ตอบ ดร.มาร์ติน: พุทธวินัย ถึง ภิกษุณี พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) มาฆบูชา ๒๕๕๔
ตอบ ดร.มาร์ตนิ : พุทธวินัย ถึง ภิกษุณี พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ISBN 978-616-90770-0-8 พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๑ — ออกพรรษา ๒๕๕๓ ๑,๕๐๐ เลม่ พมิ พ์ครงั้ ที่ ๒ — มาฆบูชา ๒๕๕๔ - ทนุ พมิ พ์หนังสือธรรมทาน วัดญาณเวศกวนั ปก: พระชัยยศ พุทฺธวิ โร ที่พิมพ์:
บันทกึ นา ในการพิมพค์ รง้ั ท่ี ๒ หนังสือ ตอบ ดร.มาร์ติน: พุทธวินัย ถึง ภิกษุณี น้ี เมื่อพิมพ์ครั้ง แรก เกิดขึ้นโดยเปน็ งานที่ค่อนข้างเร่ง เน่ืองจากมีงานอ่ืนรออยู่มาก ในการ พิมพ์คร้ังท่ี ๒ แม้จะไม่มีเวลาตรวจทานตลอดอีก ก็ได้ปรับปรุงเล็กๆ น้อยๆ ในบางแห่ง ท่ีนึกได้บ้าง พอดีพบบ้าง เกี่ยวกับถ้อยคาสานวนท่ีอาจ หลวมไป โดยทาใหก้ ระชับหรอื รัดกุมขึน้ มีส่วนท่ีเขียนเพ่ิมเติมยาวสักหน่อย ๒ เร่ือง คือ ป―ญหานานาสังวาส กับสังฆกรรมในการอุปสมบท และการบวชแบบเอหิภิกขุ ท่ีมีมาคู่กับญัตติ จตตุ ถกรรมอุปสมั ปทาเกือบ ๒๐ ปี ในคร้ังพุทธกาล นอกจากนี้ มีเพ่ิมเติม เพยี งเลก็ น้อย รวมแล้วทาให้หนงั สือหนาขนึ้ ๑๒ หนา้ พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๒๗ มกราคม ๒๕๕๔
โมทนพจน์ เร่ือง ตอบ ดร. มาร์ติน: พุทธวินัย ถึง ภิกษุณี เกิดมีเน้ือความปรากฏ ขึ้นมาจากคําถาม-คําตอบ จนเป็นเล่มหนังสือดังประจักษ์เบ้ืองหน้าน้ี ด้วย กุศลฉันทะของ Dr. Martin Seeger โดยแท้ เพราะลําพังตัวผู้ตอบเอง แม้จะ รู้อยวู่ า่ เรือ่ งทสี่ ัมภาษณ์นส้ี าํ คัญ นา่ สนใจ แต่ไมม่ ีเวลาเอาใจใส่อย่างใดเลย ดร. มาร์ติน มาสัมภาษณน์ านนักแล้ว เริ่มแต่ พ.ศ. ๒๕๔๗ คือเม่ือ ๖ ปี ก่อน ยังตอบไม่จบ แล้วก็ท้ิงไว้เน่ินนาน จนกระทั่งใน พ.ศ. ๒๕๕๑ จึงได้ สมั ภาษณต์ ่อ เปน็ ครั้งที่ ๒ เหตุท่ีช้า เป็นเพราะผู้ตอบเองที่อาพาธและอยู่กับงานหนังสืออื่น ส่วน ทางฝ่าย ดร. มาร์ตินน้ัน เท่าท่ีทราบ เมื่อถึงช่วงว่างจากงานสอน ก็เดินทางมา เมืองไทยทุกปี แต่เม่ือทราบว่าผู้ตอบอาพาธ ก็เกรงใจหรือถวายโอกาส จึงไป อยู่กับงานวิจยั เร่ืองอ่ืน ปีหนง่ึ ผ่านไปๆ กลายเปน็ หลายปี ท่ีจริง ควรจะสัมภาษณ์เสร็จกันไปแล้ว ตั้งแต่ครั้งแรกในปี ๒๕๔๗ นั้น เพราะเข้าใจว่า ดร. มาร์ติน มีคําถามพร้อมทั้งหมดอยู่แล้วต้ังแต่ครั้งแรกน่ัน แหละ ดังที่ในเวลาสัมภาษณ์ เห็นในแผ่นกระดาษที่ถืออยู่มีคําถามเต็มท้ัง หน้า แต่ถามหัวข้อใหญ่ไปได้ ๑-๒ ข้อ ก็ ๒-๓ ชั่วโมง ผู้สัมภาษณ์เกรงใจพระ อาพาธ กย็ ุตไิ ว้ก่อน แลว้ ก็รอเวลาผา่ นมาอย่างท่ีกล่าวข้างตน้ คร้ันเม่ือ ดร. มาร์ติน เห็นว่าเน้ือหาเพียงพอและเวลาล่าช้ามานาน จึง ได้รวบรวมจัดเตรียมข้อมูลส่งมาให้ตรวจชําระเกินครึ่งปีแล้ว และได้ยินบอก ต่อกันมาวา่ อยากให้ออกเร็วหน่อย แต่ผู้ตอบก็ไม่มีโอกาสแตะเรื่อง จนในที่สุด จึงไดอ้ าศัยการอาพาธและยงั้ งานอ่นื ไว้ เรง่ ทาํ จนเสรจ็ ดงั ท่ีปรากฏในบัดน้ี เน้ือความที่ ดร. มาร์ติน รวบรวมจัดส่งมานั้น นอกจากที่ ดร. มาร์ติน สัมภาษณ์เอง ๒ คร้ังแล้ว ก็มีคําสนทนากับท่านเจ้าคุณพระราชสุเมธาจารย์ และคณะของท่าน ครั้งหนึ่ง และบันทึกเสียงคําตอบคําถามแก่ญาติโยมคณะ หน่งึ ในปี ๒๕๔๙ ซงึ่ พระทีว่ ดั ญาณเวศกวนั นํามาใส่รวมใน CD ทีเ่ ผยแพร่
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ค เมื่อตรวจชําระ เห็นว่าผู้ฟังและผู้ศึกษาเร่ืองภิกษุณี ควรทราบเร่ือง สมณมณฑล คือวงการนักบวชสมัยน้ัน และเร่ืองวินัยของสังฆะ โดยเฉพาะ เร่ืองปาติโมกข์ เป็นต้น ด้วย เพ่ือให้เกิดความเข้าใจดีข้ึน จึงนํามาเสริมใส่เข้า ไป โดยท้ังน้ี ได้เน้นทางด้านข้อมูลความรู้ ให้ท่านผู้รู้ไปคิดพิจารณา ก็หวังว่า จะเปน็ ประโยชน์แก่ผู้ศกึ ษาและผู้ทใ่ี ฝร่ ู้ตามสมควร ดงั ได้กล่าวข้างต้น ตัวผตู้ อบเร่ืองน้ี แม้จะทราบว่า เรื่องการบวชภิกษุณี นส้ี าํ คญั นา่ สนใจ แต่ตนเองอยู่ห่างไกลเรื่อง และมีงานทางพระธรรมวินัยด้าน อนื่ ท่พี ึงทําเวลาไมพ่ ออยแู่ ล้ว จึงมิได้เอาใจใส่ ตามปกติไม่มีการพูดถึง แต่เม่ือ มผี ้มู าถาม ก็ทาํ ได้แค่มุ่งด้านความรแู้ ละตอบเป็นเร่ืองเฉพาะหน้าผ่านไปๆ คร้ันเมอ่ื ทา่ นผ้ถู าม ผู้สัมภาษณ์ หรือผู้ฟังสนใจ ถอดเสียงมาให้ตรวจ ก็ ชําระเป็นเล่มหนังสือออกมา โดยเมื่อเรื่องมาถึงตัว ก็เน้นให้ได้ข้อมูลความรู้ท่ี ถูกต้องและนําเสนอให้ชัดเท่าท่ีพอไหว เช่นเดียวกับเรื่องอ่ืนๆ ซึ่งเกิดเป็นเล่ม หนงั สือขึน้ ในทํานองน้ี มไิ ด้หมายความว่าผู้ตอบใสใ่ จกับเรื่องนี้แต่อย่างใด สําหรับเรื่อง ตอบ ดร. มาร์ติน: พุทธวินัย ถึง ภิกษุณี นี้ เมื่อได้เห็น น้ําใจกุศลของ ดร. มาร์ติน ก็คิดว่าจะปล่อยช้ามิได้ แต่กว่าจะทําเสร็จเป็น หนังสือออกมา เทียบกับหนังสืออ่ืน นับว่าใช้เวลามาก ยับย้ังงานหลักไว้ เกือบ ๓ เดอื น ของพรรษาปี ๒๕๕๓ จึงถงึ โอกาสทีจ่ ะหนั ไปทาํ ต่อไป ขออนุโมทนา Dr. Martin Seeger เป็นอย่างย่ิง ที่ได้มีฉันทะ แล้วอาศัย วิริยะเป็นต้น ตั้งฐานให้งานนี้เกิดมีขึ้น ซ่ึงเป็นการบําเพ็ญประโยชน์แก่ ส่วนรวม ทั้งแก่พระศาสนา แก่ประชาชน และแก่วงงานทางวิชาการเป็นอย่าง มาก หากท่านผู้อ่านผู้ใช้หนังสือน้ีได้ประโยชน์ ก็ขอให้อนุโมทนาผลที่เกิดจาก ความหวังดีของ Dr. Martin Seeger ดังท่ีกล่าวมา และขอให้ความเจริญธรรม เจริญปัญญาอยา่ งไพบูลย์ แผ่ผลจาํ รญู ขยายไพศาล ยืนนานสบื ไป พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๑๑ ตลุ าคม ๒๕๕๓
คำนำ ก่อนอน่ื ผมขอกราบขอบพระคณุ พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอาจารย์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) เป็นอย่างสูง ที่ท่านไม่เพียงแต่เป็นแรง บันดาลใจของผมในการศึกษาพระธรรมวินัย หากยังเมตตาผมอย่างมาก ตลอดระยะเวลา ๑๐ กว่าปีที่ผมรู้จักท่านมา ต้ังแต่ผมได้มีโอกาสกราบ นมัสการท่านคร้ังแรก สมัยที่ผมบวชเป็นพระในพระพุทธศาสนาเถรวาท ไทย ระหวา่ ง พ.ศ. ๒๕๔๐-๒๕๔๓ ทุกคร้งั ทา่ นเจา้ คณุ อาจารย์มีความกรุณา เป็นอย่างย่งิ ในการตอบปัญหาอนั มากมายของผมเกี่ยวกับพระธรรมวินัย แม้กระท่งั เม่ือผมลาสกิ ขาแลว้ และขณะศึกษาต่อในระดับปริญญาโท และเอก ผมก็ยังมีความสนใจมากในการศึกษาพระพุทธศาสนาตามแนว หนงั สือ “พุทธธรรม” ของท่านเจา้ คุณอาจารย์ ทั้งยังรู้สกึ ตลอดมาว่า ย่ิงศึกษา “พุทธธรรม” และหนังสืออื่นๆ ของท่าน ก็ยิ่งทวีความประทับใจและความ ซาบซึ้งมากขึ้นในแนวความคิดและวิธีการอธิบายของท่านเจ้าคุณอาจารย์ เก่ียวกับพระพุทธศาสนา กอปรกับความสนใจท่ีมากข้ึนตามลําดับใน การศึกษาพระธรรมวินัยท่ีบรรจุไว้ในพระบาลีและความเป็นเถรวาทใน เชิงศาสนศึกษาและวัฒนธรรมศึกษา ด้วยเหตุนี้ ผมจึงตัดสินใจท่ีจะศึกษา ผลงานและบทบาททางสังคมของท่านในระดบั ลึก โดยทําวิจัยระดับปริญญา เอกเกี่ยวกับท่านเจ้าคุณอาจารย์ในฐานะเป็นพระเถรวาทท่ีพยายาม “รักษา” พระธรรมวินัย โดยเฉพาะอย่างย่ิงเมื่อเกิด “กรณี” หรือปัญหาทางศาสนาขึ้น ในสงั คมไทย
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) จ ระหว่างทํางานวิจัยชิ้นนี้ช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๔-๒๕๔๗ ผมได้มีโอกาส สัมภาษณ์ท่านเจ้าคุณอาจารย์เชิงลึกถึง ๗ คร้ัง งานวิจัยดังกล่าว มีบทหนึ่งท่ี เก่ียวกับปญั หาการบวชภิกษุณเี ถรวาทในเมืองไทยดว้ ย นับแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ทางมหาวิทยาลัยลีดส์ ประเทศอังกฤษได้รับ ผมเป็นอาจารย์ประจํา ผมได้มีโอกาสทําวิจัยและสอนเกี่ยวกับบทบาทของ ผู้หญิงในพระพุทธศาสนาเถรวาท ทั้งยังมีโครงการวิจัยเกี่ยวกับปัญหาการ บวชภิกษุณีเถรวาทในเมืองไทยและบทบาทของแม่ชีไทยหลายโครงการ อย่างต่อเน่ืองจนถึงปัจจุบัน เป็นเหตุให้ยังคงได้โอกาสกราบนมัสการท่าน เจ้าคณุ อาจารยเ์ พือ่ สัมภาษณเ์ พ่มิ เตมิ ในสุดท้าย เมื่อเห็นว่า ท่านเจ้าคุณอาจารย์ให้ข้อมูลมากมายและ น่าสนใจ ผมจึงกราบเรียนปรึกษาท่านว่า น่าจะเผยแพร่การสัมภาษณ์ บางสว่ น วตั ถุประสงค์ขณะนาํ เสนอมีสองขอ้ ด้วยกนั คอื ๑. ตอนทาํ วจิ ัยอันเนอ่ื งด้วยปญั หาการบวชภิกษุณีเถรวาทในเมืองไทย และบทบาทของแม่ชีไทย เห็นว่า บางคร้ังมีคนอ้างท่านเจ้าคุณอาจารย์ใน ลักษณะต่างๆ โดยการหยิบคําพูดของท่านมาโดยมิได้พิจารณาบริบทอย่าง ทวั่ ถงึ หรอื ไมต่ ลอดสาย บอ่ ยครงั้ ถงึ กับสรปุ ท่าทีของทา่ นในเรื่องน้ีอย่างไม่ ครบถว้ น และทีร่ า้ ยกว่านน้ั ถึงขั้นบดิ เบือนขอ้ มลู จรงิ ด้วยเหตุน้ี ผมจึงเห็นว่า จะยังประโยชน์อย่างย่ิง ถ้าสามารถรวบรวม คําอธิบายของท่านเจ้าคุณอาจารย์เกี่ยวกับปัญหาการบวชภิกษุณีเถรวาทใน เมอื งไทยและบทบาทของแม่ชีไทย พร้อมกับแนวความคิดของท่านเก่ียวกับ ความเป็นเถรวาทที่มีความสําคัญในบริบทน้ีให้ครบถ้วน เมื่อเห็นขาดการ อธิบายที่ไหนหรือมีคนติท่านหรือสรุปท่านเกี่ยวกับเรื่องน้ีผิด ผมก็ได้ สัมภาษณ์ท่านเจ้าคุณอาจารย์เพิ่มเติม เพื่อช่วยให้เกิดความเข้าใจในประเด็น เหลา่ นี้มากข้นึ
ฉ ตอบ ดร.มารต์ ิน: พุทธวินยั ถึงภกิ ษุณี ๒. เมื่อเห็นว่า ท่านเจ้าคุณอาจารย์มีความอุตสาหะวิริยะ ได้เอาใจใส่ ให้ข้อมูลความรู้ความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้อย่างมาก และยังได้เสียสละเวลา อันมีค่าย่ิงของท่าน ในการตอบคําถาม แม้ว่าผมหาวิธี “share (แบ่งปัน)” ข้อมลู เหลา่ นกี้ บั ผู้ท่ีสนใจเรือ่ งน้ี โดยการเขียนวิทยานิพนธ์และบทความทาง วิชาการ ส่งพิมพ์ในวารสารวิชาการต่างๆ ที่เป็นภาษาอังกฤษ กระนั้น ผม เห็นว่า ยังเป็นการเผยแพร่เฉพาะในวงจํากัด เพราะฉะน้ัน การเผยแพร่ใน รูปแบบหนงั สอื นี้ ย่อมมปี ระสทิ ธภิ าพมากกว่า ในการรวบรวมคร้ังน้ี ไม่เพียงแต่การสัมภาษณ์ท่านของผมเท่าน้ัน หากยังได้ค้นหาการสัมภาษณ์เพิ่มเติม ที่มีคณะอ่ืนมาสัมภาษณ์ท่านเกี่ยวกับ เร่ืองน้ีดว้ ย เม่ือรวบรวมเสร็จแล้ว ผมจึงได้ถวายบทถอดความยาวประมาณ ๖๕ หน้าแก่ท่าน พร้อมกับคําถามและ comments เพิ่มเติมแนบไปด้วย เพื่อขอ อนุญาตทา่ นเจา้ คณุ อาจารย์ได้ตรวจทาน และพมิ พ์เผยแพร่ เม่ื อ ท่ า น เ จ้า คุ ณ อา จ า รย์ ติ ด ต่อ แ ล ะ ใ ห้ ผ ม ดู ต้ นฉ บั บ ใ ห ม่ ที่ ท่ า น ไ ด้ ปรับปรุงแก้ไขเพ่ิมเติมเพื่อความสมบูรณ์จนมีขนาดมากกว่า ๖ เท่าของบท ถอดความเดิมท่ีผมถวายไปน้ัน ยิ่งสร้างความประทับใจและซาบซ้ึงใจใน ความเมตตาและความเอาใจใส่ของท่าน และเห็นคุณค่าของเนื้อหาหนังสือนี้ มากยง่ิ ขนึ้ สุดทา้ ยนี้ ขอขอบคุณคุณนริศ จรัสจรรยาวงศ์ เพื่อนสหธรรมิกของผม ที่สละเวลานําผมไปกราบนมัสการท่านเจ้าคุณอาจารย์หลายครั้ง พร้อมทั้งมี ส่วนร่วมในการเตรียมและร่วมสัมภาษณ์ท่านเจ้าคุณอาจารย์ อีกท้ัง
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) ช ขอขอบพระคุณอาจารย์ธนภณ สมหวัง (มหาวิทยาลัยศรีปทุม) คุณสุทธิรักษ์ สุขธรรม แห่งธรรมสภา และ ขอบใจคุณพฤกษา สุขธรรม สําหรับการถอด เทป นอกจากนี้ขอขอบคุณ คุณอัจฉราวรรณ Seeger ภรรยาของผมสําหรับ ความช่วยเหลือในการเตรียมคําถามเพ่ือสัมภาษณ์ท่านเจ้าคุณอาจารย์ตั้งแต่ ผมยงั เป็นนกั ศึกษาปริญญาเอก ผมดีใจอยา่ งยงิ่ ทไ่ี ด้เหน็ หนังสือเล่มนี้สู่บรรณพิภพ ทั้งม่ันใจเป็นอย่าง ยิ่งวา่ เนอ้ื หาจกั ให้ประโยชนม์ หาศาลสําหรบั คนที่สนใจศึกษาพระธรรมวินัย ความเป็นเถรวาท เพศภาวะในเถรวาท และบทบาททางศาสนาของแม่ชีไทย ด้วยความซาบซ้ึงในเมตตาของทา่ นเจา้ คณุ อาจารย์ Dr Martin Seeger University of Leeds, UK 20 October 2010
สารบัญ ก ข บันทึกนา ในการพิมพ์คร้งั ท่ี ๒ ง โมทนพจน์ คานา ๑ ๑ ตอบ ดร.มาร์ติน: พุทธวินัย ถึงภิกษุณี ๑ บทที่ ๑ สมมตสิ งฆ์ กบั ภิกษณุ ี ๕ วินยั คฤหสั ถ์ให้ยดื หย่นุ ได้ ทาํ ไมไม่คิดจัดวางใหเ้ หมาะกบั ยุคสมยั ๑๑ ทําไมมาว่าพระสงฆ์มัวยดึ ถือวินัยแสนเกา่ แก่ ๑๕ ไมย่ อมแกไ้ ม่ยอมเปล่ียน ๒๔ ไม่เช่อื ฟงั พระพุทธเจา้ หรือว่าพยายามปฏิบัติตามใหด้ ที ส่ี ุด ๓๒ พระพุทธเจ้าพระทัยกวา้ ง ให้สงฆเ์ ป็นใหญ่ ๓๗ พระใจกวา้ ง ถอื สังฆสามัคคเี ป็นใหญ่ ๓๙ ดขู ้อมูลให้ชดั เจน พูดใหแ้ นใ่ จในความรู้ทถี่ ูกตอ้ ง จะดวู ่าตงั้ ภกิ ษณุ สี งฆ์ควรเอาอย่างไร มองกอ่ นว่าพระพทุ ธเจา้ ต้ังสังฆะเพ่อื อะไร พทุ ธศาสนามา พระพรหมเปลีย่ นสถานะไป ดูไดท้ ่ีบทบาทตงั้ แต่ต้น พระอานนทจ์ ะเปน็ อุปัฏฐากหรอื ไม่ ก็ช่วยขอใหส้ ตรบี วชเป็นภกิ ษณุ ีได้อยู่ดี
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) ฌ เรมิ่ บวชภิกษณุ ี มีข้อมลู ว่าอย่างไร ๔๔ ดกู ันให้ชัดให้ดี ๔๙ สงฆท์ ส่ี มมุติ มุ่งเพ่อื จดุ หมาย ๕๓ ๕๘ ถ้าเขา้ กับสมมตุ ิข้างนอกไมไ่ ด้ ก็คอื ทางถูกขวาง ๖๔ สงฆท์ ่ีตั้งคือสมมุติ ๗๓ เนอ้ื แท้คืออะไร ต้องมองใหถ้ ึงจุดหมาย ขา้ งนอกตอ้ งการกาํ ลังบุกฝ่า ๗๓ ๘๐ ข้างในพะว้าพะวังลดกาํ ลังลงไป ๘๕ ภกิ ษุณสี งฆ์สมมติใหม่ ๘๙ ๙๕ กบั งานสร้างอรยิ สงฆ์ท่ีเป็นจุดหมาย ๑๐๒ ๑๐๖ บทท่ี ๒ วงการนักบวช นอกวรรณะ ๔? สงั คมพราหมณ์ - สงั คมพทุ ธ ความต่างท่ีแสดงจดุ หมาย ตัง้ พระพทุ ธศาสนา ป่าไมแ่ ปลกแยกกับเมอื ง ร่มร่ืนในไพรสณฑ์ ดัน้ ดน้ แดนอรัญ ภกิ ษสุ งฆ์ ระบบจดั ตั้งท่ที รงปาติโมกข์ เลก็ ๆ นอ้ ยๆ เพอ่ื นกั วชิ าการ ภกิ ษสุ งฆ์ ในวงลอ้ มของนักบวชสารพัด ยืนหลักไวไ้ ด้ จึงจะไมเ่ พี้ยน พราหมณ์ ตง้ั ระบบวรรณะ ๔ ฤาษี ดาบส ต้นสายระบบสมณะ
ญ ตอบ ดร.มารต์ นิ : พทุ ธวนิ ยั ถึงภิกษณุ ี นักบวชนานาสารพดั ๑๑๐ รายล้อมสกัดรอบภกิ ษสุ งฆ์ นกั บวชปา่ -นกั บวชบา้ น ๑๑๕ จุดรว่ ม-จุดแยก เข้าบ้านเข้าเมือง ๑๑๙ เจอนกั บวชเร่รอ่ น จนถึงชเี ปลอื ย ตบะใหญ่-อหงิ สายอ่ ย-ไม่บูชายัญ ๑๒๓ สคู่ วามพอดี ตบะเก่าของพราหมณ์ไม่หลากหลาย ๑๒๙ ตบะใหม่ขยายออกไปพิสดาร ระบบท่ไี ร้ระเบียบ ๑๓๖ นกั บวชในชมพทู วปี ถงึ พุทธกาล บทท่ี ๓ พุทธวนิ ัย ๑๔๔ จัดตั้งปาติโมกขข์ นึ้ ไว้ ๑๔๔ ให้เปน็ วนิ ัยแมบ่ ทของสงั ฆะ ๑๕๓ ซา้ ยตบะ ขวาบูชายัญ ละเลกิ ท้งั สองนั้น สทู่ างสายกลางแหง่ สขุ วถิ ี ๑๖๒ ศลี พรต ตบะ คาํ เก่าท่ยี ังมใี ช้ ๑๖๙ แต่ความหมายตา่ งกันแสนห่างไกล ๑๗๔ รู้จกั ตัวเองใหด้ ี ๑๘๒ พราหมณ์ เดียรถยี ์ กามโภคี มใิ ห้แทรกเขา้ มา ๑๘๗ พรต ทเี่ ด่นบดบงั ศลี ลบั หาย วตั ร เข้ามาแวดล้อมศลี แพรวพรายแทนที่ พรต – วต – วัตร ดคู วามแตกต่างใหช้ ัด ธุดงคพรต – ธุดงควตั ร จะชว่ ยใหช้ ัดเต็มท่ี
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ฎ ในธุดงคพรต มองเหน็ พรตเดมิ ของนักตบะ ๑๙๒ ‚จะถอื พรต ก็ใหห้ มน่ั ทําวัตร‛ ๑๙๕ ศลี -พรต-วตั ร กลายเปน็ สลี ัพพตปรามาส ๑๙๘ ๒๐๓ เม่อื ออกนอกทางมัชฌิมา ผ้พู ร้อมด้วยศลี วตั ร ๒๑๐ จะกา้ วไปในมชั ฌิมมรรคา อยา่ งสง่างดงาม ๒๑๐ มองวินยั พระให้ถึง ๒๑๕ ๒๒๐ จงึ จะเหน็ พระพุทธศาสนาเต็มตาชดั ดี ๒๒๔ ๒๒๘ บทที่ ๔ ภิกษณุ ี มากับครุธรรม หรอื ไม่ ๒๓๓ ๒๓๗ ภิกษณุ มี าแลว้ ๒๔๒ ก็มาบวชเรียนน่แี หละ ในสภาพเงอื่ นไข ครธุ รรมขอ้ ไหนเปน็ หวั ใจ เพ่ือการศกึ ษาของภกิ ษุณี ครุธรรมคอื แค่สญั ญา จะศักดิ์สทิ ธ์ิขน้ึ มา กต็ อ้ งเข้าไปตราไว้ในปาติโมกข์ ครุธรรมข้อ ๖ ก็การศกึ ษาอีก สิกขมานาจึงมามากในปาติโมกข์ ครุธรรมขอ้ ๗ หนีไม่ได้ ตอ้ งมาบัญญตั ไิ วใ้ นปาตโิ มกข์ ครุธรรมข้อภิกษุณไี หว้ ไปเปน็ บัญญัตหิ า้ มภิกษุ ไม่มาบรรจใุ นปาติโมกข์ ไมเ่ ปน็ ความผดิ แก่ภกิ ษณุ ี ในโลกแห่งสมมติ จะลดหรือถอื มานะกนั แค่ไหน ให้เกิดความพอดี ปาตโิ มกข์ของภกิ ษณุ ี มขี ้ึนมา ต้องพาการศึกษาฝา่ กระแสสังคม
ฏ ตอบ ดร.มาร์ตนิ : พทุ ธวนิ ัย ถึงภิกษณุ ี ครธุ รรม ๒๔๕ กับพทุ ธทายาท บทท่ี ๕ สงั คายนาไมม่ ภี กิ ษณุ ี ถึงนานาสงั วาส ๒๕๐ ทําไมไม่มีภกิ ษณุ ี ๒๕๐ ร่วมในปฐมสังคายนา ภกิ ษุณแี ละอบุ าสิกา ถงึ จะไม่ใกลช้ ิดพระศาสดา ๒๕๗ กเ็ ปน็ แหลง่ ทม่ี าสําคัญของพระสูตร ภกิ ษุณีทรงปญั ญา ๒๖๑ กลา่ วออกมาเป็นพระสูตรสาํ คัญ มหากัสสปะพระสนั โดษ มหาสาวกอันดบั ๓ ๒๖๕ เป็นประธานสังคายนา หาพระสตู รได้นิดเดียว ว่าพระมหากสั สปะ บรหิ ารคณะสงฆ์ ๒๗๓ ไมร่ ไู้ ปหลงบรหิ ารอย่ทู ีไ่ หน กลา่ วโทษพระมหากสั สปไปมา ๒๗๗ กลายเป็นโทษาของนักวชิ าการ พทุ ธทายาท ใครกต็ ง้ั ไม่ได้ ๒๘๓ แต่ทุกคน ไมว่ ่าพระมหากัสสป หรือใครๆ กเ็ ป็นได้ พระเถระอคตไิ หม ที่ติพระอานนท์ ๒๘๙ ว่าทาํ ใหม้ ีภกิ ษุณี พระอานนท์อุปฏั ฐากไม่ดตี รงไหน ๒๙๕ จบหน้าที่ ก็มาปิดบัญชใี หเ้ คลียรก์ ันที เถรวาทจากศรีลังกา ไปเมอื งจีนสืบกันมา ๒๙๙ พอจะยอมรบั วา่ ยงั เป็นเถรวาทไหม จะตกลงอะไร หาความรู้กันใหแ้ น่ใหช้ ดั ๓๐๔ ไม่มวั มาขัดกันอยแู่ ค่ความคิดเห็น
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) ฐ ส่ิงทีม่ อี ยู่ อยา่ ลมื ทําให้ดี ๓๑๐ เรอ่ื งเก่าจะฟื้นใหม่ อาจมที างเลือกหลายวธิ ี ๓๑๗ ๓๒๓ เร่ืองนานาสังวาสขอไวข้ า้ งหนา้ มาดกู อ่ นวา่ จะบวชอย่างไรให้ถูกตอ้ ง แถมเตมิ เตม็ พุทธบรษิ ัท นานาสังวาส ไม่ยอมให้ลืม จึงหม่ันเตือน ก็มาตอบใหจ้ บตอนที่น่ี บทพเิ ศษ ๑ สมั ภาษณ์ เรอื่ ง “การบวชภิกษณุ ี” ๓๒๗ ก่อนจะถกกนั ต่อไป ๓๒๗ ทาํ จติ ใจ ตง้ั ทา่ ที และเตรียมพ้นื ความรไู้ ว้ใหพ้ ร้อมดี เร่ิมตน้ ให้ภิกษบุ วชภิกษุณี ๓๓๒ สุดทา้ ย บวชเสรจ็ ที่ภิกษุณีสงฆ์ แลว้ ไปท่ภี ิกษสุ งฆ์อีกที ถ้ายกบัญญัติเดมิ มาใช้ ให้ภกิ ษฝุ ่ายเดยี วบวชภิกษณุ ี ๓๓๘ จะมเี งือ่ นปมติดขัดทางวนิ ัยหรอื ไม่ ถ้าเริม่ ตน้ ใหม่ ให้ภิกษฝุ า่ ยเดียวบวชภกิ ษุณี ๓๔๑ นอกจากใช้ได้ไหม ปญั หาพว่ งพลอยอะไรจะเกิดมี พักใจ ผอ่ นคลาย ๓๔๖ ทางเลอื กทีม่ ีผู้เดนิ หน้า ลองเอามาดกู ันบา้ ง บทพิเศษ ๒ รู้ให้โล่ง - ทาใหโ้ ปร่งใส - ม่นั ในสามัคคี ๓๕๗ เรอื่ งเกา่ มา กท็ วนกนั ใหม่ ๓๕๗ จริงไหมวา่ ยังไม่ไดย้ กเลิก ให้ภิกษุบวชภกิ ษณุ ี แม่ชีมีอยู่ก็ยกขึ้นมา ทางใหม่กห็ าความรใู้ หช้ ัด ๓๖๐ ทางเลอื กจัดได้เลยก็ไม่ตอ้ งรอ จะฟน้ื ภกิ ษณุ ีกนั ใหมท่ งั้ ที ๓๖๔ ก็ทํากันใหช้ ัดเจนแจ่มใสโดยพรอ้ มใจสามคั คี ร้จู ริง ก็มองเหน็ ว่าไม่ใชป่ ญั หาสิทธิสตรี ๓๖๘ ปรารถนาดีจริง ก็อยากให้ผูห้ ญงิ ได้ส่งิ ทถ่ี ูกท่ีดี
ฑ ตอบ ดร.มาร์ตนิ : พุทธวนิ ยั ถึงภิกษณุ ี การรู้เข้าใจว่าบวชภิกษณุ ี เป็นปัญหาสทิ ธิสตรหี รือไม่ ๓๗๑ พสิ จู น์ศกั ยภาพของสังคมรว่ มสมัยได้เปน็ อยา่ งดี ปญั หาอย่างเรื่องบวชภกิ ษณุ ี จะว่ากนั ไปอย่างไร ๓๘๒ เราใชเ้ ปน็ เคร่อื งฝกึ ตนและฝึกคนได้ทนั ที บวชในวนิ ัย ไปได้ครง่ึ ลาํ ๓๘๘ แตบ่ วชในธรรม ไปไดเ้ ตม็ ท่ี บวชพระใหม่ ให้พระต่างนกิ ายมานงั่ อนั ดบั ๓๙๔ อาจพบกับปญั หาไดห้ ลายกรณี ‚เอหภิ ิกขุ‛ ทพ่ี ระพุทธเจ้าทรงบวชให้เองด้วยพระองค์ ๓๙๙ ยังคู่มากับทสี่ งฆ์ให้อุปสัมปทา เปน็ เวลาเกือบย่สี ิบปี บทพิเศษ ๓ ตอบเรอ่ื งสิทธเิ พศที่ ๓ - ๒ - ๑ ๔๐๖ สิทธิของเพศท่สี าม ถา้ ไม่รู้จักใช้ ๔๐๖ ยิง่ เสียประโยชนท์ ี่ตวั เขา พงึ เขา้ ใจจุดหมายให้ดี ๔๑๔ ๔๑๖ ยุคถามเรื่องภิกษณุ ี ผ่านไปเลยกไ็ ด้ ๔๒๓ ถา้ อ่าน ก็ได้ทวนอีกที ๔๒๖ ๔๒๙ เร่ืองภิกษณุ ีเวียนมา ๔๓๓ กม็ ีอะไรใหพ้ ดู จาอีกทุกที ๔๓๗ ‚มุตตา‛ อิสรเสรี แลว้ ก็มา ‚พหชุ นสุขายะ โลกานุกัมปายะ‛ กันให้เต็มท่ี ใหจ้ ิตลงตวั เปน็ อุเบกขาเสียที เรียกรอ้ งสิทธสิ ตรี จากผไู้ มม่ ีสทิ ธ์ิที่จะให้ ตวั มสี ิทธ์ิ จะมาบีบบงั คับผู้ไร้สิทธ์ิ ช่างไมป่ รานี เหนอื การพิทักษส์ ิทธขิ องตน ก้าวไปสร้างประโยชนส์ ุข เพื่อมวลชนทว่ั ปฐพี ภาคผนวก
ตอบ ดร.มาร์ติน๑ พุทธวินัย ถึงภิกษุณี บทที่ ๑ สมมติสงฆ์ กับ ภกิ ษุณี วนิ ยั คฤหัสถ์ใหย้ ืดหย่นุ ได้ ทาไมไมค่ ดิ จัดวางใหเ้ หมาะกบั ยคุ สมัย อำจำรย์มำร์ตนิ : ในการสนทนากับอาจารยร์ ะวี ภาวิไล เม่ือหลายปีก่อน ตอนที่มีกรณีสันติอโศก ท่านเจ้าคุณอาจารย์บอกว่า “พระพุทธเจ้าช้ีแนะ แนวทางในเรอ่ื งวินัยของคฤหัสถไ์ ว้ แต่ในการที่จะปฏิบัติ ในการที่จะนํามา วางก็เท่ากับว่ามีความยืดหยุ่นที่ชาวพุทธยุคสมัยต่างๆ สามารถนํามาจัดวาง ให้เหมาะสมกับยุคสมัยหรือกาลเทศะของตนได้”๒ ก็มีผู้ถามว่า ทําไม คฤหัสถ์มีความยืดหยุ่นน้ีในเร่ืองวินัยได้ แต่พระสงฆ์ในเวลาเดียวกันก็ต้อง ยึดในวนิ ยั ที่อยู่ในสภาพเกา่ แก่ ไมท่ ันสมัย ยิง่ อายุของวินัยมากข้ึน ก็น่าจะย่ิง ๑ บทสัมภาษณพ์ ระธรรมปฎิ ก (ประยทุ ธ์ ปยตุ ฺโต) ณ วัดญาณเวศกวัน จังหวัดนครปฐม ครั้งที่ ๑ วันอาทิตยท์ ี่ ๔ มกราคม ๒๕๔๗ เวลา ๒๐.๑๐ – ๒๓.๓๐ น. ๒ พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ดร. ระวี ภาวิไล, พุทธบริษัท กับ พระธรรมวินัย, พิมพ์ครั้ง แรก พฤศจิกายน ๒๕๓๒, กรุงเทพฯ, สานกั พิมพ์ป―ญญา, หนา้ ๒๒.
๒ ตอบ ดร.มารต์ ิน: พทุ ธวนิ ัย ถงึ ภิกษณุ ี มปี ัญหา เร่อื งความทันสมัยหรือล้าสมัยนะครับ โดยเฉพาะในสมัยปัจจุบัน น้ี ท่ีมีความหลากหลายทางด้านความเชื่อและความต้องการทางศาสนามาก ขึ้น ถ้าใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษ anachronism ก็ต้องมีมากข้ึนใช่ไหมครับ ขอ กราบเรียนท่านเจ้าคณุ อาจารย์ขยายความเร่อื งปัญหาน้ีหน่อยนะครับ พระธรรมปฎิ ก: เจริญพร มีแง่ท่ีพิจารณาหลายอย่าง หน่ึง ก็คือว่า พระสงฆ์นี่ เป็นชุมชนท่ีพระพุทธเจ้าต้ังขึ้นเอง เม่ือพระองค์ตั้งขึ้น พูดภาษา สมัยใหม่เหมือนกับพระองค์ก็ต้องจัดการให้เรียบร้อยดี ใช่ไหม และอยู่ใน สิทธิของพระพุทธเจ้าด้วย อยู่ในโอกาสของพระองค์ท่ีจะจัดทํา เพราะว่า ต้ังขนึ้ เอง ก็จัดตงั้ วางระบบท่ีเราเรียกว่า ‚วินัย‛ เพื่อให้เป็นสภาวะแวดล้อม ท่ีเก้ือกูลที่สุดต่อการท่ีจะบําเพ็ญไตรสิกขา หรือบําเพ็ญปฏิบัติในแนวทาง ของพระองคท์ ตี่ ้องการ ก็เป็นชุมชนของตวั เอง จัดตงั้ วางวินัยคุมข้นึ เอง แต่ทีนี้ สังคมคฤหัสถ์ ก็เหมือนกับไม่อยู่ในขอบเขตของพระองค์ เพราะเปน็ สังคมขา้ งนอก พระองค์ไม่ได้ตั้งเอง และพระองค์ก็ไม่มี ไม่ได้หา ไม่ได้ใช้อํานาจอะไรที่จะไปบังคับเขา ก็ได้แต่สอนเขา แนะนําเขาว่า เออ พวกคณุ ควรจะละจะเลกิ อันน้ัน ควรจะประพฤติปฏิบัติกันอย่างนี้นะ ถ้าใคร เห็นด้วยว่าอย่างนั้นดีนะ ตกลงจะเอาจริงด้วย ก็รับมาทํามาฝึก เรียกว่า ‚สมาทาน‛ นี่ก็คอื เป็นเร่อื งของการศกึ ษา หรอื การพฒั นามนุษย์นนั่ เอง เพราะฉะน้ัน เราจึงได้เห็นว่า ในสังคมพุทธคฤหัสถ์เองน้ี ในยุคนั้นๆ ก็อาจจะมีวินัยระดับหน่ึงๆ แต่ก็ไม่ปรากฏรูปชัดออกมา อย่างท่ีเราถือกัน ว่า สิงคาลกสูตรน่ีก็เหมือนกับเป็นวินัยของคฤหัสถ์ แต่มันก็ไม่ได้ชัดเจน เด็ดขาดว่า เม่ือเป็นคฤหัสถ์ชาวพุทธ จะต้องปฏิบัติตามน้ี โดยมีข้อบัญญัติ อย่างนี้ๆ เราอาจจะพูดได้แค่ว่า น่ีเป็นเกณฑ์อย่างตํ่านะ ซึ่งชาวพุทธเอง นา่ จะจบั ให้ชดั ให้ได้ น่ีแหละ เม่อื มองในแง่น้ี ก็จงึ กลายเปน็ วา่ ในเม่ือสังคมคฤหัสถ์นี่ไม่ได้
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๓ อยู่ภายใต้การจัดต้ังของพระองค์เอง พระองค์ก็ได้แต่แนะนําเขา และในยุค แรกๆ นั้น เม่ือมีคนศรัทธาปฏิบัติตามกันมากขึ้น ก็เรียกได้ว่าเกิดเป็นชุมชน ชาวพทุ ธข้ึนมาเอง ในสังคมใหญ่อันเก่าท่ีไม่เอ้ือนั่นแหละ อันน้ีไม่เป็นชุมชน โดยภูมิศาสตร์ แต่เป็นชุมชนโดยหลักการและวิถีชีวิต นี่ก็คืออุบาสก อบุ าสิกาบริษทั นัน่ เอง ในแง่ดี อันน้ีก็เป็นโอกาสให้ชุมชนชาวพุทธคฤหัสถ์ปรับตัวไปตาม กาลเทศะได้สะดวก และในเม่ือเป็นเรื่องของความดีงาม เป็นเรื่องของการ พัฒนามนุษย์ ถ้าชุมชนพุทธเข้มแข็งจริง อยู่ในหลักการและวิถีชีวิตพุทธได้ จริง ก็จะขยายออกไปๆ ตามอุดมคติท่ีจะให้สังคมมนุษย์ท้ังหมดน่ันแหละ กลายเปน็ ชุมชนที่ดีงามทั้งโลก (ตามหลักพื้นฐานเดิมของการต้ังสมมติสงฆ์ ขนึ้ มานําหรอื มาสร้างอรยิ สงฆข์ น้ึ ) แต่อย่างท่ีว่าแล้ว ถึงอย่างไร ในสภาพปัจจุบันที่พร่าๆ มัวๆ กันท่ัวไป หมดน้ี ถ้าจะให้ชุมชนชาวพุทธอยู่รอดหรืออยู่กันไปได้ดีสักหน่อย คฤหัสถ์ ท่ีว่าเข้ามานับถือแล้ว ก็ควรจะมีข้อปฏิบัติท่ีเรียกว่า ‚วินัย‛ ของตัวเอง ซ่ึง มนั จะเอือ้ จะเปน็ ประโยชน์แก่การปฏบิ ตั ิ ฉะน้นั ชมุ ชนชาวพุทธกค็ วรจะเอาใจใสใ่ นเรื่องวินัยของตัวเอง อย่าง น้อยจับเกณฑ์อย่างตํ่าไว้ให้ได้ แล้วเม่ือยุคสมัยผ่านไป เพราะเหตุว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้กําหนดวางไว้ ไม่ได้ตั้งบัญญัติไว้ ไม่มีข้อที่ตายตัว ชาว พุ ท ธ คฤ หั ส ถ์ ก็ ส าม า ร ถ ม า จั ด ป รั บ เ อา ใ ห้ เ ห ม าะ กับ ส ภ า พ แ วดล้ อม แ ห่ ง กาลเทศะของตวั เองได้ ทีน้ี อันน้ีจะมาประสานกับปัญหาปัจจุบัน ก็คือ อาตมาปรารภว่า สงั คมชาวพทุ ธปจั จบุ ันน่ี ไม่มีอะไรเป็นเกณฑ์เลย อยู่กันไปแบบว่าอย่างไร กไ็ ด้ ใชไ่ หม พระยังมีวินัยบ้าง แต่คฤหัสถ์น่ี บอกว่าฉันเป็นชาวพุทธ ถาม ว่า ความเป็นชาวพุทธเอาอะไรกําหนด ปรากฏว่าไม่รู้เรื่องกันเลย ในแง่ ความเช่อื ก็ไม่รู้ การปฏิบัตกิ ไ็ ม่รู้ จนกระทั่งวา่ กินเหล้าเมายาก็เป็นชาวพุทธ
๔ ตอบ ดร.มาร์ติน: พทุ ธวินยั ถงึ ภกิ ษณุ ี ไมม่ ีหลักเกณฑอ์ ะไรเลย มันน่าจะมีวินัยบา้ ง จึงบอกว่า พระพุทธเจ้าก็แนะไว้แล้ว น่าจะเอามาจัดตั้งว่า เออ ชุมชนชาวพุทธเรามีวินัยกันหน่อยนะ เราจะปฏิบัติกันอย่างนี้นะ ชุมชน ชาวพุทธที่เป็นคฤหัสถ์จะได้มีวินัยของตัวเอง เป็นอุบาสกอุบาสิกาบริษัท หรือเปน็ ชมุ ชนพุทธได้จรงิ และมันก็จะเป็นประโยชน์แผ่กว้างออกไป สังคม ก็จะดงี าม เป็นอันว่าข้อ ๑ ด้านคฤหัสถ์ ก็คือ เดิมนั้น เพราะว่าชุมชนพุทธท่ีเป็น คฤหสั ถ์ พระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นผู้ต้ังข้ึนเอง ก็ได้แต่เพียงแนะนําเขาไว้ แล้ว เขาก็ไปจัดวางกัน และในบางยุคสมัยก็อาจจะมีชุมชนที่จัดตั้งกันได้ดี ซ่ึง เราไม่รู้ชัด แต่ในยุคปัจจุบันปัญหาเกิดข้ึนแล้ว ก็คือไม่ได้เรื่องเลย ชุมชน พุทธคฤหัสถไ์ ม่ไดม้ ีรปู มหี ลักอะไรเลย ก็น่าจะมาคิดในเร่อื งนีก้ นั บ้าง สภาพท่ีพูดกันตรงนี้ เหมือนกับย้อนกลับไปเตือนสติคนท่ีถามเองน่ัน แหละ ที่มาเพ่งมองว่าพระสงฆ์มัวแต่ยึดในวินัยที่เก่าแก่ ไม่ทันสมัย แต่พอ หันไปดูคฤหัสถ์ ที่ท่านให้โอกาสไว้ท่ีจะยืดหยุ่นในเร่ืองวินัยได้ ปรากฏว่า กลับไม่ได้เร่ือง น่ีถ้าท่านปล่อยพระสงฆ์ให้มีโอกาสอย่างน้ันด้วย น่าสงสัย ว่าจะไม่มีอะไรเหลือ ท่ีจริง เราก็นึกกันอยู่ว่าพระสงฆ์เด๋ียวน้ีค่อนข้างจะแย่ เต็มที แต่พอมาเจอคําถามน้ี กลับต้องมองว่า เออน่ี ยังดีนะ ท่ีพระสงฆ์มี วินัยแนน่ อนชัดเจนไว้ จงึ ยงั ช่วยไวไ้ ด้ขา้ งหนง่ึ เวลาน้ี ท่ีควรคิดเอาจริงเอาจัง กนั ให้หนกั ก็คอื สงั คมพทุ ธคฤหสั ถ์นแ่ี หละที่จะต้องคิดจัดกนั ใหเ้ อาดีให้ได้ ในแงน่ ี้ก็กลายเป็นว่า ในชมุ ชนพระสงฆ์นี่เองกลับมีวินัยที่จะรักษาไว้ แต่ในสังคมคฤหัสถ์ พุทธบริษัทคฤหัสถ์กลับไม่มีวินัยเสียเลย น่ีข้อที่ ๑ นะ ฝ่ายคฤหัสถน์ ี่พอแล้วใชไ่ หม (ครบั พอแล้วครบั – อาจารยม์ าร์ตนิ ) แต่ที่จริงน้ัน อาจจะไม่ได้เรื่องทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ พระก็งึมงํา ชาวบา้ นก็หยําเป ตอ้ งจดั ให้ดีท้งั คู่ แต่จบั จดุ ใหถ้ ูก
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๕ ทาไมมาวา่ พระสงฆม์ ัวยึดถอื วินัยแสนเกา่ แก่ ไม่ยอมแกไ้ ม่ยอมเปลี่ยน ทีน้ีก็มาพูดถึงในฝ่ายของพระสงฆ์ ฝ่ายพระสงฆ์นี่ ในเม่ือ พระพุทธเจ้าทรงจัดตั้งข้ึนเอง พระองค์ก็ต้องทรงวางกฎกติกาเพื่อการอยู่ ร่วมกันให้แน่นอนไว้ ทีน้ีท่ีว่าแน่นอนไว้แล้ว ก็คือให้เหมาะเจาะให้จําเพาะ พอดีกบั กาลเวลายคุ สมัยและถ่นิ แคว้นแดนดนิ น้ัน แล้วทีนี้ก็อย่างท่ีว่า คือมาโยงกับเร่ืองที่พูดกันเม่ือกี้ เมื่อกาลเวลา เปลี่ยนไป สิ่งที่พระองค์บัญญัติไว้ เดี๋ยวข้อน้ันก็จะขัด เด๋ียวข้อน้ีก็จะไม่ เหมาะกับยุคสมัยที่เปล่ียนไปน้ัน แม้แต่แค่ในพุทธกาลเอง พระพุทธเจ้าก็ ยงั ทรงแก้ไขใช่ไหม เรยี กวา่ วางอนบุ ัญญัติ เชน่ ตอนแรกวางไว้อย่างน้ี แต่ ต่อมามีเหตุการณ์อ่ืน หรือพระบางองค์ไปอยู่ในต่างถิ่นต่างแคว้น ท่ีสภาพ ไม่เข้ากัน พระพุทธเจ้าก็ทรงวางอนุบัญญัติ มียกเว้นบ้าง มีผ่อนบ้าง มี เพ่ิมบา้ ง หรอื ทาํ ใหม้ น่ั ยง่ิ ขนึ้ ว่าอยา่ งนนั้ ๆ นี้ก็คือตัวอย่างให้เห็นว่า เร่ืองวินัยน้ันน่ะ แม้แต่ในพุทธกาลเอง พระพทุ ธเจา้ ก็มกี ารปรบั แกม้ าเรอ่ื ย และพระองค์ก็ให้โอกาสไว้บอกว่า เมื่อ พระองค์จากไปแล้วนี่ สงฆ์เห็นสมควรก็ถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้ อันน้ีก็ เข้าจดุ ละ ถกู ไหม อำจำรย์มำรต์ นิ : ครับ อันนเี้ หมอื นที่เหน็ อยใู่ นปัจจุบันน้ีในสังคมไทย ก็ คือ อย่างเช่น ในการบวชผู้หญิง แล้วก็มีนักวิชาการท่ีเสนอเหตุผลว่า ปรมัตถสัจจะ ท่ีเป็นเน้ือหาสาระ ก็เหนือกว่าสมมติสัจจะ คือวินัย เพราะฉะน้ัน น่าจะปรับปรุงตามตัวอย่างของพระพุทธองค์ สิ่งที่เป็นสมมติ ก็คือวินัยตามกาลเทศะนะครับ เพราะว่าพระพุทธเจ้าก็ปรับวินัยตามท่ีท่าน เจ้าคุณอาจารย์พูดเมื่อตะกี้ ตามกาลเทศะ เอาปรมัตถะเหนือสมมติ และก็มี
๖ ตอบ ดร.มารต์ นิ : พทุ ธวนิ ยั ถึงภกิ ษณุ ี หลายคนท่ีเข้าร่วมฟังสัมมนา ก็มีคุยเรื่องน้ีที่เชื่อมโยงกับปัญหาภิกษุณี ก็มี บางคนบอกว่า เอ พระพุทธศาสนาเถรวาทสอนเร่ืองไม่ยึดม่ันถือม่ันตลอด แต่ทําไมพระพุทธศาสนาเอง ดูเหมือนว่า ท่าทางยึดม่ันในรูปแบบมาก ก็ คอื วินัยขนาดน้ัน แล้วก็อีกอยา่ งหน่งึ ท่านเจ้าคุณอาจารยเ์ คยบอกว่า สาระต้องมีภาชนะ ท่ีเหมาะสมสาํ หรบั เน้ือหาสาระ ผมเข้าใจว่า วินัยเป็นภาชนะของธรรมะ ก็ คือเป้าหมายให้คนอ่ืนได้ตรัสรู้ตามศักยภาพของตนเอง และวินัยก็เป็นที่ เอ้ืออํานวยให้ตรัสรู้นะฮะ แล้วก็อันนี้คําถามก็คือว่า ธรรมะ ก็คือสาระ กับ ภาชนะยังเหมาะสมพอหรอื เปล่านะครบั พระธรรมปฎิ ก: เจริญพร อันนี้ก็มีหลายประเด็น แต่คิดว่า มันเป็น ปญั หาทีท่ ่านคิดกนั มาแล้วตลอด คอื มนั มีแง่พูดไดห้ ลายอย่าง อย่างที่บอก วา่ ปรมัตถสัจจะเหนือสมมติสัจจะอะไรนี่ มันจะเหนือหรือไม่เหนือ มันก็เป็น ของมันอยา่ งนัน้ แหละ คือ เราต้องดูตามเป็นจริงว่ามันมีขึ้นเพ่ืออะไร แล้วก็ มองกนั ให้กว้างให้ไกลออกไป ไม่ใชม่ องอยู่แค่เรือ่ งเฉพาะหน้าที่เราต้องการ ปรมัตถสัจจะก็คือความจริงตามท่ีมันเป็น ใช่ไหม ส่วนสมมติสัจจะก็ คอื ความจริงตามท่ตี กลงกนั ของมนุษย์ ทีน้มี ันอยู่ท่ีการประสานระหว่างสอง อัน เราพดู อยา่ งน้ันก็ได้ แตท่ จี่ รงิ มันไม่มเี หนอื หรือไม่เหนืออะไรกันหรอก ก็ คือ มันอยู่ที่วัตถุประสงค์และความหมายของมัน อย่างที่ว่าปรมัตถสัจจะ เป็นความจริงตามสภาวะน่ันเอง ธรรมชาติมันเป็นของมันอย่างนี้ ทีนี้ สมมติสัจจะ ก็คือความจริงที่สมมติ ที่มีมติร่วมกันว่ามนุษย์เอาอย่างนี้นะ อย่างวินัยก็คือเป็นสมมติสัจจะ ว่าเราตกลงกันนะ วางกติกา แล้วกติกาก็ คอื ของตกลงหมายร้รู ว่ มกัน ก็เป็นสมมตวิ ่าเอาอยา่ งนี้ แล้วก็ต้องรู้เข้าใจด้วยว่า ปรมัตถสัจจะนั้นเป็นของจริงของมันอยู่เอง ตามธรรมชาติ คนจะมีปัญญารู้มันหรือไม่ จะเอากับมันหรือไม่ มันก็อยู่ก็
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๗ เป็นและเป็นไปของมันอย่างนั้นได้เอง แต่สมมติสัจจะนี้เป็นเรื่องของคนตั้ง กันขึ้นมา มนั จะอยู่มันจะไป ก็แล้วแต่คน ถ้าคนไม่เอาด้วย คนไม่รู้เข้าใจ ไม่ มปี ญั ญา ไม่รกั ษาไว้ มนั กล็ ้มหายไป จงึ ต้องข้นึ ต่อคนวา่ จะเอาอยา่ งไร ทีนี้เราก็เห็นชัดอยู่แล้วถึงเจตนารมณ์ของพระพุทธเจ้า ก็รู้อยู่ว่ากาล สมยั เปลยี่ นแปลงไป มันตอ้ งมีการปรับจดั ใหเ้ หมาะ ทีน้ีปัญหามาอยู่ตรงนี้ คือ ไม่ใช่ท่านไม่คิดหรอก มันอยู่ที่ว่าจะเอา อันไหน และอันไหนจะได้ประโยชน์ดีกว่ากนั ดูว่าวัตถุประสงค์อยู่ที่อะไร จะรักษาคําสอนเดิมของพระพุทธเจ้าไว้ ใชไ่ หม นอ่ี นั หน่ึงละ เพื่อให้คนรุ่นหลังมีโอกาสเข้าถึง ทีนี้ว่าวิธีไหนจะดี ใน แง่หน่ึงก็คือ ตอนน้ีพระพุทธเจ้าไม่อยู่แล้ว สมมติอันน้ีใครวางล่ะ อ้อ พระพุทธเจ้าวางไว้ แตเ่ วลานี้พระพทุ ธเจา้ ปรินิพพานไปแลว้ ตอนนี้ก็เป็นปัญหาว่า ใครจะเป็นผู้จัดการกับสมมตินี้ จะจัดการกับ สมมตินอ้ี ย่างไร ให้มันส่ือ ให้มันรองรับ ให้มันรักษาปรมัตถ์ได้ดีที่สุด ใช่ไหม นี่แหละตอนนี้มันเป็นปัญหา เพราะฉะนั้น คิดกันไม่รู้จักจบ อยู่ท่ีว่าแบบ ไหนจะดีกว่ากนั ทีน้ี ทางฝ่ายเถรวาท ถ้าพูดเป็นรูปแบบก็ถือเป็นสายหนึ่ง เป็น tradition หน่ึง และบอกกันว่าเป็น tradition เดิม หรือจะว่าเป็นสายหลักก็ แล้วแต่ tradition น้ีก็เห็นว่า ถ้าสังฆะน้ีมาว่าอย่างนี้ สมมติอันน้ีไม่เหมาะ แก้ พอมาอีกสงั ฆะหนงึ่ ไมเ่ อา สังฆะอันนั้นวา่ ไวไ้ ม่ถกู ผ่านมา แก้อีกๆ แบบ นม้ี า แลว้ แบบนน้ั มา แลว้ กไ็ มร่ ู้ว่าอะไรแปรปรวนไป แล้วกแ็ ตกกนั เอง ตรงน้ีสําคัญนะ ตามบทเรียนท่ีเป็นมา แก้ทีไร ก็มีแตกออกไปทุกที ยอมรับกันไม่ได้ ก็แตกนิกายย่อยออกไปๆ จนบางกลุ่มบางพวกแทบจะหา หลักเดมิ ไมเ่ จอ จับอะไรท่เี ป็นหลักของพระพุทธเจ้าเองแทบไม่ได้ ในที่สุดก็มี
๘ ตอบ ดร.มาร์ติน: พทุ ธวนิ ยั ถงึ ภกิ ษุณี ปัญหานี้ คือยอมรับกันไม่ได้ ใช่ไหม เมื่อพระพุทธเจ้าอยู่ ก็ถือว่ามีศูนย์อัน เดียวกัน ก็มีสมมติเดียว ทีนี้ต่อมา สมมติก็มีปัญหาในแง่ท่ีว่า ใครจะเป็น ผู้จดั การกบั สมมตินี้ใหม้ นั ลงตัวไดด้ ี น่ีแหละ ท่านก็เจอปัญหาน้ีตั้งแต่สังคายนาคร้ังที่ ๑ เพราะว่า พระพุทธเจ้าอนุญาตไว้ใช่ไหม ว่าให้ถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้ แค่ ความเห็นว่า แค่ไหนจะถือว่าสิกขาบทเล็กน้อยที่จะให้ถอนได้ แค่นี้ก็เกิด ปญั หาแล้ว แค่ในท่ีประชุมสงั คายนาครัง้ ที่ ๑ น่ันแหละ ก็ยตุ ไิ ม่ได้ ทีนี้ เมื่ออ้างว่าให้ถอนได้บ้าง แต่ไม่ชัดกันว่าอันไหนบ้าง คนนี้หรือ คราวน้ีถอนข้อนี้ อีกคนหนึ่ง หรืออีกคราวหนึ่ง ก็ถอนอันน้ัน เด๋ียวถอนนั่น เดี๋ยวถอนน่ี ถอนกันไป ถอนกันมา เลยแทบจะหมด มองในแง่หน่ึง ถ้าท่านไม่ยุติกันไว้ว่าไม่ถอนนะ บางทีถึงเวลานี้ พระสงฆ์ในพุทธศาสนาก็อาจจะเป็นเหมือนชาวพุทธไทยท่ีเราเห็ นกันอยู่ เวลานี้ ทแ่ี ทบจะปลงกันแลว้ วา่ ไม่รวู้ า่ ความเป็นพุทธอยทู่ ่ีตรงไหน ทีนี้ ในสังคายนาคร้ังท่ี ๑ น้ัน ถ้าสงฆ์สมัยนั้นมีมติอย่างหนึ่ง พอไป อีกยุคหน่ึง สังฆะอีกยุคหน่ึงไม่เห็นด้วย จะเอาอย่างนั้นเอาอย่างนี้ แล้ว ตอ่ ไปอีกยคุ หนึง่ อกี ถิ่นหนึง่ จะเอาอย่างโน้น กจ็ ะเป็นอย่างทวี่ ่านั่นแหละ ในสังคายนาครั้งท่ี ๑ ตามเร่ืองนั้น อาตมาว่าท่านก็มีเหตุผล ไม่ใช่ ว่าท่านจะฝ่าฝืนพุทธพจน์ ก็คือ มีเหตุผลในแง่ท่ีว่า ไม่สามารถกําหนดได้ วา่ ทพี่ ระพุทธเจา้ ให้ถอนสกิ ขาบทเล็กน้อยได้น่ี สิกขาบทเล็กน้อยนั้นแค่ไหน ก็เลยยอมตกลงเสียสละตัวเองว่า เอาเถอะพวกเรารักษาเต็มตามท่ี พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ก็แล้วกัน เพราะว่า ถ้าถอนน่ี มันเป็นผลประโยชน์ กับพวกตัวเราเอง ถูกไหม ตัวเองจะปฏิบัติได้สะดวก แต่ถ้าหากว่ารักษา ไว้ ก็คือตัวเองไม่เอาประโยชน์ หมายความว่า ยอมเสียสละเถอะพวกเรา
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๙ ยอมรักษาไวต้ ามท่ีพระพทุ ธเจา้ บญั ญตั ิ แลว้ อยา่ ลมื ว่า ไม่ใช่เฉพาะถอน ต้องคิดอีกด้วยว่า แล้วทําไมไม่วาง สิกขาบทเพิ่มหรือ เพราะว่าสังคมต่างยุคสมัยเปล่ียนไปใช่ไหม อ้าวก็ต้อง วางสิกขาบทเพิ่มสิ สิกขาบทน้ันทําไมสงฆ์ไม่คิดในแง่เพ่ิมล่ะ จะไปคิดแต่ ในแง่ถอนได้อยา่ งไร พวกนี้คดิ กนั แตใ่ นแงถ่ อน ไม่ได้คิดในแง่เพ่ิม ก็เวลากาลสมัยผ่านมา ก็ย่อมมีเร่ืองอะไรที่เปลี่ยนแปลง ส่ิงท่ีไม่ดีก็มีแปลกใหม่เพ่ิมข้ึนในแง่มุม ต่างๆ ทําไมไม่บัญญัติเพ่ิมล่ะ ก็ต้องคิดสองด้านสิ ด้านถอนด้วย ด้าน เพม่ิ ด้วย และดา้ นเพ่มิ จะเอาอยา่ งไรอกี ก็ยงุ่ อกี ละ วนุ่ วายหมดแหละ เด๋ียวบางคนก็จะบอกว่า จะตัด จะเพ่ิม ก็ต้องคิดกันยุ่ง เอาอย่างนี้ เรามาประชุมกันจัดใหม่หมดเลย แล้วเป็นอย่างไร พอไม่ยอมรับกัน ยิ่งยุ่ง ยกใหญ่ กเ็ อาเปน็ ว่า เรากแ็ ยกเป็นสาย เป็น tradition ไป ก็ยอมรับกันไปตาม เป็นจริงน่ะ tradition หน่ึงคิดในแง่ว่า ถ้าขืนให้ถอนกันไปๆ ต่อไปมันก็ไม่ ยอมรับซ่งึ กันและกนั แล้วก็แตกกัน แล้วในท่ีสุดก็รักษาตัวเดิมไว้ไม่ได้ด้วย ทั้งแตกกันด้วย ทั้งตัวเดมิ ก็ไมเ่ หลือดว้ ย จะมปี ัญหาแก้กันไปไม่มีที่ส้ินสุด ที น้ี ถ้าเรายอมรักษาไว้ตามเดิม แม้จะเป็นรูปแบบท่ีไม่เหมาะกับสมัยบ้าง ส่วนเดมิ ที่ตอ้ งการกจ็ ะอยูใ่ ห้หาได้ แตข่ องใหมท่ ี่อยากเอากข็ าดไปบ้าง ก็อย่างท่ีว่าแล้ว ต้องยอมรับว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ทีน้ี สาวกจะเอาอย่างไร ในแง่หน่ึงก็เหมือนท่านเสียสละตัวเองว่า เอาละ จะ ลําบากอย่างไร เรายอมรับจะปฏิบตั ิให้ไดต้ ามท่ีทา่ นวางไว้ ทีน้ี ในเม่ือมันไม่สมสมัย อย่างในเมืองไทยน่ีเหมือนกับเป็นไปเองว่า ข้อนไี้ ม่ปฏบิ ตั ิ ปฏบิ ัตไิ ม่ได้ หรอื ไมม่ ีเรอ่ื งที่จะให้ปฏบิ ตั แิ ล้ว
๑๐ ตอบ ดร.มารต์ นิ : พทุ ธวนิ ัย ถึงภิกษณุ ี (ตัวอย่างสิกขาบทท่ีไม่มีส่ิงจะปฏิบัติ ก็เลิกไปเอง เช่น ในประเทศที่ ภิกษุณีหมดไปแล้ว หรือไม่มีภิกษุณี สิกขาบทในโอวาทวรรค ๑๐ ข้อ ก็เป็น อนั ไม่ต้องรักษา และยังมีสิกขาบทเก่ยี วกบั ภิกษุณีในที่อ่ืนอีก รวมกันแล้วถึง ๑๕ ข้อ อยา่ งถา้ จะล้อพระไทย ก็บอกวา่ ท่านรักษาศีลได้แค่ไม่เกิน ๒๑๒ ข้อ ไม่ถึง ๒๒๗ หรอก แต่มองอีกที ตีกลับ กลายเป็น ๑๕ ข้อนั้นได้เปล่าโดย รกั ษาไปเองเลยเป็นอตั โนมัติ) แต่ทง้ั นี้ ตัวสกิ ขาบทกร็ ักษาไวต้ ามเดิม ไมใ่ ห้เป็นการยุติตกลงว่า ข้อ น้ีเด๋ียวน้ีถอนแล้ว เหลือแค่น้ี อันนี้ไม่ต้องสวด ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ไปตัดของ ท่าน คอื รกั ษาไว้ให้ตวั จริงยังอยู่ แล้วกาลสมัยมันปรับเปล่ียนไปได้ ในยุค น้ี ข้อนี้ปฏบิ ตั ไิ ม่ได้ แต่ต่อไปอีกยคุ หนึ่งมนั กลับปฏบิ ัติได้อีกล่ะ เพราะฉะน้ัน tradition น้ี คือสายท่ีเรียกว่าเถรวาท ก็จึงมีเหตุผลของ ตวั เองอยา่ งน้ี ดังท่ีบอกว่า เอาละ เรายอมเสียสละตัวเองรักษาสิกขาบทไว้ ตามเดิมดีกวา่ น่คี อื เราพยายามมองตามในแง่ของท่านดว้ ย อย่างมหายาน เม่ือไม่รักษาสิกขาบทไว้ตามเดิม ก็แตกนิกายไม่รู้จัก จบใช่ไหม เชน่ ในญี่ปุ่น นิกายที่สูญไปแล้วตั้งก่ีนิกาย นิกายที่อยู่ในปัจจุบัน ใหญก่ ็ ๕ แลว้ ยังแยกไปอีกเป็น ๒๐๐ นิกายย่อย และก็ว่ากันนัวเนียไปหมด เลยใชไ่ หม เวลาน้ี เราก็เห็นภาพอยู่ว่า สายเถรวาทน่ี มีความยากลําบาก ตัวเองก็จริงอยู่ แต่ก็ยังรักษารูปแบบระบบทั่วไปไว้ได้ม่ันคง คือว่าโดย เปรียบเทียบกร็ ักษาไว้ไดม้ ากทส่ี ุด แต่ทางฝ่ายมหายานแยกไปไม่มีท่ีส้ินสุด จนกระทั่งบางกลุ่มบางหน่วยแทบดูไม่ออกแล้วว่าเป็นพระพุทธศาสนาหรือ เปล่า จึงอยู่ท่ีว่าเราจะเลือกเอาแบบไหน ทีน้ีสายเถรวาทก็ตกลงว่า tradition นีไ้ ดต้ กลงว่าอยา่ งน้ี เรอื่ งกเ็ ท่านน้ั เอง
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๑๑ ไมเ่ ชอื่ ฟังพระพทุ ธเจา้ หรอื วา่ พยายามปฏบิ ตั ิตามใหด้ ีท่สี ุด อำจำรย์มำร์ติน: ครับ ท่ีจริงเร่ืองน้ีเราได้พูดกันเมื่อปีที่แล้ว แต่ว่าท่ีผม พดู ขึ้นมาอีกน้นั เพราะวา่ นักวิชาการคนไทยคนหน่งึ เขาก็ตีความว่า ที่พระ พุทธองค์ทรงอนุญาตให้พระสงฆ์ถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้ แสดงว่าพระ พุทธองค์ก็ตระหนักว่า อาจจําเป็นที่วินัยจะต้องเปลี่ยนในอนาคตตาม กาลเทศะ ทนี ี้ถา้ เปรยี บเทียบกบั มติพระสงฆ์ในปฐมสงั คายนาให้อนุญาตน้ัน ดูเหมือนว่า ไม่ทําตามท่ีพระพุทธองค์ทรงต้องการ หรือพูดอีกอย่างหน่ึงว่า พระพุทธองค์ให้ภารกิจแก่พระสงฆ์ว่า ควรเปล่ียนหรือปรับวินัยตาม กาลเทศะ เด๋ียวนี้ดูเหมือนว่าพระสงฆ์สวนเจตนาของพระพุทธเจ้า หรือพูด อีกอย่างหนึ่ง มติของพระเถระในสังคายนาครั้งที่ ๑ อยู่เหนือพระพุทธดํารัส อนั นี้เปน็ คําของนักวิชาการคนนน้ั พระธรรมปิฎก: ถ้ามองชั้นเดียว ก็จะมองไปอย่างน้ัน ว่าเราต้องใจ กว้าง แต่อาตมาไม่ได้มองว่าท่านเหล่าน้ันใจกว้าง น่ันเป็นการมองเอาแต่ ตามมติความเห็นของตัวเอง เราต้องมองเผ่ือใจนึกถึงเหตุผลของพระสาวก ท่านเหล่านั้นด้วยว่าท่านคิดอย่างไร คืออย่าเอาแต่ตัวเอง พอมาขัดใจ ขวางทางความคิดของตวั เองก็ว่า พวกน้ันใจแคบ คิดแคบ ในแงข่ องพระพุทธเจา้ ก็เปน็ อันว่าทรงเห็นการณ์ไกล ทรงเปิดโอกาส ไว้ แสดงว่า พระองค์เห็นวา่ ในแงข่ องความเปลีย่ นแปลงน่ี วินัยย่อมมีข้อ ท่อี าจจะไม่เหมาะสมกบั ยคุ สมัยข้างหน้า อย่างท่ีพูดเม่ือกี้ แม้แต่ในสมัยท่ี พระองค์เองอยู่ ก็มีการปรับเปล่ียนสิกขาบทให้เหมาะกับสถานการณ์ใน ตา่ งเวลาตา่ งสถานท่ี
๑๒ ตอบ ดร.มาร์ติน: พทุ ธวินัย ถงึ ภิกษณุ ี แต่ทีนี้ ในแง่ของพระที่ทําสังคายนา ก็มองได้หลายด้านหลายชั้น ใน ช้นั แรก ก็เห็นได้วา่ ทา่ นทัง้ เชื่อฟังพระพทุ ธเจ้า แลว้ กใ็ จกวา้ งอีกแบบหนึง่ ก่อนจะวิเคราะห์วิจารณ์อะไร ก็มาดูข้อมูลกันให้ชัดก่อน ดูพุทธพจน์ ในเร่ืองนี้แหละว่าตรัสไว้อย่างไร ตามท่ีปรากฏในมหาปรินิพพานสูตร พระพทุ ธเจ้าตรสั วา่ (ท.ี ม.๑๐/๑๔๑/๑๗) ดูกรอานนท์ โดยล่วงไปแห่งเรา สงฆ์เม่ือจานง ก็จง ถอนสิกขาบทเลก็ นอ้ ยเสียบา้ งได้ ตามพุทธพจน์น้ีก็ชัดอยู่แล้วว่า ไม่ได้ทรงส่ังหรือตรัสบอกให้ถอน แต่ ทรงเปิดโอกาสใหส้ งฆค์ ือพระส่วนรวม ทาํ อย่างนั้นได้เม่ือต้องการ ไม่ได้ตรัส ด้วยซํ้าวา่ เป็นพระพุทธประสงค์ที่สงฆ์จะต้องรับสนอง แต่เป็นเร่ืองที่สงฆ์จะ พจิ ารณาเอง เอาละ ถึงแม้จะมิใช่ทรงสั่งหรือบัญชาไว้ให้ทํา ท่านก็เอาใจใส่ยกข้ึน มาพิจารณา คืออะไรทพ่ี ระพุทธเจ้าตรัสไว้ ท่านไมไ่ ดม้ องขา้ ม ทีนี้ แม้แต่ถ้าถือว่าเร่ืองน้ีตรัสสั่งให้ทํา ก็มาถึงจุดสําคัญอีกว่า พระองค์ให้ถอนได้เฉพาะสิกขาบทเล็กๆ น้อยๆ นะ อ้าว อย่างน้ี ถ้าเกิดไป ถอนสิกขาบทที่พระพุทธเจ้าทรงถือว่าไม่เล็กน้อยล่ะ คราวน้ีจะยิ่งเป็นการ ละเมิดต่อองค์พระพุทธเจ้าหนักเลยใช่ไหม ถ้าบอกว่าเป็นคําสั่ง นี่ก็คือ ละเมิดคาํ ส่งั อย่างแรง ตรงนี้แหละ ท่านก็ยกขึ้นมาพิจารณากัน แล้วก็ไม่ชัดที่จุดสําคัญนี้ เรียกว่าตกลงกันไม่ได้ว่าสิกขาบทเล็กน้อยจะเอาแค่ไหน ท่านก็มองว่า พระพทุ ธเจ้าทรงใหโ้ อกาสไว้แล้วแก่พวกเรา เราจะถอนก็ได้ แต่เพราะพวก เราไม่ชัด ไม่สามารถตกลงกันได้ว่าที่พระพุทธเจ้าทรงเปิดโอกาสให้ถอน สกิ ขาบทเล็กน้อยน้ันไดน้ ่ะแคไ่ หน การท่ีตกลงกนั ไม่ได้ ก็ย่อมเป็นเหตุผลใน ตวั ว่า ไม่สามารถจะถอน ใชไ่ หม
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๑๓ ยิ่งกว่านนั้ แม้แตพ่ ระสาวกระดับน้นั และแค่เรมิ่ ต้นพุทธศักราช ยังยุติ ไม่ได้ว่าข้อเล็กน้อยเอาแค่ไหน แล้วต่อไปข้างหน้าอีกไม่รู้ว่ากี่ยุคสมัย และ พระก็มีกันต่างๆ เรื่องนี้จะไปกันขนาดไหน (อย่างที่พระบางยุคบางพวกจะ บอกขึน้ มาว่า ตอนน้ีถึงเวลาใหพ้ ระมคี รอบครัวได้แล้ว อย่างนี้มันก็เป็นไปได้ และเป็นไปแล้ว) ในทสี่ ดุ ทา่ นพจิ ารณากันแงน่ ้นั แงน่ แี้ ลว้ ก็เลยตกลงว่า เราไม่ถอน คือ ไม่ใช้โอกาสที่ทรงประทานให้ก็แล้วกัน คือ ท่านลงมติสําหรับคร้ังนั้นว่าเรา ไม่ถอนละ และท่านยังพูดว่า น่ี แม้แต่พวกคฤหัสถ์ก็จะติเตียนได้ว่า เห็น ไหม พระพุทธเจ้าปรินิพพานไม่ทันไร ควันยังไม่หมดเลย พระสาวกก็เอา แลว้ นะ ถอนขอ้ วินัยกันแล้ว ถ้ามองในแง่เจตนารมณ์ของพระเถระในคร้ังสังคายนาน้ันก็คือ ท่าน ไมถ่ อื โอกาสให้แก่ตัวเอง แต่ท่านยอมที่จะเสียสละตัวเอง ยอมลําบากเพื่อ ทําให้ได้ให้เป็นไปเต็มตามพุทธบัญญัติ เพราะถ้าถอนก็เป็นประโยชน์กับ ตัวเองสิ ใช่ไหม อย่างน้อยก็จะได้ตามใจตัว เอาให้ง่ายให้สบาย ลดข้อที่ จะตอ้ งปฏิบัติให้นอ้ ยลงไป แล้วก็ต้องเข้าใจด้วยว่า ในสถานการณ์อย่างน้ี มันก็คือการท่ีจะต้อง เลือกเอา ระหว่างเสียน้อยกับเสียมาก ได้น้อยกับได้มาก ในเมื่อเราไม่ อาจจะได้อย่างสมบูรณ์ และท่านก็เลือกแล้วว่าอย่างนี้จะเสียน้อยกว่า ส่วน ดีจะมากกว่า โดยไม่ได้ถือเอาความชอบใจจะได้ประโยชน์ของตัวเองเป็น เครือ่ งตดั สนิ แตค่ าํ นึงถึงประโยชนข์ องสว่ นรวมในระยะยาวเป็นหลัก เมื่อท่านตดั สนิ ใจเลือกอยา่ งนี้ จะผดิ หรือถูก ไม่ต้องมาเถียงกันก็ได้ ก็ บอกว่า นี่คือ tradition น้ี เขาเป็นมาของเขาอย่างนี้ คุณต่างหากมีสิทธ์ิท่ีจะ เลอื กวา่ คณุ จะเอากับ tradition น้ีหรอื ไม่
๑๔ ตอบ ดร.มารต์ นิ : พุทธวินยั ถึงภกิ ษณุ ี เป็นอันว่า ที่ท่านตกลงกันอย่างนี้ ก็อย่างท่ีว่า คือ หน่ึง การไม่มุ่งใน แงเ่ อาประโยชนแ์ ก่ตวั เอง แล้วก็ สอง การคํานึงและระวังป้องกันแง่ท่ีจะเกิด ปัญหา คือการไม่มีข้อยุติแล้วก็ตกลงกันไม่ได้ ว่าจะเอาหรือเอาได้แค่ไหน แล้วด้วยเหตุผลต่างๆ ท่านก็ลงมติอย่างนั้น คือตกลงว่า เราไม่ถอนนะ ไม่ แตกแยกกันนะ และวาง tradition น้ไี ว้นะ อนั น้ีก็คอื เป็นมติครงั้ นนั้ ส่วนในเวลาต่อมา กเ็ ป็นเร่ืองของพวกทีหลัง จะวา่ กันไปสิ ทีนี้สงฆ์ทีหลังก็เห็นว่า เออ เราอยู่ในสายของท่าน เรานับถือท่าน ท่านก็พิจารณาเหตุผลต่างๆ รอบคอบดีแล้ว และเราก็เห็นด้วยกับท่าน เรา อยา่ ไปถอนเลย จงึ ตกลงวา่ ยอมสละตัวเพ่ือรกั ษาหลกั ไว้ดกี ว่า ส่วนพวกที่จะเปลี่ยนจะถอนให้ได้ ก็มี ก็จึงเกิดเป็นอาจริยวาทข้ึนมา แล้วก็แยกกันต่อๆ ไปมากมาย เร่ืองก็มีก็เป็นมาแล้ว มีตัวอย่างให้เห็น มากมาย ทีนี้ ในส่วนของเถรวาท เหตุผลท่ีต้องพิจารณามีหลายอย่าง อย่าง น้อยก็ดังที่ว่า ถ้ามีการถอนได้ มันก็ไม่มีท่ีสิ้นสุด และพระเองก็จะแตกกัน เป็นสังฆะโน่น สังฆะนี่ พวกนี้เห็นว่าเอาแค่น้ี พวกนั้นก็เห็นว่าเอาแค่นั้น ยุ่งไม่จบ ขนาดท่ีมีฝ่ายหน่ึงพยายามรักษาไว้ ก็ยังรักษาไว้ไม่ได้หมด ยังมี การแตกแยก ถ้าเรามองดูเป็นกลางๆ เราต้องพูดใหม่ว่า ขนาดท่ีมีกลุ่มหน่ึง คณะ หนึ่ง ส่วนหน่ึงนี่เป็นแกนรักษาไว้อย่างเดิม ก็ยังไม่อยู่เลย ยังแตกไปได้ ถ้าไม่มีการรักษาไว้เลย มันจะแตกขนาดไหน อาจจะไม่เหลือเลย ลองคิด ให้ดีเถิด คืออย่าไปมองแคบๆ เฉพาะฝ่ายเรา หรือข้างฝ่ายเถรวาท เรา มองสถานการณร์ วมๆ ทนี ี้ ถามตอ่ ดีกวา่ จะได้มแี ง่พดู เพ่มิ ขน้ึ
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๑๕ พระพทุ ธเจา้ พระทยั กว้าง ให้สงฆเ์ ปน็ ใหญ่ พระใจกว้าง ถือสังฆสามัคคเี ปน็ ใหญ่ อำจำรย์มำรต์ นิ : ครับ ก็นักวิชาการคนน้ี เขาเสนอเหตุผลว่า ท่ีดู เหมือนว่า มติของพระสงฆ์น้ัน เหนือกว่าพระดํารัส ก็พูดถึงท่านเจ้าคุณ อาจารย์ด้วย ท่ีท่านเจ้าคุณบอกว่า๑ เร่ืองท่ีพระพุทธองค์ เมื่อพระสงฆ์ใหญ่ นะฮะ ก็คารวะพระสงฆ์ด้วย อันนี้หมายถึงว่า พระสงฆ์ก็ตัดสินอะไรได้ที่ อาจจะไมต่ ามกระแสหรอื เจตนาของพระพุทธองค์ อันนถ้ี กู หรอื เปล่าครบั พระธรรมปิฎก: กถ็ กู ทกุ ขั้น แตอ่ ันนี้ไม่ใชป่ ระเดน็ ไมใ่ ชป่ ระเด็นน้ี มันคน ละประเด็น คือพระท่านไม่ได้สวนกระแสพุทธดํารัส อาตมาได้อธิบายแล้ว คือ พระพุทธเจ้าเปิดโอกาสไว้ และท่านก็พิจารณาแล้ว แต่ท่านมีความเห็น ลงกันไมไ่ ด้ว่า สิกขาบทเล็กน้อยที่จะถอนได้น่ะแค่ไหน (‚ที่จะถอนได้‛ ไม่ใช่ ‚ท่ีจะให้ถอน‛) ท่านจึงมีมติอีกทีหน่ึง คือ มติมีเหตุผลท่ีว่าพระพุทธเจ้าเปิด โอกาสให้เราถอนได้ แต่เราไม่สามารถจะยุติว่า จะถอนได้แค่ไหน เพราะฉะนน้ั เราก็เลยตกลงว่า เราไม่ถอน ก็คือพระพุทธเจ้าให้โอกาส แล้ว พระสงฆ์คณะน้ีกลุ่มนี้ ในการประชุมน้ี ท่านตกลงว่าไม่ถอน ท่านไม่ใช้ โอกาสท่ีได้มา ก็ไม่เหน็ จะไปสวนกระแสอะไร ท่านไม่ได้ส่ังว่า เธอจงถอน ใช่ไหม ถ้าส่ังว่า เธอจงถอน ทีน้ีแล้ว ไม่ปฏิบัติตามสิ ถ้าอย่างน้ันจึงสวนใช่ไหม อันน้ีท่านให้โอกาสไว้ว่า ถ้า สงฆ์เห็นสมควรจะถอน ก็ได้ และสงฆ์ยังไม่เห็นสมควร และสงฆ์ก็ลงมติกัน ไมไ่ ดว้ า่ แคไ่ หนเล็กนอ้ ยท่พี ระพุทธเจ้ายอมให้ถอน ท่านก็เลยมีมติอย่างนั้น ๑ พระธรรมปฎิ ก (ป. อ. ปยุตฺโต), นิติศาสตร์แนวพุทธ, พิมพ์คร้ังที่ ๓, กรุงเทพฯ, มูลนิธิพุทธ- ธรรม, หน้า ๗๒-๗๓. (อ้าง องฺ.จตุกฺก.๒๑/๒๑/๒๗: “เราเคารพธรรม ... และเมื่อสงฆ์เติบใหญ่ข้ึน เรากเ็ คารพสงฆ์ด้วย”)
๑๖ ตอบ ดร.มารต์ ิน: พุทธวนิ ัย ถึงภกิ ษุณี ซ่ึงเป็นการเคารพพระพุทธเจ้าอย่างที่สุดเลย เพ่ือไม่ให้ชํ้าชอกต่อพระ บญั ญัติน่ี จึงได้รกั ษาไว้ก่อน เอ อาตมาไม่เห็นว่าจะเป็นการสวนหรือทําตัวเหนือเลยนี่ เป็นการ แสดงความเคารพอย่างยง่ิ เลยนะ ลองมองดใู หด้ ีสิ จะเปน็ การสวนหรือเป็น การแสดงความเคารพกนั แน่ อำจำรยม์ ำรต์ นิ : ถา้ สมมตวิ ่า ปจั จบุ นั นี้มีพระสงฆ์ตกลงกันว่า เรามาร่วม กันมาตัดสินว่า เออ เรามาถอน เราเพ่ิม เป็นไปได้ไหมครับ หมายถึงว่า มี กระบวนการเช่นว่าวิวาทาธิกรณ์อะไรประมาณนั้น ไม่รู้ว่าในวินัยที่สามารถ ทาํ ไดว้ า่ มีประชมุ ใหญ่ สงั คายนาท่ี ๑๓ อะไรประมาณนน้ั แลว้ ตกลงกันว่า เออ อันน้ีน่าจะเอาสิทธิที่เรามีอยู่ในข้อที่ว่า ถ้าพระสงฆ์ต้องการ ก็ถอนได้ อนั นเ้ี ป็นไปไดไ้ หมครับ พระธรรมปฎิ ก: เป็นไปน่ะ เป็นไปได้ แต่ว่าโดยเหตุผลข้อดีข้อเสีย ก็ต้อง พิจารณา หมายความว่า ถ้าทําอย่างนั้น ในแง่หน่ึง ถ้าเป็น tradition ของ เถรวาท ก็อาจต้องบอกว่า นี่เป็นการไม่ยอมตาม tradition ของเถรวาทใช่ ไหม ก็คล้ายๆ ว่า เป็นการไมป่ ฏิบตั ิตามแลว้ ไม่เอา tradition นน้ั แล้ว ทีน้ี ปัญหาอีกอันหน่ึงก็คือว่า พระเถรวาทเองจะแตกกันไหม ลอง มองดงู า่ ยๆ ว่า พอมีการคิดจะแก้อย่างนี้ขึ้น พระสงฆ์เถรวาทจะเห็นด้วยกัน ท้ังหมดไหม ถ้าเอาดว้ ยหมดส้นิ เลย กเ็ รียกว่าหมดปญั หา แต่ท่ีจริงก็เห็นได้ว่า ไม่เป็นอย่างนั้น น่ีก็คือจะเกิดปัญหาเหมือนเดิม น่ันแหละ คือ พวกหน่ึงก็จะบอกว่า เฮอะ ไม่เอาด้วยหรอก รักษาไว้ อีก พวกหนึ่งกบ็ อกวา่ เฮะ แกเ้ ถอะ เอาแลว้ พระเถรวาทเองกจ็ ะแตกกนั ก็จึงว่า ต้องมาพิจารณาข้อดีข้อเสียนี้ คือ การรักษาสงฆ์ไว้ไม่ให้ แตก มันกเ็ ป็นเหตุผลหนงึ่ ในการทที่ า่ นพจิ ารณาเร่ืองราวเหล่าน้ี
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๑๗ อันน้ีที่จริงก็เป็นเร่ืองอย่างเดิมที่เคยเป็นมาแล้วน่ันแหละ มาย้อนดู เรื่องราวกันอีกทีหน่ึงว่า พระสงฆ์ส่วนรวมท่ีมีมาแต่เดิมจากพุทธกาลนั้น เมื่อได้สังคายนาแล้ว รวมท้ังได้มีมติท่ีว่าตกลงไม่ใช้โอกาสที่จะยกเลิกข้อ วินยั เล็กๆ นอ้ ยๆ จะรักษาไวต้ ามเดิมน้ัน นกี่ ค็ ือเปน็ tradition ขึ้นมา ต่อมาก็เกิดมีกลุ่มท่ีไม่ปฏิบัติตามอย่างน้ัน แต่ได้เลิกหรือแก้ข้อวินัย บางอย่าง เม่ือไม่ยอมถืออย่างเดียวกัน ก็แยกออกไป เริ่มชัดออกมาราว พ.ศ. ๑๐๐ ก็มีการเรียกชื่อสายเดิมหรือ tradition อันเดิมว่า ‚เถรวาท‛ แล้ว ก็เรียกกลุ่มที่แยกนัน้ ว่าเป็น ‚อาจริยวาท‛ (สนั สกฤตวา่ อาจารยวาท) หน่งึ ทีน้ี จากอาจริยวาทท่ีเกิดขึ้นมา ก็ไปแตกกันอีก แยกตัวออกไปๆ และ เถรวาทเดิมเอง ก็มีพวกท่ีแยกออกไปเป็นอาจริยวาทอ่ืนอีก กว่าจะถึงสมัย พระเจ้าอโศกมหาราชราว พ.ศ. ๒๕๐ ก็มีอาจริยวาทมากมายนับได้ถึง ๑๘ นิกาย ซึ่งมีช่ือเป็นทํานองสมญาเฉพาะตัวตามชื่อถิ่น หรือตามทิฏฐิที่ถือ หรือตามช่อื อาจารย์ทเ่ี ปน็ หัวหนา้ เชน่ ว่า พวกวัชชีบุตร พวกมหิสาสกะ พวก สมิติยะ พวกธัมมคุตติกะ (สันสกฤตว่า ธรรมคุปตก์) พวกสัพพัตถิกวาท (สันสกฤตว่า สรวาสติวาท) เป็นตน้ กาลเวลาผ่านมาๆ ปรากฏว่าอาจริยวาทท้ังหลายท่ีแยกออกไปและที่ ไปแตกกันย่อยต่อนั้น สูญหายไปหมดสิ้น ไม่เหลือมาถึงปัจจุบันเลย เหลือ แต่เถรวาทคืออันเดมิ นีอ้ ย่างเดยี ว แตอ่ าจริยวาทท่ีวา่ หายหมดไปน้นั ทีจ่ ริงก็ไมใ่ ชส่ ญู สน้ิ ไปทุกรายหรอก แต่มีการปรับแปรแก้ไขกลายรูปต่อๆ มา พูดง่ายๆ ว่า เหลือมาในรูปซึ่ง พฒั นาหรือกลายมา ท่ีเรียกรวมๆ ว่า ‚มหายาน‛ แล้วมหายานนี้ท่านก็เรียก พวกอาจรยิ วาทเกา่ ท้งั หมดนน้ั รวมท้งั เถรวาทดว้ ย ว่าเป็น ‚หนิ ยาน‛
๑๘ ตอบ ดร.มารต์ ิน: พุทธวินยั ถงึ ภิกษณุ ี ท่ีว่าอาจริยวาทบางนิกายยังเหลือมา ก็เห็นร่องรอยอยู่ในมหายาน นี่เอง อย่างพุทธศาสนาของทิเบต ท่ีเรียกว่าวัชรยาน ก็ใช้วินัยหินยานของ อาจริยวาทอันสูญไปแล้วที่ช่ือว่าสรวาสติวาท (สัพพัตถิกวาท) ภิกษุณีสงฆ์ ในเมืองจีน ก็ใช้วินัยหินยานของอาจริยวาทอันสูญไปแล้วที่ช่ือว่าธรรม คุปตก์ (ธมั มคุตตกิ ะ) อย่างท่ีบอกแล้ว มหายานเป็นชื่อเรียกรวมๆ ซึ่งที่จริงมีนิกายย่อยๆ แยกกนั ไปมากมาย มหายานปรากฏตัวขึน้ ครั้งแรกใกล้ๆ พ.ศ. ๖๐๐ ก็ถือกัน ว่าพัฒนามาหรือกลายมาจากอาจริยวาทเก่า แล้วอาจรยิ วาทเก่ากส็ ญู ส้ินไป มหายานบางนิกายก็รักษาหลักและแบบแผนของท่านไว้ค่อนข้างดี โดยยึดถือหนกั แน่นตามท่ีพระอาจารย์ตน้ สายวางไว้ แตบ่ างแห่ง โดยเฉพาะ ในญ่ีปุ่น มีการปรับแปรแก้ไขตลอดจนเกิดนิกายย่อยใหม่ๆ กันเร่ือย จน เด๋ยี วน้ญี ีป่ นุ่ บอกว่ามหายานในประเทศของตัวมนี กิ ายย่อยประมาณ ๒๐๐ เรอื่ งในญป่ี ่นุ นี่ก็น่าสนใจ ในยุคพลกิ ฟ้ืนคืนพระราชอํานาจแก่พระเจ้า จักรพรรดิในรัชสมัยเมจิ (Meiji Restoration, 1868/๒๔๑๑) บ้านเมืองมี นโยบายเชิดชศู าสนาชินโต พรอ้ มกันนั้นก็กดพทุ ธศาสนา ตอนนั้น ทางการถึงกับมีพระราชโองการ หรือพระราชกฤษฎีกา คํา ญี่ปุ่นไม่ทราบเรียกว่าอะไร แต่ฝร่ังแปลมาว่า ‚decree‛ ก็คือรัฐบัญญัติ อย่างหน่ึง สั่งอนุญาตให้พระญ่ีปุ่นท่ัวหมดแต่งงานได้ อันนี้คงจะเป็นเหตุ สําคัญให้พระญ่ปี นุ่ ไม่เฉพาะนิกายชนิ และนิจิเรน แต่นิกายอ่ืนๆ ก็พลอยมี ครอบครัวกันมากขึ้น จนกระทั่งหนังสือบางเล่มเขียนเล่าว่า พระญี่ปุ่นน้ัน เวน้ พระที่อยใู่ นระหวา่ งศึกษาอบรมแล้ว นอ้ ยทา่ นจะถือพรหมจรรย์ ท่ีพูดเรื่องนี้แทรกเข้ามา ก็เพ่ือให้เห็นตัวอย่างหนึ่งท่ีว่า ทางรัฐหรือ อาณาจักรสามารถมีบทบาทอย่างสําคัญในการทําให้เกิดความเจริญหรือ ความเส่ือมแก่พระพุทธศาสนา ท่ีอ่ืนก็มีมาก อย่างในจีน ออกบัญชาให้
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๑๙ กําจัดและทําลายพระและวัดโดยตรงหลายคราว แต่กรณีของเมจิท่ีพูดถึงน้ี ใช้วธิ แี บบตรากฎหมายกาํ หนดการประพฤติปฏบิ ตั ิ การออกกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ข้อกําหนด กติกานี้ ก็มีหลักกัน อยู่ อย่างพระสงฆ์เถรวาทท่ีว่าไม่ยกเลิกเพิกถอนพุทธบัญญัติ และไม่ตั้ง บัญญัติใหม่ขึ้นมาแข่งหรือมาล้มล้างพุทธบัญญัติน้ัน ก็มิใช่ว่าจะตั้งกฎ กติกากนั ไม่ได้ แต่มหี ลกั วา่ จะมีระเบยี บ มีกติกาขึน้ มา เพ่อื หนุนหรือส่งเสริม การรักษาพุทธบญั ญตั ิ หรอื เพ่ือปฏบิ ัตกิ ารใหเ้ ปน็ ไปตามพทุ ธบญั ญัติ ตัวอย่างง่ายๆ ที่ชาวบ้านเห็นได้ท่ัวไป อย่างการโกนศีรษะ หรือปลง ผมของพระสงฆ์ มีพุทธบัญญัติว่า ให้ภิกษุไว้ผมได้สองเดือน หรือยาวเพียง สององคุลี (วินย.๗/๑๓/๖) ทีน้ี พระไทยก็เหมือนกับพร้อมใจตกลงกันตั้งกติกา ว่า ให้ปลงผมพร้อมกันทุกวันโกนข้ึน ๑๔ คํ่า นี่ก็ทําให้มั่นใจว่าจะได้ผล แน่นอนตามพุทธบัญญัติ ทั้งไม่นานเกินสองเดือน และไม่ยาวเกินสองนิ้ว พรอ้ มท้ังได้ความเป็นระเบียบงดงามสมา่ํ เสมอเปน็ อนั หน่ึงอันเดียวกันด้วย รัฐไทยท่ีอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา ก็ใช้หลักเดียวกันน้ี ดังเช่นหลังกรุง ศรีอยุธยาล่มแล้ว บ้านเมืองระสํ่าระสายอยู่นาน ทั้งพระและชาวบ้านไม่ได้ เรยี นร้พู ระธรรมวนิ ยั พากันประพฤติย่อหย่อน เขวออกนอกทางกันมาก เช่น พระบวชมาแลว้ เอาแต่ไสยศาสตร์ ไม่ศกึ ษาในไตรสิกขา ในหลวงรัชกาลท่ี ๑ ‚จะยอยกพระพุทธศาสนา‛ ต้องถึงกับทรงออกกฎพระสงฆ์ต่างๆ เช่น กฎ พระสงฆ์ฉบบั ท่ี ๔ ว่า (ปรับแกก้ ารสะกดตัวอกั ษรตามท่ใี ชใ้ นปจั จบุ ัน) เปน็ ประเวณใี นพระพุทธศาสนาสืบมาแต่ก่อน มีพระพุทธ ฎีกาโปรดไว้ให้ภิกษุสามเณรอันบวชแล้วในพระศาสนารักษา ธรุ ะสองประการ คอื คันถธุระวิปัสสนาธุระ เปน็ ทย่ี ดุ หน่วง... แต่ น้ีสืบไปเมื่อหน้า ห้ามอย่าให้มีภิกษุโลเลละวัตรปฏิบัติแล ปฏิญาณตัวว่าเป็นกิจวัตร มิได้ร่าเรียนธุระทั้งสองฝ่าย อย่าให้ มไี ด้เป็นอันขาดทีเดยี ว
๒๐ ตอบ ดร.มารต์ ิน: พุทธวินยั ถึงภกิ ษุณี อย่างน้ีก็เห็นได้ชัดว่า เป็นรัฐบัญญัติท่ีหนุนให้ปฏิบัติตามพระพุทธ บัญญัติ ตรงข้ามกับราชโองการเมจิ ท่ีอาจจะเรียกว่าเป็นรัฐบัญญัติที่ล้ม ล้างพุทธบัญญัติ หรืออย่างน้อยก็เป็นรัฐบัญญัติท่ีมาแข่งกับพุทธบัญญัติ หรือให้เป็นทางเลือกแทนพุทธบัญญัติ หมายความว่า ในกรณีน้ี พระญ่ีปุ่น สามารถเลือกได้ ว่าจะถอื ตามพทุ ธบัญญัติ หรือจะถอื ตามรฐั บัญญัติ ถ้าเป็นไปแบบน้ี ก็พูดล้อได้ว่า มีพระญ่ีปุ่นตามพุทธบัญญัติ กับพระ ญ่ีปุ่นตามกฎหมายญ่ีปุ่น ท่ีว่านี้ ไม่เฉพาะญ่ีปุ่น แต่ประเทศไหนจะทํา ก็คง เปน็ อย่างนนั้ ใชห่ รอื ไม่ กล็ องพิจารณากนั ดู เร่ืองน้ีก็เป็นเคร่ืองเตือนสติไว้ว่า เมื่อเจอแบบน้ี ถ้าพระสงฆ์ไม่มั่นใน หลกั จริง กจ็ ะรกั ษาตวั รักษาพระศาสนาไวไ้ ม่ได้ พร้อมกันน้ันก็ให้คติไปด้วยว่า พวกท่ีถูกแรงกระทบจากข้างนอก มากๆ หรือบ่อยๆ มักต้องตื่นตัวแล้วก็ขวนขวายกันไปต่างๆ จะได้ทางดีหรือ ทางร้ายก็แล้วแต่ ส่วนพวกท่ีราบร่ืน ไปเรื่อยๆ ก็โน้มไปในทางท่ีจะเฉ่ือยชา แลว้ ก็จะเลยมวั เพลินประมาท อันนี้ก็เป็นข้อควรระลึกแก่ชาวเถรวาท โดยเฉพาะก็ไทยนี่แหละ ท่ีดู เหมือนวา่ จะเร่อื ยเปือ่ ยนอนใจกนั นกั หนา หันกลับมาเร่ืองเดิมท่ียังค้างอยู่ เวลาพูดรวมๆ ว่ามหายาน ก็ได้ ตัวเลขสถิติว่ามหายานเป็นนิกายใหญ่มีศาสนิกมากกว่าเถรวาทเยอะ แต่ที่ จริง บางนิกายในมหายานน้ัน มีหลักคําสอนและการปฏิบัติใกล้กับเถรวาท มากกวา่ บางนิกายในมหายานดว้ ยกนั ด้วยซํ้า ถ้านับตามช่ือนิกายท่ีเรียกกัน จริงๆ ว่า นกิ ายเทียนไถ (นิกายเทนได) นิกายฉาน (นิกายเซน) นิกายนิจิเรน นกิ ายโจโด นิกายชนิ นิกายลามะ ฯลฯ เรอ่ื งน่าจะกลายเป็นว่านิกายเถรวาท ใหญ่ทส่ี ดุ มีศาสนิกมากทส่ี ดุ
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๒๑ นี่เปน็ เรอ่ื งของข้อมลู ขอ้ เทจ็ จรงิ กไ็ ปค้นหาตรวจสอบกันเอา อย่างไรก็ อย่างนัน้ จะได้เปน็ ความรไู้ ว้ ที่ว่ามาน่ี ก็ย้ําให้เห็นว่า มันเป็นเรื่องของทางเลือก และเป็นกรณีท่ีจะ ไม่ใช่ได้อย่างเดยี วโดยสมบรู ณ์ ไดแ้ คเ่ ลือกเอาทจี่ ะได้ดีที่สุด และเสียให้น้อย ท่ีสดุ จะดีไหมท่ีจะไม่ไปเป็นมหายานกันหมด ให้เถรวาทยังมอี ยู่บา้ ง ทีนี้ เถรวาทก็อยู่ด้วยหลักท่ีว่าพยายามรักษาตามที่พระพุทธเจ้าทรง วางไว้ให้ดีที่สุด แล้วถ้าจะมีการคิดแก้คิดเปล่ียนในเรื่องพุทธบัญญัติกันน้ัน พอบอกข้ึนมา จะได้มติเอกฉันท์ เป็น unanimous ได้ไหม ถ้าไม่ได้ (ซึ่งก็พอ มองเห็นไมย่ ากว่าจะไม่ได้) ความแตกแยกก็เกิดข้ึน เถรวาทก็แตก มีอาจริย- วาทเกิดขึ้นมาทันที พอแยก ๑ แล้ว เดี๋ยวก็แยก ๒-๓-๔ นี่แหละท่านจึง กําชบั นักใหร้ กั ษาสามัคคี รวมแล้ว จะไปว่าท่านใจแคบไม่แคบ ท่านไม่ได้คิดถึงตัวเองนี่ ท่าน คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมใช่ไหม ว่าทําอย่างไรจะรักษาสามัคคีของสังฆะไว้ ว่าสังฆะน้ีจะรักษาพระศาสนาไว้ต่อไป ถ้าสังฆะไม่สามัคคี ปัญหาเร่ืองอื่น กจ็ ะยืดเยอื้ ขยายกวา้ งออกไปด้วย จงึ ต้องพจิ ารณา มันก็คอื การพยายามใช้ ปัญญาพิจารณา จะไปวา่ ใครใจกว้างใครใจแคบอะไรน่ี คงยังไม่ถูก บางที คนที่อยากจะแก้ใจแคบ เพราะอยากจะได้ผลประโยชน์ของตัว ใช่ไหม คน ท่ีไม่ยอมแก้น่ะ ต้องยอมเสียสละตัวเอง เพื่อรักษาไว้ ทั้งๆ ท่ีตัวเองปฏิบัติ ลําบาก จะไปว่าใจแคบได้อย่างไร ก็ต้องมาดูว่าจะตีความหมายของใจ กวา้ งใจแคบวา่ อย่างไร ว่ากนั เปน็ ข้นั ๆ จะบอกวา่ ถา้ เปล่ียนแปลงได้ หรือยอมรับการเปลี่ยนแปลง เป็นความ ใจกว้าง แค่น้ันไม่พอ และไม่ใช่แค่ดูว่าเปลี่ยนแปลงอะไรอย่างไรเท่านั้น พูด สั้นๆ ว่า ความใจกว้างอยู่ที่ หน่ึง รู้เข้าใจยอมรับความจริงได้ สอง เห็นแก่
๒๒ ตอบ ดร.มารต์ ิน: พุทธวินัย ถึงภิกษณุ ี ประโยชน์แทจ้ ริงในวงกวา้ ง ถ้ามุ่งจะเอาแต่ประโยชน์ของตัว ก็แคบ ไม่ใช่ใจ กว้างแล้ว แต่ขั้นท่ี ๑ คือ ยอมรับความจริง ความใจกว้างอยู่ที่การยอมรับ ความจริงได้ มนั เรมิ่ ที่นี่ อย่างไรก็ดี ทางเลือกบางทีก็ไม่ใช่มีแค่ ๒ แต่อาจจะเป็น ๓-๔ ก็ได้ แลว้ ถ้าอย่างนัน้ กอ็ าจจะมที างเลือกท่ไี ดด้ ว้ ยกนั โดยไม่ตอ้ งแตก ไมต่ อ้ งเสยี คณุ นรศิ : ท่านเจ้าคุณอาจารย์ครับ แล้วอย่างกรณีน้ี ถ้าอย่างนั้น ถ้า เกดิ พูดในแง่ของเถรวาทเอง ปจั จบุ นั น้ีมันจะเปน็ แงว่ ่า โอเค มนั จะมีประเทศ อย่างศรีลังกา ไทย พม่า อะไรอย่างนี้ แล้วอย่างกรณีสมมติ อย่างกรณี ง่ายๆ อย่างกรณีภิกษุณีอะไรอย่างน้ี เราจะถือเอาเถรวาท ณ จุดไหน ถ้า สมมติว่า ณ ศรีลังกา หรือที่พม่าเขายอม และเขามีมติร่วมกันของเถรวาท จะวา่ อยา่ งไร คือ จะเอาจดุ ที่ไหนเปน็ จุดกาํ หนด พระธรรมปฎิ ก: อ๋อ ไม่ต้องมีจุดละ ก็คือ รู้กันเลย หมายความว่า อย่างตอนน้ีในศรีลังกาเอง พอมีกลุ่มเริ่มข้ึนท่ีนั่น ก็เร่ิมลักล่ัน ส่วนท่ัวไป ไม่ได้ยอมรับด้วย ก็ง่ายๆ อย่างนี้ ไม่ต้องไปมองไทย ลังกา พม่าท่ัว ทั้งหมดหรอก ลังกาเองก็จะหมางกันใช่ไหม เพราะเถรวาทท่านก็ถือ tradition มาอย่างน้ี แล้วมีกลุ่มหนึ่งในศรีลังกาไปทําอย่างน้ัน พระลังกา เองถึงจะไมแ่ ตกโฉง่ ฉา่ ง แตไ่ มเ่ อาด้วย หรือเมนิ ๆ กนั หรอื ว่าฉันไม่เก่ียวนะ คุณนรศิ : แล้วถ้าอย่างนั้น ถ้าสถานภาพท่ีได้มาน่ี สมมติว่า สถานภาพ นน้ั มาอยู่ภายใต้ประเทศหน่ึง อันน้ี ขึ้นตรงต่อรัฐหรือไม่ สมมติว่าข้ึนตรง ต่อมหาเถรสมาคม แล้วเราก็ต้องยอมรับในสถานภาพนั้น ถ้าเรายอมรับใน สถานภาพน้ัน ก็ถือว่าเข้าไปในสายของเถรวาท ก็คือเป็นนิกายย่อยของเถร วาททัง้ หมด
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๒๓ พระธรรมปิฎก: ออ๋ ไม่ถงึ อย่างนนั้ มหาเถรสมาคมเป็นเพียงผู้ปกครอง ตามกฎหมายเสริมของทางบ้านเมืองเท่าน้ัน มหาเถรสมาคมบริหารให้ เป็นไปตามพระธรรมวินัยและกฎหมายบ้านเมือง แต่ไม่มีสิทธิในการท่ีจะ มาเปน็ ผู้วนิ จิ ฉัยวา่ จะจัดการกบั พุทธบญั ญัติอย่างนั้นอย่างน้ี แต่ทีน้ี ถ้าท่าน เกิดจะวินิจฉัยข้ึนมา มันก็จะก่อปัญหาอีกแหละ พระสงฆ์อ่ืนก็อาจจะไม่ เห็นด้วย อันนี้เป็นเร่ืองที่ว่า แม้แต่เถรวาทในประเทศเดียวเอง ก็พยายาม รักษากันไป คือ ที่เป็นมานี่ เถรวาทท้ังสามประเทศก็พยายามรักษาไว้ ต่างคนต่างรักษา แต่ใช้หลักการเดียวกัน มันก็เลยเหมือนกันอยู่ ทีนี้ ถ้า เกดิ มีกลุ่มไหนประเทศไหนไปสร้างมติใหม่ขึ้นมา มันก็เท่ากับทําให้เถรวาท น้นั เร่มิ แตกแยก ก็เทา่ น้ันเอง ไม่ว่าท่ีไหนละ ไม่ต้องไปเทียบระหว่างประเทศ ถ้าหากว่าประเทศ ลงั กาเขาเอาอย่างน้นั หมดแล้ว เถรวาทไทยกย็ ังไม่เอาอะไรอย่างน้ี ก็เท่ากับ ว่าเถรวาทไทยกับลังกาก็จะไม่เหมือนกัน ก็อาจจะเพียงยอมรับรู้กันว่า เถร วาทลังกาเขาเป็นอย่างนั้นนะ ของเราเป็นอย่างน้ีนะ ก็เท่าน้ันเอง คือ อาจจะไม่ถึงกับจะถือเป็นความแตกแยก แต่เป็นอันรู้กันว่ามีการ เปล่ียนแปลง มกี ารกลาย มกี ารอะไรข้นึ มา เปน็ ความแตกต่างท่ีอาจจะทํา ให้ไมส่ นทิ ใจกัน น้กี ็ข้ึนอยกู่ ับว่าฝา่ ยไหนคดิ จะรกั ษาแค่ไหน อยากจะพูดในประเด็นความคิดกว้างอีกทีหน่ึง ใจกว้างในระดับท่ี หน่ึง ก็คือ การยอมรับความจริง ไม่ใช่จะเอาแต่ท่ีตัวชอบใจ โดยไม่คํานึงว่า ความจริงหรอื หลกั การเปน็ อยา่ งไร การท่ียอมรับความจริงได้ต่างหาก ตั้งแต่ เปิดตัวรับฟัง เปิดใจรับเรื่อง และเมื่อเจอความจริงแล้ว ถ้าความจริงไม่ เป็นไปในทางของตัว ก็ต้องเสยี สละตัวเองยอมตามได้ นี้คอื ใจกวา้ ง
๒๔ ตอบ ดร.มาร์ตนิ : พุทธวนิ ยั ถงึ ภิกษุณี ทีนี้ข้ันที่ สอง ก็คือประโยชน์ส่วนรวม การท่ีใจกว้าง ก็คือยอมสละ ประโยชน์ส่วนตัว สละความเห็นแก่ตัวเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม เพ่ือ จะรักษาสว่ นรวมไว้ ในมติเถรวาทท่ีถือว่าท่านใจกว้าง ก็คือ ท่านมองในแง่ว่าประโยชน์ ส่วนรวมของสังฆะและพระศาสนาท้ังหมด ซ่ึงโยงไปยังจุดหมายคือ ประโยชน์สุขของประชาชน จะอยู่ได้อย่างไร ไม่ใช่เฉพาะบัดนี้ แต่ในกาล ยาวนานข้างหนา้ ต่อไป นี่ ท่านคดิ ในแง่นี้ และกพ็ ยายามรักษาไว้ มองในแง่นี้ ก็ดูสิว่า ท่านใจกว้าง หรือใจแคบ แต่แก่นของเร่ืองก็คือ การไม่เห็นแก่ตัว การมุ่งจะรักษาส่วนรวมคือสังฆะไว้ในลักษณะท่ีจะอยู่ได้ ย่ังยืน โดยเหตุผลว่า พระศาสนาจะต้ังอยู่เพื่อประโยชน์สุขแก่ประชาชนได้ ตวั หลกั ธรรมคําสอนจะอยไู่ ด้ ก็เมอ่ื รักษาสงั ฆะไว้ได้ ดูข้อมูลให้ชดั เจน พูดใหแ้ น่ใจในความร้ทู ่ถี ูกต้อง อำจำรย์มำร์ตนิ : อันน้ีขอย้อนอีกทีหน่ึงนะครับ มีคําถามก่อนน้ัน เรื่อง ปฐมสังคายนาที่พระสงฆ์ในกรณีปฐมสังคายนาปรับอาบัติทุกก ฏพระ อานนท์ (คณุ ปัญญาบอกวา่ ไม่ใช่อาบัติ เปน็ แค่ทําไม่ดีอะไรอย่างนี้) เพราะ พระอานนท์ช่วยผู้หญิงในการบวชน้นั กม็ นี ักวชิ าการหลายคน ฝรั่งก็ดี ไทยก็ ดี ท่ีมีความสงสัยว่า พระร่วมปฐมสังคายนาไม่พอใจผู้หญิงหรือ แต่ประเด็น นไ้ี มน่ า่ จะเป็นไปได้ เพราะพระอรหันต์ไม่มีอคติใดๆ แล้วใช่ไหมครับ ขอ นมสั การท่านเจ้าคณุ อาจารย์ช้ีแนะขยายความเร่ืองนห้ี น่อยนะครบั
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๒๕ และอีกประเด็นหน่ึง ทําไมไม่มีพระภิกษุณีมีส่วนร่วมในปฐม สังคายนา ท้ังๆ ท่ีในเวลานั้นมีพระอรหันต์ท่ีเป็นภิกษุณีหลายรูปนะครับ มี ๒ ประเด็นท่ีเหน็ วา่ มกี ารถกเถียงกัน กระผมเคยเลา่ ให้ฟังแล้ว มีนกั วิชาการ คนหนึ่งเคยบอกว่ามีการไม่พอใจที่มีต้ังนานในพระสงฆ์ท่ีระเบิดออกมา ใช้ คําว่าระเบิดออกมาในช่วงประชุมปฐมสังคายนานั้น เกี่ยวกับเร่ืองนี้ พูด คลา้ ยๆ ในแนวของพระมโนนะครับ พระธรรมปฎิ ก: ในเรื่องน้ี กม็ ขี อ้ ที่น่าพจิ ารณาหลายอยา่ ง หนึ่ง ท่ีว่าพระอานนท์ทุกกฏ ทําไม่ดีอะไรนั่นนะ มันก็ไม่ใช่มติสงฆ์ และก็ไมใ่ ชก่ ารปรับอาบตั ิ อา้ ว ลองดขู อ้ มลู กันให้ดีให้ถงึ หน่อยเถอะ ท่ีจรงิ น้ัน เมื่อมีข้อพิจารณาหรอื แง่มมุ ของเรื่องราวอะไรท่ียังไม่รู้ข้อมูล ข้อเทจ็ จรงิ ชดั เจนเพยี งพอ ไม่ควรจะมวั ขลกุ ขลกถกเถยี งกันไปตามความคิด ที่ฟงุ้ แล่นไปกับความรู้สึกท่ีชวนให้เตลดิ เปดิ เปงิ แต่ควรจะมุ่งไปท่ีการค้นหา เขา้ ดแู ละตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงให้ชัดก่อน ถ้าไปได้ ก็ไปให้ถึงแหล่งต้น เดมิ ของข้อมลู น้นั (วินย.๗/๖๑๘/๓๘๒) จะเรียกวา่ ปฐมภมู ิหรอื อะไรกแ็ ลว้ แต่ สาํ หรบั เรื่องน้ี กไ็ ปอ่านดสู ิ แล้วก็จะพบเองว่า ตอนใดท่ีเป็นมติสงฆ์ ก็ จะมีข้อความบอกชัด ประธานที่ประชุม คือ พระมหากัสสปะจะต้ังญัตติว่า ‚สุณาตุ เม ภนฺเต สงโฺ ฆ …‛ (ขอสงฆจ์ งฟังขา้ พเจ้า …) ว่ากันเป็นข้อๆ ขอ มตเิ ป็นประเด็นๆ ไปเลย แต่ตอนท่ีว่าพระอานนท์ทําน้ันทําน่ีได้ไม่ดี (ทุกฺกฏํ) นั้น อยู่ตอนท้าย หมดเรอ่ื งทีจ่ ะขอมติสงฆ์ และเสร็จกิจท่ีสงฆ์จะลงมติแล้ว เรียกได้ว่าจบหรือ เสร็จงานสังคายนาแล้ว เป็นเหตุการณ์ต่อท้าย ท่านเล่าไว้ ถ้อยคําที่ใช้บอก เล่าก็มเี พยี งคําวา่ ‚เถรา ภิกข‛ู ภกิ ษเุ ถระหลายองค์/ท้ังหลาย พูดตําหนิว่า พระอานนท์ทําอันนี้ไม่ดี อันน้ันไม่ดี เราก็ไม่รู้ละว่าองค์ไหนว่าบ้าง แต่ไม่มี ชื่อพระมหากสั สปะอยู่ด้วย
๒๖ ตอบ ดร.มาร์ติน: พทุ ธวินัย ถงึ ภิกษุณี เพราะฉะนน้ั ถ้าตคี วามหรือพดู แบบพระมโน อาตมาจงึ เขียนล้อไว้ใน หนังสือ ต่ืน-กันเสียที จากความเท็จ ของหนังสือ “เหตุเกิด พ.ศ. ๑” นั่น บอกวา่ ถา้ อย่างน้ี ถ้าอ่านแบบพระมโนน่ี ก็ต้องบอกว่า พระมหากัสสปะนี่ คุมเกมไมอ่ ยู่ คุมการประชมุ ไมอ่ ยู่ แต่ที่จริง น่ันเป็นเร่ืองหลังประชุม ท่านเล่าต่อท้ายไว้ด้วย ถ้อยคําท่ีใช้ ต่างกันชัดเจน เป็นคนละแบบไปเลย พอจบสังคายนา จบสังฆกรรมแล้ว บอกว่า พระเถระ (ไม่รู้องค์ไหนบ้าง) ว่าพระอานนท์ทําอย่างน้ันอย่างน้ี เป็น ข้อตําหนิว่าพระอานนท์ทําไม่ดี หรือทําได้ไม่ดี รวมทั้งหมดนับได้ ๕ ข้อ ซึ่ง เปน็ เรือ่ งเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อองค์พระพุทธเจ้าท้งั นั้น คงเป็นทํานองติว่า ในการทําหน้าท่ีเป็นพระอุปัฏฐากใกล้ชิด พระพุทธเจ้าน้ัน พระอานนท์จะต้องยอมรับว่ามีงานที่ทําได้ไม่ดีอยู่ด้วยนะ ใน ๕ ข้อน้ี ก็รวมทั้งข้อที่ว่า เวลาเย็บผ้าวัสสิกสาฎก (ผ้าอาบน้ําฝน) ของ พระพุทธเจ้า พระอานนทไ์ ด้เหยียบผ้านนั้ ตรงน้ี มีเร่ืองอธิบายแทรกนิดหน่ึง เป็นข้อสังเกตด้วย และเป็น เกร็ดความรู้ด้วย คือ ท่ีพระเถระทั้งหลายว่าพระอานนท์ทําไม่ดี ทําได้ไม่ดี หรือทาํ ไมไ่ ดด้ ีนั้น ท่านใช้คําว่า ‚ ‛ (= ทุ + กต แปลว่า ทําไม่เหมาะไม่ ด,ี ทาํ เสีย, ทําเผลอทาํ พลาด, ทาํ ได้ไม่ดี หรือทําไม่ได้ดี) และคํานี้ก็พอดีเป็น ช่อื เรยี กอาบัติอย่างหนึ่งด้วย มีคําแปลอย่างเดียวกัน เป็นอาบัติในระดับเบา ที่สุด คือคาํ ตรงกัน แตใ่ ช้ต่างความหมายทค่ี ลา้ ยกัน เรื่องคําเดียวกัน มีความหมายคล้ายกัน แต่เป็นคนละเรื่องน้ี มีเยอะ คําอ่ืนที่คนไทยคุ้นกว่านี้ก็มี เช่น ‚ปัจจัย‛ ต้นศัพท์มีความหมายอย่าง เดยี วกนั แต่นําไปใช้แยกต่างเร่ืองกันออกไป เป็นปัจจัยใน ‚เหตุปัจจัย‛ บ้าง ‚ปจั จัยสี่‛ บา้ ง
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๒๗ ดูง่ายๆ ในภาษาไทยนี่แหละ เช่น ‚เข็ม‛ ใช้ในความหมายท่ีมี ลักษณะร่วมบางแง่ แต่ก็ต่างกันไปคนละอย่าง เป็นเหล็กแหลม ก็มี เป็น ต้นไม้ ก็มี เป็นปลา ก็มี หรือที่พูดกันว่า ไปถูกต้มหรือตกหลุมเขามา ไม่เจ็บ กาย แต่เจ็บใจ “ต้ม” และ “หลมุ ” กลายเป็นคาํ ในสํานวนเทยี บเคียง แต่ท่ีน่าพูดถึงมาก ก็คือคําว่า “ครุธรรม” ท่ียกมาเป็นปัญหากันนี่ แหละ ภิกษุณีมีครุธรรม ๘ ซึ่งละเมิดก็ไม่มีความผิดอะไร จึงต้องย้ํานักยํ้า หนาให้เคารพ ให้ถือจริงจัง แต่ภิกษุมีครุธรรมที่ละเมิดแล้ว เป็นความผิด หนกั ถกู ลงโทษอย่างแรง ตอนนีบ้ างคนชกั จะงง (งงโดยไม่ตอ้ งชักจะดกี วา่ ) อ้าว พอพูดต่อไป ภิกษุณีก็มีครุธรรมที่ละเมิดแล้วมีความผิดโทษแรง เหมือนกัน อ๋อ ครุธรรมท่ีภิกษุก็มี ภิกษุณีก็มีน้ี หมายถึงอาบัติสังฆาทิเสส ภกิ ษมุ ี ๑๓ ขอ้ ภกิ ษุณมี ี ๑๗ ข้อ (นี่คือตอนทเ่ี ต็มจํานวนแลว้ ในปาติโมกข)์ แล้วก็จําเพาะว่า ครุธรรมในความหมายหลังน้ี ก็ไปปรากฏในข้อ ๕ ของครุธรรม ๘ ท่ีเป็นคนละความหมายกันด้วย คนที่ไม่ถนัดเรื่อง ก็สับสน แต่คนในวงการ พออ่านก็รูเ้ ลย ร้ไู ดอ้ ย่างไร พอเห็นคาํ วา่ “มานตั ” ก็ชดั เลย ทีน้ีก็กลับมาเรื่องทุกกฏต่อไป แล้วตรงน้ี อรรถกถาก็อธิบายไว้ด้วย ท่านว่า ท่ีพระเถระทั้งหลายติว่าพระอานนท์น้ัน ไม่ใช่เรื่องอาบัตินะ พระ อานนท์ไม่ได้ละเมิดพุทธบัญญัติอะไรนี่ จะเป็นอาบัติได้อย่างไร คืออันน้ี พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบัญญัติไว้ว่าเป็นความผิดหรือข้อเสียหาย และพระ เถระเหลา่ นนั้ มิใชจ่ ะไม่รู้จกั ว่าอะไรเปน็ อาบัตหิ รือไม่เป็นอาบัติ ถ้าพระเถระเหล่านั้นปรับอาบัติพระอานนท์ ก็กลายเป็นว่า ท่าน เหล่านั้นไม่รู้ว่าอะไรเป็นอาบัติตามพุทธบัญญัติ หรือกลายเป็นว่าท่านวาง บญั ญัตขิ ึน้ เองใหม่ ทงั้ ทีเ่ พง่ิ ผา่ นการสังคายนาเสร็จมาใหม่ๆ โดยมีมติล่าสุด ว่าจะไม่บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบัญญัติ ไม่ยกเลิกเพิกถอนส่ิงท่ี ได้ทรงบัญญัตไิ ว้
๒๘ ตอบ ดร.มารต์ ิน: พุทธวนิ ยั ถึงภกิ ษุณี (สังฆะทําได้แค่วางกฎกติกาท่ีจะปฏิบัติการให้เป็นไปตามพุทธ บัญญัติ หรือเพื่อคํ้าหนุนพุทธบัญญัติ ทํานองกฎหมายลูกที่เขาออกตาม ความในรฐั ธรรมนูญ) พูดใหเ้ ขา้ ใจงา่ ยวา่ ไม่มสี กิ ขาบทบญั ญัติไวใ้ นเรอ่ื งน้ี ท่ีพระอานนท์จะ สามารถละเมดิ ให้เป็นอาบัติขึ้นมาได้ ทีน้ี ก็น่าสังเกตด้วยว่า พระไตรปิฎกฉบับแปลภาษาไทย มักแปล ‚ ‛ ตัวนี้ เอาเป็นอาบัติทุกกฏไป กลายเป็นว่าพระเถระเหล่านั้นปรับ อาบตั พิ ระอานนท์ ที่ว่าน่าสังเกตก็คือ จะเห็นว่า โดยทั่วไปนั้น พระไตรปิฎกฉบับ แปลภาษาไทยท่านแปลตามคําอธิบายของอรรถกถา หรือปรึกษาอรรถกถา แล้วจึงแปลออกมา อย่างที่อาตมาเคยขอให้ตระหนักว่า บางคนบอกว่า ฉันเอาแต่ พระไตรปิฎก ไม่เอาอรรถกถา แต่พระไตรปิฎกที่เขาใช้นั้นคือพระไตรปิฎก แปลภาษาไทย เลยกลายเป็นว่า น่ันแหละเขาอ่านพระไตรปิฎกตามคําแปล ของอรรถกถา หรือบางทีกลายเป็นอ่านอรรถกถาในชื่อว่าพระไตรปิฎก แปลภาษาไทย แล้วก็เลยกลายเป็นการอ้างอรรถกถา ว่าไปตามอรรถกถา โดยไม่ร้ตู ัว แล้วกรณีน้ีกเ็ ลยกลายเปน็ เรอ่ื งแปลกวา่ พระไตรปิฎกฉบับแปลภาษา ไทยตรงนี้ แปลไม่ตรงตามอรรถกถา นี่คงไม่มีอะไรหรอก คือท่านผู้แปลเห็น ‚ทุกกฏ‛ เป็นคําง่ายๆ เลยไม่ เฉลียวใจ ก็เลยไม่ไดน้ ึกทจ่ี ะคน้ ดอู รรถกถา เรือ่ งน้ีกเ็ อามาต้ังใหเ้ ป็นท่สี ังเกตกันไว้ และก็เป็นความรูด้ ้วย
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๒๙ รวมความก็คอื พระเถระเหลา่ นนั้ ว่าพระอานนท์ทกุ กฏ หมายความว่า พระอานนทท์ าํ ขอ้ น้นั ขอ้ นไี้ มเ่ หมาะ ไมด่ ี ที่เปน็ เหมือนไม่เคารพพระพุทธเจ้า หรือรบกวนพระองค์ หรือทําไม่เข้าที ไม่ได้ผลดี ไม่เรียบร้อยงดงาม ขอให้ ยอมรับดว้ ยนะ ในคําท่ีพระเถระว่าน้ัน ไม่มีคําว่าอาบัติ คําบาลีตัวจริงท่ีท่านว่าคือ ‚ ‛ํ = ‚อาวุโสอานนท์ แม้ขอ้ นี้ ท่านก็ทําไม่ดี‛ มีแค่นี้แหละ แต่ท่านผู้แปลเข้าใจว่าหมายถึงอาบัติทุกกฏ ดังนั้น พระไตรปฎิ กฉบับแปลกจ็ ึงมคี ําว่า ‚อาบัต‛ิ เติมเขา้ มา (‚ทกุ กฺ ฏํ‛ ในท่ีน้ี ก็คือคําตรงข้ามกับ ‚สุกตํ‛ [ทําดีแล้ว] อย่างในพุทธ- ภาษิตท่ีนักเรียนนักธรรมท่องกันว่า ‚ ํ ํ ,ํ ํ ํ กตฺวา นานุตปฺปติ‛ ถ้าแปลทับศัพท์ ก็บอกว่า ‚ทุกกฏ ไม่ทําเลย ดีกวา่ , ทุกกฏย่อมแผดเผาภายหลัง ...‛ แปลอย่างน้ี เดี๋ยว จะคิดว่า ทําไมต้องสอนคนท่ัวไปทั้งโลก ไม่ให้ทําอาบัติทุกกฏ อาบัติทุกกฏ ไปเก่ียวอะไรกบั คนทว่ั ไปดว้ ย แตท่ ี่จรงิ ทุกกฏท่ีน่ีไม่ใช่อาบัติ แต่หมายถึงทํา ไม่ดี ถ้าอย่างนั้นจะแปลว่าอย่างไร ก็ดูในวงเล็บต่อไปนี้ [กรรมท่ีทําไม่ดี ไม่ ทําเสียเลยดีกว่า กรรมที่ทําไม่ดีย่อมแผดเผาภายหลัง กรรมท่ีทําดี ซึ่งทํา แล้วไมต่ ามแผดเผา ทําไว้แล ดกี ว่า], ส.ส.๑๕/๒๓๙/๖๗) ที่จริง บางข้อท่ีพระเถระเหล่านั้นว่าแก่พระอานนท์ ก็ตรงกับท่ี พระพุทธเจ้าเองเคยตรัสแก่พระอานนท์แล้ว ได้แก่เหตุการณ์ท่ีพระพุทธเจ้า ทรงทํานิมิตประทานโอกาสให้อาราธนาไดห้ ลายคร้ัง โดยตรัสว่าผู้เจริญอิทธิ บาทดีแล้ว ถ้าปรารถนา จะอยู่ตลอดอายุกัปหรือเกินก็ได้ และพระองค์ก็ได้ เจริญอิทธิบาทนั้นไว้ดีแล้ว ถ้าทรงจํานง ก็จะทรงดํารงอยู่เช่นนั้นได้ แต่พระ อานนท์ไม่ทันนกึ
๓๐ ตอบ ดร.มาร์ตนิ : พุทธวนิ ยั ถงึ ภกิ ษณุ ี ต่อมา เม่ือพระพุทธเจ้าทรงปลงพระชนมายุสังขารว่าจะปรินิพพาน แล้ว พระอานนท์จึงทูลขอให้ดํารงพระชนม์อยู่ต่อไป พระพุทธเจ้าก็ไม่ทรง รบั คาํ ขอนน้ั และไดต้ รัสแกพ่ ระอานนท์ว่า ‚ ํํ ํ ‛ํ (‚เพราะฉะนั้นแล อานนท์ อันนี้ จึงเป็นการทําเสียเร่ือง เป็นการพลาดไปของเธอนั่นเอง‛ เช่น ที.ม.๑๐/๑๐๖๕/๑๓๙) เป็นอันว่าไม่ใช่ เรอื่ งของอาบตั ิแต่อยา่ งใด พูดไปพูดมาก็ทวนอีกว่า สังคายนานั้นท่านทําเป็นสังฆกรรม เพราะฉะนั้น ถ้อยคําที่ใช้จึงบ่งชัดเป็นสํานวนเฉพาะ ตอนที่ประธานคือพระ มหากัสสปะกล่าว จึงเป็นคํากล่าวแก่สงฆ์ โดยต้ังญัตติข้ึนมา และขอมติ สงฆ์ ไม่ว่าจะเป็นตอนสังคายนาพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม ก็แล้วแต่ และตอนตกลงว่าไม่ถอนสิกขาบท ก็ตั้งญัตติ แล้วก็มีมติสงฆ์ ตัวสังฆกรรม ในการสังคายนาก็เป็นอันจบแค่น้ี แต่ต่อจากน้ี ตอนท่ีว่าพระอานนท์ทําไม่ถูกอะไรต่ออะไรนี่ เป็นเรื่อง ของ ‚เถรา ภกิ ขฺ ‛ู ซ่ึงแม้จะเป็นผูร้ ่วมประชุม แตก่ ็ไมใ่ ชม่ ตทิ ี่ประชุม คือ เถรา ภิกฺขู ว่าอยา่ งนัน้ ๆ ท่านใช้คาํ เปน็ กลางๆ ภิกษุผู้เถระท้ังหลายว่าพระอานนท์ ทาํ อยา่ งนไี้ ม่ถูกไมด่ ี ขอใหท้ า่ นยอมรบั นะ น่ีหนึ่งละ เป็นอันว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นการปรับอาบัติ และมิใช่เป็นมติสงฆ์ ในสังฆกรรมของการสังคายนา พ้นจากการทําหน้าท่ีของประธานที่ประชุม คือพระมหากัสสปะไปแล้ว ดังที่ต่อจากน้ันไมม่ กี ารกล่าวถึงพระมหากัสสปะ อีกเลย มแี ตพ่ ระอานนทเ์ ป็นองค์ยนื ของเร่ืองราวต่อมาจนจบเร่ือง ส่วนท่ีว่าพระเถระท้ังหลาย จะก่ีส่วนกี่รูปก็ตาม ตําหนิพระอานนท์ใน การที่ท่านทําการขวนขวายให้สตรีได้บวช ข้อน้ีจะเป็นการแสดงความไม่ พอใจหรือมีอคติต่อสตรีหรือไม่น้ัน อันน้ีคงต้องโยงไปท่ีพุทธพจน์เอง หลังจากทรงอนุญาตให้สตรีบวชแล้ว ซึ่งตรัสว่าจะเป็นเหตุให้พรหมจริยะ
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๓๑ ดาํ รงอย่ไู มไ่ ด้นาน เหมือนครอบครัวท่ีมีสตรีมาก มีบุรุษน้อย ถูกโจรขโมยทํา ร้ายได้งา่ ย (ตรัสไวห้ ลายอปุ มา, วินย.๗/๕๑๘/๓๒๖) พระเถระเหล่านั้นคงจะต่อ ว่าพระอานนท์ตามเหตุผลในแง่นี้ ดังน้ัน การพิจารณาเร่ืองนี้จึงต้องขอรอท่ี จะยอ้ นกลับไปดูพุทธพจน์น้ันกนั อีกที ตอนนี้ แทนที่จะย้อนไปดูพุทธพจน์ ขอย้อนกลับมาท่ีตัวบุคคลผู้ ศึกษา หรือตัวคนท่ีวิเคราะห์วิจารณ์เร่ืองราวทางวิชาการกันก่อน ปรากฏ บ่อยหรือบ่อยข้ึนว่า แทนที่จะพากันเข้าถึงความรู้ความเข้าใจท่ีชัดเจนตรง ตามข้อมูลข้อเท็จจริง และได้ความคิดที่เป็นประโยชน์ขยายพรมแดนแห่ง ปัญญา กลับย่ิงพรางตาพรางความคิดกัน ก่อความสับสนเข้าใจผิดจูงกัน เขวเฉออกนอกทางยิ่งขึ้น สาเหตุสําคัญก็เป็นเรื่องง่ายๆ พื้นๆ คือ จับหาข้อมูลความรู้กันอย่าง ผลุบผลับหละหลวม เอาแต่คิดฟุ้งปรุงแต่งนัวเนียกันไปกับข้อมูลความรู้ท่ี กะพร่องกะแพร่ง ฉาบฉวย คลุมเครือ แว่วๆ วับๆ แวมๆ ไม่สืบค้นให้ท่ัว ไม่ ตรวจสอบให้แน่ จบั ผดิ จบั ถูก จับโน่นชนน่ี บางที เห็นข้อมูลนิดหน่อย ไม่ดูให้ท่ัวตลอด ก็เอาความรู้สึกใส่ ความคิดวินิจฉัยปุบปับออกมา หรือผลีผลามสรุปว่าเป็นอย่างน้ันอย่างนี้ บางทีชวนให้สงสัยว่า น่าจะทําไปแค่ตามความวู่วาม หรือว่าไปแค่ตามแรง ขับดนั ของความรสู้ ึกท่ีจะใหห้ วอื หวา สิ่งแรกที่พึงทํา ซ่ึงเป็นเร่ืองพ้ืนๆ ง่ายๆ ก็คือ การค้นหาให้เข้าถึง ความรู้ท่ีแน่ชัด และคิดบนฐานของข้อมูลข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเที่ยงตรง ชัดเจนที่สุด อย่างน้อยเพียงพอเท่าที่จะหาได้ รวมท้ังการนําเสนอความรู้ และความคดิ อย่างซอ่ื ตรง และพอดีกบั ความจรงิ ขอพดู ท้ิงไวแ้ คน่ ีก้ อ่ น
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 460
Pages: