๖ ๒๕๖๑ บนั ทกึ ธรรมโสรโทภกิ ขุ พระครภู าวนาวราลงั การ ว.ิ (สมศกั ด์ิ โสรโท)
พิมพ์ครั้งที่ ๑: กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๑ จำ� นวน ๒,๐๐๐ เล่ม ISBN: - บรรณาธิการ: ผศ.ดร.พฤทธ์ิ โกวทิ วรางกรู กองบรรณาธิการ: คณุ พรพมิ ล จติ ตจ์ นั ทร์ กราฟฟิกดีไซน์: คุณภษู ณิศา กฤตพลพมิ าน คุณกฤตพล กฤตพลพมิ าน ถอดเทปธรรมะและตรวจอกั ษร: พระมหาภาณุวฒั น์ อคคฺ จติ โฺ ต พระปญั จะ ภทฺรธมฺโม คุณศศิมา วรี ะประเสรฐิ ศกั ด์ิ ภาพประกอบ: Designed by freepik พิมพท์ ่:ี ส�ำนกั พิมพเ์ ลยี่ งเชยี ง เพยี รเพอ่ื พุทธศาสน์ 105/75 ถนนประชาอทุ ศิ ซอย 45 แขวงบางมด เขตทุง่ ครุ กรุงเทพฯ 10140 จดั ท�ำโดย: วดั ภัททนั ตะอาสภาราม ห้ามพมิ พ์คัดลอกหรอื ตัดตอน หรือพมิ พ์จ�ำหน่ายโดยไมไ่ ดร้ บั อนญุ าตจากผูเ้ ขยี น หากทา่ นใดประสงคจ์ ะพมิ พแ์ จกเปน็ ธรรมทาน โปรดตดิ ตอ่ ทางวดั ภทั ทนั ตะอาสภาราม
บนั ทกึ ธรรมโสรโทภิกขุ (๖) ๒๕๖๑ พระครูภาวนาวราลังการ ว.ิ (สมศักด์ิ โสรโท) กองทุนเผยแผ่ วดั ภัททนั ตะอาสภาราม ๑๑๘/๑ หมู่ ๑ บา้ นหนองปรือ ต.หนองไผ่แกว้ อ.บา้ นบึง จังหวดั ชลบรุ ี ๒๐๒๒๐ ผ้มู จี ิตศรทั ธาร่วมจดั พมิ พง์ านเผยแผ่ธรรมะสามารถร่วมบุญได้ใน \"กองทุนเผยแผ\"่ ธนาคารกสิกรไทย สาขาบา้ นบึง เลขท่ีบัญชี 117 - 2 - 64885 - 8
กลอนอาจารยิ บชู า
ขอน้อมกราบ พระอาจารย์ ด้วยดวงจติ ในนามศิษย์ รว่ มส่งสาสน์ วนั เกดิ ทา่ น ย่สี ิบเกา้ ตุลา มาพบกนั มวลศิษยน์ นั้ หาได้เลือน วนั เดือนปี ขอน้อมจติ มุทิตาคลา้ ยวนั เกิด ใหป้ ระเสริฐ อรยิ ทรพั ย์ มรี าศี ความร้ศู ิษย์ มอี าจารย์ อบรมดี สอนให้มี ไตรสิกขา ภาวนา ขออาจารย์ มอี ายุ และวรรณะ ท้ังสุขะ พละ ใหห้ รรษา คดิ สิ่งใด ขอสมดัง เจตนา ช่ัวชีวา พน้ ทุกข์ พบสขุ เทอญ (พระมหาประยรู สุนฺทโร)
ขอนอ้ มกราบ คณุ า ครูอาจารย์ สามสิบหา้ พรรษาผ่าน กาลสมยั ประกอบกจิ ศาสนธรรมะ วินัย สอนศษิ ย์ให้ รู้กายใจ ทกุ คืนวนั มุ่งม่นั สอน ภาวนา ไม่เลยละ ตามธรรมะ หลักนัยะ สติปัฏฐาน รู้ไตรลักษณ์ ถึงมรรคผล มุ่งนิพพาน ใหล้ ูกหลาน หมัน่ เพียร ภาวนา ถึงโอกาส ขอนบนอบ ตอบแทนคณุ พรอ้ มร่วมบุญ จดั งาน สรา้ งถวาย อาจรยิ ะ บูชา ด้วยใจกาย ศษิ ยท์ งั้ หลาย ขอวนั ทา มาสกั การฯ ลูกศิษย์ พระโยคาวจร แม่ชี โยคีชายหญงิ
ทุกก้าวยา่ งห่างไกลความไหลหลง ร่างที่ยืนม่นั คงห่างสงสาร ค้บู ลั ลงั ก์กายตัง้ ตรงด�ำรงสตวิ าร สหี ไสยาสนก์ าลยังภาวนา ดว้ ยกุศลผลบุญมาบันดาล ศษิ ย์ไดพ้ บพระอาจารย์เลิศในหลา้ พระกรรมฐานท่านให้ได้น�ำพา ปาฏิหาริย์อนุศาสนีดล ศษิ ย์นอ้ มกราบแทบบาทพระอาจารย์ ผ้ทู รงคุณกัลยาณมติ รลน้ สู้อุตสาหส์ ัง่ สอนอย่างอดทน หวงั ศษิ ย์พน้ ทุกขภ์ ัยไดส้ กั ครา ลูกกุ้ง
29 ตุลา มาบรรจบ วัฒนมงคลครบ 55 ปี 35 พรรษา ศษิ ยข์ อกราบพระอาจารยป์ ราชญป์ ญั ญา มนี ามว่าพระสมศกั ด์ิ โสรโท พระผูส้ ่งั สอนศิษย์ให้พน้ ทกุ ข์ ท่านคอยฉุดให้ศิษยม์ ีจิตมนั่ จะกา้ วเดินทางใดใจระวัง อยา่ พลาดพล้ังผลีผลามปรามจิตตน ท่านเปน็ ครูผเู้ ปี่ยมด้วยเมตตา ดุจแสงประทีปน�ำพาสวา่ งไสว “รูท้ ันเสบียงจะไม่เส่ยี งไปอบาย” หน่ึงบทความทา่ นมอบใหแ้ ก่ศิษย์ตน กม้ ลงกราบสิ่งศกั ดิ์สทิ ธ์ิอธษิ ฐาน โปรดนำ� ทาง บญุ ของศษิ ย์ นอ้ มเกื้อหนนุ เปน็ บาทให้พระอาจารยผ์ กู้ ารุณ ผสานบญุ บรรลุธรรมดง่ั ท่าน .. ปฏิญญา ณัฏฐิ ปิ่นสวาสดิ์
คำ�นำ� หนงั สอื \"บนั ทกึ ธรรมโสรโทภกิ ขุ (๖) ๒๕๖๑\" ฉบบั นเ้ี ปน็ หนงั สอื ธรรมะ เลม่ ที่ ๖ ของชดุ หนงั สอื บนั ทกึ ธรรมโสรโทภกิ ขุ ซง่ึ มกี ารจดั ทำ�ขน้ึ ปลี ะครงั้ นบั ตงั้ แตป่ ี พ.ศ. ๒๕๕๖ เปน็ ตน้ มา โดยคณะศษิ ยานศุ ษิ ยไ์ ดร้ ว่ มกนั จดั ทำ�หนงั สอื ฉบบั นข้ี นึ้ เพอื่ เปน็ ธรรมบรรณาการ นอ้ มนมสั การ กตญั ญู มทุ ติ า สกั การะ แด่ พระครูภาวนาวราลงั การ วิ. (พระอาจารยส์ มศักด์ิ โสรโท) พระอาจารยใ์ หญ่ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ เจ้าอาวาสวัดภัททันตะอาสภาราม อำ�เภอบ้านบึง ชลบุรี เนอื่ งในโอกาสเจริญอายวุ ฒั นมงคลครบ ๕๕ ปีพรรษาที่ ๓๕ ซง่ึ ในปีนต้ี รง กับวนั จนั ทรท์ ี่ ๒๙ ตุลาคม พทุ ธศักราช ๒๕๖๑ พระครูภาวนาวราลังการ วิ. พระอาจารย์ผู้มีธรรมคือวิปัสสนาเป็น ที่มายินดี ผู้ไม่เหินห่างจากโพธิปักขิยธรรม ปราศจากความยึดมั่นในรูป นาม รุ่งเรืองด้วยแสงสว่างแห่งปัญญาและมีจริยาวัตรสงบงาม ท่านเป็น ครูผ้บู ำ�เพ็ญประโยชน์เกือ้ กลู แก่พวกเราเหล่าศษิ ยานุศษิ ยด์ ว้ ยพระคุณ กล่าวคือ กรุณาและปัญญาญาณ เป็นผู้เป่ียมด้วยเมตตาในการสอนช้ีแนะ แนวทางการเจริญสติปัฏฐาน ๔ วิปัสสนากรรมฐาน อันเป็นหนทางสายเอก สู่ มรรค ผล นิพพาน ตามหลกั คำ�สอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสมั พุทธเจ้า ชว่ ยจุดประทปี แสงสวา่ งให้ปรากฎแก่ใจของเหลา่ ศษิ ยานุศิษย์เพ่อื ก้าวข้าม ผา่ นพน้ วฏั ฏะทกุ ขเ์ หลา่ ศษิ ยานศุ ษิ ยข์ อนอ้ มกราบมทุ ติ าสกั การะพระอาจารย์ ผ้เู ป็นที่พ่ึงในคุณประโยชนท์ ั้งหลายด้วยเศยี รเกลา้ \"บันทึกธรรมโสรโทภิกขุ (๖) ๒๕๖๑\" ฉบับน้ี เป็นการรวบรวม ธรรมบรรยาย เพอื่ การเจรญิ วิปัสสนากรรมฐานตามนัยแห่งสตปิ ัฏฐานส่ี จาก พระธรรมเทศนาของพระครูภาวนาวราลังการ วิ. ในโอกาสต่าง ๆ ซึ่งแบ่ง
เป็น ๕ บทความ เริ่มต้ังแต่เร่ือง \"ทางดำ�เนินสู่ความหลุดพ้นจากกิเลส\" ต่อ ด้วยเร่ือง \"ปริญญาเพ่ือมุ่งสู่มรรคาแห่งการดับทุกข์\" \"ปลื้มไม่ปล้ืม อย่าลืม กำ�หนดรู้\" \"ยอมรบั ปรับเปลย่ี นขับเคลือ่ นส่คู วามดับทุกข์\" \"สตปิ ัญญาเทา่ ทนั จะปอ้ งกนั ทกุ ข์ใจ\" และ \"อย่าสบั สนมุ่งฝกึ ตนต่อไป\" พรอ้ มทั้งบทกลอนอาจา รยิ บชู าสรรเสริญคณุ ประกอบไว้ในบทนำ�ของหนงั สอื ในนามของศิษยานุศิษย์ ขอกราบอนุโมทนากับผู้มีส่วนเก่ียวข้อง ทุก ๆ ท่านในการจัดทำ�หนังสือฉบับน้ี เพ่ือเป็นธรรมบรรณาการแด่ พระครูภาวนาวราลังการ วิ. เหล่าศิษยานุศิษย์ขอน้อมถวายบุญกุศล แด่ท่านพระอาจารย์ ครูผู้ช้ีนำ�ทางสงบ สว่าง และทางสู่ความพ้นทุกข์ ในวัฏฏะ ทางกองบรรณาธิการหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เนื้อหาสาระธรรมของ \"บันทึกธรรมโสรโทภิกขุ (๖) ๒๕๖๑\" ฉบับน้ี จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใฝ่ใจ ในการปฏิบัติธรรมและขอให้เป็นเหตุปัจจัยให้ท่านผู้อ่านได้ถึงซ่ึงมรรค ผล พระนพิ พาน ตามเหตปุ ัจจัยอันควรทกุ ๆ ทา่ นด้วยกัน สดุ ท้ายนีค้ ณะศิษยานศุ ษิ ยข์ อนอ้ มอภิวาทวนั ทาดว้ ยจิตมทุ ติ า ยินดีแด่พระอาจารย์เน่ืองในวันอายุวัฒนมงคลครบ ๕๕ ปี ขอคุณพระศรี รตั นตรัยโปรดชว่ ยปกปอ้ งคมุ้ ครองรักษาใหพ้ ระอาจารย์มีสุขภาพแขง็ แรง พลานามัยสมบูรณ์ สถิตสถาพรในบวรพระพุทธศาสนา เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ของเหลา่ ศษิ ยานศุ ษิ ยต์ ลอดกาลนานเทอญ ผศ.ดร.พฤทธ์ิ โกวิทวรางกูร บรรณาธิการ
สารบญั กลอนอาจารยิ บชู า 5 ค�ำน�ำ 10 14 อนุโมทนาพจน์ 16 ทางด�ำเนนิ สคู่ วามหลุดพ้นจากกเิ ลส 32 ปริญญาเพื่อมงุ่ สู่มรรคาแห่งการดบั ทกุ ข์ 48 62 ปล้ืมไมป่ ลม้ื อย่าลมื กำ� หนดรู้ 80 ยอมรับปรบั เปลย่ี นขับเคลอื่ นส่คู วามดับทุกข์ 92 อยา่ สับสนมงุ่ ฝึกตนต่อไป ประวัติหลวงพ่อ
อนโุ มทนาพจน์
อนโุ มทนาพจน์ อทุ กํ หิ นยนตฺ ิ เนตตฺ กิ า อุสุการา นมยนตฺ ิ เตชนํ ทารงุ ฺ นมยนฺติ ตจฺฉกา อตฺตานํ นมยนฺติ ปณฑฺ ิตา ชาวนาไขน้ำ�เข้านา ช่างศรดัดลกู ศร ช่างไม้ถากไม้ บณั ฑติ ฝกึ ตนเอง อนุโมทนาบุญ ผศ.ดร.พฤทธิ์ โกวิทวรางกูร และคณะศิษยานุศิษย์ ที่ได้ร่วมงานอายุวัฒนมงคลครบ 55 ปี 35 พรรษา โดยได้ร่วมกิจกรรม และจัดพิมพ์หนังสือ “บันทึกธรรมโสรโท ภิกขุ”(6) พุทธศักราช 2561 การกระทำ�ของทกุ คนยอ่ มเปน็ ผลมาจากจติ ใจทฝี่ กั ใฝใ่ นกศุ ลจรยิ าสมั มาปฏบิ ตั ิ จึงได้แสดงออกทางกาย วาจา ใจ พากเพยี รพยายามด้วยความบากบน่ั มั่นคง จนกระท่ังงานสำ�เร็จลุล่วงได้ด้วยดี ขอให้รักษาความเสมอต้นเสมอปลายใน การเจรญิ กุศล เพื่อเปน็ ปจั จยั เพื่อความหลุดพน้ จากกเิ ลสตอ่ ไป ดว้ ยอานภุ าพของพระพทุ ธเจา้ พระธรรม พระสงฆ์ จงปกปอ้ งคมุ้ ครอง ใหท้ กุ คนมสี ขุ ภาพดี มสี ตปิ ญั ญาดี มงั่ มโี ภคทรพั ย์ บรวิ าร เหน็ ภยั ในวฏั สงสาร ก้าวลว่ งบว่ งมาร มีมรรค ผล นพิ พาน อันเปน็ แดนเกษมจากกิเลส เทอญ พระครูภาวนาวราลังการ วิ.
๑ ทางดำ�เนนิ สูค่ วามหลุดพ้น จากกเิ ลส 16
ตอ่ ไปเปน็ ชว่ งฟงั ธรรมปฏบิ ตั ธิ รรมรว่ มกนั ใหพ้ วกเรานง่ั สมาธิ ฟงั ธรรม บรรยายไปดว้ ยวันนเ้ี ปน็ วนั อังคารท่ี ๒๔ มกราคม ๒๕๖๐ ปใี หม่ นานๆ เขา้ ความรสู้ กึ เรากเ็ รมิ่ ชนิ ๆ เหมอื นปเี กา่ ๆ ตอนแรกๆ กด็ เู หมอื นวา่ อะไรใหม่ ไอน้ นู่ ใหม่ ไอน้ ใี่ หม่ ดกู ระตอื รอื รน้ กนั เรมิ่ หลายวนั เขา้ กเ็ รมิ่ รสู้ กึ เฉยๆ กนั แลว้ อะไร ทมี่ นั ใหมๆ่ กเ็ หมอื นขมขี มนั ตน่ื เตน้ กระตอื รอื รน้ แตพ่ อรสู้ กึ วา่ มนั กไ็ มม่ อี ะไร กเ็ หมอื นๆ เดมิ เรม่ิ เฉอ่ื ยๆ แลว้ ตรงนเี้ รากต็ อ้ งตระหนกั รู้ โยคผี ทู้ เี่ ขา้ ปฏบิ ตั ใิ น คอรส์ กต็ อ้ งพยายามมากกวา่ โยคปี กติ บางคนบางรปู กป็ ฏบิ ตั เิ ปน็ ปกตอิ ยแู่ ลว้ แต่พอมาอยู่ในคอร์สก็ต้องท�ำให้ดีต่อเน่ือง จะได้ไม่รู้สึกผิดปกติ ส่วนบางคน มาใหมบ่ างคนอาจจะต้องอาศัยระยะเวลาในการปรับตัว อย่างนอ้ ย ๓-๔ วนั ส่วนโยคีบางคนช่างจดจ�ำช่างจ�ำนู่นนี่มาเยอะแยะ บางคร้ังก็คิดสงสัยวางใจ ไม่ถูกว่าจะต้องท�ำยังไง โยคีต้องวางจิตให้เป็นกลาง ก�ำหนดอารมณ์ปัจจุบัน ให้เทา่ ทนั ทุกอย่างจะค่อยๆปรบั จูนจนเข้าท่ีเอง 17
วางจติ เปน็ กเ็ ห็นธรรม นักปฏิบัติตอ้ งวางสงิ่ เก่า รับเอาสิง่ ใหม่ ซ่ึงไดแ้ ก่ อารมณก์ รรมฐาน อันเป็นปัจจุ บัน คือ รูปนามท่เี กดิ -ดับ อยู่ในปัจจุ บนั ขณะนัน้ เอง 18
เมอื่ จติ ไปนกึ ถงึ สง่ิ ทผี่ า่ นมาแลว้ มนั กจ็ ะทำ� ใหเ้ ราวติ กกงั วลบา้ ง เมอ่ื โยครี สู้ กึ ตวั ต้องก�ำหนดทันที “กงั วลหนอ” บางทไี ม่รู้ว่าตวั เองทำ� ถกู หรอื ผิด ฉะน้ันบาง ครง้ั ก็ท�ำได้ดหี รอื ไม่ดี มนั ก็ลงั เลสงสยั ทีนเ้ี ม่อื เราปฏบิ ัติ กพ็ ยายามอยกู่ ับรปู นามปจั จบุ ัน อยา่ งมาที่น่อี ยทู่ ีน่ ี่ ท่านให้กำ� หนดอาการ พอง-ยบุ ที่ท้อง โยคี กต็ อ้ งพยายามทำ� ใหไ้ ด้ เม่อื ไม่มพี องไม่มมี ยี ุบ ก็อยทู่ ีนั่งท่ถี กู หรอื อย่ทู ่ฐี านอ่ืน บา้ ง มันชามันเหน็บ ปวด หรือ บางช่วงกอ็ ยูท่ ีฐ่ านจติ คิดนูน่ นี่ คดิ หนอๆ หรือ อยทู่ ฐ่ี านธรรมทจี่ ติ รู้ กส็ งั เกตอาการ จติ รอู้ ะไรบา้ ง อารมณท์ ม่ี าประกอบ เปน็ กศุ ล อกศุ ลบา้ ง บางครงั้ ชอบชงั ตรงไหนชดั เจนอารมณไ์ หนชัดเจน อารมณ์ นั้นเราก็พยายามก�ำหนด มันก็เข้าท่ีเอง บางครั้งเราคดิ ไปเอง นนู่ นี่ บางคร้งั เราก็แพ้ แพใ้ จแพ้ความคดิ เรานั่นแหล่ะ มนั ยังไมไ่ ด้บอกเลยว่าอะไรผดิ ถกู แต่ เราแพใ้ จตวั เองเสยี แลว้ ถา้ เราเทา่ ทนั รปู นาม จติ กจ็ บในตวั มนั เอง ถา้ เราไมเ่ ทา่ ทันก็ปรุงไปเร่ือย แต่งไปเรื่อย หาจุดจบยาก เราก็ต้องพยายาม คนท่ีอยู่ใน คอรส์ ก็ต้องพยายามขยันมากกวา่ ปกติ ญาตโิ ยมที่มาปกติ ๓ ทุ่มก็กลับทพ่ี กั คนไหนขยนั กอ็ ยตู่ ่อไปได้ไมไ่ ดห้ า้ ม จะอยูต่ ่อไป ๔- ๕ ทมุ่ ไม่ไดห้ ้าม อย่ทู ่ีเรา ให้โอกาสตัวเอง ก่มี ากก่ีนอ้ ย หรอื จะตืน่ ตี ๓ ครง่ึ เหมอื นกบั คอรส์ ปัญจบูชา กไ็ ด้ หรอื จะต่ืนตี ๔ ตามเวลาปกติของทางวัดทีบ่ อกไว้ อริ ยิ าบถย่อยจำ� เป็น มากท่ีนักปฏิบัติควรอย่างยิ่งท่ีจะต้องเอาใจใส่ในการก�ำหนด เพ่ือมิให้กิเลส แทรกเขา้ มารบกวนจติ ใจ ความต่างกันของคอร์สปัญจบูชา กับการเข้าปฏิบัติตามปกติ ก็คือ เคร่งครัดข้ึนมาหน่อย เน้นการก�ำหนดให้มีความต่อเนื่องตลอดเวลาที่ตื่นอยู่ มีผู้ควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด คอยแนะน�ำตักเตือนให้สติอยู่เนืองๆ เวลาพัก ผ่อนน้อยเน้นปฏิบัติมากๆ งดเว้นการใช้เคร่ืองมือสื่อสารหรือการพูดคุยโดย ไมจ่ �ำเป็น ส่วนญาติโยมทไี่ มไ่ ด้เขา้ คอร์ส อาจจะมีเวลาพกั ผ่อนมากกวา่ หน่อย เวลาพกั กวา่ จะถงึ บา่ ยโมง ลงมาศาลาปฏบิ ตั ิ จรงิ ๆ มนั กแ็ ทบจะไมต่ า่ งกนั ถา้ 19
คนท่ีต้งั ใจ คนไหนตงั้ ใจกท็ ำ� ได้ อาจจะท�ำไดด้ กี วา่ อยใู่ นคอรส์ อยู่กบั อารมณ์ กรรมฐานท้ังไปและกลับ เดินไปกลับมีกรรมฐานตลอด มันไม่มีเวลาที่จะไป หรอื เวลาท่จี ะสงสยั กย็ งั ไมม่ ี เวลาทีจ่ ะถามใครก็ยงั ไมม่ ี อย่กู ับปจั จบุ นั ตลอด แต่พอเราเผลอ มนั มีอย่างอน่ื แทรกเขา้ มา ทำ� ให้เราคิดอยเู่ ร่อื ย ทำ� ให้เราปรุง ไปนู่นนี่ ถ้าสงั เกตดีๆ เราจะรจู้ กั ใจตัวเอง คือรจู้ กั ตัวเจ้าของไมไ่ ดไ้ ปรจู้ กั อะไร หรอก บางคนอยากจะรู้แต่ใจคนอื่นหรือพฤติกรรมคนอื่น แต่ไม่พยายามรู้ พฤติกรรมตัวเองมันก็ห่าง ห่างจากนิพพานไปเรื่อย ห่างจากดับทุกข์ตัวเอง ไปเร่ือย มนั มีแต่จะเพิม่ ทุกข์หรอื ปัญหา เพราะหา่ งรปู นาม ห่างสภาพธรรมที่ เปน็ ปจั จบุ ัน มนั จะเหน็ สภาพธรรมทเี่ กดิ ดับอยตู่ ลอด เราต้องอดทน กว่าจะ ส�ำเร็จได้แต่ละอย่าง ต้องอาศัยความอดทน ทุกย่างก้าวของเราหรือทุกการ ก�ำหนด ไปสู่จุดหมายสูงสุดคือพระนิพพาน เพียงแต่ว่า เราจะไปถึงเม่ือไหร่ อกาลิโก ไมไ่ ดก้ �ำจดั กาล ไม่มรี ะยะเวลาทีช่ ัดเจนว่าจะบรรลุโลกตุ รธรรมเมือ่ ไหร่ ถ้าเรามีเหตปุ จั จัยพร้อมอาจจะบรรลุเร็วกวา่ ท่คี ิดเอาไวก้ ็ได้ 20
ปฏปิ ทา ๔ ประการ ปฏิปทา คือ แนวปฏิบัติ ทางด�ำเนิน การปฏบิ ตั ิแบบท่เี ป็นทางดำ� เนนิ ใหถ้ งึ จุ ดหมาย คอื ความหลดุ พ้นหรือความสิน้ อาสวะ ในคัมภรี อ์ งั คุตตรนกิ าย จตุกกนิบาต ทา่ นกล่าวไว้มีอยู่ ๔ ประการ ด้วยกัน ซ่ึงแตล่ ะคนอาจจะไมเ่ หมือนกนั 21
๑. ทกุ ขา ปฏิปทา ทันธาภิญญา บุคคลท่ีปฏิบัติล�ำบาก ท้ังรู้ได้ช้า ล�ำบากด้วยแล้วก็รู้ช้าด้วย ปฏิบัติ ลำ� บาก ในคัมภีรท์ ่านพดู ไวว้ า่ ปฏปิ ทา พระโยคาวจร หรอื ผูป้ ฏบิ ัตกิ รรมฐาน เปน็ ผู้ท่มี ากไปดว้ ย ราคะ โทสะ โมหะ คือกิเลสทั้ง ๓ กอง มนั มีกำ� ลงั มนั มี อ�ำนาจเยอะ ก็เลยทำ� ใหล้ ำ� บากในการปฏบิ ัติ เพราะโดนกิเลสหลอกอย่เู รอื่ ย โดนราคะ โทสะ โมหะ กเิ ลส มันรมุ เร้าตลอด โยคีบางคนตอ้ งเรม่ิ ต้นปฏิบัติ ด้วยการก�ำหนดอสุภะกรรมฐาน มาพิจารณาให้เห็นว่าไม่สวยงามมันซ่ึงตรง ข้ามกับสิ่งสวยงาม บางคร้ังเราชอบสิ่งสวยงามพอเห็นแล้วพอใจ แต่พอให้ ไปพิจารณาซากศพ ความตาย พจิ ารณา กายคตาสติกรรมฐาน เหลา่ นบ้ี าง คร้ังมนั ก็ย่งิ ทรมานหัวใจ มนั เหมือนกบั ไมเ่ ป็นท่ีชืน่ ใจ ชอบใจ มนั อดึ อดั คบั ขอ้ งใจ หรือผู้ปฏิบัติวปิ สั สนากรรมฐาน ปฏบิ ัติไปแลว้ กเ็ หมือนย่ิงปฏบิ ัตนิ าน มนั ทำ� ให้ โลภยงั เยอะอยู่ โกรธกเ็ ยอะ มอี ะไรมากระทบนดิ หนอ่ ยกโ็ กรธขโ้ี มโห ขี้นอ้ ยใจ ครบู าอาจารย์ดุหน่อย ว่าหนอ่ ยก็นอ้ ยใจเสียใจ กเิ ลสมนั เลน่ งานเอา บางครงั้ โมหะกเ็ ลน่ งานทำ� ใหห้ ลงไมร่ สู้ ภาพธรรมทแี่ ทจ้ รงิ ทกุ ขงั กย็ งั คดิ วา่ เปน็ สขุ งั อนตั ตาก็เปน็ อัตตาอย่นู ่ันแหละ่ ไม่รู้ อนิจจัง ทกุ ขงั อนตั ตา ไมร่ ้เู ลยวา่ นี่ ทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความดับทกุ ข์ นี่ทางดบั ทุกข์ ไม่ร้อู ดตี อนาคต บางครงั้ จงึ ดู เหมอื นมนั ยาก กเิ ลสมนั เลน่ งานเอา กเิ ลสมนั เลน่ งานกเ็ ลยเหมอื นยาก ปฏบิ ตั ิ ลำ� บาก เพราะกเิ ลสมันพาใหล้ ำ� บาก ย่ิงก�ำหนด กิเลสย่ิงเยอะ บางคนกโ็ มหะ บางคนก็โทสะ บางคนก็โลภะ น่ังหลับ น่ังโงกง่วง หรือน่ังวติ กกังวล หรอื น่งั สงสยั หนอๆ ถา้ เรามี เรากล็ องดวู า่ เอ้ นคี่ อื มกี เิ ลสทง้ั ๓ กองเยอะ บางผบู้ างคน ปฏิบัตสิ มถกรรมฐานกไ็ มไ่ ด้มคี วามสขุ อยู่ในฌาน คอื ไมไ่ ดส้ ัก ฌาน กเิ ลสเลน่ งานเอากวา่ จะไดม้ นั ลำ� บาก ยากเยน็ ร้กู ร็ ้ชู ้า ไมไ่ ดร้ ู้เร็ว สองวันก็แล้ว สามวัน กแ็ ลว้ สี่วนั ก็แลว้ หา้ วันก็แล้ว หกวนั กแ็ ลว้ หรือเปน็ เดอื น เปน็ ปี หรอื หลายๆ ปี ก็ยังเป็นอย่อู ย่างเดมิ ในความรสู้ ึกเรา ท�ำไมหนอ ปฏบิ ัติกป็ ฏิบัติจรงิ จงั ทกุ 22
คร้งั เรียกวา่ ถวายชีวติ เลย เอาเปน็ เอาตายกบั การกำ� หนด เข้ากรรมฐานก็เขา้ หลายครง้ั ปฏบิ ตั หิ ลายทหี่ ลายสำ� นกั เขาบอกวา่ สำ� นกั ไหนดี ไมว่ า่ เมอื งไทยเมอื ง พมา่ ไปหมด แต่โลภะ โทสะ โมหะ ก็ยังเล่นงานเอาหนา้ ดำ� ครำ�่ เครียด ธดุ งคก์ ็ ไปธดุ งคก์ บั เขา แตใ่ จหนอใจกย็ งั ไมห่ า่ งไกลจากกเิ ลส ไมเ่ หน็ เบาบาง นง่ั เนสชั ชกิ ก็ยงั ไมเ่ ห็นว่ากิเลสเบาบาง ทำ� ทุกอย่าง เพือ่ ที่จะให้ตวั เองพน้ ทกุ ข์ หรอื บรรลโุ ลกตุ รธรรม แตเ่ มอ่ื ทำ� แลว้ ยงิ่ ทำ� เหมอื นจะไมบ่ รรลุ ยงิ่ ยาก นค่ี อื ปฏปิ ทา พวกแรกท่ีแรก กว่าจะบรรลุ ช้ามาก ในคัมภีร์ ท่านยกตัวอย่าง ท่านพระ จกั ขุบาลเถระ ปฏิบัตวิ ิปสั สนา ลงทุนทำ� เนสัชชิก จนถงึ ข้ันเรียกว่าไม่หลับไม่ นอน นั่งอย่างเดยี วไมย่ อมเอนกาย ตาก็พลา่ มัวสุดทา้ ยไม่ดี หมอก็แนะนำ� ให้ นอนหยอดตา ท่านก็ไม่ยอม จะเอาให้ได้ เอาให้บรรลุ สุดท้ายต้องแลกกัน สดุ ทา้ ยทา่ นเสยี ดวงตา แตผ่ ลตอบแทนกค็ มุ้ คา่ คอื ถงึ แมว้ า่ ไมม่ ฤี ทธไิ์ มไ่ ดเ้ ปน็ ผู้วเิ ศษ แตไ่ ด้เป็นพระอรหนั ต์หมดกิเลส แลกกับตาบอด แตป่ ัญญาทา่ นไมไ่ ด้ มืดบอด คือประเภทปฏิบัติล�ำบากแต่รู้ช้า กว่าจะรู้ได้ก็สูญเสียตา ต้องแลก ด้วยอวัยวะส�ำคัญ หรือบางคน บางรูป อาจจะแลกด้วยชีวิตก็มี พอขันธ์ ๕ ดับ กเิ ลสกด็ ับไปดว้ ยก็มี ปฏบิ ตั ิยากลำ� บาก มโี รคภัยเบียดเบยี นอกี ซงึ่ แต่ละ คนไมเ่ หมือนกนั อยา่ พง่ึ ฟันธงวา่ เราเป็นประเภทใด มีเร่ืองเล่าในยุคหลังๆ ว่า มีพระอาจารย์รูปหนึ่ง ท่านเคยเป็นครูบา อาจารย์สอนทฤษฎี ลูกศิษย์ลูกหา สุดท้ายก็คิดว่าตัวเองคงปฏิบัติได้ไม่ยาก แตพ่ อเขา้ ปา่ ละทง้ิ การสอนทฤษฎี มุง่ ส่กู ารปฏบิ ัติวปิ สั สนา ย่ิงปฏบิ ตั กิ ิเลสก็ ย่งิ ก�ำเริบ เม่ือทุม่ เทเอาเป็นเอาตายกบั การปฏิบตั ิกย็ ังไมม่ วี แ่ี ววใดๆเลยว่าจะ บรรลุโลกุตรธรรม พอตกตอนเยน็ มาก็ไม่รวู้ ่าจะปรบั ทุกขก์ บั ใครกเ็ อานำ�้ ตา เปน็ เพอื่ น พอไมม่ อี ะไรทไี่ ดด้ งั่ ใจ ทา่ นกร็ อ้ งไห้ เทวดาทส่ี งิ สถติ อยบู่ รเิ วณนนั้ ก็ หวั เราะเยาะทา่ น พระเถระเมอ่ื ตงั้ สตไิ ดก้ ต็ ง้ั ใจปฏบิ ตั ติ อ่ ไปอกี เรอื่ ยๆ บางครง้ั ก็ชนะใจตัวเองหรือไม่ก็พ่ายแพ้อย่างราบคาบ บางครั้งท�ำให้นึกถึงตอนเรียน 23
ทฤษฏีซึ่งสามารถท่องจ�ำน�ำมาสอนลูกศิษย์มันง่าย แต่พอมาปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐาน เดนิ เอง นงั่ เอง กำ� หนดสภาวธรรม มันไม่ง่ายเลย การจะเอาโลภะ โทสะ โมหะ ออกจากจติ ใจ เหมอื นท่สี อนในต�ำรามนั ไมง่ า่ ยซะแลว้ ไมเ่ หมือน กบั ปอกกลว้ ยเขา้ ปาก มนั ยากกวา่ ทา่ นทำ� กรรมฐานอยแู่ บบนนั้ เปน็ เวลา ๓๐ ปี ผา่ นไป แสดงวา่ ทา่ นออกมาตอนอายุ ๕๐ ลว่ งแลว้ เพราะตอนทบี่ รรลธุ รรม ท่านมีอายุ ๘๐ ปี แล้ว พอบรรลุปุ๊บ ลูกศิษย์ลูกหาผู้ท่ีมีอภิญญาต่างทราบ ข่าวดีน้ี จึงตงั้ ใจจะมาล้างเท้าให้ครูบาอาจารย์ โยคีทงั้ หลายคงพออนุมานได้ นะ การปฏิบตั ิ ยากลำ� บากแคไ่ หน บทจะรู้ก็รู้ไดช้ า้ มบี างคนปฏิบตั มิ าเพยี ง ๑ ปี ก็บ่นแล้วเลกิ แล้ว บางคนปฏิบตั ิมา ๗ ปี กเ็ ลกิ แล้ว สงสยั คดิ ว่าเราคง ไมม่ บี ุญวาสนาท่ีจะบรรลหุ รอก มีบญุ ทกุ คนไม่อยา่ งนัน้ ไมไ่ ดม้ าปฏิบตั ิ เพยี ง แตว่ ่ามันอาจจะสุกช้าหน่อยเปน็ ต้นเป็นใบเป็นกงิ่ เป็นก้านแลว้ มดี อกผลอยู่ แต่ผลนนั้ ยังไม่เต็ม เพราะบางคนก็เหมอื นตน้ ไม้พอมันโตข้ึนก็มกี งิ่ ก้านใบ กิ่ง ก้านใบบางครง้ั คนมองกม็ องว่าเขยี วสวยงาม บางคนไดป้ ระโยชน์ได้ใบมาทำ� ยา ประโยชนใ์ หแ้ ก่โลก นัน่ คือคณุ ธรรมท่ปี ฏบิ ัตไิ มผ่ ดิ ถูกต้องถึงแมม้ ันจะมี โลภะ โทสะ โมหะ ก็จรงิ เรามีสิ่งเหลา่ นีก้ ็จริง เมอ่ื มันฟขู นึ้ มาในใจ เรามีศีล สมาธิปัญญาก�ำหนดอยู่ตลอด มันก็เหมือนกับไม่ได้ไปท�ำร้ายใคร มันก็อยู่ใน ใจเราทั้งนั้น มีแต่เราท่ีรู้คนอ่ืนไม่รู้ หรือถ้าจะรู้ก็มีเฉพาะพระวิปัสสนาจารย์ ท่เี ราไปส่งอารมณก์ ็แคน่ ัน้ คนอ่นื ไม่รู้ ฉะนั้นพยายามอดทนต่อไป พระเถระ ในช้ันหลังในยุคพันปีหลัง ที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วท่านใช้เวลานาน ถึง ๓๐ ปี ถงึ จะบรรลุ กว่าจะเปน็ พระอรหันตก์ ว่าจะหมดกเิ ลส กวา่ จะถึงขน้ั วมิ ุตติหลดุ พน้ จากอาสวะท้งั ปวงได้ 24
๒. ทุกขา ปฏิปทา ขปิ ปาภิญญา ปฏบิ ัตลิ �ำบากแตร่ ้ไู ดเ้ ร็ว เช่น ผู้ปฏบิ ัตทิ ีม่ รี าคะ โทสะ โมหะแรงกล้า ต้องเสวยทุกข์โทมนัสเนื่องจาก ราคะ โทสะ โมหะนั้นอยู่เนืองๆ หรือเจริญ กรรมฐานทม่ี ีอารมณไ์ ม่นา่ ชนื่ ใจ เชน่ อสภุ ะ เป็นต้น แต่มอี นิ ทรยี แ์ ก่กลา้ จงึ บรรลุ โลกุตรมรรคได้เร็วไว ดังท่านพระมหาโมคคัลลานะเป็นตัวอย่าง คือ ปฏบิ ัติลำ� บากกจ็ ริงแต่ร้ไู ดเ้ ร็ว ในขณะปฏบิ ัติ ราคะ โทสะ โมหะกเิ ลสมนั แรง กลา้ หรอื ขณะเจรญิ อสุภะ ท�ำกายคตาสติ มนั ไมเ่ ปน็ ท่ชี ืน่ ใจ ท่านพระมหาโมคคัลลานะ เป็นตัวอย่างในคร้ังพุทธกาล ในขณะท่ี ท่านปฏบิ ตั ไิ ดป้ ระสบกบั ความยากล�ำบาก แต่อินทรยี ์ท่านแก่กลา้ จึงรู้ได้เร็ว ไว โดยทา่ นใช้เวลาแค่ ๗ วนั ก็บรรลธุ รรม พระคณุ เจ้าหรือโยมทา่ นใดทเ่ี คย ไปประเทศอนิ เดีย พระวิทยากรทีน่ ำ� คณะแสวงบุญ ท่านมกั จะชใี้ หด้ ูหรอื น�ำ คณะเข้าไปนมัสการภายในถ้�ำพระโมคคัลลานะ ท่านบ�ำเพ็ญสมณธรรม จน ได้บรรลุโลกุตรธรรมส�ำเร็จเป็นพระอรหันต์ แต่ก่อนท่ีจะรู้ธรรมท่านก็ไปน่ัง กรรมฐาน เดนิ จงกรม นัง่ โงกไปมา เหมือนทา่ นโยคาวจร โยคี ทม่ี าปฏบิ ตั ิ นัง่ โงกเงกไปมา เพราะถีนมิทธะมันครอบง�ำท่านก็ไม่ร้จู ะทำ� ยังไง ในคมั ภีรก์ ลา่ ว ไว้ว่า พระพทุ ธเจา้ ไดเ้ สด็จมา บอกอบุ ายวธิ แี กง้ ่วงแกถ้ นี มทิ ธะ ถา้ มันงว่ งมาก สวดมนต์ไดส้ าธยายได้ กส็ าธยาย สวดมนต์สาธยายพระสูตร พทุ ธคณุ ธรรม คุณ สังฆคุณ เวลางว่ งก็พมึ พ�ำๆ สวดเรว็ ๆ กห็ ายงว่ งเหมอื นกนั อนั นี้เคยใช้มา ก่อนนะ เพราะเวลาอยใู่ นปา่ ในถ้�ำไม่กล้านอน ไปใหมๆ่ เพราะกลัว กลวั ผีมา บบี คอ เขาขมู่ าแบบนน้ั ไปธดุ งคเ์ วลาอยคู่ นเดยี ว เวลาอยคู่ นเดยี วไมก่ ลา้ หลบั นอน กส็ วดไปแบบน้นั เวลากลัวขึน้ มา ก็นงั่ อยู่แบบน้ันสวดอิติปโิ ส ภะคะวา อรหงั สัมมา สมั พทุ ธโธ .... วา่ อยู่แบบนี้ กลบั ไปกลับมา ไม่ได้นับวา่ กี่ร้อยจบ แตม่ ันกไ็ มง่ ่วง แตบ่ างครัง้ มันก็ไม่แน่ มนั มีบางชว่ งมนั หลุดหายเหมือนกนั อัน นกี้ เ็ ปน็ วธิ หี นงึ่ ทเ่ี รยี กวา่ เปน็ อบุ ายแกง้ ว่ ง แลว้ อกี วธิ หี นง่ึ คอื อยู่ กบั คำ�่ คนื เดอื น 25
มืดๆ ไมม่ ีไฟเหมือนสมัยน้ี ชาวไร่ชาวนากส็ ุมไฟ ให้วัวควาย ไล่ยุง ถา้ เปรยี บ กบั แสงไฟยคุ สมยั นี้ แตก่ อ็ ยไู่ กลๆ อยใู่ นปา่ ในเขามองขนึ้ ไปบนทอ้ งฟา้ ดวงดาว ทำ� ไมมนั เยอะขนาดนี้ แหงนหน้าดูดาว นัง่ นับดาวเลน่ ๆ ไป บางคร้ังกห็ ายงว่ ง ไป นบั ดนู น่ั น่ี บางครง้ั พอมคี วามรกู้ ด็ แู ลว้ กอ็ นั นน้ั ดาวนนู่ อนั นดี้ าวน้ี ดทู ศิ นนู้ นี้ หรือบางครั้งมีเรือ่ งเลา่ ผดุ ขน้ึ มา สัญญาเก่าๆ ไม่หลับ อนั น้ีกม็ วี ิธแี ก้ ทำ� มา แลว้ ไปมากลายเปน็ วา่ ดาวเหนอื ทศิ เหนอื อยทู่ างไหน ดาวนไี้ ปทางไหน กลาย เปน็ คนดูดาวเปน็ เวลาดูบอ่ ยๆ วิธีแกง้ ่วง แหงนดูทอ้ งฟ้า อกี วิธหี น่ึงทำ� ในใจ คิดเอาเองว่าโลกน้ีมันเหมือน รอบตัวเรามันมืดแต่คิดว่าสว่างไสวตลอดเวลา เหมอื นกบั วา่ หลอกตวั เองใหม้ นั สวา่ ง มนั กไ็ มง่ ว่ ง หรอื บางครง้ั กเ็ อานำ�้ ลบู หนา้ ลบู ตาใหม้ ันดสู ดชื่นขึ้นมา หรือ บางครั้งบางคราวก็ ดงึ หูหรอื ยอนหู หรือดึงที ละข้างก็ได้ ตามความร้สู ึกตัว แล้วก็จะตืน่ รู้ขน้ึ มาเป็นอุบายวธิ ี หรือท่สี ุดแลว้ ก็ไปเดนิ จงกรม พระพทุ ธเจ้าบอกให้เดนิ จงกรมเดินกลับไปมา หรือถ้าไม่ไหว กน็ อน นอนแบบ สหี ไสยาสน์ แล้วรีบทำ� ความเพยี รลุกข้ึนมาปฏบิ ตั ติ ่อ เมอ่ื พระพุทธเจา้ มาสอนวิธีการปฏิบัตติ า่ งๆ เมือ่ ทา่ นเข้าใจดีแล้ว หลังจากท่ีทา่ น รับกรรมฐานจากพระพทุ ธเจ้าไดม้ า ๗ วัน พอถึง ๗ วนั ก็บรรลพุ ระอรหันต์ ทา่ นมฤี ทธ์มิ าก พระพทุ ธเจ้าอันดบั หน่ึง อันดบั สองคอื พระมหาโมคคัลลานะ ในกาลตอ่ มากไ็ ดร้ บั การสถาปนาคอื ตง้ั เอตทคั คะ คอื ผเู้ ปน็ เลศิ ทางมฤี ทธม์ิ าก เปน็ อคั รสาวกเบ้อื งซา้ ย ปฏิบัติยากก็จริงแต่ร้เู ร็ว ภายใน ๗ วนั รู้ธรรมแล้ว รู้ โลกุตรธรรม แต่บางคน ๗ ปีก็ยังเฉยๆ อยู่ พระมหาโมคคัลลานะ ๗ วนั เราก็ ตอ้ งพยายามปฏบิ ัติ รวู้ ่ายากจึงตอ้ งพยายามมากขน้ึ แต่ละคนท่สี ะสมมาแตก ตา่ งกนั บญุ บารมสี ะสมกนั มาตา่ งกนั เราจะไปดถู กู ดหู มนิ่ ดแู คลน เหมอื นบาง คนปฏบิ ตั ไิ ม่นานกบ็ รรลุแล้ว อาจจะบรรลจุ ริงกไ็ ดห้ รือไมจ่ รงิ ก็ได้ 26
๓. สุขา ปฏิปทา ทนั ธาภิญญา ปฏบิ ัติสบาย แต่รไู้ ดช้ ้า เชน่ ผปู้ ฏิบัตทิ ม่ี ีราคะ โทสะ โมหะไม่แรงกล้า ไมต่ ้องเสวยทกุ ขโ์ ทมนัส เน่อื งจากราคะ โทสะ โมหะนนั้ เนืองนติ ย์ หรอื เจรญิ สมาธิได้ฌาน ๔ อันเป็นสุขประณีต แต่มีอินทรีย์อ่อนจึงบรรลุโลกุตรมรรค ล่าช้า เป็นคนทมี่ ีกิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ เหมือนกับไม่ได้เร้ารอ้ นรุนแรง หรือลำ� บากด้วยกิเลสปฏบิ ตั ิไปได้ กเิ ลสมนั ไม่ค่อยก�ำเริบ ผปู้ ฏิบตั ิทม่ี ุง่ ฌานก็ ปฏบิ ัติง่ายๆ กไ็ ดแ้ ลว้ เสวยสขุ อนั ประณีต จนไมส่ ขุ ไม่ทกุ ข์ สบาย แต่พอหัน มาเจริญวิปัสสนากรรมฐานอินทรีย์อ่อน การบรรลุโลกุตรธรรมจึงล่าช้าออก ไป อารมณ์กรรมฐานก็ได้บทท่ีได้ถูกใจชื่นใจ ก็เลยเอ่ือยๆ แบบน้ัน สบายๆ ไม่โกรธใคร ไมร่ กั ใคร ชงั ใคร เมือ่ อยใู่ นฌานที่ ๔ กไ็ มไ่ ด้ไปเกลยี ดใคร ชงั ใคร แล้ว แตก่ เิ ลสมันกย็ งั มี อุเบกขาเฉยๆ ไม่ได้ยนิ ดียินร้ายแล้ว บางครง้ั เหมือน จิตติดความสุขอยู่ จะบรรลุขั้นสูงสุดก็ไม่ยอมบรรลุสักที อันน้ีมีอยู่เยอะ บางครั้งเข้าใจว่าบรรลุแล้ว ส่วนผู้ปฏิบัติมุ่งญานหย่ังรู้ เม่ืออยู่ในญาณข้ันสูง สังขารุเปกขาญาณ ญาณที่ ๑๑ จิตจะไม่ยินดยี นิ รา้ ย จะไม่รกั ใคร ไมช่ งั ใคร จะไมม่ อี คติ กิ บั ใคร สำ� หรบั ผทู้ อ่ี ยใู่ นญาณนี้ ฉะนนั้ ใจจะไมฟ่ งุ้ ซา่ นไปดว้ ยราคะ โทสะ ไมม่ ีเรอื่ งใหค้ ดิ ใหท้ ุกข์ไมม่ ีเรือ่ งใหส้ งสัยใน อนจิ จงั ทกุ ขงั อนัตตา จน จิตวางอเุ บกขาแลว้ ใจดีมาก ใจเย็น จะเห็นวา่ ไมเ่ คยเกลยี ดใคร โกรธใคร แต่ ว่า ไม่บรรลุถงึ โลกตุ ตรมรรคสักที พระเถระในครงั้ พุทธกาลก็มหี ลายรูป บาง รูปก็ดับกิเลสและขันธไ์ ปพรอ้ มกนั 27
๔. สขุ า ปฏิปทา ขปิ ปาภิญญา ปฏบิ ัติสบาย ทั้งรูไ้ ด้ไว เชน่ ผูป้ ฏบิ ตั ิท่มี ีราคะ โทสะ โมหะไม่แรงกล้า ไมต่ อ้ งเสวยทุกข์โทมนสั อันเนื่องมาจากราคะ โทสะ โมหะน้นั เนอื งนิตย์ หรือ เจริญสมาธิได้ถึงฌาน ๔ อันเป็นสุขอันประณีต อีกท้ังมีอินทรีย์แก่กล้าจึง บรรลุโลกุตรธรรมได้ไว บางคนอาจจะเคยได้ยินพระสวดในงานศพว่า สุขา ปฏปิ ทา ขิปปาภญิ ญา แบบนี้ เปน็ ธรรมละเอียด ลึกซ้ึง บางคนกค็ ิดว่าสวด ใหค้ นตายฟัง จรงิ ๆแล้วสวดใหค้ นเปน็ ฟงั จะไดป้ ลง จะไดว้ าง แต่คนเป็นคิด ว่าสวดให้คนตายฟัง มีแต่รูปอย่างเดียวนามไม่มี ตายแล้วไปเกิดปุ๊บเลย มี บุญกับบาปตามไป แต่ท�ำเพื่อให้คนอยู่สบายใจจะได้ไม่เศร้าโศก จะได้รู้สึก ดีหน่อย เหมือนกับมีผลทางด้านจิตใจ พอตายปุ๊บก็เผาเลย ฝังเลยก็เหมือน ทำ� รา้ ยจติ ใจเหลือเกนิ ถา้ มพี ธิ ีนู่นน่ีก็เหมอื นทำ� ใจไปเรอื่ ยๆ ฟงั เทศน์ฟังธรรม สวดไปเหมอื นกบั คนตายยงั อยู่ ไดฟ้ งั เทศนฟ์ งั ธรรมไปดว้ ย รบั ศลี รบั ธรรม แต่ จริงๆ คนเป็นนน่ั แหละ คดิ วา่ ให้คนตาย จริงๆ ให้คนเปน็ คนตายไปแล้วไม่รู้ แลว้ มแี ตร่ ปู เคาะโลง เจบ็ มอื เปลา่ แตก่ เ็ ปน็ ธรรมเนยี มเหมอื นเคาะหวั คนใหม้ ี สมองจติ ใจรบั ธรรมะจะไดไ้ มโ่ ง่ จะไดฉ้ ลาดขนึ้ จะรวู้ า่ เกดิ มาแลว้ หนคี วามเปน็ แบบนไ้ี ม่ได้อยา่ ประมาท ยงั ไม่ได้ให้ทานก็ให้ซะ ยังไมไ่ ดร้ กั ษาศลี กต็ ้งั เจตนา งดเว้น ยงั ไม่ไดภ้ าวนาก็ตอ้ งรบี ภาวนา ถา้ ตายแล้วกไ็ มไ่ ด้ทำ� แลว้ เคาะโลงคอื เคาะเตือนคนเปน็ นน่ั แหล่ะ ให้เห็นว่าถึงแมจ้ ะมีโลงสวยๆ งามๆ อย่ตู รงหน้า แล้วแต่ข้างในมีซากศพ มีแต่รูปอย่างเดียวนามไม่มี แต่เราก็ไปตีความอย่าง อนื่ ใหไ้ ปปลง พระไปสวด ไปสอน สวดบาลี แตถ่ ้าไปน่ังทำ� ใจมีสติกับการฟงั กใ็ จมันก็สงบลง จะได้คดิ ไดธ้ รรมะเหมอื นกนั แตบ่ างทีกไ็ ด้ธรรมะสอน กไ็ ด้ ปญั ญากลบั มาด้วย อนั นกี้ พ็ ูดให้ฟงั นอกเรอ่ื งไปบ้าง แตก่ ย็ ังอยู่ในข้อท่ี ๔ สขุ า ปฏปิ ทาขปิ ปาภญิ ญา ทนี บี้ คุ คลแบบนเ้ี รยี กวา่ ปฏบิ ตั งิ า่ ย บรรลเุ รว็ ยกตวั อยา่ ง ทา่ นพระสารบี ตุ ร รบั กรรมฐานแลว้ ปฏบิ ตั อิ ยู่ ๑๕ วนั ถงึ จะบรรลธุ รรม คอื ชา้ 28
กว่าพระโมคคัลลานะ บางคนเคยไปอินเดยี ทางขนึ้ ไปสูย่ อดเขาคิชฌกฏู ผา่ น ถำ้� พระโมคคลานะ อยดู่ า้ นขวามอื เดนิ ขน้ึ มาหนอ่ ยประมาณเกอื บๆ รอ้ ยเมตร ก็จะผ่านถำ�้ สกุ รขาตา ลกั ษณะเปน็ ก้อนหินยน่ื ออกมาเหมอื นกับหัวสุกร ขา้ ง ล่างโลง่ พอนง่ั ฟงั ธรรมไดค้ ลา้ ยปากสุกร กเ็ ลยเรียกว่าสุกรขาตา ทีนีเ้ วลาสอนกไ็ มไ่ ด้สอนพระสารบี ุตรโดยตรงแตไ่ ปสอนหลาน พระสารีบุตร พระพุทธเจ้าประทับน้ังบนพุทธอาสน์ท่ีถ้�ำพระสุกรขาตา พระสารีบุตรน่ังถวายการงานพัดอยู่ด้านหลัง ท่านถวายงานพัดไปเร่ือยๆ พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงธรรมไปตามล�ำดับ ในพระสูตรท่ีทรงแสดงเรียกว่า เวทนาปริคคหสูตร สอนหลานพระสารีบุตรพูดถงึ เรอ่ื ง เวทนาและการระงับ การปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ปรากฏว่า พระสารีบุตรก็พัดไป มนสิการ เรอ่ื งทีส่ อนไปดว้ ย สุดท้ายกิเลสหมดเลย งา่ ยมัย๊ ไมต่ อ้ งมาพองหนอ ยบุ หนอ ไมต่ อ้ งมาขวายา่ งหนอ เจบ็ หนอ ปวดหนอ เมอื่ ยหนอ ไมต่ อ้ งมาคดิ หนอ เมอ่ื ย หนอ พระสารบี ตุ ร ปฏบิ ตั กิ ง็ า่ ยบรรลกุ ง็ า่ ยอกี ฟงั กไ็ มไ่ ดฟ้ งั โดยตรง ฟงั โดยออ้ ม เทศน์โปรดหลาน หลานได้แค่ดวงตาเห็นธรรมคือบรรลุโลกุตรธรรมเบื้องต้น แต่พระสารีบตุ รบรรลเุ ปน็ พระอรหันต์ หมดกิเลส ส้นิ อาสวะ โลกตุ ตรมรรค ข้ันที่ ๔ ตดั อาสวะได้เดด็ ขาด ตัดสังโยชน์ทง้ั ๑๐ ขาดสะบนั้ ทันที คนมปี ัญญา เยอะ บางครง้ั กค็ ดิ เยอะ นนู่ น่ี ไมเ่ ชอ่ื อะไรงา่ ยๆ ตอ้ ง ใครค่ รวญพจิ ารณาเยอะ บางคนกม็ องวา่ อตั ตาสงู ถา้ บอกวา่ สอนตนกเ็ ขา้ ใจยากเลยเหมอื นสอนคนอน่ื ไมม่ เี รา สอนหลานกเ็ ลยเหมอื นฟงั จากพระพทุ ธเจา้ หลานได้ พระสารบี ตุ รกไ็ ด้ ด้วย ท่านบวชมาแล้วรบั กรรมฐาน ๑๕ วัน จงึ ไดบ้ รรลเุ ป็นพระอรหนั ต์ สว่ น โยคีท้งั หลายไมแ่ นน่ ะ ฟงั ธรรมไปเรือ่ ยๆ แยบคายไปเร่อื ยๆ ฟังพระสัทธรรม ไปเร่ือยๆ กไ็ มแ่ นเ่ หมอื นกัน แต่ถา้ ฟังแบบไมม่ ีโยนโิ สมนสกิ ารอะไรเลย รับมา ก็จริงเมื่อไมม่ ีมนสกิ าร คงจะไมบ่ รรลอุ กี เหมือนกนั ไดร้ ับมา ปรโตโฆสะ ท่ีมี อย่างแยบคายเหมอื นกับการปฏบิ ตั ิธรรม อยา่ งที่เราฟังไปแล้วมีสติ ก็คดั แล้ว 29
เลอื กเฟ้น ธรรมทสี่ อดคลอ้ ง พอไปสะกิด ใจก็เบกิ บานทันที ถกู ตรงนัน้ พอดี เหมอื นกบั ถกู ทเี่ กา ทคี่ นั พอดี กส็ วา่ งวาบทนั ที ไมใ่ ชไ่ มป่ ฏบิ ตั นิ ะ ปฏบิ ตั เิ หมอื น กนั แตป่ ฏบิ ตั งิ า่ ย บรรลธุ รรมเหมอื นกนั พออกี เรอ่ื งหนงึ่ พระสารบี ตุ ร แค่ ๑๕ วนั กบ็ รรลุ ฉะนนั้ เราตอ้ งพยายาม อยา่ ไปดถู กู ใครหรอื ไปพยากรณใ์ คร เพราะ แต่ละคนมีปฏิปทา ส่ังสมมาไม่เหมือนกัน เหมือนพระมหาโมคคัลลานะกับ พระสารบี ุตร เป็นเพ่อื นกันแทๆ้ แต่ปฏปิ ทาต่างกัน พระโมคคลั ลานะ ปฏิบัติ ลำ� บากแตร่ เู้ รว็ พระสารบี ตุ รน่ีปฏบิ ตั งิ ่ายแล้วร้เู รว็ ก็ต่างกนั หรืออย่างกรณี ของทา่ นพระจกั ขบุ าล เปน็ ประเภท ทกุ ขาปฎปิ ทาทนั ธาภญิ ญา ปฏบิ ตั ลิ ำ� บาก แล้วรู้ช้าอกี ต้องเสียตาทง้ั ๒ ขา้ งถงึ จะรู้ธรรม เหมอื นได้อยา่ งเสียอย่าง เหน็ มัย๊ เรากอ็ ยา่ พ่ึงฟันธงนู่นนี่ อยา่ ไปอะไรนกั หนา ขอให้เรามสี ตเิ ท่าทนั อย่าไป วพิ ากวจิ ารณ์ แตล่ ะคนสง่ั สมมาไมเ่ หมอื นกนั บางคนกพ็ ดู มากหนอ่ ย หรอื บาง คนพดู นอ้ ยหรือไมพ่ ดู มนั ต่างกัน บางคนถามถงึ พดู บางคนไมถ่ ามถงึ พดู ๆจน ร�ำคาญกม็ ี จนไม่อยากฟงั ก็มี หลายประเภท ฉะนนั้ แต่ละคนกเ็ หมือนกบั มสี ิง่ ทตี่ วั เองสง่ั สมมา แตก่ ม็ เี ชอื้ แหง่ การบรรลธุ รรมเหมอื นกนั จะบรรลเุ รว็ หรอื ชา้ ถา้ เรามีใจเปน็ กลาง อย่างน้กี ็จะดี มันจะไมม่ อี นั ตรายจิตทม่ี ันใส มันซ่อื มากๆ มันก็จะมีกำ� ลงั ไมม่ ีอะไรมาแปดเปอ้ื นให้ถดถอย หรอื บางคร้ังก็แวบไปนกึ ถึง เราเคยดูหมน่ิ ครูบาอาจารย์วพิ ากวจิ ารณ์คนนัน้ คนน้ี ใจมันแวบ๊ เลย ใจจะไป แลว้ เหมอื นผกั กาดพอถกู แดดมนั ยบุ เลย มนั ไมส่ ดชน่ื แลว้ กวา่ มนั จะสดชน่ื อกี ทีก็ต้องรดน�้ำอกี ครงั้ โยคที กุ คนตอ้ งกำ� หนดเยอะๆ พยายามมสี ตเิ ทา่ ทนั ทกุ อยา่ งจะคอ่ ยๆ ดขี น้ึ ตามลำ� ดบั ปฏปิ ทาทด่ี ำ� เนนิ มาอยา่ งถกู ตอ้ ง เมอ่ื เหตปุ จั จยั พรอ้ มบรบิ รู ณ์ สมบูรณ์การบรรลุโลกุตรมรรค ย่อมเกิดข้ึนได้อย่างแน่นอน ขอให้ทุกคนจง พากเพียรพยายามกนั ต่อไป 30
31
๒ ปริญญา เพือ่ มงุ่ สู่มรรคา แหง่ การดบั ทกุ ข์ 32
ตอ่ ไปเปน็ ชว่ งฟงั ธรรม ใหน้ งั่ สมาธิ และฟงั ธรรมะบรรยายตามไปดว้ ย อย่างมีสติ วนั นเี้ ป็นวันจันทรท์ ี่ ๒๒ พ.ค. ๒๕๖๐ เปน็ วนั แรกของคอรส์ ปญั จ บชู า ประจำ� เดอื น พฤษภาคม หรอื เดอื นวสิ าขะ ถอื วา่ เปน็ เดอื นทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ของเรา ประสตู ิ ตรสั รู้ และเสดจ็ ดบั ขนั ธป์ รนิ พิ พาน ทนี ก้ี ารประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ น วนั แรกๆ เทา่ ทด่ี หู ลายคนกผ็ า่ นคอรส์ ปฏบิ ตั ิ หรอื ปฏบิ ตั อิ ยกู่ อ่ นแลว้ กม็ คี วาม รู้ความเข้าใจเปน็ พ้ืนฐานเสียสว่ นใหญ่ การกำ� หนดอารมณก์ รรมฐานตา่ งๆ ไม่ วา่ จะเป็นอริ ิยาบทใหญ่ หรือ อิริยาบทยอ่ ย อริ ิยาบทเล็กนอ้ ยกต็ าม สว่ นใหญ่ จะเขา้ ใจวธิ กี ำ� หนดดพี อสมควร เหลอื แตจ่ ะทำ� ยงั ไง จงึ จะทำ� ใหไ้ ดด้ ที สี่ ดุ คำ� วา่ ใหไ้ ดด้ ที สี่ ดุ อาจจะไมเ่ กณฑห์ รอื ทำ� ใหท้ กุ คนตอ้ งทำ� เหมอื นกนั แตส่ ง่ิ ทที่ กุ คน เหมอื นกัน คอื กเิ ลสเขา้ นอ้ ยหรือไมเ่ ข้าเลย ทำ� ยงั ไงเราจะร้สู ภาพธรรม ตาม ความเป็นจริง อันนั้นคือสิ่งท่ีตรงกัน ส่วนวิธีการน้ันอาจจะแตกต่างกันบ้าง เพราะบางคนเดิน ก้าวยาว ก้าวสั้น คนสงู คนเตีย้ ก็แตกต่างกันไป หรอื การ เหลียวซ้าย แลขวา อิริยาบทยอ่ ย บางคนก็เก็บได้ละเอยี ด บางคนกท็ ำ� ไดแ้ ค่ การระลึกรู้ ซึ่งก็แตกต่างกันไป แต่ขอให้ทุกคนพยายามตั้งใจก�ำหนด ต้ังใจ ประพฤติปฏิบัติ ถึงแม้เวลาจะไม่นาน แต่ก็เป็นระยะเวลาท่ีพอเหมาะพอดี สำ� หรับบางคน หรอื บางรปู ที่อาจจะมรี ะยะเวลาส�ำหรบั การภาวนา เพียงแค่ ๑ สปั ดาห์ จดั สรรเวลามาแลว้ กท็ ำ� ใหด้ ี เพยี รพยายามใหเ้ ตม็ ที่ ซง่ึ การมโี อกาส ได้ประพฤติปฏบิ ตั เิ ป็นสง่ิ ทีเ่ กิดข้ึนไดย้ ากย่ิง 33
ปรญิ ญา ๓ ประการ 34
ปรญิ ญา หมายถงึ การกำ� หนดรู้ การทำ� ความเขา้ ใจโดยครบถว้ น ซงึ่ การ ประพฤติปฏบิ ตั ิ ปรญิ ญากค็ อื ความรู้น่นั แหละ่ ความรู้หรือความเข้าใจ ทมี่ ตี อ่ สภาพธรรมหรือสง่ิ น้นั ๆ ความร้ใู นระดับธรรมดา หรอื ระดับ เรยี กวา่ จำ� หรอื ระดบั ที่เข้าใจลกั ษณะหรอื ละได้ แต่แท้ท่จี รงิ ความร้เู หลา่ นี้ก็ต้องอาศัยกนั ไม่ ไดอ้ ยเู่ พยี งลำ� ดงั โดดๆ ในความเปน็ จรงิ ขณะทเ่ี ราปฏบิ ตั กิ เ็ ปน็ เหตปุ จั จยั เกยี่ ว เนอื่ งกนั ไม่ขาดสาย ซง่ึ มอี ยู่ ๓ ประการ ข้อที่ ๑ ญาตปรญิ ญา การกำ� หนดรตู้ ามสภาวลักษณะ คอื ท�ำความรจู้ กั เฉพาะตัวของสิ่งน้นั โดยตรง พอให้ช่ือว่าได้เป็นอันรู้จักสิ่งนั้นแล้ว เช่น รู้อาการของสภาพธรรม เหล่าน้ัน อย่างเราก�ำหนดอาการพอง อาการยุบ อันน้ีก็จัดอยู่ในหมวดกาย ท่เี รยี กวา่ กายานุปัสสนาสตปิ ัฎฐาน มีอริ ิยาบทใหญ่ ยืน เดิน น่ัง นอน ยืน ก็รู้ว่ายืน เดินก็รู้ว่าเดิน นอนก็รู้ว่านอน โยคาวจร หรือโยคีผู้ปฏิบัติรู้ตัวใน ขณะเดิน เม่ือตามลักษณะรู้แบบน้ี กิเลสอย่างอื่นไม่เข้า เพราะใจมันไม่ไป จบั อารมณ์อ่ืน ใจยงั อยู่กบั กายท่ีเคลือ่ นไหว จติ กบั กายมนั เคลอ่ื นไหวสติตาม ประกบตลอดเวลา เมื่อกำ� หนดกจ็ ะร้อู าการ ร้ลู ักษณะรู้สภาวะ ตามทีม่ นั เป็น หรือลักษณะเฉพาะของอาการพอง-ยบุ (นาม-รปู ) นเี้ ป็น ญาตปริญญา สภาพ ธรรมที่เป็นรูปธรรม นามธรรมก็ดี เม่ือก�ำหนดรู้หรือขาดสติมักจะเป็นปัจจัย ให้เกิด ความทะยานอยาก เชน่ ในขณะทตี่ าเห็นรปู เมื่อไมไ่ ด้ก�ำหนดรู้ จะเกดิ ตัณหา แตถ่ า้ กำ� หนดรู้ ก็จะสกั แตว่ ่า รูปตัณหาความอยากได้รปู สทั ทตัณหา ความอยากได้เสียง คนั ธตัณหา ความอยากได้กลนิ่ รสตัณหา ความอยากได้ รส โผฏฐพั พตณั หา ความอยากไดก้ ารถกู ตอ้ งสมั ผสั ธมั มตณั หา ความอยากได้ ธรรมารมณ์ การก�ำหนดรูต้ ัณหา อาจจะละเอียดไปตามล�ำดบั เมอ่ื ไม่ทนั ตรง ผัสสะจะเป็นปัจจัยให้มีเวทนา เวทนาจึงเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหาใน รูป สียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ นกั ปฏบิ ัติควรพยายามฝกึ ฝนอบรมปฏบิ ตั อิ ยา่ งต่อเนือ่ ง 35
อดทนฝกึ ฝน อย่าสับสนกบั สภาวะธรรมทีแ่ ปลกประหลาด ในบางกรณี โยคอี าจจะมอี าการทางกายทดี่ แู ปลกประหลาดไปบา้ ง ซงึ่ ทกุ อยา่ งล้วนเกดิ จากเหตุ เกดิ จากปจั จยั หลายอย่าง อยา่ กงั วลหรือตกใจกลัว เม่อื การกำ� หนดตอ่ เน่ือง อาจจะเกิดปติ ิ ความอม่ิ ใจ บางคนรู้สกึ ขนลุก เปน็ ขณกิ าปิติ แขนกะตกุ ศรีษะส่ายไปมา หรือ เหมอื นกบั จติ ตกภะวงั นงั่ ๆไป คอตก หลังงอ คอแห้ง นำ้� ลายไหล เปน็ ต้น บางคนมีนิมติ คอื เหน็ ภาพนิง่ หรอื เคลือ่ นไหว เป็นต้น โอกกนั ตกิ าปีติ ความอมิ่ ใจหรือเตม็ ใจในขณะกำ� หนด นกั ปฏิบัตบิ างคนมักมีอาการโยกโคลง หมุนส่ัน บางคร้งั ก็มือส่นั ขาส่นั หรอื ตัว สั่น หรือศรษี ะสั่น กแ็ ลว้ แตอ่ าการ บางครงั้ กเ็ กดิ อาการคลน่ื ไส้อาเจียน โยคี ตอ้ งกำ� หนดรู้ ตามอาการ บางครง้ั กเ็ หมอื นจะปวดหนกั เบา วงิ่ เขา้ ออกหอ้ งนำ้� เปน็ ลกั ษณะของ โอกกนั ตกิ าปตี ิ ซง่ึ ไมเ่ กยี่ วกบั อาการเจบ็ ไขไ้ ดป้ ว่ ย แตป่ ระการ ใด (ยกเว้นโยคีเจบ็ ปว่ ยหรอื มีความเครยี ดอาจจะมลี กั ษณะคล้ายกนั ) บางคน มีอาการเหมือนมคนมาบิดไส้บดิ พุง ไดร้ ับทกุ ขเวทนาก็มี น้ีเปน็ ประสบการณ์ หรือสภาวะท่ีครูอาจารย์ สายวิปัสสนาวงศ์บางท่านได้ประสบพบมา จึงน�ำ มาบอกเล่าให้โยคีรุ่นหลังๆ ฟัง อย่างตื่นอย่ากลัวเม่ือเผชิญกับสภาพธรรม เหลา่ นี้ อย่าหวั่นไหวจงตงั้ ใจก�ำหนดรู้ ถ้าไมไ่ ด้ปฏบิ ตั กิ ็ไมเ่ กิดไมม่ ี บางครง้ั สิ่ง เหล่าน้เี ปน็ เครื่องหมายบอกว่า นกั ปฏบิ ตั เิ ดินมาถกู ทางกไ็ ด้ แตล่ ะคนสะสม เหตุปจั จัยมาต่างกนั สภาวธรรมอาจจะแตกตา่ งกนั ไปบ้างก็มี สว่ นผ้ทู ่ปี ฏิบตั ิ จนผา่ นมรรคญาณผลญาณไปแลว้ สภาวธรรมดงั กลา่ วอาจจะไมป่ รากฏ หรอื คนทปี่ ฏบิ ตั ผิ ดิ ทาง มนั กไ็ มเ่ กดิ เหมอื นกนั เมอื่ ปฏบิ ตั ถิ กู ทางจะมอี าการสภาวะ เหลา่ น้ี หลากหลายอปุ นสิ ยั ใจคอท่แี ต่ละคนส่งั สมมา เมอื่ โยคตี ั้งสติกำ� หนด และไม่ไปตดิ ใจอะไรกับสภาพธรรมดังกลา่ วน้ี ทุกอยา่ งจะค่อยๆเปลยี่ นแปลง 36
ไปตามกฎไตรลกั ษณ์ ตามลกั ษณะของสภาพหรอื สภาวะเหลา่ นน้ั การกำ� หนด รลู้ กั ษณะเฉพาะของสภาวธรรม นบั เป็นเพยี งแคก่ ำ� หนดรู้เท่าน้ันเอง เหมอื น กับการกำ� หนดรูท้ กุ ข์ สภาพที่มันเปน็ เพียงแคร่ ปู นาม เม่อื เทียบกับ ญาณ ๑๖ กบั วสิ ุทธ ๗ ตง้ั แต่ศลี วิสทุ ธิ ไปจนถึง ปฏิปทาญานทัสสนวสิ ทุ ธิ ยงั ไม่ถึงข้อท่ี ๗ ญาณทสั สนวสิ ุทธิ เมื่อเทยี บกับโสฬสญาณก็ยังอยู่ใน ญาณท่ี ๑๒ ในระดบั ทีผ่ ปู้ ฏบิ ัติในแนวสติปฏั ฐาน ๔ สายวิปัสสนาวงศ์ 37
การกำ�หนดรู้แต่ละขณะอุดหนนุ เก้อื กูลให้เกิดญาณ ในทกุ ๆ ขณะของการก�ำหนดรู้ อุ ดหนุนเกอื้ กูล ให้เกดิ ญาณ การหยัง่ รูร้ ูปนามตามความเป็นจริง สตปิ ญั ญาทเ่ี กิดขึ้นแต่ละขณะ ถึงแม้จะเป็นโลกยี ปัญญาหรือโลกยี ญาณ ซึง่ มี ขันธ์ ๕ เป็นอารมณก์ รรมฐาน โดยย่อคือ รูป-นาม อุปกรณไ์ มต่ ้องไปหาท่ีอน่ื รปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ เป็นอปุ กรณ์อยแู่ ล้ว การกำ� หนดรสู้ ภาว ลกั ษณะทางกายจดั เปน็ กายานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน การกำ� หนดรู้เวทนากเ็ ปน็ ลักษณะเฉพาะของเวทนา สขุ ทกุ ข์ ไมส่ ุขไม่ทกุ ข์ รู้ตามไป บางคนปวดหนอ ชาหนอ เหนบ็ หนอ อาจจะกำ� หนดหลายครงั้ ภาวนาแลว้ ภาวนาอกี จนกระทงั่ รูล้ กั ษณะเสวยอารมณข์ องมัน แต่ยงั ไม่ถงึ ขน้ั ที่จะเหน็ อนิจจงั ทกุ ขัง อนตั ตา ยงั ไมถ่ งึ ขน้ั พจิ ารณา การกำ� หนดรจู้ ติ ทคี่ ดิ ทคี่ ดิ ถงึ อดตี คดิ ถงึ เรอ่ื งอนาคตสง่ิ ท่ี ยงั มาไม่ถึง จดั อยูใ่ นจติ ตานุปสั สนาสตปิ ฎั ฐาน จิตบางครั้งกส็ งบ บางคร้ังก็ไม่ สงบ บางครง้ั มรี าคะ โทสะ โมหะ บางคร้งั จติ ตั้งมั่น บางคร้ังจติ ไมต่ ัง้ ม่ัน บาง ครง้ั จิตเป็นใหญ่ บางคร้งั ไมเ่ ปน็ ใหญ่ ดูตามสภาวะตามลักษณะ กำ� หนดตาม เป็นจรงิ อย่างนนั้ เมอื่ โยคีตามก�ำหนดรู้ ตณั หา คอื ความทะยานอยากได้ เช่น รปู ตัณหา อยากไดร้ ปู สัททตัณหา อยากไดเ้ สยี ง คันธตณั หา อย่างไดก้ ลน่ิ รส ตณั หา อยากได้รส โผฏฐพั พตณั หา อยากได้ส่งิ ท่ถี ูกต้องสัมผสั ทางกาย ธัมม ตณั หา อยากไดธ้ มั มารมณ์ นกั ปฏบิ ตั เิ พยี งแคร่ สู้ ภาวะตณั หา สภาพธรรมทเ่ี กดิ ขนึ้ ก�ำหนดตามอาการ ซ่งึ จัดอยใู่ นหมวด ธัมมานุปัสสนาสติปฎั ฐาน โดยสรุป ลงฐานทั้ง ๔ คอื กาย เวทนา จติ ธรรม กำ� หนดทแ่ี ทจ้ รงิ ไม่ได้อยเู่ พียง อาการ ยืน อาการเดิน อาการนง่ั อาการนอน เทา่ น้ัน ยังมีอิรยิ าบทย่อยตา่ งๆอกี มาก บางคร้ังกม็ ฐี านอ่นื แทรกขึ้นมา เช่น การกำ� หนดเวทนา สุข ทกุ ข์ เฉย เป็นต้น 38
การก�ำหนดความคดิ เป็นตน้ เม่อื ใจไปคดิ นกั ปฏิบัติบางคนอาจจะคดิ ไปว่า ใจไม่นงิ่ ไม่เฉย เหมอื นจิตเราไมต่ ้งั มั่น ท่ีจริงแลว้ ต้ังสตกิ ำ� หนดรทู้ ีใ่ ดทนี่ น้ั ก็มี สมาธอิ ยู่ ได้แก่ ขณกิ สมาธิ จิตตั้งม่นั ชว่ั ขณะ เคยอปุ มาบอ่ ยๆ เหมอื นเราตกั นำ้� ใสแ่ กว้ ถอื เดนิ ไป บางคนประคองไมด่ นี ำ�้ กระเดน็ ออกจากแกว้ เกอื บหมด มี บางคนประคองดนี ำ�้ มนั กระเพอื่ มอยใู่ นแกว้ หรอื บางคนไมก่ ระเพอ่ื มเลย กพ็ า ไปจนถงึ ที่ สมาธแิ บบนก้ี ำ� หนดทใี่ ดจติ กต็ งั้ มน่ั ไดท้ กุ ทท่ี ย่ี า้ ยไปมา เมอ่ื ไหรท่ เี่ รา มสี ตกิ �ำหนด จิตก็จะตั้งมัน่ เปน็ เอกัคคตา อยูก่ ับอารมณเ์ ดยี ว เชน่ จิตต้ังมั่น อยู่กับอาการพอง-ยบุ อยูก่ บั ชา เหน็บ เจบ็ ปวด อย่กู ับอาการคิด อยกู่ บั ตา เหน็ หไู ดย้ นิ เปน็ ตน้ การกำ� หนดรลู้ กั ษณะนที้ ำ� ใหเ้ หน็ ความปลยี่ นแปลงตลอด เหมอื นกบั โลก ทม่ี นั ไมห่ ยดุ นงิ่ ทำ� ใหเ้ หน็ ความจรงิ อกี ดา้ นหนงึ่ คอื ดา้ นทส่ี รรพ สง่ิ เปลยี่ นแปลงตลอดเวลา ทนอยใู่ นสภาพเดมิ ไมไ่ ด้ ทกุ อยา่ งลว้ นมเี หตปุ จั จยั การปฏบิ ตั วิ ปิ สั สนากรรมฐานในแนวน้ี จะเหน็ ถงึ ความเปลย่ี นแปลงตงั้ แตก่ าร เร่ิมปฏบิ ัติหรอื กำ� หนด ตอ้ งเรียนรู้และคนุ้ เคยกบั วิธปี ฏบิ ตั ิ ไมต่ อ้ งไปคดิ เพิ่ม อะไรหรือสง่ิ ใดลงไป พยายามก�ำหนดตามท่ีเป็นจริง บางคนชอบคดิ ว่าทำ� ไม ใจไมอ่ ยนู่ งิ่ ไมอ่ ยเู่ ฉย กระโดดไปนนู่ น่ี หนา้ ทโ่ี ยคตี อ้ งตามกำ� หนด บางครงั้ ทนั บ้าง บางครง้ั ไม่ทนั กต็ อ้ งพยายามเร่อื ยๆ บอ่ ยๆ จนกวา่ จะทนั กนั ทันกันเมอ่ื ไหรเ่ ม่อื นัน้ จบในตวั มันเอง มันไม่ได้ไปจบท่ีอ่นื มันเกิดท่ีไหนดบั ที่นน่ั มนั ไม่ ได้ไปดับท่อี ืน่ อันนค้ี อื สภาพทีเ่ ปน็ จรงิ ของรปู ธรรม นามธรรม ขอ้ ที่ ๒ ตีรณปริญญา กำ� หนดรดู้ ว้ ยการพิจารณา กำ� หนดรขู้ น้ั พิจารณา กำ� หนดรโู้ ดยสามญั ลกั ษณะ คือ ท�ำความร้จู กั สิ่งนัน้ พิจารณาเห็นโดยความเปน็ ของไมเ่ ทย่ี ง เปน็ ทกุ ข์ เปน็ อนตั ตา เชน่ ในข้นั นเ้ี หมอื นกับขณะท่ี โยคีห่ รือโยคาวจร กำ� หนดรู้ กจ็ ะมคี วามรู้ ผดุ ขนึ้ มา ไปคดิ หรอื พิจารณา ก็จะรวู้ า่ สง่ิ ทเี่ ราเหน็ อยู่ ร้อู ยู่ หรอื 39
สง่ิ ทีก่ �ำหนดอยู่มนั ไม่เทยี่ ง มันแสดงความไมเ่ ทย่ี งให้เห็น มนั แสดงความทุกข์ ให้เห็น แสดงความเป็นอนัตตาให้ปรากฏไม่ใช่ตัวตนบังคับบัญชาไม่ได้ เห็น ทกุ ขเวทนาเหน็ ชดั ทกุ ขเวทนากม็ คี วามเปลย่ี นแปลงอยตู่ ลอด หรอื ทกุ ขเวทนา กท็ นอยใู่ นสภาพเดิมไมไ่ ด้ หรอื ไมส่ ามารถบงั คบั บัญชาได้ เหมอื นมันไม่ใชต่ วั ตน ลกั ษณะนี้เรยี กวา่ ตรี ณปรญิ ญา ขณะกำ� หนดรู้ ในขณะปฏิบตั ิ จะเห็นรู้ เห็นตามเป็นจรงิ ในปัญญาขน้ั พิจารณา ถา้ เทยี บกบั โสฬสญาณ ญาณ ๑๖ จดั อยู่ในญาณท่ี ๓ สัมมสนญาณ กับญาณท่ี ๔ อทุ ยัพพยญาณ อันนอี้ ย่ใู นขัน้ ตีรณปรญิ ญา ข้ันเหน็ อนิจจงั ทกุ ขัง อนตั ตา รเู้ ห็นการเกดิ -ดบั ของรปู นาม ตามความเป็นจริง ไม่ใชท่ ่องเอา นกึ เอา ต้องเห็นต้องร้จู รงิ ๆ ปญั ญาขนั้ นที้ ำ� อะไรไม่ได้ ละอะไรไมไ่ ด้ แคเ่ หน็ แคร่ ู้ รูปนี้นามน้เี ป็น อนจิ จงั ทุกขัง อนัตตา เปน็ เพยี งแคก่ ารคดิ พจิ ารณานนู่ นเ่ี ฉยๆ อปุ มาเหมอื นไกค่ ยุ้ เขย่ี ไปเรอื่ ยๆ ยงั ละ หรอื ตดั สนิ ใจอะไรไมไ่ ด้ จดั เปน็ ปญั ญาระดบั ตรี ณปรญิ ญา เพราะไมส่ ามารถที่ จะละตัวฉนั ทราคะ ความกำ� หนัดยนิ ดที ีท่ ำ� ใหต้ ิดใจพอใจในรูป เสียง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ การเหน็ อนจิ จงั ทุกขัง อนัตตา ยงั ละนิจจสญั ญา ไมไ่ ด้ คอื ความจำ� วา่ เท่ยี ง เพราะอ�ำนาจของฉนั ทราคะยังเกาะแนน่ อยู่ จึงละ ความจ�ำวา่ เทีย่ งไมไ่ ด้ แตเ่ ห็นอยู่รู้อยวู่ า่ ไมเ่ ทยี่ ง เป็นทกุ ข์ เปน็ อนัตตา แต่ยัง ละไมไ่ ด้ จงึ เปน็ เพยี งแคก่ ารเหน็ การรใู้ นขนั้ พจิ ารณาเทา่ นนั้ ปญั ญาขน้ั นยี้ งั ไม่ สามารถละไดเ้ ลย บางคนยงั เห็นอยู่ อาจจะรอู้ ยู่ อา่ นออกบอกได้ พูดได้ บอก ตัวเองได้ว่ารปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ เปน็ อนจิ จัง ทุกขงั อนัตตา แต่ วา่ ยงั ละนจิ จสญั ญาไมไ่ ด้ ทกุ ขสญั ญาไมไ่ ด้ อนตั ตสญั ญาไมไ่ ด้ คอื ยงั จำ� ไวแ้ บบ นนั้ อยู่ ยงั ตดั ไม่ขาด อนั นจี้ ัดเปน็ ปัญญาขั้น ตีรณะ เม่อื เทยี บกบั ญาณ ๑๖ จัดอยู่ใน ญาณ ๓ กบั ญาณ๔ นักปฏิบัตทิ ี่ได้ ญาณ ๔ ถา้ ไม่ตดิ อยู่ในวปิ ัสสนปู กเิ ลส ๑๐ กม็ ีโอกาสบรรลโุ ลกุตรญาณ ถ้า ท�ำความเพียรต่อไป คนที่ผ่านมาถึงข้ันนี้ ถ้ามาถึงข้ันน้ีก็สามารถไปได้ ท่าน 40
พระวิปัสสนาจารย์บางท่านกล่าวว่า เม่ือโยคีปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมาถึง ญาณ ๔ ได้ แสดงว่าได้ปฏสิ นธคิ ือเกิดมาพรอ้ มเหตุ ๓ ประการ คอื อโลภะ เหตุ อโทสะเหตุ อโมหะเหตุ ถอื วา่ เปน็ ผมู้ บี ารมี เมอื่ มอี นิ ทรยี แ์ กก่ ลา้ พากเพยี ร ภาวนาตอ่ ไป จงึ มโี อกาสจะไดบ้ รรลมุ รรค ผล นพิ พานในชาตนิ ้ี สว่ นผทู้ ป่ี ฏสิ นธิ คือ เกดิ มาด้วยเหตุ ๒ ประการ ถึงแม้พากเพยี รปฏิบตั ิกจ็ ะไม่ถงึ ญาณ ๔ เพียง แต่ไดส้ ะสมเหตุแห่งวปิ สั สนาเพ่ือการรู้แจ้งในภพภูมิตอ่ ไป ปัญญามนั มีหลาย ขัน้ ตอนเหมือนกัน เราเดินมาสายปัญญาหรือวิปัสสนากรรมฐาน ต้องรเู้ ขา้ ใจ ทอ่ งแท้กับสิ่งเหลา่ นนั้ บางครั้งก�ำหนดอยู่ เรารนู้ น่ี า เราเหน็ นน่ี า ใครพดู อะไร รหู้ มดเลย แต่ทำ� ไมยงั ละไมไ่ ด้ เหมือนเรารูจ้ ักกิเลส แตท่ �ำไมจงึ ตัดไมไ่ ด้ รู้ว่า โลภเป็นแบบน้ี โกรธเป็นแบบนี้ หลงเปน็ แบบน้ี มีโทษแบบน้ี โกรธทไี รกท็ ุกข์ ทกุ ที แต่ก็ยังโกรธอยู่ มันละไมไ่ ด้ เพราะปญั ญาเป็นเพียงแคข่ ้ันตีรณปริญญา คือ มีปัญญาเพียงแค่การพิจารณาเท่าน้ันเอง ถึงแม้จะมีปัญญามากในทาง วิชาการ หรือการปฏิบัติก็จริง แต่ยังอยู่ในข้ันตอนของการพิจารณาเท่าน้ัน โยคยี งั ประหารกิเลสไมไ่ ด้ จงึ ต้องเพียรพยายามภาวนาตอ่ ไป ขอ้ ท่ี ๓ ปหานปริญญา ก�ำหนดรู้ด้วยการละ ก�ำหนดรู้ถึงข้ันละได้ ก�ำหนดรู้โดยตัดทาง ฉนั ทราคะเกดิ มใี นสง่ิ นั้น ค่ือ รู้ว่าสิ่งน้นั เปน็ อนิจจัง ทุกขงั อนตั ตา แล้วละ นิจจสัญญาเป็นต้น ในสิ่งนั้นเสียได้ ปหานปริญญา ปัญญาในขั้นน้ีสามารถ ละตัวฉันทราคะท่ีเกิดจากการพิจารณาท้ังรูปธรรม นามธรรม ปัญญาข้ันที่ ๓ เมือ่ เทยี บเคยี งกบั ญาณ ๑๖ จดั อยใู่ นญาณท่ี ๕ คือ ภังคญาณ ญาณท่ีหยง่ั เห็นการดับไปของนาม-รูปอยา่ งชัดเจน จนถึงญาณที่ ๑๒ อนุโลมญาณ หรือ สัจจานุโลมิกญาณ แต่ยังจัดเป็นโลกียญาณ ซึ่งยังไม่มีการตัดสังโยชน์ คือ เคร่ืองผูกมัดใจสัตว์เอาไว้ในภพน้อยภพใหญ่ เมื่อนักปฏิบัติก�ำหนดต่อเน่ือง ไปจนถงึ โคตรภูญาณ มัคคญาณ ผลญาณ ปัจเวกขณญาณ คอื ญาณท่ี ๑๖ 41
มัคคญาณ จะท�ำหน้าท่ีละสังโยชน์ได้เด็ดขาด มัคคญาณ ผลญาณ จัดเป็น โลกุตรธรรม สว่ นโคตรภญู าณ บางท่านจดั เปน็ โลกยี ญาณ ปัจจเวกขณญาณ จดั เป็นโลกุตรญาณ อย่างไรก็ตามนักปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ยังต้องเผชิญกับกับดัก คือวิปัสสนูปกิเลสท้ัง ๑๐ อย่าง ท่ีเกิดข้ึนในช่วงญาณ ๔ อย่างอ่อน คือ ตรุณอุทยัพพยญาณ มีโยคีบางคนเคยติดอยู่ในวิปัสสนูปกิเลส ได้บอกสู่กัน ฟงั ว่า เหมอื นติดอยูใ่ นกบั ดัก เครือ่ งลอ่ อทุ ยานขา้ งทาง วิปสั สนกู ิเลส ๑๐ ท่ี ทำ� ใหต้ วั วปิ สั สนาญาณเศรา้ หมอง ทำ� ใหส้ มาธญิ าณมกี ำ� ลงั ไมเ่ พยี งพอ เพราะมี ตัณหา มานะ ทฏิ ฐิเข้าครอบง�ำ จงึ ทำ� ใหก้ ารกำ� หนดเนิ่นช้า ประกอบอินทรีย์ อ่อนแอ ไม่แก่กลา้ เมอ่ื ไมห่ ลงไมต่ ดิ จงึ จะมโี อกาสไปพชิ ติ มรรค ผล นพิ พาน ในญาณชน้ั สูงตอ่ ไป เม่อื ปรญิ ญาในขัน้ ทลี่ ะได้มีกำ� ลังเพมิ่ ข้ึน นกั ปฏิบตั ิจะร้ชู ัดวา่ ตนเอง ละวางความยึดม่ันถือม่ันทั้งหลายในรูปนามได้ ถ้าเป็น รูปตัณหา จะละรูป ตณั หาได้ สัททตัณหาได้ คนั ธตัณหาได้ รสตณั หาได้ โผฏฐัพพตัณหาได้ ธรรม ตณั หาได้ เมอื่ ก�ำหนดไปปหานปรญิ ญาจะกำ� หนดละไปได้เรอื่ ยๆ เช่น ความ จ�ำผดิ ๆ ในเรื่องของความเปน็ นจิ จงั คอื ความเทีย่ ง เป็นตน้ เมือ่ ปัญญาเหน็ ตามความเป็นจริง รปู นีน้ ามน้จี ะมสี ภาพธรรมไม่เทย่ี งจริงๆ ละความจำ� วา่ สุข ปัญญาจะเหน็ ตามจริงว่า เป็นทกุ ข์ ละความจ�ำว่าอัตตาตวั ตน เมอ่ื ปญั ญาเกิด ขึ้นจะเหน็ ตามเปน็ จริงว่า อนัตตา ไมใ่ ช่ตัวตนบงั คบั บญั ชาไมไ่ ด้ ภังคญาณ ความหยั่งรู้รูปนามดับไปอย่างเดียว ภยญาณ ความหยั่ง รู้รูป-นามเป็นของน่ากลัว อาทีนวญาณ ความหย่ังรู้โทษของรูป-นาม การ เวียนว่ายตายเกิดมันเป็นโทษจริงๆ เห็นทุกข์จริงๆ มันเห็นโทษ ไม่ได้เพียง แค่อ่านมาหรือความรู้ระดับจ�ำหรือระดับพิจารณา เมื่อเห็นโทษแล้วก็เบ่ือ นพิ พทิ าญาณ ความหยง่ั รรู้ ปู นามวา่ นา่ เบอ่ื หนา่ ย การเวยี นวา่ ยตายเกดิ กเิ ลส 42
กรรม วิบาก กิเลสเป็นเหตใุ ห้ทำ� กรรม และได้รับสขุ ทกุ ข์ ท�ำกรรมดว้ ยกเิ ลส จะมีผลเป็นทุกข์ ทำ� ด้วยกุศล จะมีผลเปน็ ความสขุ วนไปวนมา เหมอื นคดิ ดี คดิ ไมด่ ี อนั นี้คอื วนเป็นวงกลมเรยี กว่า วัฎฏะ เม่อื ละกเิ ลสได้ ทกุ ขม์ ันหายไป ด้วย อนั นี้ต้องเปน็ ขน้ั ปหานปริญญา ถงึ จะละได้ ทนี ี้พอเบื่อ ก็เบ่อื เบื่อแลว้ กอ็ ยากออก อยากพ้น มุญจติ ุกัมยตาญาณ อยากพน้ ไปจากทุกขใ์ นสังสารวัฏ ไมเ่ อาแล้วจะคดิ อะไร จะพูดอะไร จะม่งุ การไมเ่ กดิ อีก เพราะรู้ว่าการเกิดมัน เป็นทุกข์ในวัฏสงสารคนท่ีอยู่ในขั้นพิจารณาก็ยังเสียดายอยู่ เสียดายว่าเออ บางคนเกดิ มาร่ำ� รวย มีบรวิ าร มชี ่ือเสียง มอี ำ� นาจ มคี นเคารพนับถือ กิเลส ตวั นค้ี อยหลอกลอ่ ใหค้ ดิ นานหนอ่ ย ยงั ไมไ่ ปหรอก ยงั อยากจะอยู่ ขอใหม้ เี งนิ มอี ำ� นาจ มยี ศ มีช่ือเสยี ง มคี นยกย่อง นับถือหน่อยก็ดี ยังอยากมี อยากเปน็ อยู่ นักปฏิบัติบางคนไม่อยากจะไปเสวยสุขบนสวรรค์ อยากหลุดพ้น อยาก ออกจากสังสารวัฏจริงๆ ในมุญจิตุกัมยตาญาณขั้นนี้ เมื่อปรารถนาจะออก จากวัฏฏะ ความปรารถนาดังกล่าวน้ีจะมั่นคง เพราะไม่อยากเกิดอีก เมื่อมี เกิด แก่ เจบ็ ตาย จะตามมาอีก การพลดั พรากจากสง่ิ ท่รี ัก คนทรี่ ักกย็ ากจะ หลกี เล่ียง ซ่งึ เป็นทีม่ าของความทุกข์ เมือ่ ไม่อยากจะเกดิ กป็ รารถนาการไม่ เกดิ อีกในสังสารวฏั เมอ่ื ไม่อยากเกิด จติ จงึ หาทางออกจากทกุ ข์ ปฏสิ ังขาญาณ คอื ความหย่งั รดู้ ้วยการนำ� รูปนามมาทบทวนไปมาอีก ครงั้ เพอ่ื จะไดเ้ ปน็ ปจั จยั อุดหนนุ ให้มีปัญญาญาณยงิ่ ๆ ขน้ึ ไป พอทบทวนไป มาสภาพธรรมท่เี คยก�ำหนดมาร้มู า มีอะไรท่ีเคยเกิด อะไรทเ่ี คยรู้ อะไรที่เคย เห็น อะไรท่ีเคยก�ำหนด มันมาหมดเลย บางคร้ังเหมือนกับคนไม่เคยปฏิบัติ ปัญญาในช้ันน้ีมุ่งให้ก�ำหนดอีกครั้ง เพื่อพิจารณาอย่างรอบคอบ จึงตัดสิน ใจแน่วแน่ เมื่อตัดสินใจแน่วแน่ จิตจะไม่ยินดียินร้ายต่อรูปนาม เม่ือจิตเกิด มีญาณหย่ังรู้มากขึ้นในวิปัสสนาญาณในช้ัน สังขารุเปกขาญาณ ความหยั่งรู้ ในจติ ท่วี างเฉยต่อนามรูป จดั อย่ใู นญาณที่ ๑๑ ขั้นนีจ้ ะคลา้ ยจติ พระอรหนั ต์ 43
เพราะปราศจากความยินดี ยินร้าย ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และ สภาพธรรมท้ังหลาย มีจิตเป็นเอกัคคตา กับความวางเฉย เทียบเคียงได้กับ ฌาน ๔ ในความเปน็ จรงิ แล้ว ผู้ได้ฌาน ๔ ไปไดแ้ คพ่ รหมโลก แต่ญาณที่ ๑๑ โยคีมีโอกาสจะไปพระนิพพานได้ ถ้าไม่มีอันตรายอะไรหรือปรารถนาพุทธ ภูมิเอาไว้ นักปฏิบัติที่มีปัญญาอาจจะใช้เวลาเพียงไม่ก่ีวัน อาจจะไปถึงขั้น ญาณที่ ๑๒ อนุโลมญาณหรือสจั จานโุ ลมิกญาณ ความหย่งั รูใ้ นขั้นตระเตรียม ความพรอ้ ม เพือ่ กา้ วต่อไปใน โคตรภูญาณ ความหยง่ั รูเ้ พือ่ เปลี่ยนจากปถุ ุชน เพือ่ ไปสู่ความเปน็ อรยิ บุคคลอย่างสมบรู ณ์ จดั อยใู่ นญาณท่ี ๑๓ ญาณท่ี ๑๔ มัคคญาณ ความหย่ังรู้ในการประหารสังโยชน์และจัดการกับกิเลสในข้ันเด็ด ขาด ญาณท่ี ๑๕ ผลญาณ ความหยัง่ รอู้ นั เปน็ การเสวยผลจากการตัดโยชน์ได้ แล้ว ญาณที่ ๑๖ ปจั จเวกขณญาณ ความหย่งั รู้ด้วยการพิจารณาถงึ สังโยชน์ ท่ลี ะไปแล้ว เม่ือผ่านโสฬสญาณไปแล้ว จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจคร้ัง ส�ำคัญที่สุด เพราะจะเปลี่ยนจากปุถุชนเป็นอริยบุคคลโดยสมบูรณ์ จัดเป็น อรยิ สงฆส์ าวกของพระผูม้ พี ระภาคเจ้าโดยแท้ พฤติกรรม ทางกาย วาจา ใจ จะเปน็ สจุ ริต จดั อยใู่ นข้นั ท่ี คิดดี พูดดี ท�ำดี โดยไม่มเี ง่อื นไข เพราะจติ ใจพ้น แล้วจากความหนาแน่นแห่งกิเลส จึงไม่มีเหตใุ หต้ อ้ ง คดิ ช่ัว พดู ชวั่ ทำ� ชวั่ อกี ต่อไปเพราะจิตมองไม่เห็นประโยชน์จากการกระท�ำท่ีไม่ดีทั้งหลายแล้ว เม่ือ มองอกี มมุ คนบรรลธุ รรมแลว้ ไม่ได้หมายความวา่ จะหลบหนหี รอื ปฏิเสธไม่ ยอมรับความคิดเหน็ ของคนอื่นกห็ าไม่ แต่กลบั กลายเป็นการเปลีย่ นผ่านไปสู่ ความเขา้ ใจคนอนื่ เพราะเข้าใจตวั เอง รูจ้ ักเอาใจเขามาใสใ่ จเรา มองเพอ่ื นที่ อยรู่ ว่ มโลก อยา่ งเท่าเทยี มเพราะทกุ คนเกดิ มาแล้วล้วนต้อง แก่ เจ็บ ตาย จะ มองเขาดว้ ยดวงตาทเ่ี ปย่ี มดว้ ยเมตตา ความปรารถนาดี มองดว้ ยกรณุ าเพอ่ื หา ทางชว่ ยเยียวยาให้พ้นทกุ ข์ เม่ือเขามีความสขุ ประสบความสำ� เรจ็ ก็มองด้วย 44
สายตาแหง่ ความยนิ ดี ดว้ ยจติ แหง่ ความยนิ ดี เมอื่ เขาไปไมถ่ งึ ที่ จงึ มองดว้ ยจติ ทม่ี ีปญั ญา ซึ่งเข้าไปรู้ปัญหา ช่วยแก้ปัญหา แนะน�ำทางออก เม่ือชว่ ยจนสดุ ความรู้ความสามารถแล้ว เม่ือชว่ ยไม่ไดก้ ็วางใจเป็น เพราะเห็นธรรมอันเนื่อง มาจากการกระทำ� ของแตล่ ะคนทต่ี า่ งกนั “กมมฺ นุ า วตตฺ ติ โลโก” สตั วโ์ ลกยอ่ ม เปน็ ไปตามกรรม สภาพตรงนนั้ เปน็ ปญั ญาอเุ บกขา นเ่ี ปน็ การเปลี่ยนผ่านท่ดี ี กวา่ พร้อมกนั นย้ี ังมเี ข้าใจเพอ่ื นมนุษย์และสัตว์ ทีร่ ่วม เกิด แก่ เจบ็ ตาย แตถ่ า้ เปน็ ปถุ ชุ น จะคำ� นงึ ถงึ ประโยชน์ ตวั เองพวกพอ้ งเปน็ หลกั จะได้ มากน้อยขึ้นอยู่กับประโยชน์เป็นหลัก ถ้าจัดสรรแบ่งปันผลประโยชน์ลงตัวก็ พอใจทงั้ ๒ ฝา่ ย เมือ่ ผลประโยชนข์ ัดกนั หรือแบง่ ปันไมล่ งตัว จะเกดิ การแยง่ ชิงผลประโยชน์ จึงก่อให้เกิดการเข่นฆ่าเบียดเบียนกัน ท�ำให้โลกวุ่นวายไม่ สงบ เพราะจติ ใจของคนในโลกยงั มคี วามเหน็ แกต่ วั กนั มาก การปฏบิ ตั ธิ รรมท่ี เรม่ิ ต้นจากกุศล เรมิ่ ต้นจากวชิ ชา ความรู้ ไมใ่ ช่อวชิ ชา ความไม่รู้ เมอ่ื มปี ญั ญา ในระดับสูงจะยิ่งเข้าถึงหลักความจริงมากขึ้นเท่าน้ัน ทุกขณะท่ีโยคีก�ำหนดรู้ ความร้นู ี้จะขจดั ความมดื บอด สงั หารอวชิ ชา ทำ� ลายสังโยชน์ ตัดสงั โยชนไ์ ด้ อย่างค่อยเป็นค่อยไป จนกระท่ังสามารถประหารกิเลสได้อย่างเด็ดขาด ละ ได้โดยเดด็ ขาด เมือ่ ผา่ นโสฬสญาณรอบแรกจะไดเ้ ขา้ ถงึ คณุ ธรรมของพระโสดาบัน รอบท่ีสองพระสกทาคามี รอบสามพระอนาคามี และรอบท่ีส่ีพระอรหันต์ บางคนเข้าคอร์ส เกินสิบรอบหรือเวียนเข้า-ออกส�ำนักปฏิบัติธรรมมานับไม่ ถ้วน บางท่านพูดติดตลกว่าเกินพระอรหันต์ไปแล้ว ไม่ต้องคิดอะไรมาก ถึง จะหันซ้ายหันขวาไปมาแต่ละส�ำนักเป็นว่าเล่นก็จริง โยคีอย่าได้ทอดทิ้งการ ปฏบิ ตั ธิ รรม อยา่ ประมาทในการกำ� หนดร้แู ม้เพียงน้อยนิด เมื่อรูถ้ ูก เข้าใจถูก ปฏิบัติถูก ย่อมเข้าใกล้พระนิพพานตลอดเวลา การปฏิบัติที่สะสมมาจะเป็น ดังมรรคา มุ่งสู่ความหลุดพ้นจากกิเลสและความดบั ทุกข์ไดอ้ ย่างแน่นอน 45
ปรญิ ญา ๓ ประการ 46
ขอ้ ท่ี ๑ ญาตปรญิ ญา การกำ� หนดรู้ตามสภาวลกั ษณะ ข้อท่ี ๒ ตีรณปรญิ ญา ก�ำหนดรดู้ ้วยการพิจารณา ก�ำหนดรู้ขั้นพจิ ารณา กำ� หนดรู้โดยสามัญลักษณะ ขอ้ ท่ี ๓ ปหานปริญญา ก�ำหนดรู้ด้วยการละ กำ� หนดรู้ถึงข้ันละได้ ก�ำหนดรโู้ ดยตดั ทางฉันทราคะเกิดมใี นสิ่งน้นั 47
๓ ปลืม้ ไม่ปลื้ม อยา่ ลืมกำ�หนดรู้ 48
ช่วงต่อไปเป็นช่วงฟังธรรม ปฏิบัติธรรมร่วมกัน ให้พวกเรานั่งสมาธิ ฟังธรรมะบรรยายไปด้วยนง่ั ให้รสู้ ึกวา่ สบาย ทกุ ขเวทนาจะไม่รบกวนมากนัก สตดิ ี สมาธิดี นงั่ ในทา่ ทีเ่ ปน็ สัปปายะคือพยายามนง่ั ตวั ใหต้ รง ดำ� รงสติใหม้ ่ัน ทนี วี้ นั นก้ี เ็ ปน็ วนั เสารท์ ่ี ๑๕ เมษายน ๒๕๖๐ วนั นเ้ี ปน็ วนั สดุ ทา้ ยของประเพณี สงกรานต์ บางคนขอลากลบั กอ่ นจะไดไ้ ปเลน่ สงกรานตท์ บี่ า้ นสกั วนั จะอยา่ งไร ก็ตาม สงกรานต์หรือวนั ปใี หม่ไทย ผ่านเขา้ มาในชวี ติ แต่ละปี เสร็จแลว้ ก็จาก ไป เม่อื เหตปุ ัจจยั ยังอยู่ทุกอยา่ งก็ดำ� เนนิ ไปตามปกติ เม่ือมองตามจริงปแี ล้ว ปีเล่าท่ีผ่านเข้ามาในชีวิต มีทั้งส่วนท่ีเราพึงพอใจ และไม่พึงพอใจ ปลื้มใจไม่ ปลมื้ ใจกับสงิ่ เหลา่ นัน้ แต่จะมีสักก่ีครั้งทเี่ รามีสติเทา่ ทัน ตัง้ ใจกำ� หนดรสู้ ภาพ ธรรมดงั กลา่ วนนั้ สว่ นใหญจ่ ะไมค่ อ่ ยไดก้ ำ� หนดรู้ มสี ตเิ ทา่ ทนั ปลอ่ ยมนั ไปตาม ปกติ เม่อื มาปฏบิ ตั จิ งึ ร้ชู ดั วา่ ต้องใสใ่ จกำ� หนดรู้ กบั ภาวะที่พอใจและไม่พอใจ มากขน้ึ อยกู่ บั ตวั เองมากขนึ้ นนั่ เอง พออย่กู ับตัวเองมากขึ้น บางคนกร็ ้สู ึกว่า ทำ� ไมเราเปน็ คนคดิ มาก พอนงั่ กรรมฐานใจไมค่ อ่ ยสงบ ใจไมค่ อ่ ยอยกู่ บั อาการ พอง-ยุบ เท่าทีค่ วร มัวแต่คดิ โนน่ คิดนไี่ ปเรื่อย บางวันใจนกึ คิดไปเรอื่ ย ไม่เห็น มอี ะไรเปลยี่ นแปลงไปในทางทน่ี า่ ชน่ื ใจเลย แทท้ จี่ รงิ แลว้ เปน็ เพราะเราอยกู่ บั ตวั เองมากขึ้น จึงรู้จักตวั เองมากกวา่ ท่เี คยรู้มา ไม่ไดห้ มายความวา่ การปฏบิ ัติ ของเรายอ่ หย่อนนะ เราตอ้ งเขา้ ใจว่าการปฏิบตั วิ ปิ สั สนา ไม่ได้มงุ่ ไปท่ีจิตสงบ อยา่ งเดยี ว แตม่ งุ่ ไปทกี่ ารตน่ื รเู้ บกิ บาน รทู้ นั ความจรงิ ทเี่ กดิ ขนึ้ ในขณะปจั จบุ นั อยา่ งมีสตนิ ่นั เอง เมือ่ เรามสี ตมิ ากข้ึน จะระลกึ ไดแ้ มก้ ระทัง่ ความคิดเล็กน้อย หรือความคดิ อ่ืนๆ ท้งั ทช่ี อบใจและไม่ชอบใจ ซ่ึงสิง่ เหล่าน้ี ทกุ รปู หรือทกุ คน ปฏิเสธได้ยาก เป็นความจริงของแต่ละคน ท่ีบางคนซุกซ่อนเอาไว้ ทั้งสิ่งท่ีดี และไมด่ ี 49
Search