ต้นทดลองจนกระทัง่ สนิ้ สดุ การทดลอง คะแนน (ร้อยละ 100) และที่ 5 นาที เท่ากับ 10 คะแนน 2.3 ระยะหลงั การเจาะเลือด (รอ้ ยละ 100) อายคุ รรภเ์ ฉลย่ี 38.46 สปั ดาห์ (S.D. = 1.06) และน�า้ หนกั แรกเกดิ เฉลยี่ 3,081.33 กรัม (S.D. = 752) ผู้วิจัยน�าแถบบันทึกวีดิทัศน์มาเปิดดูจากจอภาพ ท�าการประเมินการตอบสนองความปวดของทารกโดยใช้ กลุม่ ควบคมุ ส่วนใหญ่ เปน็ เพศหญงิ (รอ้ ยละ 60) แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการตอบสนองความปวดของทารก คะแนนแอพการท์ ี่ 1 นาที เท่ากับ 9 คะแนน (รอ้ ยละ 100) แรกเกิด (Neonatal Infant Pain Scale: NIPS) ท่รี ะยะ และที่ 5 นาที เทา่ กบั 10 คะแนน (รอ้ ยละ 100) อายคุ รรภ์ เวลาหลงั เจาะเลือดทนั ที 30 วินาที, 1, 2 และ 3 นาที เฉล่ยี 38.53 สัปดาห์ (S.D. = 2) และนา้� หนกั แรกเกดิ เฉลย่ี 3,164.13 กรมั (S.D. = 1,322) การวเิ คราะหข์ ้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลท่ัวไปของทารกและมารดา โดยใช้ เมอื่ เปรยี บเทยี บขอ้ มลู ทว่ั ไประหวา่ งทารกแรกเกดิ สถติ พิ รรณนา ไดแ้ ก่ ความถี่ รอ้ ยละ คา่ เฉลยี่ สว่ นเบยี่ งเบน กลมุ่ ทดลองและกลมุ่ ควบคมุ ดว้ ยสถติ ไิ คสแควรใ์ นเรอื่ งเพศ มาตรฐาน และทดสอบความแตกต่างของข้อมูลท่ัวไป และเม่ือทดสอบความแตกต่างของคะแนนแอพการ์ที่ 1 ของทารก และมารดาระหวา่ งกลมุ่ ทดลองและกลมุ่ ควบคมุ และที่ 5 นาที อายุครรภ์ของทารก และน้�าหนักแรกเกิด โดยใชส้ ถติ ไิ คสแควร์ (Chi–square Test) และการทดสอบ ดว้ ยสถติ ิ Independent t-test พบวา่ ไมแ่ ตกตา่ งกนั เชน่ กนั ค่าที (Independent t-test) 2. เปรียบเทียบคะแนน ของพฤติกรรมการตอบสนองความปวดของทารกแรกเกิด 2. เปรียบเทียบคะแนนเฉล่ียพฤติกรรมการ อัตราการเต้นของหัวใจ และค่าความอ่ิมตัวของออกซิเจน ตอบสนองความปวดก่อนการทดลอง และหลงั การทดลอง ในเลือดแดง ระหว่างกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุมก่อน ระหวา่ งกลมุ่ ทดลองและกลุ่มควบคมุ พบว่า กอ่ นการเจาะ การเจาะเลอื ด และหลงั เจาะเลือดทนั ท,ี 30 วนิ าท,ี 1, 2 เลอื ด คะแนนเฉลยี่ พฤตกิ รรมการตอบสนองความปวดของ และ 3 นาที ดว้ ยสถิตกิ ารทดสอบคา่ ที ชนดิ 2 กลุ่มเป็น ทารกแรกเกิดกลุ่มทดลอง และทารกแรกเกิดกลุ่มควบคุม อิสระต่อกนั (Independent t-test) มีคะแนนเฉล่ียไมแ่ ตกตา่ งกนั (p > .05) ผลการวจิ ยั หลังเจาะเลือด พบว่า ทารกแรกเกิดกลุ่มทดลอง 1. กลมุ่ ตัวอยา่ งในกลุ่มทดลองส่วนใหญ่ เป็นเพศ มีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการตอบสนองความปวดต�่ากว่า ทารกแรกเกิดกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยส�าคัญทางสถิติ ใน หญิง (ร้อยละ 66.7) คะแนนแอพการ์ท่ี 1 นาที เทา่ กบั 9 ระยะเวลาหลงั เจาะเลอื ดทนั ที (t = -13.201, p < .05) และ หลงั เจาะเลอื ดนาทที ่ี 1 (t = -3.154, p < .05) (ตารางที่ 1) ตารางที่ 1 เปรยี บเทียบคะแนนเฉล่ียพฤตกิ รรมการตอบสนองความปวด ของทารกแรกเกิด กล่มุ ทดลอง (n = 15) และ กลุ่มควบคุม (n = 15) ระยะเวลาหลังเจาะเลือด กล่มุ ตัวอยา่ ง x¯ SD t p-valve ทนั ที กลมุ่ ทดลอง 3.33 1.60 -13.201 .00 30 วินาที กลุ่มควบคุม 5.86 0.35 1 นาที กลมุ่ ทดลอง 1.60 0.00 049 .50 2 นาที กลมุ่ ควบคุม 1.40 1.29 3 นาที กลุ่มทดลอง 0 0 -3.154 .03 กลุ่มควบคุม 1.20 1.47 กลุม่ ทดลอง 0 0 -1.740 .33 กลมุ่ ควบคุม 0.26 0.59 กลมุ่ ทดลอง 0 0 0.000 .10 กล่มุ ควบคุม 00 Vปoีทlี่u2m8eฉบ28ับทNี่o2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

Effects of Infant Massage on Behavioral Pain Responses, Heart Rate ThTeheJoJuorunranlaol foFfaFcauclutyltyofoNf uNrusrinsigng 103 and Oxygen Saturation in Newborn Undergoing Venipuncture BuBruarpahpahaUnUinvievresritsyity สรปุ และอภิปรายผล 2. อัตราการเต้นของหัวใจ และค่าความอ่ิมตัว 1. ผลการวจิ ยั พฤตกิ รรมการตอบสนองความปวด ของออกซเิ จนในเลอื ด ภายหลงั การเจาะเลอื ด พบวา่ อตั รา การเตน้ ของหวั ใจ และคา่ ความอม่ิ ตวั ของออกซเิ จนในเลอื ด พบว่า ภายหลังการเจาะเลือดทันทีและนาทีที่ 1 ทารก ของทารกท้ังสองกลุ่มแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยส�าคัญทาง แรกเกิดกลุ่มทดลองท่ีได้รับการนวดสัมผัส มีคะแนน สถิติ (p > .05) แม้ว่าการนวดสัมผัสจะมีผลโดยตรงต่อ พฤติกรรมการตอบสนองความปวดหลังการเจาะเลือด การกระตุ้นใยประสาท และท�าให้ประตูควบคุมความปวด นอ้ ยกวา่ ทารกแรกเกดิ กลมุ่ ควบคมุ ทไี่ ดร้ บั การหอ่ ตวั แสดง ทไ่ี ขสนั หลงั ปดิ การรบั รคู้ วามปวดลดลง อภปิ รายไดว้ า่ การ วา่ การนวดสมั ผสั ทารกกอ่ นการเจาะเลอื ดจากหลอดเลอื ด เจาะเลอื ดเปน็ การแทงเขม็ ผา่ นผวิ หนงั เนอื้ เยอ่ื เสน้ ประสาท ด�าสว่ นปลาย สามารถชว่ ยบรรเทาความปวดได้ อภิปราย และหลอดเลือดด�า ซึ่งท�าให้เกิดความปวดแบบเจ็บแปล๊บ ไดว้ ่า การนวดสัมผัสเปน็ การกระตุ้นใยประสาทขนาดใหญ่ ทนั ที จากการเพม่ิ ความรสู้ กึ นา� เขา้ ของการกระตนุ้ ใยประสาท ท�าให้ประตูควบคุมความปวดที่ไขสันหลังปิด สัญญาณ ขนาดเลก็ และสมองรบั รคู้ วามปวดทา� ใหเ้ กดิ การตอบสนอง ความปวดไมส่ ามารถสง่ ผา่ นไปยงั สมอง (Melzack, & Wall, ความปวดทางสรีรวิทยา คือ ระบบประสาทอัตโนมัติ 1965) ในการศึกษาคร้ังน้ีทารกจะได้รับการนวดสัมผัส ซมิ พาเทตกิ ทา� งาน สง่ ผลใหอ้ ตั ราการเตน้ ของหวั ใจเพมิ่ ขนึ้ กอ่ นการเจาะเลอื ดจากหลอดเลอื ดดา� สว่ นปลาย 2 นาที เพอื่ และค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดลดลงทันที เพิม่ ความร้สู ึกน�าเข้าของการกระตนุ้ ใยประสาทขนาดใหญ่ (Taksande, Vilhekar, Jain, & Chitre, 2005) แตก่ าร จากการนวดสัมผัส ให้มจี �านวนมากพอท่ีจะสง่ ผลใหป้ ระตู เปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของการตอบสนองความปวด ควบคุมความปวดท่ีไขสันหลังปิด มีผลท�าให้สัญญาณ จะเด่นในระยะแรกเร่ิมเท่าน้ัน ไม่เกิดตลอดไป อีกทั้ง ความปวดไมส่ ง่ ผา่ นไปยงั สมอง การรบั รคู้ วามปวดจงึ ลดลง การเปล่ียนแปลงของอัตราการเต้นของหัวใจ และค่า ดว้ ยเหตนุ ค้ี ะแนนเฉลย่ี พฤตกิ รรมการตอบสนองความปวด ความอมิ่ ตวั ของออกซเิ จนไมไ่ ดเ้ ฉพาะเจาะจงเรอื่ งความปวด ของกลุ่มทดลองจึงน้อยกว่ากลุ่มควบคุม อันได้แก่ การ อย่างเดียว แต่อาจมีสาเหตุจากความเครียดของตัวทารก แสดงออกทางใบหนา้ การรอ้ งไห้ การหายใจ การเคลอ่ื นไหว หรือตัวกระตุ้นทางกายภาพอื่น ๆ เช่น ความร้อน หรือ ของแขนขา และการตนื่ ตวั โดยทารกลมื ตาหรอื หลบั ตา และ ความเยน็ (Inruan, Daramas, & Pookboonmee, 2013) การตอบสนองความปวดของทารกจะเกดิ การเปลย่ี นแปลง และอกี เหตผุ ลหนงึ่ คอื ทง้ั การนวดสมั ผสั และการหอ่ ตวั เปน็ สงู สดุ ในชว่ งนาทแี รกหลงั ไดร้ บั การเจาะเลอื ดและจะคอ่ ย ๆ วิธีท่ีช่วยลดความปวด ท�าให้อัตราการเต้นของหัวใจลดลง กลับเข้าสภู่ าวะปกติใน 3 นาที (Tantapong, 2000) แต่ และค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดเพิ่มข้ึน (Sinpru ผลการศึกษาคร้ังนี้ ทารกกลับเข้าสู่ภาวะปกติใน 1 นาที et al., 2009) ด้วยเหตุนี้อัตราการเต้นของหัวใจ และค่า หลังเจาะเลือด ซึ่งนับว่าลดได้เร็วกว่าการศึกษาท่ีผ่านมา ความอิม่ ตัวของออกซิเจนในเลือดของทารกทัง้ สองกลุ่มจึง สอดคล้องกับการศึกษาเปรียบเทียบทารกกลุ่มท่ีได้รับ ไม่แตกต่างกนั การนวดสมั ผัสบริเวณแขนทารก ตง้ั แต่ตน้ แขนถึงปลายนิ้ว ก่อนการเจาะเลือด กบั ทารกกลมุ่ ท่ไี ดร้ ับการดูแลตามปกติ ข้อเสนอแนะในการน�าผลจากการวจิ ยั ไปใช้ ผลการศึกษาพบว่า ทารกกลุ่มที่ได้รับการนวดสัมผัส 1. ควรน�าการนวดสัมผัสทารก ไปใช้กับทารก มคี วามปวดนอ้ ยกว่ากลมุ่ ที่ไดร้ บั การดูแลตามปกติ (Chick & Wan, 2011) และสอดคล้องกับการศึกษาผลการนวด ที่ได้รับความปวดจากการท�าหัตถการ การเจาะเลือดจาก สัมผัสต่อการบรรเทาความปวดในทารกแรกเกิดที่ได้รับ หลอดเลือดด�า เพ่ือลดความรุนแรง และภาวะแทรกซ้อน การฉีดวัคซีน พบว่า ทารกกลุ่มที่ได้รับการนวดสัมผัส มี จากความปวด คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการตอบสนองความปวด ท่ี เปล่ียนแปลงจากค่าปกติ น้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับการนวด 2. ควรท�าการศึกษาการนวดสัมผัสทารก ในกลุม่ สมั ผัส (Hemkunakorn, 2000) ตวั อยา่ งทแ่ี ตกตา่ งกนั ไดแ้ ก่ ทารกคลอดกอ่ นกา� หนด ทารก ทไี่ ดร้ บั ความปวดจากการทา� หตั ถการอนื่ ๆ เชน่ การฉีดยา การฉดี วคั ซนี และและการเจาะหลัง เป็นต้น ปVoีทl่ีu2m8eฉบ28ับทNี่o2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

104 ผลผขลอขงอกงากรานรวนดวสดัมสผมั สัผทัสาทรากรตก่อตพอ่ ฤพตฤิกตริกรรมรตมอตบอสบนสอนงอคงวคาวมาปมวปดวดอัตอรตั ารกาากราเรตเน้ตขน้ อขงอหงวัหใัวจใแจลแะละ วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ ค่าคค่าวคาวมาอม่มิอต่มิ ัวตขัวอขงอองอกอซกิเซจิเนจในนใทนาทรากรแกรแกรเกกเิดกทิดไ่ีทด่ีไ้รดับร้ กบั ากราเรจเาจะาเะลเือลดอื จดาจกาหกลหอลดอเดลเอืลดอื ดา�ดส�า่วสนว่ ปนลปาลยาย มหาวทิ ยาลัยบรู พา เอกสารอา้ งอิง Inruan, S., Daramas, T., & Pookboonmee, R. (2013). Bellieni, C. V., Iantorno, L., Perrone, S., Rodriguez, Effects of olfactory stimulation with breast milk on pain response to heel stick in full A., Longini, M., Capitani, S., & Buonocore, term infant. Rama Nurs J, 19(3), 320-332. G. (2009). Even routine painful procedures [In Thai]. can be harmful for the newborn. Pain, 147, 128-131. Joung, K. H., & Cho, S. C. (2010). The effect of Chick, Y. M., & Wan, I. P. (2011). The effect of limb sucrose on infants during a painful massage on infant’s venipuncture pain. procedure. Korean J Pediatr, 53(8), 790-794. The Journal of Pain, 13(4), 89. Cruz, M.D., Fernandes, A.M., & Oliveira (2016). Kulkarni, A., Kaushik, J.S., Gupta, P., Sharma, H., & Epidemiology of painful procedures Agrawal, R.K. (2010). Massage and touch performed in neonates: A systematic therapy in neonates: The current evidence. review of observational studies, Eur J Pain. Indian Pediatrics, 47, 771-776. 20, 489-498. Field. T, Diego, M, A, & Hernandez-Reif, M. (2007). Lawrence, J., Alcock, D., McGrath, P., Kay, J., Massage therapy research. Development MacMurray, S. B., & Dulberg, C. (1993). The Review, 27, 75-89. development of a tool to assess neonatal Gardner, S.L, Hines, M.E., & Agarwal, A.R. (2016). pain. Neonatal Network, 12, 59-66. Pain and pain relief. In S.L., Gardner, B.S., Carter, M.E., Hines, J.A., Hernandez (Eds). Melzack, R., & Wall, P. D. (1965). Pain Mechanisms: Merenstein & Gardner’s handbook of A new theory. American Association for the Advancement of Science, 150, 971-979. neonatal intensive care (pp. 218-261) (8th ed.). St. Louis: Elsevier. Pinelli, J., Symington, A., & Ciliska, D. (2002). Gradin, M., Finnström, O., & Schollin, J. (2004). Nonnutritive sucking in high-risk infants: Feeding and oral glucose additive effects Benign intervention or legitimate therapy? on pain reduction in newborns. Early Journal of Obstetric, Gynecologic, and Human Development, 77(1-2), 57-65. Neonatal Nursing, 31, 582-591. Hall, R. W. & Anand, K. J. S. (2014). Pain management in newborns. Clinics in Polit, D. F., & Beck, C. T. (2004). Nursing Perinatology, 41(4), 895-924. doi:10.1016/ research principles and methods (7th ed.). j.clp.2014.08.010. Philadelphia: Lippincott Williams & Wilkins. Hemkunakorn, P. (2000). Effect of touch on behavioral pain responses, heart rates, Schellack, N. (2011). A review of pain management oxygen saturation and crying times related in the neonate. South African Pharmacy to hepatitis B vaccine injection in neonates. Journal, 78(7), 10-13. The Thai police medical journal, 26, 19-24. [In Thai]. Sinpru, N., Tilokskulchai, F, Vichitsukon, K., & Boonyarittipong, P. (2009). The effect of clinical nursing practice guidelines for swaddling on pain relief from heel stick in neonates. J Nurs Sci, 27(1), 32-45. [In Thai]. Taksande, A. M., Vilhekar, K. Y., Jain, M., & Chitre, D. (2005). Pain response of neonates to venipuncture. Indian J Pediatr, 72(9), 751-3. Vปoีทlี่u2m8eฉบ28ับทN่ีo2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

Effects of Infant Massage on Behavioral Pain Responses, Heart Rate ThTeheJoJuorunranlaol foFfaFcauclutyltyofoNf uNrusrinsigng 105 and Oxygen Saturation in Newborn Undergoing Venipuncture BuBruarpahpahaUnUinvievresritsyity Tantapong, E. (2000). The effects of swaddling on Thongprong, C., Chaimongkol, N., & Pongjaturawit, pain response related to heel stick in Y. (2011). Effects of planned breastfeeding premature infants. Unpublished master’s on pain in neonates receiving venipuncture, thesis, Mahidol University, Bangkok. [In Thai]. The Journal of Faculty of Nursing Burapha University, 19(2), 42-53. [In Thai]. ปVoีทl่ีu2m8eฉบ28ับทN่ีo2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

ปัจจยั ท�านายความพรอ้ มในการดูแลผู้ทเ่ี จ็บปว่ ยทางจิตเวช ของญาติผ้ดู แู ล จังหวดั ชลบุรี อโนชา ทศั นาธนชยั , พย.ม1* พชิ ามญช์ุ ปุณโณทก, Ph.D.2 วรรณรตั น์ ลาวงั , Ph.D.3 สรุ ภา สุขสวสั ด์ิ, พย.ม.4 รชั นี สรรเสริญ, Ph.D.5 บทคัดยอ่ ญาติผู้ดูแลเป็นทรัพยากรส�าคัญในระบบการดูแลผู้ที่เจ็บป่วยทางจิตเวชในระยะยาว การวิจัยเชิงพรรณนาแบบ ความสัมพันธ์เชิงท�านายน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาปัจจัยท�านายความพร้อมในการดูแลผู้ท่ีเจ็บป่วยทางจิตเวชของญาติ ผู้ดูแล กลุ่มตัวอยา่ งเปน็ ญาตผิ ูด้ ูแลของผู้ทเี่ จ็บปว่ ยทางจติ เวชทีอ่ าศัยในจงั หวดั ชลบุรี จ�านวน 310 คน ซ่งึ ได้จากการสุ่ม แบบกลมุ่ หลายข้นั ตอน เก็บขอ้ มลู ระหว่างเดือนตลุ าคม พ.ศ. 2561 ถงึ มนี าคม พ.ศ. 2562 โดยใชแ้ บบสมั ภาษณ์ ไดแ้ ก่ ขอ้ มลู พน้ื ฐาน การรบั ร้คู วามรุนแรงของโรค พลังสขุ ภาพจิต ทศั นคติต่อการดแู ล การรับร้ภู าระการดแู ล มุมมองเชงิ บวก จากการดูแล และความพร้อมในการดูแล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวจิ ยั พบวา่ กลมุ่ ตวั อยา่ งมคี วามพรอ้ มในการดแู ลผทู้ เี่ จบ็ ปว่ ยทางจติ เวชภาพรวมและรายดา้ นอยใู่ นระดบั ปานกลาง โดยตวั แปรทศั นคตติ อ่ การดแู ล ปญั หาสุขภาพ อายขุ องญาตผิ ู้ดแู ล มุมมองเชิงบวกจากการดแู ล และการไดร้ บั การอบรม สามารถรว่ มกนั อธบิ ายความพร้อมในการดแู ลผทู้ ่ีเจบ็ ปว่ ยทางจิตเวชได้ร้อยละ 40.2 (R2 = .402, F = 40.861, p < .001) ดงั นนั้ พยาบาลและผทู้ เ่ี กย่ี วขอ้ งควรพฒั นาโปรแกรมสง่ เสรมิ ความพรอ้ มของญาตผิ ดู้ แู ลในการดแู ลผทู้ เี่ จบ็ ปว่ ยทางจติ เวช โดยการเพ่ิมทศั นคตทิ ่ีดีตอ่ การดูแล ส่งเสริมมมุ มองเชงิ บวก และอบรมก่อนการดูแล โดยเฉพาะในญาติผดู้ ูแลทีม่ อี ายุมาก และมีปญั หาสขุ ภาพ เพอ่ื เพม่ิ คุณภาพการดแู ลและผลลพั ธท์ ่ดี ีของผู้ท่ีเจ็บปว่ ยทางจิตเวชและญาตผิ ู้ดูแล คา� ส�าคัญ: ทศั นคติต่อการดูแล ความพรอ้ มในการดแู ล ผ้ทู เี่ จ็บป่วยทางจติ เวช ญาตผิ ู้ดแู ล 1 อาจารย์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา 2,3 ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั บูรพา 4 ผู้ช�านาญการพิเศษ โรงพยาบาลสมเดจ็ พระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา 5 รองศาสตราจารย์ สา� นักวิชาวทิ ยาศาสตรส์ ุขภาพ มหาวิทยาลยั แมฟ่ า้ หลวง * ผเู้ ขียนหลัก e-mail: [email protected] Received 21/04/2020 Revised 08/06/2020 Accept 15/06/2020

Predictors of Care Readiness for Persons with Psychiatric Illness in Family Caregivers, Chonburi Province Anocha Tassanatanachai, M.N.S.1, Pichamon Poonnotok, Ph.D.2, Wannarat Lawang, Ph.D.3, Surapa Suksawat, M.N.S.4, Rachanee Sunsern, Ph.D.5 Abstract Family caregivers are essential resources in the long-term care system for persons with psychiatric illness. This predictive correlational research aimed to describe care readiness and to determine factors influencing the care readiness among family caregivers for persons with psychiatric illness. Multi-stage cluster random sampling was used to recruit 310 family caregivers of persons with psychiatric illness in Chonburi province. Research instruments were interviews measuring basic information, perceived severity of illness, caregiver’s resilience quotient, attitude toward care, perception of care burden, positive caregiving aspects, and care readiness. Descriptive statistics and stepwise multiple regression were used to analyze the data. The results revealed that the care readiness of family caregivers for persons with psychiatric illness, overall and in each dimension, were rated at a moderate level. The care attitude, health problems, caregiver’s age, positive caregiving aspects, and receiving training together explained 40.2% of the variance in readiness to care for persons with psychiatric illness (R2 =. 40.2, F = 40.861, p <.001). These findings suggest that nurses and other health personnel should develop programs to promote family caregivers’ readiness to care for persons with psychiatric illness through increasing positive attitudes toward care, improving positive caregiving aspects, and providing training, especially for elderly caregivers and those with health problems. Consequently, quality of care would be im- proved and positive outcomes would be enhanced for persons with psychiatric illness and their caregivers. Key words: attitude toward caring, care readiness, family caregivers, psychiatric illness 1 Lecturer, Faculty of nursing, Burapha University. 2,3 Assistant Professor, Faculty of nursing, Burapha University. 4 Senior Professional of nursing, Queen Savang Vadhana Memorial Hospital. 5 Associate professor, School of health science, Mae fah luang University. * Corresponding author e-mail: [email protected]

108 ปจั จยั ท�านายความพรอ้ มในการดูแลผทู้ ีเ่ จ็บป่วยทางจติ เวชของญาตผิ ู้ดูแล วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ จงั หวดั ชลบรุ ี มหาวิทยาลยั บรู พา ความสา� คญั ของปัญหา 2019) ดงั นน้ั กจิ กรรมการดแู ลผทู้ เ่ี จบ็ ปว่ ยทางจติ เวชทบ่ี า้ น การเจ็บป่วยทางจิตเวชเป็นปัญหาสาธารณสุขท่ี จึงมีจา� นวนมาก ยงุ่ ยาก และซบั ซ้อน อาทิ การประเมนิ / ตรวจสอบ/เฝ้าระวังอาการผิดปกติ การดูแลสุขอนามัย สา� คญั ในประชากรทวั่ โลกรวมถงึ ประชากรไทย จากรายงาน สว่ นบคุ คล การจดั การอาการทางจติ การดแู ลรบั ประทานยา สภาวะการเจ็บปว่ ยในโลก ปี พ.ศ. 2560 พบวา่ ประชากร ตามแผนการรักษาพร้อมติดตามอาการข้างเคียงจากยา โลกเจ็บปว่ ยทางจิตเวชมากถึง 792 ลา้ นคน (Ritchie, & ตลอดจน การดแู ลฟนื้ ฟสู มรรถภาพทางจิต (Poonnotok, Roser, 2018) สว่ นในประเทศไทยมผี ทู้ เ่ี จบ็ ปว่ ยทางจติ เวช Thampanichawat, Patoomwan & Sangon, 2016) จงึ จ�านวน 2.7 ล้านคน ซงึ่ เพมิ่ สงู ขนึ้ จากปี พ.ศ. 2558 ท่ีมี ท�าให้ญาติผู้ดูแลต้องมีความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ เพียง 1.5 ล้านคน และมีเพียง 1 ใน 10 ของคนกลุ่มน้ี การดแู ล หากผดู้ แู ลไมม่ คี วามพรอ้ มกจ็ ะเผชญิ กบั ความยงุ่ ยาก สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขในการจัดการปัญหา หรือไม่สามารถรับมือกับปัญหาทางจิตในระหว่างการดูแล สุขภาพจิต (Institute for population and social ได้ (Akarathanarak, Kongsuwan, and Matchim, 2014) research Mahidol University, 2019) ประกอบกับ นโยบายการพัฒนาระบบสุขภาพในประเทศไทย มี ดงั นน้ั ความพรอ้ มในการดแู ลผทู้ เี่ จบ็ ปว่ ยทางจติ เวช แนวคิดให้การรักษาผู้ป่วยจิตเวชท้ังท่ีบ้านและในชุมชน ท่ีบ้านจึงเป็นสิ่งที่จ�าเป็นและส�าคัญมากในการสนับสนุน (Tangcharoensathien et al., 2018) ท�าใหผ้ ูท้ เ่ี จ็บป่วย การรกั ษาผทู้ เ่ี จบ็ ปว่ ยใหไ้ ดผ้ ลดที สี่ ดุ เพราะสง่ ผลตอ่ คณุ ภาพ ทางจติ เวชกลมุ่ อาการไมร่ นุ แรงตอ้ งกลบั ไปรกั ษาตอ่ เนอื่ งท่ี การดูแลผู้ป่วยและการป้องกันการกลับเป็นซ้�าของอาการ บา้ น อยรู่ ว่ มกบั ครอบครวั ภายใตก้ ารดแู ลของพยาบาลและ ทางจติ เวช ทง้ั ยงั ชว่ ยปอ้ งกนั ภาวะแทรกซอ้ นของโรคจติ เวช บุคคลากรในระดบั ปฐมภมู ิ และหนุ้ ส่วนชมุ ชน เพ่อื ปรบั ตวั ได้ (Thongsai, 2015) จากทบทวนวรรณกรรมพบว่า และด�าเนินชีวิตอย่างอิสระในสังคมจริงให้ได้ (Chadda, ความพรอ้ มในการดแู ลผทู้ เ่ี จบ็ ปว่ ยเรอ้ื รงั ซง่ึ รวมถงึ ผเู้ จบ็ ปว่ ย 2014) ซึ่งส่วนใหญ่ พบว่า เม่ือกลับบ้านผู้ที่เจ็บป่วยทาง ทางจิตเวชของญาติผู้ดูแลนั้น พบว่า ญาติผู้ดูแลควรมี จิตเวชยังมีอาการทางจิตเวชเหลืออยู่ (Phanthunane, ความพร้อมครอบคลุมด้านการตอบสนองความต้องการ Vos, Whiteford, Bertram & Udomratn, 2010) โดยมี ของผทู้ เี่ จบ็ ปว่ ย ดา้ นการตอบสนองความตอ้ งการของตนเอง อัตราการกลับเป็นซ้�าของผู้ที่เจ็บป่วยทางจิตเวชภายใน และด้านการมีข้อมูลข่าวสาร/แหล่งสนับสนุน/เครือข่าย 5 ปี สูงมากถึงร้อยละ 70-82 จนบางครั้งต้องเข้ารับ การดแู ล (Thongsai, 2015; Piriyajaratchat, 2017) ส่วน การรกั ษาตวั ซา�้ ในโรงพยาบาลหลายครง้ั (Linszen, Hann, ปัจจัยท่ีสัมพันธ์หรือเก่ียวข้องกับความพร้อมในการดูแล Dingemans, & Wouters, 2006) มีสาเหตุหลักคือ พบวา่ มหี ลายปัจจัย ไดแ้ ก่ ปัจจัยคณุ ลักษณะผูท้ ่ีเจบ็ ป่วย การไมร่ บั ประทานยาอยา่ งตอ่ เนอื่ ง (Choorat, 2016) ทา� ให้ ทางจติ เวช ไดแ้ ก่ อายขุ องผปู้ ว่ ย การรบั รคู้ วามรนุ แรงของโรค ผู้ท่ีเจ็บป่วยทางจิตเวชกลับเป็นซ้�าและมีการตอบสนองต่อ (Gloria, Osafo, Goldmann, Parikh, Nonvignon, & การรักษาไม่ดี ใช้เวลาในการรักษานานข้ึน และท�าหน้าที่ Kretchy, 2018) ปจั จยั คณุ ลกั ษณะญาติผู้ดูแล ได้แก่ อายุ ทางสังคมบกพร่อง จนน�าไปสู่ปัญหาอ่ืนตามมา ดังน้ัน ของผดู้ แู ล ปญั หาสขุ ภาพ และพลงั สขุ ภาพจติ (Kaewumpa, การดูแลผู้ที่เจ็บป่วยทางจิตเวชท่ีบ้านจ�าเป็นต้องอาศัย 2012) และปัจจัยบริบทการดูแล ได้แก่ การยอมรับใน การมสี ว่ นรว่ มจากทกุ ฝา่ ยโดยเฉพาะสมาชกิ ครอบครวั หรอื บทบาทผู้ดแู ล ทศั นคติต่อการดูแล การรับร้ภู าระการดแู ล บคุ คลใกล้ชิดท่ีท�าหน้าทีด่ ูแลหลักท่ีเรยี กวา่ “ญาตผิ ดู้ ูแล” มุมมองเชิงบวกจากการดูแล และการได้รับการอบรมเพ่ือ การดูแล (Kongnirundon, Vatanasin, & Nabkasorn, ญาติผู้ดูแลต้องเผชิญกับภาวะและพฤติกรรม 2018) ผิดปกติอันเน่ืองมาจากภาวะของโรคของผู้ที่เจ็บป่วยทาง จติ เวชท้งั ความผิดปกตดิ ้านอารมณ์ ความคดิ และการรบั รู้ ในบรบิ ทประเทศไทยทีผ่ า่ นมา ยังไม่พบการศึกษา เช่น อาการหูแว่วและ/หรือประสาทหลอน จนบางครั้งมี เก่ียวกับความพร้อมในการดูแลในกลุ่มญาติผู้ดูแลผู้ที่ พฤติกรรมท่ีเปน็ อนั ตรายท้ังตอ่ ตนเอง ผอู้ ืน่ และทรัพย์สิน เจ็บป่วยทางจิตเวช และปัจจัยที่เกี่ยวข้องความพร้อม (Poonnotok, Pratoomsri, Kaewmart, & Asarath, ดงั กลา่ ว คณะผวู้ จิ ยั ในฐานะนกั วชิ าการและพยาบาลทด่ี แู ล ปVoีทl่ีu2m8eฉบ28ับทN่ีo2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

Predictors of Care Readiness for Persons with Psychiatric Illness The Journal of Faculty of Nursing 109 in Family Caregivers, Chonburi Province Burapha University สขุ ภาพประชาชนในชมุ ชน จงึ ศกึ ษาปจั จยั ทา� นายความพรอ้ ม (Innovative Care for Chronic Conditions: ICCC) จาก ในการดูแลผู้ที่เจ็บป่วยทางจิตเวชของญาติผู้ดูแลในพื้นที่ WHO (2002) มาสงั เคราะหเ์ ปน็ กรอบแนวคดิ ในการดา� เนนิ จงั หวดั ชลบรุ ี ซงึ่ มจี า� นวนการใหบ้ รกิ ารผปู้ ว่ ยจติ เวชเพมิ่ ขน้ึ การวิจัย ซึ่งทฤษฎีการเปลี่ยนผ่านของเมลิส (Meleis, จาก 38,573 คนในปี พ.ศ. 2560 เพ่ิมข้นึ อยา่ งรวดเร็วเป็น 2010) ได้กล่าวถึง การเปล่ียนผ่านจากสภาวะหน่ึงไปยัง 63,226 คนในปี พ.ศ. 2561 (Department of mental สภาวะหน่ึงแต่ละช่วงชีวิต แต่ละคนจะมีรูปแบบการ health, 2018) เพ่อื นา� ขอ้ มลู ท่ีไดไ้ ปใช้เปน็ แนวทางพัฒนา ตอบสนองกบั สถานการณ์แตกต่างกัน โดยเงื่อนไขของการ รูปแบบหรือโปรแกรมการสร้างความพร้อมในการดูแล เปลยี่ นผา่ น 3 สว่ น คอื เงอื่ นไขสว่ นบคุ คล เงอ่ื นไขของชมุ ชน ผู้ท่ีเจ็บป่วยทางจิตเวชของญาติผู้ดูแล เพ่ือประสิทธิภาพ และเงื่อนไขทางสังคม เช่นเดียวกันการท�าบทบาทญาติ ในการดูแลและป้องกันผลกระทบท่ีจะตามมาในระยะยาว ผู้ดูแลผู้ที่เจ็บป่วยทางจิตเวชถือเป็นการเปล่ียนผ่านตาม ตลอดจนยกระดับการมาตรฐานการดูแลสุขภาพระดับ สถานการณ์ เพราะการเจบ็ ปว่ ยทางจิตเปน็ ระยะเวลานาน ปฐมภมู ิตอ่ ไป จะยิ่งท�าให้สมองมีความผดิ ปกติได้มากขนึ้ (Sfera, 2015) อาการจงึ เปลีย่ นแปลงอยูต่ ลอด การบ�าบัดจติ ในระยะยาว วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย (long-term family therapy) เปน็ การบา� บดั ทไ่ี มม่ กี า� หนด 1. เพื่อศึกษาความพร้อมในการดูแลผู้ที่เจ็บป่วย เวลาสนิ้ สดุ อยา่ งแนน่ อน (Trangkhasombat, 2018) ทา� ให้ บทบาทของผู้ดูแลแม้จะดูแลมาระยะเวลานาน แต่ผู้ป่วย ทางจติ เวชของญาตผิ ู้ดูแลในจังหวดั ชลบุรี มอี าการเปลยี่ นแปลงดา้ นอารมณแ์ ละพฤตกิ รรมทสี่ ามารถ 2. เพ่ือศึกษาอ�านาจการท�านายของคุณลักษณะ เกิดขึ้นได้ตลอด มีอาการก�าเริบ อารมณ์เปลี่ยนแปลง กะทนั หนั จงึ ทา� ใหผ้ ดู้ แู ลตอ้ งมกี ารเปลย่ี นผา่ น ซง่ึ แตล่ ะคน ผทู้ เ่ี จบ็ ปว่ ยทางจติ เวช (อายขุ องผปู้ ว่ ย การรบั รคู้ วามรนุ แรง มีความพร้อมในการเปลี่ยนผ่านเพื่อการดูแลผู้ที่เจ็บป่วย ของโรค) ปัจจัยคุณลักษณะญาติผู้ดูแล (อายุของผู้ดูแล แตกต่างกันข้ึนกับปัจจัยท้ัง 3 ส่วนน้ี ซ่ึงในวิจัยนี้ได้เลือก ปัญหาสุขภาพ และพลังสุขภาพจิต) และ ปัจจัยบริบท ศกึ ษาเงอื่ นไขสว่ นบคุ คล คอื ปจั จยั คณุ ลกั ษณะผทู้ เ่ี จบ็ ปว่ ย การดแู ล (การยอมรบั ในบทบาทผดู้ แู ล ทศั นคตติ อ่ การดแู ล ทางจิตเวช (อายุของผู้ป่วย การรับรู้ความรุนแรงของโรค) มุมมองเชิงบวกจากการดูแล การรับรู้ภาระการดูแล และ และปัจจัยคุณลักษณะญาติผู้ดูแล (อายุของผู้ดูแล ปัญหา การไดร้ บั การอบรมเพอ่ื การดแู ล) ตอ่ ความพรอ้ มในการดแู ล สขุ ภาพ และพลงั สขุ ภาพจติ ) สว่ นเงอื่ นไขของชมุ ชน-สงั คม ผู้ท่เี จ็บป่วยทางจติ เวชของญาตผิ ูด้ แู ลในจังหวดั ชลบุรี ได้บูรณาการกับแนวคิดนวัตกรรมการดูแลผู้ป่วยเร้ือรัง (WHO, 2002) ซง่ึ เปน็ กรอบแนวคดิ เกยี่ วกบั การมปี ฏสิ มั พนั ธ์ สมมตฐิ าน เชิงระบบในการดูแลผู้มีภาวะเร้ือรังผ่านการการดูแล ปจั จยั คณุ ลกั ษณะผทู้ เี่ จบ็ ปว่ ยทางจติ เวช (อายขุ อง ร่วมกันของภาคีเครือข่าย ได้แก่ ผู้มีภาวะเรื้อรังและ ครอบครัว ทีมสุขภาพเชิงรุก และเครือข่ายชุมชน ผ่าน ผปู้ ว่ ย การรบั รคู้ วามรนุ แรงของโรค) ปจั จยั คณุ ลกั ษณะญาติ กระบวนการ 3 ประการ คือ 1) การกระตุน้ /สร้างแรงจูงใจ ผูด้ แู ล (อายุของผู้ดแู ล ปัญหาสขุ ภาพ และพลังสุขภาพจิต) ในการดแู ล 2) การไดร้ ับการเตรยี ม/อบรม และ 3) การได้ และปัจจัยบริบทการดูแล (การยอมรับในบทบาทผู้ดูแล รบั การสนบั สนนุ ขอ้ มลู ขา่ วสาร/แหลง่ เพอื่ ใหม้ คี วามพรอ้ ม ทัศนคติตอ่ การดแู ล มมุ มองเชงิ บวกจากการดูแล การรับรู้ ในการปฏิบัติบทบาทเพื่อส่งเสริมคุณภาพของชีวิตของผู้มี ภาระการดแู ล การได้รับการอบรมเพือ่ การดแู ล) สามารถ ภาวะเจบ็ ปว่ ยเรอ้ื รงั ในการวจิ ยั นไ้ี ดศ้ กึ ษา ปจั จยั ดา้ นผปู้ ว่ ย/ รว่ มกนั ทา� นายความพรอ้ มในการดแู ลผทู้ เี่ จบ็ ปว่ ยทางจติ เวช ผูด้ ูแล และบริบทการดแู ลทม่ี ีความสมั พันธ์กับความพรอ้ ม ของญาติผดู้ แู ล ในการดูแล ผู้วิจัยจึงสรุปเป็นปัจจัยท่ีจะร่วมท�านาย ความพร้อมในการดูแลผู้ท่ีเจ็บป่วยทางจิตเวชของญาติ กรอบแนวคิดในการวิจัย ผู้ดูแล ดังภาพที่ 1 การวิจัยคร้ังน้ีผู้วิจัยได้บูรณาการผลการทบทวน วรรณกรรมรว่ มกบั การประยกุ ตท์ ฤษฎกี ารเปลยี่ นผา่ นของ เมลิส (Meleis, 2010) และนวัตกรรมการดูแลผู้ปว่ ยเรือ้ รงั ปVoีทl่ีu2m8eฉบ28ับทNี่o2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

110 ปจั จัยท�านายความพรอ้ มในการดแู ลผู้ท่เี จบ็ ป่วยทางจติ เวชของญาตผิ ดู้ แู ล วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ จงั หวัดชลบุรี มหาวิทยาลัยบูรพา ปจั จัย ความพร้อมในการดแู ลผ้ทู ี่เจ็บปว่ ยทางจติ เวช ดา้ นคณุ ลกั ษณะผปู้ ว่ ย ของญาตผิ ู้ดูแล - อายขุ องผู้ป่วย - ความรนุ แรงของโรค 1. การตอบสนองความต้องการของผู้ที่เจ็บปว่ ย ดา้ นคณุ ลักษณะผูด้ ูแล ทางจติ เวช - อายุของผู้ดูแล - ปญั หาสขุ ภาพกาย 2. การตอบสนองความตอ้ งการของตนเอง - พลงั สุขภาพจติ 3. ข้อมูลข่าวสารและเครือขา่ ยสนบั สนุน ด้านบรบิ ทการดูแล - การยอมรับในบทบาทผู้ดูแล - ทัศนคติตอ่ ตัวผปู้ ่วยและการดูแล - มมุ มองเชิงบวกจากการดูแล - การรบั รูภ้ าระการดแู ล - การได้รับการอบรมเพ่อื การดูแล ภาพที่ 1 กรอบแนวคดิ การวจิ ยั วธิ ีด�าเนินการวิจยั ยงั ไมม่ งี านวจิ ยั ทศี่ กึ ษาปจั จยั การทา� นายทค่ี ลา้ ยคลงึ มากอ่ น การวิจัยคร้ังนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาภาคตัด จงึ ควรกา� หนดขนาดอทิ ธพิ ล (Effect size) ระหว่างขนาด เล็กถงึ ขนาดกลาง (Polit & Beck, 2012) ผู้วิจยั จึงกา� หนด ขวาง (cross-sectional descriptive research) แบบ ขนาดอทิ ธพิ ลที่ .06 ซง่ึ เมอ่ื เปดิ ตารางสา� เรจ็ รปู สา� หรบั สถติ ิ ความสัมพันธ์เชิงท�านาย (predictive correlational ถดถอยพหุคณู ทจ่ี า� นวนตัวแปรทั้งหมด 10 ตวั แปร (Polit study) ทีม่ ีรายละเอยี ดการด�าเนนิ การ ดังน้ี & Beck, 2012) ได้กลมุ่ ตวั อยา่ งอยา่ งนอ้ ย 262 คน เพื่อ ปอ้ งกันความไม่สมบรู ณ์ และความคลาดเคล่ือนของข้อมลู ประชากรและกล่มุ ตัวอยา่ ง ผู้วิจัยจึงเพ่ิมจ�านวนกลุ่มตัวอย่าง 20% ของท่ีค�านวณได้ ประชากรเป็นญาติผู้ดูแลผู้ท่ีเจ็บป่วยทางจิตเวช (Srisatitnarakoon, 2015) การศึกษาน้จี ึงมีกลมุ่ ตวั อย่าง ท่ีบ้านอาศัยในจังหวัดชลบุรี ซ่ึงประมาณการจ�านวนญาติ ทัง้ หมด 310 ราย ผดู้ แู ลจากจา� นวนผทู้ เี่ จบ็ ปว่ ยทางจติ เวชทม่ี ที ง้ั สนิ้ 1,874 คน (ส�านักงานสง่ เสริมสุขภาพจังหวัดชลบุร,ี 2558) กลุ่มตัวอย่างญาติผู้ดูแลได้มาจากการสุ่มตัวอย่าง กลมุ่ ตวั อยา่ งเปน็ ญาตผิ ดู้ แู ลผทู้ เ่ี จบ็ ปว่ ยทางจติ เวช หลายข้ันตอนแบบกลุ่ม อย่างเป็นล�าดับช้ันต่าง ๆ แบบ ทบ่ี า้ นทอ่ี าศยั ในจงั หวดั ชลบรุ ี ซง่ึ มคี ณุ สมบตั เิ ปน็ 1) บคุ คล ลดหล่นั ตาม อ�าเภอ ต�าบล หมู่บา้ น/ชุมชน ตามทะเบียน ท่ีมีอายุ 18 ปีข้ึนไป 2) เป็นสมาชิกในครอบครัวหรือ รายชื่อผู้ที่เจ็บป่วยทางจิตเวชของโรงพยาบาลส่งเสริม คนใกล้ชิดท่ีท�าหน้าท่ีดูแลหลักโดยไม่รับค่าตอบแทนของ สุขภาพประจ�าตา� บล (รพ.สต.) ตามสดั ส่วนพ้ืนท่ี และใชว้ ิธี ผู้ท่ีได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคจิตเวช (ได้แก่ โรคจิตเภท การสมุ่ อยา่ งงา่ ยโดยใชโ้ ปรแกรมคอมพวิ เตอร์ เพอ่ื กระจาย และโรคจิตชนดิ อน่ื ๆ ยกเว้นกลุม่ โรคทางอารมณ์) จ�านวน ท่วั ถึงและเป็นตวั แทนญาตผิ ้ดู ูแลผทู้ ่ีเจ็บปว่ ยทางจติ เวช 310 คน การกา� หนดขนาดกลมุ่ ตวั อยา่ งใหเ้ พยี งพอตอ่ การหา เครอื่ งมือดา� เนินการวิจัย อิทธิพลโดยใช้สถิติถดถอยพหคุ ณู (Regression analysis) เครอื่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการรวบรวมขอ้ มลู เปน็ แบบสมั ภาษณ์ ผู้วิจัยได้ค�านึงถึงการควบคุมความคลาดเคล่ือนชนิดท่ี 1 ประกอบดว้ ย 4 ส่วน ดังนี้ และชนดิ ที่ 2 โดยกา� หนดระดบั นยั สา� คญั ทางสถติ ทิ ี่ .05 คา่ ส่วนท่ี 1 แบบสัมภาษณ์ข้อมูลพื้นฐาน ประกอบ อา� นาจการทดสอบ (power analysis) ที่ .80 และเนอ่ื งจาก ด้วย 1) ขอ้ มลู ญาติผดู้ ูแล ได้แก่ อายุ เพศ สถานภาพสมรส ปVoีทl่ีu2m8eฉบ28ับทNี่o2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

Predictors of Care Readiness for Persons with Psychiatric Illness The Journal of Faculty of Nursing 111 in Family Caregivers, Chonburi Province Burapha University การศึกษา อาชีพ สถานะทางการเงินของครอบครัว 1-4 คะแนน (ไม่จริงถึงจริงมาก) คะแนนรวมอยู่ในช่วง โรคประจา� ตวั พฤตกิ รรมสขุ ภาพ และการรบั รภู้ าวะสขุ ภาพ 20-88 คะแนน ถ้าคะแนนสูง แสดงว่า ญาติผู้ดูแลมีพลัง 2) ขอ้ มลู ของผทู้ เี่ จบ็ ปว่ ยทางจติ เวชทรี่ บั การดแู ล ไดแ้ ก่ อายุ สุขภาพจิตอยู่ในระดับมาก การแปลผลเพ่ือการบรรยายมี เพศ ประวัติการเจ็บป่วย ประวัติการเข้ารับการรักษาตัว 3 ระดับ (department of mental health, 2009) ในโรงพยาบาล และปัญหาสุขภาพอ่ืน ๆ และ 3) ข้อมูล คะแนนอยู่ระหว่าง<55, 55-69 และ >69 หมายถึง บริบทการดูแล ไดแ้ ก่ ความสัมพันธ์ระหวา่ งผูด้ ูแลกับผูร้ บั พลงั สขุ ภาพจิตในระดับต่�ากว่าเกณฑ์ ปกติ สูงกว่าเกณฑ์ การดูแล เหตุผลของการดูแล ประสบการณ์การดูแล ตามล�าดบั จา� นวนชว่ั โมงในการดแู ล/วนั จา� นวนวนั ในการดแู ล/สปั ดาห์ ระยะเวลาในการดแู ล กจิ กรรมการดแู ล ขอ้ จา� กดั ในการดแู ล 2.3 แบบประเมินทัศนคติต่อการดูแล คณะ ประสบการณ์ในการท�าหน้าที่ผู้ดูแล การได้รับการอบรม ผู้วิจัยได้สร้างจากการทบทวนวรรณกรรม มีข้อค�าถาม เพอื่ การดแู ล ผชู้ ว่ ยเหลอื ในการดแู ล และการรบั รกู้ ารยอมรบั 10 ข้อ ครอบคลมุ 2 ดา้ น ไดแ้ ก่ 1) ทศั นคตเิ ก่ยี วกบั ตัวผูท้ ่ี บทบาทผดู้ ูแลของตนเอง เจบ็ ปว่ ยทางจติ เวช และ 2) ทศั นคตติ อ่ การดแู ลผทู้ เ่ี จบ็ ปว่ ย ทางจิตเวช ลักษณะค�าตอบเป็นมาตรวัดประมาณค่า ส่วนที่ 2 แบบสัมภาษณ์ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับ (rating Scale) 5 ระดับ กา� หนดคะแนนตงั้ แต่ 1-5 คะแนน ความพรอ้ มในการดแู ลผู้ท่ีเจ็บป่วยทางจติ เวช (ทัศนคติด้านบวก) และ 5-1 คะแนน (ทัศนคติด้านลบ) คะแนนรวมอยใู่ นช่วง 10-50 คะแนน ถ้าคะแนนสงู แสดง 2.1 แบบประเมนิ การรบั รคู้ วามรนุ แรงของโรค วา่ ญาตผิ ดู้ แู ลมที ศั นคตติ อ่ การดแู ลในระดบั สงู การแปลผล ของญาติผู้ดูแล ใช้แบบวัดการรับรู้พฤติกรรมและอาการ เพอื่ การบรรยายมี 3 ระดับ (Best & Kahn, 2006) คือ ทางจิตในผูด้ ูแลผปู้ ว่ ยจิตเภทของ Poonnotok (2002) ท่ี ค่าเฉลี่ยปรับฐานอยู่ในช่วง 1.00-2.33, 2.34-3.67, พัฒนามาจากแบบวัดการรับรู้ความรุนแรงของโรคของ 3.68-5.00 หมายถึง ทัศนคติต่อการดูแลอยู่ในระดับต�่า Pipatananond (2001) มขี อ้ ค�าถาม 29 ขอ้ ครอบคลุม ปานกลาง สูง ตามล�าดับ พฤติกรรมทเ่ี ปน็ ปญั หาและอาการ 5 กลมุ่ คอื 1) อาการ ซึมเศร้า 2) การปฏิบัติตัวไม่เหมาะสม 3) อาการทางจิต 2.4 แบบประเมนิ การรบั รภู้ าระการดแู ล คณะ 4) สมาธิและความจ�า และ 5) พฤติกรรมติดสารเสพติด ผวู้ จิ ยั ขออนญุ าตใชแ้ บบวดั ภาระในการดแู ลของผดู้ แู ลผปู้ ว่ ย ลักษณะค�าตอบเป็นมาตรวัดประมาณค่า (rating Scale) เร้ือรังของโดย Toonsiri, Sunsern & Lawang (2011) ท่ี 4 ระดบั ก�าหนดคะแนนตง้ั แต่ 0 - 3 คะแนน (ไมเ่ กดิ เลย พัฒนาเป็นฉบับภาษาไทยจากแบบวัดภาระในการดูแล ถึงเกิดมากท่ีสุด) น�าแบบวัดนี้ไปทดลองใช้กับผู้ดูแลผู้ท่ี (Zarit Burden Interview) ของ Zarit (1990) น�ามาใช้ เจ็บปว่ ยทางจิตเวช จ�านวน 30 ราย มคี า่ ความเชื่อมน่ั .87 กับญาติผู้ดูแลผู้ป่วยโรคเร้ือรังในจังหวัดชลบุรี จ�านวน คะแนนรวมอยใู่ นชว่ ง 0-87 คะแนน ถา้ คะแนนสงู แสดงวา่ 501 ราย มคี า่ สมั ประสทิ ธ์ิแอลฟา่ ของครอนบาคได้ .92 มี ญาติผู้ดูแลมีการรับรู้ความรุนแรงของโรคสูง การแปลผล ข้อค�าถาม 22 ข้อ ครอบคลมุ 4 ด้าน คอื 1) ความตงึ เครียด เพื่อการบรรยายมี 3 ระดับ (Poonnotok, 2002) คือ สว่ นบคุ คล 2) ความขัดแย้งในตนเอง 3) ความรู้สึกผดิ และ ค่าคะแนนอยู่ในช่วง 0-29, 29.1-58, 58.1-87 หมายถึง 3) เจตคติที่ไม่แน่นอน ลักษณะค�าตอบเป็นมาตรวัด การรับรู้ความรุนแรงโรคของในระดับต�่า ปานกลาง สูง ประมาณคา่ (rating scale) 5 ระดบั คะแนนตง้ั แต่ 0-4 ตามล�าดบั คะแนน (ไมเ่ คยเลยถงึ ประจา� ) คะแนนรวมอยูใ่ นชว่ ง 0-88 คะแนน ถ้าคะแนนสงู แสดงว่า ญาติผ้ดู ูแล มีการรบั ร้ภู าระ 2.2 แบบประเมินพลังสุขภาพจิตญาติผู้ดูแล การดูแลอยู่ในระดับมาก การแปลผลเพ่ือการบรรยายมี พัฒนาโดยกรมสุขภาพจิต (2552) มีข้อค�าถาม 20 ข้อ 4 ระดบั (Zarit,1990) คะแนนอยู่ระหวา่ ง <21, 21-40, ครอบคลุม 3 ดา้ น คอื ดา้ นความทนทางอารมณ์ ดา้ นการ 41-60, 61-88 หมายถึง การรับรู้ภาระการดูแลในระดับ มีขวัญและก�าลังใจ และด้านการจัดการกับปัญหา ที่มีค่า นอ้ ยถงึ ไมเ่ ปน็ ภาระ, ปานกลาง, ปานกลางถงึ รนุ แรง และ ความเช่ือมั่นเท่ากับ 0.85 ลักษณะค�าตอบเป็นมาตรวัด รุนแรง ตามล�าดับ ประมาณคา่ (rating Scale) 4 ระดับ ก�าหนดคะแนนตัง้ แต่ ปVoีทl่ีu2m8eฉบ28ับทNี่o2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

112 ปัจจยั ทา� นายความพรอ้ มในการดูแลผ้ทู ีเ่ จ็บปว่ ยทางจติ เวชของญาติผ้ดู ูแล วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ จังหวดั ชลบรุ ี มหาวิทยาลยั บรู พา 2.5 แบบประเมนิ มมุ มองดา้ นบวกจากการดแู ล ความชดั เจนของเนอื้ หา หลงั จากนนั้ ผวู้ จิ ยั นา� แบบสมั ภาษณ์ คณะผู้วิจัยขออนุญาตใช้แบบประเมินมุมมองด้านบวก มาปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะ และน�าข้อมูลท่ีได้ ในการดูแลของ Pankong & Pothiban (2018) พฒั นา มาหาดชั นคี วามตรงตามเนอื้ หา (Content validity index เป็นฉบับภาษาไทยจากแบบมุมมองด้านบวกในการดูแล [CVI]) พบว่า ทัศนคติต่อการดูแลและความพร้อมใน (Positive Aspect of Caregiving Scale) ของ Tarlow การดูแลมีค่าความตรงตามเน้ือหาอยู่ในระดับท่ียอมรับได้ et al. (2004) น�ามาใชก้ ับผู้ดแู ลผ้สู ูงอายภุ าวะสมองเสื่อม (Srisatitnarakoon, 2012) คือ 1.00 และ .96 ตามล�าดบั 72 ราย มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาคได้ .76 และน�าเครื่องมือท้ังหมดไปทดลองใช้ในญาติผู้ดูแลที่มี มีขอ้ ค�าถาม 9 ขอ้ ครอบคลุม 2 ด้าน ไดแ้ ก่ 1) การยนื ยัน ลักษณะใกล้เคยี งกบั กลุ่มตัวอยา่ งจา� นวน 30 คน นา� ข้อมูล ความรสู้ กึ เชงิ บวกจากการดแู ล และ 2) การมองชวี ติ เชงิ บวก ที่ได้มาค�านวณหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าครอนบาค ลักษณะค�าตอบเป็นมาตรวัดประมาณค่า (rating Scale) (Cronbach’s Alpha Coefficient) พบว่า เครื่องมือ 5 ระดับ ตั้งแต่ 1-5 คะแนน (ไม่เห็นด้วยอย่างมากถึง ทศั นคตติ อ่ การดแู ล การรบั รภู้ าระการดแู ล พลงั สขุ ภาพจติ เหน็ ดว้ ยอยา่ งมาก) คะแนนรวมอยใู่ นชว่ ง 9-45 คะแนน ถา้ มมุ มองดา้ นบวกจากการดแู ล และความพร้อมในการดแู ล คะแนนสงู แสดงวา่ ญาตผิ ดู้ แู ลมมี มุ มองเชงิ บวกอยใู่ นระดบั มคี า่ ความเชอ่ื มน่ั อยใู่ นระดบั ทยี่ อมรบั ได้ (Srisatitnarakoon, สูง การแปลผลเพ่ือการบรรยายมี 3 ระดับ (Best & Kahn, 2012) คือ .71, .96, .85, .92 และ .93 ตามล�าดับ 2006) คอื คา่ เฉลย่ี ปรบั ฐานอยใู่ นชว่ ง 1.00-2.33, 2.34-3.67, 3.68-5.00 หมายถงึ มมุ มองดา้ นบวกจากการดแู ลในระดบั วิธีการรวบรวมข้อมูล น้อย ปานกลาง และมาก ตามล�าดับ ภายหลังได้รับการอนุมัติการพิจารณาจริยธรรม การวจิ ยั ในนษุ ยฉ์ บบั ที่ sci 049/2561 คณะผวู้ จิ ยั ดา� เนนิ การ ส่วนท่ี 3 แบบสัมภาษณ์ความพร้อมในการดูแล เตรียมความพร้อมผู้ช่วยนักวิจัยจ�านวน 4 คน ซ่ึงเป็น ผู้ท่ีเจ็บป่วยทางจิตเวชของญาติผู้ดูแล คณะผู้วิจัยพัฒนา พยาบาลวิชาชีพท่ีมีประสบการการดูแลผู้ที่เจ็บป่วย เคร่ืองมือจากแบบประเมินการเตรียมความพร้อมส�าหรับ ทางจิตเวช โดยผู้วิจัยจัดอบรมผู้ช่วยนักวิจัยบรรยาย บทบาทผดู้ แู ล (Lawang, 2013) และการทบทวนวรรณกรรม การท�าความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการวิจัย การเลือกผู้ให้ มขี อ้ คา� ถาม 24 ขอ้ ครอบคลุมความพรอ้ ม 3 ด้าน ได้แก่ ขอ้ มลู วธิ กี ารเกบ็ ขอ้ มลู การตรวจสอบ และการพทิ กั ษส์ ทิ ธ์ิ 1) ด้านการตอบสนองความต้องการของผู้ที่เจ็บป่วย กลุ่มตัวอย่าง เพ่ือให้สามารถเก็บข้อมูลได้อย่างเที่ยงตรง ทางจติ เวช 2) ด้านการตอบสนองความต้องการของตนเอง และเช่ือถือได้ หลังจากน้ันได้ประสานงานกับส�านักงาน และ 3) ด้านการมีข้อมูลข่าวสารและเครือข่ายสนับสนุน สาธารณสขุ จงั หวดั สาธารณสขุ อา� เภอ และ รพ.สต. ในพน้ื ที่ การดูแล ลกั ษณะคา� ตอบเป็นมาตรวัดประมาณค่า (rating ทส่ี มุ่ ไดเ้ พอื่ ชแี้ จงรายละเอยี ดโครงการวจิ ยั ขอความรว่ มมอื Scale) 5 ระดับ ตง้ั แต่ 1-5 คะแนน (พรอ้ มนอ้ ยที่สุดถงึ บคุ ลากรทร่ี บั ผดิ ชอบสมุ่ ทะเบยี นผทู้ เ่ี จบ็ ปว่ ยทางจติ เวชและ มากท่ีสุด) คะแนนรวมอยู่ในช่วง 24 - 120 คะแนน ตดิ ต่อกลุม่ ตวั อยา่ งในเบือ้ งตน้ คะแนนรวมอยใู่ นชว่ ง 24-120 คะแนน ถ้าคะแนนสูง คอื คณะผู้วิจัยและผู้ช่วยนักวิจัยเก็บรวบรวมข้อมูล ญาตผิ ดู้ แู ลความพรอ้ มในการทา� หนา้ ทดี่ แู ลอยใู่ นระดบั มาก จากกลมุ่ ตวั อย่าง รพ.สต. และทบี่ ้านของกลมุ่ ตวั อยา่ งตาม การแปลผลเพื่อการบรรยายมี 3 ระดับ (Best & Kahn, เวลาที่ได้นัดหมายโดยการน�าของอาสาสมัครสาธารณสุข 2006) คือ ค่าเฉล่ียปรับฐานอยู่ในช่วง 1.00-2.33, ประจ�าหมู่บ้านไป โดยเริ่มจากการแนะนา� ตนเอง อธิบาย 2.34-3.67, 3.68-5.00 หมายถึง ความพร้อมในการดูแล วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั ขน้ั ตอนการรวบรวม ขอ้ มลู และ ในระดับน้อย ปานกลาง และมาก ตามล�าดับ ชแี้ จงการพทิ กั ษส์ ทิ ธิ์ รวมทง้ั ตอบขอ้ สงสยั ของกลมุ่ ตวั อยา่ ง เมอ่ื กลมุ่ ตวั อยา่ งสอบถามทา� ความเขา้ ใจ และลงนามยนิ ยอม ผู้วิจัยน�าแบบสัมภาษณ์ทัศนคติต่อการดูแลและ เข้าร่วมในการวิจัย จึงด�าเนินการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัว ความพร้อมในการดูแลท่ีพัฒนาขึ้นไปตรวจสอบความตรง (face-to-face interview) โดยใช้เวลา 45 นาที - 1 ชวั่ โมง ของเนอื้ หาโดยผทู้ รงคุณวุฒิจ�านวน 3 ทา่ น เพ่อื ตรวจสอบ ต่อคน ซึ่งการเก็บข้อมูลด�าเนินการระหว่างเดือนตุลาคม ความถูกต้อง ความครอบคลุม ความสอดคล้อง และ Vปoีทl่ีu2m8eฉบ28ับทNี่o2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

Predictors of Care Readiness for Persons with Psychiatric Illness The Journal of Faculty of Nursing 113 in Family Caregivers, Chonburi Province Burapha University 2561 ถึง มนี าคม พ.ศ. 2562 ด่ืมสุรา (ร้อยละ 11.3) ท้ังน้ี กลมุ่ ตวั อยา่ งมกี ารรับร้ภู าวะ สถติ แิ ละวิธกี ารวเิ คราะห์ขอ้ มลู สุขภาพภาพรวมอยูใ่ นระดับปานกลาง (M = 6.95, SD = ผู้วิจัยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ส�าเร็จรูปในการ 1.12) วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาในการแจกแจง 1.2 ผู้ที่เจ็บป่วยทางจิตเวชที่กลุ่มตัวอย่าง ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉล่ียและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานของ ให้การดูแลมีอายุระหว่าง 11-90 ปี เฉลี่ย 45.96 ปี ขอ้ มลู พนื้ ฐาน และวเิ คราะหอ์ ทิ ธพิ ลของปจั จยั ทา� นาย ดว้ ย (SD = 16.19) อยู่ในช่วงวัยผู้ใหญ่ตอนต้นมากท่ีสุด สถิติวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบข้ันตอน (multiple (20-44 ปี) (ร้อยละ 43.9) เป็นเพศชาย (ร้อยละ 57.1) regression analysis) กา� หนดคา่ ความมนี ยั สา� คญั ทางสถติ ิ มีระยะเวลาเจ็บป่วยระหว่าง 6 เดือนถึง 35 ปี มัธยฐาน ที่ .05 ก่อนการวิเคราะห์ผู้วิจัยท�าการทดสอบข้อตกลง 10 ปี (IQR = 8) 2 ใน 3 มีระยะเวลาการเจ็บปว่ ยอยูใ่ นชว่ ง เบอื้ งต้นของการใชส้ ถิตนิ ้ี พบว่า มี normal distribution 10 ปี คอื ชว่ ง 1-5 ปี (รอ้ ยละ 32.6) และชว่ ง 6-10 ปี และ เป็นอสิ ระตอ่ กัน (ไม่มี autocorrelation) เป็นไปตาม (ร้อยละ 32.9) มากกว่า 1 ใน 3 มีโรคร่วมกับการป่วย ขอ้ ตกลงเบอ้ื งตน้ ทางจติ เวช (ร้อยละ 38.1) 3 อันดับแรกคอื โรคความดนั โลหิตสูง โรคเบาหวาน และโรคไขมันในเลือดสูง ส�าหรับ ผลการวจิ ัย ความรนุ แรงของโรคพบวา่ กลมุ่ ตวั อยา่ งรบั รวู้ า่ ผทู้ เี่ จบ็ ปว่ ย ผลการวิจัยน�าเสนอเป็น 4 ส่วน ได้แก่ 1) ข้อมูล ทางจิตเวชท่ีดูแลมีความรุนแรงภาพรวมอยู่ในระดับ ปานกลาง (M = 16.40, SD = 6.84) พ้ืนฐาน 2) ปัจจัยที่เก่ียวข้อง 3) ความพร้อมในการดูแล และ 4) ปจั จัยท�านายความพร้อมในการดแู ล 1.3 กลุ่มตัวอย่างมีความสัมพันธ์เป็นบิดา/ มารดา (ร้อยละ 37.1) และพี่/น้องดูแลกันมากที่สุด 1. ขอ้ มลู พนื้ ฐาน (รอ้ ยละ 37.1) รองลงมาคอื เปน็ บตุ ร (รอ้ ยละ 19.7) เปน็ 1.1 ญาติผู้ดูแลท่ีเป็นกลุ่มตัวอย่างมีอายุ สาม/ี ภรรยา (ร้อยละ 13.9) และญาติ (รอ้ ยละ 4.5) ตาม ล�าดับ โดยส่วนใหญใ่ ห้เหตผุ ลของการรับบทบาทผู้ดแู ลว่า ระหว่าง 18-85 ปี เฉลยี่ 53.2 ปี (SD = 14.29) อยใู่ นชว่ ง เป็นหนา้ ท่ี (ร้อยละ 82.3) มีจา� นวนชว่ั โมงในการดูแลเฉล่ยี วยั กลางคนมากทส่ี ดุ (45-59 ปี) (รอ้ ยละ39.4) มากกวา่ 2 9.1 ชว่ั โมงต่อวัน (SD = 5.08) โดยมากกวา่ คร่ึงดแู ลเฉล่ยี ใน 3 เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 70.6) ส่วนมากมสี ถานภาพคู่ 1-6 ชวั่ โมงตอ่ วนั (รอ้ ยละ 57.4) ระยะเวลาในการดแู ลเฉลย่ี (รอ้ ยละ 61.9) เกอื บทง้ั หมดไดร้ บั การศกึ ษา (รอ้ ยละ 95.2) 9.8 ปี (SD = 7.99) โดยประมาณ 2 ใน 3 ดแู ลน้อยกว่า เกอื บ 2 ใน 3 ประกอบอาชีพ (ร้อยละ 61.3) โดยสว่ นมาก 10 ปี (ร้อยละ 66.1) ทเี่ หลอื ดูแลมากกวา่ 10 ปี (ร้อยละ ประกอบอาชีพนอกบ้าน (ร้อยละ 73.7) ซ่ึงประมาณ 1 ใน 33.9) 3 ระบุว่า การดูแลส่งผลต่อการประกอบอาชีพ (ร้อยละ 32.1) คือ ท�าให้ต้องลดจ�านวนชั่วโมง/หยุดท�างาน และ กิจกรรมการดูแล 5 อันดับแรกคือ ดูแลให้ การดูแลผู้ป่วยยังส่งผลต่อสถานะทางการเงิน (ร้อยละ ได้รับยาและจัดการอาการข้างเคียงของยา (รอ้ ยละ 89.0) 36.8) คือ ท�าให้ไมม่ ีเงินออม/มีหนสี้ ิน สนับสนุนการทา� กจิ กรรมทางศาสนา (ร้อยละ 88.3) ดแู ล ทางดา้ นการเงิน-ค่าใชจ้ ่ายประจ�าวนั (ร้อยละ 81.9) ดูแล กลมุ่ ตวั อยา่ งเกอื บครงึ่ มโี รคประจา� ตวั (รอ้ ยละ ให้ไดร้ ับยาและจัดการอาการขา้ งเคียง (ร้อยละ 81.4) และ 48.7) โดย 3 อันดับแรกคือ โรคความดันโลหิตสูง กลุ่ม ดแู ลจดั การอาการทางจติ เวช (รอ้ ยละ 74.4) โดยมขี อ้ จา� กดั อาการผดิ ปกตริ ะบบกระดกู และกลา้ มเนอื้ และโรคเบาหวาน ในการท�ากจิ กรรมการดูแลหลายประการ ซ่ึง 5 อนั ดบั แรก บางส่วนไม่ได้รับการจัดการโรคอย่างต่อเนื่อง (ร้อยละ คือ ความรู้ไม่เพียงพอส�าหรับการดูแลผู้ที่เจ็บป่วยทาง 16.6) เนอ่ื งจากไม่มเี วลา (ทา� งาน/ไมม่ ีคนช่วยดแู ล) และ จติ เวช (ร้อยละ 87.1) ภาระการเงิน (รอ้ ยละ 84.8) ภาระ คิดว่าไม่จ�าเป็น/ไม่ส�าคัญ ส่วนใหญ่ไม่เคยออกก�าลังกาย การท�างาน (ร้อยละ 72.3) ปัญหาอารมณ์/สุขภาพจิต (ร้อยละ 88.4) เพียงครึ่งหน่ึงที่ได้รับการตรวจสุขภาพ (ร้อยละ 70.8) และปัญหาสุขภาพกาย (ร้อยละ 55.6) (ร้อยละ 50.0) มากกวา่ 1 ใน 3 มปี ญั หาเร่ืองการนอนหลับ (รอ้ ยละ 35.5) และบางส่วนสบู บหุ รี่ (ร้อยละ 16.8) และ Vปoีทl่ีu2m8eฉบ28ับทN่ีo2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

114 ปัจจัยท�านายความพร้อมในการดูแลผู้ท่ีเจบ็ ปว่ ยทางจติ เวชของญาตผิ ู้ดแู ล วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ จงั หวดั ชลบุรี มหาวิทยาลยั บูรพา นอกจากนี้ ส่วนใหญ่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการดูแล รองลงมาคือ ด้านการตอบสนองความต้องการของผู้ท่ี ผู้เจบ็ ป่วยเรือ้ รัง (รอ้ ยละ 86.5) สว่ นน้อยได้รับการอบรม SขเจD้อบ็ aมปdjูล่ว=ขย0่าท.วา8สง3สจา)�าิตรหเแวรลชับะข(เMค้อaรมdือูjล=ขค่าว2ยา.7มส8พน,ัรบS้อสDมนadรุนjา=ย(ข0M้อ.7aพd5jบ) =แว่ลา2ะก.ด7ล้า1นุ่ม, เพ่ือการดูแลจากสถานบริการสุขภาพจากโรงพยาบาล ตัวอย่างมีความพร้อมในการดูแลรายข้อส่วนใหญ่อยู่ใน (ร้อยละ 17.7) และน้อยกว่าครึ่งมีผู้ช่วยเหลือในการดูแล ระดบั ปานกลาง โดยความพรอ้ มในการดแู ลสงู สดุ 5 อนั ดบั (รอ้ ยละ 42.6) แรกคือ การจัดการให้ผูป้ ว่ ยได้รบั ประทานยา (M = 3.45, SD = 1.06) การสรา้ งสมั พนั ธภาพ/ลดความขัดแย้งตนเอง 2. ปจั จยั อน่ื ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ความพรอ้ มในการดแู ล กับคนอ่ืน (M = 3.37, SD = 1.02) การส่งเสริมใหผ้ ปู้ ว่ ย กลุ่มตัวอย่างมีพลังสุขภาพจิตภาพรวมอยู่ใน ดูแลสขุ อนามยั ดว้ ยตนเอง (M = 3.15, SD = 1.09) การมี สมาชกิ ในครอบครวั ทเ่ี ขา้ ใจและพรอ้ มชว่ ยเหลอื (M = 3.13, ระดบั ตา่� กวา่ เกณฑ์ (Madj = 54.2, SD = 10.6) มกี ารยอมรบั SD = 1.03) และการมบี คุ ลากรทางดา้ นสขุ ภาพทเ่ี ขา้ ใจและ ในการท�าบทบาทการดูแลของตนเองในระดับปานกลาง พร้อมช่วยเหลอื (M = 3.08, SD = 1.05) แตก่ ม็ ีบางข้อท่ี (Madj = 7.86, SD = 1.84) ทศั นคตติ อ่ ผทู้ เ่ี จบ็ ปว่ ยทางจติ เวช มคี วามพรอ้ มในระดับตา�่ ได้แก่ ความพรอ้ มในเร่ืองข้อมลู และการดแู ลผทู้ เี่ จบ็ ปว่ ยทางจติ เวชในภาพรวมอยใู่ นระดบั ข่าวสารเก่ียวกับการท�าหน้าที่ผู้ดูแล (M = 2.30, SD = ตา�่ (Madj = 3.33, SD = 0.60) มมุ มองเชงิ บวกจากการดูแล 1.06) เร่ืองข้อมูลข่าวสารเก่ียวกับกฎหมาย และสิทธิ โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก (Madj = 3.69, คุ้มครองผ้ปู ว่ ย (M = 2.32, SD = 1.07) การจัดกิจกรรม/ SD =0.79) และการรับรู้ภาระการดูแลอยู่ในระดับน้อย ส่งเสริมให้เข้าร่วมกิจกรรมจิตวิญญาณ (M = 2.32, ถงึ ปานกลาง (M = 24.86, SD = 17.80) SD = .84) เร่อื งโรคจติ เวช สาเหตุ และรักษาผู้ทีเ่ จ็บปว่ ย ทางจติ เวช (M = 2.33, SD = .84) 3. ความพรอ้ มในการดแู ลผทู้ เ่ี จบ็ ปว่ ยทางจติ เวช กลมุ่ ตวั อยา่ งมีการรบั รวู้ า่ ตนเองมคี วามพร้อม ในการดูแลผู้ที่เจ็บป่วยทางจิตเวชภาพรวมอยู่ในระดับ ปานกลาง (Madj = 2.79, SDadj = 0.70) เม่ือพิจารณา รายดา้ นพบวา่ มคี วามพรอ้ มในการดแู ลทกุ ดา้ นอยใู่ นระดบั ปานกลาง โดยมีความพร้อมด้านการตอบสนองความ ต้องการของตนเองมากที่สุด (Madj = 2.87, SDadj = 0.81) ตารางที่ 1 ความพรอ้ มในการดูแลผู้ท่ีเจบ็ ปว่ ยทางจิตเวชของญาติผูด้ แู ลโดยรวม และรายดา้ น (n=130) ความพร้อมในการดูแล คะแนนท่ี คะแนน คะแนนเฉล่ยี คะแนนเฉลี่ย แปลผล ของญาติผ้ดู แู ล เปน็ ไปได้ จรงิ (SD) ปรบั ฐาน (SD) ปานกลาง ปานกลาง ความพร้อมโดยรวม 27-135 27 - 120 67.06(16.83) 2.79(0.67) ปานกลาง - ดา้ นการตอบสนองความต้องการ 11-55 11-50 27.82(7.51) 2.78(0.75) ปานกลาง ของผทู้ ่เี จ็บป่วยทางจิตเวช 9-45 9-40 22.99(6.51) 2.87(0.81) - ด้านการตอบสนองความต้องการ 7-35 7 - 30 16.25(4.99) 2.71(0.83) ของตนเอง - ด้านการมีข้อมูลข่าวสาร แหลง่ สนับสนุน และเครือข่าย 4. ปจั จยั ทร่ี ว่ มกนั ทา� นายความพรอ้ มในการดแู ล ทางจิตเวชของญาติผู้ดูแล โดยใช้สถิติถดถอยพหุคูณ ผู้ที่เจ็บป่วยทางจติ เวชของญาติผ้ดู ูแล แบบขน้ั ตอน การเลอื กตวั แปรโดยวธิ เี พมิ่ ตวั แปรอสิ ระแบบ ขนั้ ตอน (Stepwise Regression) พบวา่ ตวั แปรทถี่ กู เลอื ก ผลการวเิ คราะหค์ วามสมั พนั ธเ์ ชงิ ทา� นายระหวา่ ง เขา้ สมการรว่ มกนั ทา� นายความพรอ้ มในการดแู ลผทู้ เ่ี จบ็ ปว่ ย ปัจจัยที่เก่ียวข้องกับความพร้อมในการดูแลผู้ท่ีเจ็บป่วย Vปoีทlี่u2m8eฉบ28ับทNี่o2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

Predictors of Care Readiness for Persons with Psychiatric Illness The Journal of Faculty of Nursing 115 in Family Caregivers, Chonburi Province Burapha University ทางจิตเวชของญาติผู้ดูแลมี 5 ตัวแปร ได้แก่ ทัศนคติ ไดร้ อ้ ยละ 40.2 (R2 = .402, F = 40.861, p < .001) โดย เกีย่ วกับผปู้ ว่ ยและการดแู ล (B = .407, p < .001) ปญั หา สามารถเขยี นเปน็ สมการถดถอยในรปู ของคะแนนมาตรฐาน สุขภาพกายผดู้ แู ล (B = -.237, p < .001) อายุของผดู้ แู ล ของความพรอ้ มในการดแู ลผทู้ เ่ี จบ็ ปว่ ยทางจติ เวชของญาติ (B = -.206, p < .001) มมุ มองเชงิ บวกเกย่ี วกับการดูแล ผ้ดู ูแลภาพรวมได้ดังน้ี (รายละเอยี ดดังตารางท่ี 2) (B = .153, p < .01) และการไดร้ บั การเตรยี มกอ่ นดแู ล Z = .407 (Z ) -ความพร้อมของญาตผิ ู้ดแู ลภาพรวม (B = .126, p < .01) ซึ่งสามารถอธิบายความพร้อม ทัศนคตขิ องญาติผ้ดู ูแล ในการดูแลผู้ท่ีเจ็บป่วยทางจิตเวชของญาติผู้ดูแลภาพรวม .237 (Z )ปัญหาสุขภาพกายผู้ดูแล - .206 (Z )อายุของผู้ดูแล + .153 (Z ) + .126 (Z )มุมมองเชงิ บวกจากการดแู ล การได้รบั การเตรยี มก่อนดแู ล ตารางท่ี 2 ค่าการวเิ คราะหก์ ารถดถอยระหว่างตัวทา� นายความพรอ้ มในการดูแลผู้ป่วยจติ เวชของญาตผิ ดู้ ูแล ตัวแปรที่เขา้ สมการ b Beta t p-value ทัศนคติตอ่ การดแู ล 1.142 .407 7.546 .000 ปญั หาสุขภาพของผดู้ ูแล 7.980 -.237 4.835 .000 อายุของผู้ดแู ล -.242 -.206 -4.264 .000 มมุ มองเชงิ บวกเกยี่ วกบั การดูแล .360 .153 2.860 .005 การได้รบั การอบรมก่อนการดแู ล 6.016 .126 2.752 .006 คา่ คงท่ี 25.081 4.672 .000 R = .634, R2 = .402, R2 = .392, F = 40.861, p < .001 adj การอภปิ รายผล เกิดความเสื่อมถอยของบุคลิกภาพ อารมณ์ และการรับรู้ การศึกษาความพร้อมในการดูแลผู้ที่เจ็บป่วย อย่างถาวร มีการพยากรณ์ของโรคไม่ดี (Sfera, 2015, Thongsai, 2015) จากอาการที่เปลี่ยนแปลงเช่นนี้ท�าให้ ทางจติ เวชของญาตผิ ู้ดูแล และปัจจยั ทที่ �านายความพร้อม การบา� บดั ไมม่ กี า� หนดเวลาสน้ิ สดุ แนน่ อนหรอื เปน็ การบา� บดั ดงั กลา่ วในบรบิ ทพน้ื ทจ่ี งั หวดั ชลบรุ ี ซง่ึ เปน็ การศกึ ษาทชี่ ว่ ย จติ ในระยะยาว (Trangkhasombat, 2018) จงึ อาจท�าให้ เติมเต็มองค์ความรู้ด้านการดูแลผู้ที่เจ็บป่วยทางจิตเวช การทา� บทบาทของผดู้ แู ลมกี ารเปลย่ี นผา่ นเกดิ ขน้ึ หลายครง้ั ในระยะยาวในชุมชน ผู้วิจัยได้แบ่งอภิปรายผลการศึกษา ตามสถานการณท์ เ่ี ปลย่ี นไป หรอื บางครง้ั การเปลย่ี นผา่ นก็ เป็น 2 ส่วนตามวัตถปุ ระสงค์ ดังน้ี ยังไม่สมบูรณ์จนยังไม่มีความพร้อมหรือมีความพร้อม ค่อนข้างนอ้ ยในการจัดการบทบาทผดู้ แู ลดังผลการวจิ ัย 1. ความพรอ้ มในการดแู ลผทู้ เ่ี จบ็ ปว่ ยทางจติ เวช ของญาติผู้ดแู ล จงั หวดั ชลบุรี นอกจากน้ียังอธิบายได้ว่า ความพร้อมในการ ดูแลผู้ที่เจ็บป่วยทางจิตเวชเป็นผลลัพธ์ของกระบวนการ การศึกษาสะท้อนภาพความพร้อมของญาติ เปลี่ยนผ่านของญาติผู้ดูแลผ่านเง่ือนไขท่ีเอ้ือหรือเป็น ผู้ดูแลว่า มีความพร้อมในการดูแลผู้ท่ีเจ็บป่วยทางจิตเวช อุปสรรค อาทิ เง่ือนไขสว่ นบคุ คล ญาตผิ ดู้ แู ลมากกวา่ ครึง่ ทบี่ า้ นทง้ั ภาพรวมและรายดา้ นอยใู่ นระดบั ปานกลางทคี่ อ่ น จบระดบั ประถมศึกษา และ เกือบ 2 ใน 3 ประกอบอาชีพ มาทางระดบั ตา�่ ซง่ึ สามารถอธบิ ายตามทฤษฎกี ารเปลย่ี นผา่ น นอกบา้ นจงึ มภี าระการทา� งานเพอ่ื หารายไดใ้ หก้ บั ครอบครวั ของเมลสิ (Meleis, 2010) ไดว้ า่ ญาตผิ ดู้ แู ลมกี ารเปลย่ี นผา่ น เมอื่ ตอ้ งเพมิ่ บทบาทการเปน็ ผดู้ แู ล จงึ กระทบกบั การมภี าระ จากสภาวะที่ไม่ต้องดูแลไปสู่อีกสภาวะท่ีต้องดูแลผู้ท่ี ด้านการเงิน และส่วนมากมีข้อจ�ากัดหรือปัญหาในการท�า เจ็บป่วยทางจิตเวช รวมถึงการเปลี่ยนผ่านจากกสภาวะท่ี กจิ กรรมการดแู ลหลายประการ โดยเฉพาะความรไู้ มเ่ พยี งพอ อาการคงที่ไปสู่สภาวะท่ีอาการเส่ือมถอย เนื่องจากโรคน้ี ส�าหรบั การดแู ลผ้ทู ี่เจบ็ ปว่ ยทางจติ เวช โดยเฉพาะประเดน็ มกั ไมห่ ายเปน็ ปกตเิ หมอื นเดมิ อาการกา� เรบิ หรอื เปลย่ี นแปลง ความพร้อมในเรื่องของความรู้เรื่องโรคทางจิตเวช อาการ กะทันหัน และยิ่งป่วยเรื้อรังนานเท่าใดจะยิ่งปรากฏภาวะ ความบกพร่องทางเชาวน์ปัญญาและความคิดมากข้ึน ปVoีทl่ีu2m8eฉบ28ับทNี่o2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

116 ปจั จยั ท�านายความพร้อมในการดแู ลผทู้ ่ีเจ็บป่วยทางจิตเวชของญาตผิ ดู้ แู ล วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ จงั หวัดชลบรุ ี มหาวทิ ยาลยั บรู พา และการรักษา ความพร้อมในเร่ืองข้อมูลข่าวสารเก่ียวกับ สุขภาพของผดู้ แู ล อายขุ องผดู้ แู ล มุมมองเชงิ บวกเกย่ี วกับ กฎหมาย สิทธิ คุ้มครอง อีกทั้งกลุ่มตัวอย่างส่วนมาก การดูแล และการได้รับการอบรมก่อนการดูแลสามารถ ยังไม่มีประสบการณ์การดูแลผู้ท่ีเจ็บป่วยทางจิตเวช ซึ่ง รว่ มกนั ทา� นายความพรอ้ มในการดแู ลผทู้ เี่ จบ็ ปว่ ยทางจติ เวช การศึกษาในครอบครัวที่ดูแลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บทางจิตเวช ของญาติผดู้ แู ลภาพรวมไดร้ ้อยละ 40.2 (R2 = .402, F = (Thiensan, 2018) พบว่า ครอบครัวไม่มีความพร้อม 40.861, p < .001) ซงึ่ สามารถอธบิ ายเหตผุ ลไดว้ า่ ทศั นคติ ในการรับผู้ท่ีเจ็บป่วยทางจิตเวชไปดูแลต่อเน่ือง อีกทั้ง เป็นปัจจัยพื้นฐานภายในตัวบุคคลที่เป็นความรู้สึกว่า การท�าบทบาทหน้าที่ผู้ดูแลผู้ที่เจ็บป่วยทางจิตเวชยังมี เหน็ ด้วย/ไมเ่ ห็นดว้ ยตอ่ ส่ิงหน่งึ ส่งิ ใด (Meleis, 2010) ซง่ึ กิจกรรมซับซ้อน (Poonnotok, Thampanichawat, ทัศนคติต่อการดูแลจะกระตุ้นหรือชี้น�าให้ญาติผู้ดูแล Patoomwan, & Sangon, 2016) จึงทา� ใหค้ วามพรอ้ มใน มีแนวโน้มเผชิญกับบทบาททั้งทางบวกและลบ จึงเป็น เร่ืองการรบั รูบ้ ทบาทนอ้ ยลงไปดว้ ย ดังข้อมลู ทีญ่ าตผิ ู้ดูแล ปัจจัยเอ้ือหรือขัดขวางให้ญาติผู้ดูแลเกิดความพร้อม ส่วนใหญ่ยอมรับบทบาทการเป็นผู้ดูแลเพราะเป็นหน้าที่ ในการดูแล การมีทัศนคติที่ดีต่อการดูแลผู้ที่มีการป่วย และบางคนไม่มีทางเลือกในการรบั บทบาท ทางจติ เวช เชน่ ไมก่ ลัว ไมร่ งั เกยี จ หรอื การดูแลเปน็ สง่ิ ท่ี ท�าได้ ไม่อันตราย ต้องช่วยกัน ก็จะมีแนวโน้มที่จะพร้อม ความพร้อมในเรื่องข้อมูลข่าวสารเก่ียวกับ ตอบสนองความต้องการของผู้ป่วย พร้อมตอบสนอง การท�าบทบาทหน้าที่ผู้ดูแลมีคะแนนต่�าที่สุดเม่ือเทียบกับ ความต้องการของตนเอง และพร้อมด้วยแหล่งสนับสนุน/ ความพรอ้ มเรอ่ื งอน่ื แสดงวา่ กลมุ่ ตวั อยา่ งยงั ขาดเครอื ขา่ ย/ ข้อมูลขา่ วสาร สอดคลอ้ งกบั การศกึ ษาทศั นคตใิ นการดแู ล แหลง่ ประโยชนส์ นบั สนนุ การดแู ล ซง่ึ เปน็ เงอ่ื นไขของชมุ ชน ผู้ป่วยจิตเวชของครอบครัวมีความสัมพันธ์ทางบวกกับ - เงือ่ นไขสังคม นอกจากนี้ สว่ นใหญ่ไมเ่ คยมีประสบการณ์ พฤตกิ รรมการดแู ล (Sutawatnatcha, 2016) เชน่ เดยี วกนั ในการทา� หนา้ ทผี่ ดู้ แู ลผปู้ ว่ ย และยงั ไมไ่ ดร้ บั การเตรยี มจาก ทัศนคติมีความสัมพันธ์กับความพร้อมในการดูแลและ สถานบริการสุขภาพจากโรงพยาบาล ไม่ทราบข้อมูลและ การปฏบิ ตั กิ ารดแู ลผสู้ งู อายทุ อี่ ยใู่ นภาวะพง่ึ พงิ (Mahamad, เครือข่าย จึงไม่เป็นไปตามตามกรอบนวัตกรรมการดูแล 2018; Piriyajaratchai, 2017) ทัศนคติต่อการดูแลจึงมี ผู้ป่วยเรื้อรัง (WHO, 2002) ที่อธิบายว่าการจะยกระดับ ความสมั พนั ธท์ างบวกและสามารถรว่ มกนั ทา� นายความพรอ้ ม ความพร้อมในการปฏิบัติบทบาทเพื่อส่งเสริมคุณภาพ ในการดแู ลผูท้ ่เี จบ็ ป่วยทางจิตเวชของญาติผ้ดู แู ลได้ ของชีวิตของผู้มีภาวะเร้ือรังและครอบครัวได้นั้น ต้องมี ปฏิสัมพันธ์เชิงระบบผ่านการการดูแลร่วมกันของภาคี ญาติผู้ดูแลที่มีปัญหาสุขภาพท�าให้มีอ�านาจ เครอื ข่าย ได้แก่ ผมู้ ภี าวะเร้ือรังและครอบครัว ทมี สุขภาพ ในการรว่ มทา� นายความพรอ้ มในการดแู ลน้อยลงเน่ืองจาก เชิงรกุ และเครือข่ายชมุ ชน ดว้ ยวธิ ีการท่ีสา� คญั 3 ประการ การทญี่ าติผดู้ แู ลมีปัญหาสขุ ภาพกจ็ ะกังวล ตอ้ งจัดการกบั คือ 1) การกระตนุ้ /สร้างแรงจูงใจในการดแู ล 2) การได้รับ ปัญหาตนเอง ขาดแรงจูงใจในการท�าหน้าที่ผู้ดูแล เปรียบ การเตรยี ม/อบรม และ 3) การไดร้ ับสนับขอ้ มูลข่าวสาร/ เสมอื นอปุ สรรคในการทา� บทบาทดงั ทญ่ี าตผิ ดู้ แู ลสะทอ้ นใน แหล่ง จึงท�าให้กลุ่มตัวอย่างขาดความพร้อมในการดูแล ขอ้ จา� กดั ของการดูแล จะน�าพาใหญ้ าตผิ ู้ดูแลมคี วามพรอ้ ม สอดคล้องกับการศึกษาในกลุ่มผู้ดูแลที่เป็นผู้มีความส�าคัญ ในการดแู ลนอ้ ยลง สอดคล้องกบั การศกึ ษาทพี่ บว่า ภาวะ ในการดูแลผู้ปว่ ยโรคเรอ้ื รงั เป็นคนส�าคัญในการดูแลแต่ยงั สขุ ภาพของญาตผิ ดู้ แู ลมผี ลตอ่ ความพรอ้ มในการดแู ล และ ขาดความในการดแู ล ทกั ษะการปฏบิ ตั ิ ขอ้ มลู ขา่ วสาร หรอื หากสุขภาพของผู้ดูแลไม่ดีหรือเกิดความเครียดจะท�าให้ เครอื ข่าย (Fiest, Mclntosh, Demiantschuk, Leigh, & ประสทิ ธภิ าพการดแู ลผปู้ ว่ ยระยะสดุ ทา้ ย ไดล้ ดลง (Luvira, Stelfox, 2018; Davidson, Abshire, Paull & Szanton, 2013) เม่ือรวมกับปัจจัยอายุ โดยอายุของผู้ดูแลมีความ 2018) สมั พนั ธท์ างลบและชว่ ยเพมิ่ อา� นาจรว่ มกนั ทา� นายความพรอ้ ม ในการดูแลมากข้ึน ซึ่งอายุเป็นปัจจัยพื้นฐานของบุคคลที่ 2. ปัจจัยที่ร่วมท�านายความพร้อมในการดูแล บ่งบอกถงึ พละกา� ลงั พลงั ในการจดั การปญั หา บุคคลทอ่ี ายุ ผ้ทู ี่เจ็บปว่ ยทางจติ เวชของญาตผิ ดู้ แู ล มากข้ึนย่อมมีความเส่ือมถอยของร่างกายซึ่งอาจจะส่งผล ผลการศกึ ษาพบวา่ ทศั นคตติ อ่ การดแู ล ปญั หา Vปoีทlี่u2m8eฉบ28ับทN่ีo2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

Predictors of Care Readiness for Persons with Psychiatric Illness The Journal of Faculty of Nursing 117 in Family Caregivers, Chonburi Province Burapha University ตอ่ การรบั รถู้ งึ ความพรอ้ มในการปฏบิ ตั กิ จิ กรรม การศกึ ษาน้ี ทางบวกกับความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือด พบว่า ญาติผู้ดูแลกลุ่มตัวอย่างมีอายุเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มผู้ท่ี สมอง (Boonchuwong, Saneha, Pinyopasakul, & เจ็บป่วยทางจิตเวช ประกอบกับยังเป็นบิดา/มารดาของผู้ Nilanont, 2017) ป่วยมากท่ีสุดซ่ึงต่างจากผู้ป่วยทางกายอื่น เช่น คนพิการ ทางการเคล่ือนไหวท่ีมีอายุน้อยกว่าและเป็นบุตรของผู้รับ จากขา้ งตน้ อาจกลา่ วไดว้ า่ ทศั นคตติ อ่ การดแู ล การดแู ล (Lawang, 2015) ญาตดิ แู ลกลมุ่ นจี้ งึ อาจมรี า่ งกาย ปัญหาสุขภาพของผู้ดูแล อายุของผู้ดูแล มุมมองเชิงบวก ทีอ่ อ่ นล้าและขาดแรงในการเตรียมตนเอง ส่งผลให้มีความ เก่ียวกับการดูแล และการได้รับการอบรมก่อนการดูแล พรอ้ มในการทา� บทบาทนอ้ ยลง สอดคลอ้ งกบั การศกึ ษาการ เป็นองค์ประกอบส�าคัญที่จะช่วยช้ีน�าให้ญาติผู้ดูแล ดแู ลผปู้ ว่ ยพบวา่ ผดู้ แู ลทอ่ี ยใู่ นวยั ผใู้ หญจ่ ะมกี ารดแู ลผปู้ ว่ ย มคี วามพรอ้ มในการดแู ลผทู้ เ่ี จบ็ ปว่ ยทางจติ เวชได้ สอดคลอ้ ง ได้ดกี วา่ ผ้ดู ูแลท่ีมีอายมุ าก (Fiest et al., 2018) แตกตา่ ง กบั แนวคดิ ทฤษฎกี ารเปลยี่ นผา่ นของเมลสิ (Meleis, 2010) กับการดูแลผู้ป่วยมะเร็งท่ีพบว่า ผู้ดูแลท่ีมีอายุน้อยจะมี ท่ีกล่าวไว้ว่า เงื่อนไขท่ีท�าให้บุคคลสามารถเปล่ียนผ่าน ความเครียดในการดูแลมากส่งผลให้มีความพร้อมในการ ตามสถานการณ์และปฏิบัติบทบาทได้ คือ คุณลักษณะ ดแู ลที่น้อยลง (Kent, et al, 2016) ส่วนบุคคล (ปัญหาสุขภาพของผู้ดูแลและอายุของผู้ดูแล) มมุ มองตอ่ เหตกุ ารณท์ เ่ี กดิ ขนึ้ (ทศั นคตแิ ละมมุ มองเชงิ บวก นอกจากนี้ มุมมองเชิงบวกจากการดูแลมี เกย่ี วกบั การดแู ล) สอดคลอ้ งกบั การศกึ ษาในกลมุ่ ผดู้ แู ลผมู้ ี ความสัมพันธ์ทางบวกและช่วยเพิ่มอ�านาจร่วมกันท�านาย อาการเจ็บป่วยทางจิตหรือจิตเภท (Ahmed & Ghaith, ความพร้อมในการดูแลมากขึ้น โดยมุมมองเชิงบวกเป็น 2018) ตลอดจนการได้รับการอบรมก่อนการดูแลเป็น ปัจจัยส�าคัญของบุคคลในการให้ความหมายสิ่งใดส่ิงหน่ึง เง่ือนไขให้บุคคลอย่างญาติผู้ดูแลสามารถที่จะจัดการ (Lawang, 2018) หากญาติผู้ดูแลมองว่า บทบาทหน้าที่ กับการเปลี่ยนผ่านท่ีเกิดข้ึนให้ด�าเนินไปได้ด้วยดี และ ในการดูแลผู้ป่วยนั้นมีความหมายกับชีวิตและรับรู้ว่า สอดคล้องกับแนวนวัตกรรมการดูผู้มีภาวะเร่ือง (WHO, การท�าหน้าท่ีนั้นมีประโยชน์ต่อตนเอง อาทิ ช่วยท�าให้ 2002) ที่ระบุถึงการดูแลผู้มีภาวะเรื้อรังร่วมกันจะเกิด ตนเองมีศักยภาพ หรือได้รับการยอมรับมากข้ึนก็จะมีแรง ประสทิ ธภิ าพสงู สดุ ภาคเี ครอื ขา่ ยจา� เปน็ ตอ้ งไดร้ บั การกระตนุ้ / ในการเตรยี มตนเองสง่ ผลใหม้ คี วามพรอ้ มในการทา� บทบาท สร้างแรงจูงใจในการดูแลจนเกิดการยอมรับทัศนคติที่ดี เพิ่มข้ึน สอดคล้องกับการศึกษาในญาติผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็ง ต่อบทบาท การได้รับการเตรียม/อบรม และการได้รับ ท่ีการมีมุมมองเชิงบวกจะท�าให้มีความพร้อมในการดูแล สนับสนุนขอ้ มูลข่าวสาร/แหล่งกอ่ นการดูแล (Li & Loke, 2013) ปจั จยั สดุ ทา้ ยทรี่ ว่ มทา� นายความพรอ้ ม คือ การได้รับการอบรมก่อนท�าหน้าที่ดูแล ซึ่งเป็นปัจจัย 3. ปจั จยั ทไ่ี มส่ ามารถรว่ มทา� นายความพรอ้ มใน ภายในตวั บคุ คลท่ีช่วยพัฒนาศักยภาพก่อนการท�าบทบาท การดูแลผทู้ เี่ จบ็ ป่วยทางจิตเวชของญาตผิ ู้ดแู ล ของญาตผิ ดู้ แู ล ท�าให้เข้าใจในสถานการณแ์ ละการดูแล มี ทกั ษะ และพรอ้ มในการดแู ลผปู้ ว่ ย ถงึ แมจ้ ะเปน็ ผทู้ ม่ี ปี ญั หา ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยด้านคุณลักษณะของ ซา้� ซ้อนอยา่ งผูท้ เ่ี จ็บปว่ ยทางจิตเวช ประกอบกบั การไดร้ บั ผทู้ เี่ จบ็ ปว่ ยทางจติ เวช คอื อายุ และความรนุ แรงของโรคนน้ั การอบรมจะท�าให้ญาติผู้ดูแลมีเครือข่ายทั้งบุคลากรทาง ไม่สามารถท�านายความพร้อมในการดูแลได้ เนื่องมาจาก สขุ ภาพและเพอื่ นผดู้ แู ลดว้ ยกนั กย็ งิ่ เพมิ่ ความพรอ้ มในดา้ น เมอ่ื มกี ารเจบ็ ปว่ ยเกดิ ขนึ้ แลว้ ไมว่ า่ ผทู้ เี่ จบ็ ปว่ ยจะมอี ายมุ าก แหล่งสนับสนุนการดูแล สอดคล้องกับการศึกษาที่พบว่า หรือน้อย ความรุนแรงโรคเป็นอย่างไร ย่อมจะต้องการ ผู้ดูแลที่ไม่ได้รับการเตรียมมาก่อนจะมีความพร้อมใน ได้รับการดูแล ญาติผู้ดูแลจึงต้องมีการเตรียมความพร้อม บทบาทผดู้ แู ลไมม่ าก (Koonnarong, Thaniwatananont, ในการดูแลไม่แตกต่างกันจึงไม่สามารถน�ามาท�านาย & Kitrungrote, 2012) หากผูด้ แู ลได้รับการอบรมจะชว่ ย ความพรอ้ มได้ สอดคลอ้ งกับการศกึ ษาในกลมุ่ ผู้ดแู ลผู้ป่วย เพมิ่ ความพรอ้ มในการดแู ลผทู้ เี่ จบ็ ปว่ ยทางจติ เภท (Purba, โรคหลอดเลือดสมองท่ีพบว่าระดับการพึ่งพาของผู้ป่วย Suttharangsee & Chaowalit, 2016) หรอื มคี วามสมั พนั ธ์ หรือความรุนแรงของโรค ไม่สามารถท�านายความพร้อม ในการดูแลเชน่ เดยี วกนั (Boonchuwong et al., 2017) ในขณะท่ีปัจจัยด้านคุณลักษณะของญาติผู้ดูแล ได้แก่ Vปoีทlี่u2m8eฉบ28ับทN่ีo2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

118 ปัจจยั ทา� นายความพรอ้ มในการดูแลผทู้ ี่เจ็บปว่ ยทางจิตเวชของญาตผิ ู้ดูแล วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ จงั หวดั ชลบรุ ี มหาวิทยาลยั บูรพา พลังสุขภาพจิตนั้น เป็นปัจจัยพื้นฐานของบุคคลที่สะท้อน ที่ดีต่อผ้ทู ีเ่ จบ็ ป่วยทางจิตเวชและญาตผิ ดู้ ูแล ความสามารถของบุคคลในการปรับตัวและฟื้นตัว แต่ใน 2. พยาบาลชุมชนและบุคลากรสาธารณสุขควร บริบทการดูแลผู้เจ็บป่วยทางจิตเวช ก่อให้เกิดความยาก ลา� บากซง่ึ ภายหลงั ทพี่ บกบั เหตกุ ารณว์ กิ ฤตหรอื สถานการณ์ ประเมินความพร้อมในการดูแลผู้ที่เจ็บป่วยทางจิตเวช นั้นจึงตอ้ งมกี ารเตรยี มความพร้อมในการดูแลไม่แตกตา่ ง ของญาติผู้ดูแลในพ้ืนท่ีรับผิดชอบทุกคน เริ่มตั้งแต่ หลงั ออกจากโรงพยาบาลและระหวา่ งใหก้ ารดแู ลเปน็ ระยะ สว่ นปจั จยั ดา้ นบรบิ ทการดแู ล ไดแ้ ก่ การยอมรบั ครอบคลุมความพร้อม 3 ด้าน เพื่อน�าข้อมูลไปใช้ในการ บทบาท และการรับรู้ภาระการดูแล ไม่สามารถท�านาย ชว่ ยเหลือหรือเสรมิ ความพร้อมของญาตผิ ู้ดแู ล ความพรอ้ มในการดแู ลได้เมอื่ พจิ ารณาจากคา� ถามการยอมรบั ในบทบาทหน้าที่จะให้เป็นค่าคะแนนการยอมรับการเป็น 3. พยาบาลชุมชนและบุคลากรสาธารณสุข ผู้ดูแลหลักเนื่องจากเพราะเป็นหน้าที่ท่ีต้องรับผิดชอบ ควรพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมความพร้อมในการดูแลผู้ที่ ซง่ึ หากมผี เู้ จบ็ ปว่ ยเกดิ ขนึ้ ในครอบครวั ผดู้ แู ลหลกั สว่ นใหญ่ เจ็บป่วยทางจิตเวชของญาติผู้ดูแลผ่านกลวิธีที่หลากหลาย ก็จะเป็นคนในครอบครัว (Goldsmith & Terui, 2018) จงึ ทง้ั การเพมิ่ ทัศนคตทิ ด่ี ตี อ่ การดแู ล การเพม่ิ มมุ มองเชงิ บวก ไมส่ ามารถนา� ปจั จยั นมี้ าทา� นายถงึ ความพรอ้ มในการดแู ลได้ จากการดูแล และให้การอบรมเพ่ิมเติมหรือตามที่ผู้ดูแล แตกตา่ งกบั การศกึ ษาบรบิ ทการดแู ลผปู้ ว่ ยโรคหลอดเลอื ด ตอ้ งการในขณะใหก้ ารดแู ล โดยเฉพาะในญาตผิ ดู้ แู ลทม่ี อี ายุ สมองที่พบว่า การยอมรับในบทบาทผู้ดูแลจะสัมพันธ์กับ มากและมีปัญหาสุขภาพ เพ่ือเพ่ิมประสิทธิภาพการดูแล ความพร้อม (Koonnarong, Thaniwatananont & และผลลัพธ์ท่ีดีต่อผู้ท่ีเจ็บป่วยทางจิตเวชและญาติผู้ดูแล Kitrungrote, 2012) ในสว่ นของการรบั รภู้ าระการดแู ล แม้ ลดการกลบั เปน็ ซา้� สามารถใชช้ วี ิตในชมุ ชนได้อยา่ งปกติ จะรับรวู้ า่ เปน็ ภาระในการดแู ลจนมีเวลาในการดแู ลตนเอง แต่ก็ต้องปฏิบัติตามหน้าท่ีในการดูแลสมาชิกครอบครัว ข้อเสนอแนะในการทา� วจิ ยั ครงั้ ตอ่ ไป (Tamdee, Tamdee, Greiner, Boonchiang, Okamoto, การศึกษาต่อยอดการท�าวิจัยเชิงทดลอง ผ่านการ & Isowa, 2018) จึงไม่สามารถน�ามาท�านายความพร้อม พัฒนาและศึกษาประสิทธิภาพของโปรแกรมส่งเสริม ในการดแู ลได้ ซงึ่ การศกึ ษาประสบการณก์ ารดแู ลสขุ ภาพจติ ความพร้อมในการดูแลผู้ท่ีเจ็บป่วยทางจิตเวชของญาติ ของผดู้ แู ลทท่ี า� หนา้ ทด่ี แู ลผมู้ กี ารเจบ็ ปว่ ยทางจติ ชนดิ รนุ แรง ผู้ดูแล โดยค�านึงถึงปัจจัยท่ีท�านายความพร้อมในการดูแล พบวา่ ผดู้ แู ลจะมกี ารรบั รใู้ นภาระการดแู ล การใชเ้ วลา และ ได้แก่ ทัศนคติต่อการดูแล ปัญหาสุขภาพของผู้ดูแล อายุ พลังงานในการดูแลรวมถึงการสูญเสียรายได้ ซึ่งผู้ดูแล ของผดู้ ูแล มมุ มองเชงิ บวกเกี่ยวกบั การดแู ล และการไดร้ บั จะได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน (Thiensan, 2018) จึง การอบรมกอ่ นการดแู ล ตลอดจนการศกึ ษาทขี่ ยายขอบเขต ไม่สามารถนา� มาท�านายความพรอ้ มได้ การศึกษาความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยจิตเวชประเภทอ่ืน ของญาติผ้ดู แู ล ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในการน�าผลวจิ ัยไปใช้ Reference 1. ผู้บริหารทางการพยาบาลและระบบการดูแล Ahmed, H.A.A.E, & Ghaith, R.F.A.H. (2018). Effect สุขภาพควรให้ส�าคัญของความพร้อมในการดูแลของญาติ of psycho-educational program on ผู้ดูแลและกระตุ้นให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องตระหนักถึง families’s perception of burden and ความพร้อมดังกล่าว ร่วมกับการก�าหนดนโยบายพัฒนา attitudes toward mental illness among ความพร้อมในการดูแลท่ีเป็นรูปธรรม ต้ังแต่การบริการ caregivers of patients with schizophrenia. ในระดับทุติยภูมิ/ตติยภูมิก่อนออกจากโรงพยาบาล และ Egyptian nursing Journal, 15(3), 268-280. การบริการระดับปฐมภูมิหลังออกจากโรงพยาบาลกลับมา อยู่ท่ีบ้าน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูแล น�าไปสู่ผลลัพธ์ Vปoีทl่ีu2m8eฉบ28ับทN่ีo2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

Predictors of Care Readiness for Persons with Psychiatric Illness The Journal of Faculty of Nursing 119 in Family Caregivers, Chonburi Province Burapha University Akarathanarak, T., Kongsuwan, W., & Matchim, Y. Gloria, O., Osafo, J., Goldmann, E., Parikh, NS., (2017). New Registered Nurse Knowledge Nonvignon, J., & Kretchy, IM. (2018). The in Caring for Patients at the End of Life. experiences of providing caregiving for Songklanagarind Journal of Nursing, 34(2), patients with schizophrenia in the Ghanaian 103-116 [In Thai] cotext. Journal Archives of Psychiatric Nursing, 32(6), 1-8. Best, J.W. & Kahn, Jivi. (2006). Reserch in education (10ed). Boston pearson education. Goldsmith JV. & Terui S. (2018). Family oncology caregivers and relational health literacy. Boonchuwong, O., Saneha, C., Pinyopasakul, W. & Journal Challenges, 9(2), 35-45. Nilanont, Y. (2017). Factors influencing readiness of caregivers of patients with Institute for population and social research stroke before hospital discharge. J NURS mahidol university. (2019). Thai health SCI, 35(3), 46-57 [In Thai] report 2019. Retrived from https://www. thaihealth.or.th/books/591/.html [In Thai] Chadda, R.K. (2014). Caring for the family caregivers of persons with mental illness. Kaewumpa, U. (2012). Relationships between Indian Journal of Psychiatry, 56(3), 221-229. personal factors burden and mental health in caregivers of patients with schizophrenia, Choorat, N. (2016). The study of causes and ways Journal of Psychiatric Nursing and Mental to prevent a recurrence of schizophrenic Health, 26(2), 127-143. [In Thai] patients in the community of pi-leng district health care promoting hospitals which Kent EE. et al. (2016). Caring for caregivers and experiencing unrest situation in the patients: Research and clinical priorities southern provinces of thailand. Princess for informal cancer caregiving. Cancer, of Naradhiwas University Journal of 122(13), 1987-1995. Humanities and Social Scinces, 3(1), 24-36. Kongnirundon, S., Vatanasin, D. & Nabkasorn, C. Davidson, PM., Abshire, MA., Paull, G. & Szanton, (2018). Factors influencing burden among SL. (2018). Family caregiver: Important but caregivers of patients with schizophrenia. often poorly understood. Journal of The Journal of Psychiatric Nursing and Clinical nursing, 27(23), 1-3. Mental Health, 32(3), 118-132 [In Thai] Department of mental health. (2018). Report of Koonnarong, O., Thaniwatananont, P., & patients coming to receive psychiatric Kitrungrote, L. (2012). Caregiving services. Retrived from https://dmh.go.th/ preparedness, family relationships and report/datacenter/dmh/host.asp?id=20& role strain among caregivers of muslim nyear=2560 stroke patients. Princess of Naradhiwas Journal, 4(1), 45-45. [In Thai] Fiest, KM., Mclntosh, CJ., Demiantschuk, D., Leigh, JP. & Stelfox, HT. (2018). Translating Lawang, W. (2018). Family Caregiver: Caring for evidence to patient care through caregivers: the chronic illness. Bankok. Danex a systematic review of caregiver-mediated intercorperation. [In Thai] interventions. BMC Medicine, 16(1), 105-115. ปVoีทlี่u2m8eฉบ28ับทNี่o2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

120 ปจั จัยทา� นายความพร้อมในการดแู ลผู้ทเี่ จบ็ ป่วยทางจิตเวชของญาตผิ ู้ดูแล วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ จังหวดั ชลบรุ ี มหาวิทยาลัยบูรพา Li, Q., & Loke, A.Y. (2013). The positive aspects of Piriyajaratchai, N. (2017). Factors predicting caregiving for cancer patients: a critical caregiver’s readiness for dependent older review of the literature and directions for persons in transition period on hospital to future research. Psychooncology, 22(11), home. Journal of the royal thai army 2399-2407. nurse, 19(supplement), 32-42. Linszen, D. H., de Hann, L., Dingemans, P. M., & Poonnotok P., Thampanichawat W., Patoomwan Wouters, L. (2006). Can long-term critical A., & Sangon S. (2016). Struggling to restore period interventions in the early phase of normalcy: Thai parents’ experiences in schizophrenia-like disorders prevent being caregivers of children with early deterioration? Schizophrenia Research, schizophrenia. Journal of Nursing Research, 81(Suppl.6), 8-18. 20(1), 71-84 [In Thai] Luvira, V. (2013). Health care for caregivers of Poonnotok P, Pratoomsri, W., Kaewmart N, Asarath patients with terminal Illness. Srinagarind T. (2019). Making it better: experiences of Med J 2013, 28(2), 266-270. [In Thai] thai caregivers in managing psychotic symptoms of persons with schizophrenia. Mahamad, P. (2018). Knowledge, attitude and Journal of Health Research, 33(3), 238-246. principle of caregiver in elderly disability [In Thai] care in Sungaikolok, Narathiwas. J Gerontol Geriatr Med, 17(1), 1-9. [In Thai] Phanthunane, P., Vos, T., Whiteford, H., Bertram, M., & Udomratn, P. (2010). Schizophrenia Meleis, A., Sawyer, L. M., Im, E., Messias, D. K. H., in Thailand: Prevalence and burden of & Schumacher, K. (2010). Experiencing disease. Population Health Metrics, 8(24), transition: An emerging middle-range 1-8. theory. Advances in Nursing Science, 23(1), 12-28. Purba, J., Suttharangsee, W., & Chaowalit, A. (2016). Effectiveness of a coaching program for Pankong, O. & Pothiban, L. (2018). Concept of family caregivers of persons with positive aspects of caregiving: adapted in schizophrenia: A Randomized Controlled caregivers of older person with dementia. Trial. Walailak Journal of Science and Nursing Journal, 45(1), 159-170. Technology (WJST) 14(1), 11-24. http://wjst. Phanthunane, P., Vos, T., Whiteford, H., Bertram, wu.ac.th/index.php/wjst/article/view/2091. M. & Udomratn, P. (2010). Schizophrenia in Thailand: prevalence and burden of Ritchie, H. & Roser, M. (2018). Mental health. disease. Population health metric, 17(3), Published online at our worldIndata.org. 24-35. Retrieved from: ‘https://ourworldindata. org/mental-health’ [Online resource] Pipatabanond, P. (2001). Caregiver burden predictive model: an empirical test among Sfera, A. (2015). Chronic psychosos and its caregivers for the schizophrenic. Doctor prevention. Journal of psychology and of nursing, Faculty of nursing, Mahidol clinical psychiatry, 3(3), 1-3. university. Retrieved fromhttp://mulinet11. li.mahidol.ac.th/ethesis/scan/4137113.pdf Vปoีทlี่u2m8eฉบ28ับทN่ีo2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

Predictors of Care Readiness for Persons with Psychiatric Illness The Journal of Faculty of Nursing 121 in Family Caregivers, Chonburi Province Burapha University Srisatitnarakoon, B., (2012). The methodology in Thai health promotion foundation. (2019). Thai nursing research. Faculty of Nursing, Health report 2019. Institute for population Chulalongkorn university. Bankok: and social research, Mahidol University. Chulalong University printing house. [In Thai] Thiensan, T. (2018). Psychiatric and mental health nurses with the roles of family preparedness Sutawatnatcha, S. (2016). Relationships between of schizophrenic patients cares in the acceptance attitude toward psychiatric community. Journal of Nursing Science patients and perception toward psychiatric Chulalongkorn University, 30(2), 67-77. patients to communication. The Journal [In Thai] of Psychiatric and Mental health nursing, 30(1), 97-109. [In Thai] Thongsai, S. (2015). Schizophrenia care in a sustainable thai society context. Journal Tamdee, D., Tamdee, P., Greiner, C., Boonchiang, of Nursing Division, 2(3), 1-9. [In Thai] W., Okamoto, N., & Isowa, T. (2018). Conditions of caring for the elderly and Toonsiri, C., Sunsern, R., & Lawang, W. (2011). family caregiver stress in Chiang mai, Development of the burden interview for Thailand. Journal of Health Research, caregivers of patients with chronic illness. 33(2), 58-69. Journal of nursing and education, 4(1), 63-75. Tangcharoensathien, V., Witthayapipopsakul, W., Panichkriangkrai, W., Patcharanarumol, W., Trangkhasombat, U. (2018). Family therapy and & Mills, A. (2018). Health systems family counseling. Bangkok: Sunta printing. development in Thailand: a solid platform [In Thai] for successful implementation of universal health coverage. Retrieved Aprill 1, 2020, World Health Organization. (2002). Innovative from https://www.thelancet.com/pbassets/ care for chronic conditions. Building blocks Lancet/pdfs/S0140673618301983_Thai. pdf for action: global report. Retrieved April 1, [In Thai] 2019, from https://www.who.int/chp/ knowledge/publications/icccglobalreport. pdf?ua=1. Vปoีทlี่u2m8eฉบ28ับทNี่o2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

การวจิ ยั เชงิ ชาตพิ นั ธ์วุ รรณนากบั การสรา้ งความเข้าใจการดูแล ในครอบครัวภายใต้บริบทของสังคมวัฒนธรรมไทย วภิ า วเิ สโส, พย.ด.1* พจนารถ สารพดั , พย.ด.2 บทคดั ย่อ การวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาเป็นวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพที่มุ่งอธิบายวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของคนในสังคมใด สังคมหน่ึง สามารถศึกษาได้ท้ังในระดับมหภาคและจุลภาค โดยระดับมหภาคเป็นการศึกษาวัฒนธรรมในภาพกว้าง ส่วนระดับจุลภาคเป็นการศึกษาวัฒนธรรมท่ีมีจ�าเพาะโดยเป็นการศึกษาวัฒนธรรมในกลุ่มย่อย ปัจจุบันการวิจัยเชิง ชาตพิ นั ธว์ุ รรณนาระดบั จลุ ภาคไดถ้ กู นา� มาใชใ้ นการวจิ ยั ทางการพยาบาลมากขนึ้ เพราะชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจถงึ วถิ ชี วี ติ และบรบิ ท ทางสังคมวัฒนธรรมของกลุ่มบุคคลท่ีมีความแตกต่างกัน และเก่ียวข้องกับมุมมองของความเจ็บป่วยและพฤติกรรม ทางสุขภาพ ทั้งน้ี ในบริบทของสังคมไทย ครอบครัวเป็นหน่วยทางสังคมที่มีความส�าคัญ สมาชิกในครอบครัวที่มี ความรกั ใคร่ผกู พนั มกี ารชว่ ยเหลอื ดูแลซึ่งกันและกัน เมือ่ สมาชิกในครอบครัวคนใดคนหนงึ่ เจบ็ ปว่ ย จะมีผลกระทบต่อ ระบบครอบครวั สมาชิกคนอ่ืนในครอบครัวมักจะเป็นผู้ให้การดแู ล ซึ่งจะมผี ลตอ่ การเจ็บปว่ ยด้วย ดงั นน้ั การศึกษาเพ่ือ ท�าความเข้าใจบริบททางสังคมวัฒนธรรมของแต่ละครอบครัวท่ีมีความแตกต่างกันโดยใช้การวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนา จึงมคี วามสา� คญั ในการพฒั นาการใหบ้ รกิ ารทางสขุ ภาพทีส่ อดคลอ้ งกับความตอ้ งการของแต่ละครอบครวั อนั จะส่งผลตอ่ การด�ารงไว้ซ่ึงความสมดุลและความผาสกุ ของครอบครวั บทความนี้ มีวตั ถุประสงคเ์ พ่ืออธิบายความหมายและประเภท ของการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนา การวิจัยทางการพยาบาลท่ีศึกษาโดยใช้รูปแบบของวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนา และ การวจิ ยั เชงิ ชาตพิ นั ธว์ุ รรณนากบั การสรา้ งความเขา้ ใจการดแู ลในครอบครวั ตามบรบิ ทของสงั คมวฒั นธรรมไทย ซง่ึ จะเปน็ แนวทางที่ช่วยให้พยาบาลเกิดความเขา้ ใจในบริบทสงั คมและวฒั นธรรมทีม่ อี ิทธิพลต่อการดูแลในครอบครวั ไทย คา� ส�าคญั : การวจิ ยั เชงิ ชาตพิ ันธวุ์ รรณนา การดแู ลในครอบครัว บรบิ ทของสังคมวัฒนธรรมไทย 1,2 ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา * ผู้เขียนหลกั e-mail: [email protected] Received 15/01/2019 Revised 10/06/2019 Accept 09/07/2019

Focused Ethnographic Research and Understanding of Thai Family Caregiving in Thai Sociocultural Context Wipa Wiseso, Ph.D.1*, Photjanart Sarapat, Ph.D.2 Abstract Ethnographic research is a qualitative method that aims to explain the way of life and culture of people in a society. This method can be conducted at both macro and micro levels. The macro level (traditional ethnography) takes a broader perspective, while the micro level (focused ethnography) focuses more on a particular culture or subgroup. Focused ethnography has been widely used in nursing research. It helps understand not only the way of life and cultural context of different groups of people but also their unique views of illness and health behavior. In the context of Thai society, the family is a most significant social unit. Members of the family are bound with love and taking care of each other. An illness to one family member impacts the family system. Family members are often primary caregivers; the intersection of family and caregiving uniquely impacts treatment of and reaction to illness. Understanding the family in sociocultural context thus guides providing care in accordance with the needs of each family and helps maintain family equilibrium and well-being. The purposes of this article are to describe the meaning and types of ethnographic research, including nursing research using ethnographic design, and to provide an understanding of the sociocultural context of Thai family caregiving. This can help nurses understand the social and cultural contexts that influence caregiving in Thai families. Key words: Focused ethnographic research, family care giving, Thai sociocultural context 1,2 Assistant Professor, Faculty of Nursing Burapha University * Corresponding author e-mail: [email protected]

124 การวจิ ัยเชงิ ชาตพิ ันธ์วุ รรณนากบั การสร้างความเข้าใจการดแู ลในครอบครวั วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ ภายใต้บริบทของสังคมวัฒนธรรมไทย มหาวทิ ยาลัยบรู พา บทน�า ความหมายของพฤตกิ รรมตา่ ง ๆ ของมนษุ ย์ในบรบิ ทของ ในบรบิ ทของสงั คมวฒั นธรรมไทย การดแู ลครอบครวั วฒั นธรรม จากมมุ มองของเจา้ ของวฒั นธรรม (Robinson, 2013) และได้กลายมาเป็นเครอ่ื งมือเพอื่ ทา� ความเขา้ ใจกบั เปน็ เอกลกั ษณห์ นง่ึ ของสงั คมวฒั นธรรมไทยทย่ี ดึ ถอื ปฏบิ ตั ิ ประสบการณ์ในมุมมองแบบเฉพาะเจาะจงเก่ียวกับ และสบื ทอดกนั มาแตโ่ บราณ ซง่ึ แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความสมั พนั ธ์ ความเป็นอยู่และวิถีการด�าเนินชีวิตของผู้คน (Cruz & ระหวา่ งบคุ คลของสงั คมวฒั นธรรมไทย รวมทง้ั วถิ กี ารดา� เนนิ Higginbottom, 2013) อย่างไรก็ตาม การวิจัยเชิง ชีวติ คา่ นยิ ม และความเชื่อทม่ี ีผลต่อการดแู ลในครอบครวั ชาตพิ นั ธว์ุ รรณนาแบบดง้ั เดมิ เนน้ ถงึ วฒั นธรรมในภาพกวา้ ง ตลอดจนพฤติกรรมการแสดงออกอันสืบเน่ืองมาจาก เชน่ วฒั นธรรมของกลมุ่ ชนชาตพิ นั ธต์ุ า่ ง ๆ ทนี่ กั วจิ ยั จะตอ้ ง ความเช่ือและบริบทของสังคมวัฒนธรรมไทย แต่อย่างไร ลงไปในภาคสนามและเข้าไปอยู่ในพื้นท่ีท่ีศึกษาเป็นระยะ กต็ าม สภาพของสงั คมวฒั นธรรมไทยในปจั จบุ นั เปลย่ี นแปลง เวลานานในฐานะสมาชกิ คนหน่งึ ของคนในพน้ื ท่ีนั้น ๆ แต่ ไป อันเกิดจากอิทธิพลของเทคโนโลยีอุตสาหกรรมและ ในปัจจุบันการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาได้ถูกพัฒนาให้มี กระแสเศรษฐกิจของประเทศและของโลก ประกอบกับ ความเฉพาะเจาะจงกับวัฒนธรรมของกลุ่มคนท่ีจะท�าการ ความเจรญิ กา้ วหนา้ ทางวทิ ยาศาสตร์ สง่ ผลใหแ้ นวโนม้ ของ ศกึ ษามากขน้ึ และไดถ้ กู นา� มาประยกุ ตใ์ ชเ้ พอ่ื การศกึ ษาวจิ ยั สถานการณ์การดูแลในครอบครัวไทยมีรูปแบบการดูแล อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในการวิจัยทางการพยาบาลท่ี ในครอบครัวท่ีเปล่ียนแปลงไปตามสภาพของทางสังคม ใหค้ วามสนใจกบั ปญั หาทม่ี คี วามเฉพาะเจาะจง ซง่ึ สว่ นใหญ่ วฒั นธรรมไทยในปจั จุบัน เป็นการศึกษาจากประสบการณ์ทางคลินิก วิธีการวิจัย เชิงชาติพันธุ์วรรณนาจะท�าให้นักวิจัยสามารถออกแบบ วิธีการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนา (Ethnography) การศึกษาท่ีเป็นประโยชน์กับการพยาบาลและสุขภาพ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพที่ให้ความส�าคัญกับการอธิบาย ท�าให้เข้าใจเก่ียวกับภาวะสุขภาพท่ีเกี่ยวกับปรากฏการณ์ บริบทของวัฒนธรรม มีจุดมุ่งหมายเพ่ือท�าความเข้าใจ ทางสังคม และวิถีชีวิตท่ีเปล่ียนแปลงไปตามวัฒนธรรม วถิ ชี วี ติ ในรปู แบบตา่ ง ๆ ผา่ นมมุ มองของเจา้ ของวฒั นธรรม (Singchongchai, 2009) ดังเชน่ ในบทความน้ี ผเู้ ขยี นได้ น้ัน ๆ (Spradley, 1980) ซึ่งพัฒนามาจากวิธีการวิจัย สะท้อนให้เห็นถึงความส�าคัญของการใช้วิธีการวิจัยเชิง ของนักมานุษยวิทยา สาขาวัฒนธรรม (Cultural ชาติพันธุ์วรรณนาเพ่ือศึกษาประสบการณ์การดูแลใน Anthropology) ทเ่ี ปน็ สาขาทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ขอ้ มลู ทเ่ี ปน็ เชงิ ครอบครัวภายใต้บริบทของสังคมวัฒนธรรมไทย โดยได้ คณุ ภาพมากกวา่ เชงิ ปรมิ าณทไ่ี มส่ ามารถแจงนบั เปน็ ตวั เลข ท�าการรวบรวมและสังเคราะห์เนื้อหาและความรู้จาก ได้ โดยฐานแนวคิดของวิธีการวิจัยทางมานุษยวิทยา คือ เอกสารทางวิชาการ รวมถึงงานวิจัยที่มีการใช้วิธีการวิจัย เมอื่ มนุษย์มาอยรู่ วมกนั เปน็ กลมุ่ นาน ๆ ในระยะเวลาหนึ่ง เชงิ ชาตพิ นั ธว์ุ รรณนา และนา� มาเสนอเปน็ ความเรยี ง โดยมี จะเกิดวัฒนธรรมในการประพฤติปฏิบัติและความเชื่อ วัตถุประสงค์เพื่ออธิบายความหมายและประเภทของการ ร่วมกัน นักมานุษยวิทยาจึงให้ความส�าคัญกับวัฒนธรรม วิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนา การวจิ ยั ทางการพยาบาลโดยใช้ ของกลุ่มชนและวิถีชีวิตกลุ่มสังคมของชนกลุ่มใดกลุ่มหน่ึง รูปแบบของการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนา และการวิจัย โดยวัตถุประสงค์หลักในการศึกษา คือ วัฒนธรรมของชน เชิงชาติพันธุ์วรรณนากับการสร้างความเข้าใจการดูแล กลุ่มน้ีเป็นอย่างไร วิธีการศึกษาที่นักมานุษยวิทยาใช้ คือ ในครอบครวั ตามบรบิ ทของสงั คมวฒั นธรรมไทย ซงึ่ จะเปน็ การเข้าไปศึกษาใกล้ชิดกับชุมชนน้ัน และเขียนบรรยาย แนวทางท่ีช่วยให้พยาบาลเกิดความเข้าใจในบริบทของ พรรณนาถึงวิถีชีวิต ขนบธรรมเนียม ประเพณี ความเชื่อ สังคมวัฒนธรรมไทยท่ีมีอิทธิพลต่อการดูแลในครอบครัว และวัฒนธรรมของชุมชนในแง่มุมต่าง ๆ อย่างละเอียด และสามารถน�าความเข้าใจนี้ไปใช้ในการพัฒนาระบบ (Chooto, 2008) บริการสุขภาพเพื่อส่งเสริมความผาสุกของครอบครัวใน บริบทของสงั คมวฒั นธรรมไทยได้ต่อไป การวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาจึงท�าให้เข้าใจถึง ความหมายของพฤติกรรมและรูปแบบของพฤติกรรมใน บริบทต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งเปน็ ระบบ และมีความเฉพาะเจาะจง เน่ืองจากการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาแสดงให้เห็นถึง Vปoีทlี่u2m8eฉบ28ับทNี่o2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

Focused Ethnographic Research and Understanding of Thai Family The Journal of Faculty of Nursing 125 Caregiving in Thai Sociocultural Context Burapha University การวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณา (Ethnographic ในสงั คม จนพัฒนามาสู่การมุง่ ท�าความเขา้ ใจปญั หาเฉพาะ Research) อย่างใดอยา่ งหนึ่งมากขน้ึ แต่ยงั คงอย่บู นพื้นฐานมโนทัศน์ ทางวฒั นธรรมเพอ่ื ใชใ้ นการอธบิ ายและตคี วามผลการศกึ ษา การวิจัยเชงิ ชาตพิ ันธุว์ รรณนา เปน็ เครอื่ งมือหนง่ึ ท่ี (Koment, Panyadee , & Chaoprayoon, 2017) ใช้ในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับประชากรกลุ่มต่าง ๆ โดยมุ่ง ศกึ ษาเกยี่ วกบั ระบบทางวฒั นธรรม กฎเกณฑท์ างวฒั นธรรม การวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาในยุคเริ่มแรก และสังคมท่ีมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของกลุ่มคนในสังคม นักวิจัยได้ท�าการศึกษาโดยการเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ใกล้ชิดกับ น้ัน ๆ (Photisita, 2009) ดังน้ัน การท่ีจะนา� วิธีการวิจัย ประชาชนทต่ี นศกึ ษา เรยี นรภู้ าษา และขนบธรรมเนยี มของ เชิงชาติพันธุ์วรรณนาไปใช้ นักวิจัยควรท�าความเข้าใจใน คนเหล่าน้ัน เฝ้าสังเกตและจดบันทึกพฤติกรรมของคนใน ประเด็นพื้นฐาน 3 ประการ ได้แก่ 1) ความหมายและ ชุมชนอยู่เป็นเวลานาน จนแน่ใจว่าได้เรียนรู้ส่ิงท่ีตนสนใจ ววิ ัฒนาการของการวิจัยเชิงชาตพิ ันธวุ์ รรณนา 2) ประเภท อยา่ งดี เสมือนวา่ ตวั เองเปน็ สมาชกิ คนหนง่ึ ของชนกลมุ่ นน้ั ของการวิจัยเชิงชาตพิ นั ธุว์ รรณนา และ 3) ลักษณะสา� คัญ โดยจดุ มงุ่ หมายของการวจิ ยั เชงิ ชาตพิ นั ธว์ุ รรณนาในยคุ แรก ของการวิจัยเชิงชาติพันธ์วุ รรณนา ดงั น้ี อยทู่ กี่ ารคน้ หาความรเู้ กยี่ วกบั ชวี ติ ทางสงั คมและวฒั นธรรม ของมนุษย์ ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 การท�าวิจัยเชิง 1. ความหมายและววิ ัฒนาการของการวิจัยเชงิ ชาติพันธุ์วรรณนาได้มีวิวัฒนาการไปอีกก้าวหนึ่ง โดยมี ชาตพิ ันธว์ุ รรณนา ความหลากหลายของการท�าวิจัยด้วยวิธีน้ีแพร่หลายใน หลายศาสตร์สาขามากข้ึน ขณะท่ีการท�าวิจัยเชิงชาติพันธุ์ คา� วา่ “ชาตพิ นั ธว์ุ รรณนา” หรอื Ethnography วรรณนาแบบด้ังเดิมก็ยังมีการปฏิบัติกันมาอย่างต่อเน่ือง ในภาษาอังกฤษ มีรากฐานมาจากภาษากรีกจาก ค�าว่า นอกจากนี้ พัฒนาการอีกอย่างหนึ่งของการท�าวิจัยเชิง “Ethnoi” ที่แปลว่า ชนชาติอื่น หรือ ชนป่าเถ่ือน ซึ่ง ชาติพันธุ์วรรณนาในปัจจุบัน คือ มีแนวโน้มท่ีจะใช้วิธีนี้ ไมใ่ ชช่ าวกรกี นนั่ เอง (Chooto, 2008) โดยคา� วา่ “ชาตพิ นั ธ์ุ ท�าการวิจัยแบบมุ่งท�าความเข้าใจปัญหาเฉพาะอย่างใด วรรณนา” นัน้ หมายถึง สาขาของมานุษยวิทยาที่มุ่งศึกษา อย่างหน่ึงมากข้ึน แทนที่จะเป็นการศึกษาเพื่อพรรณนา วัฒนธรรมเชิงพรรณนา โดยมุ่งการพรรณนาและตีความ หรือท�าความเข้าใจชีวิตทางสังคมและวัฒนธรรมของชน พฤติกรรมของกลุ่มคน รวมถึงระบบทางสังคมและ กลุ่มใดกลุ่มหน่ึงโดยรวม ๆ เช่นทีเ่ คยปฏิบตั ิมาแตเ่ ดิม ซึง่ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี และวิถีชีวิตของ พฒั นาการใหมน่ ้ี ทา� ใหม้ กี ารใชก้ ารวจิ ยั เชงิ ชาตพิ นั ธว์ุ รรณนา กลุ่มคนในสังคมหรือวัฒนธรรมนั้น (Photisita, 2009) เป็นการวิจัยประยุกต์ คือ ท�าการวิจัยเพื่อหาทางแก้ไข “ชาติพันธุ์วรรณนา” จึงเป็นการพรรณนาถึงวิถีชีวิตขนบ ปญั หาอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ มากขนึ้ เนอื้ หาและการดา� เนนิ การ ธรรมเนียมประเพณหี รือวัฒนธรรมท่เี ฉพาะของสงั คมหนึง่ วิจัยจะมุ่งการวิเคราะห์และใช้กรอบแนวคิดทฤษฎีมากขึ้น เพอ่ื ให้รู้จกั วฒั นธรรมนน้ั ๆ ไดอ้ ยา่ งลกึ ซ้ึง (Satsanguan, แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาใน 2015) ซึ่งการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนา (Ethnographic ปจั จบุ นั จะมคี วามเจาะจงของปญั หาในการวจิ ยั แตล่ กั ษณะ research) เกิดข้ึนในวิชามานุษยวิทยาต้ังแต่ตอนต้น ส�าคัญของการท�าวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนายังคงเป็นเร่ือง ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 20 ซงึ่ ถือวา่ เปน็ การบุกเบกิ ในการศกึ ษา ของการม่งุ ท�าความเขา้ ใจกับพฤติกรรมของกล่มุ ชนและให้ เชงิ ชาตพิ นั ธว์ุ รรณนาทนี่ กั วจิ ยั ลงเกบ็ ขอ้ มลู ปฐมภมู ใิ นภาค ความสา� คญั กบั ปจั จยั ทางสงั คมวฒั นธรรม แมว้ า่ จะรวมเอา สนามอยา่ งจรงิ จงั ดว้ ยการทา� งานภาคสนามแบบทนี่ กั วจิ ยั ปัจจัยอื่นเข้ามาด้วยก็ตาม ทั้งน้ีเพราะมโนทัศน์ทางสังคม เขา้ ไปเฝา้ สังเกตอยู่ในชมุ ชนอย่างตอ่ เน่ืองเปน็ เวลานาน ๆ และวัฒนธรรมยังคงถือเป็นหัวใจส�าคัญของการวิจัยเชิง จนกลายเปน็ แบบแผนปฏบิ ตั ขิ องการศกึ ษาทางมานษุ ยวทิ ยา ชาตพิ ันธ์วุ รรณนา (Photisita, 2009) และเป็นแบบแผนของวิธีการท่ีเรียกว่า “วิธีการวิจัยเชิง ชาติพันธุ์วรรณนา” (Photisita, 2009) ซึ่งนักวิจัยทาง 2. ประเภทของการวิจัยเชงิ ชาตพิ นั ธว์ุ รรณนา มานษุ ยวทิ ยาไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากกระบวนทศั นป์ รากฏการณ์ แมว้ า่ นกั มานษุ ยวทิ ยาหรอื นกั ชาตพิ นั ธว์ุ รรณนา วิทยา (Phenomenology paradigm) ท่ีมีพัฒนาการ เรมิ่ ตน้ มาจากการศกึ ษากลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ และกลมุ่ ชนบางกลมุ่ จะเห็นพ้องกันว่าวิธีวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาเป็นเร่ือง ปVoีทl่ีu2m8eฉบ28ับทN่ีo2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

126 การวจิ ยั เชงิ ชาตพิ ันธว์ุ รรณนากบั การสร้างความเข้าใจการดูแลในครอบครวั วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ ภายใตบ้ ริบทของสังคมวฒั นธรรมไทย มหาวิทยาลัยบรู พา การศึกษาวัฒนธรรมของกลุ่มคน แต่วิธีการศึกษาจะมี การศกึ ษา ซง่ึ นกั วจิ ยั จะตอ้ งเขา้ ไปในพนื้ ทที่ ศ่ี กึ ษาเปน็ ระยะ จดุ เนน้ และรปู แบบตา่ งๆ กนั ไปในแตล่ ะสา� นกั (School of เวลานาน โดยเฝ้าสังเกตกลุ่มคนจ�านวนมากในช่วงระยะ Thought) ซงึ่ ประกอบดว้ ย 4 สา� นกั หลกั ไดแ้ ก่ 1) การวจิ ยั เวลาหลายปี โดยมขี อบเขตการศกึ ษาท่กี วา้ ง เช่น กลุม่ ชน เชิงชาติพันธุ์วรรณนาแบบคลาสสิค (Classical ชาติพันธุ์ สถาบันทางสังคมท่ีมีองค์กรหลายระดับ ชุมชน ethnography) เป็นการศึกษาที่บรรยายและพรรณนาถึง ท่ีมีหลายชุมชน และสังคมที่มีความซับซ้อน เป็นต้น พฤติกรรมท่ีเกิดขึ้นทั้งหมดของกลุ่มคน และแสดงให้เห็น 2) การวิจัยเชงิ ชาตพิ ันธ์ุ วรรณนาระดับจุลภาค (Micro- or ถงึ วา่ บรบิ ทของสงั คมวฒั นธรรมนนั้ มผี ลอยา่ งไรตอ่ พฤตกิ รรม mini-ethnography) เปน็ การศกึ ษาวฒั นธรรมทแี่ คบลงมา ของคนกลุ่มน้ัน ซึ่งนักวิจัยต้องใช้เวลาเข้าไปอยู่ในพื้นท่ีที่ ในขนาดประชากรที่น้อยลง จ�ากัดขอบเขตของกลุ่ม ศึกษาเป็นระยะเวลานานเพื่อสังเกตและท�าความเข้าใจกับ วัฒนธรรมย่อย หรืออาจเป็นการศึกษาเฉพาะกรณีใน พฤติกรรมของกลุ่มคนเหล่านั้น 2) การวิจัยเชิงชาติพันธุ์ หน่วยงาน โดยเน้นเฉพาะวัฒนธรรมในหน่ึงองค์กรหรือ วรรณนาแบบเป็นระบบ (Systematic ethnography) กลุ่มคนที่เป็นส่วนหนึ่งขององค์กร และเป็นเหตุการณ์เกิด เป็นการศึกษาท่ีอธิบายลักษณะของโครงสร้างของสังคม ขน้ึ ในชว่ งระยะเวลา 6 เดอื น เชน่ สมาชิกองค์การบริหาร มากกว่าการอธิบายลักษณะของกลุ่มคนในสังคม และ สว่ นตา� บล ทมี พยาบาลสาธารณสขุ ทมี พยาบาลในหอผปู้ ว่ ย ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม รวมถึงอารมณ์และปัจจัยทาง วิกฤต ทันตแพทย์ชุมชน หมอพ้ืนบ้านอีสาน เป็นต้น กายภาพ 3) การวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาแบบตีความ (Wongwiwattananukit, 2007; Strubert & Carpenter, (Interpretive or Hermeneutic ethnography) เป็น 2011; Chirawatkul, 2015) การศึกษาท่ีค้นหาความหมายของปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ของกลมุ่ คนในสงั คมทเี่ ฝา้ สงั เกต โดยการตคี วามทผี่ า่ นการ การวจิ ยั เชงิ ชาตพิ นั ธว์ุ รรณนาระดบั จลุ ภาคนน้ั วเิ คราะหเ์ ปน็ ขอ้ สรปุ ของความหมายที่คน้ พบ 4) การวจิ ัย มีความแตกต่างจากการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาระดับ เชงิ ชาตพิ นั ธ์ุวรรณนาเชิงวิพากษ์ (Critical ethnography) มหภาค กล่าวคือ การวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาระดับ เป็นการศึกษาตามแนวคิดของกลุ่มนักคิดลัทธิมาร์กซ์ จุลภาคจะให้ความสนใจกับปัญหาที่มีความเฉพาะเจาะจง แนวใหม่ (Neo-Marxists theorists) และกลุ่มนักคิด หรือการมีประสบการณ์ร่วมกันในวัฒนธรรมใดวัฒนธรรม สตรนี ิยม (Feminists theorists) ท่ีมคี วามเช่ือวา่ การสรา้ ง หนง่ึ ในสภาพแวดลอ้ มทม่ี คี วามเฉพาะเจาะจงมากกวา่ ทจ่ี ะ ข้อความพรรณนาในการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนานั้น ท้ัง ให้ความสนใจกับชุมชนท้ังหมด การวิจัยเชิงชาติพันธุ์ นักวิจยั และกลุ่มคนทศ่ี กึ ษาตา่ งมบี ทบาทร่วมกนั ขอ้ ความ วรรณนาระดับจลุ ภาคจงึ ถูกใช้เพ่อื ศึกษาหัวขอ้ การวิจยั ทมี่ ี พรรณนาเปน็ เรอื่ งราวของภาพสรา้ ง (Contructs) ทน่ี กั วจิ ยั ลักษณะเฉพาะเจาะจงหรือศึกษาประสบการณ์ที่มีร่วมกัน ประกอบข้ึนมาใหม่ (Reconstruct) แทนส่ิงที่นักวิจัยเช่ือ ในกลมุ่ คนทมี่ เี ฉพาะเจาะจง ซงึ่ สว่ นใหญเ่ ปน็ การศกึ ษาจาก วา่ เปน็ ความจรงิ ทไี่ ดส้ งั เกตมาเทา่ นนั้ จงึ ทา� ใหม้ กี ารวพิ ากษ์ ประสบการณ์ทางคลินิก ซ่ึงแตกต่างจากการวิจัยเชิง มกี ารคดิ ใหม่ และมคี วามพยายามทจี่ ะรายงานผลการศกึ ษา ชาติพันธุ์วรรณนาระดับมหภาค ที่นักวิจัยจะต้องลงไปใน เชิงชาติพันธุ์วรรณนาแบบใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่การวิจัยเชิง ภาคสนามและเข้าไปอยู่ในพื้นที่ท่ีศึกษาในฐานะสมาชิก ชาติพันธุ์วรรณนาเชิงวิพากษ์น้ีมักจะศึกษาในประเด็นท่ี คนหนง่ึ ของคนในพนื้ ที่นั้น ๆ (Higginbottom, Pillay, & เกี่ยวข้องกับความไม่ยุติธรรมและการกดขี่ทางสังคม Boader, 2013) การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ของการศึกษาเชิง (Photisita, 2009; Strubert & Carpenter, 2011) ชาติพันธุ์วรรณนาระดับจุลภาคจึงเป็นการลงพื้นท่ีอย่างมี จดุ ประสงคแ์ ละใชร้ ะยะเวลาสน้ั ๆ ซง่ึ ตรงขา้ มกบั การศกึ ษา นอกจากน้ี การวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนา ยัง เชิงชาติพันธุ์วรรณนาแบบดั้งเดิมท่ีต้องเข้าไปคลุกคลีกับ แบ่งตามระดับของสังคมวัฒนธรรมที่ศึกษา โดยแบ่งออก คนในพืน้ ที่ในระยะยาว เป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1) การวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนา ระดับมหภาค (Macro- or maxi-ethnography) เปน็ การ อนง่ึ การวจิ ยั เชงิ ชาตพิ นั ธว์ุ รรณนาระดบั จลุ ภาค พรรณนาถึงวัฒนธรรมในภาพกว้าง ที่ต้องใช้ระยะเวลาใน ได้ถูกพัฒนาค�าที่ใช้ในภาษาอังกฤษ เป็นค�าว่า Focused Ethnography แตย่ งั ไมม่ คี า� จา� กดั ความที่เฉพาะเจาะจงใน Vปoีทl่ีu2m8eฉบ28ับทN่ีo2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

Focused Ethnographic Research and Understanding of Thai Family The Journal of Faculty of Nursing 127 Caregiving in Thai Sociocultural Context Burapha University ภาษาไทย ซึ่งในปัจจุบันได้ถูกน�ามาประยุกต์ใช้ในการท�า (Photisita, 2009; Strubert & Carpenter, 2011; วิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาอย่างแพร่หลายในศาสตร์สาขา Chirawatkul, 2015) ไดแ้ ก่ ตา่ ง ๆ เนอื่ งจากมจี ดุ เนน้ ของปญั หาทมี่ คี วามเฉพาะเจาะจง กบั กลมุ่ คนในบรบิ ทใดบรบิ ทหนงึ่ จา� กดั จา� นวนของกลมุ่ คน 1) นกั วจิ ยั คอื เครอ่ื งมอื ในการวจิ ยั (Researcher และใช้ระยะเวลาในการศึกษาที่ส้ันลง (Strubert & as instrument) ตวั นกั วจิ ยั เปน็ เครอ่ื งมอื สา� คญั ในการเกบ็ Carpenter, 2011) แต่อย่างไรกต็ าม การวิจัยเชิงชาติพนั ธุ์ รวบรวมขอ้ มลู โดยวธิ กี ารหลกั สา� หรบั การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู วรรณนายังคงมีวิวัฒนาการต่อไปตามการเปลี่ยนแปลง คอื การสงั เกตแบบมสี ว่ นรว่ ม (Participant observation) ของสภาพสงั คมวัฒนธรรม เทคโนโลยี และสภาพแวดลอ้ ม และการสัมภาษณเ์ ชงิ ลึก (In-depth interview) ดังเช่น ในปัจจุบันมีการศึกษาวิธีการวิจัยเชิงชาติพันธุ์ วรรณนาในสงั คมออนไลน์ เพอื่ อธบิ ายลกั ษณะทางกายภาพ 2) การลงพื้นท่ีในภาคสนาม (Fieldwork) และปฏิสัมพันธ์ทางสังคมในยุคของความเจริญทางด้าน นักวิจัยจึงต้องเข้าไปอยู่ในพื้นท่ีที่ศึกษาเป็นส่วนใหญ่ และ เทคโนโลยีท่ีมีอิทธิพลต่อการด�าเนินชีวิตของสังคมใน ใช้เวลาเก็บข้อมูลอยู่กับกลุ่มคนหรือปรากฏการณ์ท่ีศึกษา ปจั จุบัน (Hallett & Barber, 2014) ต่อเนือ่ งเป็นเวลานาน 3. ลักษณะส�าคัญของการวิจัยเชิงชาติพันธุ์ 3) การเก็บรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ วรรณนา ข้อมูลมีลักษณะเป็นวงจรธรรมชาติ (Cyclic nature of data collection and analysis) โดยค�าถามเกี่ยวกับ การวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนามุ่งอธิบายและ ความแตกต่างในประสบการณ์ท่ีพบในวัฒนธรรมต่างกัน ตีความข้อมูลทางสังคม เจตคติ ความเชื่อ ความรู้สึก ต้องเป็นวงจรธรรมชาติของการเก็บรวบรวมข้อมูลที่จะน�า วัฒนธรรม และพฤติกรรมของมนุษย์ โดยนักวิจยั ต้องแฝง ไปสู่การตั้งค�าถามใหม่เพื่อค้นหาค�าตอบ การวิเคราะห์ ตัวเองเข้าไปคลุกคลีอยู่กับกลุ่มคนในชุมชนหรือท้องถิ่นท่ี ข้อมูลจึงเกิดขึ้นไปพร้อมกับการเก็บรวบรวมข้อมูลตลอด ตอ้ งการศกึ ษา เพอ่ื ใหไ้ ดข้ อ้ มลู ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั วฒั นธรรมและ กระบวนการวิจัย วถิ กี ารดา� เนนิ ชวี ติ ทเ่ี ปน็ ปจั จยั ผลกั ดนั ใหเ้ กดิ การแสดงออก ของความรสู้ กึ และพฤตกิ รรมตา่ ง ๆ ของกลมุ่ คนจนไดข้ อ้ มลู 4) จุดเน้นที่ส�าคัญคือวัฒนธรรม (Focus on เพียงพอที่จะน�าไปวิเคราะห์ แปลผล สรุปผลหรือสร้าง the culture) การใช้มโนทศั น์ทางวฒั นธรรมเปน็ เครอื่ งมือ ทฤษฎีเพื่อใช้อธิบายพฤติกรรมทางวัฒนธรรมของกลุ่มคน ทางแนวคิด โดยให้ความส�าคัญกับการอธิบายบริบทของ ได้ (Wongwiwattananukit, 2007) ซึ่งลักษณะที่ส�าคัญ วฒั นธรรม เพอื่ ทา� ความเขา้ ใจวถิ ชี วี ติ ในรปู แบบตา่ ง ๆ ผา่ น ของการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนา คือ เป็นการศึกษาใน มุมมองของเจ้าของวัฒนธรรม เป็นลักษณะส�าคัญท่ีท�าให้ สภาพธรรมชาตทิ น่ี กั วจิ ยั เขา้ ไปเปน็ สว่ นหนง่ึ ของธรรมชาติ ชาตพิ นั ธุ์วรรณนาต่างจากการวิจยั เชงิ คณุ ภาพแบบอืน่ นั้น และให้ความส�าคัญกับภาษา เพราะเชื่อว่าภาษาเป็น สญั ลกั ษณท์ ส่ี ามารถตคี วามและนา� ไปสคู่ วามเขา้ ใจ ความคดิ 5) การเข้าไปฝังตัวในวัฒนธรรมของกลุ่มคน ความเชอ่ื คา่ นยิ ม และพฤตกิ รรมของกลมุ่ คนในวฒั นธรรม (Cultural immersion) โดยการสรา้ งสมั พนั ธภาพ (Good ทศี่ กึ ษา นอกจากน้ี การวเิ คราะห์ ตคี วาม เนน้ ทกี่ ารเขา้ ใจ rapport) เปน็ สงิ่ สา� คญั เพราะสมั พนั ธภาพทดี่ จี ะทา� ใหเ้ กดิ ความหมาย (Meaning) การกระท�าหรือพฤติกรรมของ ความไวว้ างใจ อนั จะนา� ไปสกู่ ารไดข้ อ้ มลู ทล่ี กึ ซง้ึ และมคี วาม มนษุ ยผ์ า่ นสญั ลกั ษณ์ แบบแผนการดา� เนนิ ชวี ติ และความรู้ เฉพาะของกลมุ่ คน ในตน (Tacit knowledge) ซึ่งข้อค้นพบทั้งหมดน้ันเป็น มมุ มองของคนในสงั คมหรอื วฒั นธรรมทศี่ กึ ษา (Emic view 6) การสะท้อนคิด (Reflexivity) รวมทั้ง หรือ Native’s viewpoint) (Chirawatkul, 2015) การบันทึกและเขียนรายงานเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นใน เชิงพรรณนา เพ่ือให้เห็นรายละเอียดเก่ียวกับแบบแผน โดยคณุ ลกั ษณะท่ีส�าคญั 6 ประการ ซง่ึ ถอื วา่ วัฒนธรรมและสัมพันธภาพทางสังคมของกลุ่มคนภายใต้ เป็นหัวใจส�าคัญของการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนา บริบททางสังคมทีศ่ ึกษา (Thick description) อย่างไรก็ตาม การวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนา ยังมีข้อจ�ากัดส�าหรับนักวิจัยที่ไม่มีพ้ืนฐานความรู้เกี่ยวกับ มานุษยวิทยาวัฒนธรรมมาก่อน เน่ืองจากวิธีการวิจัยเชิง Vปoีทlี่u2m8eฉบ28ับทN่ีo2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

128 การวิจยั เชงิ ชาติพนั ธ์ุวรรณนากับการสร้างความเข้าใจการดแู ลในครอบครวั วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ ภายใตบ้ ริบทของสังคมวฒั นธรรมไทย มหาวทิ ยาลยั บูรพา ชาตพิ นั ธว์ุ รรณนาใชม้ โนทศั นท์ างวฒั นธรรมเปน็ หลกั ในการ เฉพาะเจาะจงในการปฏิบัติทางคลินิกท่ีมีความเฉพาะทาง วเิ คราะห์ นอกจากนี้ การเกบ็ ขอ้ มูลภาคสนามต้องใชเ้ วลา (Higginbottom et al., 2013) นอกจากน้ี การวิจัยเชิง นาน โดยอาจใช้เวลาตั้งแต่ 6 เดอื น - 1 ปี หรือมากกวา่ นั้น ชาตพิ นั ธว์ุ รรณนาระดบั จลุ ภาคทางการพยาบาลนนั้ เปน็ การ นักวิจัยต้องพร้อมท่ีจะทุ่มเทเวลาเพ่ือเข้าไปอยู่ในพื้นที่ ศึกษาเกี่ยวกับมุมมองทางวัฒนธรรมท่ีมีต่อความเจ็บป่วย ที่ศึกษา ซึ่งการเข้าไปอยู่ในพ้ืนที่ที่ศึกษาในฐานะผู้สังเกต มากกวา่ ที่จะมุง่ เน้นมุมมองเฉพาะในกลุ่มของตวั เอง ซ่ึงยงั แบบมีส่วนร่วมเป็นเวลานานนั้น นักวิจัยมีโอกาสท่ีจะถูก คงใหค้ วามสนใจตอ่ วฒั นธรรมกลมุ่ ใหญแ่ ละวฒั นธรรมยอ่ ย กลืนเข้าไปในชุมชนท่ีศึกษาจนอาจท�าให้การท�าวิจัย เพียงแต่ก�าหนดขอบเขตของปรากฏการณ์และบริบทท่ี ไม่ส�าเร็จได้ รวมท้ังการวิเคราะห์ข้อมูลวิจัยเป็นงานท่ียาก ศกึ ษาใหแ้ คบลง โดยผใู้ หข้ อ้ มลู เปน็ กลมุ่ ทม่ี คี วามรทู้ เ่ี ฉพาะ ในการท่ีจะย่อยข้อมูลและสกัดเอาสาระออกมาเป็น เจาะจงเกยี่ วกบั ปญั หาทก่ี า� หนดไว้ ซง่ึ จดุ ประสงคห์ ลกั ของ ค�าอธิบายที่มีลักษณะเป็นนามธรรม โดยเฉพาะนักวิจัยท่ี การวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาระดับจุลภาคในการวิจัย ไม่มีประสบการณ์การท�าวิจัยเชิงคุณภาพมาก่อน การ ทางการพยาบาล ประกอบดว้ ย 3 ประเด็นหลกั (Cruz & วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพจึงเป็นสิ่งที่ท้าทายและเป็น Higgginbottom, 2013) ได้แก่ 1) เพื่อค้นหาวิธีการ ข้อจ�ากดั สา� หรบั นักวิจัยจ�านวนมาก (Photisita, 2009) ผสมผสานความเชื่อและการปฏิบัติตนด้านสุขภาพกับ การด�าเนินชีวิตของกลุ่มคนท่ีมีความหลากหลายทาง การวิจัยทางการพยาบาลท่ีศึกษาโดยใช้รูปแบบ วฒั นธรรม 2) เพอื่ ทา� ความเขา้ ใจความหมายของวฒั นธรรม ของวิจยั เชิงชาติพนั ธ์ุวรรณนา ที่สมาชิกในวัฒนธรรมน้ันได้แบ่งปันประสบการณ์ และ 3) เพอ่ื ศกึ ษาการปฏบิ ตั ใิ นการพยาบาลซง่ึ เปน็ ปรากฏการณ์ การวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาระดับจุลภาค หรือ ทางวัฒนธรรม นอกจากนี้ ลักษณะเด่นของการวิจัยเชิง Focused Ethnography ในภาษาองั กฤษทใี่ ชอ้ ยใู่ นปจั จบุ นั ชาตพิ นั ธว์ุ รรณนาระดบั จลุ ภาคทางการพยาบาลมจี ดุ สนใจ ใหค้ วามสนใจกับปญั หาท่ีมีความเฉพาะเจาะจง หรือศกึ ษา ท่ีเฉพาะเจาะจงและใช้ระยะเวลาสั้น ๆ เพราะฉะนน้ั ระยะ ประสบการณ์ที่มีร่วมกันในกลุ่มคนที่เฉพาะเจาะจง ซึ่ง เวลาในการท�าวิจัยจึงอาจแล้วเสร็จได้ในเวลาอันส้ัน และ สว่ นใหญเ่ ปน็ การศกึ ษาจากประสบการณท์ างคลนิ กิ ศาสตร์ บุคลากรทางการแพทย์สามารถน�าข้อมูลที่ได้จากการวิจัย สาขาทางการพยาบาลเป็นสาขาหนึ่งท่ีประยุกต์ใช้วิธีการ ไปประยกุ ต์ใชไ้ ด้จรงิ ในบริบทการใหบ้ ริการทางคลนิ กิ วิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนา โดยนักทฤษฎีทางการพยาบาล ช่ือ เลนินเจอร์ เป็นคนแรกท่ีพัฒนาวิธีการวิจัยเชิง จากการทบทวนวรรณกรรมทงั้ ในและตา่ งประเทศ ชาตพิ นั ธว์ุ รรณนาทางการพยาบาลขน้ึ ในปี ค.ศ. 1970 โดย พบงานวจิ ยั ทางการพยาบาลทศี่ กึ ษาโดยใชร้ ปู แบบของวจิ ยั มีเป้าหมายเพื่อศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างพยาบาลกับผู้รับ เชงิ ชาตพิ นั ธว์ุ รรณนาทท่ี า� การศกึ ษามมุ มองของผปู้ ว่ ยและ บริการและอธิบายบริบทวัฒนธรรมท่ีเกิดจากปฏิสัมพันธ์ ผูด้ ูแลทม่ี ีต่อความเจ็บปว่ ย ความเชือ่ และบริบททางสังคม ระหวา่ งพยาบาลกบั ผูร้ ับบรกิ าร (Singchongchai, 2009; วัฒนธรรมกับพฤติกรรมทางสุขภาพ ยกตัวอย่างเช่น Khungtumneam, 2014) ในปัจจุบันวิธีการวิจัยเชิง Sowattanangoon, Kotchabhakdi & Petrie (2009) ชาติพันธุ์วรรณนาทางการพยาบาลได้ถูกพัฒนาและ ศกึ ษาบทบาทของวฒั นธรรมไทยตอ่ การรบั รตู้ อ่ การเจบ็ ปว่ ย ประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลาย ซึ่งมักถูกน�าไปใช้ศึกษา และการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ผล ปรากฏการณท์ างคลินกิ ในบรบิ ทที่เกย่ี วขอ้ งกับระบบการ การศึกษาบ่งชี้ว่าวัฒนธรรมไทยมีอิทธิพลต่อการรับรู้และ บริการสุขภาพ รวมถึงระบบการพยาบาล เพ่ือน�าไปใช้ การดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดท่ี 2 โดยผู้ป่วย ในการพัฒนาปรับปรุงระบบการดูแล และเป็นการวิจัย จัดการการดูแลตนเองตามความเช่ือเก่ียวกับโรคเบาหวาน เชิงชาติพันธุ์วรรณนาระดับจุลภาคมากกว่าการวิจัยเชิง ซง่ึ ความเชอื่ เหลา่ นถี้ กู สรา้ งขนึ้ จากความรทู้ ง้ั แบบสมยั ใหม่ ชาติพันธุ์วรรณนาระดับมหภาคหรือการวิจัยเชิงชาติพันธุ์ และแบบด้ังเดิมผสมผสานกัน ซ่ึงมีผลต่อการเลือกปฏิบัติ วรรณนาแบบด้ังเดิมดังเช่นแต่ก่อน เน่ืองจากเป็นวิธีที่มี การดแู ลตนเองเพอื่ ควบคมุ โรคเบาหวาน จากผลการศกึ ษา ประสิทธิภาพในการเก็บรวบรวมข้อมูลในหัวข้อที่มีความ ดังกล่าวช้ีให้เห็นว่า ความรู้ ทัศนคติและความเช่ือ ปVoีทlี่u2m8eฉบ28ับทN่ีo2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

Focused Ethnographic Research and Understanding of Thai Family The Journal of Faculty of Nursing 129 Caregiving in Thai Sociocultural Context Burapha University ขนบธรรมเนียมประเพณีที่เก่ียวกับกับสุขภาพและความ กับสุขภาพและความเจ็บป่วย โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิง เจ็บป่วยมีผลต่อพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ ซึ่งสอดคล้อง ชาตพิ นั ธว์ุ รรณา ดงั เชน่ การศกึ ษาของ Klangkong, Singha, กบั การศึกษาของ Ice (2012) ศึกษาเรอื่ งความรู้ ทศั นคติ & Bantoms (2011) ศึกษาเรอ่ื งสุขภาวะทางจติ วญิ ญาณ และความเช่ือเก่ียวกับมะเร็งปากมดลูกและการคัดกรอง ของผู้ดูแลผู้ป่วยมุสลิมที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายใน และการรบั รอู้ ปุ สรรคในการตรวจคดั กรองมะเรง็ ปากมดลกู สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผลการศึกษาพบว่าความเช่ือ ในหญิงไทยท่ีย้ายถิ่นฐานอยู่ในประเทศเยอรมนี ผลการ ทางศาสนาอิสลามมีความเช่ือมโยงกับวิถีการด�าเนินชีวิต ศกึ ษาบง่ ชวี้ า่ ผใู้ หข้ อ้ มลู อธบิ ายความรเู้ กยี่ วมะเรง็ ปากมดลกู ของผดู้ แู ลผปู้ ว่ ยมสุ ลมิ ทปี่ ว่ ยเปน็ มะเรง็ ในระยะสดุ ทา้ ย โดย ตามความรสู้ ว่ นบคุ คล ความรจู้ ากขนบธรรมเนยี มประเพณี ในระหว่างการดูแลผู้ป่วย ผู้ดูแลผู้ป่วยใช้หลักศรัทธาทาง และความรู้ในเชิงคลินิก ผู้ให้ข้อมูลได้บูรณาการความเช่ือ ศาสนาควบคู่ไปกับหลักปฏิบัติการดูแล ซ่ึงผู้ดูแลน�ามาใช้ ตามขนบธรรมเนียมประเพณีและความเชื่อในการปฏิบัติ ในการดูแลผู้ป่วยเพ่ือเยียวยาความหวังและให้ก�าลังใจ ด้านสุขภาพตามแพทย์แผนปัจจุบัน ซ่ึงมีอิทธิพลต่อการ ผปู้ ว่ ย และพลงั ใจของผดู้ แู ลมาจากความศรทั ธาทางศาสนา เลือกปฏิบัติเพื่อตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก เช่นเดียว ซ่ึงเป็นก�าลังใจในการปฏิบัติภารกิจของผู้ดูแลได้ส�าเร็จ กบั การศกึ ษาของ Aga, Nikkonen, & Kylmä (2013) ท่ี กล่าวได้ว่า ศาสนาคอื จติ วิญญาณท่ีสา� คัญของผู้ดแู ลผ้ปู ว่ ย ศึกษาความเข้าใจเก่ียวกับการปฏิบัติการดูแลที่เกิดจาก มุสลิมที่ป่วยเป็นมะเร็งในระยะสุดท้าย สอดคล้องกับ มุมมองของผู้ดูแลในครอบครัวของผู้ป่วยเอชไอวี/เอดส์ใน การศึกษาของ Somanusorn, Hatthakit, & Nilmanat ประเทศเอธิโอเปีย ผลการศึกษาพบวา่ การปฏบิ ตั กิ ารดูแล (2011) ศึกษาเรื่องการดูแลญาติที่อยู่ในระยะสุดท้ายเพ่ือ ตามมมุ มองของผดู้ แู ลในครอบครวั ของผปู้ ว่ ยเอชไอว/ี เอดส์ ช่วยให้ตายอย่างสงบตามแนววิถีไทยพุทธ ผลการศึกษา ในประเทศเอธโิ อเปยี ประกอบดว้ ย การดแู ลดา้ นโภชนาการ พบว่าการดูแลญาติท่ีอยู่ในระยะสุดท้ายเพ่ือช่วยให้ตาย การดแู ลเพอ่ื ใหผ้ ปู้ ว่ ยไดร้ บั ยา การดแู ลดา้ นรา่ งกาย การดแู ล อย่างสงบตามแนววถิ ไี ทยพทุ ธ มี 3 ระยะ ไดแ้ ก่ การดูแล ดา้ นจติ ใจ และการดูแลด้านจติ วิญญาณ ซ่ึงการปฏิบตั กิ าร ระยะสุดท้ายแบบท่ัวไป การดูแลในช่วงใกล้ตายและขณะ ดูแลที่เกิดจากมุมมองน้ีสัมพันธ์กับการให้ความหมายของ ตาย และการดูแลหลงั การตาย ซึ่งการดแู ลเพือ่ ชว่ ยใหผ้ ู้ท่ี การดแู ล การแสดงออก และแนวคดิ ของผดู้ แู ลในครอบครวั อยใู่ นระยะสดุ ทา้ ยไดต้ ายอยา่ งสงบ ประกอบดว้ ย 4 ประเดน็ โดยขึ้นอยู่กับบริบททางสังคมวัฒนธรรมของผู้ดูแลใน หลกั ไดแ้ ก่ การใชบ้ ญุ หนนุ นา� เพอ่ื การตายดแี ละไดไ้ ปสสู่ คุ ติ ครอบครัว รวมทั้งการศกึ ษาของ Srichantaranit et al. การดแู ลตามความเชอื่ เรอื่ งกรรม การดแู ลใหผ้ ทู้ อี่ ยใู่ นระยะ (2010) ที่ศึกษาอิทธิพลของบริบททางสังคมวัฒนธรรม สุดท้ายสงบ มีสติ เพ่ือพร้อมยอมรับต่อการตาย และ ต่อการรับรู้และการปฏิบัติของครอบครัวไทยในการดูแล การดูแลท่ียึดผู้ที่อยู่ในระยะสุดท้ายเป็นศูนย์กลางและให้ เด็กโรคหัวใจพิการแต่ก�าเนิดในระยะก่อนการผ่าตัดหัวใจ ญาติร่วมดูแล บุคลากรพยาบาลและผู้ท่ีสนใจสามารถใช้ ซ่งึ ผลการศึกษาบ่งชีว้ ่า ค�าสอนทางพุทธศาสนา ความเชอ่ื ผลการศกึ ษานี้ เพ่ือเป็นแนวทางในการดแู ลเพอื่ ช่วยใหผ้ ทู้ ่ี ทางวฒั นธรรม ฐานะทางการเงนิ ของครอบครวั การบรกิ าร อยู่ในระยะสดุ ท้ายตายอยา่ งสงบตามแนววถิ ีพทุ ธได้ ของโรงพยาบาล และการชว่ ยเหลอื จากสมาชกิ ในครอบครวั และบุคคลภายนอก มีอิทธิพลต่อการรับรู้และการปฏิบัติ จากตัวอย่างงานวิจัยทางการพยาบาลที่ศึกษาโดย การดูแลของครอบครัวในการดูแลเด็กโรคหัวใจพิการแต่ ใช้รูปแบบของวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาข้างต้น จะเห็นได้ ก�าเนิด ซง่ึ ผลการศกึ ษานีช้ ่วยใหบ้ ุคลากรทางการแพทยไ์ ด้ ว่า การวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาระดับจุลภาคในการวิจัย เข้าใจการรับรู้ดังกล่าว และเข้าใจธรรมชาติของการดูแล ทางการพยาบาลได้ถูกน�าไปใช้เพ่ือศึกษาบริบททางสังคม ของครอบครวั ทมี่ คี วามสมั พนั ธก์ บั บรบิ ท นา� ไปสกู่ ารพฒั นา วัฒนธรรม รวมท้ังความเชื่อทางศาสนาท่ีมีความเกี่ยวข้อง รปู แบบการบรกิ ารทสี่ อดคลอ้ งกบั บรบิ ททางสงั คมวฒั นธรรม กบั สขุ ภาพและความเจบ็ ปว่ ย ซงึ่ การวจิ ยั เชงิ ชาตพิ นั ธว์ุ รรณนา ระดับจุลภาคในการวิจัยทางการพยาบาลสามารถท�าให้ นอกจากนี้ ยังพบการศึกษาเก่ียวกับความเชื่อ เขา้ ใจไดถ้ งึ ความซบั ซอ้ นของปรากฏการณท์ ศ่ี กึ ษา และผล ทางศาสนาซงึ่ เปน็ สว่ นหนงึ่ ของวฒั นธรรมทม่ี คี วามเกย่ี วขอ้ ง การวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาระดับจุลภาคนั้นสามารถน�า ปVoีทl่ีu2m8eฉบ28ับทN่ีo2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

130 การวิจยั เชิงชาติพนั ธว์ุ รรณนากบั การสรา้ งความเข้าใจการดูแลในครอบครัว วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ ภายใตบ้ ริบทของสงั คมวฒั นธรรมไทย มหาวิทยาลยั บูรพา ไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานด้านการดูแลสุขภาพได้ ครอบครวั มหี ลากหลายรปู แบบและหลายลกั ษณะ นอกเหนอื อยา่ งมคี ุณค่า จากครอบครัวท่ีประกอบด้วยบิดา มารดา และบุตร ซึ่ง สอดคล้องกับ (Chompikul, 2009) ทไ่ี ด้สรปุ ความหมาย การวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนากับการสร้าง ของครอบครัวว่า หมายถงึ กลุ่มบคุ คลทอี่ าศยั อยรู่ ว่ มกัน มี ความเขา้ ใจการดแู ลในครอบครวั ตามบรบิ ทของ ความสัมพันธ์กันทางสายโลหิตหรือกฎหมาย โดยสมาชิก สงั คมวัฒนธรรมไทย แตล่ ะคนจะทา� บทบาทหนา้ ทคี่ วามรบั ผดิ ชอบทแี่ ตกตา่ งกนั เช่น บิดา มารดา สามี ภรรยา บุตร และปยู่ ่า ตายาย และ จากบริบทของสังคมวัฒนธรรมไทย การดูแลใน สอดคลอ้ งกบั ค�าจ�ากัดความของ Friedman, Bowden, & ครอบครัวเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของสังคมวัฒนธรรมไทยท่ี Jones (2003) ทก่ี ล่าววา่ ครอบครวั คอื กลุม่ ของบคุ คลที่ ยึดถือปฏิบัติและสืบทอดกันมาแต่โบราณ ซ่ึงแสดงให้เห็น มคี วามสัมพันธก์ ันโดยสายเลอื ด และอาศยั อยรู่ ว่ มกันหรอื ถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลของสังคมวัฒนธรรมไทย บริเวณเดยี วกัน มคี วามสัมพันธ์กันตามบทบาทหนา้ ที่ เช่น รวมทงั้ วถิ ีการด�าเนนิ ชีวิต คา่ นิยม และความเชื่อท่มี ีผลตอ่ มีบทบาทเป็นบิดา มารดา สามี ภรรยา บุตร เปน็ ต้น ซึ่ง การดูแลในครอบครัว ตลอดจนพฤติกรรมการแสดงออก บุคคลเหล่าน้ีมีกรอบความเช่ือ ขนบธรรมเนียมประเพณี อนั สบื เนอ่ื งมาจากความเชอื่ และบรบิ ทของสงั คมวฒั นธรรม และวฒั นธรรมของครอบครวั รว่ มกนั นอกจากนี้ ครอบครวั ไทย ซง่ึ จากทก่ี ลา่ วมาขา้ งตน้ วา่ การวจิ ยั เชงิ ชาตพิ นั ธว์ุ รรณนา หมายถึง กลมุ่ คนตัง้ แต่ 2 คนข้นึ ไปทอ่ี ยรู่ ว่ มกนั ซง่ึ อาจมี มุ่งศึกษาวัฒนธรรมเชิงพรรณนา โดยมุ่งการพรรณนาและ ความสัมพันธ์ทางสายเลือดหรือไม่มีความสัมพันธ์ทาง ตคี วามพฤตกิ รรมของกล่มุ คน รวมถึงระบบทางสงั คมและ สายเลอื ด รวมทง้ั บคุ คลอน่ื ทม่ี ารวมอาศยั อยรู่ ว่ มกนั มคี วาม วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี และวิถีชีวิตของ สัมพันธก์ นั ตามบทบาทหน้าท่ี ซ่ึงบุคคลทง้ั หลายเหล่าน้ีถูก กลุ่มคนในสังคมหรือวัฒนธรรมนั้น เพื่อให้รู้จักวัฒนธรรม สานสัมพนั ธด์ ว้ ยความรัก ความหว่ งใย และบทบาทหน้าท่ี นัน้ ๆ ไดอ้ ย่างลกึ ซึ้ง ดังน้ัน การวิจยั เชิงชาตพิ นั ธ์ุวรรณนา เพอื่ การดา� รงอยขู่ องครอบครวั มกี ารตดั สนิ ใจรว่ มกนั มกี าร จะสามารถชว่ ยสรา้ งความเขา้ ใจเกยี่ วกบั วฒั นธรรมความเชอื่ รับรู้ความทุกข์สุข มีการติดต่อสื่อสารระหว่างกันและกัน ทมี่ คี วามแตกตา่ งกนั รวมทง้ั วถิ กี ารดแู ลสขุ ภาพในครอบครวั ชว่ ยเหลอื เก้ือกูลซง่ึ กนั และกัน มกี รอบวฒั นธรรมประเพณี ตามบรบิ ทของสงั คมวฒั นธรรมไทยไดอ้ ยา่ งลกึ ซงึ้ ขอ้ มลู ทไี่ ด้ เดยี วกนั และมกี ารถา่ ยทอดวฒั นธรรมและจรยิ ธรรมตา่ ง ๆ จากการวจิ ยั สามารถนา� ไปจดั ระบบการบรกิ ารใหส้ อดคลอ้ ง เพอ่ื การด�ารงอยู่ในสงั คมตอ่ ไป (Panprasert, 2014) กับวัฒนธรรมการดูแลในครอบครัวตามบริบทของสังคม วฒั นธรรมไทยไดอ้ ยา่ งเฉพาะเจาะจง ดงั นน้ั การทจ่ี ะนา� วธิ ี กล่าวโดยสรุป ครอบครัว หมายถึง กลุ่มบุคคลท่ี การวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาไปใช้ในการศึกษาเกี่ยวกับ อาศัยอยูร่ ่วมกันตั้งแต่ 2 คนขึน้ ไป ซงึ่ อาจมีความสมั พนั ธ์ การดูแลในครอบครัวในบริบทของสังคมวัฒนธรรมไทย ทางสายเลือดหรือทางกฎหมายหรือไม่ก็ได้ โดยมีความ นักวิจัยควรท�าความเข้าใจในประเด็นพื้นฐานเกี่ยวกับ สัมพันธ์กันตามบทบาทหน้าที่ และมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกัน ความหมายของครอบครวั การดแู ลในครอบครวั และบรบิ ท และกัน ซึ่งบคุ คลเหลา่ นมี้ ีกรอบความเชอื่ ขนบธรรมเนยี ม ของครอบครัวตามสงั คมวัฒนธรรมไทย ดงั นี้ ประเพณี และวัฒนธรรมของครอบครัวร่วมกัน รวมท้ังมี การถ่ายทอดวฒั นธรรมและจริยธรรมต่าง ๆ เพอ่ื การดา� รง พจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน (1982: 168) อยใู่ นสงั คม ไดใ้ หค้ วามหมายของครอบครวั วา่ หมายถงึ ผรู้ ว่ มครวั เรอื น คือ สามี ภรรยา และบุตร ซึ่งจากค�าจ�ากัดความนี้ ยังมี สว่ นการดแู ลในครอบครวั นยิ ามไดว้ า่ คอื การปฏบิ ตั ิ ความหมายค่อนข้างจ�ากัดที่ระบุเพียงสถานะของบุคคลใน การช่วยเหลือดูแลบุคคลท่ีเป็นสมาชิกในครอบครัวซึ่ง ครอบครวั สว่ นสา� นกั งานกจิ การสตรแี ละสถาบนั ครอบครวั เจบ็ ปว่ ยหรอื ไมส่ ามารถชว่ ยเหลอื ตนเองได้ (Hermanns & (2005) ได้ให้ความหมายของครอบครัวว่า หมายถึงกลุ่ม Mastel-Smith, 2012) ซง่ึ ความเจบ็ ปว่ ยของสมาชกิ คนใด บคุ คลทผี่ กู พนั และใชช้ วี ติ รว่ มกนั ทา� หนา้ ทเี่ ปน็ สถาบนั หลกั คนหนึ่งในครอบครัวมักส่งผลกระทบต่อระบบครอบครัว เป็นรากฐานที่ส�าคัญย่ิงต่อการด�ารงชีวิตในสังคม โดย กลา่ วคอื เมอื่ สมาชกิ ในครอบครวั ตอ้ งเผชญิ กบั ความเจบ็ ปว่ ย ปVoีทl่ีu2m8eฉบ28ับทNี่o2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

Focused Ethnographic Research and Understanding of Thai Family The Journal of Faculty of Nursing 131 Caregiving in Thai Sociocultural Context Burapha University ซ่ึงเป็นภาวะวิกฤติของครอบครัวที่ต้องเผชิญ ระบบความ เปน็ แกน่ คณุ คา่ ของครอบครวั ลกู หลานทเ่ี ปน็ ผใู้ หญแ่ ลว้ จะ สมดุลของครอบครัวย่อมได้รับผลกระทบ เนื่องจาก ถูกคาดหวังให้ตอบแทนบุญคุณบิดามารดารวมทั้งสมาชิก ครอบครัวนั้นเป็นระบบเปิด ท่ีเกิดจากองค์ประกอบของ ในครอบครัวท่ีสูงวัยด้วยการให้การดูแลเมื่อยามเจ็บป่วย บุคคลท่ีมีปฏิสัมพันธ์กัน (Wright & Leahey, 2013) (Lin & Yi, 2013) สมาชิกในครอบครัวต้องพยายามหาวิธีรักษาความสมดุล ของครอบครัวเพื่อคงไว้ซ่งึ ความสมดลุ และความผาสุกของ ประชากรไทยสว่ นใหญ่ ประมาณรอ้ ยละ 94 นบั ถอื ครอบครัวในขณะท่ีดูแลสมาชิกในครอบครัวท่ีเจ็บป่วย ศาสนาพุทธ ซ่ึงถือได้ว่าเป็นศูนย์รวมระบบความเชื่อของ (Friedman et al., 2003; Mehta, Cohen, & Chan, คนไทย ยกตัวอย่างเช่น ความเชื่อเก่ียวกับการเกิดใหม่ 2009) เพราะสมาชิกในครอบครัวเป็นผู้ที่มีความใกล้ชิด ท�าให้ชาวพุทธให้ความส�าคัญกับสภาวะของจิตในช่วงใกล้ มีความผูกพันและเป็นบุคคลท่ีผู้ป่วยให้ความส�าคัญเป็น เสียชีวิต โดยเชื่อว่าความเจ็บป่วยและภาวะใกล้ตายเป็น อันดับแรกท่ีจะช่วยดูแลและบรรเทาความทุกข์ทรมานที่ โอกาสแห่งความหลุดพ้นทางจิตใจหรือการยกระดับทาง เกดิ จากความเจบ็ ปว่ ยของสมาชกิ ในครอบครวั ได้ นอกจากนี้ จิตวิญญาณ และวิถีจิตระลึกก่อนตายจะเป็นตัวก�าหนด สมาชิกในครอบครัวยังมีปฏิสัมพันธ์อย่างต่อเน่ืองทั้งต่อ ภพภูมิใหม่ที่ผู้ตายจะไปเกิด ดังนั้นศาสนาพุทธจึงมุ่งให้ สภาพแวดล้อมทางกายภาพ ทางสังคม และวัฒนธรรม ผใู้ กลต้ ายรา� ลกึ ถงึ สง่ิ ทดี่ งี ามในชว่ งขณะจติ สดุ ทา้ ยดว้ ยวธิ กี าร อย่างไรก็ตาม ครอบครัวแต่ละครอบครัวย่อมมีความ ต่าง ๆ เช่น ครอบครัวมักมีการนิมนต์พระมาประกอบ แตกต่างกันทางวัฒนธรรม ต่างมีการตีความความหมาย พิธีกรรมต่างๆ เช่น การสืบชะตา การให้ผู้ใกล้ตายนึกถึง ของประสบการณ์การดูแลในบริบทของสังคมวัฒนธรรมที่ พระรตั นตรยั หรอื สงิ่ ทด่ี งี ามในชวี ติ การนอ้ มนา� ใหผ้ ใู้ กลต้ าย แตกต่างกัน (Matchim, 2009) ไดล้ ะวางสงิ่ ทท่ี า� ใหเ้ กดิ ความวติ กกงั วล โดยเชอื่ วา่ สงิ่ เหลา่ นี้ อาจท�าให้ผู้ป่วยฟื้นหาย คลายความทุกข์ทรมาน หรือ จะเห็นได้ว่า บริบทของสังคมวัฒนธรรมมีอิทธิพล เสียชีวติ อยา่ งสงบ (Nilmanat, 2012) สง่ิ เหลา่ นแ้ี สดงให้ ตอ่ การใหค้ วามหมายของประสบการณก์ ารดแู ลในครอบครวั เห็นว่า ศาสนาและวิถีชีวิตการด�าเนินชีวิตนั้นมีบทบาท ยกตวั อยา่ งเชน่ บรบิ ทของครอบครวั ในสงั คมวฒั นธรรมไทย ส�าคัญในการดูแลสมาชิกในครอบครัว (Kongsuwan, ท่ีมีความสัมพันธ์ในครอบครัวที่เหนียวแน่น มีระบบ Chaipetch, & Matchim, 2012) ซง่ึ อาจกลา่ วไดว้ า่ ศาสนา เครือญาติ และความเคารพท่ีมีต่อผู้ใหญ่ อันเป็นลักษณะ และสังคมวัฒนธรรมถูกคาดหวังว่าจะมีผลกระทบต่อ ของครอบครวั ไทยทย่ี ึดถือปฏบิ ตั ิกันมาแต่โบราณ ซ่งึ ถือได้ การดูแลในครอบครัวไทย วา่ เปน็ ครอบครวั ทม่ี คี วามอบอนุ่ ในดา้ นความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง สมาชิกในครอบครัวอันสืบเนื่องมาจากขนบธรรมเนียม แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม จากสภาพของสงั คมวฒั นธรรมไทย ประเพณี วฒั นธรรมทไ่ี ดอ้ บรมสง่ั สอนสบื ทอดตอ่ ๆ กันมา ท่ีเปล่ียนแปลงไปในปัจจุบัน แนวโน้มของสถานการณ์ กลา่ วคอื ผเู้ ยาวจ์ ะตอ้ งเคารพเชอ่ื ฟงั ผใู้ หญ่ ลกู หลานจะตอ้ ง ครอบครัวอันเกิดจากอิทธิพลของกระแสโลกาภิวัฒน์และ มคี วามกตัญญกู ตเวทีตอ่ บิดามารดาหรอื ญาตผิ ู้ใหญ่ ดังนนั้ ภาวะความทันสมัยที่เน้นปัจเจกบุคคลและค่านิยมในการ เมื่อสมาชิกคนใดคนหน่ึงในครอบครัวเกิดความเจ็บป่วย บริโภคและวัตถุนิยมมีมากขึ้น ส่งผลให้สังคมมีการแข่งขัน สมาชิกคนอืน่ ๆ ในครอบครัวแต่ละร่นุ ตา่ งจะช่วยกันดูแล ประกอบกบั ความเจรญิ กา้ วหนา้ ทางวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี สมาชิกท่เี จ็บป่วย ซ่ึงความกตัญญไู ดฝ้ ังรากลึกในมโนทัศน์ อุตสาหกรรมและกระแสเศรษฐกิจของประเทศและโลก ทางวฒั นธรรมทเี่ รยี กวา่ “บญุ คณุ ” เปน็ รปู แบบความสมั พนั ธ์ ส่งผลต่อค่าครองชีพและแบบแผนของครอบครัวท่ี ที่ฝังรากหย่ังลึกมาตั้งแต่โบราณในสังคมไทย เป็นพื้นฐาน เปลี่ยนแปลงไป ซ่ึงผลกระทบดังกล่าวส่งผลต่อโครงสร้าง ในการทา� ความเขา้ ใจความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบคุ คลของสงั คม ของครอบครัวท้ังในเมืองและชนบทท่ีเป็นลักษณะของ วัฒนธรรมไทย (Crawford, 2010) นอกจากน้ี การดูแล ครอบครัวขยายจะมีแนวโน้มขนาดของครอบครัวเล็กลง บิดามารดาหรือผู้สูงอายุในสังคมวัฒนธรรมไทยถือเป็น และรปู แบบของการดแู ลในครอบครวั จะมคี วามหลากหลาย ความรับผิดชอบของสมาชิกในครอบครัว ความกตัญญูจึง มากขึ้นตามการเปล่ียนแปลงทางสังคมและความเจริญ กา้ วหนา้ ทางวทิ ยาศาสตรเ์ ทคโนโลยี ดงั เชน่ โครงสรา้ งของ ปVoีทlี่u2m8eฉบ28ับทNี่o2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

132 การวจิ ยั เชิงชาติพันธวุ์ รรณนากับการสร้างความเขา้ ใจการดแู ลในครอบครวั วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ ภายใตบ้ ริบทของสงั คมวัฒนธรรมไทย มหาวทิ ยาลัยบูรพา ครอบครัวที่ประกอบด้วยบุคคลสองวัย ซึ่งได้แก่ ผู้สูงอายุ อธิบายวิถชี ีวติ ขนบธรรมเนยี มประเพณี และวัฒนธรรมท่ี และเด็กจะมีมากข้ึน หรือมีครอบครัวท่ีมีผู้สูงอายุอยู่ เฉพาะของกลุ่มคนเพ่ือท�าความเข้าใจวัฒนธรรมของกลุ่ม ตามล�าพังมากขึ้น โดยเฉพาะในชนบทเน่ืองจากบุคคล คนนน้ั ๆ ได้อย่างลกึ ซง้ึ การวจิ ัยเชิงชาตพิ ันธุว์ รรณนาจะ ในวัยหนุ่มสาวซ่ึงเป็นวัยแรงงานอพยพเข้าไปหางานท�าใน เปน็ เครือ่ งมือในการศึกษาเก่ียวกับความคดิ วิถกี ารดา� เนนิ เมืองใหญ่มากข้ึน รวมท้ังผู้สูงอายุที่เคยมีบทบาทในการ ชวี ติ คา่ นยิ ม และความเชอ่ื ทางศาสนาทมี่ ผี ลตอ่ การดแู ลใน ถา่ ยทอดคณุ ธรรมและวฒั นธรรมใหแ้ กล่ กู หลานและเปน็ วยั ครอบครวั รวมทงั้ ปฏสิ มั พนั ธข์ องครอบครวั กบั สงิ่ แวดลอ้ ม ทคี่ วรไดร้ บั การดแู ลเอาใจใสจ่ ากลกู หลานจะถกู ปรบั เปลยี่ น ตลอดจนพฤติกรรมการแสดงออกอันสืบเนื่องมาจาก บทบาทไป นอกจากนี้ จากการทบทวนวรรณกรรม พบว่า ความเชื่อ และบริบทของสังคมวัฒนธรรมไทย ซึ่งจุดแข็ง มกี ารศกึ ษาเกย่ี วกบั ครอบครวั ในบรบิ ทของสงั คมวฒั นธรรม ของการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาน้ีจะเป็นการศึกษาที่ ไทยยังมีอยู่จ�ากัด และเกิดข้ึนในบริบทท่ีแตกต่างกันของ ท�าให้เกิดความเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งเก่ียวกับวิถีชีวิตและ สังคมไทย รวมถึงงานวิจัยที่เกี่ยวกับการดูแลในครอบครัว วัฒนธรรมของคนในสังคม และท�าให้ได้รายละเอียดของ ยังแสดงให้เห็นว่าบุคลากรทางการแพทย์ยังให้การดูแล ปรากฏการณ์และประสบการณ์ของกลุ่มคนภายใต้บริบท ทม่ี งุ่ เนน้ ผปู้ ว่ ยมากกวา่ สมาชกิ ครอบครวั รวมทงั้ การศกึ ษา นั้น ๆ ดังน้ันการศึกษาเก่ียวกับการดูแลในครอบครัวไทย ทผี่ า่ นมาสว่ นใหญม่ งุ่ เนน้ การศกึ ษาผดู้ แู ลหลกั ในครอบครวั โดยใชก้ ารวจิ ยั เชงิ ชาตพิ นั ธว์ุ รรณนา ภายใตบ้ รบิ ทของสงั คม ทเี่ ปน็ รายบคุ คล ซง่ึ อาจไมเ่ พยี งพอทจี่ ะอธบิ ายประสบการณ์ วฒั นธรรมทมี่ อี ทิ ธพิ ลตอ่ การใหค้ วามหมายของประสบการณ์ การดูแลของครอบครัวได้ ดังน้ัน จึงจ�าเป็นต้องศึกษา การดูแลในครอบครัว ซ่ึงบริบทของครอบครัวในสังคม มมุ มองของสมาชกิ ในครอบครวั ภายใตบ้ รบิ ทของครอบครวั วัฒนธรรมไทยน้ีมีลักษณะเด่นคือ สมาชิกในครอบครัว นนั้ ซง่ึ เปน็ ความทา้ ทายของนกั วจิ ยั ในการใชว้ ธิ กี ารวจิ ยั เชงิ มีความสัมพันธ์ท่ีแน่นแฟ้นและอบอุ่น และเป็นระบบ ชาตพิ นั ธว์ุ รรณนาเพอื่ อธบิ ายแบบแผนการดแู ลในครอบครวั เครือญาติ จึงมีความส�าคัญและสอดคล้องกับแนวคิดและ ท่ีสอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการการดูแล ปรัชญาความเช่ือของการวิจัยประเภทน้ี เพราะจะช่วยให้ ในครอบครัวตามบรบิ ทของสงั คมวฒั นธรรมไทยปจั จบุ นั นกั วจิ ยั มคี วามเขา้ ใจการดแู ลในครอบครวั ภายใตบ้ รบิ ทของ สังคมวัฒนธรรมไทยได้อย่างลึกซึง้ มากยิ่งข้ึน การศกึ ษาเกย่ี วกบั การดแู ลในครอบครวั ไทยโดยใช้ การวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาจะช่วยสร้างความเข้าใจ เอกสารอา้ งอิง การดูแลในครอบครัวตามบริบทของสังคมวัฒนธรรมไทย Aga, F., Nikkonen, M., & Kylmä, J. (2013). Caregiving โดยผลของการวิจัยเก่ียวกับการดูแลในครอบครัวไทยโดย ใชก้ ารวจิ ยั เชงิ ชาตพิ นั ธว์ุ รรณนาจะเปน็ ขอ้ มลู พนื้ ฐานในการ actions: Outgrowths of the family อธิบายประสบการณ์การดูแลในครอบครัวตามบริบทของ caregiver’s conceptions of care. Nursing and สังคมวัฒนธรรมไทย สามารถสะท้อนให้เห็นถึงแบบแผน Health Sciences, 1-8. DOI: 10.1111/nhs. ของครอบครัวที่เปล่ียนแปลงไปจากสภาพของสังคม 12077. วฒั นธรรมไทยทเ่ี ปลยี่ นแปลงในปจั จบุ นั และสามารถนา� ไป Chirawatkul, S. (2015). Qualitative research สู่การพัฒนาระบบการบริการครอบครัวได้ตรงตามความ in health science (3rd ed.). Bangkok: ต้องการและตามบริบทวัฒนธรรมของครอบครัวได้อย่าง Wittayaphat. [In Thai] แท้จริง รวมทั้งเป็นข้อมูลพ้ืนฐานในการท�าวิจัยเกี่ยวกับ Chompikul, J. (2009). Relationship in Thai families. การดแู ลในครอบครวั ในบรบิ ทสังคมวฒั นธรรมไทยต่อไป Nakhon Pathom: ASEAN Institute for Health Development, Mahidol University. สรปุ [In Thai] การวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาเป็นแนวทางหนึ่ง Chooto, N. (2008). Qualitative research (4th ed.). Bangkok: Printpro. [In Thai] ในการวิจัยเชิงคุณภาพที่เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ของการ Vปoีทlี่u2m8eฉบ28ับทNี่o2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

Focused Ethnographic Research and Understanding of Thai Family The Journal of Faculty of Nursing 133 Caregiving in Thai Sociocultural Context Burapha University Crawford, C.F. (2010). Duty, obligation and Kongsuwan, W., Chaipetch, O., & Matchim, Y. prostitution: How family matters in entry (2012). Thai Buddhist families’ perspective into and exit from prostitution in Thailand. of a peaceful death in ICUs. Nursing in In P.H. De Neui (Eds.), Family and faith Critical Care, 17(3), 151-159. doi: http://dx. in Asia: The missional impact of social doi.org/10.1111/j.1478-5153.2012.00495.x networks (pp.77-99). Pasadena: William Carey Library. Lin, J. & Yi, C. (2013). A comparative analysis of intergenerational relations in East Asia. Cruz, E.V., & Higginbottom, G. (2013). The use of International Sociology, 28(3), 297-315. focused ethnography in nursing research. Nurse Researcher, 20(4), 36-43. Matchim, Y. (2009). Hospice care: A cross-cultural comparison between the United States Friedman, M.M., Bowden, V.R., & Jones, E.G. (2003). and Thailand. Journal of Hospice and Family nursing: research, theory & practice Palliative Nursing, 11(5), 262-268. (5th ed). Upper Saddle River NJ: Prentice Hall. Mehta, A., Cohen, R., & Chan, L. S. (2009). Palliative care: A need for a family systems approach. Hallett, R.E. & Barber, K. (2014). Ethnographic Palliative and Supportive Care, 7(1), research in a cyber-era. Journal of 235-243. Contemporary Ethnography, 4(3), 306-330. Nilmanat, K. (2012). The end of life care. Songkla: Hermanns, M. & Mastel-Smith, B. (2012). Caregiving: Chanmuang Press. [In Thai] A qualitative concept analysis. The Qualitative Report, 17(1), 1-18. Panprasert, P. (2014). Family’s social support in promotion for the youth’s moral behavior Higginbottom, G.M., Pillay, J.J., & Boadu, N.Y. (2013). in Kanchanaburi Province. Dhonburi Guidance on performing focused Rajabhat University: Office of Academic ethnographies with an emphasis on Resources and Information Technology. healthcare research. The Qualitative [In Thai] Report, 18(17), 1-16. Photisita, C. (2009). Science and art of qualitative Khungtumneam, K. (2014). Ethnography research research (4th ed.). Bangkok: Amarin Printing for nursing service system in ASEAN. Journal and Publishing. [In Thai] of The Royal Thai Army Nurses, 15(1), 29-35. [In Thai] Robinson, S.G. (2013). The Relevancy of ethnography to nursing research. Nursing Klangkong, M., Singha, S., & Bantoms, P. (2011). Science Quarterly, 26(1), 14-19. Spiritual health of caregiver in case of end stage cancer of muslim patients. Al-Hikmah Satsanguan, N. (2015). Qualitative research in Journal of Yala Islamic University, 1(2), anthropology (7th ed.). Bangkok: 37-47. [In Thai] Chulalongkorn University Press. [In Thai] Singchongchai, P. (2009). Principles and using qualitative research in nursing and health (3rd ed.). Songkhla: Chanmuang. [In Thai] ปVoีทl่ีu2m8eฉบ28ับทN่ีo2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

134 การวิจยั เชงิ ชาตพิ ันธ์วุ รรณนากบั การสร้างความเขา้ ใจการดแู ลในครอบครวั วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ ภายใตบ้ รบิ ทของสงั คมวฒั นธรรมไทย มหาวทิ ยาลัยบรู พา Somanusorn, S., Hatthakit, U., & Nilmanat, K. (2011). Srichantaranit, A., Chontawan, R., Yenbut, J., Ray, Caring for a relative at the end of life to die L., Laohaprasittiporn, D., & Wanitkun, S. peacefully in the Thai Buddhist culture. The (2010). Thai families’ caring practices for Journal of Faculty of Nursing Burapha infants with congenital heart disease prior University, 19(2), 28-41. [In Thai] to cardiac surgery. Pacific Rim International Journal of Nursing Research, 14(1), 61-78. Sowattanangoon, N., Kotchabhakdi, N., & Petrie, K.J. (2009). The influence of Thai culture Wongwiwattananukit, S. (2007). Dictionary of on diabetes perceptions and management. research and statistics (2nd ed.). Diabetes Research and Clinical Practice, Chulalongkorn University Press. [In Thai] 84(1), 245-251. Wright, L. M., & Leahey, M. (2013). Nurses and Spradley, J. (1980). Participant observation. families: A Guide to family assessment Orlando: Holt, Rinehart, & Winston. and intervention (6th ed.). Philadelphia, PA: FA Davis Company. Vปoีทl่ีu2m8eฉบ28ับทNี่o2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

Author Guideline The Journal of Faculty of Nursing 135 The Journal of Faculty of Nursing Burapha University Burapha University คา� แนะน�าส�าหรบั ผ้เู ขยี นในการเตรยี มและส่งต้นฉบับ วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา 3. หนา้ ถดั มาใหเ้ ปน็ เลขหนา้ 1 ใหพ้ มิ พช์ อ่ื เรอ่ื งทงั้ ขอเชญิ นกั วจิ ยั ทางการพยาบาลและศาสตรอ์ นื่ ๆ ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง ภาษาไทยและภาษาองั กฤษ พมิ พไ์ วต้ รงกลางของหนา้ แรก ทางด้านสุขภาพ ส่งบทความทางวิชาการเพ่ือลงตีพิมพ์ ด้วยอักษรขนาด 22 Point และต่อด้วยบทคัดย่อ และ เผยแพรใ่ นวารสาร บทความทจ่ี ะสง่ ลงตพี มิ พต์ อ้ งไมเ่ คยลง Abstract (ไมเ่ กนิ 250 ค�า) และคา� สา� คญั (Key words) ตีพิมพ์ หรือไม่เคยตีพิมพ์ด้วยภาษาอื่น ๆ ในวารสารอื่น ไม่เกนิ 5 คา� ท้งั ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ มาก่อน ต้นฉบับบทความทุกเร่ืองจะได้รับการประเมิน ก่อนการตีพิมพ์ (Peer review) จากผู้ทรงคุณวุฒิท่ีมี 4. ส่วนประกอบในบทคัดยอ่ ได้แก่ วัตถปุ ระสงค์ ความเชยี่ วชาญ อยา่ งนอ้ ย 2 ทา่ น และตอ้ งผา่ นการพจิ ารณา ของการศึกษา (ไม่ต้องมีส่วนน�า) รูปแบบและวิธีการวิจัย เหน็ ชอบจากบรรณาธิการวารสารกอ่ นทจ่ี ะลงตีพมิ พ์ (กลุ่มตัวอย่าง สถานที่และช่วงเวลาเก็บข้อมูล เครื่องมือ ประเภทของบทความ วิจัย และการวิเคราะห์ข้อมูล) ผลการวิจัย สรุป และข้อ เสนอแนะ วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา รับบทความทางวิชาการท่ีเขียนเป็นภาษาไทยและภาษา 5. บทความวจิ ยั เรยี งล�าดับหัวขอ้ ดังนี้ องั กฤษ โดยเปน็ บทความวจิ ยั ทางการพยาบาล หรอื ศาสตร์ - ความสา� คญั ของปัญหา อน่ื ๆ ทเ่ี กี่ยวขอ้ งทางด้านสขุ ภาพ การบริการทางสขุ ภาพ - วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย ความรู้ในศาสตร์ทางการพยาบาล และสาขาอ่ืนท่ีเป็น - กรอบแนวคดิ ในการวจิ ัย ประโยชน์ตอ่ สขุ ภาพและวิชาชีพการพยาบาล - วิธีด�าเนินการวิจัย (ประกอบด้วย รูปแบบ การเตรยี มตน้ ฉบบั การวิจัย ประชากรและกล่มุ ตัวอยา่ ง เครือ่ งมอื ท่ีใช้ในการ 1. จัดพิมพ์ต้นฉบับด้วยคอมพิวเตอร์โปรแกรม วิจัย การพิทักษ์สิทธิกลุ่มตัวอย่าง การเก็บรวบรวมข้อมูล สา� เร็จรูป Microsoft Word ดว้ ยอักษร TH SarabanPSK และการวิเคราะหข์ ้อมูล) หรอื Angsana New ขนาด 16 point บนกระดาษขนาด A4 พิมพ์หน้าเดียวเว้นระยะบรรทัด 1 บรรทัด (single - ผลการวจิ ัย space) เวน้ ระยะหา่ งจากขอบกระดาษท้งั 4 ด้าน ด้านละ - การอภปิ รายผล 1 นวิ้ พมิ พเ์ ลขหนา้ กา� กบั ทกุ แผน่ และจา� นวนเนอ้ื หาไมเ่ กนิ - ข้อจ�ากัดในการวิจัย 12 หน้า (รวม References) - สรุปและข้อเสนอแนะ - กติ ติกรรมประกาศ (หากมี) 2. หน้าแรก (ให้เปน็ เลขหนา้ 0 โดยไมน่ ับรวมกับ - References เน้ือหา) ให้พิมพ์ช่ือเร่ืองภาษาไทย และ ภาษาอังกฤษ 6. การใชภ้ าษาไทยโดยยดึ หลกั ของราชบณั ฑติ ยสถาน ขนาด 20 point และเพ่ิมชอื่ ผ้เู ขยี น คุณวุฒิ ต�าแหน่ง และ หลกี เลยี่ งการใชภ้ าษาองั กฤษในขอ้ ความภาษาไทย ยกเวน้ สถานที่ท�างานทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ และระบุ กรณีจ�าเป็นและไม่ใช้ค�าย่อ นอกจากเป็นค�าที่ยอมรับกัน ผเู้ ขยี นหลกั (Corresponding author) โดยใสเ่ ครอ่ื งหมาย โดยทัว่ ไป การแปลศัพท์องั กฤษเป็นไทย หรือการเขียนทับ * ไวท้ ้ายชื่อ และระบุ e-mail address ไว้ด้วย ศัพท์ภาษาอังกฤษให้ยึดหลักของราชบัณฑิตสถาน การใช้ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษในเนอ้ื เรอ่ื งภาษาไทย ใหใ้ ชอ้ กั ษรตวั พมิ พ์ เลก็ ยกเวน้ ชอื่ เฉพาะใหข้ ึ้นตน้ ดว้ ยอกั ษรตัวพมิ พใ์ หญ่ 7. กรณบี ทความภาษาองั กฤษ ใชแ้ บบ American English ปVoีทlี่u2m8eฉบ28ับทN่ีo2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

136 คา� แนะนา� สา� หรบั ผเู้ ขยี นในการเตรยี มและสง่ ตน้ ฉบับ วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยบรู พา มหาวทิ ยาลยั บรู พา 8. การอา้ งองิ ทงั้ ในเนอื้ หา และ References เขยี น ประกอบดว้ ย 3 ไฟล์ คอื ด้วยภาษาอังกฤษ โดยใช้ APA 6th edition style ไม่เกิน 1) หนา้ ‘0’ ท่ีมีแต่ชอื่ เรอ่ื งและช่อื ผเู้ ขียน, 20 ชอื่ และเอกสารทใ่ี ชอ้ า้ งองิ ไมเ่ กา่ เกนิ 10 ปี ยกเวน้ ตา� รา 2) หนา้ ‘1-12’ ทมี่ ชี อื่ เรอ่ื ง บทคดั ยอ่ abstract หรือเอกสารทฤษฎีบางประเภท หากเอกสารอ้างอิงนั้น เนือ้ หา และ References, และ เขียนเน้ือหาเป็นภาษาไทย ใหป้ รับเปน็ ภาษาองั กฤษ แลว้ 3) หนังสือรับรองที่ผู้เขียนลงนามและกรอก ตอ่ ท้ายดว้ ยค�าวา่ [in Thai] ขอ้ มูลครบถ้วน (download แบบฟอร์มได้ที่ goo.gl/cisWzA 9. กรณที ตี่ น้ ฉบบั เปน็ วทิ ยานพิ นธห์ รอื ดษุ ฎนี พิ นธ์ จะตอ้ งไดร้ บั การรบั รองจากอาจารยท์ ป่ี รกึ ษาและผรู้ ว่ มเขยี น และ goo.gl/rArbPV ) ทุกคนตามแบบฟอรม์ ของวารสาร 3. ส่งต้นฉบับบทความทั้งหมดทาง E-mail : การสง่ บทความ [email protected] 1. การส่งบทความเพื่อลงตีพิมพ์ ต้องเสียค่า หมายเหตุ ธรรมเนยี ม ตามระเบยี บประกาศของคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั บรู พา โดยสงั่ จา่ ยธนาณัติ ในนาม “เหรญั ญิก 1. หากบทความของท่านไม่ได้รับการพิจารณาตี วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั บรู พา ต.แสนสขุ พมิ พ์ ฝา่ ยวารสารขอสงวนสทิ ธใิ์ นการคนื คา่ ใชจ้ า่ ยดงั กลา่ ว อ.เมือง จ.ชลบุรี 20131” 2. การเขยี นอา้ งอิง ใช้แบบ APA 6th edition ซ่ึง 2. Submission บทความในระบบ online ทาง สามารถ download และศึกษาตัวอย่างได้จาก URL: : https://www.tci-thaijo.org/index.php/Nubuu/ http://www.edu.buu.ac.th/webnew/jform/journal- author/submit/1 โดยจดั ทา� เปน็ 1 zip.file เพอ่ื upload ref.pdf Vปoีทlี่u2m8eฉบ28ับทNี่o2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

Author Guideline The Journal of Faculty of Nursing 137 The Journal of Faculty of Nursing Burapha University Burapha University Author Guideline The Journal of Faculty of Nursing Burapha University The Journal of Faculty of Nursing Burapha corresponding author by typing * after the name University is a peer reviewed journal published and provide e-mail address 4 issues per year. Researchers in nursing and health related sciences are invited to submit manuscripts 3. The next page should start with page to be published in this journal. These manuscripts number “1” and the title should be in the middle should not have been published previously in of this page with the font size of 18 points and other journals or in other languages. The original then the abstract (which should be a maximum manuscript will be reviewed by at least two of 250 words) and key words (up to a maximum reviewers and will be finally approved by the of 5 words). Abstract and key words must be Journal editor. duplicated and provided in both English and Thai language. Types of Manuscripts The Journal of the Faculty of Nursing 4. A structured abstract should be included as part of the manuscript. The abstract Burapha University will accept manuscripts of should contain purpose of the study without research articles written in English with contents detailed background, design and methods, relating to nursing research or health sciences, including type of study, sample, setting and health services, knowledge in nursing and other duration of data collection, measurement, and sciences which are beneficial to health and the types of data analysis, results, conclusions and nursing profession. implication. Preparation of Manuscripts 5. The contents should be ordered as 1. Typing manuscript using Microsoft Word follows: with Times New Roman with the font size of - Significance of the Problem 12 points on A4 size paper, one page printing, - Purpose the Study single space, margin size should be spaced at - Conceptual Framework 1 inch from each side on 4 edges, page number - Methods (including the design, typed on every page with a maximum of population and sample, research instruments, 12 pages (including references) ethical consideration, data collection procedure, and data analysis) 2. The first page (it should be page “0” - Results and not included the content). In this page should - Discussion contain the title of manuscript typed with the font - Conclusions and Implication for size of 12 points, the authors, their qualifications, Nursing positions, and work address. Identify the - Acknowledgments (if applicable) - References ปVoีทl่ีu2m8eฉบ28ับทNี่o2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

138 ค�าแนะน�าสา� หรับผู้เขียนในการเตรียมและส่งต้นฉบบั วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา มหาวิทยาลยั บรู พา 6. Use American English for manuscripts. 2. Submission on line via : https://www. 7. Writing references in text and in the tci-thaijo.org/index.php/Nubuu/author/submit/1 references’ part should be based on the APA 6th by upload zip.file including at least 3 files; edition style with the maximum of 20 citations and these citations should be up to date and 1) page ‘0’ which contains title and should not be older than 10 years except where author’s name and information; these citations are from textbooks or classic articles. If the reference was originally written in 2) page ‘1-12’ which consists of abstract Thai please amend to be in English, and then put (Thai and English), contents and references; the term ‘in Thai’ at the end of each citation. 8. If the original manuscript is a thesis or 3) the cover letter, which all required dissertation, it must be endorsed by an advisor information and endorsement are completed. and all co-authors according to the journal’s form. (the cover letter form is available at goo.gl/jfZcpc and goo.gl/wC4p3n ) 3. The original manuscript should be submitted to E-mail: [email protected] Submission of Manuscript Note: 1. Fees are charged according to the 1. If your manuscript is not accepted for regulation and announcement of the Faculty of publication, the journal reserves the right to refund Nursing, Burapha University. Money orders should such fee. be submitted to “Treasurer of Journal of Faculty of Nursing Burapha University, Faculty of Nursing 2. Write references in accordance with the Burapha University, Saensuk, Chon Buri 20131 APA 6th edition style. This style can be previewed and downloaded from: URL: http://www.edu.buu. ac.th/webnew/jform/journal-ref.pdf ปVoีทlี่u2m8eฉบ28ับทN่ีo2. (2เม(A.ยp.r--มJิ.uยn.)) 22506203

ศูนย์วิจัยและปฏิบัติการ เพื่อการเรียนรู้และพัฒนาเด็กเล็กคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ศนู ย์วิจยั และปฏิบตั ิการเพ่ือการเรียนรแู้ ละพัฒนาเด็กเล็กคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั บรู พา การส่งเสริมสุขภาพของครอบครัวนับเป็นสิ่งส�าคัญในภาวะสังคมปัจจุบัน ซ่ึงต้องเร่ิมตั้งแต่วัยเด็ก ต้องวาง รากฐานในการพฒั นาเดก็ ทงั้ ดา้ นร่างกาย จิตสงั คม บคุ ลกิ ภาพ และสตปิ ญั ญา ดังนัน้ การอบรมเลีย้ งดใู นวัย เดก็ จึงต้องใช้ผูอ้ บรมเล้ียงดทู ีม่ ีความรู้ความสามารถเขา้ ใจเดก็ ทั้งดา้ นชีวจติ สงั คม และวธิ ีเสริมพัฒนาการเดก็ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั บูรพาได้มองเห็นความส�าคัญดงั กลา่ ว จงึ ไดจ้ ัดต้งั โครงการศูนย์พัฒนาเดก็ เลก็ ขึ้นต้งั แตป่ ีงบประมาณ พ.ศ. 2540 การรับสมัคร 1. รับเด็กอายุระหว่าง 1½ เดอื น ถึง 4 ปี 2. รับเล้ยี งเด็กปกติ คอื เดก็ ท่ีไม่มีความพิการหรอื บกพร่องทางด้านร่างกายและจิตใจท่ีต้องได้รบั การดูแลเปน็ พิเศษ 3. รับสมคั รตามล�าดับกอ่ น - หลังจนครบตามจา� นวนท่ีทางศนู ย์ฯ ก�าหนดไว้ สนใจสอบถามข้อมูลเพ่ิมเติมได้ท่ี : ศูนยว์ จิ ยั และปฏิบัตกิ ารเพอ่ื การเรียนรแู้ ละพัฒนาเดก็ เลก็ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยบูรพา เลขท่ี 169 ถนนลงหาดบางแสน ต.แสนสขุ อ.เมอื ง จ.ชลบรุ ี 20131 โทรศัพท์ 038-102222 ต่อ 2859 โทรสาร 038-393476 และ http://nurse.buu.ac.th/2017/service-childcenter.php



สมัครสมาชิก วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั บรู พา สมาชิกใหม่ ต่ออายุสมาชิก สง่ บทความลงวารสาร ดว้ ยขา้ พเจา้ นาย/นาง/นางสาว........................................................ชอ่ื สกุล...................................................... ชอ่ื หนว่ ยงาน............................................................................................................................................................ อเี มลล.์ .............................................................................เบอร์โทร....................................................................... สถานท่จี ัดสง่ วารสาร ท่ีอย่เู ลขท.่ี ...............หมทู่ .่ี .........ซอย..........................ถนน...............................ต�าบล/แขวง.................................. อา� เภอ/เขต..............................................จงั หวัด............................................รหัสไปรษณยี ์.................................. อัตราคา่ สมาชกิ วารสาร 3 ปี 12 ฉบับ จ�านวนเงิน 1,300 บาท บุคคลทว่ั ไป/หนว่ ยงาน 1 ปี 4 ฉบับ จ�านวนเงิน 500 บาท นิสิตนกั ศกึ ษา 3 ปี 12 ฉบับ จา� นวนเงนิ 1,250 บาท 1 ปี 4 ฉบับ จา� นวนเงิน 450 บาท เร่ิมรับ ปที ่ี...............ฉบับที่..............พ.ศ................... สิ้นสดุ ปีที่...............ฉบบั ที่..............พ.ศ................... อตั ราคา่ ธรรมเนยี มการส่งบทความเพอ่ื ตีพิมพ์ บทความละ 2,000 บาท ชา� ระเงิน ได้ 2 ช่องทาง 1. ช�าระด้วยเงินสด 2. โอนเงินเข้าบญั ชี ( 386-1-00442-9 ธนาคารกรุงไทย สาขาแหลมทองบางแสน ชอ่ื บัญชี มหาวิทยาลยั บรู พา ) แจง้ สง่ หลักฐานการโอนเงนิ ได้ท่ี 1. ฝา่ ยวารสารคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ต.แสนสุข อ.เมอื ง จ.ชลบุรี 20131 2. Scan สง่ e-mail : [email protected] \" ลงชอื่ .......................................................................ผสู้ มัคร


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook