สูญเสยี น้าํ ) สําหรบั อาการทอ๎ งเสียจะพบเปน็ อยํนู าน 5-9 วัน อจุ จาระก็จะเริม่ ข๎นขึน้ แตํลูกสุกรมกั จะตายภายในวันที่ 2-4 ของการปวุ ย เนื่องจากการสญู เสยี นาํ้ ของรํางกาย (ภาพที่ 8.5) แมํสุกรทฟี่ ื้นจากโรคนีส้ ามารถถาํ ยภูมคิ มุ๎ กันโรคนี้ ไปให๎ลกู สุกรไดโ๎ ดยทางนํา้ นมเหลืองและนา้ํ นมขาว ภาพที่ 8.5 โรคทีจีอี ลกู สกุ รท๎องเสียและสภาพราํ งกายสูญเสียํน๎า ทม่ี า: สุวรรณา พรหมทอง, (มปพ.) การปูองกนั 1. ทาํ วัคซีนปูองกนั โรคทจี ีอีตามโปรแกรมทกี่ ําหนดไว๎ 2. มีการจัดการควบคมุ โรคท่เี ข๎มงวด 3. มกี ารสุขาภิบาลท่ีดี 4. มีการเล้ยี งดูและการให๎อาหารทีด่ ี 5. กําจดั สัตว์ท่สี ามารถเปน็ พาหะของโรค 6. มีการกกั โรคและตรวจโรคสุกรใหมํ การรักษา ไมมํ ยี าทจ่ี ะใช๎รกั ษาโดยเฉพาะ นอกจากจะรกั ษาตามอาการโดย 1. ใหํน๎ า๎ เกลอื เพื่อทดแทนํนา๎ และอีเลค็ โทรไลท์ทีส่ ญู เสยี ออกมากับอุจจาระ 2. ให๎ความอบอนุํ อยาํ งเพียงพอแกํลกู สุกรปุวย 3. ให๎ยาปฏชิ ีวนะละลายํน๎าเพือ่ ปอู งกันโรคแทรกซอ๎ น 6.8 โรคขอ๎ บวมอักเสบเปน็ หนอง (Suppurative arthritis หรือ Purulent arthritis) พบได๎ในสุกรทุกชํวงอายุ แตํพบมากในลูกสุกรท่ีมีการตัดสายสะดือไมํสะอาด เป็นโรคท่ีกํอให๎เกิดการสูญเสีย ทางเศรษฐกจิ จากอัตราการเจริญเติบโตท่ลี ดลง เนอ่ื งจากเป็นโรคแบบเรื้อรัง คณุ ภาพซากลดลง และตายได๎ สาเหตุ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียหลายชนิดคือ Streptococcus spp. Staphylococcus spp. และ Corynebacterium pyogenes ท้งั นี้พบวํา Streptococcus spp. และ Staphylococcus spp. เป็นสาเหตุสํวน ใหญํในลกู สุกรกํอนหยํานม ขณะที่ Corynebaterium pyogenes จะเป็นสาเหตสุ ํวนใหญํในลูกสกุ รหลงั หยํานม การติดตอํ 1. การหายใจเอาเช้ือโรคเขา๎ ไป 2. เช้ือโรคเข๎าทางบาดแผลหรือรอยถลอกท่ีเย่ือเมือกหรือผิวหนัง เชํน การตัดเข้ียว ตัดหาง รอยถลอกท่ี ผวิ หนงั การตอน การตดั สายสะดอื การฉดี ยา เปน็ ต๎น
อาการ สกุ รมีอาการขอ๎ อักเสบบวมแดงและเจ็บปวดมาก การอกั เสบเกิดท่ีข๎อขา ข๎อเขํา และข๎อบริเวณปลาย กีบของขาหน๎า ซึ่งทําให๎สุกรนอนอยํูกับที่ไมํยอมเคล่ือนไหว บางรายอาจพบฝีเกิดข้ึนท่ีเนื้อเยื่อโดยรอบข๎อได๎ เดินขา กะเผลก (lameness) ํน๎าหนักลด ขนหยาบกร๎าน ในรายที่ข๎ออักเสบเป็นเวลานาน อาจพบรูเปิดของแผลชอนทะลุ (fistula) ซ่ึงจะมีหนองไหลออกมาและจะไหลมากเมื่อใช๎มือบีบกดบริเวณข๎อท่ีบวม รายที่เป็นเรื้อรัง เช้ืออาจ แพรํกระจายไปตามกระแสเลือดและทาํ ให๎เกิดการอกั เสบของอวยั วะตาํ งๆ ที่เช้ือไปอยูํเฉพาะที่ ท่พี บเสมอได๎แกํ เย่ือหุ๎ม สมองอักเสบ ขอ๎ สันหลงั อักเสบ เปน็ ต๎น ทาํ ให๎สกุ ร แสดงอาการหลังโกํงหรืออัมพาตของสํวนท๎ายลําตัว (paraplegia) หากทาํ การเจาะข๎อจะพบหนอง หนองจากเชื้อ streptococci และ staphylococci ในระยะแรกมีลักษณะเป็นครีม สีขาว ในรายเรื้อรังมีลักษณะคลา๎ ยเนยแข็ง หนองจากเช้ือ C. pyogenes มีลกั ษณะขน๎ สีเหลอื งหรอื สเี ขียวแกมเหลือง การปูองกนั 1. มีการตัดสายสะดอื หรือใช๎เข็มฉดี ยาทสี่ ะอาด 2. มีการสขุ าภบิ าลทดี่ แี ละการจดั การที่ดแี ละสะอาด การรกั ษา ใชย๎ าปฏิชีวนะ เชํน ยากลุมํ เพ็นนิซิลินหรอื ยากลํมุ เตตร๎าไซคลนิ เปน็ ตน๎ (ภาพที่ 8.6) ภาพที่ 8.6 โรคข๎อบวมอกั เสบเป็นหนอง ท่ีมา: สุวรรณา พรหมทอง, (มปพ.) 6.9 โรคเกลสเซอร์หรอื โรคเยือ่ เสือ่ ม (Glasser’s disease หรอื Porcine polyserositis and polyarthritis) เป็นโรคตดิ เช้อื ท่ีพบในสุกรทุกชวํ งอายุ แตโํ ดยปกติจะพบมากในสุกรเล็กชํวงอายุ 2 สัปดาห์ถึง 4 เดือน แตํ พบมากท่สี ดุ คอื ชํวงหลังหยาํ นม (อายุ 5-8 สัปดาห์) เช่ือวํามีสาเหตุจากความเครียดซ่ึงอาจเกิดจากการหยํานม การ ขนย๎าย การย๎ายคอกหรือโรงเรือน การเกิดโรคมักเกิดภายหลังมีภาวะเครียด 2-7 วัน อาจมีสุกรเพียงตัวเดียวหรือ หลายตัวในกลมํุ ปวุ ย อตั ราการตาย 10-50 เปอรเ์ ซน็ ต์ สาเหตุ เกิดจากเช้ือแบคทีเรีย Hemophilus parasuis (H. parasuis) ซึ่งเป็นแบคทีเรียแกรมลบรูปกลมรี มหี ลายซโี รไทป์กอํ โรคในสุกร การตดิ ตํอ 1. การหายใจเอาเช้ือโรคเข๎าไปแล๎วกลายเป็นการติดเชื้อแอบแฝง (latent infection) ท่ีทางเดินหายใจของ สุกร เม่อื เกดิ ภาวะเครยี ดเช้ือจะแทรกเข๎าไปทําให๎เกิดภาวะเลือดมีแบคทีเรียและเกิดการอักเสบของข๎อทั่วไป การเกิด โรคอาจจะเป็นชวํ งเดียวกบั ทีส่ กุ รหมดภูมคิ ุม๎ กันทไี่ ดร๎ ับจากแมํทางํน๎านมเหลอื ง 2. การนาํ สกุ รทีไ่ มํมีภมู ิคุ๎มกนั หรือไมํเคยสัมผัสกับเช้ือชนิดน้ีเข๎ามารวมกลํุมกับสุกรที่เป็นพาหะ (มีการติดเชื้อ แฝง) พบได๎ในฝงู สุกรสํวนใหญํ ทาํ ให๎เกดิ การระบาดของโรคคํอนข๎างรุนแรงจนกวําฝงู สุกรน้นั จะมีภมู คิ ๎มุ กนั เกิดข้ึน
อาการ ในภาวะโลหิตเปน็ พษิ จากการตดิ เช้ือฮโี มฟลิ ัส รํางกายลูกสุกรมีการสํงผํานซีรั่มเข๎าสํูชํองวํางสํวนตํางๆ ของราํ งกายมากข้นึ ไมํวําจะเปน็ ชํองอก ถงุ หุ๎มหัวใจ ชํองท๎อง ชํองอ๎ุงเชิงกราน รวมทั้งบริเวณข๎อตํอตํางๆ สํงผลให๎มี การสะสมไฟบริน (fibrin) เพิ่มมากยิ่งข้ึนตามลําดับ สุกรมีอาการไข๎สูงปานกลางถึงสูง (104-105 องศาฟาเรนไฮต์) ไมํกินอาหาร เฉื่อยชา อัตราการเต๎นของหัวใจสูง 160 คร้ัง/นาที เยื่อตาขาวสีแดง การบวมํน๎าของหนังตาและใบหู เดนิ ขากะเผลก ขอ๎ บวมและแสดงอาการเจบ็ ปวดเมอื่ คลํา ตรวจหรือสํงเสียงร๎องเม่ือลุกข้ึนยืน สุกรปุวยจะยืนด๎วยปลาย กีบและเดินลากขาโดยมชี ํวงกา๎ วสั้นๆ อาจมีอาการหายใจลําบากในลักษณะหายใจแบบต้ืน มีการยืดส่ันหัว และอ๎าปาก หายใจ ในรายรนุ แรงอาการของเยื่อหุ๎มสมองและสมองอักเสบ ทําให๎กล๎ามเนื้อสั่นกระตุก กล๎ามเนื้อขาหลังท้ังสองไมํ ประสานกนั อมั พาตโดยล๎มตัวลงนอนตะแคงและมีการดิ้นรนเพื่อจะลุกข้ึน ซ่ึงเป็นลักษณะทางคลินิกท่ีพบได๎เป็นสํวน ใหญํ สุกรสํวนใหญํตายภายใน 2-5 วันหลังเริ่มอาการปุวย สุกรที่มีชีวิตรอดจะเกิดข๎ออักเสบแบบเร้ือรัง (chronic arthritis) หรืออาจเกิดการอุดก้ันของลําไส๎ได๎ในบางราย ในฤดูกาลที่มีฝนตกชุกละอองฝนสาดเปียกและอากาศหนาว เย็นจะพบกรณปี ญั หารนุ แรงมาก (ภาพท่ี 8.7) ภาพที่ 8.7 โรคเกลสเซอร์ ก ขอ๎ ขาบวมสุกรปุวยจะยนื ดว๎ ยปลายกีบและเดินลากขา ข ใบหสู ํีน๎าเงนิ เขม๎ จากการขาดออกซิเจน ค สกุ รนอนตะแคงและผวิ หนงั สํีนา๎ เงินถึงมวํ งจากการขาดออกซิเจน ท่ีมา: สวุ รรณา พรหมทอง, (มปพ.) เมื่อเปิดผําซากจะพบเย่ือเหนียวสีขาวเหลืองใสหรือขํุนเหมือนกาวแข็งคล๎ายแปูงเปียก ซึ่งเกิดจากการรวมตัว สะสมของไฟบรนิ ในชอํ งอก ถุงหมุ๎ หวั ใจ ชอํ งท๎อง โดยเฉพาะชํองท๎อง ทําให๎อวัยวะภายในถกู ยึดตรึงติดกันทุกสํวนเป็น ก๎อนกลมขนาดใหญํ ซึ่งเป็นลกั ษณะคํอนขา๎ งเฉพาะของโรคนี้ การปูองกนั 1. เมื่อมีการขนย๎ายหรือการรวมกลุํม ควรให๎ยาซัลโฟนาไมด์ (sulfonamide) หรือซันโฟนาไมด์-ไตรเมท โทพรีม (sulfonamide-trimethoprime) ผสมอาหารในขนาด 250-500 กรัม/ตัน ให๎สุกรกินติดตํอกัน 8-14 วัน เพ่ือปอู งกนั การเกดิ โรค 2. ควรใสํยาปฏิชีวนะหรือเคมีบําบัดผสมอาหารหรือํน๎าดื่มกิน เพื่อควบคุมปูองกันโรค เชํน ชนิดยาในกลํุม เบตา๎ แลคแตม กลํมุ เตตระไซคลนิ กลุมํ มาโครลีดส์ ลิงโคซามีดส์ หรอื กลํมุ ควิโนโลนส์ ตัวยาเอนโรฟลอกซาซินผสมใน อาหารมักออกรสขม อาจทาํ ให๎สุกรไมํกนิ ได๎ 3. ใหย๎ าท่คี วบคุมโรคระบบทางเดินอาหาร เชํน อะมโิ นกลยั โคไซดส์ โปลีเปปไทด์ เพื่อทําให๎สุขภาพสมบูรณ์ แขง็ แรงย่ิงข้นึ การรักษา ควรรบี รักษาให๎เรว็ ทสี่ ดุ ด๎วยการฉีดยารกั ษาและฉดี ํซ๎าทกุ ๆ 24 ชวั่ โมง (กรณีไมใํ ช๎ยาชนิดออกฤทธ์ิ นาน) ตดิ ตํอกนั 5-7 วัน สกุ รตัวอน่ื ในคอกเดียวกันต๎องให๎ยาเพ่ือปูองกันหรือควบคุมการระบาดของเชื้อ ยาที่ใช๎ต๎อง
ให๎ในปริมาณสงู เพือ่ ใหย๎ าในกระแสเลอื ดสูงพอท่จี ะเข๎าไปในไขสันหลังและแพรํเข๎าไปในข๎อท่ีอักเสบ ยาท่ีใช๎คือ ยาเพน นซิ ิลลนิ (penicillin) แอมพซิ ิลลนิ (ampicillin) ซนั โฟนาไมด์ไตรเมทโทพรมี และเตตรา๎ ไซคลิน (tetracycline) 6.10 โรคทอ๎ งเสยี ในลูกสกุ รทเ่ี กดิ จากเช้ืออ.ี โคไล (Colibacillosis) เปน็ โรคตดิ เชื้อทางเดนิ อาหาร พบวําเปน็ ไดก๎ ับสุกรทกุ อายโุ ดยเฉพาะลูกสกุ ร สาเหตุ เกิดจากเชอ้ื แบคทีเรยี อ.ี โคไล (Escherichia coli; E. coli) เชื้อนี้สามารถพบได๎ในทางเดินอาหารปกติ และเมอื่ ราํ งกายสุกรอํอนแอเช้ือโรคก็จะเพมิ่ จํานวนมากขนึ้ เป็นผลใหส๎ ุกรปุวย อาการ ความรุนแรงของโรคขึน้ อยทํู อ่ี ายขุ องสุกรทปี่ ุวย คือ ถ๎าเป็นกับลูกสุกรแรกคลอดมักพบวําลูกสุกรปุวย จะตายด๎วยอาการโลหติ เปน็ พิษ โดยไมพํ บอาการท๎องเสยี สําหรับลูกสุกรปุวยที่ไมํตายจะพบอาการท๎องเสีย ขนหยาบ ราํ งกายสญู เสยี ํนา๎ และผอมแกรน สวํ นสุกรรนุํ ที่เกดิ อาการท๎องเสียเนื่องจากเชื้ออี.โคไล เนื่องมาจากการกินหรือหายใจ เอาเชอ้ื โรคตวั นเี้ ข๎าไป (ภาพที่ 8.8) การปูองกัน 1. มีการจดั การเลี้ยงดูท่ีดที งั้ แมสํ ุกรและลกู สุกร 2. มีการสุขาภิบาลทีด่ ี 3. ลกู สุกรแรกคลอดตอ๎ งให๎ได๎กนิ นมํน๎าเหลอื งจากแมสํ กุ ร การรกั ษา ใช๎ยาปฏิชวี นะ เชนํ ยานโี อมยั ซินหรอื ยาสเตรป็ โตมยั ซนิ หรอื ยาโคลสิ ติน หรอื ยากลุมํ สังเคราะห์ ภาพที่ 8.8 โรคท๎องเสยี ในลกู สุกรจากเชอื้ อี.โคไล ที่มา: สุวรรณา พรหมทอง, (มปพ.) 6.11 โรคโพรงจมูกอักเสบ (Atrophic rhinitis, AR) เปน็ กับระบบทางดินหายใจ พบได๎ในสกุ รทุกชํวงอายุ มอี ตั ราการเกิดโรคสูงแตํมอี ตั ราการตายํตํา สาเหตุ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย 2 ชนิดรํวมกัน คือ Bordetella bronchiseptica (Bb) และ Pasteurella multocida (Pm) ชนดิ สร๎างสารพิษทาํ ใหเ๎ กดิ การฝุอลบี อยํางรนุ แรงของ turbinate bone และจมูกผิดรูป การตดิ ตํอ
1. การหายใจเอาเชือ้ โรคเข๎าไป 2. การสัมผัสกับสกุ รปวุ ยโดยตรง 3. การกินํนา๎ และอาหารทีม่ ีเช้อื โรคปนอยูํ อาการ จาม เลือดไหลออกจากจมกู มกั พบอาการท้งั สองในสกุ รท่ีมีอายุน๎อยกวาํ 4 สัปดาห์ เย่ือบุตาอักเสบ และมคี ราบํนา๎ ตา จมูกและ/หรือขากรรไกรปากบนหดสัน้ และจมูกบดิ เบี้ยว ปญั หาทางเดินหายใจมีมากขึ้น ปอดบวม สูญเสียประสิทธิภาพการผลิต สุกรใหญทํ เี่ ป็นโรคน้ีพบวําไมํมีผลทําให๎จมูกบิดเบ้ียวหรือยํน แตํจะเป็นตัวอมโรคและจะ แพรํเชอ้ื โรคเมอื่ สกุ รเครยี ด (ภาพท่ี 8.9) ภาพท่ี 8.9 โรคโพรงจมูกอักเสบ แสดงอาการจาม เลอื ดไหลออกจากจมกู จมกู บิดเบย้ี ว ทีม่ า: สวุ รรณา พรหมทอง, (มปพ.) การปูองกัน 1. การกักโรคและตรวจโรคสุกรใหมํ 2. ศกึ ษาแหลงํ ที่มาของสกุ รใหมํวํามีโรคนีร้ ะบาดหรือไมํ 3. กําจดั หนู แมว และสนุ ขั ออกจากโรงเรอื น เพราะสตั วเ์ หลํานี้ เป็นพาหะของโรค 4. การจัดการควบคุมโรคท่ีเข๎มงวด 5. การเลยี้ งดดู ีและอาหารดี 6. การสุขาภิบาลท่ดี ี การรักษา ใช๎ยาปฏชิ วี นะชนิดท่อี อกฤทธ์ิและทําลายเช้ือโรคได๎กว๎างหรือยาซัลโฟนามาย เชํน ยาซัลฟาเมทธา ลีน ซัลฟาไทอะโซน เปน็ ต๎น 6.12 โรคไฟลามทงุํ (Erysipelas) เปน็ โรคระบาดทส่ี ามารถติดตํอถงึ คนได๎ ความรุนแรงของโรคอาจมีผลเนื่องจากพันธุกรรม คุณคําของอาหารท่ี ใช๎เล้ียง การสุขาภบิ าล อุณหภูมิของสภาพแวดล๎อมหรอื ฤดูกาล สาเหตุ เกิดจากเช้อื แบคทีเรีย Erysipelothrix rhusiopathiae การตดิ ตํอ 1. การกินํน๎าและอาหารทีม่ เี ชื้อโรคปนอยํู 2. การสมั ผัสกับสุกรปวุ ยโดยตรง ระยะฟักตัว 3-4 วัน อาการ อาการมี 4 แบบคือ
1. แบบทห่ี นึ่ง สุกรปวุ ยแสดงอาการแบบฉับพลันและอาจตายได๎โดยไมํแสดงอาการปุวยให๎เห็นอาการที่พบคือ ไข๎สงู 104-108 องศาฟาเรนไฮต์ ซึม เบ่ืออาหาร หนาวส่ัน นอนสุมกัน ตาแดง ไอ มีข้ีมูกขี้ตา ท๎องผูกตามด๎วย อาการท๎องเสียอยํางรนุ แรง บางตวั อาจพบอาการอาเจียน 2. แบบที่สอง สกุ รปวุ ยแสดงอาการทผี่ ิวหนงั คือ พบอาการบวมท่ีผิวหนัง ลักษณะคล๎ายรูปข๎าวหลามตัดหรือ เปน็ หยํอมสแี ดงจนถึงสมี ํวงทีบ่ ริเวณท๎อง ต๎นขาและลําตัว สุกรปุวยท่ีฟ้ืนจากโรคจะพบวาํ ผวิ หนังทีม่ รี อยโรคจะลอก 3. แบบที่สาม สุกรปวุ ยแสดงอาการทีข่ อ๎ ขาคอื เดนิ ขากระเผลกหรือเดินในลักษณะขาไมํสัมพันธ์กัน เกิดจาก ขอ๎ อักเสบโดยเฉพาะท่ีขอ๎ เขาํ หนา๎ และเขําหลัง 4. แบบทีส่ ี่ สุกรปวุ ยจะตายแบบทนั ทหี รืออาจพบอาการบวมที่ปลายจมูก หู และสํวนอ่ืนของรํางกาย (ภาพ ท่ี 8.10) ภาพที่ 8.10 โรคไฟลามทุํง ผวิ หนงั ลักษณะคลา๎ ยข๎าวหลามตัดหรอื เปน็ หยํอมสีแดงถงึ มํวง ทีม่ า: สวุ รรณา พรหมทอง, (มปพ.) การปอู งกนั 1. การกกั โรคและตรวจโรคสกุ รใหมํ 2. การจดั การควบคุมโรคท่ีเขม๎ งวด 3. การเล้ียงดูดีและอาหารดี 4. การสุขาภบิ าลทด่ี ี การรกั ษา ใชย๎ าปฏิชีวนะในกลุมํ ของยาเพ็นนิซลิ นิ และยาปฏชิ วี นะท่อี อกฤทธิ์ ทําลายเชอ้ื ได๎กวา๎ ง 6.13 โรคซัลโมแนลโลซีสหรอื พาราไทฟอยด์ (salmonellosis) โรคนเี้ ปน็ โรคระบาดทพี่ บไดก๎ ับสุกรทกุ อายุ อัตราการเกิดโรคสงู และอตั ราการตายสงู สาเหตุ เกิดจากเช้ือกรัมลบ ในแบคทีเรียสกุลซัลโมเนลลา (salmonella) มี 2 ชนิดคือ Salmonella choleraesuis และ Salmonella typhisuis การติดตอํ 1. การกินอาหารและํนา๎ ที่มเี ช้อื โรคปนอยูํ 2. การกนิ กระดกู ปนุ ท่มี เี ชอ้ื โรคปนอยูํ 3. การสมั ผสั กบั สัตวฟ์ นั แทะหรือนกปุาที่เป็นตัวพาหะของโรค ระยะฟกั ตัว 1-2 วนั อาการ อาการปวุ ยทีพ่ บได๎มีอยํู 4 แบบ คือ
1. แบบท่ีหน่ึง มักพบกับลูกสุกร โดยอาการปุวยจะเกิดแบบฉับพลัน ไข๎สูง 105-107 องศาฟาเรนไฮต์ สกุ รจะซึมและตายภายใน 24-48 ชั่วโมง นอกจากนยี้ ังพบวาํ ผวิ หนงั มีสีแดงเขม๎ จนถงึ สีมวํ ง โดยเฉพาะทขี่ อบตาและใต๎ ท๎อง อาการทางประสาท อาจพบและอัตราการตายสูงถึง 100 เปอรเ์ ซ็นต์ 2. แบบทส่ี อง มักพบกับสกุ รที่มีอายุมากหรือสุกรใหญ์ อาการทพ่ี บได๎ คอื ไข๎สูง 105-107 องศาฟาเรนไฮต์ ท๎องเสียเป็นนํ๎าอยาํ งแรง อุจจาระมีกลน่ิ เนํา เปน็ มูก และอาจพบเยอื่ เมอื กของลาํ ไส๎ปนดว๎ ย 3. แบบที่สาม อาการท่ีพบคือ ไข๎สูง 103-104 องศาฟาเรนไฮต์ เบ่ืออาหาร อุจจาระน่ิมและบางรายพบ อาการสูญเสียํน๎า เชํน ผิวหนงั ขาดความยืดหยํุน ตาจมลึก ขนลกุ ซบู ผอมลงเรอื่ ยๆ และตายในทีส่ ุด 4. แบบที่ส่ี อาการที่พบคือ ท๎องเสีย โดยพบเป็นๆ หายๆ ผอมแห๎งและตอบสนองตํอการรักษาได๎น๎อย (อจุ จาระอาจปกติหรอื อาจมีมูกหรอื เลือดปน) การปูองกนั 1. กําจดั สุกรทเี่ ป็นตวั อมโรค 2. การกกั โรคและตรวจโรคสกุ รใหมํ 3. การจดั การควบคุมโรคที่เขม๎ งวด 4. ระวงั การใช๎วตั ถดุ ิบอาหารสตั วจ์ ากโรงฆําสัตว์ 5. การสุขาภิบาลทีด่ ี การรกั ษา ใช๎ยาปฏิชวี นะ เชํน ยานีโอมัยซิน หรือยาเตตร๎าไซคลิน หรือยาซัลโฟนามาย หรือยาไนโตรฟูรา โซน 6.14 โรคแท๎งติดตอํ หรอื บรเู ซลโลซสี (Brucellosis, Undulent fever, Mediter ranean fever) เปน็ โรคตดิ ตํอทมี่ ีการระบาดแพรํหลายท่วั ไปในสัตวเ์ ลยี้ ง เชํน โค แพะ แกะ และสุกร ในคนสามารถติดโรค นี้ได๎ สาเหตุ เกิดจากเช้ือแบคทีเรียบรูเซลลา (brucella) ซึ่งมีอยูหํ ลายสายพนั ธ์ุยํอย การตดิ ตํอ 1. กนิ อาหารและํน๎าท่มี ีเชื้อปะปนอยูํ 2. เช้ือโรคเขา๎ ทางบาดแผล หรือเยื่อบุตาํ งๆ 3. การผสมพันธ์ุ 4. ทางํน๎านม และสงิ่ ขับถาํ ยจากการแท๎งลกู ของสัตวท์ เี่ ปน็ โรค อาการ ในสัตว์แมพํ นั ธ์ุมกั แท๎งลกู หลงั จากต้งั ท๎องได๎ 5 เดอื น แตํถ๎าไมํแท๎งลูก ลูกที่ออกมาจะอํอนแอและมัก เกดิ โรคแทรกซ๎อน ถ๎าเปน็ แบบรุนแรงอาจเกิดอาการโลหติ เป็นพษิ ตาย ถ๎ามดลูกอักเสบเร้ือรังทําให๎เกิดอาการเป็นหมัน เป็นสัดไมํสํมําเสมอ ผสมไมํคํอยติด ซึ่งอาจเป็นแบบถาวรหรือช่ัวคราวก็ได๎ นอกจากนี้รูปรํางลักษณะทั่วไปไมํคํอย สมบรู ณ์ ํน๎าหนักลด เกิดเนอ้ื งอกทขี่ อ๎ เขํา และในบางรายเกิดเตา๎ นมอักเสบ สัตวบ์ างตัวไมํมีอาการใดๆ เลย แตํเป็นตัว แพรเํ ชื้อโรคไดจ๎ ากการผสมพันธ์ตุ ามธรรมชาตหิ รือผสมเทียม สวํ นในสัตว์พํอพันธุ์มีอาการอักเสบของอัณฑะและผิวของ อัณฑะ ทําใหเ๎ ป็นหมันและเป็นตัวแพรเํ ชือ้ โรคในการผสมพันธ์ุ การปอู งกนั 1. ฉีดวคั ซีนปูองกันโรคในลูกสตั ว์เพศเมียอายุ 3-8 เดอื น 2. ทาํ การตรวจสอบโรคแท๎งตดิ ตอํ ทุก 6 เดือน
การรกั ษา ไมมํ ยี ารักษาใหห๎ ายขาด เพียงทําให๎เชือ้ โรคสงบลงชั่วคราวแล๎วโรคจะกลับเป็นขึ้นได๎อกี 6.15 โรคเล็ปโตสไปโรซสี (Leptospirosis) เป็นโรคที่เกิดกับสุกรได๎ทุกชํวงอายุ โดยเฉพาะแมํสุกรทําให๎แท๎งลูกได๎ สามารถติดตํอสํูคนได๎โดยเชื้อเข๎าทาง บาดแผล ในขณะสัมผัสกบั สตั วป์ วุ ยหรือการชําแหละซากสัตว์ท่ีมีเช้ือโรค หรือการใช๎ํน๎าหรือกินเน้ือหรือนมท่ีมีเช้ือโรค อยแํู ละไมํสกุ สาเหตุ เกิดจากเช้อื เลป็ โตสไปราํ มีอยหูํ ลายชนิด การตดิ ตอํ 1. เชอ้ื โรคเขา๎ ทางบาดแผลของผวิ หนังหรือเยือ่ บุผนังตา 2. กนิ อาหารและํนา๎ ทีม่ เี ช้ือโรค 3. การหายใจเอาเชอื้ ทอ่ี ยใํู นอากาศเข๎าไป 4. แมลงดูดเลือดเปน็ ตวั แพรํเชอ้ื โรคนี้ ระยะฟักตวั 1-2 สัปดาห์ อาการ แมํสุกรแสดงอาการไข๎สูง เบ่ืออาหาร ล๎มลงนอน ไมํมีแรงลุกข้ึน หายใจถี่หอบ มีฮีโมโกลบินและ เลือดในปัสสาวะ หลงั แสดงอาการปุวยแลว๎ ประมาณ 10 วัน แมสํ ตั ว์ท๎องจะแท๎งลูก ถ๎าไมํแท๎งลูก ลูกที่คลอดออกมา จะตายกอํ นคลอดหรือเป็นมมั ม่ี หรอื ลกู สกุ รทีค่ ลอดจะอํอนแอ สํวนในลกู สตั ว์มีอาการไข๎ แล๎วคํอยๆ ลดลงภายใน 48 ชั่วโมง มอี าการดีซํานโดยมีเม็ดเลอื ดแดงลดลงและเมด็ เลือดขาวเพ่ิมขึ้นจากปริมาณปกติ เช้ือโรคนี้สํวนใหญํเป็นสาเหตุ ทําให๎ไตถูกทําลายโดยไตจะมีจุดสีขาว ในกรณีเช้ือรุนแรงโดยเฉพาะท่ีเกิดกับลูกสัตว์อาจทําให๎ตายภายใน 5 -7 วัน สวํ นลูกสัตว์ทีก่ นิ นมํนา๎ เหลอื งจากแมทํ ่เี คยเปน็ โรคแล๎วหาย จะมีภมู ิค๎ุมกนั โรคนาน 1-2 เดือน เชือ้ โรคนถี้ กู ขับออกจาก ราํ งกายทางปสั สาวะและสิ่งขับถํายท่แี ท๎งออกมา ทําให๎เชอื้ โรคแพรรํ ะบาดได๎ ส่งิ ท่บี งํ บอกวาํ ฟาร์มไดเ๎ กิดโรคเล็ปโตสไปโรซีส (ภาพท่ี 8.11) คือ 1. การแท๎งลกู ในชํวงท๎องได๎ 2 เดอื น จนกระทง่ั ใกล๎คลอด 2. ลกู สตั ว์ตายกํอนคลอดมากกวาํ ลกู สัตวท์ ี่คลอดมีชวี ิต 3. ลูกสัตว์ทค่ี ลอดออกมาออํ นแอ 4. ํน๎าปัสสาวะของแมํสุกรมสี ํนี ๎าตาลเข๎ม ภาพท่ี 8.11 โรคเลป็ โตสไปโรซีส เช้ือเล็ปโตสไปรําทําใหแ๎ มสํ กุ รแท๎งลกู ระยะต๎นถึงใกลค๎ ลอด ทมี่ า: สวุ รรณา พรหมทอง, (มปพ.) การปอู งกนั 1. การจดั การฟารม์ และการสขุ าภบิ าลท่ดี ี
2. การกกั โรคสตั วใ์ หมํและการตรวจโรค การรกั ษา 1. ใชย๎ าปฏชิ ีวนะ ไดแ๎ กํ ยาสเตรป็ โตมยั ซินหรือกลํุมยาเตตรา๎ ไซคลนิ 2. ใช๎ยาฆาํ เชื้อโรคราดพืน้ คอกนาน 2-3 สปั ดาห์ 6.16 โรคท็อกโซพลาสโมซีส (Toxoplasmosis) โรคทีพ่ บไดใ๎ นสกุ รทกุ อายุ แตํลกู สุกรและแมสํ กุ รจะแสดงอาการรนุ แรงมากกวํา สาเหตุ เกิดจากเช้ือโปรโตซัว Toxoplasma gondii พบได๎ในอุจจาระแมวและสามารถอยํูในดินช้ืนได๎นาน หลายเดือน การตดิ ตอํ 1. กนิ ํนา๎ และอาหารทมี่ ีเชื้อโรคปะปนอยูํ 2. การหายใจเอาเชอื้ ทีอ่ ยํูในอากาศเขา๎ ไป อาการ แมํสุกรแสดงอาการเบอื่ อาหาร อาเจียน หายใจลําบาก ไข๎สูง 104-106 องศาฟาเรนไฮต์ และสํวนท๎ายไมํมี แรงหรืออมั พาต ในรายรนุ แรงแมสํ ุกรจะตายภายใน 1-2 วันหลังแสดงอาการปุวย แมํสุกรท๎องอาจจะแท๎งหรือให๎ลูก สกุ รตายหรอื ออํ นแอ แตํลกู สุกรพบอาการรนุ แรงมากกวําและสามารถติดตอํ ถงึ ลูกสุกรไดโ๎ ดยทางํนา๎ นมแมํ ลกู สุกร แสดงอาการหายใจลาํ บาก เย่อื ตาอกั เสบ ขีไ้ หล ควบคุมตัวเองไมํได๎และส่ัน และอัตราการตายสูงถึง 100 เปอร์เซ็นต์ สุกรรุํนและสุกรใหญํ แสดงอาการไข๎สูง เบ่ืออาหาร ไอ หายใจลําบากเล็กน๎อย ผิวหนังท่ีหูและท๎องอาจจะ แดง พบอตั ราการเกดิ โรค 20-30 เปอรเ์ ซ็นต์ แตอํ ตั ราการตายํตาํ (ภาพท่ี 8.12) ภาพที่ 8.12 วงจรชีวิตของโรคทอ็ กโซพลาสโมซีส ที่มา: สุวรรณา พรหมทอง, (มปพ.) การปูองกนั 1. กําจัดแมวพาหะของโรคออกจากฟารม์ 2. มกี ารจดั การฟารม์ และการสุขาภิบาลท่ีดี 3. มกี ารกกั โรคสุกรใหมํ
การรักษา ใช๎ยาซัลฟาไดอะซีน (72.6 มลลิกรัมตํอํน๎าหนัก 1 กิโลกรัม) และยาไพริเม็ธทามีน (0.44 มลิ ลกิ รัมตํอํนา๎ หนกั 1 กโิ ลกรัม) และอาจเสริมวิตามินบีด๎วย 6.17 โรคพษิ สนุ ัขบ๎าเทียมหรือโรคเอดี (Pseudorabies หรือ Aujesky’s disease, AD) เป็นโรคระบาดที่ทําให๎สัตว์เป็นโรคแบบปัจจุบันและทําให๎สัตว์ตายเน่ืองจากผลของเช้ือตํอระบบประสาท (nervous system) โรคนี้กํอให๎เกิดความสูญเสียตํออุสาหกรรมการเล้ียงสุกรเป็นอยํางมาก โดยสุกรที่ได๎รับเช้ือจะมี อาการทางระบบการหายใจ ระบบประสาท และระบบการสืบพันธ์ุ เป็นได๎กับสุกรทุกอายุแตํความรุนแรงของโรคจะ เกิดกับลูกสุกรและสุกรเล็ก อัตราการเกิดโรคและอัตราการตายสูง และสุกรที่ฟ้ืนจากโรคจะเป็นพานะของโรคและ สามารถปลํอยเชื้อโรคออกมากับลมหายใจ อาจเกิดโรคในสัตว์เล้ียงลูกด๎วยนมทุกชนิดและสัตว์ปีกอีกหลายชนิด เชํน โค แกะ สนุ ัข และแมว จะทําให๎เกิดสมองอกั เสบและมอี าการคนั (itching) อยํางรนุ แรงและเดํนชดั สาเหตุ เกิดจากเชอ้ื ไวรสั ในกลํมุ เฮอร์ปีส์ไวรัส (Herpesvirus) ชอ่ื Herpes suis การติดตํอ 1. สัมผัสกบั สุกรตัวทีเ่ ป็นพาหะของโรค 2. กนิ อาหารหรอื ํนา๎ ที่มีเชอื้ โรค 3. การหายใจเอาเชอื้ โรคท่อี ยํใู นอากาศเข๎าไป 4. การผสมพันธก์ุ บั สุกรทเ่ี ปน็ โรค (เช้อื โรคถูกขบั ออกทางํนา๎ เชอ้ื ) 5. เช้ือโรคเขา๎ ทางเยอ่ื บตุ า 6. เชือ้ โรคสามารถถกู ขบั ออกมาทางํน๎านมของแมํสุกรและผํานรก ในขณะทม่ี ีการตั้งทอ๎ ง 7. หนูบา๎ นเป็นตวั แพรเํ ชือ้ โรค ระยะฟักตัว 36-48 ชัว่ โมง อาการ มากหรือน๎อยขน้ึ อยูํกับอายุ อาการจะรนุ แรงในลูกสกุ รแรกคลอด ลูกสุกรท่ีปุวยจะล๎มลงภายในไมํก่ีชั่วโมงภายหลังจากการติดเชื้อ มีไข๎สูงถึง 108 องศาฟาเรนไฮต์หรือ 42 องศาเซลเซยี ส สุกรควบคมุ การเคล่ือนไหวไมไํ ด๎ ต่ืนเต๎น กลา๎ มเนอ้ื กระตุกอยํางแรง แลว๎ ล๎มลงโดยขาอยํูในลักษณะถีบ จกั รยาน (อาจพบอาการท๎องเสียและอาเจียนได๎ และํนา๎ ลายฟูมปาก ลกู สุกรอาจได๎รับเชอ้ื ตวั นี้กอํ นคลอด ซ่ึงจะพบลูก สุกรตายภายใน 2 วันหลังคลอดและลูกสุกรท่ีได๎รับเช้ือตัวน้ีทันทีที่คลอดออกมา อาจแสดงอาการให๎เห็นเม่ืออายุ 2 วันและมักตายเมื่ออายุ 5 วัน และพบวําอัตราการตายของลูกสุกรท่ีมีอายํุตํากวํา 2 สัปดาห์จะสูงถึง 100 เปอร์เซ็นต์ และอัตราการตายของลูกสุกรท่ีมีอายุมากกวํา 3 สัปดาห์ข้ึนไปจะลดลงประมาณ 5 0 เปอร์เซ็นต์ เนือ่ งจากความสามารถในการต๎านโรคมีมากขึ้น เมื่อสุกรโตข้ึนและอัตราการตายจะลดลงเหลือเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ใน สกุ รที่มอี ายุ 5 เดอื นขน้ึ ไป สกุ รรํนุ ท่ปี วุ ยจะมีไข๎สูง เบื่ออาหาร ไมํอยํูน่ิง หายใจลําบาก ตัวส่ัน และควบคุมตัวเองไมํได๎โดยเฉพาะสํวน ของขาหลัง และสุกรปุวยจะชักตายในท่สี ดุ สกุ รที่ฟ้ืนจากโรคจะเปน็ พาหะของโรคและสามารถปลํอยเช้ือโรคออกมากับ ลมหายใจ สกุ รใหญทํ ป่ี วุ ยมกั แสดงอาการไมรํ นุ แรง อาการสํวนใหญํเปน็ อาการทางระบบหายใจ ไดแ๎ กํ ไอ จาม มีํน๎ามูก และหายใจลาํ บาก สวํ นอาการซึม อาเจียน ท๎องเสยี หรอื ทอ๎ งผกู อาจพบได๎ในสุกรบางตัว ถา๎ สุกรท๎องปุวยจะแทง๎ ลกู เพราะเชื้อสามารถผํานทางรกได๎ ซึ่งทําให๎เกิดความไมํสมบูรณ์ในแมํสุกรสูงถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ถ๎ามีการติดเชื้อภายใน 30 วันแรก ของการต้ังท๎องทําให๎เอมบริโอตายและถูกดูดซึมกลับ ถ๎าต้ังท๎องได๎ ประมาณ 40 วัน (เปน็ ระยะท่ีมกี ารสรา๎ งกระดกู แลว๎ ) ทาํ ให๎ตวั อํอน (fetus) ตายหมดหรือตายเป็นบางตัว และอาจ
มกี ารขบั ตวั ออํ นออกมา (แทง๎ ลกู ) ถา๎ แมํสกุ รทมี่ กี ารตดิ เช้อื ในระยะทา๎ ยๆ ของการตงั้ ทอ๎ ง ทาํ ใหเ๎ กิดการตายขณะคลอด หรือลูกที่ออกมามีสภาพอํอนแอหรือพบเป็นลักษณะการตายและการแชํยุํย (maceration) ของลูกที่ออกมา รวมทั้ง อาจพบการขบั ตวั อํอนในสภาพดังกลําวออกมาเมื่อพน๎ กําหนดคลอดไปแล๎วถึง 2-3 สัปดาห์ และท่ีสําคัญคือถ๎าแมํสุกร ได๎รบั เชอ้ื ในระยะใกลเ๎ คียงกับกาํ หนดคลอดมาก ลกู สกุ รแรกเกดิ มโี อกาสได๎รับเชื้อไวรัสท่ีผํานทางํน๎านมได๎ แมํสุกรปุวย มักไมํตายและแสดงอาการปุวยเพียงเล็กน๎อยเทําน้ัน แตํถ๎าได๎รับสายเช้ือท่ีมีความรุนแรงมากๆ อาจทําให๎เกิดการปุวย เหมอื นสุกรใหญํท่วั ไปและถงึ ตาย สุกรปุวยท่ีฟ้ืนจากโรคนี้จะมีภูมิค๎ุมกันสูงขึ้นอาจอยํูได๎เป็นปี แมํสุกรสามารถถํายทอดภูมิคุ๎มกันโ รคนี้ให๎แกํลูก สกุ รได๎โดยทางนมํน๎าเหลือง สามารถปูองกันโรคได๎นาน 5 สัปดาห์ ถึง 4 เดือน ขึ้นอยูํกับระดับภูมิค๎ุมกันโรคในนม ํนา๎ เหลืองและปรมิ าณนมํนา๎ เหลอื งที่ลูกสุกรกินเข๎าไป ภูมคิ ุ๎มกนั โรคนไี้ มํสามารถปูองกันลูกสุกรจากการติดเชื้อไวรัสตัวนี้ ได๎ เพยี งแตํภมู ิคุ๎มกันโรคนี้จะปอู งกันไมํใหเ๎ ช้อื ไวรสั แทรกเขา๎ ไปในเน้อื เย่อื ของลกู สกุ รได๎ เม่ือภูมิค๎ุมกันโรคนี้ลดลงสุกรก็ เร่มิ ไวตํอเชอ้ื ไวรัสตัวน้ี และเม่ือสุกรมีอาการเครียดเช้ือไวรัสภายในตัวจะเพิ่มจํานวนมากข้ึนและแทรกเข๎าเนื้อเยื่อของ ราํ งกาย เป็นผลใหส๎ กุ รตวั นั้นเรมิ่ แสดงอาการปวุ ยออกมาให๎เห็น การปูองกนั 1. ทาํ วคั ซีนปูองกนั โรคพษิ สนุ ัขบา๎ เทยี มตามโปรแกรมท่กี ําหนดไว๎ (ถ๎ามีโรคน้รี ะบาด) 2. การจดั การควบคุมโรคที่เข๎มงวด 3. การสขุ าภบิ าลทด่ี ี 4. การเลีย้ งดูดีและอาหารดี 5. การกักโรคและตรวจโรคสุกรใหมํ 6. กําจดั หนู แมลงวัน นก แมว และสนุ ัขทีเ่ ขา๎ มาอยํใู นบรเิ วณฟาร์ม การรักษา ไมํมยี าทีใ่ ชร๎ กั ษาโดยเฉพาะ นอกจากรักษาตามอาการ (ลูกสุกรมักตายจึงไมํแนะนําให๎รักษา) เมื่อ เกิดการระบาดของโรคการให๎เซรุํมภูมิค๎ุมกันสูง (hyperimmune serum) แกํลูกสุกรจะชํวยลดอัตราการตายได๎มาก และให๎ผลดีถ๎าลูกสุกรนั้นเกิดจากแมํท่ีทําวัคซีนมาแล๎ว เม่ือเกิดการระบาดของโรคท่ีรุนแรง พบวําการทําวัคซีนให๎กับ สุกรตัวอื่นๆ หรือฝูงอื่นท่ียังไมํแสดงอาการปุวยทันทีมีแนวโน๎มให๎ผลดีในการควบคุมโรคให๎สงบลงโดยเร็วและลดการ สญู เสยี ทจี่ ะเกดิ ข้นึ ได๎คอํ นขา๎ งเดํนชัด นอกจากนี้ชํวงการระบาดของโรค การให๎ยาต๎านจุลชีพชนิดออกฤทธ์ิกว๎างในรูปละลายํน๎าหรือผสมอาหาร มี ความจําเปน็ มากเพ่อื ปอู งกนั การติดเช้อื แทรกซอ๎ น โดยเฉพาะโรคระบบการหายใจ โปรแกรมการทาํ วัคซีนปูองกนั โรคพษิ สนุ ขั บา๎ เทียม 1. สุกรพํอและแมํพันธุ์ ทําํซ๎าทุกๆ 4-6 เดือน (วัคซีนเช้ือตาย) หรือทําวัคซีนกับแมํสุกรท๎องกํอนคลอด 3 สัปดาห์ และทําํซา๎ อกี คร้ังกอํ นคลอด 1 สปั ดาห์ สํวนสุกรสาวควรได๎รับการทําวัคซีนมากํอนอยํางน๎อย 1 คร้ัง กํอน การใชง๎ านประมาณ 2 สปั ดาห์ 2. ลูกสุกร ทําวัคซีนเม่ือสุกรอายุ 8-9 สัปดาห์ และให๎ทําวัคซีนํซ๎าอีกคร้ังใน 2 สัปดาห์ หรืออาจทําครั้ง แรกเมอ่ื สกุ รอายุ 5-6 สปั ดาห์ และทาํ ํซ๎าอีกครั้งเมอ่ื สกุ รอายุ 10-12 สปั ดาห์
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน 9-10 คะแนน 7-8 คะแนน ความถูกตอ้ งของเนือ้ หา 5-6คะแนน 1.มเี น้ือหาสาระครบถว๎ นสมบรู ณ์ 4-3 คะแนน 2.มีเน้ือหาสาระคอํ นข๎างครบถ๎วน 2-1 คะแนน 3.มเี น้อื หาสาระไมคํ รบถว๎ นแตภํ าพรวมของสาระทัง้ หมดอยูํในเกณฑ์ปานกลาง 0 คะแนน 4. มีเน้ือหาสาระไมคํ รบถว๎ นแตภํ าพรวมของสาระท้งั หมดอยใํู นเกณฑ์ต๎องพอใช๎ 5.มเี นอ้ื หาเพียงเลก็ น๎อยแตภํ าพรวมของสาระทั้งหมดอยูใํ นเกณฑต์ ๎องปรบั ปรงุ 6.ไมํมเี นอื้ หาเลย
ข้อสอบวิชาการเล้ยี งสกุ ร 1. สกุ รสีขาว ลําตัวยาว บ้ันท๎ายใหญํ หวั เรียวเล็ก ใบหูปรก ขาและข๎อเท๎าไมํแข็งแรง คอื (ร๎ูจํา) ก. Large White ข. Landrace ค. Duroe ง. Hampshire จ. Pietrion 2. สกุ รตัวสแี ดง รูปราํ งสนั ทดั หลงั โกงํ คล๎ายธนู ปลายหูปรก คอื (รจู๎ าํ ) ก. ดรู อ็ ค ข. แลนด์เรซ ค. ลาร์จไวท์ ง. แฮมเชียร์ 3. สกุ รทมี่ ีลกั ษณะขนและหนงั สขี าว ใบหูตงั้ ให๎ลูกดก มีการเจรญิ เติบโตดี คอื ข๎อใด(รู๎จํา) ก. ลาร์จไวท์ ข. แลนด์เรซ ค. ดูรอค ง. เพยี เทรน 4. สกุ รสขี าว ลําตวั ยาว หน๎าใหญํ ไหลหํ นา ใบหตู งั้ ขาใหญแํ ข็งแรง คือ(ร๎จู ํา) ก. แลนดเ์ รซ ข. เพียเทรน ค. ดรู ็อค ง. ลาร์จไวท์ 5. องค์การยูซํอมไดม๎ อบสกุ รพนั ธอุ์ ะไรใหก๎ รมปศสุ ตั ว์นาไปเลย้ี ง (ร๎จู ํา) ก. พันธส์ุ มอลไวท์ พนั ธ์มุ ดิ เดลิ ไวท์ พนั ธ์ลุ ารจ์ ไวท์ ข. พันธุ์เบอร์กเชียร์ พนั ธุแ์ ฮมเชียร์ พนั ธุด์ ูรอคเจอร์ซ่ี ค. พนั ธุ์แทมเวอรท์ พันธแ์ุ ฮมเชียร์ พนั ธุเ์ หมยซาน ง. พนั ธุ์ลาร์จไวท์ พันธแุ์ ลนด์เรซ พันธ์ุดูรอคเจอร์ 6. ข๎อใดแสดงให๎เห็นลกั ษณะของพนั ธสุ์ ุกรลาร์จไวท์ (เข้าใจ) ก.ขาวตลอดลําตัว อาจมีจดุ ดําบ๎างไมถํ อื เป็นข๎อตําหนิ หตู ัง้ ข.ขาวตลอดลาํ ตัว (อาจมีจดุ ดาํ งดาํ บ๎างถือเปน็ เร่ืองธรรมดา) หใู หญปํ รก ค.สํีน๎าตาลแดง บางตวั สีจางจนเปน็ สเี หลอื งทอง หปู รกเลก็ นอ๎ ย ง.สดี าํ มีคาดขาวท่ีหัวไหลํลงไปถึงขาหนา๎ ทั้งสองข๎าง หตู ้ัง หัวคอํ นขา๎ งเล็ก 7.ข๎อใดแสดงให๎เห็นลกั ษณะของพนั ธุ์สุกรดูร๏อค(เข้าใจ) ก.ขาวตลอดลําตวั อาจมีจุดดําบา๎ งไมํถอื เป็นข๎อตําหนิ หตู ัง้ ข.ขาวตลอดลําตวั (อาจมจี ดุ ดาํ งดําบ๎างถือเปน็ เรอื่ งธรรมดา) หูใหญปํ รก ค.สํีนา๎ ตาลแดง บางตวั สีจางจนเปน็ สีเหลืองทอง หูปรกเลก็ นอ๎ ย ง.สดี ํา มีคาดขาวท่ีหวั ไหลํลงไปถงึ ขาหนา๎ ทงั้ สองข๎าง หตู ้ัง หวั คอํ นขา๎ งเลก็ 8.ขอ๎ ใดแสดงให๎เห็นลกั ษณะของพนั ธสุ์ ุกรแลนเรช(เข้าใจ) ก.ขาวตลอดลาํ ตัว อาจมีจุดดาํ บา๎ งไมถํ ือเปน็ ข๎อตําหนิ หตู ้ัง ข.ขาวตลอดลาํ ตวั (อาจมีจุดดํางดําบ๎างถอื เป็นเรอื่ งธรรมดา) หใู หญํปรก ค.สํนี า๎ ตาลแดง บางตวั สีจางจนเป็นสเี หลอื งทอง หูปรกเล็กนอ๎ ย ง.สีดาํ มีคาดขาวที่หัวไหลํลงไปถึงขาหน๎าทั้งสองข๎าง หตู ั้ง หวั คํอนขา๎ งเล็ก 9. นกั เรยี นสังการเจรญิ เตบิ โตของพันธุส์ ุกรประเภทพนั ธม์ุ ันได๎อยาํ งไร (นาไปใช)้ ก.สงั เกตจากสีของสกุ รและรปุ ราํ งลักษณะและการเจรญิ เตบิ โตของสุกร ข.สังเกตจากการกนิ อาหารของสกุ ร ค.สังเกตจากลําตัวและสะโพกของสกุ ร ง.สงั เกตจากใบหแู ละความกวา๎ งของสกุ ร 10.นักเรยี นคิดวาํ การสรา๎ งภมู คิ ม๎ุ กันให๎กบั ลกู สกุ รแรกคลอดโดยการใชอ๎ ะไร(นาไปใช้) ก.ฉดี ซีร่ัม ข. ฉีดวคั ซนี ค. ฉดี ยาปฏชิ วี นะ ง. ใหล๎ กู ไดก๎ นิ นมน้ําเหลอื ง 11.นักเรียนคิดวาํ ในการตัดหางของสุกรจะชวํ ยสกุ รมีลักษณะอยาํ งไร(นาไปใช)้ ก.เพอ่ื ใหส๎ ุกรมสี ะโพกใหญํ
ข.เพอ่ื ไมใํ หส๎ กุ รกระดกิ หางไปมาเพราะจะสร๎างความราํ คาญให๎กับสกุ รตวั อ่นื ค.เพ่อื มใิ ห๎สร๎างความรําคาญใหก๎ ับสุกรตัวอน่ื ง.ตดั หางหรือไมตํ ดั หางจะไมมํ ีผลตํอสุกรใดๆ 12.พื้นคอกทีเ่ หมาะสมสําหรบั แมํสกุ รพันธุ์ควรเปน็ พื้นชนดิ ใด(การวเิ คราะห)์ ก. พนื้ ดนิ ข. พื้นไม๎ ค. พน้ื ซีเมนต์ไมํขดั มนั ง. พ้ืนสแลทซเี มนตเ์ สรมิ เหลก็ 13. . สุกรพันธ์ุลาร์จไวทแ์ ละพนั ธแุ์ ลนดเ์ รซเปน็ สกุ รประเภทใด (2:วิเคราะห์) ก. ประเภทพนั ธ์มุ ัน ข. ประเภทพนั ธุ์เนอื้ ค. ประเภทพันธุเ์ บคอน ง. ประเภทพนั ธเ์ุ กํา 14ส่ิงหลกั ในการเลือกสถานทีส่ รา๎ งฟาร์มสกุ ร ส่ิงแรกทคี่ วรพิจารณาคอื (การวิเคราะห)์ ก. การคมนาคมสะดวก ข. เปน็ ท่ีดอนนา้ํ ไมํทวํ ม ค. มไี ฟฟาู สะดวก ง. มแี หลํงนาํ้ ตลอดปี 15.ตามหลักการควรสรา๎ งโรงเรือนสกุ รหนั หน๎าไปทางทศิ ใด(การวิเคราะห์) ก. สร๎างตามตะวัน ข. สร๎างขวางตะวัน ค. สร๎างเฉียงตะวนั ง. สรา๎ งตามใจ 16. สกุ รพันธลุ์ ารจ์ ไวท์ 50%ผสมกบั สุกรแลนด์เรซ 50%นกั เรียนคิดวาํ จะเหมาะสมหรือไม(ํ ประเมนิ คาํ ) ก. เหมาะสมเพราะจะได๎ลูกสกุ รพันธุ ์ุใดพนั ธ์หุ นง่ึ ข. เหมาะสมเพราะทาํ ใหพ๎ นั ธใ์ุ ดพันธุห์ นงึ่ ละ50% ค. ไมํเหมาะสมเพราะทําใหไ๎ ดล๎ ูกสุกรได๎ไมํตรงตามต๎องการ ง. ไมํเหมาะสมเพราะให๎ลกู สุกรไมํแข็งแรง 17.นกั เรยี นคิดวาํ สกุ รสภาพอากาศบ๎านเราเหมาะสมท่จี ะนาํ พนั ธ์ุสกุ รลาร์จไวทห์ รอื ไมอํ ยํางไร(ประเมินคํา) ก.ไมํเหมาะสมเพราะสกุ รพนั ธไ์ุ มํชอบอากาศหนาว ข.ไมเํ หมาะสมเพราะสุกรพนั ธ์ุนต้ี ๎องการอากาศที่มีความอบอุนํ อยํูตลอดเวลา ค.เหมาะสมเพราะสกุ รพันธ์ุนี้สามารถเลีย้ งได๎ทุกพื้นท่ี ง.เหมาะสมเพราะวําสกุ รพันธุ์น้เี หมาะสมท่ีจะเลยี้ งในสภาพอากาศบ๎านเราเทํานน้ั 18.จากขอ๎ ความตํอไปนใี้ หน๎ ักเรยี นเลอื กคําตอบ ข๎อ18-20(สังเคราะห)์ ทกุ วนั นีก้ ารเลี้ยงสุกรจะมคี วามสนใจในการเลย้ี งสุกรมากข้ึนทกุ ๆปเี พื่อ เปน็ อาชีพเสริมให๎แกํตนเองและเปน็ อาชีพหลักยง่ิ เลี้ยงเปน็ จาํ นวนมากจะ มผี ลตํอการสํงกล่ินรบกวนบา๎ นเรอื นทีอ่ ยูํไกล๎เคยี งและเป็นแหลํง เพาะพันธุเ์ ชอ้ื โรคตาํ งๆตามมาในแตํละวันคนเราไดร๎ ับพษิ กล่นิ ทีส่ งํ มา รบกวนโดยไมํรูต๎ ัวท้งั ทางตรงและทางอ๎อมโดยอนั ตรายท่เี กิดขนึ้ จะมี ตงั้ แตอํ าการเลก็ นอ๎ ยจนกระทง่ั รุนแรงอาจเกดิ ทนั ทีหรือสะสมในระยะ 18.อาการดงั กลาํ วทเี่ กดิ จากการสํงกล่นิ เหม็นของการเล้ยี งสุกรเกิดจาก ก.อาการท่เี กดิ จะความเครียด ข.อาการเกดิ จากการหายใจไมสํ ะดวก ค.อาการอาจทําให๎เกดิ มะเรง็ ในปอดได๎
ง.ข๎อกและข เปน็ อาการทีเ่ กิดจากการสงํ กลน่ิ เหม็นของการเล้ียงสุกร 19นักเรียนคดิ วาํ ควรจะมีวิธปี ูองกันอยาํ งไรในฐานะเป็นคนเลีย้ ง ก.ควรเลย้ี งสุกรใหห๎ ํางจากชมุ ชน ข.ควรมรี ะบบการบรหิ ารจัดการเรื่องกล่ิน ค.ควรทาํ ความสะอาดคอกทุกวัน ง.ทุกทีก่ ลาํ วมาเปน็ วิธีทสี่ ามารถปูองกันกล่นิ ได๎ 20.แหลํงเพาะพนั ธุท์ เี่ กดิ จากการเล้ียงสกุ รสํวนใหญํมาจากอะไร ก.คนสัญจรไปมา ข.จากแมลงวัน ค.เกดิ จากสัตวเ์ ลี้ยงชนดิ เขา๎ ถํายอน่ื ง.เกิดจากสภาพอากาศ
แบบประเมนิ แผนการจดั การเรียนรู้ แผนการจัดการเรยี นรู้ที3่ เรอ่ื งพนั ธ์ุสุกร รายวิชาการเล้ียงสกุ รชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 2-3 ช่อื -สกลุ ครผู ูส้ อนนายรัตนวัชร์ เลิศนนั ทรตั น์ ********************* คาช้แี จง แบบประเมนิ แผนการจัดการเรยี นร๎ู ฉบบั นี้ มีวัตถุประสงคเ์ พอื่ ใหท๎ ํานซง่ึ เปน็ ผ๎นู ิเทศได๎กรุณาพจิ ารณาความ เหมาะสม และความสอดคล๎องระหวํางองคป์ ระกอบตาํ ง ๆ ของแผนการจดั การเรียนร๎ู แบบประเมนิ แบํงเปน็ 2 ตอน คอื ตอนที่ 1 แบบประเมนิ ความเหมาะสมของแผนการจัดการเรยี นรเู๎ ป็นการพจิ ารณาองคป์ ระกอบตาํ ง ๆ ของ แผนการจัดการเรยี นรู๎วาํ มคี วามเหมาะสมเพียงใด ตอนท่ี 2 แบบประเมินความสอดคลอ๎ งของแผนการจดั การเรียนรู๎ เป็นการพิจารณาองค์ประกอบตาํ ง ๆ ของ แผนการจดั การเรยี นร๎ูวํามคี วามสอดคล๎องกันเพียงใด ตอนที่ 1 แบบประเมนิ ความเหมาะสมของแผนการจดั การเรยี นรู้ คาชี้แจง โปรดทําเครอื่ งหมาย √ ในชํองระดบั ความเหมาะสมที่ตรงกบั ความคิดเหน็ ของทาํ น และขอความกรุณา เขยี นข๎อเสนอแนะอนื่ ๆ เพอ่ื เปน็ แนวทางในการปรบั ปรงุ แผนการจดั การเรยี นรตู๎ ํอไป ข้อ รายการประเมิน ระดบั ความคิดเหน็ ใช่ ไม่ใช่ 1 แผนการจดั การเรยี นรู๎มอี งคป์ ระกอบสําคัญครบถ๎วนตามแบบฟอร์มทโี่ รงเรยี นกาํ หนด 2 การเขยี นสาระสําคญั ในแผนการจัดการเรยี นรู๎มคี วามถกู ตอ๎ ง 3 จดุ ประสงคก์ ารเรยี นร๎รู ะบุพฤติกรรมชัดเจน สามารถวัดได๎ 4 สาระการเรียนรค๎ู รบถ๎วน สัมพันธ์กับตวั ชว้ี ัด/ผลการเรยี นร๎ู/จดุ ประสงค์การเรยี นร๎ู 5 ระบุวิธกี ารวัดผลประเมินผลอยํางชดั เจน 6 ระบเุ คร่ืองมอื สาํ หรบั การวดั ผลประเมินผลอยาํ งชัดเจน 7 ระบุเกณฑ์การวัดผลประเมนิ ผลอยํางชัดเจน 8 กจิ กรรมการเรียนรม๎ู คี วามเหมาะสม ครบถ๎วนทุกขนั้ ตอนตามวิธีสอน หรือกระบวนการ หรอื เทคนิคการสอนทร่ี ะบไุ วใ๎ นแผนการจัดการเรียนร๎ู 9 ระบุการใช๎สื่อ นวัตกรรม/แหลงํ เรยี นร๎ูสัมพันธ์สอดคล๎องกับกิจกรรมการเรียนรู๎ 10 มีหลักฐานประกอบ เชํน สอื่ ใบกิจกรรม ใบความร๎ู เครอ่ื งมอื วัด ฯ ท่ปี รากฏใน แผนการจัดการเรียนรคู๎ รบถว๎ น
ตอนท่ี 2 แบบประเมนิ ความสอดคลอ้ งองค์ประกอบของแผนการจดั การเรียนรู้ คาชีแ้ จง โปรดทําเครื่องหมาย / ลงในชอํ งทตี่ รงกับความคดิ เห็นของทําน ขอ้ ท่ี รายการประเมนิ สอดคลอ้ ง ไม่แนใ่ จ ไมส่ อดคล้อง (1) (0) (-1) 1 การเขยี นสาระสาํ คญั มคี วามสมั พนั ธส์ อดคล๎องกับตัวชี้วดั / ผลการเรยี นร๎/ู จดุ ประสงค์การเรยี นร๎ู 2 จุดประสงคก์ ารเรียนรู๎มคี วามสอดคลอ๎ งสัมพันธ์กบั สาระการเรยี นร๎ู 3 หลักฐานการเรียนรมู๎ ีความสัมพนั ธ์ สอดคลอ๎ งกบั สาระ การเรยี นร๎ู ตวั ช้ีวัด/ผลการเรียนร๎ู จดุ ประสงคก์ ารเรียนร๎/ู กิจกรรมการเรียนรู๎ 4 วิธีการวัดผลประเมนิ ผลมคี วามสมั พันธก์ บั สาระการเรยี นร๎ู ตัวช้วี ัด/ผลการเรียนร๎ู 5 เครื่องมือวดั ผลประเมนิ ผล มีความสมั พันธ์กับคณุ ลกั ษณะ อันพงึ ประสงค์ของผเ๎ู รยี น 6 เครอ่ื งมือวดั ผลประเมนิ ผล มคี วามสัมพันธ์กับสมรรถนะท่ี สําคญั ของผเู๎ รยี น 7 กจิ กรรมการเรยี นร๎มู ีความสัมพันธ์สอดคลอ๎ งกบั สาระการ เรยี นรู๎ ตวั ชี้วัด/ผลการเรียนรู๎ 8 กจิ กรรมการเรยี นรม๎ู คี วามสมั พันธ์สอดคลอ๎ งกับคุณลักษณะ อนั พงึ ประสงคข์ องผเ๎ู รยี น 9 กิจกรรมการเรยี นรม๎ู คี วามสมั พันธส์ อดคล๎องสมรรถนะที่ สําคัญของผเ๎ู รียน 10 สอ่ื -นวัตกรรม/อุปกรณ์/แหลงํ เรยี นร๎ู มีความสัมพันธ์ สอดคล๎องกบั กิจกรรมการเรียนรู๎ 11 แผนการจดั การเรยี นรม๎ู กี จิ กรรมบูรณาการกบั งานสวน พฤกษศาสตร์โรงเรียน 12 แผนการจัดการเรียนรม๎ู กี จิ กรรมบูรณาการกับหลักปรชั ญา ของเศรษฐกจิ พอเพียง 13 แผนการจดั การเรียนร๎มู กี จิ กรรมบูรณาการกบั งาน ส่งิ แวดลอ๎ ม เกณฑ์การประเมิน ความสอดคล้องของแผนการจดั การเรยี นรู้ ความเหมาะสมของแผนการจัดการเรยี นรู้ คําความสอดคลอ๎ งตอ๎ งมคี ําตั้งแตํ 0.50 ข้ึนไป คะแนนระหวําง 1 - 4 ระดับคุณภาพ ตอ๎ งปรบั ปรงุ คะแนนระหวาํ ง 5 - 8 ระดับคณุ ภาพ พอใช๎ คะแนนระหวําง 9 - 13 ระดบั คุณภาพ ดี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120