Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โครงงานเรื่อง-โคมไฟดักยุงด้วยแสงสีม่วง

โครงงานเรื่อง-โคมไฟดักยุงด้วยแสงสีม่วง

Published by apinyab59, 2021-01-28 14:57:21

Description: โครงงานเรื่อง-โคมไฟดักยุงด้วยแสงสีม่วง

Search

Read the Text Version

โครงงานเรื่อง โคมไฟดักยงุ ด้วยแสงสีม่วง จัดทาโดย นางสาว อภิญญา ปาปะทัง เลขท่ี 23 ช้ันม. 6/1 นางสาว ขศิรินทร์ พุทธา เลขที่ 25 ช้ันม. 6/1 นางสาว นลินรัตน์ มะโนรัตน์ เลขที่ 26 ช้ันม. 6/1 นางสาว สุพิชญา พ่ึงพรหม เลขที่ 27 ช้ันม. 6/1 เสนอ คุณครู ธญั ญารัตน์ ปิ งวัง โรงเรียนป่ าแดดวิทยาคม สานกั งานเขตพื้นท่มี ธั ยมศึกษาเขต 36

บทคดั ย่อ โครงงานเร่ือง โคมไฟดกั ยงุ ดว้ ยแสงสีมว่ ง วตั ถุประสงค์ เพื่อศึกษากสรโคมไฟดกั ยงุ ดว้ ย แสงสีมว่ งสามารถดกั ยงุ ไดจ้ ริงไหมและเพอื่ นาหลอดมาประยกุ ตเ์ ป็นโคมไฟดกั ยงุ โดยการนา กระดาษสีมว่ งมาตดิ กบั หลอดไฟและประประดิษฐโ์ ครงตกแตง่ เพ่อื ใหเ้ กิดความสวยงาม

บทที่ 1 บทนา ทมี่ าเเละความสาคญั ในปัจจุบนั วสั ดทุ ใี่ ช้ทากิจกรรมต่างๆของมนุษยม์ มี ากข้นึ เร่ือยๆ และวสั ดสุ ามารถจดั หา ไดง้ า่ ยจึงนามาแปรรูปเป็นสิ่งของเคร่ืองใช้ ซ่ึงใชส้ อยเพ่ือใหเ้ กิดประโยชน์สูงสุด และสามารถ นามาประกอบเป็นอาชีพเพื่อสร้างรายไดแ้ กค่ รอบครัว ยงุ เป็นพาหะนาโรคตา่ ง ๆ ท่ีเป็นอนั ตราย ต่อมนุษย์ เช่น โรคไขเ้ ลอื ดออก โรคไขม้ าลาเรีย เป็นตน้ จึงไดม้ ผี คู้ ดิ คน้ ส่ิงทส่ี ามารถช่วยในการ กาจดั และป้องกนั เช่น ครีมทางกนั ยงุ ยาฉีดกนั ยงุ เป็นตน้ ซ่ึงส่ิงเหล่าน้ีอาจจะเกิดอนั ตรายตอ่ ผูบ้ ริโภคเมอ่ื ใชใ้ นปริมาณท่มี ากเกินไปอนั เน่ืองมาจากส่ิงเหลา่ น้ีอาจจะมีสารเคมีเป็นส่วนผสม อยู่ ซ่ึงอาจทาให้ผบู้ ริโภคเกิดอาการแพไ้ ดใ้ นเวลาต่อมา วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพื่อศกึ ษาโคมไฟดกั ยงุ ดว้ ยแสงสีม่วงสามารถใชด้ กั ยงุ ได้ 2. เพอื่ ศกึ ษาวา่ หลอดไฟสามารถประยกุ ตเ์ ป็นโคมไฟดกั ยงุ ได้ 3. เพอื่ ศกึ ษาวา่ โคมไฟดกั ยงุ ดว้ ยแสงสีม่วงดกั ยงุ ไดจ้ ริง ขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า การดาเนินงาน 1. ปรึกษาหารือในการหาหวั ขอ้ เร่ืองโครงงานทจ่ี ะทา 2. วางรูปเเบบการทาโครงงาน 3. หาเเหล่งขอ้ มูลตา่ ง ๆ เพ่อื พิจารณาความเหมาะสมของโครงงาน 4. ทาหนา้ ท่ีตามโครงงาน 5. ตรวจความเรียบร้อยทุกอยา่ ง 6. นาเสนอ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. คนท่ีไดม้ าศกึ ษาทราบวิธีการทาโคมไฟดกั ยงุ ดว้ ยแสงสีมว่ ง 2. สามารถนาหลอดไฟมาประยกุ ตเ์ ป็นโคมไฟดกั ยงุ 3. สามารถนาความรู้ไปตอ่ ยอดไดอ้ ีกในเวลาตอ่ ไป

บทที่ 2 เอกสารทเ่ี กย่ี วข้อง หลอดไฟฟ้า พุทธศกั ราช 2443 มีการคิดคน้ หลอดไฟแบบไส้ คร้ังแรกข้ึนในโลกโดย เซอร์ โจเซฟ สวอน ไดน้ าแนวคิด จากนักวิทยาศาสตร์ มาพฒั นาต่อ จนสร้างหลอดไฟไดส้ าเร็จแต่ไม่ได้ พฒั นา ระบบไฟฟ้าข้ึนทาให้คนที่ซ้ือหลอดไฟ ของ สวอน ต้องหาซ้ือเคร่ืองปั่นไฟ ก่อให้เกิด ความยุ่งยากในการใช้งานมาก ต่อมา ทาง ทอมสั เอดิสัน ไดส้ ามารถสร้างหลอดไฟแบบไส้ ข้นึ มาไดบ้ า้ ง และนอกจากน้นั ทอมสั เอดิสัน ยงั ไดพ้ ฒั นาระบบไฟฟ้า ข้ึนมา ควบคกู่ บั หลอดไฟ และแจกจ่ายไฟ ไปยงั บา้ นเรือนต่าง ๆ ทาให้ หลอดไฟของเขาไดร้ ับความนิยม มากกว่า หลอด ของ ทางสวอน จนในท่สี ุด คนทวั่ ไป เกิดความเขา้ ใจกนั ว่า เอดิสนั คือผูค้ ดิ คน้ หลอดไฟ เป็นคน แรกของโลก หลอดไฟ ของเอดิสัน ทาจากแท่งคาร์บอน ในปี พุทธศกั ราช 2453 ไดม้ ีการ คิดคน้ ไส้หลอดท่ีทาจากทงั สเตน ข้ึนในโลก เนื่องจากหลอดไฟ ของ เอดิสัน ทาจาก คาร์บอน จึงมีอายุการใชส้ ้ัน เพียง 13 ช่วั โมงและจาก ปัญหาน้ี ต่อมา วิลเลี่ยม เดวิส ไดค้ ิดคน้ ไสห้ ลอด ทที่ ามาจาก ทงั สเตน ซ่ึงสามารถ ทนความร้อน ได้สูงถึง 3,419 องศาเซลเซียสในขณะท่ีไส้หลอด มีอุณหภูมิสูง 2,456 องศาเซลเซียส ทาให้ ปัญหาไส้หลอด ขาดง่ายหมดไป แต่ปัญหาท่ีตามมาอีกก็คือเมื่อไส้ทงั สเตนร้อน จะมีอานุภาค บางส่วนหลุดลอกไป เกาะกบั ผิวหลอดไฟ ทาให้หลงั จากใชง้ านไปไดร้ ะยะหน่ึง ประสิทธิภาพ การส่ องแสงของหลอดไฟก็จะลดลง จากปั ญหาเรื่ องแสงไฟที่ลดลง ทาให้บรรดา นกั วทิ ยาศาสตร์ ต่างก็พยายามคน้ ควา้ หาแนวทางการพฒั นาหลอดไฟกนั ตอ่ ไป พุทธศกั ราช 2477 ไดม้ ีการ คิดค้น หลอดนีออน เกิดข้ึนในโลก โดย จอร์จ คลอสิค หลักการ ทางานคอื บรรจุไอปรอทเขา้ ไปในหลอดและฉาบผิวหลอดแกว้ ดา้ นใน ดว้ ยฟอสฟอรัส หรือสาร เรืองแสงเม่ือปลอ่ ยกระแสไฟฟ้าเขา้ ไป ไอปรอทจะถูกกระตนุ้ และแผ่พลงั งานออกมาในรูปของ รังสีท่ีมคี วามยาวคลื่น 254 นาโนเมตรออกมา ซ่ึงเป็นความยาวคลืน่ ทีส่ ายตามองไมเ่ ห็นและเป็น

อนั ตราย รังสีที่ไอปรอทแผ่ออกมาจะกระทบกบั สารเร่ืองแสงที่ผนังหลอด สารเรืองแรงจะดูด ซบั รงั สีที่เป็นอนั ตรายเอาไวแ้ ละตวั มนั เองจะแผ่พลงั งานในรูป ของคลื่นที่มีความถ่ี ที่สายตาคน มองเห็นได้ออกมาแทน ท่ีเรียกว่าแสงขาวอุ่น เรียกหลอดพวกน้ีว่า หลอดฟลูออเรสเซนต์ (Fluorescent) ซ่ึงมกั ถกู เรียกในอกี ชื่อว่า หลอดนีออน ซ่ึงในการใช้งานจริงๆ ตอ้ งมอี ุปกรณ์อ่นื ๆ ช่วยคือ สตาร์ทเตอร์ (starter) และบาลาสท์ (Ballast) พทุ ธศกั ราช 2503 ไดม้ ีการ คิดคน้ หลอดเมทลั ฮาไลด์ ข้ึนมาไดช้ ่วงน้ี เทคโนโลยีไดแ้ บ่งรูปแบ การพฒั นาหลอดไฟ ออกเป็น 2 รูปแบบ ไดแ้ ก่ 1.ใช้หลกั การทาให้เกิดความร้อนจนเปล่งแสงไดแ้ ก่ หลอดไส้เอดิสัน, หลอดไส้ทงั สเตน, และ หลอดฮาโลเจน 2.ใช้หลกั การปล่อยประจุในก๊าซหลอดความดนั สูง HID, หลอดเมทลั ฮาไลด์, หลอดโซเดียม ความดนั สูง หลอดความดันต่า หลอดฟลูออเรสเซนต์ หลอดโซเดียมความดนั ต่าหลอดเมทลั ฮาไลด์ เป็ น หลอดไฟท่ีประสิทธิภาพ การให้แสงสว่างสูงทว่ามีอตั ราการใช้พลังงานสูง ต้ังแต่ 100 ถึง 3,500 วตั ต์ อายุ การใชง้ านปานกลาง คือ 8,000 ถงึ 10,000 ชว่ั โมง เหมาะกบั งานติดต้งั หลอดใน ที่สูงต้งั แต่ 6 เมตร ข้ึนไป การจุดติดหลอดไฟ จะตอ้ งรอเวลาการ สตาร์ท ประมาณ 3 ถึง 5 นาที แสงสวา่ งสูงสุดรอ 15 นาทีที่ผ่านมา หลอดเมทลั ไดร้ ับความนิยมกนั อยา่ งแพร่หลายในโรงงาน อุตสาหกรรม แต่ในปัจจุบนั ภาวะวิกฤตทางพลงั งาน ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าสูงข้ึนข้ึน จึงส่งผลให้ หลาย ๆ โรงงานปรับเปล่ียนระบบไฟฟ้าจากการใช้หลอดไฟประเภทเมทลั ฮาไลด์เป็ นการใช้ หลอดไฟประเภทอนื่ ๆ เช่นหลอด LED ในปัจจุบนั น้ีมีหลอดไฟให้เราเลือกใชอ้ ย่มู ากมายหลายประเภท มีท้งั หลอดไฟที่ให้ความสว่าง แตกต่างกนั หรือว่าเป็นหลอดท่ีมีความสว่างเท่ากนั แต่เป็ นคนละประเภท ซ่ึงประสิทธิผลยอ่ ม

แตกต่างกนั ดงั น้นั ก่อนการเลือกตดิ ต้งั หลอดไฟ ภายในบา้ นของเราน้นั ควรศึกษาและทาความ เขา้ ใจหลอดไฟประเภทต่างๆ ในทอ้ งตลาดว่ามีลกั ษณะและประเภท การใชง้ านอยา่ งไร เพื่อให้ ไดป้ ระสิทธิภาพสูงสุด และยงั ช่วยประหยดั พลงั งานอกี ดว้ ย แสง เป็นพลงั งานรงั สี ( Radiation Energy ) ทตี่ ารบั รู้และมปี ฏกิ ิริยาตอบสนองดว้ ย กระบวนการ วเิ คราะห์แยกแยะของสมอง ตาสามารถวเิ คราะหพ์ ลงั งานแสงโดยการรับรู้วตั ถุ สัมพนั ธ์กบั ตาแหน่ง ทศิ ทาง ระยะทาง ความเขม้ ของแสง และความยาวคลน่ื ทีม่ องเห็นได้ สี อลกั ษณะความเขม้ ของแสงทีป่ รากฏแกส่ ายตาใหเ้ ห็นเป็นสี โดยผ่านกระบวนการรับรู้ ดว้ ยตา มองจะรบั ขอ้ มูลจากตา โดยท่ตี าไดผ้ า่ นกระบวนการวิเคราะห์ขอ้ มลู พลงั งานแสงมาแลว้ ผ่านประสาท สมั ผสั การมองเห็น ผา่ นศูนยส์ ับเปล่ยี นในสมองไปสู่ศนู ยก์ ารมองเห็นภาพ การ สร้างภาพหรือการมองเห็นกค็ ือ การทีข่ อ้ มูลไดผ้ ่านการวิเคราะหแ์ ยกแยะให้เรารับรูถ้ งึ สรรพส่ิง รอบตวั การตรวจวดั คลน่ื แสงเริ่มข้นึ ใน คริสตศ์ ตวรรษที่ 19 ในปี 1928 ไรท์ ( W.D.Wright ) และ กิลด์ ( J.Guild ) ประสบความสาเร็จในการตรวจวดั คลนื่ แสงคร้ังสาคญั และไดร้ บั การรับรองจาก Commission Internationale de l ‘Eclairage หรือ CIE ในปี 1931 โดยถือวา่ เป็นการตรวจวดั มาตรฐานสามเหลีย่ มสี CIE เป็นภาพแสดง รูปสามเหล่ียมเกือกมา้ นาเสนอไวใ้ นปี 1931 โดย

การวเิ คราะหส์ ีจากแสงสเปคตรัม สมั พนั ธ์กบั ความยาวคล่นื แสง แสดงถงึ แสงสีขาวท่ามกลาง แสงสเปคตรมั รอบรูปเกือกมา้ โคง้ รูปเกือกมา้ แสดงความยาวคลน่ื จาก 400- 700 mu สามเหล่ยี มสี CIEสร้างข้นึ ตามระบบความสัมพนั ธพ์ กิ ดั X และ Y คาร์เตเชียน ในทางคณิตศาสตร์จากมมุ ตรง ขา้ ม 3 มุมของรูปเกือกมา้ คอื สีน้าเงินม่วงเขม้ ประมาณ 400 mu สีเขียวประมาณ 520 mu และสี แดงประมาณ 700 mu คือสีจากแสง ที่จะนามาผสมกนั และก่อให้เกิดสีตา่ ง ๆ ข้ึน แสงสีแดงมี ความยาวคลื่นสูงสุด แตม่ คี วามถีค่ ลืน่ ต่าสุด จะหกั เหไดน้ อ้ ยทส่ี ุดและแสงสีมว่ งจะมีความยาว คลน่ื นอ้ ยสุด แตม่ ีความถีค่ ลนื่ สูงสุด และหกั เหไดม้ ากที่สุด โครงสร้างของสามเหล่ยี มสี CIE น้ี มไิ ดข้ ้นึ อยกู่ บั ทฤษฎีใดทฤษฎีหน่ึง แตเ่ กิดจากการทดลอง คน้ ควา้ ทาง วิทยาศาสตร์ ระบบการพมิ พอ์ ุตสาหกรรม การถา่ ยภาพ ภาพยนตร์ โทรทัศน์ ไดใ้ ช้ โครงสร้างสีน้ีเป็นหลกั ในระบบการพิมพไ์ ดใ้ ชส้ ีจากดา้ น 3 ดา้ นของรูปเกือกมา้ คือ สีเหลอื ง ฟ้า สีม่วงแดง และสีดาเป็นหลกั ส่วน ในการถา่ ยภาพ ภาพยนตร์ โทรทศั น์ จอคอมพิวเตอร์ ใชส้ ีจาก มมุ ท้งั สาม คือ แดง เขียว น้าเงิน เป็นหลกั ในราวปี ค.ศ. 1666 เซอร์ ไอแซค นิวตนั ไดแ้ สดงให้เห็นวา่ สีคอื ส่วนหน่ึงในธรรมชาตขิ อง แสงอาทติ ย์ โดยให้ลาแสงส่องผา่ นแทง่ แกว้ ปริซึม แสงจะหกั เห เพราะแท่งแกว้ ปริซึมความ

หนาแน่นมากกว่าอากาศเมื่อลาแสงหกั เหผ่านปริซึมจะปรากฏแถบสีสเปคตรมั ( Spectrum) หรือ ท่เี รียกว่า สีรุ้ง (Rainbow) คอื สีม่วง คราม น้าเงิน เขยี ว เหลือง แสด แดง เมื่อแสงตกกระทบ โมเลกลุ ของสสาร พลงั งานบางส่วนจะดดู กลืนสีจาก แสงบางส่วน และสะทอ้ นสีบางสีให้ ปรากฏเห็นได้ พ้นื ผิววตั ถทุ เี่ ราเห็นเป็นสีแดง เพราะ วตั ถดุ ูดกลนื แสงสี อนื่ ไว้ สะทอ้ นเฉพาะ แสงสีแดงออกมา วตั ถุสีขาวจะสะทอ้ นแสงสีทกุ สี และวตั ถุสีดา จะดดู กลืนทกุ สี จากทฤษฎีการการหกั เหของแสงของ ของนิวตนั และจากสามเหลย่ี มสี CIE พบว่า แสงสีเป็น พลงั งานเพยี ง ชนิดเดียวที่ปรากฎสี จากดา้ นท้งั 3 ดา้ นของรูปสามเหลีย่ มสี CIE นกั วทิ ยาศาสตร์ ไดก้ าหนดแมส่ ีของแสงไว้ 3 สี คอื สีแดง ( Red) สีเขยี ว (Green) และสีน้าเงิน ( Blue) แสงท้งั สามสี เมอ่ื นามาฉายส่องรวมกนั จะทาให้เกิด สีต่าง ๆ ข้ึนมา คือ แสงสีแดง + แสงสีเขยี ว = แสงสีเหลือง ( Yellow ) แสงสีแดง + แสงสีน้าเงิน = แสงสีแดงมาเจนตา ( Magenta) แสงสีน้าเงิน + แสงสีเขยี ว = แสงสีฟ้าไซแอน ( Cyan ) และถา้ แสงสีท้งั สามสีฉายรวมกนั จะไดแ้ สงสีขาว หรือ ไม่มสี ี เราสามารถสังเกตแม่สีของแสง ไดจ้ ากโทรทศั น์สี หรือจอคอมพวิ เตอร์สี โดยใชแ้ วน่ ขยายส่องดหู นา้ จอจะเห็นเป็นแถบสีแสง สว่าง3 สี คอื แดง เขยี ว และน้าเงิน นอกจากน้ีเราจะสังเกตเห็นว่า เครื่องหมายของ สถานีโทรทศั นส์ ีหลาย ๆ ช่อง จะใชแ้ มส่ ีของแสง ดว้ ยเช่นกนั ทฤษฎีของแสงสีน้ี เป็นระบบสีท่ี เรียกว่า RGB ( Red – Green – Blue ) เราสามารถนาไปใชใ้ นการ ถา่ ยทาภาพยนตร์ บนั ทกึ ภาพ

วิดีโอ การสร้างภาพ เพ่ือแสดงทางคอมพิวเตอร์ การจดั ไฟแสงสีในการแสดง การจดั ฉากเวที เป็ นตน้ แสงสีท่ีเป็นแม่สี คอื สีแดง น้าเงิน เขยี ว จะเรียกวา่ สีพ้ืนฐานบวก ( Additive primary colors ) คือ เกิดจาก การหกั เหของแสงสีขาว ส่วนสีใหม่ท่ีเกิดจากการผสมกนั ของแม่สีของแสงท้งั สามสี จะเรียกวา่ สีพ้ืนฐานลบ (Subtractive primary colors ) คอื สีฟ้าไซแอน (Cyan) สีแดงมาเจนตา้ (Magenta) และสีเหลือง (Yellow) ท้งั สามสีเป็นแมส่ ีแม่ใชใ้ นระบบการพมิ พอ์ อฟเซท หรือที่ เรียกวา่ ระบบสี CMYK โดยทีม่ ีสีดา (Black) เพ่ิมเขา้ มา

บทที่ 3 วิธดี าเนนิ โครงงานและการดาเนินงาน จากการที่ผูจ้ ดั ทาโครงงานไดศ้ กึ ษาและคน้ ควา้ หาขอ้ มลู ในการทาส่ิงประดิษฐ์โคมไฟดกั ยงุ ดว้ ยแสงสีมว่ ง ไดม้ ขี ้นั ตอนและวิธีการดาเนินงานตามรายละเอียดในหวั ขอ้ ดงั ตอ่ ไปน้ี วิธกี ารดาเนนิ งาน 1.เตรียมหลอดไฟมา 1 หลอด 2.นากระดาษสีม่วงมาพนั รอบๆหลอดไฟ 1. ข้นั เตรียมการ 1.1 ศกึ ษาขอ้ มลู เอกสารทีเ่ กี่ยวขอ้ งและวธิ ีการทาสิ่งประดิษฐ์โคมไฟดักยงุ ด้วยแสงสีม่วง 2. ข้นั ตอนการดาเนินงาน 2.1 ออกแบบผลติ ภณั ฑ์ 2.2 จดั เตรียมวสั ดุ อปุ กรณ์ 2.3 ลงมือปฏบิ ตั งิ าน 2.4 จดั จาหน่ายผลิตภณั ฑพ์ ร้อมเก็บรวบรวมขอ้ มลู ในการสอบถามความพึง พอใจของผใู้ ช้ 3. ข้นั สรุปผล 3.1 วเิ คราะห์ขอ้ มูลแบบสอบถามดว้ ยจดั ทาแบบสอบถามนกั เรียน 3.2 จดั ทารูปเลม่ รายงานโครงงาน

บทที่ 4 ผลการดาเนนิ งาน และวเิ คราะห์ข้อมลู จากการศกึ ษาการจดั ทาโครงงานส่ิงประดิษฐ์โคมไฟดกั ยงุ ดว้ ยแสงสีม่วงสามารถใชด้ กั ยงุ ได้ จริง เเละสามารถนาหลอดไฟมาประยกุ ต์สร้างรายไดใ้ นอนาคต

บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ สรุป จากการทาโคมไฟดกั ยงุ ดว้ ยแสงสีม่วง ผจู้ ดั ทาโครงการไดร้ บั ความรู้และประสบ ผลสาเร็จดงั น้ี 1. รู้จกั ข้นั ตอนในการทาโคมไฟดกั ยงุ ดว้ ยแสงสี,j;’ 2. มปี ระสบการณใ์ นการทาผลิตภณั ฑโ์ คมไฟแสงสีม่วง 3. สามารถนาส่ิงของใกลต้ วั มาทาให้เกิดมลู ค่า


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook