Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ชุดวิชาการใช้พลังงานไฟฟ้าในชีวิตประจำวัน 3 พว32023 ม

ชุดวิชาการใช้พลังงานไฟฟ้าในชีวิตประจำวัน 3 พว32023 ม

Published by s_ec0236, 2018-12-21 02:25:42

Description: ชุดวิชาการใช้พลังงานไฟฟ้าในชีวิตประจำวัน 3 พว32023 ม

Search

Read the Text Version

43 ภาพการผลติ ไฟฟ้าจากพลังงานความรอ้ นชีวมวล การผลิตไฟฟ้าจากชีวมวลอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม คือ การเผาไหม้ชีวมวลอาจเกิดฝุ่นเถ้าขนาดเล็กลอยออกสู่บรรยากาศ เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ก๊าซซลั เฟอรไ์ ดออกไซด์ กา๊ ซไนโตรเจน และกา๊ ซอ่ืน ๆ เช่นเดียวกบั การเผาไหม้ท่ัวไป เพ่ือไม่ให้เกิดผลกระทบกับส่ิงแวดล้อม จึงจาเป็นต้องติดตั้งระบบในการดักจับก๊าซและฝุ่นละอองที่ออกจากกระบวนการเผาไหม้ก่อนปล่อยก๊าซออกสบู่ รรยากาศ ระบบกาจัดมลพิษดังกล่าวประกอบด้วยระบบดักจับฝุ่นระบบกาจัดก๊าซซลั เฟอรไ์ ดออกไซด์และระบบลดปรมิ าณก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ 2) โรงไฟฟา้ กา๊ ซชวี ภาพ การผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพเป็นการหมักหรือย่อยสลายของเสีย น้าเสียของท้ิง และมูลสัตว์ท่ีได้จากโรงงานอุตสาหกรรมการเกษตร เช่น โรงงานผลิตแป้งมันสาปะหลังโรงงาน ผลิตเหล้าเบียร์ อาหารกระป๋อง ฟาร์มปศุสัตว์ ให้ได้ก๊าซชีวภาพได้แก่ มีเทนคารบ์ อนไดออกไซด์ ไนโตรเจน ไฮโดรเจนซลั ไฟด์ และก๊าซอ่ืน ๆ ไปต้มน้าจนเกิดไอน้า ต่อจากน้ันไอน้าถูกส่งไปยังกังหันไอน้า เพื่อปั่นกังหันท่ีต่ออยู่กับเคร่ืองกาเนิดไฟฟ้า ทาให้ได้กระแสไฟฟ้าออกมา

44 ภาพการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชวี ภาพ ศกั ยภาพของเชอื้ เพลิงชีวมวลในประเทศไทย ศักยภาพของการผลิตชีวมวลในประเทศไทยจะประเมินจากปริมาณผลผลิตทางการเกษตรท่ีก่อใหเ้ กิดชีวมวลนน้ั ๆ ศักยภาพชวี มวลของประเทศไทย ปี พ.ศ. 2552 ชนิด ผลผลติ (ตนั ) ชวี มวล ปรมิ าณชวี มวลเหลือใช้ ศกั ยภาพพลังงาน (ตัน) (ktoe)อ้อย 66,816,446 ชานออ้ ย 4,190,794.31 1,428.54 ยอดและใบ 13,439,727.21 5,532.52ข้าว 31,508,364 แกลบ 3,510,598.90 1,185.87 ฟางข้าว 25,646,547.96 6,216.73ถ่วั เหลอื ง 190,480 ต้น/เปลอื ก/ใบ 170,383.17 78.41ขา้ วโพด 4,616,119 ซงั 584,539.15 249.62 ลาตน้ 2,758,777.36 1,178.11ปาล์มนา้ มัน 8,162,379 ทะลายเปล่า 1,024,868.34 433.29 ใย 162,970.06 67.97 กะลา 38,959.04 17.02 กา้ น 2,203,740 516.62มนั สาปะหลงั 30,088,025 ลาตน้ 2,439,236.19 1,063.60 เหง้า 1,834,466.88 799.89มะพรา้ ว 1,380,980 ก้าน 628990.8 229.30 กาบ 464250.9 178.36 กะลา 128936.58 54.73ไมย้ างพารา 3,090,280 กิ่ง/ก้าน 312,118.2 110.68รวม 145,853,073 59,539,905.20 11,938.67ทีม่ า : กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรกั ษพ์ ลังงาน

45 ถึงแม้ว่าประเทศไทยมีวัสดุเหลือใช้จากการเกษตรอยู่จานวนมาก สามารถใช้เป็นเชือ้ เพลิงผลิตไฟฟา้ ในเชงิ พาณิชยไ์ ด้แตม่ ขี ้อจากัดในการจดั หาชวี มวลในปรมิ าณท่ีต้องการใช้ให้คงท่ีตลอดปีเพราะชีวมวลบางประเภทมีจากัดบางช่วงเวลาหรือบางฤดูกาลและข้ึนอยู่กับผลผลิตเช่นกากอ้อย แกลบ เป็นต้น ทาให้เกิดความผันผวนของราคาชีวมวล นอกจากนี้การผลิตไฟฟ้าด้วยชีวมวลยังมีข้อจากัด คือ มีการเก็บรักษาและการขนส่งท่ียาก ต้องการพื้นท่ีในการเก็บรักษาขนาดใหญ่ 5. พลงั งานความร้อนใตพ้ ภิ พ พลังงานความร้อนใต้พิภพเป็นพลังงานความรอ้ นตามธรรมชาติท่ีได้จากแหล่งความร้อนท่ีถูกกักเก็บอยู่ภายใต้ผิวโลก แหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพจะต้ังอยู่ในบริเวณท่ีเรียกว่า“จุดร้อน” (Hot Spots) มักตั้งอยู่ในบริเวณท่ีเปลือกโลกมีการเคล่ือนท่ีเขตท่ีภูเขาไฟยังคุกรุ่นและบริเวณที่มีช้ันของเปลือกโลกบาง ซึ่งทั้งหมดน้ีปรากฏให้เห็นในรูปของบ่อน้าพุร้อนไอน้าร้อนและบ่อโคลนเดือด ภาพแหล่งพลงั งานความร้อนใตพ้ ิภพบนโลก บริเวณแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพสามารถพบได้ตามบริเวณต่าง ๆ ของโลกเช่น ประเทศท่ีอยู่ด้านตะวันตกของทวปี อเมริกาใต้ และอเมริกาเหนือ ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียประเทศตา่ ง ๆ บริเวณเทอื กเขาหิมาลัย กรซี อติ าลี และไอซแ์ ลนด์ เปน็ ต้น

46 แ ห ล่ ง พ ลั ง ง า น ค ว า ม ร้ อ น ใ ต้ พิ ภ พ ท่ี อ ยู่ ภ า ย ใ น โ ล ก มี รู ป แ บ บ ท่ี แ ต ก ต่ า ง กั นโดยแบ่งเปน็ ลกั ษณะใหญ่ ๆ ได้ 4 ลักษณะ คอื 5.1 แหล่งทเี่ ปน็ ไอนา้ (Steam Sources) เป็นแหลง่ พลงั งานความร้อนใต้พิภพท่ีอยู่ใกล้กับแหล่งหินหลอมเหลวในระดับตื้น ๆ แหล่งพลังงานน้ีจะมีลักษณะเป็นไอน้ามากกว่าร้อยละ 95 มีอุณหภูมิของไอน้าร้อนสูงเฉล่ียกว่า 240 องศาเซลเซียส สามารถใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าไดด้ ที ีส่ ดุ เพราะสามารถนาเอาพลังงานจากไอน้าร้อนไปหมนุ เคร่ืองกาเนิดไฟฟา้ ได้โดยตรง 5.2 แหล่งท่ีเป็นน้าร้อน (Hot Brine Sources) ส่วนใหญ่จะเป็นน้าเค็ม จะมีอณุ หภูมิต่ากวา่ 180 องศาเซลเซียส และบางแหล่งอาจมกี ๊าซธรรมชาตริ วมอย่ดู ว้ ย 5.3 แหลง่ ท่เี ป็นหนิ ร้อนแหง้ (Hot Dry Rock) เป็นแหล่งที่สะสมพลังงานความร้อนในรูปของหินเนื้อแน่นโดยไม่มีน้าร้อนหรือไอน้าเกิดขึ้นเลย การนาแหล่งท่ีเป็นหินร้อนแห้งน้ีมาใช้ประโยชน์จะต้องมีการอัดน้าลงไปเพื่อให้น้าได้รับพลังงานความร้อนจากหินร้อนน้ัน จากน้ันจึงจะทาการสบู น้ารอ้ นน้ขี ึ้นมาใชผ้ ลิตไฟฟา้ 5.4 แหล่งที่เป็นแมกมา (Molten Magma) เป็นแหล่งพลังงานความร้อนที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 650 องศาเซลเซียส ส่วนใหญ่จะพบในแอ่งใต้ภูเขาไฟ ในปัจจุบันยังไม่สามารถนามาใช้ผลติ ไฟฟ้าได้ ประเทศไทยมีแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพท่ีมีศักยภาพเป็นแหล่งผลิตพลังงานไฟฟ้าได้น้อย จึงมีการผลิตไฟฟ้าจากความร้อนใต้พิภพเพียงแห่งเดียว คือ โรงไฟฟ้าพลังงานความรอ้ นใต้พิภพฝาง ตั้งอยู่ที่ตาบลม่อนป่ิน อาเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ โดยได้เริ่มเดินเคร่ืองเม่ือวันท่ี5 ธันวาคม พ.ศ.2532 มีขนาดกาลังผลิต 300 กิโลวัตต์ มีหลักการทางาน คือ นาน้าร้อนจากหลุมเจาะไปถ่ายเทความร้อนให้กบั ของเหลวหรือสารทางาน (Working Fluid) ท่ีมีจุดเดือดต่าจนกระทั่งเดือดเป็นไอ แล้วนาไอนีไ้ ปหมุนกังหันเพอื่ ขับเครอ่ื งกาเนิดไฟฟ้าผลิตไฟฟ้าออกมา

47 ภาพโรงไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพฝางของ กฟผ. พลังงานความร้อนใต้พิภพมีข้อจากัด คือ ใช้ได้เฉพาะในพื้นท่ีท่ีมีศักยภาพพลังงานความร้อนใต้พิภพอยู่เท่านั้น นอกจากน้ีการใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพอาจมีก๊าซและน้าที่มีแร่ธาตุทีเ่ ป็นอนั ตรายตอ่ รา่ งกาย 6. พลงั งานนวิ เคลยี ร์ พลังงานนิวเคลียร์ คือ พลังงานที่เกิดจากการเปล่ียนแปลงภายในนิวเคลียสของอะตอมซึ่งมนุษย์ได้มีการนาพลังงานนิวเคลียร์มาใช้ประโยชน์ในหลายด้าน เช่น การแพทย์เกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการผลติ ไฟฟา้ เปน็ ต้น การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์เหมือนกับโรงไฟฟ้าพลังความร้อน ทั่วไปแตกตา่ งกนั ที่แหล่งกาเนดิ ความร้อน โรงไฟฟ้าพลังความรอ้ นจะใช้การเผาไหม้ของเช้ือเพลิงฟอสซิลเชน่ ถา่ นหนิ กา๊ ซธรรมชาติ และน้ามัน เป็นต้น ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ใช้ปฏิกิริยาแตกตัวนิวเคลียสของอะตอมของเช้ือเพลิงนิวเคลียร์ท่ีเรียกว่า “ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชัน” (NuclearFission) ผลิตความร้อนในถังปฏิกรณ์นิวเคลียร์ธาตุท่ีสามารถนามาใช้เป็นเช้ือเพลิงในโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ คือ ยูเรเนียม – 235 ซึ่งเป็นธาตุตัวหนึ่งท่ีมีอยู่ในธรรมชาติโดยนิวเคลียสของเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ที่จะแตกออกได้เป็นธาตุใหม่ 2 ธาตุ พร้อมท้ังให้พลังงานหรือความร้อนจานวนมหาศาลออกมา ความร้อนที่เกิดข้ึนนี้สามารถนามาให้ความร้อนกับน้าจนเดือดกลายเป็นไอน้าไปหมุนกังหนั ไอน้าทตี่ ่อกบั เครื่องกาเนดิ ไฟฟ้าก็จะสามารถผลติ กระแสไฟฟ้าได้

48 เครอื่ งควบคุมความดัน อาคารคอนกรตีแท่งควบคุม คลุมเครือ่ งปฏิกรณ์ ไอนา้ สง่ ไฟฟ้าไปยงั ครัวเรอื น กงั หนั ไอน้า เคร่ืองผลติ ไอน้า เครอื่ งผลติ กระแสไฟฟา้แทง่ เชอื้ เพลิง เคร่อื งควบแนน่ ถงั ปฏกิ รณ์ ระบบระบายความร้อนวงจร2 ระบบระบายความร้อนวงจร 1 ภาพโรงไฟฟา้ พลงั งานนวิ เคลยี ร์ โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์โดยทั่วไปมีส่วนประกอบสาคญั 3 สว่ น ได้แก่ 1) ส่วนผลิตไอน้ามีอุปกรณ์สาคัญ ได้แก่ เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ซ่ึงภายในบรรจุแทง่ เชอ้ื เพลงิ นิวเคลียร์ 2) สว่ นผลติ ไฟฟา้ มีอปุ กรณส์ าคญั ไดแ้ ก่ กงั หนั ไอนา้ และเครอ่ื งกาเนิดไฟฟา้ 3) ส่วนระบายความร้อน มีอุปกรณ์สาคัญ ได้แก่ หอระบายความร้อน โดยเฉพาะอย่างย่ิงโรงไฟฟ้าที่อยู่ไกลจากทะเลจะต้องมีหอระบายความร้อนเพ่ือช่วยในการระบายความร้อนของโรงไฟฟ้า แต่ถ้าเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ท่ีอยู่ติดทะเล จะระบายความร้อนออกสู่ทะเลซงึ่ จะมีการควบคมุ อณุ หภูมิไม่ใหเ้ กดิ ผลกระทบตอ่ ส่ิงแวดลอ้ ม ภาพโรงไฟฟา้ พลงั งานนิวเคลียร์ Isar ภาพโรงไฟฟ้าพลังงานนวิ เคลียรต์ ัง้ อย่ตู ิดทะเลและหอระบายความร้อนประเทศเยอรมนี ในประเทศเกาหลใี ต้

49 การจดั การเชื้อเพลงิ นิวเคลียร์ที่ใชแ้ ล้ว โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์รุ่นใหม่มีอายุการใช้งาน 60 ปี สามารถเดินเคร่ืองต่อเน่ืองเป็นเวลานานถึง 18 เดือน ก่อนที่จะหยุดเพื่อเปลี่ยนเชื้อเพลิงและบารุงรักษาส่วนเช้อื เพลงิ ทใ่ี ชแ้ ลว้ ซ่ึงเป็นสารกัมมันตรังสจี ะถกู เก็บอยา่ งปลอดภัยภายในโรงไฟฟ้าโดยสามารถเ ก็บ แบบเปียกในส ร ะ น้า หรือเก็บแบบแห้งในถัง ค อ น ก รีต สา ห รับ วิธีก า ร จัดเก็บกากกัมมันตรังสีแบบถาวรจะเก็บโดยการบรรจุในถังเก็บซึ่งทาจากเหล็กกล้า (Stainless Steel)แล้วนาไปฝังใต้ดินลึกประมาณ 500 เมตร ในโครงสร้างท่ีมั่นคง นอกจากนี้เชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้วบางสว่ นยงั สามารถนาไปแปรสภาพเพื่อนากลับมาใช้ใหม่ได้ ซ่ึงจะช่วยลดปริมาณของเสียได้มากถงึ ร้อยละ 95 แทง่ เช้อื เพลงิ ถกู เก็บใน บ่อนา้ ภายในโรงไฟฟา้ ภาพการเกบ็ เชอ้ื เพลงิ ใชแ้ ล้วแบบเปยี ก ภาพการเกบ็ เชอ้ื เพลงิ ใช้แล้วแบบแห้ง

50 ความปลอดภัยของโรงไฟฟา้ พลังงานนิวเคลียร์ 1) ด้านการออกแบบและการก่อสร้าง ภายในโรงไฟฟ้าจะมีโครงสร้าง 5 ช้ัน เพื่อป้องกันรังสีร่ัวไหล ซ่ึงช้ันสุดท้ายคือ โครงสร้างอาคารคลุมปฏิกรณ์ทาจากคอนกรีตเสริมเหล็กหนาประมาณ 2 เมตร จึงทาให้ไม่มีรังสีรั่วไหลออกสู่ภายนอก และมีความแข็งแรงทนทานสามารถทนต่อการชนของเคร่ืองบินได้ นอกจากน้ีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ถูกออกแบบให้หยุดเดินเคร่ืองอัตโนมัติเมื่อสภาวะภายในหรือภายนอกไม่ปกติ ไม่ว่าจะเป็น อุณหภูมิ ความดัน รังสี ในอาคารเครือ่ งปฏกิ รณส์ งู เกินกาหนด หรอื เกิดแผ่นดินไหวภาพแบบจาลองโครงสร้างอาคารคลมุ ปฏิกรณ์ ภาพตัดขวางผนงั อาคารคลุมปฏิกรณ์ภาพการทดสอบผนงั อาคารคลมุ ปฏิกรณโ์ ดยการชนของเคร่อื งบิน

51 2) ด้านการอบรมพนักงานเดินเครื่อง พนักงานเดินเครื่องจะต้องสอบใบอนุญาตเดินเคร่ือง ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติในห้องควบคุมจาลองโดยพนักงานต้องสามารถตัดสินใจแก้ไขปัญหาและเหตขุ ัดข้องต่าง ๆ ได้ภายในระยะเวลาท่ีกาหนด โดยใบอนุญาตท่ีได้เฉพาะสาหรับแบบปฏิกรณ์นิวเคลียร์และขนาดท่ีกาหนดเท่านั้น ในทุก 2 - 3 ปี พนักงานเดินเครื่องจะต้องเข้ารับการอบรมเพ่ิมเติมและสอบเพ่ือต่อใบอนุญาต ท้ังน้ีพนักงานทุกคนในโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลยี ร์ จะได้รับการอบรมวฒั นธรรมความปลอดภัย โดยมีมาตรการสง่ เสริม สนับสนุน และจูงใจให้ทุกคนตระหนักว่าความปลอดภัยเป็นเรื่องสาคัญ ซ่ึงทุกคนมีส่วนร่วมในการสอดส่องดูแลปอ้ งกันและแกไ้ ข ภาพหอ้ งควบคมุ จาลองโรงไฟฟ้าพลังงานนวิ เคลียร์ 3) ด้านการกากับดูแลความปลอดภัย นอกจากความปลอดภัยในระบบปฏิบัติการของโรงไฟฟา้ พลงั งานนิวเคลียร์แล้ว ทุกประเทศที่มีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ จะต้องมีหน่วยงานท่ีกากับดูแลความปลอดภัยโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ โดยการดาเนินการทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามมาตรฐานด้านความปลอดภัยของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (InternationalAtomic Energy Agency : IAEA) ซ่ึง IAEA จะตรวจสอบโรงไฟฟ้าก่อนเดินเครื่อง ตรวจสอบการเคลอ่ื นย้ายเช้ือเพลิงเข้า - ออก จากเครื่องปฏิกรณ์ ติดตั้งกล้องวงจรปิดเพื่อติดตามการทางานและสุ่มตรวจโดยไม่แจ้งล่วงหน้าปีละ 2 - 3 ครั้ง ซ่ึงหากการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าไม่เป็นไปตามข้อกาหนดด้านความปลอดภัย โรงไฟฟ้าจะถูกส่ังให้หยุดเดินเครื่องเพื่อแก้ไข จะสามารถเดินเคร่ืองได้อกี เมื่อไดร้ ับการตรวจสอบและผา่ นข้อกาหนดด้านความปลอดภยั แลว้

52 การปฏบิ ตั ิตนให้ถกู ต้องในการใชพ้ ลงั งานนิวเคลยี ร์ การใช้พลงั งานทกุ รูปแบบ เชน่ พลงั งานไฟฟา้ พลงั งานเชอ้ื เพลิง พลังงานความร้อนหรือพลังงานนิวเคลียร์ ล้วนมีข้อจากัด ดังนั้นนอกจากจะศึกษาถึงประโยชน์ท่ีได้รับแล้วยังคงต้องศึกษาถึงผลกระทบท่ีอาจเกิดข้ึนจากการใช้และความปลอดภัยในการใช้พลังงานทุกรูปแบบ แม้ว่าจะมปี ระโยชน์มากมาย แต่ถ้าหากใช้ด้วยความประมาท ขาดความระมัดระวัง ขาดความรู้ก็อาจจะทาให้ได้รับอันตรายได้ พลังงานนิวเคลียร์ก็เช่นกันต้องใช้อย่างรู้เท่าทันและปฏิบัติตนตามข้อควรปฏบิ ัติก็จะปลอดภัยไดโ้ ดยเฉพาะจากรงั สี ปกติแล้วรังสีเป็นส่ิงที่เราได้รับจากธรรมชาติตลอดเวลาในชีวิตประจาวัน ไม่ว่าจะเปน็ รังสีจากพื้นโลกหรือจากนอกโลก เชน่ รงั สคี อสมิก อากาศที่เราหายใจ อาหาร และน้าท่ีบริโภคการรับชมโทรทัศน์ ผนังบ้าน พื้นอาคาร ผนังโรงเรียน และที่ทางานล้วนประกอบด้วยสารกัมมันตรังสีทั้งส้ิน หรือพูดได้ว่ารังสีสามารถพบได้ในสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวเรา แม้แต่ในร่างกายของเราเองก็มีธาตุกัมมันตรังสีอยู่เช่นกัน (ธาตุโพแทสเซียม - 40 หรือ K - 40 เป็นแหล่งกัมมันตภาพรงั สหี ลักในร่างกายของมนุษย์) ส่วนรังสีจากโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์นั้นถือเป็นรังสีทีม่ นุษยผ์ ลิตข้ึน ซึ่งเม่ือเปรยี บเทยี บกับรังสีท่ีเราได้รบั จากธรรมชาตแิ ล้วถือวา่ มีคา่ น้อยกวา่ มาก ภาพสัดสว่ นของปริมาณรังสีในสิ่งแวดลอ้ ม

53 ภาพรงั สีในชวี ติ ประจาวัน แหล่งกาเนิดพลังงานนิวเคลียร์มีอยู่ทุกหนแห่ง แต่ก็มีสถานที่บางแห่งท่ีอาจมีต้นกาเนิดรังสีหรือมีสารกัมมันตรังสีซึ่งถูกนามาใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น การแพทย์เกษตรกรรม อุตสาหกรรม เป็นต้น ซึ่งสถานท่ีที่มีต้นกาเนิดรังสีหรือสารกัมมันตรังสีน้ันสามารถสงั เกตได้จากสัญลักษณ์รปู ใบพัดสีมว่ งแดงหรือดาบนพ้ืนสีเหลือง ภาพสญั ลักษณแ์ สดงสถานท่ที ีม่ ตี น้ กาเนิดรังสี

54 ตวั อย่างสถานทที่ ี่มกี ารใช้สารกัมมนั ตรงั สี ไดแ้ ก่ 1. โรงพยาบาล 2. โรงงานอตุ สาหกรรมที่ใชส้ ารกมั มันตรงั สใี นเครอ่ื งมอื เคร่ืองจกั ร 3. สถาบันวิจัยท่ีใช้สารกัมมันตรังสี เช่น สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ(องค์การมหาชน) เปน็ ต้น 4. สถาบันการศกึ ษาท่ีใช้สารกมั มันตรงั สีเพอ่ื จดั การเรียนการสอนและการวิจยั หลกั การปอ้ งกนั อนั ตรายจากรังสี มอี ยู่ 3 ขอ้ ไดแ้ ก่ 1. เวลา (Time) : การปฏิบัติงานทางด้านรังสีต้องใช้เวลาน้อยที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายได้รับรังสเี กนิ มาตรฐานท่ีกาหนดไวส้ าหรับบุคคล 2. ระยะทาง (Distance) : ความเขม้ ของรังสีจะลดลงไปตามระยะทางที่ห่างจากสารต้นกาเนิดรังสี 3. การกาบัง (Shielding) : ความเข้มของรังสีจะลดลงเมื่อผ่านวัสดุกาบัง ซ่ึงจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับพลังงานของรังสี คุณสมบัติ ความหนาแน่น และความหนาของวัสดุที่ใช้ในการกาบงั

55ตอนที่ 3 พลงั งานทดแทนในชมุ ชน วกิ ฤตการณ์ด้านพลังงานได้ก่อตัว และมีแนวโน้มทวีความรุนแรงเพ่ิมมากข้ึน ทั้งจากการขาดแคลนแหล่งพลังงาน และผลกระทบของการใช้พลังงาน ท่ีมีต่อสภาวะส่ิงแวดล้อม ดังนั้นทุกภาคสว่ นจึงตอ้ งตระหนกั ถงึ วิกฤตการณ์เหล่าน้ี และพยายามคิดค้นเพ่ือหาทางออก หนทางหน่ึงในการแกไ้ ขวิกฤตการณ์ดังกล่าว คือ การใชพ้ ลังงานทดแทน เน่ืองจากแต่ละท้องถ่ินมีโครงสร้างพ้ืนฐาน สภาพแวดล้อมและวัตถุดิบท่ีจะนามาแปลงสภาพเป็นพลังงานเพ่ือใช้งานในท้องถ่ินที่แตกต่างกันออกไป ดังน้ันแต่ละท้องถ่ิน หรืออาจจะเริ่มต้นท่ีครัวเรือน จะต้องพิจารณาว่ามีอะไรบ้างที่มีศักยภาพ เพียงพอที่จะนามาผลิตเป็นพลังงานเพ่อื ใชใ้ นครวั เรือน หรือทอ้ งถ่ินของตนเองไดบ้ า้ ง อาทิเช่น เช้อื เพลิงชีวมวล (Biomass) ซึ่งเป็นวัสดุหรือสารอินทรีย์ที่สามารถเปล่ียนแปลงเป็นพลังงานได้ ชีวมวลนับรวมถึงวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร เศษไม้ ปลายไมจ้ ากอุตสาหกรรมไม้ มลู สัตว์ ของเสียจากโรงงานแปรรูปทางการเกษตรและของเสียจากชุมชน หรือกากจากกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมการเกษตร เช่น แกลบชานอ้อย เศษไม้ กากปาล์ม กากมันสาปะหลัง ซังข้าวโพด กาบและกะลามะพร้าว และส่าเหล้าเปน็ ตน้ เช้ือเพลิงชีวภาพ (Biofuel) เช้ือเพลิงที่ได้จากชีวมวล (Biomass) เป็นพลังงานที่ได้จากพืชและสัตว์โดยมีพื้นฐานจากการสังเคราะห์แสงแล้วเก็บรวบรวมพลังงานจากดวงอาทิตย์เอาไว้ในรูปของพลังงานเคมี หรือองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิตหรือสารอินทรีย์ต่าง ๆ รวมท้ังการผลิตจากการเกษตรและป่าไม้ เช่น ไม้ฟืน แกลบ กากอ้อย วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรอ่ืน ๆ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานนา้ ตลอดจนพลังงานลม พลงั งานความร้อนใต้พิภพ เป็นต้น เมื่อครัวเรือน หรือท้องถิ่นทราบศักยภาพว่าตนเองมีความพร้อมที่จะผลิตพลังงานจากแหล่งใดมากท่ีสุดแล้ว ก็สามารถพิจารณาดาเนินการได้ โดยอาจเร่ิมจากการไปศึกษาดูงานหรือขอคาแนะนาจากหน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง เช่น จากครัวเรือน หรือท้องถิ่นที่ประสบความสาเร็จในการผลิตพลังงานข้ึนใช้เอง หรือจากหน่วยงานราชการ รวมถึงสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ซ่ึงจะทาให้ได้แนวทางในการพัฒนาพลังงานท้องถ่ินข้ึนใช้เองอย่างเหมาะสมและมีโอกาสประสบความสาเรจ็ สงู ชุมชนแต่ละชุมชนจะมีศักยภาพของแต่ละชุมชนแตกต่างกันไปตามศักยภาพของแต่ละพื้นที่ เช่น พ้ืนที่ท่ีมีการเลี้ยงสัตว์จานวนมากก็จะมีศักยภาพในการนามูลสัตว์มาทาไบโอก๊าซหรอื พ้ืนทที่ ม่ี กี ารเพาะปลกู อ้อย หรือมันสาปะหลัง กจ็ ะมีศักยภาพในการนามาทาชวี มวล เปน็ ตน้ ตัวอย่าง องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินที่ได้ให้ความสาคัญกับการผลิตพลังงานทดแทนใช้อย่างเป็นรูปธรรม

56 1. พลงั งานทดแทนจากกระแสลม องค์กรปกครองรูปแบบพิเศษอย่าง \"เมืองพัทยา\" อาเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ก็มีความตื่นตวั ในการคิดหาพลังงานทดแทน คอื กงั หนั ลมมาใช้ เพ่ือลดการพง่ึ พาน้ามนั เช่นกัน โครงการน้ีเกิดขึ้นเน่ืองจากบนเกาะล้านมีประชากรอาศัยอยู่ 489 ครัวเรือน หรือประมาณ 3,000 คน ไม่รวมประชากรแฝงอีกกว่า 2,000 คน และยังมีนักท่องเท่ียวท้ังไทยและต่างชาติที่หลั่งไหลเข้ามาพักผ่อนอยู่บนเกาะอีกประมาณ 60,000 คนต่อเดือน การผลิตไฟฟ้าบนเกาะยังต้องพ่ึงพาเคร่ืองปั่นไฟของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ท่ีต้องใช้น้ามันดีเซลเป็นต้นทุนหลักท่มี รี าคาสูงข้ึนทกุ วันนอกจากจะมีต้นทุนการผลิตไฟสูงข้ึนเร่ือย ๆ เคร่ืองป่ันไฟแบบเดิมยังเกิดการชารุดอยู่บ่อยครั้งทาให้เครื่องใช้ไฟฟ้าตามบ้านและสถานประกอบการบนเกาะได้รับความเสียหายจากเหตุกระแสไฟฟ้าตก และบางวันกระแสไฟฟ้าท่ีผลิตได้ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการด้วย เมืองพัทยา จึงมีแนวคิดหาพลังงานรูปแบบใหม่มาทดแทนน้ามัน โดยคานึงถึงปัญหาสิง่ แวดลอ้ มเป็นสาคัญ ทั้งยังนอ้ มนาแนวพระราชดารขิ องพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัว ในด้านการใช้พลังงานทดแทน และการพ่ึงพาตัวเองอย่างย่ังยืนมาใช้ โดยการคัดเลือกพื้นที่เกาะล้านท่ีมีความเหมาะสมทางสภาพภูมิประเทศ ทั้งกระแสลมและพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ท้ังปี และยังเป็นการช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว และเป็นแหล่งเรียนรู้พลังงานทดแทนอีกทางหนง่ึ ด้วย บริเวณหาดแสมห่างจากจุดเนินนมสาวประมาณ 20 เมตร คือ ทาเลท่ีถูกเลือกให้เป็นสถานท่ีติดต้ังกังหันลม โดยแบ่งการดาเนินงานออกเป็น 3 ระยะ ระยะละ 15 ต้น รวมท้ังส้ินมีกังหันลม 45 ต้น จากการตรวจวัดความเร็วลมที่เกาะล้านพบว่ามีความเร็วลมเฉลี่ยที่ประมาณ4 - 5 กิโลเมตรต่อวินาที ซ่ึงจะทาให้ระบบกังหันลมผลิตกระแสไฟฟ้าได้ที่ 25 - 30 กิโลวัตต์ และหากมีลมเฉลี่ยต่อเน่ืองประมาณ 10 ชั่วโมง จะทาให้ระบบสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ประมาณวันละ 200 หน่วย และลดการใช้น้ามันดีเซลเพ่ือผลิตกระแสไฟฟ้าได้ถึงวันละประมาณ 200 ลิตรหรือประมาณร้อยละ 20 ของปริมาณการใช้น้ามันดีเซล ขณะที่ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากกังหันลมอยู่ทห่ี น่วยละ 6 บาท ซึง่ ถูกกวา่ การใช้น้ามันดีเซลเป็นเชอื้ เพลงิ ถึง 3 บาท การติดต้ังกังหันลม พร้อมท้ังระบบควบคุม จนเริ่มต้นเดินเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าสาเรจ็ ต้ังแต่เดอื นพฤศจกิ ายน ปี พ.ศ. 2550 โดยพลงั งานที่ไดจ้ ากการหมุนของกังหันลม จะถูกเก็บรวบรวมท่ีห้องสารองพลังงาน ซ่ึงทาหน้าที่คล้ายแบตเตอร่ีก้อนใหญ่ที่ควบคุมการส่ังการได้ทั้ง

572 ระบบ คือ ระบบสั่งการโดยมนุษย์ และระบบคอมพิวเตอร์ ในระยะแรกกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้ ถูกจ่ายเพ่ือใช้งานโดยตรงบริเวณท่าหน้าบ้าน บริเวณหาดแสม และกระแสไฟฟ้าสาธารณะต่าง ๆ บนเกาะ แต่ในปัจจุบันกระแสไฟฟ้าถูกจ่ายรวมเข้าสู่ระบบของการไฟฟ้าสว่ นภมู ิภาค ก่อนทจี่ ะกระจายตามสายสง่ เพ่ือใชง้ านในชุมชนต่อไป 2. พลงั งานทดแทนจากพลังน้า โรงไฟฟ้าพลังน้า ชุมชนบ้านคลองเรือ หมู่ 9 ตาบลปากทรง อาเภอพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร เปน็ แหล่งต้นนา้ อยูใ่ นพนื้ ท่ลี มุ่ นา้ หลงั สวนตอนบนในเขตรกั ษาพนั ธส์ุ ตั ว์ป่าควนแม่ยายหม่อนสภาพพ้ืนที่เป็นป่าดิบชื้นบนภูเขาสลับซับซ้อน มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง ม่ังค่ังด้วยทรัพยากรธรรมชาติ คลองเรือเป็นชุมชนขนาดเล็ก มีประชากรอาศัยอยู่ 81 ครัวเรือน รวมทั้งสิ้น183 คน ภายในหมู่บ้านไม่มีกระแสไฟฟ้าในปี พ.ศ. 2537 หน่วยอนุรักษ์และจัดการต้นน้าพะโต๊ะกรมอุทยานแหง่ ชาตสิ ตั ว์ป่าและพันธพ์ุ ืช ไดจ้ ัดทาโครงการ “คนอยู่ - ป่ายัง” ตามแนวพระราชดาริในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ สร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อสร้างความม่ันคงด้านเศรษฐกิจแก่ชุมชนภายใต้กรอบการอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อม มีการจัดการการใช้ประโยชน์และปกป้องรักษาทรัพยากร ผสมผสานภูมิปัญญาชาวบ้านและเทคโนโลยีอย่างเหมาะสม ส่งเสริมความรู้ให้ชุมชนเข้มแข็งตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ทาให้ชุมชนพัฒนาทางความคิดและกลไกในการดูแลตนเองมากข้ึนสามารถบริหารจัดการทรัพยากรดิน น้า ป่าไม้ ให้ดารงชีวิตอยู่ร่วมกับป่าไม้อย่างสมดุล อย่างไรก็ตามชุมชนบ้านคลองเรือ เป็นหมู่บ้านท่ีไม่มีไฟฟ้าใช้และเป็นความฝันอันสูงสุดของชุมชนท่ีต้องการให้ลูกหลานในหมู่บ้านได้เห็นข่าวสารภายนอก ซ่ึงถือเป็น“แสงสว่างแห่งปัญญา” และชาวบ้านคลองเรือ ยังคงแสวงหาแหล่งความรู้และภูมิปัญญาจากการเดินทางไปดูงานในท่ตี ่าง ๆ อย่างต่อเน่ือง ตอ่ มาในปี พ.ศ. 2551 ได้มีโครงการการจดั การความรู้ด้านพลังงานไฟฟ้าในพื้นที่ภาคใต้โดยความร่วมมือระหว่างนักวิชาการจากคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยชีวิตเมืองนครศรีธรรมราชภายใต้การสนับสนุนจาก การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซ่ึงได้ร่วมทางานกับชุมชนบ้านคลองเรือ โดยใช้กระบวนการทางานแบบมีส่วนร่วมเร่ิมต้นจากการศึกษาศักยภาพของชุมชนในด้านสงั คม และทรัพยากรธรรมชาติ พรอ้ ม ๆ กับการเปดิ โลกทัศน์ นาผู้นาชุมชนศึกษาดูงานด้านการผลิตไฟฟ้า จากแหล่งพลังงานต่าง ๆ ทั้งจากเช้ือเพลิง ถ่านหิน น้าตก และชีวมวลในพ้ืนท่ีภาคเหนือและพบว่าชุมชนบ้านคลองเรือ มีความพร้อมในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะศักยภาพทางทรัพยากร (น้า) และความเข้มแข็งของชุมชน ดังนั้นทีมงานด้านวิศวกรรมศาสตร์ จึงเริ่มศึกษารายละเอียดด้านเทคนิค ศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้า บริเวณน้าตกเหวตา

58จันทร์ หลังจากการสารวจ เก็บข้อมูลสภาพพ้ืนท่ี ชุมชนจึงได้เลือกโรงไฟฟ้าท่ีมีกาลังการผลิต 100กิโลวัตต์ ท่ีไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพทางธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ตลอดจนวิถีการดารงชีวิตของชุมชนท่ีมีมาแต่เดิม ในระหว่างการดาเนินโครงการชุมชนมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนมีการเตรียมช่างชุมชนเข้าอบรมเพิ่มพูนความรู้ เร่ืองการเดินระบบผลิตไฟฟ้า การดูแลรักษาเครื่องจักรอุปกรณ์ตลอดจนร่วมกันวางแผนการก่อสร้าง การระดมทุน การประสานความร่วมมือกับภาคีต่าง ๆจนเกิดองค์กร / กลไกใหม่ข้ึนมา ท้งั ในระดบั จงั หวดั และในระดบั ชุมชน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพทางทรัพยากรโดยการนาทรัพยากรมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเพื่อให้เกิดการพัฒนาพลังงานอย่างยั่งยืน จึงจัดส่งเจ้าหน้าท่ีศึกษารายละเอียดความเป็นไปได้ของการพัฒนาโรงไฟฟ้าชมุ ชนบ้านคลองเรอื และให้การสนับสนนุ ดังนี้ 1) เครื่องกาเนิดไฟฟา้ พรอ้ มอปุ กรณ์ประกอบ ซง่ึ เปน็ ผลงานการวิจัยเครื่องกาเนดิไฟฟ้าขนาดเล็กของมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีพระจอมเกลา้ ธนบรุ ี จากทนุ การวจิ ัยของ กฟผ. 2) งบประมาณสาหรับการจัดหาระบบส่งไฟฟ้า จากโรงไฟฟ้าไปยังหมบู่ า้ น จานวน9,000,000 บาท (เกา้ ลา้ นบาท) 3) สนับสนุนบุคลากรผเู้ ชย่ี วชาญเครอ่ื งจักรอปุ กรณ์และใหค้ าแนะนาร่วมกบั ชุมชนระหวา่ งการก่อสร้างทุกขนั้ ตอน ภาพโรงไฟฟ้าพลงั นา้ ชุมชนบ้านคลองเรือ อาเภอพะโต๊ะ จังหวดั ชุมพร การสร้างโรงไฟฟา้ พลงั นา้ ชุมชนบ้านคลองเรอื แห่งน้ี นอกจากจะทาให้ชุมชนมีไฟฟ้าใช้แล้ว ยังเป็นการกระตุ้นให้คนในชุมชนและจากชุมชนอ่ืน ๆ ได้ตระหนักถึงความสาคัญและคุณค่าของการรักษาปา่ เพือ่ ส่วนรวม ซึง่ ชว่ ยให้เจา้ หน้าท่ขี องหน่วยพิทักษ์ป่าและเขตป้องกันรักษาสัตว์ป่าในพนื้ ที่สามารถปฏบิ ัติงานได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพมากขึ้น การใช้บทเรียน โรงไฟฟา้ พลงั น้าชุมชนใน

59ฐานะที่เป็นเครื่องมือในการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็งและจัดการทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมแบบบูรณาการ และที่สาคัญที่สุด คือการสร้างศูนย์รวมพลังชุมชนต่าง ๆ ที่มีศักยภาพคล้าย ๆ กันรวมตัวกันเป็นเครือข่ายจัดการ ดนิ ปา่ น้า ไฟฟ้า อยา่ งย่ังยนื และเข้มแข็งตอ่ ไป ปัญหาเร่ืองพลังงาน จึงเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เกี่ยวข้องทั้งการเมือง เศรษฐกิจสังคม วัฒนธรรม และสภาพแวดล้อม ซ่ึงการแก้ไขปัญหาไม่ใช่แค่การกาหนดนโยบายจากส่วนบนเท่านั้น แต่ต้องสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นกับประชาชน สร้างการมีส่วนร่วมในการร่วมคิดร่วมทาตั้งแต่ระดับท้องถ่ิน ซ่ึงต้องคานึงถึงทรัพยากร แหล่งพลังงานในท้องถิ่น การกาหนดมาตรการในการอนุรักษ์พลังงานและการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทน การจัดการพลังงานระดับท้องถ่ินจึงเป็นกระบวนการหน่ึงท่ีช่วยแก้ไขปัญหาที่กล่าวมาข้างต้น เน่ืองจากเป็นเวทีการเรียนรู้ที่ทาให้ชุมชนได้เห็นสถานภาพพลังงานของชุมชนเอง และได้ตระหนักในศักยภาพของชุมชนด้านการจัดการทรัพยากรภายใน ตลอดจนได้รู้แนวทางในการแก้ไขปัญหาและมีเปา้ หมายร่วมกนั ในการจดั การพลังงานของชมุ ชน โดยเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับชุมชนนั้น ๆนอกจากน้ียงั ชว่ ยใหเ้ กิดการกระจายอานาจสู่ท้องถิ่น และยกระดับขีดความสามารถของประชาคมทอ้ งถิ่น ในระดับองค์การบริหารส่วนตาบล อาเภอ จังหวัด โดยชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมอย่างเป็นรูปธรรมในการแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของชุมชนเอง อันเป็นกระบวนการแห่งประชาธิปไตยท่ีช่วยลดความขัดแย้งท่ีเกิดข้ึนและก่อให้เกิดพลังของภาคประชาชน ทั้งยังช่วยให้เกิดการสร้างงานในทอ้ งถนิ่ นาไปสกู่ ารพฒั นาชนบทและการพัฒนาประเทศอยา่ งยง่ั ยนื ต่อไปตอนที่ 4 ต้นทุนการผลิตพลงั งานไฟฟา้ ต่อหนว่ ยจากเชอ้ื เพลงิ แตล่ ะประเภท การพิจารณาตน้ ทนุ ของการผลติ ไฟฟา้ ของพลังงานทดแทนประกอบไปด้วย 1. มูลคา่ ในการวิจัยและพัฒนาระบบของการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานทดแทน (Researchand Development Cost) เป็นค่าใช้จ่ายจมหรือค่าใช้จ่ายในอดีต (Sunk Cost) มักไม่นามาพิจารณาผลประโยชน์หรอื ต้นทุน เพราะไมม่ ีผลต่อการจะลงทุนหรอื ไม่ลงทุนในการตดิ ตง้ั ระบบ 2. มูลค่าการลงทุนหรือการจัดหาการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานทดแทน(Investment Cost) เปน็ คา่ ใชจ้ ่ายทเ่ี กิดขึ้นเพอ่ื ทาใหเ้ กดิ ความพรอ้ มทีจ่ ะดาเนินการระบบ ไดแ้ ก่ 2.1 มลู คา่ ทด่ี ิน ขนาดพ้ืนท่ีข้นึ อยกู่ ับส่วนประกอบของโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนแต่ละประเภท ซึง่ พื้นท่ีแต่ละแห่งจะมีราคาประเมินท่ีแตกต่างกนั

60 2.2 มูลค่าวัสดุอุปกรณ์ท่ีใช้ในการผลิตไฟฟ้า เช่น มูลค่ากังหันลมท่ีใช้ในโรงไฟฟ้าพลังงานลม หรอื มูลคา่ แผงเซลลแ์ สงอาทติ ย์ที่ใชใ้ นโรงไฟฟา้ พลังแสงอาทติ ย์ เป็นต้น 2.3 มูลค่าการติดต้ังระบบ คือ ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งซ่ึงประกอบไปด้วย ค่าปรับพื้นที่เช่น การทาถนนเพื่อความสะดวกในการขนส่งวัตถุดิบ ค่าระบบเสริม เช่น หม้อแปลงไฟฟ้าคา่ เชอ่ื มโยงระบบ เป็นตน้ 3. มูลค่าการปฏิบัติงานและการบารุงรกั ษาซึ่งมีรายละเอียดค่าใช้จ่ายจาแนกไดด้ งั น้ี 3.1 ค่าการปฏิบัติงานเป็นค่าใช้จ่ายในการดาเนินการ เช่น ค่าน้า - ค่าไฟ ค่าแรงค่าโทรศัพท์ ค่าขนส่ง ค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์ ค่าประกันต่าง ๆ ค่าฝึกอบรม ค่าอะไหล่ค่าที่ปรึกษา เป็นต้น เป็นค่าใช้จ่ายที่จานวนเงินไม่เปล่ียนแปลงตามปริมาณการผลิต ไม่ว่าจะทาการผลิตในปรมิ าณมากหรอื นอ้ ยกต็ าม 3.2 ค่าบารุงรักษา เป็นค่าใช้จ่ายในการบารุงรักษาวัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักรและสิ่งก่อสร้างเพือ่ ใหด้ าเนนิ การตอ่ ไปไดต้ ลอดอายขุ องระบบ

61ตารางเปรยี บเทยี บตน้ ทนุ การผลติ ต่อหนว่ ยของพลังงานไฟฟ้าท่ีผลิตจากเชื้อเพลิง แตล่ ะประเภท ขนาด 1,000 เมกะวัตต์ประเภท ต้นทนุ การผลิต (บาท/หนว่ ยไฟฟา้ )พลังงานลม 5.00 – 6.00พลงั น้าขนาดเลก็ 2.50 – 2.70พลงั งานแสงอาทติ ย์ 8.00 – 9.00ชวี มวล 3.00 - 3.50ถา่ นหินนาเขา้ 2.50 – 3.00นิวเคลียร์ 2.50 – 3.00ท่มี า : การไฟฟา้ ฝ่ายผลติ แหง่ ประเทศไทย เนือ่ งจากการผลติ ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ ยังมีต้นทุนการผลิตราคาสูงเมื่อเทียบกับการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าท่ีใช้เช้ือเพลิงจากฟอสซิล ดังนั้นการจัดการมาตรการส่งเสริมเพ่ือสร้างสิ่งจูงใจให้กับนักลงทุนเกิดขึ้น เรียกว่า มาตรการส่วนเพ่ิมราคารบั ซ้ือไฟฟา้ จากพลงั งานหมุนเวียน ระบบ Adder (Adder Cost) เป็นการให้เงินสนับสนุนการผลิตต่อหน่วยการผลิต เป็นการกาหนดราคารับซื้อในอัตราพิเศษหรือเฉพาะสาหรับไฟฟ้าที่มาจากพลังงานหมุนเวยี น ภายในระยะเวลารบั ซ้อื ไฟฟ้าท่ชี ัดเจนและแนน่ อน ช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยได้มีการสนับสนุนให้มีการลงทุนด้านพลังงานทดแทนมากขึ้นโดยใช้มาตรการส่วนเพิ่มราคารับซ้ือไฟฟ้า ระบบ Adder การมีส่วนเพิ่มราคารับซ้ือไฟฟ้ามีวัตถุประสงค์เพ่ือชดเชยต้นทุนการลงทุน (Capital Cost) ท่ีมีราคาสูงกว่าโรงไฟฟ้าท่ีใช้เช้ือเพลิงปกติ ค่าส่วนเพ่ิมราคารับซ้ือไฟฟ้านี้เปลี่ยนแปลงตามประเภทของแต่ละพลังงานทดแทนโดยเฉพาะโรงไฟฟา้ พลังงานแสงอาทติ ยไ์ ด้รับเงินส่วนเพิ่มนี้มากที่สุด ค่าส่วนเพิ่มราคารับซ้ือไฟฟ้าได้ใช้เงินจากกองทนุ ส่งเสรมิ อนุรกั ษ์พลังงานเพิ่มเติมจากค่าไฟฟ้าปกติ (ราคาที่ผู้ขายไฟฟ้าจะได้รับคือ ค่ารับซ้ือไฟฟ้าปกติ รวมกับส่วนเพ่ิมราคารับซ้ือไฟฟ้า) ทาให้มีผลกระทบต่ออัตราค่าไฟฟ้าท่ีผู้ใชไ้ ฟฟ้าตอ้ งแบกรบั หากมโี รงไฟฟ้าพลงั งานแสงอาทติ ย์มากเกินไป จากมาตรการส่วนเพ่ิมราคารับซ้ือไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ระบบ Adder มีข้อเสียคือ ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนจะมีกาไรเพิ่มข้ึนเรื่อย ๆ จากราคาค่าไฟฟ้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)รบั ซอ้ื เนือ่ งจากค่าไฟฟา้ ฐานมแี นวโนม้ สูงขน้ึ ทกุ 5 ปี ขณะที่ผู้ผลิตมีการลงทุนคร้ังเดียวเฉพาะตอน

62เริ่มต้นโครงการเท่าน้ัน ทาให้ผู้ผลิตมีกาไรมากเกินไป และไม่เป็นธรรมกับประเทศ ที่ต้องนาเงนิ กองทุนน้ามนั เชอื้ เพลิงไปอุดหนนุ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติจากการประชุมเม่ือวันท่ี28 มิถนุ ายน 2553 ให้คณะอนุกรรมการ ฯ พิจารณาปรับ มาตรการส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็นระบบ Feed-in Tariff (FiT) ซ่ึงถือเป็นมาตรการจูงใจที่ประเทศท่ีพัฒนาแลว้ หลายประเทศใชเ้ พ่อื กระตนุ้ ใหเ้ กดิ การลงทุนผลติ พลังงานสะอาด ซ่ึงมีความแตกต่างจากระบบAdder ที่การให้เงินสนับสนุนในลักษณะเดิมจะกระทบกับอัตราค่าไฟฟ้าที่ผู้บริโภคจะต้องแบกรับในอนาคต ส่วนระบบ Feed-in Tariff นั้น เป็นอัตราค่าไฟฟ้ารวมต่อหน่วยท่ีสอดคล้องกับต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในแต่ละเทคโนโลยี และราคาขายไฟที่ผู้ลงทุนได้รับภายใต้มาตรการน้ีจะคงท่ีตลอดอายุโครงการ ไม่เปลี่ยนแปลงตามค่าไฟฐาน และค่า Ft เหมือนระบบAdder เดิมทาให้เกิดความเป็นธรรมทั้งต่อผู้ประกอบการและผู้บริโภคโดยเบื้องต้นสาหรับพลังงานแสงอาทิตย์รัฐบาลตั้งไว้ที่ 5.94 บาท/หน่วยและยังมีแนวโน้มการยืดระยะเวลาการทาสัญญาจากเดมิ 10 ปี ไปเป็น 20 ปีดว้ ยตารางเปรยี บมาตรการส่วนเพ่มิ ราคารับซือ้ ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวยี น ระบบ Adder และระบบ Feed-in Tariffมาตรการส่วนเพมิ่ ราคารบั ซ้ือไฟฟ้าจากพลงั งาน มาตรการส่วนเพ่ิมราคารับซื้อไฟฟา้ จากพลงั งานหมุนเวียนระบบ Adder หมนุ เวียนระบบ Feed - in Tariffผู้ประกอบการจะได้รับ Adder เพิ่มเติมจากค่าไฟฟ้า ผู้ประกอบการจะได้ราคารับซ้ือคงที่ตลอดอายุฐาน + Ft ในการขายไฟฟ้าเป็นระยะเวลา 7 หรือ 10 สัญญา 20 ปี หรือ 25 ปี (ตามแต่ประเภทพลังงานปี (ตามแตป่ ระเภทพลงั งานหมุนเวียน) หมนุ เวยี น)การสนับสนุนภายใต้ระยะเวลาจากัด 7 – 10 ปี แม้ว่า FiT ทาให้ภาครฐั มีความมั่นใจว่า ผู้ประกอบการจะมีจะมีข้อดีที่จูงใจให้เอกชนลงทุนมากกว่า เนื่องจาก แรงจงู ใจในการผลติ ไฟฟ้าจนครบอายุสัญญาระยะเวลาคืนทนุ เร็วขึ้น แต่อาจส่งผลให้ผู้ประกอบการหยุดดาเนินโครงการภายหลังจากส้ินสุดระยะเวลาการรบั Adderภายหลังจากหมดระยะเวลา Adder 7 – 10 ปี สะดวกต่อภาครัฐในการกาหนดนโยบายการจัดหาผู้ประกอบการจะสามารถขายไฟฟ้าได้ในราคาขายส่ง ไฟฟา้ และโครงสร้างราคา เนื่องจากภายใตโ้ ครงสร้างเฉล่ีย + Ft ซึ่งมีความไม่แน่นอนสูงในอนาคต ทาให้ FiT ภาครัฐสามารถทราบต้นทุนไฟฟ้าล่วงหน้าใน

63เกิดความเสี่ยงต่อผู้ประกอบการ หรือความไม่เป็น ราคาคงท่ีเป็นระยะเวลา 20 – 25 ปี ซึ่งจะลดความธรรมต่อภาครัฐ / ประชาชน ผนั ผวนด้านราคาไฟฟา้ ลงได้ FiT ทาให้ปัญหาความซ้าซ้อนในโครงสร้างค่าไฟฟ้า หมดไปตอนที่ 5 ขอ้ ดแี ละข้อจากัดของการผลติ ไฟฟา้ จากเชอื้ เพลิงแตล่ ะประเภท พลงั งานมปี ระโยชน์เป็นส่ิงที่จาเป็นต่อมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นพลังงานส้ินเปลืองหรือพลังงานทดแทน เพราะพลังงานทั้งหลายท้ังมวลเป็นตัวขับเคลื่อนให้กระบวนการพัฒนาดาเนินไปอย่างต่อเนื่องไม่วา่ จะด้านใดก็ตาม จึงทาให้อัตราการใช้เพิ่มปริมาณมากข้ึนเร่ือย ๆ ในทางกลับกันเมื่อมีการใช้เพิม่ ขน้ึ พลงั งานบางอยา่ งก็กาลงั มปี ริมาณลดนอ้ ยลง อย่างไรก็ตามเชื้อเพลิงแต่ละประเภทที่นามาใช้ในการผลิตพลังงานไฟฟ้ามีข้อดีและข้อจากัดท่ีแตกต่างกัน ดังน้ันจึงจาเป็นต้องรู้ข้อดีและข้อจากดั เชอ้ื เพลงิ ประเภทต่าง ๆ เพ่อื นามาเป็นข้อมูลในการพจิ ารณาเลอื กใชเ้ ช้ือเพลิงในแต่ละประเภทได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมตอ่ ไป ตารางการเปรยี บเทยี บข้อดแี ละข้อจากดั ของเช้ือเพลงิ แต่ละประเภท แหล่ง ข้อดี ขอ้ จากดัพลังงานถา่ นหนิ 1) มีตน้ ทนุ ในการผลิตต่า 1) ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 2) มีปรมิ าณเชือ้ เพลงิ สารองมาก 2) ใชเ้ ช้ือเพลิงในปริมาณมาก 3) สามารถผลติ ไฟฟ้าไดต้ ลอด 24 ชั่วโมง 3) ประชาชนไม่เช่ือมั่นเร่ืองมลภาวะทาง 4) ขนสง่ งา่ ย จดั เก็บงา่ ย อากาศน้ามัน 1) ขนส่งง่าย 1) ปลอ่ ยกา๊ ซเรอื นกระจก 2) หาซ้ือได้งา่ ย 2) มีปรมิ าณเช้ือเพลงิ สารองเหลือน้อย 3) มีผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมน้อยกว่าการ 3) ต้องนาเข้าจากต่างประเทศ ผลิตด้วยถ่านหนิ 4) ราคาไม่คงที่ข้ึนกับราคาน้ามันของ 4) สามารถเดินเคร่ืองได้อย่างรวดเร็วเหมาะ ตลาดโลก สาหรับผลิตไฟฟ้าในกรณีฉุกเฉินหรือช่วง 5) ไฟฟา้ ทีผ่ ลติ ได้มีต้นทุนต่อหน่วยสงู ความตอ้ งการไฟฟ้าสงู ได้กา๊ ซธรรมชาติ 1) มีการเผาไหม้สมบูรณ์จึงส่งผลกระทบต่อ 1) ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่ิงแวดล้อมน้อยกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิล 2) ตอ้ งนาเขา้ จากต่างประเทศ

64 ประเภทอืน่ ๆ 3) ราคาก๊าซธรรมชาติไม่คงที่ผูกติดกับราคา 2) มีประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าสูง นา้ มนั สามารถผลติ ไฟฟา้ ได้ตลอด 24 ชัว่ โมง 4) มปี รมิ าณเชอ้ื เพลงิ สารองเหลือน้อย 3) มีตน้ ทุนในการผลิตตา่พลงั งานลม 1) เป็นแหล่งพลังงานที่ได้จากธรรมชาติไม่มี 1) มีความไม่แน่นอนขึ้นอยู่กบั สภาวะอากาศ ค่าเชื้อเพลิง บางฤดูอาจไม่มีลมต้องใช้แบตเตอร่ีราคา 2) เป็นแหล่งพลงั งานสะอาด แพงเป็นแหล่งเก็บพลังงาน 3) สามารถใช้ระบบไฮบริดเพ่ือให้เกิดประโยชน์ 2) สามารถใช้ได้ในบางพื้นท่เี ทา่ น้นั พ้นื ท่ีท่ี สงู สดุ คือ กลางคนื ใช้พลงั งานลม เหมาะสมควรเป็นพ้ืนที่ท่ีมีกระแสลมพัด กลางวันใชพ้ ลังงานแสงอาทิตย์ สมา่ เสมอ 3) มีเสยี งดังและมผี ลกระทบต่อทัศนยี ภาพ 4) ทาใหเ้ กิดการรบกวนในการส่งสัญญาณ โทรทัศน์และไมโครเวฟ 5) ตน้ ทนุ สูง 6) สาเหตหุ นงึ่ ของการตายของนกจากการ บนิ ชนกงั หนั ลมที่กาลงั หมุนอยู่

65 ตารางการเปรยี บเทยี บข้อดีและข้อจากดั ของเช้ือเพลิงแต่ละประเภท (ต่อ) แหล่ง ขอ้ ดี ขอ้ จากดัพลงั งานพลงั งานน้า 1) ไม่ต้องเสียคา่ ใช้จ่ายในการซ้ือเช้อื เพลิง 1) การเดินเคร่ืองผลิตไฟฟ้าขึน้ กับปรมิ าณน้า นอกจากใช้เงินลงทุนก่อสร้าง ในช่วงทสี่ ามารถปลอ่ ยน้าออกจากเขื่อนได้ 2) ไม่ก่อให้เกดิ ก๊าชคาร์บอนไดออกไซดจ์ าก 2) การก่อสร้างเข่ือนขนาดใหญ่ในประเทศไทย การผลิตไฟฟา้ มีข้อจากัด เนอื่ งจากอา่ งเก็บน้าของเขอื่ น 3) โครงการโรงไฟฟา้ พลังนา้ ขนาดใหญม่ ีขีด ขนาดใหญ่จะทาให้เกิดน้าท่วมเป็นวงกว้าง ความสามารถสงู ในการรักษาความมั่นคงให้ ส่งผลกระทบตอ่ บ้านเรอื นประชาชน แกร่ ะบบไฟฟ้าสาหรบั รองรบั ช่วงเวลาท่ีมี ความต้องการใช้ไฟฟา้ สูงสุดพลงั งาน 1) เป็นแหลง่ พลงั งานธรรมชาติขนาดใหญ่ 1) ตน้ ทุนมีราคาแพงแสงอาทิตย์ ที่สดุ และสามารถใชเ้ ป็นพลงั งานได้ไมม่ ี 2) แบตเตอรี่ซ่ึงเป็นตวั กกั เก็บพลงั งานแสงอาทิตย์ วันหมด ไว้ใชใ้ นเวลากลางคืนมีอายุการใชง้ านต่า 2) ไม่มคี า่ ใช้จา่ ยในเรือ่ งเช้ือเพลิง 3) ความเข้มของแสงไม่คงทแ่ี ละสม่าเสมอ 3) สามารถนาไปใช้ในแหล่งทีไ่ ม่มีไฟฟ้าใช้และ เนอื่ งจากสภาพอากาศและฤดูกาล อยหู่ ่างไกลจากระบบสง่ และสายจาหน่าย ไฟฟา้ 4) การใชป้ ระโยชน์ไมย่ ุ่งยาก การดูแลรักษา งา่ ย 5) เปน็ พลงั งานสะอาดไม่ก่อใหเ้ กิดมลภาวะ จากกระบวนการผลิตไฟฟ้าพลงั งาน 1) ใชป้ ระโยชน์จากเศษวัสดุเหลือใช้ทางการ 1) ชวี มวลเป็นวัสดทุ ี่เหลือใช้จากการแปรรปูชวี มวล เกษตร ทางการเกษตรมีปรมิ าณสารองทีไ่ ม่แน่นอน 2) ช่วยเพิ่มรายได้ใหเ้ กษตรกร 2) การบริหารจัดการเชื้อเพลงิ ทาได้ยาก 3) ช่วยแกป้ ญั หาส่งิ แวดล้อมเรือ่ งของเหลอื ทิง้ 3) ราคาชีวมวลแนวโน้มสงู ข้ึนเนอ่ื งจากมคี วาม ทางการเกษตร ต้องการใช้เพม่ิ ขนึ้ เรือ่ ย ๆ 4. ชวี มวลทม่ี ศี ักยภาพเหลืออยู่มักจะอยู่ กระจดั กระจาย มีความช้นื สูง จึงทาให้ ต้นทุนการผลิตไฟฟา้ สูงข้นึ เช่น ใบออ้ ย และยอดอ้อย ทะลายปาลม์ เปน็ ตน้พลังงาน 1) เปน็ แหลง่ พลังงานที่ไดจ้ ากธรรมชาติ ไมม่ ี ใช้ได้เฉพาะในท้องถนิ่ ท่มี ีแหล่งความรอ้ นใตพ้ ภิ พความรอ้ น คา่ เชื้อเพลงิ อย่เู ทา่ นั้นใต้พิภพ 2) เป็นแหล่งพลงั งานสะอาด

66 ตารางการเปรียบเทียบข้อดีและข้อจากัดของเชื้อเพลงิ แตล่ ะประเภท (ต่อ) แหลง่ ข้อดี ขอ้ จากดัพลงั งาน 1) เป็นแหล่งผลิตไฟฟา้ ขนาดใหญ่โดยมตี น้ ทุน 1) ใช้เงินลงทนุ ในการก่อสร้างสูงพลงั งานนวิ เคลียร์ การผลติ ไฟฟ้าท่ีแขง่ ขนั ได้กับโรงไฟฟา้ ชนิด 2) จาเป็นตอ้ งเตรียมโครงสร้างพ้ืนฐานและ อน่ื ๆ พัฒนาบุคลากรเพื่อใหก้ ารดาเนินงานเปน็ 2) เปน็ โรงไฟฟา้ ทีส่ ะอาดไม่ก่อให้เกิดมลพิษ ไปอย่างมีประสิทธภิ าพ และกา๊ ซเรือนกระจก 3) ตอ้ งการการเตรียมการจัดการกากกมั มนั ตรังสี 3) ชว่ ยเสรมิ สร้างความมัน่ คงให้ระบบผลติ ไฟฟา้ และมาตรการควบคุมความปลอดภัยเพอ่ื เนือ่ งจากใช้เชอ้ื เพลงิ น้อยเมื่อเทียบกบั ป้องกันอบุ ัติเหตุ โรงไฟฟ้าความร้อนประเภทอื่น 4) ยงั ไม่เป็นท่ยี อมรับของประชาชน ประชาชน 4) มีแหลง่ เชอ้ื เพลงิ มากมาย เชน่ แคนาดา มขี ้อกงั วลใจในเร่ืองความปลอดภยั และออสเตรเลีย และราคาไม่ผันแปรมาก เมือ่ เทียบกบั เช้ือเพลงิ ฟอสซลิกจิ กรรมท้ายเร่ืองท่ี 1 เช้อื เพลงิ และพลังงานท่ีใช้ในการผลิตไฟฟา้(ใหผ้ เู้ รยี นไปทากิจกรรมเรอื่ งท่ี 1 ท่ีสมุดบนั ทึกกิจกรรมการเรียนร)ู้

67เรือ่ งท่ี 2 โรงไฟฟา้ กับการจัดการดา้ นส่ิงแวดล้อม การกอ่ สรา้ งโรงไฟฟา้ แต่ละแห่งมกี ารใชท้ รพั ยากรธรรมชาตแิ ละอาจก่อให้เกดิ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยเหตุน้ีในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าแต่ละแห่งจึงให้ความสาคัญเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ การป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมและสังคม เพ่ือสร้างความสมดุลระหวา่ งโรงไฟฟ้ากบั สง่ิ แวดล้อมและชุมชนให้ดีที่สุด เพ่ือให้สามารถตอบสนองความต้องการของภาคเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างย่ังยืน โดยเน้นให้มีการดาเนินการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพเพ่อื ใหเ้ กิดผลกระทบนอ้ ยทส่ี ดุ แบง่ เปน็ 2 ตอน ดังนี้ ตอนท่ี 1 ผลกระทบดา้ นสิง่ แวดล้อมและการจัดการ ตอนที่ 2 ข้อกาหนดและกฎหมายทเี่ กี่ยวข้องกบั โรงไฟฟา้ ด้านสงิ่ แวดลอ้ ม ภาพโรงไฟฟา้ แม่เมาะ จังหวัดลาปางตอนท่ี 1 ผลกระทบด้านสิง่ แวดลอ้ มและการจัดการ การเดนิ เคร่อื งโรงไฟฟ้าเพอ่ื ผลิตกระแสไฟฟ้า อาจส่งผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมในด้านต่าง ๆเชน่ ผลกระทบทางอากาศเกิดจากกา๊ ซพิษ ซึ่งเกดิ จากการเผาไหมเ้ ช้ือเพลิง ผลกระทบทางเสียงเกิดจากเสียงของการเดินเคร่ืองจักร ผลกระทบทางน้าเกิดจากอุณหภูมิและสารเคมี เป็นต้น ดังนั้นโรงไฟฟ้าจึงต้องมีระบบการจัดการเพ่ือให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานหรือเป็นไปตามมาตรฐานท่ีกฎหมายกาหนด และไม่กอ่ ใหเ้ กดิ ผลกระทบต่อสง่ิ แวดลอ้ มและสังคม

68 1. ด้านอากาศ ผลกระทบด้านอากาศ ถือเป็นผลกระทบท่ีสาคัญท่ีสุดท่ีโรงไฟฟ้าต้องคานึงถึง โดยระดับของผลกระทบขึ้นอยู่กับชนิดของเช้ือเพลิงที่ใช้ในโรงงานไฟฟ้า ถ้าเป็นโรงไฟฟ้าพลังน้าหรือพลังงานทดแทน เชน่ พลงั งานแสงอาทิตย์ พลังงานลม จะไม่ก่อให้เกิดมลพิษ ถ้าเป็นโรงไฟฟ้าท่ีมีการเผาไหม้ของเชื้อเพลิง จะก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศท่ีสาคัญ ได้แก่ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ไนโตรเจนออกไซด์ ก๊าซโอโซนในระดับพ้ืนดิน คาร์บอนมอนอกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์ และฝุ่นละออง การจัดการสิ่งแวดล้อมด้านอากาศ เป็นการจัดการด้านคุณภาพอากาศของโรงไฟฟ้าเพอื่ ลดก๊าซทีเ่ ป็นพิษตอ่ สขุ ภาพอนามัยและชุมชน โดยมวี ิธกี ารดงั น้ี 1) การลดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ทาโดยติดต้ังเครื่องกาจัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (Flue Gas Desulfurization : FGD) ซ่ึงวิธีการน้ีจะสามารถลดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ไดร้ อ้ ยละ 80 – 90 2) ก ารลด ก๊าซ ไ นโ ต รเจนออก ไ ซ ด์กระบวนการท่ีใช้กันแ พร่หลายแ ละ มีประสทิ ธิภาพสงู คอื Selective Catalytic Reduction (SCR) และเลือกใช้เตาเผาที่สามารถลดการเกิดไนโตรเจนออกไซด์ (Low Nitrogen Oxide Burner) 3) การลดก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ทาได้โดยการเช็คอุปกรณ์เครื่องเผาไหม้เป็นประจา และควบคมุ การเผาไหม้ใหม้ ีปริมาณออกซิเจนทเ่ี หมาะสมเพือ่ ให้เกดิ การเผาไหม้ที่สมบรู ณ์ 4) ก ารลด ก๊ าซ คาร์บอนไ ด ออก ไ ซ ด์ โ ด ย ก ารรวบรวมแ ละ กั ก เก็ บก๊ าซคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ใต้ดินหรือน้า เช่น ในแหล่งน้ามันหรือก๊าซธรรมชาติที่สูบออกมาหมดแล้วหรอื อาจนาก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ไปใช้ในกระบวนการอตุ สาหกรรม 5) การลดฝนุ่ ละอองโดยการใชอ้ ุปกรณ์กาจดั ฝุ่นละออง ได้แก่ เคร่ืองดักฝุ่นด้วยไฟฟ้าสถิต (Electrostatic Precipitator) เป็นการกาจัดฝุ่นละอองโดยใช้หลักการไฟฟ้าสถิต ซึ่งระบบน้ีถือว่ามีประสิทธิภาพสูงมากในการดักจับฝุ่นเคร่ืองแยกฝุ่นแบบลมหมุน (Cyclone Separator)เป็นการกาจัดฝุ่นละอองโดยใช้หลักของแรงเหว่ียง และเครื่องกรองฝุ่นแบบถุงกรอง (Bag Filter)เป็นอุปกรณ์ที่มีถุงกรองเป็นตวั กรองแยกฝุ่นละอองออกจากก๊าซท่เี กดิ จากการเผาไหมถ้ า่ นหิน นอกจากน้ีในด้านคุณภาพอากาศ โรงไฟฟ้าควรมีระบบตรวจวัดปริมาณสารเจือปนจากปล่องโรงไฟฟ้าแบบอัตโนมัติอย่างต่อเน่ือง (Continuous Emission Monitoring Systems:CEMs) เพอ่ื ตรวจตดิ ตามและเฝา้ ระวงั ส่ิงผิดปกติต่าง ๆ เช่น ปริมาณของมลพิษเกินมาตรฐานจะได้

69หาสาเหตุและหาทางแก้ไข เพ่ือให้ค่าต่าง ๆ กลับมาปกติเหมือนเดิม ควรมีการจัดเก็บข้อมูลทุกวันและติดตั้งเคร่ืองตรวจวัดคุณภาพอากาศในบรรยากาศทั่วไปแบบต่อเนื่อง (Ambient Air QualityMonitoring Systems: AAQMs) เพอ่ื วดั คุณภาพอากาศในบริเวณพ้ืนท่ีชุมชนรอบโรงไฟฟ้าโดยทาการเก็บข้อมูลอย่างต่อเน่ือง ทั้งนี้ต้องควบคุมคุณภาพอากาศที่ปล่อยออกจากปล่องโรงไฟฟ้าให้อยู่ในเกณฑม์ าตรฐานและเปน็ ไปตามกฎหมายทเี่ กี่ยวข้อง 2. ดา้ นน้า ผลกระทบดา้ นน้า น้าที่ใช้ในกระบวนการผลิตไฟฟ้าจะมีการเติมสารเคมีบางอย่างเพื่อปรับปรุงคุณสมบัติของน้าให้เหมาะสมสาหรับนามาใช้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ในโรงไฟฟ้ารวมไปถึงน้าหล่อเย็นที่ใช้สาหรับระบายความร้อนให้กับระบบต่าง ๆ ภายในโรงไฟฟ้าก็จะมีอุณหภูมิสูงข้ึนกว่าแหล่งน้าในธรรมชาติ ซ่ึงหากน้าเหล่าน้ีถูกปล่อยออกจากโรงไฟฟ้าลงสู่แหล่งน้าธรรมชาติ เช่นแม่น้า ลาคลอง เป็นต้น โดยไม่ผ่านกระบวนการจัดการบาบัดฟ้ืนฟูน้าที่ดีอาจส่งผลกระทบต่อพืชและสตั ว์นา้ ทอ่ี าศัยอยรู่ อบ ๆ ได้ การจัดการส่ิงแวดล้อมด้านน้า โรงไฟฟ้าต้องมีมาตรการจัดการน้าเสียที่มาจากกระบวนการผลติ ไฟฟา้ และจากอาคารสานักงานตามลกั ษณะหรอื ประเภทของนา้ เสีย โดยคุณภาพนา้ ทิง้ ต้องมีการควบคุมให้ครอบคลมุ ทง้ั เรอ่ื งของเสยี และอุณหภูมิ ดังนี้ 1) การควบคุมอุณหภูมิของน้าก่อนที่จะปล่อยสู่แหล่งน้าสาธารณะ โดยน้าจากทอ่ หลอ่ เยน็ เมือ่ น้าท้งิ มีความขุ่นในระดับหนงึ่ จะถูกระบายออกไปสู่บ่อพกั น้าท่ี 1 เพื่อให้ตกตะกอนและลดอุณหภูมิลงเหลือประมาณ 28 - 30 องศาเซลเซียสทิ้งไว้เป็นเวลาอย่างน้อย 24 ช่ัวโมงจากน้ันจึงระบายออกสู่บ่อพักท่ี 2 เพื่อปรับสภาพน้าให้มีอุณหภูมิใกล้เคียงกับธรรมชาติ ซึ่งกรมชลประทานได้กาหนดมาตรฐานไว้ที่ระดับ 33 องศาเซลเซียส ก่อนปล่อยออกสู่คลองระบายน้าธรรมชาติ 2) การจัดการสารเคมตี ่าง ๆ ที่อยู่ภายในน้าก่อนปล่อยสู่ส่ิงแวดล้อม ทาโดยการกักน้าไว้ในบ่อปรับสภาพน้าเพื่อบาบัดให้มีสภาพเป็นกลางและมีการตกตะกอน หรือเติมคลอรีนเพื่อฆ่าเชอื้ โรค นอกจากนใี้ นโรงไฟฟา้ ควรมีระบบเฝ้าระวงั คณุ ภาพน้า ได้แก่ การตรวจวัดคุณภาพน้าท่ีระบายออกจากโรงไฟฟา้ อยา่ งสม่าเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณภาพน้าท่ีจะปล่อยออกสู่ธรรมชาตินั้นมีคุณภาพอย่ใู นเกณฑ์มาตรฐานและเปน็ ไปตามกฎหมายที่เกยี่ วข้อง

70 3. ด้านเสียง ผลกระทบด้านเสียง เกิดจากกิจกรรมของโรงไฟฟ้าท่ีสาคัญจะมาจากหม้อไอน้าเครื่องกาเนดิ ไฟฟ้ากังหันกา๊ ซ และพาหนะท่ีเขา้ มาในพ้ืนทโ่ี รงไฟฟ้า การจัดการส่ิงแวดล้อมเสียง เกิดจากกิจกรรมของโรงไฟฟ้าท่ีสาคัญจะมาจากหม้อไอน้า เคร่ืองกาเนิดไฟฟ้ากังหันก๊าซ และพาหนะท่ีเข้ามาในพ้ืนท่ีโรงไฟฟ้า ด้วยเหตุน้ีโรงไฟฟ้าควรกาหนดมาตรการควบคุมระดบั เสยี งไว้ ดังน้ี 1) กจิ กรรมท่ีกอ่ ใหเ้ กิดเสยี งรบกวนชมุ ชนในเวลากลางคนื ต้องมีระดับเสียงไม่เกิน 85เดซิเบล ในระยะ 1 เมตรจากจุดกาเนิดเสียง ตามมาตรฐานข้อกาหนดความดังของเสียงจากโรงงานอุตสาหกรรมเพอื่ ไมใ่ หเ้ ป็นท่ีรบกวนต่อผู้อยอู่ าศัยโดยรอบโรงไฟฟา้ 2) ติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมเสียงภายในโรงไฟฟ้าช่วงเดินเคร่ืองผลิตไฟฟ้าและติดตั้งอุปกรณ์ดูดซับเสียงแบบเคล่ือนที่ขณะทาความสะอาดท่อท่ีเครื่องกังหันไอน้า เพ่ือควบคุมความดังของเสยี งใหอ้ ยู่ในมาตรฐานไมเ่ กิน 85 เดซิเบล นอกจากนใี้ นโรงไฟฟา้ ควรทาการตรวจวดั เสียงอย่างสม่าเสมอ โดยกาหนดจุดตรวจวัดเสียงทั้งภายในโรงไฟฟ้า และชุมชนรอบโรงไฟฟ้าไว้ 3 จุด โดยตรวจวัดตามแผนที่กาหนดไว้ เช่นตรวจคร้ังละ 3 วัน ติดต่อกันทุก 3 เดือน และทาการก่อสร้างแนวป้องกันเสียง (Noise Barrier)โดยการปลกู ต้นไม้รอบพื้นทโี่ รงไฟฟา้ตอนที่ 2 ขอ้ กาหนดและกฎหมายที่เกย่ี วขอ้ งกบั โรงไฟฟ้าด้านส่งิ แวดล้อม พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 กาหนดให้จัดทารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบส่ิงแวดล้อม สาหรับโครงการ หรือกิจการแต่ละประเภทและแต่ละขนาดขึ้น ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัตแิ ละแนวทางการจัดทารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบส่งิ แวดล้อมทก่ี าหนดโดยสานักงานนโยบายและแผนสง่ิ แวดล้อม โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้า ที่มีขนาดตั้งแต่ 10 เมกะวัตต์ขึ้นไป จะต้องจัดทารายงานการวเิ คราะหผ์ ลกระทบส่งิ แวดลอ้ ม (EIA) และ การวเิ คราะห์ผลกระทบส่ิงแวดล้อม สังคม และสุขภาพ(EHIA) ตามประกาศกระทรวงทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม เรอ่ื ง กาหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการ โดยต้องจัดทารายงานการวิเคราะห์ ผลกระทบส่ิงแวดล้อมตามหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติและแนวทางการจัดทารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสงิ่ แวดลอ้ ม

71 1. การวเิ คราะห์ผลกระทบส่งิ แวดลอ้ ม (Environmental Impact Assessment : EIA) EIA (Environmental Impact Assessment) เป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่ใช้เพ่ือจาแนกและคาดคะเนผลกระทบที่คาดว่าจะเกดิ ข้ึนจากโครงการหรือกจิ กรรม ตลอดจนเสนอแนะมาตรการในการแก้ไขผลกระทบ (Mitigation Measure) และแผนการติดตามตรวจสอบคุณภาพส่ิงแวดล้อม(Monitoring) ทั้งในระหว่างการก่อสร้างและดาเนินโครงการในการจัดทารายงานสาหรับโครงการหรือกิจการทุกประเภทที่ต้องจัดทารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบส่ิงแวดล้อม (EIA) จะต้องเสนอรายละเอียดของข้อมูลเฉพาะที่จะเป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์ผลกระทบจากแต่ละประเภทโครงการด้วย องคป์ ระกอบของ EIA การจัดทา EIA ประกอบดว้ ย การศกึ ษาครอบคลมุ ระบบสง่ิ แวดลอ้ ม 4 ดา้ น คือ 1) ทรัพยากรกายภาพ เป็นการศึกษาถึงผลกระทบ เช่น ดิน น้า อากาศ เสียง เป็นต้นว่าจะมีการเปล่ยี นแปลงไปอยา่ งไร 2) ทรัพยากรชีวภาพ การศึกษาความเปล่ียนแปลงในด้านต่าง ๆ ที่มีต่อระบบนิเวศน์เช่น ป่าไม้ สัตวป์ ่า สัตวน์ า้ ปะการัง เป็นต้น 3) คุณค่าการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ เป็นการศึกษาถึงการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทั้งทางกายภาพ และชีวภาพของมนุษย์ เช่น การใช้ประโยชน์ทีด่ ิน เปน็ ตน้ 4) คุณค่าต่อคุณภาพชีวิต ซ่ึงจะเป็นการศึกษาถึงผลกระทบท่ีจะเกิดต่อมนุษย์ชุมชน ระบบเศรษฐกิจ การประกอบอาชีพ วัฒนธรรมประเพณี ความเชื่อ ค่านิยม รวมถึงทัศนยี ภาพ คุณค่า ความสวยงาม หลกั การและวธิ กี าร EIA 1) การประเมินผลกระทบส่งิ แวดลอ้ ม กอ่ นตดั สนิ ใจพัฒนาโครงการ 2) การประเมินผลกระทบส่ิงแวดล้อม เป็นการศึกษาเฉพาะกรณี เพ่ือใช้สาหรับการตัดสินใจพัฒนาโครงการใดโครงการหน่ึง 3) การประเมินผลกระทบส่ิงแวดล้อม เป็นการศึกษาปัญหาท่ีจะเกิดขึ้นในอนาคตของโครงการพัฒนา 4) การประเมินผลกระทบส่ิงแวดล้อม เป็นการศึกษาปัญหาหลาย ๆ แง่มุม เพ่ือวิเคราะห์ หาผลกระทบทจ่ี ะเกดิ ขนึ้ 5) การประเมินผลกระทบส่ิงแวดล้อม ต้องอาศัยหลักการป้องกันส่ิงแวดล้อม2 ประการ คอื การวางแผนการใช้ที่ดิน และการควบคุมมลพษิ

72 ดังนั้น ในกระบวนการประเมินผลกระทบส่ิงแวดล้อม นอกจากจะแสดงให้เห็นผลกระทบอันเกิดจากการดาเนินโครงการแล้ว ยังเน้นให้มีการป้องกันด้านส่ิงแวดล้อมเข้าไปทุกข้ันตอนของการวางแผนและออกแบบโครงการ ด้วยหลักการก็คือ ให้มีการป้องกันไว้ก่อน น่ันคือให้มีการพิจารณาทางเลือกของโครงการเพ่ือที่จะสามารถเปรียบเทียบ พิจารณาทางเลือกท่ีมีผลกระทบทางลบนอ้ ยท่ีสุด และใหป้ ระโยชน์หรอื ผลกระทบในทางบวกมากท่ีสุดตารางประเภทและลักษณะโรงไฟฟ้าที่ต้องทารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบส่ิงแวดล้อม(EIA : Environmental Impact Assessment)ประเภทโครงการหรอื กจิ การ ขนาด หลกั เกณฑ์ วิธกี าร โรงไฟฟ้าพลงั ความร้อน ระเบียบปฏบิ ัติ ขนาดกาลงั ผลติ กระแสไฟฟ้ารวม ตั้งแต่ ใ ห้ เ ส น อ ใ น ข้ั น ข อ อ นุ ญ า ต 10 เมกะวัตต์ขึน้ ไป ก่อสร้างเพ่ือประกอบกิจการ หรือข้ันขออนุญาตประกอบ กิจการ แล้วแตก่ รณี 2. การวเิ คราะหผ์ ลกระทบสิ่งแวดล้อม สังคม และสุขภาพ (Environmental Health Impact Assessment: EHIA) ปี พ.ศ. 2553 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ได้ออกประกาศและข้อกาหนดท่ีเกี่ยวข้องเพ่ิมเติม ในเร่ืองประเภท ขนาด และวิธีปฏิบัติสาหรับโครงการหรือกิจการท่ีอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ท้ังทางด้านคุณภาพส่ิงแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ เพื่อให้การเป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา 67 วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และโดยเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี และตามมาตรา 46และมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้กาหนดให้การดาเนินงานโรงไฟฟ้าพลังความร้อน ลาดับท่ี 11 ตามประกาศกระทรวงทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม เรื่อง กาหนดประเภท ขนาด และวิธีปฏิบัติสาหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ท้ังทางด้านคุณภาพส่ิงแวดล้อมทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชนจะต้องจัดทา

73รายงาน การวเิ คราะหผ์ ลกระทบส่ิงแวดลอ้ ม สังคม และสุขภาพ (EHIA : Environmental HealthImpact Assessment) โดยมรี ายละเอียดโครงการ ฯ ท่ีตอ้ งจัดทารายงาน ดงั นี้ตารางประเภทและลักษณะโรงไฟฟ้าที่ต้องทารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบส่ิงแวดล้อมสังคม และสขุ ภาพ (EHIA : Environmental Health Impact Assessment)ประเภทโครงการหรอื กิจการ ขนาด หลกั เกณฑ์ วิธกี าร ระเบียบปฏบิ ัติ1. โรงไฟฟา้ ที่ใช้ถา่ นหนิ เป็นเชอื้ เพลิง ขนาดกาลงั ผลิต กระแสไฟฟ้ารวม ต้ังแต่ ใ ห้ เ ส น อ ใ น ขั้ น ข อ อ นุ ญ า ต 100 เมกะวัตต์ข้นึ ไป ก่อสร้างเพ่ือประกอบกิจการ หรือขั้นขออนุญาตประกอบ2. โรงไฟฟา้ ที่ใชเ้ ชอื้ เพลิงชีวมวล ขนาดกาลังผลติ กิจการ แลว้ แต่กรณี กระแสไฟฟ้ารวม ต้งั แต่ ใ ห้ เ ส น อ ใ น ข้ั น ข อ อ นุ ญ า ต 150 เมกะวตั ต์ขึน้ ไป ก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการ หรือขั้นขออนุญาตประกอบ3. โรงไฟฟ้าท่ีใช้ก๊าซธรรมชาติเป็น ขนาดกาลงั ผลิต กิจการ แล้วแตก่ รณีเชือ้ เพลิง ซึ่งเป็นระบบพลังความ กระแสไฟฟา้ รวม ตง้ั แต่ ใ ห้ เ ส น อ ใ น ขั้ น ข อ อ นุ ญ า ตรอ้ นร่วม ชนิด combined cycle 3,000 เมกะวัตต์ขึ้นไป ก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการหรือ cogeneration หรือขั้นขออนุญาตประกอบ กิจการ แลว้ แต่กรณี

74ตารางประเภทและลักษณะโรงไฟฟ้าท่ีต้องทารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมสงั คม และสุขภาพ (EHIA : Environmental Health Impact Assessment) (ต่อ)ประเภทโครงการหรือกจิ การ ขนาด หลักเกณฑ์ วิธกี าร ระเบยี บปฏบิ ตั ิ4. โรงไฟฟ้าพลงั งานนิวเคลียร์ ทกุ ขนาด ใ ห้ เ ส น อ ใ น ข้ั น ข อ อ นุ ญ า ต ก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการ หรือข้ันขออนุญาตประกอบ กิจการ แลว้ แต่กรณี องค์ประกอบของ EHIA การจัดทา EHIA ประกอบด้วย การศึกษาครอบคลุมระบบส่ิงแวดล้อม 4 ด้านเช่นเดยี วกับการจัดทารายงาน EIA แตม่ ขี ้อแตกต่างกนั คือ 1) เนน้ เรอื่ งการประเมินผลกระทบสุขภาพใหค้ รอบคลุมปัจจัยต่าง ๆ ให้ชดั เจน 2) เนน้ กระบวนการรับฟังความคดิ เห็นของประชาชนในทุกข้ันตอน ในการกาหนดขอบเขตการศึกษา ควรพิจารณาโอกาสท่ีจะเกิดผลกระทบต่อสุขภาพโดยพิจารณาจากปจั จยั ดังนี้ 1) ส่งิ คกุ คามสุขภาพ 2) ผลกระทบตอ่ ระบบสุขภาพ 3) ปจั จยั ต่อการรับสมั ผสั 4) ลักษณะผลกระทบตอ่ สขุ ภาพ 5) ผลกระทบต่อระบบสุขภาพ 6) ผลกระทบต่อสังคมและชีวติ ความเปน็ อยู่

75 ข้ันตอนการจัดทารายงาน EHIA เปน็ ดังข้ันตอนต่อไปนี้ ภาพแผนผงั ข้นั ตอนการจัดทารายงาน EHIA ปัจจุบัน ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทยมีความเส่ือมโทรม และมีจานวนลดลงอย่างต่อเน่ือง จึงจาเป็นต้องมีมาตรการจัดสรรการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติท่ีมีจานวนลดลง ให้เกิดประโยชน์คุ้มค่าต่อการลงทุน และเหมาะสมกับปริมาณทรัพยากรธรรมชาติท่ีมีอยู่ในปจั จบุ ัน และทจ่ี ะลดลงในอนาคต ในด้านกฎหมาย และสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540กาหนดให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการสงวนบารุงรักษา และใช้ประโยชน์จากการส่งเสริม

76บารุงรักษา และคุ้มครองคุณภาพสิ่งแวดล้อมตามหลักการพัฒนาที่ย่ังยืน ตลอดจนควบคุมและการจัดการภาวะมลพษิ ทางส่ิงแวดล้อม ที่มีผลต่อสุขภาพอนามัย สวัสดิภาพ และคุณภาพชีวิตของประชาชนเปน็ หลัก ในการพฒั นาโครงการตา่ ง ๆ ในกรณีที่ผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าท่ีมีกาลังการผลิตต้ังแต่ 5 เมกะวัตต์ข้ึนไป แต่ไม่ถึง10 เมกะวัตต์ แม้ว่าปัจจุบันยังไม่ต้องจัดทารายงาน EIA และ EHIA แต่ตามกฎหมายบังคับให้ต้องทารายงานการศึกษาและมาตรการป้องกันแก้ไขผลกระทบต่อคุณภาพส่ิงแวดล้อมและความปลอดภยั (Environmental Safety Assessment : ESA) สาหรับผู้ขอรับใบอนุญาตผลิตไฟฟ้าจากเช้ือเพลิงชีวมวล (ประเภทเชื้อเพลิงแข็ง) ท่ีมีกาลังการผลิตติดต้ังต่ากว่า 10 เมกะวัตต์ จะต้องดาเนินการตามประมวลหลักการปฏิบัติงาน(Code of Practice: COP) โดยเสนอรายงานการตรวจสอบด้านส่ิงแวดล้อม (EnvironmentalChecklist) การจัดทารายงานวิเคราะหท์ างดา้ นสิ่งแวดลอ้ มตา่ ง ๆ เพื่อให้การประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าสาหรับประเภทและโครงการแต่ละประเภท มีแนวทางปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานเดียวกันและเป็นเคร่ืองมือสาคัญที่จะช่วยป้องกันการเกิดผลกระทบท่ีอาจจะเกิดข้ึนต่อทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดลอ้ ม และสุขภาพของประชาชนท่อี ยูโ่ ดยรอบพน้ื ทโี่ รงไฟฟา้กจิ กรรมทา้ ยเร่ืองท่ี 2 โรงไฟฟา้ กบั การจัดการดา้ นสิง่ แวดลอ้ ม(ใหผ้ เู้ รยี นไปทากจิ กรรมเร่อื งท่ี 2 ทสี่ มดุ บันทึกกจิ กรรมการเรียนร)ู้

77 หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 3 อปุ กรณ์ไฟฟา้ และวงจรไฟฟา้สาระสาคัญ การดาเนินชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบันมีพลังงานไฟฟ้าเข้ามาเก่ียวข้องอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเพ่ือให้การใช้พลังงานไฟฟ้ามีความปลอดภัย ผู้ใช้ต้องรู้จักวงจรไฟฟ้าในบ้าน อุปกรณ์ไฟฟ้า การเลือกใช้อปุ กรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ ให้ถูกต้องจะช่วยให้เกิดความปลอดภัย รวมทั้งการรู้จักใช้สายดินและหลกั ดนิ ซ่ึงเปน็ อุปกรณท์ ่ีมไี วเ้ พือ่ ความปลอดภัยตอ่ การใช้เคร่ืองใชไ้ ฟฟ้าในครัวเรือนตัวชีว้ ัด 1. เลอื กใชอ้ ุปกรณไ์ ฟฟา้ ไดถ้ กู ตอ้ ง 2. อธิบายการต่อวงจรไฟฟ้าแบบต่าง ๆ 3. ตอ่ วงจรไฟฟ้าแบบต่าง ๆขอบขา่ ยเน้ือหา เรื่องที่ 1 อุปกรณไ์ ฟฟ้า เรอ่ื งที่ 2 วงจรไฟฟา้ เรื่องท่ี 3 สายดนิ และหลักดนิเวลาท่ใี ช้ในการศกึ ษา 30 ชั่วโมงสือ่ การเรยี นรู้ 1. ชดุ วชิ าการใช้พลังงานไฟฟ้าในชวี ิตประจาวนั 3 รหสั วิชา พว32023 2. ส่ือการเรียน เร่อื ง วงจรไฟฟา้ 3. แผงสาธติ การต่อวงจรไฟฟ้า

78เร่อื งที่ 1 อปุ กรณไ์ ฟฟา้ อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ในวงจรไฟฟ้ามีหลายชนิด แต่ละชนิดมีหน้าที่และความสาคัญท่ีแตกต่างกนั ออกไป ไดแ้ ก่ 1. ฟวิ ส์ (Fuse) ฟวิ สเ์ ปน็ อุปกรณป์ ้องกนั กระแสไฟฟา้ ไหลเกินจนเกิดอันตรายต่อเคร่ืองใช้ไฟฟ้า ถ้ามีกระแสไฟฟา้ ไหลเกิน ฟิวสจ์ ะหลอมละลายจนขาดทาใหต้ ัดวงจรไฟฟา้ ในครัวเรือนโดยอัตโนมตั ิ ฟวิ ส์ทาดว้ ยโลหะผสมระหวา่ งตะกั่วกับดีบุก มีจุดหลอมเหลวต่าและมีรูปร่างแตกต่างกันไปตามวตั ถปุ ระสงค์ของการใชง้ าน ดงั นี้ 1.1ฟวิ สเ์ สน้ มลี กั ษณะเปน็ เสน้ ลวดนยิ มใช้กับสะพานไฟในอาคารบ้านเรือน 1.2 ฟิวส์แผ่นหรือฟิวส์ก้ามปูมีลักษณะเป็นแผ่นโลหะผสมท่ีปลายท้ังสองข้างมีขอเก่ียวทาดว้ ยทองแดงนิยมใช้กบั อาคารขนาดใหญ่ เช่น โรงเรียน โรงงานต่าง ๆ เปน็ ต้น 1.3 ฟิวส์กระเบื้องมีลักษณะเป็นเส้นฟิวส์อยู่ภายในกระปุกกระเบื้องท่ีเป็นฉนวนนิยมติดตัง้ ไว้ทแ่ี ผงควบคมุ ไฟฟ้าของอาคารบ้านเรอื น 1.4 ฟิวส์หลอดเป็นฟิวส์ขนาดเล็ก ๆ บรรจุอยู่ในหลอดแก้วเล็กนิยมใช้มากในเครอื่ งใชไ้ ฟฟ้าต่าง ๆ เชน่ วิทยุ โทรทศั น์ ปลก๊ั พ่วงเต้ารบั ไฟฟ้า เป็นต้น ภาพฟวิ สช์ นดิ ต่าง ๆ

79 ขนาดและการเลือกใช้ฟิวส์ 1) ขนาดของฟิวส์ถูกกาหนดให้เป็นค่าของกระแสไฟฟ้าสูงสุดท่ีไหลผ่านได้โดยฟิวส์ไม่ขาด มขี นาดต่าง ๆ กนั เช่น 5, 10, 15 และ 30 แอมแปร์ เช่น ฟิวส์ขนาด 15 แอมแปร์ คือ ฟิวส์ท่ียอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผา่ นได้ไม่เกิน 15 แอมแปรถ์ ้าเกนิ กวา่ นฟี้ วิ สจ์ ะขาด เป็นต้น 2) การเลือกใช้ฟิวส์ ควรเลือกขนาดของฟิวส์ให้พอเหมาะกับปริมาณกระแสไฟฟ้า ที่ใช้ในครัวเรือนซ่ึงเราสามารถคานวณหาขนาดของฟิวส์ให้เหมาะสมกับปริมาณกระแสไฟฟ้าจากความสมั พันธ์ต่อไปนี้ P = IVเมอ่ื P คือ กาลังไฟฟา้ มีหนว่ ยเปน็ วัตต์ (Watt) I คือ กระแสไฟฟ้า มีหนว่ ยเปน็ แอมแปร์ (Ampere) V คอื ความตา่ งศกั ย์ไฟฟา้ มีหน่วยเป็นโวลต์ (Volt)ตัวอยา่ ง บา้ นหลงั หน่ึงใช้เครอื่ งใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ดงั นี้ ตู้เยน็ 100 วัตต์ เตารีด 1,000 วัตต์ โทรทัศน์ 150 วตั ต์ หมอ้ หงุ ขา้ ว 700 วตั ต์ และหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ 25 วัตต์ 4 ดวง ถา้ บา้ นหลงั นีใ้ ช้ไฟฟ้าทมี่ ีความต่างศักย์ 220 โวลต์ จะต้องใช้ฟวิ สข์ นาดกี่แอมแปร์วิธีทา จากโจทย์ P = 100 + 1,000 + 150 + 700 + (25×4) = 2,050 วัตต์ V = 220 โวลต์ I =?จากสูตร P = IVแทนคา่ I = 2,050/220 = 9.32 แอมแปร์ตอบ บา้ นหลังนค้ี วรใช้ฟวิ สข์ นาด 10 แอมแปร์

80 2. อปุ กรณต์ ดั ตอน หรอื เบรกเกอร์ (Breaker) เบรกเกอร์ คือ อุปกรณ์ตัดต่อวงจรโดยอัตโนมัติเมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเกินไปปุ่มหรอื คันโยกที่เบรกเกอร์จะดดี มาอย่ใู นตาแหนง่ ท่ีเปน็ การตัดวงจรอย่างอัตโนมัติ โดยอาศัยหลักการทางานของแม่เหล็กไฟฟา้ ไมใ่ ชก่ ารหลอมละลายเหมือนฟิวส์จงึ ไมจ่ าเป็นต้องเปลี่ยนฟิวส์ เบรกเกอร์มีจาหน่ายตามทอ้ งตลาดหลายแบบหลายขนาด ดังภาพ ภาพเบรกเกอร์แบบต่าง ๆ 3. สวติ ช์ (Switch) สวิตช์ เป็นอุปกรณ์ปิดหรือเปิดวงจรไฟฟ้า เพ่ือควบคุมการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับเครื่องใชไ้ ฟฟา้ แบ่งออกเปน็ 2 ประเภท ประกอบดว้ ย 3.1 สวิตช์ทางเดียว สามารถโยกปิดหรือเปิดวงจรไฟฟ้าได้เพียงทางเดียว เช่น วงจรของหลอดไฟฟา้ หลอดใดหลอดหนง่ึ เป็นต้น 3.2 สวิตช์สองทาง เป็นการติดตั้งสวิตช์ 2 จุด เพื่อให้สามารถปิดหรือเปิดวงจรไฟฟ้าได้สองจุด เช่น สวิตช์ไฟท่ีบันไดที่สามารถเปิด - ปิดได้ท้ังอยู่ชั้นบนและช้ันล่างทาให้สะดวกในการใชง้ านภาพสวติ ชแ์ บบทางเดยี ว ภาพสวติ ช์แบบสองทาง

81 ข้อควรรู้เกย่ี วกับสวิตช์ 1) ไม่ควรใช้สวิตช์อันเดียวควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายช้ินให้ทางานพร้อมกันเ พ ร า ะ กระแสไฟฟ้าท่ีไหลผ่านสวิตช์มากเกินไปจะทาให้จุด สั ม ผั ส เ กิ ด ค ว า ม ร้ อ น สู ง อาจทาให้สวิตชไ์ หม้ และเป็นอันตรายได้ 2) ไม่ควรใช้สวิตช์ธรรมดาควบคุมเคร่ืองใช้ไฟฟ้าที่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านสูง เช่นมอเตอร์เคร่ืองปรับอากาศ เป็นต้น ควรใช้เบรกเกอร์แทน เนื่องจากสามารถทนกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านได้สงู กว่า 4. สะพานไฟ (Cut-Out) สะพานไฟเป็นอปุ กรณส์ าหรับตัดต่อวงจรไฟฟ้าทั้งหมดภายในครัวเรือนประกอบด้วยฐานและคนั โยกทีม่ ีลักษณะเป็นขาโลหะ 2 ขา ซึ่งมที ีจ่ บั เปน็ ฉนวนเม่อื สบั คนั โยกขึ้นกระแสไฟฟ้าจะไหลเขา้ สูว่ งจรไฟฟ้าในครัวเรือนและเมื่อสับคันโยกลงกระแสไฟฟา้ จะหยดุ ไหล ซ่งึ เป็นการตดั วงจร ภาพสะพานไฟและฟวิ สใ์ นสะพานไฟ ขอ้ ควรรู้เกีย่ วกับสะพานไฟ 1) สะพานไฟชว่ ยให้เกดิ ความสะดวกและปลอดภยั ในการซอ่ มแซมหรือติดต้ังอุปกรณ์ไฟฟา้ 2) ถา้ ตอ้ งการให้วงจรเปิด (ไม่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน) ให้สับคันโยกลงแต่ถ้าต้องการให้วงจรปิด (มกี ระแสไฟฟ้าไหลผ่าน) ให้สับคันโยกขึ้น 3) ในการสบั คันโยกจะตอ้ งให้แนบสนิทกับที่รองรบั

82 5. เคร่ืองตัดไฟรวั่ (Earth Leak Circuit Breaker : ELCB) เคร่ืองตัดไฟรั่ว เป็นอุปกรณ์เสริมความปลอดภัยอีกชั้นหน่ึงที่สามารถตัดวงจรไฟฟ้ากรณีเกิดไฟร่ัว โดยกาหนดความไวของการตัดตอนวงจรไฟฟ้าตามปริมาณกระแสไฟฟ้าท่ีรั่วลงดนิ เพ่อื ใหม้ ีการตัดไฟรัว่ ก่อนทจ่ี ะเปน็ อันตรายกบั ระบบไฟฟา้ ภาพเครอ่ื งตดั ไฟรัว่ 6. เต้ารับ (Socket) และเต้าเสยี บ (Plug) เตา้ รบั และเต้าเสียบ เป็นอุปกรณท์ ี่ใช้เช่ือมต่อวงจรไฟฟ้า ทาใหก้ ระแสไฟฟ้าไหลเข้าสู่อุปกรณแ์ ละเครื่องใช้ไฟฟ้า 1) เต้ารับหรือปลั๊กตัวเมีย คือ อุปกรณ์ท่ีเชื่อมต่อกับวงจรไฟฟ้าในครัวเรือน เช่นเต้ารับที่ตดิ ตง้ั บนผนังบ้านหรืออาคาร เป็นตน้ เพ่ือรองรบั การตอ่ กับเตา้ เสยี บของเครอ่ื งใช้ไฟฟ้า 2) เต้าเสียบหรือปล๊ักตัวผู้ คือ อุปกรณ์ส่วนท่ีติดอยู่กับปลายสายไฟของเคร่ืองใช้ไฟฟ้าเต้าเสียบทใ่ี ช้กันอยู่มี 2 แบบ คือ (1) เตา้ เสยี บ 2 ขา ใช้กบั เต้ารบั ทม่ี ี 2 ช่อง (2) เตา้ เสียบ 3 ขา ใช้กับเตา้ รับท่ีมี 3 ช่อง โดยขากลางจะต่อกับสายดนิ

83 ภาพเต้ารับและเต้าเสยี บ ข้อควรรู้เก่ียวกบั เตา้ รบั และเต้าเสยี บ 1) การใช้งานควรเสียบเต้าเสียบให้แน่นสนิทกับเต้ารับและไม่ใช้เต้าเสียบหลายอันกบั เตา้ รบั อนั เดยี ว เพราะเต้ารบั อาจรอ้ นจนลุกไหม้ได้ 2) เม่อื จะถอดปลั๊กออกควรจับท่ีเต้าเสียบ ไม่ควรดึงที่สายไฟเพราะจะทาให้สายหลุดและเกิดไฟฟา้ ลัดวงจรได้ 7. สายไฟ (Cable) สายไฟเป็นอุปกรณ์สาหรับส่งพลังงานไฟฟ้าจากที่หนึ่งไปยังอีกท่ีหน่ึง โดยกระแสไฟฟ้าจะนาพลังงานไฟฟ้าผ่านไปตามสายไฟจนถึงเคร่ืองใช้ไฟฟ้า สายไฟทาด้วยสารท่ีมีคุณสมบตั เิ ปน็ ตวั นาไฟฟ้า (ยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ดี) เช่น ทองแดง เป็นต้น โดยจะถูกหุ้มดว้ ยฉนวนไฟฟา้ เพ่ือความปลอดภยั ของผูใ้ ชไ้ ฟฟา้ สายไฟท่ใี ชก้ นั ตามบ้านเรือนมดี ังภาพชนดิ ของสายไฟ พิกดั แรงดนั และลกั ษณะการตดิ ตงั้VAF สายแขง็ พกิ ดั แรงดนั : 300 โวลต์ การติดตั้ง : ใช้ในบ้านอยู่อาศัยทั่วไป ใช้ใน การเดินสายไฟติดผนังสาหรับระบบแสง สว่าง หรือเตา้ รับไฟฟา้ พกิ ดั แรงดัน : 300 โวลต์ การติดต้ัง : เดินปล๊ักลอยแบบมีสายกราวด์

84VAF-G หรอื สาย VAF แบบมีกราวด์ เดนิ ซอ่ นในผนัง VFF สายอ่อน พิกัดแรงดนั : 750 โวลต์ VCT สายออ่ น การตดิ ตั้ง : ตอ่ เข้าเครอ่ื งอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือ เครื่องใชไ้ ฟฟ้า พิกดั แรงดัน : 300 โวลต์ การติดต้ัง : เคร่ืองใช้ไฟฟ้าตามบ้าน ปล๊ัก พว่ งชนิดทาเองในบ้าน พิกัดแรงดัน : 750 โวลต์ การตดิ ต้ัง : ใชเ้ ปน็ สายเดนิ เข้าเครื่องจักรใช้ ใ น ก า ร เ ดิ น ส า ย ไ ฟ ส า ห รั บ ป๊ั ม น้ า เคร่ืองปรับอากาศ หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าท่ีใช้ กาลงั ไฟฟา้ สงู ชนิดของสายไฟ พิกัดแรงดันและลักษณะการติดต้งั VSF สายออ่ น พิกดั แรงดัน : 300 โวลต์ การติดต้ัง : ใช้เดินสายลาโพง เดินสาย NYY ภายในเคร่ืองใช้ไฟฟ้าต่างๆ, เดินระบบTHW สายแข็งอ่อน ควบคุมไฟฟ้าโรงงานเหมาะสาหรับเดินไฟ ในตคู้ วบคมุ พิกัดแรงดัน : 750 โวลต์ การติดตั้ง : นิยมใช้อย่างกว้างขวาง เนื่องจากทนต่อสภาพแวดล้อมเพราะมี เปลือกหุ้มอีกหนึ่งช้ัน นาไปใช้ในการเดิน สายไฟสาหรับระบบไฟฟ้าแสงสว่างบริเวณ สนามหญ้าและฝงั สายไฟลงใต้ดนิ พกิ ดั แรงดัน : 750 โวลต์ การตดิ ต้ัง : นิยมใช้กนั อย่างกวา้ งขวางท้งั ในครวั เรอื นและในโรงงานอตุ สาหกรรม ปกติจะเดนิ รอ้ ยในท่อร้อยสาย

85การเลอื กขนาดของสายไฟในการเลือกขนาดสายไฟให้มีความเหมาะสมกับการใช้งานนั้น จะดูที่พิกัดการทนกระแสไฟฟ้าของสายไฟเปน็ สาคัญ โดยดไู ด้จากตารางเปรียบเทียบตารางเปรียบเทยี บขนาดของตวั นา ฉนวน และปริมาณกระแสไฟฟา้ ที่สายไฟสามารถทนได้ ตัวนาไฟฟา้ ความหนาของ ความหนาของ พกิ ัดการทน ฉนวนไฟฟ้า เปลอื กหุ้มสายไฟ กระแสไฟฟา้พน้ื ที่หน้าตัด หมายเลข/ (มลิ ลิเมตร) (มิลลิเมตร) (แอมป์)(ตารางมิลลเิ มตร) เสน้ ผ่าศนู ยก์ ลางหรือ (sq.mm) (มิลลิเมตร)0.5 1/0.80 0.6 0.9 71.0 1/1.13 0.6 0.9 111.0 7/0.40 0.6 0.9 111.5 1/1.38 0.6 1.2 161.5 7/0.50 0.6 1.2 162.5 1/1.78 0.7 1.2 212.5 7/0.67 0.7 1.2 214 1/2.25 0.8 1.2 294 7/0.85 0.8 1.2 296 7/1.04 0.8 1.2 3610 7/1.35 0.9 1.2 5116 7/1.70 1.0 1.2 6725 7/2.14 1.2 1.4 9135 19/1.53 1.2 1.4 111ตารางด้านบน ใช้สาหรับเลือกขนาดสายไฟให้มีความเหมาะสมกับการใช้งานแบบง่าย ๆ โดยใหด้ ู 2 ชอ่ งหลัก คอื ช่องพ้นื ทีห่ นา้ ตดั และช่องพกิ ดั การทนกระแสไฟฟา้ตัวอย่าง สายไฟชนิด VAF ขนาด 2.5 ตารางมิลลเิ มตร จะมีพิกัดการทนกระแสไฟฟ้าได้ 21 แอมป์ หรือ สายไฟขนาด 25 ตารางมิลลิเมตร จะมีพิกัดการทนกระแสไฟฟ้าได้ 91 แอมป์ จะ เห็นได้ว่า ขนาดของสายไฟย่ิงมากเท่าไร อัตราพิกัดการทนกระแสไฟฟ้าก็จะย่ิงมากขึ้น เท่านั้น ดังนั้นจึงต้องเลือกใช้ขนาดของสายไฟให้เหมาะสมกับขนาดการใช้ไฟฟ้าของ อปุ กรณ์

86 ข้ันตอนง่าย ๆ ในการหาขนาดของสายไฟให้มีความเหมาะสมกับอุปกรณ์ไฟฟ้ามดี งั นี้ 1) ตอ้ งรูค้ า่ กระแสไฟฟ้าของอุปกรณไ์ ฟฟ้า สาหรับค่ากระแสไฟฟา้ น้ันหาได้จากแผ่นปา้ ยทีต่ ิดอยทู่ ่ีโครงอปุ กรณไ์ ฟฟ้า แสดงดังภาพตัวอยา่ งฉลากบอกคา่ กระแสไฟฟา้ ของอปุ กรณ์ไฟฟ้า ภาพตวั อย่างฉลากบอกคา่ กระแสไฟฟ้าของอปุ กรณไ์ ฟฟ้า จากภาพตวั อย่างฉลากบอกค่ากระแสไฟฟ้าของอุปกรณ์ไฟฟ้า ตัวอย่างอุปกรณ์ไฟฟ้าคือ เคร่อื งปรบั อากาศ (รูปซ้ายมอื ) จะเหน็ ว่าแผ่นป้ายที่บอกข้อมูลทางไฟฟ้าของเคร่ืองปรับอากาศเครื่องนี้อยู่ด้านข้างของเครื่อง (รูปขวามือ) จากแผ่นป้ายจะบอกไว้ว่าเครื่องปรับอากาศจะกินกระแสไฟฟา้ มคี า่ 10.50 แอมป์ หมายเหตุ ในกรณีที่แผ่นป้ายของอุปกรณ์ไฟฟ้าน้ัน ๆ ไม่บอกค่ากระแสไฟฟ้ามา ก็มีวธิ ีคานวณเพอื่ หาค่ากระแสไฟฟ้าด้วยวิธีง่าย ๆ คือ นาค่ากาลังไฟฟ้า (หน่วยเป็นวัตต์ :W) หารด้วยคา่ แรงดนั ไฟฟ้า (หน่วยเปน็ โวลต์ :V) ถ้าเขยี นเปน็ สูตรก็จะได้วา่ สูตร P = I x Vกาหนดให้ Current : I = คา่ กระแสไฟฟา้ ของอุปกรณไ์ ฟฟ้า มีหนว่ ยเปน็ แอมป์ (A) Power : P = คา่ กาลงั ไฟฟ้าของอุปกรณ์ไฟฟา้ มหี น่วยเปน็ วตั ต์ (W) Voltage : V = คา่ แรงดนั ไฟฟ้าท่อี ปุ กรณ์ไฟฟ้าใชง้ าน มีหน่วยเป็น โวลต์ (V)

87ถ้าเครือ่ งปรับอากาศดงั รูป ไม่บอกคา่ กระแสไฟฟา้ มา ใหค้ านวณหาค่ากระแสไฟฟา้ ดังนี้ จากแผ่นปา้ ยจะได้ค่า กาลังไฟฟา้ (P) = 2,330 วตั ต์ (W) ค่าแรงดนั ไฟฟา้ (V) = 220 โวลต์ (V) จะได้ I = 2,330 W 220 V = 10.6 แอมป์ 2) เผ่ือค่ากระแสไฟฟ้า อีกร้อยละ 25 โดยท่ัวไปวัสดุและอุปกรณ์ไฟฟ้าเมื่อทางานติดต่อกันเกินกว่า 3 ชั่วโมงข้ึนไป ประสิทธิภาพการทางานจะลดลงเหลือประมาณร้อยละ 80ดังนั้นสายไฟ ท่ีจะนามาใช้งานก็เช่นเดียวกัน เม่ือใช้งานติดต่อกันเกินกว่า 3 ช่ัวโมง ประสิทธิภาพในการทนกระแสไฟฟา้ กจ็ ะลดลงเหลอื ประมาณร้อยละ 80 เพ่ือเป็นการชดเชยประสิทธิภาพในการทนกระแสไฟฟ้าของสายไฟในส่วนท่ีหายไป จึงต้องมีการเผ่ือค่ากระแสไฟฟ้าเพิ่มอีกร้อยละ 25กอ่ น แล้วนาคา่ กระแสไฟฟา้ ท่ไี ด้ไปหาขนาดสายไฟในขั้นตอนต่อไปจากขั้นตอนการหาคา่ กระแสไฟฟา้ ค่ากระแสไฟฟา้ มีค่า 10.6 แอมป์ ทาการเผื่ออีก 25% = (10.6 X 25) 100 = 2.65 ค่ากระแสไฟฟ้าเมือ่ ทาการเผือ่ ค่ากระแส 25% = 10.6 + 2.65 = 13.25 จะได้คา่ กระแสไฟฟ้าเท่ากบั 13.25 แอมป์ 3) นาค่ากระแสไฟฟ้า เปิดตารางหาขนาดสายไฟ โดยนาค่ากระแสไฟฟ้าที่ได้ทาการเผื่อไว้แล้วร้อยละ 25 ซึ่งมีค่าเท่ากับ 13.25 แอมป์ นาไปเทียบกับตาราง พบว่า ต้องใช้สายไฟท่ีมีขนาด 1.5 ตารางมิลลิเมตร (ทนพิกัดกระแสไฟฟ้าได้ 16 แอมป์) มาใช้ในการเดินสายไฟให้กับเครื่องปรับอากาศ ดังรูป ทั้งนี้เนื่องจากสายไฟมีอัตราพิกัดการทนกระแสไฟฟ้าได้มากกว่าค่ากระแสไฟฟ้าทไี่ หลจรงิ ในวงจรจงึ ทาให้สายไฟไม่รอ้ นและไม่เกิดอบุ ตั เิ หตอุ คั คภี ัย

88บทสรุปการเลอื กขนาดสายไฟชนดิ VAF มี 3 ขั้นตอน ดังรปู หาค่ากระแสไฟฟ้าของอุปกรณไ์ ฟฟา้ เผอื่ คา่ กระแสไฟฟ้าอกี ร้อยละ 25 เปดิ ตารางหาขนาดสายไฟ ขนั้ ตอนการเลอื กขนาดสายไฟกิจกรรมท้ายเร่อื งท่ี 1 อปุ กรณไ์ ฟฟ้า(ให้ผเู้ รียนไปทากจิ กรรมเรอ่ื งท่ี 1 ทส่ี มุดบันทึกกิจกรรมการเรียนร)ู้

89เร่อื งท่ี 2 วงจรไฟฟ้า วงจรไฟฟ้า (Electrical Circuit) คือ การเชื่อมต่อกระแสไฟฟ้าจากแหล่งจ่ายไฟฟ้าผ่านสายไฟไปยงั เคร่อื งใช้ไฟฟา้ ในครวั เรอื น สาหรับการเชื่อมต่อกระแสไฟฟ้าจากแหล่งจ่ายไฟฟ้า มี 3 แบบ คือ แบบอนุกรมแบบขนาน และแบบผสม ดงั น้ีวงจรไฟฟา้ ลักษณะการตอ่ วงจรไฟฟ้า การต่อวงจรไฟฟ้าแบบอนุกรม เป็นการ นาเอาเคร่ืองใช้ไฟฟา้ มาต่อเรียงลาดับกันไป โดยนา ปลายด้านหนึ่งต่อเข้ากับปลายอีกด้านหน่ึงของ เคร่ืองใช้ไฟฟ้าแต่ละตัวจนถึงตัวสุดท้าย แล้วจึงต่อ เข้ากับแหล่งกาเนิดไฟฟ้าทาให้กระแสไฟฟ้าไหลไป ในทิศทางเดียว และกระแสไฟฟ้าภายในวงจรจะมี คา่ เทา่ กันทกุ ๆ จดุ การต่อวงจรแบบน้ี ไม่เหมาะท่ีจะใช้กับ เครื่องใช้ไฟฟ้า เนื่องจากหากอุปกรณ์ตัวใดตัวหน่ึง เ กิ ด ข า ด ห รื อ ช า รุ ด เ สี ย ห า ย ก ร ะ แ ส ไ ฟ ฟ้ า จ ะ ไ ม่ สามารถไหลผ่านไปยังอุปกรณ์ตัวอ่ืน ๆ ได้ ดังนั้น การต่อวิธีนจ้ี งึ ไมค่ อ่ ยนิยมใช้กันท่ัวไป จะมีใช้กันอยู่ ในวงจรวิทยุ โทรทศั น์

วงจรไฟฟ้า 90 ลกั ษณะการต่อวงจรไฟฟ้า การตอ่ วงจรไฟฟ้าแบบขนาน เป็นการนาเอา เครื่องใช้ไฟฟ้า 2 ชนิดข้ึนไป มาต่อเรียงแบบขนาน กนั โดยนาปลายดา้ นเดยี วกันของเคร่ืองใช้ไฟฟ้าแต่ ละตั วมาต่อเข้าด้ วยกัน แล้วต่อปลายของ เคร่ืองใช้ไฟฟ้าแต่ละตัวท่ีต่อกันแล้ว ต่อเข้ากับ แ ห ล่ง ก า เนิ ด ไ ฟฟ้ า โ ด ยแ รง ดั น ไ ฟ ฟ้า ข อ ง เคร่ืองใช้ไฟฟ้าแต่ละตัวจะมีค่าเท่ากัน แต่กระแสที่ ไหลในแต่ละสาขาย่อยของวงจรจะมีค่าไม่เท่ากัน อย่างไรก็ตามเมื่อนาค่ามารวมกันจะได้เท่ากับ กระแสทีไ่ หลผา่ นวงจรท้งั หมด การต่อวงจรไฟฟ้าแบบผสม เป็นการต่อผสม กนั ของวงจรไฟฟ้าแบบอนุกรมและวงจรไฟฟ้าแบบ ขนานแตไ่ ม่นิยมใชง้ าน เพราะยงุ่ ยาก การต่อวงจรแบบผสม วงจรไฟฟ้าภายในครัวเรือนจะเป็นการต่อแบบขนานและเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิดรับแรงดันไฟฟ้าขนาดเดียวกัน หากเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดหนึ่งเกิดขัดข้องเน่ืองจากสาเหตุใดก็ตามเครือ่ งใชไ้ ฟฟ้าชนดิ อื่นกย็ งั คงใช้งานไดต้ ามปกติ ภาพการต่อวงจรไฟฟา้ ภายในบา้ น

91 สาหรับประเทศไทย ไฟฟ้าทใี่ ช้ในครัวเรือนเป็นไฟฟ้ากระแสสลับท่ีมีความต่างศักย์ไฟฟ้า(ความต่างศักย์ไฟฟ้า คือ พลังงานไฟฟ้าที่ต่างกันระหว่างจุด 2 จุด) 220 โวลต์ (V) ความถ่ี 50 เฮิรตซ์(Hz) โดยใช้สายไฟ 3 เส้น คือ 1) สายไฟหรือเรียกว่า “สายเส้นไฟ หรือสาย L” (Line) เป็นสายเส้นที่มีกระแสไฟไหลผา่ นไปยงั เคร่ืองใช้ไฟฟา้ มคี วามตา่ งศักยไ์ ฟฟา้ 220 โวลต์ 2) สายนิวทรัลหรือเรียกว่า “สายศูนย์ หรือสาย N” (Neutral) เป็นส่วนหนึ่งของวงจรมหี นา้ ทท่ี าให้กระแสไฟฟ้าไหลครบวงจรมีความต่างศกั ย์ไฟฟ้า 0 โวลต์ 3) สายดิน หรอื เรยี กว่า “สาย G” (Ground) เป็นสายเส้นท่ีไม่มีกระแสไฟฟ้า ทาหน้าที่รับกระแสไฟฟ้าท่ีรั่วมาจากเคร่ืองใช้ไฟฟ้า เพื่อป้องกันกระแสไฟฟ้าลัดวงจร และป้องกันอันตรายแกบ่ ุคคล อุปกรณไ์ ฟฟ้าและเคร่อื งใช้ไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าจะส่งผ่านมิเตอร์ไฟฟ้ามายังแผงควบคุมไฟฟ้า ซ่ึงแผงควบคุมไฟฟ้าทาหนา้ ท่ีจ่ายกระแสไฟฟา้ ไปยังอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า

92แผงควบคุมไฟฟ้าประกอบด้วยอุปกรณ์ตัดตอนหลัก หรือเรียกว่า “เบรกเกอร์” (Main CircuitBreaker หรือ Cut-Out) ซ่ึงมี 1 ตัวต่อครัวเรือน และมีอุปกรณ์ตัดตอนย่อยหลายตัวได้ข้ึนอยู่กับจานวนเคร่ืองใช้ไฟฟ้าที่ใช้ในครัวเรือน นอกจากน้ียังมีจุดต่อสายดินที่จะต่อไปยังเต้ารับ หรือปล๊ักตัวเมีย ทกุ จดุ ในครวั เรอื น เพ่ือต่อเข้าเครือ่ งใชไ้ ฟฟา้ สาย N สาย L สาย G ภาพตัวอย่างแผงวงจรไฟฟ้าในครัวเรือน จากภาพตัวอย่างแผงวงจรไฟฟ้าในครัวเรือน กระแสไฟฟ้าจะไหลจากสายไฟหลักไปยังอุปกรณ์ตัดตอนหลัก และจ่ายไปยังอุปกรณ์ตัดตอนย่อย เพ่ือจ่ายกระแสไฟฟ้าไปยังเคร่ืองใช้ไฟฟ้า


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook