Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นานาความรู้ คู่มือการเรียนวิชาภาษาไทย ๓

นานาความรู้ คู่มือการเรียนวิชาภาษาไทย ๓

Published by Anawin090641, 2021-05-29 16:45:51

Description: นานาความรู้ คู่มือการเรียนวิชาภาษาไทย ๓

Search

Read the Text Version

๕๑เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ ข้ันตอนการฝกึ เขยี นเรยี งความ ขั้นตอนการเขยี นเรียงความมี ๕ ขัน้ ตอนสาคญั ดงั น้ี ๑. ขั้นกาหนดหัวข้อเรื่อง หัวข้อเร่ืองในการเขียนเรียงความมี ๒ ลักษณะสาคัญ คือหัวข้อเร่ือง ท่ีกาหนดมาให้กับหัวข้อเร่ืองท่ีให้นักเรียนเลือกเอง ในกรณีที่ให้เลือกเองนักเรียนควรใช้หลักในการพิจารณา หัวข้อเร่ือง ดงั น้ี ๑.๑ เปน็ เรือ่ งที่แปลกใหม่ และมเี นื้อหานา่ สนใจ ๑.๒ เป็นเรือ่ งที่ผู้เขยี นถนัดหรอื มคี วามสนใจ ๑.๓ เป็นเรอ่ื งทเ่ี หมาะสมกับความรหู้ รือประสบการณข์ องผู้เขยี น ๑.๔ เปน็ เรื่องท่ีผเู้ ขียนสามารถคน้ คว้าหาข้อมลู ประกอบการเขียนได้ ๒. ขั้นกาหนดขอบเขตเรื่อง การกาหนดขอบเขตเร่ืองมีความเกี่ยวเน่ืองกับจานวนเน้ือหาท่ีเขียน เพราะบางคร้ังขอบเขตเน้ือหาของเรื่องกว้างเกินไป อาจไม่พอเหมาะกับจานวนหน้ากระดาษท่ีเขียน หรอื บางคร้งั อาจทาให้เนอ้ื เรื่องขยายกวา้ ง ขาดความชัดเจนจนไม่ทราบจุดมุ่งหมายทแี่ น่ชดั ๓. ขั้นหาข้อมูลเพิ่มเติม เม่ือได้หัวข้อเรื่องและกาหนดขอบเขตชัดเจนแล้ว ก่อนลงมือเขียนนักเรียน ต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อความถูกต้องของเน้ือหา นอกจากน้ันยังมีส่วนช่วยในการวางโครงเร่ืองด้วย เพราะข้อมูลบางอย่างอาจไม่มีตรงตามที่นักเรียนคิด ดังนั้นจึงไม่อาจจัดใส่ไว้ในส่วนโครงเรื่องได้ การหาข้อมูล อาจกระทาได้ ดังน้ี ๓.๑ จากการศึกษาค้นคว้าเอกสารท่ีเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นตารา บทความจากหนังสือพิมพ์ หรือนิตยสาร วารสาร หนงั สอื คู่มือต่าง ๆ เป็นตน้ ๓.๒ จากการสัมภาษณห์ รือสอบถามผ้รู ู้ ๓.๓ จากการสงั เกตและเฝ้าตดิ ตามขอ้ มูล ๔. ขั้นวางโครงเรื่อง โครงเรื่องคือการเรียงลาดับความคิดว่าจะกล่าวถึงเน้ือหาใดก่อนหลัง ช่วยให้การเรียงลาดับเนื้อหาของเรื่องเป็นไปตามลาดับ ไม่สับสน และได้ใจความครบถ้วน ถือเป็นประเด็น สาคัญทไ่ี ม่อาจจะหลีกเลย่ี งได้ การเขยี นโครงเรื่องอาจกระทาได้ ๒ วิธีคอื เขียนโครงเรอื่ งกอ่ นท่ีจะหาข้อมลู หรอื เขยี นโครงเร่อื งหลงั หาข้อมูลแล้ว ซึ่งการเขียนโครงเรือ่ งก่อนที่จะหา ข้อมูลอาจตอ้ งปรับแก้โครงเร่ืองบางตอน ในกรณที หี่ าข้อมูลไม่พบตามท่ีต้องการ ๕. ข้ันลงมือเขียน การลงมือเขียนควรเขียนตามโครงเรื่องและตามข้อมูลท่ีหามาได้ ควรระมัดระวัง ในเร่ืองของการใช้ภาษา การเขียนให้ตรงประเด็น การเขียนให้ได้ใจความครบถ้วน และการจัดแบ่งสัดส่วน ของเน้ือหาอย่างเหมาะสม

๕๒เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ องค์ประกอบย่อหน้า ย่อหน้าที่ดมี ลี กั ษณะสาคญั ๔ ประการ คือ ๑. ความสมบูรณ์ ในแต่ละย่อหน้า โดยต้องเขียนให้มีจุดหมาย เน้ือหา สาระสาคัญ รายละเอียด ส่วนขยายชัดเจน ไม่ออกนอกเรื่อง ไม่ยกตัวอย่างมากจนเกินความจาเป็น และเมื่ออ่านจบแล้วต้องได้ ความบรบิ รู ณเ์ หมือนอา่ นเรียงความสั้นเพียง ๑ เร่อื ง เพราะยอ่ หนา้ กค็ อื ความเรยี งอยา่ งย่อเรื่องหน่งึ ๒. เอกภาพ หมายถึงข้อความแต่ละย่อหน้า จะต้องเขียนให้มีความคิดหรือใจความสาคัญ เพยี งประการเดยี ว ไม่เปล่ยี นความคิดหรอื จุดมงุ่ หมายเป็นหลายอยา่ งในยอ่ หนา้ เดยี ว ๓. สัมพันธภาพ หมายถึงการเรียบเรียงข้อความในย่อหน้าให้เกี่ยวโยงต่อเน่ืองกัน เกิดความสัมพันธ์ เมอ่ื อ่านแลว้ สละสลวยร่นื หู ทาใหแ้ นวความคดิ ตดิ ต่อกนั ผู้อ่านสามารถตดิ ตามได้งา่ ย ๔. สารัตถภาพ หมายถึงการเน้นย้าใจความสาคัญ กล่าวถึงเร่ืองใดเร่ืองหน่ึงอย่างได้เน้ือหาสาระ ไดใ้ จความท่ีชดั เจนเพยี งพอ การเน้นย้าใจความสาคัญอาจทาไดโ้ ดยการวางตาแหน่งของประโยคใจความสาคัญ ไวต้ อนตน้ ยอ่ หนา้ หรอื ท้ายยอ่ หนา้ ทัง้ น้ีเพราะผู้อา่ นมักจะใหค้ วามสนใจกับประโยคเรม่ิ ต้นหรือประโยคลงท้าย การวางโครงเรื่อง ๑. ขน้ั ระดมความคดิ : การรวบรวมแนวคิดเกี่ยวกบั เรือ่ งท่ีจะเขียน ๒. ข้ันเลือกสรรและจดั หมวดหมคู่ วามคดิ : เลือกประเดน็ ทส่ี าคัญ เพือ่ ไม่ให้ขอบเขตของเร่ืองกวา้ งเกินไป ๓. ข้นั จัดลาดับความคิด : นาประเด็นทเ่ี ลอื กไว้มาเรียงลาดับ ตามลาดบั ความคดิ ตามเวลาหรือเหตกุ ารณ์ หรือตามเหตุผล ๔. วางแผนการเขยี นคานาและสรุป ๕. วางแผนการใช้ถ้อยคา

ความรพู้ นื ฐานการฟงและการดู หนา้ ๕๔ ความรพู้ นื ฐานการพูด หนา้ ๕๙ การพูดสรปุ ความจากเรอื งทีฟงและดู หนา้ ๖๗ การพูดวเิ คราะหแ์ ละวจิ ารณจ์ ากเรอื งทีฟงและดู หนา้ ๖๘ การพูดในโอกาสต่าง ๆ หน้า ๗๐

๕๔เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ ความรู้พ้นื ฐานการฟงั และการดู การฟังและการดู หมายถึงการท่ีมนุษย์รับรู้เร่ืองราวต่าง ๆ จากแหล่งของเสียงหรือภาพ หรือเหตุการณ์ ซ่ึงเป็นการฟังจากผู้พูดโดยตรงหรือฟังและดูผ่านอุปกรณ์ หรือส่ิงต่าง ๆ แล้วเกิดการรับรู้แล้ว นาไปใชป้ ระโยชน์ได้ โดยตอ้ งศกึ ษาจนเกิดความถกู ตอ้ งและได้ประสิทธิภาพ จดุ มุ่งหมายของการฟังและการดู ๑. ฟังและดูเพอ่ื ความรู้ สว่ นใหญ่เปน็ เร่ืองทางวิชาการเพื่อพฒั นาสตปิ ัญญาของตน ๒. ฟงั และดูเพอ่ื ความเพลิดเพลนิ ได้แก่ การฟงั เพลง ฟงั ดนตรี ดูภาพยนตร์ ฟังนิทาน เปน็ ตน้ ๓. ฟังและดูเพ่ือความซาบซ้ึง โดยต้องมีพื้นฐานในเรื่องที่ฟังและดู จึงจะเกิดประโยชน์ เช่น ฟงั บทกลอน กวนี ิพนธ์ ดูภาพนามธรรมตา่ ง ๆ เป็นต้น ความสาคัญของการฟังและดู ความสาคัญของการฟังสามารถสรปุ ได้ ดังนี้ ๑. การฟังทาให้ได้รับความรู้ เพราะการฟังเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ เช่น การฟังบรรยาย ของอาจารยใ์ นชั้นเรยี น ฟังวิธีทาขนมไทย ฟงั วิธปี ลูกไมด้ อก เป็นต้น ๒. การฟังทาให้รู้ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ท่ีเป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคม ทาให้รู้เท่าทัน ความเปลี่ยนแปลงของคนและสังคม ๓. การฟังเป็นกระบวนการเรียนรู้อย่างหนึ่งของมนุษย์ ทั้งท่ีเกิดจากการฟังจากบุคคลโดยตรงหรือ ฟังผ่านส่ืออิเล็กทรอนิกส์ ๔. การฟังชว่ ยยกระดบั จติ ใจ ทาให้เข้าใจความเปน็ มนษุ ย์หรือการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข ได้ เช่น การฟงั ธรรมเทศนา การฟังโอวาท เปน็ ต้น ๕. การฟงั ทาให้ไดร้ บั ความบนั เทิง ชว่ ยผอ่ นคลายความเครยี ด ๖. การฟังช่วยพัฒนาทักษะการพูดให้มีประสิทธิภาพได้ กล่าวคือการฟังช่วยให้ผู้ฟังได้เรียนรู้ วิธีการพูด เนื้อหาสาระของสาร วิธีการนาเสนอสาร บุคลิกภาพ เป็นต้น ซึ่งสามารถนามาปรับใช้กับวิธีการพูด ของตน ทาใหเ้ กิดความมน่ั ใจขณะพดู และทาใหก้ ารพดู ของตนมีประสทิ ธิภาพมากย่ิงขน้ึ

๕๕เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ ๗. การฟังอย่างมีประสิทธิสามารถสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างคนในสังคม เป็นความเข้าใจ ที่ตรงกัน เกดิ วฒั นธรรมหรอื การปฏิบัตทิ สี่ อดคลอ้ งกันเพ่อื ป้องกันความขดั แยกและความแตกตา่ ง ๘. การฟังเป็นเคร่ืองมือช่วยสืบทอดความงามทางวรรณศิลป์และฉันทลักษณ์ของไทย เช่น การอา่ นบทรอ้ ยกรอง บทกวี บทสวดมนต์ เพลงไทยเดิม เป็นต้น ระดับของการฟัง การฟังสามารถจาแนกได้หลายระดับ โดยระดับของการฟังท่ีมักใช้ในชีวิตประจาวัน สามารถสรุปได้ เป็น ๓ ระดบั ดังต่อไปนี้ ๑. ระดับการได้ยิน การได้ยินเป็นกระบวนการข้ันแรกของการฟัง เป็นการรับรู้โดยใช้อวัยวะ ในการรับรู้หรือการได้ยิน คือหูและอวัยวะภายในหู เมื่อหูรับคล่ืนเสียงแล้วก็จะส่งไปยังสมอง สมองจะรับรู้ว่า เร่อื งท่ีได้ยินนนั้ คอื อะไรโดยไมม่ ีการแสดงปฏิกริ ยิ าตอบสนอง ๒. ระดับการฟังตามปกติ เป็นระดับการได้ยินที่สูงข้ึนต่อจากการได้ยิน ผู้ฟังต้องใช้สมรรถภาพ ทางสมองเชื่อมโยงเสียงท่ีได้ยินกับประสบการณ์ และความรู้เกี่ยวกับความหมายของเสียง เพื่อให้เกิด การแปลความและตีความเสียงน้ัน จนเข้าใจสารที่ฟังและแสดงปฏิกิริยาตอบสนองสารน้ันอย่างถูกต้อง และเหมาะสม ๓. ระดับการฟังอย่างมีวิจารณญาณ เป็นระดับการฟังท่ีสูงข้ึนอีกต้องอาศัยสมรรถภาพทางด้าน การคดิ วเิ คราะห์ การประเมนิ ค่า การวินจิ ฉัย และการนาไปใชใ้ นชวี ติ จรงิ ได้ การฟังระดับน้ีต้องอาศัยการฝึกฝน และพฒั นาอยา่ งต่อเนอ่ื ง หากสามารถพฒั นาจนเกิดทักษะแลว้ ผฟู้ งั จะไดป้ ระโยชนส์ งู สดุ จากการฟังสารนนั้ ๆ การฟังและดเู พอื่ วิเคราะห์เรอื่ งจากสาร การวเิ คราะห์เร่ืองจากสือ่ เป็นทักษะตอ่ จากการฟงั และดู แล้วสรปุ และจับใจความสาคัญ แล้ววิเคราะห์ ว่าสิ่งใดเป็นข้อเท็จจริง ส่ิงใดเป็นข้อคิดเห็น สิ่งใดเป็นเหตุ หรือส่ิงใดเป็นผล เพื่อจะใช้ข้อมูลในการประเมินค่า และการตัดสินใจ ทักษะดังกล่าวน้ันมีลักษณะเช่นเดียวกับการอ่านหรือการเขียนทั้งส้ิน เนื่องจากเป็นการจับ ใจความหรอื วเิ คราะหว์ ิจารณ์ในลกั ษณะเชน่ เดียวกัน

๕๖เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ หลักการการฟังและดูโดยทัว่ ไป ๑. มีสมาธิในการฟงั และดู การมีสมาธเิ ป็นพ้นื ฐานของพฤติกรรมการฟังและดูที่ดี การมีสมาธิจะเริ่ม มาจากความตั้งใจฟังและดู มีใจจดจ่อต่อเรื่องท่ีรับชม ไม่วอกแวกต่อส่ิงรบกวนต่าง ๆ การมีสมาธิในการฟัง ยังจะทาให้ผฟู้ ังมีกิรยิ าทา่ ทางทส่ี ารวมอีกด้วย ๒. พยายามจบั ประเด็นสาคญั วิธีการฟังดูที่ดีนอกจากต้องใช้สมาธิในการฟังแล้ว ผู้ฟังควรพยายาม จับประเดน็ สาคัญของเร่อื งทุกครั้งท่ีฟังและดู ๓. พิจารณาไตร่ตรองเร่ืองที่ฟังและดู เป็นการฟังและดูแล้วนาเร่ืองท่ีได้รับมาวิเคราะห์ แยกแยะข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น หาสาระความรู้จากเร่ืองท่ีฟังและดู โดยอาจจะใช้การสรุปจดเพื่อบันทึก ความจาดว้ ย แล้วนาขอ้ มูลทีไ่ ด้มาพจิ ารณาประเมินค่าว่าน่าเช่ือถือ มีประโยชน์ หรือเหมาะแก่การนาไปปฏิบัติ ตามหรือไม่ หลกั การฟังและดูสารประเภทต่าง ๆ การฟังและดสู ารประเภทต่าง ๆ ผฟู้ งั ควรรวู้ ธิ ีการฟงั และลักษณะของสาร เพ่ือให้ได้รับประโยชน์สูงสุด หลกั การฟงั และดสู ารประเภทต่าง ๆ สามารถแยกไดเ้ ป็นประเด็นกว้าง ๆ ๓ ประเภท ดงั นี้ ๑. การฟังและดูสารประเภทให้ความรู้ สารท่ีให้ความรู้จะมีลักษณะเนื้อหาที่มุ่งให้สาระความรู้ และข้อเท็จจริงแก่ผู้ฟังมากกว่ามุ่งให้ความเพลิดเพลิน เช่น เร่ืองทางวิชาการ เรื่องที่มีประโยชน์ ข่าวสาร เป็นต้น การฟังและดูสารท่ีให้ความรู้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ และสามารถนาความรู้น้ัน ไปปรับใช้ได้ในการดาเนินชีวิต ตลอดจนทาให้เกิดการคิดและการตัดสินใจด้วย หลักการฟังและดูสารประเภท ใหค้ วามรูม้ ีดงั นี้ ๑. ควรฟังและดอู ยา่ งต้งั ใจและฟงั ตลอดท้ังเรื่อง และควรจดบนั ทกึ ประเด็นสาคญั ๒. พยายามจบั ใจความสาคญั ของเร่ืองใหไ้ ด้ ๓. ควรวเิ คราะหแ์ ละตคี วามสารทีไ่ ด้ฟงั และดู ๔. ลองตัง้ คาถามหรือนาเสนอประเด็นที่ตอ้ งการอภปิ ราย เพ่ือทบทวนความเขา้ ใจ ๕. พิจารณาถอ้ ยคาภาษาวา่ มีลกั ษณะอยา่ งไร โดยท่วั ไปแล้วสารประเภทน้ีมกั ใช้ถ้อยคาภาษา ท่ตี รงไปตรงมา ชดั เจน ๖. ควรทบทวนสิ่งท่ีได้ฟังและดูสารที่ให้ความรู้จะช่วยให้ผู้ฟังได้เพ่ิมพูนความรู้และได้ฝึกคิด พจิ ารณา ซงึ่ เปน็ การพฒั นาสติปัญญา

๕๗เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ ๒. การฟังและดูสารประเภทโน้มน้าวใจ สารประเภทโน้มน้าวใจเป็นสารท่ีพบได้ในชีวิตประจาวัน มากทีส่ ดุ สารประเภทนีอ้ าจมาจากส่ือมวลชน มาจากคาบอกเล่าจากปากสู่ปาก มักมีลักษณะโฆษณา ชวนเช่ือ ชักจูงและโน้มน้าวใจให้เชื่อหรือปฏิบัติตาม ด้วยการใช้ถ้อยคาที่น่าเช่ือถือ มีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิด เช่น การโฆษณาสินค้า การหาเสียง การขอร้อง วิงวอน เป็นต้น การฟังและดูสารประเภทนี้จึงควรใช้วิจารณญาณ ประกอบเสมอ หลกั การฟงั และดสู ารประเภทโนม้ น้าวใจมดี งั นี้ ๑. ตง้ั ใจฟังและดตู ลอดทงั้ เร่อื ง ๒. ควรแยกแยะให้ได้ว่าผ้พู ูดมีจดุ หมายอยา่ งไร ๓. พิจารณาวา่ จดุ ม่งุ หมายนั้นดหี รอื ไม่ เป็นประโยชนห์ รอื ไม่ ๔. ควรใชว้ ิจารณญาณในการฟังและดู เพ่อื พจิ ารณาความสมเหตุสมผล ๕. พิจารณาการใช้ภาษาว่าเป็นอย่างไร โดยทั่วไปแล้วสารประเภทโน้มน้าวใจมักใช้ภาษา ในลกั ษณะชักจูง ชวนเชอื่ และเรา้ อารมณ์ ๗. ประเมินคา่ ว่าควรเช่ือถอื หรือสามารถนาไปปฏบิ ัตติ ามหรอื ไม่ ไม่ควรคล้อยตามโดยงา่ ย ๓. การฟังและดูสารประเภทจรรโลงใจ สารประเภทจรรโลงใจ คือสารที่มุ่งให้ผู้ฟังได้รับความสุข ได้ข้อคิด ทาให้คลายความทุกข์ ได้รับความเพลิดเพลิน เกิดความซาบซ้ึง เกิดจินตภาพ รวมถึงยกระดับจิตใจ อาจได้จากการฟังบทเพลง คาประพันธ์ บทละคร สุนทรพจน์ โอวาท พระธรรมเทศนา เป็นต้น หลักการ ฟงั และดสู ารทจ่ี รรโลงใจมดี งั นี้ ๑. ทาจิตใจให้ผ่อนคลาย ๒. ตงั้ ใจฟังและดใู ห้ตลอดท้ังเรอื่ ง ๓. จับสาระสาคญั ให้ไดว้ ่าต้องการส่ือความหมายอะไรโดยการฟังและดูอยา่ งเข้าใจ ๔. พจิ ารณาสารที่ได้ฟงั และดวู า่ มีเหตมุ ีผลสอดรบั กนั อย่างไร ๕. พิจารณาลักษณะการใช้ภาษาว่าเป็นอย่างไร เหมาะสมกับเน้ือหาหรือไม่ โดยทั่วไป สารประเภทจรรโลงใจมักจะใช้ภาษาทีส่ ละสลวย มีภาพพจน์ ทาให้เกิดจินตภาพ ๖. พิจารณาและประเมินค่าจากส่ือที่ได้ฟังและดู ผู้ฟังควรทบทวนว่าสารที่ได้ฟังน้ัน มีประโยชน์อยา่ งไร ควรแก่การนาไปปฏิบัติตามหรอื ไม่ อย่างไรก็ดี การฟังและดูสารหรือสื่อต่าง ๆ คร้ังหน่ึง ๆ น้ันอาจมีประเภทของสารหลายประเภท ปะปนกันอยู่ ผู้ฟังควรแยกแยะให้ได้ว่าสารที่ฟังอยู่นั้นมีประเภทใดบ้าง แต่ละประเภทมีจุดมุ่งหมายอย่างไร ใช้กลวิธีในการนาเสนออย่างไร มีความน่าเชื่อถือ สมเหตุสมผลหรือไม่ และผู้ฟังได้รับประโยชน์หรือควรนาไป ปฏบิ ตั ิตามหรือไม่ ในขณะฟังผู้ฟงั ควรจดบนั ทกึ ประเด็นสาคัญตามไปด้วย

๕๘เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ มารยาทในการฟงั และดู ๑. เมื่อฟังและดูอยู่เฉพาะหน้าผู้ใหญ่ ควรฟังโดยสารวมกิริยามารยาท ฟังด้วยความสุภาพเรียบร้อย และตงั้ ใจฟัง ๒. การฟงั และดใู นทีป่ ระชมุ ควรเข้าไปนง่ั ก่อนผู้พดู เร่ิมพูด โดยนั่งท่ีด้านหน้าให้เต็มก่อนและควรตั้งใจ ฟงั จนจบเร่อื ง ๓. ให้เกียรติผพู้ ดู ดว้ ยการปรบมือ เม่ือมกี ารแนะนาตัวผู้พูดหรือขอบคุณผู้พูด ๔. หากมีข้อสงสัยเก็บไว้ถามเม่ือมีโอกาสและถามด้วยกิริยาสุภาพ เมื่อจะซักถามต้องเลือกโอกาส ที่ผพู้ ูดเปิดโอกาสใหถ้ าม ถามดว้ ยถ้อยคาสุภาพ และไม่ถามนอกเรอ่ื ง ๕. ระหว่างการพูดหรือการแสดงดาเนินอยู่ควรรักษาความสงบเรียบร้อยด้วยการฟังและดูอย่างสงบ สุขุม ไม่ทาเสียงรบกวนผู้อื่น ไม่เคาะโต๊ะ ไม่ส่งเสียงโห่ฮา เป่าปาก ส่ันขา กระทืบเท้า ไม่ลุกไปมาบ่อย ๆ หากจาเป็นต้องลุกจากเก้าอี้ควรแสดงความเคารพผู้พูดหรือประธานเสียก่อน หากเดินเข้าไปในท่ีประชุมขณะ ที่ผูพ้ ูดพูดอยคู่ วรแสดงความเคารพผพู้ ูดก่อนเขา้ ไปนงั่ ๖. มีปฏกิ ริ ิยาตอบสนองผพู้ ดู อย่างเหมาะสม ไม่แสดงสีหน้าหรือกิริยาก้าวร้าว เบ่ือหน่าย หรือลุกออก จากท่ีน่งั โดยไมจ่ าเป็นขณะฟงั และดู ๗. ฟงั และดดู ว้ ยความอดทน แมม้ ีความคดิ เห็นขดั แยง้ กบั ผู้พดู ก็ควรมีใจกวา้ งรบั ฟงั อย่างสงบ ๘. ไมแ่ อบฟงั หรือดกู ารสนทนาของผูอ้ นื่ หรือการประทาอย่างใดอย่างหน่งึ โดยทเ่ี จ้าตัวไม่รบั รู้ ๙. ไมน่ าอาหารเข้าไปรบั ประทานในระหวา่ งการฟังและดู ก่อนได้รับอนญุ าต หลกั ปฏบิ ตั ใิ นการฟงั และดูตามสถานการณ์ต่าง ๆ ๑. การน่ังฟงั และดู ผฟู้ ังควรนงั่ ฟังและดูด้วยความสุภาพเรียบร้อย ไม่เหยียดขาออกมา ไม่นั่งไขว่ห้าง หากน่งั กับพ้ืนควรน่ังพับเพียบ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าพระสงฆ์หรือผู้ใหญ่ ในขณะฟังเทศน์ควรพนมมือขณะ ฟงั ดว้ ย นั่งมือวางซ้อนกนั บนตกั ไมค่ วรพิงพนัก ตามองผู้พดู ลักษณะเชน่ นเี้ ป็นสง่ิ ท่ีผู้ฟงั ควรฝกึ ปฏิบตั ใิ ห้เคยชิน ๒. การยืนฟังและดู ขณะยืนฟังและดูควรยืนตัวตรง ส้นเท้าชิด มือกุมประสานกันยกมือขึ้นเล็กน้อย ตามองผู้พูดหรอื การแสดง ไม่ยืนอย่างสบายเกนิ ไป ไม่เท้าสะเอว เท้าแขนบนโตะ๊ หรือยนื ค้าศรี ษะผู้ใหญ่ ๓. การฟงั การสนทนาหรือฟงั ผู้ใหญ่พูดขณะเดนิ ควรเดินเย้ืองไปทางด้านหลังผู้ใหญ่ด้านใดด้านหน่ึง เลก็ นอ้ ย ไม่เปลีย่ นด้านไปมา เดนิ ด้วยความสารวม และต้ังใจฟัง

๕๙เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ ความรพู้ ้ืนฐานการพูด การพูด หมายถึงการติดต่อส่ือสารระหว่างมนุษย์โดยใช้เสียงน้าเสียง หรือสีหน้า แววตา และกิริยา ท่าทางต่าง ๆ เพ่ือถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดจากผู้พูดไปยังผู้ฟัง เพื่อให้เข้าใจซ่ึงกันและกัน การพูดไม่ได้ เป็นเพียงเคร่ืองมือที่ใช้ในการส่ือสาร แต่เป็นศิลปะที่ช่วยเสริมบุคลิกภาพในชีวิตประจาวัน ตลอดจนอาชีพ หน้าทก่ี ารงาน ใหม้ ีประสทิ ธภิ าพมากยิ่งขึน้ ดว้ ย ประเภทของการพดู ประเภทของการพดู แบง่ ตามลักษณะการพดู ได้ ๒ ประเภท ดังนี้ ๑. การพูดอย่างไม่เป็นทางการ คือการพูดในชีวิตประจาวัน เช่น การสนทนา การพูดโทรศัพท์ การแนะนาตัว การซักถาม การตอบคาถาม เป็นต้น ผู้พูดต้องฝึกฝนให้เป็นผู้ท่ีพูดได้ถูกต้อง และเหมาะสม กบั กาลเทศะและบุคคล ๒. การพดู อย่างเป็นทางการ หมายถึงการพูดอย่างเป็นพิธีการในที่ประชุม หรือการพูดต่อหน้าชุมชน ในโอกาสต่าง ๆ และเพื่อจุดหมายต่าง ๆ ต้องอาศัยความรู้ความสามารถและมีศิลปะในการพูด การพูด อยา่ งเป็นทางการ เช่น การปาฐกถา การอภิปราย บรรยาย การกล่าวสนุ ทรพจน์ เป็นตน้ รปู แบบของการพูด การพูดมีหลายแบบ หรืออาจะเรียกว่าจุดประสงค์การพูดก็ได้ เพ่ือให้ประสบความสาเร็จในการพูด ผู้พูดควรเลือกแบบการพูดให้เหมาะสมกับจุดประสงค์ของการพูดแต่ละครั้ง โดยสามารถสรุปแบบของการพูด ดงั น้ี ๑. การพูดบอกเล่าหรือบรรยาย หมายถึง การพูดที่มุ่งให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้ฟัง เช่น การพูดอบรม ปฐมนิเทศ ช้ีแจงระเบียบ ข้อบังคับ สรุป รายงาน การสอน การเล่าเร่ือง เล่าประสบการณ์ การแนะนาวิทยากร การพูดตามมารยาทสังคมในโอกาสตา่ ง ๆ เช่น การกล่าวต้อนรับ แสดงความยินดี อวยพร เปน็ ต้น

๖๐เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ ๒. การพูดจูงใจหรือโน้มน้าวใจ หมายถึง การพูดท่ีมุ่งให้ความรู้ ความคิด ปลุกเร้า ให้ผู้ฟังคิดตาม เชื่อถือ คล้อยตาม และปฏิบัติตาม วิธีการพูดต้องสอดใส่อารมณ์ กิริยาท่าทาง ความรู้สึกที่จริงใจ ลงไป เช่น การพูดจงู ใจให้คนไปลงคะแนนเสยี งเลอื กตั้ง การโน้มน้าวชกั ชวนให้คนประท้วงหรือเดินขบวน โน้มน้าวให้ คนบริจาคเงิน บริจาคโลหิต จงู ใจใหซ้ ือ้ สินคา้ เป็นต้น ๓. การพูดจรรโลงใจหรือการพูดเพื่อความบันเทิง หมายถึง การพูดท่ีมุ่งให้ความสนุกสนาน รื่นเริง ขณะเดียวกันก็ได้สาระ หรือได้แง่คิดบางประการด้วย เช่น การเล่านิทาน การเล่าเรื่องตลก ขาขัน ปัจจุบัน มีการพดู แบบนี้ในทส่ี าธารณะและมีผสู้ นใจฟังเปน็ จานวนมาก ในการปฏิบัติ แม้ว่าผู้พูดจะเน้นหนักไปในการพูดแบบใดแบบหน่ึงแต่ก็สามารถนาการพูดท้ัง ๓ แบบ มาปรับใชใ้ หส้ อดคลอ้ งกับสถานการณ์ และเนือ้ หาเพ่ือใหก้ ารพูดคร้งั นน้ั ๆ ประสบความสาเรจ็ สงู สุดได้ ลกั ษณะของการพูด ๑. พดู แบบฉบั พลันหรอื พูดแบบกะทันหัน คือ การพูดท่ีผู้พูดไม่มีโอกาส หรือไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้า ประสบการณ์ ความรู้ ความคิด และปฏิภาณไหวพริบ จะช่วยให้ผู้พูด พูดได้ดีในชีวิตประจาวันเราอาจต้อง พูดแบบน้ีเสมอ ๆ เชน่ ในการโต้ตอบสนทนา การให้สัมภาษณ์ เปน็ ตน้ ๒. พูดแบบอ่านจากร่างหรือต้นฉบับ วิธีนี้นิยมใช้แบบเป็นทางการ เช่น การกล่าวรายงาน แถลงการณ์ กล่าวเปิด กล่าวปิดงาน กล่าวตอบในพิธีการต่าง ๆ การกล่าวถวายรายงานเฉพาะพระพักตร์ เป็นต้น เนื่องจากการพูดลักษณะนี้จะต้องถูกต้องและเป็นข้อมูลสาคัญจึงต้องมีการร่างและอ่านตามเพ่ือ ปอ้ งกันความผิดพลาดในการพดู ๓. การพูดแบบท่องจา บางครั้งเราจาเป็นต้องจาข้อความบางอย่างไปใช้อ้างหรือใช้พูด เช่น โคลง กลอน บทกวีต่าง ๆ คาคม ภาษิต ตัวเลข สถิติ เป็นต้น เราสามารถนาสิ่งเหล่านี้ไปประกอบการพูดได้ ตามความเหมาะสม ๔. พูดจากความเข้าใจโดยมีการเตรียมตัวล่วงหน้า การพูดจากความเข้าใจ คือการพูดจากความรู้ ความสามารถ ความรู้สึกของผู้พูด และจะพูดได้ดีย่ิงข้ึนถ้าได้มีการเตรียมตัวล่วงหน้า ผู้ท่ีคิดว่ายังมีความรู้ ความสามารถนอ้ ยกจ็ ะสามารถพูดได้ดีถ้าได้มโี อกาสเตรยี มตวั และฝึกฝน

๖๑เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ องค์ประกอบของการพดู ๑. ผ้พู ดู คือ ผ้สู ่งสาร (sender) ๒. เรอ่ื งทพ่ี ดู คือ สาร หรือเน้อื หาสาระ (message) ๓. ภาษา คอื ส่อื (media) หรือเคร่อื งมือทีถ่ ่ายทอดสาร ท้งั ภาษาที่ใช้ถอ้ ยคา (วัจนภาษา) และภาษาทไ่ี ม่ใช้ถอ้ ยคา (อวจั นภาษา) และอปุ กรณอ์ ืน่ ๆ ทใ่ี ช้ประกอบการพูด ๔. ผ้ฟู งั คอื ผ้รู บั สาร (receiver) อวจั นภาษาในการพดู การพูดท่ีดีนอกจากสามารถใช้วัจนภาษา คือถ้อยคาภาษาท่ีส่ือสารเน้ือหาสาระต่าง ๆ แล้ว ส่ิงสาคัญอีกประการหน่ึงที่ช่วยให้การพูดประสบความสาเร็จก็คือ อวัจนภาษา ซึ่งจะช่วยสื่อความหมาย ช่วยให้การพูดเป็นธรรมชาติ ช่วยเน้นให้มีน้าหนัก และช่วยให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกเช่ือม่ันศรัทธาในตัวผู้พูด อวจั นภาษาท่ีสาคญั ในการพดู มีดงั นี้ ๑. การเดิน ควรเดินอย่างกระฉับกระเฉงมั่นใจ มีชีวิตชีวาไม่เนิบเนือย แต่ไม่เร่งรีบลุกลน ท่าเดิน ทีค่ วรหลีกเลี่ยงคอื การเดินวางกา้ มแบบนักเลง เดินตัวลีบกระมิดกระเมี้ยน ประหม่าอาย หลุกหลิก แกว่งแขน มากเกินไป นวยนาดแบบนางละคร เดินหลังงอ เล่นหรือตามสบายเกินไป ๑.๑ การเดินไปสู่ที่พูด ควรเดินช้า ๆ มั่นใจ เม่ือถึงที่พูด ควรหยุดเล็กน้อย กวาดสายตาไปท่ัว ๆ ผูฟ้ งั ยม้ิ แยม้ แจ่มใส แล้วจึงเร่ิมปฏิสันถารหรือทักทายผู้ฟงั ๑.๒ การเดินระหว่างพูด ทาไดบ้ ้างโดยใหส้ อดคลอ้ งกับเนื้อหาที่พดู เชน่ ก้าวไปข้างหน้า หมายถึง ย้าเน้น ชี้จุดสาคัญ ถอยหลัง หมายถึง ชะงัก ลังเล หรือคิดทบทวน ก้าวไปข้าง ๆ แสดงการเปรียบเทียบ การเดินระหว่างพดู ชว่ ยดึงดูดความสนใจของผู้พูด แกค้ วามจาเจ แต่ถ้าเดินมากเกินไปผู้ฟังจะมึนงง และไม่ควร หนั หลงั ใหผ้ ู้ฟงั ขณะเดนิ กลับจากจุดหน่ึงไปยงั อกี จุดหนง่ึ ๑.๓ การเดินกลับ ควรเดนิ อยา่ งช้า ๆ และม่ันใจเช่นเดียวกนั ๒. การยนื และการนัง่ การยืนและการนงั่ จะต้องมีการทรงตวั ท่ีสง่างาม ชว่ ยให้ผูฟ้ ังศรัทธา การทรงตัว ทด่ี ี ลาตัวจะตอ้ งต้งั ตรง หลังตรง ไหลต่ รง เกบ็ พงุ ดูสบาย และเป็นธรรมชาติ ๒.๑ การยืน ควรยืนสบาย ๆ วางเท้าให้เหมาะสม ไม่หา่ งเกินไปหรือชิดเกินไป ส้นเท้าชิดหรือห่าง เล็กน้อย ปลายเท้าห่างพอสมควร ไม่ยืนเขย่งหรือน้าหนักลงท่ีส้นเท้า ท่ายืนท่ีควรหลีกเล่ียง เช่น ท่าตรง แบบทหาร เพราะไม่เป็นธรรมชาติ ท่าพักขาหรือหย่อนขาข้างใดข้างหน่ึง เพราะดูลาลอง สบาย ๆ เกินไป

๖๒เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ ท่าท้ิงสะโพกไปข้างใดข้างหน่ึงหรือสลับกัน เพราะเสียการทรงตัวและดูตลก ท่านางแบบ ท่าไหล่ทรุด คอเอียง หลุกหลิก โยกหนา้ -หลงั พิงโตะ๊ -เก้าอี้ หรอื แท่นพดู เปน็ ตน้ ๒.๒ การน่ัง นั่งในท่าสง่างาม หลังตรง วางเท้าให้เหมาะสม สุภาพสตรีควรเอียงขาไปข้างใด ข้างหนึง่ หรือไขวป้ ลายเทา้ ไม่น่งั ไขวห่ ้าง น่งั ใหเ้ ต็มสะโพก เทา้ ยันพื้น ๓. การใช้กริ ยิ าทา่ ทาง กิริยาทา่ ทางที่สมั พันธก์ บั การพดู มดี ังน้ี ๓.๑ การเคล่ือนไหวศีรษะและลาคอ สามารถสื่อความหมายบางประการดังนี้ ศีรษะต้ังตรง หมายถึง กล้าหาญ มั่นคง มั่นใจ ภูมิใจ มีอานาจ การผงกศีรษะ หมายถึง ยอมรับ เห็นด้วย โน้มศีรษะไป ข้างหน้า หมายถึง เคารพ ขอร้อง ขอความเห็นใจ การผงะศีรษะไปข้างหลัง หมายถึง ตกใจ สะดุ้ง การสั่นศีรษะ หมายถึง ปฏิเสธ ไม่เห็นด้วย ไม่ยอมรับ การก้มศีรษะ หมายถึง ขวยอาย สงบ ปลง สุภาพ การเอียงศรี ษะ หมายถงึ คิด สงสัย ไม่แน่ใจ เปน็ ต้น ๓.๒ การแสดงสีหนา้ การแสดงสีหน้าจะสอดคล้องกับน้าเสียง ท่าทาง และดวงตา เช่น ย้ิม เศร้า ตกใจ รา่ เริง สงสัย เสยี ใจ สหี น้าโดยทว่ั ไป ควรยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นมิตรกบั ผู้ฟงั ๓.๓ การใช้ทา่ มือ ชว่ ยเนน้ ยา้ หรือขยายความเข้าใจ ท่ามือมีหลายแบบ เช่น หงายมือแล้วค่อย ๆ เคลือ่ นไปสู่ผูฟ้ ัง เปน็ การแสดงความรู้สึกเปน็ มิตร ยกย่อง หรือเชื้อเชิญ การแบมือทั้งสองข้าง หมายถึง สูญเสีย หมดหวงั การยกมอื ต้งั และสา่ ย หมายถึง ปฏิเสธ เป็นตน้ ในการพูดไม่วา่ จะกรณีใดไม่ควรชน้ี ้ิวใส่ผู้ฟังเปน็ อันขาด เวนแต่กรณีการแสดงท่าทางประกอบ แต่ หากไมจ่ าเปน็ ควรหลักเล่ยี ง หรอื ควรเล่ยี งไม่ใหช้ ี้ไปตรงผ้ฟู งั ท่านใดท่านหน่ึง ๔. การใชส้ ายตา การใช้สายตาช่วยให้การพดู มพี ลัง สร้างความสัมพันธ์กับผู้ฟัง ถ่ายทอด ความรู้สึก ของผู้พดู ได้รับรู้ปฏกิ ิริยาตอบสนองของผูฟ้ ัง ลกั ษณะการใช้สายตาท่ีควรฝกึ ฝนคอื ๔.๑ การใช้สายตาเมื่อเร่ิมต้นพูด ให้มองผู้ฟังเป็นส่วนรวมก่อน โดยมองไปท่ีผู้ฟังท่ีอยู่ตรงกลาง แถวหลังสุด หลังจากนั้นจึงเปลี่ยนสายตาไปยังจุดอ่ืน ซ้าย ขวา หน้า หลัง ให้ท่ัวถึง และเป็นธรรมชาติ อย่าเปลี่ยนสายตาโดยรวดเร็ว หรือใช้สายตาแบบพัดลมส่าย ควรจับตาและเปล่ียนสายตาในลักษณะ ของการถา่ ยรปู ๔.๒ การใช้สายตาขณะพูด โดยควรมองผู้ฟังให้ทั่วถึง สบตาผู้ฟังน่ิงอยู่เฉพาะคนบ้าง และใช้ สายตาแสดงความรู้สึก อารมณ์ ตามเนื้อหาที่พูด อวัจนภาษาเก่ียวกับสายตาบางประการ เช่น เบิ่งตาโพลง หมายถึง ตกใจ อยากได้ การปิดตา หมายถึง อ่อนเพลีย การหร่ีตา หมายถึง สงสัย ไม่แน่ใจ ยั่วเย้า การประสานสายตา หมายถงึ จรงิ ใจ แนใ่ จ เป็นตน้ โดยขณะพูด ให้หลีกเล่ียงการมองเพดาน มองข้ามศีรษะไปที่ผนังหลังห้อง มองออกนอกประตู หน้าต่าง หรือใชส้ ายตาหลกุ หลิก เหลอื บไปเหลอื บมาตลอดเวลา ทาให้เสียบคุ ลกิ ภาพ

๖๓เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ ๕. การใช้น้าเสียงและอารมณ์ เสียงจะห่อหุ้มอยู่โดยรอบถ้อยคา ช่วยถ่ายทอดอารมณ์ และความรสู้ กึ ของผู้พดู สงิ่ ท่ตี อ้ งคานงึ เกย่ี วกับการใชเ้ สียงมดี งั นี้ ๕.๑ เสยี งและการออกเสียง จะต้องออกเสียงชัดเจน แจ่มใส นุ่มนวลชวนฟังไม่ห้วน ไม่สูงแหลม จนฟังไม่สบายหู ไม่ต่าจนฟังไม่ถนัด ไม่ส่ันเครือ ไม่แหบพร่า และไม่เพี้ยนแปร่ง นอกจากนั้นยังต้องไม่ดัง หรือค่อยจนเกินไป หนัก เบา สูง ต่า เป็นไปตามธรรมชาติ มีการเน้นย้าไม่ราบเรียบเสมอกันไปโดยตลอด แต่ก็ไม่ควรเปล่ียนระดับเสียงขึ้น ลง สูง ต่ามากเกินไป จนดูเหมือนเสียงแสดงละคร และออกเสียงสระ พยญั ชนะ และระดับเสยี งวรรณยุกตช์ ัดเจนถกู ต้อง ๕.๒ จั งห ว ะก าร พูด จัง หว ะก า รพู ด ไ ม่เ ร็ ว จ นเ สีย ค ว า ม ไม่ ตั ดห รือ รว บ คา เ ช่ น “กระทรวงสาธารณสุข” ออกเสียงเป็น “กระทรวงสาสุข” “พิจารณา” ออกเสียงเป็น “พิณา” เป็นต้น และต้องไม่ช้าเนิบนาบจนเกินไป การพูดเร็วเกินไปผู้ฟังจะฟังไม่ทันและรู้สึกเหนื่อย การพูดช้าจนเกินไปผู้ฟัง ก็จะรู้สึกราคาญและอึดอัด นอกจากน้ันยังต้องเว้นวรรคตอนให้ถูกต้อง การเว้นวรรคตอนผิดจะทาให้ส่ือ ความหมายผิดได้ หลกั การพูด การพูดท่ีดีต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ และใช้วัจนภาษา อวัจนภาษา และสื่อถูกต้องเหมาะสม กบั ผู้ฟัง สถานท่ี เวลา โอกาส และสถานการณแ์ วดลอ้ มตา่ ง ๆ หลักการพดู ที่จะกล่าวถงึ ต่อไปน้ี คือหลักการพูด ที่ผูพ้ ดู จะต้องร้ตู วั ล่วงหน้า เพอ่ื ใหก้ ารพดู ประสบความสาเร็จ ผู้พดู จะตอ้ งปฏิบัติตามหลักการพูดดงั ตอ่ ไปนี้ การเตรียมตวั ในการพดู ๑. วิเคราะห์ผู้ฟัง สถานท่ี เวลา โอกาส และสถานการณ์แวดล้อมต่าง ๆ ผู้ฟัง คือองค์ประกอบ ที่สาคัญของการพูด ผู้พูดต้องวิเคราะห์รายละเอียดของผู้ฟังให้มากท่ีสุด ทั้งเพศ วัย การศึกษา อาชีพ ศาสนา หรอื ลทั ธคิ วามเชื่อ และจานวน นอกจากนั้นยงั ตอ้ งวิเคราะหส์ ถานที่ เวลา และโอกาส เพอ่ื จดั เตรยี มการพูด ๒. เตรียมตัวผู้พูด การเตรียมตัวผู้พูดเน้นในเร่ืองการเตรียมบุคลิกภาพ ทั้งบุคลิกภาพภายนอก เช่น การแต่งกาย ความสะอาดตา่ ง ๆ และบคุ ลกิ ภาพภายใน เชน่ การเตรยี มรับมอื กบั เหตุการณ์ตา่ ง ๆ ทัศนคตทิ ่ีดี ๓. เตรยี มเนอ้ื หา การเตรียมเนอ้ื หาต้องใหส้ อดคลอ้ งกับวัตถุประสงค์ เหมาะสมกับผู้ฟัง สถานท่ี เวลา และโอกาสท่ีไดว้ เิ คราะห์ไว้แลว้ โดยมีลาดับขั้นในการเตรียมเน้อื หาดงั นี้ ๓.๑ กาหนดวตั ถุประสงคก์ ารพูดให้ชัดเจน ๓.๒ เลอื กเรอื่ งท่จี ะพดู ๓.๓ ค้นคว้ารวบรวมเน้ือหา ๓.๔ วางโครงเรือ่ งและเรยี บเรียงเร่อื ง ๔. เตรียมสื่อ ส่ือหรือเคร่ืองมือถ่ายทอดสารในการพูดคือภาษา ผู้พูดจะต้องเตรียมวัจนภาษา เตรียมฝกึ การใช้อวัจนภาษา รวมไปถงึ การเตรียมสื่อหรอื อุปกรณ์อืน่ ๆ ใหพ้ ร้อม

๖๔เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ การฝกึ พดู ๑. ทาบทพูดหรือบันทึกสั้น ปัญหาของผู้พูดหลาย ๆ คน คือตั้งแต่เริ่มต้นพูดก็จาไม่ได้ว่าจะทักผู้ฟัง อย่างไร หรือลืมทักผู้ฟัง จาเนื้อหาไม่ได้หรือสับสน ผู้พูดจะต้องอ่านเนื้อหาท่ีเตรียมไว้ให้เข้าใจ แล้วทาบทพูด หรือบันทึกส้ัน ๆ เฉพาะประเด็นสาคัญ ลาดับไปตามโครงเร่ืองคือ นาเร่ือง เนื้อเร่ือง และสรุป หากเกรงว่า จะจาคาปฏิสันถารผู้ฟังไม่ได้ก็ควรเขียนไว้ในบทด้วย กระดาษที่ทาบทพูดหรือบันทึกส้ัน ๆ อาจใช้กระดาษ ธรรมดาหรือกระดาษแขง็ ขนาดครงึ่ หนึ่งของกระดาษ A4 และไม่ควรขนาดใหญ่จนสังเกตไดช้ ัด ๒. พูดจากความเข้าใจ เร่ิมตั้งแต่ปฏิสันถารผู้ฟังแล้วลาดับไปตามโครงเรื่อง ถ้าเนื้อหาส้ันควรพูด ไดเ้ องโดยไม่ตอ้ งดบู ท ถ้าเน้ือหามากและติดขัด ให้ดูบทพูดที่บันทึกหัวข้อหรือประเด็นสาคัญไว้ แล้วพูดอธิบาย ขยายความเองจากความเข้าใจ การถือกระดาษบันทกึ ควรถอื ให้เรียบรอ้ ย ไม่มว้ นพบั ๓. ฝกึ การใชอ้ วัจนภาษา เชน่ การใชเ้ สียง สายตา การยืน การเดนิ การใชท้ า่ ทางประกอบการพูด ๔. จบั เวลา ตอ้ งพูดใหจ้ บภายในเวลาทกี่ าหนด ๕. ประเมินผล รวบรวมข้อบกพร่องในการพูด วิเคราะห์ และประเมินผล หลังจากน้ันควรฝึกซ้อม โดยแก้ไขขอ้ บกพร่องตา่ ง ๆ นั้น การปฏบิ ตั กิ ารพดู ๑. เข้าไปสู่ที่พูด การเดินไปสู่ท่ีพูด ควรเดินอย่างกระฉับกระเฉง มั่นใจ เมื่อถึงท่ีพูดควรหยุดเล็กน้อย (ในบางกรณี เช่น การประกวดการพูดอาจทาความเคารพกรรมการ) มองผู้ฟัง ย้ิมแย้มแจ่มใส ยืนสบาย ๆ วางเทา้ ใหเ้ หมาะสมไม่ห่างหรอื ชดิ เกนิ ไป ๒. กล่าวปฏสิ นั ถารผู้ฟัง เรมิ่ ต้นพดู โดยการกลา่ วปฏสิ นั ถาร หรือทักผู้ฟังให้เหมาะสม ๓. พูดไปตามลาดับโครงเร่ือง เมื่อกล่าวถึงคาปฏิสันถารผู้ฟังแล้วก็เริ่มต้นพูดไปตามลาดับโครงเร่ือง ตั้งแตน่ าเร่อื ง เนื้อเรื่อง และลงท้าย ถา้ ตดิ ขัดให้ดหู ัวข้อหรือประเดน็ สาคญั ที่ทาบนั ทึกเตือนความจาไว้ ขณะพูด ใช้อวัจนภาษา เช่น การเดิน การยืน การใช้สายตา ท่าทาง เสียง และจังหวะการพูดให้เหมาะสม ถ้าใช้สื่อ ประกอบการพูดก็ตอ้ งใชอ้ ย่างคลอ่ งแคล่ว และเปน็ ไปตามลาดบั สอดคล้องกับเนอ้ื หา ๔. การเดินกลับ เมื่อพูดจบควรเดินกลับท่ีนั่งอย่างกระฉับกระเฉงและม่ันใจ ไม่รีบร้อนเกินไป (บางกรณี เช่น ในการประกวดการพดู ใหก้ า้ วถอยหลังสองกา้ ว ทาความเคารพผู้ฟงั แล้วเดนิ กลบั ท่ีน่ัง) ผู้พูดควรสารวมอิริยาบถให้สุภาพเรียบร้อย นับต้ังแต่การเดินไปสู่ที่พูด จนกระท่ังการเดินกลับสู่ท่ีนั่ง เพราะทุกอิริยาบถอยู่ในสายตาของผู้ฟัง บางคนเม่ือพูดจบก็โล่งใจ ทาให้ลืมสารวม บางคนว่ิงกลับมายังที่น่ัง บางคนแลบล้ินเพราะเขนิ อายท่ีผดิ พลาด ทาให้เสียบุคลกิ ภาพย่งิ ข้ึน

๖๕เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ การประเมินการพดู การประเมนิ การพูดอาจประเมินโดยการบรรยาย หรือประเมินโดยกาหนดเกณฑ์เป็นค่าระดับคะแนน ก็ได้ หัวข้อการประเมนิ ทัว่ ไปมดี ังนี้ ๑. การปรากฏตัวและการปฏิสันถารผู้ฟัง ผู้พูดปรากฏตัวอย่างกระฉับกระเฉงมั่นใจหรือไม่ กล่าวคา ปฏิสนั ถารผฟู้ ังหรอื ไม่ ถกู ตอ้ งเหมาะสมเพยี งไร ๒. การนาเรื่องหรืออารัมภบท ผู้พูดนาเร่ืองได้น่าสนใจชวนให้คิดตามเรื่องต่อไปหรือไม่ การนาเร่ือง ช่วยสร้างบรรยากาศการพูดเพียงใด ทาให้ผู้ฟังเล่ือมใสผู้พูด หรือช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจเร่ืองที่จะพูดต่อไปหรือไม่ สดั สว่ นการนาเรื่องเหมาะสมเพยี งใด เปน็ ต้น ๓. เน้อื หาและการดาเนินเร่อื ง เน้ือหานา่ สนใจหรือไม่ การดาเนินเร่ืองทาให้น่าสนใจและชวนติดตาม เพียงไร สัดส่วนของเน้ือหาเหมาะสมหรือไม่ การลาดับเร่ืองไม่สับสน เข้าใจง่ายหรือไม่ ตัวอย่างชัดเจน เหมาะสมน่าสนใจเพียงใด ๔. การใช้ถอ้ ยคาสานวนภาษา และส่อื หรืออปุ กรณ์อ่ืน ๆ ถ้อยคาสานวนภาษาท่ีใช้สุภาพ เหมาะสม กับผู้ฟังหรือไม่ ลึกซึ้ง คมคาย สอดคล้องกับเร่ืองที่พูดหรือไม่ ส่ือท่ีใช้เหมาะสม และช่วยสื่อความหมายย่ิงข้ึน หรือไม่ ลกั ษณะการใช้สื่อเหมาะสมเพียงใด ๕. การออกเสียง ระดับเสียง และจังหวะการพูด การออกเสียงพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ชัดเจน หรือไม่ น้าเสียงแจ่มใสและนุ่มนวลชวนฟังหรือส่ันเครือ แหบพร่าและเพี้ยนแปร่ง ระดับเสียงดังพอสมควร หรือไม่ เนน้ ย้าพอเหมาะชวนใหส้ นใจตดิ ตามเรอื่ งหรอื ไม่ จังหวะการพูดช้าหรือเร็วเหมาะสมเพียงใด ๖. การใช้สายตาท่าทาง ผู้พูดมองผู้ฟังทั่วถึงหรือไม่ จับตาผู้ฟังเฉพาะคนบ้างหรือไม่ ท่าทางที่ใช้ สุภาพเหมาะสมสอดคล้องกบั เร่ืองทพ่ี ดู เพยี งใด ๗. การลงท้าย ผพู้ ูดมกี ารลงท้ายหรือการจบการพูดหรือไม่ ประทับใจหรือไม่ สัดส่วนของการลงท้าย เหมาะสมเพยี งใด จบเรือ่ งภายในเวลาท่กี าหนดหรอื ไม่ ๘. คุณค่าของเรอ่ื ง เน้อื เรื่องมคี ณุ ค่าต่อผู้ฟังมาน้อยเพียงใด ๙. บคุ ลิกภาพท่ัวไป บุคลกิ ภาพทว่ั ไป เช่น การแต่งกาย การเดิน การยนื เหมาะสมหรือไม่ เปน็ ต้น ๑๐. ความสนใจของผู้ฟัง ผู้ฟังให้ความสนใจเพียงไร ต้ังใจฟังหรือไม่ ร่วมซักถามหรือแสดง ความคดิ เห็นบา้ งหรือไม่ จะเห็นได้ว่าการประเมินการพูด ประเมินไปตามองค์ประกอบของการพูดน่ันเอง ได้แก่ การประเมิน ผู้พูด เนื้อหาสาระ การใช้ภาษาและสื่อ และประเมินผู้ฟัง การประเมินการพูดอาจใช้หัวข้อเดียวกัน แตแ่ ทนท่จี ะบรรยาย อาจจะกาหนดเกณฑ์หรอื เป็นคา่ ระดบั คะแนนก็ได้

๖๖เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ มารยาทในการพดู การพูดจาเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้องมีหลักเกณฑ์ รู้จักกาลเวลา และที่สาคัญต้องคานึงถึง มารยาทท่ีดี ในการพดู ดว้ ยมารยาท โดยมารยาทในการพูดแบ่งเปน็ ๒ ประเภท คอื ๑. มารยาทในการพดู ระหวา่ งบุคคล ๒. มารยาทในการพูดในทสี่ าธารณะ มารยาทในการพูดระหวา่ งบุคคล มดี ังนี้ ๑. เร่ืองทพ่ี ดู ควรเป็นเรอ่ื งทีท่ งั้ ๒ ฝา่ ย มีความสนใจและพอใจร่วมกนั ๒. ไม่พูดเร่อื งของตนเองมากจนเกินไป ควรฟงั ในขณะท่ีอีกฝ่ายหนงึ่ พดู ไม่สอดแทรกเม่อื เขาพดู ยังไมจ่ บ ๓. พดู ตรงประเดน็ อาจออกนอกเรื่องบ้างพอผอ่ นคลายอารมณ์ ๔. เคารพความคดิ เหน็ ของผอู้ นื่ ไม่บงั คบั ใหผ้ ู้อนื่ เชอ่ื หรอื คิดเหมอื นตน ฯลฯ มารยาทในการพดู ในทีส่ าธารณะ การพดู ในท่ีสาธารณะตอ้ งรกั ษามารยาทให้มากกวา่ การพูดระหว่างบุคคล เพราะการพดู ในที่สาธารณะนนั้ ยอ่ มมผี ฟู้ งั ซง่ึ มาจากทต่ี า่ ง ๆ กนั มวี ัยวฒุ ิ คุณวุฒิ และพน้ื ฐานความรู้ ความสนใจและรสนยิ มต่างกันไป มารยาท ในการพูดระหว่าง บคุ คลอาจนามาใช้ไดแ้ ละควรปฏบิ ตั เิ พ่มิ เตมิ ดังนี้ ๑. แต่งกายให้สุภาพเรยี บรอ้ ยเหมาะแก่โอกาสและสถานท่ี ๒. มาถงึ สถานทพ่ี ูดใหต้ รงเวลาหรือกอ่ นเวลาเล็กน้อย ๓. กอ่ นพดู ควรแสดงความเคารพต่อผูฟ้ งั ตามธรรมเนียมนิยม ๔. ไมแ่ สดงกิรยิ าอาการอนั ไมส่ มควรต่อหนา้ ที่ประชุม ๕. ใช้คาพดู ทใี่ หเ้ กียรติแก่ผ้ฟู งั เสมอ ๖. ไม่พดู พาดพงิ ถงึ เรอื่ งสว่ นตวั ของบุคคลอืน่ ในท่ีประชมุ ๗. ไมพ่ ดู หยาบโลนหรอื ตลกคะนอง ๘. พดู ให้ดงั พอไดย้ ินทั่วกนั และไมพ่ ดู เกินเวลาทีก่ าหนด ๙. ออ่ นนอ้ มถอ่ มตนและสามารถควบคมุ อารมณแ์ ละสติได้ ๑๐. รับผิดชอบต่อคาพดู ในทกุ กรณี จงึ ควรคดิ ก่อนพดู ในดเี สียกอ่ น

๖๗เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ การพูดสรปุ ความจากเร่ืองที่ฟงั และดู การพูดสรุปความ คือ การพูดสรุปสาระสาคัญของเรื่องที่ได้ฟังและดู เป็นการส่งสารที่ผู้พูดต้อง วิเคราะห์สารท่ีตนได้รับว่าส่วนใดคือส่วนสาคัญของเร่ือง ส่วนใดเป็นเพียงส่วนประกอบ แล้วนาสาระสาคัญ ท่ีสรุปได้นั้นมาพูดถ่ายทอดให้ผู้อ่ืนฟัง ซึ่งกระบวนการเหล่านี้เป็นประโยชน์ท้ังต่อตัวผู้พูดและผู้ฟังท่ีทาให้รู้จัก แสวงหาความรู้จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ แล้วนามาใช้ได้อย่างมีคุณค่าผ่านทักษะการส่ือสารท้ังการฟัง การดู และการพดู ข้อควรปฏบิ ัติในการพดู สรปุ ความท่ดี ี ๑. รจู้ ักเลอื กแสวงหาความรู้จากแหล่งข้อมูลที่เหมาะสมและให้ประโยชน์ เพราะการรู้จักเลือกรับสาร ตง้ั แต่ขนั้ แรก จะเปน็ สง่ิ ยนื ยนั ได้ดีว่าการพูดสรุปความจะเกิดคณุ ค่าอยา่ งแทจ้ ริง ๒. รับสารจากการฟังหรือดูอย่างตั้งใจ มีความเป็นกลาง ไม่มีอคติหรือความรู้สึกของตน เพราะจะนา ใหก้ ารสรปุ ความน้ันไมไ่ ดข้ อ้ มูลท่ีแท้จริง ๓. วิเคราะห์ข้อมูลโดยต้ังคาถามเป็นพ้ืนฐานช่วยในการสรุปความว่า ใคร ทาอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร หรืออาจเพิ่มการแยกแยะให้ได้ว่า ส่วนใดคือข้อเท็จจริง หรือข้อคิดเห็น รวมไปถึงสามารถระบุเจตนา ของผูส้ ่งสาร ๔. นาข้อมลู ที่ผา่ นการสรปุ ความนน้ั มาเรียบเรยี งให้เป็นบทพูดท่ีมีความเหมาะสมทั้งเนื้อหาและการใช้ ภาษา โดยเฉพาะในส่วนของเน้ือหานั้น ผู้พูดต้องยึดข้อเท็จจริงเป็นหลัก ควรหลีกเลี่ยงการนาความคิดเห็น ส่วนตัวเข้ามาปะปนในการเรียบเรียง เพราะจะทาให้การพูดนั้นไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์สาคัญในการพูด สรปุ ความทม่ี ่งุ ถ่ายทอดขอ้ เท็จจรงิ เป็นสาคญั ๕. ทบทวนสิง่ ท่ีตนสรปุ มานัน้ ใหเ้ ข้าใจอยา่ งถ่องแท้และฝึกซ้อมการพูด ซ่ึงผู้พูดอาจเตรียมเขียนเฉพาะ ประเด็นสาคัญเป็นต้นร่าง เพื่อใช้ในขณะพูด รวมทั้งหากเร่ืองที่ตนสรุปความมาน้ัน สามารถใช้ส่ือต่าง ๆ ประกอบการพดู ก็จะยิง่ ทาใหผ้ ฟู้ งั สนใจและรบั รู้เร่ืองทีส่ รปุ มาน้นั ไดด้ ีย่ิงขึน้ ๖. พูดสรุปความตามประเด็นท่ีเตรียมไว้ มีความมั่นใจและกล้าแสดงออกอย่างมีบุคลิกภาพท่ีดี พร้อมท้ังอ้างอิงแหล่งท่ีมาของข้อมูล ซึ่งนอกจากจะช่วยทาให้เร่ืองท่ีสรุปมานั้นมีความน่าเช่ือถือแล้ว ยังเป็น การเปิดโอกาสใหผ้ ฟู้ งั ไดแ้ สวงหาความรูเ้ พม่ิ เตมิ ได้ตอ่ ไป

๖๘เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ การพูดวิเคราะหแ์ ละวจิ ารณ์จากเรอ่ื งที่ฟังและดู การพูดเป็นการส่งสารที่มุ่งถ่ายความรู้ ความคิด และประสบการณ์ผ่านถ้อยคา น้าเสียง รวมถึงกิริยา ท่าทางต่าง ๆ เพ่ือส่ือสารให้ผู้ฟังได้เข้าใจและสามารถตอบสนองตามวัตถุประสงค์ของผู้พูดได้ ซ่ึงถ้าผู้พูด เป็นบุคคลที่มีความรู้ ความคิด และประสบการณ์มากเท่าใดก็ย่ิงส่งผลดีให้ผู้พดเลือกใช้ข้อมูลในการพูดได้ อย่างหลากหลาย ดังนั้น ผู้พูดที่ดีจึงควรส่ังสมความรู้ ความคิดและประสบการณ์จากส่ิงที่ได้ฟังและดูอยู่เสมอ และหากนามาวิเคราะห์และวิจารณ์ข้อมูลเหล่าน้ันได้ จะย่ิงทาให้ผู้พูดได้ข้อมูลท่ีเป็นประโยชน์และส่งผลดี ให้ผฟู้ งั ไดร้ บั ประโยชนจ์ ากข้อมลู เหล่าน้นั ด้วยเช่นกัน การพูดวิเคราะห์ คือ การพดู ทม่ี งุ่ การแยกแยะ แจกแจงข้อมลู ออกเปน็ ส่วนย่อยทม่ี ีความสัมพันธ์กัน ขน้ั ตอนในการพูดวิเคราะหน์ น้ั ผ้พู ูด ตอ้ งการแยกแยะขอ้ มูลเพ่ือแสดงใหเ้ ห็นวา่ แตล่ ะสว่ นมีลักษณะ อยา่ งไร และมคี วามสมั พนั ธ์เก่ียวเนื่องกันอยา่ งไร ซงึ่ จะชว่ ยให้ผฟู้ งั เกดิ ความเขา้ ใจ สิ่งทผ่ี พู้ ดู นาเสนอไดอ้ ยา่ งละเอยี ดชัดเจน การพดู วิจารณ์ คือ การพูดทีม่ ่งุ นาเสนอความคดิ เหน็ เชิงติชม ต่อเรอ่ื งที่ฟังและดูตามมุมมองของผพู้ ูด ซึง่ การวิจารณ์นนั้ จะตอ้ งปฏบิ ัติตาม หลกั การวจิ ารณท์ ีด่ ี เชน่ ศึกษาเร่ืองนน้ั มาเปน็ อย่างดี ใช้เหตผุ ลในการ วิเคราะห์และแสดงความคดิ เห็น ไมน่ าความรู้สึกส่วนตัวมาเก่ียวขอ้ ง และวจิ ารณ์เฉพาะผลงาน ไม่กล่าวพาดพิงเร่อื งส่วนตวั ของบคุ คลใด

๖๙เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ ข้อควรปฏบิ ัตใิ นการพดู วเิ คราะหแ์ ละวิจารณท์ ด่ี ี ๑. วัตถุประสงค์ต้องเด่นชัด ผู้พูดที่ดีควรคานึงถึงวัตถุประสงค์เป็นลาดับแรก เพราะการทราบ วัตถปุ ระสงค์ทีช่ ดั เจน ก็เหมอื นกับมเี ขม็ ทิศให้ผู้พูดใช้ดาเนินการพูดไปในทิศทางท่ีเหมาะสม โดยเฉพาะการพูด วเิ คราะห์และวจิ ารณ์ถา้ ผู้พดู พูดไมช่ ัดเจนตง้ั แตข่ ัน้ ตน้ ก็จะทาใหเ้ กิดปัญหาการพูดในขน้ั ตอ่ ๆ ไปได้ ๒. หาข้อมูลให้เพียงพอ ผู้พูดท่ีดีและประสบความสาเร็จจะต้องศึกษาข้อมูลท่ีจะพูดมาเป็นอย่างดี เพื่อให้สามารถพูดได้ชัดเจน และสิ่งท่ีพูดถูกต้อง ผู้ฟังยอมรับ โดยเฉพาะการพูดวิจารณ์ หากผู้พูดมีข้อมูล เพียงพอกจ็ ะสามารถวจิ ารณไ์ ด้ละเอียดและน่าสนใจ ๓. เตรียมบทพูด ผ้พู ูดทด่ี คี วรคานงึ ถึงการเรยี บเรียงบทพูด เพราะแสดงถึงการเตรียมตัวที่ดี ท้ังในส่วน ของเนือ้ หาและการใช้ภาษา ย่งิ ผู้พดู มโี อกาสขดั เกลาเร่ืองราวมากเท่าใด ยิ่งทาให้บทพูดนั้นได้รับการกล่ันกรอง และสามารถนาไปใช้พูดได้อย่างมีคุณภาพ ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ต้ังไว้ สิ่งสาคัญท่ีควรคานึงเสมอ คือ การพูด นั้นต้องอยู่บนพ้ืนฐานของข้อเท็จจริง มีเหตุผลสนับสนุนอย่างเด่นชัด ใช้ภาษาท่ีเข้าใจได้ง่ายและเหมาะสมกับ กลุม่ ผู้ฟัง ๔. ฝึกซ้อมให้พร้อม ผู้พูดที่ดีควรคานึงถึงเวลาในการฝึกซ้อม เพราะความเชี่ยวชาญในการพูดล้วน เกิดขึ้นจากการฝึกซ้อมท้ังส้ิน การฝึกซ้อมเป็นการสร้างเสริมความมั่นใจของผู้พูดเกี่ยวกับเน้ือหาและการใช้ ภาษา นอกจากนนั้ ยังเป็นการตรวจสอบบุคลิกภาพของตนให้พรอ้ มก่อนการพดู จรงิ ๕. มคี วามมนั่ ใจ ผพู้ ดู ทด่ี ีเม่ือถงึ เวลาพูดต้องมีความมั่นใจ ทาหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด รักษาเวลา แสดง ท่วงท่าการพูดใหด้ สู งา่ งาม นา่ เช่ือถือ ใช้สื่อประกอบการพูดให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ท่ีจะพูด การแต่งกาย เหมาะสม ประสานสายตาและมีรอยย้ิมท่ีเป็นมิตรกับผู้ฟัง ใช้ภาษาให้เกิดประโยชน์ ให้เกียรติผู้ฟังเสมอ และ ต้องดาเนินการพูดไปตามลาดับขน้ั ตัง้ แตก่ ารทกั ทายทีเ่ หมาะสม มีข้นั นาท่ีน่าสนใจ นาเสนอเน้ือเร่ืองเป็นลาดับ ไม่วกวน และขนั้ สรปุ ตอ้ งยา้ ความคดิ ให้ชดั เจนประกอบกบั สร้างความประทบั ใจให้ผ้ฟู ังเปน็ การทิง้ ทา้ ยดว้ ย ๖. ประเมนิ ผลเพ่ือพัฒนา ผู้พูดท่ีดีจะต้องไม่ละเลยการประเมินผล ทั้งการประเมินผลด้วยตนเองหรือ ใหผ้ อู้ ื่นประเมนิ การประเมินผลการพดู ส่วนใหญม่ ่งุ เนน้ ท่กี ารเตรียมตัวของผู้พูด การใช้ภาษา การให้ข้อมูลต่าง ๆ บุคลิกภาพและท่าทางการแสดงออก ท่ีสาคัญคือ มีเน้ือหาที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ เมื่อประเมินผลแล้ว พบวา่ เน้อื หาทพ่ี ูดไปน้นั สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ท่ีกาหนด ผู้ฟังเกิดการตอบสนองตามวัตถุประสงค์ แสดงว่า การพดู ในคร้ังน้ันประสบความสาเรจ็ ตามวตั ถุประสงค์ การพูดวิเคราะห์และวิจารณ์จากเรื่องที่ฟังและดู เป็นการพูดรูปแบบหน่ึงท่ีมีลักษณะสาคัญในการ แยกแยะข้อมูลและการแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผล ซ่ึงการพูดที่ดีต้องมีวัตถุประสงค์เด่นชัด หาข้อมูลให้ เพียงพอ เตรียมบทพูด ฝกึ ซอ้ มให้พรอ้ ม มคี วามมน่ั ใจ และประเมินผลเพ่ือพัฒนา

๗๐เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ การพูดในโอกาสต่าง ๆ การพูดเป็นทักษะการส่งสารที่สาคัญ มนุษย์ใช้ทักษะน้ีในการสื่อสารความคิดของตนเองในโอกาส ต่าง ๆ อย่างสม่าเสมอ จนหลายครั้งมนุษย์คิดว่าการพูดไม่ว่าโอกาสใดก็ไม่แตกต่างกัน ความจริงแล้วการพูด ในแต่ละโอกาสมีความแตกต่างกันท้ังส้ิน ไม่ว่าจะเป็นองค์ประกอบของผู้พูด ผู้ฟัง สาร กาลเทศะ หรือสถานท่ี ความแตกต่างของแต่ละโอกาสเหล่านี้ ผู้พูดท่ีดีจะต้องพิจารณาเสมอว่าแต่ละโอกาสท่ีตนเองพูด มีวัตถุประสงค์อย่างไรเป็นสาคัญ เพ่ือเตรียมการพูดให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ท่ีกาหนดไว้ อันจะนาไปสู่ การพูดท่ีสัมฤทธผิ์ ล สาหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ นี้ นักเรียนจะได้รู้จักการพูดใน ๓ โอกาสด้วยกัน คือ การพูดอวยพร การพูดโน้มน้าว และการพูดโฆษณา การพดู อวยพร การพูดอวยพรเป็นธรรมเนียมสากลของมนุษย์ทุกชนชาติ ทุกภาษา สาหรับคนไทยเป็นค่านิยมหนึ่ง ท่ใี ห้ทกุ คนไดม้ ีโอกาสปฏบิ ัติตอ่ กนั เพื่อแสดงความรกั ความห่วงใย และความปรารถนาดี จากผพู้ ูดสผู่ ฟู้ ัง ข้อควรปฏิบัติในการพดู อวยพรทดี่ ี ๑. ทาความเข้าใจกับตนเองให้ชัดเจนว่าทาหน้าท่ีพูดอวยพรในโอกาสใด เช่น วันคล้ายวันเกิด วันที่ สาเรจ็ การศึกษา วนั ขึน้ ปใี หม่ วันเกษียณอายุราชการ ๒. รู้วัยวุฒิและคุณวุฒิของผู้ที่ได้รับการอวยพร ซ่ึงเป็นสิ่งที่ผู้พูดต้องให้ความสาคัญ เพราะสาหรับ สังคมไทยน้ันมีค่านิยมในการให้เกียรติบุคคลที่มีระดับของอายุ การศึกษา และหน้าที่การงานแตกต่างกัน การ พดู อวยพรจึงควรสอดคลอ้ งกับค่านิยมดังกลา่ ว รวมถึงการใชภ้ าษาใหเ้ หมาะสมด้วย

๗๑เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ ตวั อย่างท่ี ๑ นักเรยี นพดู อวยพรให้ครูในโอกาสวนั ข้นึ ปีใหม่ เนื่องในวารดิถีข้ึนปีใหม่ ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักด์ิสิทธิในสากลโลก ช่วยดล บันดาลให้อาจารย์พบแต่ความสุขและความสาเร็จในทุก ๆ ส่ิง รวมท้ังขอให้อาจารย์มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง เป็นทรี่ กั ของพวกเราทกุ คนตลอดไปครบั ข้อสงั เกต - ผ้นู อ้ ยจะไม่พูดอวยพรผ้ใู หญโ่ ดยกล่าวขน้ึ มาลอย ๆ แต่จะนิยมเชิญส่งิ ศกั ด์สิ ทิ ธิมาอวยพร - ควรใชภ้ าษาทางการ เรียงรอ้ ยถ้อยคาอยา่ งไพเราะและจริงใจ ตัวอยา่ งท่ี ๒ ครพู ูดอวยพรให้นักเรียนในโอกาสวันขนึ้ ปีใหม่ ในปีใหม่น้ี ครูขอให้นักเรียนทุกคนมีความสุข หากคิดหวังสิ่งใดก็ขอให้สมหวัง ประสบความสาเร็จทั้ง การเรยี นและการใชช้ วี ิต มีรา่ งกายแขง็ แรง เปน็ ลกู ท่ดี ขี องพอ่ แม่ และเปน็ ลกู ศษิ ย์ท่ีดขี องครูตลอดไป ข้อสังเกต - ผใู้ หญส่ ามารถพดู อวยพรผ้นู ้อยไดโ้ ดยไมต่ อ้ งเชิญส่งิ ศักดส์ิ ทิ ธิ์ - ภาษาทางการแต่มีความเปน็ กันเองมากขึ้น โดยยังคงความไพเราะและจรงิ ใจของถ้อยคาไว้เสมอ การพดู โน้มนา้ ว การพูดโน้มน้าว คือ การส่งสารที่มุ่งให้ผู้ฟังมีความคิดเห็นและความรู้สึกคล้อยตามผู้พูด หรือกระทา การอย่างใดอย่างหน่ึงตามท่ีผู้พูดต้องการ เช่น การพูดโฆษณาสินค้า การพูดหาเสียง การพูดเชิญชวนให้ทา กจิ กรรมท่เี ปน็ ประโยชน์ เชน่ รณรงคใ์ ห้รักษาความสะอาด เชญิ ชวนบรจิ าคโลหติ ข้อควรคานึง การพูดโน้มน้าวเป็นการมุ่งเปล่ียนความคิดหรือพฤติกรรมของผู้ฟังโดยใช้กลวิธีการพูด ของผู้พูดเปน็ หลัก หากผู้ฟังรู้สึกต้องเปล่ียนความคิดหรือพฤติกรรม โดยมีเหตุจากการถูกบังคับหรือราคาญต่อ การเขา้ มาวนุ่ วายของผู้พดู ลักษณะดงั กล่าวน้ไี มถ่ ือเป็นการพดู โน้มน้าว

๗๒เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ ข้อควรปฏบิ ัตใิ นการพูดโน้มนา้ วท่ีดี ๑. ผู้พูดควรมีคุณธรรมประจาใจเป็นพื้นฐาน การพูดโน้มน้าวที่ดีต้องไม่เกิดจากการกระทาทุกวิถีทาง เพ่ือให้ได้ตามที่ผู้พูดต้องการโดยไม่คานึงถึงความถูกต้อง ดังน้ัน ผู้พูดต้องมีคุณธรรม และรู้จักเลือกใช้กลวิธีใน การโน้มนา้ วอย่างจรงิ ใจและคานงึ ถงึ ความสมเหตสุ มผลเปน็ สาคัญ ๒. ผู้พูดควรรถู้ งึ ความต้องการพืน้ ฐานของผู้ฟัง เพราะถอื เป็นปจั จัยสาคัญที่จะนาให้ผู้ฟังรู้สึกว่าควรคิด ตามหรือปฏิบัติตามดีหรือไม่ เช่น ถ้าครูต้องการให้นักเรียนตั้งใจเรียน ครูควรรู้ว่านักเรียนส่วนใหญ่มีความ ต้องการพ้ืนฐานเกี่ยวกับผลการเรียนท่ีดี การพูดโน้มน้าวของครูจึงควรใช้ความต้องการพื้นฐานน้ีมา ประกอบการพดู โนม้ น้าวใหน้ ักเรยี นต้งั ใจเรียน ๓. ผู้พูดควรรู้จักใช้กลวิธีการโน้มน้าวอย่างเหมาะสม มีความรู้ชัดเจนในเร่ืองท่ีพูด เพ่ือเป็นการสร้าง ศรัทธาและความน่าเชื่อถือ แล้วแสดงออกด้วยความจริงใจ ใช้ภาษาท่ีเข้าใจง่าย สร้างความรู้สึกเป็นมิตร กระตุ้นให้มีอารมณ์ความรู้สึกร่วมกัน ย้าเตือนให้ผู้ฟังรู้สึกได้ว่าถ้าผู้ฟังคิดคล้อยตามหรือปฏิบัติตามแล้วนั้น จะไดร้ บั สิ่งท่ีดแี ละเป็นประโยชน์ แต่ถา้ คิดตรงกนั ข้ามผฟู้ งั จะเสยี ประโยชน์ทีค่ วรไดร้ ับอย่างนา่ เสียดาย การพดู โฆษณา การพูดโฆษณา คือ การพูดประกาศให้ผู้ฟังรับรู้ข้อความ ส่วนใหญ่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการค้าขายและ ธุรกิจ ผู้พูดต้องการให้ผู้ฟังสนใจและปฏิบัติตามการโฆษณาน้ัน เช่น การโฆษณาสินค้าและบริการเกี่ยวกับ โทรศพั ท์รุ่นใหม่ทน่ี าเขา้ จากต่างประเทศ ผู้พูดจะพูดแนะนาคุณสมบัติและองค์ประกอบของการใช้โทรศัพท์รุ่น ใหมน่ ้ี รวมทง้ั ผู้พูดจะพยายามนาเสนอใหผ้ ้ฟู ังเข้าใจถงึ ข้อดแี ละประโยชนต์ า่ ง ๆ ที่ผู้ฟังจะได้รับ การพูดโฆษณาจัดเป็นการพูดโน้มน้าวรูปแบบหน่ึง ดังนั้น ข้อควรปฏิบัติของการพูดโฆษณาจึงมี ลกั ษณะตรงกบั การพูดโน้มน้าว คอื ผ้พู ดู โฆษณาต้องมีคุณธรรม รบั รู้ถึงความต้องการพ้ืนฐานของผู้ฟัง และรู้จัก ใช้กลวิธีการพูดโฆษณาให้เหมาะสมตามลักษณะของสินค้า การบริการ และสอดคล้องกับบุคคลที่เป็น กลุ่มเป้าหมายของสินค้าและบรกิ ารนัน้ ขอ้ ควรคานึง ผู้พูดควรมีความรู้และความเข้าใจเก่ียวกับสินค้าและบริการท่ีจะพูดโฆษณาให้มากที่สุด รวมทั้งต้องรู้จักวิเคราะห์หาจุดเด่นจุดด้อยของสินค้าและบริการ และต้องรู้จักนาเสนอจุดเด่นของสินค้าและ บรกิ ารนน้ั ใหผ้ ฟู้ ังเห็นเปน็ รปู ธรรม เขา้ ถึงไดง้ า่ ย และคิดวา่ จะไดร้ บั ประโยชนจ์ ากจุดเดน่ ท่ีนาเสนอนนั้ มากที่สดุ

ประโยคในภาษาไทย หนา้ ๗๔ คําทีมาจากต่างประเทศ หนา้ ๘๒ การแต่งคําประพนั ธป์ ระเภทกลอนสภุ าพ หนา้ ๙๐

๗๔เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ ประโยคในภาษาไทย ประโยค หมายถึง คาหรือกลมุ่ คาทน่ี ามาเรียงต่อกันอยา่ งเป็นระเบยี บ มีใจความสมบรูณ์ ประโยค ประกอบด้วยส่วนสาคัญสองส่วนคือ ภาคประธานและภาคแสดง และแต่ละสว่ นอาจมสี ่วนยายหรอื ไม่มกี ็ได้ เช่น ณเดชไปมหาวิทยาลยั ตารวจจับคนร้าย เปน็ ตน้ ๒. ส่วนประกอบของประโยค ประโยค = ภาคประธาน + ภาคแสดง ประโยคประกอบด้วยสว่ นสาคญั ๒ สว่ น คือ ภาคประธานและภาคแสดง ดงั น้ี ภาคประธาน คือ คาหรือกลุ่มคาท่ีทาหน้าที่เป็นผู้กระทาหรือผู้แสดง เป็นส่วนสาคัญของประโยค คาทท่ี าหนา้ ทเี่ ป็นผ้กู ระทาอาการ ไดแ้ ก่ คานาม คาสรรรพนาม (เด็ก ๆ ดูง่าย ๆ คือ “ใคร” หรอื “อะไร” ภาคแสดง คอื เป็นส่วนแสดงอาการของภาคประธานเพอื่ ให้ได้ใจความท่ีสมบูรณ์ว่าประธานทากริยา อยา่ งไร (เด็ก ๆ ดูงา่ ย ๆ คอื ทาอะไร เกิดอะไรขึน้ ) ภาคแสดงประกอบดว้ ย - บทกรยิ า คือ สว่ นที่แสดงการกระทาของประธาน อาจจะมีกรรมมารบั หรือไม่มีก็ได้ - บทกรรม คือ ส่วนท่ีเป็นผู้ถูกกระทา ในกรณีที่กริยายังไม่มีความหมายสมบูรณ์ในตัวเอง จะต้องมีกรรมมารองรับ ประโยคจึงจะมีใจความสมบรู ณ์ - ส่วนเติมเต็มหรือบทประกอบกริยา คือ ส่วนท่ีทาหน้าท่ีเสริมใจความของประโยคให้ สมบรู ณ์ จะทาหนา้ ทค่ี ล้ายกรรมแต่ไมใ่ ช่กรรม เพราะไม่ไดถ้ กู กระทา (กรยิ าท่ีใช้ในบทประกอบกริยาหรือส่วน เติมเต็มจะเป็นกริยาท่ีไม่มีความหมายในตัวเอง จะต้องมีนามหรือสรรพนามมาขยายจึงจะมีใจความสมบูรณ์ ได้แกก่ ริยา เป็น เหมอื น คลา้ ย เท่า คอื ) ดังนั้น ประโยคท่ีมีใจความสมบูรณ์จะต้องประกอบด้วยส่วนสาคัญ ๒ ส่วน คือ ภาคประธานและภาค แสดง ซง่ึ อาจมกี รรม และสว่ นขยายหรือไมก่ ็ได้

๗๕เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ ๓. วิเคราะห์โครงสร้างประโยคทวั่ ไป โครงสร้างประโยค ๒ สว่ น ประธาน+กรยิ า สนุ ขั + ว่งิ ประธาน+ขยายประธาน+กริยา สนุ ัข + บางแกว้ + วิ่ง ประธาน+ขยายประธาน+กริยา+ขยายกริยา สุนัข + บางแก้ว + ว่ิง + เร็ว โครงสร้างประโยค ๓ สว่ น สนุ ัข + กดั + ตฤณ ประธาน+กรยิ า+กรรม ประธาน+ขยายประธาน+กริยา+กรรม+ขยายกริยา สนุ ัข + บางแกว้ + กดั + ตฤณ + อยา่ งแรง ประธาน+ขยายประธาน+กริยา+กรรม+ขยายกรรม+ขยายกริยา สนุ ขั + บางแก้ว (ขยายประธาน) + กดั + เดก็ + ผูช้ าย (ขยายกรรม) + อย่างแรง (ขยายกริยา) ประโยคจะต้องมีทงั้ ภาคประธาน (ใคร) และภาคแสดง (ทาอะไร) ถ้ามแี ต่ภาค ประธาน (นามวลี) = ประโยคไมส่ มบูรณ์ เช่น แมวอว้ น, เดก็ นกั เรียนผ้ชู ายคนนน้ั , นกั เรียนทว่ี ิง่ อยูน่ ั้น, เจา้ สาวแสนสวย, คอมพวิ เตอร์ท่ีตง้ั อยู่บนโตะ๊ เครอ่ื งนนั้ ๔. ชนิดของประโยคแบง่ ตามโครงสร้าง ประโยค ตามโครงสรา้ งในภาษาไทยแบ่งออกเปน็ ๓ ชนดิ ดงั น้ี ประโยคสามญั (ประโยคความเดยี ว) ประโยครวม (ประโยคความรวม) ประโยคซ้อน (ประโยคความซอ้ น)

๗๖เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ ๔.๑ ประโยคสามัญ (ประโยคความเดยี ว) ประโยคสามัญ (ประโยคความเดียว) คือ ประโยคท่ีมีใจความสาคัญเพียงใจความเดียว หรือ ประโยคท่มี ีประธานและมกี ริยาหลักเพียงตัวเดยี ว สามารถจาแนกตามบทกริยาได้ ดงั นี้ ๑. ประโยคทใ่ี ชก้ รยิ าไมม่ ีกรรม ประกอบด้วย บทประธานและบทกริยา นบั เปน็ ประโยคทเ่ี ล็กทส่ี ดุ เชน่ ประโยค ภาคประธาน ภาคแสดง ๑. ฝนตก ประธาน ขยายประธาน กริยา ขยายกริยา กรรม ขยายกรรม ๒. น้องรอ้ งไห้ - ๓. ฉันหวิ มาก ฝน - ตก - - - - น้อง - รอ้ งไห้ - - ฉนั - หิว มาก - ๒. ประโยคท่ีใช้กริยามีกรรม ประกอบด้วย บทประธาน บทกริยา และบทกรรม เชน่ ประโยค ภาคประธาน ภาคแสดง ๑. เจมส์มารก์ นิ ไก่ทอด ประธาน ขยายประธาน กริยา ขยายกริยา กรรม ขยายกรรม ๒. นักเรยี นเขยี นหนังสือ - ๓. ชยั วฒั น์เตะฟตุ บอล เจมสม์ าร์ - กนิ - ไก่ทอด - - นกั เรยี น - เขยี น - หนงั สือ ชยั วฒั น์ - เตะ - ฟตุ บอล ๓. ประโยคที่ใช้กริยาอาศัยส่วนเติมเต็ม ประกอบด้วย บทประธาน บทกริยา และบทประกอบ กริยาหรอื ส่วนเตมิ เต็ม เช่น ภาคประธาน ภาคแสดง ประโยค ประธาน ขยาย กริยา ขยาย บทประกอบกรยิ าหรือสว่ นเติมเต็ม ประธาน กรยิ า คอื ๑. กีฬาคอื ยาวเิ ศษ กีฬา - เปน็ - ยาวเิ ศษ คลา้ ย ๒. การวิง่ เป็นการออกกาลงั กาย การว่งิ - - การออกกาลังกาย ๓. เครอื่ งบนิ คลา้ ยนก เครื่องบนิ - - นก

๗๗เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ ๔. ประโยคที่ใช้กริยาช่วย ประกอบด้วย บทประธาน บทกริยาช่วย บทกริยา บทกรรม และบท ประกอบกริยาหรือสว่ นเติมเต็ม เช่น ภาคประธาน ภาคแสดง ประโยค ประธาน ขยาย กรยิ าช่วย กริยา กรรม บทประกอบกริยาหรือสว่ น ประธาน เตมิ เต็ม ครูกาลงั มา ครู - กาลงั มา - - นักเรยี นคงจะอ่านหนังสอื นกั เรยี น - คง อา่ น หนังสือ - ฉันจะเป็นดารา ฉัน - จะ เปน็ - ดารา ขอ้ สงั เกต : ประโยคสามัญจะมีประธานและบทกรยิ าหลกั เพยี งตัวเดยี วเทา่ น้ัน สูตรการพจิ ารณาประโยคสามญั (ประโยคความเดียว) S + V (กริยาหลักตัวเดยี ว) ๔.๒ ประโยครวม (ประโยคความรวม) ประโยครวม (ประโยคความรวม) คือ ประโยคท่ีเกิดจากประโยคสามัญต้ังแต่ ๒ ประโยคข้ึนไป มารวมกัน โดยเมื่อแยกประโยคออกจะมีใจความสมบูรณ์ในตัวเอง ไม่ได้ประกอบหรือขยายซึ่งกันและกัน โดย ประโยครวมจะมคี าสันธานเชื่อมระหวา่ งประโยคสามัญเหล่าน้นั เชน่ - ฉันชอบทาการบ้านและดโู ทรทัศนด์ ้วย - พอครูเข้ามาในห้อง พวกเราก็หยดุ เล่นทันที - เพราะเขาขยันจึงสอบไดค้ ะแนนดที ุกวชิ า

๗๘เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ ชนดิ ของประโยคความรวม ๑. ประโยครวมท่ีมีเน้ือความคล้อยตามกัน คือ การนาประโยคที่มีใจความไปในแนวเดียวกันหรือ สอดคล้องกันมารวมกัน โดยใช้คาสันธาน เช่น และ, ท้ัง...และ, แล้วก็, แล้ว...ก็, แล้วจึง, แล้ว…จึง, พอ…ก็, ครั้น…จงึ ฯลฯ เป็นตัวเชือ่ ม เชน่ ประโยคความรวม ประโยคความเดยี ว คาสนั ธาน ประโยคความเดียว และ ใหมไ่ ปกนิ ส้มตาท่รี ้านชบา ๑. เต๋อและใหม่ไปกนิ ส้มตาที่ เตอ๋ ไปกินสม้ ตาที่ร้านชบา แล้ว…ก็ เขากลับบา้ น รา้ นชบา คร้นั …จงึ ตารวจออกไปทางาน ๒. ทางานเสร็จแล้วเขากก็ ลับบ้าน เขาทางานเสร็จ ๓. คร้ันฝนหยดุ ตกตารวจจงึ ฝนหยดุ ตก ออกไปทางาน ๒. ประโยครวมทม่ี ีเน้อื ความขัดแย้งกัน คอื การนาประโยคทีม่ ใี จความไม่เปน็ ไปในแนวเดียวกนั มารวมกนั โดยใชส้ ันธาน แต่, แตท่ ว่า, แต่…ก็, กวา่ …ก็, ถงึ …ก็, ส่วน ฯลฯ เป็นตัวเช่ือม เชน่ ประโยคความรวม ประโยคความเดียว คาสนั ธาน ประโยคความเดยี ว ๑. ลีมนิ โฮขยนั อา่ นหนังสอื แต่ ลีมนิ โฮขยนั อา่ นหนังสือ แต่ ลีมนิ โฮสอบได้คะแนนนอ้ ย สอบได้คะแนนน้อย ๒. ถงึ เธอไม่หล่อแตฉ่ ันกร็ ักเธอ เธอไม่หล่อ ถึง…ก็ ฉนั รักเธอ ๓. เธอคอื นางฟา้ ส่วนฉันเปน็ เธอคอื นางฟ้า สว่ น ฉันเปน็ หมาวัด หมาวดั ๓. ประโยคที่มเี นือ้ ความใหเ้ ลอื กเอาอย่างใดอย่างหน่ึง คือ การนาประโยคทีม่ ีใจความใหเ้ ลือก อยา่ งใดอยา่ งหนึง่ มารวมกัน โดยใชส้ นั ธาน หรอื , หรอื ไมก่ ็, ไม…่ ก็, มฉิ ะน้ันก็, ไม.่ ..ก็ ฯลฯ เปน็ ตัวเชื่อม เช่น ประโยคความรวม ประโยคความเดียว คาสนั ธาน ประโยคความเดยี ว ๑. ไมเ่ ขากฉ็ นั จะต้องไปจากที่นี่ เขาต้องไปจากทีน่ ่ี ไม…่ ก็ ฉันต้องไปจากท่นี ี่ ๒. เธออยากเป็นผชู้ นะหรือผแู้ พ้ เธออยากเป็นผูช้ นะ หรือ เธออยากเป็นผแู้ พ้ไป ๓. หัวหนา้ ห้องหรอื ไม่กร็ อง หัวหน้าห้องต้องไปพบครูที่ หรือไม่ก็ รองหวั หนา้ หอ้ งต้องไปพบครูที่ หวั หน้าหอ้ งตอ้ งไปพบครูที่ หอ้ งพักครู หอ้ งพักครู ห้องพักครู

๗๙เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ ๔. ประโยคที่มีเนื้อความเป็นเหตุเป็นผลกัน คือการนาประโยคที่มีใจความของประโยเป็นเหตุเป็น ผลกัน โดยใช้สันธาน เพราะ, จึง, เพราะ…จึง, ดังน้ันจึง, ดังนั้น...จึง, ฉะนั้นจึง, เพราะฉะน้ัน ฯลฯ เป็นตัวเช่ือม เช่น ประโยคความรวม ประโยคความเดียว คาสันธาน ประโยคความเดยี ว เพราะ…จึง หนมุ่ ๆ หลงรัก ๑. เพราะมาดามมดสวยจงึ หน่มุ ๆ มาดามมดสวย หลงรกั ๒. เขาไมเ่ คยช่วยเหลือคนอื่น เขาไม่เคยชว่ ยเหลอื คนอ่ืน เพราะฉะนน้ั จงึ เขาไม่มีเพื่อน เพราะฉะนั้นจึงไม่มีเพื่อน ๓. ว้นุ เสน้ รับประทานอาหารไม่ ว้นุ เสน้ รับประทานอาหาร ดงั น้ันจึง ว้นุ เส้นเป็นโรคกระเพาะอาหาร เปน็ เวลาดังนัน้ จงึ ทาใหเ้ ป็นโรค ไมเ่ ป็นเวลา กระเพาะอาหาร ขอ้ สงั เกต ในประโยคท่ใี ช้สันธาน “เพราะ” ถา้ ประโยคทเ่ี ปน็ เหตุข้ึนก่อน จะเปน็ ประโยคความรวมท่มี ีเน้ือความ เป็นเหตุเป็นผลกนั แต่หากว่าประโยคทเ่ี ป็นผลข้ึนก่อนแลว้ ตามดว้ ยประโยคท่ีเป็นเหตุจะเปน็ ประโยค ความซอ้ น เช่น เพราะเขามาทีบ่ า้ น เธอจึงออกจากบ้าน (ประโยคความรวม) เธอออกจากบ้าน เพราะเขามาที่บ้าน (ประโยคความซ้อน) จะเห็นวา่ ประโยคหลักคือ เธอออกจากบ้าน ประโยคย่อย คือ เขามาทบ่ี ้าน ซ่ึงไปขยายกรยิ าของ ประโยคหลกั คือ ออก (ออกเพราะเขามา) สูตรการพจิ ารณาประโยครวม (ประโยคความรวม) S + V + (สนั ธาน) + S + V 1. ประโยคความรวมจะต้องมีกริยาหลกั ๒ ตวั ขึน้ ไป (ประธานทากรยิ ามากกว่า ๑ อย่าง) 2. พิจารณาจาก เหตุ ไปหา ผล 3. อาจมีคาเชอ่ื มหรือไมม่ ีคาเช่ือมก็ได้ ถ้าไม่มคี าเช่อื ม (ละคาว่า และ) แมวตัวอว้ นไล่/ตะครุบเหยอ่ื ริมกาแพง

๘๐เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ ๔.๓ ปร4ะ.โยคซอ้ น (ประโยคความซอ้ น) ประโยคซ้อน (ประโยคความซ้อน) คือ ประโยคที่ประกอบด้วยประโยคหลัก (มุขยประโยค) และประโยคย่อย (อนปุ ระโยค) ซง่ึ เป็นประโยคสามญั ซ้อนอยู่และประโยคที่ซ้อนอยู่น้ีอาจทาหน้าท่ีเป็นประธาน บทขยายประธาน ส่วนเติมเต็ม กรรม หรือบทขยายกรรม ของประโยคหลักก็ได้ โดยประโยคย่อยมักจะขึ้นต้น ดว้ ยคาเช่อื ม ท่ี ซ่ึง อัน วา่ เชน่ ประโยค ประโยคหลัก ประโยคย่อย คาเชอ่ื ม ๑. ผู้หญิงท่ีสวมเส้ือสีรุ้งเป็นน้องสาวของ ผ้หู ญงิ เป็นน้องสาวของฉนั (ผู้หญงิ ) ท่ีสวมเส้อื สรี ุ้ง ท่ี ฉัน (ขยายประธาน) ๒. ครูบอกว่าโรงเรียนใกล้จะปิดภาคเรียน ครบู อก โรงเรยี นใกล้จะปิดภาค ว่า ปลายแลว้ เรียนปลายแล้ว (กรรม) ๓. เราทกุ คนควรเร่งกระทางานอนั เป็น เราทกุ คนควรเร่งกระทา (งาน) อนั เปน็ ประโยชน์ตอ่ อนั ประโยชน์ตอ่ สงั คม งาน สงั คม (ขยายกรรม) ประโยคซ้อนแบ่งตามหนา้ ทีข่ องอนุประโยคได้ ๓ ชนิด ดังนี้ ๑. นามานปุ ระโยค คอื ประโยคย่อยทาหนา้ ทเี่ หมอื นคานาม อาจเป็นบทประธาน บทกรรม หรือ สว่ นเติมเต็มของประโยคหลกั มกั เชอ่ื มดว้ ย วา่ , ให้ หรืออาจไมม่ ตี ัวเช่อื มกไ็ ด้ เชน่ ประโยค ประโยคหลัก ประโยคย่อย คาเชือ่ ม คนรบั ประทานอาหาร - ๑. ครูอ้วนไม่ชอบคนรับประทานอาหาร ครอู ว้ นไมช่ อบ มมู มาม (กรรม) ครูใสเ่ สอ้ื สเี ขยี ว (ประธาน) - มูมมาม เขาชอบเรยี นภาษาไทย ว่า (กรรม) ๒. ครูใส่เส้ือสเี ขียวนัง่ กนิ ข้าว ครูนัง่ กินข้าว ๓. เขาพูดวา่ เขาชอบเรยี นภาษาไทย เขาพูด

๘๑เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ ๒. คณุ านุประโยค คือ ประโยคย่อยทาหน้าทเี่ หมอื นคาวิเศษณ์ ขยายนามหรือสรรพนามในประโยค หลกั และมปี ระพนั ธสรรพนาม มกั เชอ่ื มดว้ ย ที่, ซง่ึ , อนั เชน่ ประโยค ประโยคหลกั ประโยคยอ่ ย คาเชอ่ื ม ท่ี ๑. หนงั สือทีแ่ ทมนิ ใหฉ้ ันยืมเปน็ หนังสือท่ีดี หนังสอื เป็นหนงั สือทีด่ มี าก (หนังสือ)ท่แี ทมินใหฉ้ ันยมื อัน มาก (ขยายประธาน) ที่ ๒. เราหวงแหนแผ่นดินไทยอันเป็นบ้าน เราหวงแหนแผน่ ดินไทย (แผ่นดนิ ไทย) อันเป็นบ้าน เกิดเมืองนอนของเรา เกิดเมืองนอนของเรา (ขยายกรรม) ๓. ครูท่ีใกล้ชดิ กับนกั เรยี นมากย่อมทราบ ครยู ่อมทราบอุปนสิ ัยของ (คร)ู ท่ีใกล้ชดิ กับนักเรยี น อปุ นสิ ยั ของนักเรยี นดี นักเรยี นดี มาก (ขยายประธาน) ยกเวน้ ท,ี่ ซง่ึ , อนั ที่ไม่ได้ใช้สาหรับเชอ่ื มความ เชน่ สนุ ทรภไู่ ปนมัสการพระพทุ ธบาททสี่ ระบรุ ี ๓. วิเศษณานุประโยค คือ ประโยคย่อยทาหน้าที่ขยายคากริยาหรือคาวิเศษณ์ และใช้คาเชื่อม ได้แก่ เมือ่ ขณะท่ี ตั้งแต่ ก่อน หลังจาก เพราะ เพราะวา่ เพ่ือ จน จนกระท้ัง อยา่ งท่ี ราวกบั ฯลฯ เชน่ ประโยค ประโยคหลัก ประโยคยอ่ ย คาเช่อื ม ๑. ครทู างานหนกั จนปว่ ยไปหลายวัน ครทู างานหนัก (ทางาน) จนปว่ ยไปหลาย จน วัน (ขยายกรยิ า) ๒. กานดาอ่านหนังสือพิมพ์ระหว่างน่ังรอ กานดาอ่านหนงั สือพิมพ์ (อ่าน) ระหว่างนง่ั รอเพื่อน - (ขยายกริยา) เพื่อน (มาก) ถงึ ขนาดยอมนอน ถึง ดึก (ขยายวิเศษณ์) ๓. ใบหมอ่ นชอบรายการทอล์คโชว์มากถึง ใบหม่อนชอบรายการ ขนาดยอมนอนดึก ทอล์คโชว์มาก เวลาสงั เกตประโยคความซ้อน มกั จะมีคาวา่ “ท่ี ซึ่ง อนั ” + ประโยคย่อย (อนปุ ระโยค) แต่ถ้า ท+ี่ นาม แสดงว่า ที่ เปน็ บพุ บท เช่น ทีน่ า ที่บา้ น ท่ีหอประชมุ ท่หี ้องสมดุ ท่ีน่ัง ซงึ่ ถา้ เทียบกับภาษาอังกฤษ ที่ = at (at home, at school etc.)

๘๒เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ คาทมี่ าจากภาษาตา่ งประเทศ คนไทยมีเอกลักษณ์ประจาชาติอยู่ประการหนึ่งคือมีความใจกว้าง โอบอ้อมอารี ดังนั้นทาให้ ชาวต่างชาติท่ีมาติดต่อคบค้าหรือติดต่อสัมพันธ์กับคนไทย มีทัศนคติที่ดีต่อคนไทย และมีการแลกเปลี่ยน ความรู้ ความคิด รวมท้ังศิลปวัฒนธรรมด้านต่าง ๆ ตลอดจนด้านภาษา คนไทยก็เปิดกว้างรับเอาภาษาของ ชาติต่าง ๆ มามาก จนบางคาก็กลืนเป็นคาไทย บางคาก็พอสืบต้นตอได้ว่ามาจากภาษาใด ดังน้ันการศึกษา ท่ีมาของคาตา่ งประเทศทอี่ ยู่ในภาษาไทย จะทาใหเ้ ราทราบถึงพัฒนาการของภาษาไทยในอีกแง่มมุ หน่งึ สาเหตุทม่ี ีการยืมคาภาษาต่างประเทศที่ใช้ในภาษาไทย ๑. สภาพภูมิศาสตร์ คือ ประเทศไทยมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศต่าง ๆ ได้แก่ พม่า ลาว เขมร มาเลเซีย จึงทาใหค้ นไทยทีอ่ ย่อู าศยั บริเวณชายแดนเดินทางข้ามแดนไปมาหาสู่กันและมีความเก่ียวข้องสัมพันธ์ กัน จึงมีการแลกเปล่ียนภาษากัน เช่น คนไทยที่อยู่ในจังหวัดสุรินทร์ ศรีษะเกษ บุรีรัมย์ ก็จะสามารถส่ือสาร ด้วยภาษาเขมรได้ คนไทยท่ีอยใู่ นจงั หวัดปตั ตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา กร็ บั เอาภาษามลายเู ขา้ มาใช้ เป็นต้น ๒. ประวัติศาสตร์ ชนชาติไทยเป็นชนชาติที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน มีการอพยพโยกย้าย ของคนไทยเข้ามาอยู่ในถ่ินอาศัยปัจจุบัน ซ่ึงแต่เดิมมีชนชาติอื่นอาศัยอยู่ก่อน เช่น เขมร ละว้า มอญ หรือ การทาศึกสงครามกับชนชาติอื่น มีการกวาดต้อนเชลยศึกและประชาชน พลเมืองชนชาติอื่น ๆ ให้มาอาศัย อยูใ่ นประเทศไทย ผคู้ นเหล่านีไ้ ด้นาถ้อยคาภาษาเดมิ ของตนเองมาใช้ปะปนกบั ภาษาไทยดว้ ย ๓. ศาสนา คนไทยมีเสรีภาพในการนับถือศาสนามาเป็นเวลาช้านาน เมื่อนับถือศาสนาใดก็ย่อมได้รับ ถ้อยคาภาษาที่ใช้ในคาสอน หรือคาเรียกชื่อต่าง ๆ ในทางศาสนาของศาสนานั้น ๆ มาปะปนอยู่ในภาษาไทย ด้วย เช่น ศาสนาพราหมณ์ใช้ภาษาสันสกฤต ศาสนาพุทธใช้ภาษาบาลี ศาสนาอิสลามใช้ภาษาอาหรับ และศาสนาคริสต์ใช้ภาษาอังกฤษ ดังนน้ั ภาษาตา่ ง ๆ ที่ใช้ในทางศาสนาก็จะเข้ามาปะปนในภาษาไทยด้วย ๔. การคา้ ขาย จากหลกั ฐานทางด้านประวัติศาสตร์ ชนชาติไทยมีการติดต่อค้าขาย แลกเปล่ียนสินค้า กับชนชาตติ า่ ง ๆ มาเป็นเวลาอันยาวนาน เช่น ชาวจนี ชาวโปรตุเกส ฝร่ังเศส อังกฤษ ฮอลันดา ตลอดถึงญี่ปุ่น ทาให้มีถ้อยคาในภาษาของชนชาติน้ัน ๆ เข้ามาปะปนอยู่ในภาษาไทยเป็นจานวนมาก ตลอดเวลาไม่มี การสิ้นสดุ ๕. วรรณคดี วรรณคดีอินเดียที่ไทยนาเข้ามา เช่น เร่ืองมหากาพย์รามายณะ และมหาภารตะ แต่งข้ึนเป็นภาษาสันสกฤต อิเหนา เป็นวรรณคดีที่มีเค้าเรื่องมาจากดาหลังของชวา ด้วยเหตุนี้วรรณคดีทาให้ ภาษาสันสกฤตและภาษาชวาเขา้ มาปะปนในภาษาไทย

๘๓เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ ๖. ความสัมพันธ์ทางด้านวัฒนธรรมและประเพณี เมื่อชนชาติต่าง ๆ เข้ามาสัมพันธ์ติดต่อกับ ชนชาติไทย หรือเข้ามาต้ังหลักแหล่งอยู่ในประเทศไทย ย่อมนาเอาวัฒนธรรมและประเพณีท่ีเคยยึดถือปฏิบัติ อยู่ในสังคมเดิมของตนมาประพฤติปฏิบัติในสังคมไทย นาน ๆ เข้าถ้อยคาภาษาท่ีเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม และประเพณีเหล่านั้น ก็กลายมาเป็นถ้อยคาภาษาที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจาวัน ของคนไทยมากขน้ึ ๗. การศึกษาและวิทยาการด้านต่าง ๆ จากการท่ีคนไทยเดินทางไปศึกษา ยังต่างประเทศ ทาให้ได้ใช้และพูดภาษาอ่ืน ๆ และรับเอาวิทยาการต่าง ๆ เม่ือสาเร็จการศึกษา จึงนาเอาภาษาของประเทศนั้นมาใช้ปะปนกับภาษาของตน เช่น ภาษาอังกฤษ ในปัจจุบันประเทศไทยกาลังเตรียมความพร้อมด้านการศึกษา เพ่ือก้าวสู่ประชาคมอาเซียนและมาตรฐานสากล โดยการจัดการศึกษาให้ผู้เรียน ได้เรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมประเทศสมาชิกสมาคมอาเซียน และภาษาที่สามารถส่ือสารกันในสากล ดังน้ัน การหลัง่ ไหลของภาษาตา่ ง ๆ ทีจ่ ะเข้ามาปะปนในภาษาไทยก็จะเพ่ิมมากขน้ึ ๘. ความสัมพันธ์ทางการทูต การเจริญสัมพันธไมตรีทางการทูต ในการอพยพ โยกย้าย หรือในการติดต่อทางการทูต ย่อมทาให้ภาษาของเจ้าของถ่ินเดิมหรือผู้อพยพโยกย้ายมาใหม่นามาใช้ร่วมกัน เช่น องั กฤษ ฝร่งั เศส ๙. อพยพย้ายถนิ่ ฐาน การอพยพย้ายถนิ่ ฐานมาจากสาเหตุหลายประการ เช่น สภาพเศรษฐกิจต้องไป ประกอบอาชีพยงั ประเทศต่าง ๆ ภยั สงคราม การเมืองการปกครอง คาท่ีมาจากภาษาบาลี-สนั สกฤต ภาษาบาลีสันสกฤตจดั เป็นภาษาหน่ึงในตระกูลภาษาอินโดยูโรเปียน (อินเดีย-ยุโรป) สาหรับนักเรียน ที่ถนัดภาษาอังกฤษ หรือภาษาฝรั่งเศสจะเข้าใจไวยากรณ์ของภาษาบาลีและสันสกฤตจนสามารถฝึกฝน จนชานาญไดเ้ ลย ภาษาบาลี เราใช้อักษรย่อว่า “ป.” เพราะมีอีกช่ือว่า “ปาลิ” และภาษาสันสกฤตเป็นภาษาเก่าแก่ ภาษาหน่ึงในตระกลู ท่ีไดก้ ล่าวไปแลว้ ข้างต้น โดยท้ังสองภาษามีความคล้ายคลึงกันส่วนใหญ่ ซ่ึงถ้าพิจารณากัน ลกึ ๆ จะเห็นวา่ “ภาษาบาลีและภาษาสนั สกฤตเป็นคนละภาษากนั ” หมายความว่า “ภาษาบาลี” มกั ใช้พดู คุย จดบันทกึ ทเี่ กี่ยวขอ้ งกบั พระพทุ ธศาสนา เช่น การบันทึกอรรถคาถาในพระไตรปิฎก ส่วนภาษาสันสกฤตจะเป็นภาษาทค่ี ่อนข้างมไี วยากรณ์ทย่ี ากกวา่ ปกติ จึงเปน็ ภาษาสาหรบั วรรณะกษัตริยท์ ีใ่ ช้สนทนากนั หรอื เรียนพระเวทยก์ ันเทา่ น้ัน (ท่ีมาจากทางพราหมณ์ เช่ือว่าเป็นภาษาทีเ่ ทพเจา้ ใช้สื่อสารกบั มนุษย์เพอ่ื ถา่ ยทอดความร้แู จ้ง และปัญญาญาณแก่เหลา่ ฤๅษี)

๘๔เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ ตารางพยญั ชนะภาษาบาลี ก่อนท่ีจะลงลึกไปมากกว่านี้ นักเรียนควรที่จะ “จา” ตารางพยัญชนะภาษาบาลีเสียก่อน ซ่ึงตารางน้ี มักจะเรียกว่า ตารางพยัญชนะวรรคในภาษาบาลี มีท้ังหมด ๕ วรรคสาคัญ แต่ละวรรคจะมีฐานกรณ์ ในการออกเสียงท่แี ตกต่างกนั ดังน้ี วรรค แถว ๑๒๓๔๕ วรรค ก กขคฆง วรรค จ จ ฉ ชฌญ วรรค ฏ ฏ ฐ ฑฒณ วรรค ต ตถทธน วรรค ป ปผพภม เศษวรรค ย (ยาย) ร (เรา) ล , ฬ (เลา่ ) ว (ว่า) ส (เสอื ) ห (หาย) (อัง) อะไรสะกด อะไรตาม… เมื่อนักเรียนสามารถท่องจาตารางวรรคในภาษาบาลีได้แล้ว ทีน้ีครูจะนานักเรียนมาสู่หลักการ วิเคราะห์คาที่มาจากภาษาบาลีโดยอาศัยหลกั การดู “ตัวสะกด-ตวั ตาม” ดงั นี้ ๑. กฎข้อท่ี ๑ แถวที่ ๑ สะกด แถวที่ ๑ และ ๒ ตาม เชน่ ทุกข์ รุกข์ มจั ฉา อิจฉา สัจจา วัตถุ บปุ ผา ๒. กฎข้อท่ี ๒ แถวที่ ๓ สะกด แถวที่ ๓ และ ๔ ตาม เช่น พยัคฆ์ มัชฌิม วฑุ ฒิ (วฒุ ิ) พุทธ คพั ภ์ ๓. กฎขอ้ ที่ ๓ แถวท่ี ๕ สะกด แถวที่ ๑-๕ ตามได้ เชน่ กังขา กญั ชา คมั ภรี ์ ปัญญา ๔. กฎขอท่ี ๔ เศษวรรคตอ้ งตามด้วยเศษวรรคกันเอง เช่น ตวั ย ตามดว้ ย ย – ล ตามด้วย ล และ ส ตามดว้ ย ส เชน่ อัยยกา ปัสสาวะ อิสสรยิ ะ (อิสริยะ) รัสสะ อสั สุ หัสสะ พสั สะ บัลลังก์ จลุ ล ** การสะกด-ตาม ตอ้ งอยใู่ นวรรคเดียวกันเท่าน้ัน (ไปยุ่งวรรคชาวบ้านไม่ได้) ตารางเปรียบเทยี บภาษาบาลี-สันสกฤต เม่อื นกั เรยี นทราบพยญั ชนะในภาษาบาลีทง้ั ๓๓ ตวั (ตามตารางวรรค) แลว้ ต่อไปครูจะเปรยี บเทียบ ลกั ษณะสาคญั ๆ ระหวา่ งภาษาบาลีและภาษาสนั สกฤตทีม่ ีความแตกต่างกนั อยา่ งเหน็ ได้ชดั เจน ดงั นี้ ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ๑. สระภาษาบาลมี ี ๘ ตัว ได้แก่ อะ อา อิ อี อุ อู เอ ๑. สระในภาษาสนั สกฤตมี ๑๔ ตวั ทีส่ ระบาลีไม่มี โอ เช่น เวช กัณห อสิ ิ ฯลฯ คอื ไอ เอา ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ สังเกตจากคาทีผ่ สมดว้ ย สระพวกนี้ เชน่ ไวทย กฤษณะ ฤๅษี เสาวภาคย์

๘๕เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ ภาษาบาลี ภาษาสนั สกฤต ๒. พยญั ชนะในภาษาบาลีมี ๓๓ ตัว (ตามตาราง) ๓. พยญั ชนะในภาษาสันสกฤตมี ๓๕ ตัว (เพ่มิ ศ ษ) ** ยกเวน้ ศอก เศกิ ศึก เศรา้ = คาไทย ๓. บาลนี ยิ มใช้ ฬ เชน่ จฬุ า ครุฬ กฬี า อาสาฬหบูชา ๓. สันสกฤตนิยมใช้ ฑ ฒ เชน่ กรีฑา ครฑุ จุฑา วริ ฬุ ห์ อาษาฒ วิรูฒ ๔. ห้ามใส่ รร ในบาลีเดด็ ขาด แต่จะซ้าพยัญชนะ ๔. ใช้ รร (ร เรผะ) เช่น พรรค วรรค มรรค กรรม สะกด-ตามแทน เชน่ มคฺค วคคฺ กมฺม ธมมฺ ฯลฯ ธรรม (ยกเวน้ บา บรร บนั = เขมร) ๕. นยิ มอ่าน เขียนเรยี งพยางค์ (ไม่ควบกล้า) เช่น อตุ ุ ๕. นยิ มอา่ น เขียนควบกลา้ เชน่ ประชา ปรัชญา สามี ปฐม ปัญญา ปชา สวามี สถาน ประถม จกั ร (กระ) หรือควบกลา้ บางตวั ในภาษาสนั สกฤตแต่ไทยนาเครอื่ งหมาย ์ กากับไว้ เช่น ภาพยนตร์ เนตร จนั ทร์ ๖. มกั มี ส ปรากฏอยู่ ๖. มกั มี ส + วรรค ต (ต ถ ท ธ น) เช่น สถาน สถุล สถาน สถติ ิ สตรี สาธยาย ฯลฯ ๗. การใชต้ ัว ณ ในภาษาเดิม เชน่ กณั หา ตณั หา ๗. มกั ใชต้ วั ณ ตามหลัง ฤ ร ษ ห ย ว เช่น ญาณ จณั ฑาล มาณพ ฯลฯ ตฤณมยั นารายณ์ กระษาปณ์ กฤษณา ลกั ษณ์ พราหมณ์ ๘. มักมคี าวา่ “ร”ิ ปรากฏอยู่ เชน่ จรยิ า ภรยิ า ๘. สังเกต ร เชน่ อาจารย์ ภรรยา อารยะ อิสรยิ ะ อจั ฉรยิ ะ อศั จรรย์ ไอศวรรย์ จรรยา ๙. ภาษาบาลีใช้ “คห” ห้าม เคราะห์ (ส) ในภาษา ๑๐. ภาษาสันสกฤตใช้ เคราะห์ (ครห) เชน่ บาลี เพราควบกล้า เช่น คหบดี สงเคราะห์ อนุเคราะห์ พิเคราะห์ วเิ คราะห์ ๑๐. ต้องมีตัวสะกด และตัวตามเสมอ เชน่ กจิ จา ๑๐. มีตวั สะกดแลว้ ไมม่ ตี วั ตามกม็ ี หรือ ตวั สะกด กงั ขา พทุ ธ รกุ ข์ ฯลฯ ตวั ตามไม่แน่นอน เช่น มัสยา วัสดุ ฯลฯ ภาษาบาลีและสันสกฤตไม่ไดย้ ากอย่างทีน่ กั เรยี นกลวั เพยี งแคเ่ ปิดใจและเรียนร้อู ยา่ งตั้งใจเท่าน้ัน….

๘๖เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ คาที่มาจากภาษาญ่ีปุ่น ชนชาตญิ ป่ี นุ่ มปี ระวตั ิศาสตรต์ ดิ ต่อกับชนชาติไทยตั้งแต่สมัยอยุธยาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ประเทศไทย มีการรับเอาวัฒนธรรมจากประเทศญี่ปุ่นในด้านต่าง ๆ จานวนมาก ทั้งด้านอาหาร วัฒนธรรมการแต่งงาน ตลอดจนภาษาทมี่ ีการหยบิ ยืมมาใชต้ ั้งแตอ่ ดีตจนถึงปัจจุบัน เม่ือเข้าสู่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ได้มีพัฒนาการด้าน ความสัมพันธม์ ากย่งิ ข้ึนทงั้ ทางการทตู การสงคราม เศรษฐกิจ ทั้งน้ีปรากฏลักษณะของการหยิบยืมภาษาญี่ปุ่น ดงั นี้ ๑. คายืมภาษาญ่ีปุ่นที่ใช้ทั่วไปในชีวิตประจาวัน เรารับมาใช้โดยวิธีการทับศัพท์ ดังจะกล่าวถึง ตัวอย่างของคายืมภาษาญ่ีปุ่นและความหมายจากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ พจนานกุ รมฉบบั เฉลิมพระเกยี รติ พ.ศ. ๒๕๓๐ และทม่ี ีใชอ้ ย่ทู วั่ ไป ดงั ตอ่ ไปน้ี คายมื ภาษาญป่ี ุ่น ความหมายในภาษาไทย คาราเต้ ศิลปะการตอ่ สูป้ อ้ งกนั ตัวชนิดหนึง่ ซาบะ ช่ือปลาชนิดหน่ึง ซามูไร ทหารดาบญ่ปี นุ่ ซูโม่ มวยปล้าของญ่ปี นุ่ เทควันโด กฬี าฟนั ดาบ เทมปรุ ะ กุ้งชบุ แป้งทอดเปน็ อาหารญป่ี ุ่น นนิ จา ศิลปะการตอ่ สปู้ ระเภทหน่ึง ยโู ด กีฬาที่เป็นศลิ ปะการต่อสู้ปอ้ งกันตัวประเภทหน่ึง สุกยี้ าก้ี ชื่ออาหารแบบญี่ปุ่นชนดิ หนึง่ บางทีเรยี กว่า สุก้ี ๒. คายืมภาษาญี่ปุ่นที่เป็น “ช่ือเฉพาะ” ซ่ึงยืมศัพท์มาใช้โดยวิธีทับศัพท์ ส่วนมากมักจะ เปน็ ชือ่ สนิ ค้า ยหี่ ้อสินคา้ ตัวอยา่ งเช่น ชอ่ื ยหี่ ้อจกั รยานยนต์ คาวาซากิ ยามาฮา่ ซซู กู ิ ฮอนดา้ ชอื่ ย่หี อ้ รถยนต์ โตโยต้า ไดฮทั สุ ฮอนด้า ซูบารุ มาสด้า ช่อื เครือ่ งใชไ้ ฟฟา้ มิตซูบชิ ิ โตซบิ า ฮติ าชิ ซันโย ชื่อย่หี อ้ อาหาร อายโิ นะโมะโตะ๊ (ชอื่ ผงชรู สชดิ หน่ึง) ฮานามิ (ชื่อข้าวเกรยี บกงุ้ )

๘๗เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ คาที่มาจากภาษาจนี ภาษาจีนเข้ามาสู่ภาษาไทย โดยการติดต่อสัมพันธ์กันและโดยทางการค้ามาเป็นเวลานาน ลักษณะ ภาษาจีนและภาษาไทยมีความคล้ายคลึงกันเพราะเป็นภาษาคาโดดและมีเสียงวรรณยุกต์เช่นเดียวกัน เมื่อนาเข้ามาใช้ในภาษาไทยจึงใช้วรรณยุกต์เพ่ืออกเสียงวรรณยุกต์ตามภาษาจีน คาภาษาจีนท่ีนามาใช้ ในภาษาไทยมอี ยู่มาก โดยหลกั สังเกตคายมื ภาษาจนี ทีใ่ ชใ้ นภาษาไทยมดี ังน้ี ๑. มักเปน็ คาโดดเช่นเดยี วกบั ภาษาไทย เชน่ เฮยี มา้ ป๊า ซ้อ ลอ้ื อี ฯลฯ ๒. มกั มเี สยี งหรอื รปู วรรณยกุ ต์ ตรี หรือ จตั วา เชน่ ป๊า ก๋วยเต๋ียว กวยจั๊บ เฉาก๊วย ฯลฯ ๓. มกั ใช้อักษรกลาง (ก จ ด ต ฎ ฏ บ ป อ) เชน่ กงสี เกาลัด กงเตก๊ เก้าอี้ โตะ๊ ฯลฯ ตวั อย่างคาท่ีมกั พบในชวี ิตประจาวนั เชน่ อาหาร เชน่ กวยจั๊บ แฮก่ นึ๊ โอเลย้ี ง พะโล้ ก๋วยเต๋ียว บะชอ่ เต้าเจีย้ ว เตา้ ฮวย เตา้ ทงึ บะหมี่ ชา เฉาก๊วย โจ๊ก เกีย้ มอ๋ี เตา้ ส่วน เกก๊ ฮวย เกาลดั เกาเหลา เกย๊ี ว เกี้ยมโฉ่ เซ่งจี๊ เต้าหู้ จันอบั ตืออวน ตว้ั โผ หลงจู๊ เส่ยี เถ้าแก่ หมวย บุคคล เชน่ เจ๊ เฮีย ต๋ี อาม้า เจ้าสัว ซอ้ อาโก แปะ๊ ซนิ แส ย่หี อ้ ซม้ิ อง้ั โล่ ห้าง ลงั ถงึ โตะ๊ แปะเจีย๊ ะ ปุ้งก๋ี ตว๋ั กางเกง ส่งิ ของ เชน่ ตะเกยี บ เซียมซี แซ่ หนุ้ ตู้ เก้าอี้ เก๋ง ป้าย โป๊ะ โป๊ยเซยี น ตะหลวิ กวางตุ้ง บ๊วย ท้อ ขึ้นฉ่าย ก๊ก ตงั โอ๋ หนาเล้ยี บ โบตั๋น พืช ผกั ผลไม้ เชน่ คะนา้ ไช้เทา้

๘๘เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ คาทม่ี าจากภาษาเขมร คาทม่ี าจากภาษาเขมร มขี อ้ สงั เกตดงั นี้ ๑. คาทม่ี าจากภาษาเขมรไม่ใชร้ ูปวรรณยุกต์ ยกเวน้ เสนง่ เขม่า ๒. คาทม่ี าจากภาษาเขมรมกั ใช้อักษรควบกล้า และใชอ้ ักษรนา อักษรควบกล้า เช่น กราน กรม กรวด กระทรวง กระเพาะ กระจอก ประจัญ เขลา โปรด สรง เปน็ ต้น อักษรนา เชน่ ฉนา โตนด ฉนาก ขยา ขจี ถวาย เสวย เฉนยี น เสดจ็ ขนง เป็นตน้ ๓. คาสองคาท่ีขึ้นต้นด้วยคาว่า กา คา จา ชา ดา ตา ทา มักเป็นคาท่ีแผลงมาจากภาษาเขมร เช่น กานัล กาเนิด กาหนด คานับ คารบ จาหน่าย จาแนก ชารุด ชานาญ ดารง ดาเนิน ดาริ ตารา ตารวจ ทานบ ทาเนียบ เปน็ ตน้ ๔. คาทขี่ น้ึ ตน้ ดว้ ย บงั บนั บา บรร มกั จะมาจากภาษาเขมร บัง เช่น บงั เอญิ บงั เกิด บังควร บงั คม บงั คบั บงั อาจ บัน เช่น บันเทงิ บนั ได บนั ทึก บันดาล บา เชน่ บาเพญ็ บาราศ บานาญ บรร เชน่ บรรทม บรรทุก บรรทัด บรรจง บรรจบ บรรจุ ๕. คาที่ขนึ้ ตน้ ดว้ ย ประ บางคาแผลงมาจากภาษาเขมร ท่ขี ้ึนตน้ ดว้ ย ผ เช่น ประจง แผลงมาจาก ผจง ประทม แผลงมาจาก ผทม ประสาน แผลงมาจาก ผสาน ๖. คาท่แี ผลง ข เปน็ กระ เช่น ขดาน เป็น กระดาน ขจอก เปน็ กระจอก ๗. คาเขมรนิยมใช้ จ ญ ร ล เปน็ ตัวสะกด จ สะกด เช่น อาจ เสร็จ ตรวจ ญ สะกด เชน่ เจรญิ เขญ็ เพ็ญ ร สะกด เชน่ ขจร เดิร(เดิน) ล สะกด เช่น ถกล ถวิล ผาล ตาบล ๘. ภาษาท่ีมาจากภาษาเขมร มกั ใช้เปน็ คาราชาศพั ท์ เชน่ เสวย เขนย ถวาย ขนง โปรด ตรสั เสดจ็ ดาเนิน ทรงผนวช ประชวร บรรทม ธามรงค์ ประทับ เพลา กนั แสง สรง ฯลฯ

๘๙เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ คาท่มี าจากภาษาอังกฤษ การยมื คาภาษาอังกฤษมาใชใ้ นภาษาไทย ๑. การทับศัพท์ โดยการถ่ายเสียงและถอดตัวอักษร คายืมจากภาษาอังกฤษโดยวิธีการทับศัพท์มี จานวนมาก คาบางคาราชบัณฑิตยสถานได้บัญญัติศัพท์เป็นคาไทยแล้ว แต่คนไทยนิยมใช้คาทับศัพท์มากกว่า เพราะเขา้ ใจง่าย สอื่ สารได้ชดั เจน เชน่ คาภาษาอังกฤษ คาทับศพั ท์ Game เกม Graph กราฟ Cartoon การ์ตนู Clinic คลินิก Quota โควตา Dinosaur ไดโนเสาร์ Technology เทคโนโลยี ๒. การบัญญัติศัพท์ เป็นวิธีการยืมคา โดยรับเอาเฉพาะความคิดเก่ียวกับเร่ืองนั้นมาแล้วสร้างคาขึ้น ใหม่ ซ่ึงมีเสียงแตกต่างไปจากคาเดิม โดยเฉพาะศัพท์ทางวิชาการจะใช้วิธีการน้ีมาก ผู้ที่มีหน้าท่ีบัญญัติศัพท์ ภาษาไทยแทนคาภาษาอังกฤษ คอื ราชบัณฑิตยสถาน เช่น คาภาษาองั กฤษ คาทับศพั ท์ airport สนามบนิ globalization โลกาภวิ ฒั น์ science วิทยาศาสตร์ telephone โทรศัพท์ reform ปฏิรูป ๓. การแปลศัพท์ วิธีการนี้จะต้องใช้วิธีการคิดแปลเป็นคาภาษาไทยให้มีความหมายตรงกับคาใน ภาษาองั กฤษ แลว้ นาคานัน้ มาใช้สอื่ สารในภาษาไทยต่อไป ดงั ตวั อยา่ งเช่น คาภาษาองั กฤษ คาทบั ศัพท์ blackboard กระดานดา electricity ไฟฟา้ short story เรื่องสั้น

๙๐เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ การแตง่ คาประพนั ธป์ ระเภทกลอนสุภาพ กลอน เป็นคาประพันธ์ประเภทหนึ่งซ่ึงมีการบังคับในการแต่งและสัมผัสตามลักษณะที่บัญญัติไว้ กลอนท่ีเป็นหลักของกลอนทุกชนิดคือ กลอนสุภาพหรือกลอนแปด ซึ่งเป็นกลอนที่ได้รับความนิยม และแพร่หลายเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นฉันทลักษณ์ท่ีไม่ซับซ้อนนัก จานวนคาไม่น้อยหรือมากจนเกินไป ท้ังยังสามารถใชก้ ลวธิ หี รือลูกเลน่ ในการแตง่ คาประพนั ธ์ได้อกี ดว้ ย และมีความไพเราะสาหรับการอา่ น ฉนั ทลักษณก์ ลอนสุภาพ กลอนสภุ าพ ๑ บทมี ๒ บาท เรียกว่า บาทเอกกับบาทโท โดย ๑ บาท มี ๒ วรรค ดังนั้นกลอนสุภาพ ๑ บทมี ๔ วรรค ซ่ึงเรียกชื่อในแต่ละวรรคเรียงตามกันไป ได้แก่ วรรคสดับ วรรครับ วรรครอง และวรรคส่ง โดย ๑ วรรค จะมีจานวนคาต้ังแต่ ๗-๙ คา หรือในบางกรณีอาจจะมี ๑๐ คา ข้ึนอยู่กับเสียงพยางค์ของคา ที่นามาใช้ โดยใชส้ มั ผสั ดงั นี้ คาสดุ ทา้ ยของวรรคสดับ ส่งสมั ผัสไปยงั คาท่ี ๓ หรอื ๔ หรือ ๕ หรอื ๖ ของวรรครบั คาสุดท้ายของวรรครับ จะส่งสัมผัสไปยังคาสุดท้ายของวรรครอง และส่งสัมผัสไปยังคาท่ี ๓ หรือ ๔ หรอื ๕ หรอื ๖ ของวรรคสง่ สมั ผัสระหวา่ งบท คาสุดท้ายของวรรคสง่ จะส่งสมั ผสั ไปยงั คาสดุ ทา้ ยของวรรครับ ๑ บท OOO OO OOO OOO OO OOO บาทเอก ๑ บท บาทโท OOO OO OOO OOO OO OOO วรรคสดบั วรรครบั OOO OO OOO OOO OO OOO วรรครอง วรรคสง่ OOO OO OOO OOO OO OOO

๙๑เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ ศาสตร์ทเ่ี กี่ยวกบั การแต่งกลอนสภุ าพ ศาสตร์ทเี่ ก่ียวกับการแต่งกลอนสุภาพ หมายถงึ หลกั การหรอื ความรู้ทีเ่ ก่ยี วข้องกับการแต่งคา ประพันธป์ ระเภทกลอนสภุ าพ ซ่งึ เปน็ ที่ส่งิ ผู้แตง่ ควรจะทราบให้ชดั เจน สามารถสรปุ ไดด้ ังน้ี ๑. สัมผัสนอก หรือสัมผัสบังคับ เป็นลักษณะบังคับในการแต่งกลอนสุภาพ ซ่ึงปรากฏในแผนผัง ขา้ งตน้ แล้ว โดยลกั ษณะของสมั ผัสนอกนีจ้ ะเป็นสัมผัสแบบสัมผัสสระทั้งสิ้น กล่าวคือ ใช้สระหรือสระประกอบ ตัวสะกดเดยี วกัน เช่น ทาน-ตาล กา-หา เปน็ ตน้ เช่น พระโฉมยงองคอ์ ภยั มณนี าถ เพลนิ ประพาสพศิ ดูหมมู่ จั ฉา เหล่าฉลามล้วนฉลามตามกนั มา ค่อยเคลือ่ นคลาคล้ายคล้ายในสายชล จากบทประพันธข์ า้ งต้น นาถ-ประพาส(พาส) เป็นสัมผัสนอกชุดแรกของการแต่งกลอนสุภาพ และ มจั ฉา(ฉา) มา และคลา เปน็ สมั ผสั นอกชุดท่สี องของการแต่งกลอนสภุ าพ ๒. เสียงวรรณยุกต์ท้ายวรรค ในการแต่งบทประพันธ์ประเภทกลอน มีข้อคานึงในการใช้เสียง วรรณยุกตท์ ้ายวรรคเพือ่ เพิ่มความไพเราะใหก้ ับบทประพนั ธ์ โดยมขี อ้ กาหนด ดงั น้ี วรรคสดบั นิยมใชเ้ สียงวรรณยุกตท์ กุ เสียง วรรครับ นยิ มใช้เสยี งวรรณยกุ ต์เอก โท และจตั วา โดยเฉพาะจตั วา วรรครอง นยิ มใช้เสียงวรรณยกุ ต์สามญั และ ตรี วรรคส่ง นยิ มใชเ้ สียงวรรณยกุ ต์สามัญ และตรี โดยเฉพาะสามัญ เช่น สรวงสวรรค์ชน้ั กวรี จุ ีรตั น์ ผ่องประภศั รพ์ ลอยหาวพราวเวหา พร้งิ ไพเราะเสนาะกรรณวัณณนา สมสมญาแห่งสวรรคช์ ้ันกวี จากบทประพันธ์ข้างต้น เห็นได้ว่าวรรคสดับ ใช้คาลงท้ายคาว่า รัตน์ ซ่ึงเป็นเสียง วรรณยุกต์ตรี วรรครับใช้คาลงท้ายคาว่า เวหา(หา) ซึ่งเป็นเสียงวรรณยุกต์จัตวา วรรครองใช้คาลงท้ายคาว่า วณั ณนา(นา) ซึ่งเปน็ เสยี งวรรณยุกต์สามญั และวรรคส่งใชค้ าลงทา้ ยคาว่า กวี(ว)ี ซึ่งเป็นเสยี งวรรณยกุ ต์สามัญ

๙๒เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ ๓. จานวนคาในแต่ละวรรค โดยทว่ั ไปนิยมใช้ ๘ คา แตส่ ามารถอนุโลม ๗ หรอื ๙ ไปจนถึง ๑๐ คาได้ โดยนบั ขน้ึ จากพยางค์ของคานัน่ เอง หากเป็นเสยี งสน้ั สามารถอ่านรวบเสยี งได้ จะนับเป็นเพยี งแค่ ๑ คาเทา่ น้นั เชน่ นายชายพราน/หนง่ึ ชาญไพร/ลา่ ใหญ่ขยับ ไดย้ นิ กลอง/เดนิ ย่องกลบั /ดูขับขัน มอื ป้องหนา้ /มุง่ ปา่ แน่ว/แนวแถววัน สุนัขย่อง/สดุ มองขยัน/ติดพันตาม จากบทประพันธ์ข้างต้น วรรคสดับมีจานวนพยางค์ในวรรค ๑๐ พยางค์ โดยอ่านรวบคาว่า ขยับ ให้กลายเป็นคาเดียวเท่าน้ัน วรรครับและวรรครอง มีจานวนพยางค์ ๙ พยางค์ และวรรคส่งมีจานวน พยางคใ์ นวรรค ๑๐ พยางค์ โดยอา่ นรวบคาวา่ ขยัน ใหก้ ลายเป็นคาเดียวเท่านัน้ ศิลปท์ ่ีเก่ียวกบั การแต่งกลอนสุภาพ ศลิ ปท์ เ่ี กี่ยวกับการแต่งกลอนสภุ าพ หมายถงึ การใช้ศิลปะในการแต่งคาประพันธ์ประเภทกลอนสุภาพ ซึ่งเป็นการเพ่ิมความไพเราะให้กับกลอนสุภาพ หรือเพ่ิมคุณค่าทางวรรณศิลป์น่ันเอง ซ่ึงศิลปะในการแต่ง คาประพันธป์ ระเภทกลอนสภุ าพมอี ยอู่ ยา่ งหลากหลายรูปแบบ ท้ังท่ีมีมาตั้งแต่สมัยโบราณและได้รับการพัฒนา ในยุคปัจจุบัน เช่น กลบท (การแต่งคาประพันธ์ประเภทกลอนสุภาพลักษณะพิเศษซึ่งออกแบบได้ อย่างหลากหลาย) เป็นต้น โดยสามารถสรุปศิลปะในการแต่งคาประพันธ์ประเภทลอนสุภาพที่นักเรียน ควรจะทราบมดี งั น้ี ๑. สัมผัสใน เป็นสัมผัสพิเศษเพิ่มเติม ซ่ึงไม่ใช่ลักษณะบังคับ โดยทั่วไปปรากฏ ๒ ลักษณะในกลอน สุภาพ คือ สมั ผัสสระและสัมผสั พยญั ชนะ สัมผัสสระ หมายถึง การใช้คาที่มีสระเดียวกัน หรือหากคานั้นมีตั้งสะกดก็จะต้องใช้สระ เดียวกันและตัวสะกดเดียวกัน เช่น จาน-กานต์ กา-หา เป็นต้น สัมผัสสระในการแต่งคาประพันธ์ประเภท กลอนสภุ าพ มกั จะใช้สาหรับการสร้างจังหวะในการอ่านกลอนสุภาพให้ไพเราะมากยิ่งข้ึน จึงนิยมใช้สัมผัสสระ สร้างสมั ผัสระหว่างการแบง่ วรรคการอา่ นกลอนสุภาพในแตล่ ะวรรค เช่น เราก็จติ /คดิ ดเู ลา่ /เขากใ็ จ รักกนั ไว้/ดีกว่าชัง/ระวังการ จากบทประพันธ์ข้างต้น มีการใช้สัมผัสสระในตาแหน่ง จิต-คิด เล่า-เขา และชัง-ระวัง(วัง) ซ่งึ จะเห็นได้วา่ เปน็ ช่วงของจงั หวะในการอา่ น ซ่งึ ทาให้เกดิ จงั หวะและทานองที่ไพเราะมากข้นึ

๙๓เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ สมั ผัสพยญั ชนะ หมายถึง การใชเ้ สยี งพยญั ชนะตัวเดยี วกันในการแต่งคาประพนั ธ์ประเภท กลอนสภุ าพในแต่ละวรรค โดยทัว่ ไปมักจะพจิ ารณาเกนิ กวา่ ๓ คาขน้ึ ไปในแตล่ ะวรรค เช่น พระจนั ทรจรแจ่มกระจ่างดี พระพายพัดมาลีตลบไป จากบทประพนั ธ์ขา้ งตน้ ปรากฏการใช้สมั ผสั พยัญชนะคอื จันทร(จนั ทร์)-จร-แจ่ม-กระจ่าง (จา่ ง) เป็นสมั ผัสพยญั ชนะตัว จ และพระ-พาย-พดั เป็นสัมผัสพยญั ชนะตัว พ ๒. การเล่นคาซ้า หมายถึงการใช้คาเดียวกันและมีความหมายเดียวกันซ้ากันในแต่ละวรรคของ กลอนสภุ าพ ๒ ครั้งข้นึ ไป เพื่อทาใหเ้ นอ้ื ความในบทประพนั ธเ์ กิดความชัดเจนมากยิ่งข้นึ เช่น เสียดายพกั ตรผ์ ่องเพียงเพง่ ไพบลู ย์ เสียดายประยูรยอดกระษตั รยิ ์มหาศาล เสียดายเนตรดจุ นลิ มฤคปาน เสียดายขนงก่งสมานคนั ศรทรง ๓. การเล่นคาพอ้ ง หมายถงึ การใชค้ าพอ้ งในการแตง่ คาประพันธ์ประเภทกลอนสุภาพ ซ่ึงอาจจะเป็น คาพอ้ งเสยี ง คาพ้องรูป หรือคาพอ้ งความก็ได้ เพอ่ื สร้างให้เกิดความสรา้ งสรรคใ์ นการแตง่ บทประพนั ธ์ เช่น เบญจวรรณจบั วัลยช์ าลี เหมือนวนั พ่ีไกลสามสดุ ามา จากบทประพนั ธ์ข้างต้น จะเหน็ วา่ มกี ารใชค้ าพอ้ งเสยี งคือคาว่า เบญจวรรณ (หมายถึงช่ือนก) คาวา่ วัลย์ (หมายถึงเถาวัลย์) และคาวา่ วนั (หมายถึงวันเวลา) ๔. การใช้ภาพพจน์ โดยท่ัวไปภาพพจน์ในภาษาไทยมีมากมายหลากหลายชนิด ซึ่งการใช้ภาพพจน์ ในการแต่งคาประพันธ์จะทาให้เกิดความสวยงามทางภาษาในการแต่งคาประพันธ์มากย่ิงขึ้น ซ่ึงถือว่าเป็น ศิลปะในการแต่งคาประพันธ์รูปแบบหน่ึงที่ได้รับความนิยม โดยตัวอย่างของการใช้ภาพพจน์ที่ได้รับความนิยม ในปจั จบุ นั มีดงั นี้ ภาพพจนอ์ ปุ มา เป็นการเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งเหมือนอีกส่ิงหน่ึง โดยท่ัวไปมักจะปรากฏคาท่ีมี ความหมายในการเปรียบเทียบ เช่น ด่ัง ดุจ เหมือน ราวกับ ประหน่ึง ปิ้ม เล่ห์ เป็นต้น ซึ่งการใช้ภาพพจน์ อปุ มาจะทาใหเ้ กดิ ความสวยงามทางภาษามากย่ิงข้นึ ในการแต่งคาประพันธ์ เช่น สูงระหงทรงเพรียวเรยี วรดู งามละมา้ ยคลา้ ยอูฐกะหลาป๋า พศิ แต่หวั จรดเทา้ ขาวแต่ตา สองแกม้ กลั ยาดงั่ ลูกยอ ภาพพจน์อุปลักษณ์ เป็นการเปรียบสิ่งหน่ึงเหมือนอีกส่ิงหน่ึง โดยมักปรากฏคาว่า เป็น คือ และเท่า ซง่ึ มลี ักษณะการใชค้ ลา้ ยคลึงกับภาพพจน์อปุ มา เช่น คอื น้าผง้ึ คือนา้ ตาคือยาพษิ คือหยาดนา้ อมฤตอนั ชื่นชมุ่ คือเกสรดอกไม้คอื ไฟรุม คือความกลุ้มคือความฝนั นัน่ แหละรัก

๙๔เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ ภาพพจน์ปฏปิ จุ ฉาหรอื การใช้คาถามโดยไม่ตอ้ งการคาตอบ เป็นการใช้คาถามท่ีไม่ต้องการ คาตอบหรอื ไมไ่ ด้ประสงค์ใหผ้ ู้อ่านตอบคาถามนั้น ๆ เป็นเพียงการถามเพ่อื กระตุ้นความคดิ เทา่ นัน้ เช่น เดรจั ฉานหรอื มารรา้ ยคลา้ ยมนษุ ย์ เป็นตัวจดุ เพลงิ กาฬผลาญย่งุ เหยิง ภาพพจน์สัญลักษณ์ หมายถึงการใช้คาท่ีมีความหมายในเชิงสัญลักษณ์มาใช้ในการแต่งคา ประพันธ์ โดยความหมายน้ันจะเป็นความหมายโดยนยั และเป็นทีท่ ราบโดยท่วั ไปของคน เชน่ พีห่ มายปองกุหลาบงามยามแยม้ กลีบ ไมใ่ คร่รบี ชงิ ฉวยด้วยนสิ ยั หากมแี มลงภผู่ ้ึงมาคลึงไคล้ จะปัดใหไ้ กลจากนางอย่างเบามอื จากบทประพันธ์ข้างต้น ใช้สัญลักษณ์ในการประพันธ์คือคาว่า กุหลาบ ซึ่งโดยท่ัวไปหมายถึง ความรัก แต่ในบทประพันธ์นี้หมายถึงผู้หญิงอันเป็นที่รัก คาว่ายามแย้มกลีบ หมายถึง วัยรุ่นหรือวัยสาว และ แมลงภผู่ ้ึง หมายถึง ผูช้ ายอ่นื ทเ่ี ขา้ มายุ่งเกีย่ วกบั ผ้หู ญิงอนั เป็นทีร่ กั คนน้ัน ๕. กลบท กลบทคือลักษณะพิเศษในการแต่งคาประพันธ์โดยเฉพาะประเภทกลอนสุภาพ ปรากฏ วา่ มกี ลบทหลากหลายชนดิ ซง่ึ แต่ละชนิดจะมลี กั ษณะบังคับเฉพาะตัวทไี่ ม่เหมอื นกนั โดยกลบททีน่ า่ สนใจ เชน่ กลบทบุษบงแย้มผกา เป็นการใช้คาข้ึนต้นของแต่ละวรรคเป็นคาเดียวกันทั้งหมด ซ่ึงเน้ือหา ในแต่ละวรรคนน้ั จะตอ้ งสอดคลอ้ งกับคาขึ้นตน้ ดว้ ย เชน่ พระกมุ ารตรึกตรองทานองปราชญ์ พระจอมราชเจ้าคดิ นา้ จติ รเถลิง พระหนอ่ น้อมคอ้ มบงั คมภิรมยเ์ รงิ พระเอ่ียมเอิงแอบองค์ประจงกร กลบทบัวบานกลีบขยาย มีลักษณะคล้ายคลึงกับกลบทบุษบงแย้มผกา แต่มีลักษณะ ท่ีแตกตา่ ง คอื คาข้นึ ต้น ๒ คาแรกของแต่ละวรรคเปน็ คาเดียวกนั เช่น เจา้ งามลกั ษณ์ล้วนมาแลน่ารัก เจา้ งามศักดริ์ กั งามไปตามสรรค์ เจ้างามทว่ั หัวตาสารพัน เจา้ งามสรรค์เสริมสรา้ งแต่ทางงาม กลบทเบญจวรรณห้าสี เป็นการใช้คาขึ้นต้น ๕ คาแรกของแต่ละวรรคเป็นอักษรที่มีเสียง เดยี วกัน โดยจะตอ้ งเรียงตดิ กันทง้ั หมด ๕ คา และมีความหมายทส่ี ามารถส่ือความได้ เชน่ ระร่นื เร่ือยเรอื่ ยระรินกลิ่นกุหลาบ ซง่ึ ซงึ้ ซาบซึมซา่ นปานพิษไหล โอ้อกเอย๋ อดึ อัดนกั รกั ปักใจ ปน่ั ปว่ นไปเปรียบปานหวานใจลา

ความรทู้ ัวไปเกียวกับวรรณคดี หนา้ ๙๖ โคลงภาพพระราชพงศาวดาร หนา้ ๑๐๗ หลักศิลาจารกึ หลักที ๑ หนา้ ๑๑๓ บทเสภาสามคั คีเสวก หนา้ ๑๑๙

๙๖เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ ความรู้ทว่ั ไปเกี่ยวกับวรรณคดี วรรณกรรม คือ งานเขียนทุกประเภทที่ถ่ายทอดออกมาโดยใช้ศิลปะในการใช้ภาษา เช่น นวนิยาย เรื่องสั้น บทกลอน บทความ วรรณคดี คือ งานเขียนที่ได้รับการยกย่องว่าแต่งดี โดยใช้กาลเวลาเป็น เคร่ืองพิสูจน์ว่าเป็นผลงานอมตะและถ่ายทอดอย่างมีศิลปะ ไม่ทาลายศีลธรรมประเพณีอันดีงามของไทย มคี วามดเี ดน่ ด้านเน้อื หาและวรรณศลิ ป์ เชน่ อิเหนา พระอภัยมณี สามกก๊ วรรณกรรมทถ่ี ่ายทอดกนั ปากตอ่ ปาก เช่น เพลงพนื้ บา้ น นทิ านพืน้ บา้ น เปน็ ตน้ เรียกวา่ วรรณกรรมมุขปาฐะ วรรณกรรมที่จดบันทึกหรือจารกึ เป็นลายลักษณ์อักษรในใบลาน ต้นฉบับสมดุ ไทย หรอื ตีพิมพเ์ ผยแพร่ เรียกว่า วรรณกรรมลายลักษณ์ วรรณกรรมที่มีเน้ือเรอ่ื ง สถานท่ี เหตกุ ารณ์ท่เี ก่ียวข้องกบั บุคคล และวัฒนธรรมของแตล่ ะท้องถิน่ อาจถา่ ยทอดกนั ดว้ ยภาษาถิ่น เรียกวา่ วรรณกรรมท้องถิน่ วรรณกรรมทเี่ ป็นผลงานของพระมหากษตั ริยห์ รอื ข้าราชสานกั เรียกวา่ วรรณกรรมราชสานัก ซึ่งหลายเร่ืองได้รับยกยอ่ งใหเ้ ปน็ วรรณคดี เชน่ อิเหนา ลิลติ ตะเลงพา่ ย พระราชพิธีสบิ สองเดือน เป็นต้น วรรณคดที บ่ี รรพบรุ ษุ ไดส้ รา้ งสรรค์ไวแ้ ละสืบทอดมายังอนุชน เรยี กว่า วรรณคดมี รดก เชน่ ไตรภูมิพระร่วง ลลิ ติ พระลอ รามเกียรต์ิ ขุนชา้ ง-ขุนแผน พระอภยั มณี เปน็ ตน้

๙๗เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ ประเภทของวรรณคดีและวรรณกรรม วรรณคดีและวรรณกรรมที่บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรมีจานวนมาก ซ่ึงอาจแบ่งประเภท ตามจดุ มงุ่ หมายการแตง่ และลักษณะเนื้อหาได้ ดังน้ี ๑. วรรณคดีและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับศาสนา ผู้แต่งจะนาเรื่องราวจากคัมภีร์ต่าง ๆ ในพระพทุ ธศาสนามาแต่งเป็นวรรณคดีและวรรณกรรมซึ่งส่วนใหญ่จะมุ่งสั่งสอนให้ประพฤติดี ละเว้นความช่ัว หรือสอนให้รู้จักบาปบุญ นรก สวรรค์ อบายภูมิ กฎแห่งกรรม เช่น ไตรภูมิพระร่วง พระมาลัย คาหลวง บางเรื่องเป็นการเล่าประวัติพระพุทธเจ้า เช่น มหาชาติคาหลวง ร่ายยาว มหาเวสสันดรชาดก ๑๓ กัณฑ์ พระปฐมสมโพธิกถา นอกจากนี้ ยังมีวรรณคดีและวรรณกรรมท่ีมีเนื้อหาจากนิทานชาดก ซึ่งให้คติสอนใจ และแฝงธรรมะไว้ดว้ ย เชน่ สมุทรโฆษคาฉนั ท์ จนั ทกนิ นรคาฉันท์ พระสธุ นคาฉันท์ กากีคากลอน ๒. วรรณคดีและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับประเพณีและพิธีกรรม ผู้แต่งมีจุดมุ่งหมาย ท่ีจะบันทึก ประเพณีต่าง ๆ ของไทยและพิธีกรรมศักด์ิสิทธิ์ เช่น ลิลิตโองการแช่งน้า มีเนื้อหาเกี่ยวกับการสาบานตนของ ขา้ ราชบริพารวา่ จะจงรกั ภักดีต่อพระมหากษัตริย์ กาพย์เห่เรือ มีเนื้อหากล่าวถึง พระราชพิธีเสด็จฯ โดยขบวน พยุหยาตราทางชลมารค พระราชพิธสี บิ สองเดอื น มีเน้ืออธบิ ายประเพณีไทยในเดือนต่าง ๆ ๓. วรรณคดีและวรรณกรรมที่เป็นสุภาษิตคาสอน ผู้แต่งมีจุดมุ่งหมายที่จะสั่งสอน ให้ข้อคิด หรือเสนอแนวทางการปฏิบัติตนในการดาเนินชีวิต เช่น อิศรญาณภาษิต สุภาษิตสอนหญิง สวัสดิรักษา เพลงยาวถวายโอวาท สุภาษิตพระร่วง กฤษณาสอนน้องคาฉันท์ โคลงโลกนิติ โคลงสุภาษิตโสฬสไตรยางค์ และโคลงสภุ าษิตนฤทุมนาการ ๔. วรรณคดีและวรรณกรรมท่ีเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ ผู้แต่งมีจุดมุ่งหมายที่จะบันทึกเร่ืองราว ทางประวัติศาสตร์และสดุดีเกียรติของวีรบุรุษ วีรสตรี เช่น โคลงภาพพระราชพงศาวดารลิลิตตะเลงพ่าย ลิลิตยวนพ่าย เฉลมิ เกียรตกิ ษตั รีคาฉนั ท์ พงศาวดารจีน เช่น สามก๊ก ไซฮ่ นั่ พงศาวดารมอญ เช่น ราชาธิราช ๕. วรรณคดีและวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้องกับการแสดง ผู้แต่งมีจุดมุ่งหมายจะให้เกิดความเพลิดเพลิน และความจรรโลงใจ วรรณคดีและวรรณกรรมประเภทน้ีจะนามาแสดงเป็นมหรสพ โขน ละคร หุ่นกระบอก หนังใหญ่ เช่น รามเกียรติ์ สาหรับแสดงโขน พระอภัยมณี สาหรับแสดงหุ่นกระบอก อิเหนา อุณรุท สาหรับแสดงละครใน คาวี มณพี ิชัย ไชยเชษฐ์ สงั ขท์ อง สาหรับแสดงละครนอก ๖. วรรณคดีและวรรณกรรมที่บันทึกประสบการณ์และความรู้สึกระหว่างการเดินทาง วรรณคดี และวรรณกรรมประเภทน้ีมุ่งท่ีจะบันทึกเส้นทางการเดินทาง สิ่งที่ได้พบเห็นไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติหรือวิถีชีวิต ของผู้คน และการพรรณนาอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของผู้แต่งระหว่างการเดินทาง เช่น นิราศนรินทร์ นิราศ ตา่ ง ๆ ของสุนทรภู่ นริ าศลอนดอน ไกลบา้ น เปน็ ต้น ๗. วรรณคดีและวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้องกับการปลุกใจให้รักชาติ วรรณคดีและวรรณกรรมประเภท น้มี จี ดุ มุ่งหมายจะให้เกิดความรกั ชาติ จงรักภกั ดีต่อพระมหากษตั ริย์ เชน่ พระรว่ ง หัวใจนักรบ เลือดสพุ รรณ

๙๘เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ คณุ ค่าของวรรณคดแี ละวรรณกรรม วรรณคดีและวรรณกรรมเป็นบันทึกทางสังคมและสะท้อนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในยุคน้ัน ๆ ผ่านตัวละครที่สร้างตามจินตนาการของผู้แต่ง ไม่ว่าจะเป็นพระราชา สามัญชน หญิง ชาย คนดี คนชั่ว ผู้อ่าน จึงสามารถเรียนรู้สัจธรรมของชีวิตได้จากลักษณะนิสัยของตัวละครเหล่าน้ัน ได้ข้อคิดในการดา เนินชีวิต เช่น ความดีย่อมชนะความชั่ว รู้จักการให้อภัยและเอาใจเขามาใส่ใจเรา ดังนั้น วรรณคดีและวรรณกรรม จึงให้ทง้ั ความเพลดิ เพลนิ บันเทงิ ใจ และชว่ ยกลอ่ มเกลาจติ ใจมนษุ ยใ์ หม้ คี วามดีงามอีกดว้ ย การพิจารณาคุณค่าของวรรณคดีและวรรณกรรม เป็นการพิจารณาเพื่อให้เห็นความสาคัญและ เกิดความซาบซ้ึงในวรรณคดีและวรรณกรรมซึ่งสามารถพิจารณาได้หลายด้าน เช่น คุณค่าด้านเน้ือหาที่ทาให้ ผู้อ่านได้รับความรู้ และเกิดอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ คุณค่าด้านแนวคิดท่ีสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม ให้ผู้อ่านนาไปประยุกต์ใช้ในการดาเนินชีวิต คุณค่าด้านวรรณศิลป์ที่ทาให้ผู้อ่านได้รับรสของภาษา และคุณค่า ด้านสังคมทีท่ าให้ผู้อา่ นเข้าใจชวี ิตความเป็นอยู่ วัฒนธรรมประเพณีของผู้คนในสงั คมยุคนั้น การพิจารณาคุณค่า แตล่ ะดา้ นมรี ายละเอยี ด ดงั น้ี ๑. คุณค่าด้านเนื้อหา เนื้อหา หมายถึง ใจความของเรื่อง รายละเอียดท่ีปรากฏอยู่ในเหตุการณ์ ของวรรณคดีและวรรณกรรม เน้ือหาจึงประกอบด้วย ฉาก ตัวละคร เหตุการณ์ต่าง ๆ บทสนทนาของตัวละคร การพิจารณาคุณค่าด้านเนื้อหา จึงต้องพิจารณาองค์ประกอบเหล่าน้ีว่ามีครบถ้วนหรือไม่ สมจริงอย่างไร มีเหตผุ ลเพยี งใด มคี ุณคา่ ต่อผู้อา่ นอยา่ งไร ในด้านเนอ้ื หานอกจากเนื้อเรอ่ื งสนุกสนานแล้วยังต้องมีความไพเราะ ของคาประพันธ์ด้วย เน้ือหาท่ีดีจะต้องอ่านแล้วประทับใจในแง่มุมใดแง่มุมหน่ึงท่ีทาให้วรรณคดีเร่ืองน้ัน เป็นอมตะ คือ ได้รับความนิยมและมีผู้ชื่นชอบมาตลอดจนถึงปัจจุบัน เช่น วรรณคดีเร่ืองพระอภัยมณี ที่ยังมีผู้สนใจนามาดัดแปลงเป็นการ์ตูน สร้างเป็นละครโทรทัศน์และนาไปสอดแทรกในนวนิยาย วรรณคดี บางเรือ่ งทาใหผ้ ู้อา่ นรสู้ ึกอิ่มอารมณ์อมิ่ ใจ เพราะมีเนอื้ หานา่ ประทบั ใจ เช่น กาพยห์ อ่ โคลงประพาสธารทองแดง มีเนอื้ หาเล่าเรอื่ งการเดนิ ทางไปพระพุทธบาทในจังหวดั สระบุรี และชมธรรมชาติอันงดงามระหว่างทาง ชมสัตว์ บกสตั ว์น้า ชมนกชมไม้ คุณค่าด้านเน้อื หาจึงให้ความรู้เรอ่ื งธรรมชาตอิ นั เปน็ ลักษณะเดน่ ของวรรณคดีเร่ืองน้ี การพิจารณาคุณค่าด้านเน้ือหา จะมุ่งไปพิจารณาองค์ประกอบของเนื้อหาว่ามีคุณค่าหรือเป็น ประโยชนอ์ ย่างไร เช่น ชายขา้ วเปลือกหญิงข้าวสารโบราณว่า นา้ พ่งึ เรือเสอื พ่งึ ป่าอชั ฌาสยั เราก็จิตคดิ ดเู ล่าเขาก็ใจ รักกันไว้ดีกว่าชังระวังการ อศิ รญาณภาษิต : หม่อมเจา้ อิศรญาณ อิศรญาณภาษิตชี้ให้เห็นว่า มนุษย์ควรพ่ึงพาซึ่งกันและกันเพราะไม่อาจอยู่คนเดียวในโลกได้ การเห็น อกเหน็ ใจ ร้จู กั เอาใจเขามาใส่ใจเราเปน็ สิง่ ดที ่คี วรมใี ห้กัน

๙๙เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ การอ่านวรรณคดีและวรรณกรรมนอกจากจะได้ความรู้แล้ว ยังทาให้เกิดความเพลิดเพลิน บันเทิงใจ วรรณคดีและวรรณกรรมบางเรื่อง เช่น พระอภัยมณี มีตัวละครท้ังฤๅษี ผีเสื้อสมุทร ชีเปลือย ม้านิลมังกร นางเงือก มีฉากทั้งในน้าและบนบก มีเน้ือเร่ืองสนุกสนาน ต่ืนเต้นโลดโผน และมีข้อคิดเตือนใจอีกด้วย หรือรามเกียรต์ิมีตัวละครท้ังมนุษย์ ยักษ์ ลิง เทวดา มีการเหาะเหิน และอภินิหารต่าง ๆ ส่ิงเหล่าน้ีจะทาให้ ผู้อ่านวรรณคดีและวรรณกรรมเพลิดเพลินใจ นอกจากน้ี เนื้อหาวรรณคดีและวรรณกรรมท่ีดีจะต้องก่อให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจอย่างใดอย่างหนึ่ง แก่ผู้อ่านหรือผู้ฟัง หากกวีถ่ายทอดจินตนาการออกมาเป็นถ้อยคาจนสามารถทาให้ผู้อ่าน หรือผู้ฟังรู้สึก สะเทือนใจ ซาบซึ้ง และจดจาถ้อยคาเหล่านั้นได้ แสดงว่ากวีมีความสามารถถ่ายทอดอารมณ์ สะเทือนใจได้ อย่างมศี ิลปะ ยิ่งถา้ สามารถเร้าอารมณ์ด้วยถอ้ ยคาให้เกดิ ความสะเทือนใจให้แก่มวลชนได้มากและยาวนานก็ได้ ช่ือว่าเปน็ ผลงานอมตะ อารมณ์สะเทือนใจน้ีอาจจะเป็นความโศกเศร้า ความขบขัน ความรัก ความสนุกสนาน เบิกบานใจ เปน็ ตน้ ๒. คุณค่าด้านแนวคิดหรือข้อคิด ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน แนวคิด หมายถึง ความคดิ ทม่ี ีแนวทางปฏิบัติ แนวคดิ ทางวรรณคดีและวรรณกรรมจึงหมายถึง สารหรือความคิดสาคัญ ท่ีผู้เขียน ต้องการสือ่ มาให้ผอู้ า่ นเพื่อเป็นแนวทางปฏบิ ัติ อาจจะส่ือผ่านพฤติกรรมตัวละคร เนื้อหา หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยให้ผู้อ่านพิจารณาเร่ืองท้ังหมด แล้วสรุปออกมาเป็นแนวคิดสาคัญ เช่น กลอนดอกสร้อยราพึงในป่าช้า มีแนวคิดสาคัญของเร่ือง คือ ความไม่แน่นอนของชีวิต มนุษย์ไม่อาจหลีกหนีความตายไปได้ ไม่ว่าบุคคลน้ัน จะเปน็ ใคร ดังบทกลอนต่อไปนี้ ซากเอ๋ยซากศพ อาจเป็นซากนักรบผกู้ ล้าหาญ เชน่ ชาวบ้านบางระจันขันราบาญ กับหมู่มา่ นมาประทษุ อยธุ ยา ไมเ่ ชน่ น้นั ท่านกวีเช่นศรปี ราชญ์ นอนอนาถเล่ห์ใบ้ไร้ภาษา หรอื ผูก้ ู้บ้านเมืองเรืองปัญญา อาจจะมานอนจมถมดนิ เอย กลอนดอกสร้อยราพงึ ในปา่ ชา้ : พระยาอุปกิตศลิ ปสาร (นมิ่ กาญจนาชีวะ) นอกจากนี้ ในวรรณคดีและวรรณกรรมที่มีเร่ืองขนาดยาวอาจมีสารท่ีแสดงแนวคิดหลักและแนวคิด รองได้ แนวคิดหลัก หมายถึง การพิจารณาสาระสาคัญท่ีผู้เขียนส่ือมาถึงผู้อ่าน หรือความคิดสาคัญของเนื้อ เรื่องโดยรวม ส่วนแนวคิดรอง หมายถึง การพิจารณาแนวคิดสาคัญเฉพาะตอนใดตอนหน่ึงของเรื่อง ซ่ึง วรรณคดแี ละวรรณกรรมแต่ละเรอื่ งอาจใช้แนวคดิ รองประกอบกับแนวคิดหลกั ได้

๑๐๐เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ ๓. คุณค่าด้านวรรณศิลป์ วรรณศิลป์ หมายถึง ศิลปะในการประพันธ์หนังสือ ให้เกิดอารมณ์ สะเทือนใจ โดยมากมักเน้นพิจารณาเร่ืองการแสดงออกโดยใช้ถ้อยคาที่มีสานวนโวหารไพเราะ มีลักษณะเด่น ในเชิงการประพันธ์ สามารถถ่ายทอดความคิดความรู้สึกของกวีได้จับใจผู้อ่านและผู้ฟัง ให้เกิดความรู้สึก คล้อยตามไปกบั กวีดว้ ย การพิจารณาคุณคา่ ดา้ นวรรณศิลป์สามารถพจิ ารณาได้หลากหลาย ดังนี้ ๓.๑ ภาพพจน์ หมายถึง การใช้ถ้อยคาท่ีทาให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังเกิดภาพขึ้นในใจ ซึ่งกวีสามารถ เขยี นเพื่อให้เกิดภาพพจน์ด้วยวธิ ตี ่าง ๆ กนั เช่น ๑) อปุ มา เป็นการใช้ถอ้ ยคาเปรียบเทยี บว่าสิง่ หนึง่ เหมือนกับอีกส่งิ หนงึ่ มกั มีคาใหส้ งั เกตคอื ด่ัง ราว เหมือน เสมอื น ดจุ ประหน่งึ เพี้ยง เชน่ จนผมโกร๋นโล้นเกล้ยี งถึงเพยี งหู ดูเงาในน้าแล้วรอ้ งไห้ ฮดึ ฮดั ขัดแค้นแนน่ ใจ ตาแดงดง่ั แสงไฟฟา้ รามเกียรติ์ : พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราช ๒) อปุ ลกั ษณ์ เปน็ การเปรยี บเทยี บสง่ิ หนง่ึ เป็นอีกสิ่งหนง่ึ มักมีคาว่า คือ เปน็ และ เทา่ ลูกคือดวงใจของแม่ อามาตย์เป็นบรรทัด ถอ่ งแท้ บางครั้งการใช้ภาพพจน์อุปลักษณ์ไม่ปรากฏคาเปรียบเทียบแต่พอจะทราบได้ว่า เป็นการ เปรยี บเทยี บแบบอุปลกั ษณ์ เชน่ แมแ่ กว้ กัณหาของแม่เอย๋ (เปรียบกณั หาเปน็ แก้ว) เจา้ ดวงมณฑาทองทงั้ คขู่ องแม่เอย๋ (เปรยี บกัณหาชาลีเป็น ดวงมณฑาทอง) ๓) บุคลาธิษฐานหรือบุคคลวัต หมายถึง การสมมุติให้ส่ิงมีชีวิต เช่น พืช สัตว์ และ สิง่ ไมม่ ชี ีวิต เช่น แสงแดด สายลม สง่ิ ของ ทากริ ิยาหรือมีความรู้สกึ นกึ คดิ อยา่ งมนุษย์ เชน่ อิฐหินปนู ร่าไห้ พระจนั ทร์ยิม้ ทะเลไม่เคยหลับใหล คลนื่ ลมเห่จูบหิน ทะเลสะอ้นื พระอาทติ ยห์ ัวเราะ หรือให้สัตว์ต่าง ๆ เจรจาโต้ตอบกัน โดยในชีวิตจริงสัตว์เหล่าน้ันพูดไม่ได้ แต่มาใช้คาพูด เหมือนมนุษย์ เชน่ นทิ านอสี ปมกี ระตา่ ยกบั เตา่ พูดคยุ กนั


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook