วารสวาารรวสิชาราวกชิ าารกราบัรรใชบั ้สใชังส้คงัมคมมหมาหวาทิ วยทิ ายลาลยั ยัเทเทคคโนโนโลโลยยรี รี าาชชมมงงคคลลลลา้ ้านนนนาา วัตถุประสงค์ วารสารวิชาการรับใช้สังคม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา มีวัตถุประสงค์เพื่อตีพิมพ์ผลงาน วิชาการด้านรับใช้สังคม ท้ังงานวิจัยและงานบริการวิชาการ เผยแพร่เพื่อพัฒนาสังคมและส่งเสริมให้นักวิชาการ ดา้ นรบั ใชส้ ังคมในหนว่ ยงานตา่ ง ๆ ไดม้ แี หลง่ นาเสนอผลงานทางวชิ าการสู่สาธารณะ ทป่ี รกึ ษากองบรรณาธิการ สงคธ์ นาพิทักษ์ อธิการบดมี หาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา รองศาสตราจารย์ ดร.นายุทธ วชั รดารงค์ศกั ด์ิ รองอธกิ ารบดี ด้านวจิ ยั และการถา่ ยทอดเทคโนโลยี ดร.ภาสวรรธน์ บรรณาธกิ ารผ้ทู รงคณุ วฒุ ภิ ายในและภายนอก ศาสตราจารย์ ดร.จกั รี เส้นทอง มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ ศาสตราจารย์ ดร.อารี วิบูลย์พงศ์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์ ศาสตราจารย์ ดร.ผดงุ ศกั ดิ์ รตั นเดโช มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ รองศาสตราจารย์ ดร.กาญจนา แก้วเทพ สถาบนั สมองของชาติ รองศาสตราจารย์ ดร.อาวรณ์ โอภาสพัฒนกิจ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ รองศาสตราจารย์ ดร.เศรษฐ์ สมั ภัสตะกลุ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ รองศาสตราจารย์ ดร.พีระพงศ์ ทฆี สกุล มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์ รองศาสตราจารย์ ดร.กติ ติ บญุ เลศิ นริ ันดร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภมู ิ รองศาสตราจารย์ ดร.พรหทยั ตัณฑ์จิตานนท์ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา รองศาสตราจารย์ ดร.ชิติ ศรีตนทิพย์ มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา รองศาสตราจารย์ ดร.พานชิ อินต๊ะ มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา รองศาสตราจารย์ สุทัศน์ จลุ ศรไี กวัล มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปฏภิ าณ สทุ ธกิ ุลบุตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.อาพรรณ พรมศิริ มหาวทิ ยาลยั แม่โจ้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดวงพร ออ่ นหวาน มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ยทุ ธนา เขาสุเมรุ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา ดร.สมคดิ แก้วทิพย์ มหาวิทยาลยั แมโ่ จ้ VRoMl.U1 TNLo.J1oJuarnnuaarlyS-oJcuinaell2y0o16f Engaged Shchoolalrasrhshipip
คกณองะบกรรณรมากธกิาารรดบำ� รเิหนาินรงาน เพชรบุล เขาสุเมรุ นายภฤศพงศ์ ธารพรศรี ผู้ช่วยศาสตราจารยย์ ุทธนา อินตะ๊ นายเกรยี งไกร วรพจนพ์ รชัย รองศาสตราจารย์ ดร.พานชิ หอชยั รตั น์ ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ไพโรจน์ ศรีประเสรฐิ ว่าท่รี อ้ ยตรีรัชตพ์ งษ์ กาแพงแก้ว วา่ ทร่ี ้อยตรเี กรยี งไกร พรมพราย นายนรศิ ณ วรรณมา นายพิษณุ อ่อนนวล นายวีรวิทย์ สารภี นางสาวทนิ พมิ พน์ วน นางสาวรัตนาภรณ์ สภุ าพรเหมนิ ทร์ นางสาวอารีรัตน์ ผอู้ ยสู่ ุข นายเจษฎา นางสาวสุธาสินี พมิ พ์ท่ี สถาบนั ถ่ายทอดเทคโนโลยสี ชู่ มุ ชน มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา 98 หมู่ 8 ตาบลปา่ ป้อง อาเภอดอยสะเกด็ จังหวัดเชยี งใหม่ 50220 สานักงาน สถาบันถา่ ยทอดเทคโนโลยีสู่ชมุ ชน มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา 98 หมู่ 8 ตาบลป่าปอ้ ง อาเภอดอยสะเก็ด จังหวดั เชียงใหม่ 50220 บทความทุกเร่ืองได้รับการตรวจความถูกต้องทางวิชาการโดยผู้ทรงคุณวุฒิ ข้อความและบทความใน วารสารวิชาการรับใช้สังคม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เป็นแนวคิดของผู้เขียน มิใช่ความ คิดเห็นของคณะผู้จัดทาและมิใช่ความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ และกองบรรณาธิการไม่สงวนสิทธิ์ คดั ลอก แต่ให้อ้างองิ ทมี่ า วารสารวชิ าการรับใช้สงั คม มทร.ลา้ นนา ปีที่ 1 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม - มิถนุ ายน 2559
บบททบบรรรรณณาธาิกธาิกราร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล มีบทบาทหน้าที่ให้บริการวิชาการสู่สังคมและผู้ประกอบการ เพ่ือ ถ่ายทอดองค์ความรู้ และถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับประชาชนท่ีสนใจทั่วไป ในการพัฒนาอาชีพและสร้าง มูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ด้วยการบริการวิชาการแก่สังคมของมหาวิทยาลัยกาหนดให้เน้นความย่ังยืนและ ต่อเน่ือง โดยการดาเนินงานของมหาวิทยาลัยถูกกาหนดให้มีเกณฑ์การประเมินผลของ สานักงาน คณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ว่าด้วย งานบริการวิชาการ คือ งานท่ีมีการนาความรู้ที่มีอยู่แล้วไป ช่วยทาความเข้าใจกบั ปัญหา แก้ปัญหา หรือปรับปรุงพัฒนาตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย รวมถึง งานส่งเสริมเผยแพร่ความรู้ ทั้งด้านวิชาการและวิชาชีพต่อกลุ่มบุคคล สังคม โดยมีระบบและกลไกการ บริการทางวิชาการแก่สังคมอย่างเป็นระบบและขับเคล่ือนระบบ ให้เชื่อมโยงกับการจัดการเรียน การสอน และการวิจยั และสามารถบูรณาการบริการวชิ าการแกส่ งั คมกบั การเรยี นการสอนอยา่ งเปน็ รูปธรรม สถานการณ์ที่คุ้นเคยในการบริการวิชาการของมหาวิทยาลัยในอดีตคือ การฝึกอบรม การถ่ายทอด องค์ความรู้ตามความเชี่ยวชาญของบุคลากรในมหาวิทยาลัย ทาให้เห็นว่า “ภาพการถ่ายทอดองค์ความรู้ตาม ความต้องการของผู้ให้มากกว่าผู้รับ” อาทิ มองเพียงแรงจูงใจของนักวิชาการ ที่ต้องการถ่ายทอดไม่ถามความ ต้องการของกลมุ่ เป้าหมาย องค์ความรมู้ คี วามเฉพาะทางเปน็ รูปแบบการถา่ ยทอดตามศาสตร์ ไม่มีองคค์ วามรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่นหรือองค์ความรู้เดิมเข้ามาบูรณาการ เน้นบทบาทเป็นผู้ให้มากกว่าการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เป้าหมายของการดาเนินกิจกรรมจะอยู่ท่ีจานวนของผู้ที่เข้ารับการถ่ายทอดหรือฝึกอบรม จะมีการติดตาม การนาไปใชจ้ รงิ ของผรู้ บั การถ่ายทอดน้อยมากหรือไม่มเี ลย เมือ่ กระแสความเปล่ยี นแปลงของงานบรกิ ารวิชาการกา้ วส่ยู ุค “เน้นผลรูปธรรม” เนน้ “กระบวนการ มีส่วนร่วม” มากกว่าความร่วมมือ เพื่อให้เกิด “ความย่ังยืน” แล้วยังสอดคล้องตามเกณฑ์ประเมิน มหาวิทยาลัยจากส่วนต่าง ๆ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา จึงปรับกระบวนทัศน์การดาเนินงาน ด้านบริการวิชาการในปี 2553 โดยน้อมนาเอาหลักการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาเป็นแนวทาง การดาเนนิ งาน กล่าวคอื กระบวนทศั นใ์ นการพัฒนาในพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั คอื การพัฒนาท่กี อ่ ให้เกิด ความก้าวหน้าอย่างยั่งยืน ตอ้ งอาศัยท้ังการมีคนที่มีความสามารถ มีวทิ ยาการที่ดี และมีการบริหาร จดั การท่ีดี การพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไปเป็นลาดับ ต่อยอดจากรากฐานเดิมท่ีม่ันคง มิใช่เร่งรัด ก้าวกระโดด หรือนิยม ชมชอบส่ิงใหม่ ๆ โดยท้ิงของเดิม หรือนาแนวคิด วิทยาการหรือเทคโนโลยี สมัยใหม่มาใช้โดยไม่คานึงถึง ความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพการณ์ของท้องถ่ิน ทั้งในด้าน ภูมิศาสตร์ ด้านสังคม วัฒนธรรม ภูมิปัญญา ท้องถ่ิน และความต้องการของประชาชนในพื้นท่ี การพัฒนาต้องไม่กระจุกตัวอยู่เฉพาะพ้ืนท่ีใดพ้ืนท่ีหนึ่ง แต่ต้องพัฒนาให้ทั่วถึง นอกจากน้ียังทรง เน้นว่าการพัฒนาประเทศได้นั้นต้องพัฒนาคนเป็นลาดับแรก เพ่ือให้ คนมีความรู้ ความเขา้ ใจ สามารถ แสดงความคิดเห็น สามารถมสี ่วนรว่ มในการพฒั นา ซ่งึ โครงการพระราชดาริ ต่าง ๆ เปน็ ตัวอย่างของ แนวทางการพฒั นาอยา่ งยั่งยนื โดยพระองคท์ รงบูรณาการทั้งวิทยาการ ผมู้ สี ่วนไดส้ ว่ น เสยี ทกุ กลุม่ และ มีการบริหารจดั การทดี่ ีมกี ารตดิ ตามและประเมินผลอยา่ งเปน็ ระบบและต่อเน่ือง RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016
ในปี 2553 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา ไดน้ ารอ่ ง โครงการ “ยกระดับคณุ ภาพชีวติ ของ หมู่บ้าน ชุมชนแบบมีส่วนร่วม” จานวน 10 โครงการ (10 หมู่บ้านชุมชน) ซึ่งการจัดทาโครงการดังกล่าว บรรลุผลสาเร็จเป็นอย่างดีตามหลักการท่ีจะนาการบูรณาการทั้งการเรียนการสอน การวิจัยและการบริการ วิชาการ เพื่อพัฒนาศักยภาพประชาชนในท้องถ่ินให้มีความพร้อมในการดารงชีพและมีอาชีพที่มั่นคง สาหรับ กระบวนการดาเนินงานโครงการนาร่อง ตัวอย่างหนึ่งที่ประสบความสาเร็จ คือ โครงการ กระบวนการพัฒนา ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนบ้านห้วยส้านดอนจั่น แบบมีส่วนร่วม ตาบลทรายจอมหมอกแก้ว อาเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย กล่าวคือ วิธีการทางานร่วมกับชุมชนบ้านห้วยส้านดอนจั่น แบบมีส่วนร่วมคือ การเน้น กระบวนการพัฒนาชุมชนบ้านห้วยส้านดอนจั่น แบบมีส่วนร่วม (PAR : Participatory Action Research) เพื่อให้ได้ความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง และอาศัยองค์ความรู้ ผลงานจาก คณาจารย์ นักวิชาการใน มหาวทิ ยาลยั และมนี ักศกึ ษารว่ มเรยี นรู้ และร่วมดาเนนิ งานดว้ ย เมื่อดาเนินโครงการยกระดับคุณภาพชีวิตฯ มาได้ระยะหนึ่ง ทาให้มีความต้องการเผยแพร่ผลการ ดาเนินงานแก่บุคคลท่ัวไป แก่สังคมและชุมชนในวงกว้าง ตลอดจนแลกเปล่ียนเรียนรู้ระหว่างผู้ปฏิบัติงานใน ด้านวิชาการและการบริหารจัดการ การดาเนินโครงการและการจัดกิจกรรมในชุมชน สถาบันถ่ายทอด เทคโนโลยีสู่ชุมชน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาจึงได้ดาเนินการจัดทา “วารสารวิชาการรับใช้ สังคม” ขึ้นเมื่อเพ่ือเป็นแนวทางในการเผยแพร่ เป็นช่องทางในการแลกเปล่ียนเรียนรู้ โดยมีวัตถุประสงค์ เพ่ือ ตีพิมพ์ผลงานวิชาการด้านรบั ใชส้ งั คม ท้ังงานวจิ ยั และงานบริการวิชาการ เผยแพรเ่ พื่อพัฒนาสังคมและส่งเสรมิ ให้นักวิชาการด้านรับใช้สังคมในหน่วยงานต่าง ๆ ได้มีแหล่งนาเสนอผลงานทางวิชาการสู่สาธารณะ โดย บทความจากงานวิจัยและบริการวิชาการเพื่อตีพิมพ์ใน “วาสารวิชาการรับใช้สังคม” จะต้อง สอดคล้องกับ ประกาศ ก.พ.อ. ฉบับท่ี 9 ท่ีเก่ยี วกับการเขยี นเอกสารวชิ าการรับใชส้ งั คม ซง่ึ มี 7 ประการ คือ สามารถอธบิ าย/ ชแ้ี จงในประเดน็ ดังต่อไปน้ี 1. สภาพการณ์ก่อนการเปลย่ี นแปลงทีเ่ กิดขึ้น 2. การมีสว่ นร่วมและการยอมรบั ของสังคมเปา้ หมาย 3. การบวนการทที่ าใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลงทด่ี ีขึน้ 4. ความร้คู วามเช่ียวชาญท่ีใชใ้ นการทาใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงนัน้ 5. การคาดการณส์ ิ่งทจ่ี ะตามมาหลงั จากการเปลี่ยนแปลงน้นั 6. การประเมินผลลัพธก์ ารเปลี่ยนแปลงทีเ่ กิดขน้ึ 7. แนวทางการติดตามและธารงรกั ษาพฒั นาการทเี่ กดิ ข้ึนใหค้ งอย่ตู ่อไป บทความในฉบับแรกน้ี มบี ทความทเ่ี ก่ียวขอ้ งและมแี นวทางในการช่วยในสร้างการเปล่ยี นแปลงในทาง ท่ีดีขึ้นกับสังคมชุมชนหลายบทความด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น ด้านการเกษตร การจัดการน้าเสีย การจัดการกลุ่ม การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การเพ่ิมประสิทธิภาพการผลิต ให้กับผู้ประกอบการหรือชุมชน เป็นต้น ซ่ึงต่างก็เป็น โครงการที่มีส่วนร่วมกับชุมชน หรือผู้ประกอบการ ซ่ึงน่าจะเป็นแนวทางในการสร้างความเปลี่ยนแปลงไป วารสารวิชาการรับใช้สงั คม มทร.ลา้ นนา ปีที่ 1 ฉบับท่ี 1 มกราคม - มิถนุ ายน 2559
ในทางที่ดีข้ึนให้กับชุมชน สังคม ในอนาคตได้เป็นอย่างดี ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นบทความจากการดาเนินโครงการ ยกระดับคุณภาพชีวิตหมู่บ้าน/ชุมชนแบบมีส่วนร่วม จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ซึ่งได้ใช้โครงการ ยกระดับฯ ขบั เคลื่อนงานบริการวชิ าการแกส่ งั คมเช่นเดยี วกนั คณะผจู้ ัดทาหวังเป็นอยา่ งยง่ิ ว่า วารสารวชิ าการ รบั ใช้สังคม จะเป็นวารสารทีส่ ามารถเปน็ ช่องทางในการเผยแพรผ่ ลงานทีด่ าเนนิ งานรว่ มกบั ผ้ใู ชผ้ ลงานและเป็น ประโยชน์ต่อวงการวิชาการ บริการวิชาการ รับใช้สังคม ชุมชน และผู้ประกอบการ สุดท้ายทางคณะผู้จัดทา ต้องขอขอบคุณผู้ทรงคุณวุฒิจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ และหน่วยงานต่าง ๆ ที่ได้ประเมินบทความ ตลอดจนให้ คาชี้แนะ แนะนาในการจดั ทาวารสารมาเปน็ อยา่ งดี บรรณาธกิ าร RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016
สารบญั หน้า 1 นมเปรี้ยวพร้อมดมื่ จากนมแพะ 7 ทศพร นามโฮง และ เสนห่ ์ บวั สนทิ บทเรียนเพื่อเรียนรสู้ ู่กระบวนการพัฒนาชุมชนทย่ี ่งั ยนื กรณีศกึ ษาบ้านนาเชือก จงั หวัดสกลนคร 17 สดุ ารตั น์ สกลุ คู เดอื นรงุ่ สวุ รรณโสภา, กรรณกิ าร ์ สมบญุ , ศริ พิ ร สารคลอ่ ง และ ชลาลยั เหงา้ นอ้ ย 25 การออกแบบและสร้างระบบจา่ ยนำ้� หยดอัตโนมตั ิสำ� หรับสวนสมุนไพรจากพลังงานแสงอาทติ ย์ 33 เพอื่ ชุมชน 39 พเิ ชษฐ พลาดส,ุ พชั รนนั ท์ ศรธี นาอทุ ยั กร, พลรบ พทิ กั ษะ, สนั ติ สญั ชาต,ิ 47 นภทั ร วจั นเทพนิ ทร,์ ไพบลู ย์ เกยี รตสิ ขุ คณาธร และ ทนิ กร เขยี วรี การสรา้ งมลู คาเพมิ่ ผลติ ภณั ฑน์ ำ้� พรกิ เครอื่ งแกง 55 สธุ กิ าญจน์ แกว้ คงบญุ และ สวุ รรณี โภชากรณ์ การเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพและลดต้นทุนพลังงานของโรงงานสหกรณ์กองทุนสวนยาง ชลากร อดุ มรกั ษาสกลุ และ ชลากร อดุ มรกั ษาสกลุ การจัดการท่องเทยี่ วอยา่ งยง่ั ยนื ของชุมชนสวนหลวง 1 สวุ มิ ล พชิ ญไพบลู ย์ การเพิม่ มูลค่าของผลิตภณั ฑ์พ้นื บา้ นทีย่ ้อมสีธรรมชาตโิ ดยการจดั ชุดผ้าสที อมอื และพฒั นา ลวดลายผ้ามัดย้อม ภทั รานษิ ฐ์ สทิ ธนิ พพนั ธ์ การมีส่วนร่วมทแ่ี ท้จริง:การยกระดบั คุณภาพชวี ิต กรณหี ม่บู ้านแม่กาษา หมูท่ ี่ 2 ต�ำบลแมก่ าษา อำ� เภอแมส่ อด จงั หวดั ตาก อำ� นาจ ใจคำ� ฟ,ู ภทั ราวดี ธงงาม และ แคทรยี า พรอ้ งเพยี ง วารสารวชิ าการรบั ใชส้ งั คม มทร.ลา้ นนา ปที ่ี 1 ฉบับที่ 1 มกราคม - มถิ ุนายน 2559
RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016
นมเปร้ียวพรอ้ มด่มื จากนมแพะ Drinking yoghurt from Goat Milk ทศพร นามโฮง 1* เสนห่ ์ บัวสนิท 2 Tosporn Namhong 1* Sanae Buasanit 2 1 ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ คณะเทคโนโลยกี ารเกษตรและอตุ สาหกรรมเกษตร มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลสวุ รรณภูมิ 2 อาจารย์ คณะเทคโนโลยกี ารเกษตรและอตุ สาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ 1 Assistant Professor Faculty of Agricultural Technology and Agro Industry Rajamangala University of Technology Suvarnabhumi 2 Lecturer Faculty of Agricultural Technology and Agro Industry Rajamangala University of Technology Suvarnabhumi E-mail; [email protected], โทร 035-709096, โทรสาร 035-709096 บทคัดย่อ การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากนมแพะเป็นนมเปร้ียว พบว่าการใช้ inoculum จากโยเกิร์ตทางการค้าในปริมาณ รอ้ ยละ 1 ของน้านม ให้ปริมาณกรดในนมเปร้ยี วไม่แตกต่างจากปรมิ าณ inoculum ที่ระดบั ร้อยละ 2-5 คือมปี ริมาณ กรดแลคติกท่ีร้อยละ 0.72 และการท้าโยเกิร์ตพร้อมด่ืมพบว่าผสมนมเปร้ียวกับน้าเชื่อมเข้มข้น 15 องศาบริกซ์ใน อัตราส่วน 1 :2 ให้ปริมาณกรดแลคติกท่ีร้อยละ 0.027 ค่า pH 4.23 และปริมาณของแข็งที่ละลายได้เท่ากับ 16.5 ซึ่งผู้บริโภคให้การยอมรับมากท่ีสุด และนมเปร้ียวพร้อมดื่มน้ีมีปริมาณ Total plate count ท่ีน้อยกว่า 105 cfu ต่อ กรมั ซ่งึ ยังไมส่ ามารถประเมินเป็นอาหารสุขภาพได้ คาสาคญั นมแพะ นมเปร้ียว โยเกริ ต์ พรอ้ มดม่ื ABSTRACT The product development of goat milk into drinking yoghurt was studied. It was found that the proper amount of initial inoculum from commercial natural yoghurt was 1% . There is no significantly different in lactic acid content from the other amount of inoculums which were 2-5% . The final yoghurt had 0.72% lactic acid content. Upon preparing ready to drink yoghurt , it was found that yoghurt mixed with 15 ๐ brix syrup in the ratio of 1:2 was most acceptable by the consumers which had 0.027 % lactic acid , pH 4.23 and 16.5 ๐ Brix. However , it could not be claimed as healthy food or probiotic because the total plate count was less than 105 cfu/g which does not meet the standard . Keywords goat milk yoghurt วารสารวิชาการรบั ใช้สงั คม มทร.ล้านนา 1 ปที ่ี 1 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม - มิถนุ ายน 2559
บทนา พบว่ามีปริมาณระหว่าง 0.77 และ 4.21 มก.ของกรด นมแพะได้เข้ามามีบทบาทและเป็นที่สนใจ แกลลิกต่อ 100 กรัมและ 0.36-5.09 มก. Catechin ต่อ 100 กรัม ซ่ึงแสดงให้เห็นว่า Kefir จากนมแพะมี ในด้านสุขภาพ เนื่องจากมีองค์ประกอบที่พิเศษเฉพาะ กิจกรรมทางชีวภาพเพิ่มสูงข้ึนกว่านมสด Mutlu B. เช่นกรดไขมันขนาดเล็กท่ีย่อยง่ายที่สามารถใช้เป็น Guler – Akin 2007 ได้รายงานถงึ การทา้ bio-yoghurt วัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์นมส้าหรับทารกและ จากนมแพะพบว่าการบม่ ที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซยี ส ผู้สูงอายุ หรือส้าหรับกลุ่มประชากรท่ีมีความต้องการ และการเติมcysteine ลงในส่วนผสมให้ผลผลิตเป็นท่ี สารอาหารพิเศษ นมแพะจึงมีบทบาทส้าคัญอย่างมาก นา่ พอใจ Bio-yoghurt มปี ริมาณจุลินทรยี ์ ถึง 107 cfu/ ต่อโภชนาการของมนุษย์ ประเมินได้ว่า 80% ของ กรัม เป็นท่ียอมรับว่าผลิตภัณฑ์ท่ีเป็น Probiotic เช่น ประชากรแพะในโลก ถูกเลี้ยงอยู่ในเอเซียและอาฟรกิ า โยเกิร์ตต้องมีจุลินทรีย์อย่างต่้า 106-107 cfu/กรัม จึง ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีปริมาณประชากรเป็นสัดส่วนที่ สามารถ เคลมไดว้ า่ เป็นอาหารสขุ ภาพ ( Martin-Diana มากกว่าส่วนอ่ืนของโลก ดังน้ันจึงประเมินได้ว่าแพะ et.al 2003; Ravula&Sha 1998 ) และเมื่อประเมิน เป็นแหล่งอาหารท่ีส้าคัญของประชากรส่วนใหญ่ของ สารระเหยหรือ volatile compound ในโยเกริ ต์ พบวา่ โลก แพะเป็นสัตว์ที่สามารถผลิตอาหารท่ีมีคุณภาพสูง มีสารระเหยคือ acetaldehyde diacetyl acetoin ได้ดี ภายใต้สภาพแวดล้อมทางด้านภูมิอากาศท่ี แ ล ะ ethanol ( Zehra Guler et.al 2011 ) ดั ง น้ั น หลากหลาย เกษตรกรในชุมชนมุสลิมของ จ. C.Senaka et.al 2012 จึงไดร้ ายงานถึงการอยูร่ อดของ พระนครศรีอยุธยามีอาชีพหลักคือเลี้ยงแพะโดยเฉพาะ จุลินทรีย์ในโยเกิร์ตจากนมแพะพบว่า L. acidophilus อย่างยิ่งแพะนม ซ่ึงให้ผลผลิตนมแพะในปริมาณ LA-5 มีการอยู่รอดต่้ากว่า 106 cfu/ กรัมแต่ถ้าเติมน้า มากกว่า 100 กิโลกรัมต่อวัน นมแพะก็เป็นอาหาร ผลไม้เข้าไปผสมจะช่วยสนับสนุนการอยู่รอดของ ประเภทนมเช่นเดียวกับนมโค ดังน้ันจึงเป็นทางเลือก จุลินทรีย์นี้ซึ่งพบว่ามีจ้านวนปริมาณจุลินทรีย์เพิ่มขึ้นที่ หน่ึงของการท้าผลิตภัณฑ์แปรรูปจากนมท่ีใช้นมแพะ สังเกตได้ใน fruit yoghurt มากกว่า plain yoghurt เป็นวัตถุดิบหลักซ่ึงนอกจากแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์นม นอกจากน้ีการเพ่ิมน้าผลไม้ช่วยเพ่ิม Syneresis ลด สดพาสเจอไรซ์แล้ว ยังสามารถท้าเป็นผลิตภัณฑ์อ่ืน ๆ ความหนืด ลดความสามารถในการจับน้าและช่วยเพ่ิม ได้อีกเช่นนมเปร้ียว Loewenstein et.al 1980 ได้ การยอมรับทางประสาทสัมผัสมากขึ้น Uzi Merin รายงานว่าเน่ืองจากนมแพะมีราคาแพงกว่านมวัว (2000) พบว่า โยเกิร์ตที่ท้าจากนมแพะสายพันธ์ุต่างๆ ดั ง น้ั น ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ จ า ก น ม แ พ ะ จึ ง จั ด เ ป็ น ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ กันจะมีค่าความหนืดต่างกัน โดยที่โยเกิร์ตจากนมแพะ คุณภาพพรีเมียม มีรายงานเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นม ที่เลี้ยงในทุ่งหญ้าจะมีปริมาณของแข็งสูงกว่าและมี เปร้ียวจากนมแพะโดย Juni Sumarmono 2015 ได้ ความหนืดมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับโยเกิร์ตจาก รายงานว่า ปริมาณกรดไขมันบางตัวในนมแพะจะ นมวัวและจากนมแพะทไี่ ด้จากแพะท่เี ล้ียงในร่มและให้ เปล่ียนแปลงเมื่อผ่านกระบวนการแปรรูปเป็นโยเกิร์ต อาหารฟาง และพบว่านมแพะที่ไดจ้ ากแพะท่เี ลี้ยงให้ เช่นกรดคาโปรอิก ที่มีในนมสด 1.95% จะเหลือ เป็นอิสระในทุ่งหญ้ามีปัจจัยที่ท้าให้ได้โยเกิร์ตที่มี 1.93% เมื่อเป็นโยเกิร์ต ส่วนกรดโอเลอิก เพิ่มข้ึนจาก ความหนืดเพ่ิมข้ึน วัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้เพื่อหา 19.46% ในนมสดเป็น 21.06% ในโยเกิร์ต ซึ่งการ ความเป็นไปได้ในการท้าผลิตภัณฑ์นมเปร้ียวจากนม เปล่ียนแปลงเหล่านี้เกิดจากกิจกรรมของจุลินทรีย์ใน แพะ การหมักโดยปฏิกิรยิ า lipolysis ผลติ ภัณฑห์ มักจาก นมแพะอื่นๆเช่น Kefir ซึ่งจุลินทรีย์หลักคือ วิธกี ารดาเนนิ งาน Lactobacillus เช่นเดียวกับโยเกิร์ต Gulcin Satir 1.วตั ถดุ บิ และอุปกรณ์ et.al 2015 ได้รายงานว่าภายหลังการหมักนมแพะ 1.1 วัตถุดิบ พ บ ว่ า มี กิ จ ก ร ร ม ใ น ก า ร ต้ า น อ นุ มู ล อิ ส ร ะ เ พิ่ ม ขึ้ น ปริมาณฟินอลิกท่ีท้าจากตัวอย่างนมแพะต่าง ๆ กัน 2 RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016
นมแพะดิบจากฟาร์มเกษตรกร ต.ปาก 2.7 วิเคราะห์หาปริมาณกรดแลคติกของแต่ละการ ทดลองด้วยวธิ ไี ตเตรชนั่ กราน อ.พระนครศรอี ยธุ ยา จ.พระนครศรอี ยุธยา 2.8 เปรียบเทยี บปรมิ าณกรด ในแต่ละ Inoculum โยเกริ ์ตรสธรรมชาติ ตราดชั มลิ 2.9 คัดเลือกระดับ Inoculum ที่เหมาะสมจากข้อ 1.2 อปุ กรณ์ในการวิเคราะห์ 2.2.8 มาทดลองทา้ นมเปรี้ยวพร้อมดื่ม อุปกรณ์ในการวิเคราะห์หาปริมาณกรด 2.10 เตรียมนมเปรีย้ วจากขอ้ 2.9 2.11 เตรียมน้าเชื่อมเข้มข้น 15 องศาบริกซ์ ผสม ดว้ ยวธิ ไี ตเตรชัน่ เคร่อื งวดั pH หรอื pH meter ลงในนมเปรี้ยวจากข้อ 2.10 ในอัตราส่วน 1: 1 , 1:2 อุปกรณ์ในการวิเคราะห์ Total plate และ 1: 3 ผสมให้เข้ากันดีด้วยเครื่องโฮโมจิไนเซอร์ บรรจุขวดพลาสตกิ ขนาด 200 มล. count ของนมเปร้ียวพร้อมดมื่ 2 วิธีดาเนินการวจิ ยั 2.12 แช่เย็นที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส 2.1 น้านมแพะดิบมากรอง แล้วต้มท่ีอุณหภูมิ เพ่อื ท้าการวิเคราะห์คุณภาพทางเคมีและจุลนิ ทรีย์ และ 75 องศาเซลเซยี ส เป็นเวลา 10 นาที ทางประสาทสมั ผัสต่อไป 2.2 จากนั้นบรรจุใส่ขวดแก้วปากกว้างขนาด 300 มล. ท่ผี า่ นการตม้ ฆ่าเช้อื แล้ว 2.13 วิเคราะห์หาปริมาณกรด pH และ 2.3 น้าขวดแก้วไปแช่ในน้าเย็น เพื่อลดอุณหภูมิ Total plate count ของนมแพะเปรย้ี วพรอ้ มด่ืม น้านมในขวดแกว้ ลงจนกระท่งั ถึง 40 องศาเซลเซยี ส 2.4 ใส่โยเกิร์ตรสธรรมชาติลงในข้อ 2.3 ท่ี 2.14 ประเมินคุณภาพทางประสาทสัมผัส ใน อัตราสว่ น 1 2 3 4 5 % ของสว่ นผสมทั้งหมด เร่ืองความชอบ และวเิ คราะหผ์ ลทางสถิติ 2.5 เขย่าขวดเบา ๆ เพอื่ คนส่วนผสมใหเ้ ข้ากนั ดี ผลการดาเนินงาน 2.6 ต้ังทิ้งไว้ท่ีอุณหภูมิห้องอุณหภูมิ 35 องศา เซลเซยี ส เป็นเวลา 12 ช่วั โมง ทา้ นมเปร้ยี วจากนมแพะ โดยใส่ Inoculum จากโยเกิร์ตรสธรรมชาตติ ราดชั มิล ในอัตราสว่ น 1% 2% 3 % 4% และ 5% ซึง่ ให้ผลของปริมาณกรด และ ค่าความเป็นกรดดา่ ง ดงั ตารางที่ 1 ตอ่ ไปนี้ ตารางที่ 1 ปริมาณกรดของนมเปรยี้ วท่รี ะดับ Inoculum ตา่ ง ๆ ปริมาณ Inoculum ( ร้อยละ ) ปรมิ าณกรดแลคติก ( ร้อยละ ) 1 0.72±0.02ns 2 0.72±0.03ns 3 0.78±0.02ns 4 0.73±0.00ns 5 0.74±0.05ns หมายเหตุ a, b, c คอื ตัวเลขที่มีตวั อักษรกา้ กับแตกต่างกนั ในแนวตั้ง มคี วามแตกตา่ งอยา่ งมนี ยั สา้ คัญทางสถติ ิ (p≤0.05)., ns คือ ไม่มีความแตกต่างกนั ทางสถิติท่ี (P≤ 0.05) จากตารางท่ี 1 เมื่อวเิ คราะห์ปริมาณกรดจาก ความแตกต่างกันอย่างมีนัยส้าคัญทางสถิติ แสดงว่า นมเปรี้ยวที่ใส่ Inoculum จากโยเกิร์ตรสธรรมชาติ ปริมาณ Inoculum จากโยเกิร์ตรสธรรมชาติ ดัชมิล ดัชมิล ที่ระดับต่างๆคือ 1-5% เม่ือหมักไว้ที่อุณหภูมิ ไม่มีผลต่อการเพิ่มปริมาณกรดของโยเกิร์ต ดังนั้นจึง 35 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 12 ช่ัวโมงพบว่า ได้ คัดเลือก ระดับ Inoculum ท่ีระดับ 1% ในการท้า ปริมาณกรดอยู่ในระดับร้อยละ 0.72-0.78 ซ่ึงไม่มี drinking yoghurt ตอ่ ไป วารสารวิชาการรบั ใชส้ ังคม มทร.ลา้ นนา 3 ปที ี่ 1 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม - มถิ ุนายน 2559
ตารางที่ 2 ปรมิ าณกรด Total soluble solid และ pH ของนมเปร้ยี วพร้อมดืม่ ท่คี วามเข้มข้นต่าง ๆ ความเข้มขน้ ปรมิ าณกรดแลคตกิ คา่ pH Total Soluble solid 1:1 ( รอ้ ยละ ) 4.20±0.03ab ( brix ) 1:2 4.23±0.01a 1:3 0.048 ±0.0020a 4.27±0.02b 14.7±0.70a 0.027±0.0000b 16.5±0.85a 0.025 ±0.0000b 21.0±0.10b หมายเหตุ a, b, c คือ ตวั เลขทีม่ ีตวั อกั ษรก้ากบั แตกตา่ งกนั ในแนวต้ัง มคี วามแตกตา่ งอย่างมีนัยสา้ คญั ทางสถิติ (p≤0.05)., ns คือ ไมม่ คี วามแตกตา่ งกันทางสถิตทิ ่ี (P≤ 0.05) การท้า Drinking Yoghurt โดยผสมโยเกิร์ต นัยส้าคัญทางสถิติ แต่ค่าความเป็นกรดด่างท่ี ซึ่งมีค่า Total Soluble Solid เริ่มต้นท่ี 8.0 บริกซ์ อัตราส่วน 1:1 และ 1:2 ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมี กับน้าเชื่อมเข้มข้น 15 บริกซ์ ในอัตราส่วน 1:1 , 1:2 นัยส้าคัญทางสถิติ ส่วนปริมาณ Total Soluble และ 1:3 แล้วป่ันผสมเข้าด้วยกัน ให้ผลดังตารางท่ี 2 Solid มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยส้าคัญทางสถิติที่ พบว่าท่ีความเข้มข้น 1:1 มีปริมาณกรดแลคติกท่ีร้อย อตั ราสว่ น 1:3 ละ 0.048 ซ่ึงแตกต่างจากอัตราส่วนอื่น ๆอย่างมี ตารางท่ี 3 Total plate count นมเปร้ียวพร้อมดม่ื ที่ความเขม้ ขน้ ต่าง ๆ กัน ความเข้มขน้ Total plate count 1:1 < 105 cfu/ กรัม 1:2 < 105 cfu/ กรัม 1:3 < 105 cfu/ กรมั หมายเหตุ a, b, c คอื ตัวเลขทม่ี ีตัวอกั ษรก้ากับแตกต่างกนั ในแนวตงั้ มคี วามแตกตา่ งอยา่ งมีนยั สา้ คัญทางสถิติ (p≤0.05)., ns คอื ไม่มคี วามแตกตา่ งกนั ทางสถติ ิที่ (P≤ 0.05) จากการวิเคราะห์ปรมิ าณ Total plate count ของ ตอ้ งมปี ริมาณจลุ นิ ทรยี อ์ ยา่ งต่้า 106-107 cfu/กรัม ( โยเกิร์ตพรอ้ มดืม่ ท่คี วามเขม้ ข้นตา่ งๆพบว่ามปี รมิ าณ Martin-Diana et.al 2003 ) ดงั นน้ั จึงประเมินไดว้ า่ จลุ ินทรยี ท์ ง้ั หมดอย่ใู นปรมิ าณทน่ี อ้ ยกวา่ 105 cfu/ โยเกริ ต์ พรอ้ มดืม่ ทีอ่ ตั ราส่วนน้ี ยังไมส่ ามารถจดั เป็น กรัม ซงึ่ อาหารที่สามารถระบเุ ป็นอาหารสขุ ภาพได้ Bio-Yoghurt ได้ ตารางท่ี 4 ผลการประเมนิ ทางประสาทสัมผสั ของนมแพะเปร้ียวพร้อมดม่ื ทอี่ ัตราส่วนผสมต่าง ๆ อตั ราสว่ นผสม ลักษณะปรากฏ ความเปร้ยี ว ความหวาน รสชาติโดยรวม เนื้อสัมผสั ความชอบรวม 1:1 6.9± 1.119 ab 6.25 ± 1.209 b 6.75 ±1.372ab 1:2 7.35±1.137 a 6.45 ±1.432 6.4 ±1.273 b 7.25 ± 1.293 a 6.35 ± 7.55 ±1.356 a 1:3 6.75±1.164 b ns 6.15 ± 1.387 b 1.349ab 6.45 ±1.395 b 7.4 ±1.231 a 7.55± 1.076 6.85 ±1.349 6.15 ±1.565 ns a b 5.6 ±1.046 b 6.25 ±1.372 ns 4 RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016
หมายเหตุ a, b, c คอื ตวั เลขที่มตี ัวอักษรก้ากบั แตกต่างกนั ในแนวตง้ั มคี วามแตกตา่ งอย่างมีนยั ส้าคัญทางสถติ ิ (p≤0.05)., ns คอื ไม่มีความแตกตา่ งกันทางสถิตทิ ่ี (P≤ 0.05) จากตารางท่ี 4 เม่ือประเมินผลทางประสาทสัมผัส อาหารสุขภาพได้เองลดการซื้อและใช้จ่าย เป็นการ หลังจากผสมโยเกิร์ตกับน้าเช่ือมเข้มข้น 15 องศา ด้ารงชีพได้ด้วยตนเองตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ใน บริกซ์ ในอัตราส่วน 1:1 1:2 และ 1:3 พบว่าลักษณะ เชิงพาณิชย์ในอนาคตสามารถถ่ายทอดผลงานวิจัย ปรากฏไม่แตกต่างกันท่ีอัตราส่วน 1:1และ 1:2 ด้าน ให้แก่ผู้ประกอบการน้าสูตรไปปรับปรุงให้เป็นที่พอใจ ความหวานผู้บริโภคชอบความหวานและรสชาติ ของผ้บู รโิ ภคและให้ได้รบั ประโยชนจ์ ากการเปน็ อาหาร โดยรวมท่ีอัตราส่วน 1:2 มากท่ีสุด ด้านเน้ือสัมผัสและ สขุ ภาพ Bio-Yoghurt ได้ ความชอบโดยรวมก็เช่นเดียวกัน ซ่ึงผู้บริโภคใหเ้ หตุผล ว่าท่ีอัตรา 1:2 มีรสกลมกล่อมมากที่สุดระหว่างความ สรปุ ผล เปร้ียวและความหวาน จึงสรุปได้ว่าอัตราส่วนผสม ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ น ม เ ป ร้ี ย ว จ า ก น ม แ พ ะ พ บ ว่ า โยเกิร์ตและน้าเชื่อมเข้มข้น 15 องศาบริกซ์ ในอัตรา 1:2 เป็นส่วนผสมท่ีลงตัวท่ีสุด โดยมีปริมาณกรดแล การใช้ inoculum ท่ีระดับ 1-5% ของนมทั้งหมดน้นั คติกร้อยละ 0.027 และความหวานที่ประมาณ 16.5 จะ ให้ปริมาณกรดท่ี ไม่มีความแตกต่างกัน ดังนั้นจึง บรกิ ซ์ เลือกใช้ Inoculum ที่ 1% และการผสมโยเกิร์ตกับ น้าเชื่อมเข้มข้น 15 บริกซ์ในอัตราส่วน 1:2 ผู้บริโภค การนาไปใช้ ให้ความชอบโดยรวมกับผลิตภัณฑ์มากที่สุด แต่ที่ จากผลการวิจัยถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์นม อตั ราส่วนน้ปี รมิ าณจุลนิ ทรยี ์ทง้ั หมดของโยเกิร์ตพร้อม ด่ืมยังไม่สามารถประเมินเป็น Bio-Yoghurt ได้ แพะเป็นนมเปรี้ยวพร้อมดื่ม ท้าให้ได้สูตรการผลิตนม เนอ่ื งจากปริมาณ Total plate count ยงั อยใู่ นระดับ เปรี้ยวพร้อมดื่มที่ผู้บริโภคมีความพอใจ ขยายการใช้ ที่น้อยกว่า 106 -107 cfu/กรัม ดังนั้นจึงมีแนวทางใน ประโยชน์จากนมแพะ สามารถผลิตเพื่อบริโภคเองใน การปรับปรุงสูตรส่วนผสมต่อไปเพ่ือให้เป็นอาหาร ครัวเรือนได้ ซ่ึงการเล้ียงแพะนม เกษตรกรส่วนใหญ่ สุขภาพได้และผู้บริโภคให้การยอมรับในรสชาติด้วย เลี้ยงเพ่ือใช้นมบริโภคเองในครัวเรือน ไม่ได้เล้ียง ซ่ึงกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงแพะนมที่ได้รับการถ่ายทอด เพอื่ ผลติ เป็นอตุ สาหกรรม จากผลงานการวจิ ยั สามารถ เทคโนโลยีสามารถน้าความรู้จากการถ่ายทอดไปผลิต ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตอย่างถูกต้องและถูก เพ่ือบริโภคในครัวเรือน หรือจ้าหน่ายในหมู่บ้านเป็น สุขลักษณะให้กับเกษตรกรเพื่อผลิตผลติ ภัณฑ์ใหมจ่ าก อาหารสุขภาพ ตามแนวเศรษฐกิจพอเพยี ง นมแพะ ซ่ึงในอนาคตสามารถปรับปรงุ สตู รจนกระทั่ง เป็นอาหารสุขภาพหรือ Probiotic ได้ สามารถผลิต Juni Sumarmono et.al 2015 Fatty acid profile of fresh milk, yoghurt and บรรณานุกรม concentrated yoghurt from Gulcin Satir , Zeynep B. Guzel- Seydim 2015 Peranakan Etawah goat milk. The First International Symposium on Influence of Kefir fermentation on Food and Agro-biodiversty (ISFA 2014) the bioactive substances of Procedia Food Science 3 (2015) 216- different breed goat milks. LWT- 222 Food Science and Technology 6 :2 , 852-858 วารสารวิชาการรบั ใช้สังคม มทร.ลา้ นนา 5 ปที ่ี 1 ฉบบั ที่ 1 มกราคม - มิถนุ ายน 2559
Martin-Diana, A.B., Janer, C. Plaez.,C.,& Requena T (2003) Development of a fermented goat ‘ s milk containing probiotic bacteria. International Dairy Journal 13 : 10 , 827-833 Mutlu B. Guler-Akin , M. Serdar Akin ( 2007) Effects of cysteine and different incubation temperatures on the microflora, chemical composition and sensory characteristics of bio- yoghurt made from goat’s milk. Food Chemistry 100 : 788-793 Uzi Merin 2000 Influence of breed and husbandry on viscosity of Israeli goat milk yoghurt . Small Ruminant Research 35 : 175-179 Zehra Guler, Alev Canan Gursoy- Balci 2011 Evaluation of volatile compounds and free fatty acids in set types yoghurts made of ewes’ , goats’ milk and their mixture using two different commercial starter cultures during refrigerated storage. Food Chemistry (127) 1065-1071 6 RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016
บทเรียน เพื่อเรียนรู้ สกู่ ระบวนการพฒั นาชมุ ชนทยี่ ั่งยนื กรณีศึกษา บ้านนาเชือก จังหวดั สกลนคร Lesson to Learning for sustainable community development Case study: Ban Na Chuek, Sakon Nakhon Province สดุ ารตั น์ สกลุ คู1* เดอื นรุง่ สุวรรณโสภา2 กรรณกิ าร์ สมบญุ 3 ศริ พิ ร สารคลอ่ ง4 และ ชลาลยั เหง้าน้อย5 1 ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลอีสาน วิทยาเขตสกลนคร 2 อาจารย์ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลอีสาน วทิ ยาเขตสกลนคร 3,4 ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วทิ ยาเขตสกลนคร 5 มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสกลนคร 1 Assistant Professor. DR., Rajamankala University of Technology Isan Sakhon Nakhon Campus 2 Lecturer, University of Technology Isan Sakhon Nakhon Campus 3,4 Assistant Professor., Rajamankala University of Technology Isan Sakhon Nakhon Campus 5 University of Technology Isan Sakhon Nakhon Campus E-mail: [email protected], เบอร์โทรศัพท์ 0918031214 บทคัดย่อ บ้านนาเชือก ตาบลพังโคน อาเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร เป็นหนึ่งชุมชนที่ถูกคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการ ยกระดับคุณภาพชีวิตของหมู่บ้าน ชุมชน แบบมีส่วนร่วม 84 หมู่บ้าน ชุมชนเฉลิมพระเกียรติ หรือ “หมู่บ้านราช มงคล” โดยกระบวนการยกระดับชมุ ชนแบบมีส่วนร่วมตามกระบวนทัศน์การพฒั นาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั ได้ดาเนนิ โครงการเปน็ ระยะเวลา 5 ปี (2554- 2558) ซึ่งทาให้เกิดการพัฒนาท้ังด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ถือว่าเป็นชุมชนท่ีประสบความสาเร็จในการยกระดับชุมชน บ้านนาเชือกจึงน่าความสนใจท่ีจะศึกษาเพื่อเป็นต้นแบบ ในการพัฒนาชุมชนในอนาคต การศึกษาน้ีจึงมีวัตถุประสงค์เพ่ือท่ีจะวิเคราะห์ความสาเร็จของการดาเนินโครงการ การเปล่ียนแปลงทีเ่ กิดขึ้นในชมุ ชน ทิศทางการพัฒนาบ้านนาเชือกในอนาคต และกระบวนการพัฒนาชุมชนท่ีนาไปสู่ ความสาเร็จ โดยใช้การวิเคราะห์ชุมชนแบบมีสว่ นร่วม (Participatory Rural Appraisal; PRA) ร่วมกับวิธีการสารวจ ภาคสนาม (Filed survey) ผลการของศึกษาน้ีทาให้ทราบถึงผลกระทบจากการพัฒนาซ่ึงมีท้ังทางลบและทางบวก ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสาเร็จและความไม่สาเร็จในการดาเนินโครงการ แนวคิดของคนในชุมชนท่ีมีการเปล่ียนแปลง แนวทางในการพัฒนาบ้านนาเชือกในอนาคต ตลอดจนกระบวนการพัฒนาบ้านนาชุมชนทก่ี ่อให้เกิดความสาเร็จจาก กรณีศกึ ษาบ้านนาเชือก ซ่งึ เป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วนทม่ี ีบทบาทหนา้ ทใ่ี นการพฒั นาหรือยกระดับคุณภาพชีวิตของ ชมุ ชน ซงึ่ สามารถนาไปใชเ้ ป็นแนวทางในการดาเนนิ การใหเ้ กดิ ประสิทธิภาพและเกดิ ประโยชนต์ ่อชุมชนได้มากที่สุด คําสําคญั ความย่ังยืน การพฒั นาชมุ ชน บา้ นนาเชือก การวเิ คราะห์ชุมชนแบบมีสว่ นร่วม ABSTRACT Ban Na Chuek, Pangkon district, Sakhon Nakhon province one of community selected to implement in The Projected of The Participatory of Improving Quality of Life of Ban Na Chuek Village to Commemorate of His Majesty the King 84 communities or Rajamankala village. To enhance the วารสารวิชาการรบั ใชส้ ังคม มทร.ลา้ นนา 7 ปีท่ี 1 ฉบบั ที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2559
well-being of community in all dimensions regarding the paradigm of development that contributes to sustainability of the King by apply the philosophy of sufficiency Economy. The projected duration 5 years (2011-2015) developed economy, social and environment of community. This project was successful in improving quality of life of people in Ban Na Chuek. This study aims to analyze the successive of the project and the development that should focus in the future. The methods used Participatory Rural Appraisal (PRA) and field survey. This study showed that the development process give both negatively and positively results, factors of success and nonsuccess, and paradigm of Na Chuek people. This study should benefit for the organization an people who which to implement the project of community development in the future Keywords Sustainable, Sustainable community development, Ban Na-Chuek, Participatory Rural Appraisal, PRA บทนาํ ๆ หน่วยงาน หวังเสริมสร้างความเข้มแข็ง ยกระดับ ชุมชนถือเป็นรากฐานสาคัญในการพัฒนา คุณภาพชีวิตของคนในชุมชนให้ดีขึ้น และหลาย หน่วยงานมองบ้านนาเชือกเป็นชุมชนต้นแบบท่ี ประเทศ การยกระดบั คุณภาพชวี ติ ของคนในชุมชนถือ ประสบความสาเร็จในการยกระดับคุณภาพชีวิตของ เป็นบทบาทสาคัญสาหรับหน่วยงาน/องค์กรท่ีให้การ คนในชุมชน จึงเป็นประเด็นท่ีน่าสนใจท่ีจะทาการ สนับสนุน ซึ่งควรมีแนวทางการพัฒนาท่ีสอดคล้องกบั วิเคราะห์ความสาเร็จของการดาเนินกิจกรรมภายใต้ ความตอ้ งการของชุมชนอย่างแทจ้ รงิ โครงการหมู่บา้ น โครงการ การเปล่ียนแปลงที่เกิดขึ้นในชุมชน แนว ราชมงคล มีแนวคิดในการพัฒนาชุมชนเชิงบรูณาการ ทางการพัฒนาชุมชนบ้านนาเชือกในอนาคต รวมทั้ง เพื่อที่จะยกระดับคุณภาพชวี ิตของคนในชุมชนใหด้ ีขน้ึ กระบวนการพัฒนาชุมชนที่นาไปสู่ความสาเร็จ ซึ่งผล โดยบ้านนาเชือก เป็นหน่ึงชุมชนที่ได้รับการคัดเลือก ท่ีได้จะเป็นข้อมูลและแนวทางที่จะนาชุมชนให้ก้าว ให้เข้าร่วมโครงการตั้งแต่ปี 2554 ซ่ึงในกระบวนการ ตามความต้องการของในอนาคต และสามารถใช้เป็น ดาเนินโครงการเริ่มต้นจากการจัดทาแผนพัฒนา แนวทางสาหรับหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีบทบาทหน้าทีใ่ น ห มู่ บ้ า น ร ะ ย ะ เ ว ล า 3 ปี ( 2555-2557) ด้ ว ย การพัฒนาชุมชนให้สามารถดาเนินงานบรรลุตาม กระบวนการแบบมีส่วนร่วม โดยมีวิสัยทัศน์ คือ เป้าหมายท่ีตั้งไว้สามารถนาไปเป็นต้นแบบในการ “ชุมชนบ้านนาเชือก เป็นชุมชนท่ีดาเนินวิถีในแบบ พัฒนาชุมชน ภายใต้โครงการหมู่บ้านราชมงคล หรือ เศรษฐกิจพอเพียง ประชาชนในชุมชนมีส่ิงแวดล้อม หน่วยงานอ่ืน ๆ ที่มีบทบาทหนา้ ทีใ่ นลักษณะคล้ายกนั ได้รับการฟื้นฟู ชุมชนมีความเข็มแข็งและพัฒนาอยา่ ง ให้เกิดประสิทธิภาพและก่อเกิดประโยชน์ต่อชุมชนได้ ย่ังยืนคุณภาพชีวิตท่ีดี” ประกอบด้วย 3 ยุทธศาสตร์ มากท่สี ดุ 12 กลยุทธ์ 36 โครงการ จากการดาเนินการตามแผน ท่ีจัดทารว่ มกนั และมกี ารประเมินทบทวนและปรบั ปรงุ วธิ กี ารดาํ เนินงาน แผนการดาเนินการทุกปี ทาให้หมู่บ้านนาเชือกมีการ การศึกษานี้ใช้กระบวนการวิจัยเชิงคุณภาพ เปล่ียนท้ังทางด้านด้านเศรษฐกิจ สังคม และ สงิ่ แวดลอ้ มทด่ี ีข้นึ (Qualitative Research) โดยกระบวนการวิเคราะห์ ชุ ม ช น แ บ บ มี ส่ ว น ร่ ว ม ( Participatory Rural “นาเชือก” (Na Chuek) ในมุมมองของคน Appraisal; PRA) ซ่ึงเป็นเครื่องมือที่ประยุกต์ใช้ใน ภายนอก ถือเป็นหมู่บ้านที่ประสบความสาเร็จ ซ่ึงมี หลากหลายไม่ว่าจะเป็นในการพัฒนาชุมชน องค์กร การเปลย่ี นแปลงแบบกา้ วกระโดด ภายใต้การพฒั นาที่ หรือในสถาบันการศึกษา ( Selener,D.,1997) มี น า ร า ก ห ญ้ า สู่ สั ง ค ม ภ า ย น อ ก จ น เ ป็ น ที่ ย อ ม รั บ ใ น ผู้ดาเนินการ (Facilitator) ที่มีความเชี่ยวชาญใน ระยะเวลา 5 ปี ส่งผลให้เกิดการบูรณาการจากหลาย 8 RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016
กระบวนการวิเคราะห์ชุมชนแบบมีส่วนร่ว ม เพ่ือให้มองเห็นสภาพการเปลี่ยนแปลงใน (N Narayanasamy, 2009) เป็นผอู้ านวยความสะดวก ชุมชนจากการพัฒนาตามโครงการหมู่บ้านราชมงคล ในกระบวนการเสวนา วิเคราะห์ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ ได้มากข้ึน ได้ทาการทบทวนถึงสภาพและความ แท้จริงจากคนในชุมชน ร่วมกับใช้วิธีการสารวจ คาดหวังของชุมชนก่อนการพัฒนา ดังตารางท่ี 1 ซ่ึง ภ า ค ส น า ม ( Field survey) เ พื่ อ ศึ ก ษ า ถึ ง ก า ร พบว่าชุมชนบ้านนาเชือกขาดโอกาสในการพัฒนา เปลีย่ นแปลงในเชิงกายภาพเปรียบเทยี บกับขอ้ มลู ทตุ ยิ ประชาชนมีความรู้น้อย ขาดปัจจัยในการดารงชีพ ภูมิซึ่งเป็นข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาต้ังแต่การศึกษา โดยเฉพาะด้านการเงิน ผลผลิตทางการเกษตรตกต่า บรบิ ทชมุ ชนเมือ่ เริ่มตน้ โครงการ ฯลฯ ทาให้ชุมชนคาดหวังที่จะยกระดับคุณภาพชีวิต ของตนเอง โดยการสนับสนุนของหน่วยงานภาครัฐ ผลการดําเนินงาน และหน่วยงานต่าง ๆ เพ่ือพัฒนาเศรษฐกิจของคนใน 1. สภาพและความคาดหวงั ของชมุ ชนก่อนการพฒั นา ชุมชนใหด้ ีขน้ั สรา้ งงาน สรา้ งรายได้ ใหค้ นมีงานทาใน พ้ืนทไี่ มต่ อ้ งไปทางานทีอ่ ่นื ตารางที่ 1 สภาพชุมชนและความคาดหวังกอ่ นดาเนินโครงการ สภาพชุมชน ความคาดหวงั ของชุมชน - ขาดโอกาสในการพฒั นา ขาดการสนับสนนุ จากหน่วยงาน - ต้องการให้หน่วยงานภาครัฐกาหนดให้เป็นหมู่บ้านท่ี ภาครฐั ถูกพัฒนา - คนในชมุ ชนมีความรู้น้อย - ต้องการการสนับสนุนจากหน่วยงานหรือองค์กร - ขาดเงิน/ขาดทนุ /ขาดเงนิ ทนุ ภายนอก - ผลผลติ ทางการเกษตรน้อย/ไม่เตม็ ประสทิ ธภิ าพ - ตอ้ งการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในชุมชน - ไม่มอี าชีพทชี่ ดั เจน - ต้องการมงี านทาในพ้ืนท่ี - การใชช้ วี ิตไม่เรง่ รบี - ต้องการมีรายไดเ้ สริม - มเี วลาว่างมาก ไม่ต้องแข่งกบั เวลา ไม่ต้องวางแผนจดั การ - ต้องการให้สมาชิกในชุมชนมีงานทาในพ้ืนที่ ไม่ต้อง - สภาพความเป็นชุมชน ความสัมพันธ์ในชุมชนดี มีเวลา ไปทางานที่อื่น พูดคยุ . 2. ความสาํ เรจ็ ของการดําเนินโครงการ สามัคคี และใช้ทุนในการดาเนินการน้อย 2) การ การพัฒนาหมู่บ้านนาเชือกถือว่าประสบ ดาเนินงานตามแผนท่ีตั้งไว้ ซึ่งสอดคล้องความความ ต้องการของคนส่วนใหญ่ และ 3) การได้รับการ ความสาเร็จเป็นท่ีน่าพึงพอใจ จากการเปลี่ยนแปลง สนับสนุนจากบุคคลภายนอก ส่วนปัจจัยที่ทาให้การ ท้ังทางเศรษฐกิจ สังคม และส่ิงแวดล้อม อันเกิดจาก ด า เนิ น ง า น โ ค ร ง ก า ร ไ ม่ ป ร ะ ส บ ค ว า ม ส า เ ร็ จ การดาเนินงานตามแผนพัฒนาหมู่บ้านที่เกิดจากการ ประกอบด้วย ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมทไี่ ม่เหมาะสม จัดทาแบบมีส่วนร่วมของคนในชุมชน ซ่ึงมีทั้งหมด 36 และ การทต่ี ้องพึ่งพาจากภายนอก ซ่ึงเป็นสิ่งท่คี วบคุม โครงการ และมีการดาเนินงานในเชิงบูรณาการ ไม่ได้ และ เก่ียวข้องกบั เงนิ ทนุ จานวนมาก ระหว่างชุมชน โครงการหมู่บ้านราชมงคล และ หน่วยงานต่าง ๆ ประสบความสาเร็จตามความ คาดหวัง 31 โครงการ มีการดาเนินการแต่ไม่ประสบ ความสาเร็จ 5 โครงการ ซึ่งการศึกษาน้ีพบว่าปัจจัยท่ี ท า ใ ห้ ก า ร ด า เ นิ น โ ค ร ง ก า ร ป ร ะ ส บ ค ว า ม ส า เ ร็ จ ประกอบด้วย 3 อย่าง ได้แก่ 1) การพงึ่ พาตนเอง แบบ พอเพียงโดยใช้ทรัพยากรบุคคลในชุมชน ซึ่งมีความ วารสารวิชาการรบั ใช้สังคม มทร.ลา้ นนา 9 ปที ่ี 1 ฉบบั ที่ 1 มกราคม - มิถนุ ายน 2559
สําเรจ็ พงึ่ ตนเอง พอเพยี ง ใชท้ นุ นอ้ ย สามารถใช้กินในครัวเรือนได้ตลอดปี ส่วนมัน ปัจจัย ทาตามแผน ใชแ้ รงงานจาก สาปะหลังจาก 1 ตัน/ไร่ เพ่ิมเป็น 1.4 ตนั /ไร่ ได้รับการสนบั สนุน คนในชุมชน ไม่สาํ เรจ็ จากบคุ คลภายนอก ภาพท่ี 2 การสร้างงานในห่วงโซค่ ุณคา่ สอดคล้องกับความ (Value chain) การผลติ ผา้ ทอมือในบา้ นนาเชือก สภาพแวดลอ้ ม ต้องการของคนสว่ นใหญ่ 3.2 ด้านสังคม พง่ึ ภายนอก สภาพพน้ื ท่ี จากการพฒั นาทาให้สงั คมในบา้ นนาเชือกดี ไม่เหมาะสม ข้ึนเกิดความสัมพันธ์ในสถาบันครอบครัว จากการ เสริมสร้างความเข้มแข็งของกลุ่ม ซ่ึงคนในครอบครัว ควบคมุ ไมไ่ ด้ ได้มาทางานด้วยกัน คนในหมู่บา้ นที่ย้ายไปทางานถิน่ อื่นย้ายกลับมาทางานในหมู่บ้าน โดยก่อนเร่ิม เกี่ยวกบั เงนิ ทนุ โครงการมีครัวเรือนท่ยี ้ายไปทางานท่ีอ่ืนประมาณร้อย ละ 50 (35 ครัวเรือนจาก 77 ครัวเรือน) เม่ือมีการ ภาพท่ี 1 ปัจจยั ท่ีกอ่ ให้เกิดความสาเรจ็ และไมส่ าเรจ็ ใน พัฒนา เกิดกลุ่มอาชีพในชุมชน ทาให้มองเห็นช่อง การดาเนินโครงการตามแผนพฒั นาหมบู่ ้านนาเชือก ทางการสร้างอาชพี ในชุมชนและย้ายกลับมาประมาณ 13 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละประมาณ 37 ของ 3. การเปล่ยี นแปลงทเี่ กิดขน้ึ ในชุมชน ครัวเรือนท่ีไปทางานแหล่งอื่น นอกจากน้ียังทาให้คน 3.1 ดา้ นเศรษฐกิจ ในชุมชนมีความรู้ความสามารถ เป็นการพัฒนา สมรรถนะของคนในชุมชน ให้มีขีดความสามารถมาก จากการดาเนินโครงการก่อให้เกิดการเพิ่ม ข้ึน เป็นการเสริมพลังอานาจให้คนในชุมชน รายได้/ลดรายจ่ายผ่านการสร้างงาน/สร้างอาชีพใน (Empowerment) ชมุ ชน ซึง่ การพัฒนาทาให้เกดิ กลุ่มอาชพี ที่หลากหลาย 3.3 ด้านส่ิงแวดล้อม จากเดิมซึ่งมีแค่ กลุ่มทอผ้า เกิดกลุ่มอ่ืน ๆ เช่น กลุ่ม ปลูกผัก กลุ่มปลา กลุ่มจักสาน กลุ่มเล้ียงไก่ กลุ่มปุ๋ย การพัฒนาทาให้คนในชุมชนเกิดความหวง กลุ่มเห็ด ฯลฯ ก่อให้เกิดการจ้างงานในชุมชน ทาให้ แหนและต้องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น ป่า แหล่ง ชุมชนสามารถสร้างรายได้จากอาชีพต่าง ๆ โดยการ น้าในชุมชน ปรับปรุงภูมิทัศน์ จัดความระเบียบของ จ้างงานหลกั อยู่ท่กี ล่มุ ทอผ้า ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้ สภาพแวดลอ้ มในชมุ ชน มคี วามสะอาดมากขน้ึ คนในหมบู่ ้านเกอื บทุกขั้นตอนในห่วงโซ่คณุ คา่ (Value Chain) ของการผลิตผ้าทอดังแสดงในภาพที่ 2 โดย ทั้งนี้จากการพัฒนาหมู่บ้านนาเชือกใน กลุ่มอาชีพนี้สามารถสร้างงานให้ท้ังคนในหมู่บ้านนา ระยะเวลา 5 ปี ส่งผลต่อการเปล่ียนแปลงท้ังทางด้าน เ ชื อ ก แ ล ะ น อ ก ห มู่ บ้ า น โ ด ย ค น ใ น ห มู่ บ้ า น มี ง า น ประมาณ 33 ครัวเรือน (สมาชิก 13 ครัวเรือน ไม่เป็น สมาชิก 20 ครัวเรือน) และนอกหมู่บ้านประมาณ 18 ครัวเรือน ซึ่งชุมชนบ้านนาเชือกมีรายได้จากการ จาหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าทอมือจากเดิมปีละประมาณ 50,000-60,000 บาท เป็นปีละไม่ต่ากว่า 1,000,000 บาทในปจั จุบนั ส่วนกล่มุ อาชีพอืน่ ๆ ยงั สร้างรายได้ไม่ มากส่วนใหญ่จะชว่ ยในการลดค่าใช้จา่ ยในครวั เรือนซึ่ง ใชเ้ ป็นอาหาร เชน่ กลุม่ ปลกู ผกั กลมุ่ ปลา กลมุ่ เลี้ยงไก่ กลุ่มเห็ด สาหรับกลุ่มปุ๋ยซ่ึงมีแนวคิดในการผลิตและ การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ทาให้ชุมชนลดค่าใช้จ่ายในการซื้อ และทาให้ผลผลิตจากพืชเศรษฐกิจ คือ ข้าวและมัน สาปะหลังเพ่ิมข้ึน จากเดิมเคยซ้ือขายกันปัจจุบัน 10 RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016
เศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมตามท่ีกล่าวข้างต้น มีงานมากขึ้น การพนันลดลง คนในชุมชนมีความ จากการเปล่ียนแปลงต่าง ๆ เหล่าน้ีซ่ึงทาให้บ้านนา กระตือรือร้น ผู้หญิงมีบทบาทมากข้ึน คนในชุมชนมี เชอื กมีการพัฒนาแบบกา้ วกระโดด กอ่ เกิดผลกระทบ จติ สานกึ รักชมุ ชน มคี วามสามัคคีมากขึ้น ขณะทเี่ วลา ในชมุ ชนทั้งทางบวกและทางลบ สรปุ ดงั ตารางท่ี 2 ซ่งึ ในการพบปะสังสรรค์ของคนในชุมชนน้อยลง ความ ชุ ม ช น บ้ า น น า เ ชื อ ก มี ช่ื อ เ สี ย ง เ ป็ น ที่ รู้ จั ก ข อ ง ค น เปน็ ส่วนตัวลดลง ภายนอก มีหน่วยงานต่าง ๆ เข้ามาสนับสนุนและคน ภายนอกเข้ามาเยี่ยมชม ศึกษาดูงานในชุมชนมากขึ้น ตารางท่ี 2 ผลท่ไี ดจ้ ากโครงการและผลกระบทท่ีเกดิ ขนึ้ ผลทีไ่ ด้ ผลกระทบ เศรษฐกิจ - งานมากขนึ้ (จากมอี าชีพ) (+) - รายได้เพิ่มข้ึน/ลดรายจ่าย ผ่านการสร้างงานสร้างอาชีพ - คนมคี วามกระตอื รือร้นมากข้นึ (+) ชมุ ชนพงึ่ พาตนเองได้ - ผหู้ ญงิ มีบทบาทมากข้ึน (+) - ชุมชนมีช่อื เสยี ง (+) - ผลผลติ ทางการเกษตรเพมิ่ ขน้ึ สังคม - มหี น่วยงานเขา้ มาสนับสนนุ มากขนึ้ (+) - คนภายนอกเขา้ มาในชมุ ชนมากขนึ้ (+) - สร้างความเป็นสถาบันครอบครัว และ ชุมชน ผ่านการ - คนในชุมชนมจี ิตสานกึ รักชุมชนมากข้นึ (+) เสริมสร้างความเข้มแข็งของกลุม่ - การพนันนอ้ ยลง (+) - ลดการเคล่อื นยา้ ยแรงงาน ทาให้คนอยู่ในพื้นท่ีมากข้ึน รัก - ความสขุ ในครอบครวั มากขึน้ (+) ถนิ่ ฐานบ้านเกดิ - มีความสามคั คี พลงั อานาจของชุมชนมาข้นึ (+) - เพ่ิมสมรรถนะ ขีดความสามารถ เสริมพลังอานาจของคน - เวลาพบปะสังสรรค์นอ้ ยลง (–) ในชมุ ชน (Empowerment) - ความเปน็ ส่วนตัวนอ้ ยลง (–) สงิ่ แวดล้อม - ชุมชนพัฒนาดี ในด้านภูมิทัศน์ ความเป็นระเบียบ ความ สะอาด - ก่อใหเ้ กิดความหวงแหนและอนรุ กั ษแ์ ละรกั ษาสงิ่ แวดลอ้ ม และความเปน็ ชุมชนท้องถน่ิ 3.4 การเปลี่ยนแนวคดิ ของคนในชมุ ชน ปัจจุบันยังอยู่เฉพาะคนหรือเฉพาะบางกลุ่มเน่ืองจาก จากการพัฒนาภายใต้โครงการ ทาให้คนใน ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ซึ่งทาให้เกิดความ เหล่อื มล้าในชมุ ชนซ่งึ อาจมปี ัญหาในอนาคต ทาให้คน ชมุ ชนเกิดการเรยี นรู้ ทั้งจากการฝึกอบรม การศึกษาดู ในชุมชนมีคาถามว่าทาอย่างไรคนในชุมชนจะมรี ายได้ งาน และ จากประสบการณ์ท่ีได้รับจากกการเข้ามา ทวั่ ถึง เดินไปพร้อม ๆ กนั หรอื เจริญไปพร้อมๆ กนั แต่ เยือนของบุคคลภายนอก เป็นการเรียนรู้ตนเองและ อยู่บนพื้นฐานของความสุขโดยไม่ให้ความสาคัญกับ เรียนรู้ในการพัฒนาชุมชน จากส่ิงท่ีได้เรียนรู้ทาให้ เงนิ มากเท่ากบั ความสุขของครอบครัวและคนในชุมชน คนในชุมชนเกิดการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์หรือ ให้มีเวลาว่าง เวลาบันเทิง สังสรรค์ในชุมชน และจาก แนวคิด แสดงดังภาพท่ี 3 ซึ่งคนในชุมชนรู้จักการ ก า ร ที่ ต้ อ ง ต า ม ใ จ ค น ที่ เ ข้ า ม า เ ยื อ น ทุ ก ก ลุ่ ม ทุ กครั้ง วางแผน รู้จักการประยุกต์ใช้ความรู้และวิธีการหา ชุมชนได้มีคัดเลือก คัดสรร ให้เหมาะสมกับส่ิงท่ีมีใน รายได้ รู้จักตนเอง รู้จักปรับตัว มีการทางานเป็นทีม แต่ละช่วง รู้จักการปฏิเสธ นอกจากน้ีจากความ มองเห็นความสาคัญของส่ิงท่ีมีในชุมชน หวงแหนสิ่งท่ี ต้องการผลิตชิ้นงานให้ได้ปริมาณมากด้วยคาดหวังว่า มีอยู่ ดาเนินชีวิตแบบมีเป้าหมายมากข้ึน ทั้งน้ีถึงแม้ จะสร้างรายได้จากการจาหน่ายผลิตภัณฑ์กลับมามอง จะมีงานและรายได้ในชุมชน แต่งานที่สร้างรายได้ใน วารสารวชิ าการรบั ใช้สังคม มทร.ล้านนา 11 ปที ี่ 1 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม - มถิ ุนายน 2559
ท่ีคุณภาพเป็นหลัก หรือมองจากมูลค่าเป็นคุณค่าเป็น ร่วมพบว่าต้องการพัฒนาให้เป็น“หมู่บ้านท่องเท่ียว” สาคญั เน่ืองจากบ้านนาเชือกมีศักยภาพด้านการพัฒนา ผลิตภัณฑ์จากทุนทางปัญญาและทรัพยากรท่ีมีอยู่ สิ่งที่ชุมชนเรียนรู้ เปน็ ชุมชนที่มีจิตบรกิ ารสามารถพัฒนาศักยภาพในการ บริการให้คนในชุมชนได้ และมีศักยภาพในการผลิต ผลผลิตทางการเกษตร รวมทั้งมีกลุ่มอาชีพที่ หลากหลายสามารถเปน็ แหลง่ ท่องเที่ยวและเรียนรู้ได้ การเปลี่ยนแนวคิด ภาพที่ 3 สงิ่ ทคี่ นในชมุ ชนเรียนรูจ้ ากการพฒั นาและ สรา้ งกจิ กรรม/พัฒนา ชน้ิ งานในชุมชนชน การเปล่ยี นแปลงแนวคิดหลงั จากการเรียนรู้ จากงานมีห่วงโซ่การดาํ เนินงานในชมุ ชน ให้ยาวหรอื มากท่ีสดุ เพ่ือทจ่ี ะกระจายงาน 4. ทิศทางการพฒั นาในอนาคต ในแตล่ ะกระบวนการใหค้ นชุมชนเข้า มาร่วมไดม้ ากท่สี ดุ (คนในชมุ ชน มีทักษะ จากการพัฒนาชุมชนบ้านนาเชือกทาให้คน ต่างกัน มีความชํานาญไม่เหมือนกนั ) ซ่ึง ในชุมชนเกิดการเรียนรู้ ทราบความต้องการที่แท้จริง ของตนเองซึ่งมองท่ีความสุขของคนในชุมชนเป็นหลัก จะทําให้ชุมชนมีความเขม้ แข็ง การพัฒนาชุมชนบ้านนาเชือกในอนาคตได้กาหนด ตาแหน่งของตนเองเป็น“ชุมชนพอเพียง ซ่ึงมุ่งพฒั นา ผลิตภัณฑ์ บนพน้ื ฐานของสง่ิ ที่มีอยู่จากความเป็นตัวตนของชมุ ชม การท่องเทย่ี ว สร้างสรรค์งานจากชุมชน ให้มีความสุข พออยู่พอกิน ลดความเหล่ือมล้าในสังคมเป็นกาวเช่ือมโยงชุมชน” ผลิตภณั ฑ์เกษตร การบริการ โดยไม่เป็นชุมชนที่ต่างคนต่างอยู่หรือมุ่งพัฒนาให้เปน็ ชุมชน SME เน่ืองจากต้องการเดินและเติบโตไป ภาพท่ี 4 ทศิ ทางการพัฒนาบา้ นนาเชือกในอนาคต พร้อม ๆ กันมากกว่าการเติบโตไปเฉพาะกลุ่ม โดย ทิศทางและกรอบการพัฒนาบ้านนาเชือกในอนาคต 5. กระบวนการในการพัฒนาชุมชนท่ีนําไปสู่ แสดงดงั ภาพที่ 4 ซ่งึ คนในชมุ ชนพิจารณากจิ กรรมทีม่ ี ความสาํ เรจ็ ห่วงโซ่อุปทานในชุมชนให้ยาวท่ีสุด เพื่อสร้างงานให้ คนในชุมชนได้มากที่สุด ซ่ึงการวิเคราะห์แบบมีส่วน 12 RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016
บ้ า น น า เ ชื อก ถื อ เ ป็ น ชุ ม ช น ท่ี ป ร ะ ส บ อภิปรายผล ความสาเร็จในการพัฒนาด้วยการเปลี่ยนแปลง การศึกษาในคร้ังน้ีทาให้ทราบถึงผลสาเร็จ ทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม และส่ิงแวดล้อมท่ีดีข้ึน ซ่ึง ได้ชุมชนได้ร่วมทบทวนกระบวนการพัฒนาชุมชนที่ ของการดาเนินโครงการตามแผนพัฒนาหมู่บ้านนา ส่งผลตอ่ ความสาเร็จประกอบดว้ ย 10 ขัน้ ตอน ดังภาพ เชือกซึ่งการดาเนินการตามแผนงานส่วนใหญ่ประสบ ที่ 5 โดยชุมชนมองว่าสิ่งสาคัญที่เป็นตัวขับเคลื่อน ความสาเร็จและมีเพียงบางโครงการท่ีไม่ประสบ กระบวนการดาเนินงานในแต่ละขน้ั ตอนใหส้ าเรจ็ อยา่ ง ความสาเร็จ ซ่ึงพบว่าปัจจัยท่ีทาให้โครงการประสบ มีประสิทธิภาพ คือ “การสร้างกระบวนการมีส่วน ความสาเร็จประกอบด้วย การพึ่งพาตนเองอยู่บน ร่วม” และ “การสร้างกระบวนการเ รี ย น รู้ พ้ืนฐานของความพอเพียง การทาตามแผนซึ่งเกิดจาก แบบต่อเน่ือง” นอกจากน้ีพบว่าขั้นตอนที่สาคัญท่ีสุด การดาเนินการแบบมีส่วนร่วม และ การได้รับการ ซ่ึงนาไปสู่ความสาเร็จในการพัฒนา คือ ขั้นตอนการ สนับสนุนจากบุคคลภายนอก ส่วนปัจจัยท่ีทาให้ วางแผน ซึ่งมองว่าแผนท่ีเกิดจากการดาเนินการ โครงการไม่ประสบความสาเร็จ คือ สภาพแวดล้อมไม่ แบบมีส่วนร่วมถือเป็นส่ิงท่ีต้องทา เป็นพลังร่วม ถือ เหมาะสม ต้องพ่ึงพาภายนอก ผลจากการดาเนินการ เป็นสัญญาประชาคม และ เป็นกรอบทิศทางการ ทาให้บ้านนาเชือกเกิดการเปลี่ยนแปลงท่ีดีขึ้นท้ัง พัฒนาหรอื การบูรณาการจากบคุ คลภายนอก ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม มีการ พัฒนาแบบก้าวกระโดด มีกลุ่มอาชีพเกิดข้ึนจานวน ภาพที่ 5 กระบวนการพฒั นาชุมชนบา้ นนาเชือก มาก มีรายได้เพ่ิมข้ึนในชุมชนจากปีละประมาณ การนาํ ไปใช้ 50,000-60,000 บาท เป็นปีละประมาณ 1,000,000 บาท มีความมั่นคงทางด้านอาหารโดยสามารถใช้ ผลการศึกษาในครั้งนเี้ ป็นประโยชนก์ ับหลาย ดารงชีพได้ตลอดท้ังปีช่วยลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ภาคส่วน ทั้งชุมชนบ้านนาเชือกเองท่ีมีเป้าหมายใน ชุมชนมีความสามัคคี คนย้ายกลับมาทางานในชุมชน การพัฒนาชุมชนให้เป็นชุมชนพอเพียง เพื่อความ มากขึ้น รวมทัง้ ส่ิงแวดล้อมไดร้ บั การพัฒนาทด่ี ขี ้ึน ทา ยั่งยืนในอนาคต ควรดาเนินการในเชิงบรูณาการแบบ ใ ห้ ชุ ม ช น บ้ า น น า เ ชื อ ก มี ช่ื อ เ สี ย ง เ ป็ น ท่ี รู้ จั ก ข อ ง มีส่วนร่วมของคนในชุมชนและหน่วยงานพัฒนาท่ี หน่วยงาน/บุคคลภายนอกมากข้ึน มีการเข้ามาใน เก่ยี วข้อง กระบวนการในการพัฒนาชมุ ชนสามารถใช้ ชุมชนเพื่อพัฒนาในเชงิ บูรณาการ รวมท้ังเข้ามาศกึ ษา เป็นแนวทางในการพัฒนาชุมชนของโครงการหมู่บ้าน ดูงานและเรียนรู้ในฐานะที่บ้านนาเชือกเป็นชุมชน ราชมงคลหรือของหน่วยงานอื่น ๆ ท่ีมีบทบาทหน้าท่ี ต้นแบบซึ่งประสบความสาเร็จ ส่งผลให้คนชุมชนมี ในการพฒั นาชมุ ชนทค่ี ล้ายคลึงกนั เวลาส่วนตัวน้อยลง เวลาสังสรรค์ในชุมชนซ่ึงเป็นวิถี ชีวิตของตนในอดีตลดลง สิ่งที่ชุมชนได้รับจาก สถานการณ์ต่างๆ ทาให้คนในชุมชนเกิดการเรียนรู้ใน การพัฒนาตนเองและชุมชน แนวความคิดเปล่ียนจาก การมุ่งสร้างรายได้เฉพาะคนหรือเฉพาะกลุ่มเป็นการ กระจายได้ให้ทัว่ ถงึ ไปทัง้ ชมุ ชน มองความสุขของคนใน ชุมชนเป็นส่ิงสาคัญ รู้จักปรับตัวกับสถานการณ์ต่างๆ ให้ตนเองมีเวลาว่างมากขึ้น มุ่งสร้างงานท่ีมีคุณภาพ โดยมองที่คุณค่ามากกว่ามูลค่า มีจิตสานึกอนุรักษ์ และหวงแหนบ้านเกดิ ทาให้คนในชมุ ชนบา้ นนาเชอื ก มีการกาหนดตาแหน่งการพัฒนาตนเองเป็น “ชุมชน พอเพียง” และ มุ่งสร้างกลุ่มอาชีพเพ่ือพัฒนาชุมชน ด้วยการเป็น “หมู่บ้านท่องเที่ยว” ซ่ึงเป็นธุรกิจที่ สามารถสร้างงานและสร้างรายได้ของคนในชุมชนได้ อย่างทั่วถึง เนื่องจากโซ่อุปทานของธุรกิจส่วนใหญ่อยู่ วารสารวิชาการรับใช้สังคม มทร.ล้านนา 13 ปที ี่ 1 ฉบับท่ี 1 มกราคม - มิถนุ ายน 2559
ในชุมชน สามารถดึงศักยภาพของคนในชุมชนมาใช้ 3) กระตุ้นให้เกิดกระบวนการเรียนรู้อย่าง ไม่ว่าจะเป็นด้านผลิตภัณฑ์ บริการ และด้าน ต่อเนื่อง ซึ่งเป็นหนึ่งกระบวนการท่ีมีความสาคัญใน การเกษตร โดยไมต่ อ้ งเปลยี่ นวิถีชวี ติ ในการดาเนนิ ชวี ติ การพัฒนาชุมชนให้เกิดความสาเร็จ หน่วยงานให้การ แบบดั้งเดิมมาก นอกจากนี้ผลการศึกษายังทาให้ สนับสนุนควรเสริมสร้างการพัฒนาองค์ความรู้และ ทราบถึงกระบวนการพัฒนาชุมชนที่นาสู่ความสาเร็จ ศักยภาพของคนชุมชนพร้อมกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ ซ่ึงประกอบด้วย 10 ข้ันตอน ซึ่งความสาเร็จของ ร่วมกันอย่างต่อเนื่อง อาจเร่ิมจากการสร้างทีมทางาน ขั้นตอนการพัฒนาส่วนใหญ่แล้วขึ้นกับการสร้าง หลัก (Core Team) และให้ทีมงานหลักสร้างการ กระบวนการพัฒนาการแบบมีส่วนร่วม และการสร้าง เรียนรู้แก่คนในชุมชนตามลาดับ ซ่ึงทีมหลัก ถือเป็น กระบวนการเรียนรู้ต่อเนื่อง ท้ังนี้ข้ันตอนในการ คณะทางานที่รับผิดชอบการดาเนินการจัดการความรู้ พัฒนาชุมชนท่ีเป็นหัวใจสาคัญสู่ความสาเร็จคือการ ขององค์กรอย่างต่อเน่ือง (รัชต์วรรณ กาญจน วางแผนพัฒนาชุมชนแบบมสี ่วนรว่ ม ปญั ญาชน. 2550) จ า ก ก า ร ศึ ก ษ า ค ร้ั ง น้ี ท า ใ ห้ ม อ ง เ ห็ น ภาพรวมสาหรับการพัฒนาชุมชนบ้านนา วิวัฒนาการการพัฒนาแนวคิดของคนในชุมชนบา้ นนา เชือกในอนาคตหน่วยงานให้การสนับสนุนควรกระตุ้น เชือกซึ่งมองความสุขของคนในชุมชนเป็นหลัก มี ให้เกิดการพัฒนาเพื่อให้ชุมชนเติบโตอย่างยั่งยืน เป้าหมายการพัฒนาชุมชนในอนาคตบนพื้นฐานของ (Sustainable growth) ซ่ึงจะทาอย่างไรจึงจะทาให้ “ชุมชนพอเพียง” พัฒนาเป็น “หมู่บ้านท่องเท่ียว” เกิดความสมดุลระหว่างการพัฒนาทางเศรษฐกิจ เพอ่ื ให้การพัฒนาบ้านนาเชอื กประสบความสาเร็จตาม สังคม และส่ิงแวดล้อมซึ่งเป็นจุดเร่ิมต้นในการสร้าง เป้าหมาย การศึกษานี้มีข้อเสนอแนะสาหรับการ ความสัมพันธ์ระหว่างการพัฒนาท่ียั่งยืนและการ พฒั นาบ้านนาเชือกในเบื้องตน้ ดงั ตอ่ ไปน้ี เติบโตทางด้านเศรษฐกิจในชุมชนบ้านนาเชือก ซึ่ง ป ร ะ เ ด็ น ส า คั ญ ต า ม ท่ี Grybaitė, V.; 1) ส่งเสริมสนับสนุน และกระตุ้นการจัดทา Tvaronavičienė, M. (2008) และ Lapinskienė, G.; แผนพัฒนาชุมชนบ้านนาเชือกในระยะต่อไปด้วย Paleckis, K. (2009) ได้เสนอแนะไว้ ท้ังน้ีในการ กระบวนแบบมีส่วนร่วม ซึ่งถือว่าเป็นข้ันตอนการ พัฒนาควรมีการเสริมสร้างองค์ความรู้ นวัตกรรม พัฒนาชุมชนท่ีมีความสาคัญอันส่งผลต่อความสาเร็จ ให้กับคนในชุมชนและกระตุ้นให้สามารถบรูณาการ ของโครงการ โดยวิวัฒน์ หามนตรี ( 2554) ได้ องค์ความรู้ นวัตกรรม และภูมิปัญญาสู่การสร้าง ทาการศึกษาและสรุปถึงความสาคัญของแผนไว้ว่า คุณค่าและมูลค่าบนพ้ืนฐานของทรัพยากรที่มีอยู่โดย แผนทาให้เกิด การเรียนรู้ร่วมกัน เป็นแผนที่มาจาก ควรเร่ิมเสริมสร้างองค์ความรู้และพัฒนาศักยภาพของ ปัญหาของชุมชน โดยการเรียนรู้ร่วมกันทาให้เกิด แกนนาหรือทีมทางานหลัก (Core Team) และกระตนุ้ ความรู้ความเข้าใจ ตระหนักถึงความสาคัญของการ เสริมให้เกิดกระบวนการเรียนรู้อย่างต่อเน่ืองโดยการ จัดทาแผนพัฒนาอย่างมีคุณภาพและเห็นความสาคัญ ถ่ายทอดให้กับคนในชุมชน เพ่ือให้ชุมชนเจริญเติบโต ของการเกบ็ และรวบรวมข้อมูลเพือ่ การจดั ทาแผน ไปพร้อม ๆ กัน (Inclusive Growth) ลดความเหลื่อม ล้าของคนในสังคม ซึ่งหน่วยงานให้การสนับสนุนควร 2) ทาการศึกษาวิจัยโอกาสและแนวทางการ หากลยุทธ์ในการพัฒนาชุมชนให้เจริญเติบโตใน พัฒนาการท่องเที่ยวในชุมชนบ้านนาเชือก เพื่อใช้ ทิศทางดงั กล่าว เป็นข้อมูลสนบั สนุนการตดั สินใจ ตลอดการบรู ณาการ การพัฒนาร่วมกันทั้งชุมชนและหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง กติ กกิ รรมประกาศ ซึ่งอาจเร่ิมจากการศึกษาวิจัยโดยใช้กระบวนการแบบ คณะทางานขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ มสี ว่ นร่วมซงึ่ เปน็ วิธีการที่มีศกั ยภาพและมีการนามาใช้ สาหรับการวจิ ัยด้านการท่องเท่ียวตามที่ Ling, R. S. I. ดร.ภาสกร นันทพานิช เป็นอย่างสูงที่ให้ความ A. J.(2011) ได้ใช้เป็นเคร่ืองมือในการรวบรวมความ อนุเคราะห์ในการเป็นผู้อานวยการในการเสวนา คิดเห็นของชุมชนเกี่ยวกับความถูกต้องและการรักษา วิเคราะห์ข้อมูล และขอบคุณชาวบ้านนาเชือก ที่ร่วม วฒั นาธรรมของชุมชนเพือ่ การท่องเทย่ี ว 14 RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016
วิเคราะห์ชุมชน จนได้มาซ่ึงคาตอบของการศึกษาครั้ง Lapinskienė, G.; Paleckis, K. 2009. Impact of นี้ ขอขอบคุณโครงการหมู่บ้านราชมงคลมหาวิทยาลัย Sustainable Development Indicators on เทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ท่ีให้การสนับสนุน Economic Growth: Baltic Countries in the งบประมาณในการดาเนนิ โครงการในคร้งั นี้ Context of Developed Europe, Verslas: teorija ir praktika [Business: Theory and บรรณานกุ รม Practice] 10(2): 107–117. รัชต์วรรณ กาญจนปัญญาชน. 2550. การจัดการองค์ doi:10.3846/1648-0627.2009.10.107-117 ความร.ู้ สืบคน้ เม่อื ตุลาคม 2558. Ling, R. S. I. A. J. (2011). The PRA tools for จาก http://www.fullbrightthai.org. qualitative rural tourism research. Systems วิวฒั น์ หามนตรี. 2554. “การพัฒนารปู แบบการจดั ทา Engineering Procedia, 1, 392-398. doi: แผนพัฒนาแบบมีส่วนร่วมขององค์การบริหาร http://dx.doi.org/10.1016/j.sepro.2011.08. ส่วนตาบลในจังหวัดอ่างทอง” วิทยานิพนธ์ 059 หลักสูตรปรัชญาดุษดีบณั ฑิต สาขาวิชาการศึกษา เพอื่ พัฒนาทอ้ งถิน่ มหาวิทยาลัยราชภัราชนครนิ ทร์. Narayanasamy, N. (2009). Participatory Rural Grybaitė, V.; Tvaronavičienė, M. 2008. Appraisal: Principles, Methods and Estimation of Sustainable Development: Application: SAGE Publications. Germination on Institutional level, Journal of Business Economics and Selener, D. (1997). Participatory action Management 9(4): 327–334. research and social change. Ithaca, doi:10.3846/1611-1699.2008.9.327-334 NY,USA: The Cornell Participatory Action Research Network, Cornell University... วารสารวชิ าการรับใช้สังคม มทร.ลา้ นนา 15 ปีที่ 1 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม - มถิ ุนายน 2559
RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016
การออกแบบและสร้างระบบจ่ายน้าหยดอตั โนมัติสา้ หรบั สวนสมนุ ไพร จากพลงั งานแสงอาทติ ย์เพ่อื ชมุ ชน Design and Realization of the Automatic Drip Irrigation System for an Herb Garden from Photovoltaic system to Communities พเิ ชษฐ พลาดสุ1*, พชั รนันท์ ศรธี นาอทุ ัยกร2, พลรบ พิทกั ษะ3, สนั ติ สญั ชาติ4, นภทั ร วัจนเทพนิ ทร์5, ไพบลู ย์ เกยี รติสุขคณาธร6 และ ทนิ กร เขยี วรี7 1,3,4 นกั ศึกษา สาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวศิ วกรรมศาสตรแ์ ละสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลสวุ รรณภมู ิ 2,5 รองศาสตราจารย์ ศูนย์วจิ ยั และถ่ายทอดเทคโนโลยพี ลังงานแสงอาทติ ย์ คณะวศิ วกรรมศาสตรแ์ ละสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสวุ รรณภูมิ 6 อาจารย์ สาขาวชิ าวศิ วกรรมไฟฟ้า คณะวศิ วกรรมศาสตรแ์ ละสถาปตั ยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลสวุ รรณภมู ิ 7 อาจารย์ สาขาวชิ าวิศวกรรมเครอื กล คณะวศิ วกรรมศาสตรแ์ ละสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลสวุ รรณภมู ิ E-mail: [email protected] บทคัดย่อ บทความนี้น้าเสนอการออกแบบและสร้างระบบควบคุมการจ่ายน้าหยดอัตโนมัติ ส้าหรับสวนสมุนไพร จากพลังงานแสงอาทิตย์ โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือสร้างระบบจ่ายน้าท่ีอาศัยพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ในแปลงเกษตร ชุมชน ระบบนี้สามารถสูบน้าข้ึนมาเก็บและจ่ายน้าออกมาในระบบน้าหยดแบบกึ่งอัตโนมัติเพือ่ ประหยดั ทรัพยากรนา้ โดยควบคุมการหยดของน้าให้เหมาะสมกบั ความต้องการของพชื จากการทดสอบการท้างานของเครอื่ งต้นแบบทตี่ ดิ ตงั้ ในสวนตน้ หม่อน บนพื้นท่ี 250 ตารางวา ของชุมชนวัดรวก ต.บางสที อง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี พบว่าเคร่ืองตน้ แบบ ที่น้าเสนอสามารถน้าไปใช้งานได้จริง การท้างานในโหมดใช้พลังงานจากเซลล์แสงอาทิตย์จะใช้เวลาน้อยกว่าการ ทา้ งานในโหมดแบตเตอรใ่ี นวนั ทีม่ แี สงแดดดี โดยได้ทา้ การทดลองการสบู น้าจากบ่อพกั น้าขนึ้ ไปเกบ็ บนถงั เกบ็ น้าขนาด 700 ลิตร ในงานวิจัยนก้ี ารควบคมุ การจา่ ยน้าจะอาศัยชุดตรวจจับความชืน้ ในดนิ ท้าให้สามารถประหยัดน้าได้มากขึน้ พลังงานไฟฟ้าที่ได้จากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ขนาด 280 วัตต์ และแบตเตอรี่ส้ารองขนาด 12 โวลต์ 45 แอมแปร์ ต่อช่ัวโมง เมื่อน้ามาใช้กับป้ัมน้าแบบแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลางขนาด 200 วัตต์ สามารถท้างานได้วันละ 6 ช่ัวโมง เมอื่ มีแสงอาทิตย์ตลอดวนั ผลการวจิ ัยแสดงให้เห็นว่าระบบดงั กล่าวเกิดประโยชน์อยา่ งมากตอ่ การประกอบอาชีพของ คนในชุมชน ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงานและค่าพลังงานไฟฟ้าท่ีใช้ส้าหรับระบบสูบน้าในสวนสมุนไพร ที่มีอยู่เดิม นอกจากน้ันยังเกิดการถ่ายทอดความรู้ในชุมชนเองและชุมชนอ่ืนๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดการมีส่วนร่วม ระหว่างชุมชนกบั มหาวิทยาลัยฯซ่ึงมผี ลท้าให้ชุมชนได้รับประโยชน์จริงๆ คา้ ส้าคัญ แผงเซลล์แสงอาทติ ย์ การจ่ายน้าหยด แปลงเกษตรชมุ ชน ตน้ หมอ่ น ความคมุ้ คา่ ทางเศรษฐกจิ ABSTRACT This paper presents design and realization of the automatic drip irrigation system for a herb garden from photovoltaic system to contribute dripping an irrigation system by using photovoltaic panel for community farms. The proposed system can store and supply the water in the semi-automatic dripping water system to save water by proper control of water level dripping for the herbs. From experimental results of the dripping irrigation system prototype with the 250 Wha2 วารสารวชิ าการรับใช้สงั คม มทร.ล้านนา 17 ปีที่ 1 ฉบับท่ี 1 มกราคม - มถิ นุ ายน 2559
of the mulberry garden at Wat-Ruak, Bang-Sri-Thong, Nonthaburi, this proposed prototype can be done. Moreover, experimental results are also shown that the dripping irrigation system with photovoltaic mode used time less than the dripping irrigation system with battery mode when sunny condition. The energy from the 280W photovoltaic system and a battery backup with 12V, 45 Ah can use 6 hours/day for 200W centrifugal motor pump of water. The results reveal that this proposed system is most profited for the occupation of the people in the community. It can reduce cost of labors and increase products of farmers. Moreover, it can make the transfer of knowledge in the community and other communities. Especially, it can make the memorandum of understanding (MOU) between community and university. As a result of MOU, the community has been profited Keywords photovoltaic panel, drip irrigation, community farms, mulberry บทน้า ในชุมชนดังกล่าวฯ โดยการน้าของก้านันต้าบล คณะวิศวกรรมศาสตร์และสถาปัตยกรรม บางสีทอง อ บางกรวย จ นนทบุรี เม่ือทราบความ ต้องการของชมุ ชนแลว้ ทางคณะวิศวกรรมศาสตรแ์ ละ ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ สถาปัตยกรรมศาสตร์ ได้แต่งต้ังคณะกรรมการ มีพันธกิจ 5 ประการ คอื 1. สรา้ งวิศวกรและสถาปนิก ด้าเนินงาน โครงการบริการวิชาการแบบบูรณาการ ท่ีเป็นมืออาชีพ มีคุณธรรม จริยธรรมสอดคล้องกับ ชุมชน ศูนย์นนทบุรี ขึ้นและจากการลงพื้นท่ีชุมชน ความต้องการของสังคม 2. วิจัยและสร้างนวัตกรรม ของคณะกรรมการดังกล่าว ในคณะอนุกรรมการด้าน เพ่ือตอบสนองความต้องการของสังคม 3. บริการ ก า ร พั ฒ น า เ ก ษ ต ร ค รั ว เ รื อ น แ ล ะ ก า ร ใ ช้ พ ลั ง ง า น วิชาการด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม เพื่อพัฒนา แสงอาทิตย์ ได้รับโจทย์ปัญหาจากเกษตรกรในชุมชน ชุมชนและสังคมอยา่ งยง่ั ยืน 4. สืบสานศลิ ปวัฒนธรรม วัดรวกบางสีทอง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี เร่ืองการ และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และ 5. บริหารจัดการที่ ปลูกต้นหม่อนเพ่ือท้าชาใบหม่อนท่ีชาวบ้านประกอบ ทันสมัยโดยใช้หลักธรรมาภิบาล ภารกิจด้านการ เปน็ อาชพี อยู่แลว้ แต่ดงั้ เดิม ซงึ่ เป็นระบบท่ีชุมชนน้าชา ให้บริการทางวิชาการเพื่อพัฒนาชุมชน และสังคม ที่ ป ลู ก ไ ด้ น้ า ม า อ บ แ ห้ ง เ พ่ื อ ข า ย เ ป็ น ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ อย่างยั่งยืนเป็นพันธกิจที่ส้าคัญและสะท้อนถึงความ ชาใบหม่อนของเกษตรกรดังกล่าว ซึ่งคิดว่าจะท้า ตระหนักในการน้าความรู้ทางวิชาการและการบูรณา อย่างไร ให้น้าพลังงานทดแทนมาใช้ในการเกษตร การด้านการวจิ ัยไปสู่ผรู้ ับบริการ คือชมุ ชนในเขตพ้ืนที่ ชุมชน จึงเกิดแนวคิดท่ีจะทา้ ระบบท่ีประหยัดพลงั งาน ใ ห้ บ ริ ก า ร ข อ ง ค ณ ะ วิ ศ ว ก ร ร ม ศ า ส ต ร์ แ ล ะ ไม่ใช้พลังงานไฟฟ้าในการป๊ัมน้าเพื่อรดแปลงเกษตร สถาปัตยกรรมศาสตร์ และสืบเนื่องมาจากการท่ี และอยากให้เปน็ แปลงตัวอย่างในการอนรุ ักษพ์ ลังงาน คณะวิศวกรรมศาสตร์และสถาปัตยกรรมศาสตร์และ โดยการใช้พลังงาน แสงอาทิตย์เข้ามาช่วยใน ผู้น้าชุมชนวัดรวกบางสีทอง อ้าเภอบางกรวย กระบวนการเพาะปลกู เพอื่ ใหเ้ กดิ ความยัง่ ยืนทแ่ี ท้จริง จังหวัดนนทบุรี ได้ท้าบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ โดยสร้างระบบน้าหยดที่ใช้ปั๊มน้าท่ีใช้พลังงานไฟฟ้า การเรียนรู้และเสริมสร้างความเข้มแข็งชุมชน โดยมี จากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ และมีระบบจ่ายน้าอัตโนมตั ิ วัตถุประสงค์เพ่ือการพัฒนาชุมชนให้มีความยั่งยืน จะจ่ายนา้ อย่างประหยัด ลดการสูญเสียน้า โดยการใช้ ด้วยการถ่ายทอดองค์ความรู้ และร่วมกันพัฒนา เซน็ เซอร์วัดความชืน้ ในดนิ ของแปลงเพาะปลกู และนา้ เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับชุมชน เพ่ือให้ชุมชนได้สร้าง ผลการวัดมาควบคุมการปล่อยน้าให้หยดลงในแปลง คุณค่าท่ียั่งยืนต่อสังคมตลอดไป เมื่อวันที่ 9 เมษายน อย่างเหมาะสม และจะหยุดจ่ายน้าอัตโนมัติเม่ือพืชไม่ พ.ศ. 2556 ณ มหาวิททยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ต้องการน้าอีก และยังสามารถลดค่าใช้จ่าย ด้านการ สุวรรณภูมิ ศูนย์นนทบุรี และมีการประชุมร่วมกัน ดูแลสวนสมุนไพร โดยใช้เทคโนโลยีจากพลังงาน ระหวา่ ง คณาจารยข์ องคณะวิศวฯ และกลุ่มประชาชน 18 RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016
สะอาด ที่ไม่ก่อให้เกิด มลภาวะในชุมชนอีกด้วย เบนซิน ส่งผลให้เกิดก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ท่ีเป็น จึงทา้ ใหเ้ กดิ โครงการ ระบบสบู นา้ พลังงานแสงอาทิตย์ มลพิษทางอากาศสะสมจ้านวนมากทุกวัน เป็นผลเสีย ต้นแบบ เพ่ือแปลงเกษตรชุมชน ขึ้นเพื่อตอบโจทย์ ต่อสุขภาพของเกษตรกร และสมาชิกในชุมชน ชุมชน และยังเป็นการด้าเนินการโดยใช้ความรู้ท่ีได้ จากการเรียนการสอนมาบูรณาการ และเกิดการบูร วิธีการด้าเนนิ งาน ณาการความรู้จากการวิจัยด้านพลังงานแสงอาทิตย์ 1. ออกแบบ ค้านวณเพ่ือหาขนาดของแผง ร่วมกันอีกด้วย วัตถุประสงค์ของโครงการนี้ คือ การออกแบบและสร้างระบบสูบน้าพลังงา น เซลลแ์ สงอาทิตย์ เลือกใช้ รุ่น STP280-24 VD แรงดัน แสงอาทิตย์ต้นแบบ เพ่ือแปลงเกษตรชุมชนที่สามารถ เปดิ วงจร (Voc) 44.8 V.ก้าลงั แรงดนั ไฟฟา้ สูงสุด (Vmp) สูบน้าข้ึนมาเก็บและจ่ายน้าออกมาในระบบน้าหยด 35.2 V.กระแสลัดวงจร (Isc) 8.33 A. ก้าลังกระแส แบบก่ึงอัตโนมัติเพ่ือประหยัดน้า และทดสอบ สงู สดุ (Imp) 7.95 A. ประเมินผลการท้างานของเคร่ืองต้นแบบในโหมดการ ใช้พลังงานแสงอาทิตย์และโหมดการใช้พลังงานจาก 2. เลือกและทดสอบการท้างานของมอเตอร์ แบตเตอร่ี และน้าไปถ่ายทอดเทคโนโลยีในชุมชน โดย ป๊ัมน้าชนิดแรงเหว่ียงหนีศูนย์กลาง เลือกใช้ DC ใช้พลังงานสะอาดท่ีไม่ก่อให้เกิดมลภาวะในชุมชน SHUNT MOTER QMAX 6 0 L/min, 2 4 Volt 2 0 0 ขอบเขตด้านพ้ืนท่ี คือการติดต้ังระบบสูบน้าพลังงาน Watt- 2960 r.p.m, 0.26 hp IF 3.3 A, Hmax7 m ดงั แสงอาทิตย์ ต้นแบบ เพื่อแปลงเกษตรชุมชนให้กับ รปู ท่ี 1 กลุม่ ผปู้ ลูกตน้ หมอ่ นเพือ่ ผลิตเปน็ ชาใบหม่อน ในชมุ ชน วัดรวกบางสีทอง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี พ้ืนที่ รปู ท่ี 1 มอเตอร์ป๊ัมน้าไฟฟา้ กระแสตรงแบบ แปลงเพาะปลูก ประมาณ 0.5 ไร่ ประโยชน์ที่คาดว่า แรงเหวี่ยงหนศี ูนย์ และการทดสอบมอเตอรป์ ๊มั น้า จะได้รับ ประกอบไปด้วย เป็นแนวทางลดค่าใช้จ่าย ด้ า น ก า ร ดู แ ล ส ว น ส มุ น ไ พ ร ช า ใ บ ห ม่ อ น โ ด ย ใ ช้ เทคโนโลยีจากพลังงานสะอาดท่ีไม่ก่อให้เกิด มลภาวะ ใ น ชุ ม ช น แ ล ะ ก า ร น้ า ไ ป ป ร ะ ยุ ก ต์ ใ ช้ ไ ด้ จ ริ ง ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจ้างงานและค่าพลังงานไฟฟ้า ลง ส่งเสริมอาชีพและรายได้ชุมชนได้ประโยชน์ และ ยังเผยแพร่เทคโนโลยีดังกล่าวต่อประชาชน และ ผ้สู นใจทว่ั ไป สภาพก่อนดา้ เนนิ การ เกษตรกรอยู่ที่ ชุมชนวัดรวก ต.บางสีทอง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ท้าอาชีพเสริมโดยการปลูกตน้ หม่อน บนพ้ืนท่ี 250 ตารางวา โดยการยกร่องสวน และใช้วิธีการรดน้าโดยใช้ป๊ัมสูบน้าที่ใช้เครื่องยนต์ เบนซิน 2 จังหวะขนาดกระบอกสูบ 40 ซีซี ท่อดูด และท่อจ่ายน้าขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 น้ิว เกษตรกรใชน้ า้ มนั เบนซนิ จา้ นวน 1 ลติ ร เพอ่ื ใช้ในการ รดน้าสวนต้นหม่อนใน 1 วัน แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายไม่ มากนัก แต่วิธีการเดิมมีผลเสียต่อสภาวะแวดล้อมท้ัง ทางเสียง และทางสภาวะอากาศ เนื่องจากเม่ือปั๊มน้า ท้างานจะเกิดการเผาไหม้ของเช้ือเพลิงในเครื่องยนต์ วารสารวิชาการรับใช้สังคม มทร.ล้านนา 19 ปที ่ี 1 ฉบบั ที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2559
3. สร้างและทดสอบวงจรคุมค่าแรงดัน 5. ติดตั้งและทดสอบการท้างานของระบบ (Regulated Power supply) เพ่ือให้ได้เอาต์พุตคงท่ี จ่ายน้าหยดในสวนสมุนไพรอัตโนมัติจากพลังงาน 24 Vdc 3 A เพอื่ ใชข้ ับมอเตอรด์ งั รปู ท่ี 2 แสงอาทิตย์ ในสวนหม่อน บนพ้ืนที่ 250 ตารางวา ของชุมชนวดั รวก ต.บางสีทอง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี รูปที่ 2 วงจรการทดสอบวงจรคุมคา่ แรงดัน บา้ นของเกษตรกรนายสชุ พี หนูรอด 4. ทดสอบการท้างานของชดุ ควบคุมน้าหยด 6. ทดสอบและเก็บข้อมูลผลการวิจัย และ อัตโนมตั ิ และเซ็นเซอรว์ ัดความชน้ื ในดิน สมั ภาษณ์เกษตรกรผู้ใช้งาน รปู ท่ี 3 การทดสอบชุดควบคุมนา้ หยดอัตโนมตั ิ และ ผลการด้าเนินงาน การวดั ความชนื้ ในดนิ 1. ผลการสร้างระบบจ่ายน้าหยดในสวน สมุนไพรอัตโนมัติจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบบูรณา การเพอ่ื ชุมชน การสร้างการออกแบบและสร้างระบบจ่าย น้ า ห ย ด ใ น ส ว น ส มุ น ไ พ ร อั ต โ น มั ติ จ า ก พ ลั ง ง า น แสงอาทิตย์แบบบูรณาการเพื่อชุมชน ใช้อุปกรณ์ แผงเซลล์แสงอาทิตย์ร่วมกับ เคร่ืองควบคุมการชาร์จ ท้างานร่วมกับวงจรคุมค่าแรงดัน และอุปกรณ์อ่ืนๆ มาท้างานร่วมกันท้าให้เกิดผลการท้างานของวงจร ควบคุม ตามขอบเขตท่ีก้าหนดดังนั้น จึงต้องมีการท้า การทดสอบวงจรท้างานต่างๆ ของระบบจ่ายน้าหยด ในสวนสมุนไพรอัตโนมัติจากพลังงานแสงอาทิตย์ แบบบรู ณาการเพือ่ ชมุ ชนประกอบดว้ ยอปุ กรณด์ งั น้ี… ตารางที่ 1 รายการอุปกรณ์ จ้านวน/เครื่อง รายการอุปกรณ์ 1 1 แผงเซลล์แสงอาทิตย์ 280W 24V 1 เครอ่ื งควบคุมการชารจ์ 20A 24 V 1 แหล่งจ่ายไฟฟ้า 24Vdc 2 เครือ่ งตรวจวดั ความชนื้ 2 รเี ลย์ 12 Vdc 1 แบตเตอรหี่ ้ง 12V 80 Ah 1 ปม๊ั น้าแบบแรงเหว่ียงหนศี นู ยก์ ลาง 200W 24Vdc 2 ถงั พกั น้าขนาด 700 ลิตร 3 แมค็ เนติก คอนแทคเตอร์ 24 Vdc หลอดไฟแสดงสถานะ 50 เมตร ท่อ XLPE ขนาด 25 มลิ ลเิ มตร 50 เมตร ท่อ XLPE ขนาด 16 มิลลเิ มตร 80 หัว หัวหยดน้า 20 RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016
รปู ท่ี 4 โครงสร้างการออกแบบและสร้างระบบจ่ายนา้ รูปท่ี 6 การวางทอ่ จา่ ยนา้ ของระบบจา่ ยนา้ หยดใน หยดในสวนสมนุ ไพรอัตโนมตั ิจากพลังงานแสงอาทิตย์ สวนสมนุ ไพร (หมอ่ น) รูปท่ี 5 แผนภาพระบบจา่ ยน้าหยดในสวนสมุนไพร 2. การทดสอบระบบจา่ ยน้าหยดในสวน อตั โนมัตจิ ากพลังงานแสงอาทติ ย์ สมุนไพรอัตโนมัตจิ ากพลังงานแสงอาทติ ย์ คณะผู้วิจัย ได้ท้าการทดสอบระบบควบคุม ความช้ืนในดินเพื่อควบคุมปริมาณน้าที่จ่ายให้พืช ซ่ึง พลังงานดังกล่าวจะอาศัยปริมาณแสงอาทิตย์ต่อวัน เป็นหลัก เม่ือเลือกสวิตช์ไปท่ีต้าแหน่งเซลล์ แสงอาทิตย์ มอเตอร์ปั๊มน้าก็จะท้างานและท้าการ ทดสอบเก็บข้อมูลระยะเวลาในการจ่ายน้าโดยการใช้ ความชื้นในดินเปน็ ตัวควบคมุ ปริมาณน้า จากการทดสอบระบบจ่ายน้าหยดในสวน สมุนไพรอัตโนมัติโดยเลือกใช้แหล่งจ่ายไฟฟ้าจาก พลังงานแสงอาทิตย์ ที่จุดทดสอบท้ัง 10 จุด ในสวน ต้นหม่อน พบว่าปริมาณน้าท่ีใช้ในการรดน้าเพ่ือให้ได้ ความช้ืนในดินระหว่าง 75-95% จะใช้ปริมาณน้า ระหว่าง 8-20 ลิตร ข้ึนอยู่กับค่าความชื้นก่อนรดน้า ถ้าความช้ืนก่อนรดน้าต้่า เช่น 30% จะใช้น้าเท่ากับ 20 ลิตร และจะใช้ปริมาณน้าที่น้อยลงเม่ือความชื้น ในดินก่อนลดน้ามีค่ามากขึ้น กล่าวคือ ถ้าความชื้น ก่อนรดน้าเท่ากับ 60% จะใช้น้าเท่ากับ 12 ลิตร เป็น ต้น และเมอ่ื ระบบจา่ ยน้าหยดทา้ งานเพ่อื จา่ ยน้าให้ต้น หม่อนในปริมาณท่ีสูง ก็จะใช้เวลาในการท้างานมาก ขึ้นด้วยเช่นกัน อาทิเช่น ระยะเวลาในการจ่ายน้าหยด จ้านวน 8 ลิตร ใช้เวลา 50 นาทีเป็นต้น ซึ่งจะได้เวลา วารสารวิชาการรับใช้สังคม มทร.ล้านนา 21 ปีที่ 1 ฉบับท่ี 1 มกราคม - มิถนุ ายน 2559
เฉล่ียของระบบที่ใช้จ่ายน้าคือ 0.20 ลิตร/นาที ดัง แสดงในรปู ที่ 7 รูปท่ี 7 ผลการทดสอบระบบจา่ ยน้าหยดในสวน รูปที่ 8 ผลการทดสอบระบบจา่ ยน้าหยดในสวน สมุนไพรอัตโนมตั ิจากพลังงานแสงอาทิตย์ สมนุ ไพรอัตโนมัติจากพลังงานแบตเตอร่ี 3. การทดสอบระบบจ่ายน้าหยดในสวน การน้าไปใช้ สมุนไพรอตั โนมตั ิจากพลังงานแบตเตอรี่ จากผลการทดสอบระบบจ่ายน้าหยดในสวน แบตเตอร่ีเป็นพลังงานส้ารองที่ใช้ส้ารอง สมุนไพรอัตโนมัติด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ แสดงให้ เห็ น ว่ า ร ะ บ บ ที่ น้ า เ ส น อส า ม า ร ถ น้ า ไ ป ใ ช้ กั บ กระแสไฟฟ้าเพ่ือจ่ายให้มอเตอร์ป๊ัมน้าในวันท่ีไม่มี สวนสมุนไพรส้าหรับชุมชนวัดรวก ต.บางสีทอง แ ส ง แ ด ด โ ด ย แ ผ ง เ ซ ล ล์ แ ส ง อ า ทิ ต ย์ ไ ม่ ส า ม า ร ถ ผ ลิ ต อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ได้เป็นอย่างดี ระบบท่ีน้าเสนอ กระแสไฟฟ้าได้ โดยแบตเตอรี่จะถูกประจุไฟฟา้ เกบ็ ไว้ สามารถประหยัดน้ามากกว่าระบบจ่ายน้าทั่วๆไป ในช่วงวันที่มีแสงแดด คณะท้างานได้ท้าการออกแบบ เนื่องจากมีการตรวจสอบความชื้นของดินเพ่ือเป็น และทดสอบแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้เป็นระยะเวลา ข้ อ มู ล ใ น ก า ร ค ว บ คุ ม ป ริ ม า ณ น้ า ใ ห้ เ ห ม า ะ ส ม กั บ 6 ช่ัวโมงเพ่ือจ่ายกระแสไฟฟา้ ใหม้ อเตอรป์ ั๊มนา้ สวนสมนุ ไพร นอกจากนัน้ ระบบนีย้ ังใช้พลงั งานไฟฟ้า จ า ก พ ลั ง ง า น แ ส ง อ า ทิ ต ย์ ท่ี ส า ม า ร ถ ผ ลิ ต ไ ฟ ฟ้ า จากการทดสอบระบบจ่ายน้าหยดในสวน ได้เพียงพอกับความต้องการในแต่ละวันโดยไม่ต้อง ส มุ น ไ พ ร อั ต โ น มั ติ โ ด ย เ ลื อก ใ ช้ แ ห ล่ ง จ่ า ย ไ ฟ ฟ้ า จ า ก อาศัยพลังงานไฟฟ้าจากภายนอก เมื่อเกษตรกรน้า แบตเตอร่ี ท่ีจุดทดสอบท้ัง 10 จุด เหมือนกับการ ระบบจ่ายน้าน้ีไปใช้จะท้าให้สามารถพ่ึงพาตัวเองได้ ทดลองครั้งแรก จากการทดสอบพบว่า ปรมิ าณน้าทใ่ี ช้ อย่างยั่งยืน ระบบจ่ายน้าหยดที่น้าเสนอนี้ยังสามารถ ในการรดน้าเพื่อให้ได้ความชื้นในดินระหว่าง 75-90 น้าไปต่อยอดใช้กับชุมชนใดๆ ก็ได้ที่มีความสนใจหรือ % จะใช้ปริมาณน้าระหว่าง 15-30 ลิตร ขึ้นอยู่กับค่า มีการใชง้ านในลักษณะเดียวกนั เนอ่ื งจากระบบจ่ายนา้ ความชื้นก่อนรดน้า ถ้าความช้ืนก่อนรดน้าต่้า เช่น เดิมใช้ปั๊มน้าเครื่องยนต์เบนซินขนาดกระบอกสูบ 35% จะใช้น้าเท่ากับ 30 ลิตร และจะใช้ปริมาณน้าที่ 40 ซีซี สูบน้าได้ 40 ลิตรต่อนาที ในการเปิดป๊ัมน้าแต่ น้อยลงเมือ่ ความช้นื ในดิน ก่อนลดน้ามคี ่ามากข้ึน เช่น ละวัน จึงใช้น้าไป 400 ลิตร และใช้น้ามันไปประมาณ ถ้าความชื้นก่อนรดน้าเท่ากับ 80% จะใช้น้าเท่ากับ 1 ลิตร (30 บาท) แต่ระบบจ่ายน้าหยดอัตโนมัติ นั้น 15 ลิตร เปน็ ต้น และเมื่อระบบจา่ ยนา้ หยดทา้ งานเพื่อ ใช้น้าวันละ 50 ลิตร เพ่ือรักษาความช้ืนในดินร้อยละ จ่ายน้าให้ต้นหม่อนในปริมาณท่ีสูง ก็จะใช้เวลาในการ 80 จึงประหยัดน้าได้วันละ 350 ลิตร ส้าหรับค่า ท้างานมากข้ึนด้วยเช่นกัน ระยะเวลาในการจ่ายน้า พลังงานเช้ือเพลิง นั้น ระบบจ่ายน้าหยดอัตโนมัติใช้ หยดจ้านวน 15 ลิตร ใช้เวลา 60 นาที เวลาเฉล่ียของ พลังงานจาก(อายุการใช้งานเฉลี่ยของแผงเซลล์ ระบบที่ใช้จ่ายน้าคือ 0.22 ลิตร/นาที ดังแสดงในรูป แสงอาทิตย์ 20 ปี ป๊ัมน้า 10 ปี และแบตเตอร์ร่ี 2 ป)ี ท่ี 8 อย่างไรก็ตามค่าใชจ้ ่ายในการติดตั้งระบบเร่ิมตน้ จะสูง กวา่ ระบบป๊ัมน้าแบบเดิมไม่มากนัก 22 RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship หากมีการพัฒนาระบบจ่ายน้าหยดอัตโนมัติ Vol. 1 No. 1 January - June 2016 ที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์มอบสู่ชุมชนอ่ืนๆ ต่อไป จะเกิดผลกระทบในทางบวกเป็นอย่างมากทั้งในด้าน
การรักษาสภาพแวดล้อมของโลก การลดมลภาวะจาก การเผาไหม้ช้ือเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า และเป็น แบบอย่างที่ดีในการอนุรักษ์พลังงานและการประยกุ ต์ พลังงานทดแทนมาใชง้ านจรงิ ร ะ บ บ จ่ า ย น้ า ห ย ด อั ต โ น มั ติ ท่ี ติ ด ตั้ ง อ ยู่ ที่ ต.วดั รวกบางสที องน้ี จะเปน็ ศูนย์ต้นแบบในการเรยี นรู้ และถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้สนใจและต้าบลอื่นๆ ท่ีสนใจ เพอื่ การพฒั นาตอ่ ไปในอนาคต รปู ท่ี 9 การประชุมรว่ มระหวา่ งมหาวทิ ยาลยั ฯ กบั รปู ท่ี 10 นายสชุ ีพ หนูรอด เกษตรกร ชมุ ชนวัดรวกบางสีทอง อ บางกรวย จ นนทบุรีเมอ่ื อภปิ รายผล วันที่ 9 เมษายน 2556 การสร้างชุดระบบจ่ายน้าพืชสมุนไพรอัตโนมัติ บทสมั ภาษณ์ผนู้ ้าไปใชป้ ระโยชน์ ด้วยแผงพลังงานแสงอาทิตย์เป็นการใช้พลังงาน เมื่อวันท่ี 15 มกราคม 2558 คณะท้างานได้ ทางเลือกในการเกษตรซ่ึงเหมาะกับพ้ืนที่ไม่มีไฟฟ้าไป สัมภาษณ์ นายสุชีพ หนูรอด เกษตรกร ทางโทรศัพท์ ถึง หรอื เพอื่ ประหยัดพลังงานและประหยัดเงนิ เหมาะ “ ผมดีใจมากท่ีพวกนักศึกษา และอาจารย์มาช่วยท้า กับพื้นที่การเกษตรขนาดพื้นท่ี 200 ตารางวา การจา่ ย ระบบโซลา่ เซลล์ให้ ใชง้ ่าย ใชด้ ี สบายขึน้ เดนิ มาดูทุก น้าครอบคลุมพื้นท่ีขนาด 250 ตารางวาได้ประมาณ วัน เปิดปิดเองได้ ข้างบ้านก็เข้ามาดูกัน อยากได้บ้าง 80 % อีก 20 % เกิดจากความลาดชันของพ้ืนท่ีและ ผมก็สอนเขาสอนวิธีใช้ บอกว่าให้ดูหัวกรองบ่อยๆ แรงส่งของป๊ัมน้อย (Head Pump) และเป็นพชื ชนิดท่ี ล้างบ่อยๆ ปั๊มจะได้ไม่มีปัญหา อยากท้าให้ติดต่อท่ี ต้องการปริมาณน้าปานกลางและมีแหล่งน้าส้ารอง อาจารยไ์ ด้เลย ” “ใช้มาสามสี่เดอื นแล้วดีๆ ไม่มปี ญั หา เพยี งพอเพือ่ จ่ายนา้ ให้กับพชื ระบบดงั กลา่ วท้างานได้ ทางอาจารย์อยากให้ท่ีนี่เป็นแหล่งเรียนรู้ก็ได้นะ ยินดี 2 ระบบคือ 1. ระบบท้างานอัตโนมัติ โดยใช้อุปกรณ์ เขา้ มาไดท้ กุ เมือ่ จะได้ชว่ ยกันให้ความรคู้ นอืน่ ๆต่อไป” ควบคุมปริมาณความชื้นในดินเป็นตัวสั่งโดยจะสั่งให้ ปั๊มท้างานเมื่อความชื้นในดินต้่ากว่า 40 % และส่ังให้ ปั๊มหยุดเมื่อปริมาณความช้นื ในดินสงู ข้ึนท่ี 80 % จาก การทดลองใชร้ ะยะเวลา 3 – 4 ช่ัวโมง โดยชุดควบคุม ความชื้นมีสวิตช์ให้เลือกต้าแหน่งปริมาณความช้ืน 3 ระดับ 2. ระบบควบคุมด้วยคน เกษตรกรควบคุม ปริมาณน้าที่จ่ายให้กับพืชได้ตามต้องการแต่ต้อง สัมพันธ์กับปริมาณพลังงานท่ีได้จากแผงพลังงาน แสงอาทิตย์และแบตเตอร่ีในแต่ละวันท่ีไม่เกินที่ 5 ชว่ั โมงต่อวัน วารสารวิชาการรับใชส้ ังคม มทร.ลา้ นนา 23 ปที ่ี 1 ฉบับท่ี 1 มกราคม - มถิ นุ ายน 2559
ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนา ในอนาคตเม่ือมี รศ.ดร.วิบูลย์ บุญยธโรกุล. 2529. ป๊ัมและระบบสูบ การซ่อมบ้ารุงระบบ ควรเลือกใช้มอเตอร์ไฟฟ้า น้า. กรงุ เทพฯ: ซเี อด็ ก ร ะ แ ส ต ร ง แ บ บ ไ ม่ มี แ ป ร ง ถ่ า น เ พ ร า ะ ท้ า ใ ห้ ก า ร บ้ารุงรักษาน้อย พ้ืนท่ีเพาะปลูกควรออกแบบให้มี ผศ.ศุภชัย สุรินทร์วงศ์. 2541. มอเตอร์ไฟฟ้า ระดับความลาดชันจากต้นทางไปหาปลายทางเพ่ือลด กระแสตรง. กรงุ เทพฯ: สมาคมส่งเสรมิ เทคโนโลยี การสูญเสียค่าความสูง ของปั๊มน้าและควรติดต้ัง (ไทย-ญีป่ ุ่น) ส.ส.ท. ต้าแหน่งจุดจ่ายน้าบริเวณก่ึงกลางพ้ืนท่ีเพาะปลูก เพื่อให้การส่งจ่ายน้าไปได้ทั่วพ้ืนท่ี ระบบน้ีสามารถ บญั ญตั ิ นิยมวาส. เทคนคิ วิธใี นการหาอตั ราการไหล. น้าไปประยุกต์ใช้กับพืชชนิดอื่นได้ และท้ายที่สุด สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตภาคใต้. ควรศึกษาสภาพดินของแต่ละพื้นที่เพาะปลูกท่ีเหมาะ เ ข้ า ถึ ง จ า ก : http://mechinspector. กับต้นพืช และทดสอบหาปริมาณความชื้นในดินตาม blogspot.com/2012/10/blog-post.html: หลักวิชาการเกษตรเพื่อเป็นข้อมูลในการออกแบบชุด วันท่สี ืบค้น 20 มกราคม 2558 ควบคมุ ความชืน้ บรรณานุกรม กรมวิชาการเกษตร. 2538. การปลูกหม่อนเลียงไหม เอกสารวชิ าการท่ี 13. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชมุ นมุ สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย ดิเรก ทองอร่าม วิทยา ตั้งก่อสกุล นาวี จิระชีวี และ อิทธิสุนทร นันทกิจ. 2540. การออกแบบและ เทคโนโลยีการให้น้าแก่พืช. กรุงเทพฯ: มิตร เกษตรการตลาดและโฆษณา 24 RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016
การสร้างมลู คา่ เพมิ่ ผลิตภณั ฑ์นา้ พริกเคร่อื งแกง Value-added Creation of Curry pastes สุธกิ าญจน์ แก้วคงบุญ1* และ สวุ รรณี โภชากรณ์2 Sutikan Kaewkongbon 1* and Suwannee Pochakorn 2 1 พนกั งานมหาวทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ชิ ยั 2 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรวี ชิ ยั E-mail: [email protected] บทคัดย่อ การจัดโครงการบริการวิชาการในคร้ังนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ด้านการบริหารจัดการ การการตลาด การ พัฒนาตราสินค้าและบรรจุภัณฑ์ และร่วมพัฒนาตราสินค้าและบรรจุภัณฑ์ให้แก่ผู้ผลิตน้าพริกเคร่ืองแกง ให้สามารถ ตอบสนองความต้องการของตลาดได้ ท้าให้สามารถสร้างอาชีพและสร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการ โดยจัดขึ้นระหว่าง เดือน กุมภาพันธ์-กันยายน พ.ศ. 2558 ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตนครศรีธรรมราช (ไสใหญ)่ มีขั้นตอนการด้าเนินงาน 5 ข้ันตอน คือ 1.การประสานงานกับส้านักงานพัฒนาชุมชนอ้าเภอทุ่งสง 2. การบรรยายให้ ความรู้แก่ผู้ประกอบการ 3. การวิเคราะห์ตราสินค้า และบรรจุภัณฑ์น้าพริกเครื่องแกง 4. การสร้างตราสินค้า และบรรจุ ภัณฑ์น้าพริกเครื่องแกง 5. การขยายช่องทางการตลาด มีการคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายโดยการพิจารณาจากผู้ประกอบการ OTOP ที่ผลติ น้าพรกิ เคร่ืองแกง ในพ้นื ท่ีอา้ เภอทุ่งสง โดยพิจารณาจากศักยภาพผผู้ ลิต คอื นา้ พริกเครื่องแกง ตราบา้ นวัด ใหม่ จากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแม่บ้านเกษตรบ้านนาขี้เป็ด ผลการด้าเนินงาน พบว่า 1. ได้รับความร่วมมือจาก ส้านักงาน พฒั นาชมุ ชนอา้ เภอท่งุ สง ในการคดั เลือกผูป้ ระกอบการ OTOP เปน็ อย่างดี 2. การบรรยายให้ความรู้ จากวทิ ยากร 2 ทา่ น เกยี่ วกบั การตลาดสมัยใหม่ การพฒั นาตราสินคา้ และบรรจภุ ัณฑ์ โดยมนี ักศึกษาเขา้ ร่วมโครงการเพ่ือเป็นการบูรณาการ กับการเรียนการสอนในรายวิชาการจัดการตราสินค้า 3. การวิเคราะห์ตราสินค้า และบรรจุภัณฑ์ โดยวิทยากรร่วมกับ ผู้ประกอบการร่วมกันวิเคราะห์สถานะปัจจุบันของตราสินค้าและบรรจุภัณฑ์ เพื่อน้าข้อบกพร่อง มาพัฒนาและแก้ไขให้ ถูกต้อง ครบถ้วน 4. การพัฒนาตราสินค้า และบรรจุภัณฑ์น้าพริกเครื่องแกง โดยการออกแบบและสร้างตราสินค้า และ บรรจุภัณฑ์ ท่ีถูกต้อง โดยผู้ประกอบการมีส่วนร่วมในการพิจารณา ให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ 5. การขยายช่องทางการตลาด โดยการสร้างเฟสบุ๊ค “เครื่องแกงบ้านวัดใหม่” จากผลการด้าเนินงานดังกล่าว ท้าให้ หน่วยงานสามารถน้าไปใช้ประโยชน์ ดังนี้ 1.การน้าไปใช้เชิงพาณิชย์ ผู้ประกอบการผู้ผลิตน้าพริกเคร่ืองแกง ได้รับตรา สินค้าใหม่ คือตราบ้านวัดใหม่ และบรรจุภัณฑ์ใหม่ คือถุงพลาสติกซิปล็อคให้กับน้าพริกเคร่ืองแกง 2.การน้าไปใช้เชิง สาธารณะ โดยการสง่ มอบสรุปการด้าเนินโครงการใหส้ า้ นักงานพัฒนาชมุ ชนอ้าเภอทุ่งสงเผยแพร่ และแนวทางการปฏิบัติ เพอ่ื พฒั นาน้าพริกเคร่ืองแกง ในพืน้ ที่ต่อไป 3.การนา้ ไปใช้เชิงนโยบาย โดยคณะเทคโนโลยีการจัดการ สามารถน้าข้อมูลท่ี ไดร้ บั จาการด้าเนินโครงการมากา้ หนดนโยบายในการพัฒนาการให้บริการทางวิชาการเชงิ พน้ื ทต่ี ่อไป ซงึ่ มีความสอดคล้อง การจัดโครงการบริการวิชาการ ของสุภาพร อภิรัตนานุสรณ์และ กฤตภาส จินาภาค. 2556. เร่ือง การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ น้าพริกพรอ้ มบรโิ ภค. วารสารวิจัยและพฒั นา มจธ, 36(4), 451-464. และ ของอมรรตั น์ ถนนแก้ว. 2556. “การศกึ ษาเพือ่ ด้าเนินการยกระดบั และสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑภ์ ายใต้กิจกรรมพัฒนาขีดความสามารถของชุมชนในการอนุรักษ์และใช้ ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพอย่างยั่งยืนกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านลา้ ในใต้ อ้าเภอศรีนครินทร์ จังหวัดพัทลุง” วิทยาลัย ภูมิปัญญาชุมชน มหาวิทยาลัยทกั ษณิ ค้าสา้ คญั การสร้างมูลคา่ เพมิ่ , นา้ พรกิ เคร่อื งแกง วารสารวิชาการรับใชส้ งั คม มทร.ล้านนา 25 ปที ่ี 1 ฉบับท่ี 1 มกราคม - มิถุนายน 2559
ABSTRACT An academic service project aims to instruct marketing management, brand and package development and develop brand and package to curry pastes producers responding to marketing demands therefore affected to their income, family, community and nation. It was started from February until the end of September 2015 at Rajamangala University of Technology Srivijaya Nakhon Si Thammarat Campus (Saiyai). There are five stages to cope with the project. The first stage is coordination to Thungsong community development office. Secondly, coaching to the curry pastes producers then analysis brand name and package. Later, branding curry pastes’ brand name and package and the last expansion to the marketing distribution channels choosing from one tambol one product curry pastes producers in Thungsong. Evaluation by high potentiality of producers which Baan Wat Mai curry pastes brand name from agricultural housewife community enterprise Ban Na Khi Phet was chose. The result was found that Thungsong community development office was great cooperate to entrepreneurs, coaching by two coaches in any subjects such as modern marketing and brand and package development. There was brand management students participated in the project. The later stage analyzing brand name and package by coaches associated with entrepreneurs to analyst present brand name and package awareness to adaptation. Afterward creation brand name and package with entrepreneurs making customer satisfy. Finally using Facebook as marketing distribution channels that was named “Baan Wat Mai curry pastes”. From the advantage of this project, it is can be true to say that brand name and package can create value-added of the curry pastes products, Thungsong community development office can propagate the new knowledge to other communities and Management Technology faculty in Rajamagala University of Srivijaya can be issue the policy to other academic service projects in any area consistent with academic service project management of Supaporn Apirattananusorn and Krittabhart Chinabhark 2013 “Development of Packages for Ready-to-Eat Chili Paste Products” KMUTT Research and development journal 36(4), 451-464.and Amornrat Thanonkeaw. 2013. “Studying to enhance and create value-added under developing potential of community activities to preserve and utilize biological resources Ban Lum Nai Tai Community Enterprise Srinakarin Phatthalung” Wisdom Community College Taksin University. Keywords Creating Added Value, Curry pastes บทนา้ ได้ด้วย ประกอบด้วย พริก กระเทียม ตะไคร้ และ น้าพริกเคร่ืองแกง เป็นอาหารท่ีอยู่คู่กับวิถี หอมแดง ชีวิตและโต๊ะอาหารไทยมายาวนาน เนื่องจากมีรสชาติ นอกจากนี้ น้าพริกเคร่ืองแกง ยังเป็นสินค้า ท่ถี ูกปากคนไทย อุดมดว้ ยเครื่องปรงุ และสว่ นประกอบ หนึ่งในหน่ึงต้าบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ท่ีได้รับ ท่ีให้กลิ่นรสท่ีเป็นเอกลักษณ์ จึงท้าให้น้าพริก ความนิยมในการบริโภค มียอดจ้าหน่ายสูง แต่ส่วน เครื่องแกง เป็นผลิตภัณฑ์หนึ่งที่มีการผลิตเพ่ือ ใหญย่ งั ประสบปญั หาด้านมาตรฐานคุณภาพและความ จ้าหน่ายเป็นจ้านวนมากในทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ปลอดภัย สินค้ามีอายุการเก็บส้ัน ส่ิงเหล่านี้ล้วนเป็น มี ส่ ว น ป ร ะ ก อบ หลั ก ๆ หล า ก หล า ย ช นิ ด ที่ มี ผลเนื่องมาจากการขาดความรู้ทางด้านเทคโนโลยีท่ี คุณประโยชน์ทางโภชนาการและป้องกันโรคภัยต่างๆ 26 RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016
เหมาะสม ในการพัฒนากระบวนการผลิต การบรรจุ บริหารจัดการ การการตลาด การพัฒนาตราสินค้า และการเลือกใชบ้ รรจภุ ณั ฑ์ที่เหมาะสม และบรรจุภัณฑ์ และร่วมพัฒนาตราสินค้าและบรรจุ ภัณฑ์ให้แก่ผู้ผลิตน้าพริกเครื่องแกง ให้สามารถ จากการส้ารวจตลาดน้าพริกเคร่ืองแกง ใน ตอบสนองความต้องการของตลาดได้ ส่งผลต่อการ พ้ืนที่อ้าเภอทุ่งสงเบื้องต้น พบว่า บรรจุภัณฑ์ยังไม่ เพิ่มขึ้นของรายได้ตนเอง ครอบครัว ชุมชน และ เหมาะสม กลุ่มผู้ผลิตขาดความรู้การบริหารจัดการ ประเทศชาตติ อ่ ไป และการตลาดอย่างเป็นระบบ ท้าให้การจ้าหน่าย วิธีการดา้ เนินงาน สินค้าถกู จ้ากดั เฉพาะพื้นทใี่ กล้เคยี ง ขนั ตอน กระบวนการ จากปัญหาดังกล่าว ท้าให้คณะเทคโนโลยี รูปท่ี 1 แสดงข้นั ตอน กระบวนการ การจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วทิ ยาเขตนครศรธี รรมราช เล็งเห็นถึงปญั หา โดยเสนอ ระยะเวลาดา้ เนินการ พ.ศ.2558 โ ค ร ง ก า ร “ ก า ร ส ร้ า ง มู ล ค่ า เ พิ่ ม ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ น้ า พ ริ ก ก.พ. ม.ี ค. เม.ย พ.ค ม.ิ ย ก.ค. ส.ค ก.ย เคร่ืองแกง” เพ่ือเป็นแนวทางในการแก้ไขและน้าไปสู่ ย ก ร ะ ดั บ แ ล ะ ส ร้ า ง มู ล ค่ า เ พ่ิ ม ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ ใ ห้ กั บ ผ้ผู ลติ นา้ พริกเครือ่ งแกง จา้ นวน 12 คน (7 ตราสนิ ค้า) ผู้ประกอบการ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ด้านการ และผผู้ ลิตผลติ ภัณฑ์ชมุ ชนอืน่ ๆ อกี จา้ นวน 20 คน ระยะเวลาดา้ เนินการ ตารางที่ 1 แสดงระยะเวลาดา้ เนนิ การ แผนงาน/กจิ กรรม 1. จดั ท้าแผนปฏิบัติงาน และแผนการใช้งบประมาณ 2. ประสานงานกบั สา้ นักงานพัฒนาชุมอ้าเภอทุง่ สง 3. การบรรยายใหค้ วามรูใ้ หก้ ับผ้ผู ลติ นา้ พรกิ เครอ่ื งแกง 4. การวิเคราะหล์ กั ษณะตราสนิ ค้า และบรรจภุ ณั ฑ์ 5. การสรา้ งตราสนิ ค้า และบรรจภุ ณั ฑน์ ้าพรกิ เครื่องแกง 6. การขยายชอ่ งทางการตลาด 7. ติดตามผลการดา้ เนินงาน 8. จัดท้ารายงานและสรปุ ผลโครงการ ขอบเขตของการดา้ เนินงาน ประชากร ผู้ประกอบการ OTOP ท่ีเข้าร่วมโครงการ ทัง้ หมด จ้านวน 32 คน โดยเปน็ ผ้ปู ระกอบการ OTOP ตารางที่ 2 แสดงรายชอื่ ผปู้ ระกอบการ ผลติ นา้ พรกิ เครอื่ งแกง หมายเหตุ ท่ี ตราสนิ คา้ ท่อี ยู่ กลุ่มตัวอย่าง 1 เคร่อื งแกงบา้ นวดั ใหม่ ต.ควนกรด อ.ท่งุ สง 2 กินเผด็ ต.เขาขาว อ.ท่งุ สง 3 เคร่ืองแกงพ้นื เมอื งปกั ษ์ใต้ ต.ถ้าใหญ่ อ.ทุ่งสง 4 เครอื่ งแกงป้าติ๋ม ต.เขาขาว อ.ทงุ่ สง วารสารวิชาการรับใชส้ งั คม มทร.ลา้ นนา 27 ปที ่ี 1 ฉบับท่ี 1 มกราคม - มิถนุ ายน 2559
5 เครอ่ื งแกงต้ามือ ต.ชะมาย อ.ทุ่งสง เขา้ รว่ มเพม่ิ เตมิ 6 เคร่อื งแกงแม่ปรียา ต.ที่วงั อ.ทงุ่ สง 7 เครื่องแกงบ้านหนองตาม ต.นาบอน อ.นาบอน กลมุ่ ตัวอย่าง ประเด็น 1.การตลาดสมัยใหม่ (อ.สุพัตรา ค้าแหง) 2. โดยการพิจารณาจากผู้ประกอบการ OTOP การพัฒนาตราสินค้า และบรรจุภัณฑ์ (อ.สุธิกาญจน์ แก้วคงบุญ) ให้กับผู้ประกอบการ OTOP โดยมีการน้า ผู้ผลิตน้าพริกเครื่องแกง จ้านวน 7 ตราสินค้า และ นักศึกษาเข้าร่วมโครงการ เพ่ือเป็นการบูรณาการกับ พิจารณาจากศักยภาพผู้ผลิตโดยรวม ได้กลุ่มตัวอย่าง การเรียนการสอน ในรายวิชาการจัดการตราสนิ คา้ คือ ผผู้ ลติ เครอื่ งแกงตราบา้ นวัดใหม่ จากกลมุ่ วิสาหกจิ ชุมชนแม่บ้านเกษตรบ้านนาขีเ้ ปด็ ต.ควนกรด อ.ทุ่งสง สถานท่ดี า้ เนนิ โครงการ รูปที่ 3 แสดงการบรรยายให้ความรู้ผู้ประกอบการ ณ อาคาร 3 ช้ัน 3 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี OTOP ราชมงคลศรวี ิชัย วทิ ยาเขตนครศรธี รรมราช (ไสใหญ่) วนั ทดี่ ้าเนนิ โครงการ กิจกรรมท่ี 3 การวิเคราะห์ลักษณะตรา ระหว่างวนั ที่ 7- 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 สินค้า และบรรจุภัณฑ์ ผลการดา้ เนนิ งาน กิจกรรมท่ี 1 ประสานงานกับส้านักงาน โ ด ย วิ ท ย า ก ร ผู้ ใ ห้ ค ว า ม รู้ ไ ด้ ร่ ว ม กั บ พัฒนาชุมชนอ้าเภอทุ่งสง ผู้ประกอบการ OTOP วิเคราะห์ลักษณะตราสินค้า โดยการประสานงานกับส้านักงานพัฒนา และบรรจุภัณฑ์ปัจจุบันของผู้ประกอบการ เพ่ือ ชุมชนอ้าเภอทุ่งสง ณ ส้านักงานพัฒนาชุมชนอ้าเภอ เสนอแนะข้อควรปรบั ปรุงในการพฒั นาตราสินคา้ และ ทุ่งสง โดยได้รับความร่วมมือจาก คุณมาลี แก้ว บรรจุภัณฑใ์ ห้ถูกต้องและครบถ้วน พบว่า ฉลากสินคา้ ประสิทธ์ิ พัฒนาการอ้าเภอทุ่งสง เป็นอย่างดี เพ่ือ เดมิ มขี อ้ ปรบั ปรงุ และพัฒนา ดงั นี้ คัดเลือกผู้ประกอบการ OTOP ในพื้นท่ีอ้าเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช เข้าร่วมโครงการตาม 1.ช่ือตราสนิ ค้าไมถ่ กู ตอ้ ง เป้าหมายท่กี ้าหนด คอื 30 ราย 2.ไม่มีขอ้ มูลอัตราส่วนของสว่ นผสม 3.ไม่มีเคร่ืองหมาย OTOP และ Primary รปู ท่ี 2 แสดงการเขา้ รว่ มประชมุ กบั ผูป้ ระกอบการ GMP OTOP ณ ส้านักงานพฒั นาชมุ ชนอ้าเภอทุ่งสง 4.ไมม่ ีเลขทจ่ี ดแจง้ เครือ่ งหมาย อย. 5.หมายเลขโทรศัพท์ติดต่อ และสโลแกน สินค้าไมช่ ัดเจน กิจกรรมท่ี 2 การบรรยายให้ความรู้ ผูป้ ระกอบการ OTOP โดยการให้ความรู้ จากอาจารย์ประจ้าสาขา การตลาด คณะเทคโนโลยีการจัดการ เกี่ยวกับ 28 RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016
กิจกรรมท่ี 5 การขยายชอ่ งทางการตลาด โดยการขยายชอ่ งทางการตลาดผา่ นทาง อินเตอร์เน็ต โดยการใช้เฟสบ๊คุ “เครอ่ื งแกงบ้านวดั ใหม่” เพ่ือรับค้าส่งั ซือ้ จากลกู คา้ เพ่ิมเตมิ รูปที่ 4 แสดงการวิเคราะห์ตราสนิ คา้ และบรรจภุ ณั ฑ์ รูปที่ 7 แสดงภาพชอ่ งทางการตลาดผา่ นทาง อนิ เตอรเ์ นต็ โดยการใชเ้ ฟสบุ๊ค กิจกรรมที่ 4 การสร้างตราสินค้า และบรรจุ ภณั ฑน์ ้าพรกิ เครอื่ งแกง การนา้ ไปใช้ การน้าไปใช้เชงิ พาณิชย์ โดยการออกแบบ การสร้างตราสินค้า และ บรรจุภัณฑ์ ที่ถูกต้อง โดยผู้ประกอบการ OTOP มี จากการที่คณะเทคโนโลยีการจัดกา ร ส่วนรว่ มในการพิจารณาถึงการออกแบบ การสร้างตรา ให้บริการวิชาการในคร้ังน้ี ท้าให้ผู้ผลิตน้าพริก สินค้า และบรรจุภัณฑ์ ให้สามารถตอบสนองความ เครื่องแกง ตรา บ้านวัดใหม่ จากกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ตอ้ งการของลกู คา้ ได้ แม่บ้านเกษตรบ้านนาขี้เป็ด ต.ควนกรด อ.ทุ่งสง จ. นครศรีธรรมราช ได้พฒั นารูปแบบบรรจภุ ณั ฑใ์ หม่ คือ บรรจุภัณฑ์ถุงพลาสติกซิปล็อค ปริมาณบรรจุ ขนาด 100 กรัม ซ่ึงท้าให้สามารถยืดอายุการเก็บรักษา และ สร้างภาพลกั ษณ์ท่ีดใี ห้กับผลิตภัณฑ์น้าพริกเคร่ืองแกง ตราบ้านวัดใหม่ได้มากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการ สามารถขยายช่องทางการตลาดไดเ้ พ่ิมขน้ึ รูปท่ี 5 แสดงฉลากสนิ คา้ นา้ พรกิ เครื่องแกง รูปที่ 7 แสดงบรรจภุ ัณฑ์เดมิ ของน้าพรกิ เครอ่ื งแกง รูปที่ 6 แสดงบรรจุภัณฑ์ถงุ พลาสตกิ ซิปล็อค วารสารวชิ าการรับใช้สังคม มทร.ลา้ นนา 29 ปที ี่ 1 ฉบบั ที่ 1 มกราคม - มิถนุ ายน 2559
ก่อนด้าเนินโครงการ การน้าไปใชเ้ ชิงสาธารณะ โดยการส่งมอบข้อมูลการสรุปการด้าเนิน - ตราสินค้า ขาดความเป็นเอกลักษณช์ ุมชน - ฉลากสินค้า ข้อมูลไม่ครบถ้วน สีฉลากสินค้า โครงการให้กับส้านักงานพัฒนาชุมชนอ้าเภอทุ่งสง แกงค่ัว มีสีเขียว ท้าให้ไม่สามารถสื่อ เพื่อเป็นแนวทางในการให้ความรู้ และแนวทางการ - บรรจุภัณฑ์ ถงึ ผลติ ภณั ฑ์ ปฏิบัตเิ พื่อพฒั นาผลิตภณั ฑ์น้าพริกเคร่ืองแกง ในพน้ื ท่ี บรรจุถุงพลาสติกใส ซีลปากถุง ท้าให้ อ้าเภอทงุ่ สงตอ่ ไป มอี ายกุ ารเกบ็ รักษาไม่นาน การน้าไปใชเ้ ชงิ นโยบาย รปู ท่ี 8 แสดงบรรจุภณั ฑ์ใหมข่ องน้าพริกเครอ่ื งแกง จากการด้าเนินโครงการฯ ท้าให้ผู้ด้าเนิน หลังดา้ เนนิ โครงการ - ตราสนิ ค้า มคี วามเปน็ เอกลักษณ์ชมุ ชน โครงการ รับทราบถึงปญั หาทางการตลาด และปัญหา - ฉลากสินคา้ มีข้อมูลครบถ้วน สีฉลากสินค้า อ่ืน ๆ ของผู้ประกอบการ OTOP เพ่ิมมากขึ้น ท้าให้ คณะเทคโนโลยีการจัดการ ซึ่งเป็นสถานศึกษาให้ แกงค่ัว ปรับเปล่ียนเป็นสีน้าตาล เพ่ือ ความรทู้ างด้านบริหารธุรกจิ สามารถนา้ ปัญหาทีไ่ ด้รับ ส่ือถงึ ผลติ ภณั ฑ์ น้าไปเสนอแนวทางในการเขียนข้อเสนอโครงการ - บรรจุภณั ฑ์ บรรจุถุงพลาสติกซิปล็อค สีตะก่ัว เพื่อให้การบริการทางวิชาการในปีถัดไป หรือการ สามารถยืดอายุการเก็บรักษา และดู ก้าหนดเป็นนโยบายในการพัฒนาเชิงพื้นที่ระดับ สวยงามมากย่งิ ข้ึน คณะฯ ตอ่ ไปได้อย่างถกู ตอ้ ง อภิปรายผล จากผลการด้าเนินกิจกรรม ท้าให้สามารถ สร้างองค์ความรู้ใหม่ และน้าไปประยุกต์ใช้กับผู้ผลิต น้าพริกเคร่ืองแกง ซ่ึงมีความสอดคล้องกับการด้าเนิน โครงการอ่ืน ๆ ดังนี้ ตารางที่ 3 แสดงองค์ความรู้ใหม่ของผผู้ ลติ น้าพริกเครอ่ื งแกง ชื่อกิจกรรม องค์ความรใู้ หม่ของผู้ผลติ ความสอดคล้อง นา้ พรกิ เครือ่ งแกง -สุภาพร อภริ ตั นานสุ รณ์และ กฤตภาส จนิ าภาค. 2556. “การพัฒนาบรรจภุ ณั ฑ์น้าพรกิ พร้อมบริโภค” วารสาร 1. การพัฒนาการตลาด วธิ กี ารใชแ้ ละการบ้ารงุ รกั ษาเคร่อื งมอื ท่มี อี ยู่ วจิ ัยและพฒั นา มจธ, 36(4), 451-464. ระดับชมุ ชน ในกลุ่มฯ ให้สามารถใช้งานได้อย่างเป็น -อมรรัตน์ ถนนแก้ว. 2556. “การศึกษาเพ่ือด้าเนนิ การ คุ้มคา่ ยกระดบั และสรา้ งมลู คา่ เพ่ิมผลิตภัณฑภ์ ายใต้กิจกรรม 2. การพฒั นาตราสนิ ค้า/ -การออกแบบและสร้างตราสินค้า โดย พัฒนาขดี ความสามารถของชมุ ชนในการอนุรกั ษ์และใช้ ฉลากสนิ คา้ พิจารณาถงึ ทม่ี าของทอ้ งถน่ิ ประโยชนจ์ ากทรัพยากรชวี ภาพอย่างยั่งยนื กล่มุ -ฉลากสินค้า การพิจารณาชนิดของ สติก วสิ าหกิจชมุ ชนบ้านลา้ ในใต้ อา้ เภอศรนี ครนิ ทร์ จงั หวัด เกอร์ ในการน้ามาประยุกต์ใช้กับฉลาก พทั ลงุ ” วิทยาลยั ภูมปิ ญั ญาชมุ ชน มหาวทิ ยาลัยทักษิณ. 3. การพฒั นา สินคา้ ทีเ่ หมาะสม บรรจภุ ณั ฑ์ การพิจารณาเลือกบรรจุภัณฑ์ที่สามารถยืด อายุการเกบ็ รักษาผลติ ภณั ฑ์ให้ยาวนานขึ้น 30 RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016
บรรณานกุ รม สุพจน์ ประทีปถิ่นทอง. 2547. บรรจุภัณฑ์ส้าหรับ เคร่ืองแกงประเภทเพสและประเภทผง. สถาบัน พฒั นาวสิ าหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม. สุภาพร อภิรัตนานุสรณ์และ กฤตภาส จินาภาค. 2556. “การพัฒนาบรรจุภัณฑ์น้าพริกพร้อม บริโภค.” วารสารวิจัยและพัฒนา มจธ. 36, 4 : 451-464. ส้านักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม. 2546. มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน น้าพริกแกง มผช. 129/2546 อมรรัตน์ ถนนแก้ว. 2556. “การศึกษาเพื่อ ด้ า เ นิ น ก า ร ย ก ร ะ ดั บ แ ล ะ ส ร้ า ง มู ล ค่ า เ พิ่ ม ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ ภ า ย ใ ต้ กิ จ ก ร ร ม พั ฒ น า ขี ด ความสามารถของชุมชนในการอนุรักษ์และใช้ ประโยชนจ์ ากทรพั ยากรชวี ภาพอย่างย่ังยืนกลุ่ม วิสาหกจิ ชุมชนบา้ นลา้ ในใต้ อ้าเภอศรีนครนิ ทร์ จงั หวดั พทั ลงุ .”วทิ ยาลยั ภูมปิ ญั ญาชมุ ชน มหาวทิ ยาลยั ทักษิณ. วารสารวชิ าการรับใช้สังคม มทร.ล้านนา 31 ปีท่ี 1 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม - มถิ ุนายน 2559
RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016
การเพ่ิมประสทิ ธภิ าพและลดต้นทนุ พลงั งานของโรงงานสหกรณ์กองทนุ สวนยาง Production Efficiency Improvement and Energy Cost Reduction of Rubber Fund Co-operative Factory วัชร สง่ เสริม1* และ ชลากร อุดมรกั ษาสกลุ 2 Watchara Songserm1* and Chalakorn Udomrunksasakun2 1,2 อาจารย์ สาขาวชิ าวศิ วกรรมแมคคาทรอนิกส์ คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร 1,2 Lecturer, Department of Mechatronics, Faculty of Engineering, Rajamangala University of Technology Phra Nakhon E-mail: [email protected], เบอร์โทรศพั ท์ 089-637-5557, เบอรโ์ ทรสาร 02-903-0080 ต่อ 7465 บทคัดย่อ งานวิจยั มีวตั ถปุ ระสงค์เพอื่ พัฒนาห้องอบรมควนั ยางและเตาให้มีประสทิ ธภิ าพมากข้ึน และสามารถลดต้นทนุ พลังงานในกระบวนการแปรรูปยางแผ่นรมควันของโรงงานสหกรณ์กองทุนสวนยางได้ ซ่ึงจากการสารวจพบว่า กระบวนการผลิตของโรงงานมีการใช้พลังงานปริมาณสูง มีความสูญเสียพลังงานความร้อ นท่ีเกิดขึ้นในหลาย กระบวนการ ทั้งในเรื่องของวิธกี ารผลิตท่ีไม่เหมาะสมอุปกรณม์ ีการชารุดเสยี หาย และขาดการบารุงรักษาเพดานของ ห้องอบทช่ี ารุด รวมไปถึงไมฟ้ ืนที่มีความชื้นสงู ส่งผลให้มีการสญู เสยี พลงั งานทงั้ สนิ้ โดยก่อนการปรับปรุงทางโรงงานมี อัตราการใช้ไม้ฟืนเฉล่ีย 560,188.33 กิโลกรัม คิดเป็นเงิน 336,113 บาท ภายหลังจากการพัฒนาห้องอบรมควนั ยาง และเตา โดยการเพ่ิมเก๊ะตากยางจาก 5 ช้ัน เป็น 6 ชั้น และปรับปรุงอุปกรณ์วัดอุณหภูมิ ซ่อมแซมห้องรมควันยาง และทาความสะอาดท่อสง่ ลมรอ้ นให้สามารถกระจายความรอ้ นได้สมา่ เสมอและทวั่ ถงึ จากการดาเนินงานทาใหม้ อี ัตรา การใชไ้ มฟ้ ืนลดลง 93,364.72 กิโลกรัมต่อปี หรอื ปรมิ าณการใชไ้ ม้ฟืนลดลงรอ้ ยละ 16.67 คิดเปน็ ตน้ ทนุ ไม้ฟนื ท่ีลดลง 56,018.83 บาทตอ่ ปี และทาให้มีกาลงั การผลิตเพ่ิมขึ้นรอ้ ยละ 20 คําสําคญั ต้นทนุ พลงั งาน, หอ้ งอบรมควัน, ยางแผน่ รมควนั ABSTRACT This research aims to improve a rubber smoking room and a furnace efficiency that can reduce energy costs in a ribbed smoked sheet (RSS) rubber process of rubber fund cooperative factories. The survey found that the production of energy has a high volume. The heat loss that occurs in many processes. In terms of production process that do not fit the equipment was damaged, lack of maintenance that damaged the ceiling of the room and the wood has a high moisture content as a results in a loss of energy. Before the improving the factory, the average factory utilization rates of firewood 560,188.33 kg, totaling 336,113 baht to develop the training room after the tire smoke and barbecue by adding a layer of a rubber drying shack (from 5 to 6) and measuring temperature equipment. Repair rooms, Rubber and clean heating ductwork to distribute heat evenly and thoroughly. The result after improving show that the use of firewood decreased 93,364.72 kg/year or quantity of firewood decreased by 16.67%, representing the cost of firewood decreased 56,018.83 baht/year and a 20% increase in capacity. วารสารวิชาการรบั ใชส้ งั คม มทร.ลา้ นนา 33 ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 มกราคม - มถิ นุ ายน 2559
Keywords energy costs, Repair rooms, ribbed smoked sheet (RSS) บทนํา แผ่นรมควันเป็นหลัก โดยจะทาการรับซ้ือน้ายางสด อุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยางเป็น จากสมาชิก ซึ่งจะดาเนินการผลิตตลอดเกือบทั้งปี ยกเว้นในช่วงฤดูฝน ส่วนกระบวนการจัดจาหน่ายจะ อุตสาหกรรมหนึ่งที่มีความสาคัญต่อเศรษฐกิจไทย อยู่ ใ น รู ป แ บ บก าร ข าย ต ร ง อ ย่ า ง ไ ร ก็ ตามใน หากพจิ ารณาเพิ่มเตมิ ในมิติด้านพลังงาน อุตสาหกรรม กระบวนการแปรรูปจะมีนโยบายการผลติ ตามปรมิ าณ ยางและผลิตภัณฑ์ยางถือได้ว่าเป็นอุตสาหกรรมที่มี น้ายางสดท่ีรับซอ้ื จากสมาชกิ ซึ่งมีกาลังการผลิตสูงสดุ การใช้พลังงานในปริมาณค่อนข้างสูงและมีแนวโน้มที่ 600 ตันต่อปี จากการสารวจพบวา่ กระบวนการผลติ มี จะเพ่ิมระดับการใช้พลังงานต่อไปตามการขยายตัว การใช้พลังงานปริมาณสูง มีความสูญเสียพลังงาน ของเศรษฐกิจ ดังนั้นจึงมีความจาเป็นท่ีจะต้องหา ความร้อนที่เกิดข้ึนในหลายกระบวนการ ท้ังในเรื่อง แนวทางท่ีจะส่งเสริมและสนับสนุนให้อุตสาหกรรม ของวิธีการผลิตท่ีไม่เหมาะสมอุปกรณ์มีการชารุด สถานประกอบการอุตสาหกรรมยางพาราให้มีการใช้ เสียหาย และขาดการบารุงรักษาเพดานของห้องอบท่ี พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพซ่ึงนอกจากจะส่งผลใน ชารุด รวมไปถึงไม้ฟืนที่มีความชื้นสูง ส่งผลให้มีการ เรื่องพลังงานที่สามารถประหยัดได้แล้ว ยังเป็นการ สูญเสียพลังงานท้ังส้ิน งานวิจัยนี้จึงมีวตั ถุประสงค์เพือ่ ช่วยเพ่ิมศักยภาพในการแข่งขันกับต่างประเทศในเวที พัฒนาห้องอบรมควันยางและเตาให้มีประสิทธิภาพ การค้าโลกอีกทางหนึ่งด้วย มากข้นึ และสามารถลดตน้ ทนุ พลงั งานในกระบวนการ แปรรปู ยางแผ่นรมควันได้ พลังงานเป็นปัจจัยสาคัญในการแปรรูปยาง ทุกชนิด มีการใช้พลังงานจากกระแสไฟฟ้าและ วธิ กี ารดําเนินงาน พลังงานจากน้ามนั เชือ้ เพลิงในการแปรรปู ยางแท่งและ 1. การสารวจวิเคราะห์วินิจฉัยปัญหาการใช้ น้ายางข้น ส่วนการผลิตยางแผ่นรมควันจะใช้พลังงาน ความร้อนจากการเผาไหม้ไม้ฟืน ซึ่งจากการศึกษา พลงั งานของสถานประกอบการ ค้นคว้าข้อมูล ขจรศักดิ์ ทองอะไพพงษ์ (2553) ได้ จากการเข้าวิเคราะห์ข้อมูลประสิทธิภาพการ ศึ ก ษ า ปั ญ ห า ข อ ง ก ร ะ บ ว น ก า ร อ บ ย า ง พ า ร า ท่ี ไ ม่ สามารถทางานได้ดีพอทาใหส้ ิน้ เปลอื งไม้ฟ้ืน เน่อื งจาก ผลิตของสหกรณ์กองทุนสวนยาง กรณีศึกษา พบว่า รูปแบบของโรงอบยางพาราท่ีไม่เอื้อต่อการระบาย กระบวนการผลิตมีการใช้พลังงานปริมาณสูง มีความ ความร้อนสู่ด้านบนคือความร้อนท่ีจะถ่ายเทไปสู่ สู ญ เสี ย พ ลังงานค ว ามร้ อ นท่ีเกิ ดข้ึ นในหลาย ด้านบนได้เพียงการระบายความร้อนจากพ้ืนคอนกรีต กระบวนการ ท้ังในเร่ืองของวิธีการผลิตท่ีไม่เหมาะสม เท่าน้นั ทาใหต้ ้องใชไ้ ม่ใชฟ้ นื จานวนมากในการเผาไหม้ อุปกรณ์มีการชารุดเสียหาย และขาดการบารุงรักษา เพื่อให้คอนกรีตมีความร้อนมากพอท่ีจะถ่ายเทสู่ เพดานของห้องอบทีช่ ารุด รวมไปถงึ ไม้ฟืนท่ีมีความชื้น ด้านบนได้ ผู้วิจัยจึงปรับปรุงโรงอบเพ่ือให้ความร้อน สูง ส่งผลให้มีการสูญเสียพลังงานท้ังสิ้น ซึ่งจากการ ขึ้นสู่ด้านบนได้โดยตรงซ่ึงจะช่วยประหยัดวัตถุดิบไม้ สารวจพบว่ามีการใช้พลังงานในการผลิตอยู่ 2 ส่วน ฟืนโดยสามารถลดปริมาณการใช้ไม้ฟืนลง 554 คือ พลงั งานไฟฟ้าที่ใช้กบั จักรรดี ยาง (ตารางท่ี 1) และ กิโลกรัม หรือ 15.81 % และต้นทุนการใช้ไม้ฟืน พลังงานความรอ้ นทีใ่ ชใ้ นการอบยาง สามารถลดลง 332 บาทหรือ 15.79 บาทต่อการอบ แตล่ ะครั้ง การใช้พลังงานไฟฟ้าในอุปกรณ์หลักของ สถานประกอบการ พบว่า มอเตอร์จักรรีดยางมี สหกรณ์กองทุนสวนยาง กรณีศึกษา ได้เร่ิม สัดส่วนในการใช้พลังงานท่ีสูง ดังน้ัน จึงสรุปได้ว่า กิจการต้ังแต่ พ.ศ. 2537 โดยการรวมตัวกันของกลุ่ม มอเตอรจ์ ักรรีดยางเป็นอุปกรณ์หลักที่มีการใชพ้ ลงั งาน สมาชิก ได้ประกอบกิจการเกี่ยวกับการแปรรูปยาง 34 RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016
ไฟฟ้าจานวนมาก ทั้งนี้ข้ึนอยู่กับประสิทธิของ ความร้อนภายในห้องเป็นอย่างมาก ส่งผลทาให้ เครื่องจักร และระบบการจัดการพลังงานในการ สญู เสยี เช้ือเพลงิ โดยเปลา่ ประโยชน์ ปฏิบัติงาน - การกระจายแก๊สรอ้ นภายในห้องอบรมควัน ตารางท่ี 1 การใชพ้ ลงั งานไฟฟ้าในอปุ กรณ์หลัก ไม่สม่าเสมอและไม่ทั่วถึง เน่ืองจาก ท่อนาลมร้อนจาก รายการอุปกรณ์ มอเตอรจ์ กั รรีดยาง เตาเข้าสู่ห้องรม เกิดการอุดตันภายในท่อ ทาให้อัตรา กาลังไฟฟา้ (kW) 2.2 ไหลของลมร้อนเข้าสู่ภายในห้องรม สามารถเข้าไปได้ ชัว่ โมงการงาน (ชม.) 4 ในปริมาณที่น้อยและเคลื่อนท่ีช้า ส่งผลให้ต้องใช้ วนั ทางาน/ปี (วนั ) 250 เวลานานในการเพ่ิมอุณหภูมิห้อง และยังทาให้การรม พลังงานท่ีใช้ (kW/ป)ี 2,200 ในแต่ละรอบต้องใช้เวลานานกว่าปกติ อีกทั้งความ คา่ ใช่จา่ ย (บาท/ปี) 11,000 ร้อนบางส่วนรั่วไหลออกทางหน้าเตา ก่อให้เกิดการ สูญเสยี ความร้อนและเชอื้ เพลงิ ท่ีใชใ้ นปรมิ าณมาก ในส่วนของพลังงานความร้อน ทางสถาน ประกอบการจะมีการใช้พลังงานความร้อนจาก - ลั ก ษ ณ ะ ข อ ง เ ชื้ อ เ พ ลิ ง ที่ ท า ง ส ถ า น เช้ือเพลิงไม้ยางพาราเป็นหลัก ส่วนความร้อนที่ได้จาก ประกอบการจัดซื้อมีขนาดไม่เหมาะสมสาหรับการใช้ การเผาไหม้จะถูกนามาใช้ในกระบวนการอบรมควัน งาน เช่น มีขนาดใหญ่หรือเล็กเกินไป ทาให้การ ยางแผ่น ซึ่งภายในห้องอบรมควันต้องการอุณหภูมิ นาไปใช้งานเป็นเชื้อเพลิงไม่เต็มประสิทธิภาพ ไม้ท่ี ภายในห้องประมาณ 45-65 องศาเซลเซียส ใหญ่เกินไปทาให้เกิดการเผาไหม้ได้ไม่ดี มีความชื้นสูง ความร้อนต่า ไม่เพียงพอต่อการใช้งาน และยัง จากการตรวจสอบพบว่า ในกระบวนการ ก่อให้เกิดข้ีเถ้าเป็นจานวนมาก ไม้ท่ีมีขนาดเล็กเกินไป ร ม ค วั น ข อ ง ส ถ า น ป ร ะ ก อ บ ก า ร จ ะ มี ก า ร สู ญ เ สี ย จะมีการเผาไหม้ที่รวดเร็ว และความร้อนสูงเกินความ พลังงานความร้อนค่อนข้างสูง ซึ่งพลังงานความรอ้ นที่ จาเปน็ สูญเสียจะเกิดจากวิธีการปฏิบัติงานของพนักงาน ประสิทธิภาพของระบบผลิต การเก็บความร้อนของ - อุปกรณ์วัดอุณหภูมิชารุดเสียหายใช้งาน ห้องอบรมควัน และคุณภาพของเช้ือเพลิงที่นามาใช้ ไม่ได้ ทาให้ไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิภายในห้องอบ โดยลักษณะการใช้งานพลังงานความร้อน โดยทาง ให้เหมาะสมกับการอบรมควันแผ่นยางได้ ซ่ึงถ้าหาก สถานประกอบการมีอัตราการใช้ไม้ฟืนในช่วงเดือน ความร้อนสูงเกินไปจะส้ินเปลืองพลังงาน และอาจ พฤษภาคม 2557 – เดือนมีนาคม 2558 จานวน ส่งผลให้เกิดยางฟอง แต่ถ้าหากว่าอุณหภูมิต่าเกินไป 560,188.33 กโิ ลกรัม คดิ เป็นเงิน 336,113 บาท จะทาให้ยางแห้งช้าและต้องใช้เวลาในการอบรมควัน นานข้ึน เปน็ เหตใุ ห้ต้องใชไ้ ม้ฟนื มากข้ึนด้วย สรุปปัญหาของสถานประกอบการหลังจาก การสารวจได้ดังต่อไปน้ี - เตาเผาของสถานประกอบการมีอายุการใช้ งานที่ยาวนาน ทาให้เกิดการชารุดเสียหายภายในเตา - ห้องอบยางมีขนาดใหญ่ ไม่เหมาะสมกับ จากการกระแทรกของไม้ และจากความร้อนภายใน ปริมาณยางท่ีนาเข้าเตา เน่ืองจาก ห้องอบยางของ ห้องเผาเองที่มีอุณหภูมิสูง 500-600 องศาเซลเซียส สกย.ใช้งานมาต้ังแต่ก่อต้ังซ่ึงเป็นรุ่นปี 2538 มีขนาด ส่งผลให้อิฐกันความร้อนเกิดการแตกร้าวเสียหาย ทา 5x6x3.5 เมตร แต่เก๊ะยางที่ใช้มีขนาด 2x1.9x2.5 ให้ประสิทธิภาพการเก็บความร้อนภายในเตาต่าลง เมตร ซ่ึงเป็นเก๊ะยาง 5 ชั้น ทาให้พ้ืนที่ด้านบนเก๊ะยาง และมกี ารสูญเสียความรอ้ นมากยง่ิ ขึ้น อีกทง้ั ไม่มีประตู เหลือเป็นจานวนมาก ปดิ หน้าเตา กอ่ ให้เกดิ การแผค่ วามร้อนออกมานอกเตา ในปริมาณมาก - ห้องรมควันยางมีการชารุดเสียหาย พบว่า ท้ังเพดานและหลังคาท่ีแตกร้าว ฉนวนกันความร้อน ประตูมีความชารุดเสียหายมาก ทาให้เกิดการสูญเสีย วารสารวิชาการรบั ใชส้ ังคม มทร.ล้านนา 35 ปีท่ี 1 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2559
รปู ท่ี 1 ตัวอย่างรูปประกอบบทความ - การปรับปรุงซ่อมแซมเตาเผาเพ่ือลดการ 2. แนวทางการแก้ไขปญั หาด้านพลังงานของ สูญเสียความร้อน เน่ืองจากเตาเผาของสถาน สถานประกอบการ ประกอบการมีอายุการใช้งานท่ียาวนาน เพื่อลดความ จากสภาพปัญหาของสถานประกอบการท่ไี ด้ ร้อนสญู เสียมีรวั่ ไหลออกจากรอยแตกร้าวของเตา เพือ่ กล่าวมาข้างต้น สรปุ แนวทางการแก้ปัญหาไดด้ ังน้ี ชว่ ยลดการสูญเสยี เช้อื เพลงิ ได้ - ห้องอบยางมีขนาดใหญ่ ไม่เหมาะสมกับ ผลการดําเนนิ งาน ปริมาณยางท่ีนาเข้าเตา แนวทางการแก้ไขปญั หา โดย การปรับปรุงเก๊ะยางจากเดิม 5 เป็น 6 ช้ัน เพ่ือให้ได้ สหกรณ์กองทุนสวน กรณีศึกษา มีลักษณะ ยางแผ่นรมควันในแต่ละคร้ังของอบการอบมีปริมาณ ของเตารมควันแบบ 1 เตารมต่อ 1 ห้องรม (เตารมรุ่น มากขึ้น ปี 2538) โดยมที ง้ั หมด 4 หอ้ งรม ซงึ่ ขนาดของห้องรม - การปรับปรุงซ่อมแซมห้องรมควันยาง โดย รุ่นน้ีมีความกว้าง 5.00 เมตร ยาว 6.00 เมตร และสงู ดาเนินการปรับปรุงซ่อมแซมตดิ ตั้งฉนวนกันความร้อน 3.50 เมตร พนักงานทคี่ วบคุมการเติมไม้ฟนื จะทาการ ที่ประตูห้องรม และซ่อมแซมรอยรั่วต่างๆ ที่เพดาน เติมไม้ฟืนเป็นระยะๆ เพ่ือให้อุณหภูมิภายในห้องรมมี ของห้อง รวมถึงบานหน้าต่างระบายไอน้าของห้องรม ค่าประมาณ 60 องศาเซลเซียส ตลอดระยะเวลาที่ทา เพอ่ื ลดการสูญเสียความรอ้ น การรมควัน ซ่ึงใช้เวลาประมาณ 4 วัน จากการสารวจ - การแก้ปัญหาการกระจายแก๊สร้อนภายใน พบว่า เก๊ะตากยางที่ใช้เปน็ แบบ 5 ช้ัน ซ่ึงยังมีช่องวา่ ง ห้องอบรมควันไม่สม่าเสมอและไม่ท่ัวถึง โดยให้ทาง ระหว่างเก๊ะยางกับเพดานอีกมาก ทาให้เกิดความสูญ สถานประกอบการดาเนินการทาความสะอาดท่อส่ง เปล่าของพลังงานความร้อนในบริเวณดังกล่าว ผู้วิจัย ลมรอ้ น และขดู สง่ิ อุดตันภายในทอ่ ออกทั้งหมด เพอ่ื ให้ จงึ ได้แนะนาให้มีการเพม่ิ ชั้นของเกะ๊ ตากยางเป็น 6 ชนั้ ลมร้อนจากเตาสามารถผ่านเข้าไปอย่างสะดวก ใน เพ่ือใช้ใช้พลังงานความร้อนให้คุ้มค่ามากขึ้น โดยมี ปริมาณและอัตราการไหลท่ีเหมาะสม ซึ่งจะช่วยลด ลกั ษณะของเกะ๊ แบบที่จะดาเนนิ การดงั น้ี เ ว ล า ใ น ก า ร ร ม แ ล ะ ท า ใ ห้ สู ญ เ สี ย ค ว า ม ร้ อ น แ ล ะ เชื้อเพลงิ ลดลง รปู ที่ 2 การเตรยี มชน้ิ ส่วนเพ่ือตอ่ เกะ๊ เป็น 6 ชนั้ - จากการท่ีทางสถานประกอบการได้จัด เชื้อเพลิงไม้ยางพาราที่ไม่ได้ขนาดเหมาะสมในการใช้ รปู ท่ี 3 ลกั ษณะของเกะ๊ ตากยางแบบ 5 ชนั้ งาน ทาให้การนาไปใช้งานเป็นเชื้อเพลิงไม่เต็ม และแบบ 6 ช้ัน ประสิทธิภาพ ดังน้ัน เพ่ือลดค่าใช้จ่ายจากการซื้อ เชือ้ เพลิง จงึ ควรดาเนนิ การเลอื กซื้อเช้ือเพลงิ ท่ีมีขนาด ทเ่ี หมาะสมกับการใชง้ านในการรมควนั - การปรับปรุงอุปกรณ์วัดอุณหภูมิชารุด เสียหาย เพื่อให้การควบคุมอุณหภูมิห้องให้มี ประสิทธิภาพมากย่ิงขึ้น ช่วยให้การทางานของ ผู้ปฏิบัติงานมีการควบคุมอุณหภูมิได้อย่างเท่ียงตรง และสม่าเสมอ 36 RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016
ตารางที่ 2 การคานวณวิเคราะหผ์ ลกอ่ นและหลงั การปรับปรุง การคานวณวเิ คราะหผ์ ล ก่อนปรับปรงุ หลงั ปรบั ปรงุ ผลตา่ ง หน่วย คิดเปน็ ร้อยละ ปรมิ าณการใชไ้ ม้ฟืน 560,188.33 466,823.61 93,364.72 กิโลกรมั /ปี -16.67 ขนาดเกะ๊ ตากยาง 56 จานวนแผน่ ยางที่สามารถตากได้ 510.00 612.00 1 ชั้น +20.00 จานวนยางทเ่ี ขา้ ห้องอบ 3,060.00 3,672.00 102.00 แผน่ /เกะ๊ +20.00 นา้ หนกั ยางแหง้ เฉลีย่ ตอ่ รอบการอบ 2,601.00 3,121.20 612.00 เก๊ะ/ห้อง +20.00 อัตราการใช้ไม้ฟืนต่อผลผลติ 1.63 1.35 520.20 กก./แผ่น +20.00 อตั ราการใชไ้ ม้ฟนื ต่อยางแหง้ 0.98 0.81 0.28 กก./รอบการอบ -17.18 0.17 บาท/กก. -17.35 การนาํ ไปใช้ กิตตกิ รรมประกาศ การดาเนินงานเพ่ือพัฒนาและปรับปรุง ผู้วิจัยขอขอบคุณ สถาบันวิจัยและพัฒนา ห้องอบรมควันยางและเตา สหกรณ์กองทุนสวนยาง ส า ข า วิ ช า วิ ศ ว ก ร ร ม แ ม ค ค า ท ร อ นิ ก ส์ ค ณ ะ กรณีศึกษา มีค่าวัสดุ/อุปกรณ์ปรับปรุงเก๊ะตากยาง วิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล 2,000 บาท/เก๊ะ มีจานวนเก๊ะตากยางทั้งหมดท่ี พระนคร และศูนย์วิจัยการจัดการโลจิสติกส์และโซ่ ปรับปรุง 24 เก๊ะ รวมค่าใช้จ่าย 48,000 บาท พบว่า อุปทาน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระ ภายหลังจากการดาเนินกา รปรั งปรุง สถาน นครเหนือ อย่างยิ่งในการสนับสนุนด้านเวลาและ ประกอบการมีอัตราการใช้ไม้ฟืนลดลง 93,364.72 เครื่องมือในการวิจัยคร้ังน้ี กิโลกรัมต่อปี หรือปริมาณการใช้ไม้ฟืนลงร้อยละ 16.67 คิดเป็นต้นทุนไม้ฟืนที่ลดลง 56,018.83 บาท บรรณานกุ รม ต่อปี (ราคาไม้ฟืน (ไม้ยางพารา) เฉลี่ย 0.60 บาทต่อ ขจรศกั ดิ์ ทองอะไพพงษ์. 2553. การเพมิ่ กโิ ลกรัม) โดยมีกาลังการผลติ เพมิ่ ขน้ึ รอ้ ยละ 20 อภิปรายผล ประสิทธภิ าพการผลติ ยางพาราและลดตน้ ทนุ ดา้ นพลงั งาน : กรณีศึกษาโรงงานแปรรปู เนื่องจากรูปแบบการทางานและลักษณะ ยางพารา. สารนพิ นธว์ ทิ ยาศาสตรมหาบณั ฑิต โครงสร้างโรงงงานของสหกรณ์กองทนุ สวนยางที่ก่อต้ัง สาขาวชิ าการจดั การโซ่อุปทานแบบบรู ณาการ ในปี 2538 และ 2539 มีลกั ษณะเหมอื นกัน ทาใหก้ าร บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยธรุ กิจบณั ฑติ ย์. ดาเนินกิจการประสบปัญหาลักษณะเดยี วกัน งานวิจัย กระทรวงพลงั งาน. 2550. โครงการศกึ ษาเกณฑก์ าร นี้จึงเป็นแนวทางในการปรับปรุงและพัฒนาห้องอบ ใช้พลังงานอุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยาง รมควันยางและเตา ของ กลุ่มสหกรณ์กองทุนสวนยาง ดั ช นี ก า ร ใ ช้ พ ลั ง ง า น ใ น แ ต่ ล ะ ป ร ะ เ ภ ท ในการนาไปใช้เพ่อื ปรบั ปรงุ และพฒั นาได้ดว้ ยตนเอง อุตสาหกรรม. กรุงเทพฯ: กรมพัฒนาพลังงาน ทดแทนและอนุรกั ษพ์ ลงั งาน. โดยแผนงานระยะยาว ของ สหกรณ์กองทุน สวน กรณีศึกษา ควรมีการปรับปรุงห้องอบรมควัน ดังกล่าว เพ่ือลดต้นทุนในการผลิต โดยมีแนวทาง ดงั ตอ่ ไปน้ี - ปรับเปลี่ยนเตาเป็นเตาประหยัดพลังงานี่มี ประสทิ ธภิ าพสูง - ประตูด้านหน้าควรมีช่องหน้าต่างสาหรับ เปดิ ดูยางภายในหอ้ ง เพอื่ ลดการเปิดประตใู หญ่ - ควรบรรจุยางในห้องให้เต็ม และพยายาม ให้ภายในหอ้ งมปี ริมาตรเหลือนอ้ ยทีส่ ดุ วารสารวชิ าการรับใช้สังคม มทร.ล้านนา 37 ปีท่ี 1 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม - มถิ นุ ายน 2559
RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016
การจดั การท่องเทยี่ วอยา่ งยั่งยืนของชมุ ชนสวนหลวง 1 Sustainable Tourism Management of Suanluang 1 Community สวุ มิ ล พชิ ญไพบลู ย์1* Suwimol Pichayapaiboon1* 1 ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลกรุงเทพ 1 Assistant Professor, Rajamangala University of Technology Krungthep E-mail: [email protected], เบอร์โทรศัพท์ 08 1431 3140, 0 2286 3596 บทคัดย่อ โครงการวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาสภาพปัจจุบัน และจุดเด่นของชุมชนที่จะนาไปสู่การจัดการการ ท่องเที่ยวอย่างย่ังยืนของชุมชนสวนหลวง 1 เขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร และเพื่อหาแนวทางในการจัดการ ท่องเท่ียวอย่างย่ังยืนของชุมชนสวนหลวง 1 โดยมีลักษณะเป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed method) ระหว่าง การวิจัยเชิงคุณภาพ และการวิจัยเชิงปริมาณโดยใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research : PAR) คือ ประชุมกลุ่มร่วมกับคณะกรรมการชุมชน และคณะกรรมการตลาดชุมชนฯ จัดเวทีชุมชน ประชาพิจารณส์ มาชกิ ในชมุ ชนเพ่ือต้องการทราบความคิดเหน็ และสอบถามความประสงค์ในการจัดการท่องเท่ียวของ ชุมชนสวนหลวง 1 และประชุมกลุ่มร่วมกับผู้ประสงค์จะเป็นผู้ค้า รวมถึงการสัมภาษณ์เจาะลึกจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ได้แก่ กรรมการชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน เป็นต้น สาหรับการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูล 2 ระยะ คือ ระยะแรก สอบถามความคิดเห็นของสมาชิกในชุมชนสวนหลวง 1 ต่อการจัดการท่องเท่ียวอย่างย่ังยืนของชุมชนสวนหลวง 1 จานวนกลมุ่ ตวั อย่าง 118 ราย และระยะทส่ี อง สอบถามความพึงพอใจในการจัดตลาดชมุ ชนริมคลองสวนหลวง 1 ใน วันเปิดงานจากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ได้แก่ นักท่องเท่ียว ผู้ค้า สมาชิกในชุมชน กรรมการชุมชน ผู้ได้รับเชิญมาร่วมงาน จานวนกลมุ่ ตัวอย่าง 470 ราย ผลการศึกษาพบว่า ชุมชนสวนหลวง 1 เป็นชุมชนเข้มแข็งด้านการบริหารจัดการเพราะมีคณะกรรมการ ชุมชนที่มีความเป็นหนึ่ง มีการทางานเป็นทมี มีการนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการส่ือสารระหว่างกัน กอร์ปกับ หลักศาสนาอสิ ลามทส่ี ง่ เสริมความรักความสามคั คีตอ่ กัน นอกจากน้ี ลกั ษณะทางกายภาพภายในชุมชนก็มีความพร้อม ในการจัดให้เป็นแหลง่ ท่องเทย่ี ว คือ ชุมชนเปน็ ระเบียบ สะอาด ร่มรื่น และสามารถเดินทางเข้าถึงได้สะดวก ประเด็น สาคัญทส่ี ุดทีท่ าใหช้ ุมชนมจี ุดเด่นเฉพาะด้านคอื อาหารดงั้ เดมิ ของชาวมสุ ลมิ ซึง่ สอดคล้องกับข้อมลู เชงิ ปรมิ าณทพ่ี บว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีความคิดเห็นว่าจุดเด่นของชุมชนท่จี ะสามารถดงึ ดูดนกั ท่องเที่ยวให้มาเท่ยี วในชุมชนมากทส่ี ดุ 5 อันดบั คือ อาหาร สภาพแวดล้อม ความสะอาด/ความร่มรืน่ สนิ คา้ /เอกลักษณข์ องมุสลิม และอธั ยาศยั ไมตรขี องคนใน ชุมชน คาํ สาํ คญั การจัดการท่องเทีย่ วอย่างยัง่ ยนื , ชุมชนสวนหลวง 1 ABSTRACT The purposes of this research were to investigate the current situations and the strength of the community for sustainable tourism management of Suanluang 1 Community, Bangkorlaem district, Bangkok and to establish the management for sustainable tourism of Suanluang 1 Community. This research was a mixed method research between a qualitative research and a วารสารวิชาการรบั ใชส้ งั คม มทร.ลา้ นนา 39 ปีท่ี 1 ฉบับท่ี 1 มกราคม - มถิ นุ ายน 2559
quantitative research with a participatory action research. Qualitative methodology was utilized and consisted of attending the meeting among the community committees and the market management committees, public hearing of the people in the community to survey their opinions about the tourism management of Suanluang 1 Community, and in-depth interviews with stakeholders, community key informants, community committees and tourists. Quantitative methodology was utilized in two periods: first, survey opinions of the community residents about the sustainable tourism management of Suanluang 1 Community from 118 samples; secondly, survey the satisfaction of all the stakeholders including tourists, people in the community, community committees, and guests in the opening ceremony from 470 samples about the Suanluang 1 community market. The results of the study were that Suanluang 1 Community had strength in management because of the unity of the community committee, team working, using information technology for communication, and the doctrine of Muslim religion for love and harmony. Furthermore, the competence of the community infrastructure with tidiness, cleanliness, greenery and transportation supported the community to be a tourism destination. The uniqueness of the community was genuine Muslim cuisine. According to the quantitative data, it was indicated that the community possessed 5 main attractions: food, environment, greenery, Muslim identity and the community hospitality. Keywords sustainable tourism management, Suanluang 1 community บทนาํ ณ ชุมชนแห่งนี้ไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยปี ทาให้มี อ ุต ส า ห ก ร ร ม ก า ร ท ่อ ง เ ที ่ย ว เ ป ็น ข น บ ธ ร ร ม เ นีย ม ป ร ะ เพ ณีแ ล ะ วัฒ น ธ ร ร ม ที่มี เอกลักษณ์เฉพาะ เพราะเป็นชุมชนมุสลิมซึ่งมีอยู่ อุตสาหกรรมท่ีมีความสาคัญต่อเศรษฐกิจและสังคม ประมาณร้อยละ 80 ของประชากรในชุมชน ทว่า ของประเทศไทยอย่างมาก เพราะนามาซึ่งรายได้สู่ การอยู่ร่วมกันอย่างผสมผสานกลมกลืนระหว่างไทย ประเทศรวมถึงการสร้างงาน และกระจายความ พุทธและไทยมุสลิมไม่มีปัญหาใดๆ แต่กลับเป็น เจ ริญ ไปสู่ภูมิภาค แ ผ น พัฒนาการท่องเที่ยว ชุมชนที่เข้มแข็งโดยเฉพาะชาวชุมชนที่มุ่งมั่นสร้าง แห่งชาติ พ.ศ.2555 - 2559 จึงให้ความสาคัญต่อ ชุมชนจนได้รับรางวัลมากมาย อาทิ รางวัลชุมชน ก า ร พ ัฒ น า ก า ร ท ่อ ง เ ที ่ย ว ข อ ง ป ร ะ เ ท ศ เ พื ่อ ส ร้า ง ต้นแบบ ชุมชนเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และชุมชน ความสมดุลและยั่งยืน โดยเน้นกระบวนการมีส่วน น่าอยู่อย่างยั่งยืน กอร์ปกับจุดเด่นของอาหารฮา ร่วมของทุกภาคส่วน (คณะกรรมการนโยบายการ ลาลที่หารับประทานยาก อาทิ ข้าวหมกสามสี รอ ท่องเท่ียวแห่งชาติ, 2554) ยะ โรตีโรย สมองวัวทอด เป็นต้น นอกจากนี้ยังมี ผลิตภัณฑ์จากฝีมือชาวชุมชน เช่น การทาหมอน เด ปัจจุบันการจัดการท่องเที่ยววิถีชุมชนมี คูพาจ โครเชต์ เป็นต้น การน้อมนาแนวคิด “เศรษฐกิจพอเพียง” และ “คน เป็นศูนย์ กลางของการพัฒนา” มาใช้ในการ ด้วยศักยภาพของชุมชนจึงเป็นโอกาสดีใน พัฒนาการทองเท่ียวแบบองครวมที่สรางรายไดและ การสร้างชุมชนให้เป็นแหล่งท่องเท่ียว มีสิทธิในการ กระจายรายไดอยางเปน ธรรมและยั่งยืน ชุมชน บริหารจัดการโดยชุมชนและมีส่วนร่วมเพื่อเสนอ สวนหลวง 1 เป็นชุมชนที่อยู่กลางกรุงเทพมหานคร และสนองความต้องการของผู้มาเยือน ซึ่งจาก มีประวัติความเป็นมายาวนานต้ังแต่สมัยรัชกาลที่ 1 การศึกษาค้นคว้างานวิจัยไม่พบว่ามีงานวิจัยใดท่ี โดยชาวมุสลิมเชื้อสายมาเลเซียอพยพมาตั้งถ่ินฐาน 40 RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016
บูรณาการงานวิจัยไปสู่การสร้างตลาดชุมชนให้เป็น ศักยภาพของชุมชน นอกจากนี้ใช้วิธีการประชุมกลุ่ม แหล่งท่องเที่ยวอย่างเป็นรูปธรรม ส่วนใหญ่จะ (focus group) รว่ มกับคณะกรรมการชมุ ชนเพือ่ ทราบ ศึกษาบริบทและศักยภาพการท่องเที่ยว พัฒนา แนวทางการดาเนินงาน จากน้ันจัดให้มีการทาประชา ทรัพยากรมนุษย์ในชุมชนให้มีความรู้ ความเข้าใจ พิจารณ์จากชาวชุมชนสวนหลวง 1 เพื่อขอความ สามารถจัดการท่องเที่ยว ศึกษาพฤติกรรมและ คิดเห็นในการจัดตลาดริมคลองชุมชนสวนหลวง 1 ความต้องการการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยว และ พร้อมกับการใช้แบบสอบถามเพ่ือถามความคิดเห็น ว า ง แนว ท า ง กา รจัด กา ร เท่า นั้น ดัง นั้น ก า ร ของสมาชิกในชุมชนถึงความเหมาะสมของวัน เวลา ศ ึก ษ า ว ิจ ัย นี ้จ ึง ม ีว ัต ถ ุป ร ะ ส ง ค ์เ พื ่อ ศ ึก ษ า ส ภ า พ สถานท่ี สิ่งอานวยความสะดวก การค้าขาย การ ปัจจุบัน และจุดเด่น จุดด้อย โอกาส และอุปสรรค ประชาสัมพันธ์เพ่ือดึงนักท่องเท่ียว และผู้รับผิดชอบ ของชุมชนที่จะนาไปสู่การจัดการท่องเที่ยวอย่าง เม่ือได้ข้อยุติจึงดาเนินการประสานทุกฝ่ายที่เก่ียวข้อง ย่ังยืนของชุมชนสวนหลวง 1 เขตบางคอแหลม และ ได้แก่ สานักงานเขตบางคอแหลม สานักงานทรพั ย์สนิ เพื่อหาดาเนินการจัดให้ชุมชนแหล่งท่องเที่ยวอย่าง ส่วนพระมหากษัตริย์ซ่ึงเป็นเจ้าของพ้ืนท่ีชมุ ชน สถานี เป็นรูปธรรมโดยการจัดตลาดริมคลองชุมชนสวน ตารวจนครบาลวัดพระยาไกร โดยประชุมร่วมกันเพ่ือ หลวง 1 กาหนดวันพธิ เี ปดิ ตลาดริมคลองฯ วธิ ีการดําเนนิ งาน นอกจากนาวิธดี าเนนิ การวิจัยเชงิ เชิงคุณภาพ ง า น วิ จั ย น้ี เ ป็ น ก า ร วิ จั ย ผ ส ม ( Mixed และเชงิ ปริมาณมาดาเนินการ ทา้ ยสุดได้นาวธิ ีการวิจัย เชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมซึ่งมีลักษณะเป็นการ method) ระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพ และการวิจัย ปฏิบัติการ (Action) คือ ดาเนินการจัดกิจกรรม เชิงปริมาณโดยใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วน โครงการวิจัยที่จะดาเนินการเพ่ือจัดต้ังตลาดริมคลอง ร่วม (Participatory Action Research: PAR) พร้อม ชมุ ชนสวนหลวง 1 และการมีสว่ นรว่ ม (Participation) ทั้งวิเคราะห์จุดเด่น จุดด้อย โอกาส และอุปสรรค โดยผู้มีส่วนเกี่ยวข้องของทุกฝ่ายท่ีเข้าร่วมกิจกรรม (SWOT) เพ่ือศกึ ษาแนวทางการจัดการท่องเทยี่ วอย่าง วิจัย ได้แก่ ชาวชุมชนสวนหลวง 1 ตัวแทนสานักงาน ยัง่ ยนื ของชุมชนสวนหลวง 1 เขตบางคอแหลม ตัวแทนสานักงานทรัพย์สินส่วน พระมหากษัตริย์ เพื่อร่วมกันวิเคราะห์สภาพปัญหา สาหรับข้อมูลเชิงปริมาณใช้แบบสอบถาม หรือสถานการณ์แล้วร่วมในกระบวนการตัดสินใจและ เป็นเคร่ืองมือเก็บข้อมูลสองระยะ คือ ระยะแรก การดาเนินการ จนกระทั่งสิ้นสุดการวิจัย เป็นวิธีการที่ สอบถามข้อมูลเพื่อหาแนวทางจัดการท่องเที่ยวอย่าง ให้ผู้ถูกวิจัยหรือชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมในการวิจัย ยั่งยืนของชุมชนริมคลองสวนหลวง 1 กลุ่มตัวอย่าง เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ โดยอาศัยการมีส่วน 118 ราย และระยะที่สอง สอบถามความพึงพอใจ ร่วมอย่างแข็งขันจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรม หลังจากได้มีการจัดตลาดชุมชนริมคลองสวนหลวง 1 วิจัย นับตั้งแต่ระบุปัญหาของการดาเนินการ การช่วย เป็นคร้ังแรกเมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน 2556 กลุ่ม ให้ข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล ตลอดจนช่วยหา ตวั อย่าง 470 ราย วิเคราะห์ขอ้ มูลเชิงปริมาณด้วยสถิติ วิธีแก้ไขปัญหาหรือส่งเสริมกิจกรรมน้ัน ๆ ข้อมูลจา พรรณนา การทาวิจัยทุกขั้นตอนชาวบ้านเป็นผู้ร่วมกาหนด ปัญหาของชุมชนและหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพ ( Qualitative กระบวนการวิจัยจึงดาเนินไปในลักษณะของการ Research) ใ ช้ วิ ธี สั ม ภ า ษ ณ์ เ จ า ะ ลึ ก ( indepth แลกเปลย่ี นความเห็นระหวา่ งชาวบา้ นกับผู้วิจยั เพอ่ื ให้ interview) ชาวชุมชนสวนหลวง 1 โดยเฉพาะผู้เฒ่าที่ ได้ขอ้ สรปุ เปน็ ขัน้ ๆ สว่ นกระบวนการสงั เคราะหข์ ้อมลู อาศัยชุมชนนี้มาแต่กาเนิด เพื่อรับฟังเรื่องเล่าของ เป็นไปในเชิงการวิภาษ (Dialectic) ซึ่งได้ข้อยุติในการ ชุมชนในอดีตพร้อมประสบการณ์ของแต่ละท่านที่ จดั กจิ กรรมตลาดรมิ คลองสวนหลวง 1 คร้งั แรก คอื วัน เติบโตว่าเดิมชุมชนมีอาชพี หลักคือการค้าขาย สมาชกิ อาทติ ย์ท่ี 1 กนั ยายน 2556 หลายครอบครัวในชุมชนมีฝีมือด้านการประกอบ อาหาร อาทิ ส้มตามาเลย์ (รอยะ) สมองวัวทอด ยา ทวาย มัสมั่น โรตีโรย เป็นต้น เพื่อนามาประมวล วารสารวิชาการรับใช้สงั คม มทร.ลา้ นนา 41 ปีท่ี 1 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม - มิถนุ ายน 2559
Search