การออกแบบการจัดการเรียนรู้ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ การงานอาชพี และเทคโนโลยี รายวชิ า การเล้ียงสุกร รหัสวิชา ง20206 ระดบั ชั้น ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่1ี -3 จัดทาโดย นายรัตนวัชร์ เลศิ นนั ทรตั น์ ตาแหนง่ พนักงานราชการ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 ตาบลชา่ งเค่ิง อาเภอแม่แจม่ จงั หวดั เชียงใหม่ สานกั บริหารงานการศึกษาพิเศษ สานกั งานการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน กระทรวงศกึ ษาธิการ
คาอธบิ ายรายวิชา รายวชิ า การเลีย้ งสุกร รหัสวิชา ง.20206 ชนั้ ม.1-3 ภาคเรยี นที่1 ปีการศกึ ษา 2562 เวลา 2 ช่ัวโมง จานวน 1 หนว่ ยกติ คาอธิบายรายวชิ า ความรู้เบอ้ื งตน้ ในการเล้ียงสุกรชอ่ งทางและการตัดสนิ ใจเลอื กประกอบอาชพี การเล้ยี งสุกร ปัจจยั ท่ี เกยี่ วกับการเลย้ี งสุกรการวางแผนการเลย้ี งสัตว์ พันธุ์และการคัดเลอื กพันธ์ุ โรงเรอื น วสั ดุ อปุ กรณ์ การจัดการ เลย้ี งดู การสขุ าภิบาลการจดั การการตลาด การทาบญั ชี การอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ้ มในงาน อาชพี เลยี้ งสัตว์ คณุ ธรรมในการประกอบอาชีพ ปัญหาและอปุ สรรคในการเลีย้ งสตั ว์ ตัวชวี้ ดั /ผลการเรียนรู้ 1.นักเรียนสามารถร้แู ละเข้าใจความร้เู บื้องต้นในการเลยี้ สุกรช่องทางและการตัดสนิ ใจเลือกประกอบอาชพี เล้ยี งสุกรได้ 2. นักเรยี นอธิบายอธบิ ายปัจจยั ที่เก่ียวกบั การเล้ยี งสุกรได้ 3.นักเรียนสมารถรู้และเข้าใจเก่ยี วกับพันธ์ุสุกรได้ 4.นักเรียนสามารถเลย้ี งดูสุกรได้ 5.นกั เรยี นสามารถสุขาภบิ าลสุกรเบอื้ งต้นได้ รวมท้ังหมด 5 ผลการเรยี นรู้
ผังมโนทัศน์ รายวิชาการเลีย้ งสุกร รหสั วิชา ง.20206 ระดับชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1-3 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2562 ช่ือหนว่ ยท1ี่ ความรเู้ บ้ืองต้นเกี่ยวกับ ชอื่ หนว่ ยที2่ ปจั จยั ที่เก่ยี วกบั การเล้ยี งสกุ ร การเลยี้ งสุกร จานวน 16ชัว่ โมง :10 คะแนน จานวน 4 ชั่วโมง :10 คะแนน รายวชิ าการเลีย้ งสุกร ช้ัน มธั ยมศึกษาปที ี่1-3 จานวน 60 ช่ัวโมง ชื่อหน่วยท่3ี พันธส์ุ กุ ร ชอ่ื หนว่ ยท4่ี การจดั การเลยี้ งดู จานวน 4 ชวั่ โมง : 20 คะแนน จานวน 4 ช่ัวโมง : 10 คะแนน ช่อื หนว่ ยที่5 การสขุ าภบิ าล จานวน 6 ช่วั โมง : 10 คะแนน
ผงั มโนทัศน์ รายวิชาการเลี้ยงสุกร รหสั วิชา ง.20206 ระดับช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 1-3 หน่วยการเรยี นรูท้ ี1่ เรอ่ื งความรเู้ บื้องต้นเกี่ยวกบั การเล้ยี งสกุ ร จานวน 4 ช่ัวโมง : 10 คะแนน หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี1 เรอื่ งความรเู้ บื้องต้นเก่ียวกับการ เล้ยี งสกุ ร จานวน 4 ชวั่ โมง : 10 คะแนน ชื่อเรอ่ื งความรู้เบ้อื งต้นเก่ยี วกบั การ เลยี้ งสุกร จานวน 4 ชว่ั โมง :10 คะแนน
แผนการจดั การเรียนรู้ หน่วยการเรียนรูท้ ่ี1เร่ืองความร้เู บอ้ื งต้นเกี่ยวกับการเลย้ี งสุกร แผนจัดการเรียนรูท้ ่1ี เรอื่ งความรูเ้ บ้ืองตน้ เก่ียวกับการเลี้ยงสุกร รายวชิ า การเล้ียงสกุ ร รหัสวชิ า ง.20206ระดับชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 1-3 ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2562นา้ หนักเวลาเรียน 1.00 (นน./นก.) เวลาเรียน 4 ช่ัวโมง/สปั ดาห์ เวลาทใ่ี ช้ในการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ 4 ช่ัวโมง ............................................................................................................................. ............................. 1. สาระสาคญั (ความเขา้ ใจทคี่ งทน) สกุ รเป็นสัตวก์ ีบคมู่ ี 4 ขา แต่ละขามีกีบ 4 กีบ แต่กีบท่ี 2 และ 3 เท่านั้นท่ีใช้ในการยืน ฟันกัด ของขากรรไกรบนมีลักษณะโค้งเป็นเข้ียว มีจมูกกลมแบนติดอยู่ท่ีปาก ขุดคุ้ยเก่ง ข้อขาแข็งแรง ไม่มีเขาลําตัวมีขนปก คลุม ขนแข็งและหยาบ หนังหนา มีไขมันหนา ทําหน้าท่ีเป็นฉนวนทําให้ระบายความร้อนได้ยาก ถึงแม้ว่าสุกรจะมี ต่อมท่ีบริเวณผิวหนงั มาก แต่ต่อมเหล่านไี้ ม่ไดท้ ําหนา้ ท่ีเป็นตอ่ มเหง่อื เพอ่ื ระบายความร้อนออกจากรา่ งกาย สุกรจึงชอบ คลุกอย่กู บั นาํ้ เพอื่ ระบายความร้อนออกจากรา่ งกายและชอบอยูใ่ นทรี่ ่มตามพุ่มไม้ 2. มาตรฐานการเรยี นร้/ู ตวั ช้ีวัดชน้ั ปี/ผลการเรียนรู้/เป้าหมายการเรียนรู้ ผลการเรยี นรู้ 1.นักเรียนอธิบายช่องทางและการตัดสินใจเลือกประกอบอาชพี เลี้ยงสุกรได้ 3. สาระการเรยี นรู้ 3.1 เน้ือหาสาระหลกั : Knowledge (นกั เรยี นตอ้ งรู้อะไร) -ลักษณะทวั่ ไปของสุกร -โครงรา่ งของสุกร -คณุ คา่ ทางอาหารของสกุ ร -ประวัตแิ ละถ่นิ กาํ เนิดของสกุ ร 3.2 ทกั ษะ/กระบวนการ : Process (นกั เรียนสามารถปฏิบัตอิ ะไรได้) -ลกั ษณะทว่ั ไปของสุกร -โครงรา่ งของสุกร -คณุ คา่ ทางอาหารของสกุ ร -ประวัติและถิ่นกําเนิดของสกุ ร 3.3 คุณลักษณะทีพ่ ึงประสงค์ : Attitude (นักเรยี นควรแสดงพฤติกรรมการเรียนอะไรบา้ ง) 1.มวี ินยั 2.มีความรบั ผิดชอบ 3.ตรงตอ่ เวลา 4.มงุ่ มน่ั ในการเรียน 4. สมรรถนะสาคัญของนักเรยี น 4.2 ความสามารถในการคิด 4.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา 4.4 ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ิต 5. คณุ ลกั ษณะของวิชา 1.ความรบั ผดิ ชอบ 2.ตรงตอ่ เวลา 6. คณุ ลกั ษณะท่ีพึงประสงค์ 1. ซ่อื สตั ยส์ ุจรติ 2. มีวินยั 3. ใฝ่เรียนรู้
4. ม่งุ ม่ันในการทาํ งาน 7. ชน้ิ งาน/ภาระงาน : - ใบกิจกรรมท่ี 1 เร่อื งความรเู้ บื้องตน้ เกย่ี วกบั การเลี้ยงสุกร - ใบงานที่ 1.1 เรอ่ื ง ความรู้เบอ้ื งตน้ เก่ียวกบั การเล้ียงสุกร ชิ้นงาน -ใบงาน ภาระงาน -ให้นักเรยี นไปศึกษาเพ่ิมเติมเกยี่ วกับโครงสร้างของสุกร 8. กจิ กรรมการเรยี นรู้: เวลาทใ่ี ช้ 4 ชวั่ โมง ชัว่ โมงที่ 1-2 (ความสามารถในการวิเคราะห/์ ใฝเ่ รียนร/ู้ เทคนคิ การสืบคน้ ) - ข้ันนาเขา้ สบู่ ทเรยี น/ข้นั ตั้งคาถาม 1. ทักทายนักเรียนกอ่ นเรียน 2. เช็ดชอ่ื นกั เรยี นก่อนเขา้ สู่บทเรียน ขั้นสอน 1. ทาํ ความเข้าใจและชีแ้ จงสาระการเรยี นรใู้ หน้ ักเรยี นทราบในหนว่ ยการเรยี นรู้เรอ่ื งความรเู้ บื้องตน้ เกีย่ วกบั การเล้ียงสกุ ร 2. ครอู ธบิ ายเกย่ี วกบั รปู ร่างลกั ษณะทัว่ ไปของสุกร 3. ครูให้นักเรยี นจดบันทกึ ตามที่ครอู ธบิ าย 4. ครใู ห้นักเรยี นทําใบงาน เร่ืองลักษณะทั่วไปของสุกร 5. ครมู อบหมายงานใหน้ ักเรียนไปใบงาน เรอ่ื ง ลกั ษณะทว่ั ไปของสกุ ร 6. ครูมอบหมายให้นักเรยี นไปศึกษาคน้ ควา้ เพิ่มเตมิ เกย่ี วกบั ลักษณะทัว่ ไปของสุกร ขัน้ สรุป 7. ครแู ละนกั เรยี นร่วมกันสรุปเน้ือหาท่ีเรียนมา 8. ครนู ดั หมายการเรยี นครงั้ ต่อไป ชั่วโมงท่ี 2 -3 (ความสามารถในการวเิ คราะห์/ใฝเ่ รียนรู้/ชว่ ยกนั คดิ ชว่ ยกันเรยี น) - ข้ันนาเข้าสูบ่ ทเรยี น/ขัน้ ตั้งคาถาม 1. ทกั ทายนกั เรียนก่อนเรยี น 2. เชด็ ชอื่ นกั เรียนก่อนเข้าสู่บทเรยี น ขน้ั สอน 1. ครแู ละนกั เรยี นทบทวนบทเรียนทีผ่ า่ นมา 2. ครใู หน้ กั เรยี นมาแลกเปลีย่ นเรียนร้เู นอ้ื หาทค่ี รูมอบหมายในสปั ดาห์ท่ีผา่ นมา 3. ครอู ธบิ ายเกย่ี วกับคุณคา่ ทางอาหารของการเล้ียงสุกร 4. ครูอธบิ ายเกยี่ วกบั ประวัตแิ ละความเป็นมาของการเล้ียงสุกร 4. ครใู หน้ กั เรยี นจดบนั ทึกลงในสมดุ 5. ครใู ห้นักเรียนทาํ ใบงานเรื่องโครงสรา้ งของสุกร
ขนั้ สรปุ จานวน สภาพการใชส้ อ่ื 6.ครแู ละนักเรยี นรว่ มกันสรปุ เนอื้ หาทเ่ี รียนมา 1 ชดุ ข้ันตรวจสอบความร้เู ดิม 7.ครูนดั หมายการเรยี นคร้งั ต่อไป 30 ชุด ตรวจหาคําตอบ สืบค้นข้อมูล 9. สือ่ การเรยี นการสอน / แหลง่ เรียนรู้ รายการสอื่ 1. สื่อการเรยี น 2. ใบงาน 1.1 เรอื่ ง ความรูเ้ บอื้ งตน้ การเลี้ยงสุกร 3.หอ้ งสมุด 10. การวัดผลและประเมินผล เป้าหมาย หลกั ฐานการเรียนรู้ วิธีวดั เครื่องมอื วัดฯ ประเด็น/ -ความถกู ต้อง เกณฑ์การให้คะแนน การเรยี นรู้ ชิ้นงาน/ภาระงาน ความเข้าใจ 1.มเี น้ือหาสาระครบถว้ น และความ สมบรู ณ์ 9-10 คะแนน นักเรยี นอธบิ าย ใบงาน ถูกต้อง 2.มีเนื้อหาสาระค่อนข้างครบถว้ น 7-8 คะแนน ชอ่ งทางและการ 3.มเี น้ือหาสาระไม่ครบถ้วนแต่ ภาพรวมของสาระทั้งหมดอยู่ใน ตดั สินใจเลอื ก เกณฑป์ านกลาง 5-6คะแนน 4. มีเนื้อหาสาระไม่ครบถ้วนแต่ ประกอบอาชีพเล้ยี ง ภาพรวมของสาระท้ังหมดอย่ใู น เกณฑ์ต้องพอใช้ 4-3 คะแนน สกุ รได้ 5.มเี น้อื หาเพียงเล็กน้อยแตภ่ าพรวมของ สาระท้ังหมดอยใู่ นเกณฑต์ อ้ งปรบั ปรุง 2-1 คะแนน 6.ไม่มีเนื้อหาเลย 0 คะแนน
11. การบรู ณาการตามจดุ เนน้ ของโรงเรยี น (ตัวอยา่ ง) หลักปรัชญาเศรษฐกิจ ครู ผเู้ รียน พอเพียง พอดกี ารเลีย้ งสกุ ร นกั เรยี นมีความรู้เก่ียวกับการนาสุกร 1. ความพอประมาณ พอดดี ้านการเลี้ยงสกุ ร มาเล้ียง 2. ความมีเหตผุ ล นําสกุ รมาเลี้ยงใหเ้ พยี งพอกับโรงเรือน รูถ้ งึ สภาพภมู ิอากาศทเ่ี หมาะสมในการ ทีม่ ีอยู่ เลี้ยงพนั ธุส์ กุ รแต่ละประเภท การคานึงสภาพอากาศทจ่ี ะนาพนั ธ์ุ สกุ รท่สี ามารถมาเลยี้ งได้ 3. มีภมู ิคุมกนั ในตวั ที่ดี ภูมิปญั ญา : มคี วามรู้ รอบคอบ และ ภมู ิปญั ญา : มีความรู้ รอบคอบ และ 4. เง่อื นไขความรู้ ระมัดระวัง ระมดั ระวงั สร้างสรรค์ 5. เง่อื นไขคุณธรรม ความรอบรู้ เรือ่ ง การเลี้ยงสกุ ร ความรอบรู้ เร่อื ง การเล้ียงสุกร ทีเ่ กย่ี วข้องรอบดา้ น ความรอบคอบที่ นาํ ความรู้เหลา่ นัน้ มาพจิ ารณาให้ สวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรยี น จะนําความรู้เหลา่ น้ันมาพิจารณาให้ เช่ือมโยงกนั สามารถประยุกต์ใช้ใน อาหารของสุกร เชอ่ื มโยงกัน เพอ่ื ประกอบการวางแผน ชวี ติ ประจําวัน การดาํ เนินการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ - อาหารทท่ี ําจากตน้ กลว้ ย ใหก้ บั ผู้เรียน มีความตระหนักใน คุณธรรม มี น้ําวา้ ความซอ่ื สตั ย์สจุ รติ และมีความอดทน มีความตระหนักใน คุณธรรม มี มคี วามเพยี ร ใชส้ ตปิ ัญญาในการ ความซอื่ สตั ยส์ จุ ริตและมีความอดทน ดําเนนิ ชวี ติ มคี วามเพียร ใช้สติปัญญาในการ ดําเนินชีวติ ผู้เรยี น อาหารของสกุ ร ครู - นกั เรียนได้ความร้จู ากการนําต้น กลว้ ยมาทาํ เป็นอาหารสกุ ร อาหารของสุกร -ให้นกั เรียนนําตน้ กลว้ ยมาทาํ เปน็ อาหารสุกร ส่งิ แวดล้อม ครู ผูเ้ รียน การปลูกตน้ กลว้ ย การปลกู ต้นกล้วย การปลกู ตน้ กล้วย -ทาํ ให้เกิดความชุม่ ช้นื ในบริ -ให้นักเรียนนาตน้ กล้วยมาปลกู -นกั เรยี นได้ความร้จู ากการปลกู กลว้ ย เวรท่ปี ลูก บริเวณเขตพ้นื ที่รับผิดชอบ ลงชื่อ..................................................ผู้สอน (นายรัตนวัชร์ เลศิ นนั ทรตั น์)
บทท่ี 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเล้ียงสุกร 1.1 ลกั ษณะทวั่ ไปของสุกร สุกรเป็นสัตว์กีบคู่มี 4 ขา แต่ละขามีกีบ 4 กีบ แต่กีบท่ี 2 และ 3 เท่าน้ันท่ีใช้ในการยืน ฟันกัดของ ขากรรไกรบนมีลกั ษณะโค้งเปน็ เขี้ยว มีจมูกกลมแบนติดอยูท่ ี่ปาก ขุดคุ้ยเก่ง ข้อขาแข็งแรง ไม่มีเขาลําตัวมีขนปกคลุม ขนแข็งและหยาบ หนังหนา มีไขมันหนา ทําหน้าที่เป็นฉนวนทําให้ระบายความร้อนได้ยาก ถึงแม้ว่าสุกรจะมีต่อมท่ี บริเวณผิวหนังมาก แต่ต่อมเหล่านี้ไม่ได้ทําหน้าท่ีเป็นต่อมเหงื่อเพื่อระบายความร้อนออกจากร่างกาย สุกรจึงชอบคลุก อยู่กบั ํนา้ เพ่ือระบายความร้อนออกจากร่างกายและชอบอยู่ในทร่ี ม่ ตามพุ่มไม้ การจัดจาํ พวก (classification) สกุ รตามลกั ษณะทางวิทยาศาสตร์ ดังนี้ Kingdom : Animalia เปน็ สตั ว์ Phylum : Chordata สตั ว์มกี ระดูกสันหลัง Class : Mammalia เปน็ สตั วเ์ ลี้ยงลกู ด้วยํน้านม เลือดอ่นุ มขี นปกคลมุ Order : Artiodactyla เป็นสตั วก์ บี คู่ Suborder : Suina Family : Suidea Genus : Sus Species : indica, scrofa และ domesticus 1.2 โครงรา่ งของสุกร โครงร่างของสุกรประกอบด้วย ส่วนต่าง ๆ ดังน้ี หน้า (face) จมูก (snout) ตา (eye) ใบหู (ear) คาง (jowl) คอ (neck) ไหล่ (shoulder) หลัง (back) เอว (loin) บ้ันท้าย (rump) หาง (tail) สะโพก(ham) ข้อ ต่อขาหลัง (stifle) ข้อขาหลัง (hock) ขาหลัง (rear leg) นิ้วก้อย (dewclaw) กีบ (toe) ขาพับหลัง (rear flank) ท้อง (belly) ขาพับหน้า (fore flank) ขาหน้า (front leg) เข่า (knee) ข้อเท้า (pastern) ความยาว ดา้ นขา้ ง (length of side) (ภาพที่ 1.1)
ภาพท่ี 1.1 โครงรา่ งของสกุ ร ที่มา: สุวรรณา พรหมทอง, (มปพ.) 1.3 คุณคา่ ทางอาหารของสุกร เน้ือสุกรและอวัยวะต่าง ๆ ของสุกรเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพดี มีแร่ธาตุหลายชนิด เช่น ฟอสฟอรัส เหล็ก โพแตสเซียม แมกนีเซียม และสังกะสี ปริมาณสูง แต่มีแคลเซียมและโซเดียมปริมาณํต่า และมีวิตามินที่สําคัญ โดยเฉพาะวิตามนิ บี 1 และ วติ ามนิ บี 12 มปี ริมาณสงู ดังตารางท่ี 1.1 และตารางที่ 1.2 โปรตีนเน้ือสุกรและโปรตีนนมมีกรดอะมิโนที่จําเป็นในปริมาณสูง แต่โปรตีนนมมีกรดอะมิโนท่ีมีกํามะถันเป็น องค์ประกอบ ได้แก่ เมทไธโอนีนและซีสตีน ํต่ากว่าเนือ้ สุกรเล็กนอ้ ย ส่วนโปรตนี จากพืช เช่น ถ่ัวเหลืองและข้าวโพด มกั ขาดกรดอะมิโนไลซนี เมทไธโอนีน ซีสตีน และทรปิ โตเฟน (ตารางท่ี 1.3) ดังน้ันหากบรโิ ภคโปรตีนจากพืชล้วน ๆ จะทําให้ขาดกรดอะมิโนท่ีจําเป็นบางชนิด ถ้าเสริมเน้ือสุกรหรือเนื้อสัตว์เข้าไปเพียงเล็กน้อยจะทําให้ได้รับคุณค่าทาง อาหารครบถ้วน ตารางท่ี 1.1 คณุ ค่าทางอาหารของเนื้อสุกรและอวยั วะภายในของสุกร (เน้ือดิบ)
ทม่ี า: สวุ รรณา พรหมทอง, (มปพ. ตารางที่ 1.2 คุณค่าทางอาหารของเนื้อสุกร (ตอ่ 100 กรัม, เฉพาะเนื้อแดงยา่ ง) ท่ีมา: สุวรรณา พรหมทอง, (มปพ.) ตารางที่ 1.3 เปรยี บเทยี บกรดอะมิโนระหว่างเน้ือสุกร โปรตนี นม กากถั่วลสิ ง และข้าวโพด
ทมี่ า: สวุ รรณา พรหมทอง, (มปพ.) 1.4 ประวตั ิและถน่ิ กําเนิดของสุกร ยุค Neolithesage สุกรที่พบมีต้นกําเนิดจากสุกรป่าแถบยุโรปและสุกรป่าแถบเอเชีย ชาติแรกท่ีมีการเล้ียง สุกรคือ ประเทศจีน โดยเริ่มเลี้ยงสุกรเป็นเวลากว่า 6,000 ปี ประเทศอังกฤษมีการเลี้ยงสุกรมาแล้วกว่า 2,700 ปี และ ค.ศ.1539 แพร่หลายไปในเขตอเมริกาโดยโคลมั บสั (ปีที่พบดินแดนใหม)่ สว่ นประเทศไทยเร่ิมเลี้ยงโดยชาวจนี ท่อี ยู่ในประเทศไทย โดยเลย้ี งเพื่อเป็นอาหารและอาชีพเสริม เป็นสุกรพันธุ์ พ้นื เมือง เช่น พนั ธุไ์ หหลาํ เป็นตน้ (ภาพที่ 1.2) ภาพที่ 1.2 สุกรพันธไุ์ หหลาํ เพศเมยี ท่มี า: กรมปศุสตั ว์, (มปพ.) ประเทศจนี มีการเล้ียงสุกรมากที่สุดในโลก แต่ส่วนมากใช้บริโภคภายในประเทศ ส่วนประเทศทีม่ ีการเลยี้ งสุกร ส่งเป็นสนิ คา้ ออกสู่ตลาดโลก ได้แก่ เดนมารค์ องั กฤษ เนเธอรแ์ ลนด์ และสหรฐั อเมริกาสกุ ร สุกรพันธ์ุต่างประเทศท่ีนิยมเล้ียง เช่น ลาร์จไวท์ (Large white) แลนด์เรซ (Landrace) ดูรอค (Duroc) ฯลฯ ลว้ นได้รับการปรับปรงุ พันธ์ุมาจากบรรพบรุ ุษทเี่ ป็นสุกรป่าแถบยโุ รปและสกุ รป่าแถบเอเซีย ก. สุกรป่าแถบยุโรป
(Sus scrofa) ถิ่นกําเนิด เป็นสุกรป่าของยุโรป แอฟริกา เอเชีย ซึ่งมีหลายชนิดด้วยกัน ลักษณะท่ัวไป แข็งแรง ว่องไว ทนทาน ดรุ ้าย หวั ยาวใหญ่ จมูกยาว ขายาว ไหล่กว้างสะโพกและเอวเล็ก มสี ํีน้าตาลหม่นหรือเทาปนแดง มี ลายดํา เม่ือเล็กมีสีอ่อน ลายเสือ เม่ือโตข้ึนลายเสือจะหายไป ผิวหยาบ ขนยุ่ง ไขมันน้อย โตเป็นหนุ่มเป็นสาวช้า ทนทานต่อโรคได้ดี ข. สุกรป่าแถบเอเชีย (Sus indica หรือ Sus vittatus บางคร้ังเรียก East indica pig) ถิ่นกําเนิดเป็น สุกรที่ได้มาจากประเทศจีน ญ่ีปุ่น เอเชยี ตะวันออก และไทย ลักษณะทั่วไป เลี้ยงงา่ ย ไม่ดุร้าย รูปร่างสี่เหล่ียม หัว สัน้ กระดูกเลก็ ตวั เล็ก มีสดี าํ หรือขาวปนกัน ผิวหนังเรียบ มีไขมนั มาก เจริญเติบโตเปน็ หนุ่มสาวเร็ว ลูกไม่ดก ค. สุกรบ้าน (Sus domesticus) เป็นสุกรที่ได้รับการปรับปรุงพันธ์ุแล้ว นํามาเลี้ยงกันทั่วไปในส่วนต่าง ๆ ของโลก พันธ์ุท่ีสําคัญคือ ลาร์จไวท์ แลนด์เรซ ดูรอค เป็นต้น ถ่ินกําเนิดได้จากการปรับปรุงพันธ์ุโดยใช้สุกรพันธ์ุใน Sus scrofa และ Sus indica แล้วคัดเลือกจนเป็นพันธ์ุแท้ ลักษณะท่ัวไป เป็นสุกรท่ีปรับปรุงให้มีลักษณะทาง เศรษฐกิจที่ดี เช่น หัวเล็ก เนื้อมาก มันน้อย โตเร็ว ลูกดก เล้ียงง่าย อัตราการเปลี่ยนอาหารดี แข็งแรง และ ทนทาน ตอ่ โรค 1.5 ประวตั ิการนําสกุ รเขา้ มาเลยี้ งในประเทศไทย สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีผู้นําสุกรจากประเทศอังกฤษเข้ามาเล้ียงในประเทศไทย จํานวน 2 พันธุ์ ได้แก่ พันธ์ุลาร์จแบล็ค (Large black) และ พันธุ์เอสเสค (Essex) ต่อมาพ.ศ.2461 สุกรทั้ง 2 พนั ธุน์ ไ้ี ด้ถกู นาํ ไปเลีย้ งท่โี รงเรียนเกษตรกรรมนครปฐมและได้สญู พันธไ์ุ ปในทส่ี ดุ พ.ศ.2482 สุกรได้ถูกนําเข้ามาจากประเทศออสเตรเลียโดยพระนรราชจํานง และคณะทูตสันถวไมตรี สุกร ดังกล่าวได้ถูกนําไปเล้ียงท่ีสถานีกสิกรรมแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ ได้แก่ พันธ์ุเบอร์กเชียร์ (Berkshire) ลาร์จไวท์ มิด เดิลไวท์ (Middle White) และแทมเวอร์ท (Tam Worth) หลังจากนั้นพ.ศ.2484 สุกรดังกล่าวได้ถูกแบ่งมาเลี้ยงท่ี สถานีเกษตรกรรมกลางบางเขนและไดส้ ูญพันธุ์ไปเนอ่ื งจากสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ.2492 กองสัตวบาล กรมปศุสัตว์ ได้ส่ังซ้ือสุกรทั้ง 4 พันธ์ุดังที่กล่าวจากประเทศออสเตรเลียมาอีก จาํ นวน 86 ตวั พ.ศ.2497 กรมปศุสัตว์โดยความช่วยเหลือขององค์การยูซ่อมส่งเจ้าหน้าท่ีคือ นายประยูร สิทธิชัย นายยอด วฒั นสนิ ธุ์ และนายจอม วิลเลยี ม ไปซ้อื สกุ รจากประเทศสหรฐั อเมริกา ไดแ้ กพ่ นั ธุ์ดูรอคเจอรซ์ ี่ เบอรก์ เชยี ร์ และแฮม เชียร์ (Hamshire) พ.ศ.2500 โดยการช่วยเหลือของแผนการโคลัมโบได้จดั ซ้ือสุกรพันธ์ุลาร์จไวท์จากฟาร์มท่ีมีชอื่ เสียงของประเทศ องั กฤษจาํ นวน 25 ตวั เป็นสุกรที่มีลักษณะการให้เนื้อดี ลาํ ตัวยาว เตา้ นมมากกว่าสกุ รท่มี ีการเลยี้ งอยู่เดมิ พ.ศ.2504 กรมปศสุ ัตว์ใหน้ ายอิสระ กรีชาพลเปน็ เจา้ หน้าทจี่ ัดซ้ือสกุ รพนั ธุ์ลาร์จไวท์เพ่มิ อกี จาํ นวน 15 ตวั พ.ศ.2505 กรมปศุสัตวใ์ ห้นายสมจติ ร ยอดเศรณีและนายศริ ิพงษ์ สคุ นธสรรพ์ เปน็ เจ้าหน้าท่ีจัดซ้อื สกุ รพันธุ์ดู รอคเจอร์ซเ่ี พอื่ เปลีย่ นสายเลือดอีกจาํ นวน 5 ตวั ต่อมามีบริษัทเอกชนนําเข้าสุกรอีกเป็นจํานวนมาก จนกระท่ังปัจจุบันสุกรที่นําเข้าส่วนใหญ่มี 3 พันธ์ุ คือ พนั ธุล์ ารจ์ ไวท์ แลนด์เรซ และดูรอค 1.6 ประเภทของการเลี้ยงสกุ ร
การเลยี้ งสุกรในประเทศไทยข้ึนอยู่กับความพรอ้ มของผูเ้ ล้ียงท้งั ในด้านความรู้ ฐานะความเป็นอยู่และอาชีพหลัก ของผเู้ ลยี้ ง การเลีย้ งสุกรแบง่ เปน็ 3 ประเภทคอื ก. การเลีย้ งสุกรพันธ์ุ เป็นการผลติ สกุ รพันธ์ุจาํ หนา่ ยเพื่อเปน็ พ่อและแม่พันธ์ุ สกุ รที่เล้ียงสว่ นใหญ่เป็นพนั ธุ์จาก ต่างประเทศ ได้แก่ พนั ธล์ุ าร์จไวท์ แลนดเ์ รซ และดูรอค ข. การเล้ียงสุกรขุน เป็นการผลิตสุกรขุนจําหน่ายเพ่ือส่งโรงฆ่าสัตว์ สุกรที่เล้ียงส่วนใหญ่เป็นสุกรลูกผสม 2 หรือ 3 หรอื 4 สายพนั ธุ์ ค. การเลี้ยงสุกรแบบหลังบ้าน เป็นการผลิตสุกรเป็นงานอดิเรกหรืออาชีพรอง ผเู้ ลีย้ งส่วนใหญ่มีอาชีพหลกั อยู่ แล้ว แบ่งการเลย้ี งตามอาชีพหลกั ของผเู้ ลี้ยงได้ 3 ประเภทคอื 1. ผเู้ ลี้ยงเปน็ เจา้ ของโรงสใี ช้ปลายขา้ วและรําขา้ วเล้ียงสุกร 2. ผูเ้ ลย้ี งทําสวนผกั ใช้ผักที่ไม่เหมาะสมแกก่ ารบริโภคของมนุษยม์ าใหส้ กุ รกนิ และจะใช้มลู สกุ รทําปุ๋ย 3. ผู้เล้ียงทําไร่หรือทํานา เล้ียงสุกรไว้หลังบ้าน อาหารที่ใช้เล้ียงสุกรส่วนใหญ่เป็นรําละเอียดผักตบชวา ต้น กลว้ ย กากมะพร้าว เป็นตน้ 1.7 ความสําคญั ของการเลยี้ งสกุ ร สกุ รเปน็ สัตว์เศรษฐกิจชนดิ หนง่ึ ท่ีสําคัญ เนอ่ื งจาก 1. สกุ รสามารถเลี้ยงไดใ้ นจํานวนน้อยตัว เปน็ ฟาร์มเลก็ ๆ 2. การเลี้ยงสกุ รตอ้ งการพื้นที่เพียงเลก็ นอ้ ย สามารถใช้พื้นที่ท่ีไม่เหมาะสมกับการทําการเกษตรอย่างอื่นให้เป็น ประโยชน์ เชน่ พน้ื ทด่ี นิ เลวไมส่ ามารถปลกู พชื ได้ 3. การเลีย้ งสุกรใช้แรงงานนอ้ ยและเล้ยี งงา่ ย 4. ผลิตผลหรือผลพลอยได้ทางการเกษตรหรืออุตสาหกรรมสามารถนํามาเป็นอาหารสุกรได้ ทําให้ประหยัด รายจ่าย เพมิ่ คณุ ค่าและทําให้ราคาสงู ข้ึน 5. สุกรให้ลกู ดก ขยายพนั ธ์ุได้เรว็ 6. เพ่ิมรายได้และทําให้เศรษฐกิจของครอบครัวดีขึ้น สามารถใช้พยุงฐานะเมื่อผลผลิตอ่ืนตกํต่าหรือเสียหาย จากภยั ธรรมชาติ 7 เป็นการใช้เวลาวา่ งใหเ้ กิดประโยชน์เปน็ การฝึกหดั ให้เยาวชนรูจ้ กั การทํางานและรกั สัตวเ์ ลย้ี ง 8. ทําใหส้ มาชิกในครอบครัวไดอ้ อกกาํ ลงั กายและมสี ุขภาพอนามยั สมบูรณ์ 9. มูลสุกรใช้เป็นปุ๋ยอย่างดี ช่วยรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดินในการปลูกพืชหรือใช้เล้ียงปลาช่วยลดต้นทุน การผลิต เช่น มูลสุกรใช้เลยี้ งปลาดกุ ปลาสวาย และปลานลิ เปน็ ตน้ 10. การเล้ียงสกุ รใหผ้ ลกําไรดี สามารถคืนทนุ ได้ภายในเวลา 6 เดือน 1.8 ปจั จัยท่ที าํ ใหก้ ารเล้ียงสกุ รประสบความสําเรจ็ ปัจจัยทีท่ าํ ใหก้ ารเลย้ี งสุกรประสบความสําเร็จ ประกอบด้วย 1. สุกรพันธ์ุดี เป็นสุกรที่ได้รับการคัดเลือกและผสมพันธ์ุให้มีการเจริญเติบโตสูง อัตราการเปลี่ยนอาหารดี และให้ผลผลติ สงู 2. อาหารดี มีคุณค่าทางอาหารครบถว้ นท้ังคุณภาพและปรมิ าณตามความต้องการของสุกรในแต่ละระยะ
3. การจัดการดี ต้ังแต่การวางผังฟาร์ม การก่อสร้างโรงเรือน การจัดการแบ่งพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม การ จดั การวัตถดุ บิ และการใหอ้ าหารดี การเล้ียงดดู ี การสขุ าภบิ าลดี และการตลาดดี 1.9 ปญั หาและการแก้ปญั หาในการเล้ียงสุกร ปัญหาการผลิตสุกรในประเทศไทยนบั ว่าเป็นปญั หาระดบั ชาติ ซ่ึงเกิดข้ึนโดยตลอด แมร้ ัฐบาลจะสนับสนุนให้มี สหกรณ์ผู้เล้ียงสุกรขึ้นตามอําเภอหรือจังหวัดก็ยังมีปัญหา การดําเนินงานของสหกรณ์ประสบความสําเร็จเพียงไม่ก่ีแห่ง เนอ่ื งจากเกษตรกรยงั ขาดความร้แู ละความเข้าใจระบบสหกรณ์ จึงทาํ ให้เกดิ ปัญหาตา่ ง ๆ ดงั นี้ 1. ปัญหาด้านการตลาด การตลาดสุกรส่วนใหญ่ตกอยู่ในมือของพ่อค้าคนกลาง จึงทําให้ผู้ผลิตไม่มีโอกาสได้ กําหนดราคาสุกรมีชีวิตได้เอง แม้ว่าจะมีระบบสหกรณ์แต่ยังไม่สามารถทํางานให้ได้ผลดี จึงทําให้เกิดความไม่สมดุลกัน ระหวา่ งราคาสุกรเปน็ และสุกรชําแหละ การแก้ปัญหาด้านการตลาด ส่งเสริมการเล้ียงสุกรในรูปองค์กร เช่น สหกรณ์ ชมรมและกลุ่มเกษตรกร โดย รัฐบาลควรเข้าไปให้ความรู้และกระตุ้นให้ผู้เล้ียงสุกรเห็นความสําคัญของการรวมกลุ่มเพ่ือให้มีอํานาจในการต่อรองร าคา ขายและกําหนดปรมิ าณการผลิตให้สอดคลอ้ งกับความต้องการของตลาดภายในประเทศและสง่ ออก 2. ปญั หาดา้ นการจัดการ 2.1 เกษตรกรผผู้ ลติ ขาดความร้คู วามชาํ นาญในการเลีย้ งสุกร จงึ ทาํ ให้สุกรทีผ่ ลติ ออกมา น้นั มตี น้ ทนุ ในการผลิตสูง 2.2 เกษตรกรมกั ขาดทุนทรัพย์ ตอ้ งก้ยู ืมเงนิ นอกระบบ ซึ่งมีอัตราดอกเบ้ียสูงมาใช้ในการ ผลติ สกุ ร จงึ ทาํ ใหค้ า่ ใช้จ่ายสงู ขน้ึ 2.3 เกษตรกรรายยอ่ ยมีโรงเรือนท่ีไม่เหมาะสมในการเลยี้ งสกุ ร จงึ ทาํ ให้เกดิ ความเสีย่ งใน เร่ืองโรคและพยาธิ 2.4 การจัดซื้อวตั ถุดิบในการนาํ มาผสมอาหารตอ้ งผ่านพ่อคา้ คนกลาง จงึ ทําใหม้ รี าคาแพง และมีปัญหาเรื่องสิ่งปลอมปน ตลอดจนการซ้ือในระบบเงนิ เช่ือ ทําให้ราคาแพงขึ้นอีก เนื่องจากพ่อค้าจะบวกดอกเบ้ีย เข้าไปดว้ ย การแก้ปัญหาดา้ นการจัดการ 1. การให้ความรูแ้ ก่เกษตรกร ควรจะเป็นการรว่ มมือกนั ระหว่างภาครฐั บาลและเอกชน และความกระตือรือรน้ ของเกษตรกรเอง เพื่อใหป้ ระสบผลสําเรจ็ ในการนาํ ความรู้มาใชใ้ นการประกอบอาชพี การเล้ียง สกุ รต่อไป 2. รัฐบาลควรจัดให้มีแหล่งสินเชอื่ แก่เกษตรกรผู้เลย้ี งสุกร โดยปลอ่ ยสนิ เช่อื ในอตั รา ดอกเบ้ยี ํตา่ และระยะยาว 3. เกษตรกรควรศึกษาหาความรูใ้ นเร่อื งการจัดการ ตงั้ แต่การสร้างโรงเรอื นอย่างไรให้ถกู สขุ ลกั ษณะ การจดั การกับสกุ รในระยะตา่ ง ๆ การใหอ้ าหารและการป้องกันโรค เป็นต้น 4. เกษตรกรควรจัดซื้อวตั ถุดิบโดยตรงจากแหลง่ ผลิต และควรรวมกนั เปน็ กลมุ่ ในการ จดั ซ้ือวัตถดุ ิบ เพื่อจะได้วัตถดุ ิบที่มีคุณภาพดี ไมม่ ีสิ่งปลอมปน และราคาถูกมาใช้ในการผลิตอาหารที่ดีมีคณุ ภาพให้แก่ สุกร 3. ปญั หาด้านพนั ธสุ์ ุกรทน่ี าํ มาเลี้ยง เกษตรกรมพี นั ธุส์ ุกรคุณภาพํตา่ โดยเฉพาะเกษตรกร
รายย่อยไม่สามารถผลิตลูกสุกรข้ึนมาเลี้ยงเองจําเป็นตอ้ งซอ้ื จากผู้ผลิตอ่ืน ถ้าซื้อสุกรคณุ ภาพดกี ็จะมีราคาแพงมากจงึ ทํา ให้เกษตรกรผขู้ าดความรู้เลอื กซอื้ สุกรราคาถูกมาเลยี้ ง ทําให้การเจริญเติบโตช้าและมีประสิทธิภาพการใชอ้ าหารไมด่ ี การแกป้ ญั หาดา้ นพนั ธ์สุ กุ ร 1. เกษตรกรควรศึกษาหาแหลง่ พนั ธส์ุ ุกรทด่ี มี าเลยี้ ง 2. ควรพฒั นาพันธุส์ ุกรให้มีปริมาณมากพอกบั ความต้องการภายในประเทศ โดยความ ร่วมมือกันระหว่างมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ศูนย์วิจัยปรับปรุงพันธุ์สุกร กองบํารุงพันธุ์สัตว์ และบริษัทเอกชน ทําการวิจัย ปรับปรงุ พนั ธแุ์ ละเพิม่ ผลผลิตป้อนใหเ้ กษตรกร เพอ่ื ลดปรมิ าณการนําเขา้ สุกรพ่อแม่พันธุจ์ ากต่างประเทศ 4. ปัญหาด้านอาหาร ต้นทนุ การผลติ สุกรสว่ นใหญ่เป็นคา่ อาหาร 70-75 เปอรเ์ ซ็นต์ ทําให้เกดิ ปญั หาดงั น้ี 4.1 เกษตรกรไม่มคี วามรู้เรื่องอาหารและความต้องการอาหารของสุกร จงึ ไม่สามารถทจี่ ะ เลอื กได้ว่าอะไรเป็นอาหารทดี่ แี ละราคาถูกสําหรับสุกร 4.2 เกษตรกรใช้วัตถดุ ิบท่ีมีคณุ ภาพํตา่ ในการเลีย้ งสกุ รทําให้ได้สุกรคณุ ภาพํต่าและใช้เวลา เลย้ี งนาน การแกป้ ัญหาดา้ นอาหาร 1. รฐั บาลควรจดั ให้มกี ารอบรมเกยี่ วกับเร่ืองอาหารแก่เกษตรกร เพือ่ ใหเ้ กษตรกรสามารถ เลือกซ้ือวัตถุดิบที่มีคุณภาพดีมาผลิตอาหาร ทราบขั้นตอนในการผสมอาหารและให้อาหารแก่สุกรในระยะต่าง ๆ อย่าง ถกู ต้องและหมนั่ ไปตรวจเย่ยี มให้คาํ แนะนําแกเ่ กษตรกรผู้เลย้ี งสุกรอยเู่ สมอ 2. รฐั บาลควรสง่ เสริมให้มกี ารผลติ วตั ถุดบิ อาหารสตั ว์ เชน่ ถ่วั เหลือง ปลาป่น เปน็ ตน้ ให้เพียงพอกับความต้องการผลิตอาหารสัตว์และทําการศึกษาวิจัยหาแหล่งวัตถุดิบอาหารสัตว์ชนิดอ่ืนที่มีคุณภาพดีมา ทดแทนวตั ถดุ ิบทข่ี าดแคลน เพื่อลดตน้ ทนุ ในการผลิตและไม่ต้องนาํ เข้าจากตา่ งประเทศ 5. ปัญหาด้านโรคและพยาธิ เกษตรกรไม่ค่อยมีความรู้ความข้าใจเก่ียวกับการสุขาภิบาล การป้องกันโรคและ พยาธิทเ่ี ป็นอันตรายต่อสุกร จงึ ทําให้เกิดโรคระบาดและพยาธิทสี่ ําคัญมาทําอันตรายต่อสกุ รอยูเ่ สมอ ซ่ึงเป็นการทําลาย เศรษฐกจิ ของประเทศอย่างมาก การแกป้ ัญหาดา้ นโรคและพยาธิ 1. เกษตรกรควรศึกษาหาความรเู้ กย่ี วกับการสุขาภบิ าลและการป้องกนั โรค เพ่ือจะได้ เตรียมปอ้ งกันโรคและพยาธิตา่ ง ๆ ทจ่ี ะเกิดข้ึน 2. รัฐบาลควรรณรงคใ์ นการป้องกันและกาํ จดั โรคสกุ รอยา่ งจริงจงั และประชาสมั พันธ์ เกยี่ วกบั การควบคุมโรคและพยาธิใหแ้ กผ่ ้เู ลย้ี งสุกรทราบอยา่ งทัว่ ถึง 3. สร้างโรงฆ่าสุกรทีไ่ ด้มาตรฐานและกวดขันในด้านการตรวจซาก 1.10 ปญั หาและการแก้ไขในการส่งออกสุกร ปัญหาและการแก้ไขการส่งออกสุกร มดี ังน้ี 1. ปญั หาโรคระบาดในสุกร ปัญหาโรคระบาดในสุกร ไดแ่ ก่ โรคปากและเทา้ เป่ือย โรคอหิวาต์สุกร เป็นต้น โรคระบาดที่สําคัญที่ทําความเสียหายแกธ่ ุรกิจการผลิตสุกรและเป็นอปุ สรรคต่อการพัฒนาการผลิต การตลาด และการ ส่งออกสุกรและผลิตภัณฑ์ไปจําหน่ายต่างประเทศคือ โรคปากและเท้าเปื่อย ซ่ึงเกิดจากการเลี้ยงสุกรแบบล้าหลังขาด การควบคุมปอ้ งกนั โรค การแก้ปัญหาโรคระบาดในสุกร
1. ระยะสั้นรฐั บาลควรลดภาษเี วชภัณฑ์สัตว์ โดยเฉพาะวัคซีนป้องกนั และยารกั ษาโรค สัตว์ ระยะยาวควรส่งเสริมให้เอกชนสรา้ งโรงงานผลิตวัคซีนป้องกันและรักษาโรคสัตว์ราคาถูก เพ่ือสามารถผลิตวัคซีน ไดเ้ พยี งพอสําหรบั ประเทศไทย เช่น วัคซีนป้องกนั โรคปากเท้าเปอ่ื ย 2. กาํ จัดโรคปากเทา้ เปอ่ื ยให้หมดจากประเทศไทย 2. ปัญหาวฏั จกั รสกุ ร ปัญหาวัฏจกั รหรือปญั หาปริมาณการผลติ สุกรไมแ่ น่นอน เกิดจากสาเหตุ 1) คุณลักษณะของสุกรเอง ซง่ึ มกี ารเจริญเตบิ โตข้นึ อยกู่ ับการเลีย้ งและฤดกู าลเปน็ สําคัญ ถ้าอากาศร้อนจะเจริญเติบโตชา้ เพราะกนิ อาหารน้อย อัตราการเปล่ยี นอาหารเลวลง และอตั ราการตายสงู 2) ราคาสกุ รมีชวี ติ เกษตรกรผ้เู ลยี้ งอาศัยราคาสกุ รในตลาดทผ่ี ่านมาเป็นตวั กาํ หนดและ ตดั สินใจท่ีจะเพิ่มหรือลดขนาดการผลิต โดยเข้ามาเล้ียงสุกรและขยายการเลี้ยงสุกรเมื่อราคาสุกรในตลาดสูงและลดการ ผลิตหรือหยุดการผลิตเม่ือราคาสุกรในตลาดตกํต่า ทําให้ปริมาณสุกรในตลาดมีปริมาณไม่แน่นอนและไม่สามารถวาง แผนการผลิตให้สอดคล้องกับปริมาณความต้องการบริโภคในตลาดได้ จึงส่งผลให้ผู้เล้ียงและผู้บริโภคได้รับความ เดือดรอ้ น การแก้ปัญหาวัฏจักรสุกร รฐั บาลควรให้ขา่ วสารแกเ่ กษตรกรอย่างสํม่าเสมอเพ่ือช่วยใหว้ างแผนการผลิตไดอ้ ยา่ ง ถูกต้องและอาจเสริมด้วยมาตรการประกันราคาสุกรข้ันํต่าให้แก่ผู้ท่ีจดทะเบียนกับกลุ่มผู้เลี้ยงสุกรเพ่ือให้ทราบปริมาณ การเล้ียงสุกร 3. ปัญหาต้นทุนการผลิตสูง การขยายตัวของการเล้ียงปศุสัตว์และสัตวํ์น้ามีมากขึ้น ความต้องการใช้อาหาร สัตวจ์ ึงมีมากขึ้น แต่วตั ถดุ ิบทางการเกษตรท่ีนํามาใช้ผลิตอาหารสัตว์มีจาํ นวนไม่เพียงพอ ทําให้ราคาวตั ถดุ ิบอาหารสัตว์ สงู ข้ึนและตอ้ งสัง่ ซือ้ วัตถดุ ิบจากตา่ งประเทศเขา้ มา ตน้ ทนุ ค่าอาหารสตั ว์จงึ สงู การแก้ปัญหาต้นทุนการผลิตสูง รัฐบาลควรเร่งส่งเสริมเกษตรกรให้มีการผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์อย่างมี ประสิทธภิ าพ รวมถึงการวจิ ัยเทคโนโลยีการผลิตอาหารสตั วด์ ว้ ยวิธีการใหม่ ๆ 4. ปัญหาการขาดแคลนโรงฆ่าและชําแหละสุกรที่ได้มาตรฐาน โรงฆ่าและชําแหละสุกรที่ได้มาตรฐานและ ทันสมยั ยังมีไม่ท่ัวถึง จงึ มกี ารลักลอบทําการฆ่าและชําแหละสุกรในโรงฆ่าสัตว์เถ่ือนโดยไม่ได้มาตรฐาน ทําให้ได้เนือ้ สุกร คุณภาพไม่ดี การแกป้ ัญหาการขาดแคลนโรงฆา่ และชําแหละสกุ รที่ไดม้ าตรฐาน 4.1 พฒั นาโรงชําแหละของรัฐบาลท่ีเกา่ และลา้ สมัยใหไ้ ด้มาตรฐานสากล 4.2 สง่ เสริมสนบั สนุนโรงฆา่ สตั วเ์ ถอื่ นให้มกี ารปรับปรงุ ให้ได้มาตรฐาน 4.3 ลดอัตราภาษี คา่ อาชญาบตั รและค่าธรรมเนยี ม เพ่อื ให้การชําแหละมีต้นทุนํต่า รวม ท้ังเร่งรัดการออกประกาศกระทรวงว่าด้วยระเบียบการอนุญาตตั้งโรงฆ่าสัตว์ เพ่ือให้ภาคเอกชนมีความมั่นใจในการ ลงทุนสรา้ งโรงฆา่ สตั วท์ ไ่ี ดม้ าตรฐาน 5. ปัญหาสารตกค้างในเนอ้ื สุกร การใช้สารเร่งเน้ือแดง (สารเบต้าอะโกนิสต์) เชน่ เคลนบเู ทรอลและซัลบูตา มอล เป็นสารปรับซากผสมในอาหารสุกร ทําให้สารตกค้างอยู่ในเนื้อสุกร ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคหากได้รับสาร ตกคา้ งปริมาณมากอาจเกิดอาการหัวใจเต้นผิดปกติ นอนไม่หลบั คลน่ื ไส้ อาเจยี นและมีปัญหาในการส่งออกสุกร การแก้ปัญหาสารตกค้างในเน้ือสกุ ร รัฐบาลควรเข้มงวดในการตรวจการใชส้ ารเคมีกับสกุ รอย่างจรงิ จัง รวมท้ัง ปอ้ งกนั และปราบปรามการลักลอบนาํ เขา้ อย่างตอ่ เนื่อง
ใบงานท่ี1 ใหน้ ักเรียนตอบคาถามตอ่ ไปน้ี 1.ให้นักเรยี นแปลโครงสรา้ งตอ่ ไปนีเ้ ปน็ ภาษาไทย ชอ่ื -สกลุ ...............................................................................ชนั้ .................................กลุ่ม........................
ผังมโนทศั น์ รายวิชาการเล้ยี งสุกร รหสั วิชา ง.20206 ระดับชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1-3 หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี2 เรอ่ื งปจั จยั ทเ่ี กยี่ วกบั การเลย้ี งสกุ ร จานวน 16ช่ัวโมง : 10 คะแนน หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่3 เรื่องปจั จัยที่เกยี่ วกบั การเลย้ี งสุกร จานวน 16 ชั่วโมง : 10 คะแนน ชือ่ เรอื่ งปัจจัยที่เกี่ยวกบั การเลีย้ งสกุ ร จานวน 16ชว่ั โมง :10 คะแนน
แผนการจัดการเรยี นรู้ หน่วยการเรียนร้ทู ่3ี เร่ืองปจั จัยท่ีเกีย่ วกับการเล้ียงสุกรแผนจดั การเรียนร้ทู ่ี1 เรอ่ื งทนุ (วัสดุ อปุ กรณ์ เคร่ืองมือ เครื่องจักร รวมถึงเงนิ ท่ีลงทนุ ) รายวชิ า การเลี้ยงสกุ ร รหัสวชิ า ง.20206ระดับชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 1-3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2562น้าหนักเวลาเรียน 1.00 (นน./นก.) เวลาเรยี น 2 ชั่วโมง/สปั ดาห์ เวลาทใ่ี ชใ้ นการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ 4 ชว่ั โมง ........................................................................................................................ .................................. 1. สาระสาคญั (ความเข้าใจทคี่ งทน) ในการประกอบอาชีพเล้ียงสุกร ก็เหมอื นกบั การประกอบอาชพี อน่ื ๆทผ่ี ปุ้ ระกอบการมีความจาํ เปน็ อย่าง ย่งิ ทจ่ี ะต้องรูป้ ัจจัยท่ีเอ้ือตอ่ การเลยี้ งสกุ รการเลือกทําเลท่ีตั้งท่ีดี มีสภาพแวดล้อมเหมาะสมวสั ดุอุปกรณ์ทจ่ี ําเปน็ ต่อการ เลยี้ งสกุ ร ตลอดจนเงนิ ทนุ ซึ่งจะทําใหล้ ดความเสยี่ งหรอื ความสูญเสียทอ่ี าจเกิดขน้ึ ให้น้อยลง ลดต้นทนุ ในการการผลิต สกุ รใหท้ ่ีสุดเท่าทจ่ี ะเปน็ ไปได้ 2. มาตรฐานการเรียนรู/้ ตัวชี้วัดชน้ั ปี/ผลการเรียนร/ู้ เป้าหมายการเรียนรู้ ผลการเรยี นรู้ 3.สามารถอธิบายปัจจยั ท่เี กย่ี วกับการเลี้ยงสกุ รได้ 3. สาระการเรียนรู้ 3.1 เนื้อหาสาระหลัก : Knowledge (นกั เรียนตอ้ งรู้อะไร) -ทนุ (วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ เคร่อื งจักร รวมถึงเงินทล่ี งทุน) 3.2 ทกั ษะ/กระบวนการ : Process (นกั เรียนสามารถปฏิบัตอิ ะไรได้) -วัสดุ อปุ กรณต์ ่างๆในการเล้ียงสกุ ร 3.3 คณุ ลกั ษณะทพี่ ึงประสงค์ : Attitude (นกั เรยี นควรแสดงพฤติกรรมการเรยี นอะไรบา้ ง) 1.มีวนิ ัย 2.มคี วามรับผิดชอบ 3.ตรงตอ่ เวลา 4.มงุ่ ม่ันในการเรียน 4. สมรรถนะสาคัญของนกั เรยี น 4.2 ความสามารถในการคิด 4.3 ความสามารถในการแกป้ ัญหา 4.4 ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ิต 5. คุณลกั ษณะของวชิ า 1.ความรบั ผิดชอบ 2.ตรงต่อเวลา 6. คณุ ลักษณะที่พงึ ประสงค์ 1. ซ่อื สตั ยส์ จุ ริต 2. มีวินัย 3. ใฝเ่ รยี นรู้ 4. มุ่งมัน่ ในการทาํ งาน 7. ชิ้นงาน/ภาระงาน : - ใบกิจกรรมท่ี 1 เรอ่ื งวสั ดุอุปกรณ์ตา่ งๆในการเลี้ยงสกุ ร
ช้นิ งาน -.ใบงาน ภาระงาน -ให้นักเรียนไปศึกษาเพ่ิมเติมเกยี่ วกับทุน(วัสดุ อปุ กรณ์ เครอื่ งมือ เคร่ืองจกั ร รวมถึงเงนิ ที่ลงทนุ ) 8. กจิ กรรมการเรียนรู้: เวลาทใ่ี ช้ 4 ชว่ั โมง ชั่วโมงท่ี 1-2 (ความสามารถในการวิเคราะห์/ใฝ่เรียนรู/้ เทคนคิ การสืบคน้ ) - ขั้นนาเข้าสู่บทเรียน/ข้ันตั้งคาถาม 1. ทักทายนักเรยี นกอ่ นเรยี น 2. เช็ดช่ือนักเรียนกอ่ นเข้าสู่บทเรียน ขั้นสอน 9. ทําความเข้าใจและช้ีแจงสาระการเรยี นรู้ให้นักเรียนทราบในหนว่ ยการเรียนรู้เรื่อง(วัสดุ อุปกรณ์ เคร่ืองมือ เครอื่ งจักร รวมถงึ เงินทีล่ งทุน) 10. ครอู ธบิ ายเกย่ี วกับทุน(วสั ดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ เคร่ืองจกั ร รวมถึงเงินท่ีลงทุน) 11. ครใู ห้นกั เรยี นจดบนั ทึกตามท่ีครูอธิบาย 12. ครใู หน้ ักเรยี นทําใบงาน เร่ือง(วสั ดุ อุปกรณ์ เครื่องมอื เครื่องจักร รวมถึงเงินทล่ี งทุน) 13. ครูมอบหมายใหน้ ักเรียนไปศึกษาค้นควา้ เพิ่มเตมิ เกยี่ วกบั (วัสดุ อปุ กรณ์ เครื่องมือ เคร่ืองจกั ร รวมถึงเงนิ ท่ี ลงทนุ ) ขน้ั สรุป 14. ครแู ละนักเรยี นร่วมกันสรปุ เน้ือหาท่เี รยี นมา 15. ครูนดั หมายการเรยี นครง้ั ต่อไป ช่ัวโมงท่ี 2 -3 (ความสามารถในการวเิ คราะห/์ ใฝ่เรียนรู้/ชว่ ยกนั คิดช่วยกันเรยี น) - ขนั้ นาเขา้ สู่บทเรียน/ขนั้ ตั้งคาถาม 1. ทกั ทายนักเรียนก่อนเรยี น 2. เชด็ ช่อื นักเรยี นก่อนเขา้ สู่บทเรียน ขน้ั สอน 1. ครูและนักเรยี นทบทวนบทเรยี นทีผ่ า่ นมา 2. ครใู ห้นักเรียนมาแลกเปล่ียนเรียนร้เู นอ้ื หาที่ครูมอบหมายในสัปดาห์ทีผ่ า่ นมา 3. ครูอธบิ ายเพ่ิมเตมิ เก่ียวกับการนําเสนอของนักเรียนแต่ละคนท่ีไปศึกษาคน้ ควา้ เพม่ิ เติมมา 4. ครูให้นักเรยี นจดบันทกึ ลงในสมุด ขั้นสรุป 6.ครแู ละนักเรยี นร่วมกันสรุปเนื้อหาท่เี รยี นมา 7.ครูนัดหมายการเรียนคร้งั ต่อไป
9. สื่อการเรียนการสอน / แหล่งเรยี นรู้ จานวน สภาพการใช้ส่ือ รายการสือ่ 1 ชุด ข้ันตรวจสอบความรูเ้ ดิม 1. สอ่ื การเรยี น 2. ใบงาน 1.1 เร่อื ง ทนุ (วสั ดุ อปุ กรณ์ เครอ่ื งมอื 30 ชุด ตรวจหาคําตอบ เครอ่ื งจักร รวมถงึ เงนิ ท่ลี งทุน) สบื คน้ ขอ้ มูล 3.ห้องสมดุ 10. การวดั ผลและประเมนิ ผล เป้าหมาย หลักฐานการเรียนรู้ วิธีวัด เครอ่ื งมือวดั ฯ ประเด็น/ การเรยี นรู้ ชิ้นงาน/ภาระงาน -ความถูกต้อง เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ความเข้าใจ 1.มีเนื้อหาสาระครบถว้ น 1.สามารถอธิบาย ใบงาน และความ สมบูรณ์ 9-10 คะแนน ปจั จยั ที่เกี่ยวกับการ ถกู ต้อง 2.มีเนื้อหาสาระคอ่ นขา้ งครบถ้วน เลยี้ งสุกรได้ 7-8 คะแนน 3.มเี นอื้ หาสาระไม่ครบถ้วนแต่ ภาพรวมของสาระท้ังหมดอยูใ่ น เกณฑป์ านกลาง 5-6คะแนน 4. มีเนอ้ื หาสาระไม่ครบถ้วนแต่ ภาพรวมของสาระทั้งหมดอยใู่ น เกณฑ์ตอ้ งพอใช้ 4-3 คะแนน 5.มีเนื้อหาเพียงเล็กน้อยแต่ภาพรวมของ สาระท้ังหมดอยใู่ นเกณฑ์ตอ้ งปรับปรุง 2-1 คะแนน 6.ไมม่ เี นื้อหาเลย 0 คะแนน
11. การบรู ณาการตามจดุ เนน้ ของโรงเรยี น (ตัวอย่าง) หลักปรชั ญาเศรษฐกจิ ครู ผู้เรียน พอเพียง 6. ความพอประมาณ พอดดี ้านการเล้ยี งสุกร พอดีการเลีย้ งสกุ ร นกั เรยี นมคี วามรเู้ กยี่ วกบั การ นาํ เคร่ืองมืออุปกรณใ์ นการเลย้ี งสุกรให้ เครอื่ งมอื และอุปกรณใ์ นการเลย้ี งสุกร พอดีกับการเลยี้ งสุกร 7. ความมีเหตุผล การคานึงวสั ดุอปุ กรณ์ที่จาเปน็ ต่อ รู้ถึงวัสดุอุปกรณทจี่ าํ เป็นต่อเลี้ยงสกุ้ ร การเลย้ี งสกุ ร 8. มภี มู ิคมุ กนั ในตัวทีด่ ี ภมู ิปญั ญา : มคี วามรู้ รอบคอบ และ ภมู ิปัญญา : มีความรู้ รอบคอบ และ 9. เงอ่ื นไขความรู้ ระมดั ระวัง ระมดั ระวงั สร้างสรรค์ 10. เงอ่ื นไขคุณธรรม ความรอบรู้ เรอื่ ง การเลยี้ งสุกร ความรอบรู้ เรือ่ ง การเลยี้ งสกุ ร ทเ่ี ก่ียวข้องรอบดา้ น ความรอบคอบที่ นําความรเู้ หล่านน้ั มาพจิ ารณาให้ สวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรยี น จะนาํ ความรู้เหล่าน้ันมาพิจารณาให้ เชือ่ มโยงกนั สามารถประยุกต์ใช้ใน วสั ดุอุปกรณใ์ นการเลย้ี งสุกร เชือ่ มโยงกนั เพอ่ื ประกอบการวางแผน ชวี ติ ประจาํ วัน การดาํ เนินการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ - การนําตน้ ไมม้ าเปน็ ราง ให้กับผ้เู รียน มีความตระหนกั ใน คุณธรรม มี อาหาร ความซอ่ื สตั ยส์ ุจรติ และมีความอดทน มคี วามตระหนกั ใน คุณธรรม มี มีความเพยี ร ใชส้ ติปญั ญาในการ ความซ่อื สัตย์สจุ ริตและมีความอดทน ดําเนินชวี ิต มคี วามเพยี ร ใช้สติปัญญาในการ ดาํ เนินชวี ิต ผูเ้ รยี น อาหารของสกุ ร ครู - นักเรยี นได้ความรูจ้ ากการนําตน้ ไม้ มาทําเปน็ รางอาหารสุกร วัสดอุ ุปกรณ์ในการเล้ยี งสกุ ร -ให้นกั เรยี นนาํ ต้นไม้มาเป็นราง อาหาร สง่ิ แวดล้อม ครู ผู้เรียน การปลกู ตน้ ไม้ การปลกู ตน้ ไม้ วัสดอุ ุปกรณใ์ นการเล้ียงสุกร -ทําใหเ้ กดิ ความชุม่ ชน้ื ในบริ -ให้นกั เรยี นนาต้นไม้มาปลูกบรเิ วณ -นกั เรียนได้ความรู้จากการปลกู ตน้ ไม้ เวรท่ีปลูก เขตพืน้ ที่รับผิดชอบ ลงชื่อ..................................................ผูส้ อน (นายรตั นวัชร์ เลิศนนั ทรัตน)์
ใบงานที2่ ทนุ (วสั ดุ อปุ กรณ์ เคร่ืองมือ เครื่องจักร รวมถึงเงนิ ทลี่ งทุน) ให้นกั เรียนตอบคาถามตอ่ ไปน้ี 1.ใหน้ กั เรียนบอกเครอื่ งมือ วัสดุอุปกรณใ์ นการเลี้ยงสกุ รมาอยา่ งละเอียด ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... 2.การทาความสะอาดวัสดุอุปกณต์ ่างๆมามารถทาไดกีว่ ิธอี ะไรบา้ ง ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... 3.วสั ดุอุปกรณ์ชนิดไหนท่ีไม่ควรทาสะอาดผา่ นน้าร้อน ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ช่ือ-สกุล...........................................................................................................ช้ัน..................กล่มุ ...............
แผนการจดั การเรียนรู้ หนว่ ยการเรียนรูท้ 3่ี เรื่องปัจจัยที่เกีย่ วกบั การเลีย้ งสุกรแผนจดั การเรยี นรู้ที่2 แรงงานที่ใช้ เรื่อง รายวิชา การเลีย้ งสุกร รหสั วิชา ง.20206ระดับช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 1-3 ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2562น้าหนกั เวลาเรยี น 1.00 (นน./นก.) เวลาเรยี น 2 ชั่วโมง/สัปดาห์ เวลาทใี่ ช้ในการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ 4 ช่วั โมง ............................................................................................................................. ............................. 1. สาระสาคัญ (ความเข้าใจที่คงทน) แรงงาน คือ พลังการผลิต นับเป็นปัจจัยสําคัญทกี่ ่อเกดิ ผลิตในระบบเศรษฐกิจและสงั คมของผ้ใู ช้ แรงงานจะแฝงอยใู่ นผลผลิตทุกชิน้ ความม่นั คงก้าวหนา้ หรือความออ่ นแอล้าหลงั ทางเศรษฐกิจย่อมช้ีขาดด้วยพลังการ ผลติ คือแรงงาน 2. มาตรฐานการเรยี นรู้/ตวั ชี้วัดชัน้ ปี/ผลการเรียนรู/้ เปา้ หมายการเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ 3.สามารถอธบิ ายปจั จัยท่ีเก่ียวกับการเลี้ยงสุกรได้ 3. สาระการเรยี นรู้ 3.1 เนอื้ หาสาระหลัก : Knowledge (นกั เรยี นตอ้ งรู้อะไร) -แรงงงานทีใ่ ช้ 3.2 ทักษะ/กระบวนการ : Process (นักเรยี นสามารถปฏบิ ตั ิอะไรได้) -ลกั ษณะของแรงงาน -ประโยชนข์ องแรงงาน 3.3 คณุ ลกั ษณะท่พี ึงประสงค์ : Attitude (นกั เรียนควรแสดงพฤติกรรมการเรียนอะไรบ้าง) 1.มวี นิ ัย 2.มีความรบั ผิดชอบ 3.ตรงต่อเวลา 4.มุง่ มั่นในการเรียน 4. สมรรถนะสาคัญของนกั เรยี น 4.2 ความสามารถในการคิด 4.3 ความสามารถในการแกป้ ัญหา 4.4 ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต 5. คณุ ลักษณะของวชิ า 1.ความรับผิดชอบ 2.ตรงตอ่ เวลา 6. คณุ ลักษณะท่ีพึงประสงค์ 1. ซ่ือสตั ย์สจุ ริต 2. มีวินยั 3. ใฝ่เรยี นรู้ 4. มงุ่ ม่นั ในการทาํ งาน 7. ชิ้นงาน/ภาระงาน : - ใบกจิ กรรมท่ี 1 เรื่องแรงงานท่ใี ช้
ชน้ิ งาน -.ใบงาน ภาระงาน -ให้นักเรียนไปศึกษาเพ่ิมเติมเก่ียวกับแ 8. กจิ กรรมการเรยี นรู้: เวลาทีใ่ ช้ 4 ชัว่ โมง ชว่ั โมงท่ี 1-2 (ความสามารถในการวเิ คราะห์/ใฝ่เรียนรู้/เทคนิคการสืบค้น) - ขนั้ นาเข้าสบู่ ทเรยี น/ขนั้ ต้ังคาถาม 1. ทกั ทายนักเรียนกอ่ นเรียน 2. เช็ดชื่อนักเรยี นกอ่ นเขา้ สู่บทเรยี น ขน้ั สอน 1.ทําความเข้าใจและชีแ้ จงสาระการเรยี นรู้ให้นักเรยี นทราบในหนว่ ยการเรยี นร้เู ร่อื งแรงงานท่ใี ช้ 2. ครูอธบิ ายเกีย่ วกับลักษณะของแรงงาน 3.ครูใหน้ ักเรยี นจดบนั ทึกตามท่คี รูอธิบาย 4.ครมู อบหมายใหน้ กั เรยี นไปศกึ ษาค้นควา้ เพ่มิ เติมเก่ียวกบั เนอ้ื หาที่เรียนมา ข้ันสรุป 5.ครูและนักเรียนรว่ มกนั สรปุ เน้ือหาทเี่ รยี นมา 6.ครูนดั หมายการเรียนครงั้ ต่อไป ช่วั โมงท่ี 2 -4 (ความสามารถในการวิเคราะห์/ใฝ่เรียนรู้/ชว่ ยกนั คดิ ชว่ ยกันเรยี น) - ขั้นนาเขา้ ส่บู ทเรียน/ขั้นต้ังคาถาม 1. ทักทายนักเรียนก่อนเรยี น 2. เชด็ ช่อื นกั เรยี นก่อนเข้าสู่บทเรยี น ขน้ั สอน 1. ครูและนกั เรยี นทบทวนบทเรยี นทีผ่ า่ นมา 2. ครใู ห้นกั เรยี นมาแลกเปลีย่ นเรยี นรเู้ นื้อหาทคี่ รูมอบหมายในสปั ดาหท์ ผ่ี า่ นมา 3. ครอู ธบิ ายเพมิ่ เตมิ เกย่ี วกบั การนาํ เสนอของนักเรยี นแต่ละคนท่ีไปศึกษาคน้ คว้าเพิม่ เติมมา 4. ครใู ห้นักเรียนจดบนั ทกึ ลงในสมดุ 5.ครใู หน้ กั เรยี นทําใบงานเรื่องแรงงงานที่ใช้ ข้ันสรุป 6.ครูและนักเรยี นรว่ มกันสรปุ เน้ือหาที่เรียนมา 7.ครนู ดั หมายการเรยี นครัง้ ต่อไป
9. สอ่ื การเรียนการสอน / แหล่งเรียนรู้ จานวน สภาพการใชส้ ื่อ รายการสอื่ 1 ชุด ขั้นตรวจสอบความรเู้ ดิม 30 ชุด ตรวจหาคําตอบ 1. สอื่ การเรียน สืบค้นขอ้ มลู 2. ใบงาน 1.1 เรอ่ื ง แรงานท่ีใช้ 3.หอ้ งสมดุ 10. การวัดผลและประเมินผล เป้าหมาย หลักฐานการเรียนรู้ วิธวี ัด เครือ่ งมอื วัดฯ ประเด็น/ การเรยี นรู้ ชิ้นงาน/ภาระงาน -ความถูกต้อง เกณฑ์การใหค้ ะแนน ความเข้าใจ 1.มเี น้ือหาสาระครบถว้ น 1.สามารถอธิบาย ใบงาน และความ สมบรู ณ์ 9-10 คะแนน ปจั จัยทีเ่ ก่ยี วกบั การ ถกู ต้อง 2.มเี น้ือหาสาระค่อนขา้ งครบถ้วน เลี้ยงสุกรได้ 7-8 คะแนน 3.มีเนอ้ื หาสาระไม่ครบถว้ นแต่ ภาพรวมของสาระทั้งหมดอยูใ่ น เกณฑ์ปานกลาง 5-6คะแนน 4. มีเน้ือหาสาระไม่ครบถว้ นแต่ ภาพรวมของสาระท้ังหมดอยใู่ น เกณฑ์ต้องพอใช้ 4-3 คะแนน 5.มีเนื้อหาเพียงเล็กน้อยแตภ่ าพรวมของ สาระทง้ั หมดอยใู่ นเกณฑต์ ้องปรับปรุง 2-1 คะแนน 6.ไม่มเี น้ือหาเลย 0 คะแนน
11. การบูรณาการตามจุดเนน้ ของโรงเรยี น (ตวั อยา่ ง) หลักปรชั ญาเศรษฐกิจ ครู ผเู้ รยี น พอเพียง 11. ความพอประมาณ แรงงานท่ีใช้ แรงงานท่ีใช้ นกั เรียนมคี วามรเู้ กยี่ วกับแรงงงานท่ี ใช้แรงงานให้เหมาะสมในการเลย้ี งสกุ ร ใชใ้ ห้เหมาะสมกับการเลยี้ งสุกร 12. ความมีเหตุผล คานงึ ถึงแรงงานให้เหมาะสมในการ ร้แู รงงานท่ีเหมาะสมในการเลี้ยงสกุ ร เลย้ี งสกุ ร 13. มีภมู คิ มุ กนั ในตวั ที่ดี ภูมิปัญญา : มคี วามรู้ รอบคอบ และ ภูมิปัญญา : มคี วามรู้ รอบคอบ และ 14. เงื่อนไขความรู้ ระมัดระวงั ระมดั ระวัง สร้างสรรค์ 15. เงอื่ นไขคุณธรรม ความรอบรู้ เรื่อง การเลยี้ งสุกร ความรอบรู้ เรื่อง การเล้ียงสกุ ร ที่เก่ยี วข้องรอบดา้ น ความรอบคอบท่ี นาํ ความร้เู หล่านน้ั มาพจิ ารณาให้ สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน จะนําความรเู้ หลา่ น้ันมาพจิ ารณาให้ เช่ือมโยงกนั สามารถประยุกต์ใชใ้ น - เช่ือมโยงกนั เพอื่ ประกอบการวางแผน ชวี ิตประจําวัน การดําเนินการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ใหก้ บั ผเู้ รยี น มีความตระหนกั ใน คุณธรรม มี ความซอ่ื สัตย์สจุ ริตและมีความอดทน มคี วามตระหนกั ใน คุณธรรม มี มีความเพียร ใชส้ ติปัญญาในการ ความซ่ือสตั ย์สจุ ริตและมีความอดทน ดําเนินชีวิต มคี วามเพยี ร ใชส้ ติปัญญาในการ ดาํ เนินชวี ติ ผู้เรยี น - ครู - ส่ิงแวดล้อม ครู ผู้เรียน - - - ลงชื่อ..................................................ผู้สอน (นายรัตนวัชร์ เลศิ นันทรัตน์)
ใบงานท่3ี เรือ่ งแรงงานทใ่ี ช้ ให้นกั เรียนตอบคาถามตอ่ ไปน้ี 1.แรงงานคืออะไร ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... 2.ลกั ษณะของงานสามารถแยกได้เป็นก่ปี ระเภทอะไรบา้ ง ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... 3.ใหน้ กั เรยี นอธิบายประโยชน์ของแรงงานแต่ละประเภทมาอย่างละเอียด ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ช่ือ-สกลุ ................................................................................ชั้น..........................กลุ่ม.....................
แผนการจัดการเรยี นรู้ หน่วยการเรียนรทู้ ี3่ เรื่องปัจจัยทเ่ี กีย่ วกบั การเลีย้ งสกุ รแผนจัดการเรยี นรู้ท่3ี สถานทแี่ ละสภาพแวดล้อมประกอบ อาชพี เร่ือง รายวิชา การเล้ยี งสุกร รหสั วชิ า ง.20206ระดบั ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1-3 ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2562น้าหนักเวลาเรียน 1.00 (นน./นก.) เวลาเรียน 2 ชั่วโมง/สปั ดาห์ เวลาท่ใี ชใ้ นการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ 4 ช่ัวโมง ................................................................................................................................................. ......... 1. สาระสาคญั (ความเขา้ ใจท่คี งทน) กอ่ นทีจ่ ะดาํ เนินการเล้ียงสกุ ร จําเปน็ จะต้องหาทําเลท่ีตั้งที่ดีและเหมาะสมถูกต้อง เพ่ือเปน็ การชว่ ย ป้องกนั และลดปัญหาต่างๆท่ีอาจเกิดขน้ึ ภายหลงั ได้ทําให้เอื้ออาํ นวยตอ่ การเจริญเติบโตของสกุ ร ลดความเส่ียงหรือความ สญู เสียที่จะเกิดให้นอ้ ยลง และช่วยลดตน้ ทนุ การผลิตสุกรให้มากทสี่ ุดเท่าท่ีจะเป็นไปได้ 2. มาตรฐานการเรยี นรู/้ ตัวช้ีวดั ชั้นป/ี ผลการเรยี นรู้/เปา้ หมายการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ 3.สามารถอธบิ ายปจั จัยทเี่ กี่ยวกบั การเลีย้ งสกุ รได้ 3. สาระการเรียนรู้ 3.1 เนอ้ื หาสาระหลกั : Knowledge (นักเรียนตอ้ งรู้อะไร) -สถานที่และสภาพแวดล้อมประกอบอาชีพ 3.2 ทกั ษะ/กระบวนการ : Process (นักเรียนสามารถปฏบิ ตั ิอะไรได)้ -ภูมอิ ากาศและภมู ปิ ระเทศ -นา้ -ไฟฟา้ -แหล่งอาหาร -ตลาดรับซื้อ 3.3 คุณลักษณะทพี่ ึงประสงค์ : Attitude (นกั เรยี นควรแสดงพฤติกรรมการเรียนอะไรบ้าง) 1.มวี ินยั 2.มคี วามรบั ผิดชอบ 3.ตรงต่อเวลา 4.มุง่ มัน่ ในการเรียน 4. สมรรถนะสาคัญของนกั เรียน 4.2 ความสามารถในการคิด 4.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา 4.4 ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต 5. คุณลกั ษณะของวชิ า 1.ความรบั ผดิ ชอบ 2.ตรงตอ่ เวลา 6. คุณลกั ษณะท่ีพึงประสงค์ 1. ซื่อสัตย์สุจรติ 2. มีวินยั 3. ใฝ่เรยี นรู้ 4. มงุ่ ม่ันในการทํางาน 7. ช้นิ งาน/ภาระงาน : - ใบกจิ กรรมที่ 1 เร่อื งสถานท่ีและสภาพแวดล้อมประกอบอาชีพ
ชิ้นงาน -.ใบงาน ภาระงาน -ให้นักเรียนไปศึกษาเพิ่มเติมเกย่ี วกบั แ 8. กจิ กรรมการเรยี นรู้: เวลาที่ใช้ 4 ช่วั โมง ช่วั โมงท่ี 1-2 (ความสามารถในการวิเคราะห์/ใฝเ่ รยี นรู/้ เทคนิคการสืบค้น) - ขั้นนาเข้าส่บู ทเรียน/ข้นั ตั้งคาถาม 1. ทักทายนักเรยี นกอ่ นเรียน 2. เช็ดช่ือนักเรยี นกอ่ นเขา้ สู่บทเรียน ขัน้ สอน 1.ทาํ ความเข้าใจและช้ีแจงสาระการเรียนรใู้ ห้นักเรียนทราบในหน่วยการเรยี นรเู้ รือ่ งสถานทีแ่ ละสภาพแวดล้อม ประกอบอาชีพ 2. ครูอธิบายเกี่ยวกบั สถานที่และสภาพแวดล้อมประกอบอาชีพดังนี้ -ภมู ิอากาศและภมู ปิ ระเทศ -นา้ -ไฟฟา้ -แหล่งอาหาร -ตลาดรับซื้อ 3.ครใู ห้นักเรียนจดบนั ทึกตามทค่ี รูอธบิ าย 4.ครูมอบหมายใหน้ ักเรยี นไปศกึ ษาค้นคว้าเพิม่ เติมเก่ียวกับเน้อื หาที่เรยี นมา ขั้นสรปุ 5.ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกันสรปุ เน้ือหาท่ีเรยี นมา 6.ครนู ดั หมายการเรยี นครงั้ ต่อไป ชัว่ โมงที่ 2 -4 (ความสามารถในการวิเคราะห์/ใฝ่เรียนรู้/ชว่ ยกนั คิดช่วยกันเรยี น) - ขั้นนาเข้าสู่บทเรยี น/ขั้นตั้งคาถาม 1. ทกั ทายนักเรียนกอ่ นเรียน 2. เช็ดชอื่ นกั เรยี นก่อนเขา้ สู่บทเรยี น ขน้ั สอน 1. ครูและนกั เรยี นทบทวนบทเรยี นที่ผ่านมา 2. ครใู ห้นกั เรียนมาแลกเปล่ยี นเรียนรเู้ นือ้ หาทีค่ รูมอบหมายในสัปดาหท์ ่ผี ่านมา 3. ครูอธิบายเพมิ่ เติมเกยี่ วกบั การนาํ เสนอของนักเรยี นแต่ละคนที่ไปศึกษาค้นควา้ เพ่มิ เติมมา 4. ครใู ห้นักเรยี นจดบันทกึ ลงในสมดุ 5.ครใู หน้ กั เรียนทาํ ใบงานเร่ืองสถานที่และสภาพแวดล้อมประกอบอาชีพ
ข้ันสรุป จานวน สภาพการใช้สอ่ื 6.ครแู ละนักเรยี นรว่ มกันสรุปเน้อื หาทเ่ี รียนมา 1 ชดุ ขน้ั ตรวจสอบความรู้เดิม 7.ครนู ัดหมายการเรียนครงั้ ต่อไป 30 ชุด ตรวจหาคาํ ตอบ 9. สือ่ การเรียนการสอน / แหล่งเรียนรู้ สืบค้นขอ้ มลู รายการสอื่ 1. สอ่ื การเรียน 2. ใบงาน 1.1 เรอ่ื ง สถานที่และสภาพแวดลอ้ มประกอบ อาชีพ 3.หอ้ งสมุด 10. การวดั ผลและประเมินผล เปา้ หมาย หลักฐานการเรียนรู้ วธิ วี ดั เคร่อื งมอื วดั ฯ ประเด็น/ การเรียนรู้ ช้นิ งาน/ภาระงาน -ความถูกต้อง เกณฑก์ ารให้คะแนน ความเข้าใจ 1.มเี น้ือหาสาระครบถว้ น 1.สามารถอธบิ าย ใบงาน และความ สมบูรณ์ 9-10 คะแนน ปัจจยั ทเี่ ก่ียวกับการ ถกู ต้อง 2.มเี นอ้ื หาสาระคอ่ นขา้ งครบถ้วน เลยี้ งสุกรได้ 7-8 คะแนน 3.มเี นื้อหาสาระไม่ครบถ้วนแต่ ภาพรวมของสาระท้ังหมดอยู่ใน เกณฑ์ปานกลาง 5-6คะแนน 4. มเี นื้อหาสาระไม่ครบถ้วนแต่ ภาพรวมของสาระทั้งหมดอยใู่ น เกณฑ์ต้องพอใช้ 4-3 คะแนน 5.มเี นอ้ื หาเพยี งเลก็ น้อยแตภ่ าพรวมของ สาระทง้ั หมดอยู่ในเกณฑ์ตอ้ งปรับปรงุ 2-1 คะแนน 6.ไมม่ ีเนื้อหาเลย 0 คะแนน
11. การบรู ณาการตามจดุ เนน้ ของโรงเรยี น (ตวั อยา่ ง) หลกั ปรัชญาเศรษฐกิจ ครู ผู้เรยี น พอเพยี ง 1. ความพอประมาณ สถานที่และสภาพแวดลอ้ มในการเลย้ี ง นักเรียนรู้จักใช้สถานที่และ สกุ รให้เหมาะสมในการเล้ียงสกุ ร สภาพแวดล้อมใหเ้ หมาะสมในการ เล้ยี งสุกร 2. ความมีเหตผุ ล คานึงถงึ สภาพแวดลอ้ มให้เหมาะสม นักเรยี นรู้ถึงสภาพแวดล้อมทเี่ หมาะสม ในการเล้ียงสกุ ร ในการเล้ียงสกุ ร 3. มีภูมิคุมกันในตวั ท่ดี ี ภูมปิ ัญญา : มีความรู้ รอบคอบ และ ภมู ิปัญญา : มีความรู้ รอบคอบ และ 4. เงอ่ื นไขความรู้ ระมดั ระวัง ระมดั ระวัง สร้างสรรค์ 5. เงอ่ื นไขคุณธรรม ความรอบรู้ เรือ่ ง การเลยี้ งสกุ ร ความรอบรู้ เรือ่ ง การเลยี้ งสุกร ท่ีเกย่ี วขอ้ งรอบด้าน ความรอบคอบที่ นาํ ความรู้เหล่าน้นั มาพจิ ารณาให้ สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน จะนาํ ความรเู้ หลา่ น้นั มาพจิ ารณาให้ เชอ่ื มโยงกัน สามารถประยุกต์ใช้ใน -พืชที่เป็นอาหารของสุกร เชอื่ มโยงกัน เพอ่ื ประกอบการวางแผน ชีวิตประจาํ วัน การดําเนนิ การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ใหก้ บั ผูเ้ รียน มคี วามตระหนักใน คุณธรรม มี ความซื่อสัตยส์ ุจริตและมีความอดทน มีความตระหนกั ใน คุณธรรม มี มคี วามเพยี ร ใชส้ ตปิ ัญญาในการ ความซ่อื สตั ย์สุจรติ และมีความอดทน ดําเนินชวี ิต มีความเพียร ใชส้ ติปัญญาในการ ดาํ เนนิ ชวี ติ ผู้เรยี น -นกั เรียนเรียนรเู้ กีย่ วกบั พชื ต่างๆที่ ครู นํามาเปน็ อาหารของการเล้ยี งสุกร -ใหน้ กั เรยี นศึกษาพืชท่สี ามารถนํา เปน็ อาหารของสุกร สงิ่ แวดล้อม ครู ผเู้ รยี น -พชื ที่เปน็ อาหารของสกุ รทําให้ -ใหน้ กั เรียนนาพชื ชนดิ ต่างๆที่ -นักเรียนได้เรียนรเู้ กี่ยวกบั อาหารของ เกิดสภาพแวดลอ้ มท่ีชุม่ ชืนรม่ สามารถนามาเป็นอาหารของการ สกุ รท่ีสามารถลดต้นทุนในการเลี้ยง เย็น เล้ียงสุกรเพ่ือลดต้นทุนในการเล้ียง สกุ รได้ สกุ ร ลงชื่อ..................................................ผู้สอน (นายรตั นวชั ร์ เลศิ นันทรัตน)์
ใบงานท่ี 3 เรอื่ งสถานที่และสภาพแวดลอ้ มประกอบอาชพี ใหน้ ักเรยี นตอบคําถามต่อไปน้ีให้ถูกต้องท่ีสดุ 1.ให้นกั เรยี นอธบิ ายถึงสภาพภมู อิ ากาศและภมู ิประเทศมาพอเขา้ ใจ ............................................................................................................................. ................................................................. ...................................................................................................................................... ........................................................ .............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................................. ............................................................................................................................. ................................................................. .............................................................................................................................................. ................................................ 2.น้ํามคี วามสาํ คญั ต่อการเล้ยี งสกุ รหรือไม่อยา่ งไรจงอธบิ าย ....................................................................................................................................................... ....................................... ............................................................................................ .................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................................. ............................................................................................................................. ................................................................. ............................................................................................................................................................... ............................... .................................................................................................... ......................................................................................... 3.ให้นกั เรียนบอกปจั จัยที่มคี วามสาคญั ต่อการเลยี้ งสุกรมีอะไรบ้าง ....................................................................................................... ....................................................................................... ............................................................................................................................. ................................................................. ............................................................................................................................. ................................................................. .......................................................................................................................................................................... .................... ............................................................................................................... ............................................................................... ............................................................................................................................. ................................................................ ชอื่ -สกลุ ..............................................................................................ช้นั ....................... .....เลขท.่ี ...........................
แผนการจัดการเรยี นรู้ หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี3เร่ืองปจั จัยทเ่ี กีย่ วกับการเลย้ี งสกุ รแผนจดั การเรยี นรทู้ ่3ี เรือ่ งโรคระบาดของสกุ ร รายวชิ า การ เลี้ยงสุกร รหสั วิชา ง.20206ระดับช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 1-3 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2562น้าหนกั เวลาเรยี น 1.00 (นน./นก.) เวลาเรยี น 2 ช่ัวโมง/สปั ดาห์ เวลาทีใ่ ชใ้ นการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ 4 ชั่วโมง ............................................................................................................................. ............................. 1. สาระสาคัญ (ความเขา้ ใจท่คี งทน) ผ้เู ล้ียงสกุ รจะต้องศึกษาให้แน่นอนเสียก่อนวา่ บรเิ วณพน้ื ท่ีท่จี ะต้ังฟาร์มเลย้ี งสุกรนน้ั เคยเปน็ พืน้ ที่ใน การเกิดโรคระบาดหรือไม่ โดยเฉพาะโรคอหวิ าห์สกุ ร เพอ่ื ทจี่ ะ้ ไดห้ ลีกเลีย่ ง หรือหาทางป้องกันไว้ล่วงหน้า 2. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วดั ชัน้ ป/ี ผลการเรียนร/ู้ เป้าหมายการเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ 3.สามารถอธิบายปจั จยั ทีเ่ กยี่ วกบั การเล้ียงสกุ รได้ 3. สาระการเรยี นรู้ 3.1 เนอื้ หาสาระหลัก : Knowledge (นกั เรยี นตอ้ งรู้อะไร) -โรคระบาดในการเลี้ยงสุกร 3.2 ทกั ษะ/กระบวนการ : Process (นักเรยี นสามารถปฏิบัติอะไรได)้ -โรคระบาดในการเล้ียงสกุ ร 3.3 คณุ ลกั ษณะทีพ่ ึงประสงค์ : Attitude (นกั เรียนควรแสดงพฤติกรรมการเรยี นอะไรบ้าง) 1.มีวนิ ัย 2.มคี วามรับผดิ ชอบ 3.ตรงต่อเวลา 4.มงุ่ ม่นั ในการเรยี น 4. สมรรถนะสาคัญของนักเรียน 4.2 ความสามารถในการคิด 4.3 ความสามารถในการแกป้ ัญหา 4.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5. คณุ ลักษณะของวิชา 1.ความรบั ผดิ ชอบ 2.ตรงต่อเวลา 6. คณุ ลกั ษณะที่พงึ ประสงค์ 1. ซื่อสตั ย์สจุ ริต 2. มีวนิ ัย 3. ใฝ่เรียนรู้ 4. มงุ่ มั่นในการทาํ งาน 7. ชน้ิ งาน/ภาระงาน : - ใบกจิ กรรมท่ี 1 เรอื่ งโรคระบาดในการเลีย้ งสุกร ชิ้นงาน -.ใบงาน ภาระงาน -ให้นักเรยี นไปศึกษาเพ่ิมเติมเก่ียวกบั โรคระบาดในการเลี้ยงสุกร
8. กจิ กรรมการเรียนรู้: เวลาทใ่ี ช้ 4 ช่วั โมง ชัว่ โมงที่ 1-2 (ความสามารถในการวิเคราะห์/ใฝเ่ รยี นร้/ู เทคนิคการสบื ค้น) - ขน้ั นาเขา้ สบู่ ทเรียน/ขัน้ ต้ังคาถาม 1. ทกั ทายนักเรียนกอ่ นเรียน 2. เชด็ ชอ่ื นักเรียนก่อนเข้าสู่บทเรียน ขัน้ สอน 1.ทําความเข้าใจและชแี้ จงสาระการเรยี นรใู้ หน้ ักเรยี นทราบในหน่วยการเรยี นรเู้ รอื่ งโรคระบาดในการเลีย้ งสุกร 2. ครอู ธบิ ายเกี่ยวกบั โรคระบาดในการเลี้ยงสกุ ร 3.ครใู หน้ ักเรียนจดบนั ทึกตามที่ครอู ธิบาย 4.ครมู อบหมายใหน้ กั เรียนไปศกึ ษาคน้ ควา้ เพ่มิ เติมเกีย่ วกบั เนือ้ หาที่เรียนมา ขัน้ สรปุ 5.ครแู ละนักเรยี นร่วมกันสรุปเนอ้ื หาท่ีเรยี นมา 6.ครูนดั หมายการเรยี นครงั้ ต่อไป ช่วั โมงท่ี 2 -4 (ความสามารถในการวเิ คราะห์/ใฝเ่ รยี นรู/้ ช่วยกันคดิ ช่วยกันเรยี น) - ข้นั นาเขา้ สบู่ ทเรยี น/ขั้นตั้งคาถาม 1. ทกั ทายนกั เรยี นก่อนเรยี น 2. เชด็ ชอื่ นกั เรียนกอ่ นเข้าสู่บทเรียน ข้ันสอน 1. ครูและนกั เรียนทบทวนบทเรยี นทผ่ี า่ นมา 2. ครูให้นักเรียนมาแลกเปลย่ี นเรียนร้เู นอ้ื หาท่ีครูมอบหมายในสัปดาหท์ ีผ่ า่ นมา 3. ครูอธบิ ายเพิ่มเตมิ เก่ยี วกบั การนาํ เสนอของนักเรียนแตล่ ะคนท่ีไปศึกษาคน้ ควา้ เพมิ่ เติมมา 4. ครูอธบิ ายเกย่ี วกับการขยายกจิ การในการเล้ยี งสกุ ร 5.ครใู ห้นักเรียนทําใบงานเร่ืองโรคระบาดในการเลยี้ งสกุ ร ข้นั สรุป จานวน สภาพการใชส้ อื่ 6.ครแู ละนักเรยี นรว่ มกันสรุปเนอื้ หาทเ่ี รียนมา 1 ชดุ ข้ันตรวจสอบความรเู้ ดิม 7.ครนู ดั หมายการเรียนครง้ั ต่อไป 30 ชุด ตรวจหาคําตอบ สบื คน้ ข้อมูล 9. สอื่ การเรยี นการสอน / แหล่งเรยี นรู้ รายการส่อื 1. ส่ือการเรียน 2. ใบงาน 1.1 เรื่อง โรคราะบาดในการเลีย้ งสุกร 3.หอ้ งสมดุ
10. การวัดผลและประเมินผล เปา้ หมาย หลักฐานการเรยี นรู้ วิธวี ัด เครอ่ื งมอื วัดฯ ประเดน็ / การเรียนรู้ ชนิ้ งาน/ภาระงาน -ความถูกต้อง เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ความเข้าใจ 1.มีเน้อื หาสาระครบถว้ น 1.สามารถอธบิ าย ใบงาน และความ สมบรู ณ์ 9-10 คะแนน ปัจจัยทเี่ กย่ี วกบั การ ถกู ต้อง 2.มเี น้อื หาสาระคอ่ นข้างครบถ้วน เลยี้ งสกุ รได้ 7-8 คะแนน 3.มีเน้อื หาสาระไม่ครบถ้วนแต่ ภาพรวมของสาระท้ังหมดอยู่ใน เกณฑป์ านกลาง 5-6คะแนน 4. มเี นอ้ื หาสาระไม่ครบถว้ นแต่ ภาพรวมของสาระท้ังหมดอยใู่ น เกณฑ์ตอ้ งพอใช้ 4-3 คะแนน 5.มเี นื้อหาเพยี งเล็กน้อยแตภ่ าพรวมของ สาระทงั้ หมดอยู่ในเกณฑ์ต้องปรับปรุง 2-1 คะแนน 6.ไมม่ เี นื้อหาเลย 0 คะแนน
11. การบูรณาการตามจุดเนน้ ของโรงเรยี น (ตวั อย่าง) หลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ ครู ผูเ้ รียน พอเพียง นกเรียนรูว้ ิธกี ารปอ้ งกนั การเกิดโรค ระบาดในสกุ รได้ 1. ความพอประมาณ รจู้ กั วิธีการป้องการเกดิ โรคระบาด นักเรยี นรูจ้ ักวิธีการใช้การเกิดโรค ของสุกร ระบาดในสุกร 2. ความมีเหตุผล ร้จู ักใชว้ ัคซนี ป้องกนั การเกิดโรค ระบาดได้ 3. มีภมู คิ ุมกนั ในตัวท่ีดี ภมู ิปญั ญา : มคี วามรู้ รอบคอบ และ ภมู ิปญั ญา : มคี วามรู้ รอบคอบ และ 4. เงอ่ื นไขความรู้ ระมัดระวัง ระมดั ระวัง สร้างสรรค์ 5. เงอ่ื นไขคุณธรรม ความรอบรู้ เรอ่ื ง การเลย้ี งสุกร ความรอบรู้ เรอื่ ง การเลย้ี งสกุ ร สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน ที่เกยี่ วข้องรอบดา้ น ความรอบคอบที่ นาํ ความรู้เหล่านนั้ มาพจิ ารณาให้ จะนําความร้เู หลา่ น้ันมาพิจารณาให้ เชอ่ื มโยงกนั สามารถประยุกต์ใชใ้ น เช่อื มโยงกนั เพอื่ ประกอบการวางแผน ชีวติ ประจาํ วนั การดาํ เนนิ การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ให้กับผูเ้ รียน มีความตระหนักใน คุณธรรม มี ความซอื่ สัตยส์ ุจริตและมีความอดทน มคี วามตระหนักใน คุณธรรม มี มคี วามเพยี ร ใชส้ ติปัญญาในการ ความซ่อื สัตยส์ ุจรติ และมีความอดทน ดําเนนิ ชีวิต มคี วามเพยี ร ใช้สติปัญญาในการ ดาํ เนินชวี ิต ผูเ้ รยี น ครู สง่ิ แวดล้อม ครู ผู้เรียน ลงช่ือ..................................................ผสู้ อน (นายรตั นวชั ร์ เลิศนันทรัตน์)
ใบงานที่4 เรื่องโรคระบาดในสกุ ร ใหน้ กั เรยี นเขียนแผนผังมโนทัศน์ในการปอ้ งกนั มิใหเ้ กิดโรคระบาดในฟารม์ การเลี้ยงสุกร
ใบความรู้ บทท่ี 2 เรื่องปจั จัยทมี่ ีผลต่อการเลย้ี งสกุ ร ปัจจุบนั การเลี้ยงสกุ รในประเทศไทยได้มกี ารพฒั นาการดา้ นพนั ธ์อุ าหารสัตว์ การจัดการและการสขุ าภบิ าล จนทดั เทียม กับต่างประเทศ การเล้ียงสกุ รภายในประเทศ แม้จะมฟี ารม์ ใหญ่ ๆ แตก่ ย็ ังมเี กษตรกรรายย่อยท่ีทําการเลย้ี งสกุ รรายละ 1-20 ตวั ตามหมูบ่ ้านอย่เู ปน็ จาํ นวนมาก เกตรกรรายยอ่ ยดงั กล่าวจาํ เป็นจะต้องได้รับความรใู้ นดา้ นการเลี้ยงสุกรอย่าง ถกู ต้อง เพ่ือจะได้นําไปพัฒนาการเลี้ยงสกุ รอย่างถูกตอ้ ง เพ่ือจะได้นําไปพฒั นาการเลีย้ งสุกรของตนได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพ ซึง่ จะทาํ รายได้ใหก้ บั ครอบครวั และยังจะได้ประโยชนใ์ นการใช้ทรัพยากรใหไ้ ด้ผลดดี ้วย ปัจจัยท่ีจะทาให้การเลี้ยงสุกรประสบความสาเรจ็ ประกอบด้วย สุกรพนั ธุ์ดี อาหารดี โรงเรอื นดี การจดั การเล้ยี งดูดี การป้องกันโรคดี เหตผุ ลในการเลย้ี งสุกร - สกุ รสามารถเลี้ยงไดใ้ นจํานวนน้อย เป็นฟาร์มเล็ก ๆ - ในการเล้ยี งสุกรต้องการพ้นื ที่เพยี งเลก็ น้อย - การเล้ียงสกุ รใช้แรงงานน้อย เล้ียงงา่ ย - ใชเ้ ศษอาหารและของเหลอื ต่าง ๆ เปน็ อาหารสุกรได้ - มูลสุกรใชเ้ ปน็ ปุ๋ยอยา่ งดี และใช้กับบ่อเลย้ี งปลา เพ่ือเพ่ิมผลผลติ ของการเล้ยี งปลา - สกุ รให้ลูกดก ขยายพันธ์ุได้เรว็ - การเล้ยี งสกุ รเปน็ กิจการท่ใี ห้ผลกําไรดี สามารถคนื ทนุ ได้ภายในเวลา 6 เดอื น การเติบโตของสุกรขนุ ตารางแสดงนา้ หนัก อตั ราการเจริญเตบิ โต ปรมิ าณอาหารของสกุ รขุน อายุของสุกร (วัน) นํ้าหนกั สุกร (กโิ ลกรัม) อัตราการเจรญิ เติบโต (กรมั /วัน) ประสิทธิภาพ การใชอ้ าหารสมทบ อาหารที่กนิ /ตัว/วนั (กิโลกรัม) ปรมิ าณอาหารสมทบ (กิโลกรัม) 30 6.5 150 - 0.30 0.4 42 9.0 330 1.5 0.50 5.0 60 15.0 500 1.6 1.0 15.0 70 22.0 600 1.8 1.4 27.0 82 30.0 650 2.2 1.5 45.0 94 40.0 700 2.3 2.0 67.0 106 50.0 720 2.3 2.2 90.0 120 60.0 750 2.4 2.4 125 133 70.0 780 2.5 2.6 155 145 80.0 800 2.6 2.8 190 158 90.0 800 30. 3.0 225 170 100.0 800 3.0 3.0 260 ที่มา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การเลย้ี งดูสกุ ร การจดั การพอ่ สกุ ร พ่อสกุ รท่ีจะนํามาใชเ้ ป็นพ่อพันธ์ุ ควรมอี ายุ 8 เดอื นขึ้นไป ให้อาหารโปรตนี 16 % ให้กนิ อาหารวนั ละ 2 กิโลกรมั ข้ึนอยู่กบั สภาพของพอ่ สุกรดว้ ยวา่ ไม่อว้ นและผอมเกินไป การจัดการแม่สกุ ร ใหอ้ าหารโปรตนี 16% ให้กินอาหารวันละ 2 กิโลกรมั แม่สกุ รสาวควรมีอายุ 7-8 เดอื น น้าํ หนกั 100-120 กิโลกรัม จึงนํามาผสมพันธ์ุ (เป็นสดั ครง้ั ที่ 2-3) ผสมพนั ธ์ุ 2 ครง้ั (เชา้ -เช้า , เย็น-เย็น) เม่ือผสมพันธ์ุแล้วควรลดอาหารให้
เหลือ 1.5-2 กโิ ลกรมั เม่ือตั้งท้องได้ 90-108 วัน ควรเพ่ิมอาหารเป็น 2-2.5 กิโลกรัม และเมื่อตงั้ ท้องได้ 108 วันคลอดลกู ให้ลดอาหารลงเหลือ 1-1.5 กิโลกรัม (ปกตสิ ุกรจะตง้ั ท้องประมาณ 114 วัน) แม่สกุ รควรอยใู่ นสภาพปานกลาง คือ ไม่ อ้วน หรอื ผอมเกินไป แม่สุกรจะใหล้ กู ดีทสี่ ุดในครอกที่ 3-5 และควรคดั แม่สุกรออกในครอกท่ี 7 หรอื 8 (แม่สกุ รใหล้ กู เกนิ กว่าครอก ที่ 7 ข้ึนไป มักจะใหจ้ ํานวนลูกสุกรแรกคลอด มีชวี ิต และจาํ นวนสุกรหยา่ นมลดลง) การจัดการแม่สกุ รก่อนคลอด ระวังอยา่ ใหแ้ ม่สกุ รเจบ็ ป่วยหรอื ท้องผกู ควรจดั การ ดงั นี้ - แมส่ กุ รก่อนคลอด 7 วนั ให้อาบน้ําด้วยสบู่ทาํ ความสะอาดแม่สุกร โดยเฉพาะราวนม บ้ันท้าย อวัยวะเพศ แลว้ พ่นอาบด้วยนาํ้ ยาฆ่าเชอ้ื โรค (ละลายนาํ้ ตามอัตราสว่ น) และพน่ ยาพยาธภิ ายนอก แลว้ นําเข้าคอกคลอด - ก่อนแม่สุกรคลอด 4 วนั ควรลดอาหารลงเหลือ 1-1.5 กิโลกรมั /วนั ควรผสมรําละเอยี ดเพ่ิมอีก 20 % ใน อาหาร โดยให้แมส่ ุกรกนิ 4-6 วันก่อนคลอด หรือผสมแม็กนเี ซียมซัลเฟต (ดเี กลือ) ประมาณ 10 กรัม โดยคลุกอาหารให้ ทวั่ ใหแ้ ม่สุกรกินวันละครง้ั 1-3 วนั ก่อนคลอด เพ่ือป้องกนั แม่สกุ รทอ้ งผกู ช่วยลดปญั หาแม่สุกรคลอดยาก - ดูแลแมส่ ุกรอยา่ งใกลช้ ดิ อยา่ ให้แมส่ ุกรป่วย เชน่ สังเกตรางอาหารว่าแมส่ ุกรกินอาหารหมดหรือไม่ ถ่าย อจุ จาระเป็นเม็ดกระสนุ ทอ้ งเสยี หอบแรง เปน็ ตน้ ถา้ แม่สุกรป่วยก็ควรรักษาตามอาการ - คอกคลอด ก่อนนาํ แมส่ กุ รเขา้ คอกคลอด คอกคลอดต้องสะอาด ราดหรือพ่นด้วยนํ้ายาฆ่าเช้อื โรค และโรยปนู ขาว ตอ้ งมีอาการพักคอกไว้อยา่ งน้อย 7 วนั ซ่ึงจะเปน็ การตัดวงจรของเช้ือโรค การจดั การลูกสกุ รเมือ่ คลอด แมส่ กุ รก่อนคลอด 24 ชว่ั โมง จะมนี ้ํานมไหลออกมาจากเต้านม ลูกสกุ รแรกคลอดควรดแู ลปฏบิ ตั ิ ดังนี้ - ใชผ้ า้ ท่ีสะอาดหรือฟางเชด็ ตวั ลูกสุกรให้แหง้ ควักเอานํา้ เมือกในปากและในจมูกออก - การตัดสายสะดือ ใชด้ า้ ยผกู สายสะดอื ใหห้ า่ งจากพนื้ ท้องประมาณ 1-2 นวิ้ ตดั สายสะดอื ด้วยกรรไกร ทารอย แผลด้วยทงิ เจอร์ไอโอดีนเพื่อฆ่าเชอ้ื โรค - ตดั เขี้ยวออกให้หมด (เขย้ี วมี 8 ซี่ ข้างบน 4 ซ่ี ข้างลา่ ง 4 ซี่ ) เพื่อป้องกนั ลกู สุกรกัดเตา้ นมแม่สุกรเปน็ แผล ในขณะแยง่ ดูดนม - รีบนําลกู สกุ รกินนมนาํ้ เหลืองจากเต้านมแมส่ ุกรในนมน้าํ เหลืองจะมสี ารอาหาร และภูมคิ ุ้มกนั โรค ปกตนิ ม น้ําเหลอื งจะมีอยปู่ ระมาณ 36 ชวั่ โมง หลังคลอด จากนั้นจะเปล่ียนเปน็ นาํ้ นมธรรมดา การจัดการลกู สกุ รแรกคลอด-หยา่ นม - ลูกสกุ รในระยะ 15 วันแรก ตอ้ งการความอบอ่นุ - ลกู สกุ รอายุ 1-3 วนั ให้ฉีดธาตเุ หล็กเข้ากลา้ มเนื้อตวั ละ 2 ซ.ี ซี เพ่ือป้องกนั โรคโลหติ จาง - ลกู สุกรอายุ 10 วนั เริม่ ให้อาหารสุกรนมหรืออาหารสกุ รออ่ น (อาหารเลยี ราง) เพอื่ ฝกึ ใหล้ ูกสุกรกนิ อาหาร โดย ให้กินทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง - ลูกสกุ รทั่วไปหยา่ นมเม่ืออายุ 28 วัน (4 สปั ดาห)์ การจัดการลกู สกุ รเมื่อหย่านม - หยา่ นมลกู สุกรเม่ืออายุ 28 วัน น้าํ หนักประมาณ 6 กิโลกรมั ควรยา้ ยแม่สกุ รออกไปก่อนให้ลูกสุกรอยใู่ นคอก เดมิ สัก 3-5 วนั แลว้ จงึ ยา้ ยลกู ออกไปคอกอนบุ าล เพื่อป้องกนั ลกู สุกรเครียด และควรใชว้ ิตามินหรอื ยาปฏิชีวนะละลาย นาํ้ ใหล้ ูกสกุ รกนิ หลงั จากหย่านมประมาณ 3-5 วัน - ลกู สกุ รอายุ 6 สัปดาห์ ใหฉ้ ดี วัคซีนปอ้ งกันโรคอหิวาตส์ กุ รและฉีดวคั ซนี ซํา้ ทุก ๆ 6 เดือน ในสกุ รพ่อแม่พนั ธ์ุ (วัคซีนมคี วามคุ้มโรคไดป้ ระมาณ 6-12 เดือน) - ลกู สุกรอายุ 7 สปั ดาห์ ใหฉ้ ีดวัคซนี ปอ้ งกนั โรคปากและเท้าเปื่อย่ และฉีดวคั ซนี ซ้ําทกุ ๆ 4-6 เดอื น ในสกุ รพ่อ แมพ่ นั ธุ์ (วัคซนี มคี วามคุ้มโรคได้ประมาณ 4-6 เดือน) - ลูกสุกรอายุ 2 เดือนครึง่ ควรใหย้ าถ่ายพยาธิ และให้ซ้าํ หลกั จากให้คร้ังแรก 21 วัน ในสกุ รพ่อแมพ่ ันธุ์ควรถ่าย พยาธิทุก ๆ 6 เดือน
การจัดการแมส่ กุ รหลงั คลอด - ฉีดยาปฏิชีวนะ ใหแ้ มส่ ุกรหลังคลอดทนั ทีตดิ ต่อกันเป็นเวลา 1-2 วัน เพอื่ ป้องกันมดลูกอักเสบ (ยาเพนสเตร็ป, แอมพซิ ิลนิ , เทอร์รามยั ซนิ เป็นต้น - หลงั คลอด 1-3 วนั ควรใหอ้ าหารแม่สุกรนอ้ ยลง(วนั ละ 1-2 กโิ ลกรัม) และเพ่ิมขนึ้ เร่ือย ๆ จนให้อาหารเต็มที่ เม่ือหลงั คลอด 14 วัน (ให้อาหารวนั ละ 4-6 กิโลกรมั ) จนกระท่ังแมส่ กุ รหยา่ นม ระวงั อย่าใหแ้ มส่ ุกรผอมเม่ือหย่านม ซึ่ง จะมผี ลทาํ ให้แมส่ ุกรไม่สมบูรณพ์ ันธุ์ และโทรมมาก แม่สกุ รหลังหยา่ นมควรขังรวมกนั คอกละประมาณ 2-5 ตวั (ขนาด ใกล้เคยี งกัน) เพื่อให้เกดิ ความเครียดจะเป็นสดั ง่ายและจะเปน็ สดั ภายใน 3-10 วนั ถา้ แม่สกุ รเปน็ สดั ทาํ ให้การผสมพนั ธไ์ุ ด้ เลย - ปญั หาแม่สกุ รไมเ่ ป็นสดั สุกรสาวหรอื เม่สกุ รหลงั จากหยา่ นมแล้วไม่เปน็ สดั หรอื เป็นสัดเงียบ จะพบเห็นได้บ่อย ๆ มวี ิธีแกไ้ ข ดงั นี้ 1. ต้อนแมส่ ุกรมาขังรวมกนั เพื่อให้เกดิ ความเครยี ด 2. เลย้ี งพ่อสุกรอยู่ใกล้ ๆ หรอื ให้พ่อสุกรเข้ามาสัมผสั แม่สกุ รบ้าง การผสมพนั ธ์ุเพ่ือใหไ้ ดล้ ูกดก 1. คดั เลือกสายแม่พนั ธ์ุ เชน่ ควรใชแ้ ม่พันธ์ุ เช่น ควรใชแ้ ม่พนั ธุล์ าร์จไวท์ แม่พนั ธุ์แลนด์เรซ หรือลูกผสม แลนด์เรซ-ลาร์จไวท์ 2. ผสมเมื่อแมส่ ุกรเป็นสดั เต็มท่ี ซึง่ จะทาํ ให้ไขต่ กมากจะอยู่ช่วงวันท่ี 2-3 ของการะเป็นสัด ผสม 2 ครงั้ หา่ ง กนั 24 ชวี่ โมง (เชา้ -เช้า , เย็น-เยน็ ) 3. ถา้ มพี ่อสุกรหลายตวั และผลิตสุกรขุนเป็นการค้าควรใชพ้ ่อสกุ ร 4. แมส่ กุ รหลงั จากหย่านมแลว้ 1 วนั ควรเพิ่มอาหารใหจ้ นกระท่ังเปน็ สัด โดยให้อาหารวนั ละ 3-4 กโิ ลกรมั (ไม่เกิน 15 วนั ) เพื่อทาํ ให้ไขต่ กมากข้ึน และเมอื่ ผสมพนั ธุ์แลว้ ใหล้ ดอาหารแมส่ กุ รลงเหลอื วันละ 1.5-2 กิโลกรัม ตามปกติ การให้อาหารสกุ ร สกุ รเป็นสตั ว์กระเพาะเดยี่ ว ไมส่ ามารถย่อยอาหารที่มีเยือ่ ใยมากได้ดเี หมือนสัตว์กระเพาะรวม (โค กระบือ) ระบบการย่อยอาหารทมี่ ีหน้าทย่ี อ่ ยอาหารทีส่ ุกรกนิ เขา้ ไปใหแ้ ตกตวั จนมีขนาดเล็กลง เพื่อสามารถดูดซมึ ไปใช้เสรมิ สร้าง ส่วนตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย สกุ รมคี วามต้องการโภชนะนัน้ หมายถงึ สารอาหารทม่ี ปี ระโยชน์ต่อรา่ งกายประกอบดว้ ย 6 ชนดิ - นาํ้ ใหน้ ้ําสะอาดแก่สกุ รตลอดเวลา ปกตสิ ุกรจะกินนา้ํ ประมาณ 5-20 ลติ รตอ่ วนั ตามขนาดของสุกร - โปรตนี มคี วามสาํ คญั ต่อการเจรญิ เตบิ โตของสุกร ชว่ ยสรา้ งเนือ้ เย่ือและเป็นส่วนประกอบหลักที่สาํ คญั ของ รา่ งกายสัตว์ โปรตีนประกอบดว้ ย กรดอะมิโนอยปู่ ระมาณ 30 ชนดิ กรดอะมิโนที่จําเป็น 10 ชนิด ไดแ้ ก่ ไลซีน เมทไธ โอนนี ทริพโตแฟน อาร์ยนิ ิน ฮสิ ทดิ นี ไอโซลซู ีน ลูซนี อาลานีน ทรโี อนนี และวาลนี - คาร์โบไฮเดรท เป็นอาหารท่ใี ห้พลังงานท่เี รยี กง่าย ๆ ว่าอาหารแป้งและนํา้ ตาล รวมไปถงึ เยื่อใยทเี่ ป็น สว่ นประกอบในวัตถดุ บิ อาหารสตั ว์ - ไขมนั เป็นอาหารที่ใหพ้ ลังงาน เชน่ เดียวกบั คารโ์ บไฮเดรด แต่ให้พลังงาน - แร่ธาตุ แร่ธาตุเป็นสิ่งจาํ เปน็ มากท่ีสุด สําหรับการทาํ งานของรา่ งกาย มหี นา้ ทีเ่ สริมสรา้ งกระดูก และต้านโรค ในรา่ งกายสกุ รมีแร่ธาตุ มากกว่า 40 ชนิด ส่วนท่จี าํ เปน็ และสําคัญตอ่ รา่ งกาย ไดแ้ ก่ แคลเซยี ม ฟอสฟอรสั โซเดียม
คลอรนี เหล็ก ทองแดง ไอโอดีน กาํ มะถัน สังกะสี แมงกานสี โคบอลท์ โปตสั เซยี ม แมกนีเซียม และซลิ ิเนยี ม - ไวตามนิ เปน็ สารประกอบอนิ ทรยี ์ มีความจาํ เป็นต่อการเจรญิ เติบโตและการดํารงชีวิต ไวตามินมมี ากถึง 50 ชนิด ส่วนท่จี าํ เปน็ ในร่างกายสัตว์ ได้แก่ ไวตามิน เอ ดี อี บี 2 (ไรโบฟลาวิน) ไนอาซนี กรดแพนโทธนิ ิค โคลนี ไบโอตนิ และบี 12 เป็นตน้ วตั ถดุ บิ อาหารสตั ว์ 1.อาหารประเภทโปรตีน ได้มาจากพชื และสตั ว์ มรี ายละเอยี ด ดงั นี้ 1.1 อาหารโปรตีนทไ่ี ด้จากพชื ไดแ้ ก่ กากถว่ั เหลือง เป็นอาหารโปรตนี จากพชื ทดี่ ที ่ีสุด ได้มาจากถว่ั เหลอื งทีสกดั น้ํามันออก มโี ปรตนี อยรู่ ะหวา่ ง 40- 44 % ใชเ้ ป็นอาหารสกุ รในรูปของกากถั่วเหลอื งอดั น้ํามัน (แผน่ เคก็ ) โปรตนี จากกากถวั่ เหลืองมกี รดอะมิโนท่ีจาํ เปน็ สมดุลย์ เหมาะในการใชเ้ ล้ียงสกุ รทกุ ระยะการเจรญิ เติบโตในเมลด็ ถ่วั เหลืองดบิ ไมเ่ หมาะแก่การนาํ มาใช้เลยี้ งไก่ และสุกร ทั้งนเ้ี พราะเมลด็ ถัว่ เหลอื งดบิ มสี ารพษิ ชนดิ ทีเ่ รียกว่า \" ตัวยบั ยงั้ ทรปิ ซนิ \" (Trypsin inhibitor) อยดู่ ้วย สารพษิ น้ีจะมผี ล ไปขัดขวางการย่อยโปรตีนในทางเดินอาหารถั่วเหลอื งทเ่ี หมาะสําหรบั ใช้ผสมอาหารเลี้ยงสกุ รนม อาหารครพี ฟดี อาหาร สุกรอ่อน อาหารสุกรเล็ก ได้แก่ ถว่ั เหลอื งอบไขมันสงู (ถ่วั เหลอื งซึ่งผา่ นขบวนการอบให้สกุ โดยไมไ่ ดส้ กดั น้าํ มนั ออกมี โปรตีน 38 % ) ส่วนสุกรเลก็ และสกุ รขนาดอื่นท่ัวไปนยิ มใชก้ ากถว่ั เหลืองสกัดนํา้ มันดว้ ยสารเคมี กากถั่วลสิ ง เปน็ ผลิตผลพลอยไดจ้ ากการสกดั นํ้ามันออก มโี ปรตนี อยู่ประมาณ 40% กากใช้กาถวั่ ลิสงอย่างเดียว ในอาหารจะทาํ ให้สุกรเจริญเติบโตชา้ เนื่องจากความไมส่ มดุลยข์ องกรดอะมิโน ดงั นั้น จึงควรใชก้ ากถัว่ ลิสง ถ้ามีความชื้น สูงจะเสยี เร็วเนื่องจากถ่ัวลสิ งเป็นพืชทมี่ นี ้าํ มันมาก จงึ เก็บไว้นานไม่ได้ จะเกดิ อาการเหมน็ หนื และมรี าเกดิ ได้ง่าย ซึ่งราจะ สรา้ งสารพษิ \"อะฟลาท็อกซนิ \" ซ่งึ เป็นอันตรายต่อสตั ว์ ดังนน้ั ควรจะเลอื กใชแ้ ต่กากถ่วั ลิสงทใี่ หม่ มีไขมนั ตาํ่ และควรเก็บ ไวใ้ นทไี่ มร่ อ้ นและชนื้ กากเมล็ดฝ้าย เป็นผลผลิตพลอยได้จากการสกัดนํ้ามนั ออกจากเมลด็ ฝา้ ย จะมีโปรตีนประมาณ 40-45 เปอรเ์ ซน็ ต์ การเมลด็ ฝ้ายมสี ารพษิ ที่มีช่ือวา่ \"กอ๊ สซปิ อล\" ซ่ึงเป็นสารทีล่ ะลายในน้ํามัน จึงเป็นเหตุให้การใช้อย่ใู นขีดจํากดั ไม่ควรเกิน 10 % การใชใ้ นระดบั สงู จะทําให้การเจริญเติบโตช้าลง นอกจากน้ีการใช้กากเมลด็ ฝ้ายควรจะเติมกรดอะมิ โนไลซีนสังเคราะห์ลงไปด้วย กากมะพร้าว เปน็ วัตถุพลอยไดจ้ ากโรงงานสกดั นาํ้ มนั มะพรา้ ว ถา้ อดั น้ํามันออกใหม่ ๆ จะมกี ล่นิ หอมน่ากิน มี โปรตีนประมาณ 20% ถ้าใชก้ ากมะพร้าวในระดับสูงเลีย้ งสุกรระยะการเจรญิ เติบโตและขนุ จะทาํ ให้การเจรญิ เตบิ โตของ สกุ รช้า ดังน้นั ควรจะใช้ในระดับ 10-15 % กากเมล็ดน่นุ เม่อื สกัดน้าํ มนั ออกแลว้ จะมีโปรตีนประมาณ 20% เหมาะท่ีจะใช้เลย้ี งสกุ รรนุ่ มากกว่าสุกรระยะอนื่ ในปรมิ าณไมเ่ กิน 15% กากเมล็ดนนุ่ จะทาํ ให้ไขมนั จบั แข็งตามอวัยวะภายในร่างกายต่าง ๆ เช่น ลําไส้ เป็นตน้ 1.2 อาหารโปรตีนทีไ่ ด้จากสัตว์ ได้แก่ ปลาป่น เปน็ อาหารโปรตีนทไ่ี ดจ้ ากสตั ว์ท่ีดีทีส่ ดุ มีโปรตนี อยรู่ ะหวา่ ง 50-60 % คณุ ภาพของปลาป่นข้ึนอยูก่ ับ ชนิดของปลาท่ีใช้ทําปลาป่น และสงิ่ อนื่ ปะปนมากน้อยแค่ไหน รวมทัง้ กรรมวธิ กี ารผลิตปลาปน่ เช่น ถา้ ให้ความร้อนสูง ทาํ ให้คณุ คา่ ทางอาหารตํา่ ลง ปริมาณกรดอะมโิ นในปลาปน่ จะต่ําลงเร่ือย ๆ ปลาปน่ มคี ณุ คา่ ทางอาหารสงุ และใชเ้ ลย้ี งสกุ ร ตลอดระยะถึงสง่ ตลอดระยะถึงส่งตลาดจะทําใหเ้ น้ือมกี ล่นิ คาวจดั ดงั น้นั จงึ ควรใชใ้ นระหว่าง 3-15 % เลือดแห้ง ได้จากโรงฆา่ สัตว์ มโี ปรตีนคอ่ นข้างสงู 80% เปน็ โปรตีนที่ย่อยยาก ทําให้การเจริญเติบโตของสุกร ตํ่าลง ควรใชร้ ่วมกับอาหารโปรตนี ชนิดอื่น ๆ ไม่ควรเกนิ 5% หางนมผง มีโปรตนี ปริมาณ 30-40 % และเป็นโปรตนี ที่ย่อยงา่ ยแต่มีราคาแพง จึงนิยมใช้กับอาหารลกู สุกร เท่านน้ั ขนไก่ปน่ เป็นอาหารท่ไี ด้จากผลติ ผลพลอยไดจ้ ากโรงงานฆ่าไก่ มโี ปรตีนค่อนข้างสูงถงึ 85% แต่มีคณุ คา่ ทาง อาหารเพียงเล็กน้อย เน่ืองจากเปน็ โปรตีนทไ่ี มส่ ามารถย่อยได้
2. อาหารประเภทคารโ์ บไฮเดรท(แป้งและนา้ ตาลให้พลงั งาน) ปลายข้าว ปลายขา้ วและรําละเอียดเป็นผลิตผลพลอยได้จากการสีข้าว ปลายขา้ วมโี ปรตีน 8% เปน็ วตั ถุดิบ อาหารท่ีเหมาะในการเลี้ยงสตั ว์ ท้งั นปี้ ลายขา้ วประกอบไปด้วยแป้งทย่ี ่อยง่ายเปน็ สว่ นใหญ่ มีไขมันและเย่ือใยระดบั ดาํ่ (1.0 %) เก็บไว้ได้นาน ตรวจสอบการปลอมปนได้งา่ ย ปลายข้าวที่ใชเ้ ลีย้ งสุกร ควรเป็นปลายขา้ วเม็ดเล็กปลายข้าวทม่ี ี ขนาดใหญค่ วรจะตอ้ งบดใหม้ ีขนาดเลก็ ลงก่อน แลว้ จึงค่อยผสมอาหาร นอกจากนยี้ ังมปี ลายขา้ วนงึ่ (ข้าวเปลือกที่เปยี กนํา้ หรอื มคี วามชื้นสงู นาํ มาอบเอาความชน้ื ออก สีเอาเปลอื กออก ปลายขา้ วนงึ่ มีสีเหลืองออ่ นหรอื สขี าวปนเหลอื ง) นํามา เล้ียงสกุ รทดแทนปลายข้าวได้ แต่ต้องพิจารณาเร่ืองคณุ ภาพดว้ ย เช่น การปนของเมลด็ ข้าวสีดํา ซ่ึงเมลด็ ข้าวสีดํามี คณุ ภาพไมด่ ี ราํ ละเอียด มีโปรตีนประมาณ 12% ราํ ละเอียดมีไขมนั เปน็ สว่ นประกอบอยใู่ นระดบั ค่อนข้างสูง และเปน็ ไขมันที่ หืนได้ง่ายในสภาวะท่ีอากาศร้อน หากเก็บไว้เกิน 60 วนั ไม่เหมาะท่ีจะนํามาใช้เลย้ี งสตั ว์ รําละเอียดมกั จะมกี ารปลอมปน ดว้ ยแกลบป่น ละอองข้าวหรือดินขาวปน่ ทาํ ให้คณุ คา่ ทางอาหารตํ่าลง ถา้ เปน็ ราํ ขา้ วนาปรงั ควรระวังเร่อื งยาฆ่าแมลงท่ี ปะปนมาในระดับสูง ราํ สกัดนํ้ามันได้จากการนาํ เอารําละเอียดไปสกัดเอาไขมนั ออกใช้ทดแทนราํ ละเอยี ดได้ดีแตต่ ้องระวงั เรอื่ งระดับพลังงาน เพราะราํ สกัดน้าํ มันมีค่าพลงั งานใช้ประโยชนไ์ ดต้ าํ่ กวา่ ราํ ละเอียด รําละเอียดมเี ยอ่ื ใยเป็น สว่ นประกอบในระดับสงู จงึ มีลกั ษณะฟ่าม ไม่ควรใช้เกนิ 30% ในสตู รอาหารราํ ละเอยี ดมคี ณุ สมบตั ิเปน็ ยาระบาย โดยเฉพาะสตู รอาหารแมส่ กุ รอ้มุ ท้องและเลยี้ งลูก จะช่วยลดปัญหาแมส่ กุ รท้องผูก ขา้ วโพด มีโปรตีนประมาณ 8% และมเี ยื่อใยอยใู่ นระดับตาํ่ เป็นวตั ถดุ ิบอาหารที่เหมาะในการผสมเป็นอาหาร สุกร ขา้ วโพดที่ดีควรเป็นขา้ วโพดท่บี ดอยา่ งละเอียด ไมม่ ีมอดกนิ ไม่มสี ่ิงปลอมปน และท่ีสําคญั ทีส่ ดุ จะต้องไม่ขึ้นรา (สาร พิษอะฟลาท็อกซนิ ) และไมม่ ียาฆ่าแมลงปลอมปน ข้าวโพดสามารถใชท้ ดแทนปลายขา้ วได้ ข้อเสยี ในการใชข้ ้าวโพดคือ มี เชือ้ ราและยาฆา่ แมลง เนื่องจากการเก็บเก่ียว และการเกบ็ รักษาไมด่ ีพอ ขา้ วฟา่ ง มีโปรตนี ประมาณ 11% ขา้ วฟา่ งโดยท่วั ไปจะมสี ารแทนนิน ซึ่งมรี สฝาดอยใู่ นระดบั สูง สารแทนนินมีผล ทาํ ใหก้ ารย่อยได้ของโปรตนี และพลงั งานลดลง ดงั น้นั จึงเป็นข้อจาํ กัดในการใชข้ า้ วฟา่ ง มันสําปะหลัง ใช้เลี้ยงสัตว์ในรปู มันสําปะหลังตากแห้งท่ีเรียกวา่ มันเส้น มีโปรตีนประมาณ 2% มีแปง้ มาก มีเย่ือ ใยประมาณ 4% ข้อเสียของการใช้มนั เส้น คือ จะมีลําต้น เหงา้ และดนิ ทรายปนมาด้วย ดงั นั้นจึงควรเลือกใชม้ นั เส้นที่มี คุณภาพดี เกรดใช้เล้ียงสุกร ส่วนหัวมนั สาํ ปะหลังสดไมค่ วรนํามาใชเ้ ปน็ อาหารสตั ว์ เพราะมีการพิษกรดไฮโดรไซยานิคใน ระดับสูงมาก และเปน็ อนั ตรายต่อสตั ว์ได้ วิธีการลดสารพิษทาํ ได้ 2 วธิ ี คือ ก. ทาํ เป็นมนั เส้น โดยหั่นเป็นช้ินเลก็ ๆ ผงึ่ แดดอยา่ งนอ้ ย 3 แดด มนั เส้นทม่ี คี ุณภาพดี สามารถใช้ทดแทนปลาย ข้าวได้ ในกรณปี ลายขา้ วราคาแพง และมันเสน้ ราคาถกู (ปลายข้าว 1 กโิ ลกรมั เท่ากบั มันเส้น 0.85 กโิ ลกรัม + กากถั่ว เหลอื ง 0.15 กิโลกรมั ) ข. ทาํ เปน็ มันหมัก หมักในหลมุ หรือถุงพลาสติก ควรหมกั อย่างนอ้ ย 1 เดอื น ซึ่งจะลดปริมาณสารพษิ กรดไฮโดร ไซยานคิ ใหอ้ ยูใ่ นระดบั ที่ไมเ่ ป็นอันตรายต่อสุกร 3. อาหารประเภทไขมนั ไขมนั จากสตั ว์ ไดแ้ ก่ ไขมันววั ไขมันสกุ ร สว่ นไขมันจากพืช ได้แก่ น้ํามันถวั่ เหลอื ง นา้ํ มันปาลม์ นํา้ มนั ราํ เป็นต้น สาเหตุที่ต้องใช้ไขมันในสูตรอาหาร เพ่อื เพิม่ ระดบั พลังงานในสูตรอาหารนัน้ ใหส้ ูงข้ึน ส่วนใหญ่ใชใ้ นอาหารสุกรเล็ก โดย เตมิ 2-5 % ในอาหาร ขอ้ เสียของไขมันมักจะมีกลิ่นหืน และเก็บไว้ได้ไมน่ าน 4. อาหารประเภทแรธ่ าตุ และไวตามนิ กระดูกปน่ เป็นแหลง่ ของธาตแุ คลเซ่ียมและฟอสฟอรสั ท่ดี มี าก แต่มีคณุ ภาพไม่แนน่ อน ไดแคลเซยี มฟอสเฟส ให้ธาตแุ คลเซยี มและฟอสฟอรสั ทํามาจากกระดูก หรือทําจากหนิ โดยนําเอาหินฟอสเฟต มาเผา ปกติจะใชไ้ ดแคลเซียมฟอสเฟตทมี่ ีฟอสฟอรัส 18% (P18) หรือสูงกว่า เปลือกหอยบด ให้ธาตุแคลเซยี มอย่างเดยี ว
หวั ไวตามนิ แรธ่ าตุ หรือพรมี ิกซ์ เปน็ ส่วนผสมของไวตามินและแรธ่ าตปุ ลีกย่อยทุกชนดิ ที่สุกรต้องการ และพร้อม ท่ีจะนาํ มาผสมกบั วัตถดุ ิบ อาหารสตั วอ์ ย่างอ่ืนได้ทนั ที พรีมิกซ์มีขายตามท้องตลาดท่ัวไป การให้อาหารสกุ รระยะต่าง ๆ - ลกู สุกรระยะดูดนมแม่ เริ่มใหอ้ าหารสกุ รนมโปรตนี 22% หรอื อาหารสกุ รอ่อนโปรตนี 20% เมือ่ ลูกสกุ รมีอายุ 10 วนั ถงึ หยา่ นม (หยา่ นม 28 วนั ) และใหต้ ่ออีกประมาณ 3 วนั หลงั จากหยา่ นมแล้ว - ลกู สกุ รระยะหยา่ นม (หย่านม 28 วนั นาํ้ หนักประมาณ 6 กิโลกรัม) ใหอ้ าหารสกุ รอ่อนโปรตนี 20 % จนถึงอายุ 2 เดอื น (นํา้ หนักประมาณ 12-20 กิโลกรัม) - สุกรระยะนา้ํ หนัก 20-35 กิโลกรมั ให้อาหารโปรตีน 18% โดยให้สกุ รกินอาหารเต็มท่ี สุกรจะกินอาหารวนั ละ 1-2 กโิ ลกรมั - สกุ รระยะนํา้ หนกั 35-60 กโิ ลกรมั ให้อาหารโปรตนี 16% สุกรจะกินอาหารวนั ละ 2-2.5 กิโลกรมั - สกุ รระยะน้ําหนัก 30 กิโลกรมั -ส่งตลาด ให้อาหารโปรตนี 14-15 % สุกรจะกนิ อาหารวันละ 2.5-3.5 กโิ ลกรมั - การใหอ้ าหารสกุ รพนั ธท์ุ ดแทน สุกรตัวท่ีต้องการจะเกบ็ ไว้ทําพนั ธ(์ุ ยกเวน้ สกุ รขุน ,สุกรทดสอบพันธุ)์ ควรจํากัด อาหารเพ่ือไมใ่ ห้อ้วนเกินไป เมื่อสุกรน้ําหนักประมาณ 60 กโิ ลกรมั ใชอ้ าหารโปรตีน 16% ให้อาหารวันละ 2.2.5 กโิ ลกรัม - การใหอ้ าหารสกุ รพ่อพนั ธ์ุ ให้อาหารโปรตีนประมาณ 15-16 % - พ่อพนั ธตุ์ วั ใหญ่ 150 กิโลกรัมขนึ้ ไป ให้อาหาร วันละ 2-2.5 กโิ ลกรมั - พอ่ พันธต์ุ วั เล็ก 100-150 กิโลกรมั ให้อาหารวันละ 2 กโิ ลกรมั - การให้อาหารแม่สุกรอุ้มท้อง ให้อาหารโปรตีนประมาณ 15-16 % แม่สุกรจะตั้งท้องประมาณ 114 วัน ควรให้ อาหารดังน้ี - แม่สกุ รสาวทดแทนให้อาหารวนั ละ 2 กิโลกรัม - แมส่ กุ รหลังจากผสมพันธใุ์ ห้อาหารวนั ละ 1.5-2 กโิ ลกรมั - แม่สกุ รตง้ั ท้อง 0-90 วนั ใหอ้ าหารวันละ 2 กิโลกรมั - แมส่ ุกรตั้งท้อง 90-108 วนั ใหอ้ าหารวนั ละ 2-2.5 กโิ ลกรัม (ขึ้นอยู่ กบั สภาพแมส่ ุกรอ้วนหรือผอมดว้ ย) -แม่สกุ รตัง้ ทอ้ ง 108-114 วัน ใหอ้ าหารวนั ละ 1-1.5 กโิ ลกรมั (เมื่อตง้ั ท้องได้ 108 วนั ให้ยา้ ยเข้าคอกคลอด) - การให้อาหารแมส่ ุกรหลังคลอด ให้อาหารโปรตนี ประมาณ 16% - คลอดลูกแลว้ 0-3 วนั ให้อาหารวนั ละ 1-2 กิโลกรัม -คลอดลกู 3-14 วนั ให้อาหารวันละ 2-3.5 กโิ ลกรมั - คลอดลูก 14 วันข้นึ ไป ให้อาหารเตม็ ท่ีเทา่ ท่ีแม่สุกรจะกิน อาหารได้ หรือประมาณวนั ละ 4-6 กิโลกรัม ในกรณีท่ีแมส่ ุกรมีลกู 7 ตวั ข้ึนไป (ควรให้อาหารแมส่ ุกรวนั ละ 3 คร้ัง เปน็ อยา่ งน้อย ดูตามสภาพของแม่สุกร ระวังอยา่ ให้แม่สกุ รผอม) - การให้อาหารแม่สุกรหลังหยา่ นม ให้อาหารโปรตีนประมาณ 15-16 % - แมส่ กุ รหยา่ นมในวนั แรก ให้อาหารวัน ละ 1.1.5 กิโลกรัม - แมส่ กุ รหยา่ นมจาก 2 วนั ขึน้ ไป จนถงึ แม่สุกรเปน็ สดั (แต่ไม่ควรเกิน 15 วนั ) ใหอ้ าหารวนั ละ 3-4 กโิ ลกรัม เพ่ือให้แมส่ กุ รสมบรู ณพ์ ันธุ์เร็วขน้ึ และเพ่ิมการตกไข่ - แมส่ กุ รเปน็ สัดและผสมพันธแุ์ ลว้ ลดอาหารลงเหลอื วันละ 1.5-2 กิโลกรมั - แมส่ ุกรไม่เป็นสัดเกนิ 15 วัน แสดงว่าแมส่ กุ รผดิ ปกติ ให้ลดอาหารลงเหลอื วันละ 2 กโิ ลกรมั และหา วธิ กี ารทําใหแ้ มส่ ุกรเปน็ สดั โดยทาํ ใหแ้ ม่สุกรเกดิ ความเครยี ด ใช้วธิ ตี ้อนขังรวมกัน (แมส่ ุกรขนาดน้ําหนักตวั ใกล้เคยี งกัน) หรอื ขังสลับคอกทกุ ๆ 10 วัน ส่วนใหญ่แมส่ ุกรก็จะเปน็ สดั ถ้าหากปฏบิ ตั ิเช่นนีแ้ ลว้ ภายใน 1 เดือน แม่สุกรยังไมเ่ ป็นสัด ควรคัดแม่สกุ รออกไปจากฝงู ข้อแนะนาในการเลือกใช้อาหารเลยี้ งสุกร ผสมอาหารใช้เองในฟาร์ม ต้องรู้จกั เลือกวัตถุดิบอาหารสตั วท์ ่ีมคี ุณภาพดี วัตถุดิบตัวหลกั ๆ ไดแ้ ก่ กากถวั่ เหลอื ง ปลาปน่ ปลายข้าว ข้าวโพด รําละเอยี ด และไวตามินแร่ธาตใุ นรปู ของพรีมิกซ์ แล้วนาํ วตั ถุดบิ มาผสมตามสตู รและ ความต้องการของสุกรแต่ละขนาด โดยใชเ้ ครือ่ ง โดยใชเ้ ครื่องผสมอาหาร หรือ ผสมด้วยมือก็แลว้ แต่สะดวก โดยอาศยั หลักผสมจากสว่ นย่อยที่มีปริมาณน้อย ๆ กอ่ น แลว้ จงึ ผสมเข้ากับส่วนใหญ่ วธิ ีนจี้ ะประหยัด สามารถเลือกใช้อาหารราคา ถูกและหาได้ง่ายในท้องถิ่น เป็นการลดตน้ ทุนการผลติ ไดม้ าก ซ่ึงในเอกสารนี้ มีสตู รอาหารท่ีใชเล้ียงสกุ รตั้งแตส่ ุกรนม จนถงึ สุกรพ่อแม่พนั ธุ์ ใชอ้ าหารเมด็ สาํ เรจ็ รปู ต้ังแต่สุกรนม สกุ รออ่ น สุกรเล็ก สุกรร่นุ สุกรขุน และสุกรพันธุ์ ข้อดคี ือสะดวกในการใช้
และจัดหา ซึ่งอาหารสาํ หรบั สุกรแต่ละขนาด จะมีจาํ หน่ายตามท้องตลาด ข้อเสียคือ ราคาจะแพง และผใู้ ช้ไมท่ ราบ ชดั เจนวา่ อาหารเมด็ สําเร็จรปู ประกอบด้วยวัตถุดิบอะไรบา้ ง ใชห้ วั อาหารสําเร็จ (สว่ นใหญ่จะมีโปรตีนประมาณ 32-36 % และผสมไวตามินแร่ธาตุไวด้ ว้ ยแลว้ ) ใชผ้ สมกับ ปลายข้าว ขา้ วโพด รําละเอียด ตามอัตราสว่ น น้ําหนกั ทีร่ ะบจุ าํ นวนวัตถุดิบข้างถุงอาหาร การใช้ในสุกรแตล่ ะขนาดให้ คาํ นึงถงึ เปอร์เซน็ ตโ์ ปรตนี ในอาหารผสมดว้ ย โรคทสี่ าํ คัญในสุกร โรคอหวิ าตส์ ุกร เป็นโรคท่รี ะบาดรนุ แรง เกดิ จากเช้อื ไวรัส พบวา่ เป็นได้กับสุกรทุกอายุ เม่ือเชือ้ โรคเขา้ สรู่ า่ งกายโดยการกนิ อาหาร กินนํ้า หายใจ หรือโดยทางบาดแผลท่ี ผวิ หนงั ใช้เวลาฟกั ตวั 3 วนั ถึง 3 สปั ดาห์ แต่โดยทัว่ ไปประมาณ 7 วนั อาการทพี่ บคอื มีไข้สูง 105-108 องศาฟาเรนไฮต์ สุกรจะเบ่ืออาหาร ซึม เย่อื ตาอักเสบ (มขี ้ตี า) ท้องผูก (ขเี้ ปน็ เม็ด) และ ท้องรว่ ง (ข้ีเป็นนา้ํ ) อาจพบอาการอาเจียนร่วมด้วย ผิวหนงั บริเวณ หู คอ ทอ้ ง และดา้ นในของขาหนบี จะพบจุด เลือดออกเล็ก ๆ ทําใหผ้ ิวหนงั มสี ีแดง และต่อมาจะเปลยี่ นเปน็ สีมว่ ง ในแม่สุกรท้องอาจจะเกดิ การแท้งลูก ติดต่อจากสุกร ตวั หน่ึงไปยังตวั อ่ืน ได้รวดเรว็ มาก ภายใน 7 วัน อาจเกิดโรคอหวิ าต์ได้ท้งั ฟาร์มเมื่อสกุ รเปน็ โรคอหิวาตแ์ ล้ว อัตราการตาย สงู ถึง 90% และไม่มีทางรักษา การป้องกนั ทาํ วคั ซีนเมื่อลูกสุกรอายุประมาณ 6 สปั ดาห์ และสําหรบั สุกรพ่อแม่พนั ธ์ุ ควรทําวัคซีนทุก 6 เดือน หา้ มทาํ วคั ซีนกบั สุกรท่ีอ่อนแอหรอื สัตว์ปว่ ย หรือในสกุ รต้ังท้องแก่ใกลค้ ลอด โรคปากและเท้าเปอ่ื ย เป็นโรคตดิ ต่อท่ีรนุ แรง ตดิ ต่อไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ ในสตั วก์ บี คู่ (โค, กระบือ , แพะ ,แกะ, สกุ ร) โรคนี้เปน็ ได้กับสกุ รทกุ อายุ อัตราการเกิดโรคสูง แต่อัตราการตายตํา่ เกดิ จากเช้อื ไวรัส ซง่ึ ในเมอื งไทยขณะน่ีพบอยู่ 3 ชนิด คอื โอ เอ และเอเชีย วนั (ชนดิ โอรุนแรงท่สี ดุ ) เมื่อเชอ้ื โรคเขา้ สู่ร่างกายสุกรแลว้ จะใช้เวลาในการฟักโรคประมาณ 3-6 วัน สกุ รจะเร่มิ แสดง อาการป่วยออกมาให้เหน็ อาหารที่พบไดค้ ือ มตี ่มุ นา้ํ ใสที่บริเวณ ปลายจมูก ปาก ล้ิน ริมฝีปาก เหงือก และผิวหนังบรเิ วณ ไรกีบ ต่อมาตุ่มนํ้าใสจะแตก นอกจากนีย้ ังพบอาการไขส้ งู เบอ่ื อาหาร นํ้าลายยดื ขาเจบ็ กบี ลอกหลดุ และนา้ํ หนกั ลด การป้องกนั ทําวัคซีนเมอ่ื ลูกสุกรอายุประมาณ 7 สปั ดาห์ และทาํ วคั ซนี อีกครัง้ ในอีก 2 สปั ดาหต์ ่อมา และ สําหรับสกุ รพอ่ แม่พันธุ์ ทําวัคซีนทกุ ๆ 4-6 เดอื น นอกจากน้กี ม็ โี รคตดิ ต่อในสกุ รชนดิ อน่ื ซ่งื มีความสําคญั ตอ้ งอาศัยวธิ ปี ้องกนั โรค เชน่ โรคพษิ สุนขั บ้า โรคโพรง จมกู อักเสบ โรค ท.ี จี.อ.ี ( โรคกระเพาะอาหารและลําไส้อักเสบตดิ ต่อ) โรคไข้หวัดใหญ่ โรคไฟลามทงุ่ เปน็ ต้น การฉดี วัคซนี สุกรพนั ธ์ุ ตารางการทาวคั ซนี ป้องกันโรคสาหรบั สกุ รพนั ธุ์
อายสุ ุกร ชนดิ ของวัคซนี ขนาดและวิธีใช้ หมายเหตุ 6 สปั ดาห์ อหวิ าตส์ ุกร ฉดี เข้ากล้ามเน้อื ตวั ละ 1 ซซี .ี ตอ่ ไปใหฉ้ ีด วคั ซีนป้องกันทกุ ๆ 6 เดือน และเม่อื ละลายวัคซนี แลว้ ใช้ให้หมดภายใน 1 ชวั่ โมง 7 สปั ดาห์ ปากและเทา้ เปื่อย ฉีดเข้าใต้ ผวิ หนงั ตอ่ ไปให้ฉดี วัคซนี ปอ้ งกันทกุ ๆ 4 เดอื น
ผงั มโนทัศน์ รายวิชาการเล้ยี งสกุ ร รหสั วิชา ง.20206 ระดบั ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 1-3 หน่วยการเรียนรทู้ ่ี3 เรอื่ งพันธุส์ ุกร จานวน 4 ช่ัวโมง : 20 คะแนน หน่วยการเรียนร้ทู ี่3 เรือ่ งพนั ธ์สุ กุ ร จานวน 4 ชัว่ โมง : 20 คะแนน ชอื่ เรื่องพันธ์สุ ุกรและประเภทของสกุ ร จานวน 2 ชั่วโมง :20 คะแนน
แผนการจัดการเรยี นรู้ หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี3เร่ืองพนั ธส์ุ กุ ร แผนจัดการเรียนรู้ท1ี่ เรือ่ ง พันธส์ุ กุ รและประเภทของสกุ ร รายวิชา การเลยี้ งสุกร รหัสวิชา ง.20206ระดบั ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 1-3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2562นา้ หนักเวลาเรยี น 1.00 (นน./นก.) เวลาเรียน 2 ช่ัวโมง/สปั ดาห์ เวลาทีใ่ ช้ในการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ 4 ชัว่ โมง ............................................................................................................................. ............................. 1. สาระสาคัญ (ความเขา้ ใจทีค่ งทน) ช่องทางและการตดั สนิ ใจเลือกประกอบอาชีพการเล้ียงสกุ ร ปัจจยั ท่ีเกย่ี วกบั การเลย้ี งสุกร การวางแผนการเลีย้ งสตั ว์ พนั ธุ์และการคดั เลือกพนั ธ์ุ โรงเรอื น วสั ดุ อุปกรณ์ การจัดการเลีย้ งดู การสุขาภิบาล การจัดการการตลาด การทาบญั ชี การอนรุ ักษท์ รัพยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ มในงานอาชพี เลี้ยงสตั ว์ คุณธรรมในการประกอบอาชีพ ปัญหาและอุปสรรคในการเลยี้ งสัตว์ 2. มาตรฐานการเรยี นร้/ู ตวั ชี้วดั ชัน้ ป/ี ผลการเรยี นรู้/เป้าหมายการเรยี นรู้ ผลการเรยี นรู้ 3.นกั เรยี นสมารถรแู้ ละเข้าใจเกย่ี วกับพันธุส์ ุกรได้ 3. สาระการเรยี นรู้ 3.1 เนื้อหาสาระหลัก : Knowledge (นกั เรียนตอ้ งรู้อะไร) -รูเ้ ก่ียวกบั พันธส์ุ กุ รและประเภทของพนั ธส์ุ กุ ร 3.2 ทกั ษะ/กระบวนการ : Process (นักเรียนสามารถปฏบิ ตั อิ ะไรได้) -เรียนรเู้ ก่ยี วกับลักษณะของพนั ธ์สุ ุกรแต่ละชนดิ ได้ 3.3 คุณลกั ษณะท่พี ึงประสงค์ : Attitude (นกั เรียนควรแสดงพฤติกรรมการเรยี นอะไรบ้าง) 1.มีวินยั 2.มคี วามรับผิดชอบ 3.ตรงต่อเวลา 4.มุ่งม่นั ในการเรยี น 4. สมรรถนะสาคญั ของนกั เรียน 4.2 ความสามารถในการคิด 4.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา 4.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5. คุณลกั ษณะของวชิ า 1.ความรับผดิ ชอบ 2.ตรงตอ่ เวลา 6. คุณลกั ษณะที่พึงประสงค์ 1. ซอ่ื สัตยส์ จุ ริต 2. มวี นิ ัย 3. ใฝ่เรียนรู้ 4. มุ่งมนั่ ในการทาํ งาน 7. ช้นิ งาน/ภาระงาน : - ใบกจิ กรรมที่ 1 เร่ืองพนั ธ์ุสุกร - ใบงานที่ 1.1 เรอ่ื ง พนั ธ์ุสกุ ร
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117