Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการเรียนรู้เต็มรูปวิชาการเลี้ยงสุกร

แผนการเรียนรู้เต็มรูปวิชาการเลี้ยงสุกร

Description: แผนการเรียนรู้เต็มรูปวิชาการเลี้ยงสุกร

Search

Read the Text Version

ชิน้ งาน -รายงานคนละ 1 เลมํ เรื่องพันธุส์ กุ ร ภาระงาน -ใหน๎ ักเรียนไปศกึ ษาเพมิ่ เติมเกี่ยวกับลักษณะของพันธ์สุ ุกรแตลํ ะประเภท 8. กิจกรรมการเรียนรู้: เวลาทีใ่ ช้ 4 ชัว่ โมง ชว่ั โมงท่ี 1-2 (ความสามารถในการวเิ คราะห/์ ใฝุเรียนรู/๎ เทคนคิ การสืบคน๎ ) - ข้นั นาเขา้ สูบ่ ทเรียน/ข้นั ต้ังคาถาม 1. ทกั ทายนกั เรยี นกอํ นเรียน 2. เช็ดช่ือนกั เรียนกอํ นเขา๎ สูํบทเรียน ข้ันสอน 1. ทําความเข๎าใจและชีแ้ จงสาระการเรยี นรใ๎ู หน๎ กั เรียนทราบในหนํวยการเรยี นร๎ูเร่อื งพันธุส์ ุกร 2. ครอู ธบิ ายเก่ียวกบั รูปรํางลักษณะของพันธส์ุ ุกรแตํละชนดิ ใหน๎ กั เรียนฟงั 3. ครูใหน๎ ักเรยี นจดบันทกึ ตามทคี่ รอู ธิบาย 4. ครใู หน๎ กั เรยี นทําใบงาน เรื่องพันธส์ุ กุ ร 5. ครูมอบหมายงานใหน๎ กั เรยี นไปทาํ รายงาน เรือ่ ง พนั ธ์ุสกุ ร คละ 1 เลมํ 6. ครูมอบหมายให๎นกั เรียนไปศกึ ษาคน๎ คว๎าเพิ่มเติมเกี่ยวกบั ลกั ษณะของพนั ธุส์ ุกรแตํละชนิดแลว๎ ใหม๎ า แลกเปลยี่ นกันฟงั ขั้นสรปุ 7. ครูและนกั เรียนรวํ มกนั สรปุ เนือ้ หาทเี่ รียนมา 8. ครูนัดหมายการเรยี นคร้งั ตํอไป ชั่วโมงที่ 2 -3 (ความสามารถในการวเิ คราะห์/ใฝุเรียนร/๎ู ชํวยกันคิดชํวยกนั เรยี น) - ข้ันนาเข้าสูบ่ ทเรยี น/ข้ันตงั้ คาถาม 1. ทกั ทายนักเรียนกอํ นเรยี น 2. เช็ดชอ่ื นกั เรียนกอํ นเข๎าสูบํ ทเรียน ข้นั สอน 1. ครแู ละนกั เรยี นทบทวนบทเรียนทผี่ ํานมา 2. ครูให๎นักเรียนมาแลกเปลี่ยนเรียนรู๎เน้อื หาที่ครูมอบหมายในสัปดาหท์ ่ีผาํ นมา 3. ครอู ธิบายเกย่ี วกับประเภทของพันธุส์ กุ รแตลํ ะประเภทให๎นักเรยี นฟงั 4. ครูให๎นกั เรียนจดบนั ทกึ ลงในสมดุ 5. ครใู ห๎นกั เรยี นทาํ ใบงานเรือ่ งปาระเภทของพันธสุ์ ุ ขนั้ สรปุ 6.ครแู ละนกั เรยี นรวํ มกนั สรปุ เนื้อหาทเ่ี รยี นมา 7.ครนู ดั หมายการเรียนครงั้ ตํอไป 9. สือ่ การเรียนการสอน / แหลง่ เรยี นรู้ รายการส่ือ จานวน สภาพการใชส้ ่ือ 1. ส่ือการเรยี น 1 ชุด ขน้ั ตรวจสอบความรู๎เดมิ 2. ใบงาน 1.1 เรือ่ ง พนั ธุส์ ุกร 30 ชุด ตรวจหาคาํ ตอบ 3.ห๎องสมุด สืบค๎นขอ๎ มูล

10. การวัดผลและประเมินผล เปา้ หมาย หลกั ฐานการเรียนรู้ วธิ วี ัด เครื่องมอื วดั ฯ ประเดน็ / -รปู แบบของ -แบบการสงั เกต เกณฑก์ ารให้คะแนน การเรียนรู้ ช้นิ งาน/ภาระงาน รายงาน -เน้ือหาและสํวนประกอบ ครบถว๎ น: 10 คะแนน รายงาน ความเขา๎ ใจ -ความถูกตอ๎ ง -เน้อื หาครบแตํสํวนประกอบของ และความ รายรายงานไมคํ รบ:9 คะแนน นกั เรียนสมารถร๎แู ละ ถูกตอ๎ ง -เนื้อหาและสวํ นประกอบของ รายงานไมํครบ: 8 คะแนน เข๎าใจเก่ยี วกบั พันธุ์ 1.มเี นอ้ื หาสาระครบถ๎วน สุกรได๎ สมบรู ณ์ 9-10 คะแนน ใบงาน 2.มเี นือ้ หาสาระคํอนขา๎ งครบถว๎ น 7-8 คะแนน 3.มเี นอื้ หาสาระไมคํ รบถ๎วนแตํ ภาพรวมของสาระทง้ั หมดอยูํใน เกณฑป์ านกลาง 5-6คะแนน 4. มีเน้ือหาสาระไมํครบถว๎ นแตํ ภาพรวมของสาระท้ังหมดอยใูํ น เกณฑต์ ๎องพอใช๎ 4-3 คะแนน 5.มเี นอ้ื หาเพียงเล็กน๎อยแตภํ าพรวมของ สาระทงั้ หมดอยูํในเกณฑ์ตอ๎ งปรับปรุง 2-1 คะแนน 6.ไมมํ ีเนือ้ หาเลย 0 คะแนน

11. การบรู ณาการตามจดุ เน้นของโรงเรียน (ตัวอยา่ ง) หลักปรัชญาเศรษฐกิจ ครู ผู้เรียน พอเพียง พอดีการเลีย้ งสกุ ร นกั เรยี นมีความรเู้ ก่ียวกับการนาสุกร 6. ความพอประมาณ พอดดี ้านการเล้ยี งสกุ ร มาเลี้ยง 7. ความมเี หตุผล นําสกุ รมาเลี้ยงให๎เพียงพอกบั โรงเรือน รูถ๎ ึงสภาพภมู อิ ากาศท่ีเหมาะสมในการ ทีม่ อี ยูํ เลย้ี งพนั ธุส์ กุ รแตํละประเภท การคานึงสภาพอากาศทจี่ ะนาพนั ธุ์ สุกรทส่ี ามารถมาเล้ียงได้ 8. มีภมู ิคุมกันในตวั ท่ีดี ภมู ปิ ญั ญา : มีความรู๎ รอบคอบ และ ภมู ิปัญญา : มีความร๎ู รอบคอบ และ 9. เงื่อนไขความร๎ู ระมัดระวัง ระมดั ระวงั สรา๎ งสรรค์ 10. เง่อื นไขคณุ ธรรม ความรอบรู๎ เร่ือง การเลี้ยงสุกร ความรอบร๎ู เรอ่ื ง การเล้ียงสุกร ท่เี ก่ียวข๎องรอบด๎าน ความรอบคอบท่ี นาํ ความร๎เู หลําน้นั มาพจิ ารณาให๎ สวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียน จะนาํ ความร๎ูเหลาํ นนั้ มาพิจารณาให๎ เชือ่ มโยงกนั สามารถประยุกต์ใช๎ใน อาหารของสุกร เชอ่ื มโยงกนั เพ่ือประกอบการวางแผน ชวี ติ ประจาํ วัน การดําเนนิ การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู๎ - อาหารทที่ ําจากต๎นกล๎วย ใหก๎ บั ผู๎เรยี น มีความตระหนกั ใน คุณธรรม มี นํ้าวา๎ ความซอ่ื สัตย์สุจรติ และมคี วามอดทน มีความตระหนักใน คุณธรรม มี มีความเพียร ใช๎สติปัญญาในการ ความซ่ือสัตยส์ ุจริตและมคี วามอดทน ดําเนินชีวิต มคี วามเพียร ใชส๎ ตปิ ญั ญาในการ ดาํ เนนิ ชวี ติ ผู้เรยี น อาหารของสกุ ร ครู - นักเรยี นได๎ความรจู๎ ากการนาํ ต๎น กลว๎ ยมาทาํ เป็นอาหารสกุ ร อาหารของสุกร -ใหน๎ กั เรยี นนําต๎นกลว๎ ยมาทาํ เป็น อาหารสกุ ร ส่ิงแวดล้อม ครู ผู้เรยี น การปลกู ต้นกลว้ ย การปลกู ต้นกล้วย การปลูกตน้ กล้วย -ทําให๎เกดิ ความชมุํ ชืน้ ในบริ -ใหน้ กั เรียนนาต้นกล้วยมาปลูก -นกั เรยี นไดค้ วามร้จู ากการปลกู กลว้ ย เวรทปี่ ลกู บรเิ วณเขตพื้นที่รับผิดชอบ ลงชื่อ..................................................ผู้สอน (นายรตั นวัชร์ เลศิ นนั ทรัตน์)

ใบความร้ทู ี่3 พนั ธแ์ุ ละประเภทของสุกร สุกรบ๎านมวี ิวัฒนาการมาจากสุกรปุาโดยวิธีทางธรรมชาติและฝีมือของมนุษย์ในการปรับปรุงพันธ์ุและคัดเลือก พันธ์ุ พันธ์ุสุกรท่ียอมรับกันวําเป็นพันธ์ุแท๎ (pure breed) มีอยูํประมาณ 87 พันธุ์ กระจายอยํูในทวีปยุโรปและ อเมริกา พนั ธุ์สกุ รเป็นปจั จัยท่ีสําคญั ในการพัฒนาการเลยี้ งสกุ ร ทําให๎ฟาร์มมีประสิทธิภาพในการผลิตสูง และสร๎างผล กําไรให๎แกํผ๎ูผลิตสุกรเป็นการค๎า เน่ืองจากสุกรพันธ์ุดีจะมีสมรรถภาพในการสืบพันธุ์ดี มีอัตราการเจริญเติบโตสูง มี ประสทิ ธภิ าพการใช๎อาหารดี ใหผ๎ ลผลิตสงู ใช๎ระยะเวลาในการเล้ียงส้ัน ตลอดจนมีคุณภาพซากดีด๎วย ประเทศไทยมี การปรับปรุงพันธ์ุสุกรกันอยํางมาก มีฟาร์มสุกรขนาดใหญํเกิดขึ้นจํานวนมาก ดําเนินธุรกิจแบบแขํงขัน มีการนําเอา สุกรพันธ์ุตํางประเทศเข๎ามาทําการปรับปรุงพันธุ์สุกรให๎มีคุณภาพดีข้ึน เพ่ือให๎สุกรท่ีผลิตได๎ตรงกับความต๎องการของ ตลาด 4.1 ประเภทของสุกร สกุ รแบํงตามประเภทของการใช๎ประโยชน์เป็น 3 ประเภท คอื 1. ประเภทมัน (Lard type) เป็นสุกรดัง้ เดิม เจรญิ เติบโตช๎า รปู รํางอ๎วนเตีย้ ลําตัวส้นั สะโพกเล็ก ให๎เนื้อ น๎อย มีมนั มาก ไดแ๎ กํ สุกรพันธ์ุพ้ืนเมืองของไทยและจีน ปัจจุบันสุกรพันธ์ุพื้นเมืองมีเหลืออยํูน๎อยมาก ทางภาคใต๎มี มากกวาํ ภาคอสี าน อกี ไมํนานสุกรประเภทน้ีคงจะหมดไป เน่ืองจากผู๎บริโภคไมํนิยมบริโภคํน๎ามันท่ีได๎จากสุกร หันมา บรโิ ภคํน๎ามนั พชื เป็นสํวนใหญํ สุกรพันธุพ์ ืน้ เมอื ง ได๎แกํ พนั ธไ์ุ หหลาํ เหมยซาน ควาย พวง และกระโดน 2. ประเภทเบคอน (bacon type) เป็นสุกรที่มีรูปรํางใหญํ ลําตัวยาวคํอนข๎างบาง ไหลํหนา หลังและเอว แคบ ปรมิ าณเนือ้ แดงมากและปริมาณไขมันนอ๎ ย ความหนาและความลึกของลําตัวน๎อยกวําประเภทเน้ือ ตํางประเทศ นิยมใชท๎ าํ เนื้อสามชนั้ เคม็ เรียกวาํ เบคอน เพราะบรเิ วณเน้ือสามช้ันมีเนื้อแดงและมันสลับกันเป็นชั้น ๆ สุกรประเภท เบคอน ได๎แกํ พันธ์แุ ลนดเ์ รซ (Landrace) ลาร์จไวท์ (Large White) แทมเวิรท์ (Tam Worth) เปน็ ตน๎ 3. ประเภทเน้ือ (meat type) เป็นสุกรที่เกิดข้ึนใหมํโดยปรับปรุงมาจากสุกรประเภทมันเจริญเติบโตเร็ว ประสิทธิภาพการใช๎อาหารดี ให๎ลูกดกพอสมควร รูปรํางสันทัด ลําตัวส้ันกวําประเภท เบคอน ไหลํและสะโพกใหญํ เดํนชัด ให๎เน้ือมาก มันน๎อย หลังโค๎ง ความหนาและความลึกของลําตัวมากกวําประเภทเบคอน สุกรประเภทเน้ือ ได๎แกํพันธ์ุ ดรู อค (Duroc) แฮมเชียร์ (Hamshire) เบอร์กเชียร์(Berkshire) นอกจากน้ียังมีเฮียรืฟอรืด (Hereford) เบลท์วีลล์ (Beltville) โปแลนด์ไชนํา (Poland China)เชสเตอร์ไวท์ (Chester White) มินีโซต๎า (Minesota) มอนตานํา (Montana) ซึง่ ไมํเคยนําเข๎ามาเลยี้ งในประเทศไทย 4.2 พันธ์ุสุกร พันธ์ุสุกรเป็นปัจจัยแรกท่ีมีความสําคัญ เน่ืองจากพันธ์ุเป็นตัวกําหนดลักษณะ และคุณสมบัติของสุกร เชํน การเจริญเติบโต ประสิทธิภาพการใช๎อาหาร คุณภาพซาก ประสิทธิภาพในการสืบพันธ์ุ และการปรับตัวเข๎ากับ สภาพแวดล๎อม ซ่ึงมีผลตํอต๎นทุน คุณภาพซาก และราคาของสุกร ซึ่งทําให๎ผ๎ูเลี้ยงได๎กําไรมากหรือน๎อย พันธุ์สุกร แบํงเปน็ 2 ชนิดคอื 4.2.1 สกุ รพันธพุ์ ืน้ เมอื ง สุกรพันธพ์ุ ้นื เมอื งมถี ิ่นกาํ เนดิ ในทวปี เอเซีย ลักษณะท่ัวไป ลําตัวส้ัน หัวคํอนข๎างใหญํ ไหลแํ ละสะโพกแคบ หลงั แอนํ ท๎องยาน ขาและขอ๎ ขาออํ น ตัวเลก็ ขนาดโตเตม็ ทํนี่ ๎าหนัก80 กิโลกรัม สํวนใหญํสีดํา บางพนั ธุ์อาจมีพื้นทอ๎ งสขี าว เจริญเติบโตช๎า 180-350 กรัมตํอวัน อัตราการเปลี่ยนอาหารประมาณ 5-7 มีเน้ือแดง น๎อย ไขมนั มาก

ข๎อดีของสุกรพันธ์พุ ้ืนเมอื งคือ ทนทานตอํ สภาพดนิ ฟาู อากาศและทนตอํ การตรากตราํ ไดอ๎ ยํางดี ให๎ลกู ดก เล้ียง ลูกเกํงและทนทานตํอการกักขัง สุกรพื้นเมืองมีหลายพันธ์ุ ได๎แกํ สุกรไทย เชํน พันธุ์ควาย ราดหรือกระโดน พวง และสุกรจีน เชํน พนั ธไ์ุ หหลาํ และเหมยซาน (ภาพท่ี 4.1-4.4) สกุ รพันธคุ์ วาย เป็นสุกรท่ีพบมากในภาคเหนือของไทย ลกั ษณะท่ัวไป สคี ลา๎ ยกับสขี องสุกรพันธ์ุไหหลํา ลําตัว สํวนใหญํมีสีดํา จมูกของสุกรพันธ์ุควายชี้ตรงกวําและส้ันกวํา มีรอยยํนที่บริเวณลําตัวมากกวําสุกรพันธ์ุไหหลํา ใบหู ใหญํปรกเล็กน๎อย รูปรํางเล็กกวําสุกรพันธ์ุไหหลํา ขาและข๎อเท๎าไมํแข็งแรงขนาดโตเต็มท่ีตัวผู๎มีํน๎าหนัก 125 -150 กิโลกรัม ตัวเมยี มํนี า๎ หนกั 100-125 กโิ ลกรัม สุกรพันธ์ุราดหรอื กระโดน เป็นสุกรที่เล้ียงมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ลักษณะท่ัวไป สีดํา หัว เลก็ ยาว ลําตวั ส้นั และปูอม กระดกู เล็ก ใบหเู ลก็ ต้งั ตรง วอํ งไว ปราดเปรียว เนื้อแนํนเจริญเติบโตช๎า ขนาดโตเต็มที่ ตวั ผูม๎ ํีนา๎ หนกั 100-120 กิโลกรมั ตัวเมยี มํนี า๎ หนัก 90-100 กโิ ลกรมั สุกรพันธ์ุพวง เป็นสุกรท่ีพบในภาคตะวันออกของไทย ลักษณะท่ัวไป สีดํา ผิวหนังหยาบ ลําตัวยาวเกือบ เทํากับสุกรพันธ์ุไหหลํา ไหลํกว๎าง สะโพกแคบ หลังแอํน ขนาดโตเต็มที่ตัวผู๎มีํน๎าหนัก 90-130กิโลกรัม ตัวเมียมี ํน๎าหนกั 90-100 กิโลกรมั สุกรพันธ์ุไหหลํา เป็นสุกรท่ีเล้ียงอยูํทางตอนใต๎และภาคกลางของประเทศจีน ลักษณะทั่วไป ลําตัวสีดํา ท๎องขาว สีดํามกั เข๎มบรเิ วณหัวไหลํและบน้ั ทา๎ ย หัวไมโํ ตจนเกนิ ไป จมกู ยาวแอํนขน้ึ เลก็ นอ๎ ยคางย๎อย ไหลํกว๎าง ลําตัว ยาวปานกลาง หลังแอํน สะโพกเล็ก ขาและขอ๎ เทา๎ อํอน มอี ัตราการเจริญเติบโตได๎ดีกวําพันธุ์พื้นเมืองอยํางอ่ืน ขนาด โตเตม็ ท่ตี ัวผมู๎ ํนี ๎าหนกั 115-140 กิโลกรมั ตวั เมียมํนี ๎าหนกั 90-115กโิ ลกรมั สุกรพันธุ์เหมยซาน เป็นสุกรที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนน๎อมเกล๎าฯ ถวายแดํสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จํานวน 4 ตัว เม่ือคราวเสร็จเยือนประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ทรงพระ กรุณาโปรดเกล๎าฯ พระราชทานสกุ รดังกลําวให๎กรมปศุสัตว์ เพ่ือการศึกษาและขยายพันธุ์ไปสูํเกษตรกรผู๎มีรายได๎น๎อย ลักษณะทวั่ ไป ลําตวั สีดํา หน๎าผากยํน ใบหูใหญํยาวและปรก ใบหน๎ามีขนสีดํา แตํไมํดก เฉพาะบริเวณลําตัวมีขนสี ขาว มีเต๎านม 16-18 เต๎า เจริญเติบโตเป็นหนํุมสาวเร็ว ขนาดโตเต็มที่ตัวผ๎ูมีํน๎าหนัก 192.5 กิโลกรัม ตัวเมียมี ํน๎าหนกั 172.5 กิโลกรมั และแมํสกุ รพนั ธนุ์ ีใ้ หล๎ ูกดก

ภาพท่ี 4.1-4.4 ภาพสกุ รพันธุพ์ ื้นเมือง ทม่ี า: สวุ รรณา พรหมทอง, (มปพ.) 4.2.2 สกุ รพันธตุ์ ํางประเทศ ประเทศไทยมีการปรับปรุงพันธ์ุสุกรกันอยํางมาก มีฟาร์มสุกรขนาดใหญํเกิดขึ้น จํานวนมาก การดําเนินธุรกิจเป็นแบบแขํงขันโดยนําเอาสุกรพันธุ์ตํางประเทศเข๎ามาทําการปรับปรุงพันธ์ุสุกรให๎มี คุณภาพดีขึ้น เพื่อให๎สุกรท่ีผลิตได๎ตรงกับความต๎องการของตลาด สุกรพันธ์ุตํางประเทศที่สามารถป รับตัวให๎เข๎ากับ สภาพแวดล๎อมและสภาพอากาศของประเทศไทย (ภาพที่ 4.5-4.9)ไดแ๎ กํ สกุ รพันธุล์ าร์จไวท์ มีถน่ิ กําเนิดในประเทศอังกฤษ เป็นสกุ รประเภทเบคอน ถูกนาํ มาเลยี้ งในประเทศไทยต้ังแตํ พ.ศ.2482 เปน็ ลูกผสมของพันธยุ์ อร์คเชียร์ (Yorkshire) กบั พันธแ์ุ ลงเคสเตอร(์ Lechester) และได๎ปรับปรุงพันธ์ุมาจน กลายเป็นพนั ธุล์ าร์จไวท์ ลักษณะทั่วไป สีขาวตลอดลําตัว อาจมีจุดดําบ๎างไมํถือเป็นข๎อตําหนิ หูตั้ง หัวโตขนาดปาน กลาง จมกู ยาว ลาํ ตวั ยาวและลกึ กระดกู ใหญํ ไหลํหนาพน้ื ท๎องขนานกับพื้นดิน หลังและเอวแคบ มันใต๎ผิวหนังบาง ขนาดโตเต็มที่ตัวผม๎ู ํีน๎าหนัก 320-450กิโลกรัม ตัวเมยี มํีน๎าหนกั 230-360 กโิ ลกรัม เปน็ สกุ รทม่ี ีอัตราการเจริญเติบโต รวดเร็ว ประสทิ ธภิ าพการใชอ๎ าหารดี แข็งแรง ให๎ลูกดก เล้ียงลูกเกํง คุณภาพซากดี ขาแข็งแรง นิยมใช๎เป็นพํอแมํ พนั ธุส์ ําหรับผลิตสุกรพนั ธล์ุ ูกผสม 2 สาย เพอ่ื เป็นแมพํ นั ธุ์หรอื สุกรขุนสํงตลาด สุกรพันธแ์ุ ลนดเ์ รซ มีถ่ินกําเนิดในประเทศเดนมารค์ ปรับปรุงจากสุกรพันธุ์ลาร์จไวท์ของอังกฤษและสุกรพันธุ์ พน้ื เมืองของเดนมาร์คเอง และได๎รบั การรับรองเปน็ พนั ธุแ์ ทต๎ ้ังแตํ พ.ศ.2433 สกุ รพนั ธ์ุแลนดเ์ รซถูกนําไปปรับปรุงพันธ์ุ ในหลายประเทศ จนได๎พนั ธุแ์ ทข๎ องประเทศเหลํานั้น แล๎วใสํชื่อประเทศผ๎ูปรับปรุงนําหน๎าเข๎าไป เชํน อเมริกันแลนด์ เรซ เบลเยีย่ มแลนด์เรซ เป็นต๎น ถูกนํามาเลี้ยงในประเทศไทยปีพ.ศ.2506 ลักษณะท่ัวไป สีขาวตลอดลําตัว (อาจมี จุดดาํ งดาํ บา๎ งถอื เป็นเร่ืองธรรมดา) หูใหญํปรก หวั เลก็ เรยี ว ไมํมีรอยยนํ จมกู ยาว ลําตัวยาวมากและลึก (สุกรพันธุ์น้ี มีซโี่ ครงมากกวําพนั ธอุ์ นื่ 1 คูํ อาจมี 16-17คูํ) ไหลกํ วา๎ งและหนา สะโพกโตเห็นเดํนชัด ขาสนั้ เต้ีย ขนาดโตเต็มท่ีตัว ผ๎ูมีํน๎าหนัก 320-400 กิโลกรัมตัวเมียมีํน๎าหนัก 250-340 กิโลกรัม เป็นสุกรท่ีมีอัตราการเจริญเติบโตรวดเร็ว ประสิทธิภาพการใช๎อาหารดีมาก ให๎ลูกดก เลี้ยงลูกเกํง ให๎ํน๎านมดี คุณภาพซากดี เน้ือมาก มันน๎อยและมีมันที่

บริเวณสันหลงั บาง ใหเ๎ น้ือสํวนเบคอนมาก แตํมีข๎อเสียตรงข๎อขาอํอน และไมํทนทานตํออาหารคุณภาพไมํดี นิยมใช๎ เป็นแมํพันธุ์ในการผลิตสุกรพันธ์ุลูกผสม 2 สาย เพ่ือเป็นสุกรแมํพันธ์ุ เพราะมีเต๎านมมาก เต๎านมแตํละเต๎าหํางกัน สะดวกในการให๎ลกู ดดู นม สุกรพันธ์ุดูรอค มีถ่ินกําเนิดทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา เดิมเรียกวํา ดูรอคเจอร์ซี่(Duroc Jersey) ไมํทราบต๎นตระกูลแนํนอน ได๎รับการรบั รองเปน็ พันธ์แุ ทเ๎ มอ่ื พ.ศ.2428 ลกั ษณะทว่ั ไป สํีนา๎ ตาลแดง บางตัว สีจางจนเปน็ สีเหลอื งทอง หูปรกเล็กน๎อย หัวโตพอสมควร จมกู ไมํยาวนัก หน๎ายาวปานกลาง ลําตัวสั้นและหนา ไหลํ และสะโพกหนาและกว๎างอยํางเดนํ ชดั หลังโคง๎ กวาํ พันธุ์อื่น ถ๎าให๎อาหารมากจะอ๎วนมาก ขนาดโตเต็มท่ีตัวผ๎ูมีํน๎าหนัก 300-450 กโิ ลกรมั ตวั เมยี มํีนา๎ หนัก 270-320 กโิ ลกรมั เป็นสุกรที่มีอตั ราการเจริญเติบโตเร็ว มีประสิทธิภาพการใช๎ อาหารดี แข็งแรง สามารถปรบั ตัวเขา๎ กับสภาพแวดล๎อมไดด๎ ี เลี้ยงลูกไมํเกงํ ให๎ลูกดกพอสมควร คุณภาพซากดี นิยม ใช๎เป็นสายพํอพนั ธุ์สําหรับผสมพนั ธเุ์ พือ่ เลย้ี งเปน็ สุกรขนุ เน่ืองจากให๎ลกู ทีเ่ ลย้ี งงาํ ยและโตเร็ว สุกรพันธุ์แฮมเชียร์ มีถิ่นกําเนิดในสหรัฐอเมริกา นิยมเลี้ยงในสหรัฐอเมริกามากเป็นอันดับสองรองจากพันธ์ุดู รอค มีบรรพบุรุษมาจากสุกรพันธุ์เวสเส็กซ์แซ็ดเดิลแบ็ค (Wessex Saddle Back) ของประเทศอังกฤษ ได๎รับการ รับรองเป็นพันธุ์แท๎เมื่อ พ.ศ.2436 ประเทศไทยนําเข๎ามาเล้ียงตั้งแตํ พ.ศ.2519 ลักษณะท่ัวไป สีดํา มีคาดขาวท่ี หัวไหลลํ งไปถึงขาหน๎าท้ังสองขา๎ ง หูตงั้ หัวคํอนข๎างเลก็ ขนาดลาํ ตวั เลก็ กวําดูรอคหลังคํอนข๎างโค๎ง ขนาดโตเต็มท่ีตัวผู๎ มีํน๎าหนัก 270-390 กิโลกรัม ตัวเมียมีํน๎าหนัก 230-320 กิโลกรัม ให๎ลูกดกพอสมควร คุณภาพซาก คํอนข๎างดี นิยมใชเ๎ ป็นสกุ รสายพอํ พันธส์ุ าํ หรับผลิตสุกรลูกผสมเพอ่ื เล้ียงเป็นสุกรขนุ ประเทศไทยไมคํ ํอยนิยม เพราะปรับตัวเข๎ากับ สภาพแวดล๎อมของประเทศยงั ไมํดพี อและ ให๎ผลผลิตสูพ๎ ันธุ์อนื่ ไมํได๎ สกุ รพนั ธ์ุเพียวเตรียน (Pietrain) มีถิ่นกําเนิดในประเทศเบลเย่ียม ลักษณะท่ัวไป สีขาว ลําตัวมีจุดดํา สํวน ไหลํมีเนอื้ แดงมาก อตั ราสวํ นระหวาํ งเน้ือกบั มันดีกวาํ สุกรพนั ธุอ์ ืน่ มีแฮมใหญํ มันบาง ซากดี นิยมใช๎เป็นสุกรสายพํอ พันธุ์สําหรบั ผลิตสุกรลูกผสมเพ่ือเล้ียงเป็นสุกรขุน เมื่อนํามาเล้ียงในประเทศไทย ปรากฏวําโตช๎า ประสิทธิภาพการใช๎ อาหารไมํคํอยดี ไมํเป็นท่ีนยิ มของผูเ๎ ลี้ยงและมปี ญั หาเกย่ี วกบั การชอ็ คตายได๎งาํ ยเมอ่ื ผสมพนั ธุ์

ภาพท่ี 4.5-4.9 ภาพสกุ รพันธตุ์ ํางประเทศ ทีม่ า: สวุ รรณา พรหมทอง, (มปพ.) 4.3 สายพนั ธ์ุสกุ ร สุกรท่ีนิยมเลยี้ งกนั ทั่วโลกรวมท้งั ประเทศไทยดว๎ ย ได๎แกํ สกุ รพันธแุ์ ลนด์เรซ ลาร์จไวท์ และดูรอค เนื่องจาก สุกรเหลําน้ีสามารถปรับตัวให๎เข๎ากับสภาพแวดล๎อมและอากาศของประเทศได๎ดี เลี้ยงงําย มีสมรรถภาพการผลิตสูง และคุณภาพซากดี สุกรแตํละพันธ์ุที่ได๎อยูํในประเทศใดนาน ๆ และได๎รับการปรับปรุงในประเทศน้ันก็จะเป็นสุกรสาย พันธ์ุ (breed line) ของประเทศนั้น ซ่ึงอาจจะมีรูปรํางลักษณะทั้งภายในและภายนอก แตกตํางกันไปมากบ๎างน๎อย บา๎ ง เชํน สุกรพันธแ์ุ ลนดเ์ รซของเดนมาร์คก็เป็นสุกรสายพันธุ์แดนิชแลนด์เรซ สุกรพันธ์ุแลนด์เรซของเบลเยี่ยมก็เป็น สุกรสายพันธ์ุเบลเยี่ยมหรือเบลเย่ียมแลนด์เรซสุกรพันธ์ุแลนด์เรซของอังกฤษก็เป็นสุกรสายพันธ์ุบริทิชแลนด์เรซ สุกร พันธ์ุแลนด์เรซของเนเธอร์แลนด์ก็เป็นสุกรสายพันธ์ุเนเธอร์แลนด์ สุกรพันธุ์แลนด์เรซของอเมริกาก็เป็นสุกรสายพันธุ์ อเมรกิ า ดังนนั้ สกุ รพนั ธุ์ตาํ งประเทศทีส่ ง่ั ซื้อเขา๎ มาในประเทศไทยขณะน้ีจงึ มาจากหลายสายพนั ธุ์ดว๎ ยกนั แลว๎ แตํบริษัทผ๎ู ส่ังซ้ือวําต๎องการสุกรลักษณะใด สุกรแตํละพันธุ์ที่มีในประเทศไทยตํางก็ผสมพันธ์ุระหวํางสายพันธ์ุกัน และลูกสุกรที่ เกิดข้ึนน้ันเป็นลูกผสมระหวํางสายพันธุ์หรือเป็นลูกผสมไปแล๎วชํวงหน่ึง จึงมีลักษณะท่ีดีเดํนกวําพํอแมํ เชํน รูปรําง ลกั ษณะดขี นึ้ ประสทิ ธิภาพการผลิตดีข้ึน ลักษณะการสืบพันธ์ุดีข้ึน ซ่ึงคล๎ายกับลักษณะของการผสมข๎ามพันธ์ุ แตํถ๎า นาํ ลกู ของสุกรพวกน้ี เป็นพอํ แมํพันธกุ์ ็จะไมดํ ีเทํากบั ตวั ของพํอแมเํ อง แตํหากได๎รับการปรับปรุงโดยการคดั เลือกและ

ใบงานท1่ี เร่อื งพันธุ์สุกร ให๎นกั เรียนตอบคาํ ถามตอํ ไปนี้ 1.ใหน๎ กั เรยี นอธบิ ายลักษณะของสกุ รพันธลุ์ าร์จไวท์มาพอเข๎าใจ .............................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................. 2.จากภาพให๎นกั เรยี นเรยี นเติมคาํ ลงในชอํ งวําง ภาพทางซา๎ ยหรอื ทางขวาควรเลอื กไว๎ทําพํอพนั ธุ์……………..................................................... 3.จากขอ๎ 1 ภาพท่คี ดั ไวท๎ าํ พันธเ์ุ พราะ………………………………………………………………... ช่อื -สกุล..................................................................................ช้ัน.....................กลุ่ม...................

ใบงานท่ี2 เรื่องประเภทของพันธสุ์ ุกร คาชแ้ี จง/ใหน้ ักเรยี นตอบคาถามตอ่ ไปนี้ 1.สกุ รสามารถแบง่ ออกไดเ้ ปน็ กป่ี ระเภทอะไรบา้ ง ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................. 2.ให้นักเรียนอธบิ ายประเภทพนั ธ์เุ บคอนมาพอเขา้ ใจ ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................. 3..ให้นักเรียนอธบิ ายประเภทสุกรพันธุ์มนั และสกุ รพันธ์ุเนอื้ มาพอเข้าใจ ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................. 4.สกุ รท่ปี ระเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนนอ๎ มเกล๎าฯ ถวายแดํสมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี คือ สุกรพนั ธอุ์ ะไร ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................. ช่ือ-สกลุ ..................................................................................ช้นั .....................กล่มุ ...................

ผังมโนทศั น์ รายวิชาการเลีย้ งสกุ ร รหัสวิชา ง.20206 ระดบั ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 2-3 หน่วยการเรียนรทู้ ่ี4 เรอื่ งการจัดการเลี้ยงดู จานวน 4 ชว่ั โมง : 10 คะแนน หน่วยการเรยี นรู้ท่ี4 เรื่องการจดั การเล้ยี งดู จานวน 4 ช่ัวโมง : 10 คะแนน ช่ือเร่ืองการจัดการเลี้ยงดู จานวน 4 ช่ัวโมง :10 คะแนน

แผนการจดั การเรยี นรู้ หน่วยการเรียนรทู้ ี่4เรอ่ื งการจัดการเลีย้ งดู แผนจดั การเรยี นรู้ที่1 เร่อื งการเลย้ี งและการดูแลหมใู นระยะตา่ งๆ รายวชิ า การเลีย้ งสุกร รหสั วิชา ง.20206ระดับช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 2-3 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564นา้ หนกั เวลาเรียน 1.00 (นน./นก.) เวลาเรยี น 2 ชั่วโมง/สัปดาห์ เวลาที่ใชใ้ นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 4 ชั่วโมง .......................................................................................................................................................... 1. สาระสาคญั (ความเขา้ ใจทคี่ งทน) การเลย้ี งหมูจะประสบความสําเร็จ ถ๎าเอาใจใสเํ รอื่ งการเลย้ี ง และการดูแลหมูอยาํ งถูกตอ๎ ง แม๎ผเ๎ู ลย้ี งจะ มีหมพู ันธดุ์ ีก็ตาม แตํถา๎ ละเลยในสงิ่ เหลํานีแ้ ล๎ว ปัญหาตํางๆ ก็จะเกิดขึน้ ได๎ เชนํ พอํ หมูผสมไมํเกงํ ผสมติดนอ๎ ย แมํหมู คลอดลกู ยาก ลกู หมูปุวยเป็นโรคทอ๎ งเสีย และมอี ัตราการตายสงู เปน็ ตน๎ 2. มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตัวชวี้ ดั ช้ันปี/ผลการเรยี นรู้/เป้าหมายการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ 4.นกั เรียนสามารถเลยี้ งดูสุกรได๎ 3. สาระการเรยี นรู้ 3.1 เนือ้ หาสาระหลกั : Knowledge (นกั เรียนต๎องรอู๎ ะไร) -การเลยี้ งและการดแู ลหมใู นระยะตํางๆ 3.2 ทกั ษะ/กระบวนการ : Process (นักเรยี นสามารถปฏบิ ัตอิ ะไรได)๎ -การเลยี้ งและการดูแลหมูในระยะตาํ งๆ -การเล้ียงและการดูแลหมพู อ่ พนั ธ์ุ -การเลยี้ งและการดแู ลหมูแมพ่ นั ธ์ุ -การเลย้ี งและการดูแลแม่หมูระหว่างการอุ้มทอ้ ง -การเลี้ยงดูแม่หมูกอ่ นคลอด ระหว่างคลอด และระหว่างการใหน้ ม -การดแู ลแมห่ มรู ะหวา่ งคลอด -การเลย้ี งดแู ม่หมูระหวา่ งการใหน้ ม 3.3 คณุ ลัการเล้ยี งดแู มห่ มูระหวา่ งการให้นมกษณะที่พึงประสงค์ : Attitude (นกั เรียนควรแสดงพฤติกรรม การเรียนอะไรบ๎าง) 1.มีวนิ ัย 2.มคี วามรับผดิ ชอบ 3.ตรงตํอเวลา 4.มุํงม่นั ในการเรยี น 4. สมรรถนะสาคัญของนักเรียน 4.2 ความสามารถในการคิด 4.3 ความสามารถในการแกป๎ ญั หา 4.4 ความสามารถในการใช๎ทกั ษะชีวติ 5. คุณลักษณะของวิชา 1.ความรับผิดชอบ 2.ตรงต่อเวลา 6. คณุ ลักษณะทีพ่ งึ ประสงค์ 1. ซื่อสัตยส์ ุจริต 2. มวี ินยั 3. ใฝเุ รียนร๎ู

4. มุํงมน่ั ในการทํางาน 7. ช้นิ งาน/ภาระงาน : - ใบกิจกรรมท่ี 1 เรือ่ งการจดั การลัย้ งดู ช้นิ งาน ใบงาน ภาระงาน -ให๎นักเรียนไปศึกษาเพม่ิ เตมิ เกย่ี วกับเนอ้ื หาท่ีเรียนมา 8. กจิ กรรมการเรยี นรู้: เวลาท่ีใช้ 4 ช่ัวโมง ชัว่ โมงท่ี 1-2 (ความสามารถในการวิเคราะห์/ใฝุเรยี นร๎/ู เทคนคิ การสืบค๎น) - ขั้นนาเข้าสูบ่ ทเรียน/ขนั้ ตง้ั คาถาม 1. ทักทายนักเรยี นกอํ นเรียน 2. เช็ดชอื่ นักเรียนกอํ นเขา๎ สํูบทเรยี น ขัน้ สอน 1.ทําความเขา๎ ใจและชแี้ จงสาระการเรยี นรูใ๎ ห๎นักเรียนทราบในหนํวยการเรียนรเ๎ู รื่องการเลยี้ งและการดูแลหมูใน ระยะตํางๆ -การเลี้ยงและการดูแลหมูพ่อพันธุ์ -การเลีย้ งและการดแู ลหมแู ม่พนั ธุ์ -การเลี้ยงและการดแู ลแม่หมูระหว่างการอ้มุ ท้อง -การเลี้ยงดูแม่หมกู ่อนคลอด ระหว่างคลอด และระหว่างการให้นม 2. ครอู ธิบายเก่ียวกบั รปู ราํ งลกั ษณะของพนั ธ์สุ ุกรแตํละชนิดให๎นักเรียนฟงั 3.ครูให๎นักเรียนจดบนั ทึกตามท่ีครอู ธิบาย 4. ครูใหน๎ กั เรยี นทําใบงาน เรื่องพันธุ์สกุ ร 5.ครมู อบหมายงานใหน๎ กั เรยี นไปทาํ รายงาน เรอื่ ง พันธุ์สุกร คละ 1 เลํม 6.ครูมอบหมายให๎นกั เรยี นไปศกึ ษาคน๎ ควา๎ เพิ่มเติมเก่ียวกบั ลักษณะของพันธุส์ กุ รแตลํ ะชนดิ แล๎วให๎มาแลกเปลยี่ น กันฟงั ขั้นสรุป 7.ครูและนักเรียนรํวมกนั สรุปเนอ้ื หาทีเ่ รียนมา 8.ครูนดั หมายการเรยี นครงั้ ตอํ ไป ช่วั โมงท่ี 2 -3 (ความสามารถในการวเิ คราะห์/ใฝุเรยี นรู๎/ชวํ ยกันคิดชํวยกันเรยี น) - ข้นั นาเขา้ สบู่ ทเรียน/ขน้ั ตัง้ คาถาม 1. ทกั ทายนกั เรียนกอํ นเรียน 2. เช็ดชื่อนกั เรยี นกํอนเขา๎ สบํู ทเรียน ขน้ั สอน 1. ครแู ละนักเรียนทบทวนบทเรียนทผี่ ํานมา 2. ครใู หน๎ กั เรยี นมาแลกเปล่ยี นเรียนร๎เู น้อื หาทค่ี รูมอบหมายในสปั ดาห์ท่ีผํานมา 3. ครอู ธิบายเก่ยี วกบั การเลีย้ งและการดแู ลหมูในระยะตํางๆ -การดูแลแม่หมรู ะหว่างคลอด -การเลี้ยงดแู มห่ มูระหว่างการใหน้ ม

4. ครใู หน๎ กั เรียนจดบนั ทกึ ลงในสมดุ 5. ครูใหน๎ กั เรียนทาํ ใบงานเรอ่ื งการเล้ยี งและการดูแลหมูในระยะตํางๆ ขน้ั สรุป จานวน สภาพการใชส้ ื่อ 6.ครูและนักเรียนรํวมกนั สรปุ เน้อื หาทเ่ี รยี นมา 1 ชดุ ขัน้ ตรวจสอบความร๎เู ดมิ 7.ครนู ดั หมายการเรียนคร้ังตํอไป 30 ชดุ ตรวจหาคําตอบ 9. ส่ือการเรยี นการสอน / แหลง่ เรยี นรู้ สืบค๎นขอ๎ มลู รายการสอื่ 1. ส่อื การเรียน 2. ใบงาน 1.1 เร่อื ง การเลี้ยงและการดแู ลหมใู นระยะ ตํางๆ 3.ห๎องสมดุ 10. การวดั ผลและประเมินผล เป้าหมาย หลกั ฐานการเรียนรู้ วิธวี ดั เครื่องมอื วดั ฯ ประเด็น/ -ความถกู ต๎อง เกณฑ์การใหค้ ะแนน การเรยี นรู้ ชน้ิ งาน/ภาระงาน ความเขา๎ ใจ 1.มีเนือ้ หาสาระครบถ๎วน และความ สมบูรณ์ 9-10 คะแนน นักเรยี นสามารถ ใบงาน ถกู ตอ๎ ง 2.มีเนื้อหาสาระคํอนขา๎ งครบถ๎วน 7-8 คะแนน อธิบายเก่ียวกบั การ 3.มเี นอ้ื หาสาระไมํครบถว๎ นแตํ ภาพรวมของสาระทัง้ หมดอยูใํ น จดั การเลี้ยงดูสุกรได๎ เกณฑป์ านกลาง 5-6คะแนน 4. มเี นอ้ื หาสาระไมคํ รบถว๎ นแตํ ภาพรวมของสาระท้งั หมดอยํูใน เกณฑ์ตอ๎ งพอใช๎ 4-3 คะแนน 5.มีเนอ้ื หาเพียงเล็กนอ๎ ยแตํภาพรวมของ สาระท้ังหมดอยํูในเกณฑ์ต๎องปรับปรงุ 2-1 คะแนน 6.ไมํมเี นอ้ื หาเลย 0 คะแนน

11. การบรู ณาการตามจดุ เนน้ ของโรงเรยี น (ตัวอย่าง) หลกั ปรชั ญาเศรษฐกิจ ครู ผูเ้ รียน พอเพียง พอดกี ารเล้ยี งสกุ ร นกั เรียนมคี วามรูเ้ กยี่ วกบั การนาสกุ ร 11. ความพอประมาณ พอดีด้านการเลยี้ งสุกร มาเลีย้ ง 12. ความมเี หตุผล นําสุกรมาเลีย้ งให๎เพยี งพอกับโรงเรือน ร๎ถู งึ สภาพภมู ิอากาศที่เหมาะสมในการ ทีม่ อี ยูํ เลี้ยงพันธสุ์ ุกรแตํละประเภท การคานึงสภาพอากาศท่จี ะนาพนั ธ์ุ สุกรที่สามารถมาเลี้ยงได้ 13. มภี ูมิคมุ กนั ในตัวทีด่ ี ภูมปิ ญั ญา : มคี วามรู๎ รอบคอบ และ ภูมปิ ัญญา : มคี วามร๎ู รอบคอบ และ 14. เงือ่ นไขความรู๎ ระมดั ระวงั ระมัดระวงั สรา๎ งสรรค์ 15. เงอ่ื นไขคณุ ธรรม ความรอบร๎ู เรือ่ ง การเล้ยี งสุกร ความรอบรู๎ เรอ่ื ง การเลย้ี งสกุ ร ทเ่ี ก่ียวข๎องรอบด๎าน ความรอบคอบที่ นําความรู๎เหลาํ น้ันมาพิจารณาให๎ สวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรยี น จะนําความร๎เู หลําน้นั มาพิจารณาให๎ เชือ่ มโยงกนั สามารถประยุกต์ใช๎ใน อาหารของสุกร เชอ่ื มโยงกัน เพอื่ ประกอบการวางแผน ชวี ติ ประจําวนั การดาํ เนินการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู๎ - อาหารที่ทําจากต๎นกล๎วย ใหก๎ ับผู๎เรียน มีความตระหนกั ใน คุณธรรม มี น้าํ วา๎ ความซ่อื สตั ย์สุจรติ และมคี วามอดทน มีความตระหนักใน คุณธรรม มี มีความเพยี ร ใช๎สตปิ ญั ญาในการ ความซ่อื สัตย์สุจริตและมคี วามอดทน ดําเนนิ ชีวิต มคี วามเพยี ร ใชส๎ ตปิ ัญญาในการ ดาํ เนนิ ชวี ิต ผูเ้ รยี น อาหารของสุกร ครู - นกั เรียนไดค๎ วามรจ๎ู ากการนาํ ต๎น กล๎วยมาทําเป็นอาหารสกุ ร อาหารของสกุ ร -ใหน๎ กั เรยี นนําตน๎ กลว๎ ยมาทาํ เป็น อาหารสกุ ร สิ่งแวดล้อม ครู ผ้เู รียน การปลกู ตน้ กล้วย การปลูกต้นกลว้ ย การปลูกต้นกลว้ ย -ทาํ ให๎เกิดความชํุมชนื้ ในบริ -ใหน้ ักเรยี นนาตน้ กลว้ ยมาปลูก -นกั เรียนได้ความรูจ้ ากการปลกู กลว้ ย เวรทีป่ ลูก บรเิ วณเขตพนื้ ท่รี ับผิดชอบ ลงช่ือ..................................................ผ้สู อน (นายรตั นวัชร์ เลศิ นันทรัตน์)

ใบงานที่4 เรอื่ งการจดั การเล้ยี งดู 1.ใหน้ กั เรยี นเติมคาในชอ่ งวา่ งใหถ้ ูกตอ้ ง 2.1 ชว่ งเวลาการผสมพนั ธ์ุที่เหมาะสมท่สี ุดคือ………………………………………………………

ใบความรู้ที4่ เรอื่ งการจัดการเลีย้ งดู การเล้ยี งและการดแู ลหมูในระยะต่างๆ การเลี้ยงหมูจะประสบความสาเร็จ ถ้าเอาใจใสเ่ ร่ืองการเล้ียง และการดแู ลหมูอยา่ งถูกตอ้ ง แม้ผู้เลี้ยงจะมหี มูพันธุ์ดีก็ ตาม แตถ่ ้าละเลยในส่งิ เหลา่ น้ีแลว้ ปัญหาต่างๆ ก็จะเกดิ ขึน้ ได้ เชน่ พ่อหมผู สมไมเ่ ก่ง ผสมติดนอ้ ย แม่หมูคลอดลูก ยาก ลูกหมูปว่ ยเป็นโรคท้องเสยี และมีอตั ราการตายสงู เป็นต้น การผสมพันธข์ุ องแมห่ มู การผสมพนั ธุข์ องหมู การเลยี้ งและการดูแลหมูพอ่ พันธ์ุ หมูตัวผูท้ ีจ่ ะนามาใชผ้ สมพันธ์ไุ ด้ดี ควรมีสขุ ภาพแขง็ แรงสมบรู ณ์ มขี นาดและอายทุ ี่พอเหมาะ เพือ่ ให้สามารถผลติ นา้ เช้อื ท่ีมคี ณุ ภาพดพี อเพียง มผี ลทาให้การผสมตดิ สงู และได้จานวนลกู มากเปน็ ปกติ แม้วา่ หมูตัวผูส้ ามารถผลิต อสุจิได้บ้างแลว้ เม่ือมีอายุยา่ งเขา้ ๔ เดอื นกต็ าม แต่จานวนนา้ เชือ้ และอสุจทิ ผ่ี ลติ ได้ จะเพ่ิมมากขึ้น เม่ือหมมู ีอายุ มากข้นึ ดังน้ัน หมูตัวผู้ท่ีจะนามาใช้ผสมพนั ธุ์ ควรมขี นาดใหญ่พอเหมาะที่จะผสมกับแมห่ มูท่ีมีขนาดปกตไิ ด้ โดย ปกติมกั ใช้ผสมพันธ์ุ ได้เมอื่ มีอายุราว ๘ เดอื น และมนี า้ หนักประมาณ ๘๐-๙๐ กโิ ลกรมั สาหรบั หมูพอ่ พนั ธ์ุ ตา่ งประเทศ ควรมีน้าหนกั ราว ๑๑๕ กโิ ลกรัม การเล้ยี งหมพู อ่ พันธ์ุ ปกติใหอ้ าหารวนั ละมอ้ื พอ่ พันธทุ์ ่มี นี า้ หนักมากเกินไปหรอื อ้วน ควรใหอ้ อกกาลังบ้าง หรือลด อาหาร และใหอ้ าหารหยาบมากขน้ึ หมพู ่อพนั ธุถ์ า้ ได้รับการเล้ยี งดูอยา่ งดีจากผูเ้ ล้ียง จะสามารถใชง้ านไดห้ ลายปี โดยไม่มีข้อบกพร่อง แมจ้ ะใชผ้ สมพนั ธ์ุ วนั ละสองคร้ังก็ตาม แตก่ ็ไม่ควรใชง้ านมากเกนิ ไป เพราะการผสมบ่อยๆ หรือตดิ ๆ กนั จะทาให้จานวนอสจุ ลิ ด นอ้ ยลง และอาจมอี สุจิตัวออ่ นท่ไี ม่มคี ณุ ภาพเพยี งพอ ดงั นน้ั หลงั จากฤดูผสมพันธ์ุ ควรจะใหต้ ัวผ้ไู ด้พักผ่อน และออก กาลงั กาย โดยปลอ่ ยในทุ่งหญ้า การเลย้ี งและการดูแลหมแู ม่พนั ธุ์ หมูสาวเจรญิ เติบโตในลกั ษณะเช่นเดยี วกนั กบั หมหู นุ่ม เมื่อมีอายมุ ากขึ้น ปริมาณของไขท่ ตี่ กจากรังไข่จะเพิ่มขน้ึ ทา ใหป้ รมิ าณลกู ทีค่ ลอดมีจานวนมาก จนกระท่ังแม่หมูมีอายปุ ระมาณ ๑๕ เดือน ปริมาณไขท่ ่ีตกก็จะคงท่ี โดยปกติจะ ผสมพนั ธ์หุ มูสาว เมื่อมอี ายไุ ด้ราว ๗-๘ เดือน หรอื นา้ หนักราว ๑๑๐-๑๑๕ กโิ ลกรมั (สาหรับหมูพนั ธพ์ุ ื้นเมอื ง ประมาณ ๘๐-๙๐ กโิ ลกรัม ขนึ้ อย่กู บั ชนิดของหมูพนั ธุ์พนื้ เมืองด้วย) การผสมพันธแ์ุ มห่ มูทมี่ ีขนาดเล็ก หรือมีอายุ นอ้ ยอยู่ จะทาให้อายุการใช้งานของแม่หมูตวั นน้ั สั้นลง และจานวนลกู ท่ไี ดก้ ็นอ้ ยด้วย ท้ังนี้ เนือ่ งจากการตกไข่จากรัง ไขม่ ีน้อย การผสมพันธุ์แม่หมู ควรกะเวลาให้พอดี กับระยะการตกไข่ เพราะจะทาใหไ้ ดผ้ ลดีกวา่ การผสมในเวลาอนื่ แม่หมู สว่ นใหญจ่ ะกลับเปน็ สดั อีกภายใน ๓-๗ วัน หลังการหย่านม แม่หมู แสดงการเป็นสดั นานประมาณ ๔๘-๗๒ ช่ัวโมง (หมสู าวนานประมาณ ๓๖-๖๐ ช่วั โมง) การตกไขเ่ กดิ ข้นึ ประมาณชว่ งกลางๆ ของการเป็นสัด แต่ไข่จะไม่ตกพรอ้ ม กนั ทีเดยี วทง้ั หมด การผสมหมูสาว หรือแมห่ ม ูควรผสมซ้า หรอื ผสมครั้งท่สี อง โดยท้งิ ระยะใหห้ ่างจากคร้ังท่ีหน่ึง ประมาณ ๑๒ ช่วั โมง เป็นอย่างนอ้ ย ปกตกิ ารผสมพันธ์หุ มมู กั ทาในตอนเช้าและเยน็ เพราะอากาศไมร่ ้อน ไมค่ วร ผสมพันธุห์ มขู ณะที่ป่วย หรอื หลังการฉีดวัคซนี ใหม่ๆ วธิ ดี งั กลา่ วนีจ้ ะช่วยใหก้ ารผสมพนั ธ์ุไดผ้ ลดีข้นึ และเพิม่ ลกู ตอ่ ครอกให้มากขึ้น

ขอ้ แนะนาระหว่างการผสมพนั ธห์ุ มคู อื ควรให้อาหารแมห่ มู และหมสู าวใหม้ ากขนึ้ เนอื่ งดว้ ยเหตผุ ลสองประการคือ ประการแรก เนอ่ื งจากแมห่ มูผสมพนั ธคุ์ รั้งใหมห่ ลังการหยา่ นมในชว่ งเวลาส้ัน หมูยงั อยู่ในสภาพที่ไม่แข็งแรงเพยี งพอ ประการท่สี อง เนือ่ งจากระหวา่ งการใหน้ ม แม่หมสู ่วนใหญ่สญู เสยี นา้ หนกั ไปมาก การใหอ้ าหารเพิ่มขนึ้ จะช่วยให้แมห่ มอู ยู่ในสภาพ ท่ีเหมาะสาหรับการใหน้ มครั้งตอ่ ไป ระยะแม่หมูอมุ้ ทอ้ งควรแยกเลี้ยงในคอกขังเดี่ยว ระยะแมห่ มอู ้มุ ทอ้ งควรแยกเลี้ยงในคอกขังเดยี่ ว เครอื่ งตรวจการตั้งทอ้ งของหมู เครื่องตรวจการต้ังท้องของหมู การเล้ียงและการดูแลแมห่ มูระหวา่ งการอมุ้ ท้อง หมตู ัวเมียท่ีไมไ่ ด้รับการผสมพนั ธุ์ หรอื ผสมไม่ได้ผล จะกลบั เป็นสดั อกี ระหวา่ งทุกๆ ๑๘-๒๔ วนั หรือโดยเฉลยี่ ประมาณ ๒๑ วนั แต่ถา้ ผสมได้ผล ก็จะไมก่ ลบั เปน็ สัดอีกเลย ตลอดการอุ้มทอ้ ง เมอ่ื หมตู ัวเมียไดร้ บั การผสมแลว้ ก็ ไม่จาเป็นตอ้ งใหอ้ าหารเพิม่ มากขนึ้ อีก การเล้ียงดใู นช่วงนค้ี วรปฏิบัตดิ ังน้ี ๑. การจดั คอกสาหรบั แม่หมู ระยะท่ีแมห่ มูอุ้มท้องควรแยกมาเล้ยี งในคอกขังเดี่ยว เพราะนอกจากจะควบคมุ การใหอ้ าหารไดแ้ ลว้ ยังชว่ ยปอ้ งกัน ไมใ่ ห้เกิดการทะเลาะววิ าทกับหมตู ัวอนื่ ซึง่ อาจทาให้แมห่ มแู ทง้ ลูกได้ ๒. การใหอ้ าหาร ๒.๑ ชว่ งอุ้มท้องระยะต้น ตั้งแตเ่ ริ่มผสมพนั ธุ์จนถงึ อมุ้ ท้องได้ ๘๔ วนั ในช่วงนไ้ี มจ่ าเป็นตอ้ งให้อาหารมากนัก เพราะ ลูกในทอ้ งเตบิ โตชา้ มาก ควรให้กนิ ประมาณตัวละ ๑.๕-๑.๘ กิโลกรัมต่อวนั กพ็ อเพยี งแลว้ สาหรบั หมูพนั ธพุ์ ืน้ เมือง ก็ต้องลดลงตามส่วน ๒.๒ ช่วงอุ้มท้องระยะหลัง (อุม้ ท้อง ๘๔-๑๐๔ วัน) ในชว่ งน้ลี กู หมูในทอ้ ง มอี ตั ราการเจริญเติบโตสูงมาก ตอ้ งการ อาหารมาก จาเป็นตอ้ งเพิ่มอาหารใหแ้ ก่แม่หมู เป็นวันละ ๒.๕-๓ กโิ ลกรัมตอ่ วัน (ประมาณรอ้ ยละ ๒.๕ ของ น้าหนกั ตัว) ๓. ตรวจการตั้งท้อง หลังจากวันผสมพันธปุ์ ระมาณ ๒๑ วนั และ ๔๒ วัน ควรตรวจดกู ารเป็นสดั ของหมูตัวเมีย หากหมไู ม่แสดงอาการ เปน็ สัด ก็อาจกล่าวไดว้ า่ หมูผสมตดิ และตั้งทอ้ ง แตถ่ า้ หมูแสดงอาการเป็นสดั อกี กใ็ หผ้ สมพนั ธห์ุ มูตัวนัน้ ใหม่ หมูตัว ใดผสมแลว้ ยังไมต่ ้ังทอ้ งติดตอ่ กนั ๓ คร้ัง ใหค้ ัดหมตู วั นน้ั ออกจากฝูง เพอื่ จาหน่ายตอ่ ไป

๔. อุณหภูมิ ภายในโรงเรอื นควรรกั ษาอุณหภูมิให้ต่ามากท่สี ุดเทา่ ทีจ่ ะทาได้ เนอ่ื งจากประเทศเราเป็นประเทศเมอื งร้อน และจาก ผลการวิจัยปรากฏวา่ หากให้หมอู ย่ใู นท่รี ้อนอบอ้าวติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทาให้หมูใหล้ ูกนอ้ ยตัว นอกจากน้ี ความตอ้ งการผสมพันธ์ุ และจานวนเชื้ออสุจขิ องพอ่ หมู กล็ ดลงไปด้วย อณุ หภมู ิทเ่ี หมาะสาหรบั หมูในช่วงนีค้ อื ระหวา่ ง ๑๖-๑๙ องศาเซลเซียส การพ่นยาฆา่ เชื้อบรเิ วณคอกคลอด การพ่นยาฆา่ เชอ้ื บรเิ วณคอกคลอด วัสดแุ ละอุปกรณเ์ พื่อใชค้ ลอดของแมห่ มู๑. อุปกรณท์ าคลอด วสั ดุและอุปกรณเ์ พอ่ื ใช้คลอดของแมห่ มู ๑. อปุ กรณท์ าคลอด วัสดุและอุปกรณเ์ พอ่ื ใชค้ ลอดของแมห่ มู๒. ฟางขา้ วใหค้ วามอบอุน่ วสั ดุและอุปกรณเ์ พื่อใช้คลอดของแมห่ มู ๒. ฟางขา้ วให้ความอบอุ่น การเลีย้ งดูแม่หมกู ่อนคลอด ระหวา่ งคลอด และระหว่างการให้นม ชว่ งระยะก่อนคลอด ระหวา่ งคลอด และ ระยะ ๒-๓ วนั ของการใหน้ ม เปน็ ชว่ งทมี่ ีความสาคัญมากชว่ งหน่งึ ของการ เลีย้ งดหู มู ถ้าการเลยี้ งดใู นระหวา่ งช่วงน้ไี ม่ดพี อ กจ็ ะสญู เสียลูกหมูไป โดยไมจ่ าเป็น การเลย้ี งดูแม่หมูก่อนคลอด ควรปฏิบตั ิ ดังน้ี ๑. การทาความสะอาดคอกคลอด ควรทาความสะอาดไวล้ ว่ งหนา้ ใหเ้ รยี บรอ้ ย ก่อนทจ่ี ะนาแม่หมูเข้าคอกคลอด ประมาณหนึง่ สปั ดาห์ หรือนานกวา่ น้ีกไ็ ด้ เพือ่ ลดโอกาสท่โี รคและพยาธจิ ะ เกิดขึน้ ใหม้ ไี ดน้ อ้ ยทสี่ ดุ ซึ่งโรคและพยาธิ นี้จะ ติดตอ่ ถึงลูกได้มาก เน่อื งจากลกู หมพู ยายามหา ทางไปกินนมจากแมภ่ ายหลังทค่ี ลอดได้ไม่ก่นี าที ลกู หมจู ึงอาจ ตดิ โรคและพยาธิเหล่านไ้ี ดจ้ ากคอก ที่สกปรก การทาความสะอาดคอกคลอด จะใช้ผงซักฟอก หรอื โซดาไฟลา้ งก็ได้ แล้วใช้น้าสะอาดลา้ งใหท้ ว่ั อกี ครัง้ เมื่อคอกแห้งแลว้ จึงใช้ยาฆ่าเช้ือโรคชนิดใดชนดิ หนง่ึ ผสมน้า เจอื จางตาม คาแนะนา แลว้ พน่ ใหท้ ัว่ บริเวณคอก ๒. การถา่ ยพยาธิแมห่ มู กอ่ นถึงกาหนดคลอด ๗-๑๔ วนั ควรถา่ ยพยาธแิ มห่ มู โดยเฉพาะหมูทเ่ี ลย้ี งแบบปลอ่ ยลง แปลง หรือเล้ยี งในคอกท่มี พี ้นื เปน็ ดิน วธิ ีการใชย้ าถ่ายพยาธใิ ห้ดูจากฉลากท่ตี ดิ มากบั ยาชนิดน้นั ๆ ๓. การทาความสะอาดแมห่ มู ปกติท้ังแมห่ มู และหมูสาว จะอมุ้ ทอ้ งนานประมาณ ๑๑๔ วัน เมอื่ อมุ้ ทอ้ งได้ ๑๐๙ วนั ควรย้ายหมูเหล่านั้นไป ยงั คอกคลอด อาบน้าดว้ ยสบู่ ใช้แปรงท่ีมีขนแข็ง ถูให้ทวั่ บรเิ วณร่างกาย โดยเฉพาะตามพ้ืน ทอ้ ง ลาตัว และบรเิ วณเตา้ นม วธิ ีนีจ้ ะกาจดั ไขพ่ ยาธิ และสงิ่ สกปรกทต่ี ิดมากบั ตัวหมอู อกไป ๔. การใหอ้ าหารและนา้ แม่หมู อาหารท่ใี ห้แม่หมใู นชว่ งก่อนคลอดน้ี ควรจะเปน็ อาหาร ชว่ ยระบายอย่างออ่ นๆ ทง้ั นี้ เพ่อื หลีกเลย่ี งการเกดิ อาการท้องผูกของแมห่ มู ชว่ งนผ้ี ูเ้ ลยี้ งอาจเพมิ่ อาหารทมี่ ีเยอื่ ใยสูงลงในอาหารแมห่ มูได้ ราข้าว หรอื จะใหห้ ญ้าสด เช่น หญา้ ขน ก็ได้

การดูแลแม่หมรู ะหว่างคลอด ควรปฏิบัตดิ ังน้ี ๑. การจดั เตรียมวัดสุรองพื้นสาหรับลูกหมู ควรจดั เตรยี มไว้ล่วงหนา้ ก่อนแมห่ มจู ะคลอดหนึ่งวัน หรอื สองวนั วดั สทุ ่ี รองพ้นื ท่คี วรจดั เตรยี มไว้ ได้แก่ ฟางข้าว หญา้ แห้ง หรอื กระสอบท่สี ะอาดและแห้ง วัสดุรองพ้นื ชว่ ยป้องกันขาและ เต้านมของลกู หมู ทเี่ พิง่ คลอด ไมใ่ หไ้ ด้รับอนั ตรายจากพนื้ คอกท่ีหยาบ แขง็ และยังช่วยให้ความอบอนุ่ แก่ลกู หมอู ีก ด้วย ๒. การจดั เตรียมเคร่อื งมือเครื่องใชใ้ นการปฐมพยาบาลลูกหมทู ี่คลอดออกมา เครอ่ื งมอื เคร่ืองใชท้ ่ตี อ้ งเตรยี มไว้ ระหว่างหมูกาลงั คลอด มีดงั น้ี ๒.๑ ผ้าแหง้ ที่สะอาด ๒-๓ ผืน สาหรับเช็ดตัวลกู หมูทคี่ ลอดออกมาใหม่ๆ ๒.๒ คีม สาหรบั ตดั เข้ยี วและหางลกู หมู ๒.๓ ดา้ ยผกู สายสะดอื ๓. การใหอ้ าหารแมห่ มู ถ้าเปน็ ไปไดช้ ว่ งก่อนคลอด ๑๒ ช่ัวโมง และหลังคลอดอกี ๑๒ ชั่วโมง ไม่ตอ้ งใหอ้ าหารเลย นอกจากนา้ สะอาดอยา่ งเดยี ว ๔. การชว่ ยเหลือลกู หมู เมอื่ คลอด ลูกหมเู มื่อคลอดออกมาใหมๆ่ ควรจะช่วยทาความสะอาด เช็ดร่างกายลกู หมใู ห้ แห้ง ด้วยผา้ แห้งทส่ี ะอาด เอาเยอ่ื บางๆ ทีห่ อ่ ห้มุ ตัวลูกหมอู อก โดยเฉพาะเย่อื ทห่ี ุม้ ส่วนจมกู และปาก ควรเช็ด และ ล้วงเสมหะออกจากปากเสียก่อนโดยเร็ว หลงั คลอดไมค่ วรขงั ลูกหมูไว้ ควรปลอ่ ยให้กนิ นมได้เลย นา้ นมแม่เมือ่ แรก คลอด (colostrum) นี้ มีประโยชนต์ ่อลกู หมูมาก และจะมอี ยู่เพยี ง ๒-๓ วนั หลังคลอดเท่านน้ั การเล้ยี งดแู ม่หมูระหว่างการให้นม ควร ปฏบิ ตั ิดังนี้ ๑. ควรให้อาหารเดิมแก่แม่หมู (อาหารทใ่ี ห้แม่หมูตอนใกล้คลอด) ภายหลังคลอดต่อไปอีก ประมาณ ๓ - ๕ วนั จงึ ค่อยเปลยี่ นเปน็ อาหารสตู รใหม่ ๒. อาหารสูตรใหม่ทีใ่ ห้แก่แมห่ มรู ะหว่างการให้นา้ นม ควรมโี ปรตีน และพลงั งาน ไมน่ ้อยกวา่ ในอาหารสาหรับแม่หมู ระหวา่ งการอ้มุ ท้อง ทง้ั นี้เพอื่ ช่วยในการผลติ นา้ นม ๓. การให้อาหารควรเริม่ ให้แต่นอ้ ย วันถัดไปคอ่ ยเพม่ิ จานวนอาหารทใ่ี หก้ ินมากขึ้นไปเร่อื ยๆ เทา่ ท่ีแม่หมูจะสามารถ กนิ ได้ เชน่ แม่หมูมลี กู ๑๐ ตวั อาหารท่ีใหแ้ ม่หมูกินเตม็ ท่ีประมาณ ๕ กิโลกรัม ๔. การเพ่มิ อาหารใหแ้ ม่หมูกนิ เรว็ เกินไป อาจทาให้ลูกหมูเกดิ ข้ขี าวได้ ถา้ เกดิ กรณีเชน่ น้ีผเู้ ลยี้ งควรลดจานวนอาหาร ทใี่ ห้หมลู ง การใช้หลอดไฟในการให้ความอบอ่นุ แก่ลูกหมูเกิดใหม่

การใช้หลอดไฟในการให้ความอบอนุ่ แกล่ ูกหมเู กดิ ใหม่ ใช้ยาฆา่ เชอ้ื เช็ดสายสะดอื ท่ีตดั เพอื่ ป้องกนั การตดิ เช้อื ใช้ยาฆา่ เชอื้ เชด็ สายสะดอื ทต่ี ดั เพอื่ ป้องกันการตดิ เชื้อ การตดั หางลูกหมูแรกคลอดเพื่อปอ้ งกนั การกัดกัน การตัดหางลูกหมูแรกคลอดเพ่อื ปอ้ งกนั การกัดกัน การฉีดธาตุเหล็กให้ลูกหมเู พ่ือป้องกนั โรคโลหติ จาง การเลย้ี งและการดแู ลลูกหมูหลงั คลอดไปจนถึงหยา่ นม การฉดี ธาตเุ หล็กให้ลูกหมเู พอ่ื ปอ้ งกันโรคโลหิตจาง การเลยี้ ง และการดูแลลกู หมู ตั้งแตห่ ลังคลอด ไปจนถึงหยา่ นม นบั ไดว้ ่า เป็นช่วงทีม่ ีความยุ่งยากมากกวา่ ช่วงอนื่ ๆ เป็นชว่ งท่ีมกี ารสูญเสียลูกหมมู ากที่สุด โดยเฉลย่ี ประมาณ ๒ ตัวตอ่ ครอก ซงึ่ อาจเกดิ เน่ืองจากถูกแมท่ ับตาย ท้องรว่ ง อยา่ งแรง อดอาหาร โลหิตจาง และเสยี เลือดมากทางสายสะดือเมือ่ คลอด อย่างไรก็ตามการสูญเสยี ลกู หมใู นช่วงนี้ สว่ นใหญ่เนอ่ื งมาจากการดูแลไม่ดี มากกว่าสาเหตุอ่นื ๆ ดังน้ัน เพือ่ ลดการสูญเสีย ลกู หมใู นชว่ งน้ี ผู้เลีย้ งควร เตรียมการดูแลลกู หมู ดังนี้ ๑. การใหค้ วามอบอุ่น หมูทม่ี ีอายุต่ากว่า ๓ วนั กลไกทค่ี วบคมุ อุณหภูมิภายในร่างกายยงั ไม่ทางาน จึงไม่สามารถปรบั ตัวให้เข้ากบั ความผัน แปรของอุณหภมู ิภายนอกได้ ลกู หมแู รกเกิดที่ถกู ความหนาวเย็นมากๆ หรอื เปน็ เวลานานๆ อณุ หภูมขิ องรา่ งกายจะ ลดลง จะเปน็ ผลให้ลกู หมตู วั นนั้ ตายได้ ๒. การป้องกนั ลมโกรก ไมค่ วรปล่อยใหล้ ูกหมูถูกลมโกรก เชน่ ให้ลูกหมูอยูใ่ นคอกท่ีโปร่งมาก หรือมพี ้นื เปน็ ไม้ระแนง เพราะจะทาให้ลูกหมู เจบ็ ปว่ ยได้ง่าย บรเิ วณสาหรับลูกหมแู รกคลอดหลบั นอน ควรมที ี่กาบงั ลมไว้ประมาณ ๓-๔ วัน จะชว่ ยให้ลกู หมไู ม่ ถูกลมโกรกมากนัก อย่างไรกต็ าม คอกลูกหมูกไ็ ม่ควรปิดทึบ เพราะจะทาใหอ้ ากาศถา่ ยเทไมส่ ะดวก เวลาคอกเปียก ช้ืน จะแห้งยาก ทาให้เกดิ เชอ้ื โรค ลูกหมจู ะเจบ็ ปว่ ยไดง้ ่ายเชน่ กนั ๓. การรกั ษาความสะอาดคอก คอกที่ ใชเ้ ล้ยี งลูกหมคู วรทาความสะอาดอยู่เป็นประจา พืน้ คอกตลอดจนบรเิ วณท่ลี กู หมูนอน ควรจะแห้งและสะอาด อยู่เสมอ ถา้ จาเป็นท่ีจะต้องลา้ งทาความสะอาด เน่ืองจากคอกสกปรก ควรขังลกู หมเู อาไวก้ อ่ น อยา่ ปล่อยออกมาให้ ตัวเปียกน้า ลกู หมูอาจจะหนาวส่ัน และเจบ็ ปว่ ยได้ เม่อื เหน็ ว่า คอกแหง้ พอสมควรดแี ล้ว จึงปล่อยลกู หมตู ามเดิม ๔. การตัดสายสะดอื กอ่ นอ่ืนควรมัดสายสะดือ เพอ่ื ป้องกันเลอื ดออกหลงั ตัด ควรตดั ให้เหลือสายสะดอื ยาวประมาณ ๓-๔ เซนตเิ มตร เมอื่ ลูกหมูยนื ข้ึนสายสะดือจะได้ไม่ตดิ พ้นื คอก จากน้นั เช็ดแผลท่ตี ดั แล้วด้วยทงิ เจอร์ไอโอดนี สายสะดือเป็นสว่ นสาคัญ ท่ี เช้ือโรคจะเขา้ สู่ตวั ลกู หมูได้ การเจบ็ ปว่ ย เชน่ ลกู หมขู าเจ็บหรอื ตาย อาจจะมาจากการละเลยการปฏิบัตดิ งั กลา่ ว

๕. การตัดฟันและการตัดหาง ควรตัดภายหลังท่ีลูกหมูคลอดได้ไม่เกิน ๒๔ ช่ัวโมง การตัดฟนั และหางนี้ ควรทาพรอ้ มกัน ทั้งน้ีเพื่อหลีกเลีย่ งการจับ ตอ้ งลกู หมูหลายๆ คร้ัง การตัดฟนั ลกู หมแู รกคลอดมีฟนั ทแี่ หลมคมอยู่ ๔ คู่ ๒ ค่อู ยทู่ ่ขี ากรรไกรบน อกี ๒ คู่อยู่ทข่ี ากรรไกรล่าง ฟนั ๔ ค่นู ไี้ ม่ มปี ระโยชนตอ่ ลกู หมู แตจ่ ะทาให้ระคายเคอื งต่อเตา้ นมแม่ ขณะท่ีลกู หมูดูดนม จึงควรตัดให้เรียบส้ันหลังคลอด การ ตัดต้องระมัดระวังอย่าใหฐ้ านของฟนั เสยี หรือเหลอื รอยขรขุ ระแหลมคมไว้ หรือเป็นสาเหตทุ ่ีเปน็ อันตรายตอ่ เหงือก (การตดั ฟันลกู หมู โดยไม่ระมดั ระวงั กจ็ ะทาใหเ้ หงอื กได้รับอันตราย จากเครอ่ื งมอื ทใี่ ชไ้ ด้ เช่น ไปตัดโดนเหงอื ก เครอ่ื งมือทใ่ี ชต้ ัดฟัน ถา้ ไมค่ มก็จะตัดฟันได้ไมเ่ รียบ ฐานฟันอาจเสีย และทาให้เหงอื กได้รับอนั ตราย บางคร้ังก็เหลอื รอยขรุขระแหลมคมไวเ้ หมือนขวดแกว้ แตก ฟนั เชน่ น้ี เม่อื ไปกัดหัวนมแม่ จะคมยงิ่ กว่าฟันธรรมดาที่ไมไ่ ด้ถูกตัด) การตัดหาง ปญั หาเรอื่ งลูกหมูกัดหางกัน มักจะเนอ่ื งมาจากการเลี้ยงหมแู บบขงั คอก และเลยี้ งไว้คอกละจานวนมาก ผเู้ ลีย้ งอาจจะตดั หางลูกหมูท้งิ เสียตั้งแต่ยังเลก็ ก็ได้ ควรตัดให้เหลือ เพียง ๑/๔ นว้ิ ไม่ควรทากับหมูทโี่ ตแลว้ ในกรณี ท่เี กิดปญั หาการกัดหางกัน กส็ ามารถแกไ้ ขไดโ้ ดยการผกู โซห่ รอื ยาง หอ้ ยไวใ้ นคอก เพอื่ ให้หมูได้กดั เลน่ ๖. การป้องกนั โรคโลหิตจาง โรคโลหติ จางในลกู หมูมกั เกิดจากการขาดธาตเุ หล็ก ทง้ั น้ี เพราะลกู หมมู คี วามต้องการธาตุเหลก็ มากเกนิ กวา่ ท่ีไดร้ ับ จากน้านมแม่ เน่อื งจากลูกหมูมกี ารเจรญิ เติบโตท่ีรวดเรว็ และธาตุเหลก็ ทเ่ี กบ็ สารองในตวั ลูกหมูท่เี กดิ ใหม่ มอี ยู่ จานวนนอ้ ย เพอ่ื ป้องกันโรคน้ี ผ้เู ลย้ี งควรฉีดธาตเุ หลก็ ให้ลกู หมูประมาณ ๒ ครั้ง ครั้งแรกเมือ่ ลกู หมูอายไุ ด้ ๓ วนั คร้ังถัดไปเมอ่ื ลกู หมมู อี ายุได้ ๒-๓ สปั ดาห์ ๗. การตอนลกู หมตู ัวผู้ ลกู หมูตวั ผูท้ ่ีไม่เก็บไว้ทาพนั ธุจ์ ะตอนเม่ืออายเุ ท่าใดกไ็ ด้ แตท่ ี่เหมาะคอื เม่อื อายไุ ด้ ๒ หรือ ๓ สปั ดาห์ ในชว่ งนี้ อันตรายจากการตอนมีน้อยกวา่ ช่วงท่ีลกู หมโู ตแล้ว เพราะจับลูกหมูไดง้ า่ ยกว่า และแผลก็จะหายเรว็ กวา่ ดว้ ย ๘. การหัดใหก้ นิ อาหารแหง้ กอ่ นลูกหมหู ย่านมอยา่ งสมบรู ณ์ เมือ่ ลูกหมูมอี ายุได้ ๑ หรอื ๒ สัปดาห์ ควรหัดใหก้ นิ อาหารบา้ ง ลูกหมูทีเ่ คยหดั ให้ กนิ อาหารตงั้ แตเ่ ล็ก โดยทวั่ ไปเมอ่ื หย่านม จะเรียนรู้การกนิ อาหารได้เรว็ กว่าพวกท่ีไม่เคยหดั เลย วคั ซนี ป้องกนั โรคอหิวาต์หมู วัคซนี ป้องกันโรคอหิวาต์หมู การเลยี้ งดลู ูกหมหู ลังหย่านม การหยา่ นมลกู หมูจะเร็วหรือชา้ นนั้ นอกจากจะขึน้ อยู่กบั ความสมบรู ณข์ องลูกหมแู ล้ว ยังข้นึ อยกู่ บั ความสามารถของ ผูเ้ ล้ยี ง และคุณภาพของอาหารทีใ่ ช้เลยี้ งลกู หมูดว้ ย ผูเ้ ล้ยี งหมูในบา้ นเรานิยมหยา่ นมลูกหมูทม่ี อี ายุระหวา่ ง ๓-๖ สัปดาห์ ลูกหมูที่หยา่ นมเมอื่ อายยุ ังน้อย หรอื นา้ หนักตวั นอ้ ย มกั จะอ่อนแอ และถา้ การเลีย้ งดไู ม่ดพี อ อาจทาให้ลูก หมแู คระแกร็น หรืออาจถึงตายได้ การเลี้ยงดูลูกหมใู นระยะนจี้ งึ ควรปฏิบตั ิดังนี้ ๑. การหย่านมลกู หมู

ใหถ้ อื น้าหนักเปน็ เกณฑ์ ลูกหมคู วรมนี ้าหนักไม่ต่ากว่า ๕ กิโลกรัม เมอ่ื หย่านม และไมค่ วรขังลูกหมทู ม่ี ขี นาดและ น้าหนกั ไลเ่ ล่ยี กันเกนิ กว่า ๒๐ ตัวไวใ้ นคอกเดียวกัน (ขน้ึ อยกู่ บั ขนาดของคอกด้วย) เนือ่ งจากคอกจะสกปรกมาก และ บางตัวกก็ นิ อาหารไมท่ ันตัวอน่ื ๆ ๒. การรกั ษาความสะอาด เนอ่ื งจากลกู หมูในชว่ งนเี้ ป็นโรคไดง้ า่ ย ความสะอาดจงึ เป็น สิ่งสาคญั ที่ควรระวงั ให้มาก รางอาหาร รางนา้ ตลอดจน คอกหมตู ้องสะอาดอย่เู สมอ พ้นื คอกไม่ควรปลอ่ ยใหเ้ ปยี กแฉะ ดังนั้น คอกต้องมกี ารถา่ ยเทอากาศได้ดี แต่ต้องไม่ โกรกตัวลกู หมูมากนกั ๓. การใหอ้ าหารและนา้ ควรใหอ้ าหาร ลกู หมบู อ่ ยๆ คร้งั ละน้อยๆ จะชว่ ยใหล้ กู หมกู ินอาหารไดม้ ากข้นึ อาหารทเี่ ปียก เหมน็ อับ ควรทง้ิ ไป นา้ สะอาดต้องมีใหล้ กู หมูได้กินตลอดเวลา การขาดนา้ จะทาให้ลกู หมูกนิ อาหารน้อยลง หรือไมก่ นิ อาหารเลย ๔. การถา่ ยพยาธิ หลงั จากลกู หมูหย่านมได้ราว ๒-๓ สปั ดาห์ ควรใหล้ กู หมูกนิ ยาถา่ ยพยาธิ ลกู หมทู ่ีพบวา่ มีพยาธคิ วรถ่ายซ้าอกี คร้ัง ๕. การฉีดวัคซนี หลังจากทีล่ กู หมหู ย่านมแล้ว ราว ๓-๔ สัปดาห์ขนึ้ ไป ผเู้ ลย้ี งสามารถฉีดวัคซนี ให้กับลูกหมูได้ ท้ังน้ีข้นึ อยกู่ ับความ สมบูรณข์ องลกู หมู และควรฉีดวัคซนี กบั ลูกหมูท่ีสมบูรณ์เท่านน้ั ลกู หมหู ลงั ฉีดวัคซนี แล้ว อาจมีอาการไข้ได้ จึงไม่ ควรเอานา้ รดตวั ลกู หมู การตอนไม่ควรทาในช่วงเดยี วกับการฉีดวัคซนี ควรตอนกอ่ นการฉีดวัคซีนอยา่ งนอ้ ย ไมต่ ่ากว่า ๑๐ วัน หรือหลงั การ ฉีดวัคซนี ประมาณสัก ๑ เดอื น การเลี้ยงหมขู นุ บนคอกคอนกรีต การเลย้ี งหมูขนุ บนคอกคอนกรีต การเลยี้ งและการดแู ลหมรู ุน่ และขุนส่งตลาด การเลี้ยงดหู มูระยะน้ี มคี วามยุง่ ยากน้อยกวา่ การเลีย้ งดหู มรู ะยะทีย่ ังไม่หย่านม หลังจากหยา่ นมใหม่ๆ หมูในช่วงน้ี จะเจรญิ เติบโตดี ทั้งหมูท่ีเล้ยี งอยู่ในทงุ่ และบนคอกคอนกรตี ทม่ี ีการสขุ าภบิ าล การควบคมุ โรคและพยาธิ ตลอดจน การให้อาหารท่ถี ูกต้อง การเล้ียง และการจดั การดแู ลหมรู ะยะน้ี ควรปฏิบัติดังน้ี ๑. การจดั คอกเลี้ยง ๑.๑ การจัดคอกสาหรับหมขู ุนขาย ควรจัดเอาหมูทม่ี ขี นาดและเพศเดยี วกัน ขังเลี้ยงไว้ในคอกเดียวกนั เพ่ือช่วยให้ หมเู ติบโตมีขนาดไล่เลย่ี กนั และไม่เกดิ ปญั หาแยง่ อาการกนั กนิ ข้ึนในภายหลงั เนอื่ งจากการเจริญเติบโตไมเ่ ทา่ กนั ของ หมูเพศผู้ และเพศเมีย หมเู พศผู้ท่ตี อน มกั เจรญิ เติบโตเร็วกวา่ หมเู พศเมีย แตห่ มูเพศเมยี มีแนวโนม้ การใช้อาหาร ที่มี โปรตนี สงู ไดด้ ีกวา่ และยงั ให้เนื้อแดง และมีลาตัวยาวกว่าหมเู พศผู้ที่ตอนดว้ ย

๑.๒ การจัดคอกสาหรับหมพู ันธุ์ หมทู จี่ ะ เลีย้ งไวเ้ ป็นพอ่ พนั ธุ์ และแมพ่ นั ธ์ุ ในช่วงแรก ไม่ควรเลี้ยงแยกเพศกนั อยา่ ง เดด็ ขาด กลา่ วกันว่า การเป็นหนมุ่ เปน็ สาวชา้ การไมแ่ สดงการเป็นสดั ของหมตู ัวเมีย และการไม่ยอมผสมพันธ์ขุ อง หมตู ัวผูน้ น้ั เปน็ ผลจากการมปี ระสบการณก์ อ่ นเป็นหน่มุ เปน็ สาวไม่เพียงพอ พ่อหมสู ามารถเรียนร้ใู นเรือ่ งเหลา่ น้ไี ด้ดี ท่ีสดุ ในชว่ งอายุระหวา่ ง ๔-๘ เดอื น เมือ่ หมเู ริม่ ผสมพันธไุ์ ด้ ควรแยกออกมาเลีย้ งขังเด่ียว และจากดั อาหารไป จนกระทั่งหมูมนี า้ หนกั ๑๑๕ กโิ ลกรมั ทั้งตวั ผู้ และตวั เมีย ๒. การจัดเตรียมรางอาหาร ควรจดั ใหม้ เี พียงพอกบั จานวนหมู รางอาหารชนดิ อตั โนมตั ิ ชอ่ งอาหารช่องหนง่ึ ๆ ควรจดั ไว้สาหรับหมูไม่เกนิ ๓-๔ ตัว มิฉะน้ันจะมีผลต่อการเจริญเตบิ โตของหมู ๓. การจดั เตรียมนา้ ดื่ม ควรมนี า้ ดื่มสะอาดไวใ้ นทท่ี ่เี หมาะสม ไมค่ วรจัดไวใ้ นท่ที ่ีหมูตวั อนื่ กดี ขวางได้งา่ ย ปกตหิ มูตัวหนงึ่ จะกนิ น้าประมาณ สองเท่าของนา้ หนักของอาหารทก่ี ินเข้าไป ๔. อณุ หภูมิ อุณหภมู ทิ ี่เหมาะจะชว่ ยใหก้ ารเจริญเติบโต และประสิทธภิ าพการใช้อาหารของหมูดขี ึ้น คอื อุณหภูมปิ ระมาณ ๒๑ องศาเซลเซียส หากอากาศรอ้ นเกนิ ไป หมูจะกนิ อาหารน้อยลง และเติบโตชา้ ๕. การถา่ ยเทอากาศ อากาศภายในคอก ควรมีการถ่ายเท หรอื ระบายได้ดี โรงเรอื นที่อับ อากาศจะเกดิ ก๊าซพิษสะสม ซง่ึ มผี ลกระทบตอ่ การเจรญิ เติบโตของหมู และก่อใหเ้ กดิ สงิ่ ผดิ ปกตกิ ับหมไู ด้ เช่น เกดิ มีการกัดหางกันข้ึน เป็นต้น

ผังมโนทศั น์ รายวิชาการเลีย้ งสุกร รหสั วชิ า ง.20206 ระดับช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 2-3 หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี5 เรอื่ งการสุขาภบิ าล จานวน 6 ชว่ั โมง : 10 คะแนน หน่วยการเรียนรู้ที่5 เร่ืองการสขุ าภิบาล จานวน 6 ชั่วโมง : 10 คะแนน ช่ือเรื่องการสุขาภบิ าล จานวน 6 ช่ัวโมง :10 คะแนน

แผนการจดั การเรยี นรู้ หน่วยการเรยี นรทู้ ี5่ เรื่องการสขุ าภบิ าล แผนจัดการเรียนรู้ที1่ เรอื่ งการสุขาภบิ าลสุกร รายวิชา การเล้ียงสกุ ร รหัสวชิ า ง.20206ระดับช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 2-3 ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2564น้าหนกั เวลาเรยี น 1.00 (นน./นก.) เวลาเรยี น 4 ชัว่ โมง/สัปดาห์ เวลาทใ่ี ชใ้ นการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ 4 ช่ัวโมง .......................................................................................................................................................... 1. สาระสาคญั (ความเขา้ ใจที่คงทน) ผ๎ูเลี้ยงสุกรทุกคนมีความต๎องการสุกรท่ีมีสุขภาพดีและปราศจากโรค การท่ีสุกรจะมีสุขภาพดีได๎นั้น ขนึ้ อยํูกับการได๎กินอาหารที่มีคุณภาพดี การจัดการที่ดี การสุขาภิบาลที่ถูกต๎อง และมีการปูองกันโรคที่ดี เม่ือสุกรมี สขุ ภาพดจี ะทาํ ใหผ๎ เ๎ู ลี้ยงสามารถลดตน๎ ทุนคํายาและคํารกั ษาลงได๎ ทาํ ให๎สุกรสามารถให๎ผลผลิตได๎เต็มความสามารถและ ทําให๎ได๎ผลตอบแทนสูง แตํจะทําอยํางไรผู๎เล้ียงถึงจะได๎สุกรที่มีสุขภาพดี จึงเป็นสิ่งท่ีสําคัญมากที่ผู๎เล้ียงต๎องทําความ เขา๎ ใจและปฏิบตั ิตอํ สกุ รอยาํ งถูกตอ๎ งดว๎ ย 2. มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตวั ช้วี ัดช้ันป/ี ผลการเรียนรู/้ เป้าหมายการเรยี นรู้ ผลการเรยี นรู้ 1.นกั เรยี นสามารถอธบิ ายการสุขาภิบาลได๎ 3. สาระการเรียนรู้ 3.1 เนอื้ หาสาระหลกั : Knowledge (นักเรยี นตอ๎ งรอ๎ู ะไร) -การเลี้ยงดสู ุกรชํวงอายุตาํ ง ๆ -การดแู ลพอํ พันธ์ุ -การดแู ลแมํพนั ธุ์สกุ รในชํวงตาํ ง ๆ -การดูแลสุกรเลก็ -การดแู ลสุกรรนุํ -ขุน 3.2 ทักษะ/กระบวนการ : Process (นักเรยี นสามารถปฏบิ ตั อิ ะไรได)๎ -การปฏบิ ัตดิ ูแลสกุ รทวั่ ไป -การปฏบิ ตั เิ ลีย้ งดสู กุ รชํวงอายุตาํ ง ๆ -การปฏบิ ัตดิ แู ลพอํ พันธุ์ -การปฏิบตั ดิ แู ลแมพํ ันธุ์สกุ รในชวํ งตาํ ง ๆ 3.3 คณุ ลกั ษณะทพ่ี ึงประสงค์ : Attitude (นกั เรียนควรแสดงพฤติกรรมการเรยี นอะไรบ๎าง) 1.มวี ินยั 2.มคี วามรบั ผดิ ชอบ 3.ตรงตํอเวลา 4.มํงุ ม่นั ในการเรยี น 4. สมรรถนะสาคัญของนักเรยี น 4.2 ความสามารถในการคิด 4.3 ความสามารถในการแกป๎ ญั หา 4.4 ความสามารถในการใช๎ทกั ษะชวี ติ

5. คุณลักษณะของวิชา 1.ความรับผดิ ชอบ 2.ตรงต่อเวลา 6. คณุ ลักษณะทพี่ ึงประสงค์ 1. ซอื่ สัตยส์ ุจริต 2. มวี ินัย 3. ใฝุเรยี นรู๎ 4. มุํงมนั่ ในการทํางาน 7. ช้ินงาน/ภาระงาน : - ใบกจิ กรรมที่ 1 เรื่องการปฏบิ ตั ดิ แู ลพํอและแมพํ นั ธส์ุ กุ ร - ใบงานที่ 1.1 เร่ือง การปฏบิ ตั ดิ ูแลพํอและแมพํ นั ธุส์ ุกร ช้นิ งาน -ใบงาน ภาระงาน -ใหน๎ กั เรียนไปศกึ ษาเพิม่ เตมิ เกย่ี วกบั การปฏบิ ัติดูแลพอํ และแมพํ ันธส์ุ กุ ร 8. กิจกรรมการเรยี นรู้: เวลาทใ่ี ช้ 4 ชว่ั โมง ชวั่ โมงที่ 1-2 (ความสามารถในการวิเคราะห์/ใฝุเรียนร/๎ู เทคนิคการสืบค๎น) - ข้นั นาเขา้ สู่บทเรยี น/ขน้ั ตั้งคาถาม 1. ทกั ทายนกั เรียนกํอนเรยี น 2. เชด็ ชือ่ นักเรยี นกํอนเข๎าสํูบทเรียน ขน้ั สอน 16. ทําความเข๎าใจและช้ีแจงสาระการเรยี นรใ๎ู ห๎นักเรียนทราบในหนํวยการเรยี นร๎ูเร่ืองการปฏบิ ตั ดิ แู ลพอํ และแมํ พนั ธ์ขุ องสุกร 17. ครอู ธิบายเกย่ี วกับการเล้ยี งดูสกุ รชวํ งอายตุ ําง ๆใหน๎ กั เรียนเข๎าใจ 18. ครอู ธิบายใหน๎ กั เรียนเกี่ยวกับหลกั การความสําคญั ในการดูแลพอํ พันธแุ์ ละการดแู ลแมํพันธ์สุ ุกรในชํวงตาํ ง ๆ อยาํ งละเอยี ดเพื่อใหน๎ ักเรยี นสามารถลงมอื ปฏิบัติไดอ๎ ยํางถกู ต๎อง 19. ครูมอบหมายงานให๎นักเรยี นไปใบงาน เรอ่ื ง การปฏิบตั ิดูแลพํอและแมํพนั ธ์ุ 20. ครมู อบหมายให๎นักเรยี นไปศึกษาคน๎ คว๎าเพ่ิมเติมเกยี่ วการสขุ าภิบาลของสกุ ร ขน้ั สรุป 21. ครแู ละนักเรียนรํวมกันสรุปเนอ้ื หาทเ่ี รียนมา 22. ครูนัดหมายการเรยี นคร้ังตอํ ไป ชว่ั โมงท่ี 2 -3 (ความสามารถในการวิเคราะห/์ ใฝุเรียนรู/๎ ชวํ ยกันคดิ ชวํ ยกนั เรียน) - ขั้นนาเขา้ สู่บทเรยี น/ข้ันตัง้ คาถาม 1. ทกั ทายนักเรยี นกํอนเรยี น 2. เชด็ ชอื่ นักเรียนกอํ นเขา๎ สูํบทเรยี น

ข้นั สอน 1. ครูและนักเรยี นทบทวนบทเรียนท่ีผาํ นมา 2. ครใู ห๎นกั เรยี นมาแลกเปลีย่ นเรยี นร๎ูเนอ้ื หาทีค่ รูมอบหมายในสปั ดาห์ที่ผํานมา 3. ครอู ธิบายเกย่ี วกับหลักการ วิธกี าร การดูแลสกุ รเลก็ อยํางละเอยี ดและสาธิตในการสอนประกอบและการ ดแู ลสุกรรนํุ -ขนุ 4. ครูให๎นักเรียนบนั ทึกองคค์ วามรล๎ู งในสมุด 5. ครใู ห๎นักเรียนทําใบงาน 1.2 เรือ่ งการปฏบิ ตั ิดูแลสุกรเลก็ สกุ รรํนุ -ขุน ขัน้ สรปุ จานวน สภาพการใชส้ ื่อ 6.ครแู ละนกั เรียนรํวมกนั สรปุ เนื้อหาทเ่ี รียนมา 1 ชดุ ขนั้ ตรวจสอบความรู๎เดมิ 7.ครนู ัดหมายการเรยี นครงั้ ตํอไป 30 ชดุ ตรวจหาคาํ ตอบ 30 ชุด ตรวจหาคําตอบ 9. สื่อการเรียนการสอน / แหลง่ เรียนรู้ รายการส่อื สบื คน๎ ข๎อมลู 1. สอ่ื การเรียน 2. ใบงาน 1.1 เรอ่ื ง การปฏิบัติดแู ลพอํ และแมพํ นั ธุ์ 3. ใบงาน 1.2 เรือ่ งการปฏบิ ตั ดิ แู ลสกุ รเลก็ สกุ รรุํน-ขนุ 3.ห๎องสมดุ 10. การวดั ผลและประเมินผล เป้าหมาย หลกั ฐานการเรียนรู้ วิธวี ัด เครื่องมอื วดั ฯ ประเด็น/ การเรยี นรู้ ชิน้ งาน/ภาระงาน เกณฑ์การใหค้ ะแนน เพื่อใหท๎ ราบถึง ใบงาน ความเขา๎ ใจ แนวทางในการ และความ -ความถกู ตอ๎ ง 1.มีเนอ้ื หาสาระครบถว๎ นสมบรู ณ์9-10 ปฏิบตั เิ ลีย้ งดู การ ถกู ต๎อง สุขาภิบาล และการ คะแนน จัดการทีถ่ ูกตอ๎ งตาม หลกั วิชาการ 2.มเี นือ้ หาสาระคอํ นข๎างครบถว๎ น7-8 คะแนน 3.มีเนื้อหาสาระไมคํ รบถ๎วนแตํ ภาพรวมของสาระทั้งหมดอยูใํ นเกณฑ์ ปานกลาง 5-6คะแนน 4มเี น้ือหาสาระไมคํ รบถ๎วนแตภํ าพรวม ของสาระทง้ั หมดอยใูํ นเกณฑต์ ๎อง พอใช๎ 4-3 คะแนน 5.มีเนื้อหาเพียงเลก็ น๎อยแตภํ าพรวมของสาระ ท้ังหมดอยใํู นเกณฑต์ อ๎ งปรับปรุง 2-1 คะแนน 6.ไมมํ ีเนือ้ หาเลย 0 คะแนน

11. การบูรณาการตามจดุ เน้นของโรงเรียน (ตวั อยา่ ง) หลกั ปรชั ญาเศรษฐกิจ ครู ผู้เรยี น พอเพียง พอดกี ารดูแลสกุ ร นักเรียนมคี วามรู้ เกย่ี วกับการดแู ลสกุ รอยา่ งถูกวธิ ี 16. ความพอประมาณ พอดีดา้ นการดูแลสกุ ร รถ๎ู งึ สภาพภูมิอากาศท่ีเหมาะสมในการ เล้ยี งพันธ์สุ กุ รแตลํ ะประเภทแตํละรํนุ ดูแลสกุ รอยาํ งถูกวธิ เี พอ่ื ลดคาํ ใช๎จําย 17. ความมเี หตุผล การคานึงสภาพอากาศที่จะนาพันธุ์ สุกรแต่ละร่นุ ทส่ี ามารถมาเลีย้ งได้ 18. มภี ูมคิ ุมกนั ในตวั ทีด่ ี ภูมิปญั ญา : มีความรู๎ รอบคอบ และ ภูมปิ ัญญา : มีความรู๎ รอบคอบ และ 19. เง่อื นไขความร๎ู ระมัดระวัง ระมดั ระวัง สรา๎ งสรรค์ 20. เงอ่ื นไขคุณธรรม ความรอบร๎ู เร่อื ง การดแู ลสุกร ความรอบรู๎ เร่ือง การดแู ลสกุ ร ท่ีเกยี่ วข๎องรอบดา๎ น ความรอบคอบท่ี นาํ ความรเ๎ู หลาํ นนั้ มาพิจารณาให๎ สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน จะนําความรู๎เหลํานน้ั มาพิจารณาให๎ เชอ่ื มโยงกนั สามารถประยุกตใ์ ช๎ใน อาหารของสุกร เชอ่ื มโยงกนั เพื่อประกอบการวางแผน ชีวติ ประจําวัน การดําเนนิ การจัดกจิ กรรมการเรียนร๎ู - อาหารทีท่ าํ จากต๎นกลว๎ ย ใหก๎ บั ผ๎ูเรียน มีความตระหนักใน คุณธรรม มี นํ้าวา๎ ความซื่อสตั ย์สุจริตและมคี วามอดทน มคี วามตระหนักใน คุณธรรม มี มีความเพียร ใชส๎ ติปัญญาในการ ความซ่อื สัตยส์ ุจรติ และมีความอดทน ดาํ เนินชวี ิต มคี วามเพยี ร ใช๎สติปัญญาในการ ดาํ เนนิ ชีวติ ผ้เู รยี น อาหารของสกุ ร ครู - นกั เรยี นไดค๎ วามรู๎จากการนําต๎น อาหารของสกุ ร กล๎วยมาทําเปน็ อาหารสุกร -ให๎นกั เรยี นนาํ ต๎นกลว๎ ยมาทาํ เปน็ อาหารสกุ ร ส่งิ แวดล้อม ครู ผเู้ รยี น การปลกู ต้นกลว้ ย การปลกู ตน้ กลว้ ย การปลกู ต้นกลว้ ย -ทาํ ให๎เกิดความชมํุ ช้ืนในบริ -ให้นกั เรยี นนาต้นกล้วยมาปลกู -นักเรยี นได้ความร้จู ากการปลูกกลว้ ย เวรที่ปลูก บรเิ วณเขตพืน้ ทีร่ ับผดิ ชอบ ลงชอ่ื ..................................................ผู้สอน (นายรตั นวัชร์ เลิศนันทรตั น์)

ใบกจิ กรรมท่ี 1 เรอ่ื งการปฏิบตั ิดูแลพอ่ และแม่พนั ธุ์สุกร ใบงานที่ 1.1 เรอ่ื ง การปฏบิ ัติดแู ลพอ่ และแม่พันธ์สุ ุกร 1.ให๎นักเรยี นอธิบายข้ันตอนในการเล้ียงดสู ุกรชวํ งอายุตําง ๆมาพอเข๎าใจ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 2.ให๎นกั เรียนบอกวธิ ีการ การดูแลพอํ พนั ธ์ุมาใหถ๎ กู ต๎อง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 3.การดูแลแมพํ นั ธ์สุ ุกรในชํวงตําง ๆ มขี ั้นตอนอยาํ งไรบา๎ งอธิบายมาเปน็ ข๎อๆ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ชอ่ื -สกลุ ...............................................................................................................ช้นั ...............เลขที่.....................

ใบงาน 1.2 เรอื่ งการปฏิบตั ิดูแลสุกรเล็ก สกุ รรนุ่ -ขุน 1.ใหน๎ กั เรยี นบอกวิธีการ การดูแลสุกรเล็ก มาใหถ๎ ูกตอ๎ ง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 2.การดูแลสกุ รรํุน-ขุน มีความสําคัญอยาํ งไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ชอ่ื -สกุล...............................................................................................................ช้ัน...............เลขที่.....................

แผนการจดั การเรียนรู้ หน่วยการเรียนรทู้ ่ี5เรือ่ งการสุขาภบิ าล แผนจดั การเรยี นรู้ท่ี2 เร่ืองการสขุ าภิบาลและปอ้ งกนั โรคสกุ ร รายวชิ า การเล้ยี งสุกร รหัสวชิ า ง.20206ระดับชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 2-3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564นา้ หนกั เวลาเรยี น 1.00 (นน./นก.) เวลาเรียน 4 ชว่ั โมง/สัปดาห์ เวลาท่ใี ชใ้ นการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ 2 ชั่วโมง .......................................................................................................................................................... 1. สาระสาคัญ (ความเข้าใจที่คงทน) ผ๎ูเลี้ยงสุกรทุกคนมีความต๎องการสุกรท่ีมีสุขภาพดีและปราศจากโรค การท่ีสุกรจะมีสุขภาพดีได๎น้ัน ขน้ึ อยูํกับการได๎กินอาหารที่มีคุณภาพดี การจัดการที่ดี การสุขาภิบาลที่ถูกต๎อง และมีการปูองกันโรคท่ีดี เม่ือสุกรมี สุขภาพดีจะทําให๎ผ๎ูเลี้ยงสามารถลดต๎นทนุ คํายาและคํารกั ษาลงได๎ ทาํ ให๎สุกรสามารถให๎ผลผลิตได๎เต็มความสามารถและ ทําให๎ได๎ผลตอบแทนสูง แตํจะทําอยํางไรผ๎ูเลี้ยงถึงจะได๎สุกรที่มีสุขภาพดี จึงเป็นส่ิงที่สําคัญมากท่ีผู๎เล้ียงต๎องทําความ เขา๎ ใจและปฏบิ ัตติ ํอสุกรอยํางถกู ต๎องด๎วย 2. มาตรฐานการเรยี นร้/ู ตัวช้วี ดั ชั้นป/ี ผลการเรยี นร้/ู เป้าหมายการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ 1.นักเรียนสามารถอธิบายการสขุ าภบิ าลได๎ 3. สาระการเรียนรู้ 3.1 เน้อื หาสาระหลัก : Knowledge (นักเรียนต๎องรู๎อะไร) -การสุขาภิบาลและปูองกนั โรคสกุ ร 3.2 ทักษะ/กระบวนการ : Process (นกั เรียนสามารถปฏบิ ตั ิอะไรได๎) -การปฏิบตั ิสุขาภิบาลและปูองกันโรคสกุ ร 3.3 คุณลกั ษณะทีพ่ ึงประสงค์ : Attitude (นักเรียนควรแสดงพฤติกรรมการเรียนอะไรบ๎าง) 1.มีวินยั 2.มีความรบั ผดิ ชอบ 3.ตรงตํอเวลา 4.มงํุ มัน่ ในการเรยี น 4. สมรรถนะสาคัญของนักเรียน 4.2 ความสามารถในการคิด 4.3 ความสามารถในการแก๎ปญั หา 4.4 ความสามารถในการใช๎ทักษะชวี ิต 5. คณุ ลักษณะของวิชา 1.ความรับผิดชอบ 2.ตรงต่อเวลา 6. คุณลักษณะท่พี งึ ประสงค์ 1. ซอ่ื สตั ยส์ จุ ริต 2. มีวนิ ยั 3. ใฝเุ รยี นรู๎ 4. มํงุ มนั่ ในการทาํ งาน 7. ชน้ิ งาน/ภาระงาน : - ใบกิจกรรมที่ 2 เรอ่ื งการสขุ าภบิ าลและปอู งกนั โรคสุกร - ใบงานท่ี 2.1 เรอ่ื ง การสุขาภิบาลและปูองกันโรคสกุ ร

ช้ินงาน -ใบงาน ภาระงาน -ให๎นกั เรยี นไปศึกษาเพ่ิมเตมิ เก่ยี วกับการสขุ าภิบาลและปูองกันโรคสุกร 8. กิจกรรมการเรียนรู้: เวลาทใี่ ช้ 2 ช่วั โมง ชั่วโมงท่ี 1-2 (ความสามารถในการวเิ คราะห/์ ใฝุเรยี นรู๎/เทคนคิ การสืบคน๎ ) - ขั้นนาเข้าส่บู ทเรียน/ขน้ั ตัง้ คาถาม 1. ทกั ทายนกั เรียนกํอนเรยี น 2. เชด็ ช่ือนกั เรียนกํอนเข๎าสูํบทเรยี น ขน้ั สอน 23. ทาํ ความเขา๎ ใจและช้ีแจงสาระการเรียนรู๎ใหน๎ กั เรยี นทราบในหนํวยการเรียนร๎ูเรื่องการสุขาภบิ าลและปูองกนั โรคสุกร 24. ครอู ธบิ ายเกย่ี วกับการสุขาภิบาลและปอู งกันโรคสกุ ร 25. ครอู ธิบายใหน๎ กั เรียนเก่ียวกับหลกั การความสําคญั ในการดกู ารสุขาภิบาลและปูองกันโรคสกุ ร อยํางละเอียด เพอื่ ใหน๎ กั เรียนสามารถลงมอื ปฏบิ ัตไิ ดอ๎ ยํางถูกตอ๎ ง 26. ครูมอบหมายงานให๎นกั เรียนไปใบงาน เร่อื ง การสขุ าภิบาลและปอู งกนั โรคสกุ ร 27. ครมู อบหมายให๎นักเรยี นไปศึกษาค๎นควา๎ เพิ่มเตมิ เก่ยี วการสขุ าภบิ าลและปอู งกนั โรคสกุ ร ข้ันสรปุ 28. ครูและนักเรยี นรํวมกนั สรปุ เนือ้ หาท่ีเรยี นมา 29. ครนู ัดหมายการเรยี นครงั้ ตอํ ไป 9. สอ่ื การเรียนการสอน / แหลง่ เรยี นรู้ จานวน สภาพการใช้สอื่ รายการส่ือ 1 ชดุ ขั้นตรวจสอบความรูเ๎ ดิม 30 ชุด ตรวจหาคาํ ตอบ 1. สือ่ การเรียน 2. ใบงาน 2.1 เรือ่ ง การสุขาภบิ าลและปอู งกันโรคสกุ ร สบื คน๎ ข๎อมลู 3.หอ๎ งสมุด

10. การวดั ผลและประเมินผล วิธีวัด เครอื่ งมือวัดฯ ประเด็น/ เกณฑ์การให้คะแนน เป้าหมาย หลกั ฐานการเรียนรู้ ความเข๎าใจ การเรียนรู้ ชน้ิ งาน/ภาระงาน และความ -ความถกู ตอ๎ ง 1.มเี นือ้ หาสาระครบถ๎วนสมบรู ณ์9-10 เพอ่ื ให๎ทราบถงึ ใบงาน ถูกต๎อง แนวทางในการ คะแนน ปฏิบัติเลี้ยงดู การ สขุ าภิบาล และการ 2.มเี นอ้ื หาสาระคํอนขา๎ งครบถว๎ น7-8 จดั การท่ีถูกตอ๎ งตาม หลกั วิชาการ คะแนน 3.มีเนอ้ื หาสาระไมคํ รบถว๎ นแตํ ภาพรวมของสาระท้งั หมดอยใูํ นเกณฑ์ ปานกลาง 5-6คะแนน 4มเี นื้อหาสาระไมคํ รบถว๎ นแตํภาพรวม ของสาระท้งั หมดอยูใํ นเกณฑ์ต๎อง พอใช๎ 4-3 คะแนน 5.มเี นื้อหาเพยี งเลก็ น๎อยแตํภาพรวมของสาระ ท้ังหมดอยํใู นเกณฑต์ อ๎ งปรบั ปรุง 2-1 คะแนน 6.ไมํมีเนือ้ หาเลย 0 คะแนน 11. การบูรณาการตามจดุ เนน้ ของโรงเรียน (ตวั อย่าง) หลักปรัชญาเศรษฐกจิ ครู ผูเ้ รยี น พอเพยี ง พอดีการดแู ลสกุ ร นักเรยี นมคี วามรู้ เกีย่ วกับการดูแลสุกรอยา่ งถกู วธิ ี 21. ความพอประมาณ พอดดี า้ นการดูแลสุกร รถ๎ู งึ สภาพภูมอิ ากาศทเี่ หมาะสมในการเลย้ี ง 22. ความมีเหตุผล ดแู ลสกุ รอยาํ งถูกวิธเี พ่ือลดคําใช๎จาํ ย พันธส์ุ กุ รแตํละประเภทแตลํ ะรนุํ การคานึงสภาพอากาศที่จะนาพันธุ์สกุ รแต่ ละรุ่นท่สี ามารถมาเลีย้ งได้ 23. มภี มู ิคุมกนั ในตัวทด่ี ี ภูมิปญั ญา : มคี วามรู๎ รอบคอบ และ ภมู ปิ ญั ญา : มคี วามร๎ู รอบคอบ และ 24. เงื่อนไขความร๎ู ระมัดระวัง ระมัดระวัง สร๎างสรรค์ 25. เงื่อนไขคุณธรรม ความรอบรู๎ เรือ่ ง การดูแลสกุ ร ความรอบรู๎ เร่อื ง การดแู ลสุกร สวนพฤกษศาสตร์โรงเรยี น ทเี่ กีย่ วขอ๎ งรอบดา๎ น ความรอบคอบท่จี ะนาํ นําความรูเ๎ หลาํ นัน้ มาพิจารณาใหเ๎ ช่อื มโยง ความร๎ูเหลาํ น้ันมาพิจารณาให๎เชอ่ื มโยงกัน กนั สามารถประยกุ ตใ์ ชใ๎ นชีวติ ประจาํ วัน เพ่ือประกอบการวางแผน การดาํ เนินการจัด กจิ กรรมการเรยี นรู๎ใหก๎ ับผ๎เู รยี น มคี วามตระหนักใน คณุ ธรรม มคี วาม มคี วามตระหนกั ใน คุณธรรม มีความ ซ่อื สัตย์สุจรติ และมีความอดทน มคี วามเพียร ซอื่ สัตย์สจุ รติ และมีความอดทน มคี วามเพียร ใช๎สตปิ ัญญาในการดําเนินชวี ิต ใชส๎ ติปัญญาในการดําเนินชีวิต ครู ผู้เรยี น

อาหารของสุกร อาหารของสุกร อาหารของสุกร - อาหารทที่ าํ จากตน๎ กลว๎ ยนํา้ ว๎า -ใหน๎ กั เรียนนําตน๎ กลว๎ ยมาทาํ เป็นอาหาร - นักเรยี นไดค๎ วามร๎ูจากการนาํ ตน๎ กล๎วยมา สกุ ร ทาํ เปน็ อาหารสกุ ร สิง่ แวดล้อม ครู ผู้เรียน การปลูกตน้ กล้วย การปลูกต้นกล้วย การปลูกต้นกล้วย -ทําให๎เกิดความชมํุ ชน้ื ในบริเวณที่ -ใหน้ กั เรียนนาตน้ กลว้ ยมาปลกู บริเวณเขต -นกั เรียนได้ความรจู้ ากการปลูกกลว้ ย ปลกู พืน้ ที่รับผิดชอบ ลงชอื่ ..................................................ผู้สอน (นายรัตนวชั ร์ เลิศนันทรัตน์)

ใบกิจกรรมท่ี 2 เรอ่ื งการสขุ าภิบาลและปอ้ งกันโรคสกุ ร ใบงานท่ี 2.1 เรือ่ ง การสุขาภบิ าลและปอ้ งกันโรคสุกร 1.การสุขาภิบาลและปอู งกันโรคสุกร มวี ธิ กี ารทําอยาํ งไรบ๎างให๎นกั เรยี นอธบิ ายตามท่ีได๎ลงมือปฏิบตั ิมาเปน็ ข้ันตอนให๎ ชัดเจน .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ชือ่ -สกุล...............................................................................................................ชนั้ ...............เลขที่.....................

ใบความรทู้ ่ี 5 เรือ่ งการสุขาภบิ าลสุกร การสขุ าภบิ าลและโรคสกุ ร ผ๎ูเล้ยี งสกุ รทุกคนมีความตอ๎ งการสุกรที่มสี ุขภาพดีและปราศจากโรค การที่สกุ รจะมสี ุขภาพดีได๎น้ันข้ึนอยูํกับการ ไดก๎ นิ อาหารท่มี คี ุณภาพดี การจัดการที่ดี การสุขาภิบาลที่ถูกต๎อง และมีการปูองกันโรคท่ีดี เมื่อสุกรมีสุขภาพดีจะทํา ให๎ผ๎ูเลี้ยงสามารถลดต๎นทุนคํายาและคํารักษาลงได๎ ทําให๎สุกรสามารถให๎ผลผลิตได๎เต็มความสามารถและทําให๎ได๎ ผลตอบแทนสงู แตํจะทาํ อยาํ งไรผ๎เู ล้ียงถึงจะได๎สุกรที่มีสุขภาพดี จึงเป็นสิ่งท่ีสําคัญมากที่ผู๎เล้ียงต๎องทําความเข๎าใจและ ปฏิบัติตํอสกุ รอยาํ งถกู ต๎องดว๎ ย 1. ปัจจัยที่มผี ลตํอสขุ ภาพสกุ ร การทส่ี ุกรมีสขุ ภาพขน้ึ อยกูํ บั ปัจจัยตาํ งๆ ดงั น้ี 1.1 อากาศและการถํายเทอากาศ สกุ รชอบอากาศเยน็ สบายและมกี ารถํายเทอากาศดีซ่ึงจะ ทําใหส๎ กุ รอยอํู ยาํ งสุขสบายและมสี ขุ ภาพดี 1.2 ความชนื้ ถ๎าบรเิ วณที่มีความชืน้ สงู เกินไปมักเป็นแหลํงสะสมเช้ือโรค ซงึ่ จะเป็น อันตรายตํอสุกรและถา๎ ความชน้ื เปลีย่ นแปลงอยูํเสมอก็จะทําให๎สุกรไมํสบาย ดังน้ันปริมาณความชื้นควรท่ีจะพอเหมาะ ไมํสูงหรอื ํตาํ จนเกินไป 1.3 อาหาร อาหารท่ใี ชเ๎ ล้ียงสกุ รควรเปน็ อาหารท่มี คี ณุ ภาพดี ให๎สารอาหารเพียงพอกบั ความต๎องการของสกุ ร และสุกรสามารถนําไปใช๎ประโยชนไ์ ดอ๎ ยํางเตม็ ที่ ทําใหส๎ กุ รมีสุขภาพสมบูรณแ์ ขง็ แรง 1.4 คอกและโรงเรือน คอกและโรงเรือนเปน็ สถานที่ทีจ่ ําเป็น เพอื่ ใหส๎ ุกรได๎พกั อาศยั และ ปอู งกันศัตรทู ีจ่ ะมารบกวน ดังน้ันคอกและโรงเรือนควรท่ีจะแข็งแรงและสะอาด ไมํเป็นแหลํงสะสมโรค มีการถํายเท อากาศดี ทําใหส๎ ุกรอยอํู ยํางสขุ สบายและมสี ขุ ภาพ 2. สาเหตุท่เี กดิ จากเช้อื โรคทท่ี าํ ใหส๎ ุกรปุวย สาเหตุของเชอ้ื โรคท่ีทาํ ให๎สุกรเป็นโรคนนั้ สําคญั มาก เพราะเป็นสาเหตุทที่ ําให๎สกุ รตายได๎มากกวํา สาเหตุอนื่ ๆ สาเหตเุ ชอ้ื โรคท่ที าํ ใหเ๎ กิดโรคแกสํ ุกรได๎แกํ 2.1 เชอื้ ไวรสั สวํ นมากไมมํ ียารกั ษาและมกั เปน็ ปัญหาของโรคระบาดในสกุ ร เชนํ โรค อหวิ าต์สุกร โรคปากและเท๎าเปื่อย โรคพิษสุนัขบ๎าเทียม โรคพาโวไวรัส โรคทีจีอี โรคฝีดาษ โรคลําไส๎อักเสบติดตํอ เป็นตน๎ 2.2 เชือ้ แบคทีเรีย สวํ นมากใช๎ยารักษาได๎และมกั พบเป็นปญั หาในการเล้ยี งสุกร เชนํ โรค ข๎อบวมในลูกสุกร โรคมดลูกอักเสบ โรคเต๎านมอักเสบ โรคบาดทะยัก โรคติดเช้ือทางระบบหายใจ โรคท๎องเสีย เป็น ตน๎ สวํ นโรคท่เี ปน็ ปญั หาของโรคระบาดในสกุ ร เชนํ โรคแทง๎ ติดตํอ โรคโพรงจมูกอกั เสบตดิ ตํอ โรคไฟลามทํุง โรคซัล โมเนลโลซสี เป็นต๎น 2.3 เช้ือมายโคพลาสมา ยาสามารถรักษาได๎ มักพบเป็นปัญหาของโรคทางระบบหายใจ เชนํ โรคปอดบวม โรคเอนซูตกิ นวิ โมเนยี เป็นตน๎ 2.4 เชื้อโปรโตซวั ยาสามารถรกั ษาไดแ๎ ละมักพบเป็นปญั หาของโรคทางเดนิ อาหาร (ทอ๎ ง เสีย) เชนํ โรคทอ็ กโซพลาสโมซีส เป็นตน๎

2.5 เชอ้ื สไปโรซสี ยาสามารถรักษาได๎และมกั พบเปน็ ปัญหากบั ระบบสบื พนั ธ์ุ และทาง เดินอาหาร เชนํ โรคเล็ปโตสไปโรซสี เป็นตน๎ 2.6 เชอ้ื รา สรา๎ งสารพิษที่เปน็ อนั ตรายตํอสุกร ซง่ึ สารพิษนี้ไมํมียาทาํ ลายได๎ เชนํ เช้ือรา ชนิดแอสเปอจิลลสั เฟลวสั สร๎างสารพิษอะฟลาทอ็ กซนิ ทาํ ใหเ๎ กิดโรคแอสเปอจิลโลซสี เป็นตน๎ 2.7 พยาธภิ ายในและภายนอก ยาสามารถรกั ษาได๎ เชํน พยาธิตวั กลม พยาธติ วั แบน พยาธิ ตัวตืด เหา ไร เปน็ ต๎น เมือ่ เช้ือโรคทัง้ 7 กลุํมนีผ้ ํานเขา๎ สูํรํางกายสกุ ร ซ่ึงอาจโดยทางบาดแผลท่ีผิวหนงั หรือทางเดนิ หายใจหรอื ผนงั ทางเดนิ อาหาร หรอื รเู ปดิ ธรรมชาตขิ องรํางกาย เชํน เย่ือบุ ตา หู จมูก และปาก เป็นต๎น รํางกาย สุกรพยายามฆําหรือทําลายเชื้อโรคเหลําน้ีโดยอาศัยระบบตํอต๎านของรํางกาย และถ๎าเชื้อโรคสามารถหนีพ๎นระบบ ตํอตา๎ นและกาํ จดั เชือ้ โรคของรํางกายสุกรได๎ เช้อื โรคก็จะเคลอ่ื นเข๎าสํกู ระแสเลือด ซง่ึ เรยี กสภาวะน้ีวํา “โลหิตเป็นพิษ” อาการทพ่ี บไดใ๎ นสุกรปวุ ย คือ ไขส๎ ูง เจบ็ ปวด ไมกํ นิ อาหาร และออํ นแอ เปน็ ตน๎ 3. การตรวจสุขภาพสุกร การตรวจสุขภาพสุกรเป็นหนา๎ ท่ปี ระจําวันของผู๎เลยี้ งท่ีจะตอ๎ งหมั่นสังเกตหรือดูแลอาการผิดปกติตํางๆ ของสุกร อยาํ งนอ๎ ยวันละ 2 ครั้ง ในตอนเช๎าและเย็น โดยการดดู ว๎ ยตาเปลําหรือโดยการสัมผัสลบู คลาํ และเคาะฟังเสียงจากสํวน ตํางๆ ของรํางกาย เพื่อประกอบการวินิจฉัยวําสุกรนั้นปุวยหรือไมํ ถ๎าไมํปุวยก็จะได๎ประหยัดคํายาคํารักษาและลด ปัญหาการดื้อยาของเชื้อโรคที่จะเกิดข้ึนในภายหน๎า ซึ่งจะชํวยลดต๎นทุนได๎อีกด๎วย การตรวจสุขภาพสุกรเพ่ือ ประกอบการวนิ จิ ฉัยโรคเบอ้ื งต๎นนั้นเปน็ สง่ิ ไมํยาก ผเู๎ ลยี้ งควรใหค๎ วามสนใจ ศึกษาหาความร๎ูและประสบการณ์ รวมทั้ง ต๎องเปน็ คนชํางสงั เกต เพ่อื หาสิ่งผดิ ปกตมิ าประกอบกนั โดยการวนิ จิ ฉยั โรควาํ สกุ รปวุ ยดว๎ ยโรคทางระบบใดของรํางกาย เชํน โรคทางระบบหายใจ ระบบสืบพันธุ์ ระบบทางเดินอาหาร เป็นต๎น ซ่ึงจะชํวยให๎สามารถเลือกยารักษาโรคได๎ ถกู ตอ๎ ง การตรวจสขุ ภาพของสุกร โดยเริม่ ต๎นการสังเกตจากอาการของสุกรที่ผิดปกติไปจากธรรมดา เชํน ทําทางการ ยืน เดิน นอน อารมณ์ที่ดุร๎ายหรือต่ืนเต๎นตกใจ อาการ ํน๎าลายไหลฟูมปาก กัดขากรรไกรแนํน หรืออาการทาง ประสาท เชํน กลา๎ มเน้อื เกรง็ แขง็ หรอื ชักกระตุก ตลอดจนการกระสบั กระสํายอยไูํ มเํ ป็นสุขและเดินหมุนเวียนไปข๎างใด ข๎างหนงึ่ สขุ ภาพของสกุ รปกติ สกุ รที่มีสุขภาพปกติจะมอี าการดงั น้ี 1) การหายใจ สังเกตไดจ๎ ากการเคลื่อนท่ีขึ้นลงของทรวงอกอยาํ งสํมาํ เสมอ (การเคลอื่ น ที่ขึ้นและลงของทรวงอกนับเป็น 1 คร้ัง) และอัตราการหายใจปกติของสุกรคือ 8-13 คร้ังตํอนาที อัตราการหายใจ อาจเพม่ิ ขน้ึ กวําปกติเล็กน๎อย ถ๎าสภาพอากาศร๎อนหรือสภาพโรงเรือนอับช้ืน สาเหตุเนื่องจากสุกรต๎องการการระบาย ความร๎อนออกจากรํางกาย ทางลมหายใจให๎มากข้ึนหรือสุกรต๎องการอากาศหายใจมากข้ึน เน่ืองจากสภาพแวดล๎อมมี การถาํ ยเทอากาศได๎น๎อย 2) การเต๎นของหวั ใจ โดยการจับชพี จรท่เี ส๎นเลือดแดงบรเิ วณใตข๎ ากรรไกรลําง ซึ่งอัตรา การเต๎นของหัวใจหรือชพี จรปกติของสกุ รคอื 60-80 ครัง้ ตํอนาที ไข๎สูง เจ็บปวด ไมํกินอาหารและออํ นแอ เป็นต๎น 3) อุณหภูมิของรํางกายสกุ ร โดยใช๎ปรอทวดั ไข๎สอดเขา๎ ทรี่ ูทวารหนัก (กอํ นสอดปรอท วัดไขเ๎ ขา๎ รูทวารหนกั จะตอ๎ งสะบดั ให๎ปรอทไหลลงไปในสํวนกะเปาะกํอน) โดยสอดปรอทวัดไข๎เข๎าให๎ลึก 1½-2 น้ิว ให๎ ปลายของปรอทวดั ไข๎แตะกับผนังของลําไส๎ใหญํ นานประมาณ 1 นาทีแล๎วดึงออกมาอํานคํา ซึ่งอุณหภูมิของรํางกาย

สุกรปกตคิ อื 102-103 องศาฟาเรนไฮต์ ถ๎าสภาพอากาศแวดล๎อมร๎อนอาจมีผลตํออุณหภูมิของรํางกายสุกรปกติ คือ สามารถทําให๎อณุ หภูมขิ องรํางกายสกุ รสงู ขนึ้ กวาํ ปกติ นอกจากนี้ยังมีผลทําให๎อัตราการหายใจเพ่ิมมากขึ้นกวําปกติ ซึ่ง อาจเปน็ สาเหตทุ าํ ใหส๎ กุ รเจ็บปวุ ยไดง๎ าํ ยข้ึนหรอื ช็อคตายในกรณีที่ระบบการควบคุมอุณหภูมิของรํางกายสุกรเสียไป มัก พบเสมอในสุกรทโี่ ตเรว็ หรอื ตะโพกใหญํ 4) การสบื พนั ธุ์ ระบบสบื พนั ธุเ์ ปน็ ระบบทสี่ ําคัญและมผี ลตํอต๎นทนุ การเลย้ี งสุกร ระบบ สบื พนั ธ์ขุ องสกุ รเพศเมียเร่มิ สมบรู ณพ์ นั ธุ์เม่อื อายุ 4-9 เดือน ชวํ งระยะเวลาการแสดงอาการเป็นสัด 2-3 วัน ไขํในรัง ไขํสุกและตกไขํภายหลังจากเริ่มแสดงอาการเป็นสัดแล๎วนาน 24-36 ชั่วโมง วงรอบของการเป็นสัดเฉลี่ย 21 วัน (14-26 วัน) ระยะเวลาเป็นสัดหลังคลอด 7-15 วัน ภายหลังหยํานมระยะเวลาการอ๎ุมท๎องประมาณ 114 วัน (110-116 วัน) 5) เยื่อตาและเหงือก สุกรมสี ขุ ภาพดีเมือ่ เปดิ ดทู ่ีเย่อื ตาและเหงอื กตอ๎ งมสี ชี มพูอํอน 6) ลกู ตา ปกตลิ ูกตาจะใสวาวสนใจและตน่ื เตน๎ กับสภาพแวดลอ๎ มท่เี ปล่ยี นแปลง 7) จมูก สุกรทม่ี ีสขุ ภาพดี บรเิ วณปลายจมูกจะช้ืนอยูํตลอดเวลา 8) ผวิ หนงั และขนจะดเู รยี บเป็นเงามนั 9) การขับถํายอจุ จาระ อุจจาระมลี กั ษณะไมแํ ขง็ เปน็ กอ๎ นหรอื เปน็ เมด็ หรอื เป็นํนา๎ เหลว และสขี องอุจจาระมีสเี ขียวแกหํ รอื สดี าํ ขน้ึ อยกํู บั อาหารทส่ี กุ รกินเขา๎ ไป 10) การขบั ถาํ ยปสั สาวะ ปสั สาวะมีสีเหลืองอํอนหรือไมมํ ีสีและใส 11) การกินอาหาร สุกรแสดงอาการกระวนกระวายท่ีจะไดก๎ นิ อาหาร 12) การกนิ ํนา๎ สุกรกินํน๎าตลอดเวลา โดยเฉพาะสกุ รทเ่ี ลี้ยงลกู หรืออยใูํ นระยะใหน๎ มต๎อง การนํา๎ มากข้นึ กวําปกติ 13) ความสนใจกบั สภาพแวดลอ๎ ม สกุ รท่มี ีสขุ ภาพดีจะสนใจหรอื ตกใจงาํ ยหรอื ตื่นเต๎น กบั สภาพแวดลอ๎ มท่เี ปลี่ยนแปลงไปอยํางรวดเร็ว สุขภาพของสกุ รปุวย สุกรปวุ ยหรอื สกุ รสขุ ภาพไมสํ มบรู ณ์ จะแสดงอาการดงั นี้ 1) การกินอาหาร สุกรปุวยจะกนิ อาหารนอ๎ ยลงหรือไมํสนใจทีจ่ ะกินอาหาร 2) อณุ หภมู ขิ องรํางกาย สกุ รปวุ ยอุณหภูมิของราํ งกายจะสูงกวาํ 103 องศาฟาเรนไฮต์ เรียกวาํ มีไข๎ สาเหตเุ น่อื งจากเชือ้ โรคไปรบกวนการควบคุมอณุ หภูมขิ องราํ งกาย 3) ความสนใจกับสภาพแวดลอ๎ ม สุกรปวุ ยแสดงอาการซมึ ไมํสนใจตํอสภาพแวดล๎อมท่ี เปลยี่ นแปลงหรือเสียงเคาะเรยี ก 4) จมกู บริเวณปลายจมูกของสุกรปวุ ยจะแห๎ง อาจพบํนา๎ มกู ใสหรอื ขุนํ เขยี วแล๎วแตํชนดิ ของเชอ้ื โรค 5) ไอหรือจาม สุกรปุวยด๎วยโรคตดิ เช้ือทางระบบหายใจ มอี าการไอหรอื จาม 6) ผวิ หนังและขน สุกรปวุ ยมผี ิวหนงั ซีดขาวและขนหยาบยาวไมํเป็นมันหรอื เปน็ แผลหรือ มฝี หี รอื ตํมุ แดงที่ผิวหนงั 7) เยือ่ ตาและเหงือก มีสชี มพเู ขม๎ หรือแดงเม่ือสตั วป์ วุ ยมไี ข๎ หรอื มสี ขี าวซดี เมื่อสุกรปวุ ย เป็นโรคโลหติ จางหรือโรคพยาธิภายในหรือมเี ลือดตกภายในชํองท๎องหรอื ชอํ งอกหรอื มพี าราไซดใ์ นเลอื ด เปน็ ต๎น 8) การกนิ ํน๎า สกุ รปวุ ยกินํนา๎ นอ๎ ยลงและถ๎าสกุ รไมสํ นใจทจ่ี ะกนิ ํน๎าเลย แสดงวําสกุ รปวุ ย

หนกั หรอื ใกลต๎ าย 9) การหายใจ อตั ราการหายใจของสุกรปวุ ยอาจเพม่ิ มากขน้ึ หรือนอ๎ ยลงกวําปกติและการ หายใจข้นึ ลงของทรวงอกจะไมํสํมาํ เสมอ สาเหตุสํวนมากเนอื่ งมาจากการตดิ เชอื้ โรคทางระบบหายใจหรอื โรคหวั ใจ 10) การเต๎นของหวั ใจ อัตราการเตน๎ ของหัวใจของสุกรปุวยอาจเร็วหรอื ช๎ากวาํ ปกติ สาเหตุ อาจเนื่องมาจากโรคโลหิตเปน็ พิษ โรคตดิ เชอื้ ทางระบบหายใจ โรคหัวใจ หรอื มีเลอื ดตกในชอํ งทอ๎ งหรือชอํ งอกก็ได๎ 11) การขบั ถํายอจุ จาระ อจุ จาระของสุกรปุวยมักมลี กั ษณะแขง็ เป็นเม็ด หรอื เหลวเป็นํนา๎ หรอื มีเลือดหรือมูกเลือดปนออกมา 12) การขบั ถํายปสั สาวะ ปัสสาวะของสกุ รปุวยมกั มีลกั ษณะขํนุ หรือมเี ลอื ดปนหรือมีสี เหลืองเขม๎ ขึน้ 13) การเจริญเติบโต สกุ รปวุ ยจะโตช๎า ผอม ซ่งึ สาเหตทุ ี่พบเปน็ ปญั หามากคอื โรคพยาธิ ภายในและภายนอก หรือโรคลําไสอ๎ ักเสบเรอ้ื รงั หรือโรคปอดเรอ้ื รงั 14) การสืบพันธุ์ สุกรเพศเมยี และเพศผ๎ูเมอ่ื มีอายุอยํใู นชํวงสมบรู ณพ์ ันธ์แุ ตํไมํแสดงอาการ หรือลักษณะของเพศหรอื ความต๎องการทางเพศออกมาใหเ๎ หน็ 15) การคลอดลกู สกุ รตัง้ ทอ๎ งและถึงกําหนดคลอด แตไํ มํมีการคลอดเกดิ ขึน้ (ท๎องเทียม) หรอื ระยะเวลาการคลอดนานกวําปกติ หรือการคลอดท่ผี ดิ ปกติ เน่อื งจากเชิงกรานแคบ หรือลูกตัวโตเกินไป หรือชํอง คลอดไมํเปดิ หรอื มดลกู ไมํมีแรงบีบตวั 16) เต๎านม สุกรปุวยด๎วยโรคเตา๎ นมอกั เสบ พบเตา๎ นมบวมแดงร๎อนและแข็ง (ไมนํ มํุ ) 17) ชอํ งคลอด ภายหลังการผสมพันธห์ุ รอื คลอดลกู ท่มี กี ารจัดการไมสํ ะอาดจะพบหนองสี ครีมหรือเขียวไหลออกมาจากชอํ งคลอด 18) การเดนิ และทําเดนิ จะผิดปกตเิ มอ่ื สกุ รปวุ ยด๎วยโรคทางระบบประสาท เชนํ เดินเปน็ วงกลมหรอื เดินแขง็ เกร็ง เพราะเป็นโรคบาดทะยกั เป็นต๎น 4. อาการปุวยของสกุ รท่ตี รวจพบไดจ๎ ากการตดิ เชื้อโรคของระบบตํางๆ อาการปุวยของสกุ รทต่ี รวจพบไดจ๎ ากการตดิ เช้อื โรคของระบบตาํ งๆ ดังน้ี 4.1 โรคตดิ เชอ้ื ทางระบบหายใจ อาการที่ตรวจพบได๎ คือ สกุ รมีไข๎สูง เยอื่ ตาแดง ซึม เบื่ออาหารหรือไมกํ นิ อาหาร ไอ จาม หายใจลาํ บากหรือหายใจแรงหรือหอบ ํน๎ามูกไหลและมีขี้ตา สําหรับยาท่ีให๎ผล ตํอโรคติดเชื้อระบบหายใจที่เกิดจากเช้ือแบคทีเรีย ได๎แกํ ยาปฏิชีวนะ ตัวอยํางเชํน ยาเพ็นนิซิลิน ยาอีริโทรมัยซิน ยาไทโลซนิ และยากลมํุ เตตร๎าไซคลิน เป็นตน๎ และยากลํุมซัลฟาและถ๎ามีไข๎สูงก็ควรให๎ยาลดไข๎รํวมด๎วย ตัวอยํางเชํน ยาพาราเซท็ ทามอน ยาโนวายนิ เป็นตน๎ 4.2 โรคตดิ เชอื้ ทางระบบทางเดินอาหาร อาการทีส่ ามารถตรวจพบไดค๎ ือ มีไข๎สงู อุจจาระเหลวเป็นํน๎า มีสีเหลืองหรือแดงหรือํน๎าตาลหรือมีมูกเลือดปนออกมาด๎วย ถ๎าไมํรีบทําการรักษาสุกรปุวยจะมี อาการ ผิวหนงั แห๎ง ขนหยาบไมเํ ป็นมัน ซมึ และเบอื่ อาหาร สําหรับยาที่ใหผ๎ ลตอํ โรคติดเชื้อทางระบบทางเดินอาหารที่ เกดิ จากเชอื้ แบคทเี รีย ไดแ๎ กํ ยาปฏิชีวนะ ตัวอยํางเชํน ยาสเตร็ปโตมัยซิน ยาคลอแรมเฟนนิคอน และยานีโอมัยซิน

เปน็ ตน๎ ยากลุํมซัลฟาและยาสังเคราะหใ์ นกลุํมไนโตรฟูราโซนและถา๎ สุกรสูญเสียํน๎า มากก็ควรให๎ํน๎าเกลือโดยการฉีดเข๎า เสน๎ เลือด 4.3 โรคติดเชือ้ ทางระบบสืบพันธ์ุ อาการทตี่ รวจพบได๎คือ มีไข๎ซมึ เบื่ออาหาร หนอง ไหลจากชํองคลอด เต๎านมบวมแดงร๎อนและแข็ง ในกรณีสุกรท๎องพบวาํ จะทําให๎แท๎งลกู สาํ หรับยาท่ีใหผ๎ ลตํอโรคติดเชื้อ ทางระบบสบื พันธ์ุท่ีเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ได๎แกํ ยาปฏิชีวนะ ตัวอยํางเชํน ยาเพ็นนิซิลิน ยาลิวโอซิลิน ยาคลอแรม เฟนนิคอล และยากลุํมเตตร๎าไซคลิน เปน็ ตน๎ และยากลํมุ ซัลฟา 4.4 โรคตดิ เช้ือทางระบบประสาท อาการทสี่ ามารถตรวจพบไดค๎ อื ไขส๎ งู ทาํ เดินแขง็ ผิดปกติ ตวั สัน่ จนกินอาหารไมไํ ด๎ เดนิ ไมสํ มั พันธก์ นั ขาเกรง็ และชกั สาํ หรบั ยาทใี่ หผ๎ ลตํอโรคตดิ เชอ้ื ทางระบบประสาทที่ เกดิ จากเชอ้ื แบคทเี รีย เชํน โรคบาดทะยัก ยาปฏิชวี นะท่ใี ชร๎ กั ษาคอื ยาเพ็นนซิ ลิ ิน ยาแอนต้ีทอ็ กซนิ 4.5 โรคตดิ เชือ้ ทางระบบขบั ถํายปสั สาวะ อาการทตี่ รวจพบได๎คือ มไี ข๎ ปัสสาวะขนุํ ขาว หรือมีสีแดงหรอื สีํน๎าตาลแดง อาจพบอาการซึมและเบ่ืออาหารด๎วย สําหรับยาท่ีให๎ผลตํอโรคติดเช้ือทางระบบขับถําย ปัสสาวะทีเ่ กิดจากเช้ือแบคทีเรียนนั้ สวํ นมากนิยมใชย๎ ากลุมํ ซัลฟา สําหรับอาการที่กลําวมาทั้ง 5 ระบบเป็นเพียงอาการของโรคซึ่งอาจพบเพียงอาการใดอาการหน่ึงเทํานั้นไมํ จําเปน็ ตอ๎ งพบท้งั หมด ดังนั้นถา๎ สุกรแสดงอาการปวุ ยดงั ท่กี ลาํ วมาแล๎วสามารถรักษาได๎ดังนี้ 5 การดแู ลรกั ษาและการชวํ ยสุกรปวุ ย ผ๎ูเลยี้ งสกุ รสามารถจะชวํ ยให๎สกุ รปวุ ยคืนจากโรคไดโ๎ ดย 1. ให๎สกุ รปุวยอยํูในคอกท่สี ะอาด อบอนุํ และแห๎ง 2. ใหอ๎ าหารท่ีมีคณุ คําของโปรตนี สูงถา๎ สุกรไมกํ ินอาหาร ควรใหย๎ ากระตุน๎ การกินอาหาร เชํน วติ ามนิ บี12 ฯลฯ และถ๎าราํ งกายสญู เสียํน๎ามาก เน่อื งจากขี้ไหลหรอื อาเจียน ควรใหํน๎ ๎าเกลือแกสํ ุกรปวุ ย 3. ใชย๎ ารกั ษาใหต๎ รงกับโรคและปริมาณถกู ต๎องตามทแ่ี นะนํา 4. สุกรทป่ี ุวยเนอ่ื งจากได๎รับเชือ้ โรคไวรสั สํวนใหญํไมํมยี าฆาํ เช้อื เพราะเชอ้ื มขี นาดเลก็ และอาศยั อยํใู นเซลลข์ องราํ งกายสัตว์ สัตวป์ ุวยด๎วยเช้ือไวรัสจะฟ้ืนจากโรคได๎ก็โดยอาศัยระบบตํอต๎านของรํางกายและ ควรใหย๎ าปฏชิ วี นะหรอื ยาซัลโฟนามาย หรือยาสงั เคราะห์เพอื่ ปอู งกันโรคแทรกซอ๎ น 6. โรคทมี่ ักเกดิ กบั สุกร โรค คือ สภาวะของรํางกายท่ีไมํทําหน๎าที่ ถ๎าสํวนของรํางกายที่ไมํสําคัญไมํทํางาน สัตว์จะไมํตาย เชํน โรคเบาหวาน เนือ่ งจากสัตว์ไมสํ ร๎างอนิ ซลู ิน มาควบคมุ ระดับํน๎าตาลในเลือด แตํแก๎ไขได๎โดยให๎ฮอร์โมนอินซูลินชดเชย ได๎ แตถํ ๎าสํวนของรํางกายที่สําคัญไมํทํางาน จะมีผลทําให๎สัตว์ตาย เชํน โรคตับล๎มเหลว โรคหัวใจล๎มเหลว เป็นต๎น โรคที่เกิดขึ้นกับสุกรในฟาร์มน้ันมีทั้งโรคระบาด (คือ โรคที่สามารถแพรํจากสุกรปุวยตัวหน่ึงไปยังสุกรตัวอ่ืนได๎อยําง รวดเรว็ ) และโรคไมรํ ะบาด (คือ โรคท่ีไมํสามารถแพรจํ ากสุกรปุวยตวั หนึง่ ไปยงั สุกรตวั อน่ื ๆ หรือเป็นโรคเฉพาะตัว) โรค ที่มักเกดิ ขน้ึ กับสกุ รในฟารม์ ได๎แกํ 6.1 โรคปากและเท๎าเป่ือย (Foot and Mouth Disease; FMD) โรคปากและเท๎าเปอื่ ยตามภาษาพืน้ บ๎านเรยี ก โรคไข๎กบี หรือโรคไขข๎ วัน่ ข๎อ เป็นตน๎

สาเหตุ เกดิ จากเช้ือไวรัส ชื่อ Hostis pectoris มีหลายชนิดคือ ไทป์ (Type) A O และ Asia 1 (ไทป์ โอรุนแรงทสี่ ุด) ระยะฟกั ตวั ประมาณ 3-6 วัน อาการ เร่ิมแรกสกุ รมีตํมุ ํนา๎ ใสข้นึ บริเวณเยื่อชมํุ ตามชํองปาก รมิ ฝีปาก เหงือก บนล้ิน และเพดานปาก บาง ทีอาจพบที่หัวนมและเต๎านม ตํอมาตํุมน้ีจะแตกออกเป็นแผล ํน๎าใส ในตุํมนี้มีเชื้อไวรัสอยูํเป็นจํานวนมาก ทําให๎โรค แพรํกระจายออกไปอยํางรวดเรว็ อาจมีอาการแทรกซอ๎ นของปอดบวมและอาการของโลหิตเป็นพษิ เบื่ออาหาร มีไข๎สูง หงอย ซมึ มํนี า๎ ลายฟูมปาก ภายใน 2-3 วันตํอมาเท๎าจะบวม มีํน๎าเหลือง เป็นแผล มีอาการเจ็บเท๎า บางรายกีบ หลุด สกุ รท๎องจะแท๎ง ถ๎าเปน็ สกุ รใหญํจะมีอัตราการตายํตาํ แตํนํ า๎ หนักลดและไมํโต ในลูกสุกรหรือสุกรเล็กจะมีอัตรา การตายสูงถึง 50 เปอรเ์ ซ็นต์ สกุ รปุวยทฟ่ี นื้ จากโรคนพ้ี บวํา มภี มู คิ ุ๎มกนั โรคเฉพาะกลมํุ ไวรสั ทท่ี าํ ให๎เกดิ การปวุ ยเทํานั้น สามารถปูองกันโรคได๎นาน 90-180 วัน และแมํสุกรสามารถถํายทอดภูมิค๎ุมโรคให๎ลูกสุกรได๎ทางนมํน๎าเหลือง ซ่ึงคุ๎ม โรคได๎นานหลายสปั ดาห์ (ภาพที่ 8.1) ภาพท่ี 8.1 โรคปากและเท๎าเปอ่ื ย มตี ํมุ ํนา๎ ใสบรเิ วณชอํ งปากและแผลทีเ่ ทา๎ ท่ีมา: สุวรรณา พรหมทอง, (มปพ.) การติดตอํ 1. โดยการสมั ผัสกบั สตั ว์ทีเ่ ป็นโรค 2. กนิ อาหาร หญ๎าและํน๎าที่มีเชื้อโรคปะปนอยํู 3. การหายใจเอาเชอ้ื โรคเขา๎ ไป 4. ติดมากบั พาหะตํางๆ เชํน คน นก หนู และสัตว์อนื่ ๆ ท่ีเขา๎ ออกในฟารม์ การปูองกนั 1. ฉีดวัคซีนปูองกันโรค ในลูกสุกรเมื่ออายุ 7 สัปดาห์และทําํซ๎าอีก 2 สัปดาห์ตํอมา สํวนพํอและแมํสุกร พนั ธุ์ควรทําํซา๎ ทกุ ๆ 4-5 เดือน วัคซนี แตํละชนดิ จะปอู งกันโรคเฉพาะชนิดนนั้ 2. จดั การดา๎ นสขุ าภิบาลใหด๎ ี การรกั ษา ไมํมียารักษาโดยเฉพาะ แตํโรคน้ีไมํทําให๎สุกรปุวยตาย การรักษาจึง ทําได๎เพียงรักษาตามอาการ โดย 1. ใช๎ยาทิงเจอรไ์ อโอดีน 5-10 เปอรเ์ ซ็นต์ หรอื ยาเยนเชยี นไวโอเลต็ ทาแผลท่เี กิดจากตุํมํน๎าใส 2. ใหย๎ าปฏิชวี นะผสมในอาหารเพ่อื ปอู งกันโรคแทรกแกสํ กุ รท่ียังไมแํ สดงอาการ และให๎ยาโดยการฉีดแกํสุกรท่ี แสดงอาการแล๎ว 3. พนํ ํนา๎ ยาจนุ สีที่ความเขม๎ ข๎น 5 เปอรเ์ ซน็ ต์ ทก่ี บี หมายเหตุ สุกรที่ไมํแสดงอาการของโรคใหท๎ าํ วัคซีนํซา๎ 2 คร้งั ชวํ งหํางกัน 1 สัปดาห์

6.2 โรคอหวิ าต์สุกร (Swine fever หรือ Hog cholera; SF) เป็นโรคระบาดที่ร๎ายแรงของสุกร พบได๎ในสุกรทุกอายุ ทําให๎ผู๎เลี้ยงต๎องสูญเสียสุกรปีละมากๆ เพราะโรคนี้ สามารถแพรํกระจายไปได๎อยํางรวดเร็วและรุนแรงในท๎องที่หรือฟาร์มที่ไมํได๎ฉีดวัคซีนปูองกันโรคอยํางสํมําเสมอ สุกร อาจตายได๎ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ โรคน้ีทําความเสียหายแกํเศรษฐกิจของประเทศอยํางมาก เน่ืองจากเป็นอุปสรรคตํอ การสํงสกุ รออกจาํ หนาํ ยไปตาํ งประเทศ สาเหตุ เกดิ จากเชื้อไวรสั ช่อื Tortor suis ระยะฟักตัว 3 วัน-3 สัปดาห์ แตํโดยทว่ั ไป 1 สัปดาห์ อาการ อาการปวุ ยข้นึ อยํกู ับความรุนแรงของเชอ้ื ไวรัสและภมู ิค๎มุ กันโรคในสกุ รแตํละตวั ชนิดเฉยี บพลนั สุกรทีไ่ ดร๎ ับเชอ้ื ไวรสั ชนดิ รุนแรงมากจะแสดงอาการแบบปัจจุบัน โดยมีไข๎สูง หนาวสั่น นอน สุมกัน เย่ือตาอักเสบ นํ้ามูก น้ําตาไหล ระยะแรกของการมีไข๎สุกรจะท๎องผูก ระยะตํอมาจะท๎องรํวง และมักพบ อาการทางประสาทรํวมด๎วย เชนํ เดนิ โซเซ ขาหลังเป็นอัมพาตและชักในชํวงใกล๎ตาย และบางครั้งสุกรจะตายโดยไมํ ทราบสาเหตุ ชนิดธรรมดา สกุ รปุวยจะแสดงอาการหลงั จากไดร๎ บั เชื้อประมาณ 1 สัปดาห์ ในสุกรท่ีเป็นโรคแบบเร้ือรังหรือ ได๎รับเชื้อชนิดรุนแรงน๎อย อาการของโรคจะไมํเดํนชัด จึงอาจสังเกตไมํเห็น โดยจะมีไข๎เล็กน๎อย ซึม เบื่ออาหาร อาการเหลําน้ีจะหายไประยะหนึ่งและกลบั เป็นข้ึนมาอีก สุกรจะแคระแกร็น ขนหยาบ กระด๎าง และมักมีการติดเชื้อ แบคทีเรียแทรกซ๎อน ทําให๎ปอดบวม ปอดอักเสบและตายในที่สุด แมํสุกรท่ีได๎รับเช้ือขณะตั้งท๎องจะทําให๎แท๎งลูก คลอดลูกกรอก หรือลูกสุกรตายแรกคลอด สํวนลูกสุกรท่ีรอดชีวิต ก็จะอํอนแอและมีอาการทางประสาท ลูกสุกร เหลาํ นี้จะเป็นพาหะที่สาํ คญั ในการแพรโํ รค วกิ ารหรือรอยโรค พบจุดเลือดออกบริเวณผิวหนัง โดยเฉพาะพื้นท๎องจมูก ใบหู และโคนขาด๎านใน เม่ือเปดิ ผําดอู วยั วะ ภายใน พบวํามจี ดุ เลอื ดออก เชนํ ที่ตอํ มนาํ้ เหลอื ง กลํองเสยี ง ไต และกระเพาะปัสสาวะ เสน๎ เลอื ดในม๎ามถกู อดุ ตัน ดู ภายนอกเห็นลกั ษณะเป็นจ้าํ เลอื ดดําคล้ํา (ภาพท่ี 8.2) ภาพท่ี 8.2 โรคอหิวาต์สกุ ร มีจุดเลือดออกเลก็ ๆ สีแดงบนผวิ หนัง ทีม่ า: สวุ รรณา พรหมทอง, (มปพ.) การติดตอํ 1. โดยตรงจากการสัมผสั กบั สกุ รปวุ ย

2. กินอาหารและํน๎าท่มี เี ชือ้ โรค 3. การหายใจเอาเชือ้ ท่อี ยูํในอากาศเข๎าไป 4. เชือ้ โรคเข๎าทางผวิ หนงั หรือทางเย่ือตา 5. เชอ้ื โรคที่ติดไปกบั พาหะทีเ่ ขา๎ ออกในฟารม์ เชํน ติดไปกบั เส้อื ผ๎า รองเท๎าของคนเล้ียง หรือมีแมลงวันและ นกเปน็ พาหะของโรค การปอู งกัน 1. ฉีดวคั ซนี ปอู งกนั โรคอยํางสํมาํ เสมอ สกุ รพํอพนั ธ์ทุ ําทุก 6 เดอื น สกุ รแมพํ ันธท์ุ ําทุกครั้งท่ีหยํานม สุกรขุน และลกู สกุ รควรทําการถาํ ยพยาธกิ ํอนทาํ วคั ซีนและทาํ วคั ซีนคร้ังแรกเม่ืออายุประมาณ 6 สัปดาห์ และทําํซ๎าอีกคร้ังใน อีก 2 สัปดาห์ ตอํ มา 2. จดั การด๎านสขุ าภบิ าลใหด๎ ี หมายเหตุ วัคซนี อหวิ าตเ์ ช้ือเปน็ ห๎ามทาํ กบั สกุ รท่ีออํ นแอหรือกาํ ลงั ปุวย การรักษา ไมมํ ียารักษาโดยตรง การให๎ยาปฏิชวี นะชวํ ยได๎เพียงปูองกันอาการแทรกซ๎อนท่ีอาจตามมาภายหลัง จงึ ควรทาํ ลายโดยการเผาหรอื ฝัง สกุ รปวุ ยด๎วยโรคอยํางเรื้อรังอาจตายได๎เอง ทั้งน้ีข้ึนกับสุกรแตํละตัววําจะทนทานตํอ เช้อื น้ีได๎มากน๎อยเพียงใด อยํางไรก็ตามถึงแม๎จะหายปุวยได๎เองแตํสุขภาพก็จะเสื่อมโทรมมากเพราะอวัยวะตํางๆ เชํน หวั ใจ ปอด ตับ ลําไส๎ เปน็ ต๎น เกิดการอกั เสบ ผลที่ตามมาคือ สกุ รแคระแกรน อัตราการเจรญิ เตบิ โตํตาํ 6.3 โรคพอี ารอ์ ารเ์ อส (Porcine Reproductive and Respiratory Syndrome; PRRS) เป็นโรคหรือกลํุมอาการทางระบบสืบพันธ์ุและทางเดินหายใจในสุกร ปรากฏอยํูในพ้ืนท่ีท่ีมีการเล้ียงสุกร หนาแนนํ ทัง้ ในยุโรปและอเมรกิ า ปัจจบุ นั ระบาดไปทัว่ โลก กลํมุ อาการดงั กลาํ วมีชอ่ื เรียกตํางๆ กัน สาเหตุ เกิดจากเช้ือไวรัสพีอาร์อาร์เอส (PRRS) ในกลํุม Arteriviridae ซ่ึงเป็น RNA ไวรัสชนิดสายเด่ียว ขนาดเล็ก (45-65 nm) มีเปลือกหุ๎ม เช้ือถูกทําลายได๎งํายในสภาพอากาศร๎อน (37 องศาเซลเซียส ภายใน 48 ชวั่ โมง) และมีความคงทนํตําในสภาพกรด-ดําง (คงทนท่ี pH 5.5-6.5) มีเซลล์เพียงไมํก่ีชนิดท่ีสามารถใช๎เพาะเล้ียง เชอื้ ไวรัสน้ีได๎ เซลล์ที่ใชไ๎ ดด๎ ที ี่สดุ คือเซลลแ์ ม็คโครฟาจทีเ่ ตรยี มจากปอดลกู สุกรอายุ 4-8 สปั ดาห์ เชื้อไวรัสน้ีสามารถคง อยํใู นกระแสเลือดได๎เปน็ เวลานาน แมใ๎ นระยะทีต่ รวจพบแอนตบิ อดกี้ ็ยังสามารถตรวจพบเช้อื ได๎ นอกจากนน้ั เช้ือไวรัสพี อาร์อาร์เอสยังมีความหลากหลายทางด๎านแอนติเจน เชื้อท่ีแยกได๎จากอเมริกาเป็นคนละชนิดกับทางยุโรป โดยมี คุณสมบตั ขิ องแอนติเจนบางสํวนรวํ มกนั บ๎างแตํไมเํ หมอื นกนั ทงั้ หมด เชอื้ ทแี่ ยกไดจ๎ ากทางอเมรกิ าเองมีความหลากหลาย มากกวําเชอื้ ที่แยกไดจ๎ ากทางยโุ รป เชอ้ื ไวรัสจะถูกขับออกมาจากราํ งกายของสกุ รปวุ ยทางอจุ จาระ ปัสสาวะ ลมหายใจ และํนา๎ เชือ้ การตดิ ตํอ 1. สัมผัสกบั สุกรตวั ทเ่ี ป็นพาหะของโรคโดยตรง เชนํ การดม การเลีย หรอื การผสมพันธุ์ 2. กินอาหารหรอื ํนา๎ ท่มี ีเช้อื โรค 3. การหายใจเอาเชื้อโรคที่อยํูในอากาศเข๎าไป เช้ือโรคสามารถแพรํกระจายในอากาศได๎ไกลในรัศมี 3 กิโลเมตร 4. สัมผัสวัสดุอุปกรณเคร่ืองใช๎ตํางๆ ภายในฟาร์มที่ปนเป้ือนเช้ือไวรัสหรือการเคลื่อนย๎ายสุกรปุวยหรือสุกร พาหะของโรคเขา๎ มารวมฝูง 5. เชอ้ื โรคสามารถถกู ขับผาํ นรกในขณะทีม่ ีการตง้ั ทอ๎ ง

อาการ เชอื้ ไวรสั พีอาร์อาร์เอสเพียงอยํางเดียวไมํทําให๎สุกรแสดงอาการอยํางเดํนชัด อาการและความรุนแรง ของโรคขึน้ อยํูกบั ชนิดของเชือ้ การจดั การฟาร์ม การสขุ าภบิ าล ระบบการหมุนเวียนอากาศ และสุขภาพของสุกรในฝูง เปน็ ตน๎ เมื่อมีการติดเชื้อไวรสั พอี ารอ์ าร์เอสคร้ังแรกในฟารม์ เชอื้ จะแพรรํ ะบาดไปอยํางรวดเรว็ ในสุกรพนั ธ์ุ สกุ รแมพํ ันธ์ุ ทาํ ใหเ๎ กิดความลม๎ เหลวทางระบบสบื พนั ธุ์ เชนํ การแท๎งใน ระยะทา๎ ยของการอ๎ุมท๎อง (107-112 วัน) อัตราการเกิดมัมม่ีและการตายแรกคลอดสูง ซึ่งลักษณะดังกลําวเดํนชัดมากในฝูงที่ไมํเคยได๎รับเช้ือไวรัสมากํอน แมสํ ุกรแสดงอาการปุวย มีไข๎ เบื่ออาหาร หายใจลําบาก การตดิ เชอ้ื มกั มสี าเหตุจากการนําสกุ รเข๎ามาทดแทน ซ่ึงมีการ ติดเชือ้ กอํ นเข๎ามาในฝูงโดยไมไํ ดผ๎ าํ นการตรวจกํอน ลกู สุกรระยะดูดนมอาจไดร๎ บั เชอื้ ไวรสั พีอาร์อารเ์ อสผํานทางรกของแมํสุกรขณะอุ๎มท๎องหรือได๎รับเช้ือหลังคลอด แสดงอาการปุวย มีไข๎ เบ่ืออาหาร หายใจลําบาก อาจแสดงอาการหายใจด๎วยท๎องเนื่องจากสภาวะปอดอักเสบชนิด interstituel pneumonia ขนหยอง หยาบ และโตช๎า นอกจากนี้อาจติดเชื้อแทรกซ๎อน เชํน Streptococcus suis, Enzootic Pneumonia, Haemophilus parasuis เป็นตน๎ ในฝูงสุกรท่เี คยไดร๎ ับเชือ้ นมี้ ากํอนและผํานพ๎นระยะ เสียหายมากแล๎วระยะหน่ึง พบวาํ ลกู สุกรไดร๎ บั ภมู ิคุม๎ กันโรคผาํ นแมสํ ุกร ซงึ่ มีภมู ิค๎มุ กันโรค แตํลูกสุกรอาจแสดงอาการ ทางระบบทางเดนิ หายใจในชวํ งหลงั หยาํ นม หรอื ชํวงอนุบาล ผลมาจากการลดลงของภูมคิ ๎ุมกันโรคเฉพาะตํอเชื้อไวรัสพี อารอ์ ารเ์ อส การเพ่ิมจาํ นวนของไวรัสในลูกสุกรและการโน๎มนําของเชื้อไวรัสพีอาร์อาร์เอสที่ทําให๎เกิดกลไกการปูองกัน ตัวเองภายในระบบทางเดินหายใจของลูกสุกรเสียไป เปดิ โอกาสให๎ลักษณะของการติดเชื้อแทรกซ๎อนจากแบคทีเรียหรือ ไวรสั ของโรคระบบทางเดินหายใจและอืน่ ๆ รํวมด๎วย สกุ รขุนอาจแสดงอาการเบ่ืออาหาร อาการของระบบทางเดินหายใจแบบอํอนๆ อาจพบอาการใบหูเป็นสีมํวง เน่ืองจากภาวการณ์ขาดออกซิเจน ทําให๎สุกรแคระแกรน โตชา๎ หรอื ตายในท่ีสุด การวินจิ ฉัยโรค การตรวจหาภูมิค๎มุ กันโรคตํอเชอ้ื ไวรสั พอี ารอ์ าร์เอสโดยใชช๎ ุดตรวจสําเร็จรปู (ELISA test kit) และการตรวจแยกพิสจู นเ์ ชอื้ โดยการเกบ็ ตวั อยาํ งซรี มั่ จากแมํสุกรท่แี ท๎งลูก สุกรท่ีแท๎งหรือตายแรก คลอด ซรี ่ัมของลกู สกุ รปวุ ยหรืออวยั วะ เชํน ตํอมนํ๎าเหลอื ง ทอนซิล ม๎าม ปอด หรือสํงทั้งตัว โดยแชํเย็นในกระติก ํน๎าแข็งและนําสํงทันทถี า๎ ไมํสามารถสํงตรวจไดใ๎ นวันน้นั ให๎เก็บแชํชํองแข็งและควรสํงตรวจภายใน 3 วัน โดยสํงตรวจ ไดท๎ สี่ ถาบนั สุขภาพสตั วแ์ หํงชาติ กรมปศุสตั ว์ (ภาพท่ี 8.3)

ภาพท่ี 8.3 โรคพีอาร์อาร์เอส ท่มี า: สุวรรณา พรหมทอง, (มปพ.) การปูองกัน 1. การสาํ รวจสถานภาพของโรคในฝงู โดยการสุํมตวั อยาํ งสกุ รในฟาร์มตรวจหาแอนติบอดต้ี อํ เชอื้ ไวรัสพอี าร์ อาร์เอส 2. ฝงู ทยี่ ังไมํพบการตดิ เช้อื (แอนติบอดีเ้ ปน็ ลบ) มคี วามเสี่ยงตํอการตดิ เช้ือสงู หากมีการนําเช้ือไวรสั เข๎ามาใน ฝงู ทาํ ใหม๎ ีการระบาดเกิดข้ึนรวดเรว็ รุนแรง และอัตราการสูญเสยี สงู การควบคมุ โรคตอ๎ งเพิม่ มาตรการนําสกุ รทดแทน เข๎ามาในฟารม์ มกี ารตรวจสอบอยํางเครํงครัด ควรมาจากแหลงํ ที่ปลอดเชือ้ ไวรัสพอี าร์อาร์เอสกํอนนําสุกรใหมํเข๎ามา รวมฝงู ควรทาํ การกักกนั อยาํ งนอ๎ ย 2 ขัน้ ตอนคือ กกั ทตี่ ๎นทางกอํ นการเคลอ่ื นย๎ายและกกั ทป่ี ลายทางกอํ นนาํ เขา๎ รวม ฝงู ระหวํางท่กี ักควรสุํมตรวจหาโรคโดยวธิ ที างซีร่มั วิทยาดว๎ ย และควบคมุ การเขา๎ ออกฟารม์ โดยอาจให๎มกี ารเปล่ยี น เสอื้ ผา๎ หรือพนํ ํน๎ายาฆาํ เชื้อกอํ นเขา๎ ฟารม์ 3. ฝูงที่มีการสัมผัสโรคมาแล๎ว (แอนติบอดี้เป็นบวก) ความเส่ียงตํอความเสียหายขึ้นกับอัตราการสัมผัสโรค ของสุกร หรืออัตราสํวนของสุกรท่ีมีภูมิคุ๎มกันโรคในฝูง และระยะเวลานับแตํการติดเช้ือคร้ังแรกในฝูง หากสุกรสํวน ใหญเํ คยสัมผัสเช้ือมานานแล๎วและให๎ผลบวกตํอแอนติบอดี้เป็นเปอร์เซ็นต์สูงจะมีความเส่ียงตํอการสูญเสียอยํางรุนแรง ลดลง แตํอาจพบปัญหาการสูญเสียอยํางแอบแฝงบ๎าง โดยเฉพาะในลูกสุกรอนุบาลและสุกรขุน มักพบปัญหาระบบ ทางเดินหายใจจากเช้ือพีอาร์อาร์เอสรํวมกับไวรัสหรือแบคทีเรียอื่นๆ จึงควรมีการจัดการที่ดีเพื่อไมํทําให๎เกิดอาการท่ี รุนแรงเมอ่ื ตอ๎ งการให๎ยาปฏชิ วี นะเพ่ือควบคมุ โรคแบคทีเรยี แทรกซ๎อนและการใช๎วัคซีนเพ่อื ควบคมุ โรคไวรสั ระบบทางเดิน หายใจ ในลูกสุกรท่ีมีการติดเชื้อแรกคลอดให๎ลดภาวะที่กํอให๎เกิดความเครียด เชํน เลื่อนการตัดหางและการฉีดธาตุ เหลก็ ออกไปประมาณ 3 วันหลงั คลอด ในลกู สกุ รทอ่ี อํ นแออาจงดหรือเลื่อนการตัดเขี้ยวออกไปแตํการผูกสายสะดือทํา ได๎ในวนั แรกคลอด และใหว๎ ติ ามนิ กลูโคส และอิเล็กโตรไลท์แกํลูกสุกรท่ีอํอนแอ ในแมํสุกรควรเปลี่ยนสูตรอาหารเป็น ชนิดท่ี ให๎พลงั งานสูง อยาํ รบี ผสมพันธุ์แมสํ กุ รที่เพ่ิงแท๎งลูก ควรรออยํางน๎อย 21 วัน การผสมคร้ังแรกหลังจากมีการ ระบาดของโรคควรใช๎การผสมเทียมกํอนเพ่ือหลีกเลี่ยงความไมํสมบูรณ์พันธ์ุในสุกรตัวผู๎ ในกรณีที่มีการนําสุกรสาว ทดแทนหรือสุกรพํอพันธุ์ที่ปลอดจากโรคพีอาร์อาร์เอสเข๎าสํูฟาร์ม ควรนําสุกรดังกลําวไปอยูํรวมกับสุกรเดิมท่ีมีการติด เช้ือ เพ่ือให๎สุกรใหมํได๎รับเชื้อและสร๎างภูมิคุ๎มกันข้ึนกํอนท่ีจะนําไปใช๎งาน อยํางน๎อย 1 เดือน เพื่อปูองกันปัญหา ระหวํางอ๎ุมท๎อง วิธีที่ดีท่ีสุดคือ การนําสุกรสาวไปขังไว๎ใกล๎กับลูกสุกรอายุ 6-10 สัปดาห์ เป็นเวลานาน 3 สัปดาห์ เพอื่ ใหแ๎ นใํ จวาํ มีการติดเชือ้ หลงั จากนน้ั รออีก 3-4 สปั ดาห์ เพอ่ื ให๎มกี ารสร๎างแอนตบิ อดีขึน้ จึงนาํ ไปใช๎ผสมพันธุ์ได๎ 4. ทาํ วัคซีนปอู งกันโรคพีอาร์อาร์เอสชนิดเช้ือตายให๎แกํสุกรสาวและสุกรแมํพันธ์ุและวัคซีนชนิดเช้ือเป็นให๎แกํ ลกู สกุ รและสุกรขุน แตํวัคซีนปูองกนั โรคพอี าร์อาร์เอสทีม่ อี ยยํู ังมีข๎อจาํ กัดในการใช๎ จงึ ควรคาํ นงึ ดงั น้ี 4.1 ราคาแพง จงึ ควรคํานึงถึงความคุม๎ ทุน โดยเปรียบเทยี บคาํ ใชจ๎ ํายในการทําวคั ซีน และ ความสญู เสยี ที่จะเกิดข้นึ กรณีท่ไี มํใชว๎ ัคซีน เพราะโรคนีห้ ากมกี ารจัดการทด่ี จี ะไมทํ ําใหเ๎ กดิ อาการทรี่ ุนแรง 4.2 ชนิดของเช้อื ท่ีนํามาทาํ วัคซนี หากไมํใช๎เชอื้ ชนดิ เดยี วกนั หรือใกล๎เคยี งกบั ชนดิ ทที่ ําให๎ เกดิ โรคในฟาร์มจะใหภ๎ ูมิค๎ุมกันโรคทีไ่ มดํ ี 4.3 ภูมคิ ุ๎มกันที่เกิดขึน้ และตรวจพบจากซีรั่มไมํสามารถแยกได๎วําเกิดจากวคั ซีนหรอื การ ติดเชื้อ

4.4 วั ค ซี น ท่ี ผ ลิ ต จ า ก เ นื้ อ เ ย่ื อ ท่ี ไ มํ บ ริ สุ ท ธ์ิ อ า จ นํ า โ ร ค อ่ื น ๆ ติ ด ม า ถึ ง สุ ก ร ไ ด๎ 4.5 การใชว๎ คั ซีนเชือ้ เปน็ เช้ือไวรัสสามารถผํานออกมาทางํนา๎ เช้อื ไดเ๎ ปน็ เวลานานและ อาจมีผลให๎ตัวอสุจิมีรูปรํางผิดปกติและเคล่ือนไหวช๎าลง นอกจากน้ีในสุกรอ๎ุมท๎อง อาจผํานรกไปถึงลูกอํอนทําให๎เกิด การติดเชอื้ ในลูกออํ นได๎ การรักษา 1. ไมํมียารักษาโดยตรง การรักษาสุกรที่ปุวยจึงเป็นการรักษาตามอาการปุวยและการบํารุงรํางกายสัตว์ปุวย เชนํ การใหส๎ ารเกลือแรํ วิตามิน การเปล่ยี นสตู รอาหารท่ีให๎พลงั งานสงู และใหย๎ าปฏิชีวนะเพ่ือปูองกันการติดเช้ือแทรก ซ๎อน ซึ่งอาจใหโ๎ ดยการฉดี ผสมํน๎าหรือผสมอาหาร 2. การรักษาความสะอาด ฆําเช้อื โรคอยํางสํมาํ เสมอเพอื่ ลดจาํ นวนเชือ้ ไวรสั ที่หมนุ เวยี นภายในฝงู 6.4 โรคเอพพี หี รอื โรคปอดและเย่อื ห๎มุ ปอดอักเสบ (Actinobacillus) มีชื่อเดิมวําฮีโมฟลัส พาราฮีโมลัยติคัส จากการปรับปรุงสายพันธุ์สุกรให๎มีสมรรถภาพการเจริญเติบโตสูง คุณภาพซากดี อัตราเปล่ียนอาหารดี สํงผลทางลบตํอสุขภาพ ทําให๎ความต๎านทานโรคํตําลง โดยเฉพาะโรคระบบ ทางเดนิ หายใจ นอกจากน้ีในชํวงเศรษฐกิจตกํตําหลังพ.ศ.2540 ได๎มีการซ้ือขายสุกรเล็กเพ่ือเข๎าขุน เนื่องจากราคาลูกสุกรํตํา มกี ารนาํ เอาสุกรจากตํางแหลงํ มารวมกนั เป็นจํานวนมาก มกี ารเลย้ี งในสภาพแออัด และมีการเคล่ือนย๎ายสุกรไกลๆ ทํา ให๎เกิดการนําโรคเอพีพีมากับตัวสุกรและระบาดอยํางรุนแรงจนไมํสามารถค วบคุมรักษาได๎ด๎วยระบบและวิธีจัดการ สุขภาพแบบเดิม ผเ๎ู ลีย้ งจาํ เปน็ ตอ๎ งเพิ่มปริมาณยาในอาหาร หรอื เปล่ียนกลํุมยา หรือหาวัคซีนชนิดท่ีให๎ซีโรไทป์ตรงกับ ชนิดเชื้อยํอยทเ่ี กิดขึ้น แตไํ ด๎ผลเพยี งบางสํวนและตอ๎ งใหย๎ าในระดบั สงู ผสมอาหารเพอ่ื ควบคุมโรคติดตอํ กนั เป็นเวลานาน สาเหตุ เกดิ จากเชอื้ Actinobacillus pleuropneumoniae อาการ สุกรจะปวุ ยเป็นโรคปอด pneumonia หรือ pleuropneumonia ได๎งําย สุกรปุวยจะไมํกินอาหาร ท่ีมียาผสมอยํหู รอื กินไดเ๎ พียงเล็กน๎อย ทําให๎ไมํได๎รับยาในการรักษาหรือได๎รับในปริมาณเพียงเล็กน๎อย ทําให๎การรักษา ไมํได๎ผล สกุ รปุวยหนกั ข้นึ และตายในวันตํอมา หากมีการให๎อาหารแบบถงั อัตโนมัตยิ่งไมํทราบวําสุกรตัวใดไมํกินอาหาร ทาํ ใหส๎ ุกรไมไํ ด๎รับการรกั ษา ดงั น้นั หากมแี นวโน๎มความรุนแรงมากข้นึ ใหร๎ ีบรักษา การรักษา การฉีดยาปฏิชีวนะ เชํน เซโฟแทกซีม หรือเซฟตริอาโซน หรือเจนตามัยซิน หรือกานามัยซิน หรอื เอน็ โรฟล็อกซาซิน ชนิดใดชนดิ หนงึ่ หรอื รํวมกนั ในขนาดรกั ษาทุกตัวเป็นเวลา 3 วันติดตํอกัน แล๎วตามด๎วยการ ใหย๎ าปฏิชีวนะเซฟาเลกซินหรอื แอมพิซลิ ลนิ ในอาหารกินติดตอํ กันไปอกี ประมาณ 2 สัปดาห์ หรอื จนกวาํ โรคสงบ 6.5 โรคเอนซตู ิกนิวโมเนยี (Enzootic Pneumonia, EP) เช้ือไมโคพลาสมา (Mycoplasma) เป็นจุลชีพกึ่งแบคทีเรียกึ่งไวรัสที่กํอปัญหามากในอุตสาหกรรมการเลี้ยง สัตวท์ ั่วโลก เชอ้ื ไมโคพลาสมาท่กี อํ ให๎เกดิ โรคและเป็นปัญหาสาํ คัญมากในอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกร มีอยํูประมาณ 2- 3 ชนดิ คือ 1. ไมโคพลาสมาไฮโอนวิ โมนิอี (Mycoplasma hyopneumoniae, Mh) ทาํ ใหเ๎ กดิ โรคปอดเอนซูติกนิวโมเนียหรือปอดอักเสบจากเช้ือไมโคพลาสมาไฮโอนิวโมนิอี มีผลทําให๎สุกรแสดง อาการหอบไอ เนอ่ื งจากโรคน้ีมีลักษณะการกํอโรคแบบเร้ือรัง เนื้อเยื่อปอดรอบหลอดลมอักเสบ สํวนใหญํเกิดในชํวง ํน๎าหนัก 30-50 กโิ ลกรัม หรืออาจกํอปญั หาไอเรอ้ื รงั ในบางฟารม์ ตลอดชวํ งการขุน

2. ไมโคพลาสมาไฮโอไรนีส (Mycoplasma hyorhinis) ทําให๎เกิดโรคในลูกสุกรอนุบาลชํวงอายุ 3-10 สัปดาห์โดยทําให๎เกิดการอักเสบของเยื่อเสื่อมท่ัวรํางกาย (polyserositis) และข๎อท่ัวไปอักเสบ (polyarthritis) ลูก สกุ รแสดงอาการขากะเผลกและหายใจลาํ บากเน่ืองจากมีการอกั เสบแบบน้มี ไี ฟบรนิ คํอนข๎างรนุ แรงภายในชํองอก ท้ังนี้มี ลักษณะใกล๎เคียงมากกับโรคเกลสเซอร์ (Glaesser’s Disease) ที่เกิดจากเช้ือฮีโมฟิลัส พาราซูอีส (Hemophilus parasuis) โดยมีขอ๎ แตกตํางท่เี ดํนชัดตรงทีโ่ รคเกลสเซอร์ สวํ นใหญํทําให๎สมองอกั เสบรวํ มดว๎ ย ทําให๎สุกรปุวยชักตายได๎ ในชํวงหลงั หยาํ นม 3. ไมโคพลาสมาไฮโอซินโนวิอี (Mycoplasma hyosynoviae) เป็นเช้ือไมโคพลาสมาท่ีกํอให๎เกิดข๎ออักเสบ ในสุกรขุนชํวงอายุประมาณ 3 เดือนขึ้นไปถึงชํวงใกล๎ขาย ทําให๎สุกรขุนแสดงอาการขากะเผลกและเดินขาแข็ง ใน ลักษณะของการเกดิ โรคท่ีคอํ นขา๎ งเฉยี บพลนั ในบรรดาเชือ้ ไมโคพลาสมาทง้ั สามชนิดเชือ้ ไมโคพลาสมาไฮโอนิวโมนิอี เป็นตัวสําคัญที่สุด เพราะกํอให๎เกิดโรค เอนซูติกนวิ โมเนยี ซึ่งจัดเปน็ โรคติดตํอท่ีสําคัญท่ีสุด ในระบบทางเดินหายใจของสุกรและมีการระบาดแพรํหลายในฝูง สกุ รทงั้ ในประเทศและ ตํางประเทศ การติดตํอ ทางการหายใจ โดยแมํสุกรจะเปน็ ตวั แพรโํ รคท่ีสาํ คัญ โดยแมํสุกรจะไมํแสดงอาการผิดปกติให๎เห็น เนื่องจากมคี วามตา๎ นทานโรคจากการสมั ผสั เชื้อหรือปุวยในชํวงท่ีเป็นสุกรเล็กหรือสุกรรํุน ลูกสุกรมีโอกาสติดเชื้อจากแมํ ตลอดเวลาทอี่ ยใูํ นซองคลอด สกุ รจะแพรเํ ชอื้ ออกมาทางลมหายใจโดยเฉพาะในชวํ งหลงั คลอดใหมํๆ (ภาพท่ี 8.4) ภาพที่ 8.4 โรคปอดเอนซตู ิกนิวโมเนยี หรือปอดอกั เสบจากเชื้อ Mycoplasmal pneumonia ที่มา: สวุ รรณา พรหมทอง, (มปพ.) การปูองกนั 1. การใช๎ยาปฏิชีวนะเพ่ือลดการแพรํเช้ือจากแมํสุกรไปยังลูกและลดการแพรํเช้ือของลูกสุกรด๎วยกันในเล๎า อนุบาล โดยใช๎ยาปฏิชีวนะผสมในอาหารแมํสุกรเล้ียงลูก ต้ังแตํ 1 สัปดาห์กํอนคลอดตํอเน่ืองถึงหลังคลอด 1-2 สัปดาห์ รวมเป็น 2-3 สัปดาห์ติดตํอกัน หรืออาจตลอดชํวงการเลี้ยงลูกและผสมในอาหารลูกสุกรให๎กินตํอเนื่อง จนถึง 2 สปั ดาห์ หลงั หยาํ นมอายุประมาณ 6 สปั ดาห์ ชนดิ ยาปฏิชวี นะท่ีใชด๎ ังน้ี ไทโลซีน (tylosin) กลุํมยาเตตร๎า ซยั คลิน (tetracyclines) ลินโคมยั ซิน (lincomycin) สไปรามยั ซนิ (spiramycin) ไทอะมูลิน (tiamulin) และโจซา มยั ซิน (josamycin) 2. การให๎วัคซีนฉีดแมํสุกรพันธุ์กํอนคลอด 2 สัปดาห์ และฉีดให๎ลูกสุกร 2 คร้ัง ที่อายุครบ 1 และ 3 สัปดาห์

6.6 เซอโคไวรัสสกุ ร (Circovirus infection in Swine; PCV-2) โรคน้มี ักพบในสกุ รอนุบาลมผี ลทาํ ให๎ลกู สกุ รผอมลงอยํางรวดเร็ว ตํอมํน๎าเหลืองท่ัวรํางกายบวมโตขึ้นอยํางเห็น ได๎ชัด หายใจลําบาก ท๎องเสียเป็นครั้งคราว ผิวหนังซีด เกิดดีซําน จึงเรียกอาการเหลํานี้วํากลํุมอาการ post- weaning multisystemetic wasting syndrome (PMWS) นอกจากนี้ยังสามารถทําให๎เกิดกลํุมอาการ porcine dermatitis and nephropathy syndrome (PDNS) และกลุํมโรคซับซ๎อน porcine respiratory disease complex (PRDC) ด๎วย สาเหตุ เกดิ จากเชือ้ ไวรัสสายพันธุ์ PCV-2 ซ่ึงเป็นเชื้อไวรัสขนาดเล็กที่มี DNA ลักษณะเป็นวงกลม (single stranded circular DNA genome) ไมมํ ีเปลอื กหุ๎ม มีความคงทนในสิง่ แวดลอ๎ มไมํเหมาะสมและยาฆําเชื้อโรคหลาย ชนิด เช้อื ไวรสั ชนิดน้มี คี ณุ สมบตั ทิ าํ ลายระบบภมู ิคมุ๎ กนั โรค ทาํ ใหเ๎ กดิ ภาวะภมู ิคุ๎มกันโรคบกพรํอง ระบาดวิทยากลุํมอาการ PMWS ตัวท่ีบํงบอกถึงการติดเชื้อไวรัส PCV-2 คือ การเกิดกลุํมอาการ PMWS จากรายงานการเกิดอาการ PMWS คร้ังแรกใน ค.ศ.1991 ที่ประเทศแคนนาดา ปัจจุบันมีการระบาดในหลาย ประเทศ เชํน ทวีปอเมรกิ าเหนือและใต๎ หลายประเทศทางยุโรปและเอเซียรวมถึงประเทศไทยด๎วย กลุํมอาการน้ีเป็น ปญั หาอยํางมากในสุกรอนบุ าลและสุกรขนุ เมอ่ื เปน็ โรคอบุ ัติใหมํสาํ หรับฟารม์ ทีไ่ มํเคยติดเชื้อมากํอนทําให๎มีความรุนแรง สงู มาก ทง้ั ในสุกรหลังหยํานม สุกรเลก็ สุกรรุํน และในฝงู แมํพนั ธุ์ สามารถตรวจพบไวรสั จากซากลูกสุกรที่แท๎งหรือแม๎ ในํน๎าเชื้อสุกรพํอพนั ธุ์สํวนใหญพํ บในสกุ รหลงั หยํานมจนถงึ สุกรรนํุ ชํวงอายรุ ะหวําง 5-18 สัปดาห์ อาการท่ีพบคือ ลูก สุกรไมโํ ตเมอ่ื เทยี บกบั ลูกสกุ รตวั อน่ื ในชุดเดียวกัน ตํอมาํน๎าหนักลดและผอมโทรม บางคร้ังอาจแสดงลักษณะของปอด อักเสบรวํ มกับอาการท๎องเสีย สุกรปุวยไมํตอบสนองตํอการให๎ยาปฏิชีวนะหรือการบําบัดรักษาใดๆ หรือถึงแม๎วําจะให๎ การดูแลอยาํ งใกลช๎ ิดแตลํ กู สกุ รยงั คงสญู เสียํนา๎ หนักตัวไปเรอื่ ยๆ ระบาดวิทยากลํุมอาการ PDNS การเกิดกลุํมอาการ PDNS พบตั้งแตํ ค.ศ.1993 เกี่ยวข๎องกับการติดเช้ือ ไวรสั PCV-2 สกุ รอาจไมํแสดงอาการปุวย ไมมํ ีไข๎ แตํพบแผลหลุมในกระเพาะอาหารและรอยโรคที่ผิวหนังในบริเวณ สํวนขาหลังดา๎ นใน ดา๎ นทา๎ ยลําตวั และพื้นท๎อง รอยโรคอาจมีตุมํ แดงเป็นป้ืนกว๎างหรือเป็นดวงโต มีหนองแห๎งกรังปก คลุมและมเี ศษสะเกต็ สดี าํ สุกรที่ปวุ ยอาจตายหรอื บางครัง้ หายเองไดแ๎ มไ๎ มํทาํ การรกั ษา เม่ือทําการผําซากชันสูตรพบวํา ไตบวมสีซดี ขยายใหญํและมีจุดเลือดออกขนาดเล็กท่ีผิวไตจากการสํองกล๎องจุลทรรศน์ พบรอยโรคของการเกิดการแพ๎ จากการตอบสนองของระบบภูมคิ ุ๎มกันในรํางกาย โดยกลมํุ อาการเหลาํ นเ้ี กิดจากเชื้อไวรสั PCV-2 รวํ มกบั เชอ้ื แบคทีเรีย Pasteurella multocida ระบาดวิทยากลํุมอาการ PRDC สหรัฐอเมริกาพบกลุํมอาการ PRDC ซ่ึงเกี่ยวข๎องกับการติดเช้ือ PCV-2 รํวมกับการติดเชื้อ Pasteurella multocida, swine influenza, PRRS virus หรือ Mycoplasma hyopneumoniae มีผลทําให๎เป็นโรคเร้อื รังและมกั เกดิ การระบาดของกลมํุ โรคทางเดินหายใจอยํางรุนแรงตามมา เม่ือ เกดิ การระบาดจะไมํพบการตอบสนองตํอยาปฏิชีวนะ เปน็ ผลใหส๎ กุ รมีการตายมากกวําปกติสูงขึ้น 2-10 เทํา รอยโรค อ่ืนทเ่ี กี่ยวขอ๎ งกบั PCV-2 อาจเป็นการเสียหายของระบบสืบพันธ์ุในแมํสุกร ลําไส๎อักเสบ แสดงอาการโรคทางระบบ ประสาท จากการชันสูตรซากในลูกสุกรที่ผอมแห๎งพบวํามีหลายตัวที่มีแผลหลุมหรือการอักเสบในกระเพาะอาหาร มี บริเวณเลือดออกตํอมํน๎าเหลืองบวมโตท่ัวรํางราย มีรอยโรคท่ีบํงช้ีถึงภาวะการอักเสบอยํางรุนแรงและยังมีการเสื่อม สลายของเซลล์ปอด ตบั อํอน ไต ตบั กลา๎ มเนือ้ หวั ใจ และเน้ือเยื่อตอํ มํน๎าเหลืองทัว่ ไป การปอู งกนั 1. มกี ารกักกนั สกุ รใหมํกํอนนาํ เขา๎ ฝงู ตอ๎ งตรวจเชือ้ ไวรสั PCV-2 ให๎ได๎ผลลบ จึงนําเขา๎ ฝงู ทป่ี ลอดโรค 2. ลูกสกุ รแรกคลอดตอ๎ งใหน๎ มํน๎าเหลอื งอยํางเพียงพอโดยทันที

3. ลดการฝากเลี้ยงลูกสุกรหรือไมํควรทําเลยในขณะท่ีมีการระบาดของโรคอยํู หรือนําสุกรอํอนแอมาเลี้ยง รวมกนั หากเป็นไปได๎ควรทาํ ลายเพ่อื ลดจาํ นวนเชื้อท่แี พรรํ ะบาดในฝงู 4. ลดขนาดของฝงู สกุ ร 5. มีระบบการนําสกุ รเข๎าหมด-ออกหมดในระดับโรงเรือนหรือฟาร์ม 6. ควบคมุ สง่ิ แวดล๎อมให๎มีการระบายอากาศดีในทกุ โรงเรือน 7. มีการปูองกันการนําเข๎าและการแพรํกระจายเชื้อจากผู๎เข๎าเยี่ยมฟาร์ม หนู แมลง นก สัตว์อ่ืนๆ และ ยานพาหนะที่เข๎าออกฟาร์ม โดยต๎องมีการอาบํน๎าและฆําเชื้อโรคกํอนเข๎าฟาร์ม มีการทําความสะอาดโรงเรือนและ อุปกรณอ์ ยาํ งดี ไมใํ หเ๎ ป็นแหลงํ เพาะเช้ือและเพาะพนั ธุ์สตั ว์อื่นๆ การรักษา 1. ไมํมีการรักษา หากมีการติดเชื้อแบคทีเรียอ่ืนกํอนมีการติดเช้ือ ไวรัส PCV-2 อาจใช๎ยาปฏิชีวนะชํวย ควบคมุ โรคได๎บา๎ ง 2. ทําการรักษาโรคแบคทเี รียแทรกซอ๎ นท่ีเกดิ ขึ้นโดยการใช๎ยาปฏชิ วี นะวงกว๎างในรูปการกินเพื่อลดความรุนแรง ของโรค หรือใช๎เคมีบําบัดโดยเฉพาะในชํวงเกิดความเครียด เชํน จากการทําวัคซีนตํางๆ การขนสํงเคล่ือนย๎าย การ รวมฝงู และแยกสุกรทไ่ี มตํ อบสนองตํอการรักษาออกจากฝูง 3. กําจัดหรอื ลดปญั หาการเกดิ โรค PRRS รํวมดว๎ ย โดยการทําวัคซีนหรือลดการเคล่ือนย๎ายสุกร หรืออยําให๎ เกิดความเครยี ดกบั สกุ ร 4. กาํ จัดหรือลดปญั หาการเกิดการตดิ เชอ้ื ไวรสั ไข๎หวัดใหญสํ กุ รรํวมด๎วย โดยการทาํ วัคซีน 5. หากพบวาํ มกี ารติดเชือ้ พาร์โวไวรัสในสุกรในระยะเวลาที่เกิดโรคจากเช้ือไวรัส PCV-2 ให๎ทําวัคซีนปูองกัน โรคพาร์โวไวรัสในสกุ รขุนด๎วย 6. ลดปัญหาโรคปอดอักเสบท่ีเกิดจากเชื้อ Mycoplasma Hyopneumoniae โดยการทําวัคซีนหรือทําการ รักษาทางยา ท้ังยาฉดี และยาผสมอาหาร เชนํ ยากลมํุ macrolides, pleuromutilins 7. หากพบวําทาํ การแกป๎ ญั หาด๎วยวิธตี าํ งๆ แลว๎ ไมํไดผ๎ ล ควรเปลย่ี นแหลํงท่มี าของพันธุกรรมสุกรในฟาร์มหรือ เปล่ียนสายพันธขุ์ องสกุ รเปน็ สายพนั ธุ์อื่นทีม่ ีความตา๎ นทานตํอโรคได๎ดกี วาํ 6.7 โรคกระเพาะอาหารและลาํ ไส๎อกั เสบติดตํอ, โรคทีจอี ี (Transmissible Gastro-enteritis; TGE) เปน็ โรคระบาดของทางเดินอาหารท่เี กิดอยาํ งรุนแรงในลกู สุกร อัตราการเกดิ โรค และอัตราการตายสูงถึง 100 เปอร์เซน็ ต์ สาเหตุ เกิดจากเชอ้ื ไวรัสสกลุ Coronavirus และวงศ์ Coronaviridae การตดิ ตํอ 1. กินอาหารหรอื นํ๎าทีม่ ีเชื้อโรคปะปนอยูํ 2. การหายใจทีเ่ อาเช้ือโรคเข๎าไป ระยะฟักตวั 14 ช่วั โมง-4 วัน อาการ อาการของโรคจะรุนแรงในลูกสกุ รที่มีอายํตุ าํ กวาํ 3 สัปดาห์ อาการแรกท่ีพบคอื อาเจยี น (มีตะกอนํนา๎ นม) และมีอาการท๎องเสยี ตามมา ซ่งึ อาการทอ๎ งเสียจะพบได๎เม่ือลูก สกุ รสมั ผสั กบั เช้ือโรคแล๎วนาน 18-30 ชั่วโมง อาการท๎องเสียท่ีพบได๎ในวันแรก จะมีลักษณะเป็นสีเหลืองใสพบเกาะ ตามกีบขาหลังและหาง นอกจากนี้อาการอ่ืนๆ ท่ีพบได๎ ได๎แกํ อาการตัวสั่น ตาลึก และหิวน้ํา (เนื่อง จากรํางกาย