Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สุขศึกษาฯ ฐานสมรรถนะ

สุขศึกษาฯ ฐานสมรรถนะ

Published by Chanthawan Suwanhitathorn, 2021-06-27 03:05:35

Description: แนวทางการพัฒนาสมรรถนะผู้เรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา

Search

Read the Text Version

3 ค�ำ อธบิ ายสมรรถนะหลกั ๑๐ สมรรถนะอย่างสังเขป ๑. ภาษาไทยเพอื่ การสอ่ื สาร (Thai Language for Communication) สมรรถนะภาษาไทยเพอ่ื การสอ่ื สารเปน็ ความสามารถในการใชภ้ าษาไทย เป็นเคร่ืองมือในการติดต่อเก่ียวข้องกับบุคคลรอบตัว ผ่านการฟัง ดู พูด อ่าน และเขียน เพ่ือรับ แลกเปลี่ยน และถ่ายทอดข้อมูล ความรู้ ความรู้สึก นึกคิด โดยใช้ความรู้ทางหลักภาษาและการใช้ภาษาร่วมกับประสบการณ์ ของตนตามช่วงวัย ผ่านการคิดวิเคราะห์ ไตร่ตรองและแก้ปัญหา อย่างมีสติ เทา่ ทนั และสรา้ งสรรค์ เพ่อื นำ�ไปสูก่ ารมชี วี ิตท่มี ีคณุ ภาพและการทำ�ประโยชน์ ให้แก่ตนเองและสังคมไทย รวมท้ังการใช้ภาษาไทยผ่านการฟัง ดู พูด อ่าน และเขยี นในการเขา้ ถงึ องคค์ วามรู้ของสงั คมไทย ภาคภูมิ ผูกพนั และสบื สาน ส่ิงที่ดีงาม อีกท้ังสะท้อนความเป็นไทยออกมาในผลงานต่าง ๆ ที่ตนผลิต ๒. คณติ ศาสตรใ์ นชวี ติ ประจ�ำ วนั (Mathematics in Everyday Life) คณิตศาสตร์ในชีวิตประจำ�วันเป็นการบูรณาการเนื้อหาสาระของ คณิตศาสตร์กับอีกหลาย ๆ สาขาวิชาเข้าด้วยกัน เพ่ือให้เกิดการเรียนรู้อย่าง มีความหมาย เป็นการนำ�ความรู้ไปเชื่อมกับปัญหา สถานการณ์ในชีวิต ประจำ�วันท่ีผู้เรียนพบ ทำ�ให้ผู้เรียนมองเห็นสะพานเช่ือมระหว่างคณิตศาสตร์ กับโลกที่เป็นจริง เป็นการประยุกต์เพ่ือนำ�ไปใช้ในชีวิตประจำ�วันหรือใช้ ในการทำ�งานที่เหมาะสมตามวัย การสอนคณิตศาสตร์จึงควรเน้นให้ผู้เรียน คดิ โดยใช้ปัญหาเปน็ ฐาน โดยเริม่ จากเร่อื งงา่ ย ๆ ไปสู่เร่อื งยาก ๆ เม่อื ผเู้ รยี น สามารถคิดเป็น วิเคราะห์เปน็ จะสามารถนำ�ความร้ไู ปใช้ได้ในชีวิตจรงิ เพราะ คณิตศาสตร์ไม่ใช่แค่การคำ�นวณ แต่คณิตศาสตร์คือกระบวนการคิดอย่าง มีเหตผุ ล เปน็ ขั้นตอน เพื่อใช้แกป้ ัญหาตา่ ง ๆ ทีซ่ ับซ้อน

4 ผ้เู รยี นทมี่ ีสมรรถนะคณิตศาสตร์ คือผู้เรยี นที่มีความสามารถในการแก้ปญั หา มีเหตุผล สามารถใช้ความหมายทางคณิตศาสตร์ในการสื่อสาร รวมท้ัง เชอื่ มโยงทางคณติ ศาสตรไ์ ด้ ผเู้ รียนสามารถน�ำ ความรู้ ความสามารถ เจตคติ ทกั ษะ ท่ไี ดร้ ับไปประยกุ ต์ใชใ้ นการเรยี นรสู้ ิง่ ตา่ ง ๆ รวมทงั้ สถานการณใ์ หม่ ๆ เพอ่ื ใหไ้ ดม้ าซง่ึ ความรใู้ หมห่ รอื การสรา้ งสรรคส์ ง่ิ ใหม่ ๆ และน�ำ ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ น ชวี ติ ประจ�ำ วนั ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ซง่ึ เออื้ ใหผ้ เู้ รยี นรเู้ ทา่ ทนั การเปลยี่ นแปลง ของระบบเศรษฐกิจ สงั คม วัฒนธรรมและสภาพแวดล้อม ๓. การสืบสอบทางวิทยาศาสตรแ์ ละจติ วิทยาศาสตร์ (Scientific Inquiry and Scientific Mind) การสืบสอบทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์เป็นความสามารถ ในการใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ เพ่ือการแสวงหาความรู้หรือคำ�ตอบที่ ต้องการ อาจมีการใช้และสร้างแบบจำ�ลองเพื่อความเข้าใจเรื่องราวใน ธรรมชาติ มีการใช้เหตุผลเพื่อสนับสนุนหรือคัดค้านสู่การตัดสินใจ ได้ คำ�ตอบ ตลอดจนสร้างนวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาชีวิตประจำ�วันด้วยการเป็น ผ้สู นใจใฝร่ ู้ มีเหตุผล รวมทงั้ มีจินตนาการ ๔. ภาษาองั กฤษเพอ่ื การสอ่ื สาร (English for Communication) ภาษาอังกฤษเพื่อการส่ือสารเป็นความสามารถใช้ภาษาอังกฤษใน การรับสาร และการส่งสาร การมีปฏิสัมพันธ์ มีกลยุทธ์ในการติดต่อสื่อสาร สามารถส่ือสารได้ถูกต้องเหมาะสมกับบริบททางสังคมและวัฒนธรรม มเี จตคตทิ ด่ี ตี อ่ การเรยี นรแู้ ละการใชภ้ าษาองั กฤษ สามารถสอ่ื สารแลกเปลยี่ น และถ่ายทอดความคิด ประสบการณ์ และวัฒนธรรมไทยไปยังสังคมโลก ไดอ้ ยา่ งสรา้ งสรรค์ มน่ั ใจ

5 ๕. ทักษะชีวติ และความเจริญแห่งตน (Life Skills and Personal Growth) ทักษะชีวิตเป็นความสามารถที่จำ�เป็นในการใช้ชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ และมีความสุข โดยการน้อมนำ�หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ สร้างความสมดุลและพอดีในการใช้ชีวิต มีการรู้จักตนเองท้ังจุดเด่น และ จุดบกพร่องและนำ�มาใช้ในการกำ�หนดเป้าหมายของชีวิต กิน อยู่ ดู ฟังเป็น มีสติสัมปชัญญะ บริหารจัดการ และดำ�เนินชีวิตสู่เป้าหมาย มีการน้อมนำ� หลักศาสนาท่ีตนนับถือมาเป็นเครื่องยึดเหน่ียวในการดำ�รงชีวิต มีการเรียนรู้ ด้วยความสุขอย่างต่อเน่ืองตลอดชีวิต มีการแสวงหาความรู้ แบ่งปันความรู้ ตระหนักในความสำ�คัญของการเรียนรู้ที่ส่งผลต่อการพัฒนาตนเอง พร้อม เผชิญปัญหา ปรับตัวและพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง มีการปรับตัวและ ฟ้ืนคืนสภาพอย่างรวดเร็วเมื่อเผชิญกับปัญหา และความเปล่ียนแปลง สามารถปอ้ งกันและหลกี เลี่ยงจากภยั ตา่ ง ๆ สร้างปฏิสัมพนั ธท์ ่ีดี พรอ้ มเกอ้ื กูล ช่วยเหลือเพ่ือน ครอบครัว และผู้เก่ียวข้องเพื่อความสุขในการอยู่ร่วมกัน ปฏบิ ัตหิ นา้ ที่ตอ่ สงั คมไดเ้ หมาะสมกบั บทบาทและหน้าที่ ความเจริญแห่งตน เป็นการพัฒนาตนเองให้มีชีวิตอย่างสมดุลทุกด้าน ท้ังทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม สติปัญญา และสุนทรียะ มีความ พึงพอใจในการใช้ชีวิต นับถือตนเอง พึ่งพาตนเองและพัฒนาตนเอง ให้มีสุขภาวะท่ีดี มีสุนทรียภาพช่ืนชมความงามของธรรมชาติและ ศิลปวัฒนธรรม เห็นความสำ�คัญ มีส่วนร่วมในการรักษาสืบทอดส่งต่อ ทำ�นุบำ�รงุ รกั ษาวัฒนธรรมใหด้ �ำ รงสืบทอดต่อไปได้

6 ๖. ทักษะอาชีพและการเป็นผู้ประกอบการ (Career Skills and Entrepreneurship) ทักษะอาชีพและการเป็นผู้ประกอบการเป็นความสามารถของบุคคล ท่ีมุ่งเน้นการสร้างความพร้อมสำ�หรับการทำ�งาน การประกอบอาชีพ และ เป็นผู้ประกอบการท่ีเกื้อกูลสังคม โดยบุคคลต้องรู้จักความถนัด ความสนใจ ของตนเอง และนำ�สู่การเลือกอาชีพท่ีเหมาะสมกับตนเอง การพัฒนา ทักษะในการทำ�งาน การทำ�งานด้วยการพ่ึงพาตนเอง ยึดหลักการบริหาร จัดการ และการนำ�หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในการปฏิบัติงาน เป็นการประกอบการที่เน้นนวัตกรรม การสร้างผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ ทม่ี ีคุณภาพสูง มีจรรยาบรรณพรอ้ มรบั ผิดชอบสังคม ความรอบรู้ทางการเงิน เป็นความรู้ ทักษะ และทัศนคติของบุคคล ในการจัดการการเงิน และการสร้างทัศนคติทางการเงินโดยอาศัยความรู้ ข้อมูล และสารสนเทศอย่างครบถ้วน จนสามารถจัดการการเงินได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพทง้ั การสรา้ งรายได้ การควบคมุ การใชจ้ า่ ย การเกบ็ ออม การแปลง เงินออมเป็นทรัพย์สิน การลงทุนเพื่อสร้างรายได้และการเพิ่มมูลค่าของ ทรพั ยส์ ิน ๗. ทักษะการคิดข้ันสูงและนวัตกรรม (Higher-Order Thinking Skills and Innovation) ทักษะการคิดเป็นความสามารถในการดำ�เนินการคิดเพ่ือให้ได้คำ�ตอบ หรือผลลัพธ์ที่ต้องการ เม่ือบุคคลได้รับส่ิงเร้าหรือข้อมูลต่าง ๆ เข้ามา สมอง จะมีกระบวนการในการจัดกระทำ�ต่อสิ่งเร้าน้ันในลักษณะต่าง ๆ กัน เกิดเป็น กระบวนการคิดที่หลากหลายซ่ึงจัดกระทำ�ต่อสิ่งเร้าในลักษณะต่าง ๆ กัน เกิดเปน็ กระบวนการคดิ ทหี่ ลากหลาย ซงึ่ จัดจำ�แนกไดเ้ ป็นกลุม่ ส�ำ คญั ๓ กลุ่ม

7 ๑. ทักษะการคิดพืน้ ฐาน เชน่ ทักษะการจ�ำ การเก็บความรู้ การดงึ ความรู้ มาใช้ การอธิบาย ๒. ทักษะการคิดท่เี ปน็ แกนสำ�คัญ เชน่ ทกั ษะการสังเกต การเปรียบเทียบ การจัดกล่มุ จดั ประเภท การแปลความ ขยายความ การเช่อื มโยง การสรุป ๓. ทักษะการคดิ ขนั้ สงู เช่น ทักษะการนยิ าม การวเิ คราะห์ การสงั เคราะห์ การหาแบบแผน การจดั ระบบ โครงสรา้ ง การสรา้ ง การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณ ทกั ษะการคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณ เปน็ กระบวนการคดิ ทม่ี งุ่ ไปทกี่ ารตรวจสอบ ความถูกต้องของข้อมูล เหตุผล และหลักฐานของเรื่องที่พิจารณาว่า มีความน่าเช่ือถือเพียงใด มีประเด็นอะไรท่ีเป็นจุดอ่อน สามารถโต้แย้งได้ โดยมีหลักฐานสนับสนุน ซึ่งผลการวิพากษ์และประเมินข้อมูลนี้จะเป็นข้อมูล ส�ำ คัญทีน่ �ำ ไปพิจารณารว่ มกับขอ้ มลู ด้านอ่นื  ๆ เชน่ ความเหมาะสมตามหลัก กฎหมาย ศีลธรรม คณุ ธรรม คา่ นยิ ม ความเชอ่ื และบรรทดั ฐานทางสังคมและ วฒั นธรรม อนั จะน�ำ ไปส่กู ารตดั สนิ ใจอยา่ งมวี ิจารณญาณ ทักษะการแก้ปัญหาเป็นกระบวนการคิดท่ีมุ่งไปท่ีความเข้าใจเหตุและ ผลของปัญหา การแก้ปัญหาให้ได้ผลจะต้องหาต้นเหตุของปัญหานั้น และ ขจัดท่ีเหตุซึ่งต้องอาศัยวิธีการท่ีเหมาะสม เม่ือได้วิธีการที่น่าจะดีท่ีสุดแล้ว กต็ อ้ งวางแผนด�ำ เนนิ การแกไ้ ขปญั หานนั้ อยา่ งเปน็ ล�ำ ดบั ขนั้ ตอน และลงมอื ท�ำ ตามแผนน้ัน เก็บและวิเคราะห์ข้อมูล สรุปผล ปรับปรุง จนบรรลุผลตาม เปา้ หมายทต่ี อ้ งการ ทักษะการคิดริเร่ิมสร้างสรรค์เป็นกระบวนการคิดท่ีต้องอาศัยจินตนาการ และทักษะพื้นฐานด้านการคิดคล่อง คิดยืดหยุ่น คิดหลากหลาย รวมทั้ง การคดิ วเิ คราะห์ และสังเคราะห์ เพื่อใหไ้ ด้ส่ิงใหมท่ แี่ ตกต่างไปจากเดิม ดกี วา่ มีประโยชน์ มีคุณค่ามากกว่าเดิม การคิดริเร่ิมอาจเป็นการปรับหรือประยุกต์ ของเดิมให้อยู่ในรูปแบบใหม่ หรืออาจเป็นการต่อยอดจากของเดิม หรือเป็น การรเิ ร่มิ สิง่ ใหมข่ นึ้ มาเลยก็ได้

8 ๘. การรู้เท่าทนั ส่ือ สารสนเทศ และดิจทิ ัล (Media, Information and Digital Literacy) การรู้เท่าทันสื่อ สารสนเทศ และดิจิทัล เป็นความสามารถในการเข้าถึง เข้าใจ สร้าง และใช้สื่อสารสนเทศและเทคโนโลยีดิจิทัลเพ่ือการเรียนรู้และ ใช้เป็นเคร่ืองมือในการเปล่ียนแปลงสังคมอย่างรู้เท่าทันตนเอง รู้เท่าทันส่ือ และรู้เท่าทันสังคม โดยเฉพาะส่ือซ่ึงมีการพัฒนาอย่างซับซ้อนกลายเป็นส่ือ หลอมรวม (Convergence) สมรรถนะของผเู้ รยี นสามารถจ�ำ แนกตามชอ่ งทาง และลักษณะของส่ือได้ ๓ ประการคือ การรเู้ ทา่ ทนั สอ่ื (Media Literacy) เปน็ ความสามารถในการอา่ นสอ่ื ใหอ้ อก มีทักษะในการเข้าถึงส่ือ วิเคราะห์ส่ือ ตีความเน้ือหาของสื่อ ประเมินคุณค่า และเขา้ ใจผลกระทบของส่อื และสามารถใช้สือ่ ให้เกดิ ประโยชนไ์ ด้ การรู้เท่าทันสารสนเทศ (Information Literacy) เป็นความสามารถ ในการประเมิน เลือกใช้ และสื่อสารข้อมูลในหลากหลายรูปแบบได้อย่าง มปี ระสทิ ธิภาพ เพื่อการเรยี นรู้ดว้ ยตนเองและเรยี นรตู้ ลอดชีวติ การรู้เท่าทันดิจิทัล (Digital Literacy) เป็นความสามารถในการใช้ เทคโนโลยดี จิ ทิ ลั เครอื่ งมอื สอ่ื สาร สอื่ ออนไลนต์ า่ ง ๆ เพอื่ คน้ หาขอ้ มลู ประมวล ผลและสร้างสรรคข์ ้อมูลได้หลากหลายรูปแบบ ๙. การท�ำ งานแบบรวมพลงั เปน็ ทมี และมภี าวะผนู้ �ำ (Collaboration, Teamwork & Leadership) การทำ�งานแบบร่วมมือรวมพลังน้ันเป็นการร่วมกันทำ�งานตามบทบาท เพ่ือให้บรรลุเป้าหมายท่ีกำ�หนดร่วมกัน อีกท้ังส่งเสริม บ่มเพาะความสัมพันธ์ ทางบวก โดยผู้เก่ียวข้องตระหนักในการสนับสนุน แบ่งปัน แลกเปลี่ยน ความรู้ และความคิด พรอ้ มสนับสนุนเก้อื กูลกันทกุ ด้าน นอกจากนี้ ต้องใสใ่ จ ในการประสานความคิด ประนีประนอม เสนอทางเลือกและแนวปฏิบัติ

9 ทที่ ุกฝ่ายยอมรบั สรา้ งและรักษาความสมั พนั ธท์ างบวกกับสมาชิก ภาวะผู้นำ� เป็นคุณลักษณะของบุคคลท่ีสามารถแก้ปัญหาและใช้ มนุษยสัมพันธ์ท่ีดีเพ่ือช้ีแนะแนวทางให้ไปสู่เป้าหมายและสร้างแรงบันดาลใจ ให้ผู้อื่นได้พัฒนาตนเองและนำ�จุดเด่นของแต่ละคนมาใช้ปฏิบัติงานในฐานะ สมาชกิ กลุ่มทดี่ ี เพ่ือใหบ้ รรลผุ ลสำ�เร็จรว่ มกัน ๑๐. การเปน็ พลเมอื งทเี่ ขม้ แขง็ /ตน่ื รทู้ ม่ี สี �ำ นกึ สากล (Active Citizen with Global Mindedness) การเป็นพลเมืองท่ีเข้มแข็ง/ตื่นรู้ท่ีมีสำ�นึกสากล เป็นพลเมืองที่ตระหนัก ในศกั ยภาพของตนเองศรทั ธาและเชอ่ื ในศกั ดศ์ิ รคี วามเปน็ มนษุ ย์การอยรู่ ว่ มกนั ท่ามกลางความหลากหลาย มีความรู้ความสามารถเชิงการเมืองที่เอื้อ ให้สามารถอยู่ร่วมกันและปกครองกันเองภายใต้ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตระหนักในบทบาทและหน้าที่ สิทธิ และเสรีภาพ ความเท่าเทียมและเป็นธรรม มีความเป็นเหตุเป็นผล มีสำ�นึก การเป็นเจ้าของประเทศ ร่วมกันปรึกษาหารือเพ่ือแสวงหาแนวทางการแก้ ปัญหา/ความขัดแย้งด้วยสันติวิธี หรือพัฒนาสร้างสรรค์สังคมโดยรวม ร่วมกันในระดับต่าง ๆ ได้แก่ ชุมชน ท้องถ่ิน ประเทศชาติ อาเซียนและโลก เห็นความเก่ียวเน่อื งเช่อื มโยงทส่ี ง่ ผลถงึ กนั และกันท้งั หมด

10 กลุ่มสาระการเรียนรสู้ ขุ ศึกษาและพลศกึ ษา สมรรถนะ แนวทางการพฒั นาผเู้ รยี น ๑) สมรรถนะหลัก ◊ ฟงั พดู อา่ น และเขยี นค�ำ ศพั ทท์ เ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การสรา้ ง ด้านภาษาไทย สขุ ภาวะและสง่ เสรมิ สขุ ภาพ ทง้ั ทางอารมณส์ ตปิ ญั ญา เพอ่ื การส่ือสาร ร่างกายสงั คมและจิตวญิ ญาณ (Thai Language for ◊ แลกเปลี่ยนความคิดเพื่อหาแนวทางในการสร้าง Communication) สขุ ภาวะและส่งเสริมสุขภาพ ◊ ใช้ภาษาไทยท้ังที่เป็นคำ�พูด และภาษาท่าทาง ในการสอื่ สาร สรา้ งความสมั พนั ธ์ การเลน่ การปฏบิ ตั ิ การสร้างสขุ ภาพ ◊ ใช้ภาษาไทยถ่ายทอดความคิด ความต้องการ ความรสู้ กึ อารมณ์และความคดิ ของตน ๒) สมรรถนะหลกั ◊ ใช้แนวคิด และความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ ด้านคณติ ศาสตร์ ในการก�ำ หนดเปา้ หมาย การสรา้ งสขุ ภาวะและสง่ เสรมิ ในชีวิตประจ�ำ วนั (Mathematics in สขุ ภาพ ทงั้ ทางอารมณ์ สตปิ ญั ญา รา่ งกาย สงั คม และ Everyday Life) จิตวิญญาณ ๓) สมรรถนะหลัก ◊ สืบสอบความรู้ด้วยหลักฐานสนับสนุนเชิงประจักษ์ ด้านการสบื สอบ เรื่องราวเก่ียวกับสุขภาวะ ทั้งด้านสุขภาพกายและ ทางวทิ ยาศาสตร์และ สขุ ภาพจติ จิตวิทยาศาสตร์ ◊ สร้างผลิตภัณฑ์ท่ีเก่ียวข้องกับสุขภาวะด้วย (Scientific Inquiry and องค์ความรู้และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ Scientific Mind) ๔) สมรรถนะหลกั ◊ ใชภ้ าษาองั กฤษเกยี่ วกบั ค�ำ ส�ำ คญั หรอื นยิ ามค�ำ ส�ำ คญั ด้านภาษาอังกฤษ เกยี่ วกับสขุ ภาพพลานามยั เพือ่ การสอ่ื สาร (English for ◊ ใช้ภาษาองั กฤษเกีย่ วกบั ขั้นตอน หรือการด�ำ เนนิ การ Communication) เก่ียวกบั สขุ ภาพพลานามัย ◊ ใชภ้ าษาองั กฤษทเี่ ปน็ เนอ้ื หาเกยี่ วกบั สขุ ภาพพลานามยั เป็นข้อความหรือบทอ่านส้นั ๆ ◊ สืบค้นข้อมูลจากตำ�ราหรืออินเทอร์เน็ตที่เป็นภาษา องั กฤษเพอ่ื การศกึ ษาความรเู้ กยี่ วกบั สขุ ภาพพลานามยั ◊ ใชส้ มรรถนะภาษาอังกฤษดา้ นการฟงั หรืออ่าน และ จดบนั ทึกยอ่ ๆ เกี่ยวกบั สุขภาพพลานามัย

11 สมรรถนะ แนวทางการพฒั นาผเู้ รยี น ๕) สมรรถนะหลกั ◊ เรยี นรู้ พฒั นาทกั ษะ และเจตคตใิ นการสรา้ งสขุ ภาวะ ด้านทกั ษะชวี ิตและ ความเจรญิ แหง่ ตน และสง่ เสรมิ สขุ ภาพ ทงั้ ทางอารมณส์ ตปิ ญั ญารา่ งกาย (Life Skills and สงั คมและจติ วญิ ญาณของตนเองและผู้อื่น Personal Growth) ◊ เรียนรู้ พัฒนาทักษะ และเจตคติในการป้องกันภัย โรคตา่ ง ๆ และการปฏบิ ตั ติ นให้มสี ขุ ภาวะ ๖) สมรรถนะหลัก ◊ เรียนรู้เกี่ยวกับโรคภัยท่ีเกิดจากการทำ�งาน ด้านทักษะอาชพี การประกอบอาชีพ และการประกอบการ และการเปน็ ผปู้ ระกอบการ ◊ วางแผน ปฏิบัติการป้องกันภัย โรคต่าง ๆ และ (Career Skills and การปฏบิ ตั ติ นใหม้ สี ขุ ภาวะในการท�ำ งาน การประกอบ Entrepreneurship) อาชพี และการประกอบการ ◊ วางแผน ปฏบิ ตั กิ ารฝกึ ฝนสรา้ งอาชพี และการประกอบ การทเ่ี กยี่ วกบั การสรา้ งสขุ ภาวะและสง่ เสรมิ สขุ ภาพ ทง้ั ทางอารมณส์ ตปิ ญั ญารา่ งกายสงั คมและจติ วญิ ญาณ ๗) สมรรถนะหลกั ◊ วเิ คราะห์ วพิ ากษ์ ประเมนิ ขอ้ มลู และเหตผุ ล สรปุ และ ด้านทักษะการคิด ใหค้ วามเหน็ ในเรอื่ งทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั สขุ ภาพพลานามยั ขนั้ สงู และนวัตกรรม ของตนเองและบคุ คลรอบตัว (Higher-Order ◊ ตดั สนิ ใจเร่อื งตา่ ง ๆ เกยี่ วกับสุขภาพพลานามัย Thinking Skills and ของตนเองและบุคคลรอบตัวบนฐานข้อมูลเหตุผล Innovation : HOTS และหลกั ฐานทสี่ บื คน้ ดว้ ยการใชเ้ ทคโนโลยอี ยา่ งรอบ Critical Thinking, ด้านและเหมาะสมกับบรบิ ททางสงั คมไทย Problem Solving, ◊ ระบุปัญหาท่ีเกิดขึ้นเกี่ยวกับสุขภาพพลานามัยของ Creative Thinking) ตนเองและบคุ คลรอบตวั วเิ คราะหส์ าเหตขุ องปญั หา หาวธิ กี ารแกป้ ญั หาและเลอื กวธิ กี ารแกป้ ญั หาทเ่ี หมาะสม ท่ีสุด ◊ ลงมือวางแผนในการป้องกันหรือแกป้ ญั หาทเี่ กิดขึน้ เกยี่ วกบั สขุ ภาพพลานามยั ของตนเองและบคุ คลรอบ ตวั ด้วยตนเองอย่างเปน็ ข้นั ตอนและเป็นระบบ

12 สมรรถนะ แนวทางการพฒั นาผเู้ รยี น ◊ มคี วามยดื หยนุ่ ทางความคดิ /มองและใหค้ วามเหน็ เกย่ี ว กบั การปอ้ งกนั และการดแู ลรกั ษาสขุ ภาพพลานามยั ของตนเองและบคุ คลรอบตวั ดว้ ยแงม่ มุ ทห่ี ลากหลาย ◊ คดิ รเิ รมิ่ สง่ิ ใหม่ ๆ เกย่ี วกบั การปอ้ งกนั การดแู ลรกั ษาและ สง่ เสรมิ สขุ ภาพพลานามยั ของตนเองและบคุ คลรอบตวั ที่แตกต่างจากเดิม ๘) สมรรถนะหลัก ◊ จดั การเวลาในการใชส้ อ่ื เพอื่ ใหเ้ กดิ ผลเสยี ตอ่ สขุ ภาพ ด้านการรเู้ ทา่ ทันสื่อ และการพักผอ่ น สารสนเทศ และ ◊ ศกึ ษาและวิเคราะห์ผลติ ภัณฑด์ ้านสุขภาพ โฆษณา ดจิ ิทลั (Media, และส่อื ออนไลนท์ สี่ ง่ ผลกระทบตอ่ สขุ ภาพ InformationandDigital Literacy: MIDL) ๙) สมรรถนะหลกั ◊ ปฏบิ ตั งิ านรว่ มกนั ในการปอ้ งกนั ภยั โรคตา่ ง ๆ ของตน ดา้ นการทำ�งาน และผอู้ น่ื แบบรวมพลงั เป็นทมี ◊ เป็นผู้นำ� และ/หรือร่วมกันสร้างสภาพปลอดโรค และมภี าวะผ้นู �ำ ปลอดภยั และสรา้ งสง่ิ แวดลอ้ มทสี่ ง่ เสรมิ สขุ ภาวะของคน (Collaboration, ในชมุ ชน Teamwork and Leadership) ๑๐) สมรรถนะหลัก ◊ ใช้ความรู้เก่ียวกับสุขภาพอนามัย เพื่อนำ�เสนอไปสู่ ดา้ นการเปน็ พลเมอื ง การปฏิบัติและยกระดับไปสู่การเปล่ียนแปลง ทเ่ี ขม้ เเขง็ /ตื่นรู้ที่มี ในครอบครัว ชมุ ชน และสงั คม สำ�นกึ สากล ◊ นำ�ระบบประกันสุขภาพไปใช้ในฐานะที่เป็นกลไก (Active Citizen with พฒั นาคณุ ภาพทางกายและจติ ใจของประชาชน Global Mindedness)

13 ความรูเ้ สรมิ เกี่ยวกับสมรรถนะหลกั ๑๐ สมรรถนะ ๑. สมรรถนะหลกั ดา้ นภาษาไทยเพอ่ื การสอ่ื สาร (Thai Laguage for Communication) ในส่วนน้ีจะเสนอข้อมูลท่ีเก่ียวกับสมรรถนะหลักด้านภาษาไทยเพ่ือ การสือ่ สาร ดงั น้ี ภาษาเป็นเครื่องมือหลักในการติดต่อสื่อสารกับบุคคลรอบตัว ซ่ึงเป็น ส่ิงจำ�เป็นต่อความอยู่รอด และการมีชีวิตท่ีมีคุณภาพของบุคคลผู้ที่มีความ สามารถในการใชภ้ าษาไทยโดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ การอา่ นและการเขยี น ไดอ้ ยา่ ง ชัดเจน แม่นยำ� คล่องแคล่ว ถูกกาลเทศะ และเป็นไปเพ่ือการพัฒนา และ สร้างสรรค์ ย่อมดำ�เนินชีวิตในสังคมไทยได้อย่างมีความสุข ได้รับการยอมรับ และมีโอกาสในการประสบความสำ�เร็จในการดำ�เนินชีวิต การเข้าถึงความรู้ การพฒั นาตนและการประกอบอาชพี อยา่ งสงู การรภู้ าษาไทยยงั เปน็ เครอ่ื งมอื สำ�คัญในการจัดระบบความคิดและนำ�ความคิดของตนไปสู่การปฏิบัติต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการตัดสินใจ การแก้ปัญหาและการสร้างสรรค์ อีกท้ังช่วยให้บุคคลได้เข้าถึงวิถีชีวิตและภูมิปัญญาต่าง ๆ ที่ได้สืบทอดมาใน สงั คมไทย พจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ไดใ้ หค้ �ำ จ�ำ กดั ความของ คำ�ว่า “ภาษา” ว่า คือถ้อยคำ�ที่ใช้พูดหรือเขียนเพื่อส่ือความของชนกลุ่มใด กลุม่ หนึง่ หรือเพอ่ื สอ่ื ความเฉพาะวงการโดยประกอบไปดว้ ย เสียง ตวั หนงั สอื หรือกิริยาอาการท่ีส่ือความได้ และโดยปริยายหมายความว่า สาระ เร่ืองราว เนอื้ ความทีเ่ ขา้ ใจกัน การส่ือสาร ตามความหมายของพจนานุกรม Merriam-Webster ได้กล่าวไว้ว่าเป็นกระบวนการในการแลกเปล่ียนข้อมูลระหว่างบุคคล หรือ กลุ่มบคุ คลผา่ นระบบทางสญั ลักษณ์ สิ่งทสี่ ื่อความหมายหรือพฤตกิ รรม

14 ภาษาและการสื่อสาร เปน็ การใช้ภาษาของมนษุ ย์ในด้านวาทกรรม ซง่ึ หมายถึงการแลกเปล่ียน ของความคิดด้วยการสื่อทางการพูดหรือการเขียน ท่ีเก่ียวกับมนุษย์ ส่ิงต่าง ๆ และองค์กรทางสังคมต่าง ๆ และรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างสามสิ่งน้ัน ในด้านบริบท เพ่ือท่ีจะแลกเปล่ียนข้อมูลกับบุคคลอ่ืน และเพ่ีอจูงใจหรือ สรา้ งผลกระทบต่อผู้รับสารอย่างมปี ระสทิ ธิภาพ ภาษาไทยเพอื่ การสอื่ สาร หมายถงึ การใชถ้ อ้ ยค�ำ เพอื่ ใชใ้ นการฟงั พดู อา่ น และเขยี นเพอื่ ชว่ ยใหส้ ามารถแลกเปลย่ี นขอ้ มลู ความคดิ ความรู้ และความรสู้ กึ นึกคิดระหว่างบุคคลผู้ส่งสารและผู้รับสาร ตลอดจนจูงใจหรือสร้างผลกระทบ ต่อผู้รับสารอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ กรอบแนวคดิ ที่เปน็ พน้ื ฐาน กรอบแนวคดิ ทเี่ ปน็ พนื้ ฐานส�ำ คญั มที ฤษฎกี ารสอ่ื สาร ทฤษฎภี าษาศาสตร์ ทฤษฎีภาษาและวฒั นธรรม และพัฒนาการทางภาษา สรปุ สาระดังน้ี ทฤษฎีภาษาศาสตร์ กล่าวถึง ๑) องค์ประกอบของภาษา ๕ ส่วน คือ ระบบเสียง (Phonology) ระบบค�ำ (Morphology) ระบบไวยากรณ์ (Syntax) ระบบความหมายของคำ� (Semantics) และการใช้ถ้อยความ (Pragmatics) สมรรถนะด้านภาษาไทยเพ่ือการส่ือสาร ต้องครอบคลุมองค์ประกอบทุกส่วน ในลักษณะของการใช้ภาษาจริง และ ๒) มิติของภาษาท่ีมีหลายมิติ ดังน้ี (๑) ภาษาเพ่ือการรับสาร (Receptive language) ได้แก่ การฟัง ดู และ การอา่ น (๒) ภาษาเพ่อื การถา่ ยทอด (Expressive language) ได้แก่ การพดู และการเขียน ทฤษฎกี ารสอ่ื สารกลา่ วถงึ (๑)กระบวนการสอ่ื สารประกอบไปดว้ ยผสู้ ง่ สาร (Sender) สาร (Message) ข้อมูล (Information) และผู้รับสาร (Receiver) การสื่อสารท่ีได้ผลต้องให้คำ�นึงถึงองค์ประกอบในแต่ละด้านและสามารถ ปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม (๒) การรับสารที่มีประสิทธิภาพ คือ การท่ีผู้รับสาร

15 สามารถเข้าใจเจตนาท่ีแท้จริงของผู้ส่งสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเจตนา ท่ีแฝงเร้น การทำ�เช่นน้ันได้ผู้รับสารจะต้องทำ�ความเข้าใจเก่ียวกับผู้ส่งสาร วิธีการ กลวิธีในการส่งสาร และลักษณะสำ�คัญของสาร (๓) การส่งสาร ท่ีมีประสิทธิภาพ คือ การท่ีผู้ส่งสารสามารถเข้าใจธรรมชาติและพื้นฐานของ ผู้รับสาร เลือกใช้กลวิธีในการส่งสารและนำ�เสนอสารได้เหมาะสมกับ ผู้รับสาร เพ่อื ให้ผู้สง่ สารสามารถตีความสารน้นั ไปในทศิ ทางทต่ี นตอ้ งการ ทฤษฎีภาษาและวัฒนธรรมกล่าวถึง (๑) การท่ีมนุษย์อาศัยภาษาเป็น เครื่องมือในการติดต่อเกี่ยวข้องกับผู้อ่ืนในสังคม มนุษย์สามารถอยู่รอด และพฒั นา ผ่านการขดั เกลาทางสังคมซ่งึ อาศัยภาษาเป็นเครอ่ื งมือ การเรยี นรู้ ภาษาจงึ เปน็ เครื่องมือท่ีชว่ ยใหม้ นุษย์เขา้ ถึง เข้าใจ ซาบซึง้ ผูกพนั ภาคภูมใิ จ และสืบทอดวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของสังคมท่ีตนอยู่ และ (๒) ภาษา เป็นเครอื่ งมอื ช่วยใหบ้ ุคคลเขา้ ใจผู้อืน่ ท่ีมคี วามแตกต่างทางความคิด วถิ ีชวี ติ และวัฒนธรรม ท้ังผู้คนในอดีตในปัจจุบันที่อยู่ห่างไกล อยู่ต่างภูมิภาค ต่างชุมชน และอยู่ใกล้ชิดในชีวิต ตลอดจนการคาดคะเนถึงความคิดและ ชีวิตของคนในอนาคต ซ่ึงช่วยให้บุคคลได้ขยายโลกทัศน์ของตนเองและ พฒั นาส�ำ นกึ แห่งความเปน็ พลเมอื งโลก พัฒนาการทางภาษากล่าวถึงพัฒนาการทางภาษาของเด็กแต่ละวัย ดงั นี้ (๑) เด็กวัยประถมศกึ ษาสามารถเข้าใจและใช้ภาษาพูดในระดบั เรื่องราว ทเ่ี รียบง่าย ไมซ่ ับซ้อน จับประเด็นหลกั ที่ตรงไปตรงมา และจดจ�ำ รายละเอียด บางส่วนที่ไม่ซับซ้อน (๒) เด็กวัยประถมศึกษาสามารถวางแผนท่ีมีขั้นตอน ง่าย ๆ ในการแต่งเรื่อง และใช้ภาพประกอบคำ�ในการอ่านและเขียนระดับ เรือ่ งราวทเี่ รยี บงา่ ยและไม่ซับซอ้ นได้

16 แนวคิดสำ�คัญของสมรรถนะด้านการส่ือสารของหลักสูตรที่เน้น สมรรถนะของประเทศต่างๆ หลักสตู รของประเทศแคนาดา (Alberta Education, Canada) มุ่งให้นักเรียนสามารถแลกเปล่ียนกับผู้อื่นทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็น ทางการ ผา่ นสอ่ื ทเ่ี ปน็ ค�ำ พดู งานเขยี นหรอื ภาษาทา่ ทาง กราฟกิ และสญั ลกั ษณ์ โดยพจิ ารณาผลกระทบของวัฒนธรรม บริบทและประสบการณ์ต่อการสือ่ สาร และแสดงออกถึงการให้เกียรติ การเข้าใจในจิตใจผู้อื่น และความรับผิดชอบ เมอ่ื สื่อสารกบั ผูอ้ ืน่ หลักสูตรของประเทศออสเตรเลีย (Australia) ครอบคลุม คุณสมบัติสำ�คัญสามประการคือ (๑) เรียนรู้ที่จะฟัง อ่าน พูด เขียน และอ่านข้อความง่าย ๆ และเป็นรูปแบบท่ีซับซ้อนมากข้ึนในบริบทต่าง ๆ ที่เพิ่มมากขึ้น ด้วยความแม่นยำ� คล่องแคล่ว และมีจุดมุ่งหมายท่ีชัดเจน (๒) ชื่นชมและสนุกกับการใช้ภาษาในทุกรูปแบบ พัฒนาความรู้สึก ความมีชีวิตชีวาและพลังท่ีจะทำ�ให้เกิดความรู้สึกถ่ายทอดข้อมูล ความคิด รูปแบบการส่ือสารที่อำ�นวยความสะดวกในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ใหค้ วามบนั เทิง ชักชวน และโตแ้ ยง้ (๓) พัฒนาความสนใจและทกั ษะในการ สอบถาม ในเรื่องความงามทางภาษาของเรื่องท่ีอ่านและพัฒนาความรู้ ความเข้าใจในวรรณคดี หลักสูตรนานาชาติ International Baccalaureate (IB) : ให้คุณค่า แก่ภาษาหลักคือภาษาอังกฤษเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ตามหลักสูตร โดยมีจุดเน้นในการพัฒนาความสามารถทางภาษาหลัก คือ (๑) ผู้เรียน เรียนรู้ภาษาอย่างมีความหมาย ใช้ภาษาเป็นเคร่ืองมือในการพัฒนา ความคิดความรู้ และการรับรู้และเข้าใจโลกรอบตัว ตลอดจนการติดต่อ ส่ือสารและการทำ�งานร่วมกับผู้อ่ืน (๒) การเรียนการสอนภาษาเน้นการใช้ ในบริบทจริงที่มีความหมายและสนุกสนาน (๓) มุ่งให้ผู้เรียนสามารถ

17 เชอื่ มโยงการเรยี นรแู้ ละถา่ ยทอดความเขา้ ใจในแนวความคดิ ไปสสู่ ถานการณใ์ หม่ หลักสูตรประเทศอังกฤษ (British National Curriculum) ได้กำ�หนด (๑) ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเป็นความสามารถหลัก ที่ครูทุกคน ทุกวิชา มีหน้าท่ีส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษในขณะสอน วิชาต่าง ๆ (๒) โปรแกรมการศึกษาวิชาภาษาอังกฤษในระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษาแบ่งสาระออกเป็นด้านการฟัง การพูด การอ่าน และ การเขยี น วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรยี นรเู้ ปน็ ทกั ษะทสี่ มั พนั ธก์ บั การใชใ้ นชวี ติ จรงิ และ มีแนวการประเมินที่ช่วยให้เห็นระดับย่อยของพัฒนาการทางภาษาด้านต่าง ๆ (Assessment For Learning - AFL) (๓) ความสามารถในการใช้ภาษา อังกฤษแต่ละสาระแบ่งเป็นระดับช้ัน และมีคำ�อธิบายแต่ละระดับช้ัน (Level Descriptors) เพื่อให้ทิศทางการพัฒนาแก่ครูและนักเรียน โดยที่ระดับชั้น ดังกล่าวไม่ใช่ระดับชั้นเรียน นักเรียนแต่ละคนมีการพัฒนาไปตามระดับ ชั้นแตกต่างกัน นักเรียนในชั้นเรียนเดียวกันจึงมีระดับความสามารถ ในแต่ละด้านต่างกันไป (๔) การเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษในระดับ ประถมศึกษามีท้ังส่วนที่เป็นการสอนแบบหน่วยบูรณาการและการสอน เฉพาะทักษะที่ต้องการฝึก ในการฝึกทักษะเฉพาะ เน้นการเข้าใจความหมาย ของเสยี งและความสมั พนั ธร์ ะหว่างเสยี งกับตวั อกั ษร (Letters and sounds) เทคนิค กลวิธีการใช้ภาษาด้านต่าง ๆ และการใช้ภาษาในระดับคำ� ประโยค และเร่ืองราวอย่างครบถ้วนตั้งแต่ระดับประถมศึกษาตอนต้น (๕) มีการให้ ความสำ�คัญแก่ผู้รับสารหรือผู้ฟัง ผู้อ่าน (Audience) และการใช้กลวิธี การใชภ้ าษาดา้ นตา่ งๆ ตง้ั แตใ่ นระดบั ประถมศกึ ษาตอนตน้ ตามความเหมาะสม กบั วัย

18 ๒. สมรรถนะหลกั ดา้ นคณติ ศาสตรใ์ นชวี ติ ประจาํ วนั (Mathematics in Everyday Life) ในส่วนนี้จะเสนอข้อมูลที่เกี่ยวกับสมรรถนะหลักด้านคณิตศาสตร์ในชีวิต ประจําวนั ดังน้ี คณติ ศาสตรเ์ ปน็ วชิ าทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ความคดิ รวบยอดทไี่ ดจ้ ากประสบการณ์ มีระเบียบแบบแผน แต่ละขั้นตอนมีเหตุผลอ้างอิง มีการกำ�หนดสัญลักษณ์ ที่ชัดเจนสื่อความหมายได้ตรงกัน และคณิตศาสตร์เป็นศิลปะอย่างหน่ึง ทำ�ให้ค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ก่อเกิดความคิดสร้างสรรค์มีความสําคัญอย่างย่ิงและ ถือเป็นส่วนหน่ึงของมนุษย์ทุกคนท่ีมีส่วนเก่ียวข้องกับคณิตศาสตร์ทําให้ คิดเปน็ แกป้ ัญหาเป็น ทาํ ใหส้ ามารถคาดการณ์ วางแผน การตัดสินใจ และ แก้ปัญหาท่ีเกิดขึ้นได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม การเคารพในกฎกติกาของ สังคม และการมีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ ตลอดจนสามารถนําความรู้ ทางคณติ ศาสตรป์ ระยกุ ตใ์ ชใ้ นดา้ นตา่ ง ๆ อยา่ งกวา้ งขวาง เพอื่ พฒั นาคนหรอื ทรพั ยากรมนุษย์เขา้ สสู่ ังคมใหมใ่ นศตวรรษท่ี ๒๑ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระ การเรียนรู้คณิตศาสตร์ (กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๕๑) ได้กล่าวไว้ว่า คณิตศาสตร์มีบทบาทสําคัญย่ิงต่อการพัฒนาความคิดมนุษย์ทําให้มนุษย์ มีความคิดสร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล เป็นระบบ มีแบบแผน สามารถ วิเคราะห์ปัญหาหรือสถานการณ์ได้อย่างถี่ถ้วนรอบคอบ ช่วยให้คาดการณ์ วางแผนตัดสินใจแก้ปัญหาและนําไปใช้ในชีวิตประจําวันได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม นอกจากนี้คณิตศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือในการศึกษาทาง ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและศาสตร์อื่น ๆ คณิตศาสตร์จึงมีประโยชน์ ต่อการดําเนินชีวิตช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นและสามารถอยู่ร่วมกับ ผู้อ่ืนได้อย่างมีความสขุ

19 คณิตศาสตร์เป็นวิชาท่ีเกี่ยวข้องกับความคิดรวบยอด มีลักษณะเป็น นามธรรม มีการกำ�หนดสัญลักษณ์ข้ึนใช้ซ่ึงมีลักษณะเป็นภาษาสากล มีความเป็นศิลปะในตัวเอง และมีโครงสร้างที่ชัดเจน นอกจากนั้นยังกล่าวถึง ธรรมชาติของคณิตศาสตร์ไว้ว่า ๑) คณิตศาสตร์เป็นวิชาท่ีเก่ียวกับความคิด รวบยอด ซึ่งความคิดเหล่านี้ได้มาจากการสรุปที่เหมือน ๆ กัน ซ่ึงได้จาก ประสบการณ์หรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ๒) คณิตศาสตร์เป็นวิชาท่ีมี การแสดงแนวคิดอย่างมีระบบ เป็นขั้นตอน การสรุป แต่ละขั้นต้องมี การอ้างอิงอย่างมีเหตุผล ทุกข้ันตอนในแต่ละเนื้อหาจะเป็นเหตุเป็นผล ตอ่ กัน ๓) คณิตศาสตรม์ ีลักษณะเป็นภาษาสากล มีการก�ำ หนดสญั ลักษณใ์ น การสื่อความหมาย ซ่ึงสามารถเขียนข้อความทางคณิตศาสตร์ได้รัดกุม ชดั เจนสอ่ื ความหมายไดถ้ กู ตอ้ งเกดิ ความเขา้ ใจตรงกนั จงึ นบั ไดว้ า่ คณติ ศาสตร์ มีภาษาเฉพาะเป็นของตนเอง ๔) คณิตศาสตรเ์ ป็นศลิ ปะอย่างหน่ึง ความงาม ของคณิตศาสตร์อยู่ท่ีความมีระเบียบ ความกลมกลืนของแนวความคิด ตลอดจนความละเอยี ดถีถ่ ้วนและรอบคอบ (วรรณี ธรรมโชติ, ๒๕๕๐) โลกปัจจุบันเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ซงึ่ เปน็ ผลสบื เนอื่ งมาจากความเจรญิ กา้ วหนา้ ทางคณติ ศาสตร์ นับตั้งแต่สมัยโบราณ ไม่ว่าจะเป็นกฎแรงโน้มถ่วงของโลก จนถึงการทดลอง ระเบิดนิวเคลียร์ จําเป็นต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจในคณิตศาสตร์ อย่างลึกซึ้งในแขนงใดแขนงหนึ่ง เช่น วิศวกรต้องเรียนรู้แคลคูลัส สมการ ดิฟเฟอเรนเชียล การวิเคราะห์เชิงตัวเลข (Numerical Analysis) นักการ ธนาคาร ผู้ลงทุนการค้าควรเรียนรู้เร่ืองกําหนดการเชิงเส้น (Linear Programming) การควบคุมคุณภาพ (Quality Control) ผู้บริหารงาน ต้องอ่านและแปลความหมายของข้อมูลทางสถิติได้และควรมีความรู้ พ้ืนฐานทางคอมพิวเตอร์ด้วย นอกจากนี้อาชีพเกือบทุกแขนงไม่ว่าจะเป็น ทางวิทยาศาสตร์หรือสังคมศาสตร์ต้องเกี่ยวข้องกับงานวิจัย ซึ่งจําเป็น

20 ต้องมีพ้ืนความรู้ทางคณิตศาสตร์ วิชาคณิตศาสตร์เป็นเคร่ืองมืออย่างหน่ึง ท่ีจะฝึกให้คนมีวินัยในตนเอง จากการเสริมสร้างลักษณะนิสัยและเจตคติ บางอย่างให้แก่ผเู้ รยี น เช่น ความมีระเบยี บวินยั ในการทาํ งาน ความมเี หตุผล ในการแก้ปัญหา การเคารพในกฎกติกาของสังคมและการมีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ ตลอดจนความพอใจและเข้าใจในส่ิงทีเป็นสัจจะ ซ่ึงเป็นคุณธรรม สูงสุดข้อหนึ่งของมนุษย์ด้วยเหตุที่คณิตศาสตร์ใช้ภาษาที่ง่าย ๆ สัญลักษณ์ ที่รัดกุม ใช้เหตุผลท่ีถูกต้องส่งเสริมให้มีความคิดริเร่ิม และรู้จักประเมินค่า ข้อมูลต่าง ๆ น่ันเอง ในบรรดาความรู้เบื้องต้นท่ีมนุษย์ควรเรียนรู้ต้ังแต่ สมัยโบราณ นอกจากการอ่าน (Reading) และการเขียน (Writing) แล้ว ยังรวมถึงเลขคณิต (Arithmetic) ซ่ึงเป็นสาขาหน่ึงของคณิตศาสตร์ด้วย เพราะความเช่ือว่าคณิตศาสตร์เป็นเครื่องมือวิเศษท่ีสอนให้คนมีเหตุผล คณิตศาสตร์จึงเป็นวิชาที่สืบทอดมาจากคนรุ่นก่อน จนถึงชนรุ่นปัจจุบัน อย่างต่อเนื่องและไม่ขาดตกบกพร่อง เช่น เรขาคณิตของ Euclid แม้จะมี เรขาคณิตแบบไม่ใช่ Euclid (Non-Euclidean Geometry) เกิดขึ้น ก็ยังคงมี คนเรียนตลอดเวลามากกว่า ๒,๕๐๐ ปีแล้ว เช่นเดียวกับพีชคณิตและ ตรีโกณมิติ วิชาเหล่านี้ได้แสดงถึงรากเหง้าและวัฒนธรรมความเป็นอยู่ ของมนษุ ยท์ าํ ใหส้ ามารถสบื สาวเรอื่ งราวประวตั ศิ าสตรไ์ ดเ้ ปน็ อยา่ งดี และเหน็ คุณค่าในวิชาท่ีเป็นความจําเป็นแก่โลก รวมท้ังความเข้าใจในความเจริญ งอกงามทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซ่ึงเป็นผลมาจากความเจริญและ ววิ ฒั นาการทางคณิตศาสตร์มาต้ังแตโ่ บราณกาล สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (๒๕๕๔) ไดก้ ลา่ วถงึ คุณค่าของการเรียนคณิตศาสตร์ ๓ ประการ ดังน้ี ๑) เรียนเพื่อนําไปใช้ ในการดํารงชีวิต และใช้เป็นเคร่ืองมือในการศึกษาวิทยาการต่าง ๆ ในทาง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มนุษยศาสตร์และศิลปศาสตร์ตลอดจน ศาสตร์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ท้ังน้ีเพราะเราจําเป็นต้องใช้คณิตศาสตร์ไม่ทางตรง

21 ก็ทางอ้อม กับกิจกรรมส่วนใหญ่ในชีวิตประจําวัน มีการนําคณิตศาสตร์ไปใช้ อธิบายปรากฏการณ์หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ และคาดการณ์ถึงผลท่ีอาจ เกิดข้ึน ทําให้เราสามารถเตรียมตัวรับสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๒) เรียนเพ่ือการเป็นพลเมืองท่ีดีและมีคุณภาพ ท้ังน้ีเพราะคณิตศาสตร์เป็น วิทยาการแขนงหนึ่งที่เป็นท้ังศาสตร์และศิลป์มีบทบาทสําคัญในการพัฒนา ความคิดของมนุษย์ทําให้มนุษย์มีความคิดสร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล เปน็ ระบบ มแี บบแผน สามารถวเิ คราะหป์ ญั หาและสถานการณไ์ ดอ้ ยา่ งถถ่ี ว้ น รอบคอบ ทําให้สามารถคาดการณ์ วางแผน ตัดสินใจแก้ปัญหา และนําไป ใช้ในชีวิตประจําวันได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม และ ๓) เรียนเพ่ือศึกษา ถึงอารยธรรม ท่ีนํามาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองของมนุษยชาติ ทั้งน้ีเพราะ คณิตศาสตร์เป็นอารยธรรมท่ีมีวิวัฒนาการอันยาวนานมาตั้งแต่สมัย ดึกดําบรรพ์จนถึงปัจจุบันโดยไม่หยุดน่ิง ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญา อันลึกซึ้ง และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของคนแต่ละยุคสมัยในการสร้าง ความเจริญร่งุ เรือง และพัฒนาคณุ ภาพชีวติ ของคนเราให้ดขี ้นึ การจดั การศึกษาคณิตศาสตรใ์ นศตวรรษท่ี ๒๑ จากการวิเคราะห์หลักจากทฤษฎีแนวคิดที่เป็นพื้นฐานของคณิตศาสตร์ ในชวี ติ ประจ�ำ วนั ไดแ้ ก่ ธรรมชาติและความส�ำ คญั ของคณิตศาสตร์ ประโยชน์ และคุณค่าของคณิตศาสตร์ หลักสูตรและการสอนคณิตศาสตร์ ทฤษฎี การสอนคณิตศาสตร์ พบว่า องค์ประกอบสําคัญท่ีก่อให้เกิดการเรียนรู้ คือ การปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์ ท่ีผู้เรียนได้รับ ดังนั้นการศึกษาจึงควรมุ่งเน้นการจัดเตรียมเนื้อหาและ ประสบการณ์ที่เหมาะสมและเอ้ือให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ทักษะ พฤติกรรม และเจตคติท่ีพึงประสงค์ ในการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ผู้เรียนจึงควรได้มี โอกาสพัฒนามโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ไปพร้อม ๆ กับทักษะทางวิธีการ ท่ีสัมพันธ์กันเพ่ือให้เป็นการเรียนรู้คณิตศาสตร์อย่างมีความหมาย เพ่ือให้เกิด

22 ความรู้ ความชํานาญในวธิ กี าร สามารถเช่อื มโยงความรกู้ บั วธิ ีการจนสามารถ นาํ ความร้ทู างคณติ ศาสตรไ์ ปใช้ไดอ้ ย่างกว้างขวาง ในการเรยี นรคู้ ณติ ศาสตรม์ ที ฤษฎเี กย่ี วกบั การเรยี นรหู้ ลายทฤษฎที สี่ าํ คญั เป็นทีน่ ยิ มและยอมรับกันในปจั จุบนั มีอยู่สองกลมุ่ แนวคิด ๑. ทฤษฎีเก่ียวกับการสร้างพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน ซ่ึงมีความ เกีย่ วข้องกับการเรียนรคู้ ณติ ศาสตรม์ านานแลว้ ๒. ทฤษฎเี กยี่ วกบั การสรา้ งองคค์ วามรู้ การสง่ เสรมิ การเรยี นรคู้ ณติ ศาสตร์ อยา่ งมคี วามหมาย ซงึ่ มหี ลกั การสรา้ งความรทู้ างคณติ ศาสตรข์ องผเู้ รยี นหลกั ๆ มีดังน้ี ๑) ผู้เรียนสร้างความรู้ใหม่ทางคณิตศาสตร์ โดยการคิดสะท้อนหรือ คิดไตร่ตรอง พิจารณาในการกระทํา และการคิดของผู้เรียน ๒) การเรียนรู้ สะท้อนถึงกระบวนการทางสังคม ซ่ึงผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในสังคม จากการสนทนาพูดคุย การอภปิ รายไม่วา่ กบั ตนเองหรอื ผอู้ ่ืน สรปุ ไดว้ า่ คณติ ศาสตรเ์ ปน็ เรอื่ งเกยี่ วกบั ตวั เลข การคดิ คาํ นวณ การใช้เหตุ และผลในการแก้ปัญหา มีการใช้สัญลักษณ์เป็นภาษาสากล เพื่อให้ส่ือ ความหมาย และเข้าใจกันได้ อีกท้ังเป็นเคร่ืองมือแสดงความคิดเป็นระเบียบ ที่มีเหตุผล มีวิธีการและหลักการที่แน่นอน เพ่ือนําไปใช้ในการแก้ปัญหา ตา่ ง ๆ นอกจากนยี้ งั ปลกู ฝงั ความเชอื่ มนั่ และคณุ คา่ ในความจรงิ ทไี่ ดแ้ สดงใหเ้ หน็ อกี ดว้ ย หลักการและวิธีสอนคณิตศาสตร์ มีดังนี้ ๑) การสอนเนื้อหาใหม่แต่ละ คร้ัง ต้องคำ�นึงถึงความพร้อมของผู้เรียน ท้ังความพร้อมด้วยวุฒิภาวะและ เนื้อหา ๒) การสอนคณิตศาสตร์เน้นเร่ืองความเข้าใจมากกว่าความจำ� การสอนคณิตศาสตร์แนวใหม่จึงเน้นการจัดประสบการณ์การเรียนท่ีมี ความหมาย และใช้วิธีการสอนต่าง ๆ มากขึ้น ผู้เรียนจะต้องเข้าใจความคิด รวบยอดกอ่ น จงึ ฝกึ ทกั ษะหรอื ท�ำ แบบฝกึ หดั เพอื่ เพมิ่ พนู ประสบการณอ์ นั จะน�ำ ไปสกู่ ารน�ำ ไปใชไ้ ดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ๓)ใชว้ ธิ อี ปุ มาน(Induction)ในการสรปุ

23 หลกั การคณติ ศาสตรแ์ ลว้ น�ำ ความรไู้ ปใชด้ ว้ ยวธิ อี นมุ าน (Deduction) ๔) ควรมี การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน เพ่ือช่วยให้ผู้เรียนมองเห็น ความหมายและหลักการทางคณิตศาสตร์ ประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดีควร เน้นรูปธรรม หรือที่เป็นก่ึงรูปธรรม ๕) สอนจากปัญหาจริงท่ีประสบอยู่เสมอ ในชีวิตประจำ�วัน การท่ีผู้เรียนจะมีความสามารถในการแก้ปัญหา ผู้เรียน ควรได้รับการส่งเสริมให้ได้อภิปราย และแสดงความคิดเห็นในโจทย์ปัญหา หรือสถานการณ์ต่าง ๆ แล้วแปลเป็นประโยคสัญลักษณ์หรือประโยค คณิตศาสตร์ ๖) ส่งเสริมการสอนโดยใช้กิจกรรมและสื่อการสอน การสอน เร่ืองใหม่ในแต่ละครั้งควรใช้ส่ือรูปธรรมอธิบายแนวความคิดนามธรรมทาง คณิตศาสตร์ ในการจัดกิจกรรมควรให้ได้ทดลองค้นคว้าคำ�ตอบด้วยตนเอง และ ๗) ส่งเสรมิ การสอนโดยคำ�นงึ ถึงความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล ๓. สมรรถนะหลักด้านการสืบสอบทางวิทยาศาสตร์และ จิตวทิ ยาศาสตร์ (Scientific Inquiry & Scientific Mind) ในส่วนนี้จะเสนอข้อมูลที่เกี่ยวกับสมรรถนะหลักด้านการสืบสอบทาง วิทยาศาสตรแ์ ละจติ วทิ ยาศาสตร์ ดงั น้ี การรู้วิทยาศาสตร์ หมายถึง ความสามารถของบุคคลที่จะเช่ือมโยง ส่ิงต่าง ๆ เข้ากับประเด็นท่ีเก่ียวข้องกับวิทยาศาสตร์และแนวคิดทาง วิทยาศาสตร์ได้อย่างไตร่ตรอง ท้ังนี้ การประเมินการรู้วิทยาศาสตร์พิจารณา จาก ๔ ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ ๑) การก�ำ หนดสถานการณช์ วี ติ จรงิ ทม่ี คี วามหลากหลาย ท่คี รอบคลมุ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ๒) การระบปุ ระเดน็ ทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งครอบคลุมการอธิบายปรากฏการณ์อย่างเป็นศาสตร์ และการใช้หลักฐาน ทางวทิ ยาศาสตร์ ๓) ความรวู้ ทิ ยาศาสตร์ และ ๔) จิตวิทยาศาสตร์ นกั เรยี นทรี่ วู้ ทิ ยาศาสตรจ์ ะตอ้ งสามารถปรบั ตวั เองใหเ้ ขา้ กบั การเปลยี่ นแปลง ของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และผลของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตอ่ บคุ คล สงั คม และเศรษฐกิจ ดังนนั้ บุคคลท่ีรูว้ ิทยาศาสตรจ์ ะตอ้ งเปน็ บุคคล

24 ที่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างผู้เช่ียวชาญกับบุคคลที่ไม่มีความรู้ แยกแยะความแตกต่างระหวา่ งทฤษฎี และขอ้ มูลทไ่ี มถ่ กู ตอ้ ง ระบุไดว้ า่ แตล่ ะ บุคคลจะแสดงข้อเท็จจริงที่ได้รับอิทธิพลจากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใชค้ วามรวู้ ทิ ยาศาสตรท์ เี่ หมาะสมในการตดั สนิ ใจ ตดั สนิ คณุ คา่ แกป้ ญั หา และ ลงมือปฏิบัติ รวมท้ังตระหนักว่าวิธีการแก้ปัญหาในปัจจุบันอาจส่งผลให้เกิด ปญั หาอืน่ ๆ ตามมาได้ เปน็ ตน้ ธรรมชาติของวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยแี ละวิศวกรรม โครงการ Project 2061 ไดศ้ กึ ษาธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตรแ์ ละธรรมชาติ ของเทคโนโลยแี ละวิศวกรรม สรปุ ไดว้ ่าดงั น้ี ธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตร์ เกี่ยวขอ้ งกับ ๓ มมุ มอง ดังน้ี มมุ มองที่๑การมองโลกอยา่ งเปน็ วทิ ยาศาสตร์(Thescientificworldview) กล่าวคือ โลกเป็นส่ิงที่สามารถทำ�ความเข้าใจได้ เหตุการณ์ต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้น จะเปน็ แบบแผนสอดคลอ้ งกนั ความรทู้ างวทิ ยาศาสตรส์ ามารถเปลย่ี นแปลงได้ เนื่องจากได้ข้อมูลจากการสังเกตท่ีเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อีกท้ังความรู้ ทางวิทยาศาสตร์มีความคงทน โดยความรู้วิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่จะมี การปรับเปลี่ยนให้มีความถูกต้องมากกว่าท่ีจะถูกปฏิเสธ และวิทยาศาสตร์ ไม่สามารถตอบคำ�ถามได้ทุกประเด็น โดยเฉพาะประเด็นเหนือธรรมชาติและ ปรัชญาในการด�ำ เนินชีวิต มุมมองท่ี ๒ คือ การสืบสอบทางวิทยาศาสตร์ (Scientific inquiry) โดยครอบคลุมธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ ได้แก่ (๑) วิทยาศาสตร์ต้องอาศัย หลักฐานเพื่อนำ�สู่การสร้างเคร่ืองมือและวิธีการท่ีเหมาะสมในการสังเกต ปรากฏการณ์ (๒) วิทยาศาสตร์เป็นการบูรณาการระหว่างเหตุผลและ จนิ ตนาการ (๓) วทิ ยาศาสตรม์ เี ป้าหมายเพอื่ ท�ำ นายและอธบิ ายปรากฏการณ์ และ (๔) วิทยาศาสตร์จะพยายามระบุและหลีกเลี่ยงอคติที่เกิดข้ึนระหว่าง การแปลความหมายขอ้ มลู การบันทึกข้อมลู และการนำ�เสนอขอ้ มลู

25 มุมมองท่ี ๓ ธรรมชาติของการปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์ จะครอบคลุม ประเด็นท่ีว่าวิทยาศาสตร์เป็นการปฏิวัติทางสังคมท่ีมีความซับซ้อน โดย เก่ยี วข้องกบั จรยิ ธรรม เช่น การบนั ทึกผลอยา่ งแมน่ ยำ� การให้ความส�ำ คญั กับ สตั ว์ทดลอง และผลกระทบทม่ี ตี อ่ ชีวิต รวมทง้ั นักวทิ ยาศาสตรจ์ ะมสี ่วนรว่ มใน ฐานะของผเู้ ช่ยี วชาญและพลเมืองทวั่ ไป ธรรมชาตขิ องเทคโนโลยแี ละวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีเปน็ การนำ� ความรู้ ทักษะ และทรัพยากร มาสร้างสิ่งของเคร่ืองใช้ โดยผ่านกระบวนการ เพื่อแก้ปัญหา สนองความต้องการ หรือเพื่อความสามารถในการทำ�งาน ของมนุษย์ กระบวนการทางเทคโนโลยีเก่ียวข้องกับการแก้ปัญหา โดยการคิด ริเริ่มสร้างสรรค์ เพื่อนำ�ไปสู่การประดิษฐ์และปฏิบัติ ก่อให้เกิดประโยชน์ ตามความต้องการของมนุษย์ มนุษย์มีความต้องการในการสร้างสิ่งอำ�นวย ความสะดวกในการดำ�รงชีวิต ซ่ึงนำ�ไปสู่ปัญหาท่ีอาจเกิดจากการประดิษฐ์ คดิ คน้ ตา่ ง  ๆ ทม่ี นษุ ยส์ รา้ งขน้ึ และบางครงั้ ปญั หาอาจเกดิ จากการผลติ สง่ิ ของ ต่าง ๆ ไม่ตรงตามความต้องการหรือไม่ได้คุณภาพ จึงต้องมีการออกแบบ เพ่ือนำ�มาแก้ปัญหาที่เกิดข้ึน ท้ังนี้ ธรรมชาติของเทคโนโลยีเกี่ยวข้องกับ ๓ ประเด็น ได้แก่ ประเด็นที่ ๑ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ความรู้ของ เทคโนโลยีมาจากความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ และความรู้ทางวิทยาศาสตร์ จะก่อให้เกิดวิศวกรรมเพื่อช่วยในการแก้ปัญหา ประเด็นที่ ๒ การออกแบบ และระบบ จะครอบคลุมแก่นของวิศวกรรมในการออกแบบภายใต้ข้อจำ�กัด (Constraint) โดยมนุษย์ควบคุมการทำ�งานของเทคโนโลยี และเทคโนโลยี ยงั มผี ลขา้ งเคยี งทไี่ มส่ ามารถท�ำ นายได้ ระบบเทคโนโลยจี งึ สามารถลม้ เหลวได้ และประเดน็ ท่ี ๓ ประเดน็ ในเทคโนโลยี เทคโนโลยแี ละสงั คมมคี วามสมั พนั ธก์ นั โดยเทคโนโลยจี ะน�ำ สกู่ ารเปลย่ี นแปลงสงั คม และแนวปฏบิ ตั ทิ างสังคมจะน�ำ สกู่ ารเปลยี่ นแปลงเทคโนโลยี

26 การสบื สอบทางวิทยาศาสตร์และจิตวทิ ยาศาสตร์ การสบื สอบทางวทิ ยาศาสตร์ หมายถงึ วธิ กี ารคน้ ควา้ หาความรดู้ ว้ ยตนเอง หรือสร้างความรู้ด้วยตนเอง โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ อยู่บนฐาน ของแนว constructivism อนั เปน็ แนวคดิ ทเ่ี นน้ ใหผ้ เู้ รยี นเปน็ ผสู้ รา้ งความรใู้ หม่ และสงิ่ ประดษิ ฐใ์ หมด่ ว้ ยตนเองความรทู้ ไี่ ดจ้ ะคงทนถาวรอยใู่ นความจ�ำ ระยะยาว ผูส้ อนไม่สามารถสรา้ งใหไ้ ด้แตผ่ ู้สอนเปน็ เพยี งผจู้ ดั ประสบการณเ์ รียนรู้ กระบวนการสืบสอบทางวิทยาศาสตร์ ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ในการหาความรู้ ซ่ึงผู้เรียนต้องอาศยั ปจั จัยสำ�คัญ คอื ๑) วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) หมายถึง ข้ันตอน การหาความรู้ โดยเริ่มต้ังแต่การระบุปัญหา การตั้งสมมุติฐาน การออกแบบ การทดลอง การทดลอง การรวบรวมข้อมูล การวเิ คราะห์ข้อมลู สรุปผล ๒) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Process Skills) หมายถงึ ทักษะการคิดท้ังทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ขั้นพืน้ ฐาน และ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรข์ น้ั ผสมผสานทใ่ี ชใ้ นการด�ำ เนนิ การทดลอง ๓) กระบวนการพัฒนาจิตวิทยาศาสตร์ (Scientific Mind) หมายถึง พฤติกรรมท่ีแสดงออก ซ่ึงความมีคุณสมบัติของการเป็นนักวิทยาศาสตร์ อันเป็นลักษณะสำ�คัญที่ช่วยเอื้อให้นักเรียนใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คน้ หาความรู้ใหม่ แกป้ ญั หา และหาแนวทางแก้ปัญหา ซงึ่ คณุ สมบัตดิ ังกล่าว คอื ความมีเหตุผล มคี วามอยากรูอ้ ยากเหน็ ความใจกว้าง ความซอ่ื สัตย์และ มีใจเป็นกลาง ความเพียรพยายาม และการพิจารณารอบคอบก่อนตัดสินใจ การใช้เหตุผล หมายถึงคุณลักษณะของมนุษย์ที่สามารถคิดและ ปฏบิ ตั ทิ ต่ี รงกบั หลกั ของเหตผุ ล โดยการแสวงหาขอ้ มลู ทเ่ี ชอื่ ถอื ไดม้ าสนบั สนนุ อย่างเพียงพอและอย่างมีเหตุผล ก่อนที่จะยอมรับหรือให้คำ�อธิบายใด ๆ โดยปราศจากการเบียดเบียนตนเองและผู้อ่ืน ดังน้ัน เหตุผล (Reason) และ การใชเ้ หตผุ ล (Reasoning) จงึ เปน็ สมรรถภาพหนงึ่ ของความมเี หตผุ ล (Rationality)

27 ซึ่งเป็นการรวบรวมหลักฐานหรือตรรกะเพื่ออธิบายข้อมูลท่ีมีความสัมพันธ์กัน ในเชิงสาเหตุและผลลพั ธ์ การใชเ้ หตผุ ล แบง่ เป็น ๕ ประเภท คอื ๑) การใช้เหตุผลแบบนิรนัยเป็นการใช้เหตุผลโดยใช้แนวคิด หลักการ กฎ ทฤษฎี อธบิ ายเหตกุ ารณ์ยอ่ ย ๆ ทีม่ ีลกั ษณะเฉพาะหรือหาข้อสรุป ๒) การใช้เหตุผลแบบอุปนัย เป็นการใช้เหตุผลโดยการสังเกตเหตุการณ์ ยอ่ ย ๆ ท่มี ีลกั ษณะเฉพาะ แลว้ สรปุ เปน็ แนวคดิ หลักการ กฎ ทฤษฎี ๓) การใช้เหตุผลแบบอุปนัย-นิรนัยเป็นการใช้เหตุผลโดยการใช้เหตุผล แบบนริ นัยและอปุ นัยรว่ มกัน ๔) การใช้เหตุผลอย่างเป็นทางการ เป็นการใช้เหตุผลโดยใช้ข้อมูล เชงิ ตรรกะและเชงิ คณติ ศาสตรป์ ระกอบ ๕) การใช้เหตุผลอย่างไม่เป็นทางการ เป็นการใช้เหตุผลในสถานการณ์ ปัญหาปลายเปิด เชิงโต้เถียง ซับซ้อน หรือไม่มีโครงสร้าง และเป็นปัญหาท่ี ตอ้ งการให้แต่ละบุคคลสร้างข้อโตแ้ ย้งเพ่อื สนบั สนนุ ข้อกล่าวอ้าง การใช้และการสร้างแบบจำ�ลอง หมายถึง แผนภาพ (Diagram) สิ่งของจำ�ลองจากของจริง (Physical Replicas) การแทนด้วยสมการ ทางคณิตศาสตร์ (Mathematical Representations) การเปรียบเทียบ (Analogies) การจำ�ลองระบบด้วยคอมพิวเตอร์ (Computer Simulations) อย่างไรก็ตาม แบบจ�ำ ลองไมจ่ ำ�เป็นต้องถูกตอ้ ง ตรงกับโลกของความเปน็ จรงิ แต่แบบจำ�ลองนี้จะเน้นท่ีลักษณะสำ�คัญ ๆ โดยบดบังลักษณะอ่ืนไว้ แบบจ�ำ ลองถูกน�ำ มาใชเ้ พอื่ วัตถุประสงค์ต่าง ๆ ในเชิงวิทยาศาสตร์ ดงั น้ี ๑) เพื่อแทนระบบหรือสว่ นของระบบภายใต้เรื่องท่ีศกึ ษา ๒) เพอื่ ชว่ ยในการพัฒนาคำ�ถามและการอธบิ าย ๓) เพื่อสร้างข้อมูลซ่งึ ใช้ในการพยากรณ์ ๔) เพอ่ื สอื่ สารแนวคดิ สผู่ อู้ น่ื โดยนกั เรยี นสามารถทจี่ ะประเมนิ และปรบั ปรงุ แบบจ�ำ ลองผา่ นการท�ำ งานทีเ่ ปน็ วงจรแบบซํา้ ๆ โดยการเปรียบเทยี บระหวา่ ง

28 ส่ิงพยากรณ์กับโลกของความจริง และปรับแบบจำ�ลองเพ่ือให้ปรากฏการณ์ ทีถ่ กู จ�ำ ลองมานน้ั มีความถกู ต้องเชงิ ลกึ แบบจำ�ลองถูกนำ�มาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ในเชิงวิศวกรรมดังน้ี ๑) เพื่อวิเคราะห์ระบบเพ่ือดูว่าข้อบกพร่องใดท่ีอาจเกิดข้ึนหรืออยู่ภายใต้ เงอ่ื นไขใด ๒) เพือ่ ทดสอบแนวทางการแกป้ ัญหาทเ่ี ปน็ ไปได้ ๓) เพ่ือสร้างภาพ และปรับปรุงแบบ ๔) เพ่ือส่ือสารลักษณะที่ออกแบบสู่ผู้อื่น ๕) เพ่ือทดสอบ ประสทิ ธิภาพของการออกแบบ กรณขี องต้นแบบ (Prototypes) การโต้แย้ง เป็นกระบวนการสนทนาระหว่างบุคคล ซ่ึงบุคคลสองฝ่าย หรือมากกว่าทำ�การอภิปรายข้อกล่าวอ้างท่ีมีความเห็นแตกต่างกัน โดยมี การใชเ้ หตผุ ลหรอื คดั คา้ นดว้ ยหลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ เพอ่ื ปรบั ใหเ้ ขา้ กบั การแกไ้ ข ปัญหาท่ีมคี วามเหน็ แตกตา่ งกนั การโตแ้ ยง้ ทางวทิ ยาศาสตร์ หมายถงึ กระบวนการทางสงั คมวทิ ยาศาสตร์ ทใ่ี ชข้ อ้ เทจ็ จรงิ กฎ ทฤษฎี และหลกั ฐานในการสรา้ ง น�ำ เสนอ ประเมนิ ตรวจสอบ และปรับปรุงข้อกล่าวอ้าง มีประโยชน์ดังน้ี ๑) การโต้แย้งเป็นกระบวนการ พัฒนาและตรวจสอบความถูกต้องในความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ๒) กิจกรรม การโต้แย้งทางวิทยาศาสตร์ท่ีให้โอกาสผู้ที่มีส่วนร่วมได้อภิปรายนั้น จะทำ�ให้ นักเรียนได้แลกเปลี่ยนความเข้าใจในมโนทัศน์ทางวิทยาศาสตร์ ส่งเสริม การคิดตัดสินใจ ทำ�ให้เกิดความเข้าใจในมโนทัศน์ทางวิทยาศาสตร์มากข้ึน ๓) ทักษะการโต้แย้งจะส่งเสริมให้นักเรียนมีความสามารถในการใช้เหตุผล คิดอย่างมีวจิ ารณญาณ จิตวิทยาศาสตร์ เป็นแนวความคิดหรือพฤติกรรมท่ีแสดงออกถึง ความเป็นผู้มีความรู้ ความเข้าใจในวิทยาศาสตร์อันเป็นลักษณะสำ�คัญ ท่ีช่วยเอ้ือให้บุคคลใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ค้นคว้าหาความรู้ใหม่ หรือวิธีการแก้ปัญหา ดังน้ันการที่บุคคลมีความรู้และทักษะในวิธีการ ทางวิทยาศาสตร์ ยังไม่ได้บ่งช้ีถึงความเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ดีคือรู้และ

29 เข้าใจในวิทยาศาสตร์ได้อย่างแท้จริง เพราะนักวิทยาศาสตร์ที่แท้จริงจะต้อง มเี จตคติทางวิทยาศาสตร์ทด่ี ีด้วย ซ่ึงสามารถจ�ำ แนกไดด้ งั น้ี ๑) ความอยากรู้ อยากเหน็ ประกอบดว้ ย มคี วามกระตอื รอื รน้ ทจี่ ะคน้ ควา้ ความรใู้ หม่ ๆ อยเู่ สมอ สงั เกตปรากฏการณธ์ รรมชาตทิ เ่ี กดิ ขนึ้ อยา่ งรอบคอบ และ จดบนั ทกึ สงิ่ ทส่ี งั เกต ได้อย่างละเอียด ๒) ความเพียรพยายาม ประกอบด้วย มีความพยายามใน การหาคำ�ตอบเก่ียวกับปรากฏการณ์ท่ีเกิดขั้นว่าในปรากฏการณ์นั้นมีอะไร เกดิ ข้นึ บา้ ง เกิดขน้ึ ได้อย่างไร และทำ�ไมจึงเกิดข้นึ โดยวิธที �ำ การทดลอง หรอื ศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งเรียนรู้อ่ืน เช่น ตำ�รา หนังสือ หรือ อินเทอร์เน็ต และไม่ท้อถอยเมื่อการทดลองหรือการเก็บรวบรวมข้อมูล มอี ปุ สรรค ๓) ความใจกวา้ ง ประกอบดว้ ย ยอมรบั ฟงั ความคดิ เหน็ และการวพิ ากษ์ ของผู้อ่ืน ตลอดจนยินดีให้มีการทดสอบตามเหตุผลและข้อเท็จจริง เปล่ียน แนวความคิดของตนได้เมื่อผู้อ่ืนมีเหตุผลในการอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ไดด้ กี วา่ สามารถท�ำ งานรว่ มกบั ผอู้ น่ื ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ๔) ความมเี หตผุ ล ประกอบดว้ ย ไม่เช่ือโชคลาง คำ�ทำ�นาย หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ที่ไม่สามารถอธิบายได้ ตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ แสวงหาสาเหตุของปรากฏการณ์ และหา ความสัมพันธ์ของสาเหตนุ ้นั กับผลท่เี กิดขึ้น คดิ พดู และทำ�อยา่ งมหี ลกั เกณฑ์ และเหตุผล ๕) ความซื่อสัตยแ์ ละมใี จเป็นกลาง ประกอบดว้ ย การสังเกตและ บันทึกผลต่าง ๆ โดยปราศจากอคติ มีความซื่อตรงต่อผลการทดลองหรือ การเก็บรวบรวมข้อมูล และรายงานในส่ิงที่ตนเองค้นพบอย่างถูกต้องตรง ไปตรงมา ไม่นำ�ความชอบหรือไม่ชอบส่วนตัวมามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ ในเร่ืองใดเรื่องหนึ่ง ๖) การพิจารณารอบคอบก่อนตัดสินใจ ประกอบด้วย การใช้วิจารณญาณประเมินว่าส่ิงใดดีหรือไม่ดี ส่ิงใดควรทำ�หรือไม่ ก่อนที่จะ ตดั สนิ ใจในเรอ่ื งใดเรอ่ื งหนงึ่ ไมย่ อมรบั หรอื เชอ่ื ในสง่ิ ใดสงิ่ หนงึ่ วา่ เปน็ ความจรงิ โดยทนั ที ถา้ ยงั ไมม่ กี ารทดสอบทเี่ ชอ่ื ถอื ได้ ความรบั ผดิ ชอบในการคดิ ตดั สนิ ใจ และการกระท�ำ ของตนเอง

30 จิตวิทยาศาสตร์เป็นส่ิงที่ต้องปลูกฝังหรือฝึกฝนจนเกิดเป็นลักษณะนิสัย ของบคุ คลเพราะเปน็ คณุ ลกั ษณะทเ่ี ออื้ ตอ่ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ซึ่งเป็นทักษะท่ีจำ�เป็นต่อวิธีการทางวิทยาศาสตร์ในแต่ละข้ันตอนจนกระท่ัง น�ำ ไปสู่การสรุปความร้ใู หม่ หรอื การค้นพบวธิ กี ารแกป้ ัญหาน่นั เอง การจดั การเรยี นการสอนเพอ่ื เสรมิ สรา้ งสมรรถนะในการสบื สอบทาง วทิ ยาศาสตรแ์ ละจติ วทิ ยาศาสตร์ ในการจัดการเรียนการสอนเพ่ือเสริมสร้างสมรรถนะในการสืบสอบทาง วิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์สามารถใช้รูปแบบการสอน วิธีการสอน และเทคนคิ การสอนต่าง ๆ ได้หลากหลาย โดยเฉพาะ รปู แบบวงจรการเรียนรู้ ๕ ขัน้ ตอน กระบวนการเรียนรู้แบบรวมพลัง ๕ ขัน้ ตอน ดังนี้ ๑) รูปแบบวงจรการเรียนรู้ ๕ ข้ันตอน (5 E Learning Cycle Model) ในการน�ำ วงจรการเรยี นรู้ 5 E คอื ขนั้ สรา้ งความสนใจ (Engagement) ขนั้ ส�ำ รวจ ค้นหา (Exploration) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) ขั้นขยาย ความรู้ (Elaboration) และ ข้ันประเมินผล (Evaluation) ไปใช้ ส่ิงที่ผู้สอน ควรระลกึ อย่เู สมอในแต่ละข้นั ตอนของรปู แบบการเรยี นการสอนนี้ คือ การจัด กจิ กรรมใหเ้ หมาะสมกบั ความรคู้ วามสามารถของผเู้ รยี น เมอ่ื ผสู้ อนจดั กจิ กรรม ควรพิจารณาตรวจสอบบทบาทของผู้สอน และผู้เรียนในการปฏิบัติกิจกรรม แต่ละขั้นตอนสอดคล้องกับวงจรการเรยี นรู้ 5 E ๒) กระบวนการเรยี นรแู้ บบรวมพลงั ๕ ขั้นตอน ( 5 STEPs Collaborative Learning Process) กระบวนการเรียนรู้แบบรวมพลัง ๕ ขั้นตอนเป็นแนว การสอนหน่ึงของการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เน้นให้ผู้เรียนสร้าง ความรู้ด้วยตนเอง รวมท้ังประยุกต์ความรู้ได้ บนฐานวิธีการทางวิทยาศาสตร์ นักเรียนมีการปฏิบัติกิจกรรมแบบทำ�งานกลุ่มรวมพลัง โดยทุกคนร่วมด้วย ช่วยกัน เด็กเก่งช่วยเด็กท่ีเรียนช้ากว่า เด็กถนัดกว่าช่วยเด็กถนัดน้อย เพื่อให้ มีความสขุ ในการเรียน บทบาทของผเู้ รยี นเป็นผเู้ รียนรู้ (Learner) บทบาทของ

31 ครูเปน็ ผูอ้ �ำ นวยความสะดวก (Facilitator) ๓) เทคนคิ การสอน (Teaching Techniques) ทเ่ี ปน็ กลวธิ ตี า่ ง ๆ ทใ่ี ชเ้ สรมิ กระบวนการ ข้ันตอน วิธีการ หรือการกระทำ�ใด ๆ เพ่ือช่วยให้กระบวนการ ข้นั ตอน วิธกี ารหรอื การกระท�ำ นน้ั มีคณุ ภาพและประสิทธภิ าพมากข้ึน ดงั นน้ั เทคนิคการสอนจงึ หมายถึง กลวิธีตา่ ง ๆ ท่ใี ชเ้ สรมิ กระบวนการสอน ขัน้ ตอน การสอน วธิ กี ารสอนหรอื การด�ำ เนนิ การทางการสอนใด ๆ เพอ่ื ชว่ ยใหก้ ารสอน มคี ณุ ภาพและประสทิ ธภิ าพมากขนึ้ เชน่ ในการบรรยายผสู้ อนใชเ้ ทคนคิ ตา่ ง ๆ ที่สามารถช่วยให้การบรรยายมีคุณภาพ และประสิทธิภาพมากข้ึน เช่น การยกตวั อยา่ ง การใช้ส่ือ การใช้คำ�ถาม เปน็ ต้น ๔. สมรรถนะหลกั ดา้ นภาษาองั กฤษเพื่อการส่อื สาร (English for Communication) ในส่วนน้ีจะเสนอข้อมูลท่ีเก่ียวกับสมรรถนะหลักด้านภาษาอังกฤษ เพ่ือการส่ือสาร ดังน้ี สงั คมปจั จบุ นั มคี วามหลากหลายทางเชอื้ ชาตภิ าษา และมคี วามกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยีสารสนเทศ และการส่ือสารมากข้ึน ความจำ�เป็นในการใช้ ภาษาอังกฤษซ่ึงเป็นภาษาสากลเพ่ือการติดต่อส่ือสารในยุคปัจจุบันจึงมี มากข้ึน ทั้งเพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำ�วัน การทำ�งาน การทำ�ธุรกิจ การประกอบอาชีพ การศึกษาหาความรู้ และเพื่อการรับข้อมูล ข่าวสาร ตลอดจนความบันเทิงต่าง ๆ การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศและสามารถ ส่ือสารได้ยังช่วยให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เกิดการแลกเปล่ียนเรียนรู้ ทางวัฒนธรรมก่อให้เกิดความเข้าใจในความแตกต่างทางวัฒนธรรม ช่วยให้ อยูร่ ว่ มกันได้อย่างสันติบนความหลากหลายทางภาษาและวัฒนธรรม สมรรถนะภาษาองั กฤษเพอ่ื การสอื่ สารคอื ความสามารถในการน�ำ ความรู้ ทางภาษา ทกั ษะและเจตคตติ ลอดจนคณุ ลกั ษณะทจี่ �ำ เปน็ มาใช้ ในการสอ่ื สาร ฟงั พูด อา่ น เขียน ทง้ั การรับสาร และการส่งสาร การมีปฏิสมั พันธ์ มกี ลยุทธ์

32 ในการติดต่อสื่อสาร สามารถสื่อสารได้ถูกต้อง คล่องแคล่ว เหมาะสม กับบริบททางสังคมและวัฒนธรรม มีเจตคติท่ีดีต่อการเรียนรู้และการใช้ ภาษาองั กฤษ สามารถสอ่ื สารแลกเปลยี่ นและถา่ ยทอดความคดิ ประสบการณ์ และวฒั นธรรมไทยไปยงั สงั คมโลกได้อย่างสรา้ งสรรค์ ม่ันใจ กรอบอา้ งองิ ความสามารถทางภาษาองั กฤษอนั เปน็ สากล (The Common European Framework of Reference for Languages : CEFR) กระทรวงศึกษาธิการมีแนวคิดที่จะพัฒนาให้การจัดการเรียนการสอน ภาษาอังกฤษเน้นเพ่ือการสื่อสาร โดยมีนโยบายให้ใช้กรอบมาตรฐาน ความสามารถทางภาษาองั กฤษของสภายโุ รปTheCommonEuropeanFramework of Reference for Languages (CEFR) เป็นกรอบความคิดหลักในการจัด การเรยี นการสอนการทดสอบการวดั ผลการพฒั นาครูรวมถงึ การก�ำ หนดเปา้ หมาย การเรียนรู้ ปรับจุดเน้นการเรียนการสอนภาษาอังกฤษโดยเน้นการสื่อสาร (Communicative Language Teaching : CLT) โดยปรับการเรียนการสอน จากการเนน้ ไวยากรณม์ าเปน็ เนน้ การสอื่ สารทเี่ รม่ิ จากการฟงั ตามดว้ ยการพดู การอ่าน และการเขยี นตามลำ�ดบั ส่งเสริมให้มีการเรยี นการสอนภาษาอังกฤษ ทม่ี มี าตรฐานตามกรอบมาตรฐาน CEFR ดว้ ยหลกั สตู ร แบบเรยี น สอื่ การเรยี น การสอนด้วยวิธีการท่ีแตกต่างกันได้ ท้ังน้ี ตามความพร้อมของแต่ละ สถานศึกษาและแสดงถึงความถนัดและความสนใจของผู้เรียน มีมาตรการ ส่งเสริมการยกระดับความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษอีกหลายมาตรการ รวมถึงการยกระดับความสามารถในการจัดการเรียนการสอนของครูให้ สอดคล้องกับวิธีการเรียนรู้ที่เน้นการสื่อสาร (CLT) และเป็นไปตามกรอบ CEFR โดยจัดใหม้ กี ารประเมนิ ความรูพ้ ืน้ ฐานภาษาอังกฤษส�ำ หรบั ครูเพอ่ื ใหม้ ี การฝึกอบรมครู ตลอดจนพัฒนาระบบติดตามแก้ปัญหา และช่วยเหลือครู และส่งเสริมให้มีการใช้ส่ือ เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือการศึกษาเป็นเคร่ืองมือ สำ�คัญในการช่วยพัฒนาความสามารถทางภาษาของครูและผู้เรียน

33 ทัง้ การสง่ เสรมิ ใหม้ ีการผลิต การสรรหา e-content, Learning Applications รวมถงึ แบบฝกึ และแบบทดสอบทไ่ี ดม้ าตรฐานและมคี ณุ ภาพส�ำ หรบั การเรยี นรู้ รวมท้ังสง่ เสรมิ ใหม้ ีชอ่ งทางการเรยี นรผู้ ่านโลกดิจิทัล มกี ารก�ำ หนดแนวปฏิบตั ิ ต า ม น โ ย บ า ย ข้ า ง ต้ น โ ด ย กำ � ห น ด ใ ห้ ใ ช้ ก ร อ บ อ้ า ง อิ ง ท า ง ภ า ษ า ข อ ง สหภาพยโุ รปหรอื CEFRไวด้ ว้ ยคอื ใหใ้ ชร้ ะดบั ความสามารถ๖ระดบั ของ CEFR เป็นเป้าหมายการพัฒนาผู้เรียนในแต่ละระดับ ใช้พัฒนาหลักสูตร การเรียนการสอนโดยนำ�มากำ�หนดเป็นเป้าหมายของหลักสูตร ใช้ในการ จดั การเรยี นการสอน โดยจดั กระบวนการเรยี นรเู้ พอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นสามารถแสดงออก ซ่ึงทักษะทางภาษาและองค์ความรู้ตามที่ระบุไว้ในแต่ละระดับ ใช้เทียบเคียง เปน็ เกณฑใ์ นการทดสอบและการวดั ผลรวมทงั้ ใชใ้ นการพฒั นาครูและประเมนิ ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของครูก่อนการพัฒนาด้วย โดยกำ�หนด ความสามารถทางภาษาของผู้เรียนในแต่ละระดับไว้ดังนี้ ระดับ A1 ผู้สำ�เร็จการศึกษาระดับประถมศึกษา (ป.๖) ระดับ A1 ผู้สำ�เร็จการศึกษา ภาคบังคับ (ม.๓) ระดับ B1 ผู้สำ�เร็จการศึกษาภาคบังคับ (ม.๖/ปวช.) ระดับ B2 นกั ศึกษาท่ีจบการศึกษาระดับปริญญา มาตรฐานการใชภ้ าษาองั กฤษของไทย (FRELE-TH based on the CEFR) ในความพยายามท่ีจะส่งเสริมให้คนไทยมีความสามารถในการใช้ภาษา อังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพ สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ แห่งประเทศไทย (Thailand Professional Qualification Institute : TPQI) ได้ใหก้ ารสนับสนุน นักวิชาการจากสถาบันภาษาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสถาบัน ภาษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ร่วมกันทำ�วิจัยพัฒนากรอบอ้างอิงทาง ภาษาอังกฤษของไทยจากกรอบอ้างอิงทางภาษาของสหภาพยุโรป หรือ CEFR เป็นของไทยเรียกว่า FRELE-TH (Framework of Reference for English Language) หรือ FRELE-TH based on CEFR และได้ทำ�ไว้ครบ ทง้ั ๑๐ ระดับ ตาม CEFR ท่ปี รบั ปรงุ ใหมเ่ ป็น ๑๐ ระดับ จาก A1 A1+ A2

34 A2+ B1 B1+ B2 B2+ C1 C2 และผลงานดงั กล่าวได้รับการพัฒนาปรบั ปรุง โดยคณะกรรมการขับเคล่ือนท่ีประกอบด้วยผู้เช่ียวชาญในสาขาภาษาศาสตร์ ประยกุ ต์ และด้านการเรียนการสอนภาษาองั กฤษ และมีการประชมุ วเิ คราะห์ จากหนว่ ยงานดา้ นการศกึ ษาและผู้มสี ่วนไดส้ ว่ นเสยี แล้ว แนวคิดการพฒั นาสมรรถนะภาษาองั กฤษ ๑) The Grammar Translation Method หรอื เรียกวา่ Classical Method เน้นกฎเกณฑ์ของภาษา เน้นจดจำ�คำ�ศัพท์ การลำ�ดับคำ�ในประโยค คำ�เชื่อม การแปลความ การเขียน การทำ�แบบฝึกหัด ลักษณะของการสอนแบบนี้ คือ ห้องเรียนมีการสอนการส่ือสารกันด้วยภาษาแม่ มีการใช้ภาษาอังกฤษ ที่เรียนเพียงเล็กน้อย การสอนคำ�ศัพท์อยู่ในรูปแบบที่สอนแยกต่างหาก การอธบิ ายกฎเกณฑ์ Grammar ค่อนข้างละเอียด Grammar เน้น การรวมคำ� เข้าด้วยกัน การสอนเน้นรูปแบบของภาษา และการใช้คำ� เน้นการอ่าน เรื่องคลาสสิค ยากๆ ตั้งแต่เริ่มเรียนแรก ๆ ให้ความใส่ใจน้อยกับเนื้อหา ของบทเรียน หนังสือเน้นแบบฝึกหัดในการวิเคราะห์หลักภาษาและมักเป็น แบบฝึกหัดท่ีเน้นการแปลประโยคจากภาษาท่ีเรียนเป็นภาษาแม่ และให้ ความใสใ่ จนอ้ ยกับการเรยี นรวู้ ธิ กี ารออกเสยี ง ๒) The Direct Method เป็นแนววิธีธรรมชาติเหมือนเด็กเรียนภาษาแม่ หลักการพื้นฐานของวิธีน้ีคือ การเรียนภาษาที่สองควรเหมือนกับการเรียนรู้ ภาษาแม่ มีการฝึกพูดสนทนา การใช้ภาษาทันทีไม่มีการแปลระหว่างภาษา ท่ีสองกับภาษาแม่ ไม่มีการวิเคราะห์กฎเกณฑ์ทางภาษา สรุปหลักเกณฑ์ ของวิธีนี้ว่า การสอนในห้องเรียนใช้ภาษาอังกฤษหรือภาษาที่เรียนเป็นหลัก มกี ารสอนค�ำ ศพั ทแ์ ละประโยคทกุ วนั มกี ารฝกึ พดู ถามตอบ แลกเปลย่ี นระหวา่ ง ครกู บั นกั เรยี นในกลมุ่ เลก็ ๆ Grammarหรอื หลกั ภาษาจะสอนแบบ(inductive) ประเดน็ การสอนใหม่ ๆ ถกู สอนผา่ นการท�ำ ใหด้ ู(Modeling)และการฝกึ ค�ำ ศพั ท์ ที่เป็นรูปธรรมจะสอนผ่านการแสดงให้เห็นด้วยวัสดุ อุปกรณ์จริงหรือรูปภาพ

35 เพ่ือเชื่อมโยงความคิดไปสู่คำ�ศัพท์ท่ีเป็นนามธรรม และมีการสอนอ่านและ สอนการฟงั เพื่อความเขา้ ใจ ๓) The Audiolingual Method เนน้ ทกั ษะการพดู เปน็ หลกั แนวการสอนนี้ จึงรู้จักในชือ่ The Army Method ลกั ษณะการสอนเน้นฝึกพูด และออกเสียง (Oral activity – Pronunciation) และฝกึ พดู เปน็ ประโยค ฝกึ สนทนา มกี ารใชว้ ธิ ี เลยี นแบบพฤตกิ รรมและค�ำ พดู (Mimicry)การจดจ�ำ กลมุ่ ค�ำ วลตี า่ ง ๆ และเรยี น ค่อนข้างมาก (over learning) โครงสร้างภาษาสอนจากการวิเคราะห์เนื้อหา บทสนทนาที่เรียนในครั้งน้ัน ๆ ฝึกการใช้รูปแบบโครงสร้างภาษาโดยใช้ การฝึกซา้ํ  ๆ การอธบิ ายกฎเกณฑห์ ลกั ภาษามีนอ้ ย และสอนโดยใชว้ ิธอี ุปนัย เป็นหลัก การอธิบายใช้การยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้ดูมากกว่าการอธิบาย ใหเ้ หตผุ ล ใชเ้ ครอ่ื งมอื คอื เทป หอ้ งแลป็ และโสตทศั นปู กรณม์ าชว่ ยในการเรยี น ค่อนข้างมาก ให้ความสำ�คัญกับการออกเสียงให้ถูกต้อง (Pronunciation) ครูถูกห้ามใช้ภาษาแม่ในการสอน การให้การเสริมแรงในทันที มีการส่งเสริม ให้ผู้เรียนพูด ใช้ภาษาโดยไม่ต้องกลัวผิด เนื้อหาท่ีเรียนค่อนข้างหลากหลาย อะไรก็ไดไ้ มใ่ หค้ วามส�ำ คญั มากนัก ๔) Notional - Functional - Syllabuses Approach ลักษณะสำ�คัญ คือ การแบ่งให้เห็นถึงหลักสูตรการเรียนภาษาท่ีเน้น functions กับหลักสูตร ทเ่ี นน้ โครงสร้างภาษา (structure) ๕) Communicative Language Teaching (CLT) เป็นแนวทางที่เน้น การพูดเพื่อการส่ือสารและหลักภาษาเพื่อการสื่อสารและยังคำ�นึงถึงลักษณะ ทางสงั คม และวฒั นธรรมของภาษาดว้ ย เนน้ การสอื่ สารในชวี ติ จรงิ (Real-life) ในห้องเรียนด้วย ครูจะพยายามที่จะช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาการใช้ภาษาให้ได้ อย่างถูกต้องและคล่องแคล่ว ครูจะฝึกให้นักเรียนปฏิบัติเพื่อสามารถนำ�ไปใช้ นอกห้องเรียน ครูจะให้ความสำ�คัญกับการทำ�อย่างไรที่จะช่วยให้ผู้เรียน สามารถเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองไดต้ ลอดชวี ติ จงึ ไมเ่ พยี งแตใ่ หท้ �ำ งาน หรอื ท�ำ กจิ กรรม

36 ให้จบภายในห้องเรียนเท่าน้ัน ครูจะมองผู้เรียนเหมือนหุ้นส่วนท่ีเรียนรู้ไปด้วย กนั และการปฏบิ ตั ใิ นหอ้ งเรยี นจะดงึ แรงจงู ใจภายในของผเู้ รยี นออกมาเพอื่ ให้ นกั เรียนสามารถพัฒนาได้เตม็ ตามศักยภาพ หลกั คดิ ๑๒ประการในการเรยี นการสอนภาษาทส่ี อง(Douglas Brown, 1994) ๑. Automaticity: การเรยี นภาษาทสี่ องทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ คอื ความสามารถ พัฒนาความเข้าใจรูปแบบของภาษาและสามารถนำ�มาใช้ได้อย่างค่อยเป็น ค่อยไปจนเป็นอัตโนมตั ิ ๒. Meaningful Learning: การเรียนรู้อย่างมีความหมาย จะนำ�ไปสู่ ความจ�ำ ได้ในระยะยาวมากกว่าการเรียนรแู้ บบใหท้ อ่ งจำ� ๓. The Anticipation of Reward: การเรียนรู้ภาษาเป็นความสำ�เร็จ ท่ีต้องใช้เวลาระยะยาว ดังนั้นจึงควรสร้างให้เกิดแรงจูงใจภายใน (intrinsic motive) ระยะยาว แต่ก็ต้องไม่ละเลยแรงจูงใจระยะส้ัน ครูสอนภาษาจึงมี หน้าที่สำ�คัญในการสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน โดยการสร้าง บรรยากาศการเรียนรใู้ นชน้ั เรยี นใหส้ นกุ และนา่ สนใจ ๔. Intrinsic Motivation: การสรา้ งใหผ้ เู้ รยี นเกดิ แรงจงู ใจภายในทจ่ี ะเรยี น ดว้ ยตนเองอยา่ งต่อเน่ือง ผเู้ รยี นมคี วามมุ่งมนั่ ฝึกฝนเรยี นรู้อย่างสมา่ํ เสมอ ๕. Strategic Investment: การประสบความสำ�เร็จในการเรียนภาษา ที่สอง เป็นผลของการทุ่มเทของผู้เรียนทั้งด้านเวลา ความอดทน ความตั้งใจ ท่ีจะท�ำ ความเข้าใจและส่ือสารดว้ ยภาษานั้นใหไ้ ด้ ๖. Language Ego: ขณะทผ่ี เู้ รยี น เรยี นรภู้ าษาทสี่ อง ผเู้ รยี นกจ็ ะมกี ารพฒั นา วธิ คี ดิ ความรสู้ กึ และ ทา่ ทาง เปน็ อตั ลกั ษณท์ ส่ี อง (Second Identity) ขน้ึ มาดว้ ย ๗. Self –Confidence : การช่วยให้ผู้เรยี นรู้สึกประสบความสำ�เร็จในงาน จะเปน็ ปจั จัยที่ช่วยสรา้ งความเชอื่ ม่ันใหก้ บั ผ้เู รยี นว่าเขาสามารถเรยี นรู้ได้ เกดิ ความม่นั ใจในตนเอง (Self-esteem) ซึง่ เปน็ ส่งิ ท่ตี ้องการใหเ้ กดิ ขนึ้ แกผ่ ู้เรียน

37 ๘. Risk Taking: ผู้เรียนที่ประสบความสำ�เร็จในการเรียนภาษา ควรมี ลกั ษณะกลา้ ท่จี ะใชภ้ าษา ลองผดิ ลองถกู มีความพยายามท่จี ะพูด เขยี น และ แปลความหมาย ๙. The Language - Culture Connection: การสอนภาษาคอื การสอน ระบบวัฒนธรรม ค่านิยม วิธีการคิด ความรู้สึก และพฤติกรรมของเจ้าของ ภาษาน้นั ๆ ดว้ ย ๑๐. The Native Language Effect: ภาษาแม่ของผู้เรียนจะมีอิทธิพล เชอื่ มโยงตอ่ การเรยี นภาษาทส่ี อง ทงั้ ในแงบ่ วกและลบตอ่ การพดู เขยี น สอ่ื สาร และการท�ำ ความเขา้ ใจภาษาใหม่ เพราะผเู้ รยี นมักจะอาศยั การเทียบเคียงกบั ภาษาแม่ ๑๑. Interlanguage: ความสำ�เร็จในการเรียนภาษาจะพัฒนาได้มาก ถ้าได้รับการให้ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) จากผู้อ่ืนหรือครู และส่ิงสำ�คัญ คือ สามารถชว่ ยผเู้ รยี นให้รูจ้ ักประเมนิ ตนเอง ๑๒. Communicative Competence: สมรรถนะในการสื่อสาร คือ เป้าหมายของการใช้ภาษาในห้องเรียน ค�ำ สั่งของครู การแสดงความต้องการ การช้แี จงองคป์ ระกอบ การสรา้ งประโยคสนทนา การฝึกใชภ้ าษา และกลยุทธ์ ตา่ ง ๆ ทใ่ี ชเ้ พอ่ื สรา้ งความเขา้ ใจ รวมถงึ ในแงจ่ ติ วทิ ยาตา่ ง ๆ ผเู้ รยี นจะสอื่ สาร ไดด้ ี ผเู้ รยี นตอ้ งไดใ้ ชภ้ าษา ผเู้ รยี นเรยี นรจู้ ากหอ้ งเรยี นเพอื่ เอาไปใชใ้ นชวี ติ จรงิ ดังน้ันการเรียนภาษาจึงไม่ใช่เพียงเพื่อใช้ได้คล่องและถูกต้องเท่านั้น แต่ต้อง สามารถน�ำ ไปใช้ไดเ้ หมาะสมกับบริบทชวี ติ จริงดว้ ย

38 ๕. สมรรถนะหลักด้านทักษะชีวิตและความเจริญแห่งตน (Life Skills and Personal Growth) ในส่วนน้ีจะเสนอข้อมูลที่เกี่ยวกับสมรรถนะหลักด้านทักษะชีวิตและ ความเจริญแห่งตน ดงั นี้ การใชช้ วี ติ อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพพอดีและสมดลุ ทกุ ดา้ นทงั้ ทางดา้ นรา่ งกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม สติปัญญา และสุนทรียะเปน็ ส่ิงท่ีสำ�คญั จ�ำ เป็นอย่างยิ่ง ที่จะทำ�ให้บุคคลใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขมีความพึงพอใจใน การใช้ชีวิต นับถือตนเอง สามารถปรับตัวและฟ้ืนคืนสภาพอย่างรวดเร็ว เมอ่ื เผชิญกับปญั หาและความเปลยี่ นแปลงต่าง ๆ ทเี่ กดิ ข้นึ ทักษะชีวิต ทักษะชีวิตเป็นความสามารถของบุคคลในการกระทำ�ส่ิงต่าง ๆ เพื่อ การดำ�รงชีวิต ท้ังที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด รวมกับความสามารถท่ีเกิดจาก การเรียนรู้ และได้รับการพัฒนาและฝึกฝนทักษะ จนเกิดเป็นความชำ�นาญ หรือเป็นคุณลักษณะประจำ�ตัว สามารถนำ�เอาทักษะต่าง ๆ เหล่าน้ัน มาประยุกต์ใช้ในการดำ�เนินชีวิต และสามารถปรับตัวตามสภาพแวดล้อม ทเ่ี ปลี่ยนแปลงไปได้อยา่ งมคี วามสขุ วิกิพีเดีย (Wikipedia) ได้ให้ความหมายของทักษะชีวิต (Life skills) ว่า เป็นสมรรถภาพในการมีพฤติกรรมที่เป็นการปรับตัวที่ดี ซ่ึงช่วยให้มนุษย์ รับมือกับความจำ�เป็น/ความต้องการ และปัญหาของชีวิต หรือกล่าวอีกอย่าง ก็คือ เป็นสมรรถนะทางจิต-สังคม (Psychosocial Competency) เป็น การมีทักษะจำ�นวนหน่ึงท่ีจะได้จากการสอนหรือการปฏิบัติโดยตรงเพ่ือใช้ แกไ้ ขปญั หาและค�ำ ถามทีม่ ีอยทู่ วั่ ไปในชวี ิตประจำ�วัน ทักษะทวี่ า่ จะต่างกนั ไป ข้ึนอยู่กับค่านิยมและความคาดหวังของสังคม แต่เป็นทักษะท่ีช่วยให้ อยู่เป็นสุข (Well-being) จะช่วยพัฒนาให้คนเป็นสมาชิกทางสังคมที่มี ส่วนร่วมและกอ่ ประโยชน์แกส่ ังคม

39 องคก์ ารอนามัยโลก (WHO: 1997) ไดบ้ ญั ญตั ศิ พั ทค์ �ำ ว่าทกั ษะชวี ิต (Life Skills)ขน้ึ และใหค้ วามหมายวา่ คอื ความสามารถในการปรบั ตวั และมพี ฤตกิ รรม ไปในทิศทางท่ีถูกต้อง ในการที่จะเผชิญกับสิ่งท้าทายต่าง ๆ ที่เกิดข้ึน ในชีวิตประจำ�วันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังเป็นสิ่งท่ีจรรโลงให้เกิด การด�ำ รงไวซ้ ง่ึ สภาวะสขุ ภาพจติ ทด่ี ี สามารถปรบั ตวั และมพี ฤตกิ รรมไปในทาง ทถ่ี กู ตอ้ งในขณะทเี่ ผชญิ แรงกดดนั หรอื กระทบกบั สงิ่ แวดลอ้ มตา่ ง ๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ รอบตัว ความสามารถนป้ี ระกอบดว้ ย ความรู้ ความเขา้ ใจ เจตคตแิ ละทกั ษะ ในการจัดการกับปัญหาท่ีอยู่รอบตัวภายใต้สังคมปัจจุบัน ทักษะชีวิต (Life Skills) ตามคำ�นิยามขององค์การอนามัยโลกเน้นความสำ�คัญในการดำ�รงตน ของบคุ คลทมี่ คี วามเหมาะสมและทนั กบั การเปลย่ี นแปลงทางสงั คม ซงึ่ ปญั หา ของสังคมในยุคปจั จบุ นั มีความซํ้าซอ้ น บางปญั หามีความรนุ แรง เช่น ปัญหา เร่ืองยาเสพติด โรคเอดส์ บทบาทชายหญิง ชีวิตครอบครัว สุขภาพ อิทธิพล สื่อสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ซ่ึงคำ�นิยามดังกล่าวได้ช้ีให้เห็นว่าจะต้องมีการเรียนรู้ ด้วยตนเองและรู้จักปรับตัว การฝึกฝนเป็นการเปิดโอกาสให้คนเตรียม ความพรอ้ มของตนเองและด�ำ รงชีวติ ได้อย่างมคี วามสขุ องคก์ ารยนู เิ ซฟ(UNICEF:2001) ไดก้ ลา่ วถงึ ทกั ษะชวี ติ วา่ เปน็ ความสามารถ ใชค้ วามรู้ เจตคติ และทกั ษะตา่ ง ๆ ทชี่ ว่ ยในการสนบั สนนุ พฤตกิ รรมของบคุ คล ให้สามารถรับผิดชอบตนเอง สำ�หรับการดำ�เนินชีวิตโดยมีการสร้างทางเลือก ท่ีดี การต่อต้านความกดดันจากกลุ่มเพ่ือน และการจัดการกับสิ่งที่เข้ามา คุกคามชวี ิต องค์ประกอบของทักษะชวี ิต องค์การอนามัยโลก ได้กำ�หนดทักษะชีวิตที่สำ�คัญไว้หลายประการ ดังน้ี ๑) การตัดสินใจ ๒) การแก้ปัญหา ๓) ความคิดสร้างสรรค์/ การแก้ปัญหาโดยอ้อม ๔) การคิดวิเคราะห์/ปัญญา ๕) การส่ือสารท่ีได้ผล ๖) ความสัมพันธ์กับคนอื่น ๗) การสำ�นึกถึงตนเอง/การมีสติ ความตั้งม่ัน

40 ในจุดยืนของตนโดยไม่ก้าวร้าว (Assertiveness) ๘) ความเห็นใจผู้อื่น (Empathy) ๙) การมีอุเบกขา ๑๐) การรับมือกับความเครียด การบาดเจ็บ หรือการสญู เสยี ๑๑) ความยดื หยนุ่ ไดท้ างดา้ นจติ ใจ สว่ นส�ำ นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน ไดก้ �ำ หนดองคป์ ระกอบ ทักษะชีวิตที่สำ�คัญที่จะสร้างและพัฒนาเป็นภูมิคุ้มกันชีวิตให้แก่เด็กและ เยาวชนในสภาพสังคมปัจจบุ ันและเตรียมพรอ้ มสำ�หรับอนาคตไว้ ๔ องคป์ ระกอบ ดังน้ี ๑) การตระหนักรู้และเห็นคุณค่าในตนเองและผู้อ่ืนหมายถึง การรู้จัก ความถนัดความสามารถ จุดเด่น จุดด้อยของตนเอง เข้าใจความแตกต่าง ของแตล่ ะบคุ คลรจู้ กั ตนเองยอมรบั เหน็ คณุ คา่ และภาคภมู ใิ จในตนเองและผอู้ น่ื มีเป้าหมายในชีวิต และมีความรับผิด ๒) การคิดวิเคราะห์ ตัดสินใจ และแก้ ปัญหาอย่างสร้างสรรค์หมายถึง การแยกแยะข้อมูลข่าวสาร ปัญหาและ สถานการณ์รอบตัว วิพากษ์วิจารณ์ และประเมินสถานการณ์รอบตัวด้วย หลกั เหตผุ ลและขอ้ มลู ทถ่ี กู ตอ้ ง รบั รปู้ ญั หา สาเหตขุ องปญั หา หาทางเลอื กและ ตัดสนิ ใจแก้ปญั หาในสถานการณ์ตา่ ง ๆ อย่างสรา้ งสรรค์ ๓) การจดั การกับ อารมณ์และความเครียดหมายถึง ความเข้าใจและรู้เท่าทันภาวะอารมณ์ของ บุคคล รู้สาเหตุของความเครียด รู้วิธีการควบคุมอารมณ์และความเครียด รู้วิธีผ่อนคลาย หลีกเล่ียงและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมท่ีจะก่อให้เกิดอารมณ์ ไม่พึงประสงค์ไปในทางที่ดี ๔) การสร้างสัมพันธภาพท่ีดีกับผู้อ่ืนหมายถึง การเข้าใจมุมมอง อารมณ์ ความรู้สึกของผู้อ่ืน ใช้ภาษาพูดและภาษากาย เพอ่ื สอ่ื สารความรสู้ กึ นกึ คดิ ของตนเอง รบั รคู้ วามรสู้ กึ นกึ คดิ และความตอ้ งการ ของผอู้ น่ื วางตวั ไดถ้ กู ตอ้ ง เหมาะสมในสถานการณต์ า่ ง ๆ ใชก้ ารสอ่ื สารทส่ี รา้ ง สัมพันธภาพทด่ี สี ร้างความร่วมมอื และทำ�งานร่วมกบั ผู้อนื่ ได้อย่างมีความสขุ ทักษะชีวิตเป็นความสามารถที่เกิดในตัวผู้เรียนได้ด้วยวิธีการสำ�คัญ ๒ วิธี คือ ๑) เกิดเองตามธรรมชาติ เป็นการเรียนรู้ที่ข้ึนอยู่กับประสบการณ์ และการมีแบบอย่างที่ดี แต่การเรียนรู้ตามธรรมชาติจะไม่มีทิศทางและเวลา

41 ท่ีแน่นอน บางคร้ังกว่าจะเรียนรู้ก็อาจสายเกินไป ๒) การสร้างและพัฒนา โดยกระบวนการเรียนการสอน เป็นการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ร่วมกัน ในกลุ่มผ่านกิจกรรมรูปแบบต่าง ๆ ได้ลงมือปฏิบัติ ได้ร่วมคิดอภิปราย แสดงความคิดเห็น ได้แลกเปล่ียนความคิดและประสบการณ์ซ่ึงกันและกัน ได้สะท้อน ความรู้สึกนึกคิดมุมมองเชื่อมโยงสู่วิถีชีวิตของตนเองเพื่อสร้าง องคค์ วามรใู้ หมแ่ ละปรบั ใหก้ ับชวี ิต ทักษะอาชพี และทักษะชวี ิต การมที กั ษะอาชพี และทกั ษะชวี ติ มคี วามเชอื่ มโยงกนั โดยจะตอ้ งประกอบดว้ ย ความสามารถ และคณุ ลกั ษณะดงั นี้ ๑) ความคิดริเริ่มและการชี้นำ�ตนเอง (Initiative & Self Direction) เป็นการบริหารจัดการเป้าหมายและเวลา ประกอบด้วยการตั้งเป้าหมาย ท้ังที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม การปรับสมดุลของเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ (ระยะยาว) และเชิงยุทธวิธี (ระยะสั้น) การใช้เวลาและจัดการภาระงาน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทำ�งานได้ด้วยตนเองที่ต้องสามารถกำ�กับ กำ�หนด จัดลำ�ดับ และทำ�งานได้บรรลุผลโดยไม่มีการส่ังการ/ควบคุม โดยตรง การเป็นผู้เรียนรู้ และช้ีนำ�ตนเอง ประกอบด้วย การก้าวข้ามทักษะ หรือหลักสูตรพ้ืนฐานเพ่ือแสวงหาและเรียนรู้เพ่ิมเติมและโอกาสใน การพัฒนาความเชี่ยวชาญของตนเอง การแสดงออกให้เห็นถึงการเร่ิมต้น ที่จะพัฒนาทักษะให้มีระดับก้าวหน้าข้ึนจนถึงระดับวิชาชีพ การแสดงออก ให้เห็นถึงความสำ�คัญต่อการเรียนที่เป็นกระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิต การสะทอ้ นคดิ จากประสบการณใ์ นอดตี ไดอ้ ยา่ งมวี จิ ารณญาณเพอ่ื เปน็ ขอ้ มลู ในการสร้างความกา้ วหน้าในอนาคต ๒) ทักษะทางสังคมและการเรียนรู้ข้ามวัฒนธรรม (Social & Cross- Cultural Skills)เป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพ โดยประกอบด้วย การรู้กาลเทศะในการฟังและการพูด การประพฤติตนเป็น

42 แบบอยา่ งที่น่าเคารพ น่านับถือในวชิ าชพี การทำ�งานไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ ในกลุ่มท่ีมีความหลากหลาย การเคารพในความแตกต่างทางวัฒนธรรม และทำ�งานได้อย่างมีประสิทธิภาพกับคนอื่น ๆ ท่ีมีพ้ืนฐานทางสังคมและ วัฒนธรรมที่ต่างกัน การแสดงออกอย่างเปิดกว้างกับความคิดและค่านิยมท่ี แตกตา่ ง การใชค้ วามแตกต่างทางสงั คมและวัฒนธรรมเพ่ือสร้างแนวคดิ ใหม่ เพ่ือเพมิ่ นวตั กรรมและคณุ ภาพของงานให้ดีขึ้น ๓) การเพ่ิมประสิทธิผลและความรับผิดชอบในงาน (Productivity & Accountability) ประกอบด้วย การบริหารจัดการโครงการโดยประกอบด้วย การกำ�หนดเป้าหมายและพยายามให้บรรลุเป้าหมายแม้ว่าจะต้องเผชิญกับ อุปสรรคและภาวะกดดัน การจัดลำ�ดับความสำ�คัญก่อนหลัง วางแผนและ จัดการงานเพ่ือให้บรรลุผลที่ตั้งไว้ การสร้างผลลัพธ์ให้เกิดเป็นการแสดงออก ซึ่งคุณลักษณะที่เป็นผลเน่ืองมาจากการสร้างผลงานที่มีคุณภาพสูง ประกอบ ด้วยคุณลักษณะดังต่อไปนี้ การทำ�งานอย่างมีจริยธรรม การบริหารเวลา อย่างมีประสิทธิภาพ การทำ�งานได้หลากหลาย การร่วมทำ�งานกับผู้อ่ืนอย่าง กระตือรือร้น ตรงเวลา และน่าเชื่อถือ การนำ�เสนอตนเองอย่างมืออาชีพ และวางตัวได้เหมาะสม การร่วมมือร่วมใจในการทำ�งานร่วมกับทีมได้อย่างมี ประสิทธิภาพ การเคารพและให้เกียรติในความแตกต่างกันในทีม และความ รบั ผดิ ชอบในผลของการปฏิบตั ิงาน ความเจรญิ แห่งตน ความเจริญแห่งตน เป็นความงอกงามส่วนบุคคล การพัฒนาตน ความพยายามของบุคคลที่จะปรับปรุงเปล่ียนแปลงตนด้วยตนเองให้ดีข้ึน กว่าเดิม เหมาะสมกว่าเดิม ทำ�ให้สามารถดำ�เนินกิจกรรม แสดงพฤติกรรม เพื่อสนองความต้องการ แรงจูงใจ หรือเป้าหมายที่ตนตั้งไว้ เป็นการพัฒนา ศักยภาพของตนด้วยตนเองให้ดีข้ึน ทั้งร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม เพื่อให้ตนเป็นสมาชิกที่มีประสิทธิภาพของสังคม เป็นประโยชน์ต่อผู้อ่ืน

43 ตลอดจนเพ่อื การด�ำ รงชวี ิตอย่างสันตสิ ขุ ของตน บุคคลล้วนต้องการเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ หรืออย่างน้อยก็ต้องการมีชีวิต ท่ีเป็นสุขในสังคม ประสบความสำ�เร็จตามเป้าหมายและความต้องการของ ตนเอง พฒั นาตนเองไดท้ นั ต่อการเปล่ยี นแปลงทีเ่ กดิ ขนึ้ ในสังคมโลก แนวคิด พื้นฐานที่สำ�คัญในการพัฒนาตนมีดังนี้ ๑) มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่มี คุณค่าอยู่ในตัวเอง ทำ�ให้สามารถฝึกหัดและพัฒนาตนได้ในเกือบทุกเรื่อง ๒) ไม่มีบุคคลใดที่มีความสมบูรณ์พร้อมทุกด้าน จนไม่จำ�เป็นต้องพัฒนา ในเร่ืองใด ๆ อกี ๓) แมบ้ คุ คลจะเปน็ ผูท้ ่ีร้จู ักตนเองไดด้ ที ่ีสุด แตก่ ็ไมส่ ามารถ ปรับเปลี่ยนตนเองได้ ในบางเร่ืองยังต้องอาศัยความช่วยเหลือจากผู้อื่นใน การพัฒนาตน การควบคุมความคิด ความรู้สึก และการกระทำ�ของตนเอง มีความสำ�คัญเท่ากับการควบคุมสิ่งแวดล้อมภายนอก ๔) อุปสรรคสำ�คัญ ของการปรับปรุงและพัฒนาตนเอง คือ การที่บุคคลมีความคิดติดยึด ไม่ยอมปรับเปล่ียนวิธีคิด และการกระทำ� จึงไม่ยอมสร้างนิสัยใหม่ หรือ ฝึกทักษะใหม่ ๆ ท่ีจำ�เป็นต่อตนเอง ๕) การปรับปรุงและพัฒนาตนเอง สามารถด�ำ เนนิ การไดท้ กุ เวลาและอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง เมอ่ื พบปญั หาหรอื ขอ้ บกพรอ่ ง เกย่ี วกบั ตนเอง การพัฒนาตนเองเพ่ือสร้างความงอกงามและเพ่ิมความสมบูรณ์ในชีวิต ของบุคคลมีหลายแนวทางและหลายแนวคิด ซ่ึงสรุปหลักการท่ีสำ�คัญอยู่ใน ๓ แนวทางคือ ๑) การพฒั นาตนเองเชงิ การแพทย์ เนน้ ความส�ำ คญั ของการรกั ษาสภาวะ แวดล้อมภายในร่างกายให้สมดุล หรือมีการเปล่ียนแปลงอย่างเหมาะสม กบั การท�ำ หนา้ ทต่ี ่าง ๆ ของร่างกาย เพราะร่างกายประกอบด้วยระบบอวยั วะ ต่าง ๆ ที่ทำ�งานประสานกัน ถ้าทุกระบบทำ�งานตามปกติ จะเป็นสภาวะ การเจริญเติบโต และดำ�รงชีวิตตามปกติของบุคคล แต่ถ้าหากระบบใด ระบบหน่ึงไม่สามารถทำ�งานตามหน้าท่ีได้อย่างสมบูรณ์ ย่อมเป็นอุปสรรค

44 ต่อการดำ�รงชีวิต ต่อการเจริญเติบโตและการพัฒนา ทำ�ให้เกิดปัญหา ต่อบุคคลน้ัน ซ่ึงส่งผลให้เกิดปัญหาต่อการเรียนรู้ กระบวนการคิด อารมณ์ การท�ำ งาน และพฤติกรรมต่าง ๆ ได้ ๒) การพัฒนาตนเองเชิงจติ วิทยา ๓) การพัฒนาตนเชิงพุทธศาสตร์ เป็นการพัฒนาตนเป็นการเรียนรู้ และการปฏิบัติเพ่ือไปสู่ความพอดี หรือการมีดุลยภาพของชีวิต มีความ สมั พนั ธอ์ นั กลมกลนื ระหวา่ งการด�ำ เนนิ ชวี ติ ของบคุ คล กบั สภาพแวดลอ้ มและ มุ่งการกระทำ�ตนให้มีความสุขด้วยตนเอง รู้เท่าทันตนเอง เข้าใจตนเอง มากกว่าการพึง่ พาอาศัยวัตถุ จึงเปน็ แนวทางการพฒั นาชวี ิตทย่ี ง่ั ยนื หลักการ พฒั นาตนตามแนวพทุ ธศาสตร์ประกอบด้วยสาระสำ�คัญ ๓ ประการ คอื (๑) ทมะ คอื การฝึกนิสัยด้งั เดมิ ท่ียังไมไ่ ดข้ ัดเกลาให้เหมาะสม มขี ้นั ตอน ส�ำ คญั ไดแ้ ก่ ๑) การรจู้ กั ขม่ ใจ ขม่ ระงบั ความเคยชนิ ทไ่ี มด่ ที ง้ั หลายได้ ไมย่ อม ให้กิเลสรบเร้า หลอกลอ่ ชกั น�ำ ไปส่คู วามเลวรา้ ยได้ และ ๒) การฝึกปรบั ปรุง ตนเอง โดยท�ำ คณุ ความดใี ห้เจรญิ ก้าวหนา้ ต่อไป (๒) สิกขา คือการศึกษา เพื่อให้รู้แจ้ง รู้จักประโยชน์ มองทุกอย่าง เป็นการเรียนรู้เพื่อปรับปรุงและพัฒนาตัวเอง เป็นกระบวนการฝึกฝนตนเอง ในการด�ำ เนนิ ชวี ติ เรียกวา่ ไตรสิกขา (๓) ภาวนา เป็นการพัฒนาทางกายเพื่อให้เกิดการเจริญงอกงาม ในอินทรีย์ ๕ หรือ ทวาร ๕ ได้แก่ช่องทางการติดต่อสัมพันธ์กับส่ิงแวดล้อม ทางกายภาพ คือ ตา หู จมกู ล้นิ และผิวกาย การพฒั นากายเปน็ การส่งเสรมิ ใหค้ วามสมั พันธ์ทั้ง ๕ ทางเปน็ ไปอยา่ งปกติ ไม่เปน็ โทษ ไมม่ พี ิษภัยอนั ตราย เช่น รูจ้ กั สัมพนั ธท์ างตา เลือกรบั เอาสิง่ ดมี ีประโยชน์จากการเหน็ ทางตามาใช้ รูจ้ ักสัมพันธท์ างหู เลือกรบั ฟงั สิ่งดมี ีประโยชน์ ไมร่ ับฟังสิ่งเลวรา้ ยเขา้ มา พระเทพเวที (ป.อ.ปยุตโต, ๒๕๓๒) กล่าวถึงวิธีการท่ีจะพัฒนาตนไป สู่วิถีชีวิตท่ีดีงาม เรียกว่า “รุ่งอรุณแห่งการพัฒนาตน” ไว้ ๗ ประการ ดังน้ี

45 ๑) รู้จักเลือกหาแหล่งความรู้และแบบอย่างท่ีดี ได้แก่ การรู้จักใช้สติปัญญา ในการวเิ คราะห์ พิจารณาในการเลอื ก เริม่ จากการเลือกคบคนดี เลอื กตัวแบบ ทดี่ ี เลอื กบรโิ ภคส่ือและขา่ วสารขอ้ มูลทมี่ คี ณุ ค่า เรียกว่า ความมีกลั ยาณมติ ร (กลั ยาณมิตตา) ๒) รู้จักจดั ระเบียบชวี ิต มีการวางแผนและจัดการกิจการงาน ตา่ ง ๆ อยา่ งมรี ะบบระเบยี บ เรยี กวา่ ถงึ พรอ้ มดว้ ยศลี (ศลี สมั ปทา) ๓) ถงึ พรอ้ ม ด้วยแรงจูงใจให้สร้างสรรค์ มีความสนใจ มีความพึงพอใจ มีความต้องการ จะสร้างสรรค์กิจการงานใหม่ ๆ ที่เป็นความดีงามและมีประโยชน์ เรียกว่า ถงึ พรอ้ มดว้ ยฉนั ทะ (ฉนั ทสมั ปทา) ๔) มคี วามมงุ่ มนั่ พฒั นาตนใหเ้ ตม็ ศกั ยภาพ ผู้มีความเชื่อในตนว่าสามารถจะพัฒนาได้ จะมีความงอกงามถึงที่สุดแห่ง ความสามารถของตนเรยี กวา่ ท�ำ ใหต้ นใหถ้ งึ พรอ้ ม(อตั ตสมั ปทา)๕)ปรบั เจตคติ และค่านิยมให้เหมาะสมกับการดำ�เนินชีวิตที่ดีงาม เอ้ือต่อการเรียนรู้ ท�ำ ให้สตปิ ญั ญางอกงามข้นึ เรยี กวา่ กระทำ�ความเหน็ ความเขา้ ใจให้ถึงพร้อม (ทฏิ ฐสิ มั ปทา) ๖) การมสี ติ กระตอื รอื รน้ ตนื่ ตวั ทกุ เวลา หมายถงึ การมจี ติ ส�ำ นกึ แห่งความไม่ประมาท เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของชีวิตและสภาพแวดล้อม เห็นคุณค่าของเวลาและใช้เวลาอย่างคุ้มค่า เรียกว่า ถึงพร้อมด้วยความ ไมป่ ระมาท (อัปปมาทสมั ปทา) และ ๗) รูจ้ กั แก้ปญั หาและพ่ึงตนเอง จดั การ แก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ มีความคิดวิจารณญาณตามเหตุปัจจัยด้วยตนเอง เรยี กการคดิ แบบน้วี ่า โยนโิ สมนสิการ (โยนโิ สมนสกิ ารสัมปทา) ๖. สมรรถนะหลกั ดา้ นทกั ษะอาชพี และการเปน็ ผปู้ ระกอบการ (Career Skills and Entrepreneurship) ในส่วนน้ีจะเสนอข้อมูลท่ีเก่ียวกับสมรรถนะหลักด้านทักษะอาชีพและ การเปน็ ผปู้ ระกอบการ ดังน้ี สำ�นักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๖๐) ได้ประมวลข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะความเปล่ียนแปลงท่ีส่งผลต่อการพัฒนา การศึกษาในช่วง ๒๐ ปีไว้หลายส่วน สำ�หรับในส่วนการปรับเปลี่ยน

46 ประเทศไปสู่ประเทศไทย ๔.๐ ท่ีมีการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ จากประเทศท่ีมีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบด้าน “ความหลากหลายเชิง ชีวภาพ (Bio-Diversity)” และ “ความหลากหลายเชิงวัฒนธรรม (Cultural Diversity)” มาเปน็ ความไดเ้ ปรยี บในเชงิ แขง่ ขนั เพอ่ื เปลย่ี นโครงสรา้ งเศรษฐกจิ อตุ สาหกรรม “เพ่มิ มลู คา่ ” ไปสู่โครงสร้างเศรษฐกจิ อุตสาหกรรม “สรา้ งมูลคา่ ” ดว้ ย ๓ กลไกการขบั เคลอื่ นใหม่ (New Growth Engines) ประกอบดว้ ย ๑) กลไก การขับเคล่ือนผ่านการสร้างและยกระดับผลิตภาพ (Productive Growth Engine) ๒) กลไกการขับเคล่ือนที่คนส่วนใหญ่มีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียม และทว่ั ถึง (Inclusive Growth Engine) และ ๓) กลไกการขบั เคล่อื นทเ่ี ปน็ มติ ร กบั สิ่งแวดลอ้ มอยา่ งยั่งยืน (Green Growth Engine) ซ่ึงเป็นการค้นหากลไก การขับเคล่ือนใหม่ ๆ เพ่ือสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนให้กับประเทศไทย ในศตวรรษที่ ๒๑ โดยการปรับเปล่ียนโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศ ไปสเู่ ศรษฐกจิ ทข่ี บั เคลอื่ นดว้ ยนวตั กรรมและการสรา้ งมลู คา่ เพม่ิ (Value-based Economy) ท่มี ีลักษณะส�ำ คญั ๓ ประการคอื ๑) เปลย่ี นการผลติ สนิ ค้า “โภคภัณฑ”์ ไปสสู่ ินคา้ เชิงนวตั กรรม ๒) เปลย่ี นจากการขบั เคลอ่ื นประเทศดว้ ยภาคอตุ สาหกรรมไปสกู่ ารขบั เคลอ่ื น ดว้ ยเทคโนโลยคี วามคิดสร้างสรรคแ์ ละนวัตกรรม ๓) เปลยี่ นจากเนน้ ภาคการผลติ สนิ คา้ ไปสกู่ ารเนน้ ภาคการบรกิ ารมากขน้ึ โดยก�ำ หนดรปู แบบและองคป์ ระกอบการเปลยี่ นผา่ นดงั นี้ (๑)เปลยี่ นจากการเกษตร แบบดงั้ เดมิ ไปสกู่ ารเกษตรสมยั ใหมท่ เ่ี นน้ การบรหิ ารจดั การและเทคโนโลยเี ปน็ เกษตรกรแบบผปู้ ระกอบการ (๒) เปลย่ี นจากธรุ กจิ ขนาดยอ่ มแบบเดมิ (SMEs) ไปสกู่ ารเปน็ ธรุ กจิ ทใี่ ชเ้ ทคโนโลยดี จิ ทิ ลั (Smart Enterprise) และผปู้ ระกอบการ เทคโนโลยีรายใหม่ (Startup) ท่ีมีศักยภาพสูง (๓) เปล่ียนจากธุรกิจบริการ แบบเดิมท่ีมีการสร้างมูลค่าท่ีค่อนข้างต่ําไปสู่ธุรกิจบริการท่ีมีมูลค่าสูง (๔) เปล่ียนจากแรงงานทักษะตา่ํ ไปสูแ่ รงงานทมี่ ีความรคู้ วามเชีย่ วชาญและทักษะสงู

47 ทักษะการท�ำ งาน ทกั ษะการท�ำ งาน เป็นความสามารถในการทำ�งานให้ประสบความส�ำ เรจ็ ซงึ่ สามารถพฒั นาได้ และทกั ษะการท�ำ งานอยา่ งหนงึ่ สามารถน�ำ ไปประยกุ ตใ์ ช้ กบั งานอนื่ ได้ทกั ษะการท�ำ งานประกอบดว้ ยทกั ษะ๔ประเภท๑)ทกั ษะพน้ื ฐาน (Basic Skills) ไดแ้ ก่ ความสามารถในการ ฟัง พดู อ่าน เขียน ซ่ึงมคี วามจำ�เปน็ ในการท�ำ งาน ๒) ทักษะความสมั พันธก์ บั คน (People Skills) หรือ soft skills ไดแ้ ก่ ทักษะการเจรจา การจูงใจ และการประสานสมั พันธ์กับผู้ทำ�งานรว่ มกนั การช่วยเหลอื ผู้อนื่ ใหท้ �ำ งานได้ดี ๓) ทักษะการจดั การ (Management Skills) ไดแ้ ก่การจดั การดา้ นเวลาการเงนิ และการจดั ระบบการท�ำ งาน และ ๔) ทกั ษะ ทางเทคนิค (Technical Skills) ได้แก่ การปฏิบัติงานเชิงเทคนิคต่าง ๆ  การดูแลรักษาคอมพิวเตอร์ การช่วยคนอ่ืนในการใช้เคร่ืองมือ (Minnesota State Colleges and Universities, 2018) ในอนาคตท่เี มือ่ เทคโนโลยพี ฒั นาไปมากขน้ึ อาชพี หลาย ๆ อาชีพท่มี อี ยู่ ในปัจจุบันอาจจะค่อย ๆ หดหายไป อาชีพใหม่ ๆ ท่ีเราไม่เคยคิดฝันมา ก่อนจะเกิดขึน้ มาใหม่ ๆ ซงึ่ ก็นำ�ไปสู่การมที กั ษะทส่ี ำ�คญั และจ�ำ เปน็ ส�ำ หรบั การทำ�งานในอนาคต ดงั น้ี (พสุ เดชะรินทร์, ๒๕๕๙ ) ๑) ทกั ษะในการตดิ ตามและมองเหน็ ถงึ แนวโนม้ การเปลย่ี นแปลงทส่ี �ำ คญั เนอื่ งจากปจั จบุ นั การเปลย่ี นแปลงรอบ ๆ ตวั เราเปน็ ไปอยา่ งรวดเรว็ และรนุ แรง ข้ึนทุกขณะ แต่ถ้าเรายังคงใช้ชีวิตอยู่ภายใต้สมมติฐาน ความรู้ กรอบวิธีคิด แบบเดิม ในไม่ช้าเราก็จะกลายเป็นบุคคลท่ีล้าสมัย ดังน้ัน ต้องหาวิถีทาง ตามทต่ี นเองถนดั ในการตดิ ตามการเปลย่ี นแปลงของแนวโนม้ ตา่ ง ๆ ทส่ี �ำ คญั ไม่ว่าจะผ่านการอ่านหนังสือ การเข้าอบรม การติดตามจากผู้รู้ ฯลฯ อีกท้ัง ต้องสามารถกล่ันกรองแนวโน้มการเปล่ียนแปลงเหล่าน้ันว่าเก่ียวข้องและ ส่งผลกระทบตอ่ ตนเองและการประกอบอาชีพของตนเองอยา่ งไร

48 ๒) ทกั ษะการเรยี นรแู้ ละอยรู่ ว่ มกบั เทคโนโลยใี หม่ ๆ เนอ่ื งจากเทคโนโลยี ใหม่ ๆ จะเข้ามามีบทบาทสำ�คัญต่อชีวิตของเรามากข้ึน ดังนั้นแทนท่ีเรา จะไปต่อต้านต่อเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่จะเข้ามา เราจะต้องรู้จักที่จะเรียนรู้ ใชช้ วี ิต และท�ำ งานร่วมกับเทคโนโลยีมากขนึ้ และทส่ี �ำ คญั คอื จะต้องสามารถ ผนวกความรู้ ทักษะท่ีเรามีความชำ�นาญอยู่ในเร่ืองงาน ให้เข้ากับเทคโนโลยี ใหม่ ๆ ใหไ้ ด้ ๓) ความคิดสร้างสรรค์ ๔) ทักษะการสร้างแบรนด์ส่วนบุคคล หรือ Personal Brand ปัจจุบัน องคก์ รตา่ ง ๆ ใหค้ วามส�ำ คญั กบั เรอื่ งของการสรา้ งแบรนดอ์ งคก์ รและแบรนด์ ผลิตภัณฑ์ แต่ในอนาคตก็จะก้าวไปสู่แบรนด์ส่วนบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แบรนดส์ ว่ นบคุ คลที่ปรากฎในโลกออนไลน์ตา่ ง ๆ ๕) ความฉลาดทางอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเข้าใจต่อผู้อื่น (Empathy) การสร้างความสัมพันธ์ท่ีดีกับบุคคลรอบด้าน ความมีน้ําใจ ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่หุ่นยนต์หรือคอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำ�ได้ ดังนั้นผู้ท่ีมี ความฉลาดทางอารมณ์สูงก็จะทำ�ให้ตนเองมีค่าและแตกต่างจากหุ่นยนต์ มากขน้ึ การเป็นผ้ปู ระกอบการ การเป็นผู้ประกอบการเป็นเร่ืองเก่ียวกับผู้ประกอบการที่สร้างองค์กร หรือสร้างนวัตกรรมที่เติบโตและสร้างคุณค่า ทั้งเพื่อวัตถุประสงค์ในการค้า การท�ำ กำ�ไร และเพื่อวัตถุประสงคอ์ นื่ การเปน็ ผูป้ ระกอบการนน้ั ไม่จ�ำ เป็นตอ้ ง สรา้ งองคก์ รใหม่ก็ได้ กลา่ วคอื ไมไ่ ด้หมายถงึ แค่เพยี งผูป้ ระกอบการแต่ละคน แต่หมายถึงโอกาสในการเป็นผู้ประกอบการ และความสัมพันธ์ระหว่าง ผู้ประกอบการแต่ละคนและโอกาสในการเป็นผู้ประกอบการด้วย (Shane, 2007) การเป็นผูป้ ระกอบการเปน็ กระบวนการเฉพาะบคุ คล - ท้งั ในตัวตนของ แต่ละคนและในแต่ละองค์กรเพ่ือแสวงหาโอกาสโดยไม่คำ�นึงถึงทรัพยากร

49 กำ�ลังควบคุมอยู่ (Stevenson and Jarillo, 1990) การเป็นผู้ประกอบการ เปน็ การมองเหน็ โอกาสของแตล่ ะบคุ คลการพฒั นาธรุ กจิ การเปน็ เจา้ นายตนเอง การสรา้ งกจิ การและการเตบิ โต เชน่ การเปน็ ผปู้ ระกอบการ (an entrepreneur) (Fayolle and Gailly, 2008, QAA, 2012, Mahieu, 2006) การเป็น ผู้ประกอบการเป็นการพัฒนาตนเอง การมีความคิดสร้างสรรค์ การพ่ึงพา ตนเอง การรเิ รมิ่ การด�ำ เนนิ การ การวางแนวทางการท�ำ งาน เชน่ การมคี ณุ สมบตั ิ เป็นผู้ประกอบการ (entrepreneurial) ซึ่งคำ�จำ�กัดความดังกล่าวจะส่งผลต่อ จุดมุ่งหมายทางการศกึ ษา กล่มุ ผ้เู รยี น การออกแบบเนอื้ หาสาระ วิธกี ารสอน รวมท้ังแนวทางการวัดและประเมินผลซ่ึงมีอย่างหลากหลาย (Mwasalwiba, 2010) การศึกษาเกี่ยวกับการประกอบการ (Entrepreneurship Education) จำ�แนกเป็น ๓ แนว คือ (Mwasalwiba, 2010, Kyrö, 2005) ๑) การสอนเก่ียวกับการเป็นผู้ประกอบการ (Teaching “about” entrepreneurship) เป็นการสอนท่ีเน้นเน้ือหาและวิธีการทางทฤษฎีท่ีมุ่งให้ ความเข้าใจท่ัวไปเก่ียวกับปรากฏการณ์ ซึ่งเป็นการสอนที่พบมากที่สุดใน สถาบันอุดมศึกษา ๒) การสอนเพอ่ื ใหเ้ ปน็ ผปู้ ระกอบการ (Teaching“for”entrepreneurship) เปน็ การสอนทเี่ นน้ แนวทางเชงิ วชิ าชพี มเี ปา้ หมายเพอ่ื ใหผ้ ปู้ ระกอบการรนุ่ ใหม่ มีความร้แู ละทักษะทีจ่ �ำ เป็น ๓) การสอนผ่านการเป็นผู้ประกอบการ (Teaching “through” entrepreneurship) เป็นการสอนผ่านกระบวนการและประสบการณ์ ที่ผู้เรียนจะตอ้ งผ่านกระบวนการเรียนรทู้ ่แี ท้จรงิ ของผู้ประกอบการ ผปู้ ระกอบการ ผู้ประกอบการเป็นบุคคลผู้ที่จะพัฒนาธุรกิจ ซึ่งมีคุณลักษณะดังน้ี มีแรงจูงใจ (Motivation) มีความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ความเช่ียวชาญ

50 (Versatility) ทักษะทางธุรกิจ (Business skills) แรงขับ (Drive) มีวิสัยทัศน์ (Vision) มีความยืดหยุ่น (Flexibility) และความเด็ดขาดในการตัดสินใจ (Decisiveness)โดยการเปน็ ผปู้ ระกอบการมที กั ษะ ๙ ดา้ น ดงั นี้ ๑)ความสามารถ ในการจดั การเงิน รวมถึงการวางแผนงบประมาณการเงนิ ๒) ความสามารถ ในการผลิต ๓) ความสามารถในการสร้างแบรนด์ตัวเองท่ีแข็งแกร่งและต้อง มีความโดดเด่นท่ามกลางคู่แข่ง ๔) ความสามารถในการตระหนักถึงจุดแข็ง และจดุ ออ่ นของธรุ กจิ การเรม่ิ ตน้ ดว้ ยการวเิ คราะห์ SWOT ระบจุ ดุ แขง็ จดุ ออ่ น จะทำ�ให้ธุรกิจไปได้อย่างราบร่ืนมากข้ึน ๕) ความสามารถในการจ้างบุคคล ที่ประสิทธิภาพ ส่ิงหนึ่งในทักษะที่สำ�คัญที่สุดของการเป็นผู้ประกอบการคือ การที่มีคนท่ีมีความสามารถในทีมจะทำ�ให้สร้างวัฒนธรรมท่ีทำ�ให้พนักงาน มีส่วนร่วมได้ ๖) ความสามารถในการขายทั้งขายผลิตภัณฑ์หรือบริการ แก่ลูกค้า ขายแนวคิด ขายความคิดให้แก่พนักงานเพื่อดึงดูดผู้ท่ีมีศักยภาพ มากที่สุดมาร่วมงานด้วย ทักษะในการขายท่ีสำ�คัญที่สุดคือการเรียนรู้วิธี แก้ปัญหาไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ ๗)ความสามารถในการใช้การตลาดขั้นพ้ืนฐาน การตลาดแบบดิจิทัล การทำ� SEO การตลาดโดยใช้โทรศัพท์ และการจ่าย คา่ โฆษณา ๘) ความสามารถในการจัดการกบั ความลม้ เหลว ในช่วงแรกของ การเป็นผู้ประกอบการจำ�เป็นต้องรับมือกับความล้มเหลว บุคคลท่ีประสบ ความส�ำ เรจ็ ลว้ นมปี ระสบการณล์ ม้ เหลวหลายครง้ั กอ่ นทจ่ี ะท�ำ สงิ่ ทย่ี ง่ิ ใหญ่ และ ๙) ความปรารถนาและความสามารถในการพฒั นาโลก สมรรถนะของผปู้ ระกอบการ สมรรถนะของผปู้ ระกอบการหมายถงึ ความรู้ทกั ษะและทศั นคติทส่ี ง่ ผลตอ่ ความเต็มใจและความสามารถในการดำ�เนินงานด้านการเป็นผู้ประกอบการ ในการสร้างมูลค่าใหม่ ๆ ซ่ึงคำ�นิยามนี้สอดคล้องกับการศึกษาเอกสารและ งานวิจัยท่ีเกี่ยวกับสมรรถนะโดยทั่วไปรวมท้ังสมรรถนะของผู้ประกอบการ (Sánchez, 2011, Burgoyne, 1989, Kraiger et al., 1993, Fisher et al., 2008)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook