13.วาลว์ปรับระดบั น้ำ� 16.ฟองนำ้� สำ� หรบั 14.คลิปล็อกสำ� หรบั ล็อกแผ่นพลาสติกและมุ้งกนั 17. บกิ๊ เกอรส์ ำ� หรับตวงสารละลายธาตุอาหาร 15.ถาดเพาะเมล็ด 18.ถังผสมปุ๋ย 46
ขั้นตอนการเพาะเมล็ดและ การปลกู 19. ถังเกบ็ สารละลายธาตอุ าหารที่ใช้แล้ว (สามารถน�ำมาใช้ได้ใหม)่ 20.แปรงขัดแผ่นปลูก 1.นำ� ฟองนำ�้ สำ� หรบั เพาะเมลด็ บรรจใุ นถาดเพาะรดนำ�้ ให้ชุ่มโดยใชม้ อื กดรีดฟองอากาศ 21.EC วัดค่าการน�ำไฟฟา้ 47
2.ใช้ไม้ปลายแหลมจุ่มน�้ำแล้วน�ำไปแตะบนเมล็ดให้เมล็ดติดปลายไม้ประมาณ3-4เมล็ดใส่ใน ฟองน�้ำให้ลึก ประมาณ3-4มลิ ลเิ มตร 3.นำ� ถาดทเี่ พาะเมลด็ นำ� ไปไวใ้ นทรี่ ม่ นำ� ผา้ ทบึ แสงมาคลมุ ไว(้ หรอื ใชถ้ งุ ดำ� คลมุ )รดนำ�้ ใหช้ มุ่ ทงั้ เชา้ และเยน็ เปน็ ระยะ เวลา3วันเมลด็ ก็จะงอก 4.น�ำผ้าคลุมถาดออกและน�ำต้นกล้าท่ีงอกแล้วไปอนุบาลในโรงเรือนให้โดนแสงร�ำไร รดน�้ำเช้า-เย็นอีก4วันจะได้ ต้นกล้าพรอ้ มลงปลูก(โดยสงั เกตใุ ห้มรี ากงอกประมาณ1-1.5cm.) 48
5.น�ำต้นกล้าที่เตรียมไว้(อายุประมาณ7วันหลังจากหยอดเมล็ด)โดยเลือกต้นกล้าท่ีแข็งแรงย้ายลงแผ่นปลูกโดย การสอดต้นกลา้ เขา้ ทางดา้ นหลงั ของแผ่นปลกู น�ำไปวางในแปลงปลกู และคลป๊ิ มงุ้ ปอ้ งกนั แมลงใหเ้ รยี บร้อยงอก ประมาณ1-1.5cm.) 6.หลงั ปลกู 1วนั ใหเ้ ตมิ สารละลายธาตอุ าหารสนี ำ้� ตาลกอ่ น1ลติ รในครงั้ แรกหลงั จากนน้ั 2-3ชวั่ โมงใหเ้ ตมิ สารละลาย สีเขียวในปริมาณท่ีเท่ากันคือ1ลิตรหลังจากน้ันปล่อยให้ปั้มท�ำงาน(ดูดน�้ำและสารละลายธาตุอาหารให้ผสมกัน ประมาณ2-3ชวั่ โมงใหน้ ำ�้ เดนิ ทวั่ ระบบ)จากนนั้ วดั คา่ ECและคำ� นวณหา ปรมิ าณทจ่ี ะตอ้ งเตมิ สารละลายธาตอุ าหาร ของพชื แต่ละชนดิ (เป็นการเติมสารละลายธาตอุ าหารครั้งที่2*ในการเตมิ สารละลายธาตุอาหารทงั้ สนี ำ�้ ตาลและสี เขียวต้องเตมิ ในปริมาณทเ่ี ทา่ กนั *) 49
7.หลงั จากยา้ ยตน้ กลา้ ลงแปลงปลกู แลว้ ประมาณ7วนั ใหต้ รวจเชค็ ความเขม้ ขน้ ของสารละลายธาตอุ าหาร(คา่ EC) เติมสารละลายธาตุอาหารตามปริมาณท่ีพืชต้องการ(โดยการค�ำนวณหาค่าปริมาณสารละลายธาตุอาหารท่ีพืช ต้องการก่อนเตมิ ธาตอุ าหารเปน็ ครงั้ ที่3) 8.หลงั จากปลกู แลว้ ได1้ 0วนั ควรปรบั วาลวร์ ะดบั นำ้� ลดลงเพอ่ื ใหร้ ากพชื ไดร้ บั ออกซเิ จนทำ� ใหผ้ กั เจรญิ เตบิ โตไวขน้ึ 9.หลงั จากนน้ั ประมาณ5วนั จงึ เตมิ สารละลายธาตอุ าหารเปน็ ครง้ั ท4ี่ (วดั คา่ ECและคำ� นวณหาปรมิ าณสารละลาย ธาตอุ าหารท่เี หมาะสมกับพืชในการเติมแต่ละครงั้ ) 10.กอ่ นเกบ็ เกย่ี วผลผลติ ประมาณ3-4วนั ใหเ้ ตมิ นำ้� เปลา่ เพอื่ ลดความเขม้ ขน้ ของสารละลายธาตอุ าหารทอ่ี าจตกคา้ ง ในต้นพืช (อายกุ ารเกบ็ เกี่ยวขน้ึ อยกู่ ับชนิดของพชื ) 50
คา่ ECท่พี ชื ตอ้ งการ ชนดิ ของพชื อาทติ ยท์ 1่ี อาทติ ย์ที2่ อาทิตยท์ 3่ี อาทิตย์ท4ี่ คะน้า 3.5 3.5 4.0 4.5 ไดโตเกยี ว 3.0 3.5 3.5 3.5 กวางตงุ้ ฮอ่ งเต้ 3.0 3.5 3.5 3.5 กวางต้งุ 3.0 3.0 3.0 3.0 ผักบงุ้ 2.9 2.9 2.9 2.9 ผักโขม 2.0-2.5 2.5 2.5 2.5 สลัด 1.8-2.0 2.0 2.0 2.0 อายุการเก็บเก่ียวของพืชแต่ละชนิด(อายุเก็บเกี่ยวโดย ประมาณนบั จากลงแปลงปลูก) คะนา้ 25-30วัน ผกั กาดขาวไดโตเกยี ว 22-25 วัน ผักกวางตุ้ง 22-25 วนั ผกั กวางต้งุ ฮ่องเต ้ 22-25 วัน ผักโขมขาว,โขมแดง 17-18 วัน ผักบ้งุ จนี 14-15 วนั สลดั ( กรนี โอ๊ค,บตั เตอร์เฮด,กรีนคอส) 28-30 วนั 51
ธาตุอาหารพืชไร้ดนิ ชนิดเข้มขน้ (1:200) 1! 8 ธาตอุ าหารพชื ไรด้ ิน ชนิดเขม้ ข้น (1:200) ธาตุ ชนิด 1ลติ ร ปริมาณแมป่ ยุ๋ อาหารพชื แมป่ ุย๋ 3ลติ ร 5ลติ ร 10ลติ ร 20ลติ ร โปแตสเซยี มไน 160 กรมั 480 กรัม 800 กรัม 1.6 3.2 เตรทKNO3 กิโลกรมั กโิ ลกรัม โมโนแอมโมเนยี 30 กรัม 90 กรัม 150 กรมั 300 กรมั 600 มฟอสเฟNH4H2PO4 กรมั โมโนโปแตสเซียม 20 กรัม 60 กรัม 100 กรมั 200กรมั 400 ฟอสเฟตKH2PO4 กรัม สเี ขยี ว แมกนีเซยี ม 100กรัม 300กรัม 500กรมั 1 2 ซัลเฟตMgSO4.7H2O (49 กรัม) (147 กรมั ) (245 กรมั ) กิโลกรัม กิโลกรัม ( .MgSO4) (490 (980 กรมั ) กรัม) ธาตอุ าหารเสริม 3 กรมั 9 กรมั 15 กรมั 30 กรมั 60 กรมั รวม(นคิ -สเปย)์ ธาตุแมงกานีส Mn- 1.6 กรัม 4.8 กรมั 8 กรัม 16 กรมั 32 กรมั EDTA แคลเซียมไน 200 กรัม 600 กรมั 1 กิโลกรัม 2 4 เตรทCa(NO3)2.4H2O กิโลกรมั กิโลกรมั สี ธาตเุ หล็ก Fe-DTPA 11 กรมั 33 กรัม 55 กรัม 110 กรัม 220 นำ้ ตาล 7 % กรัม ธาตุเหลก็ Fe- 1.25 กรมั 3.75 กรมั 6.25 กรมั 12.5 25 กรัม EDDHA กรมั ตวั อย่างการคำนวณหาปรมิ าณในการเติมสารละลายธาตอุ าหาร ตัวอยา่ งและขั้นตอน การคำนวณหาค่าการเตมิ สารละลายธาตุอาหารของผกั บงุ้ 1.เติมนำ้ ให้เต็มแปลงปลูก 2.เตมิ นำ้ ในถังพกั สารละลายธาตุอาหารใหไ้ ดป้ ริมาณ3ใน4สว่ นของถัง 3.เสียบปลก๊ั ใหป้ ั้มทำงาน 4.เติมสารละลายธาตุอาหารสีน้ำตาล1ลิตรท้งิ ระยะห่างประมาณ2-3ชวั่ โมงแล้วเติมสารละลายธาตุ อาหารสเี ขยี วอกี 1ลติ ร 52 5.ให้ปั้มทำงานโดยการดดู นำ้ +สารละลายธาตอุ าหารสนี ้ำตาล+สเี ขียวให้ผสมกันเดินทวั่ ทั้งระบบ ประมาณ2-3ชวั่ โมง
ตัวอยา่ งการคำ� นวณหาปรมิ าณในการเตมิ สารละลายธาตอุ าหาร ตวั อยา่ งและขนั้ ตอน การคำ� นวณหาค่าการเตมิ สารละลายธาตุอาหารของผกั บงุ้ 1.เตมิ น�้ำใหเ้ ต็มแปลงปลกู 2.เตมิ น�ำ้ ในถงั พักสารละลายธาตอุ าหารใหไ้ ดป้ ริมาณ3ใน4ส่วนของถัง 3.เสียบปล๊ักให้ปัม้ ทำ� งาน 4.เตมิ สารละลายธาตอุ าหารสนี ำ�้ ตาล1ลติ รทง้ิ ระยะหา่ งประมาณ2-3ชวั่ โมงแลว้ เตมิ สารละลายธาตอุ าหาร สเี ขยี วอกี 1ลติ ร 5.ให้ปั้มท�ำงานโดยการดูด น�้ำ+สารละลายธาตุอาหารสีน�้ำตาล+สีเขียวให้ผสมกันเดินท่ัวท้ังระบบ ประมาณ2-3ชั่วโมง 6.วดั ค่าECในถังพักสารละลายธาตุอาหาร 7.ผกั บุ้งตอ้ งการค่าECคอื 2.9(โดยดจู ากตารางคา่ ECท่ีพชื ต้องการ) 8.จากขอ้ 6.สมมตุ ิวดั ค่า EC ได้ 0.94 ในการเติมสารละลายธาตอุ าหารในคร้ังแรก 9.แตผ่ ักบงุ้ ต้องการคา่ ECคือ 2.9 เพราะฉะนั้น ผักบงุ้ ต้องการคา่ ECคอื 2.9-0.94 = 1.96 ฉะน้นั คา่ ECท่ผี ักบุ้งตอ้ งการยังขาดอยู่ คอื 1.96 หลักค�ำนวณคอื ECท่วี ดั ได้ 0.94 ในการเตมิ สารละลายธาตอุ าหาร 1 ลิตร ECทีข่ าด คือ 01 .. 9964xX11 = 2.085 เพราะฉะนัน้ ต้องเตมิ สารละลายธาตอุ าหารอีก 2.085 ลิตร(ท้ังสีน้ำ� ตาลและสเี ขียวในการเตมิ ครง้ั ที2่ ) 10.ทิ้งระยะเวลาผา่ นไปอกี 7วันท�ำการวัดคา่ ความเข้มขน้ ของสารละลายธาตุอาหาร(ค่าEC)อีกคร้งั 11.สมสตุ ิวดั ค่าECได้ 1.69 การคำ� นวณคือ ผนกัำ� คบ่าุ้งEตC้อตงกัวทาร่วี คดั ่าคEรC้ังแ2ร.ก9นว�ำัดมคาา่ หEาCรคหรางั้ คทา่ ่2ี ใไนดก้ า1ร.6เต9มิ ฉสนาั้นรล2ะ.ล9า-1ย.ธ6า9ต=ุอ1า.ห21ารได ้ 10 .. 92 14 =1.287 เพราะฉะนน้ั ต้องเตมิ สารละลายธาตุอาหารอีกอย่างละ1.287 ลิตรเปน็ คร้งั ที3่ (สารสีนำ�้ ตาลและสีเขียว) 11.คำ� นวณหาคา่ ECครงั้ ตอ่ ไปทำ� แบบตัวอย่างขา้ งตน้ ท่ีกลา่ วมาแลว้ หมายเหตุ ควรจดไว้เสมอวา่ ค่า EC คร้ังแรกไดค้ า่ เทา่ ไร เพราะว่าจะน�ำไปเป็นตัวหารในการค�ำนวณหาค่า ในการเติมสารอาหารครัง้ ตอ่ ไปว่าจะต้องเตมิ ก่ลี ิตร ตัวอยา่ งและขน้ั ตอน การค�ำนวณหาคา่ การเติมสารละลายธาตอุ าหารของผกั คะนา้ 1.เตมิ น�้ำใหเ้ ต็มแปลงปลกู 2.เติมน�ำ้ ในถังพักสารละลายธาตอุ าหารใหไ้ ด้ปรมิ าณ3ใน4ส่วนของถงั 53
3.เสยี บปลัก๊ ใหป้ ้มั ทำ� งาน 4.เตมิ สารละลายธาตอุ าหารสนี ำ้� ตาล1ลติ รทงิ้ ระยะหา่ งประมาณ2-3ชวั่ โมงแลว้ เตมิ สารละลายธาตอุ าหาร สีเขยี วอกี 1ลติ ร 5.ให้ปั้มท�ำงานโดยการดูด น้�ำ+สารละลายธาตุอาหารสีน้�ำตาล+สีเขียวให้ผสมกันเดินทั่วทั้งระบบ ประมาณ2-3ช่วั โมง 6.วัดคา่ ECในถังพกั สารละลายธาตอุ าหาร 7.ผักคะน้าตอ้ งการคา่ EC อาทิตย์แรก 3.5 8.จากขอ้ 6สมมุติวดั คา่ ECได้1.16 ในการเติมสารละลายธาตุอาหารในคร้งั แรก 9.แตผ่ ักคะนา้ ตอ้ งการค่าECอาทิตยแ์ รกคือ 3.5 เพราะฉะนัน้ ผกั คะน้าต้องการค่า ECคอื 3.5-1.16 = 2.34 ฉะนัน้ ค่าECทผ่ี ักคะนา้ ตอ้ งการยงั ขาดอยู่ คือ 2.34 หลกั ค�ำนวณ คือ ECทีว่ ดั ได้ 1.16 ในการเติมสารละลายธาตอุ าหาร 1 ลติ ร ECทข่ี าด คือ 21 .. 13 46xX11 = 2.017 เพราะฉะนัน้ ตอ้ งเติมสารละลายธาตุอาหารอกี 2.017 ลิตร(ท้ังสีนำ้� ตาลและสเี ขยี วในการเตมิ ครัง้ ท2่ี ) 10.ทง้ิ ระยะเวลาผ่านไปอกี 7วันท�ำการวดั คา่ ความเข้มข้นของสารละลายธาตอุ าหาร (คา่ EC) อีกครง้ั 11. ทำ� การค�ำนวณเหมอื นการปลูกผักบุ้ง 12.ทงิ้ ระยะเวลาผา่ นไปอีก7วนั ท�ำการวดั คา่ ความเขม้ ขน้ ของสารละลายธาตุอาหาร (ค่าEC) คร้ังนีเ้ ปน็ อาทิตย์ท3่ี สมมตุ วิ ัดค่าEC ได1้ .85 13. อาทิตย์ท3่ี คะนา้ ต้องการค่าEC คือ 4 ฉะนนั้ ECท่ขี าดคือ 4-1.85 = 2.15 นำ� คา่ ECทว่ี ัดได้ในครงั้ แรกน�ำมาหารหาค่าการเติมสารละลายธาตอุ าหาร คจะ่าEไดC้ ท ีว่ ดั ไ12ดใ้ ..น11ค65ร้ังแร=กค1อื .81.1563 เพราะฉะนน้ั จะต้องเติมสารละลายธาตอุ าหารคือ 1.853 ลติ ร 14. ทง้ิ ระยะเวลาผา่ นไปอกี 7วนั ทำ� การวดั คา่ ความเขม้ ขน้ ของสารละลายธาตอุ าหาร(คา่ EC) อาทติ ยท์ ี่ 4 (ค่าECคือ4.5)ท�ำการคำ� นวณเหมอื น กับอาทติ ยท์ ี่3 54
การผสมอาหารสัตว์ ใช้เองในฟารม์ เกษตรกรรายยอ่ ย มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลอีสาน
การผสม การพ่ึงตนเองในการผลิต อาหารสัตว์ อาหารส�ำหรับโคเนื้อ ไว้ใช้ เอง ใช้เองในฟาร์ม เกษตรกร ด้วยสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมใน รายยอ่ ย ปัจจุบัน เกษตรกรผู้เลี้ยงโคเน้ือ-โคนมต่างไม่สามารถ ปฏเิ สธการเขา้ สกู่ ารแขง่ ขนั ในเรอื่ งตา่ งๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลอีสาน การผลิตและการค้าผลิตภัณฑ์เน้ือ-นมได้ การแข่งขัน ดังกล่าวเกิดขึ้นท้ังจากปัจจัยภายในและภายนอก โดย ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ไกรสทิ ธิ วสเุ พ็ญ ประเทศ ซ่ึงล้วนแล้วแต่ยากต่อการท�ำนาย และผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร.เฉลิมพล เยื้องกลาง สภาวการณ์และควบคุมเหตุการณ์ให้เป็นไปตาม สงั กัดคณะวิทยาศาสตรแ์ ละศิลปศาสตร์ ท่ีพึงปรารถนา ด้วยเหตุน้ี ความสามารถในการ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลอสี าน นครราชสมี า ปรับตัวของเกษตรกรเพื่อรองรับต่อสภาวการณ์ ดังกล่าว ตลอดจนการบริหารจัดการปัจจัยการ ผลิตเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดข้ึนภายในระบบการ ผลิตให้ลดลงหรือหมดไปจึงเป็นส่ิงจ�ำเป็น ประเด็น ปัญหาท่ีส�ำคัญของเกษตรกรผู้ผลิตโคเน้ือ-โคนม ของประเทศไทยเผชิญอยู่จึงอยู่ท่ีความสามารถใน “การท�ำให้ต้นทุนการผลิตต�่ำลง” และ “การเพิ่ม คุณภาพของผลิตให้ดีสม�่ำเสมอและตลอดเวลา” ในการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตน้ัน เกษตรกรแต่ ละราย (ไมว่ า่ จะเปน็ เลก็ กลาง หรอื ใหญ่ กต็ าม) จำ� เปน็ ต้อง “สร้างความสมดลุ ในการบริหารจัดการตวั สัตว์ (พันธกุ รรม) อาหาร และการจดั การฟาร์ม” ให้เกดิ ขึ้นในระบบ ซ่ึงรายละเอียดของการสร้างความสมดุล ดังกล่าวไม่จ�ำเป็นต้องเหมือนกันไปในเกษตรกรแต่ ละรายเนอ่ื งจากความแตกตา่ งกนั ของทรพั ยากร ความรู้ และโอกาสในเรื่องต่างๆ ทเ่ี กษตรกร มี สมดุลดังกล่าว จะเป็นเคร่ืองมือที่ช่วยให้เกษตรกรแต่ละรายสามารถ 56
ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรท่ีตนเองมีอยู่ (เช่น โคเน้ือ รองรับความต้องการอาหารของแม่โคนมในการผลิต พน้ื ที่ แรงงาน วตั ถดุ บิ เทคโนโลยี เครอื่ งมอื และความรู้ นำ้� นม โดยมกี ารพฒั นาการผลติ อาหารผสมครบสว่ นมา ท่ีมี เป็นต้น) ได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือคุ้มค่าต่อ เป็นล�ำดับควบคู่กับการทดลองวิจัย จนได้วิธีการ ต้นทุนที่จ่ายไป เมื่อเป็นเช่นน้ีเกษตรกรแต่ละราย ผลิตอาหารผสมครบส่วนหมักในถุงพลาสติกหรือ จะสามารถควบคุมการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถังพลาสติก การหมักสามารถยืดอายุการเก็บรักษา ผลก�ำไรและอ�ำนาจในการแข่งขันของเกษตรกรก็มี คุณค่าทางโภชนะของอาหารผสมครบส่วนได้ดี โอกาสมากขน้ึ (ศกร, 2549) ทมี งานวจิ ยั ไดท้ ำ� การศกึ ษาการใชอ้ าหารผสมครบสว่ น ในสภาวะที่ความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์ และอาหารผสมครบส่วนหมักในโคนมเจาะกระเพาะ และผลผลิตปศุสัตว์ของประชากรไทยและโลกมี พบว่าโคนมสามารถใช้อาหารผสมครบส่วนหมักได้สูง เพิ่มสูงขึ้น ท�ำให้เกษตรกรเลี้ยงสัตว์จ�ำนวนมาก กว่าอาหารผสมครบส่วน ได้ศึกษาเพิ่มเติมในโคนม ข้ึน เป็นเหตุให้เกิดปัญหาด้านอาหารสัตว์ เพศผู้ขุนพบว่าการใช้อาหารผสมครบส่วนหมักช่วย ตามมามากข้ึน เช่น พืชอาหารสัตว์มีปริมาณไม่ เพิ่มประสิทธภิ าพการใชอ้ าหาร ท�ำให้โค มกี ารเจรญิ เพียงพอ อาหารสัตว์และวัตถุดิบอาหารสัตว์ เตบิ โตท่ีดี เมอ่ื ศกึ ษาคณุ ภาพซากโคที่เล้ียงด้วยอาหาร ราคาแพง(สัดส่วนต้นทุนการผลิตสัตว์ร้อยละ ผสมครบส่วนหมัก พบว่าเน้ือมีสีชมพูอมแดง เน้ือนุ่ม 60 เป็นค่าอาหาร) คุณภาพต�่ำ ขาดข้อมูลพ้ืนฐาน มีเปอร์เซ็นต์เนื้อแดงมาก ดังน้ันเทคโนโลยีน้ีน่าจะ และเทคโนโลยีด้านการผลิตและการจัดการให้อาหาร สามารถน�ำมาประยุกต์ใช้เพิ่มประสิทธิภาพการเลี้ยง สตั ว ์ ทเี่ หมาะสม ทำ� ใหก้ ารผลติ สตั วม์ ปี ระสทิ ธภิ าพตำ่� โคเน้อื ได้ด้วย ดังนั้นอาหารสัตว์จึงนับเป็นปัจจัยที่มีความส�ำคัญต่อ จากผลการศกึ ษาของทมี นกั วจิ ยั จงึ มคี วามเชอ่ื การเพ่ิมผลผลิตของสัตว์เป็นอย่างมาก การให้อาหาร มนั่ ว่า เกษตรกรสามารถนำ� ความรู้น้ีไปใช้เปน็ แนวทาง สัตว์ที่ไม่เพียงพอและไม่ถูกต้องหรือเกินความต้องการ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโคเนื้อและโคนมได้ จะสง่ ผลใหเ้ กิดปัญหาการให้ผลผลติ การสืบพันธุ์ และ จึงได้เสนอโครงการต่อคลนิ กิ เทคโนโลยี ส�ำนักสง่ เสรมิ ดา้ นสขุ ภาพได้ เปน็ ทท่ี ราบโดยทว่ั ไปวา่ อาหารหยาบท่ี และถ่ายทอดเทคโนโลยี กระทรวงวิทยาศาสตร์และ ดีท่ีสุดก็คือ หญ้าสด แต่ปัญหาการขาดแคลนหญ้าสด เทคโนโลยี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ คณุ ภาพดใี นชว่ งฤดแู ลง้ ทำ� ใหไ้ มส่ ามารถทจ่ี ะใชห้ ญา้ สด การเลี้ยงโคเนื้อและโคนมในส่วนการจัดการอาหาร ไดต้ ลอดทง้ั ปี แหลง่ อาหารหยาบซงึ่ มมี ากและหาไดง้ า่ ย เพอื่ ลดตน้ ทนุ การผลติ ทำ� ใหส้ ตั วม์ คี ณุ ภาพตามทต่ี ลาด ในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื คอื ฟางขา้ ว (rice straw) ต้องการ แต่พบว่าคุณค่าทางโภชนะค่อนข้างต�่ำ มีโปรตีนอยู่ ผสมอาหารข้นตามสัดส่วนของวัตถุดิบตาม 1-3 เปอร์เซ็นต์ มีเย่ือใยสูงและมีการย่อยได้ต�่ำ ตารางแสดงส่วนประกอบวัตถุดิบของอาหารผสมครบ (เมธา และฉลอง, 2533) ดังนั้นการน�ำฟางข้าวมาใช้ สว่ น กอ่ นแลว้ คอ่ ยนำ� ไปผสมกบั ฟางขา้ วบด โดยใชก้ าก เป็นอาหารโคจึงจ�ำเป็นที่จะต้องมีการเสริมอาหารข้น นำ้� ตาลผสมกบั นำ�้ สะอาดราดลงบนกองอาหารเพอื่ ชว่ ย เพ่ือใหส้ ตั วไ์ ด้รบั โภชนะพอเพียงส�ำหรับการให้ผลผลติ ใหอ้ าหารผสมเขา้ กนั ไดด้ ี แลว้ จงึ บรรจอุ าหารทผ่ี สมเขา้ การเริ่มต้นผลิตอาหารผสมครบส่วนหมักของ กนั ดลี งในถงั พลาสตกิ อดั ใหแ้ นน่ ปดิ ฝาถงั ใหส้ นทิ เกบ็ ไว้ สถาบนั วิจัยและฝึกอบรมการเกษตรสกลนคร น้ันเพอื่ ได้นานกว่า 6 เดือน ใช้ส�ำหรับโคนม ซ่ึงต้องการอาหารที่มีคุณภาพสูงเพ่ือ 57
ตารางแสดงสว่ นประกอบวตั ถุดิบของอาหารผสมครบส่วนสำหรบั โคนมหรือโคขุน รายการ ปริมาณทีใ่ ช้ ปรมิ าณโปรตีน ราคา ราคาบาท / (กิโลกรมั ) หยาบ (กโิ ลกรัม) กโิ ลกรัม 1 ฟางขา้ ว 20.3 0.61 10.65 0.5 12.0 2 กากถว่ั เหลือง 4.8 2.30 57.60 5.6 3.0 3 กากเมะเขอื เทศแห้ง 12.2 2.44 68.32 6.5 2.5 4 มันเสน้ 38.0 1.14 114.00 1.5 5.0 5 เมล็ดฝ้าย 12.5 2.87 81.25 5.0 8.0 6 เกลือ 0.4 0 1.00 7.1 20.0 7 กำมะถนั 0.1 0 1.50 2.2 8 ไดแคลเซยี มฟอสเฟต 0.1 0 0.50 9 เปลือกหอยบด 0.5 0 2.50 10 แดร่มี นิ 0.1 0 0.80 11 ยเู รีย 1.7 4.78 12.07 12 โซเดียมไบ คาร์บอเนต 0.5 0 10.00 13 กากนำ้ ตาล 8.3 0.16 18.28 รวม 100 กก 14.30 378.45 วิธกี ารผลิตอาหารผสมครบสว่ นหมัก (FTMR) วิธกี ารผลติ อาหารผสมครบสว่ นหมัก (FTMR) 58
การบรรจอุ าหารผสมครบส่วนหมักลงถังพลาสติก ทางมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสานร่วมกับกลุ่มเกษตรกรทดลองเลี้ยงขุนโคเนื้อลูกผสม บราหม์ นั โดยใช้โคเนอ้ื ของกลุ่มเกษตรกรท่ีบา้ นพรสวรรค์ ต.แร ่ อ.พงั โคน จ.สกลนคร และกลมุ่ ผเู้ ล้ียงโคเนอ้ื ต.ไฮหยอ่ ง อ.พงั โคน จ.สกลนคร โดยทางกระทรวงวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ไดส้ นบั สนนุ อาหารผสมครบสว่ น หมกั จ�ำนวน 3,370 กิโลกรัม (น�ำ้ หนกั สดกโิ ลกรัมละ 3.38 บาท) ที่ใชใ้ นการทดสอบเลี้ยงขนุ เป็นเวลาประมาณ 1 เดือน การทดลองเล้ียงโคขุนด้วยอาหารผสมครบ ส่วนหมักของกลมุ่ เกษตรกร สภาพโรงเรอื นเลย้ี งโคขุนกลมุ่ ผู้เล้ยี งโคเนอ้ื ต.ไฮหย่อง อ.พังโคน จ.สกลนคร รับการสนับสนุนสถาบันวิจัย และฝึกอบรมการเกษตรสกลนครร่วมกับกระทรวง วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 59
โคเน้ือชอบกินอาหารผสมครบส่วนหมัก ท�ำให้กิน อาหารได้มาก และมีอตั ราการเจริญเติบโตทด่ี ี ผศ.ดร.เฉลิมพล เยื้องกลาง ตรวจเย่ียมกลุ่มผู้เล้ียง โคเน้ือ ต.ไฮหย่อง และใหค้ ำ� ปรกึ ษาแนวทางการเพมิ่ ผลผลติ โคเนื้อกบั เกษตรกร วิธกี ารทดลอง • โคเนอ้ื พนั ธล์ุ กู ผสมบราหม์ นั เพศผู้ อายุ 12 – 18 เดอื น ของกลมุ่ เกษตรกร ท่ีบ้านพรสวรรค์ ต.แร ่ อ.พังโคน จ.สกลนคร จำ� นวน 6 ตวั นำ้� หนกั เร่ิม การทดลองเฉลย่ี 200 กโิ ลกรมั และกลมุ่ ผเู้ ลย้ี งโคเนอื้ ต.ไฮหยอ่ ง อ.พงั โคน จ.สกลนคร จ�ำนวน 5 ตัว น�้ำหนักเริ่มการทดลองเฉล่ีย 260 กิโลกรัม เลี้ยงในคอกขังรวม มีที่ให้อาหารและอ่างน�้ำ สัตว์ทดลองทุกตัวก่อนการ ทดลองถ่ายพยาธิ ใหว้ ิตามิน AD3E และB12 • ประมาณน้�ำหนักโคเม่ือเริ่มต้นการทดลองและเมื่อส้ินสุดการทดลอง ด้วยสายวัดรอบอก เพ่ือดูการเปลย่ี นแปลงของนำ้� หนกั ตวั • ใหโ้ คเนอ้ื กนิ อาหารผสมครบสว่ นหมกั แบบตลอดทงั้ วนั ชง่ั เขา้ อาหารผสม ครบส่วนหมักทุกวัน พร้อมท้ังบันทึกปริมาณอาหารที่เหลือ เพื่อค�ำนวณ ปริมาณการกนิ ไดข้ องอาหาร • ระยะเวลาการทดลองเดือน มถิ นุ ายน-กรกฎาคม 2549 60
ผผลลการกทดาลรองทดลอง ตารางทแ่ี สดงผลการทดลองเลย้ี งขนุ โคเนื้อดว้ ยอาหารผสมครบสว่ นหมัก กลมุ่ เกษตรกรบ้านพรสวรรค์ กลุม่ ผ้เู ลย้ี งโคเนอ้ื ต.ไฮหยอ่ ง จำนวนโคเน้ือ (ตวั ) 65 นำ้ หนักโคเริ่มต้นเฉล่ีย (กก.) 200 260 นำ้ หนักโคส้นิ สดุ การทดลองเฉลีย่ (กก.) 248 301 น้ำหนกั เพิม่ เฉลย่ี (กก.) 48 41 ระยะเวลาทดลอง (วัน) 29 23 อตั ราการเจรญิ เติบโต/วนั (กก.) 1.65 1.78 ปรมิ าณอาหารทกี่ ินได้เฉล่ีย/ตัว/วนั (กก. 11.9 11.3 สด) ปรมิ าณอาหารทกี่ ินไดเ้ ฉล่ยี /ตวั /วนั (กก. 7.14 6.78 แห้ง) ปรมิ าณอาหารทกี่ นิ ไดเ้ ฉล่ีย/ตัว/วัน 3.19 2.42 (% น้ำหนกั ตวั ) อตั ราการเปลีย่ นอาหารเปน็ นำ้ หนกั 4.3 3.8 ค่าอาหารทีใ่ ช/้ ตวั /วัน (บาท) 40.27 38.24 คา่ อาหารท่ีใช้ตลอดการทดลอง/ตวั (บาท)* 1,167.8 879.5 มลู ค่าของน้ำหนกั โคทีเ่ พ่มิ /ตวั (บาท)** 2,400.0 2,050.0 สว่ นต่างมูลค่าโคกับค่าอาหาร/ตัว (บาท) 1,232.2 1,170.5 *ค่าอาหารเม่ือคิดเปน็ วัตถุแห้งกโิ ลกรัมละ 5.64 บาท **ราคาโคเนอื้ มชี ีวติ กโิ ลกรัมละ 50 บาท โคเนอื้ ของเกษตรกรท้ังสองกลมุ่ เม่อื เร่ิมทดลองให้อาหารผสมครบสว่ นหมกั โคจะไมก่ นิ อาหารหรอื บาง ตัวลองกินอาหารเลก็ นอ้ ยในวนั แรก ในวันถดั มาโคจะเรมิ่ กินอาหารผสมครบสว่ นมากขึน้ จนกนิ ได้เป็นปกติ โค มกี ารยอมรบั อาหารผสมครบส่วนหมักทด่ี ี ดูไดจ้ ากปริมาณการกนิ ได้ เมื่อเทยี บกับน้ำหนักตัวสัตว์ โดย โคเนอ้ื ของกลมุ่ เกษตรกรท่ีบา้ นพรสวรรคก์ ินอาหารได้ 3.19%น้ำหนกั ตัว และโคของกลมุ่ ผ้เู ล้ียงโคเนื้อ ต.ไฮหยอ่ ง กนิ อาหารได้ 2.42%นำ้ หนกั ตวั ซึ่งเป็นค่าการกินไดเ้ ฉลี่ยในระดบั ปกติของโคเนอื้ ทัว่ ไป 61
โคเนอ้ื ของเกษตรกรทงั้ สองกลมุ่ เมอื่ เรมิ่ ทดลองใหอ้ าหารผสมครบสว่ นหมกั โคจะไมก่ นิ อาหารหรอื บางตวั ลองกนิ อาหารเลก็ นอ้ ยในวนั แรก ในวนั ถดั มาโคจะเรม่ิ กนิ อาหารผสมครบสว่ นมากขน้ึ จนกนิ ไดเ้ ปน็ ปกติ โค มกี าร ยอมรบั อาหารผสมครบสว่ นหมกั ทดี่ ี ดไู ดจ้ ากปรมิ าณการกนิ ได้ เมอื่ เทยี บกบั นำ�้ หนกั ตวั สตั ว์ โดย โคเนอื้ ของกลมุ่ เกษตรกรทบี่ า้ นพรสวรรคก์ นิ อาหารได้ 3.19%นำ้� หนกั ตวั และโคของกลมุ่ ผเู้ ลย้ี งโคเนอ้ื ต.ไฮหยอ่ ง กนิ อาหารได้ 2.42%น�ำ้ หนกั ตวั ซงึ่ เป็นค่าการกนิ ไดเ้ ฉล่ยี ในระดับปกตขิ องโคเน้ือทั่วไป การทดลองเลี้ยงขุนโคเน้ือของเกษตรกรท้ังสองกลุ่มพบว่า โคเนื้อมีอัตราการเจริญเติบโตที่ดี ดังแสดง ในตารางท่ี 2 และเมือ่ คิดตน้ ทนุ การผลิตเกษตรกรสามารถยน่ ระยะเวลาการเลีย้ งโคเนื้อและมรี ายได้เม่อื หกั คา่ อาหารอยู่ทปี่ ระมาณตัวละ 1,200 บาท/เดือน เอกสารอ้างองิ บุญล้อม ชีวะอสิ ระกุล. 2541. โภชนศาสตร์สตั ว์ เล่ม 1. ภาควชิ าสัตวศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม.่ พันทพิ า พงษ์เพียจันทร์. 2535. หลกั อาหารสตั ว์ เล่ม 1 โภชนะ. ภาควชิ าสตั วศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่. สำ� นกั พมิ พโ์ อเดียนสโตร์. กรุงเทพฯ. พันทิพา พงษ์เพยี จันทร์. 2539. หลกั อาหารสัตว์ เล่ม 2 หลักโภชนศาสตรป์ ระยกุ ต์. ภาควิชาสตั วศาสตร์ คณะ เกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่. ส�ำนกั พมิ พ์โอเดยี นสโตร์. กรงุ เทพฯ. เมธา วรรณพฒั น์. 2533. โภชนศาสตร์สัตวเ์ คีย้ วเอือ้ ง. ภาควชิ าสตั วศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ . หา้ งหุ้นสว่ น จำ� กดั . ฟันนพี่ ับบลิชชง่ิ . กรุงเทพฯ. เทอดชยั เวียรศิลป์. 2548. โภชนศาสตร์ สัตว์เคีย้ วเออื้ ง. ภาควิชาสัตวศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่. บรษิ ทั ทรโี อ แอดเวอร์ไทซิ่ง แอนด์ มเี ดยี จ�ำกดั . เชียงใหม.่ สกุ ญั ญา จัตตพุ รพงษ.์ 2539. การตรวจสอบคณุ ภาพวตั ถุดิบอาหารสตั ว.์ เอกสารเผยแพร่ของศูนยว์ ิจยั และฝึก อบรมการเล้ยี งสกุ รแหง่ ชาต.ิ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร.์ 62
การเพาะเลยี้ ง เนื้อเยื่อพืช และการพฒั นา ผลติ ภณั ฑ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา
การเพาะเล้ียง การเพาะเลี้ยงเนอ้ื เยอ่ื พชื เนอ้ื เย่อื พชื และการพฒั นา ผลิตภณั ฑ์ การเพาะเลี้ยงเนื้อเย่ือพืช หรือการเล้ียง เนื้อเย่ือในสภาพหลอดแก้ว เป็นเทคโนโลยีชีวภาพ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา สมัยใหม่ โดยนำ� เซลล์ (cell) หรือชน้ิ สว่ นของพชื ที่ โดย ผศ.ดร.อภิชาติ ชิดบรุ ี มีขนาดเลก็ เชน่ อวยั วะตา่ ง ๆ เนอ้ื เยื่อ เซลล์ หรือ โพรโทพลาสต์ (protoplast) มาเล้ียงในอาหาร วิทยาศาสตร์ซึ่งประกอบด้วยธาตุอาหาร น�้ำตาล วิตามิน และฮอร์โมนพชื ภายใต้สภาพท่ีปลอดจาก เช้ือจลุ ินทรยี ์ โดยเพาะเล้ียงในหอ้ งท่คี วบคุมอุณหภมู ิ และแสง ส่งผลใหช้ ิ้นส่วนของพืชเหลา่ นเ้ี จริญเป็นต้น ใหม่ แคลลัส (callus) หรือโครงสร้างคล้ายเอม็ บริโอ (embryo) เรยี กว่า เอม็ บรอิ อยด์ (embryoid หรือ somatic embryo) แล้วจึงพัฒนาเป็นต้นพืชท่ี สมบูรณ์ประกอบดว้ ยใบ ราก 64
การเตรยี มอาหารส�ำหรับเพาะเลีย้ งเน้อื เยือ่ พชื การเตรียมอาหาร คือ การน�ำธาตุอาหาร ตักใสข่ วด หลักที่พืชต้องการในการเจริญเติบโต และธาตุอาหาร รองมาผสมกบั วนุ้ ฮอร์โมนพืช วติ ามนิ และน้�ำตาล ใน อัตราส่วนท่ีเหมาะสม แล้วน�ำไปฆ่าเชื้อ ใส่ลงในขวด อาหารเลี้ยง บางคร้ังอาจหยดสีลงไป เพื่อให้สวยงาม และสังเกตไดช้ ัดเจน ธาตุอาหารทพ่ี ืชตอ้ งการ • ธาตุอาหารหลัก ได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โปรตสั เซียม แคลเซียม แมก นเี ซ่ยี มและกำ� มะถัน • ธาตุอาหารรอง ได้แก่ ธาตุอาหารที่ จ�ำเป็นน้อย เช่น เหล็ก แมงกานีส สงั กะสี ทองแดง นึ่งฆ่าเชอ้ื ท่อี ุณหภมู ิ 121 เซล็ เซียส ความดนั 15 ปอนด/์ ตารางนิ้ว นาน 15-20 นาที ผสมสารเคมี ปรบั pH ของอาหารเป็น 5.67 - 5.70 อาหารสำ� หรบั เพาะเลยี้ งเน้อื เย่ือ 65
ขัน้ ตอนการเตรียมอาหาร !3 ขนั้ ตอนการเตรยี มอาหาร รวมสารละลายเข้มขน้ เติมสารควบคุมการเจริญเติบโต î ê í เติมน้ำตาลซโู ครส ê ปรับปรมิ าตร ê ปรบั pH ê í เตมิ วุ้น เคยี วหลอมวุ้น ê เทใส่ภาชนะเพาะเล้ยี ง ê น่งึ ในหม้อนง่ึ ความดนั ไอนำ้ การฆา่ เช้อื บริเวณผิวของเนื้อเยื่อการฆ่าเชอื้ บริเวณผวิ ของเน้ือเย่ือ เน้ือเยอ่ื ทจ่ี ะนำมาเพาะเลี้ยงตอ้ งผา่ นการฆ่าเช้อื เพอ่ื กำจัดเชอ้ื จลุ นิ ทรียท์ ่ีอาจมตี ิดอยู่ทบ่ี ริเวณผวิ ของ เ เสชนภ้ือ้อื เาพเวย่ือะื่อกทเอ�นำเี่ อหจ้ือกัดมเเยเาสชื่อะีย้ือทสกจ่ีจมอุ่ละสนินนำดท�ำหว้มรรยียาับเน์ทพเน้ำี่อาย้ือาะาจเเฆยลมื่อ้ีา่ยีตเพงิดชตืชอื้อ้อแยง(ตู่ทsผล่tี่บ่าeะนรrชิเกiวlนiาณzริดinฆผgิ่วาเปa็นgเ eสอn่งิ าสtใ)บำคแมัญล1อีะท.กยตีต่ า้่หู ัด้อนลเงใอาบคายอำสชอน่วนกนงึ ดิถใขหงึอกห้ซงาม่งึยรจดอเะ ลด ตหือห้อรกรอืงชือถทนตา้ำาิดมกมขใี าบาอรทเงทก�ำนลดกำ้ด็ลายอร(าbแงฆuยห่าdกาเชอื้ และ ของเนอื้ เยื่อออกเสียกอ่ นด้วยน้�ำยาฆา่ เช้ือ (sterilizing scale) ทหี่ ่อหมุ้ ตาอยู่ก็ให้แกะออกจนสังเกตเหน็ สว่ น aตgัวeอnยt)่า งมกอี ายรหู่ ฟลอากยชฆนา่ ดิเชกื้อาตราเลยอื กดชแนลดิ ะขตอางขน้าำ้� งยาฆา่ เชอ้ื ของตา และสภาวะท่ีเหตมาายะอสดมสแ�ำลหะรตับาเขน้าืองเยเปื่อ็นพืชแิ้นตส่ล่วะนชทนี่มิดีเ นื้อ เยื่อเจร2ิญ.แทชี่ม่ในีกสาารรตลื่นะตลัวาอยคยลู่ตอลรอ๊อดกเซว์ลคาวามเข้มขเห้นม าะแก่ เกปาน็ รสเง่ิพสาำ� ะคเญัลี้ยทงตี่ เอ้นง้อื คเำ� ยนอ่ื งึ ถซงึ ซึง่ ง่ึจจะะมตเี อ้ปงอทรำ� เ์ กซาน็ รตท์คดวลาอมงสหำาเรจ็ ส10งู %มขี ้นัหตรือสนาดรังลนะ้ี ลายโซเดียมไฮโปคลอไรด์ ความ 1. ตัดเอาส่วนของยอดหรือตามาทำการเขแ้มยขกน้ เอ า2ใบ%แ ล เะตกมิ า้ tนwใบeeอnอ-ก2ใ0ห ห้ ในมอดตั ราสว่ หนร1อื ถห้ายมดใี บ เกลด็ ตวั อ(ยb่าuงdกาsรcฟaอleก)ฆ่าทเช่ีหือ้่ ตหา้มุ ยตอาดอแยลกู่ ะ็ใตหา้แขก้าะงออกจนสังเกตอ่เหส็นารสล่วะนลขาอยง1ต0า0 มลิ ลิลติ ร หรือประมาณ 0.01 % ตายอด2แ. ลแะชตใ่ านขส้าางรเลปะ็นลชา้ินยคสล่วอนรท๊อ่ีมกีเซน์ื้อเยค่ือวามเเพขอื่้มชขว่ น้ ยให้ส1า0รล%ะลายจหบั รกอื บั สผาวิรตลวัะอลยา่ายงโไซดเด้ดี ยี มไฮโปคลอไรด์ เจริญคทวมี่ามกี าเขรม้ต่ืนขน้ตวั อ2ยู่ต%ลอดเตเวิมลาt wเหeมeาnะ-แ2ก0่ กาใรนเอพัตาระาสว่ น 1 หย3ด.ท�ำตกอ่ าสราเขรลยะ่าลเปา็นยร1ะ0ย0ะ มๆิลลหิลรติือรวางหไรวอื้บปนระมาณ เลี้ยง0เน.0ือ้ 1เย%อ่ื เซพึ่งอื่จะชมว่ เียปใอหรส้ เ์ ซาร็นลตะค์ ลวาามยสจำ�ับเกรจ็ับสผูงิว ตมัวีขอน้ั ย่างไเดค้ดร่ือี งเขยา่ เป็นเวลาประมาณ 15 นาที ตอนดังน้ี 3. ทำการเขย่าเป็นระยะ ๆ หรอื วางไว้บนเครือ่ งเขยา่ เป็นเวลาประมาณ 15 นาที 4. ลา้ งเอาสารละลายออกดว้ ยนำ้ กล่ันทนี่ งึ่ ฆ่าเช้อื แลว้ 3 ครัง้ ๆ ละประมาณ 5 นาที 66 5. ย้ายตวั อย่างไปวางผง่ึ บนจานแกว้ ใหแ้ หง้ พอหมาด ๆ แล้วทำการตัดแต่งพืชตวั อยา่ ง เพ่อื ทำการเพาะเล้ยี งต่อไป
4.ล้างเอาสารละลายออกด้วยน้�ำกลั่นท่ีน่ึงฆ่า เน่ืองจากเมลด็ พชื มีความแตกต่างกนั มาก จงึ เชอ้ื แลว้ 3 ครัง้ ๆ ละประมาณ 5 นาที มีเทคนคิ การฟอกฆา่ เชื้อแตกต่างกนั ดว้ ยดงั นี้ 5.ยา้ ยตวั อยา่ งไปวางผงึ่ บนจานแกว้ ใหแ้ หง้ พอ 1.การฟอกฆ่าเชื้อเมล็ดที่มีลักษณะแข็ง เช่น หมาด ๆ แลว้ ทำ� การตดั แตง่ พืชตวั อย่าง เพื่อทำ� การ ถว่ั ตา่ ง ๆ หน่อไม้ฝรั่ง น้อยหน่า เปน็ ตน้ มขี ั้นตอน เพาะเล้ยี งต่อไป ดงั น้ี 1.แชเ่ มลด็ ในแอลกอฮอล ์ ความเขม้ ขน้ 95 % ตวั อย่างการฟอกฆ่าเช้อื ช้ินสว่ นของแผ่นใบ นานประมาณ 5 นาที เพอ่ื การฆ่าเช้อื ท่ตี ดิ มากับเมลด็ ใบพืชเป็นอวัยวะที่ค่อนข้างจะบอบบาง และชว่ ยขจัดคราบไขมนั บรเิ วณผวิ เมล็ด เนื่องจากประกอบด้วยเนื้อเย่ือเพียงไม่ก่ีชั้นเซลล ์ 2.ถา่ ยเอาแอลกอฮอล์ออก ผงึ่ เมล็ดไวใ้ หแ้ ห้ง โอกาสท่ีเนื้อเยื่อจะตายหรือได้รับอันตราย จากสาร 3.แชเ่ มล็ดในสารละลายคลอรอ๊ กซ ์ ความเข้ม เคมีที่ใช้ฟอกฆ่าเช้ือมีมาก จึงมีความจ�ำเป็นที่ต้อง ข้น 20 % เตมิ tween-20 ประมาณ 0.01 % ทิว้ ไว้ ระมัดระวังเป็นพเิ ศษ มีขัน้ ตอนดังน้ี ประมาณ 20 นาที 1.เลือกใบพืชที่สมบูรณ์ มาท�ำความสะอาด 4.ท�ำการล้างเมล็ดด้วยน้�ำกลั่นนึ่งฆ่าเช้ือ ดว้ ยน้ำ� สบู่ เพ่อื ขจัดคราบฝุ่นและเศษซากของแมลงท่ี 3 ครง้ั ๆ ละ ประมาณ 5 นาที อาจติดอย่กู ับใบ และเปน็ การช่วยลดแรงตึงผิวของใบ 5.ย้ายเมลด็ ลงเลย้ี งในอาหาร ดว้ ย 2.แช่ใบในสารละลายคลอร๊อกซ์ความเข้มข้น 2.การฟอกฆ่าเชื้อเมล็ดที่มีความอ่อนนุ่มหรือ 5 % เวลาประมาณ 10 นาที โดยท�ำการเขย่าเปน็ เมล็ดทย่ี งั ไมแ่ กเ่ ตม็ ที่ มีขั้นตอนดังน้ี ระยะ ๆ หรือวางบนเครอ่ื งเขย่า 1.ถา้ เมล็ดมเี ย่ือหอ่ หุ้ม เช่น เมล็ดมะเขือเทศ 3.ลา้ งดว้ ยนำ้� กลน่ั ทนี่ งึ่ ฆา่ เชอื้ แลว้ 3 ครงั้ ๆ ละ จะมลี กั ษณะคลา้ ยวนุ้ หรอื เมลด็ มะละกอทม่ี ผี นงั เมลด็ ประมาณ 5 นาที ทีเ่ ปน็ เยือ่ ใส ๆ และสารละลายเหลว ๆ ห่อหุ้มอย ู่ ก็ให้ 4.ย้ายตัวอยา่ งลงในจานแกว้ เพือ่ ทำ� การตัด ท�ำการก�ำจดั ออกเสียก่อน เพราะสง่ิ ดงั กล่าวเหล่าน้นั แต่งตัวอย่าง และท้ิงไว้ให้แห้งพอหมาด ๆ จึงย้ายลง เปน็ ตวั ยบั ย้ังการงอกของเมลด็ (germination inhibi- เลี้ยงในอาหาร tors) 2.แช่เมล็ดในสารละลายคลอรอ๊ กซ ์ ความเขม้ ตัวอย่างการฟอกฆา่ เชื้อเมล็ดพชื ขน้ 15 % เตมิ tween-20 ประมาณ 0.01 % ทิ้วไว้ เมล็ดพืชเป็นอวัยวะท่ีมีความแข็งแรงทนทาน ประมาณ 15 นาที กว่าส่วนอ่ืน ๆ สามารถทนต่อสารเคมีท่ีมีความเข้ม 3.ท�ำการล้างเมล็ดด้วยน�้ำกล่ันนึ่งฆ่าเชื้อ ข้นสูง ๆ ได้ดี จึงเป็นการสะดวกในการฟอกฆ่าเชื้อ 3 ครงั้ ๆ ละ ประมาณ 5 นาที ประกอบกบั เนอื้ เยอื่ ตา่ ง ๆ ทอี่ ยภู่ ายในเมลด็ คอื คพั ภะ 4.ยา้ ยเมลด็ ลงเลีย้ งในอาหาร (embryo) และใบเลี้ยง (cotyledon) มีสภาพที่มี ความปลอดเช้ือสูง จึงเหมาะแก่การใช้ในการเริ่มต้น การเพาะเลีย้ งเน้อื เยอ่ื 67
ตวั อยา่ งการฟอกฆา่ เชอ้ื เน้ือเยอ่ื ของกิ่งไม้ ขน้ั ตอนการเพาะเลยี้ ง สว่ นของกง่ิ ไมป้ ระกอบดว้ ยเนอื้ เยอ่ื ทย่ี งั มชี วี ติ เน้ือเย่ือกลว้ ยไม้ท่ีจะใช้ทำ� การเพาะเลี้ยงเนือ้ เยอ่ื ได้ ก็คือ กลมุ่ เนือ้ เยอ่ื ของทอ่ ลำ� เลยี งอาหาร (phloem) เนอื้ เยื่อแคมเบยี ม (cambium) และเนอื้ เยอื่ ตรงใจกลางของลำ� ตน้ (pith) ซ่ึงเนื้อเย่ือดังกล่าวอยู่ในส่วนภายในของก่ิงหรือล�ำต้น ซ่ึงมีสภาพท่ีปลอดเช้ืออยู่แล้ว ฉะน้ันการฟอกฆ่าเช้ือ จึงท�ำเฉพาะผิวนอกเท่านั้น ซ่งึ มีขนั้ ตอนดังน้ี 1.น�ำส่วนของก่ิงหรอื ลำ� ต้นมาลนไฟ หรือจมุ่ แอลกอฮอลค์ วามเข้มขน้ 95 %อกอ่ นแล้วเผาไฟ กจ็ ะ สามารถฆ่าเชอื้ ทตี่ ิดมากบั ผวิ ของตัวอย่างได้ 2.ใช้มีดผ่าและตัดแยกเอาเฉพาะเนื้อเย่ือที่ยัง มีชวี ิตอยู่ดงั กล่าวขา้ งตน้ ลงเลี้ยงในอาหารเพาะเลยี้ ง หน่ออ่อนกล้วยไม้ ไดเ้ ลย ตวั อย่างการฟอกฆ่าเชื้ออับเรณู เตรยี มสารฟอกฆ่าเชอ้ื การเพาะเล้ียงอับเรณูมีวัตถุประสงค์เพ่ือการ ผลติ พืชท่ีมีโครโมโซมชดุ เดยี ว (haploid plant) จาก เซลล์สรา้ งสปอร์ (microspore mother cell) ทีอ่ ยู่ ภายในอบั เรณ ู มีขัน้ ตอนดงั น้ี 1.เลอื กดอกทยี่ งั ตมู โดยทกี่ ลบี เลยี้ งและกลบี ดอกยังไม่กางออก มากท�ำการฉดี พ่นดว้ ยแอลกอฮอล์ ความเขม้ ข้น 70 % ทิว้ ไว้ใหแ้ หง้ พอหมาด ๆ 2.แช่ดอกสารละลายคลอร๊อกซ์ ความเข้ม ข้น 10 % เติม tween-20 ประมาณ 1 – 2 หยด ทงิ้ ไวป้ ระมาณ 15 นาที โดยเขย่าเปน็ ระยะ ๆ 3.ลา้ งดว้ ยนำ้� กลน่ั ทนี่ ง่ึ ฆา่ เชอ้ื แลว้ 3 ครง้ั ๆ ละ ประมาณ 5 นาที 4.ยา้ ยดอกลงในจานแกว้ ผง่ึ ใหแ้ หง้ พอหมาด ๆ แล้วท�ำการแกะดอกแยกเอาเฉพาะอับเรณูลงเลี้ยงใน อาหารเพาะเลี้ยง ตดั แตง่ หน่ออ่อนและฟอกฆ่าเช้อื 68
ล้างด้วยนำ�้ กลัน่ นง่ึ ฆ่าเชื้อแลว้ 3 ครัง้ วางเลย้ี งบนเครือ่ งเขยา่ ตดั แยกตาอ่อนออกจากหน่อ โปรโตคอร์มทพี่ รอ้ มน�ำไปเล้ียงบน อาหารแข็ง ยา้ ยลงเลี้ยงในอาหารเหลวสังเคราะห์ ต้นทพ่ี ร้อมน�ำออกปลกู 69
ปลกู เพ่อื ให้ปรบั ตัวในโรงเรือน ทีม่ า : http://student.nu.ac.th/samunprithai/thailandorchid/22.html การเพาะเมล็ดกลว้ ยไม้ในอาหารเลีย้ ง กล้วยไม้ประเภทไม่แตกกอมีการเจริญเติบโต มดี หรอื กรรไกรคมๆ ตดั ยอดกลว้ ยไมท้ มี่ ตี ะเกยี งตดิ อยู่ ทางยอดคือยอดจะยาวสูงข้ึนไปเรื่อยๆ และจะมีการ ตรงบรเิ วณใตต้ ะเกยี งประมาณ 2-3 เซนตเิ มตร หรอื ตดั แตกหน่อจากตาที่อยู่ข้างล�ำต้นเป็นหน่อหรือตะเกียง เฉพาะตะเกียงท่ีมีหน่อติดอยู่ ใช้ปูนแดงทาที่บาดแผล ส�ำหรับต้นที่ไม่มีหน่อหรือตะเกียงเม่ือถูกตัดยอดไป เพื่อป้องกันโรค น�ำหน่อหรือตะเกียงไปปลูกไว้ในท่ีร่ม ปลูกจะท�ำใหต้ น้ ท่ถี ูกตัด แตกหน่อได้ง่ายขน้ึ หนอ่ หรอื จนกวา่ จะตง้ั ตวั ไดจ้ งึ นำ� ไปไวใ้ นทม่ี ี สภาพเหมาะสมตาม ตะเกียงนี้สามารถตัดแยกไปปลูกใหม่ได้ การตัดแยก ปกติ ฤดกู าลทเี่ หมาะแกก่ ารตดั แยกคอื ตน้ ฤดฝู นเพราะ หนอ่ หรอื ตะเกยี งไปปลกู ใหมค่ วรเปน็ หนอ่ หรอื ตะเกยี ง เปน็ ฤดทู ก่ี ลว้ ยไมก้ ำ� ลงั เจรญิ เตบิ โตเมอื่ ตดั แยกไปปลกู ที่เจริญเติบโตพอ สมควร มีรากที่แข็งแรงและยาวพอ รากจะเจรญิ เกาะเครอ่ื งปลูกไดเ้ ร็วกว่าฤดูอืน่ ไมท่ ำ� ให้ สมควรติดอยอู่ ยา่ งน้อย 2–3 รากและมใี บ 2–3 คู่ ใช้ การเจรญิ เตบิ โตหยุดชะงกั ขัน้ ตอการเพาะเมลด็ กลว้ ยไม้ในอาหารเลยี้ ง คัดเลอื กฝักที่สมบูรณ์ ต่อมาก็นำ� มาท�ำความสะอาดดว้ ยสารฟอกฆา่ เชื้อ 70
เมอื่ ฟอกด้วยสารฆา่ เช้ือแล้วก็ต้องลา้ งใหส้ ะอาดดว้ ยน�ำ้ กลั่น จากนัน้ กผ็ ่าตัดกันเลย ตดั หวั ท้าย และผ่ากลางฝกั น่งึ ฆา่ เช้ือ ผา่ นการชำ� แหละแล้ว จะเห็นเมล็ดฟูฟอ่ งอยู่ขา้ งในเมลด็ แก่ เตม็ ทีแ่ บบนี้งอกชวั ร์ เรากข็ ดู เอาเมลด็ ออกใหห้ มด ต้ังแตข่ ้นั ตอนนเ้ี ปน็ ต้นไปตอ้ งทำ� ในตู้ปลอดเช้ือ ไดเ้ มลด็ ทีส่ มบูรณ์ คบี เมล็ดใสข่ วดอาหาร จากน้ันน�ำฝักกล้วยไม้จ่มุ ในแอลกอฮอล์ 95% เพื่อเผาไฟ ฆา่ เชอ้ื โรคอกี รอบ 71
ได้เมลด็ อยใู่ นขวดอาหารนำ� ไปเล้ียงในสภาพปลอดเชอื้ ต่อไป พอถึงระยะนตี้ น้ กล้วยไม้จะเตม็ แนน่ ขวดไปหมด ตอ้ งเปลี่ยน รอเวลาเมลด็ งอก อาหารใหม่ใหก้ ระจายตวั กัน เรยี กวา่ ถ่ายกระจาย เมล็ดเรม่ิ งอกแลว้ จะเหน็ เปน็ สเี ขยี วๆ กลมๆ เรยี ก พอต้นเร่ิมโตกน็ ำ� มาเรียงเปน็ แถว เรียกว่าเรยี งเด่ียว โปรโตคอรม์ (protocorm) แล้วก็รอใหโ้ ตกวา่ นี้ การเรียงข้นึ อยู่กับพันธ์ุ จ�ำนวนจะอยทู่ ่ี 30-40 ตน้ /ขวด ไม้โตชนขวดเตรียมออกปลูกได้เลย ทีม่ า: http://kluaymai.freetzi.com/expand.html 72
ขนั้ ตอการนำ� ต้นกลว้ ยไม้ออกขวด เตรยี มกะละมงั สะอาด ใสน่ ้ำ� เปล่าสะอาด ส�ำหรบั ล้างวุ้น เขียนป้ายชอ่ื สำ� หรบั ไม้ท่เี ราจะออกขวด เขียนวนั ที่ , นำ� ขวดทีต่ อ้ งการออก มาหอ่ กระดาษ เตรียมพรอ้ มทุบ ดว้ ย ราคาซอ้ื ตดิ ไว้ด้วยกไ็ ด้ คอ้ นที่เหน็ สาเหตทุ ่ีต้องห่อกระดาษนี้ ก็เพื่อใหจ้ ับไดส้ ะดวก และกนั เศษแก้วบาดมอื เขยา่ ใหก้ ล้วยไมใ้ นขวด มาด้านหน้า เพือ่ ใหม้ พี ื้นที่ในการทุบ นำ� คอ้ นท่ีได้เตรยี มไวเ้ คาะสันกน้ ขวด ดว้ ยแรง และจังหวะ ขวดโดยไมเ่ ป็นอันตราย ตอ่ ลูกไม้ในขวด จากน้ันควำ่� ขวดลง ที่พอเหมาะ จะท�ำให้หลดุ ออกมาท้งั แผน่ พอดี ให้วนุ้ อย่ดู ้านบน 73
จัดการเทต้นกล้วยไม้ออกจากขวด จากน้ันน�ำไปล้างใน กะละมังท่ีเตรียมไว้ ข้อส�ำคัญ ล้างวุ้นออกให้หมด จากนั้น นำ� มาเรยี งผงึ่ ในตะแกรง หรอื ตะกรา้ แสงประมาณ 30-40 % โดยช่วง 2 สัปดาห์แรกนี้ ไม่ควรให้โดนฝน แต่รดน�้ำปกติ เช้า-เยน็ และ เรมิ่ ให้ปุ๋ยได้ในสัปดาหท์ ี่ 3 เป็นตน้ ไป ทม่ี า: http://www.readyorchid.com/orchid-gallery-and-article/how-to-flask.html ทีม่ า: http://www.oknation.net/blog/print.php?id=840358 74
ขัน้ ตอนการขยายพนั ธุด์ ้วยวธิ กี ารเพาะเล้ียงเน้อื เยอื่ อโกลนีมา(Aglaonema) หรือ เขียวหมื่นปี(Chinese evergreen) ขั้นตอนการปฏบิ ตั ิ การเตรียมตน้ แมพ่ ันธ์ุ การเตรียมช้นิ สว่ น -ทำ� ความสะอาดดว้ ยนำ�้ ยาลา้ งจาน หลงั จากนน้ั ลา้ งดว้ ยนำ้� สะอาด เพอ่ื ขจดั เศษ วสั ดุปลกู ออก การฟอกฆา่ เชอ้ื ชนิ้ สว่ น -คลอรอ๊ กซ์ 10 % นาน 10 นาที หรอื เมอร์คิวริกคลอไรด์ 0.1% นาน 5 นาที ตามดว้ ยคลอรอ๊ กซ์ 10 % นาน 20 นาที -เล้ียงบนอาหารสตู ร MS + BA 2 มก/ ล. หรือ สูตร Gamborg 7(Bม5)ก+/ล.2 iP การตัดเนอ้ื เยื่อ (isopentenyladenine) การเพิม่ จำ� นวน -เลย้ี งบนอาหารสตู ร MS + BA 2 มก/ล. การชกั นำ� ใหเ้ กดิ ราก -เลี้ยงบนอาหารสูตร MS หรือ สูตร การยา้ ยออกปลูก Gamborg (B5) + IBA 2 มก/ล. 75
การพัฒนาผลิตภัณฑจ์ ากเพาะเลี้ยงเนอื้ เยอ่ื พชื ช่วงเทศกาลแห่งการมอบของขวัญ ต้นไม้ได้จัดว่าเป็นหน่ึงในของขวัญท่ีหลายคน ให้ความสนใจ เพื่อน�ำไปมอบให้กันในวันส�ำคัญ และการน�ำต้นไม้มาผูกโบว์ใส่กระเช้าเพ่ือ จดั เปน็ ของขวัญเปน็ ทางเลอื กใหก้ ับผูเ้ พาะเลีย้ งตน้ ไม้จำ� หน่าย และตน้ ไม้ของขวญั จากการ เพาะเนื้อเย่ือพืชพฒั นาตอ่ ยอดเปน็ การค้าในรูปแบบของขวญั ของช�ำร่วย ของขวัญของชำ� รว่ ยออกวางตลาด เอกสารอา้ งอิง ครรชติ ธรรมศิร.ิ 2556. ข้ันตอนการปฏบิ ัติการเลยี้ งกลว้ ยไมh้ ttp://www.oknation.net/blog/print.php? id=840358 สภุ าพ จันตรี. 2556. การขยายพันธ์ุกล้วยไม้. http://kluaymai.freetzi.com/expand.html เอกสารวชิ าการกลว้ ยไม.้ 2556. การขยายพนั ธุ์กลว้ ยไมแ้ บบไม่ใช้เพศ (กรมวชิ าการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เอกสารวชิ าการลำ� ดบั ท่ี 15/2547 ISBN 974-436-352-5). http://www. oknation.net/blog/print.php?id=840358 108 พรรณไม้. 2556. การขยายพนั ธ์กุ ล้วยไม.้ http://www.panmai.com/Orchid/orchid7.shtml Green over. 2556. เทคนคิ การขยายพันธ์กุ ลว้ ยไมส้ กุลหวาย. http://greenlover.tht.in/Or chid-sai-Propagation.html Readyorchid. 2556. การวิธีการกล้วยไม้ออกขวดแบบง่าย. http://www.readyorchid.com/orchid- gallery-and-article/how-to-flask.html 76
การผลิต กลว้ ยฉาบ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรวี ชิ ยั
การผลิต กลว้ ยฉาบ มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลศรีวิชยั โดย ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ชไมพร เพ็งมาก กล้วยทอดกรอบ (กลว้ ยฉาบ) Deep-fried Banana กล้วยทอดกรอบ เป็นผลิตภัณฑ์อาหารท่ีเกิดจากการแปรรูปแบบ ด้ังเดิม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้อาหารนั้นเก็บไว้ได้นานโดยไม่เกิดการเส่ือมเสีย ด้วยกรรมวธิ ีการทอดจนอาหารมีลกั ษณะแห้งกรอบ และมกี ารฉาบผิวดว้ ยน�้ำตาล เพ่ือปอ้ งกันไม่ให้สมั ผสั กับอากาศหรอื ความชื้น อีกทงั้ ยงั เปน็ การเพมิ่ รสชาตใิ หก้ บั ผลิตภณั ฑ์ได้อีกทางหนึ่ง โดยท่ัวไปกล้วยที่นิยมใช้ท�ำกล้วยฉาบ คือกล้วยน้�ำว้าและกล้วยหักมุก เป็นวตั ถุดิบหลกั รปู แบบของผลิตภัณฑม์ ีลักษณะเป็นกล้วยแผ่นบางเรยี บหรือหยัก ลอนตามลักษณะของใบมดี ทใี่ ชเ้ ตรยี มแผ่นกล้วย ขั้นตอนและวธิ ีการผลิตกม็ คี วาม คลา้ ยคลงึ กนั คอื เรม่ิ ดว้ ยการคดั เลอื กกลว้ ยนำ้� วา้ หรอื กลว้ ยหกั มกุ ทแี่ กจ่ ดั นำ� มาปอก เปลอื ก แลว้ หน่ั เปน็ แผน่ หรอื เปน็ แวน่ ซง่ึ ในอดตี จะใชม้ ดี หน่ั ตามยาวหรอื ตามขวาง แตป่ จั จบุ นั นยิ มนำ� มาสไลดก์ บั อปุ กรณท์ ผี่ ลติ ขนึ้ สำ� หรบั หนั่ กลว้ ยโดยเฉพาะ ลกั ษณะ ของใบมีดก็สามารถเพ่ิมได้มากกว่า 1 อัน เหื่อให้สามารถหั่นได้เร็วขึ้นแผ่นกล้วย ที่ได้ก็มีความหนาเท่าๆ กัน จากน้ันน�ำมาแกะแยกชิ้นออกเพ่ือให้ยางกล้วยแห้ง เอาไปทอดในนำ�้ มนั ทรี่ อ้ นจดั จนกรอบแลว้ ตกั ขน้ึ พกั ไวใ้ หส้ ะเดด็ นำ้� มนั เปน็ อนั เสรจ็ ขั้นตอนการทอดกล้วย หลังจากน้ันก็จะเข้าสู่ข้ันตอนการฉาบหรือการเคลือบด้วย นำ้� ตาล โดยการเคย่ี วนำ�้ ตาล เกลอื และนำ้� อาจจะใสเ่ นยดว้ ยหรอื ไมก่ ไ็ ด ้ เคยี่ วจน สว่ นผสมเหนยี วเปน็ ยางมะตมู เอากลว้ ยทที่ อดแลว้ ลงคลกุ กบั นำ�้ ตาล ฉาบจนนำ้� ตาล เกาะติดกล้วยและแห้ง ท้ิงไว้ใหเ้ ย็นแล้วจึงบรรจภุ าชนะปิดสนทิ 78
“กล้วย” ส�ำหรับท�ำกลว้ ยทอดกรอบ กล้วยน�้ำว้า เป็นกล้วยท่ีนิยมใช้ท�ำกล้วยทอดกรอบมาต้ังแต่สมัยโบราณ เน่ืองจากเป็นกล้วยท่ีสามารถปลูกได้งายและมีการปลูกกันมาก สามารถปลูกได้ ตลอดทั้งปี ลักษณะของเนื้อกล้วยมีลักษณะแน่นและเหนียว เมื่อทอดจนกรอบ จะไดล้ กั ษณะกลว้ ยทอดทกี่ รอบแขง็ ทำ� ใหร้ บั ประทานไมอ่ รอ่ ย จำ� เปน็ ตอ้ งใชเ้ ทคนคิ พเิ ศษในกรรมวธิ กี ารทอด ดว้ ยการหนั่ เปน็ แผน่ หรอื แวน่ แลว้ บรรจถุ งุ พลาสตกิ ปดิ ปาก ถุงใหส้ นทิ เพ่ือป้องกนั อากาศ วางทงื้ ไว้ 1 คนื แล้วจงึ ทอด กล้วยทอดกรอบท่ไี ด้จะ มลี กั ษณะกรอบร่วนมากขนึ้ กล้วยหอมเป็นกล้วยท่ีนิยมใช้ท�ำเป็นกล้วยทอดกรอบในปัจจุบันมากข้ึน เนอ่ื งจากมกี ารปลกู กนั มากขนึ้ สามารถหน่ั เปน็ แผน่ ไดข้ นาดใหญก่ วา่ กลว้ ยชนดิ อน่ื นอกจากน้ียังเป็นกล้วยที่มีความอร่อยเมื่อท�ำเป็นกล้วยทอดกรอบ เนื่องจากเน้ือ กลว้ ยมีลกั ษณะหยาบเปน็ โพรง เมอื่ ทอดจะท�ำใหน้ �ำ้ มนั แทรกตวั เขา้ ไปได้มากกว่า กลว้ ยนำ้� วา้ เมอ่ื รบั ประทานกลว้ ยทอดกรอบจะมลี กั ษณะกรอบรว่ น และใหส้ เี หลอื ง อรา่ มสวยงามมากกวา่ กล้วยชนิดอืน่ ๆ กล้วยไข่ก็เป็นกล้วยที่นิยมทอดกรอบมากข้ึนเช่นเดียวกับกล้วยหอม ลกั ษณะเนอื้ ของกลว้ ยไขจ่ ะอยรู่ ะหวา่ งกลว้ ยหอมกบั กลว้ ยนำ้� วา้ คอื มลี กั ษณะเหนยี ว กวา่ กลว้ ยหอม แตไ่ มม่ ากเทา่ กบั กลว้ ยนำ้� วา้ เพราะฉะนน้ั เมอื่ นำ� มาทอดจะไดก้ ลว้ ย ทอดกรอบที่มลี กั ษณะกรอบร่วน สีเหลืองอร่ามสวยไม่แพก้ ลว้ ยหอม แต่แผ่นเลก็ ใกล้เคียงกับกล้วยนำ้� วา้ กล้วยหิน เป็นกล้วยท่ีนิยมปลูกกันมากทางภาคใต้ ส่วนใหญ่ไว้ส�ำหรับ เลีย้ งนกกรงหวั จกุ ซึง่ เป็นนกชนิดหนึง่ ท่นี ิยมเล้ยี งเป็นอาชีพของภาคใต ้ ลกั ษณะ เนอ้ื ของกลว้ ยหนิ จะคลา้ ยกับกลว้ ยไข่ แต่ลูกใหญ่กวา่ เม่ือหน่ั แล้วทอดจะได้กลว้ ย ทอดกรอบทม่ี ลี ักษณะแผน่ ใหญ ่ กรอบร่วน และสเี หลืองสวยกว่ากลว้ ยนำ้� ว้า 79
กรรมวิธกี ารฉาบกล้วย 1. การทอดครง้ั เดียว เปน็ การน�ำกลว้ ยทห่ี ่นั เตรียมไว้ ทอดลงในน�ำ้ มนั พร้อมกบั สว่ นผสมของเคร่อื งปรุง และเรยี กช่ือต่างกนั ดังน้ี 1.1. กลว้ ยเบรกแตก (กลว้ ยอบเนย) เปน็ การทอดกลว้ ยทห่ี นั่ เตรยี มไวพ้ รอ้ ม กับสว่ นผสมของน�้ำตาล เกลอื และเนย ทอดจนน้�ำตาลมีลักษณะเปน็ คาราเมล และเคลือบบนชิ้นกล้วยโดยรอบ กล้วยทอดกรอบจะมีสีเหลืองเข้มของคาราเมล สว่ นผสมสำ� หรบั เคลอื บกลว้ ยวธิ นี จ้ี ะใชน้ ำ้� ตาลปบ๊ี 1,000 กรมั เนย 250 กรมั เกลอื ปน่ 20 กรัม ผสมให้เข้ากัน สามารถเก็บไวใ้ ช้ได้หลายครงั้ ข้ึนอยูก่ ับปรมิ าณกล้วยที่ ตอ้ งการทอด อัตราสว่ นที่เหมาะสม คอื กล้วยหน่ั แผน่ หรอื แวน่ 1,000 กรมั ตอ่ สว่ นผสมเคร่ืองปรุง 100 กรัม 1.2 กล้วยหวาน เปน็ การทอดกลว้ ยที่หนั่ เตรยี มไวแ้ ลว้ พร้อมกบั ส่วนผสม ของนำ�้ เชอ่ื ม โดยการตม้ นำ�้ เชอื่ ม ในอตั ราสว่ น นำ�้ ตาลทราย 1 สว่ น ตอ่ นำ�้ 2 สว่ น เม่อื นำ้� มันรอ้ นน�ำกล้วยทีเ่ ตรียมไวใ้ สล่ งในกระทะ 1 กิโลกรมั ตอ่ น้ำ� เชอ่ื ม 100 กรมั 1.3 กลว้ ยเคม็ มีกรรมวิธีการท�ำเชน่ เดยี วกบั การท�ำกลว้ ยหวาน แต่ใช้นำ้� เกลอื แทนนำ�้ เชอ่ื ม โดยการตม้ นำ้� เกลอื ในอตั ราสว่ น เกลอื 1 สว่ น ตอ่ นำ�้ 10 สว่ น เมื่อนำ้� มันรอ้ นนำ� กล้วยท่ีเตรยี มไวใ้ ส่ลงในกระทะ 1 กิโลกรัม ต่อน�ำ้ เกลือ 100 กรัม 2. การทอด 2 ครง้ั มีกรรมวิธที ีแ่ ตกตา่ งกัน ดงั นี้ 2.1 กลว้ ยหวาน เป็นการหัน่ กล้วยให้เป็นแผ่นหรือเปน็ แว่น แล้วทอด ใหก้ รอบ (ระวงั อย่าให้สีเขม้ มาก) แลว้ แชใ่ นน�้ำเชื่อมท่มี สี ่วนผสมของนำ�้ ตาลทราย 1 สว่ น ต่อ นำ้� 2 สว่ น นานประมาณ 5 นาท ี น�ำข้นึ พักใหส้ ะเด็ดน�ำ้ เช่ือม จึงทอด ในน้ำ� มนั ทร่ี อ้ นจัด จนกล้วยทอดมีลกั ษณะกรอบ และสเี หลอื งทอง สงั เกตบรเิ วณ รอบแผน่ กลว้ ยจะไม่มฟี องอากาศของความชนื้ 2.2. กลว้ ยเคม็ มกี รรมวธิ กี ารทำ� เชน่ เดยี วกบั การทำ� กลว้ ยหวาน แตใ่ ชน้ ำ้� เกลอื แทนนำ�้ เชอ่ื ม โดยการแชใ่ นนำ�้ เกลอื ในอตั ราสว่ น เกลอื 1 สว่ น ตอ่ นำ้� 10 สว่ น แช่นาน 5 นาที เชน่ เดียวกนั กรรมวธิ กี ารทอดกท็ �ำเชน่ เดียวกบั กล้วยหวาน กลุ่มกล้วยกรอบทองอ�ำเภอทา่ ศาลา จงั หวัดนครศรีธรรมราช ไดท้ ำ� การ ผลติ ผลติ ภณั ฑก์ ลว้ ยไขท่ อดกรอบ รสหวานและรสเคม็ จำ� หนา่ ยผลติ ภณั ฑม์ ลี กั ษณะ เป็นแผ่นเรียบ และบาง มีความหนาประมาณ 1.8-2.2 มิลลิเมตรมีสีเหลืองทอง สวยงาม กรรมวิธีการผลิตใช้วิธีการทอด 2 คร้ัง เร่ิมจากการน�ำกล้วยไข่ดิบที่แก่ จัดมาตัดหัวและทา้ ย แช่ในน�ำ้ แลว้ ทำ� การปอกเปลือกจงึ แชก่ ลว้ ยท่ไี ดใ้ นน�้ำอกี คร้ัง 80
จากนนั้ จงึ สรงขน้ึ แลว้ ผงึ่ แหง้ ในกาละมงั ทเ่ี จาะรู นำ� มาหน่ั เปน็ แผน่ บางดว้ ยมดี สไลด์ ทีม่ ีใบมีด 1 ใบ ทอดทนั ทใี นน�ำ้ มนั พชื จนหมดฟองอากาศจากนัน้ ทง้ิ ไวใ้ ห้เยน็ สักคร ู่ ในระหว่างรอจะท�ำการเตรียมน�้ำเชื่อมส�ำหรับเคลือบกล้วย โดยการต้มน้�ำตาล ทราย น�ำ้ และเกลือป่น สำ� หรับรสหวาน และต้มนำ้� กับเกลอื ป่น สำ� หรบั รสเค็ม ให้เดอื ด แล้วกรองดว้ ยผ้าขาวบาง หลงั จากน้นั จึงน�ำกล้วยท่ีทอดแลว้ ลงแช่ในน้ำ� เช่ือมหรอื นำ�้ เกลอื ประมาณ 5 นาที นำ� ขนึ้ สรงใหส้ ะเด็ดนำ�้ แลว้ น�ำลงทอดอยา่ ง เรว็ อีกครัง้ หนง่ึ และดูให้กล้วยมสี เี หลอื งทองจงึ ตกั ขึน้ ซบั น�ำ้ มันออกบางสว่ นดว้ ย กระดาษซับมัน เม่ือกล้วยเย็นสนิทจึงบรรจุในซองอะลูมิเนียมฟรอยด์ลามิแนท ที่ติดฉลากเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งขนาดบรรจุมีอยู่ด้วยกันหลายขนาด เช่น ถงุ ละ 1 กโิ ลกรมั ราคา 150 บาท 500 กรมั ราคา 75 บาท 250 กรมั ราคา 50 บาท 130 กรมั ราคา 30 บาท 120 กรมั ราคา 25 บาท 100 กรัม ราคา 20 บาท และ 40 กรมั ราคา 10 บาท ปจั จบุ นั สมาชกิ กลมุ่ มรี ายไดจ้ ากการจำ� หนา่ ยกลว้ ยทอดกรอบ จนสามารถท�ำเป็นอาชพี หลักแทนการกรดี ยาง ขัน้ ตอนการผลติ กล้วยฉาบ 1. นำ� กล้วยที่แก่จดั มาปลอกเปลอื ก 2. ล้างน้�ำใหส้ ะอาด 3.ห่ันแลว้ ทอดให้กรอบ 4. แช่ในน้�ำเชอื่ ม 81
5. ตกั ขน้ึ ให้สะเด็ดนำ้� เช่ือม 6. ทอดให้เหลอื งกรอบ 7. ซับนำ�้ มนั 8. บรรจุ เอกสารอ้างองิ ชไมพร เพ็งมาก. 2557. เอกสารอบรม “การแปรรูปกล้วย”. คณะอตุ สาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลศรีวชิ ัย. นิรนาม Positioning Magazine Thai. “กลว้ ย : ผลไมไ้ ทยท่คี วรเรง่ พัฒนาให้เป็นอุตสาหกรรม”. http://www.positioningmag.com/content29 ตุลาคม 2558. รศั มี ศุภศรมี ณฑาทิพย์ ย่นุ ฉลาด และเชาว์ อินทรป์ ระสทิ ธ์.ิ 2548. งานวจิ ัย “การปรบั ปรงุ คณุ ภาพผลติ ภัณฑ์ กลว้ ยทอดกรอบ”. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร.์ 82
การจัดการ การท่องเท่ยี ว โดยขมุ ชน มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลพระนคร 83
การจัดการ การทอ่ งเท่ยี ว โดยขุมชน มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลพระนคร โดย อาจารย์กรณพ์ งศ์ ทองศรี การจดั การการท่องเทย่ี วโดยชุมชน (Community Based Tourism:CBT) 1.แนวคดิ การทอ่ งเท่ียวโดยชุมชน พจนา สวนศรี (2546: 178-179) ได้ระบุว่า แนวคิดและต้นก�ำเนิดของ ค�ำว่า อีโคทัวร์ริซึม (ecotourism) มาจากประเทศตะวันตก มีการให้ค�ำนิยามค�ำ นี้หลากหลายขึ้นอยู่กับภูมิหลังของแต่ละคนหรือสังคมที่ผู้เขียนหรือนักวิชาการ คลุกคลีอยู่ โดยส่วนใหญ่จะให้ความส�ำคัญในเร่ืองการพัฒนาที่คู่ไปกับการอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ในบริบทสังคมไทยท่ีคนกับธรรมชาติมีความ ผกู พนั ใกลช้ ิดกัน แนวคิดนีจ้ งึ เน้นบทบาทของคนและชมุ ชนมากขนึ้ การท่องเทยี่ วแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ใหค้ วามหมายการท่องเทย่ี วเชิง นิเวศไว้ว่า “การท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบในแหล่งธรรมชาติท่ีมีเอกลักษณ์ เฉพาะถนิ่ และแหลง่ วฒั นธรรมทเี่ กยี่ วเนอื่ งกบั ระบบนเิ วศในพน้ื ท่ี โดยมกี ระบวนการ เรียนรู้ร่วมกันของผู้ที่เกี่ยวข้อง ภายใต้การจัดการส่ิงแวดล้อม เป็นการท่องเที่ยว อยา่ งมสี ว่ นรว่ มของทอ้ งถนิ่ เพอ่ื มงุ่ เนน้ ใหเ้ กดิ จติ สำ� นกึ ตอ่ การรกั ษาระบบนเิ วศอยา่ ง ยง่ั ยนื ” ซง่ึ มองวา่ คนและชมุ ชนเขา้ ไปมบี ทบาทในการทอ่ งเทยี่ วเชงิ นเิ วศ ในลกั ษณะ ของการเขา้ ไปมีสว่ นร่วมกับส่วนต่างๆ ที่เกย่ี วขอ้ งโดยมีแหล่งธรรมชาติเปน็ ฐาน 84
จากบทเรียนของการพัฒนาประเทศ โครงการพัฒนาหลายโครงการเป็น โครงการท่ีดีแต่ไม่สามารถท�ำได้เน่ืองจากมองท่ีโครงการเป็นตัวตั้งไม่ได้มองท่ี ประชาชน ดงั นน้ั การใหบ้ ทบาทและความสำ� คญั ของประชาชนเขา้ มามสี ว่ นรว่ มและ รสู้ กึ เป็นเจ้าของ เป็นจดุ เริ่มตน้ ของการพัฒนาทย่ี ง่ั ยืน ในส่วนขององค์กรประชาชน และองค์กรพัฒนาเอกชน เห็นว่าหากจะให้การท่องเท่ียวเชิงนิเวศยั่งยืนต้องมองที่ ชมุ ชนเป็นศนู ยก์ ลาง จึงเกิดแนวคดิ เรื่องการท่องเทยี่ วโดยชมุ ชนขน้ึ “การทอ่ งเทยี่ วโดยชมุ ชน (community base sustainable tourism) คอื การท่องเทยี่ วทคี่ �ำนึงถึงความยงั่ ยืนของสงิ่ แวดล้อม สงั คม และวัฒนธรรม กำ� หนด ทศิ ทางโดยชมุ ชน จดั การโดยชมุ ชนเพอ่ื ชมุ ชน และชมุ ชนมบี ทบาทเปน็ เจา้ ของมสี ทิ ธิ ในการจดั การดูแลเพ่ือให้เกดิ การเรียนรู้แก่ผมู้ าเยือน” โดยมองวา่ การทอ่ งเท่ยี วต้อง ทำ� งานครอบคลุม 5 ดา้ น พรอ้ มกัน ท้ังการเมือง เศรษฐกจิ สังคม วัฒนธรรม และ สิ่งแวดล้อม โดยมชี ุมชนเปน็ เจา้ ของและมีสว่ นในการจดั การ นอกจากนี้การท่องเท่ียวยังสามารถเป็นเครื่องมือในการพัฒนา โดยใช้การ ท่องเที่ยวเป็นเง่ือนไขและสร้างโอกาสให้องค์กรชุมชนเข้ามามีบทบาทส�ำคัญในการ วางแผนทิศทางการพัฒนาชุมชนของตนในชุมชน โดยเฉพาะอย่างย่ิงในชุมชนที่มี แนวโน้มว่าการท่องเท่ียวจะรุกคืบเข้าไปถึง หรือต้องการเปิดเผยชุมชนของตนให้ เป็นท่ีรู้จักในวงกว้าง ให้มีการสร้างให้เกิดกระบวนการเรียนรู้เก่ียวกับการวางแผน การบริหารจัดการทรัพยากรและกระจายอ�ำนาจการตัดสินใจโดยเน้นความส�ำคัญ ของการจัดการธรรมชาติแวดล้อมและใช้การท่องเที่ยวเป็นเคร่ืองมือในการพัฒนา ชมุ ชนไปพรอ้ มกัน ในชว่ ง 2 - 3 ปี ที่ผา่ นมาคำ� ว่า “Community-based Tourism : CBT” การทอ่ งเทยี่ วทใี่ หช้ มุ ชนเปน็ ฐานการบรหิ ารจดั การ “การทอ่ งเทยี่ วโดยชมุ ชน” เปน็ ทรี่ จู้ กั และใชก้ นั อยา่ งแพรห่ ลายในหลายๆความหมาย ความเขา้ ใจและประสบการณ ์ ซง่ึ การทอ่ งเทย่ี วโดยชมุ ชนเปน็ สว่ นหนงึ่ ทจ่ี ะนำ� ไปสกู่ ารทอ่ งเทย่ี วอยา่ งยงั่ ยนื ได้ เปน็ เรื่องการทอ่ งเทยี่ วเชงิ วฒั นธรรม การจัดการด้านโฮมสเตย์ ที่ตอ้ งมี “ชุมชน” เปน็ ส่วนประกอบส�ำคัญ การท่องเที่ยวกลายเป็น”เคร่ืองมือ”ท่ีรัฐบาลให้ความส�ำคัญเนื่องจากมีความ สำ� คญั ตอ่ การสรา้ งรายได้ เพอ่ื พฒั นาประเทศอยา่ งมากและยงั เปน็ รายไดท้ เี่ ปน็ อนั ดบั ตน้ ๆ ของประเทศ และมกี ารกระจายไปในหลายภาคอยา่ งค่อนข้างชดั เจน เชน่ การ เดินทาง ท่ีพัก การซือ้ ของทีร่ ะลกึ ภตั ตาคาร รา้ นค้าตา่ งๆ จึงมีการประกอบกจิ การ ท่เี กยี่ วขอ้ งกับการท่องเทีย่ วทั้งโดยทางตรงและทางออ้ ม ขยายมากข้ึน เช่นการเพ่ิม ข้นึ ของสถานทีพ่ ัก ท้ังโรงแรมขนาด 5 ดาว 4 ดาว ไปถึงท่พี กั แบบพ้นื บา้ นทีเ่ รยี กว่า โฮมสเตย์ การเพิ่มข้ึนของร้านอาหาร และแหล่งบริการอน่ื ๆ เพ่ือดงึ ดดู ความสนใจ ของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ และการขยายตัวไปในแทบทุกภูมิภาคของ ไทย ก่อให้เกิดการตื่นตัวเพราะมองว่าเป็นเรื่องง่ายท่ีจะมีรายได้เพ่ิมจากการท่อง เทยี่ ว ทเ่ี ปน็ ผู้มาซ้อื สินค้าถงึ ทไี่ ม่วา่ จะทใี่ ดกต็ าม 85
แตจ่ ากการทที่ รพั ยากรการทอ่ งเทยี่ วมจี ำ� กดั ไมว่ า่ จะเปน็ ทรพั ยากรการทอ่ งเทย่ี วทาง ด้านธรรมชาติ วัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่น ซึ่งผู้ดูแลหรือเป็นเสมือนเจ้าของก็คือ ประชาชนทอี่ ยใู่ นชมุ ชนนนั้ ๆ วา่ จะมกี ารบรหิ ารจดั การการทอ่ งเทยี่ วไดอ้ ยา่ งไร เพราะ ทรพั ยากรทกุ อยา่ งต้องมีขอ้ จ�ำกดั ในการใช้ทั้งส้ิน อยา่ งไรคอื การใช้อย่างยัง่ ยืน และ เปน็ ไปได้หรอื ไม่ท่ีจะด�ำเนินการตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพยี ง และควรทำ� อย่างไร เมอื่ “ชมุ ชน” กลายเปน็ “สนิ คา้ ” หรอื “เครอ่ื งมอื ” ทเี่ ปน็ ทง้ั ผกู้ ระทำ� และผถู้ กู กระทำ� ในขณะเดยี วกนั เปน็ สง่ิ ทที่ า้ ทายและละเอยี ดออ่ นอยา่ งยงิ่ เสมอื นกบั การทตี่ อ้ งคำ� นงึ ถงึ ความรสู้ กึ ความยนิ ดขี องผเู้ กย่ี วขอ้ ง ทงั้ ยงั เปน็ ผทู้ ถ่ี กู กลา่ วอา้ งถงึ อยตู่ ลอดเวลาใน การทรี่ ฐั บาลจะดำ� เนนิ การพฒั นาใดๆจงึ “ตอ้ งใหค้ วามสำ� คญั ตอ่ ชมุ ชนในระดบั ตน้ ๆ และชุมชนตอ้ งได้รับประโยชน”์ อยู่เสมอ เมอ่ื ชุมชนมาเกย่ี วขอ้ งกบั การท่องเที่ยวกจ็ ะมีค�ำใหม่ๆเกิดข้นึ อาทเิ ช่น การ ท่องเที่ยวชุมชน การท่องเที่ยวโดยชุมชน การท่องเท่ียวผ่านชุมชน การท่องเท่ียว ในชุมชน ก็ข้ึนอยู่กับนิยามแห่งการส่ือความหมายต่อค�ำดังกล่าว แต่ที่แน่นอนก็คือ “ชมุ ชน” เป็นสิ่งทต่ี อ้ งถกู กระทบอยา่ งหลีกเลี่ยงไม่ได้ และอย่างไรคือการท่องเทย่ี ว โดยชมุ ชน “Community Based Tourism : CBT “ ทเี่ หมาะสมอนั จะเปน็ แนวทาง สำ� หรับการพฒั นาด้านการทอ่ งเท่ียวในชุมชนได้อยา่ งเป็นรูปธรรมและเห็นผล 2.การท่องเทีย่ วโดยชุมชน : “Community-based Tourism : CBT” “เป็นเร่ืองของการเรียนรู้ร่วมกันของคนในชุมชนท้องถิ่นและผู้มาเยือน ใน การท่ีจะดูแลรักษาทรัพยากรด้านต่างๆ ของชุมชนที่มีอยู่แล้ว ตลอดจนเป็นเคร่ือง มอื ในการพฒั นาชมุ ชนใหเ้ กดิ ความยัง่ ยนื อนั เกดิ จากการมีส่วนร่วมของทกุ ภาคสว่ น ในชุมชน เพ่อื ประโยชน์แก่ชมุ ชน” 3.กระบวนการเรยี นรขู้ อง CBT : มอี งคป์ ระกอบทสี่ �ำคัญ คือ • ศกั ยภาพของคน ตอ้ งเรมิ่ ทค่ี นในชมุ ชนทจ่ี ะตอ้ งรจู้ กั รากเหงา้ ของตนเองใหด้ เี สยี ก่อน เพื่อความพร้อมในการบอกเล่าขอ้ มูลและคนในชุมชนตอ้ งมีความพร้อมท่ี จะเรียนรู้ มีความสามัคคี ท�ำงานรว่ มกนั ได้ 86
• ศักยภาพของพื้นท่ี หมายรวมถึง ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมประเพณี ภูมปิ ัญญาทอ้ งถิน่ ที่สืบสานตอ่ กนั มา คนในชมุ ชนตอ้ งรู้จกั ตอ้ งรักและหวงแหน เหน็ คณุ คา่ ของทรพั ยากรในชมุ ชนของตน สามารถทจ่ี ะนำ� มาจดั การไดอ้ ยา่ งคมุ้ ค่าและยั่งยืน ทั้งนแี้ ล้วชุมชนต้องมีความพร้อมในการเรียนรู้ ตลอดจนมคี วามรู้ ความเขา้ ใจ ในเรื่องแนวคดิ พ้ืนฐานทางดา้ นการท่องเที่ยวโดยชมุ ชน และการ จดั การในพืน้ ทีไ่ ดด้ ้วย • การจัดการ เป็นเรื่องท่ีไม่ง่ายนักที่จะท�ำอะไร เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เกิดความยั่งยืน สมดุลในกลุ่มคนหมู่มาก ดังน้ันชุมชนที่จะสามารถบริหาร จดั การ การท่องเท่ียวโดยชุมชน : “Community-based Tourism : CBT” ได้ ตอ้ งเป็นชมุ ชนที่มีผู้น�ำท่ีเป็นทีย่ อมรบั มคี วามคดิ มีวสิ ัยทศั น์ ความเข้าใจเร่ือง การท่องเที่ยวโดยชุมชน ทั้งยังต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานทั้งภาครัฐ ท่ีเก่ียวข้อง ต้องมีการพูดคุยก�ำหนดแนวทางในการเตรียมความพร้อมชุมชนรู้ ว่าพ้ืนที่ของตนจะมีรูปแบบการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนได้อย่างไร ควรมีกิจกรรม อะไรบา้ ง และจะมกี ารกระจาย จดั สรรรายได้อยา่ งไร ท้ังหลายทั้งปวงท่กี ลา่ ว มานนั้ สง่ิ สำ� คญั ทสี่ ดุ ของชมุ ชนกค็ อื การมสี ว่ นรว่ ม อนั หมายรวมถงึ รว่ มในทกุ ๆ ส่งิ ทุกอย่างเพ่ือสว่ นรวม • มสี ว่ นรว่ ม มไี ดอ้ ยา่ งไร การสอื่ สารพดู คยุ เปน็ การสอื่ ความคดิ เหน็ การถกปญั หา รวมถึงการหาทางแก้ไขปัญหาต่างๆจากการระดมความคิดจากประสบการณ์ ของนักวิจัยท้องถิ่นพบว่าชุมชนจัดให้มีเวทีพูดคุย ร่วมกันคิดวางแผนด�ำเนิน การ ประสานงานกับหน่วยงานตา่ งๆที่เกย่ี วข้องในการท�ำงานร่วมกัน สรา้ งกฎ ระเบยี บของชมุ ชนทางดา้ นตา่ งๆเพอื่ ใหค้ นในชมุ ชนรวมถงึ ผมู้ าเยอื นปฏบิ ตั ติ าม • ผลกระทบจากการทำ� การทอ่ งเทยี่ วโดยชมุ ชน : “Community-based Tourism : CBT” • ทกุ อยา่ งทด่ี ำ� เนนิ การยอ่ มสง่ ผลกระทบตอ่ สง่ิ ทต่ี งั้ อยู่ สง่ิ แวดลอ้ มโดยรอบทงั้ สน้ิ ซึ่งมีผลกระทบด้านบวกและด้านลบ (วีระพล ทองมา,2547:17-22 )ได้แก่ 1. ผลกระทบด้านบวก ส่งผลให้ชุมชนมีจิตส�ำนึกเกิดการพัฒนาตนเอง พึ่งพาตนเอง คิดเป็นท�ำเป็น มีความพยายามในการเรียนรู้พัฒนา เกิดรายได้เพิ่มขึ้นมีการรวมตัวกัน สร้างความเข้มแข็งในชุมชน น�ำ ไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ตามความคาดหวังและความพยายามท่ีจะ ด�ำเนนิ การเพอื่ ให้เปน็ ตามหลกั การพัฒนาอย่างย่งั ยนื 3 ด้าน ไดแ้ ก่ 1) ด้านเศรษฐกจิ 2) ดา้ นสังคมวัฒนธรรม 3) สิ่งแวดลอ้ ม และสงิ่ สำ� คญั ประการหนงึ่ ทจ่ี ะนำ� ไปสคู่ วามยงั่ ยนื คอื การรวบรวมองคค์ วาม รู้ ภูมิปัญญา สืบสานสืบทอด ตลอดจนการน�ำไปใช้ประโยชน์ได้ 87
เกิดความรักความภาคภูมิในความรู้สึกเป็นเจ้าของ มีส่วนร่วมใน ทรัพยากรของชุมชน และเกิดกระบวนการเรียนรู้การท�ำงานร่วม กันในทส่ี ดุ 2. ผลกระทบด้านลบ เกิดปัญหาด้านส่ิงแวดล้อม อาทิ จ�ำนวนขยะที่ เพมิ่ มากข้นึ จาก นักท่องเทีย่ ว การใชน้ �้ำ ระบบนเิ วศธรรมชาติ การ รบั วฒั นธรรมทเี่ ขา้ มาอยา่ งรวดเรว็ เกดิ กระแสการเลยี นแบบ มคี วาม ขัดแย้งทางความคิด เสียความเป็นส่วนตัวในการท่ีจะต้องรองรับ นักท่องเท่ียว และที่ส�ำคัญคืออาจถึงกับสูญเสียเอกลักษณ์ของท้อง ถ่ิน หากมีการตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวมากเกิน ไป ในสว่ นการตลาดนัน้ แต่ละชมุ ชนจะต้องให้ขอ้ มูลแนะน�ำชมุ ชน ตนเองและชุมชนอ่ืนท่ีถูกต้องและน่าสนใจแก่นักท่องเท่ียว และที่ นา่ ภมู ใิ จสำ� หรบั ชมุ ชนคอื การรกั ษแ์ ละหวงแหนทรพั ยากรธรรมชาติ วฒั นธรรม ประเพณี ภมู ปิ ญั ญาบรรพบรุ ษุ ทส่ี บื ตอ่ กนั มา แตช่ มุ ชนไม่ ไดล้ ะทงิ้ พนื้ ฐานเดมิ หรอื ปรบั เปลย่ี นวถิ ชี วี ติ ไปตามกระแสวฒั นธรรม และไม่ได้มุ่งหวังรายได้จากการท่องเที่ยวท่ีจะได้ให้เป็นรายได้หลัก ของชมุ ชนโดยละทง้ิ อาชพี ดง้ั เดมิ ทจี่ ะเปน็ การทจ่ี ะปรบั ตวั เพอ่ื รองรบั กระแสการท่องเที่ยวท่ีเขา้ ไปในชมุ ชน 4.หลักการท�ำงานการทอ่ งเทยี่ วโดยชมุ ชน จากแนวคดิ การทอ่ งเทยี่ วโดยชมุ ชน ทม่ี องชมุ ชนเปน็ ศนู ยก์ ลางหรอื ฐานเพอื่ กำ� หนดทศิ ทาง แผนงาน แผนปฏบิ ตั กิ ารของตนเองโดยดำ� เนนิ การพรอ้ มกนั ทงั้ ดา้ น การเมอื ง เศรษฐกจิ สงั คม วฒั นธรรม และสงิ่ แวดลอ้ มนน้ั จงึ ทำ� ใหก้ จิ กรรมการทอ่ ง เที่ยวเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการพัฒนาแบบองค์รวมและเก่ียวกับกลุ่มคนต่างๆ มากมาย เมื่อมองในบริบทของการพัฒนาการท่องเที่ยวท่ีต้องการให้ชุมชนมีส่วน ร่วมและได้ประโยชน์จากการท่องเทย่ี วจึงควรต้องมีหลักการรว่ มกัน ดงั น้ี 1. การท่องเท่ียวโดยชุมชนต้องมาจากความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง ชุมชนได้มีการพินิจพิเคราะห์สภาพปัญหา ผลกระทบการท่องเท่ียวอย่าง รอบดา้ นแลว้ ชมุ ชนรว่ มตดั สนิ ใจลงมตทิ จ่ี ะดำ� เนนิ การตามแนวทางทชี่ มุ ชน เหน็ สมควร 2. สมาชกิ ในชุมชนตอ้ งมสี ่วนร่วมทง้ั การคิดร่วม วางแผนร่วม ท�ำกจิ กรรมรว่ ม ตดิ ตามประเมินผลรว่ มกนั เรียนรู้ร่วมกันและรบั ประโยชนร์ ่วมกนั 3. ชมุ ชนตอ้ งการรวมตวั กนั เปน็ กลมุ่ เปน็ ชมรม เปน็ องคก์ ร หรอื จะเปน็ องคก์ ร 88
ชุมชนเดิมที่มีอยู่แล้วเช่นกัน องค์การบริหารส่วนต�ำบล (อบต.) ก็ได้ เพ่ือ กลไกที่ท�ำหน้าที่แทนสมาชิกทั้งหมดในระดับหนึ่ง และด�ำเนินการด้านการ กำ� หนดทศิ ทาง นโยบายการบรหิ าร การจดั การ การประสานงาน เพอื่ ใหก้ าร ทอ่ งเทยี่ วโดยชมุ ชนเปน็ ไปตามเจตนารมณข์ องสมาชกิ ในชมุ ชนทเี่ หน็ รว่ มกนั 4. รูปแบบ เน้อื หา กิจกรรม ของการท่องเทย่ี วโดยชุมชน ตอ้ งคำ� นงึ การอย่รู ว่ ม กนั อยา่ งมศี กั ดศ์ิ รี มคี วามเทา่ เทยี มกนั มคี วามเปน็ ธรรม และใหส้ ง่ ผลกระทบ ตอ่ ส่ิงแวดล้อม เศรษฐกิจ การเมอื ง สังคม และวฒั นธรรมในเชิงสร้างสรรค์ และลดผลกระทบในเชงิ ลบ 5. มีกฎ กตกิ าที่เหน็ รว่ มจากชมุ ชน ส�ำหรับการจัดการทอ่ งเทย่ี วทชี่ ดั เจน และ สามารถกำ� กบั ดแู ลให้เปน็ ไปตามกตกิ าทีว่ างไว้ 6. ชุมชนที่จัดการท่องเที่ยว สมาชิกในชุมชน ชาวบ้านท่ัวไปและนักท่องเท่ียว ควรมีกระบวนการเรียนรู้ระหว่างกันและกันอย่างต่อเนื่อง เพ่ือก่อให้เกิด การพัฒนากระบวนการท�ำงานการท่องเท่ียวโดยชุมชนให้ถูกต้องเหมาะสม และมีความชดั เจน 7. การท่องเท่ียวโดยชุมชน จะต้องมีมาตรฐานที่มาจากข้อตกลงร่วมภายใน ชมุ ชนดว้ ย เชน่ ความสะอาด ความปลอดภยั การกระจายรายไดท้ เ่ี ปน็ ธรรม ของผู้ท่เี กี่ยวขอ้ ง และพจิ ารณารว่ มกนั ถึงขีดความสามารถในการรองรับ 8. รายได้ท่ีได้รับจากการท่องเท่ียว มีส่วนไปสนับสนุนการพัฒนาชุมชนและ รักษาสง่ิ แวดลอ้ ม 9. การท่องเท่ียวจะไม่ใช่อาชีพหลักของชุมชน และชุมชนต้องด�ำรงอาชีพหลัก ของตนเองไว้ได้ ทั้งน้ีหากอาชีพของชุมชนเปล่ียนเป็นการจัดการท่องเที่ยว จะเปน็ การทำ� ลายชีวิตและจติ วญิ ญาณดงั้ เดิมของชมุ ชนอยา่ งชัดเจน 10. องค์กรชุมชนมีความเข้มแข็งพอท่ีจะจัดการกับผลกระทบที่อาจเกิดข้ึนได้ และพรอ้ มจะหยดุ เมอื่ เกนิ ความสามารถในการจดั การ ซง่ึ สงิ่ เหลา่ นหี้ ากมอง ในแงค่ วามพรอ้ มของชมุ ชนและประสทิ ธภิ าพในการบรหิ ารจดั การทอ่ งเทยี่ ว ในมิติของชุมชนแล้ว การท่องเที่ยวโดยชุมชนจะเป็นไปได้ด้วยดีน้ันยังต้อง พจิ ารณาจากมติ นิ อกชมุ ชนทีเ่ ขา้ มาเก่ียวข้องด้วยไดแ้ ก่ การตลาด นโยบาย รัฐท่เี ข้ามาสนับสนุน และพฤติกรรมของนักทอ่ งเทยี่ ว เปน็ ต้น 89
5.กระบวนการทำ� งานเพอ่ื เสรมิ สรา้ งความ เขม้ แขง็ ของชมุ ชนในการจดั การทอ่ งเทย่ี ว หากชมุ ชนมคี วามพรอ้ มมปี จั จยั เออื้ อำ� นวยตอ่ การเขา้ มบี ทบาทจดั การการ ท่องเท่ียวแลว้ นนั้ ผ้นู ำ� ชุมชนและแกนน�ำทห่ี ลากหลาย ตวั แทนกลุ่มตา่ งๆ ในชมุ ชน เชน่ กลุ่มเยาวชน กลุ่มสตรี กลมุ่ ออมทรัพย์ กลุ่มสหกรณ์การเกษตร ฯลฯ และผ้ทู ี่มี สว่ นเกยี่ วขอ้ ง เชน่ องคก์ ารบรกิ ารสว่ นตำ� บล เจา้ หนา้ ทป่ี า่ ไม้ ครอู าจารยใ์ นโรงเรยี น เปน็ ตน้ รว่ มกนั ประชมุ สมั มนาเพอื่ สรา้ งวสิ ยั ทศั นร์ ว่ มกบั การทอ่ งเทย่ี วโดยชมุ ชน ซงึ่ เป็นการผนึกก�ำลังความคิดสร้างสรรค์ ประสานแนวคิดของทุกคนให้เห็นเป็นภาพ เดียวกัน ในการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน และน�ำวิสัยทัศน์ท่ไี ดม้ าก�ำหนดเปน็ เปา้ หมาย เปน็ ทศิ ทางของการดำ� เนนิ กจิ กรรมการทอ่ งเทย่ี วโดยชมุ ชนในระยะตอ่ ไป ดงั ที่พจนา สวนศรี (2546: 185-188) ไดก้ ล่าวไวว้ า่ 6.วิสยั ทศั น์ ชุมชนหลายแห่งตัดสินใจเปิดการท่องเที่ยวโดยชุมชนและเป็นฝ่ายจัดการ เองนนั้ มรี ูปแบบการคิดตัดสนิ ใจดว้ ยการมองวิสัยทัศน์ 3 รูปแบบดว้ ยกัน คือ 1.มองกจิ กรรมการทอ่ งเทย่ี วเปน็ เครอ่ื งมอื หนง่ึ ในการเผยแพรข่ อ้ มลู ขา่ วสาร กับคนภายนอก ให้เกิดความรู้ความเข้าใจต่อสภาพปัญหาชุมชนที่ประสบอยู่ และ หวังว่าจะได้เพื่อนท่ีเขา้ ใจร่วมแกไ้ ขปญั หาต่างๆ รว่ มกัน อนั เป็นการเชื่อมโยงความ สมั พนั ธร์ ะหวา่ งคนตา่ งวฒั นธรรม เพอื่ ประสานการมสี ว่ นรว่ มแกไ้ ขปญั หาของชมุ ชน น้ัน 2. การทอ่ งเทยี่ วทำ� ใหเ้ กดิ ผลกระทบทางสงั คม วฒั นธรรม และสง่ิ แวดลอ้ ม จ�ำเป็นที่ชุมชนต้องรวมตัวกันเข้ามาจัดการให้นักท่องเที่ยวและผู้ท่ีเก่ียวข้องให้ ปฏบิ ัติอยู่ในกฎ กตกิ าของชุมชน การจัดระเบียบการแบ่งปนั ผลประโยชนแ์ กผ่ ูค้ นที่ เกยี่ วขอ้ งและผลประโยชนใ์ นชมุ ชน การสรา้ งมาตรฐานตา่ งๆ ของการทอ่ งเทย่ี วโดย ชมุ ชนเอง ทง้ั เพอ่ื ไมใ่ หเ้ กดิ ผลกระทบมากเกนิ ขดี ความสามารถทชี่ มุ ชนจะจดั การได้ 3. การทอ่ งเท่ยี วเปน็ กระบวนการเรยี นร้รู ะหว่างคนกับธรรมชาติ เปน็ การ สรา้ งโอกาสในการฟน้ื ฟวู ฒั นธรรม ภมู ปิ ญั ญา และสงิ่ แวดลอ้ ม โดยมองทร่ี ายไดเ้ ปน็ เพียงแค่ผลพลอยไดจ้ ากกระบวนการเรยี นรทู้ า่ มกลางการทอ่ งเทีย่ ว ซึ่งท้ัง 3 รูปแบบน้ีมีพ้ืนฐานการคิดจากชุมชนเอง ท่ีมีความภูมิใจใน วัฒนธรรม และภูมิปัญญาของตนเองท่ีพร้อมจะส่ือต่อคนภายนอก โดยใช้การท่อง เทยี่ วเปน็ เครอ่ื งมอื ในการถา่ ยทอดนอกจากนนั้ แลว้ ชมุ ชนเองยงั ตอ้ งการความเขา้ ใจ ความรว่ มมอื ของนักท่องเท่ยี วในเคารพในกฎ กตกิ า ทชี่ มุ ชนรว่ มกันสรา้ งไว้เพ่อื ให้ 90 เกดิ การเรยี นรูร้ ่วมกันของคนต่างวฒั นธรรม
7.วัตถปุ ระสงค์ วตั ถปุ ระสงคข์ องการจดั การการทอ่ งเทย่ี วโดยชมุ ชน ซง่ึ มาจากการกำ� หนด จากวิสัยทัศน์ที่จัดท�ำร่วมกันในชุมชน และน�ำมาก�ำหนดเป็นวัตถุประสงค์ที่เป็นรูป ธรรม ใหม้ คี วามชดั เจนขนึ้ โดยชมุ ชนจะมกี ารกำ� หนดวตั ถปุ ระสงคห์ ลกั อยู่ 4 ประการ ดว้ ยกนั คอื 1. เพอ่ื ใหก้ จิ กรรมการทอ่ งเทยี่ ว เปน็ กจิ กรรมเพอื่ พฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ทเ่ี นน้ คนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา เป็นกิจกรรมท่ีเชื่อโยงกับกิจกรรมการพัฒนาชุมชนใน รปู แบบอนื่ ๆ ทตี่ อ้ งเออื้ อำ� นวยการเรยี นรตู้ อ่ การกนั และกนั ได้ เชน่ การทอ่ งเทย่ี วโดย ชุมชนที่ไปเยือนชุมชนชาวประมงพ้ืนบ้าน นักท่องเที่ยวควรเกิดการเรียนรู้บทบาท ของประมงขนาดเล็กทีท่ ำ� หน้าท่อี นรุ ักษ์ทรพั ยากรชายฝงั่ ด้วย 2. เพือ่ ให้กิจกรรมการท่องเท่ยี วเป็นตวั กระตุ้นสง่ เสรมิ ให้ชุมชนโดยเฉพาะ คนหนุ่มสาวได้เข้าใจ ให้คุณค่า ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมประเพณีของชุมชนให้ กลับฟ้นื คนื สภาพได้ในระยะต่อไป 3. เพ่ือก่อให้เกิดการรวมตัวกันของคนในชุมชน ท่ีเผชิญต่อผลกระทบ ทางการท่องเที่ยวแบบเดิม ให้เข้ามีส่วนร่วมจัดการลดผลกระทบดังกล่าว และจัด ระเบยี บชมุ ชนให้เปน็ ระบบท่ีท�ำใหช้ ุมชนอยรู่ ว่ มกนั อย่างสันติสุข 4. เพ่ือเป็นเครื่องมือการเผยแพร่ให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องของวัฒนธรรม ประเพณี วิถชี ีวิตกับสาธารณชนภายนอก จะเห็นได้ว่าในมิติของชุมชนไม่ได้มองเร่ืองรายได้เป็นเร่ืองหลัก ผิดกับใน ระดบั นโยบายการทอ่ งเทยี่ วมกั จะใหค้ วามสำ� คญั เรอื่ งรายไดเ้ ปน็ อนั ดบั แรก หากเอา คณุ คา่ วิธีคิดทีเ่ ป็นพนื้ ฐานทส่ี �ำคัญในสงั คมไทย อนั ได้แก่ การมีน้�ำใจ ความเอ้อื อารี ประกอบกับการมีวิถชี วี ติ ท่ีสมั พันธก์ บั ธรรมชาติ ความรักในศิลปวัฒนธรรม อันเปน็ ทุนทางสังคมของคนไทย ก็จะท�ำให้การริเร่ิมและมองการท่องเท่ียวได้ถูกทิศทางย่ิง ข้ึน 8.การประเมินความเป็นไปได้ของการ จัดการท่องเทีย่ วโดยชมุ ชน เนื่องจากการจัดการท่องเที่ยวของชุมชนเป็นสิ่งท่ีต้องเกี่ยวข้องกับคน ภายนอก ดงั น้นั ทักษะ ความชัดเจน การจดั การให้เหมาะสม จึงเป็นเรือ่ งท่ชี ุมชน เองยังมีคงวามกังวลอยู่พอสมควร แม้ว่าจะมีปัจจัยที่เอื้อ และการสนับสนุนจาก ภายนอกพอสมควร แต่ชมุ ชนเองต้องสามารถคาดการณ์ และประเมนิ วา่ วสิ ยั ทศั น์ วตั ถปุ ระสงค์ ของการจดั การทอ่ งเทยี่ วโดยชมุ ชนนน้ั มคี วามเปน็ ไปไดม้ ากนอ้ ยเพยี งไร โดยการร่วมกันอภิปราย ระดมความคิดเห็น จากชุมชนให้กว้างขวางจนสามารถ สรุปดว้ ยมติของชุมชนเอง ซงึ่ มอี งค์ประกอบการประเมนิ อยู่ 7 ประการด้วยกัน คือ 91
1. ผู้น�ำชุมชนและแกนน�ำชุมชน สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ภายนอก และสภาพปัญหาชุมชนตลอดจนมองแนวทางแก้ไขปัญหาได้แบบชัดเจน และมอง กิจกรรมการท่องเท่ียวเป็นกิจกรรมหน่งึ หรือกิจกรรมร่วมเชอ่ื มตอ่ ทศิ ทางการแกไ้ ข ปญั หาโดยภาพรวมของชมุ ชนได้ แลว้ จงึ ไดก้ ำ� หนดเปน็ วตั ถปุ ระสงคเ์ ปา้ หมายการทำ� กิจกรรมการทอ่ งเทย่ี ว 2. การมีส่วนรว่ มของชุมชนทง้ั หมด เนอื่ งจากเป็นเรอ่ื งท่ตี อ้ งเก่ยี วข้องกบั สทิ ธขิ องชมุ ชน การจดั การทรพั ยากรธรรมชาติ สงิ่ แวดลอ้ ม ขนบธรรมเนยี มประเพณี วัฒนธรรมชุมชนที่ชุมชนต้องมีการคิดไตร่ตรองวินิจฉัย และร่วมตัดสินใจจะเปิด หมู่บา้ นรองรบั อย่างไร ควรเปน็ รูปแบบใด ใครบ้างทเ่ี กย่ี วข้อง ใครมบี ทบาทจัดการ อยา่ งไร และภายหลังนักท่องเทยี่ วกลบั แลว้ มีการลดผลกระทบอยา่ งไร ด้วยวธิ ีการ ใด ตลอดจนการแบง่ ปันผลประโยชนภ์ ายในชมุ ชน 3. ชุมชนต้องมีส่วนร่วมในการจัดต้ังองค์กรภายในชุมชน เพื่อรับผิดชอบ กจิ กรรมนี้ หรอื ผลกั ดนั ใหอ้ งคก์ รชมุ ชนอน่ื ทพี่ จิ ารณาแลว้ วา่ มคี วามพรอ้ มทำ� หนา้ ที่ รบั ผดิ ชอบเปน็ หนว่ ยงานหนงึ่ ขององคก์ รนนั้ ๆ แตท่ ง้ั นกี้ ารดำ� เนนิ การขององคก์ รตอ้ ง เป็นไปดว้ ยความโปรง่ ใส เพราะมีผลประโยชน์ทเี่ ขา้ มาเก่ยี วขอ้ ง 4. การพิจารณาเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น หรือของดีในชุมชนเพื่อจัดปรับเป็น กจิ กรรมทอ่ งเทย่ี วใหส้ อดคลอ้ งตอ่ ชมุ ชน สง่ ผลกระทบตอ่ สงิ่ แวดลอ้ มและวฒั นธรรม ให้น้อยท่สี ดุ เทา่ ทีส่ ามารถจะทำ� ได้ 5. ความพรอ้ มของผทู้ สี่ นใจจะเกย่ี วขอ้ งกบั กจิ กรรมทอ่ งเทย่ี ว จะมบี ทบาท หลากหลายมากข้ึน คือจะมีผู้ท่ีเกี่ยวข้องกับที่พัก อาหาร การดูแลความปลอดภัย การน�ำพานักท่องเท่ียว การสื่อความหมาย และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ต้องไม่ใช่ กระจุกตัวอยู่เฉพาะกลุ่มแกนน�ำภายในชุมชนเท่านั้น ควรมีระบบกระจายที่ทั่วถึง และเป็นธรรม 6. การเสริมสร้างบรรยากาศการเรียนรู้จากประสบการณ์จรงิ ทรี่ ะรองรบั นักท่องเท่ียวเพื่อสามารถจัดปรับกระบวนการให้เหมาะสม สอดคล้องย่ิงข้ึน และ ร่วมแก้ไขปญั หาที่เกย่ี วข้อง ตลอดจนการลดผลกระทบของการทอ่ งเที่ยวในครง้ั ต่อ ไป 7. ประสบการณ์ทักษะในการจัดการท่องเท่ียวโดยชุมชนที่ต้องบูรณาการ ความต้องการความเพลิดเพลิน ความต่ืนตัวและการเรียนรู้ ให้เป็นโปรแกรมและ กิจกรรมการท่องเทีย่ วที่เหมาะสมของแตล่ ะพ้นื ท่ี การเตรยี มความพรอ้ มของชมุ ชนในการจดั การการท่องเทยี่ ว การท่องเท่ียวเป็นเสมือนงานพัฒนาชุมชนอย่างหนึ่ง เป็นส่ิงท่ีดูเหมือน ง่ายแต่ท�ำยาก ที่ว่ายากน้ันก็เพราะการท่องเที่ยวเป็นการพัฒนาที่ตอบสนอง กระแสบริโภคนิยม การท่องเท่ยี วทำ� ให้ชุมชนหลุดออกจากฐานการผลิตเดิมในภาค การเกษตร สธู่ รุ กจิ ดา้ นบรกิ าร กำ� ลงั ซอื้ ทส่ี งู กวา่ ของนกั ทอ่ งเทย่ี วจงึ สามารถกำ� หนด 92
“สนิ คา้ ” และ “บรกิ าร” ไดต้ ามความตอ้ งการ ทำ� ใหส้ ภาพทางสงั คมและวฒั นธรรม ในแหล่งท่องเท่ียวมักถูกครอบง�ำจากวัฒนธรรมภายนอกที่เข้ามาพร้อมกับนักท่อง เที่ยว เปน็ ดาบสองคมและมคี วามเส่ียงอย่างยง่ิ ในการนำ� ไปใช้ในการพฒั นา อย่างไรก็ตาม ก่อนท่ีจะเปิดหมู่บ้านต้อนรับนักท่องเที่ยว ชุมชนควรจะ ตอ้ ง “รตู้ วั ” เขา้ ใจและตระหนกั ตอ่ การทอ่ งเทยี่ วนตี้ ลอดจนการสรา้ งภมู คิ มุ้ กนั โดย การเตรียมความพร้อมชุมชน ซ่ึงผู้ด�ำเนินการพัฒนาการท่องเท่ียวโดยชุมชนควรมี กระบวนการท�ำงาน ตามทพี่ จนา สวนศรี (2546: 189-190) ไดก้ ล่าวไวว้ า่ ดังนี้ ข้ันท่ี 1 ให้ข้อมูลด้านการท่องเท่ียวให้ชุมชนในการพิจารณาทั้งด้านบวก และลบของการทอ่ งเท่ียว ซ่งึ ในขั้นตอนนีอ้ าจจะมเี ฉพาะผนู้ ำ� หรือกล่มุ สนใจ ขน้ั ท่ี 2 สร้างการมสี ่วนรว่ ม เปน็ การดึงเอากลุ่มท่ีสนใจการทอ่ งเที่ยวโดย ชมุ ชน และกล่มุ องค์กรต่างๆ ในชมุ ชน เช่น กลุ่มเยาวชน กลมุ่ สตรี กลุ่มออมทรัพย์ และผนู้ ำ� ทเ่ี ปน็ ทางการและผนู้ ำ� ทางธรรมชาตมิ าพดู คยุ เรอื่ งผลด-ี ผลเสยี อกี ครงั้ เพอ่ื ให้เขาเหล่าน้นั ไดร้ ว่ มกันตดั สนิ ใจเร่อื งนี้รว่ มกัน ข้ันที่ 3 ศกึ ษาชุมชนรว่ มกับชาวบา้ น โดยการท�ำงานรว่ มกบั ชาวบ้านเพอื่ ศึกษาในหัวข้อดังน้ี • การส�ำรวจทางกายภาพ • ทำ� แผนทรี่ อบนอก (แสดงแหลง่ ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละทด่ี นิ ท�ำกิน) • แผนทรี่ อบในหมบู่ า้ น (แสดงทตี่ งั้ ของบา้ นเรอื น ทรพั ยากรคน สร้างและทรัพยากรธรรมชาต)ิ • ศกึ ษาประวตั ศิ าสตรช์ มุ ชน ภมู ปิ ญั ญา วฒั นธรรม ประเพณขี องชมุ ชน • ศึกษาความสัมพันธ์ของชุมชนกับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และ ทรพั ยากรเพือ่ การทอ่ งเที่ยว • ศกึ ษากลุม่ ตา่ งๆ ในชมุ ชน • ซงึ่ ผลการศกึ ษานจี้ ะทำ� ใหเ้ หน็ ศกั ยภาพ-ขอ้ จำ� กดั ของชมุ ชน และปญั หา ของชมุ ชนร่วมกัน ข้ันท่ี 4 วเิ คราะห์ข้อมลู ร่วมกนั ทัง้ ในด้านศกั ยภาพ-ขอ้ จ�ำกัด โอกาสและ ความเสี่ยง ในขน้ั ตอนนจ้ี ะทำ� ให้ชุมชนไดม้ องเห็นไดด้ ้วยตนเอง และสามารถเชอื่ ม โยงเร่ืองท่องเท่ียวกับการพัฒนาชุมชนได้ การวิเคราะห์ข้อมูลในคร้ังน้ีจะท�ำให้เกิด การจัดล�ำดับความส�ำคัญของปญั หา และอาจพบวา่ เพอื่ แกป้ ญั หาให้ตรงจดุ อาจจะ ไมจ่ ำ� เป็นต้องใช้เรอื่ งการท่องเที่ยวเลยก็เปน็ ได้ ขน้ั ท่ี 5 รว่ มกันพัฒนาศักยภาพและแกไ้ ขจุดออ่ น อาทิ • รวบรวมองค์ความรู้ ซ่ึงแต่ละชุมชนจะแตกต่างกันออกไปมี เอกลักษณ์เฉพาะชุมชน เช่น บางชุมชนเด่นด้านการพัฒนาชุมชน บางชมุ ชนเดน่ ระบบการจดั การนเิ วศทใ่ี ชภ้ มู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ไดเ้ หมาะ สม เปน็ ตน้ ซงึ่ ชมุ ชนตอ้ งรว่ มกนั ดงึ เอกลกั ษณ์ ใหเ้ หน็ รว่ มกนั กอ่ นนำ� สู่การเผยแพรอ่ อกไป 93
• ปรบั ปรงุ แหลง่ ทอ่ งเทย่ี วใหเ้ หมาะสม สอดคลอ้ ง ปลอดภยั ไมท่ ำ� ลาย ระบบนิเวศเดมิ มากนัก เชน่ การปรับทางเดนิ ในปา่ เขา เป็นต้น • ปรับปรุงบ้านพักและความสะอาดภายในชุมชนให้เป็นมาตรฐาน ของชมุ ชนแต่ละแห่งทีต่ กลงรว่ มกนั โดยมคี ณะกรรมการของชมุ ชน ตรวจสอบอย่างสม่ำ� เสมอ • ฝกึ อบรมบคุ ลากรดา้ นการทอ่ งเทยี่ วในชมุ ชน เชน่ นกั สอ่ื ความหมาย การสรา้ งเวทีเรียนร้กู บั นักทอ่ งเทย่ี ว เปน็ ตน้ ซง่ึ ในขนั้ ตอนนจ้ี ะเหน็ ความสามารถของชมุ ชน ในการรองรบั การท่องเที่ยวทง้ั ความพร้อม จ�ำนวนบุคลากร และขีดความสามารถในการรองรับท้ังพื้นที่ทาง ธรรมชาติ และรปู แบบกจิ กรรมที่สอดคลอ้ งกบั วถิ ชี วี ติ ของชุมชน ขน้ั ที่ 6 วางรปู แบบการบรหิ ารจดั การ ในขนั้ ตอนนจ้ี ะเปน็ การจดั ตง้ั องคก์ ร ขึ้นมาท�ำงาน หรืออาจใช้องค์การที่ชุมชนมีอยู่เดิมแต่เพิ่มเติมบทบาทหน้าที่ มีการ กำ� หนดวตั ถปุ ระสงคใ์ หช้ ดั เจน กำ� หนดรปู แบบของการทอ่ งเทยี่ ว โปรแกรมและราคา การจัดสรรผลประโยชน์ สชู่ าวบ้านและชมุ ชน และมาตรการในการปอ้ งกนั ผลกระ ทบ โดยอาจจะเปน็ การสร้างกฎ-กติกา เพื่อเปน็ แนวทางปฏบิ ัตทิ ้ังชาวบา้ นและนกั ทอ่ งเท่ยี ว ขนั้ ท่ี 7 ประสานงานกบั หนว่ ยงานทเ่ี กยี่ วขอ้ ง เพอ่ื ใหร้ บั รแู้ ละชว่ ยใหข้ อ้ มลู แกผ่ ูท้ ่ีสนใจ ขนั้ ท่ี 8 ทดลองดำ� เนนิ กจิ กรรมการทอ่ งเทยี่ ว ในขนั้ ตอนนอี้ าจมกี ารจดั ทอ่ ง เท่ียวน�ำร่อง เพ่ือทดสอบความพร้อมของชุมชน โดยการเชิญบุคคลหรือหน่วยงาน ภายนอกทม่ี ปี ระสบการณห์ รอื เกย่ี วขอ้ งกบั การทอ่ งเทย่ี ว โดยชมุ ชนเขา้ รว่ มกจิ กรรม ให้แสดงความคดิ เหน็ และขอ้ เสนอแนะ เพือ่ เป็นทศิ ทางต่อไปในอนาคต ข้ันที่ 9 ประเมนิ ผล ในขัน้ ตอนประเมินผล อาจแยกออกมาเป็น 2 สว่ น คอื การประเมินผลและสรุปบทเรยี นหลังเสรจ็ กจิ กรรมทกุ ครั้ง และการประเมินผลเป็น ช่วงๆ ทุกๆ 3-6 เดือน เปน็ ต้น ซง่ึ การประเมินผลจะช่วยใหเ้ กิดการทบทวนตนเอง และแก้ไขข้อบกพรอ่ ง ขน้ั ที่ 10 พัฒนาองค์กร • การฝกึ อบรม เชน่ การบรหิ ารจดั การ การสร้างการมีสว่ นรว่ ม การ ส่อื ความหมาย เป็นต้น • การศึกษาดูงาน ส�ำหรับแกนน�ำองค์กรชุมชนเพ่ือจัดการท่องเท่ียว เพอื่ เสรมิ โลกทศั น์ พฒั นาทกั ษะการบรหิ าร การจดั การในชมุ ชนอน่ื ๆ ท่ีมีลักษณะคล้ายๆ กัน เพื่อเปน็ ตวั อยา่ งน�ำไปประยกุ ต์ หรือเปน็ บท เรยี นทช่ี มุ ชนตอ้ งพงึ ระวงั ผลกระทบทอ่ี าจเกดิ ขนึ้ ได้ และวางมาตรการ ป้องกันไวแ้ ตเ่ ร่มิ แรก กระบวนการทั้ง 10 ขนั้ ตอนแล้ว จะเหมอื นการทำ� งานพัฒนาปกตนิ ั่นเอง แตส่ ่งิ ท่ยี ากกค็ อื เรื่องท่องเทีย่ วเปน็ เร่อื งทช่ี าวบา้ นไมค่ ุน้ เคยมากอ่ น และไมม่ ่นั ใจวา่ 94
ตนเองจะท�ำได้ แต่ละค�ำถามในแต่ละขั้นตอนในกระบวนการเตรียมชุมชน จะต้อง เป็นการปลุกระดมส�ำนึกของทอ้ งถ่ิน ให้คนท้องถิน่ อยากร้จู กั ตนเอง และเกดิ ความ ภาคภมู ใิ จในตนเอง การทอ่ งเทย่ี วกจ็ ะเกดิ ความชดั เจนมากขน้ึ วา่ เปน็ การเขา้ มาเพอ่ื ใหช้ มุ ชนไดน้ ำ� เสนอตวั อยา่ งตอ่ สาธารณะ การแลกเปลย่ี นเรยี นรเู้ ปน็ หวั ใจสำ� คญั ของ การท่องเท่ียว นอกจากปลุกส�ำนึกของชุมชนแล้วยังเป็นการสร้างจิตส�ำนึกของนัก ทอ่ งเทยี่ วต่อการอนรุ กั ษ์ส่งิ แวดลอ้ ม และการเหน็ คณุ ค่าทางวฒั นธรรมของชมุ ชนที่ ไดเ้ ขา้ มาเยีย่ มเยอื น 9.สรุปหลักการจดั การท่องเท่ยี วโดยชุมชน • การจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชน มีเป้าหมายอยู่ที่การอยู่ร่วมกับ ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนภายใต้ เงื่อนไข การบีบคั้นจากนโยบาย ที่ท�ำให้มี การแย่งชงิ ทรพั ยากร (ความรู้ อำ� นาจ กฎหมายอยู่ในมือของภาครฐั ) เช่น ความขัด แย้งเรื่องไร่หมุนเวียน การจัดการท่องเท่ียวโดยชมุ ชนถกู มองว่าเปน็ ทวั ร์เถอ่ื น • การจัดการทรัพยากรควรมองที่ - ความเป็นชุมชน วฒั นธรรมชนเผา่ - กฎหมายบางอยา่ งไมส่ อดคล้องกบั วิถีชวี ิตของชนเผ่า • เกิดเครือข่ายการจัดการท่องเที่ยว โดยสร้างผลกระทบคือ ฟื้นวิถีชีวิต เกดิ รายไดเ้ สรมิ หนว่ ยงานและบคุ คลภายนอกเขา้ ใจวถิ ีชีวิต • กระบวนการท�ำงานของโครงการในประเดน็ การท่องเท่ยี ว แผนงาน 1.เตรยี มความพรอ้ มชุมชน 2.งานสรา้ งเครือข่าย 3.งานพฒั นาผลติ ภณั ฑช์ มุ ชน / ของที่ระลกึ วธิ กี ารทำ� งาน •เตรียมความพร้อมของชมุ ชน -ศกึ ษาศกั ยภาพ ความเปน็ ไปได้ -อบรมการบรหิ ารจัดการ -เตรียมแหลง่ ทอ่ งเที่ยวและบรกิ ารต่างๆ -อบรมการสอ่ื ความหมายทางธรรมชาตแิ ละวฒั นธรรม -จดั ทวั รน์ ำ� รอ่ ง -ประเมนิ ผลประจ�ำปี -จัดทัวร์ประเมินผล 95
Search