บทท่ี 1 การจดั การทางสังคม อาจารย์ สุ ไลมาน หะโมะ
คาอธิบายรายวชิ า การจัดการทางสังคม วเิ คราะห์ความหลากหลายทางวฒั นธรรมเพื่อนาไปสู่กระบวนการจดั การดา้ น ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ มที่เก่ียวขอ้ งกบั ชุมชน แนวคิดคิดปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพยี ง การใชเ้ ทคโนโลยที ี่เหมาะสมในการดารงชีวติ ในทอ้ งถิ่น analyze diversity of multi culture on environmental resource management process economic sufficiency ,using technology in community properly
จุดมุ่งหมายของรายวชิ า 1.1 เพื่อใหน้ กั ศึกษามีความรู้ความเขา้ ใจการจดั การทางสงั คมหรือการจดั ระเบียบทางสงั คม 1.2 เพื่อใหน้ กั ศึกษาเขา้ ใจทฤษฏีทางสงั คมศาสตร์แลว้ นาไปประยกุ ตใ์ หเ้ ขา้ กบั ขอ้ มูลใหม่ใน ยคุ โลกาภิวตั น์ 1.3 เสนอแนวทางในการจดั การความหลากหลายทางวฒั นธรรมโดยสนั ติวธิ ีได้ 1.5 เสนอแนวทางการแกป้ ัญหาการทาลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ มได้ 1.6 ยกตวั อยา่ งการใชช้ ีวติ อยา่ งพอเพยี งได้ 1.7 สามารถนาความรู้จากการศึกษามาปรับใชใ้ นชุมชนทอ้ งถิ่นไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 1.8 สามารถจดั ทาโครงการท่ีเหมาะสมเกิดประโยชน์ต่อตนเอง ชุมชน และสงั คมได
ผู้สอนวิชาการจัดการทางสั งคม ดร.วนั ฮารงค์ บินอิสริส อ.คมวิทย์ สขุ เสนีย์ อ.สไุ ลมาน หะโมะ
คะแนนเกบ็ ตลอดภาคการศึกษา 1/61 1. นาเสนอพร้อมรูปเล่มรายงาน 10 คะแนน 2. การแสดงดา้ นวฒั นธรรมไทย 10 คะแนน 3. แบบฝึกในช้นั เรียนพร้อมแฟ้ มสะสมงาน 10 คะแนน 4. การเขา้ ช้นั เรียน 10 คะแนน 5. ศึกษาฝึกประสบการณ์ในหวั ขอ้ แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงกบั เศรษฐกิจชุมชนในพ้ืนท่ี จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ 10 คะแนน 6. สอบกลางภาค 20 คะแนน 7. สอบปลายภาค 20 คะแนน
Student Behavior ๑. Truth ๒. Honesty ๓. Sense of Duty ๔. Patience ๕. Virtue and Merit ๖. Consideration for Others ๗. Kindness ๘. Gratitude ๙. Politeness ๑๐. Respect for Elders ๑๑. promise ๑๒. Public Consciousness ๑๓.Obedience ๑๔. responsibility ๑๕.Participation ๑๖.Be On Time ๑๗. Diligence
Presentation 1.Eye contact 9 Preparation 2 Recitation 10 Training 3 Information 11 Participation 4 Confidence 12 Points 5 Gesture 13 Script 6 Politely wearing 14 Diligent 7 Ambiguity 15 times 8 Characteristic
หวั ข้อรายงาน 1. การจดั การและรูปแบบกระบวนการสงั คม 2. นกั ทฤษฎีทางสังคม 3. ความหลากหลายทางวฒั นธรรมไทย 4. กระบวนการการจดั การทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ ม 5. ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 6. ภมู ิปัญญาทอ้ งถิ่น 7. การใชเ้ ทคโนโลยที ่ีเหมาะสมในทอ้ งถ่ิน 8. ขอ้ เสนอการพฒั นาประเทศเพอื่ ความย้งั ยนื ในอนาคต
นักศกึ ษาสร้างอาชพี ทาในช่วงเรียน
ปาฏหิ าริย์ ถา้ หลวง 13 ชีวติ จอห์น นักดานา้ องั กฤษ เกอื บไม่ได้เจอ ทมี หมูป่ า
กระบวนการคดิ อย่างมีเหตุผลเพอื่ ความสาเร็จ 1. การปฏิบตั ิตน เทคนิค แนวทางในการเรียน 2. การดาเนินชีวติ ในช่วงเรียนหนงั สือใหป้ ระสบความสาเร็จ 3. คุณธรรมใดที่นกั ศึกษาคิดวา่ นามาใชใ้ นการเรียน 4. Comparison การนามาเปรียบเทียบกบั แนวทางการเรียนของนกั ศึกษามี ความแตกตา่ งอยา่ งไร 5. การพฒั นาการเรียนของตนเองใหด้ ีข้ึนโดยไดร้ ับแนวคิดการเรียนคุณลดั ดาวรรณ 6. สรุปและขอ้ เสนอแนะ
ของเขตเนือ้ หาบทท่ี 1 1. ความนา 2. ความสาคญั 3. รูปแบบของกระบวนการทางสงั คม 4. การจดั ลาดบั ช่วงช้นั ทางสงั คม 5. รูปแบบการจดั ลาดบั ช่วงช้นั ทางสังคม 6. เกณฑใ์ นการจดั ชนช้นั ทางสงั คม 7. โครงสร้างทางสังคม 8. ขอ้ แตกต่างที่เด่นชดั ระหวา่ งสงั คมชนบทกบั สงั คมเมือง 9. การกีดกนั ทางชนช้นั 10. การจดั ระเบียบทางสงั คม 11. บทสรุป
การจัดการทางสังคม การจดั การทางสงั คมเป็นกระบวนการที่จดั ข้ึนเพ่ือควบคุมสมาชิกใหม้ ีความสมั พนั ธ์กนั ภายใตแ้ บบแผนและกฎเกณฑเ์ ดียวกนั เพอื่ ความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสงั คม การที่คนใน สงั คมมีความสมั พนั ธ์และโตต้ อบกนั เป็นสถาบนั และเช่ือมโยงกนั และโครงสร้างทางสงั คม ความสมั พนั ธ์ดงั กล่าวเป็นไปตามกฎเกณฑท์ ่ีสงั คมกาหนดโดยเป็นการจดั ระเบียบทางสงั คม
สงั คม สงั คมเป็นที่ที่มนุษยม์ าอาศยั อยรู่ ่วมกนั โดยมีขอบเขตหรือพ้นื ที่ที่กาหนดท่ีแน่นอน (Definite Territory ) มีความสมั พนั ธ์เกี่ยวขอ้ งกนั ในกลุ่ม มีความผกู ผนั ช่วยเหลือซ่ึงกนั และกนั มีความสนใจคลา้ ยๆกนั มีวิถีชีวิตร่วมกนั และมีความรู้สึกเป็นพวกเดียวกนั เช่น ขนบธรรมเนียมประเพณี วฒั นธรรม ทศั นคติ และคุณธรรมต่างๆ และถือวา่ ตนเป็นของสงั คม ดว้ ยกนั แมว้ า่ อาจจะเกิดความขดั แยง้ ในการอยรู่ ่วมกนั กต็ ามเพราะมนุษยม์ าจากสิ่งแวดลอ้ มท่ี แตกต่างความคิดเห็นจ่ึงต่างกนั ดงั น้นั การจดั การทางสงั คมจึงเป็นกระบวนการในการ แกป้ ัญหาที่จะก่อใหเ้ กิดการพฒั นาท่ีจะตอบสนองความตอ้ งการที่จะอยรู่ ่วมกนั
สังคมวทิ ยากบั จติ วิทยาทางสังคม จิตวทิ ยาทางสงั คม( Social Psychology ) ทาการศึกษาเกี่ยวกบั พฤติกรรมของบุคคลในสังคม กระบวนการทางจิตวทิ ยาต่างๆ บุคลิกภาพของบุคคล เพอื่ ที่จะเขา้ ใจถึงปัจจยั ต่างๆท่ีมีความสมั พนั ธ์และมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมทางสังคมของ บุคคลและสามารถพยากรณ์พฤติกรรมของมนุษยไ์ ดถ้ กู ตอ้ ง ดงั น้นั จิตวทิ ยาสังคมและ สังคมวทิ ยาตอ้ งพ่ึงพาอาศยั กนั จึงจะมีความรู้และเขา้ ใจมนุษยแ์ ละสังคมมนุษยไ์ ดอ้ ยา่ ง ถกู ตอ้ งและอยา่ งกวา้ งขวาง
พฤตกิ รรม สงั คมแต่ละคนมีความสมั พนั ธแ์ ละมีการกระทาต่อกนั สามารถคาดคะเนพฤติกรรมที่ แสดงออกมาและเขา้ ใจพฤติกรรมต่อกนั เป็นอยา่ งดี ทาใหเ้ กิดการยอมรับในการอยรู่ ่วมกนั พฤติกรรม ( Human Behavior ) หมายถึง การกระทาต่างๆของบุคคลหรือของ มนุษย์ ท้งั ในส่วนท่ีมองเห็น เช่น การกิน การเดิน การพดู การนงั่ หรือส่วนที่มองไม่มอง ไม่เห็น เช่น การคิด การจินตนา การฝัน แรงจูงใจ อารมณ์ ความตอ้ งการ เป็นตน้
ความหมายของ “สังคม” ประสาท หลกั ศิลา กลา่ วา่ สังคม คือ การที่มนุษยพ์ วกหน่ึงๆ ที่มีอะไรส่วนใหญ่เหมือน หรือคลา้ ยคลึงกนั เช่น ทศั นคติ คุณธรรม ธรรมเนียมประเพณี ไดม้ าอยรู่ ่วมกนั ดว้ ย ความรู้สึกเป็นพวกเดียวกนั มีความสัมพนั ธ์กนั มาอยใู่ นเขตเดียวกนั อยา่ งถาวร จากความหมายที่กลา่ วมาแลว้ อาจสรุปไดว้ า่ “สังคม” หมายถึง การอยรู่ วมกนั เป็นกลุม่ ของมนุษย์ ภายในอาณาบริเวณท่ีแน่นอน ในระยะเวลานานพอสมควรจนเกิดระเบียบ แบบแผนของความสัมพนั ธ์ระหวา่ งกนั ข้ึน มีความผกู พนั พ่งึ พาอาศยั กนั และมีวถิ ีชีวติ ร่วมกนั ”
การจัดระเบยี บทางสังคม มีมนุษยม์ ีความเป็นธรรมชาติอยเู่ ดิมซ่ึงจะมีการกดขี่ขมเหงซ่ึงกนั และกนั โดยผทู้ ี่มี เหนือกวา่ โดยธรรมชาติมกั จะเอาเปรียบคนท่ีดอ้ ยกวา่ เสมอการจดั ระเบียบทางสงั คมจึงเกิด จากความตอ้ งการของมนุษยน์ ้นั เอง การจดั ระเบียบทางสงั คมถือวา่ เป็นวฒั นธรรมท่ีสาคญั ท่ีสุดของสงั คมมนุษย์ มนุษย์ จาเป็นตอ้ งอยใู่ นสงั คมท่ีเกิดการพ่งึ พึงอาศยั กนั จึงหลีกเลี่ยงการปฏิสมั พนั ธก์ นั ไม่ได้ ในขณะท่ีมนุษยม์ ีความแตกต่างกนั มีตวั ตนแตกต่างกนั และมีความตอ้ งการไม่เหมือนกนั สงั คมจึงตอ้ งมีการจดั ระเบียบ
การจัดระเบยี บสังคมมีองค์ประกอบท่สี าคญั 1. บรรทดั ฐานทางสังคม 2. สถานภาพและบทบาท 3. การจดั ลาดบั ช้นั ทางสงั คม 4. การควบคุมทางสงั คม 5. คา่ นิยม 6. ความเชื่อ
องค์ประกอบของการจดั ระเบยี บสังคม 1.วิถีประชา หรือ วิถีชาวบ้าน (Folkways) หมายถึง รูปแบบหรือแบบแผนในการ ดาเนินชีวิตซ่ึงปฏิบตั ิตามความเคยชินและเป็ นท่ียอมรับในสังคม เช่น การลุกให้ คนชรานงั่ ในรถประจาทาง มารยาทในสังคม การรับประทานอาหาร การแต่งกาย การ ต่อแถวเขา้ คิว ผูท้ ่ีละเลยไม่ปฏิบัติตามแนวทางดงั กล่าวจะได้รับการตาหนิติเตียน หัวเราะเยอะเยย้ การนินทาจากผอู้ ื่น ทาให้สมาชิกตอ้ งปฏิบตั ิตาม สายตาจอ้ งมอง วิถี ประชาไม่มีนยั ทางศีลธรรม
ตวั อย่างวถิ ีประชาในสังคม
2.กฎศีลธรรม หรือ จารีต (Morals) หมายถึง กฎที่สงั คมสร้างข้ึนเพอ่ื ใชใ้ น การกาหนดวา่ การกระทาใดคือการกระทาท่ีดีและการกระทาคือการกระทาที่ ไม่ดีมีความสาคญั มากกวา่ วิถีประชา หากผใู้ ดฝ่ าฝืนจะถูกสงั คมประณามอยา่ ง รุนแรง เช่น การทางานดว้ ยความรับผดิ ชอบซ่ือสตั ยส์ ุจริต การไม่ละหมาด การ ไม่ใส่ผา้ คลุมสาหรับสตรีมุสลิม การขโมยของผอู้ ่ืน ฆ่าคน ข่มขืน เป็นตน้
3.กฎหมาย (Laws) ขอ้ บงั คบั ท่ีสร้างข้ึนมาเพือ่ ใชใ้ นการควบคุมพฤติกรรมของสมาชิก ภายในใหป้ ฏิบตั ิตามกฎเกณฑเ์ พื่อเป็นพลเมืองที่ดีและอยรู่ ่วมกนั อยา่ งมีความสุข ไดแ้ ก่ ระเบียบ ขอ้ บงั คบั พระราชกาหนด พระราชกฤษฎีกา และพระราชบญั ญตั ิ เป็นตน้ ผทู้ ่ี ฝ่ าฝืนหรือไม่ปฏิบตั ิกฎหมายของบา้ นเมืองผนู้ ้นั กจ็ ะถกู ลงโทษตามกฎหมาย เช่น เสีย คา่ ปรับ กกั ขงั จาคุก และประหารชีวติ
4 การควบคุมทางสงั คม( Social Coltrol ) กระบวนการต่างๆทางสงั คมที่มุงหมายใหส้ มาชิก ของสงั คมยอมรับและปฏิบตั ิตามบรรทดั ฐานและระเบียบที่สงั คมกาหนด 1. การควบคุมสงั คมดว้ ยการจูงใจ 2. การควบคุมสงั คมโดยการลงโทษ
การควบคุมทางสังคม (Social control) 1) Control Through Belief 2) Control by Social Suggestion 3) Control by Religion 4) Control by Social Ideals 5) Ritual Control 6) Control by Arts 7) Control Through Leadership 8) Social Control Through Law and Administration) 9) Control Through Morals
ค่านิยม หมายถึง ความคิด พฤติกรรม และส่ิงต่างๆท่ีคนในสงั คมเห็นวา่ มีคุณค่า จึงยดึ ถือ เป็นหลกั ประจาใจในการปฏิบตั ิ ความเช่ือ คือ การท่ีบุคคลยอมรับส่ิงใดส่ิงหน่ึงเป็นความจริง เป็นส่ิงท่ีใหค้ วามไวว้ างไวใ้ จ ความเชื่ออาจไม่ตอ้ งการเหตุผลมาอธิบายหรือการนาหลกั วิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ เช่น ความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ โชคลาง ผสี าง เทวดา
กระบวนการขัดเกลาทางสังคม ความหมายของการขดั เกลาทางสังคม พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน (2532 : 370-371) ไดใ้ หค้ วามหมายของคาวา่ Socialization ไวว้ า่ หมายถึง กระบวนการทางสงั คมกบั จิตวทิ ยา ซ่ึงมีผลทาใหบ้ ุคคลมี บุคลิกภาพตามแนวทางที่สงั คมตอ้ งการ เดก็ ท่ีเกิดมาจะตอ้ งไดร้ ับการอบรมสง่ั สอนให้ มีความเป็นคนโดยแทจ้ ริง สามารถอยรู่ ่วมและมีความสมั พนั ธก์ บั คนอ่ืนไดอ้ ยา่ ง ราบรื่น กระบวนการขดั เกลาทางสงั คมจะเริ่มตน้ ต้งั แต่บุคคลถือกาเนิดมาในโลก พทั ยา สายหู (2544 : 107) กล่าววา่ การอบรมใหร้ ู้ระเบียบคือกระบวนการท่ีสงั คมหรือ กลุ่มสงั่ สอนโดยตรงหรือทางออ้ ม ใหผ้ ทู้ ี่จะเป็นสมาชิกของกลุ่มไดเ้ รียนรู้และรับเอา ระเบียบวิธีกฎเกณฑค์ วามประพฤติและคุณค่าต่าง ๆ ที่กลุ่มน้นั ไดก้ าหนดไวเ้ ป็น ระเบียบของความประพฤติและความสมั พนั ธข์ องสมาชิกของสงั คมน้นั
จุดมุ่งหมายการขัดเกลาทางสังคม 1. เพอ่ื ปลูกฝังระเบียบวินยั แก่สมาชิกในสงั คม 2. เพอ่ื ปลูกฝังความมุ่งหวงั ท่ีสงั คมยกยอ่ ง 3. เพ่อื ใหส้ มาชิกในสงั คมในสงั คมรู้จกบทบาทและหนา้ ท่ีของตน 4. เพือ่ ใหส้ มาชิกเกิดความชานาญและเพิ่มในการทากิจกรรมร่วมกบั ผอู้ ่ืน
องค์กรท่ใี ห้การขัดเกลาทางสังคม 1. ครอบครัว 2. กลุ่มเพ่อื น 3. โรงเรียน 4. องคก์ รศาสนา 5. ส่ือมวลชน 6. หนงั สือ วารสาร นิตยาสาร ภาพยนตร์ 7. ส่ือเลก็ โทรนิกส์
สถานภาพ (Status) ความหมายสถานภาพ (Status) เป็นตาแหน่งหรือฐานะที่ไดจ้ ากการเป็นสมาชิก ของกลุ่มหรือสงั คม สถานภาพคือ ตาแหน่งในสงั คม คนจะประพฤติตามสถานภาพของตวั เมื่ออยกู่ บั เพือ่ น พฤติกรรมท่ีแสดงมาจะมีลกั ษณะไม่เป็นทางการ แต่เม่ือคุยกบั อาจารยจ์ ะเป็น ทางการมาก
ประเภทของสถานภาพทางสังคม ประเภทของสถานภาพ ในทางสังคมศาสตร์จาแนกสถานภาพออกเป็ น 2 ประเภท คอื 1.สถานภาพท่ีติดตวั มาโดยสังคมเป็ นผูก้ าหนด (Ascribed status) ได้แก่ สถานภาพทางญาติกนั ทางเพศ อายุ ทางเช้ือชาติ และถ่ินกาเนิด เช่น เด็กชาย เดก็ หญิง วงศต์ ระกลู ลูกหลาน นอ้ งสาว ฯลฯ 2. สถานภาพที่ไดม้ าโดยความสามารถ (Achieved status ) การได้รับ จากการกระทาเพิ่มเติมจากสถานภาพเดิม ได้แก่ สถานภาพจากการศึกษา การประกอบ อาชีพ จากบิดามารดา หรือจากการสมรส เช่น เป็นพ่ี นกั เรียน นกั กีฬา นกั ร้อง ทหาร ครู นกั ธุรกิจ นายกรัฐมนตรี ฯลฯ
สถานภาพโดยกาเนิด 1. สถานภาพทางวงศาคณาญาติ (Kinship status) คือ บุคคลยอ่ มมีความผกู พนั กบั ครอบครัว เช่น เป็นลูกของพอ่ แม่ เป็นพี่ของนอ้ ง เป็นตน้ 2. สถานภาพทางเพศ (Sex status) คือ บุคคลเกิดมาเป็นเพศใด เป็นชายหรือหญิง บุคคล น้นั กจ็ ะยอ่ มไดร้ ับสถานภาพทางเพศ ซ่ึงยอ่ มมีบทบาท (สิทธิหนา้ ที่)ที่ต่างกนั 3. สถานภาพทางอายุ (Age status) คือ บุคคลไดร้ ับสถานภาพตามเกณฑอ์ ายขุ องตน เช่น กฎหมายไทยบญั ญตั ิไวว้ า่ ชายและหญิงจะบรรลุนิติภาวะเม่ืออายคุ รบ 20 ปี บริบูรณ์ เพราะฉะน้นั สิทธิและหนา้ ที่ของบุคคลท่ีบรรลุนิติภาวะแลว้ กบั บุคคลที่ยงั ไม่บรรลุนิติภาวะยอ่ มแตกต่างกนั 4. สถานภาพทางเช้ือชาติ (Race status) คือ บุคคลท่ีเกิดมาจากชาติใดกม็ ีสถานภาพตาม บรรทดั ฐานของเช้ือชาติน้นั ๆ เช่น เช้ือชาติไทยและเช้ือชาติจีน เป็นตน้ 5. สถานภาพทางทอ้ งถ่ิน (Regional status) คือ บุคคลที่เกิดมาใน ถิ่นฐานใด เช่น คน ท่ีเกิดทางภาคเหนือของไทยกไ็ ดร้ ับสถานภาพเป็นคนเหนือ เกิดที่ภาคใตก้ ็ ไดร้ ับสถานภาพเป็นคน ใต้ เป็นตน้ 6. สถานภาพทางชนช้นั (Class status) บุคคลท่ีเกิดมาจากครอบครัวของชนช้นั สูง คือ มี ฐานะดี ยอ่ มไดร้ ับการศึกษาสูงอีกดว้ ย และไดร้ ับสถานภาพเป็นชนช้นั สูง
สถานภาพประเภทน้ีเป็นสถานภาพท่ีไดม้ าภายหลงั อนั เป็นผลสืบเน่ืองมาจากความสาเร็จของ การกระทาของตน ดงั จะอธิบาย ดงั ต่อไปน้ี 1. สถานภาพทางสมรส (Marital status) คือ บุคคลจะไดร้ ับสถานภาพของความเป็น สามี – ภรรยาภายหลงั ที่ไดท้ าการสมรสแลว้ 2. สถานภาพทางบิดามารดา (Parental status) บุคคลจะไดร้ ับ สถานภาพของความ เป็นบิดา – มารดา กต็ ่อเมื่อบุคคลน้นั ๆ มีบุตร 3. สถานภาพทางการศึกษา (Educational status) บุคคลท่ีไดร้ ับ การศึกษาสูง ๆ เช่น ในช้นั อุดมศึกษา ยอ่ มไดร้ ับสถานภาพทางการศึกษาตามวฒุ ิท่ีตน ไดม้ า เช่น เป็นบณั ฑิต เป็น มหาบณั ฑิต หรือ ดุษฎีบณั ฑิต 4. สถานภาพทางอาชีพ (Occupational status) สังคมประชาธิปไตยเปิ ดโอกาสให้ บุคคลไดม้ ีโอกาสแข่งขนั กนั ในดา้ นความสามารถเกี่ยวกบั การประกอบอาชีพ บุคคลยอ่ มไดร้ ับ สถานภาพตามประเภทอาชีพ เช่น ช่างฝีมือ ความเป็นหมอ 5. สถานภาพทางการเมือง (Political status) บุคคลท่ีสนใจและอยใู่ นวงการเมือง ยอ่ ม ไดร้ ับสถานภาพทางการเมือง เช่น เป็นสมาชิกของพรรค
บทบาท (Role) บทบาท หมายถึง การปฏิบตั ิตามหน้าที่และการแสดงพฤติกรรม ตามสถานภาพ สถานภาพและบทบาทเป็ นสิ่งท่ีมีความสัมพันธ์กัน สถานภาพเป็นตวั กาหนดบุคคลใหร้ ู้จกั หนา้ ท่ีและความรับผดิ ชอบ บทบาท เป็ นตวั กาหนดพฤติกรรมและคาดหมายให้บุคคลกระทา การท่ีบุคคลมี หลายสถานภาพอาจเกิดบทบาทท่ีขัดกัน (roles conflicts) หมายถึง การท่ีคนคนหน่ึงมีบทบาทหลายอย่างในเวลาเดียวกนั และขดั กนั เองทาใหย้ ากต่อการปฏิบตั ิตามบทบาทใดบทบาทหน่ึง เช่น นาย ก เป็น อาจารย์ ข เป็นลูกที่มาเรียนหนงั สือกบั นาย
รูปแบบของกระบวนการทางสังคม รูปแบบของกระบวนการทางสงั คมที่ปรากฏในสงั คมมีอย6ู่ ลกั ษณะ(จรัญพรหมอยู่ ,2548:53) คือ 1. การแข่งขนั 2. ความขดั แยง้ 3. การสมานลกั ษณ์ 4. การกลืนกลาย 5. การร่วมมือ
1.การแข่งขนั หมายความถึงการท่ีบุคคลสองฝ่ ายหรือมากกวา่ น้นั ดิ้นรนสู่เป้ าหมาย เดียวกนั โดยแต่ละฝ่ ายไม่คาดคิดท่ีจะใหอ้ ีกฝ่ ายหน่ึงหรือผอู้ ื่นไดส้ ่วนแบ่งในสิ่งน้นั ๆ ดว้ ย สาเหตุที่สาคญั คือ ส่ิงท่ีจะสนองความตอ้ งการมีอยจู่ ากดั การแข่งขนั จึงเป็นสิ่งจาเป็นท่ีตอ้ ง เกิดข้ึนอยเู่ สมอ 2.ความขดั แยง้ เม่ือการแข่งขนั มีความรุนแรงมากข้ึน ผลประโยชนก์ ข็ ดั กนั มาก เพราะต่างกม็ ุ่งสู่เป้ าหมายอนั เดียวกนั อาจจะถึงข้นั ต่างฝ่ ายต่างมุ่งทาลายลา้ งกนั หรือทาลาย ลา้ งกนั จนถึงตาย 3.การสมานลกั ษณ์ เป็นกระบวนการที่บุคคลแมจ้ ะมีความแตกต่างกนั ในทศั นคติ ความเชื่อ ประเพณี หรือผลประโยชน์ มาประนีประนอมปรับตวั เขา้ หากนั
4.การกลืนกลาย เป็นกระบวนการท่ีผสมปสานกลมกลืนของบุคคลและกลุ่มในเร่ืองทศั นคติ ความทรงจา ความรู้สึก ความเช่ือ ประเพณี วฒั นธรรม โดยมีประสบการณ์ร่วมกนั เป็น ระยะเวลาอนั ยาวนานพอสมควรท่ีจะทาใหเ้ กิดการรับพฤติกรรมน้นั มาใชใ้ นการดารงชีวิต 5.การร่วมมือ เป็นกระบวนการทางสงั คมท่ีกลุ่มตกลงที่จะกระทากิจกรรมร่วมกนั โดยทาให้ เกิดการมีส่วนร่วมในกลุ่มท่ีจะดาเนินงานดงั กล่าวเพื่อสนองความตอ้ งการดงั กล่าว
การจดั ลาดบั ช่วงชนั ้ ทางสงั คม Social Stratification มนุษยม์ ีความแตกต่างกนั เป็นธรรมชาติ เน่ืองจากมนุษยท์ ุกคนมีธรรมชาติหรือแรงจูงใจท่ี ไม่อยากเหมือนกบั ผอู้ ื่น เห็นผอู้ ่ืนเหนือกวา่ ตนไม่ไดไ้ ม่อยากใหผ้ อู้ ่ืนมีอานาจเหนือกวา่ ตนเอง สงั คมกจ็ ะเกิดการแบ่งกลุ่มๆหรือเป็นพวกๆหลายแบบหลายประเภท หลายขนาด หลายช้นั กลุ่มที่แตกต่างน้ีเราเรียกวา่ ช่วงช้นั ทางสงั คม
ไพฑูรย์ เครือแกว้ การจดั ลาดบั ช่วงช้นั ทางสงั คม หมายถึง การท่ีบุคคลในสงั คมได้ ถูกจดั แบ่งเป็นช้นั ๆ โดยมีระบบสังคมของอนั ดบั ช้ีใหเ้ ห็นวา่ คนท่ีอยใู่ นตาแหน่งหรือฐานะ น้นั ๆ มีเกียรติหรือไดร้ ับการยกยอ่ งอยใู่ นอนั ดบั ท่ีสูงกวา่ เท่ากนั หรือต่ากวา่ บุคคลหรือกลุ่ม บุคคลที่ อยใู่ นฐานะอื่น ๆ ในสงั คมเดียวกนั ช้นั ของบุคคลแสดงใหเ้ ห็นถึงความแตกต่างของ บุคคลหรือของกลุ่มบุคคลท่ีอยใู่ นสงั คม บุคคลที่มีฐานะทางสงั คมคนละช้นั จะมีความเท่า เทียมกนั ในสิทธิหนา้ ที่ ความรับผดิ ชอบ อานาจ อิทธิพล แบบแผนชีวิต ตลอดจนความ สะดวกสบาย ความมีหนา้ ที่ตาแหน่งในสงั คมแตกต่างกนั
รูปแบบของการจดั ลาดบั ช่วงชัน้ ทางสังคม การจดั ลาดบั ชนช้นั ทางสังคมเป็ นระบบซ่ึงใชแ้ บ่งแยกระดบั ความแตกต่างของ ตาแหน่งของแต่ละบุคคล ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงระดบั ของคนในแต่ละสงั คม แต่ละบุคคล แต่ละกลุ่ม การจดั ลาดบั ชนช้นั ทางสงั คม แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1) วรรณะ (Caste) 2) ฐานนั ดร (Estate) 3) ชนช้นั (Class)
1) วรรณะ เป็นระบบการจดั ลาดบั ช่วงช้นั ทางสังคม โดยเนน้ ถึงความสัมพนั ธ์ของสถานภาพ ซ่ึงจากดั บุคคลท่ีจะ ใหไ้ ดร้ ับสถานภาพสูงข้ึนกวา่ เม่ือเขาเกิดระบบวรรณะเป็นระบบช่วงช้นั ซ่ึงมีรูปแบบที่แน่นอน 2) ฐานันดร เป็ นระบบการแบ่งช่วงช้นั ซ่ึงเขม้ งวดน้อยกว่าวรรณะ แต่ก็ยงั เกี่ยวขอ้ งกบั ประเพณีและความไม่ เปลี่ยนแปลง ซ่ึงข้ึนอยู่กบั ความสัมพนั ธ์ของบุคคลต่อที่ดิน การเขยิบฐานะเป็ นไปไดแ้ ละมีศาสนาค้าจุนเหมือน ระบบวรรณะ ระบบฐานันดรเป็ นระบบที่มีกฎหมายกาหนดสิทธิหน้าท่ีของคนแตกต่างกนั ไป เช่น พวกขุนนาง และพระ มีอภิสิทธิมาก ชาวนาตอ้ งแบกภาระหนา้ ที่หนกั ฐานนั ดรมีใชก้ นั ต้งั แต่สมยั กลางของ ยุโรป เดิมมีเพียง สองฐานนั ดร ไดแ้ ก่ ฐานนั ดรนกั บวชและฐานนั ดรขนุ นาง ต่อมามี เพมิ่ ข้ึนอีก เช่น ฐานนั ดรพอ่ คา้ สามญั ชน 3) ชนช้ัน เป็นระบบท่ีมีอยใู่ นสงั คมอตุ สาหกรรมสมยั ใหม่ ท้งั น้ี เพราะกฎเกณฑใ์ นการแบ่งชนช้นั น้นั มีแนวโนม้ เป็นกฎเกณฑใ์ นทางเศรษฐกิจมากกวา่ กฎเกณฑใ์ นดา้ นอื่น ๆ อน่ึง บางสังคมน้นั ความมน่ั คงทางเศรษฐกิจเป็นส่ิง เดียวท่ีสังคมใชเ้ ป็นมาตรฐาน ในการจดั และกาหนดช้นั ระหวา่ งบุคคล
วรรณะ
ชนชัน้ ทาง Stratification สังคมแบ่งเกณฑ์ได้ดังนี้ พิจาณาการแยกความแตกต่าง Differentiation ซ่ึงดูจากความผกู ผนั กนั ในครอบครัว ความมง่ั คง่ั อาชีพ การศึกษา พจิ ารณาระดบั หรือช้นั ของสมาชิกที่ไดม้ าดว้ ยความสามารถและไดร้ ับ พิจารณาจากโอกาสของการเคล่ือนไหวหรือเล่ือนช้นั ภายในช้นั หรือระหวา่ งช้นั ที่ ก่อใหเ้ กิดระบบวรรณะ ช้นั ฐานนั ดรดรศกั ด์ิ
เกณฑ์ในการจัดชนชัน้ ทางสังคม 1) ครอบครัวหรือตระกลู 2) ทรัพยส์ มบตั ิและรายได้ 3) ภมู ิลาเนา ภมู ิลาเนาหรือท่ีอยอู่ าศยั ของคนในสงั คมน้นั 4) ระยะเวลาที่พานกั อาศยั อยู่ 5) อาชีพ 6) การศึกษา 7) ศาสนา
การกีดกนั ทางชนชัน้ ในสงั คมหน่ึงๆ น้นั จะประกอบข้ึนดว้ ยหลายชนช้นั เช่น คนมีและคนจน นายจา้ ง และลกู จา้ ง เป็นตน้ ซ่ึงบุคคลในแต่ละชนช้นั ยอ่ มมีแบบการดาเนินชีวติ ที่แตกต่างกนั ขอ ยกตวั อยา่ งเช่น คนมีเงินนง่ั รถเก๋ง เล่นกอลฟ์ และแต่งกายหรูหรา ส่วนคนจนเดินถนน โหน รถเมล์ และแต่งกายดว้ ยเส้ือผา้ ราคาถูก เหล่าน้ีเป็นตน้ เพราะฉะน้นั จึงเห็นไดว้ า่ “ชนช้นั ” มี ส่วนสาคญั ในการบ่งช้ีชะตาชีวิตของบุคคลในดา้ นต่างๆ นบั ต้งั แต่ถ่ินที่อยอู่ าศยั สถานศึกษา ระดบั การศึกษา การประกอบอาชีพ การสมรส และ ฯลฯ หรือกล่าวอีกนยั หน่ึงวา่ ชนช้นั สูง ยอ่ มมีโอกาสในการเลือกแบบการดาเนินชีวิตในดา้ นต่างๆ ไดม้ ากกวา่ และดีกวา่ ชนช้นั ที่ต่า กวา่
โครงสร้ างทางสังคม โครงสร้างทางสงั คม หมายถึง ความสมั พนั ธ์ที่สมาชิกของสงั คมมีต่อกนั ในฐานะ อยรู่ ่วมสงั คมเดียวกนั มีการกระทาระหวา่ งกนั ท้งั ทางตรงและทางออ้ ม ตอ้ งพ่ึงพาอาศยั กนั และกนั และมีส่วนไดเ้ สียในการกระทาของกนั เละกนั ลกั ษณะเด่นของความสมั พนั ธ์ทาง สงั คมกค็ ือความเป็นระเบียบ เช่น สถาบนั ชนช้นั สถาบนั กลุ่มสงั คม บทบาท และบรรทดั ฐาน
โครงสร้างทางสังคม แบ่งออกเป็ น 2 ส่วนคือ สังคมชนบท จดั ว่าเป็ นโครงสร้างท่ีสาคญั ที่สุดของสังคมไทย เพราะเท่ากบั เป็ นโครงสร้าง ของสังคมไทยท้งั หมด สังคมชนบท ไดแ้ ก่ การร่วมกลุ่มแบบอรูปนยั ของกลุ่มปฐมภูมิ มี การติดต่อกนั แบบตวั ถึงตวั สภาพแวดลอ้ มของท้องถิ่นและวฒั นธรรมท่ีมีอยู่เดิมซ่ึง คลา้ ยคลึงกนั ทาให้สถานภาพและบทบาทของคนในสังคมชนบทไม่แตกต่างกนั มาก มี การรวมตวั กนั อยา่ งเหนียวแน่น และมีคา่ นิยมในเร่ืองคุณความดีทางศาสนาเป็นตวั ควบคุม ความประพฤติทางสังคมของชนบทหรือที่เราเรียกกนั วา่ จารีตนน่ั เอง
สังคมชนบท
ลักษณะท่วั ไปของสังคมชนบท สงั คมไทยเป็นสังคมเกษตรเพราะประชากรส่วนใหญ่ของประเทศประกอบอาชีพทางการเกษตร ดงั น้นั สงั คมชนบทจึงจดั ไดว้ า่ เป็นโครงสร้างท่ีสาคญั ท่ีสุดของสังคมไทย ลกั ษณะทวั่ ไปของสังคมชนบทจะมี ลกั ษณะ ดงั น้ี (1) ครอบครัวเป็นหน่วยสาคญั ของเศรษฐกิจ เป็นท้งั หน่วยการผลิตและหน่วยบริโภค สิ่งของเคร่ืองใช้ และอาหารจะผลิตข้ึนใชเ้ อง และยงั มีดภาระหนา้ ที่อื่น ๆ เช่น ถา่ ยทอดความรู้ทางอาชีพ อบรมส่งั สอนเรื่อง คุณธรรมใหแ้ ก่สมาชิกในครอบครัว เป็นตน้ (2) สมาชิกของครอบครัวมีความสัมพนั ธ์กนั อยา่ งแน่นแฟ้ น สมาชิกในชุมชนจะใหค้ วามสาคญั ในเร่ือง ความเป็นมิตรต่อเพือ่ นบา้ น มีการติดต่อกนั แบบเป็นกนั เอง เอ้ือเฟ้ื อและจริงใจต่อกนั (3) ลกั ษณะของครอบครัวเป็นแบบครอบครัวขยาย สมาชิกประกอบดว้ ยหลาย ๆ ครอบครัว ซ่ึงเป็น เครือญาติกนั มาอยรู่ วมในครัวเรือนเดียวกนั หรือบริเวณใกลเ้ คียงกนั (4) วดั เป็นสถานที่สาคญั ในการประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ทางศาสนาเป็นแหลง่ สาคญั ในการใหก้ ารศึกษา และอบรมบ่มนิสยั แก่ประชาชน ค่านิยมในเรื่องคุณความดีทางศาสนาเป็นตวั ควบคุมความประพฤติของคนใน ชุมชน
Search