๑๐๑เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ ๒) เลน่ เสียงสัมผัสสระ คือ การใช้สมั ผสั สระหลายพยางคต์ ิดกนั เชน่ เจา้ เคยเคยี งเรียงหมอนนอนแนบขา้ งทุกราตรี (รา่ ยยาวมหาเวสสนั ดรชาดก กัณฑม์ ทั รี : เจา้ พระยาพระคลงั (หน)) คอกควายวัวรวั เกราะเปาะเปาะ! เพยี ง รูว้ ่าเสยี งเกราะแว่วแผว่ แผ่วเอย (กลอนดอกสร้อยราพึงในป่าช้า : พระยาอปุ กติ ศลิ ปสาร) ๓) เล่นเสียงวรรณยุกต์ คอื การใช้คาทีม่ ีเสยี งวรรณยุกต์ต่างกนั เพื่อให้เกดิ ความไพเราะ หรอื เพ่ือเน้นความ เช่น กลองทองตีครมุ่ คร้ืม เดนิ เรยี ง ท้าตะเติงเตงิ เสียง ครมุ่ ครนื้ เสยี งป่ีรี่เรอื่ ยเพียง การเวก แตร้นแตรน่ แตรฝรงั่ ขึ้น หวหู่ วู่เสยี งสงั ข์ (กาพยห์ อ่ โคลงประพาสธารทองแดง : เจ้าฟา้ ธรรมธเิ บศร) ๔. คุณค่าด้านสังคม คือ ภาพสะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ของคนท่ีสะท้อนมาจากวรรณคดี และวรรณกรรมโดยกวีนิยมแทรกไว้ในเนื้อเรื่อง เช่น ประเพณี ความเช่ือ ค่านิยม ความเป็นอยู่ การประกอบ อาชีพ วรรณคดีและวรรณกรรมจึงเป็นเสมือนกระจกสะท้อนสภาพสังคมในแต่ละยุคสมัย ซึ่งเป็นหลักฐาน ทบี่ อกเล่าเรื่องราวในอดตี แก่คนรุน่ หลังไดเ้ ป็นอย่างดี ตวั อย่างคุณค่าด้านสงั คมที่ปรากฏในเสภาเรื่อง ขุนชา้ ง-ขุนแผน คร้นั รงุ่ เชา้ ข้ึนพลันเป็นวนั ดี ทองประศรจี ัดเรือกญั ญาใหญ่ เอาขันหมากลงบรรทุกขลุกขลยุ่ ไป หามโหรใี สท่ า้ ยกัญญา ขนั หมากเอกเลือกเอาท่รี ปู สวย น่งุ ยกหม่ ผวยจับผิวหน้า ก็ออกเรือดว้ ยพลันทันเวลา ครูห่ นึ่งถึงท่าศรปี ระจัน (เสภาเร่อื ง ขนุ ชา้ ง-ขนุ แผน : พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลา้ นภาลัย) เน้ือเรื่องขุนช้าง-ขุนแผนในตอนน้ีกล่าวถึงการจัดขบวนขันหมากซ่ึงแห่ไปทางเรือ และพิธีสู่ขอตาม ประเพณีไทยของชาวบ้านในสมัยนัน้ เมื่อผู้อ่านวรรณคดีได้ศึกษาก็จะเกิดความเข้าใจสภาพสังคม วิถีชีวิต และ ประเพณขี องคนไทย
๑๐๒เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ รามเกียรต์ิ ตอน นารายณป์ ราบนนทก รามเกียรติ์ มาจากคาว่า ราม + เกียรติ หมายถึง เกียรติของพระราม ตามคติฮินดูมีความเช่ือว่า พระราม คือ พระนารายณ์อวตารลงมาในโลกมนุษย์เพ่ือปราบยุคเข็ญ (อวตาร หมายถึง แบ่งภาคมาเกิด ในโลก) รามเกยี รตมิ์ าจากวรรณคดีอินเดียเรอ่ื ง รามายณะ ซ่ึงเป็นวรรณคดีสาคัญและมีมานานกว่า ๒,๐๐๐ ปี โดยอนิ เดยี ถอื วา่ เปน็ เรือ่ งมหาภารตะที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียง ส่วนไทยได้นาวรรณคดีเรื่อง รามเกียรติ์ มาแสดง เป็นหนังใหญ่ โขน ละคร นอกจากนี้ ยังนามาวาดเป็นภาพจิตรกรรม เช่น ภาพวาดท่ีผนังระเบียงรอบ พระอุโบสถวดั พระศรรี ัตนศาสดาราม เปน็ ต้น เรื่องรามเกียรต์ิ เป็นเร่ืองท่ีเต็มไปด้วยอิทธิฤทธ์ิ มีการเหาะเหินเดินอากาศ การแปลงกาย การรบทัพ จับศกึ มตี วั ละครทั้งเทวดา นางฟ้า ยักษ์ ลงิ มนษุ ย์ มีคตสิ อนใจและคุณค่าตา่ ง ๆ ควรค่าแกก่ ารศกึ ษาอยา่ งย่งิ ทม่ี าของเร่ืองรามเกียรติ์ บ่อเกิดแหง่ รามเกียรต์ิมาจากคมั ภีร์รามายณะ คาว่า รามายณะ หมายถงึ เรื่องของพระราม รามายณะ เป็นท่ีจับใจของชาวฮินดูถือว่าเป็นเร่ืองศักดิ์สิทธ์ิ โดยชาวฮินดูเช่ือว่า คัมภีร์รามายณะมีคุณวิเศษต่าง ๆ ใครอ่านแล้วปรารถนาสิ่งใดก็จะสมปรารถนา มีอายุยืน และชาวฮินดูจะนับถือพระรามไม่เพียงแต่เป็นวีรบุรุษ แต่เป็นพระนารายณ์อวตารมาปราบอธรรมเพ่ือให้โลกอยู่เย็นเป็นสุข พระจริยวัตรของพระรามนั้นเป็น แบบฉบับท่ีดี เป็นพระราชโอรสที่กตัญญูต่อพระราชบิดา มีความเมตตาปรานีต่อพระราชวงศ์ เป็นพระสวามี ที่ซื่อตรงรักใคร่พระมเหสี และเป็นผู้นาที่มีความกล้าหาญ มีความสามารถ ส่วนนางสีดาเป็นแบบอย่างกุลสตรี ที่ดี ซอ่ื ตรงมน่ั คงตอ่ พระสวามี กิรยิ าวาจาเรยี บรอ้ ย มีความอดทนต่อความยากลาบาก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสันนิษฐานว่า บ่อเกิดสาคัญแห่งเร่ืองรามเกียรต์ิ น่าจะมี อยู่ ๓ แหล่ง คอื รามายณะฉบับสนั สกฤต เปน็ หนังสอื สาคญั ท่ีกล่าวถึงเรื่องราวของพระราม แตง่ โดยวาลมิกิ วษิ ณุปรุ าณะ นา่ จะเป็นบอ่ เกดิ แหง่ เนอ้ื หาท่กี ลา่ วถงึ ตอนกไเนิดตา่ ง ๆ และตอนทศกัณฐ์เย่ยี มพภิ พ หนมุ านนาฏกะ น่าจะเป็นบอ่ เกิดแห่งเนื้อหาทีก่ ล่าวถงึ ความเก่งกาจของหนุมาน ในประเทศไทยเรื่องของพระรามแพร่หลายมาต้ังแต่สมัยสุโขทัย มีการต้ังพระนามพระเจ้าแผ่นดิน เกี่ยวข้องกับคาว่า “ราม” เช่น พ่อขุนรามคาแหง พระราเมศวร เป็นต้น รวมทั้งสานวนต่าง ๆ ในรามเกียรติ์ คนไทยยงั นามาใชอ้ ยู่เสมอ เชน่ ลูกทรพี งอมพระราม วดั รอยเทา้ สบิ แปดมงกฎุ เป็นต้น
๑๐๓เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ รามเกียรต์ินอกจากจะแพร่หลายในประเทศไทยและอินเดียแล้ว ยังแพร่หลายในประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซยี กมั พูชา เมียนมา และลาวอกี ดว้ ย บทละครเร่ือง รามเกียรต์ิ ตอน นารายณ์ปราบนนทก เป็นพระราชนิพนธ์ในพร ะบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ซึ่งรามเกียรต์ิฉบับรัชกาลที่ ๑ นี้นับเป็นฉบับท่ีสมบูรณ์ท่ีสุดตาม พระราชประสงค์ท่ีจะใหเ้ ป็นตน้ ฉบบั สาหรับพระนคร รูปแบบกลอนบทละครในรามเกียรต์ิมีข้อสังเกต คือ จะมีคาข้ึนต้นท่ีแตกต่างกันไป ได้แก่ เม่ือนั้น ใชก้ บั ตวั ละครท่ีเป็นกษตั ริย์หรอื เทวดา บดั น้ัน จะใชก้ ับตัวละครท่ัวไป มาจะกล่าวบท ใช้เม่ือเปล่ียนเรื่องมาเล่า เร่ืองใหม่ ซ่ึงเป็นรูปแบบพิเศษท่ีใช้เฉพาะในกลอนบทละครเท่าน้ัน ลักษณะกลอนบทละครยังคงมีวรรคละ ๖-๙ คา เชน่ เดียวกบั กลอนบทละครโดยท่ัวไป เนื้อเรื่องยอ่ รามเกยี รติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก นนทกเป็นยักษ์อยู่ท่ีเชิงบันไดเขาไกรลาส มีหน้าท่ีล้างเท้าเทวดาซึ่งจะไปเข้าเฝ้าพระอิศวร เทวดา เหล่านั้นบ้างก็ถอนผมนนทก บ้างก็ตบหัวเย้าหยอก จนหัวของนนทกโล้นเกลี้ยง นนทกแค้นใจมากจึงไป ทูลขอพรจากพระอิศวรให้ประทานนิ้วเพชรแก่ตน เมื่อชี้ผู้ใดผู้น้ันจะตาย พระอิศวรก็ประทานให้ เพอ่ื เปน็ รางวัลทน่ี นทกทาหนา้ ที่ดว้ ยความรับผดิ ชอบ เมื่อได้น้ิวเพชร นนทกก็ใช้น้ิวเพชรสังหารเทวดาที่มาแกล้งเสียส้ิน พระอินทร์จึงนาความไปทูล พระอิศวร พระอิศวรจึงขอให้พระนารายณ์ไปปราบนนทก พระนารายณ์แปลงเป็นนางฟ้าผู้งดงาม เม่ือนนทก เห็นนางฟ้าก็คิดผูกพันรักใคร่ นางฟ้าแปลงจึงออกอุบายให้นนทกราตามท่าทางต่าง ๆ ท่าสุดท้ายเป็นท่า นาคาม้วนหาง ซ่ึงต้องใช้นิ้วช้ีขาตนเอง เมื่อนนทกชี้ไปถูกขา ขาของนนทกก็หักล้มลง นางฟ้าแปลงจึงกลับร่าง เป็นพระนารายณ์เหยียบนนทกไว้จะสังหาร นนทกเห็นดังน้ันจึงกล่าวตัดพ้อว่า ตนมีสองมือหรือจะสู้ส่ีมือได้ พระนารายณ์จึงตรัสว่าชาติหน้าให้นนทกมีสิบหน้าย่ีสิบมือ ส่วนพระองค์จะเป็นเพียงมนุษย์ท่ีมีสองมือ ส้กู ับนนทก ตรัสแล้วกต็ ดั เศยี รนนทกกระเด็นไป แล้วพระนารายณ์ก็เสดจ็ คนื ยังเกษียรสมุทร กล่าวถึงนางรัชดามเหสีท้าวลัสเตียนแห่งกรุงลงกา ให้กาเนิดพระโอรสมีสิบเศียรสิบหน้าย่ีสิบกร ซ่งึ ก็คือนนทกมาเกิด มีชื่อว่า ทศกัณฐ์ ตามลักษณะของตน คือ มีสิบคอสิบหน้า เร่ืองราวนี้เป็นที่มาของกาเนิด ทศกัณฐ์ ฝ่ายนางเกาสุริยามเหสีท้าวทศรถแห่งกรุงอโยธยาได้ให้กาเนิดพระราชโอรสชื่อ พระราม ซ่ึงก็คือ พระนารายณอ์ วตารน้ันเอง
๑๐๔เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ บทวิเคราะห์ ๑. คณุ ค่าดา้ นเน้ือหา บทละครเร่ือง รามเกียรต์ิ ตอน นารายณ์ปราบนนทก ทาให้ผู้อ่านได้รับความสนุกสนาน เพลิดเพลิน ดว้ ยกลวธิ ีต่อไปนี้ ๑. การดาเนินเรอื่ งทรี่ วดเร็วฉับไว เช่น ตอนที่นนทกได้รับพรให้มีนิ้วเพชรจากพระอิศวรก็ไปทาหน้าท่ี ล้างเท้าเทวดาตามปกติ เมื่อถูกเทวดาหยอกล้อเหมือนเช่นเคยก็สุดท่ีจะอดกล้ัน จึงใช้เพชรสังหารเหล่าเทวดา ไปเป็นจานวนมาก ซึ่งเนอ้ื เรอ่ื งสามารถอธิบายอยา่ งชดั เจนไดใ้ นคาประพันธ์ เพยี งบทเดยี วว่า ตอ้ งสุบรรณเทวานาคี ดง่ั พษิ อสนุ ีไมท่ นได้ ลม้ ฟาดกลาดเกลื่อนลงทนั ใด บรรลัยไมท่ ันพริบตา ๒. เหตกุ ารณใ์ นเร่อื งสร้างความตนื่ เตน้ และน่าตดิ ตามต้ังแต่เร่ิมต้นจนจบตอน ต้ังแต่ที่นนทกถูกเทวดา กลน่ั แกล้งจนเกิดความแค้นจึงไปขอพรจากพระอิศวรให้ประทานนิ้วเพชร เม่ือได้น้ิวเพชรก็นาไปสังหารเทวดา จนพระอิศวรต้องขอให้พระนารายณ์มาช่วยปราบ พระนารายณ์จึงแปลงเป็นนางฟ้าแสนสวยมาหลอกนนทก ให้ลุ่มหลงและราตาม ในท่ีสุดก็ปราบนนทกได้ และก่อนที่นนทกจะถูกสังหาร เน้ือเรื่องก็ยังทิ้งท้ายไว้ให้ผู้อ่าน ต้องการตดิ ตามตอนต่อไปอีกดว้ ย ๓. กาหนดฉากและตัวละครน่าสนใจแตกต่างจากเร่ืองอ่ืน เน้ือเร่ืองรามเกียรต์ิตอนนี้เป็นฉาก เขาไกรลาสบนสวรรค์ มีตวั ละคร คอื พระอิศวร พระนารายณ์ พระอินทร์ ซ่ึงเป็นเทพผู้เป็นใหญ่ มีเหล่าเทวดา ต่าง ๆ และยักษ์ นอกจากนี้ หากนักเรียนได้อ่านเรื่องรามเกียรต์ิ ตอนต่อ ๆ ไปยิ่งจะเห็นว่า มีฉากท่ีน่าสนใจ อีกหลายฉาก เช่น เมืองยกั ษ์ เมอื งบาดาล การจองถนน ฉากการสรู้ บกลางเวหา เปน็ ต้น และมีตัวละครท่ีผู้อ่าน ต้องประทับใจอกี หลายตวั เชน่ หนมุ าน สคุ รีพ พิเภก เป็นตน้ ๔. เนื้อเร่ืองส่ืออารมณ์ผ่านตัวละครให้ผู้อ่านสัมผัสได้หลายอารมณ์ เช่น ผู้อ่านจะรู้สึกสงสารนนทก ท่ีถูกเทวดาแกล้งถอนผมจนหัวโล้น ต่อมาความรู้สึกจะเปล่ียนไปเมื่อสัมผัสได้ว่านนทก เปลี่ยนความน้อยใจ เสียใจไปเปน็ ความแค้นใจและสังหารผู้อ่ืน ซึ่งเป็นการกระทาที่เกินกว่าเหตุ และเมื่อนนทกได้เห็นนางฟ้าแปลง ผู้อ่านจะสัมผัสได้ถึงความรัก ความอ่อนโยนนุ่มนวลของตัวละคร จะเห็นได้ว่าเนื้อเรื่อง ตอน นารายณ์ปราบ นนทกน้มี หี ลายรสชาติ ทงั้ โศกเศร้า รัก และแคน้
๑๐๕เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ ๒. คุณค่าด้านแนวคิด บทละครเรื่องรามเกียรต์ิ ตอนนารายณ์ปราบนนทกแสดงให้เห็นแนวคิดเกี่ยวกับการใช้อานาจให้เป็น และให้ถูกต้องทั้งเทวดาและนนทก การที่เทวดาไปตบหัวถอนผมนนทกจนผมโกร๋น นับว่าเป็นการใช้อานาจ ในทางท่ีผิด เป็นการรังแกผู้น้อยซึ่งไมส่ มควรเลยี นแบบแมจ้ ะหยอกลอ้ เลน่ กันกต็ าม ดงั คาประพนั ธว์ า่ นนทกกล็ า้ งเท้าให้ เม่ือจะไปกจ็ บั หัวสน่ั สัพยอกหยอกเล่นเหมือนทุกวนั สรวลสนั ต์เยาะเย้ยเฮฮา และจากการกระทาของเทวดา สุดทา้ ยกจ็ บลงด้วยความตาย ดงั คาประพนั ธ์วา่ ต้องสุบรรณเทวานาคี ดังพษิ อสุนีไม่ทนได้ ล้มฟาดกลาดเกล่อื นลงทนั ใด บรรลัยไม่ทันพริบตา การรังแกผู้อื่นเป็นสิ่งท่ีไม่ดี แม้ผู้รังแกจะต้องการแค่ความสนุก แต่ถ้าไปสร้างความทุกข์ให้ผู้ถูกรังแก ก็ถือวา่ เปน็ สงิ่ ผิด ขณะเดียวกันเมื่อนนทกได้นิ้วเพชรสามารถช้ีให้ใครตายก็ได้ จึงใช้อานาจเกินไปจนทาให้เดือดร้อน ไปทว่ั ทง้ั สวรรคก์ ระทงั่ พระอิศวรตรัสว่า ไอน้ ที่ าชอบมาช้านาน เราจึงประทานพรให้ มนั กลับทรยศกบฏใจ ทาการหยาบใหญ่ถึงเพยี งน้ี คาว่า ทาการหยาบใหญ่ หมายถึง ใช้อานาจของตนสังหารผู้อ่ืนเป็นการผิดคุณธรรมอย่างร้ายแรง ในท่ีสุดทาให้นนทกต้องตายไปด้วย ซึ่งเป็นเร่ืองของกฎแห่งกรรมว่า กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมตอบสนอง ผู้กระทา สาหรับพระนารายณ์ไปสังหารนนทกตามบัญชาของพระอิศวรซ่ึงถือเป็นหน้าที่ต่อส่วนรวม เพื่อให้ สวรรคม์ สี นั ติสุข ดังคาประพันธว์ ่า ตรัสแล้วจึงมีบัญชา ดูราพระนารายณเ์ รืองศรี ตวั เจ้าผ้มู ฤี ทธี เป็นท่พี งึ่ แกห่ ม่เู ทวญั จงชว่ ยระงับดบั เขญ็ ใหเ้ ย็นทว่ั พิภพสรวงสวรรค์ เชญิ ไปสังหารไอ้อาธรรม์ ใหม้ ันสิ้นชพี ชวี า การทาให้คนช่ัวหมดไปและไม่ไปทาร้ายคนอื่น ๆ อีก ถือว่าเป็นหน้าที่ของพระนารายณ์โดยตรง ไมไ่ ด้ทาเพราะลุแก่โทสะเหมอื นนนทก ซงึ่ เหน็ ไดจ้ ากที่พระนารายณอ์ ธิบายใหน้ นทกเข้าใจก่อนถูกสังหาร ดังคา ประพนั ธ์ว่า เมื่อนน้ั พระนารายณบ์ รมนาถา ได้ฟงั จงึ มบี ัญชา โทษาถงึ ใหญ่หลวงนกั ด้วยทาโอทั้งบังเหตุ ไม่เกรงเดชพระอศิ วรทรงจักร เอ็งฆา่ เทวาสุรารักษ์ โทษหนักถึงทบ่ี รรลัย ตัวกูกค็ ดิ เมตตา แตจ่ ะไวช้ ีวาถึงไม่ได้ ตรสั แล้วแกวง่ ตรีเกรยี งไกร แสงกระจายพรายไปด่งั เพลงิ กาฬ
๑๐๖เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ ๓. คณุ ค่าดา้ นวรรณศิลป์ บทละครเร่ืองรามเกียรต์ิ ตอน นารายณ์ปราบนนทก มีลีลาการใช้ถ้อยคาและคุณค่าทางวรรณศิลป์ ที่โดดเดน่ ดงั น้ี ๑. การเล่นคา เช่น ตอนชมความงามของนางฟ้าแปลง มีการซ้าคาเพ่ือเน้นความหมายให้เห็นว่า มีความงามทุกสว่ น โดยเลน่ คาว่า งาม ดงั คาประพนั ธ์ว่า เหลอื บเหน็ สตรีวไิ ลลกั ษณ์ พิศพักตรผ์ อ่ งเพยี งแขไข งามโอษฐง์ ามแก้มงามจไุ ร งามนัยน์เนตรงามกร งามถิ่นงามกรรณงามขนง งามองคย์ ิง่ เทพอปั สร งามจรติ กริ ยิ างามงอน งามเอวงามอ่อนท้ังกายา ๒. การใช้อปุ มาเปรยี บเทียบเพ่ือให้เห็นภาพ เชน่ ตาแดงดงั่ แสงไฟฟ้า • อึดฮดั ขดั แคน้ แนน่ ใจ ดั่งพิษอสุนไี ม่ทนได้ • ตอ้ งสุบรรณเทวานาคี แสงกระจายพรายไปดั่งเพลงิ กาฬ • ตรัสแล้วแกว่งตรีเกรียงไกร ๓. การใชค้ าใหเ้ กดิ อารมณต์ า่ ง ๆ เช่น รกั โกรธ เศร้า สะเทือนใจ เปน็ ต้น เชน่ อารมณ์สะเทือนใจ อยบู่ นั ไดไกรลาสเปน็ นิจ สรุ าฤทธิต์ บหัวแล้วลูบหนา้ บ้างให้ตักนา้ ลา้ งบาทา บา้ งถอนเสน้ เกศาวนุ่ ไป จนผมโกในโล้นเกลีย้ งถึงเพยี งหู ดูเงาในน้าแลว้ รอ้ งไห้ อารมณโ์ กรธ เป็นชายดูดมู๋ าหม่ินชาย มิตายก็จะไดเ้ หน็ หนา้ คดิ แล้วก็รีบเดินมา เฝา้ พระอิศราธบิ ดี ๔. การสรรคาที่ส่ือความหมายถึงส่ิงเดียวกันมาใช้อย่างหลากหลาย เช่น คาที่ใช้เรียก พระอิศวรมี พระสยมภูวญาณ พระอิศราธิบดี เจ้าไตรโลกา พระศุลี หรือคาที่ใช้เรียกพระนารายณ์มี พระสีกร พระหริวงศ์ พระจกั รา เป็นตน้
๑๐๗เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ ๔. คณุ คา่ ดา้ นสังคม บทละครเรือ่ งรามเกียรต์ิ ตอน นารายณ์ปราบนนทก มีคุณคา่ ด้านสังคม โดยกวีได้สอดแทรกความเชื่อ ต่าง ๆ ไวใ้ นวรรณคดี ดังน้ี ๑. ความเชื่อในเร่ืองการเวียนว่ายตายเกิด ซ่ึงเป็นความเชื่อของคนไทยต้ังแต่อดีตจนถึง ปัจจุบัน เช่น ตอนทนี่ นทกกลบั ชาตมิ าเกดิ เป็นทศกัณฐ์ ดังคาประพันธว์ า่ เมือ่ น้นั ฝา่ ยนางรชั ดามเหสี องคท์ า้ วลัสเตยี นธบิ ดี เทวมี รี าชบุตรา คอื วา่ นนทกมากาเนดิ เกิดเป็นพระโอรสา ช่ือทศกัณฐก์ ุมารา สิบเศยี รสิบหนา้ ยสี่ ิบกร ๒. ความเชื่อเร่อื งสวรรค์ จากบทละครเร่ืองรามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก เหตุการณ์ ในเร่ือง เกิดขึ้นบนสวรรค์ โดยกวีได้บรรยายเหตุการณ์และตัวละครบนสวรรค์ทาให้ผู้อ่านได้รับความรู้เพ่ิมเติม ดงั คาประพนั ธว์ ่า เม่อื นั้น เทวาสรุ าฤทธทิ์ กุ ทิศา สบุ รรณคนธรรพว์ ทิ ยา ตา่ งมาเฝ้าองค์พระศลุ ี ๓. ความเชื่อเรื่องบุญกรรมตามหลักพระพุทธศาสนา จากบทละครเรื่องรามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ ปราบนนทก สะท้อนให้เห็นความเช่ือเรื่องบุญกรรม จากตอนท่ีนนทกกล่าวตัดพ้อต่อโชคชะตาของตนเอง ตอ่ หน้าพระอิศวร ดงั คาประพนั ธว์ ่า คร้นั ถึงจึงประณตบทบงส์ ทูลองคพ์ ระอศิ วรเร่ืองศรี ว่าพระองค์เป็นหลักธาตรี ย่อมเมตตาปรานที ว่ั พักตร์ ผูใ้ ดทาชอบต่อเบ้ืองบาท ก็ประสาททั้งพรแลยศศักด์ิ ตวั ข้าก็มีชอบนกั ล้างเท้าสุรารกั ษถ์ งึ โกฏิปี พระองค์ผู้ทรงศักดาเดช ไม่โปรดเกศแกข่ ้าบทศรี กรรมเวรสิ่งใดดังน้ี ทูลพลางโศกีราพัน ๔. ความเช่ือเร่ืองเทพเจ้าของศาสนาฮินดูจากบทละครเรื่องรามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก สะท้อนให้เห็นความเช่ือของชาวฮินดูท่ีนับถือเทพเจ้า ๓ องค์ เรียกว่า “ตรีมูรติ” คือ พระพรหม พระอิศวร และพระนารายณ์ ความเชื่อดังกล่าวเกิดจากอิทธิพลของวัฒนธรรมอินเดียซึ่งเป็นต้นกาเนิดของวรรณคดีเรื่อง รามายณะหรือรามเกียรติ์
๑๐๘เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๔ เล่ม ๑ ความร้จู ากวรรณคดี ๑. ได้ความรู้เรือ่ งต้นกาเนิดของทศกัณฐ์ว่าเป็นชาติต่อมาของนนทก ซึ่งได้ต่อว่าพระนารายณ์ว่ามีส่ีกร จึงชนะตนได้ พระนารายณจ์ งึ ใหน้ นทกไปเกดิ ใหม่ มสี ิบหนา้ ย่ีสิบมือ สว่ นพระองค์จะเปน็ มนุษย์มีสองมือแล้วมา สู้กัน จงึ กลายเป็นศกึ ระหวา่ งทศกณั ฐก์ บั พระราม ๒. ได้ความรู้เร่ืองท่าราแมบ่ ท ๑๘ ท่า หรือเรยี กว่าท่าราแมบ่ ทนางนารายณ์ ได้แก่ ๑) เทพนม ๒) ปฐม ๓) พรหมสี่หนา้ ๔) สอดสรอ้ ยมาลา ๕) กวางเดินดง ๖) หงส์บนิ ๗) กินรินเลยี บถ้า ๘) ช้านางนอน ๙) ภมรเคลา้ ๑๐) แขกเตา้ ๑๑) ผาลาเพียงไหล่ ๑๒) เมขลาลอ่ แกว้ ๑๓) มยเุ รศฟอ้ น ๑๔) ลมพัดยอดตอง ๑๕) พรหมนมิ ติ ๑๖) พิสมยั เรยี งหมอน ๑๗) มัจฉาชมสาคร ๑๘) พระส่ีกรขวา้ งจักร และทา่ ราสุดทา้ ยทพ่ี ระนารายณใ์ ช้กอ่ นสังหารนนทก คอื ทานาคาม้วนหาง ซ่ึงใช้สาหรับในการแสดง โขนเท่าน้ัน ไม่ใช้ในการราแมบ่ ททวั่ ไป ขอ้ คดิ น่าชวี ิต ๑. การใช้อานาจต้องพิจารณาให้ดี ถ้าใช้อานาจอย่างมีคุณธรรม คือ ใช้ให้ถูกต้องก็จะมีบารมี เช่นเดียวกับพระอิศวรหรือพระนารายณ์ท่ีเป็นท่ีพ่ึงแก่หมู่เทวดา หากใช้อานาจไม่ถูกต้อง ไม่ยับยั้งชั่งใจอย่าง นนทก กจ็ ะเกดิ ผลร้ายแกต่ นเองและผูอ้ ื่น ๒. การใช้สติปัญญาสาคัญกว่าการใช้กาลัง จะเห็นว่านนทุกกล่าวว่า พระนารายณ์มีสิกรตนมีสองกร เท่านั้น พระนารายณ์จึงให้นนทุกมีสิบหน้าย่ีสิบมือและพระองค์เป็นมนุษย์มีสองมือ ให้มาต่อสู้กันใหม่ พระนารายณ์ตอ้ งการให้ร้วู ่าส่ิงทีส่ าคัญสาหรบั การตอ่ ส้คู ือ สตปิ ญั ญา ไม่ใช่การมีกาลงั มากหรือน้อย ๓. รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่ควรรังแกผู้อ่ืนหรือคนท่ีด้อยกว่า เช่น นนทกถูกเทวดารังแกบ่อย ๆ กเ็ ป็นที่น่าเห็นใจ ๔. ไมค่ วรโอ้อวดว่าตนเองมีความสามารถเหนอื ผ้อู ่นื และใช้อานาจไปในทางท่ีผดิ ๕. การเป็นผู้ใหญ่ทด่ี ยี ่อมเปน็ ทีพ่ ่ึงของผูอ้ ่นื นอกจากน้ันผู้ใหญ่ควรมีเมตตาต่อผู้น้อย จึงจะทาให้สังคม รม่ เยน็ เปน็ สขุ ดังคาประพนั ธท์ ีก่ ล่าวถงึ พระอิศวรวา่ ว่าพระองค์เปน็ หลักธาตรี ย่อมเมตตาปรานีทว่ั พักตร์ ผูใ้ ดทาชอบตอ่ เบ้ืองบาท ก็ประสาททั้งพรแลยศศักดิ์ หรอื กลา่ วถึงพระนารายณ์วา่ เป็นทพ่ี ง่ึ แกห่ มเู่ ทวดาและทาใหโ้ ลกร่มเยน็ เปน็ สุข ดงั คาประพันธว์ ่า ตัวเจา้ ผู้มีฤทธี เป็นท่พี ึง่ แก่หมูเ่ ทวญั จงช่วยระงับดบั เข็ญ ใหเ้ ย็นทว่ั พภิ พสรวงสวรรค์
๑๐๙เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เล่ม ๑ กาพย์หอ่ โคลงประพาสธารทองแดง กาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง เป็นวรรณคดีเล่มสาคัญเล่มหน่ึงของสมัยอยุธยาและของคนไทย ในปัจจุบัน และเป็นวรรณคดีเล่มที่มีความโดดเด่น เต็มไปด้วยสาระท่ีแตกต่าง ท้ังการสร้างสรรค์คาประพันธ์ ประเภทกาพย์ห่อโคลง ซึ่งไมไ่ ดป้ รากฏวรรณคดที ใ่ี ชค้ าประพนั ธป์ ระเภทนม้ี ากนัก ท้ังยังมีคุณค่าทางวรรณศิลป์ และเรอ่ื งราวทางธรรมชาตทิ ่ีนา่ สนใจอีกมากมาย จึงถอื ว่าเป็นวรรณคดีท่ีน่าศกึ ษาเปน็ อย่างย่งิ บทนา่ เรื่อง กาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดงเป็นพระนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรไชยเชษฐ์สุริยวงศ์ หรือ เจ้าฟ้ากุ้ง พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศกับพระพันวสาใหญ่ ต่อมาทรงได้ดารงพระยศขึ้นเป็น พระมหาอุปราช ในรัชสมัยของพระราชบิดาแห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง กรุงศรีอยุธยา แต่ภายหลังพระองค์ถูกสาเร็จโทษด้วยท่อนจันท์ หลังจากได้ลอบมีสัมพันธ์กับเจ้าฟ้าสังวาล มเหสขี องพระราชบดิ า โดยรูปแบบคาประพันธ์เป็นกาพย์ห่อโคลง คือ แต่งกาพย์ยานี ๑ บท สลับกับโคลงสี่สุภาพ ๑ บท โดยมีเนื้อความเชน่ เดียวกัน คาว่า “ธารทองแดง” เป็นชื่อลาน้าในบริเวณพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี วรรณคดีเรื่องนี้มีเน้ือหา กลา่ วถึงการเดินทางไปพระพทุ ธบาทท่ีมธี รรมชาติสวยงาม เนื้อเรื่องยอ่ กล่าวถึงการเดินทางและชมธรรมชาติ มีบทชมริ้วขบวนการเดินทาง บทชมสัตว์บก บทชมนก บทชมไม้ บทชมสัตว์น้า ลงท้ายด้วยการบอกจุดประสงค์ของกวี มีจานวนกาพย์ยานี ๑๑ ท้ังส้ิน ๑๐๘ บท โคลงสี่สุภาพ ๑๑๓ บท เน้ือเร่ืองทาให้ได้รู้จักธรรมชาติและการใช้ชีวิตของสัตว์ ซ่ึงอธิบายลักษณะของสัตว์ ตา่ ง ๆ ไดต้ รงตามขอ้ เท็จจริง
๑๑๐เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๔ เล่ม ๑ เนอ้ื เรือ่ งย่อตอนที่เรียน กล่าวถึงการเท่ียวไปในป่า มีสัตว์ต่าง ๆ เช่น เลียงผา กระจง ฝูงลิง ชะนี ฝูงค่าง งูเขียว ตุ๊กแก หนู นกต่าง ๆ เช่น ไก่ฟ้า นกยูง นกแก้ว นกกระตั้ว นกแขกเต้า นกโนรี นกสัตวา พืชต่าง ๆ เช่น ช้องนางคลี่ สไบนางสีดา หัวลิง กระไดลิง พอมาถึงท่ีธารน้าใสสะอาด เห็นปลานานาชนิดกาลังกินไคลหรือตะไคร่น้า จอกแหน สาหรา่ ย ว่ายไปมานา่ รนื่ รมย์ บทวิเคราะห์ ๑. คุณคา่ ดา้ นเน้ือหา กาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดงมีเน้ือหาเชิงประวัติศาสตร์เป็นการบันทึกเรื่องการเดินทางไป พระพุทธบาทที่จังหวัดสระบุรี ในสมัยเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร กวีได้บันทึกภาพความงดงามตามธรรมชาติของ ธารทองแดง ซ่ึงเป็นลาน้าแห่งหนึ่ง กล่าวกันว่าน้าใสจนแลเห็นตัวปลา วรรณคดีเรื่องน้ีพรรณนาชมธรรมชาติ ชมนก ชมไม้ และสตั ว์ตา่ ง ๆ ทาใหเ้ ห็นความอดุ มสมบูรณ์ของธรรมชาตใิ นสมัยนั้น การกลา่ วถงึ สัตวต์ ่าง ๆ เช่น ลิง เลียงผา ไก่ฟ้า นกยูง ปลา ทาให้ได้ความรู้เก่ียวกับธรรมชาติของสัตว์ ตา่ ง ๆ ได้เปน็ อย่างดี ซึ่งการบรรยายธรรมชาติทาใหอ้ า่ นแล้วเพลดิ เพลิน ธารไหลใสสะอาด มจั ฉาชาตดิ าษนานา หวั่นวา่ ยกนิ ไคลคลา ตามกนั มาใหเ้ ห็นตัว เนื้อเร่ืองฉบับเต็มกล่าวถึงขบวนเสด็จพยุหยาตราทางสถลมารค (ทางบก) พรรณนาถึงช้าง เครื่องสูง นางกานัล ชมสัตว์บกต่าง ๆ เช่น ช้างพัง ช้างพลาย หมีดา เสือโคร่ง ระมาด (แรด) ละม่ัง เลียงผา ชมนก เช่น นกยูง นกเขา นกแก้ว ชมไม้ เช่น ชงโค กล้วยไม้ ละมุด มังคุด มะม่วง ลาไย มะไฟ ชมปลาต่าง ๆ เช่น ปลากระด่ี ปลาดกุ อยุ ปลาตะเพียน นบั ว่าเป็นแหล่งความรเู้ กี่ยวกบั สตั ว์ และพชื นานาชนิดไดเ้ ป็นอยา่ งดี ๒. คณุ ค่าด้านแนวคดิ กาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดงมีคุณค่าด้านแนวคิดที่สะท้อนผ่านการบรรยายและพรรณนา เหตุการณ์ที่ปรากฏในเรื่อง โดยแนวคิดสาคัญของวรรณคดีเร่ืองน้ี คือ ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ นอกจากจะให้ ความรน่ื รมย์แกม่ นษุ ยแ์ ลว้ ยงั ชว่ ยทาให้ระบบนเิ วศเกดิ ความสมดุลอกี ดว้ ย
๑๑๑เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เล่ม ๑ ๓. คณุ ค่าดา้ นวรรณศิลป์ ๑. การเลยี นเสียงธรรมชาติ เชน่ เสยี งร้องของสตั ว์ต่าง ๆ ดหู นสู ู่รงู ู หนสู ดุ สูห้ นูสู้งู หนูงสู ู้ดอู ยู่ รูปงทู ูห่ นมู ูทู ดงู ูขฝู่ ูดฝู้ พรพู รู หนูสรู่ ูงงู ู สุดสู้ งสู ูห้ นหู นูสู้ งูอยู่ หนรู ู้งูงรู ู้ รูปถู้มทู ู ๒. การใชค้ าท่แี สดงการเคลอื่ นไหว เชน่ ยวบยาบ โจน ไล่ ไขว่ ควา้ ง โลด เลย้ี ว ปลิว อ้าปาก ลากล้วง รัด กดั พัน พ่นพษิ งเู ขียวรัดตุ๊กแก ตุ๊กแกแกค่ างแข็งขยนั กัดงูงูยิง่ พัน อ้าปากง่วงล้วงตบั กิน งเู ขียวแลเหลอ้ื มพน่ พษิ พลัน ต๊กุ แกคางแข็งขยนั คาบไว้ กดั งงู ูเร่งพัน ขนดเครียด ปากอา้ งจึงได ลากล้วงตับกนิ ๓. การเลน่ เสียงสมั ผสั สระและซา้ คา ลกั ษณะเปน็ กลบทเรียกวา่ กาพยบ์ าทเล่อื นลา้ หรอื เลอื่ นลา ดหู นสู ู่รูงู งูสุดสู้หนูส้งู ู หนงู สู ดู้ ูอยู่ รูปงูทหู่ นูมูทู ๔. การใช้คาท่ที าให้เกิดจินตภาพโดยปรากฏท้งั สีและเสียง เช่น ไก่ฟา้ อ้าสดแสง หัวสกุ แดงแทงเดอื ยแนม ปกี หางตา่ งสีแกม สแี ตม้ ต่างอย่างวาดเขยี น นกแกว้ แจว้ เสียงใส คลอไคลค้ หู่ มู่สาลิกา นกตัวผวั เมียคลา ฝา่ แขกเต้าเหลา่ โนรี ๕. การใช้คาเปรียบเทียบเชิงอุปมา เพ่ือแสดงภาพของสัตว์หรือพืชพรรณต่าง ๆ ให้ชัดเจนมากย่ิงขึ้น เชน่ กระจงกระจดิ เตี้ย วง่ิ เรยี่ เรีย่ น่าเอน็ ดู เหมือนกวางอย่างตาหู มเี ขยี้ วนอ้ ยสร้อยแนมสอง
๑๑๒เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ ๔. คณุ คา่ ด้านสงั คม กาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดงมคี ุณคา่ ด้านสังคมทง้ั ด้านประเพณีโบราณและด้านธรรมชาติวิทยา ดงั น้ี ๑. ให้ความรู้เก่ียวกับประเพณีการเสด็จทางสถลมารค (ทางบก) ของพระมหากษัตริย์ไทยในสมัย อยุธยาทเ่ี ดนิ ทางไปพระพุทธบาท จังหวัดสระบรุ ี ๒. ให้ความรู้ด้านธรรมชาติวิทยา กล่าวคือ ทาให้รู้ว่าผืนป่าในสมัยนั้นมีความอุดมสมบูรณ์ มีสัตว์ หลายชนิดท่ีปรากฏในคาประพันธ์ ปัจจุบันกลายเป็นสัตว์หายากและใกล้จะสูญพันธุ์ วรรณคดีเรื่องน้ีจึง ช่วยบันทึกสังคมให้คนรุ่นหลังได้เห็นถึงความเปล่ียนแปลงของธรรมชาติและทาให้เกิดความตระหนัก ในการอนุรักษธ์ รรมชาติมากขึน้ ความร้จู ากวรรณคดี ๑. ไดค้ วามรเู้ ร่อื งสภาพธรรมชาตอิ ันอุดมสมบูรณ์ท่ีธารทองแดง ซึ่งเป็นท่ีต้ังของพระตาหนักธารเกษม ในสมัยเจา้ ฟา้ ธรรมธิเบศร ๒. ได้ความรเู้ กย่ี วกับธรรมชาติของสัตว์และพรรณไม้ต่าง ๆ ข้อคดิ น่าชีวิต ๑. มนุษย์ควรพักผ่อนหย่อนใจกับธรรมชาติ เพ่ือให้เกิดความสุขใจ ในขณะเดียวกันควรรักษา ธรรมชาติให้คงอยู่ตลอดไป ๒. การเดนิ ทางเปน็ การเพ่ิมประสบการณใ์ นชีวติ ทดี่ ีทางหน่ึง ความรเู้ พ่มิ เติม ในปัจจุบนั เลียงผามจี านวนลดลงอยา่ งรวดเร็ว เนือ่ งจากถกู ล่าเพ่ือนาเขาและกระดูกมาใช้ทายาสมาน กระดูก เลียงผาจงึ ถูกจดั เปน็ สตั วป์ า่ สงวน ๑ ใน ๑๕ ชนดิ ตามพระราชบญั ญตั ิสงวนและคุม้ ครองสัตวป์ ่า พ.ศ. ๒๕๓๕ และอนสุ ญั ญาวา่ ด้วยการคา้ ระหว่างประเทศซงึ่ ชนิดสัตวป์ า่ และพืชป่าท่ีใกลส้ ญู พันธ์ุ หรืออนุสัญญาไซเตส (CITES) จดั เล้ยี งผาไว้ในบัญชหี มายเลข ๑ (Appendix I) วา่ เปน็ ชนิดพันธ์ขุ องสตั วป์ า่ และพชื ปา่ ทห่ี า้ มคา้ โดยเดด็ ขาด เนอื่ งจากใกล้จะสญู พันธ์ุ ยกเวน้ เพ่ือการศึกษาวิจยั และเพาะพนั ธ์ุ แต่ท้งั นี้ต้องไดร้ ับความยนิ ยอมจากประเทศทน่ี าเข้าดว้ ย
๑๑๓เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ กลอนดอกสร้อยร่าพึงในป่าช้า กลอนดอกสร้อยราพึงในป่าช้า เป็นวรรณคดีท่ีได้รับอิทธิพลมาจากวีนิพนธ์ภาษาอังกฤษ แสดงถึง อิทธิพลของการแลกเปล่ียนวัฒนธรรมโดยเฉพาะงานวรรณกรรม ซ่ึงมีเน้ือหาหลักของเรื่องแสดงปรัชญาชีวิต เรื่องความตาย ซึ่งพระยาอุปกิตศิลปสารสามารถถ่ายทอดบทกวีดังกล่าวให้สอดคล้องกับธรรมเนียมไทยได้ อยา่ งดีย่ิง กลอนดอกสร้อยราพงึ ในปา่ ช้าประกอบไปด้วยคุณค่าด้านวรรณศิลป์ เนื้อหา สังคมและการนาข้อคิด ไปประยุกต์ใช้ เปน็ วรรณกรรมท่ีสาคัญสะทอ้ นชีวิตจรงิ ของมนษุ ยต์ ามความเป็นไปของวัฏสงสาร บทนา่ เรื่อง พระยาอุปกิตศิลปสาร (น่ิม กาญจนาชีวะ) เป็นผู้ประพันธ์กลอนดอกสร้อยราพึงในป่าช้า โดยนามา จากกวีนิพนธ์ของทอมัส เกรย์ (Thomas Gray) ในเรื่อง Elegy Written in a Country Churchyard โดยแต่งเป็นกลอนดอกสร้อยจานวน ๓๓ บท แตท่ ่ีคดั มาใหน้ ักเรยี นศึกษามี ๒๑ บท ทมี่ าของเร่อื ง คาว่า elegy (บทร้อยกรองกาสรด) แต่เดิมเป็นโคลงไว้อาลัยหรือคร่าครวญถึงบุคคลใดบุคคลหน่ึง ที่จากไปไม่มีวันกลับ แต่ elegy ของทอมัส เกรย์ เป็นการราพึงถึงความตายของมนุษย์ซ่ึงแสดงสัจธรรม ของชีวิต ทอมสั เกรย์ เกดิ แรงบนั ดาลใจในการแต่งบทกวีน้ีหลังจากที่เขาได้สูญเสียญาติท่ีใกล้ชิด และเพื่อนรัก ในเวลาใกลเ้ คยี งกนั นับวา่ เปน็ เร่อื งที่มชี ่ือเสียงมากของอังกฤษ ทอมัส เกรย์ เป็นกวีชาวอังกฤษประมาณศตวรรษที่ ๑๘ เขาได้เขียนบทกวีน้ีขึ้นที่สุสานแห่งหน่ึง ในเมืองสโตกโปจส์ (Stoke Poges) ในมณฑลบกั กงิ แฮมเชอร์ (Buckinghamshire) พระยาอุปกิตศิลปะสารนาคาประพนั ธน์ ม้ี าประยุกต์ให้เข้ากับความเปน็ ไทย เชน่ เปลี่ยนตน้ ไอวี (Ivy) เปน็ เถาวลั ย์ เปลย่ี นแมลงบเี ทลิ (Beetle) เป็นจ้ิงหรีดเรไร เปล่ยี นชื่อจอห์น แฮมพเ์ ด็น (John Hampden) เป็นชาวบา้ นบางระจัน เปลยี่ นจอหน์ มิลตัน (John Milton) กวีเอกของอังกฤษ เปน็ ศรีปราชญ์
๑๑๔เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ เนอื้ เร่ืองย่อ กล่าวถึงบุคคลผู้หนึ่งนั่งอยู่ในป่าช้ายามพลบค่า เห็นฝูงวัวควายกาลังเดินกลับท่ีอยู่ท่ามกลางแสง พระจันทร์ จึงเห็นที่ฝังศพชัดเจน ศพเหล่านั้นคือศพของชาวนาชาวไร่และเนื่องจากอากาศหนาว มีเสียงระฆัง เสียงนกแสกร้อง ย่ิงทาให้บุคคลผู้น้ันรู้สึกวังเวงใจ ราพึงถึงดวงวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นนักรบ กวี นักการเมือง ซึ่งในท่ีสุดก็นอนจมกองดินเช่นเดียวกัน ไม่ว่าศพไพร่หรือศพผู้ดีต่างก็มีจุดจบเดียวกันคือความตาย แม้บางคน จะเสียดายอาลัยชีวิตไม่อยากตาย แต่ก็ไม่มีใครฝืนความจรงิ ขอ้ นไี้ ด้ บทวิเคราะห์ ๑. คณุ ค่าด้านเน้อื หา เมอ่ื อา่ นกลอนดอกสรอ้ ยราพงึ ในปา่ ชา้ จะให้ความรู้สึกและอารมณ์อยา่ งชัดเจน คือ อารมณ์สะเทือนใจ เก่ยี วกับชีวิต ความตาย ความเหงา วังเวงใจ สังเวชใจ บรรยากาศในยามใกล้ค่าย่ิงทาให้เกิดความรู้สึกอ้างว้าง ว้าเหว่ และสะเทือนใจมากขึ้น ซ่ึงนับว่าท่ีสามารถทาให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกร่วมไปกับบทกวีได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกลอนดอกสร้อยบทแรกวา่ วงั เอ๋ยวังเวง หง่างเหงง่ ! ยา่ ค่าระฆังขาน ฝูงวัวควายผ้ายลาทิวากาล คอ่ ยค่อยผา่ นท้องทุ่งมุ่งถิน่ ตน ชาวนาเหน่อื ยออ่ นต่างจรกลบั ตะวนั ลับอับแสงทุกแหง่ หน ทงิ้ ทุ่งใหม้ ืดมัวทัว่ มณฑล และทง้ิ ตนตูเปล่ยี วอยู่เดยี วเอย กลอนดอกสร้อยบทน้ีให้อารมณ์สะเทือนใจสูง กล่าวถึงยามใกล้ค่าได้ยินเสียงระฆังดัง เห็นชาวนา ตอ้ นวัวควายไปพร้อมกบั เวลาใกลม้ ืด ตนอยู่เดยี วดายด้วยความวงั เวงและเปล่าเปลย่ี วใจ ในกลอนดอกสร้อยบทท่ี ๒ และบทที่ ๓ กล่าวถึงเสียงจ้ิงหรีดเรไรร้อง มีเสียงเกราะแว่ว ๆ เสียง นกแสกร้องบนหอระฆัง หลังคามีเถาวัลย์รุงรัง นอกจากทาให้เห็นภาพแล้ว ยังสะท้อนความเงียบเหงาวังเวง จนทาใหเ้ กิดอารมณ์สะเทือนใจอีกดว้ ย ดงั คาประพันธว์ า่ นกเอย๋ นกแสก จบั จ้องรอ้ งแจ๊กเพยี งแถกขวญั อย่บู นยอดหอระฆงั บงั แสงจนั ทร์ มีเถาวลั ยร์ ุงรงั ถงึ หลังคา เหมือนมนั ฟ้องดวงจันทรใ์ ห้ผนั ดู คนมาสซู่ ่องพกั มันรักษา ถอื เป็นทีร่ โหฐานนมนานมมา ให้เส่ือมผาสุกสนั ต์ของมันเอย
๑๑๕เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ ๒. คุณคา่ ดา้ นแนวคิด กลอนดอกสร้อยราพึงในป่าช้าแสดงสัจธรรมของชีวิต คือ ความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ทุกคนไม่สามารถ หลีกเล่ียงความตายได้ การดาเนินชีวิตจึงควรรู้จักปล่อยวาง ไม่ควรยึดติดกับสิ่งใด ๆ ซึ่งเป็นคติธรรม อันทรงคุณคา่ แก่การดาเนินชีวิต ดงั คาประพนั ธว์ า่ ดวงเอย๋ ดวงจิต ลมื สนทิ กจิ การงานทั้งหลาย ย่อมละชพี เคยสขุ สนุกสบาย เคยเสยี ดายเคยวติ กเคยปกครอง ละถิ่นท่ีสาราญเบิกบานจิต ซ่งึ เคยคดิ ใฝ่เฝา้ เปน็ เจ้าของ หมดวิตกหมดเสยี ดายหมดหมายปอง ไม่ผินหลังเหลยี วมองด้วยซา้ เอย ๓. คุณคา่ ดา้ นวรรณศิลป์ ๑. การใช้คาเลียนเสียงธรรมชาติ เชน่ ยามเอย๋ ยามน้ี ปถพมี ดื มัวทัว่ สถาน อากาศเยน็ เยือกหนาวคราววกิ าล สงดั ปานปา่ ใหญไ่ รส้ าเนยี ง มกี ็แตจ่ งั หรีดกระกรดี กริ่ง! เรไรหร่ิง! รอ้ งขรมระงมเสยี ง คอกควายวัวรัวเกราะเปาะเปาะ! เพยี ง รูไ้ วเ้ สยี งเกราะแวว่ แผว่ แผว่ เอย ๒. การใชค้ าอุปมา เปรยี บเทยี บให้เขา้ ใจชดั เจน เช่น ห่างจากพวกมักใหญฝ่ ักใฝ่หา ห่างเอย๋ ห่างไกล ความมักน้อยชาวนาไม่น้อมไป ร่มซอ้ื เฉกหุบเขาลาเนาไศล แตส่ ิ่งซงึ่ เหลวไหลใส่อาตมา ตามวิสยั ชาวนาเยน็ กวา่ เอย เพ่ือรกั ษาความสราญฐานวิเวก สันโดษดับฟังซา่ นทะยานใจ ๓. การเลือกใชค้ าเพือ่ บรรยายใหน้ ึกเห็นภาพและได้ยินเสียง เช่น • มเี ถาวัลยร์ ุงรังถงึ หลงั คา • สูงใหญ่รากยอ้ ยห้อยระยา้ • รู้ว่าเสยี งเกราะแว่วแผ่วแผ่วเอย • ทงั้ ไกข่ นั แขง่ ดุเหว่าระเร้าเสยี ง • เสียงประกาศเกียรตเิ อิกเกริกล่ัน
๑๑๖เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ ๔. การซ้าคาเพอ่ื เน้นความหมาย เชน่ • หมดวิตกหมดเสยี ดายหมดหมายปอง • ใครจะยอมละทิง้ ซึ่งสงิ่ สุข เคยเป็นทกุ ข์หว่ งใยเสียได้งา่ ย • ใครจะยอมละแดนแสนสบาย โดยไม่ชายตาใฝอ่ าลัยเอย ๕. การเลน่ เสยี งสัมผสั พยัญชนะและสัมผัสสระ เชน่ • ตะวันลบั อับแสงทกุ แหง่ หน • ทงิ้ ทง้ั หนูน้อยนอ้ ยร่อยร่อยรบั • เขาเปน็ สขุ เรยี บเรียบเงยี บสงดั • เปลวเพลิงปลง่ั หอมกลบตลบเอย ๔. คุณค่าดา้ นสังคม กลอนดอกสรอ้ ยราพงึ ในปา่ ชา้ มีคุณค่าด้านสังคม ท้ังด้านประวัติศาสตร์ และด้านวิถีชีวิต ของคนไทย ดังนี้ ๑. ให้ความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ โดยกวีได้หยิบยกบุคคลและเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ มาเปรียบเปรย ทาให้ผู้อ่านได้รับความรู้เก่ียวกับประวัติศาสตร์ไปพร้อมกับข้อคิดของเร่ือง ดังที่ปรากฏใน คาประพนั ธ์ว่า ชากเอ๋ยซากศพ อาจเปน็ ซากนักรบผูก้ ล้าหาญ เช่นชาวบา้ นบางระจนั ขนั ราบาญ กับหมูม่ ่านมาประทุษอยธุ ยา ไม่เชน่ นนั้ ทา่ นกวีเช่นศรีปราชญ์ นอนอนาถเลห่ ์ใบไ้ ร้ภาษา หรอื ผู้ก้บู ้านเมอื งเรื่องปัญญา อาจจะมานอนจมถมดินเอย ๒. สะท้อนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยที่เป็นสังคมเกษตรกรรม เป็นวิถีชีวิตที่มีความใกล้ชิดกับ ธรรมชาติ ฉากในเรื่องไม่ว่าจะเป็นกองข้าว โรงนา หรือคันไถ ล้วนแต่สะท้อนวิถีชีวิตของคนไทยได้เป็นอย่างดี ดังคาประพนั ธว์ ่า กองเอ๋ยกองขา้ ว กองสงู ราวโรงนายง่ิ นา่ ใคร่ เกิดเพราะการเกบ็ เก่ียวดว้ ยเคียวใคร ใครเล่าไถคราดฟื้นพื้นแผ่นดนิ เช้าก็ขบั โคกระบือถือคนั ไถ สาราญใจตามเขตประเทศถิน่ ยดึ หางยามยักไปตามใจจินต์ หางยามผินตามใจเพราะใครเอย
๑๑๗เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ ความรู้จากวรรณคดี ๑. ทกุ คนตอ้ งตาย ๒. เมื่อตายแลว้ ไมส่ ามารถนาสิง่ ใดไปได้ จงึ ควรละวางไม่ยึดตดิ กับสิ่งตา่ ง ๆ ขอ้ คดิ นา่ ชวี ิต ๑. อยา่ ลมุ่ หลงในสิ่งทม่ี แี ละอย่าทะเยอทะยานจนเกินตัว เพราะสุดท้ายเราก็ต้องตายจากสิ่งเหล่านี้ไป ๒. เม่ือยงั มีชวี ิตอยู่ควรใชช้ วี ิตอยู่กับครอบครวั ใหม้ คี วามสขุ และทาแตค่ วามดี ความรูเ้ พิม่ เตมิ พระยาอุปกิตศิลปสาร นามเดิมว่า นิ่ม กาญจนาชีวะ เกิดเมื่อวันท่ี ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๒๒ เป็นบุตรของนายหว่างและนางปลั่ง กาญจนาชีวะ ได้รับการศึกษาชั้นต้นท่ีวัดบางปะทุนนอก และอุปสมบท ที่วัดสุทัศนเทพวราราม จนสอบได้เปรียญ ๖ ประโยค เริ่มสอนหนังสือท่ีโรงเรียนสวนกุหลาบ โรงเรียนฝึกหัด อาจารย์บ้านสมเด็จเจ้าพระยา เม่ือลาสิกขาได้เข้ารับราชการในกระทรวงธรรมการ (ปัจจุบันคือ กระทรวงศึกษาธิการ) และเล่ือนยศบรรดาศักดิ์เป็นอามาตย์เอก พระยาอุปกิตศิลปสาร ท่านเคยเป็นอาจารย์ พิเศษคณะอักษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั เป็นผเู้ สนอให้ใชค้ าว่า “สวัสดี” ในการทกั ทาย นามแฝงที่ใช้ในการเขียนหนังสือของท่าน ได้แก่ อ.น.ก. อนึก คาซูชีพ อุนิกา สามเณรน่ิม และ พระมหานิ่ม ผลงานของท่าน เช่น ตาราหลักภาษาไทย สงครามภารตคากลอน คาประพันธ์บางเร่ือง ชมุ นุมนิพนธ์ อ.น.ก.
๑๑๘เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๔ เล่ม ๑ โคลงสุภาษิตพระราชนิพนธ์ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัว โคลงสุภาษิตพระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นโคลงที่มีจุดมุ่งหมาย ใหข้ ้อคิดในการดาเนินชีวติ ให้ถูกตอ้ งเหมาะสม และมคี วามสขุ มีท้งั หมด ๑๑ เรอ่ื ง ดงั น้ี ๑. สุภาษิตบางปะอิน ทรงพระราชนิพนธ์ พ.ศ. ๒๔๒๐ ๒. โคลงกระทสู้ ุภาษิต ทรงพระราชนพิ นธ์ พ.ศ. ๒๔๒๐ ๓. สุภาษติ เบ็ดเตลด็ ทรงพระราชนิพนธ์ พ.ศ. ๒๔๒๐ ๔. สภุ าษติ สอนผ้เู ปน็ ข้าราชการ ทรงพระราชนพิ นธ์ พ.ศ. ๒๔๒๒ ๕. สุภาษติ โสฬสไตรยางค์ ทรงพระราชนิพนธ์ พ.ศ. ๒๔๒๓ ๖. สุภาษิตนฤทมุ นาการ (เขา้ ใจว่า) ทรงพระราชนิพนธ์ พ.ศ. ๒๔๒๓ ๗. โคลงวา่ ด้วยความสขุ ทรงพระราชนพิ นธ์ พ.ศ. ๒๔๓๑ ๘. วชิรญาณสภุ าษติ ทรงพระราชนิพนธ์ พ.ศ. ๒๔๓๒ ๙. พระราชปรารภความสุขทกุ ข์ ทรงพระราชนิพนธ์ พ.ศ. ๒๔๓๖ ๑๐. สุภาษติ พพิ ิธธรรม (ไมแ่ น่ชัดว่าทรงพระราชนิพนธ์ไวเ้ มือ่ ใด) ๑๑. สุภาษติ อศิ ปปกรณา ทรงพระราชนิพนธไ์ วต้ งั้ แต่ก่อน พ.ศ. ๒๔๔๗ โคลงสุภาษิตท่ีนักเรียนระดับช้ัน ม.๒ จะได้ศึกษามี ๓ เรื่อง คือ โคลงสุภาษิตโสฬสไตรยางค์ โคลงสุภาษติ นฤทุมนาการ และโคลงสุภาษิตอศิ ปปกรณา
๑๑๙เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๔ เล่ม ๑ โคลงสภุ าษิตโสฬสไตรยางค์ บทน่าเรื่อง คาว่า โสฬส หมายถึง สิบหก ไตรยางค์ หมายถึง องค์สาม โสฬสไตรยางค์ หมายถึง การจาแนกเนอ้ื ความเปน็ ๑๖ หมวด หมวดละ ๓ ข้อ รปู แบบเปน็ โคลงสส่ี ภุ าพ โดยมโี คลงนา ๑ บท แล้วแสดง สุภาษิตเป็นหมวด ๆ หมวดละ ๓ เร่ือง จนครบ ๑๖ หมวด และมีโคลง ๑ บท ปิดท้ายโดยบอกวัตถุประสงค์ วา่ เป็นแนวทางใหผ้ ้รู ู้ดารงชวี ิตให้เจริญรงุ่ เรอื ง ท่ีมาของเรอ่ื ง โคลงสุภาษิตโสฬสไตรยางค์นี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้กวีในราชสานักแปลจากต้นฉบับเดิมที่เป็นสุภาษิตภาษาอังกฤษ และแต่งเป็นโคลงภาษาไทย พระองค์ทรงตรวจแก้และทรงพระราชนิพนธ์โคลงนาบทภายหลัง ได้รวมพิมพ์ในหนังสือประชุมโคลงสุภาษิต พระราชนิพนธ์ ในรัชกาลที่ ๕ เม่ือ พ.ศ. ๒๔๖๖ เนือ้ เรื่องยอ่ กล่าวถงึ ส่งิ ทค่ี วรประพฤติและสิ่งที่ควรละเว้น ดงั น้ี ๑. สามสง่ิ ควรรกั คอื ความกล้า ความสภุ าพ ความรักใคร่ ๒. สามสง่ิ ควรชม คือ อานาจปญั ญา เกียรตยิ ศ มีมารยาทดี ๓. สามส่ิงควรเกลียด คือ ความดุร้าย ความหย่ิงกาเริบ อกตญั ญู ๔. สามสง่ิ ควรรังเกียจติเตียน คือ ชว่ั เลวทราม มารยา รษิ ยา ๕. สามส่งิ ควรเคารพ คอื ศาสนา ยุติธรรม สละประโยชน์ตนเอง ๖. สามสิง่ ควรยนิ ดี คอื งาม ตรงตรง ไทยแก่ตน ๗. สามสง่ิ ควรปรารถนา คือ ความสขุ สบาย มติ รสหายท่ีดดี ี ใจสบายปรุโปรง่ ๘. สามสิง่ ควรอ้อนวอนขอ คอื ความเชือ่ ถือ ความสงบ ใจบริสทุ ธ์ิ ๙. สามสิ่งควรนบั ถอื คือ ปญั ญา ฉลาด มน่ั คง ๑๐. สามส่งิ ควรจะชอบ คอื ใจอารสี ุจรติ ใจดี ความสนกุ เบกิ บานพร้อมเพรยี ง ๑๑. สามสง่ ควรสงสยั คอื ยอ หนา้ เนือ้ ใจเสอื พลนั รักพลนั จืด ๑๒. สามสิง่ ควรละ คือ เกยี จครา้ น วาจาฟนั่ เฝือ หยอกหยาบแลแสลงหรือขัดคอ
๑๒๐เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๔ เล่ม ๑ ๑๓. สามส่ิงควรจะกระทาใหม้ ี คอื หนงั สอื ดี เพอื่ นดี ใจเยน็ ดี ๑๔. สามสิ่งควรจะหวงแหนหรือต่อสเู้ พ่อื รักษา คอื ชอื่ เสยี งยศศกั ดิ์ บา้ นเมอื งของตน มติ ร ๑๕. สามส่ิงควรครองไว้ คือ กริ ยิ าท่เี ปน็ ในใจ มกั งา่ ย วาจา ๑๖. สามส่งิ ควรจะเตรยี มเผอื่ คอื อนิจจงั ชรา มรณะ บทวเิ คราะห์ ๑. คุณค่าด้านเนื้อหา สุภาษิตโสฬสไตรยางค์มีเนื้อหาเดิมเป็นสุภาษิตภาษาอังกฤษ โคลงแต่ละบทประกอบสามสิ่ง ที่ควรมีหรือควรละเว้น ซงึ่ เนอ้ื หาเป็นการสั่งสอนการดาเนนิ ชีวติ ของมนุษยโ์ ดยตรงซึ่งความประพฤติของตนเอง ชื่อเสียงเกียรติยศ บ้านเมือง มิตรสหาย และสุดท้ายที่ควรเตรียมตัว คือ อนิจจัง ชรา และมรณะ นับว่า เป็นการสอนครอบคลุมชีวิตทั้งหมด ให้รู้ว่าควรจะปฏิบัติตนอย่างไรจึงจะเกิดเป็นมงคลแก่ชีวิตและผู้ท่ีประสบ ความสาเร็จในชีวิตมักจะใฝ่หาคติธรรมต่าง ๆ เป็นเครื่องเตือนใจ เช่น สามส่ิงท่ีควรรัก คือ ควรจะมีความกล้า ความสุภาพ และความรักใคร่ หากจะช่ืนชมใครควรจะเลือกชื่นชมคนท่ีมีปัญญา มีเกียรติยศ และมีมารยาทดี ถ้าจะปรารถนาสิ่งใดควรปรารถนาสุขภาพกายที่ดี เพื่อนท่ีดี และใจสบายดีกว่าอย่างอ่ืน และสิ่งท่ีควรจะให้มี คือ หนังสอื ดี เพื่อนดี และความใจเป็น จะเห็นได้วา่ เนอื้ หาเหลา่ น้ีสามารถนาไปปฏิบัติได้ในชวี ติ จริง ๒. คุณค่าด้านแนวคิด โคลงสุภาษิตโสฬสไตรยางค์มีคุณค่าด้านแนวคิด คือ การครองตนให้ประพฤติในส่ิงที่ควร ประพฤตแิ ละละเว้นจากสงิ่ ท่ีควรละเว้นไดน้ น้ั จะทาให้ผูป้ ฏบิ ัตเิ กดิ ความสงบสุขอย่างยัง่ ยืน ๓. คณุ ค่าด้านวรรณศลิ ป์ ๑. การเล่นเสยี งสมั ผัสสระและสัมผสั พยัญชนะในโคลงแต่ละบท เชน่ สุขกายวายโรคร้อน ราคาญ มากเพือ่ นผู้วานการ ชีพได้ จติ แผ้วผ่องสาราญ รมย์สุข เกษมแฮ สามสง่ิ ควรจกั ให้ รบี รอ้ นปรารถนา ๒. การใช้ถอ้ ยคาตรงไปตรงมาทาให้เขา้ ใจงา่ ย เชน่ สจุ ริตจติ โอบอ้อม อารี ใจโปรง่ ปราศราคี ขุ่นข้อง สิ่งเกษมสขุ เปรมปรี ดาพรง่ั พร้อมแฮ สามสิ่งสมควรตอ้ ง ชอบตอ้ งยนิ ดี
๑๒๑เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ ๔. คณุ ค่าดา้ นสังคม โคลงสุภาษิตโสฬสไตรยางค์ มีคุณค่าด้านสังคม โดยสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรม และความเชื่อ ในด้านต่าง ๆ ดงั น้ี ๑. วัฒนธรรมด้านภาษา ได้แก่ สุภาษิตหรือภาษิต ซึ่งเป็นถ้อยคาที่มีเจตนาแนะนา ส่ังสอน ในส่ิงท่ีถูกต้องเหมาะสม สุภาษิตได้รับการสืบทอดมาแต่โบราณ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ในทุกสังคม แม้โคลงสุภาษิตโสฬสไตรยางค์จะแปลมาจากต้นฉบับเดิมที่เป็นสุภาษิตภาษาอังกฤษ แต่เมื่อกวีได้แปลมาเป็น ภาษาไทย ก็ได้สอดแทรกคาสอนท่ีสอดคล้องและเหมาะสมกับสังคมไทย ดังนั้นสุภาษิตจึงเป็นวัฒนธรรม ทางภาษาทีเ่ ปน็ สากลมสี ว่ นช่วยจรรโลงทุกสังคมใหเ้ กิดความดีงาม ๒. ความเชื่อเก่ียวกับสัจธรรมของชีวิต เพ่ือเตรียมใจให้พร้อมกับความเปล่ียนแปลงต่าง ๆ ดังคาประพันธว์ ่า สงิ่ ใดในโลกลว้ น เปลย่ี นแปลง หนงึ่ ชราหยอ่ นแรง เรง่ ร้น ความตายติดตามแสวง ทาชีพ ประลัยเฮย สามส่วนควรคิดค้น คติรู้เตรยี มคอย ความรูจ้ ากวรรณคดี ๑. ได้ความรู้เก่ยี วกบั การประพฤติปฏิบัติตนใหป้ ระสบความสาเรจ็ ในชีวติ ๒. ได้ความรู้เร่ืองการพูดว่าอย่าพูดมาก อย่าพูดปด อย่าพูดหยาบ อย่าพูดขัดคอ อย่าพูดคา แสลงเสยี ดแทงคน คาพูดเหล่านีล้ ว้ นเป็นวาจาทุจรติ ทัง้ สน้ิ ขอ้ คดิ น่าชีวติ ๑. ไม่ควรประมาทในการดาเนินชีวิต ทุกสิ่งในโลกน้ีมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ รวมท้ังชีวิต คือ มีเกิด มแี ก่ และมตี าย ดังน้ันต้องหม่นั ทาความดี ๒. ความสุภาพ ความรัก การมีมารยาทดี มีจิตใจโอบอ้อมอารี ทาให้เป็นผู้อ่อนโยน มคี วามสุขอารมณ์ เบิกบาน ผอู้ ื่นย่อมตอ้ งการอยู่ใกล้ ๓. เราไมค่ วรประพฤตปิ ฏบิ ัติตนในทางที่ไมด่ ี เช่น ดุร้าย หยงิ่ เกียจคร้าน อกตญั ญู
๑๒๒เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เล่ม ๑ โคลงสภุ าษติ นฤทมุ การ บทน่าเรอ่ื ง นฤทุมนาการ มาจากคาว่า นฤทุมน + อาการ (อาการ แปลว่า สภาพ กิริยา) นฤทุมน แยกศัพท์ได้อีกชั้นหนึ่งเป็น นฤ + ทุมน (นฤ เป็นอุปสรรค แปลว่า ปราศจาก ไม่) ทุมน แยกเป็น ทุ + มน (ทุ เป็นอุปสรรคแปลว่า ไม่ดี เสีย มน แปลว่า ใจ) รวมความว่า สภาพท่ีปราศจากความเสียใจหรือสภาพท่ี ไม่ทาให้เสียใจ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์โคลงสุภาษิตเร่ืองน้ีไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๓ โดยทรงแปลจากภาษาอังกฤษมาเปน็ โคลงสส่ี ุภาพ ท่ีมาของเรอื่ ง โคลงบทนาไดอ้ ธบิ ายไว้ ดังน้ี บันฑิตวนิ ิจแลว้ แถลงสาร สอนเอย ทศนฤทมุ นาการ ช่ือช้ี เหตุผู้ประพฤติปาน ดงั กลา่ ว นั้นนอ โทมนสั เพราะกจิ น้ี ห่อนได้เคยมี เร่ืองน้ีเป็นสุภาษิตซ่ึงผู้รู้ได้ไตร่ตรองแล้วจึงกล่าวเป็นคาสอนเพื่อเป็นแนวทางสาหรับ การประพฤติตน เรียกวา่ ทศนฤทุมนาการ หมายถงึ กจิ ๑๐ ประการที่ผู้ประพฤตยิ งั ไม่เคยเสียใจ โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการ มีโคลงนา ๑ บท โคลงเน้ือเร่ือง ๑๐ บท และโคลงปิดท้ายอีก ๑ บท เน้ือเรื่องยอ่ กล่าวถึงกจิ ๑๐ ประการทีผ่ ปู้ ระพฤติยังไม่เคยเสยี ใจ ได้แก่ ๑. ทาดโี ดยทัว่ ไป ๒. ไมพ่ ดู รา้ ยต่อผู้อน่ื ๓. การถามและการฟงั ความก่อนตดั สนิ ๔. การคิดก่อนพูด ๕. ไมพ่ ูดในเวลาโกรธ ๖. กรณุ าต่อคนทีอ่ บั จน ๗. ขอโทษเมือ่ ทาผดิ ๘. อดกลั้นตอ่ ผูอ้ ื่น ๙. ไมฟ่ ังคานนิ ทา ๑๐. ไมห่ ลงเช่ือขา่ วร้าย
๑๒๓เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เล่ม ๑ บทวเิ คราะห์ ๑. คณุ ค่าดา้ นเน้ือหา เน้ือหาในโคลงสุภาษิตนฤทุมนาการเน้นเรื่องการประพฤติปฏิบัติตน ๑๐ ประการ ซึ่งผู้ ประพฤติจะไม่มีวันเสียใจ โดยเริ่มแรกกล่าวถึงการทาความดีให้แก่คนรอบข้างจะไม่มีศัตรู มีแต่คนสรรเสริญ ดังคาประพนั ธ์วา่ แต่ผกู ไมตรไี ป รอบข้าง ผลคือ ไร้ศัตรปู องมลา้ ง กลับซอ้ งสรรเสรญิ จากนนั้ สอนเรือ่ งการพดู ว่าไม่ควรพูดรา้ ยต่อใคร พูดร้าย คือ พูดส่อเสียด ใส่ร้าย พูดคาหยาบ จาบจว้ ง อาฆาต คเู่ ขญ็ นนิ ทา ต่อมาสอนว่าเมื่อมีเร่ืองราวใดให้สอบถามฟังความและคิดไตร่ตรองก่อนตัดสินใจ เพื่อจะได้ ไม่เปน็ คนหูเบา เนอื่ งจากบางคร้ังส่ิงทีเ่ ห็นก็ไมใ่ ชส่ ่ิงทีเ่ ปน็ เน้ือหาใน ๑๐ ข้อ เน้นเรื่องการพูดมากกว่าเร่ืองอื่น เพราะคาพูดทาให้ก่อไมตรีหรือตัดไมตรี ได้ ต้องคิดเสียก่อนจึงพูด งดพูดในเวลาท่ีโกรธ ขอโทษเม่ือทาผิด อดกลั้นต่อผู้อื่น ไม่ฟังคนพูดนินทา และ ไม่หลงเช่ือข่าวร้าย ล้วนแต่สอนให้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ถ้าทาได้ดังนี้ชีวิตก็จะมีความสุขดังโคลงนา บาทสุดทา้ ยว่า โทมนสั เพราะกิจนี้ ห้อนไดเ้ คยมี ๒. คุณค่าด้านแนวคดิ โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการ สะท้อนแนวคิดการดาเนินชีวิต คือ หากมีสติไตร่ตรอง อย่าง รอบคอบในการคดิ พูด และทา ยอ่ มไม่ทาให้ผูป้ ฏิบัตติ ้องมาเสยี ใจในภายหลงั ดังคาประพันธว์ า่ บณั ฑติ วินิจแล้ว แถลงสาร สอนเอย ทศนฤทุมนาการ ช่ือชี้ เหตผุ ู้ประพฤติปาน ดังกล่าว นนั้ นอ โทมนสั เพราะกิจน้ี ห่อนไดเ้ คยมี ๓. คุณคา่ ด้านวรรณศลิ ป์ ๑. การใชค้ าน้อย กนิ ความมาก เชน่ การนาคาพดู ทไี่ มด่ ีทง้ั หมดมาอย่ใู นโคลงบทเดียว เหินห่างโมหะรอ้ น รษิ ยา สละสอ่ เสยี ดมารษา ใสร่ า้ ย คาหยาบจาบจว้ งอา ฆาตขู่ เข็ญเฮย ไป่หมิ่นนนิ ทาบา้ ย โทษใหผ้ ูใ้ ด
๑๒๔เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ ๒. การอธิบายเหตแุ ละผลในโคลงบทเดยี วกนั ได้อยา่ งชดั เจน เชน่ ทาดไี ป่เลอื กเวน้ ผใู้ ด ใดเฮย แต่ผูกไมตรีไป รอบขา้ ง ทาคณุ อุดหนุนใน การชอบ ธรรมนา ไร้ศตั รูปองมลา้ ง กลบั ซ้องสรรเสรญิ ๔. คณุ ค่าด้านสงั คม โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการมีคุณค่าด้านสังคม โดยสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมด้านคติธรรม ในเร่ืองนี้ ได้กล่าวถึงหลักของการดาเนินชีวิต ซึ่งสอดคล้องกับคาสอนในพระพุทธศาสนา แสดงให้เห็นคุณ ของการทาความดี ไม่ว่าจะเป็นคิดดี พูดดี ทาดีย่อมส่งผลดีต่อผู้ปฏิบัติอย่างแน่นอน ดังคาประพันธ์ที่กล่าวถึง การนาหลักขนั ตมิ าปรับใช้ในการดาเนินชวี ติ ดงั นี้ ขันตมี ีมากหม้นั สนั ดาน ใครเกะกะระราน อดกลัน้ ไปฉุนเฉยี บเฉกพาล พาเดือด ร้อนพ่อ ผปู้ ระพฤติดังน้นั จกั ได้ใจเยน็ ความรูจ้ ากวรรณคดี ๑. ไดค้ วามรเู้ ร่ืองการปฏบิ ตั ติ นเพ่อื ทีจ่ ะไม่ต้องเสียใจในภายหลงั ๒. ได้ความรู้วา่ กจิ ๑๐ ประการน้สี ามารถนาไปใชใ้ ห้เปน็ ประโยชนใ์ นชีวิตจริงได้ ขอ้ คิดนา่ ชวี ิต ๑. ควรศรัทธาในความดีและทาความดี ถ้าเราทาดีความดีจะคุ้มครองให้เราประสบแต่สิ่งที่ดี ๒. ควรให้ความสาคัญกับการพูดเป็นอันดับแรก ไม่พูดว่าร้าย ต้องคิดให้ดีก่อนพูด ไม่ควรพูด ขณะโกรธ ถ้าทาผดิ ต้องรจู้ ักขอโทษ ๓. ควรเป็นคนมีจิตใจหนักแน่นและมีเหตุผล อย่าด่วนตัดสินเพราะฟังความข้างเดียว อย่าฟังคนนนิ ทา อย่าหลงเชอื่ ขา่ วลอื ให้พจิ ารณาให้รอบคอบแล้วจึงเชื่อ ๔. ควรเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน เม่ือทาผิดก็ควรกล่าวคาว่า “ขอโทษ” เพื่อไม่ให้เกิด การบาดหมางกัน
๑๒๕เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เล่ม ๑ โคลงสุภาษิตอศิ ปปกรณ่า บทน่าเรอ่ื ง อิศปปกรณา หมายถึง เร่ืองเล่าของอีสป มาจากคาว่า อิศป หรือ อีสป (ช่ือนักเล่านิทาน) + ปกรณมั (คัมภรี ์ หนังสอื เร่อื ง) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์แปลนิทานอีสป ๒๔ เร่ือง และทรงพระราชนิพนธ์โคลงสุภาษิตประกอบนิทานร่วมกับกวี ๓ ท่าน ได้แก่ พระยาศรีสุนทรโวหาร (นอ้ ย อาจารยางกูร) พระยาราชสมั ภารากร และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร โคลงสุภาษิตอิศปปกรณามีรูปแบบเป็นร้อยแก้วประเภทนิทาน มีโคลงสี่สุภาพปิดเร่ือง เรือ่ งละ ๑ บท ทีม่ าของเร่ือง นิทานอีสป แปลมาจากนิทานกรีกฉบับภาษาอังกฤษ ซ่ึงในสมัยพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นิยมอ่านเร่ืองแปลจากตะวันตก โดยเฉพาะนิทานอีสปซึ่งมีคติสอนใจในการดาเนิน ชีวิต อีสปเป็นทาสชาวกรีกท่ีร่างกายพิการแต่มีความสามารถในการเล่านิทานและเป็นคนฉลาด เขามีชีวิต ในช่วงศตวรรษท่ี ๖ มกั เลา่ นิทานประกอบคติสอนใจ เพอ่ื ใหส้ ตนิ ายและแก้ไขปัญหาหรือเหตุการณ์ท่ีเลวร้ายได ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ใช้นิทานอีสปเป็นแบบสอนอ่านสา หรับ นักเรียนช้ันประถมศึกษา โดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระดารงราชานุภาพ (พระอิสริยยศขณะน้ัน) ทรงแนะนาให้พระยาเมธาธบิ ดเี รียบเรียงนทิ านโดยใชภ้ าษาง่าย ๆ ส้นั ๆ สาหรบั เด็ก นทิ านอสี ปเป็นนิทานที่ให้ความเพลิดเพลินและมีคติสอนใจ จึงได้รับความนิยมทุกยุคทุกสมัย ฉะน้ันนิทานอีสปในไทยจึงมีหลายสานวน แต่ฉบับท่ีเป็นนิทานในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจา้ อยูห่ วั มีเป็นลายลกั ษณ์อักษรอยทู่ ่หี อสมุดแห่งชาติ
๑๒๖เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เล่ม ๑ เนอ้ื เร่อื งยอ่ ๑. ราชสีห์กับหนู ราชสีห์ตัวหนึ่งนอนหลับอยู่ มีหนูว่ิงขึ้นไปบนหน้า ทาให้ราชสีห์ตกใจต่ืนและต้ังใจ จะฆา่ หนู แต่หนอู อ้ นวอนขอใหไ้ ว้ชีวติ ราชสหี จ์ งึ ปลอ่ ยหนไู ป ต่อมาหนมู าช่วยกัดเชือกปล่อยราชสีห์ ให้พ้นจาก นายพราน ๒. บดิ ากบั บตุ รท้ังหลาย บิดาเห็นบุตรชอบทะเลาะกัน จึงให้หักไม้เรียว ๑ กา แต่ไม่มีใครหักได้ บิดาจึงสอนว่าให้ รวมใจเปน็ หน่ึงเดียวเหมือนไม้เรยี วก็จะไม่มใี ครทาอันตรายได้ ๓. สุนัขป่ากับลกู แกะ สุนัขป่าอยากกินลูกแกะจึงให้เหตุผลกล่าวโทษลูกแกะต่าง ๆ นานา แต่ลูกแกะไม่มี ความผิดจริง สนุ ขั ปา่ ไมร่ ู้จะทาอย่างไรจึงจบั ลกู แกะกินทันที ๔. กระต่ายกบั เตา่ กระต่ายหัวเราะเยาะเต่าว่าเดินช้า ขาสั้น เต่าจึงท้ากระต่ายว่ิงแข่ง กระต่ายคิดว่าว่ิง เร็วกวา่ เตา่ จงึ หยุดนอนพกั ระหว่างทาง แตเ่ ตา่ เดินไมห่ ยุดจนในท่ีสดุ เตา่ กม็ าถึงเส้นชยั ก่อนกระตา่ ย บทวิเคราะห์ ๑. คุณคา่ ดา้ นเนื้อหา โคลงสุภาษิตอิศปปกรณา นาเรื่องราวมาจากนิทานอีสปซึ่งแฝงข้อคิดในการดาเนินชีวิต ทส่ี ามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ไดด้ ที กุ ยุคสมยั จงึ กลา่ วได้วา่ นิทานอีสปเป็นเรอ่ื งอมตะเรอ่ื งหน่งึ โคลงสุภาษติ อศิ ปปกรณาท้ัง ๔ เร่ือง ใหข้ ้อคดิ ดงั นี้ ๑. ราชสหี ์กบั หนู สอนใหร้ ้วู ่า อย่าประมาทผทู้ ดี่ อ้ ยกวา่ ตน ๒. บิดากับบตุ รทง้ั หลาย สอนให้รวู้ ่า สามัคคีคอื พลงั ๓. สุนัขปา่ กบั ลกู แกะ สอนให้รู้ว่า คนพาลโดยสันดานต่อให้พูดดีด้วยก็จะหาเรื่องทา ร้ายจนได้ ๔. กระตา่ ยกบั เต่า สอนให้รูว้ า่ ความประมาทในกิจตนย่อมเสยี หาย
๑๒๗เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๔ เล่ม ๑ ๒. คุณคา่ ด้านแนวคดิ โคลงสุภาษิตอิศปปกรณา มีคุณค่าด้านแนวคิด คือ การอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนให้มีความสงบสุขนั้น จะต้องมคี วามสามัคคีในหมู่คณะ ไมป่ ระมาทความสามารถของผอู้ ่ืน และหลีกเลย่ี งการพูดคยุ กบั คนพาล ๓. คุณคา่ ด้านวรรณศิลป์ ๑. ใชป้ ระโยคง่าย ๆ สน้ั ๆ ในการเล่าเร่ือง ดงั ข้อความในเรอ่ื งราชสีหก์ ับหนู เชน่ มีราชสหี ต์ ัวหนงึ่ นอนหลับ มีหนูตวั หนึ่งวงิ่ ไปบนหน้า ราชสีห์น้ันตกใจต่ืน ลุกข้ึนด้วยความ โกรธ จับหนไู ว้ได้จะฆา่ เสยี … ๒. มีการแทรกบทสนทนาทาให้เข้าใจเน้ือเร่ืองชัดเจนและสนุกสนาน ดังบทสนทนาในเร่ือง สุนัขป่ากบั ลกู แกะ เชน่ ...จึงได้กล่าวถ้อยคาว่า เฮ้ย เม่ือปีกลายนี้ มึงดูถูกกูใหญ่นัก ลูกแกะจึงตอบ ด้วยคาน้าเสียง เศรา้ โศกวา่ ไม่มีเลย เมอ่ื น้นั ขา้ พเจา้ ยงั ไม่เกดิ ... ๓. การสมมุติให้สัตว์พูดได้และแสดงท่าทางอย่างมนุษย์ ทาให้ถ่ายทอดความคิดความรู้สึก จากเร่ืองไดด้ ี ดังเร่ืองกระต่ายกับเต่า เช่น ...กระต่ายตัวหนึ่งยิ้มเยาะเต่าว่าเท้าสั้นเดินก็ช้า เต่าหัวเราะแล้วตอบว่า ถึงท่านเร็ว เหมือนกับสม ถ้าวงิ่ แขง่ กนั ข้าพเจ้าจะเอาชนะทา่ นได้... ๔. โคลงมีการซ้าคาและเล่นเสียงสัมผัสพยัญชนะเพื่อความไพเราะ ดังโคลงท้ายเร่ือง บิดากบั บตุ รท้งั หลาย เชอ้ื วงศ์วายรกั ร้อย ริษยา กันเฮย ปรปกั ษเ์ บยี นบฑี า งา่ ยแท้ ร่วมส้รู ่วมรักษา จิตรว่ ม รวมแฮ หมื่นอมิตร บ มิแพ้ เพราะพร้อมเพรยี งผจญ ๔. คณุ ค่าด้านสงั คม โคลงสุภาษิตอิศปปกรณามีคุณค่าด้านสังคม กล่าวคือการนาหลักธรรมต่าง ๆ มาปรับใช้ ในการดาเนินชีวติ ไมว่ า่ จะเป็นเรื่องความไม่ประมาท ความสามัคคี และการไม่คบคนพาล ในท่ีนี้ขอยกตัวอย่าง คาประพันธ์ที่สะท้อนให้เห็นถงึ ความสาคัญของสามัคคธี รรม ดังน้ี เชือ้ วงศว์ ายรักร้อย รษิ ยา กันเฮย ปรปักษเ์ บยี นบีฑา ง่ายแท้ รว่ มสู้รว่ มรกั ษา จติ รว่ ม รวมแฮ หมน่ื อมิตร บ มิแพ้ เพราะพรอ้ มเพรยี งผจญ
๑๒๘เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ ความรูจ้ ากวรรณคดี ๑. ได้ความรเู้ กี่ยวกับนิทานอสี ป และประวตั ขิ องอสี ปนักเล่านทิ าน ๒. คนสมัยกอ่ นสอนลูกหลานดว้ ยการเล่านิทานใหฟ้ งั ขอ้ คดิ น่าชวี ิต ๑. เปน็ พี่นอ้ งต้องรักและสามัคคีกนั ไมท่ ะเลาะกนั เช่นในเรือ่ ง บดิ ากบั บุตรทงั้ หลาย ๒. ควรมีเมตตาตอ่ ผูอ้ ่ืน โดยเฉพาะผู้มกี าลังน้อยกว่า สักวันเขาอาจช่วยเหลือเราได้ อย่างเช่น เรือ่ งราชสหี ์กับหนู ๓. ควรตอบแทนผู้มีพระคณุ อย่างเช่นหนูชว่ ยกัดเชือกใหร้ าชสีห์ ๔. ไม่ควรประมาทผู้อื่นและยกตนเองว่าเชี่ยวชาญ เหมือนกระต่ายท่ีดูถูกเต่าว่าเท้าส้ัน และเดินชา้ ๕. ถ้ามีความพยายามย่อมพบความสาเร็จ ดังเช่นเต่าว่ิงแข่งกับกระต่าย เต่าพยายามคลาน ไม่ไดห้ ยดุ สกั อดึ ใจเดยี ว ขณะที่กระต่ายคิดว่าตนว่ิงเร็วแอบไปนอนหลับ ด้วยความเพียรพยายามทาให้เต่าชนะ ในท่สี ดุ ๖. อยา่ เขา้ ใกล้หรือคบหาคนพาลเพราะจะมีแตเ่ ร่ืองเดือดร้อน
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. (๒๕๔๓). หลักภาษาไทย เล่ม ๒ ชั้น มัธยมศึกษาปี ที่ ๒. พิมพ์ครั้งที่ ๑๔. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. _______. (๒๕๖๒). วรรณคดีวิจักษ์ ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ ๒. พิมพ์ครั้งที่ ๑๒. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. กำชัย ทองหล่อ. (๒๕๐๙). หลักภาษาไทย. กรุงเทพฯ: เทพนิมิตการพิมพ์. คณะครุศาสตร์ สาขาวิชาภาษาไทย. (๒๕๖๑). กวีกานท์ ’๖๐. สงขลา: เพลินพิมพ์ ทรูปลูกปัญญา (นามแฝง). (๒๕๖๓). คำสมาส คำสนธิ (Online). https://www.trueplookpanya.com/learning/, ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๔. ราชบัณฑิตยสถาน. (๒๕๕๗). อ่านอย่างไรและเขียนอย่างไร ฉบับ ราชบัณฑิตยสถาน (แก้ไขเพิ่มเติม). พิมพ์ครั้งที่ ๒๒. กรุงเทพฯ: อรุณการพิมพ์ สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.). (๒๕๖๓). วรรณคดีและวรรณกรรม ชั้น มัธยมศึกษาปี ที่ ๒. กรุงเทพฯ: บริษัทพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.). _______. (๒๕๖๒). หลักภาษาและการใช้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ ๒. กรุงเทพฯ: บริษัทพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.). KIM'BLACK THAILAND (นามแฝง). (๒๕๖๑). การใช้ภาษาไทย (Online). https://sites.google.com/site/, ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๔.
แม้ก้อนหินสิ้นค่ายังซ่อนเพชร ทรายเรียงเม็ดยังก่อร่างสร้างหาดขาว เพียงละอองฟ่องฟ้านภาพราว เกิดเป็นดาวที่สดใสในค่ำคืน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130