Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วารสารวิชาการรับใช้สังคม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม - ธันวาคม 2559)

วารสารวิชาการรับใช้สังคม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม - ธันวาคม 2559)

Published by RMUTL Knowledge Book Store, 2020-09-09 04:03:56

Description: 1. การมีส่วนร่วมของชุมชนต่อการจัดการการใช้ประโยชน์ทรัพยากรกั้งตั๊กแตนในจังหวัดตรัง

2. การบริการวิชาการเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีเครื่องแหวกร่องต้นข้าวเพื่อเกษตรกร

3. รูปแบบการพัฒนาน้าข้าวกล้องผสมสมุนไพร โดยวิธีการบูรณาการการจัดการความรู้ ในศตวรรษที่ 21 สู่ชุมชน ของนักวิจัยปฎิบัติการแบบมีส่วนร่วม กลุ่มภาคกลาง

4. การนาระบบสารสนเทศที่เหมาะสมไปใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอกะเหรี่ยง กลุ่มทอผ้าบ้านหล่ายแก้ว ตาบลบงตัน อาเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่

5. การจัดการความรู้และการบริการวิชาการเรื่องแก๊สชีวภาพแก่ชุมชน ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย

6. การจัดการน้าเสียโดยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน

7. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ตานานอาหารมุสลิมบ้านตลาดแก้ว โรตี-ผงกะหรี่

8. การลดของเสียในกระบวนการผลิตยางแผนรมควันชั้น 3 ของโรงงานสหกรณ์กองทุนสวนยาง

Search

Read the Text Version

ววาารรสสาารรววชิ ชิ าากกาารรรรบั บั ใชใช้สส้ ังงัคคมมมมหหาวาิทวทิยยาลาลัยยเั ทเทคโคนโโนลโยลรี ยารี ชามชงมคงลคลลา้ ลนา้ นนานา วตั ถุประสงค์ วารสารวิชาการรับใช้สังคม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา มีวัตถุประสงค์เพื่อตีพิมพ์ผลงาน วิชาการด้านรับใช้สังคม ท้ังงานวิจัยและงานบริการวิชาการ เผยแพร่เพ่ือพัฒนาสังคมและส่งเสริมให้นักวิชาการ ด้านรับใชส้ งั คมในหน่วยงานตา่ ง ๆ ได้มแี หลง่ นาเสนอผลงานทางวิชาการสสู่ าธารณะ ที่ปรกึ ษากองบรรณาธิการ สงค์ธนาพิทกั ษ์ อธิการบดีมหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา รองศาสตราจารย์ ดร.นายุทธ วัชรดารงค์ศักดิ์ รองอธกิ ารบดี ดา้ นวจิ ัยและการถ่ายทอดเทคโนโลยี ดร.ภาสวรรธน์ บรรณาธกิ ารผ้ทู รงคุณวฒุ ภิ ายในและภายนอก ศาสตราจารย์ ดร.จกั รี เสน้ ทอง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศาสตราจารย์ ดร.อารี วบิ ลู ยพ์ งศ์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์ ศาสตราจารย์ ดร.ผดุงศักด์ิ รตั นเดโช มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ รองศาสตราจารย์ ดร.กาญจนา แก้วเทพ สถาบนั สมองของชาติ รองศาสตราจารย์ ดร.อาวรณ์ โอภาสพฒั นกจิ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รองศาสตราจารย์ ดร.เศรษฐ์ สมั ภสั ตะกลุ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รองศาสตราจารย์ ดร.พรี ะพงศ์ ทฆี สกุล มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร์ รองศาสตราจารย์ ดร.กิตติ บุญเลศิ นิรนั ดร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ รองศาสตราจารย์ ดร.พรหทัย ตัณฑจ์ ติ านนท์ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา รองศาสตราจารย์ ดร.ชติ ิ ศรตี นทิพย์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา รองศาสตราจารย์ ดร.พานิช อินตะ๊ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา รองศาสตราจารย์ สทุ ัศน์ จุลศรีไกวัล มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ปฏิภาณ สทุ ธกิ ุลบุตร มหาวิทยาลยั แม่โจ้ ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.อาพรรณ พรมศริ ิ มหาวิทยาลัยแมโ่ จ้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดวงพร ออ่ นหวาน มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา ผชู้ ่วยศาสตราจารยย์ ุทธนา เขาสเุ มรุ มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา ดร.สมคิด แก้วทพิ ย์ มหาวิทยาลัยแมโ่ จ้ RMUTL Journal Socially of Engaged Scholarship Vol. 1 No. 2 January - June 2016

กคอณงบะกรรรณรมาธกกิ าารรดบำ� รเิหนาินรงาน เพชรบลุ เขาสเุ มรุ นายภฤศพงศ์ ธารพรศรี ผ้ชู ่วยศาสตราจารยย์ ทุ ธนา อนิ ต๊ะ นายเกรยี งไกร วรพจนพ์ รชัย รองศาสตราจารย์ ดร.พานิช หอชยั รัตน์ ผู้ชว่ ยศาสตราจารยไ์ พโรจน์ ศรีประเสรฐิ ว่าท่ีรอ้ ยตรรี ชั ต์พงษ์ กาแพงแกว้ ว่าที่ร้อยตรเี กรยี งไกร พรมพราย นายนริศ ณ วรรณมา นายพิษณุ อ่อนนวล นายวรี วิทย์ สารภี นางสาวทนิ พิมพ์นวน นางสาวรตั นาภรณ์ สภุ าพรเหมนิ ทร์ นางสาวอารรี ัตน์ ผู้อยสู่ ขุ นายเจษฎา นางสาวสุธาสินี พมิ พ์ที่ สถาบันถ่ายทอดเทคโนโลยสี ูช่ มุ ชน มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา 98 หมู่ 8 ตาบลปา่ ปอ้ ง อาเภอดอยสะเก็ด จังหวดั เชียงใหม่ 50220 สานักงาน สถาบนั ถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชมุ ชน มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา 98 หมู่ 8 ตาบลปา่ ป้อง อาเภอดอยสะเก็ด จงั หวดั เชยี งใหม่ 50220 บทความทุกเรื่องได้รับการตรวจความถูกต้องทางวิชาการโดยผู้ทรงคุณวุฒิ ข้อความและบทความใน วารสารวิชาการรับใช้สังคม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เป็นแนวคิดของผู้เขียน มิใช่ความ คิดเห็นของคณะผู้จัดทาและมิใช่ความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ และกองบรรณาธิการไม่สงวนสิทธิ์ คดั ลอก แต่ใหอ้ ้างอิงท่มี า วารสารวชิ าการรบั ใช้สงั คม มทร.ลา้ นนา ปีที่ 1 ฉบับท่ี 2 มกราคม - มิถนุ ายน 2559

บทบบทบรรณรณาธาิกธากิ ราร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล มีบทบาทหน้าที่ให้บริการวิชาการสู่สังคมและผู้ประกอบการ เพ่ือ ถ่ายทอดองค์ความรู้ และถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับประชาชนท่ีสนใจทั่วไป ในการพัฒนาอาชีพและสร้าง มูลค่าเพ่ิมทางเศรษฐกิจ ด้วยการบริการวิชาการแก่สังคมของมหาวิทยาลัยกาหนดให้เน้นความย่ังยืนและ ต่อเนื่อง โดยการดาเนินงานของมหาวิทยาลัยถูกกาหนดให้มีเกณฑ์การประเมินผลของ สานักงาน คณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ว่าด้วย งานบริการวิชาการ คือ งานท่ีมีการนาความรู้ที่มีอยู่แล้วไป ช่วยทาความเข้าใจกบั ปัญหา แก้ปัญหา หรือปรับปรุงพัฒนาตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย รวมถึง งานส่งเสริมเผยแพร่ความรู้ ทั้งด้านวิชาการและวิชาชีพต่อกลุ่มบุคคล สังคม โดยมีระบบและกลไกการ บริการทางวิชาการแก่สังคมอย่างเป็นระบบและขับเคล่ือนระบบ ให้เชื่อมโยงกับการจัดการเรียน การสอน และการวิจยั และสามารถบรู ณาการบริการวชิ าการแกส่ งั คมกบั การเรยี นการสอนอยา่ งเปน็ รูปธรรม สถานการณ์ท่ีคุ้นเคยในการบริการวิชาการของมหาวิทยาลัยในอดีตคือ การฝึกอบรม การถ่ายทอด องค์ความรู้ตามความเชี่ยวชาญของบุคลากรในมหาวิทยาลัย ทาให้เห็นว่า “ภาพการถ่ายทอดองค์ความรู้ตาม ความต้องการของผู้ให้มากกว่าผู้รับ” อาทิ มองเพียงแรงจูงใจของนักวิชาการ ที่ต้องการถ่ายทอดไม่ถามความ ตอ้ งการของกล่มุ เป้าหมาย องคค์ วามรู้มคี วามเฉพาะทางเปน็ รูปแบบการถา่ ยทอดตามศาสตร์ ไม่มีองคค์ วามรู้ ภูมิปัญญาท้องถ่ินหรือองค์ความรู้เดิมเข้ามาบูรณาการ เน้นบทบาทเป็นผู้ให้มากกว่าการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เป้าหมายของการดาเนินกิจกรรมจะอยู่ท่ีจานวนของผู้ที่เข้ารับการถ่ายทอดหรือฝึกอบรม จะมีการติดตาม การนาไปใช้จริงของผูร้ ับการถา่ ยทอดน้อยมากหรอื ไมม่ เี ลย เมอ่ื กระแสความเปลย่ี นแปลงของงานบรกิ ารวิชาการกา้ วส่ยู ุค “เน้นผลรูปธรรม” เนน้ “กระบวนการ มีส่วนร่วม” มากกว่าความร่วมมือ เพ่ือให้เกิด “ความย่ังยืน” แล้วยังสอดคล้องตามเกณฑ์ประเมิน มหาวิทยาลัยจากส่วนต่าง ๆ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา จึงปรับกระบวนทัศน์การดาเนินงาน ด้านบริการวิชาการในปี 2553 โดยน้อมนาเอาหลักการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาเป็นแนวทาง การดาเนนิ งาน กล่าวคือกระบวนทัศน์ในการพฒั นาในพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั คอื การพัฒนาท่กี อ่ ให้เกิด ความก้าวหน้าอย่างยั่งยืน ต้องอาศัยทั้งการมีคนท่ีมีความสามารถ มีวทิ ยาการที่ดี และมีการบริหาร จดั การท่ีดี การพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไปเป็นลาดับ ต่อยอดจากรากฐานเดิมท่ีม่ันคง มิใช่เร่งรัด ก้าวกระโดด หรือนิยม ชมชอบส่ิงใหม่ ๆ โดยท้ิงของเดิม หรือนาแนวคิด วิทยาการหรือเทคโนโลยี สมัยใหม่มาใช้โดยไม่คานึงถึง ความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพการณ์ของท้องถ่ิน ทั้งในด้าน ภูมิศาสตร์ ด้านสังคม วัฒนธรรม ภูมิปัญญา ท้องถิ่น และความต้องการของประชาชนในพื้นที่ การพัฒนาต้องไม่กระจุกตัวอยู่เฉพาะพ้ืนท่ีใดพ้ืนท่ีหนึ่ง แต่ต้องพัฒนาให้ทั่วถึง นอกจากน้ียังทรง เน้นว่าการพัฒนาประเทศได้นั้นต้องพัฒนาคนเป็นลาดับแรก เพ่ือให้ คนมคี วามรู้ ความเขา้ ใจ สามารถ แสดงความคิดเหน็ สามารถมสี ่วนรว่ มในการพฒั นา ซ่งึ โครงการพระราชดาริ ตา่ ง ๆ เป็นตวั อยา่ งของ แนวทางการพัฒนาอย่างย่งั ยนื โดยพระองคท์ รงบูรณาการทั้งวิทยาการ ผมู้ สี ่วนไดส้ ว่ น เสยี ทกุ กลุ่ม และ มกี ารบริหารจัดการท่ดี ีมีการตดิ ตามและประเมินผลอยา่ งเปน็ ระบบและต่อเน่ือง RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016

ในปี 2553 มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา ได้นารอ่ ง โครงการ “ยกระดบั คณุ ภาพชวี ิตของ หมู่บ้าน ชุมชนแบบมีส่วนร่วม” จานวน 10 โครงการ (10 หมู่บ้านชุมชน) ซ่ึงการจัดทาโครงการดังกล่าว บรรลุผลสาเร็จเป็นอย่างดีตามหลักการท่ีจะนาการบูรณาการทั้งการเรียนการสอน การวิจัยและการบริการ วิชาการ เพ่ือพัฒนาศักยภาพประชาชนในท้องถ่ินให้มีความพร้อมในการดารงชีพและมีอาชีพท่ีม่ันคง สาหรับ กระบวนการดาเนินงานโครงการนาร่อง ตัวอย่างหน่ึงที่ประสบความสาเร็จ คือ โครงการ กระบวนการพัฒนา ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนบ้านห้วยส้านดอนจั่น แบบมีส่วนร่วม ตาบลทรายจอมหมอกแก้ว อาเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย กล่าวคือ วิธีการทางานร่วมกับชุมชนบ้านห้วยส้านดอนจั่น แบบมีส่วนร่วมคือ การเน้น กระบวนการพัฒนาชุมชนบ้านห้วยส้านดอนจั่น แบบมีส่วนร่วม (PAR : Participatory Action Research) เพื่อให้ได้ความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง และอาศัยองค์ความรู้ ผลงานจาก คณาจารย์ นักวิชาการใน มหาวทิ ยาลยั และมีนักศกึ ษารว่ มเรียนรู้ และรว่ มดาเนินงานดว้ ย เม่ือดาเนินโครงการยกระดับคุณภาพชีวิตฯ มาได้ระยะหนึ่ง ทาให้มีความต้องการเผยแพร่ผลการ ดาเนินงานแก่บุคคลทั่วไป แก่สังคมและชุมชนในวงกว้าง ตลอดจนแลกเปล่ียนเรียนรู้ระหว่างผู้ปฏิบัติงานใน ด้านวิชาการและการบริหารจัดการ การดาเนินโครงการและการจัดกิจกรรมในชุมชน สถาบันถ่ายทอด เทคโนโลยีสู่ชุมชน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาจึงได้ดาเนินการจัดทา “วารสารวิชาการรับใช้ สังคม” ขึ้นเมื่อเพ่ือเป็นแนวทางในการเผยแพร่ เป็นช่องทางในการแลกเปล่ียนเรียนรู้ โดยมีวัตถุประสงค์ เพ่ือ ตพี ิมพ์ผลงานวชิ าการด้านรับใชส้ ังคม ทงั้ งานวจิ ัยและงานบรกิ ารวิชาการ เผยแพร่เพอ่ื พฒั นาสงั คมและส่งเสรมิ ให้นักวิชาการด้านรับใช้สังคมในหน่วยงานต่าง ๆ ได้มีแหล่งนาเสนอผลงานทางวิชาการสู่สาธารณะ โดย บทความจากงานวิจัยและบริการวิชาการเพื่อตีพิมพ์ใน “วาสารวิชาการรับใช้สังคม” จะต้อง สอดคล้องกับ ประกาศ ก.พ.อ. ฉบับท่ี 9 ทเี่ ก่ยี วกับการเขยี นเอกสารวชิ าการรบั ใชส้ ังคม ซ่ึงมี 7 ประการ คือ สามารถอธิบาย/ ชีแ้ จงในประเดน็ ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. สภาพการณ์กอ่ นการเปลยี่ นแปลงทีเ่ กิดขน้ึ 2. การมีสว่ นรว่ มและการยอมรบั ของสังคมเป้าหมาย 3. การบวนการทท่ี าใหเ้ กดิ การเปล่ยี นแปลงทด่ี ขี ึ้น 4. ความรคู้ วามเชี่ยวชาญท่ใี ช้ในการทาให้เกิดการเปลย่ี นแปลงนน้ั 5. การคาดการณส์ ิ่งที่จะตามมาหลังจากการเปล่ยี นแปลงนัน้ 6. การประเมนิ ผลลัพธก์ ารเปลย่ี นแปลงทเ่ี กิดข้ึน 7. แนวทางการติดตามและธารงรกั ษาพฒั นาการท่เี กดิ ข้ึนให้คงอยู่ตอ่ ไป บทความในฉบับแรกน้ี มีบทความทเี่ กี่ยวข้องและมีแนวทางในการช่วยในสร้างการเปลย่ี นแปลงในทาง ที่ดีข้ึนกับสังคมชุมชนหลายบทความด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น ด้านการเกษตร การจัดการน้าเสีย การจัดการกลุ่ม การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การเพ่ิมประสิทธิภาพการผลิต ให้กับผู้ประกอบการหรือชุมชน เป็นต้น ซึ่งต่างก็เป็น โครงการท่ีมีส่วนร่วมกับชุมชน หรือผู้ประกอบการ ซ่ึงน่าจะเป็นแนวทางในการสร้างความเปล่ียนแปลงไป วารสารวชิ าการรับใช้สังคม มทร.ลา้ นนา ปีที่ 1 ฉบับท่ี 1 มกราคม - มถิ ุนายน 2559

ในทางท่ีดีข้ึนให้กับชุมชน สังคม ในอนาคตได้เป็นอย่างดี ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นบทความจากการดาเนินโครงการ ยกระดับคุณภาพชีวิตหมู่บ้าน/ชุมชนแบบมีส่วนร่วม จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ซึ่งได้ใช้โครงการ ยกระดับฯ ขับเคลื่อนงานบริการวิชาการแก่สังคมเช่นเดียวกนั คณะผจู้ ัดทาหวังเป็นอยา่ งยง่ิ ว่า วารสารวชิ าการ รับใช้สงั คม จะเป็นวารสารทส่ี ามารถเปน็ ช่องทางในการเผยแพรผ่ ลงานทีด่ าเนนิ งานรว่ มกบั ผ้ใู ชผ้ ลงานและเป็น ประโยชน์ต่อวงการวิชาการ บริการวิชาการ รับใช้สังคม ชุมชน และผู้ประกอบการ สุดท้ายทางคณะผู้จัดทา ต้องขอขอบคุณผู้ทรงคุณวุฒิจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ และหน่วยงานต่าง ๆ ที่ได้ประเมินบทความ ตลอดจนให้ คาช้ีแนะ แนะนาในการจัดทาวารสารมาเปน็ อย่างดี บรรณาธกิ าร RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016

สารบญั หน้า 1 การมีสว่ นร่วมของชมุ ชนต่อการจัดการการใชป้ ระโยชนท์ รัพยากรกง้ั ตั๊กแตนในจงั หวดั ตรงั 7 กันยส์ ินี พนั ธ์ุวนชิ ดำ� รง และ ธงชยั นติ ริ ัฐสุวรรณ 17 การบริการวิชาการเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีเครือ่ งแหวกรอ่ งต้นขา้ วเพอื่ เกษตรกร อำ� นวยพศ ทองคำ� 23 รูปแบบการพฒั นาน�้ำขา้ วกล้องผสมสมนุ ไพร โดยวิธีการบูรณาการการจัดการความรู้ ในศตวรรษที่ 21 สู่ชมุ ชนของนักวจิ ัยปฏิบัตกิ ารแบบมีสว่ นร่วมกลุ่มภาคกลางและ 29 ภาคตะวันออก กรณีศึกษาชมุ ชนบงึ บา อำ� เภอหนองเสอื จังหวดั ปทุมธานี ณรงค์ โพธพิ์ ฤกษานันท์ 35 การนำ� ระบบสารสนเทศทเ่ี หมาะสมไปใช้ในการพัฒนาผลติ ภัณฑผ์ า้ ทอกะเหรี่ยง 45 กล่มุ ทอผา้ บา้ นหล่ายแกว้ ตำ� บลบงตนั อำ� เภอดอยเต่า จงั หวัดเชยี งใหม่ ฉัตวณฐั มโนพฤกษ,์ วัลภา กนั ทะวงค์ และ ไพโรจน์ วรพจน์พรชยั 53 การจัดการความรูแ ละการบริการวชิ าการเร่อื งแกส ชวี ภาพแกชมุ ชน ของมหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลศรีวชิ ยั นพดล โพชกำ� เหนดิ การจดั การนำ�้ เสยี โดยกระบวนการมีสว่ นรว่ มของชุมชน ขนษิ ฐา เจริญลาภ และ ปทมุ ทพิ ย์ ปราบพาล การพฒั นาผลติ ภณั ฑท์ อ้ งถิ่นเพ่อื ยกระดบั คุณภาพชวี ิตของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนตำ� นาน อาหารมสุ ลมิ บ้านตลาดแกว้ “โรตี-ผงกะหร่”ี สมเกียรติ ทองแกว้ , ณัฐพงศ์ พันธุนะ และ ชาญณรงค์ พนู พาณิชย์ การลดของเสยี ในกระบวนการผลิตแผน่ ยางรมควนั ช้นั 3 ของโรงงานสหกรณ์กองทุนสวนยาง คมพันธ์ ชมสมุทร และสกุ ญั ญา เชิดชงู าม



การมีส่วนรว่ มของชมุ ชนต่อการจัดการการใช้ประโยชน์ทรัพยากรก้ังตกั๊ แตนในจงั หวดั ตรงั Community Participation in Mantis Shrimp Resource Utilization in Trang กันย์สนิ ี พนั ธว์ นิชดำรง1* และ ธงชัย นิติรฐั สุวรรณ2 Kansinee Panwanitdumrong1* and Thongchai Nitiratsuwan2 1 อำจำรย์ คณะวทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยกี ำรประมง มหำวทิ ยำลัยเทคโนโลยีรำชมงคลศรวี ชิ ัย วทิ ยำเขตตรัง 2 ผูช้ ว่ ยศำสตรำจำรย์ คณะวทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยกี ำรประมง มหำวิทยำลัยเทคโนโลยีรำชมงคลศรวี ิชัย วทิ ยำเขตตรงั 1 Lecturer, Faculty of Fisheries Science and Technology, Rajamangala University of technology Srivijaya, Trang Campus, 2 Asst. Prof., Faculty of Fisheries Science and Technology, Rajamangala University of technology Srivijaya, Trang Campus, E-mail: [email protected], 075-204-053, 075-204-059 บทคัดย่อ ทรัพยำกรก้ังตั๊กแตนมีขนำดลดลงเน่ืองจำกกำรทำประมงเกินขนำด งำนวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษำ รปู แบบกำรทำประมงและแนวทำงในกำรใช้ประโยชนท์ รัพยำกรกง้ั ตั๊กแตนท่ีเหมำะสมโดยชุมชนในจงั หวดั ตรงั เพือ่ ให้ ชำวประมงและคนในชุมชนได้เล็งเห็นถึงคุณค่ำของทรัพยำกรกั้งต๊ักแตน เป็นกำรวิจัยเชิงคุณภำพโดยประยุกต์ใช้กำร วิจัยแบบมีส่วนร่วม ด้วยกำรประชุมกลุ่มย่อยและกำรสัมภำษณ์แบบเชิงลึกกับชำวประมงและเจ้ำของแพในอำเภอ กนั ตงั อำเภอสิเกำ อำเภอหำดสำรำญ และอำเภอปะเหลยี น จังหวัดตรัง พบว่ำ กำรทำประมงกงั้ ต๊กั แตนเปน็ ผลพลอย ไดจ้ ำกกำรทำประมงปูและกุง้ เครือ่ งมอื ประมงที่ใช้ ไดแ้ ก่ อวนจมปู อวนกุง้ และลอบปู ชำวประมงส่วนใหญต่ ระหนัก ถึงกำรลดลงของกัง้ ตกั๊ แตนในธรรมชำติ และเห็นด้วยมำกท่สี ดุ ว่ำกัง้ ตก๊ั แตนสมควรไดร้ ับกำรอนรุ กั ษ์ คาสาคัญ กำรมสี ว่ นรว่ มของชมุ ชน ทรพั ยำกรก้ังตกั๊ แตน กำรจดั กำรกำรใช้ประโยชน์, ตรัง ABSTRACT Mantis shrimp resource is reduced because overfishing. The purposes of this research were study of mantis shrimp fishery and utilization approach by communities in Trang. In order to that fishermen and communities appreciate in mantis shrimp resource. This is a qualitative study that applied on Participatory-Action Research (PAR) by focus group discussions and in-depth interview with fishermen and port owners in each 4 district; Kantang, Sikao, Hadsumran, and Palian. The study found that The mantis shrimps were captured by catch among three types of small scale fishing gears, crab gill net, shrimp trammel net, and crab trap. Most of fishermen appreciate in reduction of mantis shrimp resource and absolutely agree with mantis shrimp conservation. Keywords Participation of community, Mantis Shrimp Resource, Utility Management, Trang บทนา หรือกิจกรรมด้ำนกำรจัดกำรประมงที่ผ่ำนมำอำจไม่ ในอดีตประเทศไทยมีรูปแบบกำรจัดกำร สอดคล้องกับวถิ ชี วี ติ ควำมเป็นอย่ขู องชำวประมง และ ที่สำคัญอำจไม่ได้มำจำกควำมต้องกำรที่แท้จริงของ ประมงชำยฝ่ังท่ีหลำกหลำย เพื่อแก้ไขปัญหำกำรทำ ชำวประมง แต่เป็นกำรสั่งกำรจำกส่วนรำชกำรไปยัง กำรประมงและกำรพัฒนำคุณภำพชวี ิตของชำวประมง ชำวประมง (Top-down policy) ซ่ึงเป็นผู้ปฏิบัติ ให้ดีขึ้น มุ่งหวังให้ชำวประมงมีควำมเข้มแข็งโดยกำร ส่งผลให้ชำวประมงเกิดควำมไม่เต็มใจในกำรปฏิบัติ สนับสนุนจำกท้ังหน่วยงำนของรัฐบำลและเอกชน แต่ และละเลยไปในท่ีสุด ปัจจุบันมีกำรจัดกำรประมง กำรพัฒนำก็ยังไม่สำเร็จเท่ำที่ควรเน่ืองจำกรูปแบบ วารสารวิชาการรบั ใชส้ งั คม มทร.ลา้ นนา 1 ปีท่ี 1 ฉบับท่ี 1 มกราคม - มิถนุ ายน 2559

ชำยฝ่ังรูปแบบใหม่ โดยมีกำรคำนึงถึงชำวประมงซึ่ง การกาหนด (Identify) เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงให้เข้ำมำมีส่วนร่วมใน 1. กำหนดกลุ่มเป้ำหมำย โดยเป็นชุมชน กำรจัดกำรประมงชำยฝ่ังของแต่ละชุมชนอย่ำงเต็มที่ ประมงชำยฝง่ั ในจังหวดั ตรงั ได้แก่ อำเภอสเิ กำ อำเภอ โดยใช้หลักกำรของกำรจัดกำรประมงโดยชุมชน กันตัง อำเภอหำดสำรำญ และอำเภอปะเหลียน (Community-based fishery management) โดย อำเภอละ 1 ชมุ ชน รัฐบำลทำหน้ำท่ีเพียงเป็นท่ีปรึกษำทำงวิชำกำรให้กับ 2. กำหนดประเด็นหัวข้อควำมรู้ในกำร ชมุ ชน สว่ นชมุ ชนมีสทิ ธิในกำรใชป้ ระโยชนจ์ ำกทะเลที่ แลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับกำรจัดกำรกำรใช้ประโยชน์ ชุมชนเป็นเจ้ำของ และขณะเดียวกัน ชุมชนก็มีหน้ำที่ ทรัพยำกรกั้งต๊ักแตนในจังหวัดตรัง โดยมีหัวข้อ และควำมรับผดิ ชอบในกำรดูแลรักษำส่ิงแวดล้อมและ ประกอบด้วย กำรทำประมงกั้งตั๊กแตนในจังหวัดตรัง ทรัพยำกรต่ำงๆ ท่ีอยู่ในทะเลอำณำเขตของชุมชน และแนวทำงกำรใชป้ ระโยชน์กงั้ ตั๊กแตนในจงั หวดั ตรงั รวมทั้งทำหน้ำท่ีบริหำรและจัดกำรกำรใช้ประโยชน์ การสร้าง/แสวงหา (Create/Acquire) จำกทะเล ภำยใต้เงื่อนไขของกำรอยู่ดีกินดีของ 1. รวบรวมข้อมูลชีววิทยำบำงประกำรของ ชำวประมงในชุมชน และกำรพัฒนำกำรประมงอย่ำง กั้งต๊ักแตนที่พบในจังหวัดตรัง ท้ังจำกกำรเก็บข้อมูล ย่ังยืน (กังวำลย์, 2541) จังหวัดตรังมีกำรทำประมง ภำคสนำมและกำรรวบรวมขอ้ มลู จำกงำนวจิ ัยอ่ืนๆ ชำยฝั่งซึ่งสำมำรถจับสัตว์น้ำท่ีมีมูลค่ำทำงเศรษฐกิจ 2. สัมภำษณ์ชำวประมงขนำดเล็กในจังหวัด หลำยชนิด ก้งั ตก๊ั แตนเป็นสตั วน์ ำ้ ทส่ี ำคญั แม้เป็นเพียง ตรัง เกี่ยวกับเครื่องมือประมง แหล่งทำกำรประมง ผลพลอยได้จำกกำรทำประมงชนิดอ่ืน แต่มีแนวโน้ม พร้อมท้ังฤดูกำลในกำรทำประมงกั้งตั๊กแตน และ ผลจับลดลง ฉะน้ัน เพ่ือกำรใช้ประโยชน์ทรัพยำกรกั้ง คิดเห็นเกี่ยวกับแนวทำงกำรใช้ประโยชน์ทรัพยำกรกัง้ ตั๊กแตนอย่ำงยั่งยืนควรมีแนวทำงกำรจัดกำรประมง ตัก๊ แตนโดยชมุ ชน โดยชุมชน ดังนั้น กำรวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษำ ก า ร ร ว บ ร ว ม แ ล ะ จั ด เ ก็ บ รูปแบบกำรทำประมงและแนวทำงในกำรใช้ประโยชน์ (Collect/Organize) ทรัพยำกรก้ังต๊ักแตนท่ีเหมำะสมโดยชุมชนในจังหวัด 1. เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นระยะเวลำ 6 เดือน ตรัง เพ่ือเป็นกำรฟื้นฟูทรัพยำกรอันก่อให้เกิดควำม ต้งั แตเ่ ดือนมนี ำคม-สงิ หำคม พ.ศ. 2557 มั่นคงด้ำนอำหำร กำรอยู่ดี กินดีของชำวประมงใน 2. จัดทำรำยงำนผลกำรศึกษำ แผ่นพับ ชุมชน เป็นกำรสร้ำงสมดุลให้กับธรรมชำติ พัฒนำ ควำมรู้ และวดิ ีโอสำหรบั กำรถำ่ ยทอดควำมรู้ คุณภำพชีวิตที่ดีขึ้นของชำวประมง รวมทั้งเป็นกำร การแบง่ ปัน (Share) สร้ำงจิตสำนกึ ในกำรอนรุ ักษ์ทรัพยำกรของชำวประมง 1. จดั กำรแลกเปล่ยี นเรียนรู้แกช่ ำวประมงใน และคนในชุมชน โดยกำรบริหำรจัดกำรอย่ำงมีส่วน แต่ละชุมชนของอำเภอชำยฝั่ง โดยแบ่งชำวประมง ร่วมของคนในชุมชนเอง ออกเป็นกลมุ่ ๆ ละ 10-15 คน 2. ดำเนินกิจกรรมในรูปแบบกำรเล่ำเรื่อง วิธีการดาเนินงาน (Story telling) เพื่อให้ชำวประมงเข้ำไปร่วมอยู่ใน ก ำ ร ศึ ก ษ ำ น้ี เ ป็ น ก ำ ร ศึ ก ษ ำ เ ชิ ง คุ ณ ภ ำ พ ควำมคิด แสดงควำมคิดเห็น และแลกเปลี่ยน ประสบกำรณ์ เพ่ือแก้ไขปัญหำเรื่องรำวและควำมคิด (Qualitative Research) โดยประยุกต์ใช้กำรศึกษำ ต่ำงๆ ซึ่งมีนักศึกษำเป็นผู้จดบันทึกควำมคิดเห็น แบบมีส่วนร่วม (Participatory-Action Research: เหล่ำน้นั PAR) (ภำพท่ี 1) เพื่อศึกษำศักยภำพของชุมชนประมง การใช้ (Apply) ใ น ก ำ ร มี ส่ ว น ร่ ว ม ใ น ก ำ ร จั ด ก ำ ร ก ำ ร ใ ช้ ป ร ะ โ ย ช น์ ส่งเสริมสนับสนุนชำวประมงให้ประยุกต์ใช้ ทรัพยำกรกั้งตั๊กแตน ดำเนินกำรเก็บรวบรวมข้อมูล ค ว ำ ม รู้ ใ ห้ เ กิ ด ป ร ะ โ ย ช น์ ใ น ก ำ ร ท ำ ก ำ ร ป ร ะ ม ง ท่ี โดยกำรจัดประชุมกลุ่มย่อย (Focus Group Study) เหมำะสมในแต่ละพื้นที่ เพ่ือกำรใช้ประโยชน์ และกำรสมั ภำษณ์แบบหยั่งลึก (In-depth Interview) ทรัพยำกรกงั้ ตก๊ั แตนอยำ่ งย่ังยนื ซ่งึ มีวิธกี ำรดำเนนิ งำน ดังนี้ 2 RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016

ผลการดาเนนิ งาน กำรสำรวจตัวอย่ำงก้ังต๊ักแตนจำกแพรับซื้อในพ้ืนท่ี จำกกำรกำรจัดประชุมกลุ่มย่อยและกำร อำเภอกันตัง อำเภอสิเกำ อำเภอหำดสำรำญ และ อำเภอปะเหลียน พบก้ังต๊กั แตนท่ไี ดจ้ ำกกำรทำประมง สัมภำษณ์แบบหยั่งลึกชำวประมงและเจ้ำของแพ ของชำวประมงขนำดเล็กในจังหวัดตรัง 5 ชนิด คือ ทั้งหมด 70 คน ได้ผลกำรดำเนินงำนแบ่งออกเป็น 2 Harpiosquilla raphidea (Fabricius, 1798), หัวข้อ ได้แก่ กำรทำประมงก้ังต๊ักแตนในจังหวัดตรัง Lysiosquilla tredecimdentata (Holthuis, 1941), และแนวทำงกำรใช้ประโยชน์ก้ังตั๊กแตนในจังหวัดตรัง Miyakea nepa (Latreille, 1828), Oratosquilla ดังนี้ oratoria (De Haan, 1844) แ ล ะ Oratosquillina gravieri (Manning, 1978) ซึ่ง H. raphidea เป็นกั้ง 1. การทาประมงกง้ั ตั๊กแตนในจงั หวดั ตรงั ตั๊กแตนที่มีมูลค่ำทำงเศรษฐกิจ มีขนำดใหญ่ที่สุดและ ก ำ ร ศึ ก ษ ำ ไ ด้ ด ำ เ นิ น ก ำ ร ร ะ ห ว่ ำ ง เ ดื อ น พบทุกพ้ืนท่ีศึกษำ กำรทำประมงกั้งต๊ักแตนในจังหวัด มีนำคม-สงิ หำคม พ.ศ. 2557 เกบ็ รวบรวมขอ้ มูลจำก ตรังเป็นเพียงผลพลอยได้จำกกำรทำประมงปูและกุ้ง เครื่องมือประมงท่ีใช้ ได้แก่ อวนจมปู อวนกุ้ง และ ลอบปู ดงั นี้ 1.1 อวนจมปู อวนจมปูใช้ได้ท้ังกลำงวันและกลำงคืนใน บริเวณน้ำลึกตั้งแต่ 2 เมตรข้ึนไป จนถึงประมำณ 40 เมตร ส่วนใหญ่ออกไปวำงอวนประมำณ 3-4 โมงเย็น จำกนั้นแล่นเรือกลับเข้ำฝั่งปล่อยอวนทิ้งไว้ 12-24 ชวั่ โมง กำรวำงอวนจะปล่อยอวนเป็นแนวตรงตำมแนว ชำยฝ่ังจำนวน 1-3 แถว มีทุ่นธงท่ีเป็นสัญลักษณ์ของ แต่ละบุคคลบอกแนวอวนท่ีปลำยสุดของผืนอวนทั้ง สองข้ำง ถ้ำใช้อวนยำวมำกส่วนใหญ่จะเสริมทุ่นธง บริเวณช่วงกลำงด้วย 1-2 ทุ่น ส่วนใหญ่ออกไปเก็บ อวนในประมำณตีห้ำของเช้ำวันถัดมำ เม่ือกู้อวนแล้ว จะนำอวนที่ติดปูมำปลดท่ีฝ่ัง แล้วจัดเตรียมอวนให้ เรียบร้อย เพอื่ สะดวกในกำรนำออกไปวำงในครงั้ ถดั ไป อวนจมปูเป็นเคร่ืองมือประมงท่ีจับกั้งต๊ักแตนได้มำก ท่ีสุด ชำวประมงขนำดเล็กที่ใช้เคร่ืองมือประมงชนิดน้ี พบในทกุ พืน้ ทศี่ ึกษำ รปู ที่ 1 วิธกี ำรดำเนนิ งำน วารสารวชิ าการรับใชส้ งั คม มทร.ล้านนา 3 ปีท่ี 1 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม - มิถุนายน 2559

รปู ท่ี 2 อวนจมปู รปู ที่ 3 อวนลอบกุ้ง 1.2 อวนลอยกงุ้ 1.3 ลอบปู ชำวประมงจะใช้อวนท่มี ขี นำดตำ 4 เซนตเิ มตร หัวหรือเปลหน่ึงจะยำว 50 เมตร เรือหนึ่งลำจะต้องใช้ ลอบปูที่ใช้เป็นลอบพับเหลี่ยมแบบพับได้ คนทำ 2 คน แต่ละลำจะใช้อวน 2 หัว นำอวนลงน้ำ ขนำด (กว้ำง x สูง x ยำว) เท่ำกับ 20 x 40 x 12 พร้อมกัน ชำวประมงจะเริ่มวำงอวนในช่วงน้ำ 15 ค่ำ เซนติเมตร ขนำดตำอวน 1 น้ิว โดยทั่วๆ ไปโครงลอบ ถึง 7 ค่ำ จะวำงอวนในบริเวณที่มีน้ำไหลเชี่ยวและจะ ทำด้วยเหล็กเส้นขนำด 2-3 หุน ตัวลอบคลุมด้วยอวน วำงอวนในลักษณะขวำงทำงน้ำ เวลำน้ำขึ้น-น้ำลง ก็ได้ โพลีเอทธีลีน มีทำงเข้ำสองทำง มีถุงเหย่ือผูกแขวนไว้ แล้วแต่ควำมถนัดของแต่ละคน เม่ือวำงอวนเสร็จแลว้ ก็ กลำงลอบ เหย่ือท่ีใช้เป็นเหย่ือปลำสด ส่วนใหญ่ จะต้องสังเกตดูว่ำนำ้ จะต้องพัดพำอวนไปประมำณ 1-2 ชำวประมงวำงลอบแบบอิสระและต้องมีสำยทุ่นลอย เมตร จงึ จะสำมำรถเก็บอวนได้ ในขณะทเ่ี กบ็ อวนข้ึนมำ เพื่อบอกตำแหน่งลอบโดยมำกจะวำงเป็นแถว เวลำ ชำวประมงก็จะปลดสัตว์น้ำออกจำกอวนไปด้วย และ วำงลอบมีท้ังวำงในช่วงเช้ำมืด และปล่อยท้ิงไว้ เม่ือเกบ็ เสรจ็ แลว้ กส็ ำมำรถวำงอวนกุ้งต่อได้เลย ในหนึ่ง ประมำณ 4 ช่ัวโมง จึงกู้และเก็บลอบ เครื่องมือชนิดน้ี วันชำวประมงจะวำงอวนได้ประมำณ 10 รอบ หนึ่ง นยิ มใช้จบั ปูตำมชำยฝง่ั ทะเล ปำกแม่นำ้ ลำคลอง หรอื เดือนชำวประมงจะทำประมงได้ประมำณ 20 วัน ซ่ึงใน ตำมร่องน้ำ บรเิ วณป่ำชำยเลน ท่ีระดับนำ้ ลึกประมำณ กำรออกไปทำประมงชำวประมงจะมีค่ำใช้จ่ำยเป็นค่ำ 0.5-3.0 เมตร สัตว์น้ำทจ่ี บั ได้ ได้แก่ ปมู ้ำ ปูทะเล ปลำ น้ำมันและค่ำอำหำรประมำณ 250 บำท/วัน และเฉลี่ย กะรังขนำดเล็ก และก้ังตั๊กแตน แต่ส่วนใหญ่จะพบ หนึ่งวันชำวประมงจะมีรำยได้ประมำณ 300-1,000 เฉพำะตัวเล็ก ชำวประมงขนำดเล็กที่ใช้เคร่ืองมือ บำท/วนั ชำวประมงขนำดเลก็ ทใ่ี ชเ้ คร่อื งมือประมงชนดิ ประมงชนดิ น้พี บในปะเหลยี น น้พี บในอำเภอกนั ตงั และอำเภอหำดสำรำญ รปู ท่ี 4 ลอบปู 4 RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016

2. แนวทางการใช้ประโยชน์กั้งตั๊กแตนใน กำรปล่อยก้ังตั๊กแตนขนำดเล็กภำยหลังจำกกำรทำ จงั หวัดตรัง กำรประมงคืนสู่ทะเล รองลงมำ คือ ห้ำมจับก้ัง ตั๊กแตนขนำดเล็ก (3.89±1.56 คะแนน) ห้ำมจับก้ัง ชุมชนชำวประมงขนำดเล็กในจังหวัดตรัง มี ตั๊กแตนในบริเวณทพ่ี บขนำดเล็ก (3.88±1.45 คะแนน) ควำมเห็นด้วยมำกท่ีสุดว่ำก้ังต๊ักแตนสมควรได้รับกำร และลดกำรจับกั้งตั๊กแตนขนำดเล็ก (3.88±1.38 อนุรักษ์ (4.09±1.34 คะแนน) เม่ือพิจำรณำแนว คะแนน) เปน็ ตน้ ดังตำรำงท่ี 1 ทำงกำรใชป้ ระโยชน์ก้ังต๊กั แตน พบว่ำ ชำวประมงเห็น ด้วยมำกท่ีสุด (4.50±1.13 คะแนน) ในแนวทำง ตำรำงที่ 1 ควำมคดิ เห็นของชุมชนชำวประมงตอ่ แนวทำงกำรใชป้ ระโยชน์กั้งตก๊ั แตนในจงั หวัดตรัง ควำมคิดเหน็ แนวทำง คะแนน ควำมหมำย 1. กำหนดขนำดกง้ั ตกั๊ แตนทใ่ี ห้จบั 3.68±1.38 มำก 2. ลดกำรจบั ก้งั ตก๊ั แตนขนำดเล็ก 3.88±1.38 มำก 3. ห้ำมจบั กง้ั ตกั๊ แตนขนำดเล็ก 3.89±1.56 มำก 4. หำ้ มจับกง้ั ตั๊กแตนในบรเิ วณที่พบขนำดเล็ก 3.88±1.45 มำก 5. ปล่อยกงั้ ตั๊กแตนขนำดเลก็ สู่ทะเล 4.50±1.13 มำกทสี่ ุด 6. ลดกำรจับกงั้ ตั๊กแตนท่มี ีไข่ 3.59±1.45 มำก 7. ห้ำมจบั กั้งตก๊ั แตนที่มไี ข่ 3.34±1.60 ปำนกลำง 8. หำ้ มจับกง้ั ตัก๊ แตนบรเิ วณท่ีพบมไี ข่ 3.66±1.54 มำก 9. ปล่อยกัง้ ต๊กั แตนที่มไี ขส่ ่ทู ะเล 3.34±1.69 ปำนกลำง 10. กำหนดปรมิ ำณกำรจับก้งั ตั๊กแตนในแตล่ ะปี 3.02±1.59 ปำนกลำง 11. กำหนดชนดิ เครือ่ งมอื ประมงท่ีใชท้ ำประมงกง้ั ต๊ักแตน 3.75±1.50 มำก 12. กัง้ ต๊ักแตนสมควรได้รบั กำรอนรุ กั ษ์ 4.09±1.34 มำก การนาไปใช้ ร่วม (Co-management) เป็นกำรแสดงควำมคิดเห็น แนวทำงกำรจัดกำรประมงก้ังต๊ักแตนใน ของชำวประมงและเจ้ำของแพซ่ึงเป็นผู้มีส่วนได้ส่วน เสียโดยตรงจำกกำรใช้ทรัพยำกรสัตว์น้ำ โดยกำรจัด จังหวัดตรัง ควรเริ่มจำกกำรลดกำรทำประมงก้ัง ประชุมกลุ่มย่อยชำวประมงในแต่ละพื้นท่ีทำกำร ต๊ักแตนในฤดูวำงไข่ เพื่อสงวนไว้เป็นแหล่งเพำะ ประมง เพ่ือให้กำรเก็บรวบรวมข้อมูลมีประสิทธิภำพ ขยำยพันธุ์ และกำรเจริญเติบโตของก้ังตั๊กแตนวยั ออ่ น มำกย่ิงข้ึน เน่ืองจำกในแต่ละพ้ืนที่มีควำมแตกต่ำงกัน แต่อำจส่งผลกระทบโดยตรงต่อรำยได้ของชำวประมง ทั้งสภำพสังคมของชำวประมงและวิธีกำรทำประมง จึงควรดำเนินกำรอย่ำงค่อยเป็นค่อยไป ควบคู่กับกำร ข อ ง ช ำ ว ป ร ะ ม ง ข น ำ ด เ ล็ ก ( ธ ง ชั ย , 2552; ให้ควำมรู้เกี่ยวกับปัญหำกำรลดลง และควำมสำคัญ Anuchiracheeva et. al., 2003; Lunn & Dearden, ทำงเศรษฐกิจของกั้งต๊ักแตน รวมทั้งสร้ำงควำมเข้ำใจ 2006) เกี่ยวกับกำรกำหนดแนวทำงกำรจัดกำรทรัพยำกรก้ัง ตัก๊ แตนเพือ่ กำรใชป้ ระโยชน์อย่ำงย่ังยืน ผลจำกกำรศึกษำอำจนำไปสกู่ ำรปฏบิ ตั ิท่เี ปน็ รูปธรรมในกำรใช้ประโยชน์ทรัพยำกรก้ังต๊ักแตนโดย อภิปรายผล ชุมชนประมงในแต่ละทะเลอำณำเขตของชุมชน ซึ่ง มำตรกำรในกำรจัดกำรกำรใช้ประโยชน์ ชุมชนได้ตระหนักถึงควำมสำคัญของทรัพยำกรก้ัง ตั๊กแตน และเพื่อเป็นกำรฟ้ืนฟูทรัพยำกรปูม้ำอัน ทรัพยำกรสัตว์น้ำมีมำกมำยหลำยวิธี วิธีกำรศึกษำเชิง ก่อให้เกิดควำมม่ันคงด้ำนอำหำร กำรอยู่ดี กินดีของ ปฏิบัติกำรแบบมีส่วนร่วม (PAR) (กมล, 2537) ใน ชำวประมงในชุมชน เป็นกำรสร้ำงสมดุลให้กับ กำรศึกษำข้อมูล เพื่อให้เกิดกำรจัดกำรประมงแบบ วารสารวชิ าการรับใช้สงั คม มทร.ลา้ นนา 5 ปีที่ 1 ฉบับท่ี 1 มกราคม - มิถนุ ายน 2559

ธรรมชำติ พัฒนำคุณภำพชีวิตท่ีดีขึ้นของชำวประมง GIS: Fisheries management in Bang รวมทั้งเป็นกำรสร้ำงจิตสำนึกและกำรมีส่วนร่วมของ Saphan Bay, Thailand. Ocean & ค น ใ น ชุ ม ช น ใ น ก ำ ร อ นุ รั ก ษ์ ท รั พ ย ำ ก ร ธ ร ร ม ช ำ ติ Coastal Management. 46: 1049- นอกจำกน้ี สำมำรถนำผลที่ได้จำกกำรศึกษำไป 1068. ประยุกต์ใช้กับพ้ืนที่อ่ืนหรือทรัพยำกรสัตว์น้ำอื่น และ Lunn, K.E. and P. Dearden. 2006. Monitoring บูรณำกำรกับกำรเรียน กำ รส อน เพื่อพัฒน ำ small-scale marine fisheries: An กระบวนกำรเรียนกำรสอนในสำขำวิชำชีพด้ำนกำร example from Thailand’s Ko Chang จดั กำรประมง และตอ่ ยอดงำนวจิ ยั ตอ่ ไป archipelago. Fish. Res. 77: 60-71. ปัจจัยท่ีส่งผลให้เกิดควำมสำเร็จในกำร ดำเนนิ งำนมีหลำยองค์ประกอบดว้ ยกนั คือ 1. ชุมชน ชุมชนชำวประมงส่วนใหญ่เล็งเห็น ถึงควำมสำคัญและตระหนักถึงกำร ลดลงของ ทรพั ยำกรก้ังตก๊ั แตน 2. หน่วยงำนภำยในมหำวิทยำลัย บุคลำกร ภำยในหน่วยงำนมหำวิทยำลยั มีควำมรใู้ นกำรถำ่ ยทอด องค์ควำมรู้จำกกำรเรียนกำรสอนและงำนวจิ ัยส่ชู มุ ชน แ ล ะ นั ก ศึ ก ษ ำ มี ค ว ำ ม ส ำ ม ำ ร ถ ใ น วิ ช ำ ชี พ ท่ี เ ป็ น ประโยชน์ตอ่ ชุมชน 3. หนว่ ยงำนภำยนอก หน่วยงำนภำยนอกทงั้ ภำครัฐและเอกชนให้ควำมร่วมมือตำมควำมเหมำะสม ของแตล่ ะหน่วยงำน 4. งบประมำณ ควรมีงบประมำณที่เพียงพอ ในกำรดำเนินกิจกรรมต่ำงๆ และมีกำรตรวจสอบกำร ใช้งบประมำณน้นั 5. กระบวนกำรกำรดำเนินงำน ระบุข้ันตอน กำรดำเนินงำนท่ีมีคุณภำพ บรรณานุกรม กมล สุดประเสริฐ. 2537. การวิจัยเชิงปฏิบัติการ แบบมีส่วนร่วมของผู้ปฏิบัติงาน กรุงเทพฯ: สำนักงำนโครงกำรพัฒนำทรพั ยำกรมนุษย.์ กังวำลย์ จันทรโชติ. 2541. การจัดการประมงโดย ชุมชน. สำนักงำนกองทุนสนับสนุนกำรวจิ ัย. กรุงเทพฯ. ธงชัย นิติรัฐสุวรรณ. 2552. โครงกำรจัดกำรประมงปู ม้ำแบบบูรณำกำรและยั่งยืนในจังหวัดตรัง. ว.วิจัยเพอ่ื การพฒั นาเชิงพนื้ ท่ี. 4:28-38. Anuchiracheeva, S., H. Demaine, G.P. Shivakoti and K.Ruddle. 2003. Systematizing local knowledge using 6 RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016

การบริการวิชาการเพอ่ื ถ่ายทอดเทคโนโลยเี ครือ่ งแหวกรอ่ งตน้ ข้าวเพื่อเกษตรกร Outreach to transfer technology separate trunk rice machine for farmers อำนวยพศ ทองคำ1* 1 รองศำสตรำจำรย์ มหำวิทยำลัยเทคโนโลยีรำชมงคลสุวรรณภมู ิ E-mail: [email protected], เบอร์โทรศพั ท์ 081-4478817 บทคดั ย่อ กำรบริกำรวิชำกำรและกำรถ่ำยทอดเทคโนโลยีเครื่องแหวกร่องต้นข้ำวเพื่อเกษตรกร เป็นกิจกรรมท่ี ให้บริกำรแก่เกษตรกรโดยมีขอบเขตเป็นกำรอบรมและถ่ำยทอดเทคโนโลยีแบบให้เปล่ำ มีกำรบูรณำกำรงำนบริกำร วิชำกำรกับกำรเรียนกำรสอนและงำนวิจัย กระบวนกำรบริกำรทำงวิชำกำรมีกำรสำรวจควำมต้องกำรของผู้นำชุมชน และเกษตรกรหมู่ 5 ต.ปลำยกัด อ.บำงซ้ำย จ.พระนครศรีอยุธยำ เพื่อนำข้อมูลมำวิเครำะห์ วำงแผน และจัดทำให้ เหมำะสม สอดคล้องกับระยะเวลำและงบประมำณที่ได้รับจึงได้จัดทำเป็นเครื่องแหวกร่องต้นข้ำวเพื่อเกษตรกร โดย ออกแบบ และสร้ำงเครอื่ งใหเ้ กิดควำมสะดวก รวดเร็ว ทำงำนง่ำย ลดควำมเหนด็ เหนอื่ ยเมอื่ ยลำ้ ในกำรปฏบิ ัตงิ ำนและ เพม่ิ ผลผลิต โดยมีพ้นื ฐำนแนวคดิ ในกำรตดิ ต้งั เครื่องยนต์ขนำดเล็กเปน็ ตวั ช่วยในกำรขับเคล่อื นเครื่องแหวกร่องต้นข้ำว เม่ือทดสอบ ปรับปรุงแก้ไข และเก็บข้อมูลหำประสิทธิภำพของเคร่ืองแล้ว จึงนำไปเผยแพร่ ถ่ำยทอดควำมรู้และ บรกิ ำรวิชำกำรแก่เกษตรกรใหเ้ ป็นท่เี ขำ้ ใจ และมอบให้กลุ่มเกษตรกรนำไปใช้งำนต่อไป คาํ สําคญั เคร่ืองแหวกร่องต้นขำ้ ว Abstract Outreach and technology transfer to farmer for rice trunk separation. The activity offers to farmer without fee for knowledge and technology transfer. Activities occurs with survey the needs of community leader and farmer in Moo 5 Plaikad district Bangsai prefecture, Pranakhon si Ayutthaya province to provide data for analysis and plan appropriate arrangements based on budget and time constraints. We have prepared rice trunk separation machine for farmer. Designed and built to provide quick and simple operate as well as reduce tiredness work and increase productivity. Basic concept is to install a small machine to help drive rice trunk separator machine. After testing, modification and collecting data for performance of machine, information is published, share, and provide community service to farmer for better understand and given machine to the farmer to be used. Keywords separate trunk rice machine บทนํา เพำะปลูกรวมทั้งประเทศ 65.158 ล้ำนไร่ ให้ผลผลิต ข้ำวเป็นพืชเศรษฐกิจท่ีสำคัญพืชหน่ึงของ รวมท้ังประเทศ 27.008 ล้ำนตัน มีผลผลิตต่อไร่เฉล่ีย 414 กิโลกรัม(ศูนย์สำรสนเทศกำรเกษตร,2555) โดย ประเทศไทยชนิดหน่ึง จำกสถิติพ้ืนที่เพำะปลูกข้ำวนำ วิธีกำรปลูกข้ำว ของเกษตรกรมีอยู่ 4 วิธีคือ นำหว่ำน ปีของ ประเทศไทยปี พ.ศ. 2555/2556 มีพ้ืนท่ี วารสารวชิ าการรบั ใชส้ งั คม มทร.ลา้ นนา 7 ปที ี่ 1 ฉบับท่ี 1 มกราคม - มถิ นุ ายน 2559

น้ำตม นำหว่ำนดินแห้ง นำดำ และนำโยนกล้ำ โดย ภำพท่ี 2 ถำ่ ยทอดควำมรแู้ ละบรกิ ำรวิชำกำร กำรทำนำด้วยวิธีนำหว่ำน น้ำตม นำหว่ำนดินแห้ง และได้มอบให้เกษตรกรนำไปใช้งำนในกลุ่มได้อย่ำง และนำโยนกล้ำน้ันลักษณะของต้นข้ำวจะขึ้นแบบไม่ ถูกต้องและเหมำะสมต่อไปดังในภำพที่ 3 โดย เป็นแถว ไม่เป็นแนว ทำให้ยำกต่อกำรบำรุงดูแลรักษำ ผศ.ไพศำล บุรนิ ทร์วัฒนำ อธิกำรบดีเป็นประธำนมอบ และป้องกันกำรรบกวนของแมลงศัตรูพืช เม่ือ และมีนำยก อบต. เกษตรอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้ำน เกษตรกรลงปฏิบตั ิงำนฉีดพ่น หว่ำนปุ๋ย ฯ ในแปลงนำ และเกษตรกรรับมอบเครือ่ งแหวกรอ่ งตน้ ข้ำว จะเกิดกำรเหยียบย่ำต้นข้ำว ก่อให้เกิดควำมเสียหำย กับต้นข้ำว รวงข้ำว ตลอดจนควำมเม่ือยล้ำจำกกำร ทำงำน จำกสภำพปัญหำดังกล่ำวเม่ือลงพ้ืนท่ีไปพบ เกษตรกรเพ่ือแลกเปลี่ยนควำมคิดเห็น นำข้อมูล มำ คิดวิเครำะห์ และคิดค้นส่ิงประดิษฐ์เครื่องมือท่ี สำมำรถเข้ำไปช่วยเหลือเกษตรกรในกำรแหวกร่อง ทำงเดิน ทำให้ลดควำมสูญเสีย จำกควำมเสียหำยของ ต้นข้ำวเนื่องจำกกำรเหยียบย่ำ เคร่ืองมือน้ีสำมำรถ ทำงำนได้โดยอำศัยแรงงำนคนในกำรควบคุมเคร่ือง ดังกล่ำวเพียงคนเดียว ทำงำนได้ง่ำย สะดวก รวดเร็ว จึงเป็นกำรลดภำระงำนเกษตรกร เพิ่มผลผลิตทำง กำรเกษตร โดยมีพื้นฐำนแนวคิดในกำรติดต้ัง เคร่ืองยนต์ขนำดเล็กเป็นตัวช่วยในกำรขับเคล่ือน เคร่ืองแหวกร่องต้นข้ำวซ่ึงในภำพที่ 1 แสดงลักษณะ ของเครอื่ ง และส่วนประกอบตำ่ งๆ ภำพที่ 1 เคร่ืองแหวกร่องตน้ ขำ้ วเพือ่ เกษตรกร ภำพที่ 3 มอบเคร่อื งใหเ้ กษตรกรนำไปใชง้ ำน เม่ือทดสอบ ปรับปรงุ แกไ้ ข และเก็บขอ้ มูลหำ วธิ กี ารดําเนินงาน ประสิทธิภำพของเครื่องแล้ว จึงนำไปเผยแพร่ กำรบริกำรวิชำกำรนั้นในบำงคร้ังอำจเป็น ถ่ำยทอดควำมรู้และบริกำรวิชำกำรแก่เกษตรกรให้ เปน็ ท่ีเขำ้ ใจดังในภำพที่ 2 ซึ่งอบรมถ่ำยทอดเทคโนโลยี ลักษณะกำรบริกำรวิชำกำรตำมควำมรู้ควำมชำนำญ ในเร่ืองส่วนประกอบต่ำงๆของเคร่ือง วิธีกำรกำรใช้ ของผู้ให้บริกำรเพียงด้ำนเดียว หรือกำรเสวนำกัน งำนเครอ่ื ง และบำรุงรกั ษำเครือ่ ง เฉพำะในกลุ่มของผู้ให้บริกำรวิชำกำรด้วยกัน ทำให้ ไม่ตรงกบั ควำมตอ้ งกำรของผู้รับบริกำรเท่ำที่ควร หรือ อ ำ จ เ ป็ น ก ำ ร ยั ด เ ยี ย ด ก ำ ร บ ริ ก ำ ร วิ ช ำ ก ำ ร ใ ห้ กั บ ผู้รับบริกำร กระบวนกำรกำรมีส่วนร่วมระหว่ำงผู้ ให้บริกำรวิชำกำร เกษตรตำบล กำนัน ผู้ใหญ่บ้ำน และเกษตรกรหมทู่ ี่ 5 ต.ปลำยกัด อ.บำงซ้ำย จ. พระนครศรีอยธุ ยำ ตั้งวงเสวนำรว่ มคดิ วเิ ครำะหป์ ญั หำ ทำให้สำมำรถกำหนดปัญหำและควำมต้องกำรของ 8 RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016

เกษตรกร กำรถ่ำยทอดผลงำน และกำรบริกำร วิชำกำรในเร่ืองนั้นๆ จึงตรงกับควำมต้องกำรและใช้ ประโยชนไ์ ด้จรงิ ซ่ึงประกอบดว้ ยขั้นตอนดังน้ี ตำรำงท่ี 1 กระบวนกำรกำรมีส่วนร่วมระหวำ่ งผใู้ หบ้ รกิ ำรวิชำกำร เกษตรตำบล กำนนั ผูใ้ หญบ่ ้ำน และเกษตรกร ข้นั ตอน ผูเ้ กย่ี วขอ้ ง ผลการดาํ เนนิ งาน 1. กำรวิเครำะห์สภำพแวดล้อมเพ่ือ ผูใ้ หบ้ ริกำรวิชำกำร วำงเป้ำหมำยให้งำนบริกำรวิชำกำรมี กำหนดเป้ำหมำยและหวั ข้องำนบริกำร ลักษณะท่ีเกิดประโยชน์กับ กลุ่ ม วิชำกำร เกษตรกร ตรงกับควำมต้องกำรของ เกษตรกร 2. กำรลงพ้นื ท่ไี ปพบกลมุ่ เกษตรกรเพ่ือ ผู้ให้บริกำรวิชำกำร/เกษตรตำบล/ จำกกำรท่ีได้พบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยน ค้นหำปัญหำและควำมต้องกำรของ กำนัน/ผ้ใู หญ่บำ้ น/กลมุ่ เกษตรกร ควำมรู้แบบชุมชนที่ถือได้ว่ำเป็นนัก กลมุ่ เกษตรกร ปฏิบัติ เป็นเครือข่ำยควำมสัมพันธท์ ไ่ี ม่ เป็นทำงกำร เกิดจำกควำมใกล้ชิด ควำมพึงพอใจ ควำมสนใจและพ้ืนฐำน ที่ใกล้ เ คี ย งกัน ลั กษณ ะ ท่ีไม่เป็น ทำงกำรจะเอ้ือต่อกำรเรียนรู้และกำร สร้ำงควำมรู้ใหม่ๆ มำกว่ำโครงสร้ำงที เป็นทำงกำรโดยเป็นควำมรู้ที่ฝังอยู่ใน ตั ว ต น ที่ เ กิ ด จ ำ ก ป ร ะ ส บ ก ำ ร ณ์ ข อ ง เกษตรกรกำรเรยี นรหู้ รอื พรสวรรคแ์ ละ ควำมรู้ท่ีชัดแจ้งที่ได้รับกำรถ่ำยทอด ควำมรู้มำในรปู แบบต่ำงๆ จงึ พบปัญหำ ตำ่ งๆ ในกำรทำนำของเกษตรกรดังนี้ 1.ปัญหำตีดินในแปลงนำเน่ืองจำกมี หญำ้ ยำวทำให้กำรตีดินติดขัด 2.ปัญหำกำรปรับพื้นท่ีหน้ำดินในแปลง นำทเ่ี ตรียมดินแล้วเน่อื งจำกมเี ครอื่ งมือ ส้ันได้พ้ืนที่ในกำรปรับน้อย เคร่ืองมือ รำคำแพง 3.ปัญหำกำรบำรุงรักษำต้นข้ำวที่ลงไป ในแปลงนำทำให้ต้นข้ำว รวงข้ำว เสียหำย เครื่องมือช่วยดังกล่ำวตำม ทอ้ งตลำดยงั ไมม่ ีจำหนำ่ ย เมื่อวิเครำะห์ปัญหำเชิงลึกเพ่ือหำ วิ ธี ก ำ ร แ ก้ ไ ข ช่ ว ย เ ห ลื อ ต ำ ม ควำมสำมำรถของนักวิจัย นักบริกำร วิชำกำรแล้วสำมำรถแก้ไขปัญหำของ เกษตรกรตำมขนำดของเครื่องมือที่จะ สร้ำงช่วย วงเงินงบประมำณ กำร ถ่ำยทอดเทคโนโลยีและกำรบริกำร วิชำกำรได้แก่ประเด็นท่ี 3 ได้แก่กำร สร้ำงส่ิงประดิษฐ์ขึ้นมำใหม่เพื่อใช้ใน วารสารวิชาการรับใช้สงั คม มทร.ล้านนา 9 ปีที่ 1 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม - มถิ นุ ายน 2559

ขั้นตอน ผูเ้ ก่ยี วข้อง ผลการดําเนินงาน ก ำ ร แ ก้ ปั ญ ห ำ แ ล ะ ใ ช้ เ ว ล ำ ไ ม่ น ำ น 3. กำรจัดทำข้อเสนอ โครงกำรเพ่ือขอ นกั วิจัย ทดลอง ทดสอบประสิทธิภำพใน งบประมำณดำเนนิ กำร สถำนที่จริง ปรับปรุงแก้ไข นำไป ถ่ำยทอดเทคโนโลยีและกำรบริกำร 4. ดำเนนิ กำรสรำ้ งสิง่ ประดษิ ฐแ์ ละวจิ ยั นกั วจิ ยั วิชำกำร ขณะเดียวกันก็ขอจดอนุ สิทธบิ ัตรไปดว้ ย เม่ือวิเครำะห์ปัญหำเชิงลึกในหัวข้อที่ นักวิจัยและนักบริกำรวิชำกำรมีควำม เ ชี่ ย ว ช ำ ญ แ ล ะ เ ห ม ำ ะ ส ม กั บ งบประมำณและระยะเวลำแล้วพบว่ำ ประเด็นท่ี 3 นัน้ มีสว่ นสำคญั ทท่ี ำใหผ้ ล ผลิตได้รับควำมเสยี หำย และเกิดควำม เมื่อยล้ำในกำรทำงำนเป็นอยำ่ งมำก จงึ ได้เลือกหัวข้อน้ีเพ่ือลดควำมเสียหำย ประหยัดเวลำ ลดควำมเม่ือยล้ำ และ ยังเป็นกำรเพ่ิมผลผลิตอีกด้วย เพื่อขอ งบประมำณ และไดร้ บั งบประมำณจำก กองทนุ สง่ เสรมิ งำนวจิ ยั ดำเนินกำรสร้ำงสิ่งประดิษฐ์ท่ีใช้วัสดุ สแตนเลสเพรำะมีควำมชื้นในแปลงนำ และไมเ่ ปน็ สนมิ จำกกำรวเิ ครำะห์ และ วำงแผนงำนให้ตรงกับควำมต้องกำร ของเกษตรกรมำกท่ีสุดโดยกำรสร้ำง เครื่องและประยุกต์เข้ำกับเคร่ืองยนต์ ขนำดเล็กเพ่ือเป็นต้นกำลังในกำร ขับเคลอ่ื น และมีน้ำหนักเบำต้นทนุ ของ เครื่องไม่แพง โดยเคร่ืองที่สร้ำงขึ้นมำ จะตอ้ งไม่ทำใหต้ น้ ขำ้ วเสียหำยจำกกำร ใช้งำน ใช้งำนสะดวก รวดเร็ว ลดควำม เมื่อยล้ำจำกกำรทำงำนเมื่อใช้เคร่ืองนี้ โ ด ย ก ำ ร ท ด ส อ บ ที่ แ ป ล ง น ำ ข อง เกษตรกรท่ีเป็นพ้ืนที่จริงหลังจำกปลูก ข้ำวแล้ว 70 วัน ผลกำรทดสอบเป็นที่ น่ำพอใจ ซึ่งเครอ่ื ง แหวกรอ่ งตน้ ข้ำวมี ร ำ ย ล ะ เ อี ย ด แ ล ะ ห ลั ก ก ำ ร ท ำ ง ำ น ดังตอ่ ไปนี้ 1)เปน็ เครื่องทใี่ ชส้ ำหรบั กำร แหวกร่องหรือแยกต้นข้ำวให้ห่ำงออก จำกกันโดยเม่ือเคร่ืองน้ีเคลื่อนที่ผ่ำน ต้นข้ำว จะทำให้ต้นข้ำวเอียงแยกจำก กันจำกส่วนโคนของตน้ ข้ำว ส่วนปลำย 10 RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016

ข้นั ตอน ผู้เกี่ยวขอ้ ง ผลการดําเนินงาน ข อ ง ต้ น ข้ ำ ว จ ะ เ อี ย ง ห่ ำ ง ม ำ ก ก ว่ ำ ลักษณะของเครอ่ื งตำมแนวคิดคือ เป็น เครื่องท่ีมีส่วนหน้ำแหลมเพ่ือแทรกเขำ้ ระหว่ำงต้นข้ำวที่เป็นข้ำวนำหว่ำนโดย ไม่ทำให้ต้นข้ำวหักเสียหำย ส่วนท้ำย ของเครื่องขยำยกว้ำงประมำณ 60 เซนติเมตร เพื่อผลักดันแยกต้นข้ำวให้ ห่ำงออกจำกกันโดยไม่ทำให้ต้นข้ำว เสียหำยเชน่ กัน 2) ติดตั้งเคร่ืองยนต์ต้นกำลัง เป็น เครื่องยนต์เล็กใช้น้ำมันเบนซินขนำด 1 ½ - 2 แ ร ง ม้ ำ ส ำ เ ห ตุ ท่ี ต้ อง ใช้ เคร่ืองยนตข์ นำดเลก็ เพรำะไม่ให้เครอ่ื ง แหวกร่องฯ มีน้ำหนักมำกเกินไปซ่ึงจะ เป็นผลทำให้ล้อจมดนิ ในนำมำกเกินไป ทำ ให้ กำ ร เ คล่ื อนท่ียำ กข้ึ น แ ล ะ เครื่องยนต์ใช้เพื่อขับเคล่ือนให้เครื่อง เคลื่อนที่โดยกำรพฒั นำระบบเฟืองและ โซ่ ส่งกำลังจำกเคร่ืองยนต์ไปยังชุด ระบบเฟืองทด เพื่อทดแรงในกำร เคลื่อนท่ีของเครื่องแหวกร่องฯ เมื่อต่อ จำกชดุ เฟอื งสง่ กำลังไปลอ้ 3)มีชุดล้อยำงพร้อมเฟือง สำหรบั กำรเคล่ือนท่ี โดยกำรขบั เคลอื่ น มำจำกเคร่ืองยนต์มำชุดเฟืองทด และ มำยงั เฟอื งลอ้ 4)ท้ำยเของเคร่ืองแหวกร่อง ต้นข้ำว ฯ เป็นมือจับสำหรับควบคุม เ ค ร่ื อ ง ที่ ติ ด ตั้ ง ร ะ บ บ เ ร่ ง เ ค รื่ อ ง ย น ต์ สวิทช์ Sart / Stop สำหรับเคร่ืองยนต์ และชดุ ควบคมุ กำรหยดยำตน้ ข้ำว สรุปในปัจจุบันเคร่ืองแหวก ร่องต้นข้ำวออกแบบให้ใช้ในพื้นท่ี แปลงนำหว่ำนที่มีต้นข้ำวหนำแน่นเพือ่ แหวกร่องข้ำวสำหรับเป็นทำงเดินฉีด พ่นสำรเคมีทำให้ทำงำนได้สะดวกข้ึน ลดควำมเหน็ดเหน่ือยเม่ือยล้ำและเป็น กำรเพ่มิ ผลผลติ ได้อกี ด้วย กำรหำควำมสำมำรถในกำร ทำ งำ นเ ชิ งพื้น ที่ ( Effective Field Capacity) คือ อัตรำส่วนของปริมำณ วารสารวิชาการรับใชส้ งั คม มทร.ล้านนา 11 ปที ี่ 1 ฉบบั ที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2559

ขน้ั ตอน ผ้เู กย่ี วข้อง ผลการดําเนนิ งาน พื้นท่ีท่ีเครื่องปลูกทำงำนได้ต่อหน่วย เวลำที่ปฏิบัติงำนทั้งหมดโดยรวมเวลำ ที่ สู ญ เ สี ย ไ ป ร ะ ห ว่ ำ ง ป ฏิ บั ติ ง ำ น ( ( Smith,Sims and O’Neill,1 9 9 4 ) สำมำรถคำนวณได้ดังสมกำรที่ 1 A ( 1) Ca = T เม่อื Ca คื อ ค ว ำ ม ส ำ ม ร ถ ใ น ก ำ ร ทำงำนเชงิ พ้ืนท่ี (ไร่ตอ่ ช่วั โมง) A คือ พื้นท่ีกำรทำงำน (ไร่) T คือ เวลำในกำรทำงำนท้ังหมด (ชั่วโมง) กำรหำประสิทธิภำพในกำรทำงำน ( Field Efficiency) คื อ อั ต ร ำ ส่ ว น ร ะ ห ว่ำ งเ ว ล ำ ท่ีเ ค รื่ องใ ช้ ใ น ก ำ ร ปฏิบัติงำนจริงต่อเวลำทั้งหมดที่ใช้ใน กำรดำเนินงำน (วินิต,2530) สำมำรถ คำนวณไดด้ งั สมกำรท่ี 2 Ts Ef = T x 100 (2) เมอื่ Ef คือ ประสทิ ธิภำพในกำรทำงำน เชงิ เวลำ (เปอรเ์ ซน็ ต)์ Ts คือ เวลำปฏิบัติงำนไม่รวม เวลำสูญเสีย (ช่ัวโมง) T คือ เวลำในกำรทำงำนท้ังหมด รวมเวลำสญู เสีย (ชั่วโมง) กำรวัดอัตรำกำรสิ้นเปลืองน้ำมัน เชื้อเพลิงสำมำรถคำนวณได้ดังสมกำร ท่ี 3 Fuel Consumption (liter per rai) = L / A (3) เม่ือ L คือ ปริมำณของน้ำมัน เชื้อเพลงิ ทใ่ี ช้ (ลิตร) A คือ ระยะทำงกำรเคลื่อนที่ คูณหน้ำกว้ำงของกำรทำงำนพื้นที่กำร ทำงำน (ไร)่ 5. กำรบรกิ ำรวชิ ำกำรและกำรถ่ำยทอด นักวิจัย/ผู้ให้บริกำรวิชำกำร/กลุ่ม นำส่ิงประดิษฐ์ไปจัดอบรมบริกำร เทคโนโลยีสู่กลุ่มเกษตรกร และมอบ เกษตรกร/เกษตรตำบล/เกษตร วิชำกำรและถ่ำยทอดเทคโนโลยีแก่ เครอื่ งใหก้ ลมุ่ เกษตรกรนำไปใช้งำน อำเภอ/นำยก อบต. กลุ่มเกษตรกร บรรยำย สำธิตมีกำร จัดกำรควำมรู้ท่ีรวบรวมส่ิงต่ำงของ เครื่อง สร้ำง จัดระเบียบแลกเปล่ียน ประยุกต์ใช้ในองค์กรเพ่ือให้เกิดควำมรู้ 12 RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016

ข้นั ตอน ผู้เกย่ี วข้อง ผลการดาํ เนินงาน และปัญญำในท่ีสุด และเกษตรกรมี ส่ ว น ร่ ว ม ใ น ก ำ ร ส ำ ธิ ต ใ น ง ำ น จ ริ ง เครื่องมือกำรจัดกำรควำมรู้ (KM tools) ท่ี ใ ช้ คื อ ชุ ม ช น นั ก ป ฏิ บั ติ ( Community of Practice-CoP) ท ำ ให้เกษตรกรมีควำมเช่ือมม่ัน สนใจ และมคี วำมพงึ พอใจเปน็ อยำ่ งย่ิงในกำร ได้รับเครื่องแหวกร่องต้นข้ำวไว้ใช้งำน ของเกษตรกรตอ่ ไป ผลการดําเนินงาน สำมำรถเดินพ่นฮอร์โมนบำรุงต้นข้ำว หรือสำรเคมีได้ เครื่องแหวกร่องต้นข้ำวสำมำรถแหวกร่องให้ สะดวก ดงั ภำพท่ี 5 ห่ำงออกจำกกันเป็นร่องฐำนกว้ำง 25 เซนติเมตร ดัง ภำพที่ 5 ฉดี พ่นฮอร์โมนบำรงุ ตน้ ข้ำวตำมรอ่ งทำงเดิน ภำพท่ี 4 เป็นร่องกว้ำงเพียงพอในกำรเดินฉีดยำพ่นยำ 1.2 นักวิจัย ผู้บริกำรวิชำกำร และกลุ่ม ให้กับตน้ ข้ำวภำพที่ 5 ลดแรงงำนคน ลดควำมเมอ่ื ยล้ำ ในกำรทำงำนของเกษตรกรได้ (บพิตรและรัตนำ เกษตรกรมีควำมร่วมมือกัน เกษตรกรมีควำมเชื่อม่ัน ,2553) มีควำมสำมำรถในกำรทำงำนเชิงไร่เท่ำกับ ในกำรทำงำนร่วมกันกับนักวิจัย ผู้บริกำรวิชำกำร ใน 11.76 ไร่ต่อช่ัวโมง ใช้เวลำในกำรแหวกร่องต้นข้ำว กำรร่วมมือกันในกำรทำงำนช้ินต่อๆไป (สำล่ี ชินสถิต เฉลี่ย 4.5 นำทีต่อไร่ ส้ินเปลืองน้ำมันเบนซิน และคณะ, 2551) ปัจจัยท่ีมีผลต่อกำรย อ ม รั บ แก๊สโซฮอลล์ 91 คิดเป็นเงิน 4.56 บำท ที่รำคำนำ้ มัน เทคโนโลยีได้แก่ ควำมยำก-ง่ำยของกำรใช้เทคโนโลยี 38 บำท/ลิตร สำมำรถแหวกร่องต้นข้ำวเสร็จเร็วกว่ำ แหล่งเงินทุน ประสบกำรณ์ และระดับอำยุของ ใช้แรงงำนคน 15.5 นำที มปี ระสิทธภิ ำพในกำรทำงำน เกษตรกร มีผลต่อกำรยอมรับเทคโนโลยี ต้องมีกำร เฉล่ยี รอ้ ยละ 88.24 วจิ ัยและพัฒนำเพม่ิ เตมิ ต่อไปเพื่อทำให้เกษตรกรมีกำร ยอมรับเทคโนโลยีเหล่ำนี้ในระดับสูงข้ึน และช่วย 1. ผลกระทบท่เี ปน็ ประโยชนห์ รอื สร้ำงคณุ คำ่ แ ก้ ปั ญ ห ำ ใ ห้ เ ก ษ ต ร ก ร ซึ่ ง เ ป็ น ปั ญ ห ำ ส ำ คั ญ ข อ ง ได้แก่ เกษตรกรคือเทคโนโลยีต่ำงๆ เนื่องจำกมีรำคำเพิ่มขึ้น ตลอดเวลำ จึงเป็นกำรช่วยทำให้เกษตรกรได้ผลผลิต 1.1 เกษตรกรสำมำรถลดควำมสญู เสยี ควำม และรำยไดเ้ พม่ิ ขน้ึ ตอ่ ไป เสียหำยของต้นข้ำว รวงข้ำวจำกกำรเหยียบย่ำจึง สำมำรถสร้ำงรอ่ งทำงเดนิ ทำให้ทำงำนง่ำย ดงั ภำพท่ี 4 1.3 นักวิจัยมีผลงำนวิจัยสิ่งประดิษฐ์ ตีพิมพ์ ทำงำนได้รวดเร็ว ลดควำมเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ำ มี เผยแพร่ และจดอนุสิทธิบตั ร/สิทธบิ ตั ร ดงั ภำพที่ 6 เครอื่ งมอื ไว้ใช้งำน และเป็นกำรเพม่ิ ผลผลิต ภำพที่ 4 ทำงเดนิ ที่เครื่องแหวกร่องแล้ว วารสารวิชาการรบั ใช้สงั คม มทร.ลา้ นนา 13 ปที ่ี 1 ฉบบั ที่ 1 มกราคม - มถิ นุ ายน 2559

ภำพที่ 6 อนสุ ทิ ธบิ ัตรทีไ่ ดร้ ับ กำรเกษตร ซ่ึงในปัจจุบนั มหำวิทยำลัยฯ กำลังผลกั ดนั ให้เกิดเป็นรูปธรรมขึ้นในกำรนำไปสู่เชิงพำณิชย์และ 2. ปจั จัยแหง่ ควำมสำเรจ็ ไดแ้ ก่ เชงิ สำธำรณะต่อไป 2.1 ได้รับกำรสนับสนุนจำกหน่วยงำนใน มหำวิทยำลยั ฯ เป็นอย่ำงดี อภิปรายผล 2.2 มีแหล่งทุนให้กำรสนับสนุนงบประมำณ จำกกำรดำเนินงำนเร่ืองกำรบริกำรวิชำกำร คือกองทุนสง่ เสริมงำนวิจยั ของมหำวทิ ยำลัย 2.3 ได้รับควำมร่วมมือกำนัน ผู้ใหญ่บ้ำน ใน และถ่ำยทอดเทคโนโลยีเครื่องแหวกร่องต้นข้ำวเพ่ือ กำรตดิ ต่อประสำนงำนกับเกษตรกรอย่ำงดี เกษตรกรน้ันจะเห็นได้ว่ำในขบวนกำรของกำรทำงำน 2.4 เกษตรกรให้ควำมร่วมมือในกำร นั้นจะต้องเป็นควำมต้องกำรของชุมชนจริงๆ โดยเป็น ดำเนินงำนในแปลงสำธิตทดสอบเครื่องแหวกร่อง ข้อมูลท่ีได้จำกกำรลงพ้ืนท่ีไปพบผู้นำชุมชนเช่น นำยก ตน้ ข้ำว อบต. เกษตรตำบล กำนัน ผู้ใหญ่บ้ำน และเกษตรกร หมู่ 5 ต.ปลำยกัด อ.บำงซ้ำย จ.พระนครศรีอยุธยำ ท่ี การนาํ ไปใช้ ร่วมกันคิด เสนอปัญหำและควำมต้องกำรด้ำนต่ำงๆ กำรบริกำรวิชำกำร – ถ่ำยทอดเทคโนโลยี ของชุมชนเพ่ือหำแนวทำงช่วยเหลือเกษตรกรในกำร ประกอบอำชีพทำนำ จำกนั้นจึงนำข้อมูลมำสรุป คิด และมอบเครื่องแหวกร่องต้นข้ำวแก่เกษตรกรน้ันเป็น วิเครำะห์ เลือกงำนท่ีเกษตรกรเสนออย่ำงเหมำะสม กำรช่วยเหลือเกษตรกรอีกส่วนหนึ่งที่ช่วยเกษตรกร วำงแผนงำน กำหนดงบประมำณท่ีไม่เกินกรอบวงเงิน ไ ด้ตรงกับควำมต้องกำรของ เกษ ตร กร หมู่ 5 งบประมำณท่ีจะได้รับและสำมำรถทำได้ เม่ือได้รับ ต.ปลำยกัด อ.บำงซ้ำย จ.พระนครศรีอยุธยำ ท่ีแท้จรงิ งบประมำณจัดสรรมำก็สำมำรถดำเนินโครงกำรตำม ซึ่งเคร่ืองแหวกร่องต้นข้ำวเพ่ือเกษตรกร ได้ออกแบบ แผนงำนได้อย่ำงครบถ้วน เกิดประโยชน์ ต่อ และสร้ำงเครื่องให้เกิดควำมสะดวก รวดเร็ว ทำงำน มหำวิทยำลัย หน่วยงำนท้องถ่ิน ผู้ดำเนินโครงกำร ง่ำย ลดควำมเหน็ดเหนื่อยเม่ือยล้ำในกำรปฏิบัติงำน และสุดท้ำยคือกลุ่มเกษตรกร ที่ได้รับควำมรู้ และมี เป็นกำรลดภำระงำนเกษตรกร เพิ่มผลผลิตทำง เครื่องมือช่วยในกำร ทำนำท่ีเพ่ิมควำมสะดวก ลด ควำมเม่ือยล้ำ ลดควำมสูญเสียของต้นข้ำว ซ่ึงเป็นกำร เพ่มิ ผลผลติ นนั่ เอง ข้อเสนอและการทาํ งานขนั้ ตอ่ ไป 1. พัฒนำเครื่องมือช่วยในกำรผลิตข้ำวของ กลุ่มเกษตรกรให้มีมำกข้ึนอย่ำงต่อเน่ืองพร้อมทั้ง บริกำรวิชำกำรทีจ่ ะให้ควำมรู้ ควำมเข้ำใจในเคร่ืองมอื ต่ำงๆ เพื่อให้เกษตรกรสำมำรถใช้เคร่ืองต่ำงๆได้อย่ำง เต็มประสิทธิภำพ และหำกกลุ่มเกษตรกรมีควำม เข้มแข็งมำกข้ึนก็สำมำรถสร้ำงเคร่ืองมือต่ำงๆ ข้ึนใช้ เองได้ โดยเกษตรกรสำมำรถปรึกษำไดต้ ลอดเวลำ 2. กำรรวมกลุ่มของนักบริกำรวิชำกำร นักวิจัย ในกำรร่วมคิด ร่วมแก้ปัญหำให้เกษตรกร รวมทั้งให้มีผลงำนตีพิมพ์เผยแพร่ จดอนุสิทธิบัตร/ สิทธิบัตร ควบคู่กับกำรแก้ปัญหำให้เกษตรกร กลมุ่ เปำ้ หมำยไปดว้ ย 14 RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016

บรรณานุกรม สำล่ี ชนิ สถติ และคณะ.2551 . ศกึ ษำกำรยอมรบั บพิตร ต้ังวงศ์กจิ และรัตนำ ต้ังวงศ์กจิ . 2553. อุปกรณ์ เทคโนโลยีกำรผลติ พชื ของเกษตรกร. ออนไลน์ [Online] Available http://www.doa.go.th และเครือ่ งจักรกลกำรเกษตร. หำวทิ ยำลัย /research/showthread.php?tid=1432. เกษตรศำสตร์. กรงุ เทพฯ. 190 หนำ้ . [9 มกรำคม 2560] วินติ ชินสุวรรณ. 2530. เครื่องจกั รกลกำรเกษตรและ กำรจดั กำรเบอื้ งตน้ . ภำควชิ ำวิศวกรรมเกษตร. สำนกั วจิ ยั และพฒั นำข้ำว .2555. องค์ควำมรู้เร่ือง คณะวิศวกรรมศำสตร์. มหำวทิ ยำลัยขอนแกน่ . ข้ำว. ออนไลน์.[Online] Available 220 หน้ำ. http//www. Brr.in.th/rkb/management วิภำดำ เวทยป์ ระสิทธิ . 2012. เครอื่ งมอื กำรจดั กำร /index.php-file=content.php&id=2. ค ว ำ ม รู้ . อ อ น ไ ล น์ [ Online] Available htm. 7 ,b56okpo . [ 11 มกรำคม 2560] http//www.psdd.doae.go.th/05_KM/02-KM- 3.pdf. 2558.[9 มกรำคม 2560] Smith, Sims and O’Neill. 1994. Testing and ศนู ยส์ ำรสนเทศกำรเกษตร สำนกั งำนเศรษฐกจิ Evaluation of Agricultural Machinery กำรเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. and Equipment. Food and Agriculture 2555. “กำรพยำกรณผ์ ลผลติ กำรเกษตร”. Organization of the United Nation ปีท่ี 27 : ฉบับที่ 4 (ธันวำคม,2555) . Rome Italy,272 pp. วารสารวิชาการรับใช้สงั คม มทร.ล้านนา 15 ปีท่ี 1 ฉบบั ที่ 1 มกราคม - มถิ นุ ายน 2559



รปู แบบการพฒั นานา้ ขา้ วกลอ้ งผสมสมนุ ไพร โดยวิธกี ารบูรณาการการจัดการความรู้ ในศตวรรษที่ 21 ส่ชู มุ ชน ของนกั วิจัยปฎบิ ตั กิ ารแบบมีสว่ นร่วม กลมุ่ ภาคกลาง The Developmental models of brown rice water mixed herbs by integrating knowledge management 21st Century to a community of the participatory action researchers in a central region group ณรงค์ โพธ์พิ ฤกษานนั ท์1* Narong Phophueksanand1* 1ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลพระนคร E mail: [email protected] บทคัดยอ่ รูปแบบการพัฒนาน้าข้าวกล้องผสมสมุนไพร โดยวิธีการบูรณาการการจัดการความรู้สู่ชุมชนของนักวิจัย ชุมชนปฎิบตั ิการแบบมีสว่ นร่วม กล่มุ ภาคกลาง กิจกรรมแลกเปลย่ี นเรียนรเู้ ก่ยี วกบั การศกึ ษาและวจิ ยั ในศตวรรษที่ 21 ของนักวิจัยชุมชน โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือค้นหารูปแบบการพัฒนาน้าข้าวกลอ้ งผสมสมุนไพร และเพ่ือศึกษาศักยภาพ ของนกั วิจัยชมุ ชนกลมุ่ น้าขา้ วกลอ้ งผสมสมุนไพร ผลการศึกษาพบว่า การพัฒนารูปแบบน้าข้าวกล้องผสมสมุนไพร เป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนนัน สมาชกิ กลุ่มนกั วจิ ัยชุมชนตอ้ งมีความรู้ความเข้าใจ และความส้าคัญเก่ยี วกบั มาตรฐานผลิตภัณฑ์เปน็ ปจั จยั หลัก มีสว่ น ร่วมและยอมรับของสมาชิกกลุ่ม และจะต้องด้าเนินการพัฒนารูปแบบให้สอดคล้องกับเกณฑ์มาตรฐานโดยมีการ ตรวจสอบการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในทกุ ขันตอน สว่ นดา้ นศกึ ษาศกั ยภาพของนักวิจยั ชมุ ชนกลุ่มนา้ ขา้ วกลอ้ งผสมสมุนไพร ชุมชน ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม จากการวิเคราะห์ศักยภาพของกลุ่มพบว่ามีความร่วมมือในการด้าเนินงาน มีความเสยี สละ มคี วามมงุ่ มั่น ตงั ใจในการพฒั นารปู แบบน้าขา้ วกลอ้ งผสมสมนุ ไพร ABSTRACT The Developmental models of brown rice water mixed herbs by integrating knowledge management to a community of participatory action researchers in a central region group. The target group of knowledge management activity on research and study in 21st century for community researchers. The purposes are to find out the developmental models of brown rice water mixed herbs, and to study the potentiality of community researchers. The results showed that developing a model of brown rice water mixed herbs had to be in accordance with community products’ standard. In this way, group members of the community researchers needed to have knowledge, understanding, and importance about product standard considered as the main factor. They had to participate in and had to be accepted among the group members. They had to carry out the developmental models according to the standardized criterion with a verification of product development in every step. In terms of studying the potentiality of community researchers on brown rice water mixed herbs, the analysis found that there were วารสารวิชาการรับใช้สังคม มทร.ลา้ นนา 17 ปที ่ี 1 ฉบบั ที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2559

participation in operating, dedication, determination, and intention for developing a model of brown rice water mixed herbs. Keywords. Model, Milled rice water , integrating knowledge management, Community, Participatory action research, บทนา้ วิตามิน เกลือแร่ และใยอาหารในปริมาณสูง รูปแบบการพัฒนาน้าข้าวกล้องผสมสมุนไพร นอกจากนียังพบสารท่ีเป็นประโยชน์ต่อร่างกายอีก หลายชนิด เช่น แกมม่าออริซานอล ( Gamma โดยวิธีการบูรณาการการจัดการความรู้ สู่ชุมชน ของ Oryzanol) วิตามินอี ซึ่งเป็นสารประเภทต้านอนุมูล นักวิจัยปฎิบัติการแบบมีส่วนร่วม กลุ่มภาคกลางและ อสิ ระ ช่วยชลอความแก่ และกรดแกมม่าอมิโนบิวทิริก ภาคตะวนั ออก วิสาหกิจชมุ ชนบงึ บา อ้าเภอหนองเสอื (Gamma Amino Butyric Acid) หรือเรียกย่อ ๆ ว่า จังหวัดปทุมธานี งานวิจัยนีเป็นการศึกษาการพัฒนา กาบา้ (GABA) คุณภาพและการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตข้าว กล้องผสมสมุนไพรบางชนิด โดยกระบวนการจัดการ ข้าวกล้องมีคุณค่าทางโภชนาการท่ีเป็น เรียนรู้วิทยากรผู้บรรยายมาเป็นคณะวิทยากรร่วมกัน ประโยชน์ต่อร่างกายสูงมากกว่าในข้าวขาวหรือ ออกแบบกิจกรรม ในการจัดกระบวนการเรียนรู้ ข้าวสารเพราะว่าในข้าวกล้องยังคงมเี นือเย่อื ทหี่ ้มุ เมลด็ (Pedagogy) cและให้นักวิจัยชุมชน นักศึกษา ใช้เป็น ข้าวอยู่ และมีคัพภะ (Rice Germ) ซึ่งเป็นส่วน เครือ่ งมือในการเรียนรแู้ ละสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ประกอบหน่ึง ท่ีส้าคัญในเมล็ดข้าว ในคัพภะข้าวและ โดยวิทยากรและอาจารย์เป็นผู้อ้านวยความสะดวก เนอื เยอื่ ทห่ี มุ้ เมล็ดประกอบดว้ ย โปรตนี ไขมัน วิตามิน และเสนอแนะเคร่ืองมอื และการเขา้ ถึงองค์ความรู้ผ่าน เกลือแร่ และใยอาหารในปริมาณสูง นอกจากนียังพบ วิธกี ารตา่ งๆ สารท่ีเป็นประโยชน์ต่อร่างกายอีกหลายชนิดเช่น แกมม่าออริซานอล (Gamma Oryzanol) วิตามินอี ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ซึ่ง ซึง่ เปน็ สารประเภทต้านอนุมลู อิสระ ชว่ ยชลอความแก่ สินคา้ ส่งออกสว่ นใหญข่ องประเทศคอื ข้าว และคนไทย และกรดแกมม่าอมิโนบิวทิริก (Gamma Amino ส่วนใหญ่ก็บริโภคข้าวเปน็ อาหารหลัก แต่ส่วนมากเรา Butyric Acid) หรือเรียกย่อ ๆ ว่ากาบ้า(GABA) บริโภคแต่ข้าวขาวซึ่งข้าวขาวนัน เป็นข้าวที่มี สารอาหารหรือประโยชน์น้อยกว่าข้าวกล้องงอก ข้าวเมื่ออยู่ในสภาวะท่ีมีการเจริญเติบโตจะมี เพราะข้าวขาวนัน คือข้าวท่ีขัดเอาร้าออกจากเมล็ด การเปล่ียนแปลงทางชีวเคมี การเปล่ียนแปลงจะเร่ิม ขา้ วจนเหลอื แต่เมลด็ ข้าวทข่ี าว หรอื เหลอื แต่เมลด็ แป้ง ขึน เมื่อน้าได้แทรกเข้าไปในเมล็ดข้าว โดยจะกระตุ้น ธรรมดานีเอง ซึ่งส่วนใหญ่ท่ีถูกขัดออกคือส่วนที่อุดม ให้เอนไซม์ภายในเมล็ดข้าวเกิดการท้างาน เมื่อเมล็ด ไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และเส้นใยอาหารท่ีส้าคัญ ข้าวเริ่มงอก (Malting) สารอาหารที่ถูกเก็บไว้ในเมล็ด ดังนันเราควรจะหันมาบริโภคข้าวกล้องงอกให้มากขึน ข้าวก็จะถูกย่อยสลายไปตามกระบวนการทางชีวเคมี เพราะข้าวกล้องงอกมีวิตามิน และ GAMMA จนเกิดเป็นสารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่มีโมเลกุล AMINOBUTYRIC ACID (GABA) ม า ก ก ว่ าข้าวขาว เ ล็ ก ล ง (Oligosaccharide) แ ล ะ น้ า ต า ล รี ดิ ว ซ์ และข้าวกลอ้ งธรรมดา (Reducing Sugar) นอกจากนี โปรตีนภายในเมล็ด ข้าวก็จะถูกย่อยให้เกิดเป็น กรดอะมิโน และ เปปไทด์ ข้าวกล้องมีคุณค่าทางโภชนาการที่เป็น รวมทังยังพบการสะสมสาร เคมีส้าคัญต่างๆ เช่น ป ร ะ โ ย ช น์ ต่ อ ร่ า ง ก า ย สู ง ม า ก ก ว่ า ใ น ข้ า ว ข า ว ห รื อ แกมมาออริซานอล (Gamma-Orazynol) โทโคฟีรอล ข้าวสาร เพราะว่าในข้าวกล้องยังคงมีเนือเยื่อท่ีหุ้ม (Tocopherol) โทโคไตรอีนอล (Tcotrienol) และ เมล็ดข้าวอยู่ และมีคัพภะ (Rice Germ) ซึ่งเป็น โดยเฉพาะ สารแกมมาอะมโิ นบวิ ทริ กิ แอซดิ (Gamma ส่วนประกอบหนึ่ง ที่ส้าคัญในเมล็ดข้าว ในคัพภะข้าว และเนือเยื่อท่ีหุ้มเมล็ดประกอบด้วย โปรตีน ไขมัน 18 RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016

Amino Butyric Acid) หรือท่ีรู้จักกันว่า สารกาบา จากการบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชน (GABA) ว่าคนท่ีเข้ามาตังถิ่นฐานในตอนแรก เร่ิมเข้ามาในสมัย วธิ กี ารดา้ เนินการ ของขุนบุรีบารุงรักษ์ คาดว่าจะเป็นคนจีนแจวเรือจ้าง และได้มีการบอกต่อๆ กันไปว่ามีพืนท่ี ท้ากินเหมาะแก่ วิธีการด้าเนินการ การด้าเนินการศึกษาใน การท้านา จึงมีคนอพยพเข้ามาในพืนที่เพิ่มขึน ซ่ึง โครงการวิจัยนีจะประกอบไปด้วย กิจกรรมทังหมด 4 ส่วนมากมักจะมาจาก เกาะต่างๆ ของจังหวัดนนทบุรี กิจกรรม ดังต่อไปนี กิจกรรมที่ 1 รวบรวมข้อมูลและ บ้านแพรว้ จงั หวัดราชบรุ ี บา้ นทองหลาง ตา้ บลบา้ นนา ออกแบบเคร่ืองเพาะข้าวกล้อง ข้อมูลชุมชนเชิง คลอง 15 คลอง 16 อ้าเภอองค์รักษ์ จังหวัดนครนายก คุณภาพ กิจกรรมท่ี 2 ศึกษาขันตอนการท้าน้าข้าว เป็นตน้ กล้องผสมสมนุ ไพร ขา้ วกลอ้ งพนั ธุ์ ขว่ หอมปทุม 1 เมื่อ น้ามาเพาะเป็นข้าวกล้อง กิจกรรมท่ี 3 วิเคราะห์เชิง ขันตอนท่ี 2. ศึกษาขันตอนการท้าน้าข้าว สังคมการเสวนาการจัดการความรู้และแนวทางการ กล้องผสมสมุนไพร ข้าวหอมปทุม 1 เพื่อน้ามาเพาะ เผยแพร่ กิจกรรมที่ 4 สรุปและรายงานการวิจัย เป็นขา้ วกลอ้ ง สมบูรณ์ เป็นการจัดกระบวนการเรียนรูจาก Passive ขันตอนที่ 1.ศึกษาข้อมูลทั่วไปของชุมชนบึง Learning มาเป็น Active กระบวนการของ Five บา อา้ เภอหนองเสือ จังหวัดปทมุ ธานี Steps ประกอบด้วย การสา้ รวจความตอ้ งการของถ่ินฐานในระดับ 2.1) การสร้างประเด็นค้าถามและการคาด ท้องถ่ิน เป็นการด้าเนินการให้มีคลังแหล่งเรียนรู้ คลัง ดา้ คา้ ตอบ (Learn to Question) อาชีพในถ่ินฐาน โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือวิเคราะห์ บริบทสภาพแวดล้อมของท้องถ่ิน ต้าบลบึงบา เป็น ในการผลิตเคร่ืองด่ืมน้าข้าวกล้องงอก ซึ่งเป็น ต้าบลหนึ่งในเขตอ้าเภอหนองเสือ เดิมทีนัน พืนที่ใน เครื่องด่ืมเพื่อสุขภาพ ประเด็นค้าถามคือ ใช้ข้าวชนิดใด เขตต้าบลบึงบา มีลักษณะเป็นท่ีราบลุ่ม มีบึงน้าและ ในการท้าน้าข้าวกล้อง โดยการคาดการเลือกผลิตจาก หนองน้าขนาดใหญ่ เป็นจ้านวนมาก ซึ่งในบึงน้าและ ข้าวกล้องงอก 2 ชนิด คือ ข้าวกล้องสดของข้าวหอม หนองน้านันได้มีต้นบา (ลักษณะคล้ายใบบัว แต่ใบมี พันธุ์ปทุม 1 และข้าวกล้องสดของข้าวเหนียวด้า ขนาดใหญก่ ว่าและหนากว่า มดี อกเล็กๆ สีขาว) ขึนอยู่ (ข้าวก่้า) โดยใช้ข้าวกล้องที่ถูกคัดเลือกเมล็ดท่ีสมบูรณ์ เปน็ จา้ นวนมาก จงึ ไดม้ ีซอ่ื วา่ “บึงบา” เท่านัน มาท้าการบ่มเพาะ นอกจากนีมีการผสมธัญพืช อื่น ๆ เช่น ถว่ั เหลืองและงาเพื่อเปน็ การช่วยในเรื่องกลิ่น ในตอนแรกพืนท่ีเป็นท่ีราบลุ่ม มีบึงน้าและ และรส และยงั ชว่ ยเพมิ่ คุณคา่ ทางโภชนาการอกี ด้วย หนองน้า แต่ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการขุดคลอง ระบายน้า เชื่อมต่อระหว่างคลองรังสิตประยูรศักด์ิกับ 2.2 การสบื ค้นและรวบรวมความรู้ (Learn คลองระพีพัฒน์ และในการขุดคลองในสมัยนัน ได้น้า to Search) ดินจากการขุดคลอง ขึนมาไว้ท่ีฝั่งตะวันออก ท้าให้ สภาพพืนที่ฝั่งตะวันออก จะมี คันดินเป็นทางยาวไว้ การเตรียมข้าวกล้อง ข้าวหอมปทุม 1 โดย ส้าหรับเดินและเป็นคนั กนั นา้ จนในปจั จบุ ันกลายสภาพ นา้ ข้าวทังสองพนั ธุ์มาลา้ งนา้ ใหส้ ะอาด แช่นา้ 4 ชั่วโมง ไปเป็นถนนท่ีใชก้ ันอยู่ในปจั จุบนั (ถนนเลียบคลอง) และบม่ เพาะอีก 20 ชั่วโมง รปู ที่ 2 การสบื คน้ และรวบรวมความรู้ ข้าวหอมปทมุ รูปที่ 1 ขา้ วหอมปทมุ 1 วารสารวิชาการรับใช้สังคม มทร.ล้านนา 19 ปที ี่ 1 ฉบับท่ี 1 มกราคม - มถิ ุนายน 2559

2.3 การสร้างกระบวนการและขนั ตอนลงมือ - ฝึกฝนทักษะความรู้ความสามารถในเชิง ปฎิบัติ (Learn to Construct) บูรณาการ การพัฒนาทางวิชาชีพในศตวรรษท่ี 21 (21st Century Professional Development) การเตรียมน้าข้าวกล้องผสมธัญพืช ดังนี น้า ข้าวกล้องงอกสดขาวดอกมะลิ 105 ปริมาณ 70 กรัม - แบ่งปันความรู้ระหว่างชุมชนทางการ ข้าวกลอ้ งสด 30 กรัม, ถัว่ เหลืองแช่น้าค้างคนื 20 กรัม เรียนรู้ โดยใช้ช่องทางหลากหลายในการสื่อสารให้ , งาขาวควั่ 20 กรมั , และน้า 1,400 มลิ ลกิ รมั เกิดขนึ 2.5 การเผยแพร่และใช้ประโยชน์ในสังคม (Learn to Service) การเผยแพร่และการใช้ประโยชน์ในสังคม โดยแบง่ เป็น ต้นน้า คือโดยการจัดท้าคลังแหล่งเรียนรู้ ชุมชนผา่ นสือ่ เทคโนโลยี กลางน้า จัดทา้ หนว่ ยเรียนรู้บูรณาการชุมชน และปลายน้า ต่อยอดผลิตภัณฑ์น้าข้าวกล้องผสม สมุนไพรเชงิ พาณชิ ย์สู่การตลาดต่อไป ขั น ต อน ท่ี 3. วิ เค ร า ะ ห์ เชิ ง สั ง คม การ เสวนาการจัดการความรู้ การประชุมกลุ่มย่อย (Focus Group) เพื่อ ระดมความคิดเห็นได้จัดขึน 2 ครัง คือในวันท่ี 10-13 กันยายน 2558 ณ ห้องประชุมอาภากร คณะศิลป ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร และครังที่ 2 ในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2558 เวลา 09.00 – 12.00 น. ณ วิสาหกิจชุมชนบึงบา อ้าเภอ หนองเสือ จงั หวดั ปทุมธานี รูปท่ี 3 การสรา้ งกระบวนการและขันตอนลงมอื ปฏิบตั ิ รปู ท่ี 4 วิทยากร ออกแบบกิจกรรม น้าส่วนผสมทงั หมดท้าการต้ม 20 นาที และใน เสนอแนะวธิ วี ิจัยชมุ ชน ระหวา่ งตม้ ทา้ การปั่นเป็นระยะ ๆ จากนันทา้ การกรอง 3.1 ศึกษารายละเอียดและวัตถุประสงค์ของ และปรุงรสดว้ ยน้าตาล การประชมุ กลุ่มยอ่ ย (Focus Group) ท้าการฆ่าเชือด้วยระบบพาสเจอร์ไรซ์ ต้มท่ี การเลือกรับประทานข้าวกล้องจึงนับว่าเป็น อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส นาน 20 นาที บรรจุใส่ อีกทางเลือก ส้าหรับคนท่ีมีอาการนอนไม่หลับใน ขวดทผ่ี ่านการฆา่ เชอื แล้ว ปิดฝาทันที เบืองต้น ท่ีสามารถใช้ควบคู่กับการรักษาแผนปัจจุบนั ทังยังเป็นการลดปัญหาอาการข้างเคียงอื่น ๆ ท่ีมักพบ 2.4 การสรุปผล การเรียนรู้และการน้าเสนอ ในการใช้ยานอนหลับ และยาคลายความวิตกกังวล (Learn to Communicate) เชน่ อาการมึนศีรษะ เมาค้าง และตดิ ยา เปน็ ต้น การจดั กิจกรรมครังนีเปน็ กระบวนการเรียนรู้ ยึดหลักการเรียนรู้จากสิ่งใกล้ตัวของกลุ่มเป้าหมายใน ชุมชนเป็นที่รู้จักและคุ้นเคยได้แก่ข้าวหอมปทุม 1 จึง สรปุ ผลการเรยี นรคู้ รงั นีคอื 20 RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016

นอกจากนี การน้าข้าวกล้องมาแช่น้ากลายเป็น ความส้าคัญฯเกี่ยวกับมาตรฐานผลิตภัณฑ์เป็นปัจจัย ข้าวกล้องงอก ยังเป็นการช่วยเพ่ิมมูลค่าของข้าวท้าให้ หลัก มีส่วนร่วมและยอมรับของสมาชิกกลุ่ม และ ราคาข้าวสูงขึนเป็นประโยชน์กับชาวนา และสามารถน้า จะตัองด้าเนินการพัฒนาณุปแบบให้สอดคล้องกับ ข้าวกล้องงอกมาแปรรูปเป็นอาหารอื่นๆ เช่น คุกกี ขนม เกณฑ์มาตรฐานโดยมีการตรวจสอบการพัฒนาผลิต ปัง ขนมอบกรอบ แต่ส่ิงที่พึงระวงั คือการเตรียมอาหารที่ ภรั ฑใ์ นทกุ ขันตอน ต้องใช้ความร้อนสูงเป็นเวลานานจะท้าให้คุณประโยชน์ ของข้าวกลอ้ งงอกลดลงดว้ ย ส่วนด้านศึกษาศักยภาพของนักวิจัยชุมชน กลุ่มน้าข้าวกล้องผสมสมุนไพรชุมชนบึงบา ในการ 3.2 ก้าหนดการประชุมกลุ่มย่อย (Focus พัฒนาผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม จากการวิเคราะห์ศักยภาพ Group) ของกลุ่มพบว่ามีความร่วมมือในการด้าเนินงาน มี ความเสียสละ มีความมุ่งม่ัน ตังใจในการพัฒนา รูปท่ี 5 การประชุมกลุ่มยอ่ ย รปู แบบน้าข้าวกล้องผสมสมนุ ไพร ผลการด้าเนนิ งาน ข้อเสนอแนะ เป็นการสรุปผลการด้าเนนิ งานทังหมดท่ผี า่ น 1.ในการด้าเนินการศึกษาการพัฒนาน้าข้าว มา สมาชิกมีส่วนร่วมในการสร้างผลงาน รวมตัวกัน อย่างเป็นทางการ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้จนประสบ กล้องผสมสมุนไพร ควรศึกษาเพ่ิมเติมพันธ์ข้าวชนิด ความส้าเร็จร่วมกัน ได้ผลการวิจัยการจัดการความรู้ อ่ืนจากจาก ขา้ วหอมปทุม 1 ผลิตภัณฑ์และงานสร้างสรรค์เพ่ือชุมชน จะรวบรวม เปน็ งานฉบบั สมบรู ณเ์ พือ่ เผยแพร่ต่อไป 2.ควรน้าสมุนไพรชนิดอื่นๆ ที่สามารถผสม อภปิ รายผล ในนา้ ข้าวกล้องได้หลายๆ ชนดิ ในการศึกษาวิจัย เร่ือง รูปแบบการพัฒนา 3. การบูรณาการการจัดการความรู้ควรใช้ น้าข้าวกล้องผสมสมุนไพร โดยวิธีการบูรณาการการ เคร่ืองมือชนิดอ่ืน รวมทังขอบเขตของการด้าเนินงาน จัดการความรู้สู่ชุมชนของนักวิจัยชุมชนปฎิบัติการ อย่างชดั เจนเพอ่ื เป็นแนวปฏบิ ตั ิที่ดี แบบมีส่วนร่วม กลุ่มภาคกลางและภาคตะวันออก ผ้วู จิ ัยไดส้ รุปผลการวิจัยอภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ บรรณานุกรม ซ่งึ มรี ายละเอียดดงั ตอ่ ไปนี ณรงค์ โพธ์ิพฤกษานันท์ และกิติชัย นวลทอง.(2558) การพัฒนารูปแบบนา้ ข้าวกลอ้ งผสมสมนุ ไพร การวิจัยท้องถ่ิน : หลักการและแนวคิด เป็นไปตามมาตรฐานผลติ ภัณฑ์ชมุ ชนนัน สมาชิกกลุ่ม คู่มือประกอบการฝึกอบรมโครงการเครือข่าย นักวิจัยชุมชนต้องมีความรู้ความเข้าใจ และ นักวิจัยระดับชุมชน หลักสูตรนักวิจัยชุมชนเชิง ปฏบิ ตั ิการแบบมสี ว่ นรว่ ม. กรงุ เทพฯ : ธนาคาร เพ่ือการเกษตรและสหกรณก์ ารเกษตร. ศูนย์วิจัยข้าวอุบลราชธานี. 2558. ข้าวกล้องสดและ ข้าวกล้องงอก. [ออนไลน]์ Available at : http://ubn.ricethailand.go.th/documen/ kitsana/brown/brown.thml. เอกสิทธิ์ จงเจริญรักษ์ , ฤทัยรัตน์ สวัสดิวงศ์, วรพนติ จันทรส์ ุวรรณ. มปป. สถานวิจยั ผลติ ภณั ฑ์เสรมิ อ า ห า ร แ ล ะ อ า ห า ร เ พ่ื อ สุ ข ภ า พ ค ณ ะ อุตสาหกรรมเกษตมหาวิทยาลัยสงขลา นครินทร์. วารสารวชิ าการรบั ใช้สังคม มทร.ลา้ นนา 21 ปีท่ี 1 ฉบบั ที่ 1 มกราคม - มถิ นุ ายน 2559

22 RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016

การนาระบบสารสนเทศที่เหมาะสมไปใช้ในการพัฒนาผลติ ภัณฑผ์ า้ ทอกะเหรีย่ ง กลุม่ ทอผา้ บา้ นหล่ายแกว้ ตาบลบงตนั อาเภอดอยเต่า จังหวัดเชยี งใหม่ The suitable Information system use to development of Karen textile product Lai Kaew Textile group, Tambol Bongtan, Amphour Doitao, Chiang Mai Province ฉัตวณัฐ มโนพฤกษ์1* วลั ภา กนั ทะวงค์2 และ ไพโรจน์ วรพจนพ์ รชัย3 Chatwanut Manopruek1* Wanlapa Kanthawong 2 and Phairot Vorapojpornchai 3 1 เจา้ หน้าทบ่ี ริหารงานทว่ั ไป สถาบนั ถา่ ยทอดเทคโนโลยสี ูช่ ุมชน มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา 2 เจา้ หนา้ ทบ่ี ริหารงานท่วั ไป คลินกิ เทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา 3 อาจารย์ คณะศิลปกรรมและสถาปตั ยกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา E-mail: [email protected], [email protected], เบอรโ์ ทรศพั ท์ 053-266518 ต่อ 1049 บทคัดย่อ งานวิจัยเรื่องการนาระบบสารสนเทศที่เหมาะสมไปใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอกะเหร่ียง กรณีศึกษา กลุ่มทอผ้าบ้านหล่ายแก้ว ตาบลบงตัน อาเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาระบบสารสนเทศที่ เหมาะสมในการจัดเก็บข้อมูลผลิตภัณฑ์ผ้าทอกะเหรี่ยงของกลุ่มทอผ้าบ้านหล่ายแก้ว ซ่ึงมีข้ันตอนในการดาเนินงาน ดังน้ี (1) รวบรวมและศึกษาข้อมูลพื้นฐานของกลุ่มเป้าหมาย (2) ศึกษาระบบสารสนเทศทีเ่ หมาะสม (3) วิเคราะห์ผล และสรุปผล ซึ่งผลที่ได้จากการวิจัยทาให้ทราบถึงระบบสารสนเทศที่เหมาะสมกับการดาเนินงานของกลุ่ม จากการ ดาเนินงานดังกล่าว ส่งผลให้กลุ่มมีระบบในการจัดเก็บข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ ลดขั้นตอนการทางาน และ สามารถนาข้อมูลท่ไี ดไ้ ปใช้ใหเ้ กดิ ประโยชน์ต่อไป คาสาคัญ ระบบสารสนเทศ ผา้ ทอกะเหรี่ยง ABSTRACT This research aim to study the information system that suitable to develop the Karen Textile Product : the case study was Lai Kaew Textile group, Tambol Bongtan, Amphour Doitao, Chiang Mai Province. There are 3 steps of this study (1) Collect and study the basic information of group (2) Study the suitable information system and (3) Analyze and conclusion. This study was found that the suitable information system for the Karen Textile Product. Which could develop this group had more efficiency data storage, reduce the working steps and then useful for another applications. Keywords Information system , Karen textile วารสารวชิ าการรับใชส้ งั คม มทร.ล้านนา 23 ปที ี่ 1 ฉบับท่ี 1 มกราคม - มถิ ุนายน 2559

บทนา เป็นพื้นท่ีภายนอกสถาบันการลงพื้นที่เพ่ือเก็บข้อมูล งานวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา พ้ืนฐานจึงมีข้อจากัดหลายอย่าง ทั้งด้านระยะทางที่ ไกล ช่วงเวลาว่างของคณะผู้วิจัยและกลุ่มเป้าหมายท่ี ระบบสารสนเทศที่เหมาะสมในการจัดเก็บข้อมูล ไม่ตรงกัน ซ่ึงได้มีการแก้ปัญหาในส่วนน้ีด้วยการหา ผลิตภัณฑ์ผ้าทอกะเหร่ียงของกลุ่มทอผ้าบ้านหล่าย เวลาว่างในช่วงเย็น เพื่อเดินทางลงพื้นที่จัดเก็บข้อมูล แก้ว การจัดเก็บขอ้ มูลที่ดีจะสง่ ผลให้สามารถนาขอ้ มลู เบื้องต้นของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งได้มีการรวมกลุ่มเพื่อ ไปประกอบการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพ แลกเปล่ียนเรียนรู้ร่วมกันระหว่างคณะผู้วิจัยและ ในช่วงปีงบประมาณ 2557 ที่ผ่านมา งานบริการ กลุ่มเป้าหมาย นาโดย หัวหน้ากลุ่มทอผ้าบ้านหล่าย วิชาการและคลินิกเทคโนโลยี ได้ดาเนินงานลงพื้นท่ี แก้ว ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบ้านหล่ายแก้ว ตัวแทนสมาชิก เพ่ือสารวจข้อมูลความต้องการในการพัฒนาคุณภาพ กลุ่มทอผ้าบ้านหล่ายแก้ว และคณะผู้วิจัย ซึ่งผู้ให้ ชีวิต และผลิตภัณฑ์ ข้ันพื้นฐานให้กับกลุ่มทอผ้า ข้อมูลหลักจะเป็นหัวหน้ากลุ่มทอผ้าบ้านหล่ายแก้ว กะเหร่ียงบ้านหล่ายแก้ว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่ง จากข้อมูลที่ได้ทาให้ทราบถึงข้อมูลเบื้องตันของ กลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มชนเผ่ากะเหรี่ยงและชาวบ้าน กลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่เป็นชนกลุ่มน้อย (กะเหร่ียง) ส่วนใหญ่ไม่รู้จักการใช้ระบบสารสนเทศในการจัดเก็บ ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทาไร่ ทาสวน ข้อมูลเบ้ืองต้นของผลิตภัณฑ์ ทาให้การดาเนินงานใน ในช่วงเวลาท่ีว่างจากการทาเกษตรกรรมจะมีการ การสารวจและจัดเก็บข้อมูลเพ่ือพัฒนาผลิตภัณฑ์ทา รวมกลมุ่ ผลติ ผ้าทอเพอ่ื เปน็ รายไดเ้ สริมใหก้ บั ครวั เรือน ได้ค่อนข้างลาบากและใช้เวลาในการดาเนินงานมาก ในด้านการจัดเก็บข้อมูลผ้าทอของกลุ่มจะเป็นหัวหนา้ แต่เนื่องจากในปัจจุบนั เทคโนโลยีสารสนเทศ ไดเ้ ข้ามา กลุ่มเป็นผู้เก็บข้อมูลแต่เน่ืองด้วยไม่มีความรู้ในด้าน มีบทบาทเป็นอย่างมากท้ังในชีวิตประจาวัน ชีวิตการ การบันทึกข้อมูลท่ีถูกต้องจึงทาให้ข้อมูลในหลาย ๆ ทางาน และการดาเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ จน ส่วนไม่ได้ถูกจัดเก็บ คณะผู้วิจัยจึงได้นาเสนอรูปแบบ บางคร้ังอาจเปรียบสารสนเทศได้เสมอื นกับสายเลอื ดที่ การบันทึกข้อมูลตัวอย่างจากหลาย ๆ หน่วยงานเพ่ือ หล่อเลีย้ งการทางานแทบทกุ หน่วยงาน และผลกระทบ ประกอบการตัดสินใจ ซ่ึงรูปแบบที่ได้นาเสนอส่วน ของสารสนเทศก็มีอย่างกว้างขวาง ทั้งในระดับบุคคล ใหญ่เป็นโปรแกรมการจัดเก็บข้อมูลสาเร็จรูป รูปแบบ กลุ่ม และหน่วยงาน หน่วยงานที่สามารถจัดเก็บ ยังไม่สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่ม จึงได้นา สารสนเทศได้ดี ภายใต้การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ข้อมูลจากการประชมุ ดงั กล่าวมาสรุปผลและวิเคราะห์ ย่อมจะดาเนินงานไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ ประสิทธผิ ล รูปแบบในขัน้ ตอนต่อไป มี ค ว า ม ได้ เปรี ย บในก าร แ ข่ง ขัน แ ล ะ ช่ วยให้ ผู้ปฏิบัติงานเกิดความพอใจในการทางานมากขึ้น อัน ข้ันตอนที่ 2 ศึกษาระบบสารสนเทศที่ จะนาไปสู่ความสาเร็จในท่ีสุด เหมาะสม จากข้อมูลท่ีได้จากการประชุมกลุ่มร่วมกับ ตัวแทนกลมุ่ ทอผ้าได้ข้อสรุปวา่ ระบบการจัดเก็บขอ้ มลู วธิ ีการดาเนนิ งาน ของกลุ่มควรจะเป็นระบบอย่างง่ายและสามารถ การดาเนินงานวิจัยในครั้งน้ีได้มีการทบทวน ปรับแก้ได้เอง ผู้วิจัยจึงทาการศึกษาระบบการจัดเก็บ ข้อมูล เพื่อประกอบการออกแบบต้นแบบเคร่ืองมือใน สรุปบทเรียน After Action Review : AAR ระหว่าง การจัดเก็บข้อมูลเบื้องต้นของกลุ่มเป้าหมาย และให้ คณะผู้วิจัยและกลุ่มเป้าหมาย เพ่ือร่วมกันทบทวน หัวหน้ากลุ่มได้ทาการทดลองใช้ในเบื้องต้นและทาการ กระบวนการทางานในแตล่ ะข้ันตอนโดยการนาผลที่ได้ ประเมนิ ความพงึ พอใจตอ่ ระบบดงั กล่าว จ า ก ก า ร ส า ร ว จ ค ว า ม รู้ เ บื้ อ ง ต้ น ใ น ด้ า น ร ะ บ บ สารสนเทศของกลุ่มเป้าหมายมาร่วมกันวิเคราะห์ ข้ันตอนที่ 3 วิเคราะห์และสรุปผล จากการ เพื่อให้ได้รูปแบบการจัดเก็บข้อมูลท่ีเหมาะสมกับ ประเมินผลการทดลองใช้ต้นแบบเคร่ืองมือในการ กล่มุ เป้าหมาย มขี ้ันตอนในการดาเนนิ งานดงั น้ี จัดเก็บข้อมูล คณะผู้วิจัยได้นาข้อมูลท่ีได้มาวิเคราะห์ ร่วมกันกับกลุ่มเป้าหมายโดยมีการประชุมร่วมกันเพ่ือ ข้ันตอนท่ี 1 รวบรวมและศึกษาข้อมูล แลกเปล่ียนข้อเสนอแนะในการปรับปรุงระบบการ พื้นฐานของกลุ่มเป้าหมาย เน่ืองจากกลุ่มเป้าหมาย 24 RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016

จัดเก็บข้อมูลให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มอย่าง แทจ้ รงิ . รูปภาพและตาราง รูปที่ 4 แสดงตารางหนา้ จอระบบ การบนั ทึกข้อมูล ผลติ ภัณฑผ์ ้าทอกะเหรยี่ ง กลมุ่ ทอผา้ บา้ นหลา่ ยแก้ว รูปท่ี 1 ผลติ ภัณฑข์ องกลมุ่ รปู ท่ี 5 แสดงตารางหนา้ จอระบบ การบันทึกขอ้ มลู รปู ที่ 2 ผลิตภณั ฑ์ของกล่มุ ผลิตภณั ฑผ์ ้าทอกะเหรีย่ ง กล่มุ ทอผา้ บา้ นหลา่ ยแก้ว รูปท่ี 3 ผลติ ภัณฑ์ของกลมุ่ ผลการดาเนนิ งาน จากการวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาการนาระบบสารสนเทศท่ีเหมาะสมไปใช้ในการ จัดเก็บข้อมูลผลิตภัณฑ์ผ้าทอกะเหรี่ยง กลุ่มทอผ้า บ้านหล่ายแก้ว เนื่องจากท่ีผ่านมา ทางกลุ่มได้รับการ พัฒนาผลิตภัณฑ์ในหลายรูปแบบ แต่ไม่มีการจัดเก็บ ข้อมูลท่ีดี จึงส่งผลให้การพัฒนาและการเรียนรทู้ ่ไี ด้รับ จากหน่วยงานภาครัฐหลายส่วนสูญเปล่า และเกิด ความซา้ ซอ้ นในการใหค้ วามรู้ ดังนั้นจงึ มคี วามจาเปน็ ท่ี จะต้องมีการจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบท่ีเหมาะสมเพื่อ ความถูกต้องในการรายงานผลความก้าวหน้าและ ความต้องการในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของกลุ่มให้กับ หน่วยงานท่ีจะเข้าไปให้ความรู้เพิ่มเติมในด้านต่าง ๆ และยงั เปน็ การให้ความรใู้ นการบันทกึ ขอ้ มูลผลิตภัณฑ์ ท่ีสมาชิกกลุ่มได้ร่วมกันผลิต จาแนกเป็นหมวดหมู่ วารสารวชิ าการรบั ใชส้ ังคม มทร.ล้านนา 25 ปที ี่ 1 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม - มถิ ุนายน 2559

อย่างชัดเจน สง่ ผลให้การซอ้ื ขายผลติ ภัณฑ์ได้รับความ การนาไปใช้ สะดวกและลดข้ันตอนการทางาน จากการวิจัยทาให้ จากการดาเนินงานข้างต้นทาให้ได้แนวทาง ทราบว่าระบบท่ีเหมาะสมกับกลุ่มทอผ้าบ้าน หล่าย แก้ว ควรจะเปน็ ระบบการบันทกึ ข้อมลู ผลติ ภณั ฑอ์ ยา่ ง ใ น ก า ร อ อ ก แ บ บ ร ะ บ บ ก า ร จั ด เ ก็ บ ข้ อ มู ล ที่ เ ป็ น ง่าย แต่ให้สารสนเทศที่ครบถ้วน และสามารถใช้ได้ใน ประโยชน์แก่กล่มุ ทอผ้าบ้านหลา่ ยแก้ว ซึ่งเป็นรูปแบบ ทุกสถานการณ์ เนื่องจากในพ้ืนท่ีมีเคร่ืองมือสาหรับ ท่ีเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและสามารถนาไปใช้ได้ ก า ร บั น ทึ ก ข้ อ มู ล ที่ จ า กั ด จ า ก ก า ร วิ จั ย ใ น ค รั้ ง น้ี มี จริง ส่งผลให้การจัดเก็บข้อมูลและการรายงานผล วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการนาระบบสารสนเทศท่ี จานวนผลิตภัณฑ์ที่ทางกลุ่มได้ร่วมกันผลิตตรงกับ เหมาะสมไปใช้ในการจัดเก็บข้อมูลผลิตภัณฑ์ผ้าทอ ความเป็นจริงและเป็นประโยชน์แก่หน่วยงานที่จะเข้า กะเหรย่ี ง กล่มุ ทอผ้าบ้านหล่ายแกว้ เนอ่ื งจากทผี่ ่านมา ไ ป ใ ห้ ค ว า ม รู้ เ พ่ิ ม เ ติ ม ใ น ด้ า น ต่ า ง ๆ อ ย่ า ง มี ทางกลุ่มได้รับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในหลายรูปแบบ ประสิทธิภาพ แตไ่ ม่มกี ารจัดเก็บขอ้ มลู ทดี่ ี จงึ ส่งผลใหก้ ารพฒั นาและ การเรียนรู้ท่ีได้รับจากหน่วยงานภาครัฐหลายส่วนสูญ อภิปรายผล เปล่า และเกิดความซ้าซ้อนในการให้ความรู้ ดังนั้นจึง จากการวิจัยในคร้ังน้ีทาให้ทราบถึงปัญหาใน มีความจาเป็นทจ่ี ะต้องมีการจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบที่ เ ห ม า ะ ส ม เ พ่ื อ ค ว า ม ถู ก ต้ อ ง ใ น ก า ร ร า ย ง า น ผ ล การจัดเก็บและบันทึกข้อมูลผลิตภัณฑ์ของกลุ่มทอผ้า ค ว า ม ก้ า ว ห น้ า แ ล ะ ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร ใ น ก า ร พั ฒ น า บ้านหล่ายแก้ว ที่มีการดาเนินการอย่างไม่เป็นระบบ ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มให้กับหน่วยงานที่จะเข้าไปให้ ทาให้ไม่สามารถประมวลผลข้อมูลท่ีมีอยู่ออกมาเป็น ความรู้เพิ่มเติมในดา้ นตา่ ง ๆ และยังเปน็ การใหค้ วามรู้ สารสนเทศท่ีสามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ เนื่องจาก ในการบันทึกข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่สมาชิกกลุ่มได้ร่วมกัน กลุ่มเป้าหมายไม่มีความรู้ความเข้าใจในการบันทึก ผลิต จาแนกเป็นหมวดหมู่อย่างชัดเจน ส่งผลให้การ ข้อมูล และขาดระบบการบันทึกข้อมูลท่ีตรงกับความ ซื้อขายผลิตภัณฑ์ได้รับความสะดวกและลดขั้นตอน ต้องการของกลุ่ม ซ่ึงสอดคล้องกับงานวิจัยของ สุรัตน์ การทางาน จากการวิจัยทาให้ทราบว่าระบบที่ สาเรือง (2545:83) เร่ือง การศึกษาการจัดระบบ เหมาะสมกับกลุ่มทอผ้าบ้าน หล่ายแก้ว ควรจะเป็น สารสนเทศของกองบังคับการวิชาการ โรงเรียนนาย ระบบการบันทึกข้อมูลผลิตภัณฑ์อย่างง่าย แต่ให้ ร้อยตารวจ ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มเจ้าหน้าที่ สารสนเทศท่ีครบถ้วน และสามารถใช้ได้ในทุก ผู้ปฏิบัติงานไม่มีความรู้หรือประสบการณ์เกี่ยวกับ สถานการณ์ เนื่องจากในพ้ืนท่ีมีเคร่ืองมือสาหรับการ ระบบสารสนเทศ. บนั ทึกขอ้ มูลที่จากัด บรรณานกุ รม สุรัตน์ สาเรือง. 2545. “การศึกษาการจัดระบบ สารสนเทศของกองบังคับการวิชาการ โรงเรยี น นายรอ้ ยตารวจ.” สถาบันราชภัฎนครปฐม 26 RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016





การจดั การความรูแ้ ละการบรกิ ารวชิ าการเรือ่ งแก๊สชีวภาพแก่ชุมชน ของมหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลศรวี ิชัย Knowledge management and academic Service about biogas to communities of Rajamangala University of Technology Srivijaya นพดล โพชกำเหนดิ 1* Noppadon Podkumnerd1* 1 อำจำรย์ คณะศิลปศำสตร์ มหำวทิ ยำลยั เทคโนโลยีรำชมงคลศรวี ชิ ยั 1 Lecturer, Faculty of Liberal Arts, Rajamangala University of Technology Srivijaya Songkhla E-mail: [email protected], เบอรโ์ ทรศัพท์ 086-6890920, เบอร์โทรสำร 074-317190 บทคดั ย่อ จำกปัญหำรำคำก๊ำซหุงต้ม (LPG) ท่ีปรับตัวสูงขึ้นอย่ำงต่อเนื่อง และในอนำคตมีแนวโน้มท่ีจะมีรำคำเพ่ิม สูงข้นึ กวำ่ นี้ มหำวิทยำลยั เทคโนโลยรี ำชมงคลศรีวิชยั จงึ ได้มีกำรส่งเสริมใหม้ ีกำรสร้ำงแหล่งพลงั งำนแกส๊ ชวี ภำพระดับ ครัวเรือนขนำด 8 ลูกบำศก์เมตร เพ่ือให้เกิดกำรลดรำยจ่ำยให้แก่ชุมชน โดยได้เร่ิมบริกำรวิชำกำรอย่ำงต่อตั้งแต่ปี 2556 จนถงึ ปัจจบุ นั (ปี 2558) และผลจำกดำเนนิ กำรโดยใช้เครอ่ื งมือจัดกำรควำมรู้ (KM tools) ทหี่ ลำกหลำย สง่ ผล ใหก้ ำรดำเนินกำรสำเรจ็ ลลุ ว่ งไปด้วยดี โดยมีภำคผี รู้ ว่ มสนับสนุนทง้ั ภำครัฐและเอกชนทัง้ ส้นิ 10 หน่วยงำน จำนวนบอ่ แก๊สชีวภำพขนำด 8 ลูกบำศก์เมตรท่ีได้ดำเนินกำรทั้งส้ิน 85 บ่อ สำมำรถลดรำยจ่ำยในกำรจัดซื้อแก๊สหุงต้มให้แก่ ชุมชนได้ประมำณ 408,000 บำท/ปี และมีกำรขยำยผลสู่ผู้ประกอบธุรกิจเกษตรได้แก่ฟำร์มสุกรและยำงแผ่นรมควัน ขนำด 32 ลูกบำศกเ์ มตร จำนวน 15 บอ่ โดยใชข้ องเสยี ไดแ้ ก่ มลู สกุ ร และนำ้ เสยี จำกกำรผลิตยำงแผ่นรมควันมำผลิต เป็นแก๊สชีวภำพ สำมำรถใช้ทดแทนแก๊สหุงต้มได้ประมำณ 288,000 บำท/ปี ลดกำรปล่อยของเสียออกสู่ส่ิงแวดล้อม และลดควำมขัดแย้งระหว่ำงผู้ประกอบกำรกับชมุ ชน นอกจำกน้ันยังได้มีกำรส่งเสริมให้เกิดกำรเรียนรู้ร่วมกันระหวำ่ ง ชุมชนและนักศึกษำเพือ่ พัฒนำเทคโนโลยีกำรผลติ แก๊สชีวภำพให้เกิดควำมย่ังยืน นอกจำกน้นั ไดม้ ีกำรจัดทำฐำนขอ้ มูล ลงในระบบสำรสนเทศเพอ่ื ให้เกดิ กำรเรียนร้ไู ด้อย่ำงแพรห่ ลำย คําสําคญั แก๊สชีวภำพ, พลงั งำน, กำรจดั กำรควำมรู้ ABSTRACT The LPG cost is progressively increasing; and, in the future, it would be even increasing at the higher rate. RMUTSV thus has promoted the construction of a household-size biogas plant having the capacity of 8 cubic metres in order to reduce the expenses of a community. To achieve the objective, the university has been providing some academic services since 2013. From the ongoing activities, it was found that by employing knowledge management tools (KM tools) the objective has been successfully met based on the cooperation from 10 organisations, both private sectors and government agencies. A total of 85 biogas plants having the capacity of 8 cubic metres have been in use so far, resulting in the expense reduction of about 408,000 Baht annually. In addition, the implementation has been expanded to the agricultural businesses such as pig farms and rubber smoked sheet (RSS) factories with the capacity of 32 cubic metres with a total of 15 plants. The วารสารวิชาการรบั ใชส้ ังคม มทร.ล้านนา 29 ปที ี่ 1 ฉบบั ที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2559

main energy sources for those plants were dung and waste water obtained from the RSS factories. This resulted in the production of the gas of about 288,000 Baht annually. Furthermore, it also helps the decrease of the waste and lowers the tension between entrepreneurs and communities. Additionally, the practice has promoted the participation process between communities and students that could help to develop the biogas technology in the long term. Besides, the knowledge would be databased in order to be included in the knowledge system for wider audiences. Keywords biogas, energy, knowledge management บทนาํ ทำให้ชุมชนและผู้ประกอบมีควำมเข้มแข็งสำมำรถ วกิ ฤตกำรณพ์ ลังงำนเป็นปญั หำเร่งดว่ นที่ต้อง พง่ึ พำตนเองและมีควำม แก้ไขและหำมำตรกำรป้องกัน ท้ังน้ีเน่ืองจำกประเทศ วิธีการดําเนินงาน ไทย มีทรัพยำกรพลังงำน เช่น น้ำมัน และก๊ำซ ในกำรบริกำรวิชำกำรกำรผลิตแก๊สชีวภำพ ธรรมชำตินอ้ ย จึงจำเป็นต้องพึง่ พำประเทศอนื่ ๆ สง่ ผล ให้ขำดควำมมั่นคงทำงด้ำนพลังงำน นอกจำกน้ี ให้แก่ชุมชน ได้ใช้เคร่ืองมือกำรจัดกำรควำมรู้ (KM ทรัพยำกรพลังงำนที่ใช้ในปัจจุบันเป็นแหล่งพลังงำนที่ tools) เพ่ือให้เกิดกำรบริกำรวิชำกำรอย่ำงเข้มแข็ง ใช้แล้วหมดไป จึงเกิดกระแสควำมสนใจท่ีจะหำแหล่ง หลำยประกำร ไดแ้ ก่ วัตถุดิบที่สำมำรถผลิตพลังงำนทดแทน และสำมำรถ หำได้ในท้องถ่ินต่ำงๆ ซึ่งแก๊สชีวภำพ (Biogas) ก็เป็น 1. ทีมงำนข้ำมสำยงำน (Cross-Functional อีกทำงเลอื กหนึง่ ของแหล่งพลงั งำนในอนำคตท่คี ำดว่ำ Team) จะนำมำแทนพลังงำนทีม่ ีในธรรมชำติ (Akano et al., 1996) โดยก๊ำซชีวภำพเป็นก๊ำซท่ีเกิดขึ้นเองตำม เพ่ือให้กำรบริกำรวิชำกำรเกิดควำมเข้มแข็ง ธรรมชำติจำกกำรหมักย่อยสลำยของชีวมวลภำยใต้ คลินิกเทคโนโลยีมหำวิทยำลัยเทคโนโลยีรำชมงคลศรี สภำวะไร้ออกซิเจน (Santibanes et al., 2011) จำก วิชัยสงขลำ ได้จัดต้ังทมี งำนที่มีควำมรพู้ ้ืนฐำนทำงดำ้ น ปัญหำรำคำก๊ำซหุงต้ม (LPG) ท่ีปรับตัวสูงข้ึนอย่ำง วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี จำกคณะศิลปศำสตร์ ต่อเน่ือง โดยเม่ือเดือนตุลำคม 2556 แก๊สหุงต้มขนำด วิศวกรรมศำสตร์ และคลินิกเทคโนโลยีมหำวิทยำลัย 15 กิโลกรัมมีรำคำอยู่ที่ 316.33 บำท และในปัจจบุ นั เทคโนโลยีรำชมงคลศรีวิชัย สงขลำ เพื่อค้นคว้ำ (ตุลำคม 2558) มีรำคำอยู่ที่ 385.45 บำท (ธนำคำร เ ท ค โ น โ ล ยี แ ก๊ ส ชี ว ภ ำ พ ท่ี ส ำ ม ำ ร ถ ต อ บ ส น อง ค ว ำ ม แห่งประเทศไทย, 2558) ซึ่งจะเห็นไดว้ ่ำในรอบ 2 ปีที ต้องกำรของชุมชนอย่ำงย่ังยืน หลังจำกนั้นทำกำรลง ผ่ำนมำ รำคำแก๊สหุงต้มได้ขยับตัวเพ่ิมข้ึนถึง 69.12 พ้ืนที่เพ่ือทำควำมเข้ำใจในเทคโนโลยีบอ่ แก๊สชีวภำพที่ บำท และในอนำคตมีแนวโน้มท่ีจะมีรำคำเพ่ิมสูงขึ้น มคี วำมประสงค์ในกำรบรกิ ำรวิชำกำรให้กบั ชมุ ชน กว่ำนี้ มหำวิทยำลัยเทคโนโลยีรำชมงคลศรีวิชัย ซึ่งมี ภำรกิจหลักสำคัญด้ำนหนึ่งคือกำรบริกำรวิชำกำรแก่ 2. กำรสอนงำน (Coaching) และพี่เล้ียง สังคม จึงเล็งเห็นถึงควำมสำคัญในกำรบริกำรวิชำกำร (Mentoring) เพ่ือช่วยเหลือสังคม โดยนำของเสียจำกกำรเลี้ยงสัตว์ และของเสียจำกกำรเกษตรไปใช้ให้ก่อประโยชน์โดย ห ลั ง จ ำ ก ศึ ก ษ ำ ถึ ง ค ว ำ ม เ ห ม ำ ะ ส ม ข อ ง กำรนำมำผลิตแก๊สชีวภำพสำหรับใช้ในภำคครัวเรือน เทคโนโลยีกำรผลิตแก๊สชีวภำพท่ีจะดำเนินกำรกำร และภำคธุรกิจเกษตร เพื่อเป็นกำรลดรำยจ่ำย เพ่ิม บริกำรวิชำกำรแก่ชุมชนแล้ว ทีมงำนได้เชิญพี่เลี้ยงที่มี รำยได้ให้แก่ครัวเรือนและกำรประกอบธุรกิจ และยัง ควำมเช่ียวชำญในเทคโนโลยีกำรผลิตแก๊สชีวภำพใน สำมำรถลดปัญหำกำรปล่อยของเสยี ออกส่สู งิ่ แวดล้อม รูปแบบท่ีต้องกำรบริกำรวิชำกำรแก่ชุมชน มำเป็น วิทยำกรหลักเพ่ือทำกำรสอนงำนด้ำนถ่ำยทอดองค์ ควำมรู้ในกำรผลิตแก๊สชีวภำพระดับครัวเรือน เพื่อ ถำ่ ยทอดองคค์ วำมรู้ให้แก่ทีมงำนเพื่อเรียนรู้ และสรำ้ ง 30 RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016

ประสบกำรณ์ในเทคโนโลยีน้ีให้ถ่องแท้ ก่อนก้ำวเข้ำสู่ สมองร่วมกับบุคลำกรในองค์กร โดยเฉพำะนักศึกษำ กำรเป็นวทิ ยำกรหลักต่อไป เพ่ือสร้ำงสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ สำหรับเพิ่ม ประสิทธิภำพในกำรบริกำรวิชำกำรกำรผลิตแก๊ส 3. กำรเรียนรู้โดยกำ รปฏิบัติ (Action ชีวภำพให้แก่ชุมชนอย่ำงย่ังยืน อันจะนำไปสู่กำร Learning) ส่งเสริมกำร บูรณำกำรเรียนกำรสอนกับกำรบริกำร วชิ ำกำร และกำรวิจัย หลังจำกได้รับกำรสอนงำนจำกพี่เลี้ยงแล้ว ทีมงำนได้ดำเนินกำรบริกำรวิชำกำรสร้ำงบ่อแก๊ส 8. ฐำนควำมรู้ (Knowledge Bases) ชีวภำพอย่ำงต่อเน่ืองโดยให้ชุมชนเข้ำมำมีส่วนร่วมใน ด ำ เ นิ น ก ำ ร จั ด ท ำ ฐ ำ น ค ว ำ ม รู้ ก ำ ร บ ริ ก ำ ร กำรคัดเลือกผู้รับกำรบริกำรวิชำกำรที่มีศักยภำพ วิชำกำรกำรผลิตแก๊สชีวภำพลงในระบบเทคโนโลยี ท ำ ง ด้ ำ น วั ต ถุ ดิ บ แ ล ะ ค ว ำ ม พ ร้ อ ม ข อ ง ส ถ ำ น ท่ี สำรสนเทศ เพ่ือให้ผู้ท่ีสนใจสำมำรถเข้ำถึงข้อมูลได้ นอกจำกน้ันในกำรดำเนนิ กำรยังให้ชุมชนเข้ำมำมีส่วน ตลอดเวลำ โดยส่งเสริมให้บุคลำกรในองค์กรได้แก่ รว่ มทกุ ขัน้ ตอน เพื่อใหเ้ กิดกำรเรยี นรโู้ ดยกำรปฏิบัติซ่ึง นักศึกษำเป็นผู้จัดทำฐำนควำมรู้ด้วยตนเอง เพ่ือฝึกให้ จะส่งผลให้เกิดกำรใช้บ่อแก๊สชีวภำพเป็นแหล่ง นักศึกษำได้เรียนรู้และมีทักษะในกำรใช้เทคโนโลยี พลังงำนมีประสิทธภิ ำพและย่งั ยืน สำรสนเทศ. 4. กำรเรยี นรู้จำกบทเรียนท่ผี ำ่ นมำ (Lesson ผลการดาํ เนนิ งาน Learned) จำกกำรได้รับกำรสอนงำน และมีพี่เลี้ยงซึ่ง หลังจำกกำรบริกำรวชิ ำกำรแล้วทีมงำนได้จัด เป็นผู้เชี่ยวชำญจำกมหำวิทยำลยั เชยี งใหม่โดย รศ.ดร. ให้มีกำรทบทวนสรุปบทเรียนร่วมกับชุมชน เพ่ือ สุชน ต้ังทวีวิพัฒน์ (รูปที่ 1A) มำถ่ำยทอดองค์ควำมรู้ ทบทวนกำรทำงำนในแตล่ ะขัน้ ตอนเพอ่ื หำจดุ บกพรอ่ ง ในกำรจัดสร้ำงบ่อแก๊สชีวภำพขนำด 8 ลูกบำศก์เมตร ของเทคโนโลยีท่ีได้ถ่ำยทอดให้แก่ชุมชน เพ่ือท่ีจะได้ ส่งผลให้ผู้ให้บริกำรวิชำกำรได้เรียนรู้จำกผู้เชี่ยวชำญ นำมำปรับปรุงให้มีประสิทธิภำพย่ิงขึ้นในกำรบริกำร โดยตรง หลังจำกน้ันได้นำประสบกำรณ์ท่ีได้รับมำ วชิ ำกำรในคร้งั ตอ่ ๆ ไป ปฏิบัติและพัฒนำอย่ำงต่อเน่ือง และต้ังแต่ปี 2556 – ปัจจุบัน (2558) ชุมชนได้เข้ำมำมีส่วนร่วมทุกข้ันตอน 5. กำรศึกษำดงู ำน (Study tour) ต้ังแต่กำรเตรียมกำรจัดสร้ำงนวัตกรรม กำรตัดสินใจ เพ่ือให้กำรบริกำรวิชำกำรสมบูรณ์ย่ิงข้ึน กำรคัดเลือกผู้รับนวัตกรรมท่ีมีศักยภำพทำงด้ำน จะต้องมีกำรศึกษำดงู ำนกำรจดั สรำ้ งบ่อแกส๊ ชีวภำพใน วตั ถดุ บิ และควำมพรอ้ มของสถำนท่ี (รูปท่ี 1B) รวมท้งั รูปแบบที่ได้ดำเนินกำรอยู่จำกเครือข่ำยต่ำงๆ เพ่ือนำ ในกำรดำเนินกำรเพ่ือให้เกิดกำรเรียนรู้ร่วมกัน (รูปที่ องค์ควำมรู้ท่ีได้จำกกำรศึกษำดูงำนมำประยุกต์หรือ 1C) และมีกำรสรุปบทเรียนที่ผ่ำนมำร่วมกับชุมชน ปรับใช้ให้กับเทคโนโลยีกำรผลิตแก๊สชีวภำพที่ได้ หลังจำกกำรใหบ้ ริกำรวชิ ำกำร (รูปท่ี 1D) ส่งผลใหเ้ กิด ดำเนนิ กำรอยใู่ ห้สมบรู ณ์มำกยิ่งขน้ึ กำรใช้และพัฒนำเทคโนโลยีแก๊สชีวภำพอย่ำงย่ังยืน 6. เวทีสำหรับกำรแลกเปลี่ยนควำม รู้ โดยสำมำรถบริกำรวิชำกำรจัดทำบ่อแก๊สชีวภำพได้ (Knowledge Forum) เป็นจำนวน 85 บ่อ โดยมีภำคีจำกภำยนอกท้ัง ในกำรบริกำรวิชำกำรกำรผลิตแก๊สชีวภำพให้ หน่วยงำนภำครัฐและเอกชน เข้ำมำมีส่วนร่วมในกำร ยั่งยืนน้ัน ทีมงำนได้จัดกิจกรรมให้เกิดกำรแลกเปลย่ี น สนับสนุนกำรบริกำรวิชำกำรหลำยหน่วยงำน ดัง ควำมรู้อย่ำงสม่ำเสมอท้ังในห้องเรียน และในสถำนท่ี ตำรำงที่ 1 จริง เพื่อกระตุ้นให้นักศึกษำได้เกิดกำรเรียนรู้ และให้ ชุมชนได้มีโอกำสถ่ำยทอดและแลกเปลย่ี นควำมรูใ้ หแ้ ก่ นักศึกษำ เพื่อให้ทั้งชุมชนและนักศึกษำเกิดแนวคิดใน กำรพัฒนำเทคโนโลยรี ่วมกัน และส่งเสริมให้นักศึกษำ ได้มสี ว่ นร่วมในกำรบรกิ ำรวิชำกำรแกส่ งั คมต่อไป 7. IQCs (Innovation & Quality Circles) จำกเคร่ืองมือกำรจัดกำรควำมรู้หลำกหลำย แนวทำงในกำรดำเนินกำรท่ีผ่ำนมำ ได้นำมำใช้ระดม วารสารวชิ าการรบั ใช้สังคม มทร.ล้านนา 31 ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 มกราคม - มถิ นุ ายน 2559

รปู ท่ี 1 (A-D) กำรดำเนนิ งำนโดยใชเ้ คร่อื งมอื กำรจดั กำรควำมรู้ ตำรำงท่ี 1 ภำคีตำ่ งๆ ทร่ี ่วมสนบั สนนุ งบประมำณในกำรบริกำรวิชำกำรจดั สรำ้ งบ่อแก๊สชวี ภำพ ขนำด 8 ลกู บำศก์เมตร สำหรับเกษตรกร ตั้งแต่ปี 2556-2558 ภาคี จาํ นวนบ่อแกส๊ ชวี ภาพ กระทรวงวิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี 34 สำนกั งำนพลงั งำนจังหวัดสงขลำ 2 เทศบำลตำบลบำงเหรียง อ.ควนเนยี ง จ.สงขลำ 13 พัฒนำอำเภอควนเนียง จ.สงขลำ 3 อำเภอควนเนยี ง จ.สงขลำ 10 สหกรณ์กำรเกษตรบำงกล่ำ จ.สงขลำ 1 เทศบำลตำบลทุ่งลำน อ.คลองหอยโขง่ จ.สงขลำ 10 มหำวทิ ยำลัยเทคโนโลยีรำชมงคลศรวี ชิ ัย 8 เกษตรกร ต.บำงเขยี ด อ.สงิ หนคร จ.สงขลำ 2 เกษตรกร ต.ควนโส อ.ควนเนียง จ.สงขลำ 2 จำกกำรที่ผู้ประกอบธุรกิจเกษตรท่ีประสบ รปู ที่ 2 (A-B) กำรขยำยผลกำรบรกิ ำรวิชำกำรสู่ผู้ ปัญหำในกำรดำเนินธุรกิจท้ังในด้ำนต้นทุนและปัญหำ ประกอบธุรกจิ เกษตร สิ่งแวดล้อมจำกกำรประกอบธุรกิจ จึงได้มีกำรส่งเสริม ในกำรขยำยผลกำรบริกำรวิชำกำรให้แก่ผ้ปู ระกอบกำร ธุรกิจกำรเกษตรในท้องถ่ิน ได้แก่ ฟำร์มเลี้ยงสุกร และ ผู้ประกอบกำรยำงแผ่นรมควัน (รูปท่ี 2 A-B) จำนวน ท้ังสิ้น 15 บ่อ โดยมีภำคีท้ังภำคร้ฐและเอกชนเข้ำมำมี สว่ นร่วมในกำรสนับสนุน ดงั ตำรำงที่ 2 ตำรำงที่ 2 ภำคีตำ่ งๆ ท่รี ว่ มสนบั สนนุ งบประมำณในกำรบริกำรวิชำกำรจัดสรำ้ งบ่อแก๊สชีวภำพ ขนำด 32 ลกู บำศก์เมตร สำหรบั ผู้ประกอบกำรธุรกจิ เกษตร ภาคี จาํ นวนบ่อ 32 RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016

กระทรวงวิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี 6 ผู้ประกอบกำรฟำร์มสกุ ร ต.ควนโส อ.ควนเนยี ง จ.สงขลำ 5 ผ้ปู ระกอบกำรยำงแผน่ รมควนั ต.ทำ่ ขำ้ ม อ.หำดใหญ่ จ.สงขลำ 3 ผ้ปู ระกอบกำรยำงแผ่นรมควนั ต.ท่งุ ลำน อ.คลองหอยโขง่ จ.สงขลำ 1 จำกกำรศึกษำดูงำนเพ่ือพัฒนำกำรบริกำร รปู ท่ี 3 (A-D) กำรสร้ำงเวทีแลกเปล่ียนเรียนรู้รว่ มกบั วิชำกำร และสร้ำงเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และร่วมคิด นักศึกษำและชุมชน เพ่ือให้เกิดกำรบรกิ ำรวชิ ำกำร ร่วมทำกับนักศึกษำและชุมชน เพ่ือให้เกิดกำรบริกำร วิชำกำรอย่ำงย่ังยืน ในส่วนของนักศึกษำได้ค้นคว้ำ อย่ำงย่ังยืน พัฒนำนวัตกรรมแก๊สชีวภำพให้มีประสิทธิภำพสูงขึ้น จำกกำรบริกำรวิชำกำรกำรสร้ำงบ่อแก๊ส โดยนักศึกษำได้จัดทำอุปกรณ์สูบชักกำกตะกอนในบอ่ ชีวภำพโดยรว่ มคดิ รว่ มทำกบั ชมุ ชนอย่ำงตอ่ เนือ่ งต้งั แต่ แก๊สชีวภำพ (รูปที่ 3A) เพ่ือควบคุมปริมำณกำก ปี 2556-2558 กำรบริกำรวิชำกำรจัดสร้ำงบ่อแก๊ส ตะกอนในระบบไม่ให้มีกำรสะสมอยู่ในบ่อมำกเกินไป ชีวภำพได้เป็นส่วนหน่ึงในกำรบูรณำกำรกำรเรียนกำร ซึ่งจะทำให้อำยุกำรใชง้ ำนของบ่อแก๊สชีวภำพยำวนำน สอนร่วมกับกำรบริกำรวิชำกำรอย่ำงต่อเน่ือง โดย ยิ่งข้ึน และในปัจจุบันอุปกรณ์สูบชักกำกตะกอนเร่ิม ทีมงำนได้นำนักศึกษำเข้ำร่วมกิจกรรมสร้ำงบ่อแก๊ส เปน็ ที่ต้องกำรของชุมชนมำกข้นึ จงึ ไดม้ ีเร่มิ มกี ำรส่งั ทำ ชีวภำพเพื่อส่งเสริมให้เกิดกำรเรียนรู้นอกห้องเรียน อุปกรณ์ดังกล่ำวซ่ึงสำมำรถสร้ำงรำยได้เสริมให้แก่ กำรนำนักศึกษำเข้ำเรียนรู้ในสถำนท่ีจริงโดยให้ชุมชน นักศึกษำ และนอกยังน้ันนักศึกษำยังได้คิดค้นอุปกรณ์ เป็นผู้ถ่ำยทอดควำมรู้ด้วยตนเอง (รูปที่ 4A) และ เพ่ิมแรงดันแก๊สชวี ภำพ ส่งผลให้กำรส่งแก๊สชีวภำพไป ส่งเสริมให้นักศึกษำเป็นผู้สร้ำงฐำนควำมรู้ในกำร ยงั หัวเตำมปี ระสิทธภิ ำพมำกยง่ิ ข้ึน และจำกแนวคดิ น้ี บริกำรวิชำกำรลงในระบบสำรสนเทศ (รูปที่ 4B) เพ่ือให้ผู้สนใจได้ใช้เป็นฐำนข้อมูลในกำรเรียนรู้ต่อไป นักศึกษำได้ส่งผลงำนเข้ำร่วมประกวดในงำน ตำมแหล่งข้อมลู ดังนี้ นวัตกรรมเพื่อชุมชน (STI Thailand 2014) ระดับ 1. บอ่ หมักแก๊สชีวภำพ ภำคใต้ และได้รับรำงวัลชมเชยประเภทนักเรียน https://www.youtube.com/watch?v=d นักศึกษำ พร้อมเงินรำงวัล 5,000 บำท (รูปที่ 3B) ใน wEtmMxdpCI ส่วนของทีมงำนได้พัฒนำชุดพัดลมเพ่ิมแรงดันแก๊ส 2. บอ่ หมักแก๊สชีวภำพ มทร.ศรีวชิ ัย ชีวภำพ (รูปที่ 3C) ซึ่งปัจจุบันได้ติดตั้งไปแล้วกว่ำ 50 https://www.youtube.com/watch?v=K ชุด เพื่อเพิ่มประสิทธิภำพในกำรใช้งำนแก๊สชีวภำพได้ IxUOeMrpdA ตลอดเวลำ และในส่วนของชุมชนได้มีกำรปรับปรุง ระบบกำรเติมมูล (รูปท่ี 3D) ลงในบ่อแก๊สชีวภำพให้ สะดวกมำกยิ่งข้นึ ซึง่ รปู แบบกำรเตมิ น้ไี ด้ถกู นำมำใชก้ ับ บ่อขนำด 8 ลูกบำศก์เมตรทุกบ่อท่ีได้ดำเนนิ กำรตง้ั แต่ ปี 2557 วารสารวชิ าการรบั ใชส้ ังคม มทร.ล้านนา 33 ปที ี่ 1 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม - มิถนุ ายน 2559

3. กำรติดตำมผลบอ่ แก๊สชีวภำพ ที่ผ่ำนกำรย่อยสลำยแล้วมำใช้ประโยชน์เป็นปุ๋ย https://www.youtube.com/watch?v=g อินทรีย์ได้อกี ดว้ ย sZjh5pSckM ด้ำนสงั คม และสง่ิ แวดลอ้ ม ทำให้ชุมชนอยู่ดี รูปที่ 4 (A-B) กำรบรู ณำกำรกำรเรยี นกำรกำรสอนกบั มีสุข มีควำมเอ้ือเฟื้อและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และ กำรบรกิ ำรวิชำกำรโดยให้ชุมชนเปน็ แกนกลำง ช่วยลดมลภำวะจำกกล่ินเหม็น รวมทั้งแมลงที่บินไป สร้ำงควำมรบกวนเพ่ือนบ้ำนที่อยู่ในชุมชน ลดควำม อภปิ รายผล ขัดแย้งของชุมชน และเป็นกำรใช้ประโยชน์จำก จำกผลกำรดำเนินกำรกำรบริกำรวิชำกำร ทรัพยำกรและของเสียในชุมชนเพ่ือให้เกิดกำรพัฒนำ อยำ่ งยัง่ ยนื กำรผลิตแก๊สชีวภำพต้ังแต่ปี 2556-2558 โดยใช้ เคร่ืองมือจัดกำรควำมรู้ (KM tools) ที่หลำกหลำย นอกจำกน้ันยังสำมำรถใช้แหล่งบริกำร ส่งผลให้กำรดำเนินกำรสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ก่อให้เกิด วิชำกำรเป็นสถำนท่ีเรียนรู้ให้แก่นักศึกษำในด้ำนต่ำงๆ ควำมเข้มแข็งแกช่ ุมชนหลำยด้ำน ดังต่อไปนี้ โดยส่งเสริมให้ชุมชนเป็นแม่แบบในกำรถ่ำยทอดองค์ ควำมรู้และประสบกำรณ์ เพ่ือส่งเสริมให้นักศึกษำได้ ด้ำนเศรษฐกิจ ทีมงำนร่วมกับภำคีต่ำงๆ เกิดกำรเรยี นรนู้ อกเรยี น และผลักดนั ใหน้ ักศกึ ษำมแี รง และชุมชน สำมำรถจัดสร้ำงบ่อแก๊สชีวภำพในชุมชน บันดำลใจในกำรสร้ำงสรรคผ์ ลงำนเพ่ือสังคม. ได้ทั้งส้ิน 100 บ่อ โดยบ่อขนำด 8 ลูกบำศก์เมตร สำมำรถจัดสร้ำงได้ทั้งส้ิน 85 บ่อ ทำให้สำมำรถลด บรรณานุกรม ค่ำใช้จ่ำยในกำรใช้แก๊สหุงต้ม อย่ำงน้อยประมำณ 34,000 บำท/เดือน (85 บ่อ x 400 บำท) หรือเท่ำกับ ธนำคำรแห่งประเทศไทย. 2558. “รำคำก๊ำซหุงต้ม” ป ร ะ ม ำ ณ 408,000 บ ำ ท / ปี แ ล ะ บ่ อข น ำ ด 32 [ออนไลน์] ได้จำก http://www2.bot.or.th/- ลูกบำศก์เมตร ซ่ึงเกิดจำกควำมต้องกำรของ statistics/ReportPage.aspx?reportID=90&la ผู้ประกอบกำรเล้ียงสุกร และผู้ประกอบกำรยำงแผ่น nguage=th รมควัน 4 รำย จำนวนบ่อแก๊สรวม 15 บ่อ ทำให้ Akano, T., Miura, Y., Fukatsu, K., Miyasaka, H., สำมำรถลดค่ำใช้จ่ำยในกำรใช้แก๊สหุงต้ม อย่ำงน้อย Ikuta, Y., Matsumoto, H., Hamassaki, A., ประมำณ 24,000 บำท/เดือน (15 บ่อ x 1,600 บำท) Mizoguchi, T., Yagi, K. and Maeda, I. 1996. หรือเท่ำกับประมำณ 288,000 บำท/ปี และเมื่อนำผล “Hydrogen production by กำรลดค่ำใช้จ่ำยในกำรใช้แก๊สหุงต้มจำกบ่อท้ังสอง microorganisms.” Appl. Biochem. ขนำดท่ีได้จัดทำสำมำรถลดค่ำใชจ้ ำ่ ยได้ทั้งสิ้น 58,000 บำท/เดือน หรือเท่ำกับประมำณ 696,000 บำท/ปี Biotech. 57/58:677-688. นอกจำกลดค่ำใช้จ่ำยในกำรซ้ือปุ๋ยเคมีจำกกำรใช้กำก Santibanez, C., Varnero, M.T. andBustamante, M. 2011. “Residual glyceroal from biodiesel manufacturing, waste or potential source of bioenergy: a review.” Chilean j agric res. 71:469-475.. 34 RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016

การจัดการนา้ เสียโดยกระบวนการมสี ่วนร่วมของชมุ ชน Wastewater management by the community participation ขนิษฐา เจริญลาภ1* และ ปทมุ ทพิ ย์ ปราบพาล2 Khanittha Charoenlarp1* and Pathumthip Prabphane2 1 รองศาสตราจารย์ คณะอุตสาหกรรมสง่ิ ทอ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลกรงุ เทพ 2 ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ 1 Associate Professor, Faculty of Textiles Industry, Rajamangala University of Technology Krungthep 2 Assistance Professor, Faculty of Engineering, Rajamangala University of Technology Krungthep E-mail: [email protected], เบอร์โทรศัพท์ 089-1425195 บทคดั ย่อ การจัดการน้าเสียโดยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนและโรงเรียนในการอนุรักษ์แหลง่ นา้ ด้าเนินการโดย ให้ข้อมูล ข่าวสาร ประชาสัมพันธ์ โครงการให้กับครู นักเรียนโรงเรียนบางแค (เน่ืองสังวาลย์นุสรณ์) และชุมชนที่ อาศัยรอบโรงเรียน รับฟังความคิดเห็นของชุมชน รวมทังถ่ายทอดความรู้ให้ครู และนักเรียนโรงเรียนบางแค (เน่ือง สังวาลย์นุสรณ์) ผลจากการถ่ายทอดความรู้ พบว่าครูและนักเรียน สามารถสร้างระบบบ้าบัดน้าเสียอย่างง่ายด้วย ระบบธรรมชาติชว่ ยธรรมชาติ และสามารถตดิ ตามตรวจสอบและวิเคราะห์คุณภาพน้าอย่างงา่ ยได้ นอกจากนีครู และ นักเรียนโรงเรียนบางแค (เน่ืองสังวาลย์นุสรณ์) ร่วมกับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุง เทพ ได้ แบ่งปันและถ่ายทอดความรู้ดังกล่าว ให้ชุมชน ครู และนักเรียนในโรงเรียนเครือข่ายอีกสิบโรงเรียน และน้าไปสู่ศูนย์ การเรียนรู้ด้านการบ้าบัดนา้ เสียอย่างง่ายด้วยระบบธรรมชาติช่วยธรรมชาติ โดยแบ่งเป็นศูนย์การเรียนรู้ที่บ้านและท่ี โรงเรียน โดยทังสองศูนย์ด้าเนินการบ้าบัดน้าเสียแบบธรรมชาติ รวมทังน้าน้าที่บ้าบัดกลับมาใช้ประโยชน์เป็นน้ารด ต้นไม้ในบา้ นและโรงเรียน คา้ ส้าคัญ การมีส่วนร่วม การอนรุ กั ษแหลง่ นา้ ระบบบงึ ประดิษฐ์ ABSTRACT The project objective was to study the participation the approach between community and school to conversation of water resource. Project carried out by provide information to the communities living around the school and got opinions from the community. Trained the teachers and the students about water quality analysis and wastewater treatment by the constructed wetland. The population samples consisted of teachers and students from Bangkhae-nsw school, community representatives and school networks. The students and the communities realized that participation in the conservation of water resources can prevent the water pollution. After the training, the teachers and students could analyze the water quality and created their own wastewater treatment system. In addition, they collaborated with the students from Rajamangala University of Technology Krungthep. to share and transfer knowledge to the community, teachers and students in the school network. Now this school is a learning center for the conservation of water resources and sufficient economy. It also extends into the community. The people in the วารสารวชิ าการรบั ใช้สงั คม มทร.ลา้ นนา 35 ปที ่ี 1 ฉบบั ที่ 1 มกราคม - มถิ นุ ายน 2559

community have participate in the conservation of their water resources. Some people have a small constructed wetland in the backyard and watering the plants by using the recycle wastewater. Keywords participation, conversation of water resource, constructed wetland. บทนา้ รวมทังถ่ายทอดองค์ความรู้ท่ีจ้าเป็นต่อการจัดการน้า วิถีชีวิตของคนไทยมีความเก่ียวข้องกับน้ามา เสียที่เหมาะสม สอดคล้องกับสภาพพืนท่ี และการ ลงทุน ใหแ้ ก่ครู เยาวชน และชุมชนซอยเพชรเกษม 51 โดยตลอดมาตังแต่อดีต ได้ใช้ประโยชน์จากแหล่งน้า รวมทังเพ่ือให้เกิดการน้าองค์ความรู้ไปประยุกต์ใช้ใน มากมาย ทังการอุปโภคบริโภค การเป็นที่รองรับหรือ การบรหิ ารจดั การน้าเสยี นา้ ไปสกู่ ารอนุรักษแ์ ละฟ้ืนฟู ระบายน้าฝนและน้าเสยี เป็นแหล่งผลิตอาหารจากพืช คณุ ภาพน้าได้อย่างเหมาะสม และสัตว์น้า เป็นแหลง่ นา้ เพื่อการเกษตร อตุ สาหกรรม ตลอดจนเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ที่สืบทอด วิธกี ารด้าเนนิ งาน วัฒนธรรมและประเพณี เสริมสร้างภูมิทัศน์ให้กับ 1. การวางแผนงาน ชุมชน ปัจจุบันสถานการณ์ของแม่น้า ล้าคลอง และ แหล่งน้าต่างๆ ทั่วประเทศก้าลังเผชิญกับปัญหาความ (1) ส้ารวจ สมั ภาษณ์ สอบถาม ความต้องการ เส่ือมโทรม โดยมีแหล่งน้าท่ีมีคุณภาพเสื่อมโทรมร้อย ของครแู ละชุมชน ละ 18 แหล่งน้าที่มีคุณภาพพอใช้ร้อยละ 48 และ แหล่งน้าที่มีคุณภาพดีร้อยละ 34 (กระทรวง (2) น้าผลการส้ารวจมาวิเคราะห์เพ่ือหา ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม, 2556) ความ วิธีการด้าเนินงานโดยอาศัยพืนฐานกรอบแนวคิด เสื่อมโทรมของคุณภาพน้า โดยเฉพาะคลองต่าง ๆ ใน องค์กรแห่งการเรียนรู้ (learning organization) ของ เขตชุมชนหนาแน่นในเขตกรุงเทพมหานคร ท้าให้ไม่ Peter Senge (1990) กล่าวว่าการสร้างองค์กรแห่ง สามารถน้าน้ามาใช้ประโยชน์เพ่ือการอุปโภคและ การเรียนรู้ มีแนวปฏิบัติเพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ บริโภคได้ สูญเสียทัศนียภาพ ของริมฝ่ังล้าน้า ทังนี ทังองค์กร ดงั นี เพราะประชาชนโดยทวั่ ไปยงั ขาดความรูค้ วามเขา้ ใจใน การอนรุ กั ษท์ รพั ยากรนา้ ตลอดจนไม่ทราบถงึ ผลเสยี ที่ - บุ ค ค ล ท่ี ร อ บ รู้ ( personal mastery) เกิดจากการท้าลายทรัพยากรน้า ท้าให้ไม่ตระหนักถึง หมายถึง การเรียนรู้ของบุคลากร โดยคนในองค์กร ความจา้ เปน็ ในการอนรุ กั ษท์ รัพยากรน้า นา้ ไปสกู่ ารใช้ ต้องให้ความส้าคัญกับการเรียนรู้ ฝึกฝน ปฏิบัติ และ ทรัพยากรน้าอย่างขาดความรอบคอบและความ เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เพ่ือเพิ่มศักยภาพของตนเองอยู่ รับผิดชอบ เสมอ ในการด้าเนนิ การแก้ไขปัญหานา้ เสียในแหล่ง - รู ป แ บ บ ค ว า ม คิ ด (mental model) น้า จะต้องประกอบด้วยปัจจัยท่ีจะส่งผลให้เป้าหมาย หมายถึง แบบทางความคิด ความเช่ือ ทัศนคติ จาก ไปสู่ความส้าเร็จ ได้แก่ การมีส่วนร่วมของทุกภาคสว่ น การส่ังสมประสบการณ์ จนท้าให้บุคคลนันๆ สามารถ ในชุมชน ความรู้ ความเข้าใจ ตลอดจนวิธีการ/ ท้าความเข้าใจ วินิจฉัย ตัดสินใจในเรื่องต่างๆ อย่าง เทคโนโลยีการจัดการน้าเสียท่ีเหมาะสมกับชุมชน เหมาะสม ดังนัน เพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถและองค์ ความรู้ให้แก่ครู เยาวชน และชุมชน ในการจัดการน้า - ก า ร มี วิ สั ย ทั ศ น์ ร่ ว ม (shared vision) เสีย คณะอุตสาหกรรมส่ิงทอ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี หมายถึง การสร้างทัศนคติร่วมของคนในองค์กร ให้ ราชมงคลกรุงเทพ จึงได้จัดท้าโครงการถ่ายทอด สามารถมองเห็นภาพ และมีความต้องการที่จะมุ่งไป ความรู้ด้านการจัดการน้าเสียส้าหรับชุมชนขนาดเล็ก ในทศิ ทางเดียวกนั . ในโรงเรียน เพ่ือเสริมสร้างกระบวนการเรียนรู้ พัฒนา - ก า ร เ รี ย น รู้ ร่ ว ม กั น (team learning) หมายถึง การเรียนรู้ร่วมกันของสมาชิกในองค์กร โดย มีการแลกเปลี่ยนถ่ายทอดความรู้ และประสบการณ์ 36 RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016

อย่างสม่้าเสมอ ทังรูปแบบที่เป็นทางการ และไม่เป็น ชุมชนและโรงเรียนในเครือข่ายสามาถน้าไปปฏิบัติได้ ทางการ ง่าย - ก า ร คิ ด เ ชิ ง ร ะ บ บ (system thinking) (3) จัดตังทีมส้ารวจ ตรวจสอบและเฝ้าระวัง หมายถึง การท่ีบุคลากรในองค์กร สามารถมอง คุณภาพน้าในคลอง ในประเด็นดังนี สภาพท่ัวไปทาง ภาพรวม และเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่างๆ กายภาพ ของล้าคลอง การใช้ประโยชน์จากคลอง และสามารถเชื่อมโยงสงิ่ ต่างๆ อย่างเป็นระบบได้อยา่ ง (คมนาคม อุปโภคบริโภค การเกษตร) กิจกรรมริม เขา้ ใจ มีเหตมุ ีผล คลอง (ชุมชน ร้านอาหาร โรงงาน) ปัญหาต่างๆ (ขยะ ผกั ตบชวา) จากแนวคิดข้างต้น แสดงให้เห็นถึงโอกาส ของการมีส่วนร่วมของชุมชน ในการอนุรักษ์แหล่งน้า 3. การตรวจสอบการดา้ เนนิ งาน โดยผา่ นกระบวนการท้างานเป็นทีม สรา้ งกระบวนการ (1) ประเมินระดับความรู้ความเข้าใจ และ เรียนรู้ร่วมกัน การมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน ผู้วิจัยจึงน้ามา พฒั นาเปน็ โครงการถา่ ยทอดความรดู้ ้านการจัดการน้า การมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์แหล่งน้าของเยาวชน เสียสา้ หรบั ชุมชน โรงเรียนบางแค (เนื่องสังวาลย์อนุสรณ์) โรงเรียนใน เครือข่าย และประชาชนในชุมชนซอยเพชรเกษม 51 (3) ป ร ะ ชุ ม ค รู แ ล ะ ผู้ น้ า ชุ ม ช น เ พ่ื อ โดยใชแ้ บบสอบถาม ประชาสัมพันธ์โครงการ และส่ือสารให้ครู และผู้น้า ชุมชนเข้าใจ เข้าถึงเป้าหมาย และทิศทางการท้างาน (2) ประเมินผลความพึงพอใจในการเข้ารับ เพื่อสรา้ งกระบวนการมีสว่ นร่วม การอบรมถา่ ยทอดองค์ความรใู้ ห้แก่ครูโรงเรียนบางแค (เนือ่ งสงั วาลย์นสุ รณ์) โดยใชแ้ บบสอบถาม 2. การดา้ เนินการ (1) การสร้างเสริมความรู้ ความสามารถ (3) ประเมินความพึงพอใจในกิจกรรมการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และแบ่งปันความรู้ ของครู ใหแ้ กเ่ ยาวชน และชุมชนซอยเพชรเกษม 51 นกั เรยี นโรงเรียนบางแค (เน่อื งสังวาลยน์ สุ รณ์) ครูและ ถ่ายทอดความรู้ เก่ียวกบั ปญั หามลพิษทางนา้ นักเรียนโรงเรียนเครือข่าย และประชาชนในชุมชน ซอยเพชรเกษม 51 โดยใช้แบบสอบถาม การรักษาสภาพแวดล้อมในชุมชน การสร้างถังดัก ไขมัน การใช้และการบ้ารุงรักษาถังดักไขมัน การ (4) ศกึ ษาประสทิ ธภิ าพของระบบบึงประดษิ ฐ์ บ้าบดั น้าเสียดว้ ยระบบบงึ ประดิษฐ์ และการตรวจสอบ ในการบ้าบัดน้าเสียของโรงเรียน โดยการวิเคราะห์ คณุ ภาพนา้ อย่างง่าย โดยทมี วิจยั ถ่ายทอดความรใู้ ห้กับ คณุ ภาพนา้ กอ่ นและหลังผ่านการบา้ บัด ครูและนักเรียนโรงเรียนบางแค (เนื่องสังวาลยน์ ุสรณ)์ และจากนันครูและนักเรียนโรงเรียนบางแค (เน่ือง 4. การพัฒนาและปรับปรุง สังวาลย์นุสรณ์) ได้แลกเปล่ียนเรียนรู้และแบ่งปัน การน้าข้อมูลท่ีได้จากการดา้ เนินงานรายงาน ความรู้ ดังกล่าวแก่ชุมชน และนักเรียนในเครือข่ายใน สังกัดกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วยโรงเรียนวัด เพื่อให้ชุมชนทราบว่าปัญหาน้าเสียมีผลกระทบต่อ รัชฎาธิฐาน โรงเรียนเพชรเกษม โรงเรียนบางไผ่ (บ้าน คณุ ภาพชวี ติ อย่างไร และร่วมกนั หาแนวทางการมสี ว่ น นายพันกว้าง) โรงเรียนวัดชัยฉิมพลี โรงเรียนวัดศาลา ร่วมของชุมชนและโรงเรียนในการอนุรักษ์แหล่งน้า แดง โรงเรยี นวดั บางบอน โรงเรยี นบ้านนายสี โรงเรียน โดยการเปิดเวทชี าวบ้าน วัดบุณยประดิษฐ์ โรงเรียนวดั นนั ทสธุ าราม ผลการด้าเนินงาน (2) การออกแบบและสร้างระบบบา้ บดั น้าทงิ (1) ความรู้ความเข้าใจในการอนุรักษ์แหล่ง โดยใชว้ ิธที างธรรมชาติ นา้ ของเยาวชนและชมุ ชนซอยเพชรเกษม 51 ออกแบบระบบบ้าบัดน้าเสียอย่างง่ายด้วย จากการศึกษาระดับความรู้ความเข้าใจและ ระบบบึงประดิษฐ์ ซึ่งมีค่าก่อสร้างไม่สูงมาก การดูแล และรักษาระบบท้าได้ง่าย เพื่อเป็นต้นแบบให้กับ การมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์แหล่งน้าของเยาวชน โรงเรียนบางแค (เนื่องสังวาลย์อนุสรณ์) โรงเรียนใน วารสารวชิ าการรบั ใชส้ ังคม มทร.ลา้ นนา 37 ปที ่ี 1 ฉบับท่ี 1 มกราคม - มถิ นุ ายน 2559

เครือข่าย และประชาชนในชุมชนซอยเพชรเกษม 51 รูปท่ี 1 ศึกษาความรคู้ วามเข้าใจ แก่นักเรียน โดยใชแ้ บบสอบถาม (รปู ท่ี 1) สรุปผลไดด้ ังนี ประชาชนในชุมชน ผู้นา้ ชุมชน แกนน้าชมุ ชน ในการ - ชุมชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหา อนุรักษ์ทรพั ยากรน้า น้าเสียมากกว่าเด็กนักเรียน ทังนีเนื่องจากกลุ่ม (2) การสร้างเสริมความรู้ ความสามารถ ตัวอย่างประชาชนที่ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่จบ ใหแ้ กเ่ ยาวชน และชุมชนซอยเพชรเกษม 51 การศึกษาในระดับปริญญาตรี (ร้อยละ 39) และมี ให้ความรู้ โดยทีมอาจารย์จากมหาวิทยาลัย อาชีพรับราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ร้อยละ เทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ ถ่ายทอดความรใู้ ห้กับครู 61) กล่มุ ตวั อยา่ งมีสว่ นร่วมในกิจกรรมตา่ ง ๆ เพอ่ื การ และนักเรียนโรงเรียนบางแค (เนื่องสังวาลย์นุสรณ์) อนุรักษ์แหล่งน้าในชุมชนในระดับน้อย และตระหนัก และจากนันครูและนักเรียนโรงเรียนบางแค (เน่ือง วา่ การมีสว่ นร่วมในการอนุรักษ์ทรพั ยากรแหล่งน้าของ สังวาลย์นุสรณ์) ได้ถ่ายทอดความรู้ดังกล่าวแก่ชุมชน ชมุ ชน จะชว่ ยลดปญั หาน้าเสยี ที่เกดิ ขนึ ได้ และนักเรียนในเครือข่ายในสังกัดกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วยโรงเรียนวัดรัชฎาธิฐาน โรงเรียนเพชร - ระดับความรู้ความเข้าใจ พฤติกรรมและ เกษม โรงเรียนบางไผ่ (บ้านนายพันกว้าง) โรงเรียนวดั ก า ร มี ส่ ว น ร่ ว ม ใ น ก า ร อ นุ รั ก ษ์ แ ห ล่ ง น้ า ไ ม่ มี ชัยฉิมพลี โรงเรียนวัดศาลาแดง โรงเรียนวัดบางบอน ความสัมพันธ์ต่อกัน แสดงว่าระดับความรู้มากไม่ได้ โรงเรียนบ้านนายสี โรงเรียนวัดบุณยประดิษฐ์ หมายความว่านักเรียนจะมีพฤติกรรม และมีส่วนร่วม โรงเรียนวัดนันทสุธาราม ในการอนุรักษ์แหล่งน้ามาก โดยพบว่าความตระหนัก และการรับรู้เร่ืองปัญหาน้าเสีย มีความสัมพันธ์กับ รปู ท่ี 2 กิจกรรมการสร้างเสรมิ ความรู้ ความสามารถ พฤติกรรมในการดูแลรักษาแหล่งน้าอย่างมีนัยส้าคัญ ใหแ้ กค่ รโู รงเรียนบางแค (เนอื่ งสงั วาลย์นสุ รณ์) ดังนันจะเห็นได้ว่าพฤติกรรมในการดูแล รักษา ส่ิงแวดล้อมและแหล่งน้า ไม่ได้มาจากการมีความรู้ เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยด้านอื่น เช่นจิตส้านึก และความตระหนักของแต่ละบุคคล ทังนีตามโมเดล ความคิดทัศนคติ ( mental model) ของ Peter Senge (1990) กล่าวว่า หากบุคคลได้มีการปรับ ทัศนคติ พัฒนารูปแบบความคิดให้สอดคล้องกับการ เปล่ียนแปลง โดยไม่ยึดติดกับความเช่ือเก่าๆ บุคคลก็ จะสามารถปรับเปล่ียนกรอบความคิด วิธีคิด และ มุมมองที่กว้างขึน ดังนันในส่วนของการมีจิตส้านึก ความตระหนัก ในเรื่องของการมีส่วนร่วมในการ อนุรักษ์แหล่งน้า หากคนในชุมชนมองเห็นปัญหา ร่วมกัน ร่วมคิดแก้ปัญหาร่วมกัน และมองเห็น เป้าหมายของคุณภาพส่ิงแวดล้อมท่ีดีในชุมชนร่วมกัน ย่อมส่งผลให้ชุมชนร่วมมือกัน ช่วยกันดูแลรักษาแหลง่ น้าให้มีคุณภาพดี และปฏิบัติตามๆกันไปจนกลายเป็น วัฒนธรรมองคก์ ร 38 RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016

รปู ที่ 3 กจิ กรรมการสรา้ งเสริมความรู้ ความสามารถ รูปท่ี 5 กจิ กรรมแลกเปลี่ยนเรียนรเู้ รื่องการวิเคราะห์สี ให้แกเ่ ยาวชน และชุมชนซอยเพชรเกษม 51 ของน้า (3) กิจกรรมการแลกเปล่ียนเรียนรู้ การ รปู ที่ 6 กจิ กรรมแลกเปลย่ี นเรียนรู้เร่ืองการวเิ คราะห์ แบ่งปันความรู้ ค่าความขนุ่ และคา่ ความนา้ ไฟฟา้ ของน้า เยาวชนโรงเรียนแกนน้า และโรงเรียนใน เครือข่าย นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยร่วมกิจกรรม แลกเปล่ียนเรียนรู้ แบ่งปันความรู้ผ่านการฝึกปฏิบัติ โดยในการฝึกปฏิบัติได้แบ่งฐานการเรียนรู้ออกเป็น 7 ฐาน ได้แก่ ฐานท้าถังดักไขมัน ฐานวิเคราะห์สีของน้า ฐานวเิ คราะหค์ วามขนุ่ และค่าการนา้ ไฟฟ้าของนา้ ฐาน วิเคราะห์ปริมาณคลอรีน คลอไรด์ เหล็ก และความ กระด้างของนา้ ฐานวิเคราะห์ปรมิ าณไนไทรต์ ไนเทรต และค่าพีเอชของน้า ฐานวิเคราะห์ปริมาณออกซิเจน ละลายนา้ ฐานวเิ คราะหค์ ุณภาพนา้ ทางชวี ภาพ รูปท่ี 4 กจิ กรรมแลกเปลี่ยนเรียนร้เู รอ่ื งการทา้ ถังดัก รูปที่ 7 กิจกรรมแลกเปลีย่ นเรียนรูเ้ ร่อื งการวเิ คราะห์ ไขมัน ปรมิ าณคลอไรด์ คลอรนี เหลก็ และความกระดา้ งของน้า วารสารวชิ าการรับใช้สงั คม มทร.ลา้ นนา 39 ปีที่ 1 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม - มิถุนายน 2559

รูปที่ 8 กิจกรรมแลกเปล่ียนเรยี นรเู้ รอ่ื งการวเิ คราะห์ (4) การออกแบบและสร้างระบบบา้ บดั น้าทิง ปรมิ าณไนไทรต์ ไนเทรต และคา่ พีเอชของนา้ โดยใช้วิธที างธรรมชาติ รปู ท่ี 9 กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรอื่ งการวเิ คราะห์ โรงเรียนบางแค (เนื่องสังวาลย์อนุสรณ์) มี ปริมาณออกซิเจนละลายนา้ นักเรียนประมาณ 1,000 คน มีปริมาณน้าทิงจาก บ้านพักครู จากห้องน้านักเรียน และจากโรงอาหาร รูปท่ี 10 กจิ กรรมแลกเปลี่ยนเรยี นรู้เรอื่ งการวเิ คราะห์ เฉล่ียประมาณ 25 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน น้าทิงของ คณุ ภาพน้าทางชวี ภาพ โรงเรียนมีค่าบีโอดี ซีโอดี สารแขวนลอย น้ามันและ ไขมันเกินค่ามาตรฐานนา้ ทงิ ยกเว้นค่าพีเอช ดังนันจงึ จากการสร้างเสริมความรู้ ความสามารถ มีความจ้าเป็นบ้าบัดน้าเสีย ก่อนปล่อยทิงลงสู่ล้าราง ให้แก่เยาวชน และชุมชนซอยเพชรเกษม 51 พบว่า สาธารณะ เน่ืองจากน้าทิงส่วนใหญ่ของโรงเรียนมา บุคลากรในชุมชน ครู และเยาวชน มีความตระหนัก จากโรงอาหาร และห้องน้า ซ่ึงปนเป้ือนด้วย และเห็นความส้าคัญ ตลอดจนมีส่วนร่วมในการดูแล สารอินทรีย์ท่ีย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ จากการร่วม รักษาคูคลอง เยาวชนโรงเรียนแกนน้าสามารถให้ คิด และตัดสินใจร่วมกันระหว่างบุคลากรจาก ค้าแนะน้ากับเพ่ือนนักเรียนในโรงเรียนเครือข่าย ใน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ และ การตรวจสอบและวเิ คราะห์คุณภาพนา้ อย่างง่ายได้ โรงเรียนบางแค (เนื่องสังวาลย์นุสรณ์) จึงได้ร่วมกัน ออกแบบระบบบ้าบัดน้าเสียอย่างง่ายด้วยระบบบึง ประดิษฐ์ ซงึ่ มีค่าก่อสร้างไม่สงู มาก การดูแลและรกั ษา ระบบท้าได้ง่าย เพื่อเป็นต้นแบบให้กับชุมชนและ โรงเรียนในเครือข่ายสามาถน้าไปปฏิบัติได้ง่าย รูปแบบบึงประดิษฐ์เพ่ือใช้ในการบ้าบัดน้าเสียของ โรงเรียนสร้างด้วยคอนกรีตขนาดกว้าง x ยาว เท่ากับ 1x7 เมตร แบ่งออกเป็นบ่อเล็กๆ ทังหมด 7 บ่อ (รูปท่ี 11-12) โดยบ่อที่ 1 บรรจุด้วยไบโอบอลล์ (bioball) บอ่ ท่ี 2 บรรจุดว้ ยอิฐหกั ขนาด 2-3 นิว บรรจใุ นบ่อสูง ประมาณ 50 เซนตเิ มตร บ่อที่ 3 ด้านลา่ งของบ่อบรรจุ ด้วยกรวดขนาด ½-1 นิว บรรจุในบ่อสูงประมาณ 25 เซนติเมตร ส่วนด้านบนเป็นทรายหยาบสูงประมาณ 15 เซนติเมตร บ่อที่ 4 บรรจุด้วยถ่านสูงประมาณ 50 เซนติเมตร บ่อท่ี 5 ปลูกต้นธูปฤาษี บ่อท่ี 6 ปลูก ผักตบชวา และบ่อท่ี 7 ปลูกหญา้ แฝก และจากบ่อท่ี 7 ต่อท่อน้าทิงท่ีผ่านการบ้าบัดมายังจักรยาน โดยปั่น จักรยานเพื่อสบู นา้ จากบ่อที่ 7 เพื่อรดน้าบริเวณสนาม หญา้ หน้าโรงเรียน (รปู ท่ี 13) 40 RMUTL Journal Socially of Engaged Sholarship Vol. 1 No. 1 January - June 2016

รูปท่ี 11 แบบระบบบา้ บดั นา้ เสยี แบบบงึ ประดิษฐข์ อง ละ 70-96 และมีประสิทธิภาพในการก้าจัดสาร โรงเรียนบางแค (เนื่องสงั วาลย์อนสุ รณ)์ แขวนลอยร้อยละ 60-90 (Thammarat Koottatep et al., 2002) ระบบบึงประดิษฐ์สามารถลดค่าความ รปู ที่ 12 การสร้างระบบบา้ บดั นา้ เสยี แบบบงึ ประดิษฐ์ สกปรกของนา้ เน่ืองจากแบคทเี รียทา้ หนา้ ทีย่ ่อยสลาย ของโรงเรยี นบางแค (เนอ่ื งสงั วาลยอ์ นุสรณ)์ สารอินทรีย์ และธาตุอาหาร เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรสั ท้าใหน้ ้ามีความสกปรกลดลง โดยลา้ ตน้ พชื รูปท่ี 13 การสร้างจกั รยานปนั่ นา้ เพื่อนา้ นา้ เสยี ท่ี หิน ดิน หรือทราย ในระบบบึงประดิษฐ์เป็นตัวกลาง บา้ บดั แลว้ มารดนา้ สนามหญ้าของโรงเรียน ให้แบคทีเรียเกาะ และพืชในบึงประดิษฐ์สามารถดึง ผลการวิเคราะห์คุณภาพน้าโดยครูและ ออกซิเจนจากชันบรรยากาศได้ประมาณ 5 - 45 กรัม ออกซิเจน/วัน-ตารางเมตร ขึนกับความหนาแน่นของ นักเรียนโรงเรียนบางแค พบว่าระบบบึงประดิษฐ์มี พืชในระบบ และปริมาณออกซิเจนในดินหรอื ชนั กรอง ประสิทธิภาพในการก้าจดั สารอินทรีย์ในรูปบีโอดี ร้อย (Crites, Middlebrooks, & Reed, 2005) แ ล ะ ละ 81.30 และมีประสิทธิภาพในการก้าจัดสาร นอกจากนี ราก ล้าต้นพืช หิน ดิน กรวด และทรายที่ แขวนลอยร้อยละ 58.62 ซ่ึงใกล้เคียงกับประสทิ ธภิ าพ ใช้ปลูกพืชยังเป็นเสมือนตัวกรองตะกอนแขวนลอยใน ในการบ้าบัดน้าเสียของระบบบึงธรรมชาติซ่ึงมี น้าให้ตกตะกอน (U.S. EPA, 1988) น้าจากบอ่ สุดทา้ ย ประสิทธิภาพในการก้าจดั สารอินทรียใ์ นรูปบีโอดี ร้อย ของระบบบ้าบัดมาใช้น้าไปใช้รดสนามหญ้าของ โรงเรยี น (5) แนวทางการมีส่วนร่วมระหว่างโรงเรียน และชุมชนในการอนุรกั ษ์แหลง่ นา้ ในการหาแนวทางการมีส่วนร่วมระหว่าง โรงเรียนและชุมชนในการอนุรักษ์แหล่งน้า มีขันตอน การด้าเนนิ งานดังนี - ประชาสัมพันธ์โครงการ โดยให้โรงเรียน เป็นศูนย์กลางประชาสัมพันธ์ ไปสู่ประชาชนในชุมชน ที่อาศัยอยู่ใน บริเวณรอบโรงเรียน ผู้ปกครองนักเรยี น ตลอดจนประชาสัมพันธ์ไปยังโรงเรียนที่ป็นเครือข่าย (รูปที่ 14) - ให้ความรู้เร่ืองของการอนุรักษ์แหล่งน้า การบ้าบัดน้าเสียอย่างง่าย และการติดตามตรวจสอบ คุณภาพน้า อย่างง่าย โดยผ่านกระบวนการ แลกเปลี่ยนเรียนร้รู ะหวา่ ง ครู นักเรียน นักศกึ ษา และ ชมุ ชน - ให้โรงเรียนเป็นศูนย์การเรียนรู้ โดย ด้าเนินการสร้างระบบบ้าบัดน้าเสียแบบบึงประดิษฐ์ และผสมผสานกับ หลักการของปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียง ในการปลูกผักสวนครัวไว้รับประทานใน โรงเรียน และสูบน้าน้าท่ีผ่านการบ้าบัดโดยอาศัย จักรยานสบู นา้ เพอ่ื ลดการใชพ้ ลังงาน - ขยายผลจากศูนย์การเรยี นรใู้ นโรงเรียนเป็น ศูนย์การเรียนรู้จากชุมชน โดยมีตัวแทนของชุมชน วารสารวชิ าการรับใช้สังคม มทร.ลา้ นนา 41 ปที ่ี 1 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม - มถิ นุ ายน 2559