รายงานการวิจัย แนวทางการสง่ เสรมิ บทบาทสตรใี นการ ขบั เคลื่อนงานพัฒนาสังคมเพื่อปอ้ งกันและแก้ไข ปัญหาความรนุ แรงในครอบครัว สานกั งานสง่ เสริมและสนับสนุนวชิ าการ 7 สานักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสงั คมและความมนั่ คงของมนษุ ย์ กระทรวงการพัฒนาสงั คมและความมนั่ คงของมนษุ ย์
รายงานการวจิ ยั แนวทางการส่งเสรมิ บทบาทสตรี ในการขบั เคล่ือนงานพัฒนาสงั คมเพอ่ื ป้องกัน และแก้ไขปญั หาความรุนแรงในครอบครวั สานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วชิ าการ 7 สานกั งานปลดั กระทรวงการพฒั นาสังคมและความมนั่ คงของมนษุ ย์ กระทรวงการพฒั นาสงั คมและความมั่นคงของมนุษย์
คำนำ สถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัวที่เพิ่มมากขึ้น และส่วนใหญ่สตรีคือผู้ถูกกระทา ประกอบกับแนวคิดท่ีว่าสตรีมีศักยภาพและเป็นทุนมนุษย์ท่ีช่วยในการขับเคลื่อนกิจกรรมต่าง ๆ ของการ พัฒนาชุมชนให้มีประสิทธิภาพหากได้รับโอกาสและการสนับสนุนท่ีเหมาะสม “การศึกษาวิจัยแนวทางการ สง่ เสริมบทบาทสตรีในการขับเคล่ือนงานพฒั นาสงั คม เพื่อปอ้ งกันและแกไ้ ขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว” มีวัตถปุ ระสงคเ์ พอื่ ศกึ ษาบทบาทของสตรี ปจั จัยและปัญหาอุปสรรคในการเข้าไปมีสว่ นรว่ มกิจกรรมของชุมชน เพ่ือนาไปสู่การป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว และเพ่ือหาแนวทางส่งเสริมบทบาทสตรีใน การขับเคลื่อนกิจกรรมชุมชนเพ่ือนาไปสู่การป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว มีพ้ืนท่ี เปา้ หมายในการศึกษา 2 ตาบลคือตาบลหนองช้างใหญ่ อาเภอมว่ งสามสิบ จงั หวดั อุบลราชธานี และตาบลนาคา อาเภอศรีสงคราม จังหวดั นครพนม การศึกษาแนวทางการส่งเสริมบทบาทสตรีในการขับเคลื่อนงานพัฒนาสังคม เพ่ือป้องกัน และแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ได้รับความร่วมมือด้วยดีจากผู้ท่ีเก่ียวข้อง คณะผู้วิจัย สานักงาน ส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 7 จึงขอขอบคุณ อาจารย์ที่ปรึกษา จากมหาวิทยาลัยกาฬสินธ์ุ ผู้บริหาร และ เจ้าหน้าท่ีจากเทศบาลตาบลนาคา อาเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม และองค์การบริหารส่วนตาบลหนอง ช้างใหญ่ อาเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มตัวแทนครอบครัว ชุมชน และผู้ที่เก่ียวข้องท่ีได้ให้ ข้อมูล ในการศึกษาจนสาเร็จได้ด้วยดี หวังเป็นอย่างยิ่งว่าผลการศึกษาจะเป็นประโยชน์สาหรับครอบครัว ชุมชน ตลอดจนหน่วยงานในกระทรวงการพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์ และหน่วยงานอ่ืน ๆที่ เกยี่ วข้องและผูส้ นใจ ได้นาไปปรบั ใช้ตามความเหมาะสมและนาไปเป็นแนวทางในการศึกษาคน้ คว้า และเป็น ข้อมูลประกอบการจัดทานโยบายและยุทธศาสตร์ในด้านสตรีเพื่อเปิดโอกาสให้สตรีเป็นส่วนหน่ึงของการ พัฒนาสังคม และเพื่อส่งเสริมให้สตรีได้มีบทบาทในการขับเคล่ือนงานพัฒนาสังคม เพ่ือป้องกันปัญหาความ รุนแรงในครอบครัว ตอ่ ไป สานกั งานส่งเสรมิ และสนบั สนนุ วชิ าการ 7 กนั ยายน 2559
บทสรปุ ผู้บรหิ าร การศกึ ษาวิจัยแนวทางการส่งเสริมบทบาทสตรีในการขับเคล่ือนงานพฒั นาสังคม เพ่ือป้องกัน และแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาบทบาทของสตรี ปัจจัยและปัญหา อุปสรรคในการเข้ามามีส่วนร่วมกิจกรรมของชุมชน เพ่ือนาไปสู่การป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงใน ครอบครัว และเพ่ือหาแนวทางสง่ เสรมิ บทบาทสตรีในการขับเคลือ่ นกิจกรรมชุมชนเพื่อนาไปสกู่ ารป้องกันและ แกไ้ ขปญั หาความรุนแรงในครอบครัว การวจิ ยั ครง้ั น้เี ป็นการวิจยั เชงิ ปฏิบตั ิการ ด้วยวธิ ีวิทยาผสานวธิ ี (mixed- methodology) ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังน้ันการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล จึงมีท้ังการวิเคราะห์เชิง ปริมาณและเชิงคุณภาพ ใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) เพื่อกาหนดแบบแผนโครงสร้าง ความสัมพันธ์ของข้อมูลชุดต่าง ๆ รวมถึงการกาหนดประเด็นการนาเสนอข้อมูลให้สอดคล้องกับประเด็นและ วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย พื้นท่ีการศึกษาในเขตรับผิดชอบของสานักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 7 โดยคัดเลือก กรณีศึกษา 2 ตาบล จากจังหวัดท่ีมีจานวนสถิติการกระทาความรุนแรงในครอบครัวมากเป็นอันดับที่ โดยใช้ ฐานข้อมูลจากระบบข้อมูลความรุนแรงต่อเดก็ สตรีและความรุนแรงในครอบครัว จากหน่วยงานกระทรวงการ พัฒนาสงั คมและความมัน่ คงของมนุษยใ์ นพื้นที่การเกบ็ ข้อมลู ในพื้นที่ 2 ตาบลคือตาบลหนองชา้ งใหญ่ อาเภอ ม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี และตาบลนาคา อาเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม การเก็บข้อมูลจาก แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณเ์ ชงิ ลกึ ผลการศึกษา บทบาทของสตรีในการเข้าไปมีตาแหน่งในชุมชน ตาแหน่งที่เข้าไปมีส่วนร่วมมากท่ีสุดจะเปน็ ตาแหน่งอาสาสมัครในชุมชน มีมากถึง ร้อยละ 87.5 เช่นอาสาสมัครสาธารสุขประจาหมู่บ้าน (อสม.) อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) เป็นต้น รองลงไปจะเป็นตาแหน่งคณะกรรมการ กลุ่มองค์กรภาคประชาชน ต่าง ๆ ในชุมชน ร่วมเป็นผู้นาหมู่บ้าน เช่นผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยใหญ่บ้าน สาหรับ ตาแหน่งท่เี ขา้ ร่วมนอ้ ยมากคือการเข้ารว่ มเป็นสมาชิกองค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถิน่ ปัจจัยท่ีทาให้สตรีเข้าไปมีส่วนร่วมในการมีตาแหน่งในชุมชน การเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรม การพัฒนาชุมชน/ตาบล ปัจจัยมากท่ีสุดคือมีความต้องการการเข้าไปทาประโยชน์ให้กับชุมชน รองลงมาเพ่ือ ต้องการสร้างความสัมพันธ์ท่ีดีกับเพื่อนบ้าน และการมีความรู้ความสามารถในกิจกรรมท่ีเข้าร่วม ปัจจัยท่ีน้อย ทส่ี ดุ คือต้องการตาแหน่งในสงั คม ปัญหาอุปสรรคในการเข้าไปมีสว่ นร่วมของสตรีในการพัฒนาชุมชน/ตาบล ปัญหาอุปสรรคท่ี พบมากที่สุดคือปัญหาสังคม/ชุมชนไม่ยอมรับท่ีจะให้ผู้หญิงไปเป็นผู้นาแ ละมีอานาจในการตัดสินใจในการ พัฒนา มีถึงร้อยละ 52.5 รองลงมาปัญหามีภาระการดูแลเรื่องภายในครอบครัวและการมองท่ีความแตกต่าง ระหวา่ งเพศที่สงั คมมองวา่ สตรีมีศกั ยภาพน้อยกว่าผ้ชู าย แนวทางการสง่ เสริมบทบาทสตรีในการขับเคล่ือนงานพัฒนาสังคมเพือ่ ป้องกันและแก้ไขปญั หาความรุนแรงในครอบครัว ข
การรับรูว้ า่ มีพระราชบญั ญตั ผิ ูถ้ ูกกระทาความรนุ แรงในครอบครวั พ.ศ.2550 ส่วนมากจะตอบ ว่าเคยรบั รูถ้ งึ ร้อยละ 94.5 ซงึ่ ช่องทางการรับรูม้ ากทีส่ ุดรบั รูจ้ ากเจา้ หน้าทข่ี องหน่วยงานภาครัฐทีเก่ียวข้อง รอง ลงไปรบั รู้จากผนู้ าชมุ ชน และรบั รู้จากเจา้ หนา้ ที่ขององคก์ รปกครองสว่ นท้องถ่นิ ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวท่ีมีในชุมชนจากข้อมูลท่ีได้จากการศึกษาพบว่าไม่มีปัญห า ความรุนแรงในครอบครัว มีร้อยละ 59 มากกว่าตอบว่ามี สาหรับปัญหาความรุนแรงในครอบครัวท่ีมีหรือพบ มากที่สุดคือปัญหาสามีทารา้ ยร่างกายภรรยา รองลงมาคือปัญหามารดาทาร้ายร่างกายบุตร สาเหตุที่ทาใหเ้ กดิ ความร่นุ แรงในครอบครวั คือเมาสุรา ทาใหข้ าดสติ รองลงมาคอื สาเหตุความหึงหวงภรรยานอกใจสามี แนวทาง ในการแก้ไขปัญหาคือการออมชอม การพูดคุยปรับความเข้าใจให้เข้าใจกันของสามีภรรยาและบุคคลใน ครอบครัว ถ้าระดับความรุนแรงมากขึ้นก็จะเป็นการไกล่เกลี่ยให้ยอมความ หรือแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้า มาแก้ไขปัญหา สาหรับในการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวโดยใช้โครงการหรือกิจกรรมมี นอ้ ยมากเพราะหน่วยงานทีเ่ กยี่ วข้องไม่ได้จดั ทาโครงการจะมเี ฉพาะโครงการท่ปี ้องกันและแก้ไขปัญหาทางอ้อม หรือโครงการท่ีเกี่ยวกับสาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาความรุนแรง เน่ืองมาจากหน่วยงานยังให้ความสาคัญน้อยใน เร่อื งการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและการมองปัญหาในชุมชนทย่ี ังมองวา่ ปญั หาหลาย เรอ่ื งเป็นเรือ่ งธรรมดาของครอบครวั เช่น การดดุ ่าระหว่างสามภี รรยา หรือระหวา่ งพ่อแม่กับลูกหรือกบั บุคลใน ครอบครัว บทบาทสตรีในการเข้าไปมีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครั ว ในชุมชน/ตาบล จะพบว่า มีมากถึงร้อยละ 64 มีมากกว่าไม่เข้าร่วม กิจกรรมที่เข้าไปมีส่วนร่วมมากท่ีสุดคือ การเข้าไปมีส่วนร่วมในการค้นหาปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาการพัฒนาชุมชน ร่วมกาหนดแผนงาน โครงการในการแก้ไขปัญหาในชุมชน มีบุคคล หน่วยงานและองค์กรที่เข้าร่วมหาแนวทางป้องกันและแก้ไข ปัญหา ส่วนมากจะเป็นผู้นาหมู่บ้าน/ผู้นาชุมชน รองลงมา จะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงาน ภาครฐั กระทรวงการพัฒนาสงั คมและความมน่ั คงของมนุษย์ การเข้าไปมีส่วนร่วมของสตรีในการเข้าไปพัฒนาชุมชน กิจกรรมท่ีเข้าไปมีส่วนร่วมมากที่สุด คือการเข้าร่วมกิจกรรมงานเทสกาล/งานประเพณี มีมากถึงร้อยละ 98.5 รองลงมาคือการเข้าไปมีส่วนร่วม กิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมการเข้าร่วมคิดตัดสินใจในการพัฒนา กิจกรรมในการพัฒนาการศึกษาใน ชุมชน สาหรับกิจกรรมการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเป็นเรื่องการนาเสนอปัญหาความรุนแรงใน ครอบครัวให้กับผู้นาหมู่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน และเจ้าหน้าท่ีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงาน ทีเ่ กย่ี วขอ้ ง การเขา้ ไปสารวจปัญหาความรุนแรงในครอบครัวที่อยใู่ นชุมชนตวั เอง บทบาทสตรีในการเข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน พบว่าชุมชนให้ความคิดเห็นว่าสตรี ควรเข้าไปมีบทบาทในการเข้าร่วมการประชุมของหมู่บ้าน/ชุมชน เพื่อเสนอความคิดเห็น นาเสนอปัญหา แนวทาง และกิจกรรมต่าง ๆ ในการพัฒนาชุมชน นอกจากน้ันสตรีควรเข้าไปมีส่วนในการเป็นผู้นาในหมู่บ้าน ในชุมชน เชน่ ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผใู้ หญบ่ า้ น ผ้นู าท้องถ่ิน ฯลฯ ค แนวทางการสง่ เสริมบทบาทสตรีในการขบั เคลอ่ื นงานพฒั นาสังคมเพ่อื ปอ้ งกนั และแกไ้ ขปัญหาความรนุ แรงในครอบครัว
ในการยอมรับให้สตรีเข้าไปมีบทบาทในการพัฒนาชุมชน พบว่าชุมชนจะมองในเร่ืองความ เสมอภาคระหวา่ งหญงิ ชายตอ้ งมีความเท่าเทียมกัน สตรจี ะตอ้ งได้รับการยอมรับในการเข้าไปเปน็ ผ้นู าเท่าเทียม กับผู้ชาย แตก่ ็พบว่าโครงสร้างทางสังคมและวฒั นธรรมในชุมชนท่ยี ังใหเ้ กยี รตผิ ชู้ ายมากกวา่ ผสู้ ตรีในการเข้าไป เป็นผ้นู าและมอี านาจในการตดั สินใจในเรื่องตา่ ง ๆ ของชุมชนและยงั มองว่าปญั หาเร่ืองเพศท่ีเพศหญิงหรือสตรี มศี กั ยภาพการทางานในกจิ กรรมทางสงั คมสู้เพศชายไม่ได้ ในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครวั พบวา่ เม่ือเกิดปัญหาความรุนแรงสตรีต้องเป็นผู้มี บทบาทสาคญั ในการแก้ไขปัญหาสูงกว่าผู้ชายเพราะสตรีจะมคี วามเขา้ ในในเร่ืองตา่ ง ๆ ในครอบครัวดีกว่า แต่ ถ้าพบการกระทาความรุนแรงในครอบครัวผู้ที่พบเห็นควรแจ้งให้หน่วยงานหรือพนักงานเจ้า หน้าที่เข้า ดาเนนิ การแก้ไขปัญหาให้เปน็ ไปตามพระราชบัญญตั ิผถู้ ูกกระทาความรุนแรงในครอบครวั พ.ศ.2550 ในการส่งเสริมบทบาทสตรี จากปัจจัยและปัญหาอุปสรรคของสตรีในการเข้าไปมีส่วนรวมใน การพัฒนาชุมชน เช่นปัญหาการไม่ยอมรับของสังคม ของชุมชน ที่จะให้สตรีเข้าไปมีผู้นา ผู้มีอานาจในการ ตัดสินใจในการพัฒนา อาจเน่ืองมาจากอันเนื่องมาจากคุณสมบัติหลายประการไม่ว่าจะเป็นเจตคติของสังคม ความเสมอภาคและการคุ้มครองทางสังคม ดังน้ันจึงจะต้องมีการส่งเสริม การพัฒนาบทบาทสตรี การพัฒนา ศกั ยภาพและความพรอ้ มใหก้ บั สตรี ดงั น้ี 1. ส่งเสริมให้สตรีเข้าไปมีบทบาทในการเป็นผู้นาในชุมชน เช่น คณะกรรมการหมู่บ้าน คณะกรรมการกลุ่มองค์ต่าง ๆ ทีเ่ กย่ี วขอ้ งในชมุ ชน ฯลฯ บทบาทในการเป็นผู้นาท้องถน่ิ เช่น กานัน ผู้ใหญบ่ ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ บทบาทในการเป็นผู้นาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น นายกองค์การบริหารส่วน ตาบล นายกเทศมนตรีเทศบาลตาบล ฯลฯ เพ่ือทีจะได้ส่งเสริมให้มีกิจกรรมในชุมชนในการพัฒนาชุมชนเพ่ือ ปอ้ งกนั และแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครวั 2. การสร้างความรู้ความเข้าใจในพระราชบัญญัติผู้ถูกกระทาด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 ให้กับสตรี ซ่ึงจากการศึกษาพบว่า สตรีมีความรู้ความเข้าใจตามพระราชบัญญัติผู้ถูกกระทาด้วย ความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 น้อยมาก ควรมีการอบรมสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับสรีในชุมชนโดย หนว่ ยงานท่เี กย่ี วข้อง 3. การส่งเสริมบทบาทสตรีเพื่อแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว จะต้องมีการพัฒนา ศักยภาพและความพร้อมในการเป็นผู้นาให้กับสตรีท่ีอยู่ในชุมชน ตลอดจนการส่งเสริมให้สตรเี ข้าไปมีส่วนรว่ ม ในขบวนการตัดสินใจทกุ ระดบั ในการพัฒนาสังคมของชุมชน 4. การพัฒนาบทบาสตรีจะต้องมีการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างหญิงชายและการ คุ้มครองทางสังคมควบคูไ่ ปดว้ ย 5. การพฒั นาบทบาสตรจี ะต้องมีการพัฒนาองคก์ รดา้ นสตรี การบริหารจัดการในการดาเนินงาน องค์กรด้านสตรี แนวทางการสง่ เสรมิ บทบาทสตรใี นการขบั เคลือ่ นงานพฒั นาสังคมเพ่อื ป้องกันและแก้ไขปญั หาความรนุ แรงในครอบครัว ง
Executive Summary Research on the role of women in social development. To prevent and solve domestic violence. purpose To study the role of women. Factors and barriers to participation in community activities. To lead to the prevention and resolution of domestic violence. And to find ways to promote the role of women in the mobilization of community activities leading to the prevention and resolution of domestic violence. This research is an action research. How to combine methods Mixed- methodology for data collection. So analysis and synthesis of data. Therefore, both quantitative and qualitative analysis. Use Content Analysis to define the relationship patterns of data sets, as well as to set the point of presentation of information in accordance with the issues and objectives of the research. The study area in the area of responsibility of the Office of the Promotion and Academic Support 7 selected the case study of 2 subdistricts from provinces with the highest number of domestic violence statistics. The database of violence against children. Women and Domestic Violence The Ministry of Social Development and Human Security in the area of data collection in the two subdistricts is Nong Chang Yai. Amphoe Mueang Ubon Ratchathani and Na Kham District, Si Songkhram District Nakhon Phanom Province Data collection from the questionnaire. And in-depth interviews. results education The role of women in getting into the community. The most involved volunteers in the community are 8 7 . 5 % , such as volunteers from the village welfare department, volunteers, social development and human security. In addition, it will be the position of the committees of public organizations in the community as a village leader. Like the village headman Big helpers For a very small participant, participation is a member of a local government organization. Factors for women to participate in community positions. Participation in community development activities The most important factor is the need to access the community. Second, to build a good relationship with the neighbors. And the ability to participate in activities. The least factor is the need for social position. Barriers to women's participation in community / district development. The most common problem was the social / community problem, which did not allow women to lead and had the power to make decision in the development of 52.5%. The difference between sexes is that women have less potential than men. The perception that the 2 0 0 7 Act on Domestic Violence was the most common response to 94.5 percent was recognized by the relevant government agencies. Second to the recognition of community leaders. And recognize the staff of the local government. The data from the study showed that there was no family violence problem, 59 percent more than the respondents. For the most common family violence problem, the most common problem is husbands and wives. Second, the problem of maternal injury. Promoting Women’s role in social development work to preventing and solving domestic violence problem จ
The cause of family violence is drunkenness, causing the lack of consciousness. The solution is to save money. Discussing the understanding of husband and wife and family. If more violence is involved, it will be mediated. Or notify the relevant agencies to solve the problem. For the prevention and resolution of domestic violence using projects or activities, there are very few, because the relevant agencies do not work on the project, there are only projects that prevent and solve indirect problems or projects related to the cause. Violence Due to the agency's low priority in preventing and resolving domestic violence and looking at the problems in the community, many still consider the problems common to the family, such as scolding husbands and wives. Or between parents and children or with family. The role of women in participating in the prevention and resolution of domestic violence in the community / district is found to be more than 64%. The most engaging activity is to participate in problem solving and community development solutions. Participating in a project plan to solve problems in the community, individuals, organizations and organizations participating in the prevention and resolution of problems. Most are village leaders / community leaders, followed by local government and government agencies, ministry of social development and human security. Participation of women in community development. The most engaging activity is participation in Tesco events. 9 8 . 5 % followed by religious participation and participation in decision- making. Activities in the development of education in the community. The domestic violence problem was addressed to the village leaders. Village Council And local government officials. And the relevant agencies. To investigate domestic violence in the community itself. The role of women in getting involved in community development. The community commented that women should participate in village / community meetings. To present ideas, problems, approaches and activities in community development. Women should take part in community leaders such as the village headman and the village headman. Local leaders, etc. To accept women's role in community development. Finding that the community is looking at equality between women must be equal. Women have to be accepted into equal leadership with men. However, it is found that social and cultural structures in the community are more honorable to men than women in terms of leadership and decision- making power in community affairs, and that gender issues in women or women are potential. Working in social activities, not male fighters. In dealing with domestic violence, women have a greater role to play in solving problems than men, because women are more likely to have access to family matters. If a domestic violence is found, the victim should report to the agency or the competent official to resolve the problem in accordance with the Domestic Violence Act 2007. ฉ Promoting Women’s role in social development work to preventing and solving domestic violence problem
To promote the role of women. The factors and obstacles of women to participate in community development. For example, the problem of community's disapproval of women's leaders Authority to decide on the development. This is due to the fact that many of the properties, such as social attitudes Equality and Social Protection Therefore, it must be promoted. Female role development Capacity development and readiness for women: 1 . Encourage women to take leadership roles in the community, such as village committees. Role in local leadership such as village headman, village headman, assistant village headman, etc. Role in leadership of local administrative organizations such as the president of the Tambon administration organization. Mayors, municipalities, etc., to promote community activities in community development to prevent and solve domestic violence. 2. Awareness of the Domestic Violence Act, 2007 to women. Women who have knowledge and understanding of the Domestic Violence Act 2 0 0 7 should be less likely to be educated in the community by the relevant agencies. 3. Promoting the role of women to address domestic violence The potential and willingness to lead the women in the community must be developed. Encourage women to participate in the decision-making process at all levels in the social development of the community. 4 . The development of women's suffrage must promote gender equality and social protection. 5 . The development of women's suffrage will require the development of women's organizations. Management in the operation of women's organizations. Promoting Women’s role in social development work to preventing and solving domestic violence problem ช
สารบญั หนา้ เรอื่ ง ก ข คานา บทสรุปสาหรับผบู้ ริหาร 1 1 บทท่ี 1 บทนา 2 ความสาคญั และทม่ี าของปญั หาท่ีทาการวิจัย 3 วัตถุประสงค์ของโครงการวิจัย 4 ขอบเขตของการศกึ ษา 5 กรอบแนวคิดของการวิจัย 5 ประโยชน์ท่ีคาดว่าจะไดร้ บั ผลสาเรจ็ และความคุม้ ค่าของการวจิ ัยที่คาดวา่ จะไดร้ ับ 6 บทที่ 2 แนวคิด ทฤษฎที ่เี ก่ียวขอ้ ง 6 6 การทบทวนวรรณกรรม/สารสนเทศ (information) ที่เกี่ยวข้อง 7 สถานการณ์ปัญหาความรุนแรงในครอบครวั ของประเทศไทย 13 แนวคดิ เกี่ยวกบั การแกไ้ ขปญั หาความรนุ แรงในครอบครัว 15 สถานการณ์การพัฒนาสตรใี นประเทศไทย 20 นโยบาย กฎหมายทีเ่ กย่ี วข้องกับสทิ ธิ บทบาทของสตรี 26 แนวคดิ เกีย่ วกบั การส่งเสริมและพัฒนาสตรี 28 บทบาทสตรีในกจิ กรรมทางสังคม แนวคิดการมสี ่วนรว่ ม 49 บทที่ 3 วิธีการศกึ ษา 46 46 วิธกี ารศึกษา 47 ขอบเขตของการศึกษา 47 การวิเคราะห์และสงั เคราะหข์ ้อมูล 48 ขนั้ ตอนการศึกษา ระยะเวลาทาการวจิ ัย
บทที่ 4 ผลการศกึ ษา 49 บทบาทสตรีในการเข้าไปมีตาแหน่งของสตรใี นชุมชน 49 ปญั หาอุปสรรคในการเข้าไปมีสว่ นร่วมของสตรใี นการพัฒนาชุมชน/ตาบล 50 ปัญหาความรนุ แรงในครอบครวั 52 สาเหตุท่ีทาให้เกดิ ปญั หาความรนุ แรงในครอบครวั 53 สตรเี ข้าไปมสี ว่ นรว่ มในการป้องกนั และแก้ไขปัญหาความรุนแรง 55 ในครอบครัวในชุมชน บทบาทสตรที ี่ควรเข้าไปมีสว่ นร่วมในการพฒั นาชมุ ชน 57 การส่งเสริมและพฒั นาบทบาทสตรีในการแก้ไขปัญหาความรนุ แรงในครอบครัว 60 บทท่ี 5 บทสรปุ อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ 65 สรปุ ผลการศกึ ษา 65 อภปิ รายผล 67 ข้อเสนอแนะ 73 เอกสารอ้างองิ 75 ภาคผนวก 77 คณะผู้ดาเนนิ การวิจยั 86
บทที่ 1 บทนำ 1. ควำมสำคญั และท่มี ำของปัญหำที่ทำกำรวิจยั สถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัว ปัจจุบันมีสถติ เิ พิ่มมากขึ้น มีความสลบั ซับซอ้ น และทวี ความรุนแรงยิ่งข้ึน โดยเฉพาะปัญหาการกระทาความรุนแรงในครอบครัวที่พบเห็นอยู่ท่ัวไปในสังคมไทย โดย จากรายงานสถิติการรับเร่ืองร้องเรียนของศูนย์ช่วยเหลือสังคม พบว่า ปี 2554 มีทั้งหมด 2,101 ราย ปี 2555 มี 1,917 ราย และปี 2556 มี 3,048 ราย แบ่งเป็นประเภท คือ ความรุนแรงในครอบครัวร้อยละ 59, ความ รุนแรงในเด็กร้อยละ 19, ความรนุ แรงในสตรีร้อยละ 14, ความรุนแรงในผสู้ ูงอายุร้อยละ 5 และ ความรนุ แรงท่ี เกิดข้ึนกับคนพิการร้อยละ 3 เม่ือเทียบสัดส่วนจะพบว่ากรณีที่เป็นการทาร้ายร่างกายพบในสตรีมากกว่าเด็ก แต่กรณีความรนุ แรงทางเพศจะพบในเด็กมากกวา่ สตรี และสถิติการกระทาความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความ รุนแรงในครอบครัว จากศูนย์ข้อมูลความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัว ระบบข้อมูล ภายใต้เว็บไซต์ www.violence.in.th พบว่า จานวนเหตุการณ์การกระทาความรุนแรงต่อเดก็ สตรี และความ รุนแรงในครอบครัว ในปี 2556 มีจานวน 1,252 เหตุการณ์ มีจานวนผู้กระทาความรุนแรงเป็นเพศชาย 976 ราย เพศหญิง 137 ราย ไม่ระบุเพศผู้กระทา 18 ราย ส่วนจานวนผู้ถูกกระทาความรุนแรงในครอบครัว เป็น เพศหญิง 1,025 ราย เพศชาย 104 ราย ไม่ระบุเพศผู้ถูกกระทา 14 ราย จากสถิติข้างต้น พบว่า ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวมีแนวโน้มเพิ่มมากข้ึนทุกปี และส่วน ใหญ่ สตรีคอื ผู้ถูกกระทา แต่ท่ีสาคัญสถิติท่ีปรากฏอาจเป็นเพียงเหตุการณ์ส่วนหนึ่งเท่านั้น ในความเป็นจริงมี การกระทารุนแรงมากกว่าที่ปรากฏเป็นขา่ วหรือตัวเลขสถิติหลายเท่า เพียงแต่คนที่ถูกกระทาไม่อยากเป็นข่าว เพราะการเป็นข่าว หรือมีเร่ืองมีราวท่ีเป็นคดีความ เพราะนั่นอาจหมายถึงการต้องเปลี่ยนแปลงชีวิต รวมท้ัง ตอ้ งหวาดระแวงและวติ กกังวลกบั การถกู กล่าวขวญั และตอกย้าจากสังคม (มูลนิธิสร้างความเข้าใจเรอื่ งสุขภาพ ผหู้ ญิง, 2547 อ้างถึงในพัชรนิ ทร์ ศิริวิสุทธิรัตน์,2555) และสตรีท่ีต้องรับสภาพความรุนแรงจากสามีหรือคนรัก มักถูกสังคมมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาในครอบครัว ซึ่งผู้พิทักษ์กฎหมาย มักไกล่เกลี่ยให้คู่สมรสปรองดองกัน มากกว่าจะดาเนินคดีตามกฎหมาย (วนานันท์ แสงอาทิตย์, 2548 อ้างถึงในพัชรินทร์ ศิริวสิ ุทธิรัตน์,2555) จน กล่าวได้ว่าการทาร้ายกันในครอบครัวเป็นภัยเงียบที่มองไม่เห็น เป็นอาชญากรรมอย่างหน่ึงที่เกิดข้ึนภายใต้ หลังคาบ้านที่คนทั่วไปเข้าใจว่าจะเป็นสถานท่ีท่ีปลอดภัยที่สุด จึงทาให้อาชญากรรมประเภทน้ี ยากแก่การ ป้องกันมากท่ีสุด ทั้งน้ีเพราะผู้กระทาส่วนใหญ่คือสมาชิกในครอบครัว ดังนั้น การระมัดระวังหรือการป้องกัน ตนเองจึงเป็นส่ิงท่ีถูกมองข้าม เป็นผลใหโ้ อกาสในการกระทารุนแรงเพ่ิมมากข้ึน จนกลายเป็น “ปัญหาสงั คมก่ึง อาชญากรรม” (รณชยั คงสกนธ์, 2549 อ้างถึงในพัชรนิ ทร์ ศิรวิ ิสทุ ธิรตั น์,2555) สตรีเป็นเพศทม่ี ีผลการวจิ ยั วา่ ไดร้ บั การกระทาความรนุ แรงจากสามหี รือ “หวั หนา้ ครอบครัว” มากท่ีสุด ดังนั้น สตรีในฐานะที่เป็นผู้ถูกกระทา และได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ จึงควรเป็นผู้ท่ีมีบทบาท สาคัญหรือเข้ามามีส่วนร่วมในการหาแนวทางในการขับเคล่ือนงานด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาความ รนุ แรงในครอบครัว แนวทางการสง่ เสรมิ บทบาทสตรใี นการขบั เคลือ่ นงานพัฒนาสังคมเพอ่ื ป้องกนั และแกไ้ ขปัญหาความรนุ แรงในครอบครวั 1
แต่เม่ือพิจารณาถึงบทบาทสตรีในการขับเคล่ือนกิจกรรมต่าง ๆ ในสังคมแล้ว พบว่ายังมี อุปสรรคหลายๆด้าน โดยเฉพาะในเร่ืองของความเสมอภาคระหว่างชายหญิง และทัศนคติท่ีสังคมหรือ แม้กระท่ังสตรีเอง ที่มองว่าสตรีมีศักยภาพท่ีด้อยกว่าบุรุษ ทาให้สตรีขาดความม่ันใจในการแสดงความคิดเห็น การเปน็ ผนู้ าหรือตดั สนิ ใจในการดาเนินกิจกรรมต่าง ๆ ในชุมชน บทบาทของสตรีในการมีส่วนร่วมตัดสินใจในระดับชุมชนพบว่า สตรีมีบทบาทน้อยแม้จะมี การสง่ เสรมิ การรวมกลมุ่ ของสตรใี นรูปแบบต่าง ๆ แตบ่ ทบาทสตรีท่ีมใี นกลุ่ม/องคก์ รกย็ ังเป็นองคก์ รเฉพาะดา้ น ไม่มีอิทธิพลในการชี้นาการพัฒนาท้องถ่ินมากนัก เช่นเดียวกับในระดับประเทศที่พบว่าสตรียังมีบทบาทน้อย มาก อย่างไรก็ดีประเทศไทยก็ได้มีความพยายามและขับเคล่ือนโครงการต่าง ๆ มากมาย เพ่ือท่ีจะพัฒนา ศักยภาพของสตรีอย่างต่อเน่ือง ทั้งในด้านการศึกษา ด้านสุขภาพอนามัย ด้านอาชีพ รายได้ ความเสมอภาค และการคุ้มครองทางสังคม ด้านการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและพัฒนาสังคม เป็นต้น ทั้งน้ี การพัฒนา ศักยภาพสตรี จะมีแนวคิดส่วนหน่ึงท่ีมองว่าสตรีขาดโอกาสในการพัฒนา สตรีถูกเอารัดเอาเปรียบ และได้รับ ผลจากการพัฒนาน้อย ในทางตรงกันข้าม คาว่า “สตรีกับการพัฒนา” เกิดจากแนวคิดที่มองว่า ทาอย่างไรให้ สตรีมีบทบาทและส่วนร่วมในการพัฒนามากย่ิงขึ้น รวมท้ังยังได้รับผลจากการพัฒนานั้น ๆ เท่าเทียมบุรุษ ซึ่ง แนวคิดนี้มีความเชอ่ื ทีว่ ่าสตรีนนั้ มศี ักยภาพเพียงพอหากไดร้ บั การสนับสนนุ ทีเ่ หมาะสม จากข้อมูลสถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัวที่เพิ่มมากขึ้น และส่วนใหญ่สตรีคือ ผู้ถูกกระทา ประกอบกับแนวคิดท่ีว่าสตรีมีศักยภาพและเป็นทุนมนุษย์ท่ีช่วยในการขับเคล่ือนกิจกรรมต่าง ๆ ของการพัฒนาชุมชนให้มีประสิทธิภาพหากได้รับโอกาสและการสนบั สนุนท่ีเหมาะสม ดังน้ันคณะผู้วิจัยจึงเห็น ว่า ควรมีการศึกษาสถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัวของชุมชน และศึกษาสถานภาพของบทบาทสตรีใน การพัฒนาสังคมเพื่อลดปญั หาความรุนแรงในครอบครวั เพื่อหาแนวทางในการส่งเสริมให้สตรมี ีบทบาทในการ ขับเคลื่อนกิจกรรมทางสังคมเพื่อลดปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ทั้งน้ีจะทาให้ได้แนวทางการส่งเสริม บทบาทสตรีในการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครวั ท่เี หมาะสม และสามารถใช้เป็นฐานข้อมูล เผยแพร่แก่ผู้ใช้ประโยชน์และผู้ท่ีสนใจ ตลอดจนหน่วยงานในกระทรวงการพัฒนาสังคมและความม่ันคงของ มนุษย์ และหน่วยงานอื่น ๆ สามารถนาฐานข้อมูลของผลการวิจัยคร้ังน้ี มาเป็นข้อมูลประกอบการจัดทา นโยบายและยุทธศาสตร์ในดา้ นสตรเี พือ่ เปิดโอกาสใหส้ ตรเี ปน็ สว่ นหนงึ่ ของการพัฒนาสงั คมและประเทศ 2. วตั ถปุ ระสงค์ของโครงกำรวิจัย 1. เพื่อศึกษาบทบาทของสตรี ปัจจยั และปัญหาอุปสรรคในการเข้ามามีส่วนร่วมกิจกรรมของ ชุมชน เพื่อนาไปส่กู ารป้องกนั และแก้ไขปญั หาความรนุ แรงในครอบครวั 2. เพื่อหาแนวทางส่งเสริมบทบาทสตรีในการขับเคลื่อนกิจกรรมชุมชนเพื่อนาไปสู่การป้องกัน และแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครวั 2 แนวทางการส่งเสรมิ บทบาทสตรใี นการขับเคล่อื นงานพัฒนาสังคมเพ่อื ปอ้ งกนั และแก้ไขปัญหาความรนุ แรงในครอบครวั
3. ขอบเขตของกำรศึกษำ 3.2.1 ขอบเขตพน้ื ที่ ทาการศึกษาในเขตพื้นท่ีรับผิดชอบของสานักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 7 โดย คัดเลือกกรณีศึกษา 2 ตาบล จากจังหวัดท่ีมีจานวนสถิติการกระทาความรุนแรงในครอบครัวมากเป็นอันดับที่ 1 – 3 ของเขตรับผิดชอบของ สานักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 7 ใน 8 จังหวัด ได้แก่ กาฬสินธุ์ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร อานาจเจริญ ยโสธร อุบลราชธานี และศรีสะเกษ โดยใช้ฐานข้อมูลจากระบบ ข้อมูลความรุนแรงต่อเด็ก สตรีและความรุนแรงในครอบครัว จากหน่วยงานกระทรวงการพัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนษุ ยใ์ นพ้นื ท่ี 3.2.2 ขอบเขตประชากร ขอบเขตประชากรท่ใี ชใ้ นการศึกษาครง้ั น้ี ประกอบด้วยผู้เกย่ี วขอ้ ง 4 ฝา่ ย ได้แก่ 1.) สตรีที่มีบทบาทในการขับเคล่ือนงานดา้ นพัฒนาสงั คม เช่น กลุ่มสตรี กพสม. กพสต. หรือ กลมุ่ องคก์ รต่าง ๆ 2.) ตัวแทนหน่วยงานภาครัฐดาเนินการเกี่ยวกับการการพัฒนาหรือส่งเสริมบทบาทสตรี ได้แก่ สานักงานพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์จังหวัด สานักงานพัฒนาชุมชน โรงพยาบาลในชุมชน โรงเรียน เปน็ ตน้ 3.) ตัวแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ นายกเทศมนตรี นายก อบต. ปลัดฯ เจ้าหนา้ ทผี่ รู้ บั ผิดชอบงานดา้ นพัฒนาสตรี เป็นต้น 4.) ผู้นาชุมชนหรอื ผูแ้ ทนชุมชนทม่ี ีส่วนเกี่ยวข้อง เชน่ กานนั ผู้ใหญบ่ ้าน อาสาสมคั ร เป็นตน้ 3.2.3 ขอบเขตเนอื้ หา เน้ือหาในการศึกษาจะครอบคลุมการทบทวนวรรณกรรมในเรื่องบทบาทสตรีในกิจกรรมทาง สังคม ปัจจัยที่มีผลต่อการเข้ามามีส่วนร่วม และปัญหาอุปสรรค การดาเนินงานของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับรูปแบบ กระบวนการพัฒนาศักยภาพสตรี เพื่อนาไปกาหนดแนวทางการ สง่ เสรมิ บทบาทสตรใี นการขับเคล่ือนกจิ กรรมในชุมชน เพ่ือลดปญั หาความรุนแรงในครอบครัว 4. คำสำคัญ (keywords) ของกำรวิจัย 4.1 บทบาทสตรี (Women’s role) หมายถึง พฤติกรรมหรือการกระทาของสตรี ตามสทิ ธิ หน้าท่ี ตาแหนง่ และความรับผดิ ชอบ ตามสภาพทางสงั คมท่ดี ารงอยู่ 4.2 ความรุนแรงในครอบครัว (Domestic Violence) คือ ลักษณะการทาร้ายร่างกาย การ ล่วงละเมิดทางเพศ และทาร้ายจิตใจระหว่างสมาชิกที่มีความสัมพันธ์ฉันท์ครอบครัวเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นสามี ภรรยา บตุ ร หรือญาติผ้ใู หญ่ 4.3 แนวทางการส่งเสริมบทบาทสตรี หมายถึง วธิ ีการ กลไก กระบวนการท่ไี ด้รับการยอมรับ เพ่ือนาไปใช้เป็นแนวทาง การปฏิบัติเพื่อแสดงถึงศักยภาพของสตรีในการขับเคลอ่ื นกจิ กรรมในชมุ ชนไดอ้ ย่างมี ประสิทธภิ าพ แนวทางการส่งเสริมบทบาทสตรีในการขับเคล่ือนงานพัฒนาสงั คมเพอ่ื ปอ้ งกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว 3
4.4 การแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว หมายถึง กระบวนการในการวิเคราะห์ปัญหา การหาวิธกี ารในการแกไ้ ขปัญหาและ การปฏบิ ัติการเพื่อลงมอื ในการแกไ้ ขปัญหาความรนุ แรงในครอบครัว 5. กรอบแนวคิดของกำรวิจัย บทบาท/ระดบั การมสี ่วนรว่ ม - ร่วมริเริ่ม ค้นหาปัญหา/สาเหตุ กาหนด ความตอ้ งการชมุ ชน - ร่วมวางแผน แนวทางการดาเนนิ งาน - รว่ มดาเนนิ งาน - ร่วมรับผลประโยชน์ - รว่ มประเมนิ ผลและตรวจสอบ การขับเคล่ือนกิจกรรมชุมชน เพ่ือลด ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ปจั จยั ทท่ี าให้สตรเี ข้ามามีส่วนรว่ มใน - กจิ กรรมเชิงปอ้ งกัน (พจิ ารณาจาก กจิ กรรม ปจั จยั หรอื สาเหตุท่ีกอ่ ให้เกดิ ปัญหา) - ปจั จัยสว่ นบุคคล (อาย,ุ การศึกษา,รายได้ - กจิ กรรมเชิงแกไ้ ข/ช่วยเหลอื ,ลกั ษณะครอบครัว,จานวนบุตร,ทศั นคติ) (พิจารณาจากผลกระทบ,อปุ สรรคใน - ปจั จัยทางสังคม (สถานภาพทางสังคม, การแก้ไข/ชว่ ยเหลอื ) การเปิดรบั ขอ้ มูล,การชักชวนจากเพื่อน บา้ น/เจ้าหนา้ ท่ีรัฐ,ความเหน็ ชอบจากคู่ สมรส,ความสัมพนั ธ์ในชมุ ชน,ความเชือ่ ถอื กระบวนการหาแนวทาง ตปใอ่ นัญผชูน้หมุ าาช,คนอวุปาสมรตร้อคงกกาารรขกับาเรคยลออ่ื มแนรนกบั วจิ ฯกทลรำรฯงม)กำรส่งเสรมิ บทบำทส----ตวรสสรวิเัรงคบีใเา้ ครนงรารวกMะามำะหo/รห์เdขป์ eับรlียเคบลเทื่อียนบกจิ กรรมทำงสสเังแพตคนือ่รมวีใลทนดากปงาัญกราขหรับาสเคงควเลสาือ่รมิมนรบกุนจิทแกรบงราใรทนม -ไมเ่ หน็ ความสาคัญของปญั หา ครอบครวั - มีภาระหน้าที่รบั ผิดชอบมาก - สขุ ภาพ/ร่างกายไมเ่ อือ้ อานวย -ความขดั แยง้ ในชุมชน ศึกษาจากเอกสารเก่ยี วกับการพัฒนา คู่มือกำร -เจตคติท่ีเชอื่ วา่ ผู้หญิงดอ้ ยกว่าและมอง ศกั ยภาพสตรีและสง่ เสรมิ บทบาทสตรี ดำเนนิ กำรตำม วา่ กจิ กรรมทางสงั คมเปน็ งานของผูช้ าย - สถานการณ์การพัฒนาสตรี - อน่ื ๆ - นโยบาย กฎหมาย ที่เกี่ยวข้อง แนวทำงฯ - การดาเนินงานพัฒนาสตรีในด้านต่างๆ ทั้งของภาครัฐ เอกชนและภาคประชาชน 4 แนวทางการส่งเสริมบทบาทสตรีในการขับเคล่อื นงานพัฒนาสังคมเพ่ือป้องกนั และแกไ้ ขปญั หาความรุนแรงในครอบครวั
6. ประโยชนท์ ่ีคำดวำ่ จะไดร้ บั 6.1 ทราบข้อมลู สถานการณบ์ ทบาท และการมสี ่วนร่วมของสตรีในการขบั เคลอ่ื นกจิ กรรม ชมุ ชนเพื่อลดปญั หาความรุนแรงในครอบครวั 6.2 มีแนวทางการสง่ เสริมบทบาทสตรใี นการขบั เคลื่อนกจิ กรรมทางสงั คมในการลดปัญหา ความรนุ แรงในครอบครวั เพอ่ื การพัฒนาชุมชนอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ 7. ผลสำเรจ็ และควำมคุ้มค่ำของกำรวิจัยทคี่ ำดวำ่ จะไดร้ บั ผลการวิจัยครั้งนี้จะทาให้ได้ข้อมูลแนวทางการส่งเสริมบทบาทสตรีในการแก้ไขปัญหาความ รุนแรงในครอบครัว รวมถึงทาให้ทราบถึงแนวทาง/รูปแบบการดาเนินงานแก้ไขปัญหาความรุนแรงใน ครอบครวั ของภาครัฐและอ่ืน ๆ ทเี่ กีย่ วข้องในประเทศและต่างประเทศ ในด้านความคุ้มคา่ ทางสงั คมและชมุ ชน จะได้แนวทางการส่งเสริมบทบาทสตรีในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูล เผยแพร่แก่ผู้ใช้ประโยชน์และผู้ที่สนใจนาองค์ความรู้มาใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตต่อตนเอง ชุมชน และ สังคม อีกทัง้ หน่วยงานในกระทรวงการพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนษุ ย์ และหน่วยงานอื่น ๆ สามารถ นาฐานข้อมูลของผลการวิจัยครั้งน้ี มาเป็นข้อมูลประกอบการจัดทานโยบายและยุทธศาสตร์ในด้านการพัฒนา สังคมและการจัดสวัสดิการ โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาศักยภาพและบทบาทสตรีในการขับเคลื่อนงานด้าน พฒั นาสังคม --------------------------------------- แนวทางการสง่ เสรมิ บทบาทสตรใี นการขบั เคล่ือนงานพฒั นาสงั คมเพื่อป้องกนั และแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว 5
บทท่ี 2 การทบทวนวรรณกรรม การทบทวนวรรณกรรม/สารสนเทศ (information) ทเ่ี กยี่ วข้อง ในการศึกษา แนวทางการสง่ เสริมบทบาทสตรใี นการขับเคลือ่ นกจิ กรรมทางสังคม ประกอบ ไปดว้ ยแนวคิด ทฤษฎี และงานวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ งเพื่อใช้เป็นแนวทางในการศกึ ษา ดงั น้ี 2.1 สถานการณ์ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวของประเทศไทย 2.2 แนวคดิ เกย่ี วกบั การแก้ไขปญั หาความรุนแรงในครอบครวั 2.3 สถานการณ์การพัฒนาสตรีในประเทศไทย และนโยบาย กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสทิ ธิ บทบาท ของสตรี 2.4 แนวคิดเกี่ยวกบั การสง่ เสริมและพัฒนาสตรี 2.5 บทบาทสตรใี นกิจกรรมทางสังคม 2.6 แนวคดิ การมีสว่ นรว่ ม 2.7 เอกสารและงานวจิ ัยทีเ่ กี่ยวขอ้ ง 2.1 สถานการณ์ปญั หาความรุนแรงในครอบครัวของประเทศไทย เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดข้ึนในครอบครัวท่ีผ่านมา สะท้อนถึงปัญหา \"ครอบครัว\" หน่วย เล็กที่สุดแต่สาคญั ที่สุดของสังคมไทยว่ากาลังเข้าข้ันวิกฤติ และเป็นปัญหาหนึง่ ที่เรื้อรังมานานและมีแนวโน้มน่า เป็นห่วงมากข้ึนเรื่อย ๆ คือ การใช้ \"ความรุนแรง\" เพื่อยุติปัญหาภายใน \"ครอบครัว\" โดยบทความใน หนังสือพิมพก์ รงุ เทพธุรกิจไดส้ รปุ สถานการณ์ความรนุ แรงในครอบครัวไวด้ ังนี้ (นสพ.กรงุ เทพธรุ กจิ , 2557) สิ่งท่ีสะท้อนสถานการณ์ \"ความรุนแรงในครอบครัว\" ได้เป็นอย่างดีประการหน่ึง คือ ข้อมูล จาก \"ศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันการกระทาความรุนแรงในครอบครัว\" โดยสานักกิจการสตรีและสถาบัน ครอบครัว กระทรวง พม. โดยในรายงานสรุปจานวนเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวประจาปี 2551-2556 พบว่า ปี 2554 เป็นปีท่ีมีเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวสูงที่สุด จานวน 1,065 เหตุการณ์ รองลงมาคือปี 2553 จานวน 949 เหตุการณ์ ปี 2555 จานวน 887 เหตุการณ์ และเมื่อปี 2556 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป มีจานวน 797 เหตกุ ารณ์ แม้ในรอบ 3 ปีท่ีผ่านมา ตัวเลขเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวมีแนวโน้มลดลง แต่หาก พิจารณาในรายละเอียดของแต่ละเหตุการณ์แล้วจะพบว่า ยังมีประเด็นท่ีน่าเป็นห่วง คือ \"ผู้ถูกกระทา\" ไม่ ประสงค์จะร้องทุกข์ดาเนินคดีกับ \"ผู้กระทา\" เป็นจานวนมาก โดยเมื่อปี 2554 ซึ่งเป็นปีที่มีเหตุการณ์ความ รนุ แรงในครอบครัวเกิดข้ึนมากท่ีสดุ แต่มถี ึง 466 เหตกุ ารณ์ทผ่ี ู้ถูกกระทาไม่ประสงค์จะร้องทกุ ข์ สว่ นท่ีประสงค์ จะร้องทุกข์มี 171 เหตกุ ารณ์ และอยูร่ ะหว่างไกลเ่ กลี่ยเบ้ืองต้น 168 เหตกุ ารณ์ ส่วนในปี 2555 ซ่ึงมเี หตุการณ์ ความรุนแรงในครอบครัวทั้งหมด 887 เหตุการณ์นั้น มีถึง 428 เหตุการณ์ท่ีผู้ถูกกระทาไม่ประสงค์จะร้องทุกข์ สว่ นท่ีประสงค์จะรอ้ งทุกข์มี 176 เหตุการณ์ และอยู่ระหว่างไกลเ่ กล่ียเบ้ืองตน้ 76 เหตุการณ์ ในขณะท่ีปี 2556 เหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวเกิดขึ้น 797 เหตุการณ์ มี 370 เหตุการณ์ที่ผู้ถูกกระทาไม่ประสงค์จะร้อง ทกุ ข์ สว่ นทปี่ ระสงค์จะร้องทุกข์มี 219 เหตุการณ์ และอยู่ระหวา่ งไกล่เกล่ยี เบอื้ งตน้ 57 เหตกุ ารณ์ 6 แนวทางการสง่ เสริมบทบาทสตรีในการขับเคลื่อนงานพัฒนาสงั คมเพ่อื ปอ้ งกันและแกไ้ ขปญั หาความรุนแรงในครอบครัว
จากตัวเลขดังกล่าวเป็นปัจจัยหน่ึงที่บ่งช้ีว่า \"ผู้กระทา\" ยังมีโอกาสกลับไปก่อความรุนแรงกับ คนใกล้ตัวได้ทุกเม่ือ เน่ืองจากเขาเหล่าน้ันไม่ได้ถูกหยุดยั้งโดยการถูกนาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม นอกจากน้ี หากพิจารณาภาพรวมความรุนแรงในครอบครัวจาแนกรายจังหวัดทั่วประเทศ จะพบว่าแนวโน้มจากปี 2555 ถงึ 2556 มีหลายจังหวัดท่ีก้าวกระโดดจากจานวนเหตกุ ารณ์ความรนุ แรงในครอบครัวอยู่ในระดับน้อยและปาน กลาง มาอยู่ในระดับสูง เช่น ในปี 2555 มี จ.พัทลุง เพียงจังหวัดเดียวที่มีภาพรวมความรุนแรงในครอบครัวอยู่ ในระดับสูง แต่ในปี 2556 กลับเพ่ิมเป็น 7 จังหวัด ได้แก่ จ.พัทลุง ศรีสะเกษ อุบลราชธานี นครสวรรค์ พังงา เชียงราย และระนอง ขณะที่กรงุ เทพมหานครและปริมณฑลนน้ั มีเหตุความรนุ แรงในครอบครวั อยู่ในระดับน้อย จากปัญหาการใช้ความรุนแรงในครอบครัวที่มีแนวโน้มเพิ่มมากข้ึนน้ัน เป็นที่เห็นพ้องต้องกัน จากทุกฝ่ายว่า มีหลายปัจจัยเก้ือหนุนให้เกิดข้ึนแต่จุดเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหาท่ีดีที่สุดน้ันต้องเร่ิมจาก \"ครอบครัว\" เสียกอ่ น แตท่ ว่าในสภาพความเปน็ จรงิ กลับพบว่ามีอกี \"ปญั หาร้ายแรง\" ที่ซ้อนทับอยู่ ผลการสารวจสถานการณ์ความเข้มแข็งระดับครอบครัวในระดับประเทศ ปี 2556 ของสานัก ส่งเสริมสถาบันครอบครัว สานักกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวง พม. พบว่า ความเข้มแข็งของ ครอบครัวในภาพรวมทั้งประเทศยังไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน โดยได้ระดับการประเมินอยู่ท่ีร้อยละ 75.4 จาก เกณฑม์ าตรฐานซ่ึงตง้ั ไว้อยทู่ ่รี อ้ ยละ 80 โดยทั้งหมด 77 จงั หวัด มีเพียง 13 จังหวัดหรือคิดเป็นร้อยละ 16 เท่าน้ันท่ีมีค่าความเข้มแข็ง ของครอบครัวผ่านเกณฑ์มาตรฐาน ส่วนอีก 64 จังหวัด หรือร้อยละ 84 ไม่ผ่านเกณฑ์ โดยจังหวัดที่ผ่านเกณฑ์ ครอบครัวเข้มแข็ง ประกอบด้วย แพร่ พิจิตร เลย หนองบัวลาภู บึงกาฬ สกลนคร กาฬสินธ์ุ ร้อยเอ็ด อานาจเจริญ ฉะเชงิ เทรา สระแก้ว ชุมพร และ ตรงั และเมื่อลงรายละเอียดตรวจสอบมาตรวัดแยกย่อยในดา้ นความสัมพันธ์ ด้านการพ่ึงพาตนเอง ด้านทุนทางสังคม และด้านการหลีกเลี่ยงภาวะเสี่ยงแล้วก็พบว่ามีอยู่ 2 ด้านที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน ได้แก่ 1. ด้านความสัมพันธ์ ซ่ึงประกอบไปด้วยตัวชี้วัดเร่ืองอัตราการจดทะเบียนสมรสและการจดทะเบียนหย่า รวมทั้ง ร้อยละของครอบครัวที่มีความอบอุ่น มีการเอาใจใส่ ดูแล ช่วยเหลือสนับสนุนซ่ึงกันและกัน แสดงซึ่งความรัก และสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน และการเคารพในสิทธิส่วนบุคคล 2. ด้านการหลีกเล่ียงภาวะเส่ียง ซ่ึงมีตัวชี้วัด อาทิ สัดส่วนครอบครัวท่ีสามารถฟื้นตัวได้หลังเกิดภาวะวิกฤติ การมีระบบเฝ้าระวังและเตือนภัยเตรียมความพร้อม รับมือกบั อันตรายที่มตี อ่ ครอบครัว เปน็ ต้น จากภาพสะท้อนความรุนแรงในครอบครัวท้ังในระดับบุคคลจนถึงระดับประเทศ กอปรกับ สถานการณ์ความเข้มแข็งของครอบครัวท่ีมีการสารวจเก็บข้อมูลมาน้ัน ทาให้เห็นสถานการณ์ของ \"ครอบครัว\" หนว่ ยเลก็ ๆ ของสงั คมแตเ่ ปน็ หน่งึ ใน \"สถาบันหลัก\" ของประเทศ กาลังตกอยใู่ นภาวะนา่ เปน็ หว่ งอยา่ งยิ่ง โดยจากบทความข้างต้นสะท้อนให้เราเห็นถึงวิกฤติของสถานการณ์ความรุนแรงครอบครัวที่ นบั วันยิ่งเพิ่มขึ้นและสลับซับซอ้ นมากย่ิงขึ้น ทาให้สังคมไทยต้องหันมาหาแนวทางและวิธีการแก้ไขปัญหาอย่าง เร่งด่วน เพราะปัญหาน้ีเกิดจากครอบครัว และเมื่อครอบครัวท่ีเป็นหน่วยเล็กท่ีสุดเกิดปัญหาขึ้น ย่อมจะส่งผล กระทบกับสงั คมโดยรวม และอาจนาไปสู่การกอ่ เกดิ ปัญหาสงั คมอืน่ ๆ ตามมาอีกมากมาย 2.2 แนวคิดเกีย่ วกับการแกไ้ ขปัญหาความรนุ แรงในครอบครัว 2.2.1 ปัจจยั และสาเหตทุ ีเ่ ก่ียวข้องกบั การปัญหาความรุนแรงในครอบครวั ปัจจยั ท่ีเกยี่ วข้องกับความรนุ แรงในครอบครัว แนวทางการส่งเสรมิ บทบาทสตรีในการขบั เคล่ือนงานพัฒนาสังคมเพื่อปอ้ งกันและแก้ไขปญั หาความรนุ แรงในครอบครัว 7
ความรุนแรงในครอบครัวสามารถเกิดข้ึนได้ในทุกระดับของสังคม และมาจากหลายปัจจัย ท้ัง ปัจจยั ด้านบุคคล ครอบครวั สังคม วฒั นธรรมและเศรษฐกจิ ปัจจัยทง้ั หมดล้วนเป็นปจั จัยเสย่ี ง (Risk Factor) ท่ี นาไปสกู่ ารกระทาความรุนแรงในครอบครวั ท้งั ส้นิ โดยพบวา่ มปี ัจจยั ทเ่ี ก่ียวข้องดังน้ี (องั คณา ช่วยคา้ ชู, 2555) 1) ปัจจัยด้านค่านิยม เจตคติ ท่ีสังคมยังมีค่านิยมและเจตคติท่ีไม่เหมาะสม เก่ียวกับความไม่ เท่าเทียมกันระหว่างหญิงกับชาย เช่น แนวคิดที่ว่าภรรยาเป็นสมบัติของสามี ลูกเป็นสมบัติของพ่อแม่ ผู้ชายมี อานาจเหนือผู้หญิง ผู้หญิงเป็นวัตถุทางเพศ เจตคติของสังคมในเร่ืองบทบาทหญิงชาย ให้ความสาคัญและ คาดหวังเพศชายในฐานะผู้นา ผู้ตัดสินใจ ผู้สืบทอดเชื้อสายทางครอบครัว เพราะเพศชายมีร่างกายที่แข็งแรง กว่าสามารถปกป้องผู้อ่อนแอทางร่างกาย คือผู้หญิงและเด็กได้ และมีความเช่ือที่ผิด ๆ เกี่ยวกับปัญหาความ รุนแรง เช่น ความรุนแรงในครอบครัวเป็นเรื่องส่วนตัว ความรุนแรงทางเพศเกิดข้ึนเพราะ ผู้หญิงเป็นฝ่ายผิด หรือสมยอมเอง ทาให้ผู้ประสบปัญหาพยายามปิดไว้เป็นความลับ และด้วยความเช่ือดังกล่าวทาให้คนในสังคม ไมต่ ้องการ เขา้ ไปยงุ่ เกย่ี วและให้ความชว่ ยเหลือ ทาให้ปญั หาเพิม่ ขน้ึ เร่ือย ๆ 2) ปัจจัยด้านครอบครัว ความไม่พร้อมท่ีจะมีครอบครัวตั้งแต่ร่างกาย จิตใจ อายุ สุขภาพ อนามัย และฐานะทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้เกิดความรุนแรงในครอบครัวได้ รวมทั้งพฤติกรรมของคู่สมรสได้ ก่อให้เกิดความรุนแรงในครอบครัว เช่น การนอกใจคู่สมรส การด่ืมสุรา การติดการพนัน การไม่ช่วยแบ่งเบา ภาระในครอบครัว เช่น ด้านเศรษฐกิจ งานบ้าน การดูแลลูก การขาดการให้ความรู้เก่ียวกับการเตรียมตัวเป็น พ่อแม่ที่ดี หน้าท่ีของพ่อแม่ การเลี้ยงดู ให้ความอบอุ่นแก่ลูก การอบรมเลี้ยงดูลูกชายหญิงไม่เท่าเทียมกัน ขณะที่ลูกผู้หญิงได้รับการอบรมให้เป็นกุลสตรีว่านอนสอนง่าย ในขณะที่อบรมลูกผู้ชายให้เข้มแข็ง มีความเป็น ลูกผู้ชาย มีอิสระ มีเจตคติเร่ืองเพศที่สามารถแสดงออกได้เต็มที่ รวมทั้งการอบรมเลี้ยงดูที่ขาด ศีลธรรม จริยธรรม ขาดการศึกษาท่ีทาให้ไม่รู้บทบาทหน้าที่ของตน การขาดความรู้ในเรื่องการวางแผนครอบครัว ขาด ทกั ษะชวี ิต ทักษะในการสอ่ื สารท่ดี ีระหวา่ งสมาชกิ ในครอบครัว ทไ่ี ม่ใช่เอาชนะกนั ดว้ ยเหตผุ ลอยา่ งเดียว 3) ปัจจัยด้านสภาวะเศรษฐกิจ จากปัญหาเศรษฐกิจตกต่า การเลิกจ้างงาน ธุรกิจล้มละลาย คา่ ครองชพี สูง ทาให้เกิดความเครียด เป็นสาเหตุที่ช่วยใหเ้ กดิ ความรุนแรงทุกรูปแบบทั้งในครอบครัวและสังคม ลกั ษณะนสิ ัยการใช้จา่ ยเกนิ ตวั บริโภคนิยม วตั ถนุ ยิ ม ทาใหม้ ีการกู้หน้ี และก่อใหเ้ กิดความเครยี ด 4) ส่ือ ภาพลามกอนาจารต่าง ๆ ท่ีเผยแพร่ทางสื่อต่าง ๆ เช่น วิดีโอ หนังสือ ภาพยนตร์ รูปภาพ สื่อทางอนิ เตอร์เน็ต รวมท้งั การเสพย์ของมึนเมา และการเที่ยวในสถานเริงรมย์ต่าง ๆ มีสว่ นยัว่ ยุให้เกิด ความร้สู กึ ทางเพศ อาจชักจงู ไปในทางทีไ่ ม่เหมาะสมหรือก่อใหเ้ กิดความรนุ แรงได้ 5) ปัจจัยด้านการศึกษา พบว่าระบบการศึกษายังไม่ให้ความสาคัญในการบรรจุหลักสูตรการ เรียนการสอนเรื่องจริยธรรมทางเพศ การเป็นพ่อแม่ที่ดี สิทธิสตรี สิทธิเด็กและสิทธิมนุษยชน การให้ความรู้ เร่ืองเพศศึกษายังไม่เป็นที่ยอมรับอย่างจริงจัง เน่ืองจากเร่ืองเพศเป็นเร่ืองที่ปกปิดมีผลทาให้วัยรุ่นเกิดความ อยากรู้อยากเห็น อยากลอง เม่ือมีอารมณ์ทางเพศเกิดข้ึน จากรายงานข้อมูลสถานการณ์ด้านความรุนแรงของ ประเทศไทย พบว่ามีปัจจัยท่ีก่อให้เกิดการกระทาความรุนแรงในครอบครัวดังนี้ คือ การด่ืมเคร่ืองด่ืม แอลกอฮอล์ ทาให้ขาดสติสัมปชัญญะและเกิดการทาร้าย รองลงมาคือปัญหาการพนัน ปัญหาหน้ีสินจน ก่อให้เกิดความเครียด และปัจจัยเกี่ยวกับสื่อที่สะท้อนเร้าอารมณ์ให้เกิดการกระทาความรุนแรง กฤตยา แสวง เจริญ, 2545 อ้างถึงในอังคณา ช่วยค้าชู (2555) ทั้งน้ีปัจจัยเรื่องการดื่มเครื่องแอลกอฮอล์ถือเป็นปัจจัยที่พบ มากทีส่ ดุ ตอ่ การกระทาความรุนแรงในครอบครวั 8 แนวทางการสง่ เสริมบทบาทสตรใี นการขบั เคลอ่ื นงานพัฒนาสงั คมเพ่ือปอ้ งกันและแกไ้ ขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว
สาเหตขุ องความรนุ แรงในครอบครัว ความรุนแรงในครอบครัวสามารถเกิดข้ึนได้ในทุกระดับของสังคม และเกิดจากหลายสาเหตุ รวมกัน ทั้ง สาเหตุด้านตัวบุคคล สาเหตุด้านครอบครัว สาเหตุด้านสังคมและสาเหตุจากความสัมพันธ์เชิง อานาจ นอกจากน้ี ความเชื่อ คา่ นยิ ม ทัศนคติ ที่มตี ่อการกระทาความรุนแรงในครอบครวั ในทัศนะของคูส่ มรส หรือสามีภรรยา ยังพบว่า สามีภรรยายังมีทัศนะทไ่ี มเ่ หมาะสมเก่ียวกบั ความไม่เทา่ เทียมกนั ระหว่างหญิงกับชาย เก่ียวกับการกระทารุนแรงในครอบครัวถือเป็นเรื่องส่วนตัว ซึ่งมีการศึกษาความเช่ือในบทบาททางเพศในสามีที่ กระทารนุ ต่อภรรยาในบริบทสังคมวัฒนธรรมพ้นื ท่ีภาคอีสานของ กฤตยา แสวงเจรญิ (2545) อ้างถึงในอังคณา ช่วยค้าชู (2555) พบว่าสามีที่กระทารุนแรงต่อภรรยามีความเชื่อที่ต่างจากสามีท่ัวไป โดยเช่ือว่า ผู้หญิงเป็น สาเหตุให้สามีต้องกระทารุนแรง สามตี ภี รรยาไดถ้ า้ ไม่นับถือญาตหิ รือบรรพบุรุษของสามี สามีควรได้รับการอภัย ถ้าตีภรรยาท่ีไม่ยอมทางานบ้าน และสามีไม่ควรได้รับการลงโทษถ้าตีภรรยาของตน แนวคิดท่ีว่าภรรยาเป็น สมบัติของสามี ลูกเป็นสมบัตขิ องพ่อแม่ ผู้ชายมอี านาจเหนือผูห้ ญิง ผู้หญิงเป็นวัตถุทางเพศ เจตคติของสงั คมใน เร่ืองบทบาทหญิงชาย ให้ความสาคัญและคาดหวังเพศชายในฐานะผู้นา ผู้ตัดสินใจ ผู้สืบทอดเชื้อสายทาง ครอบครัว เพราะเพศชายมีร่างกายที่แข็งแรงกว่าสามารถปกป้องผู้อ่อนแอทางร่างกาย คือผู้หญิงและเด็กได้ ด้วยความเช่ือดังกล่าว ทาให้คนในสังคมไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเก่ียวหรือให้ความช่วยเหลือ ทาให้ปัญหาเพิ่มขึ้น การให้ความสาคัญและคาดหวังเพศชายในฐานะผู้นา ผู้ตัดสินใจ ผู้สืบทอดเช้ือสายทางครอบครัว จะเห็นได้ ชัดเจนในกรณีความรุนแรงในครอบครัว ซ่ึงมาจากความเช่ือของสังคมแต่ดั้งเดิมเกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมกัน ระหว่างหญิงกับชาย เช่น แนวคิดท่ีวา่ ภรรยาเป็นสมบัตขิ องสามี ลูกเป็นสมบัติของพ่อแม่ ลูกผู้หญิงถูกอบรมสั่ง สอนให้ว่านอนสอนงา่ ยและเมื่อแต่งงานก็ต้องเชื่อฟังสามี เก่งงานบ้านงานเรือน ในขณะท่ีผู้ชายต้องเข้มแข็ง มี อานาจเหนือผู้หญิงผู้ชายจึงมีฐานะเป็นผู้นา ผู้ดูแลคุ้มครองผู้หญิงและเด็ก แต่ก็มีสิทธิที่จะใช้อานาจบังคับ ควบคุมหรือแม้แตท่ าร้ายรา่ งกาย จิตใจได้ นอกจากนจี้ ากรายงานวทิ ยานิพนธ์ของวรรณวิมล วิเชียรฉาย(2546) อ้างถงึ ในอังคณา ช่วยค้าชู (2555) พบว่าทัศนคติเกี่ยวกับการกระทาความรุนแรงในครอบครัวเป็นปัจจัยที่มีผล ต่อการปฏิบัติของแพทย์และพยาบาลในการดูแลผู้ท่ีถูกกระทารุนแรงในครอบครัวอีกด้วย [14] และการศึกษา ของลักษณ์นรา จรัณยานนท์(2549) อ้างถึงในอังคณา ช่วยค้าชู (2555) ท่ีศึกษาความรู้ความเข้าใจเร่ืองความ รนุ แรงในครอบครวั ปัญหาความรนุ แรงในครอบครัวของชมุ ชน ทัศนะของผนู้ าชุมชน พบว่า ส่วนใหญผ่ นู้ าชมุ ชน มคี วามรู้ความเข้าใจเก่ียวกับปัญหาความรนุ แรงในครอบครัว เคยมีประสบการณ์การพบเห็นการกระทารุนแรง ในครอบครัวของชุมชนบ่อยครั้ง สิ่งเหล่านี้ปรากฏให้เห็นต่อสังคมว่า ผู้ชายสามารถมีอานาจเหนือกว่าทางด้าน อาชีพการงาน ด้านการเมือง และศาสนา ผู้หญิงเป็นเพศท่ีแสดงถึงผู้มีอานาจที่น้อยกว่า ได้รับผลประโยชน์ ต่างๆ ที่น้อยกว่า บางคนมีโลกของตนเองเฉพาะภายในบ้านและการเลี้ยงลูก โดยทั่วไปภาพที่เหมารวมให้กับ ผู้หญิงที่ประสบกับความรุนแรงในครอบครัว เป็นไปในลักษณะของผถู้ ูกกระทาที่ไรอ้ านาจ ในขณะท่ีผู้ชายเป็นผู้ กระทา มีอานาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ในปัจจุบันนี้มีการรณรงค์เก่ียวกับปัญหาความรุนแรงในเด็ก สตรีและ ครอบครัวมากขึน้ สังคมเร่ิมเปลี่ยนมาให้ความสนใจ อกี ท้ังยังมมี าตรการทางกฎหมายต่างๆ มาบังคับใช้ ปญั หา ความรุนแรงในครอบครัว จึงถูกเปล่ียนมาเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่สังคมต้องให้ช่วยเหลือ ป้องกันและแก้ไขปัญหา ตอ่ ไป ผลกระทบจากปญั หาความรนุ แรงในครอบครวั แนวทางการส่งเสริมบทบาทสตรใี นการขบั เคลือ่ นงานพัฒนาสังคมเพอ่ื ปอ้ งกันและแกไ้ ขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว 9
เม่ือมีความรุนแรงในครอบครัวหรือการทาร้ายกันภายในครอบครัวเกิดข้ึน ย่อมส่งผลกระทบ ต่อความบาดเจ็บทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ซึ่งสามารถส่งผลให้ครอบครัวท่ีมีปัญหาความรุนแรงไม่สามารถทา หน้าทีค่ รอบครวั ท่ีดีได้ เพราะวา่ สัมพันธภาพระหว่างสมาชิกในครอบครัวได้ถูกทาลายลง สามี ภรรยา หรือ พ่อ แม่ ไม่สามารถทาหน้าที่ของตนไดด้ ี ครอบครัวไมส่ งบสุข ห่างเหิน ขาดความรัก ความสามัคคีและความไว้วางใจ ซึ่งกันและกัน ไม่สามารถดาเนินชีวิตได้อย่างเป็นสุข ในท่ีสุดก็เกิดการหย่าร้างกันครอบครัวแตกแยก ส่งผล กระทบต่อลูกและอาจเกิดการเลียนแบบพฤติกรรมที่รุนแรงจากพ่อแม่ได้ ซึ่งผลกระทบจากปัญหาความรุนแรง ในครอบครัวและนอกจากจะกระทบต่อร่างกายและจิตใจ ยังเกิดผลกระทบต่อสังคมอีกด้วย เนื่องจาก ผลกระทบของการกระทารุนแรงในครอบครัวหรอื การทารา้ ยกันภายในครอบครวั น้นั ไม่แตกต่างจากผลกระทบ ของอาชญากรรมทั่วไป และไม่ได้เกิดกับตัวบุคคลหรือครอบครัวเท่านั้น ยังเกิดผลกระทบต่อสังคมอีกด้วย เพราะการใช้ความรุนแรงในครอบครัวส่งผลต่อความสุขของคน ท้ังยังเป็นปัญหาท่ีเกิดข้ึนมาอย่างเรื้อรัง จึง จาเป็นอย่างยิ่งท่ีสังคมต้องเข้าใจปัญหาอย่างชัดเจน ตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหาท่ีเกิดข้ึน และดูแล ป้องกนั ไมใ่ ห้ปัญหาเกิดข้ึนตามมาอีกในอนาคต แนวทางในการป้องกันและแก้ปญั หาความรุนแรงในครอบครัว สาหรับแนวทางในการป้องกันและแก้ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวนั้น หากจะป้องกัน ปัญหาความรุนแรงจากครอบครัว ควรเริ่มจากการให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับเร่ืองครอบครัว ให้สามารถอบรม เล้ยี งดูลูกผู้ชายและลูกผหู้ ญงิ ใหไ้ ดร้ ับความเสมอภาค ปรับเปล่ียนทัศนคตโิ ดยไม่ให้มองวา่ ปญั หาความรุนแรงใน ครอบครัวเร่อื งส่วนตัว การทาให้ทุกภาคส่วนในสังคมควรมีส่วนร่วมในการป้องกันปัญหา รวมทั้งให้สื่อมวลชน ชว่ ยรณรงค์การปอ้ งกนั ปญั หา โดยเสนอข่าวท่เี ป็นกลางและชักชวนให้คนในสังคมตระหนักถึงปัญหาทีเ่ กดิ ขึ้น ก็ จะช่วยแก้ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวได้ (อภิญญา เวชยชัย,2546 อ้างถึงในอังคณา ช่วยค้าชู, 2555) การ ปรับเปลี่ยนเจตคติ ทัศนคติดั้งเดิม และค่านิยม เป็นข้อท้าทายซ่ึงต้องอาศัยเวลาและต้องกระทาอย่างต่อเนื่อง สม่าเสมอ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ประเทศไทยจึงได้ให้ความสาคัญในการรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก และสตรี รวมท้งั สร้างความตระหนักว่าประเด็นความรุนแรงในครอบครัวเป็นประเดน็ สาธารณะ โดยเสริมสร้าง ทัศนคติให้สังคมตระหนักถึงความสาคัญของปัญหาดังกล่าวว่าไม่ใช่เร่ืองส่วนบุคคลรวมท้ังให้ความร่วมมือดูแล และแจง้ เมอื่ พบเหน็ อุปสรรคในการแกไ้ ขปัญหาความรนุ แรง - ทศั นคติของสังคมที่ยงั ไม่ยอมรับและเขา้ ใจในสิทธิของผ้หู ญงิ และมองว่าการทาร้ายรา่ งกาย จากสามเี ป็นเรื่องปกติ และเป็นเรอ่ื งไมส่ าคัญ - ความไม่เข้าใจปัญหาความรุนแรง โดยเฉพาะผู้หญิงที่ไม่มองว่า ความรุนแรงท่ีตนได้รับคือ การละเมดิ แตค่ ิดวา่ เปน็ ความชอบธรรมของฝา่ ยชายทีส่ ามารถกระทาได้ - สังคมมองว่าปัญหาความรุนแรงเป็นเร่ืองส่วนตัวของคนสองคนหรือของคนในครอบครัวท่ี บุคคลที่ 3 ไม่กล้าเข้าไปช่วยเหลือหรือยุ่งเก่ียวได้ ในขณะท่ีผู้ถูกกระทารุนแรงเองก็ไม่ทราบวิธีการแก้ปัญหา และไม่ร้วู ่าจะไปขอความชว่ ยเหลอื จากที่ใด - ขนบธรรมเนียมความเชื่อบางอย่างท่ีมองความรุนแรงต่อผู้หญิงเป็นเร่ืองธรรมดา เช่น บาง ท้องถ่ินยังมีการส่งลูกสาวมาขายตัว นอกจากนี้ การขาดการศึกษา และการขาดความรู้ความเข้าใจท่ีถูกต้องก็ เป็นอุปสรรคท่ีสาคญั ในการแก้ไขปญั หาความรนุ แรงในครอบครวั 10 แนวทางการสง่ เสรมิ บทบาทสตรีในการขบั เคลื่อนงานพฒั นาสังคมเพ่ือป้องกนั และแก้ไขปญั หาความรนุ แรงในครอบครัว
- การตีค่าภาระหน้าท่ีของหญิงและชายแตกต่างกัน เช่น งานบ้านมีคุณค่าน้อยกว่างานหา รายไดน้ อกบา้ น ซ่งึ ส่งผลให้เกดิ ความรสู้ กึ ท่เี หลื่อมล้าทฝี่ ่ายหญงิ จะตอ้ งพง่ึ พาฝ่ายชาย และเกิดความเช่ือท่ีว่าผู้ท่ี มอี านาจทางการเงนิ คือผู้ทม่ี อี านาจเหนอื กวา่ - วัฒนธรรมของสังคมไทยให้ความสาคัญอย่างมากต่อความเสียหายของผู้หญิงในเรื่องเพศ ผู้หญิงจะถูกมองเชิงลบมาก จึงเกิดเป็นช่องโหว่ท่ีทาให้ผู้หญิงถูกเอาเปรียบ ถูกทาร้าย ถูกข่มขืน เพราะ ผู้กระทามีโอกาสที่จะไม่ไดร้ ับโทษสงู เพราะผูห้ ญิงรูส้ ึกอบั อายและไม่อยากเอาความ - การดาเนินคดีความในด้านความรุนแรงของครอบครัวยังไม่เป็นไปตามมาตรฐาน และ ประเด็นปัญหากแ็ ตกต่างกนั ออกไป อย่างเชน่ กรณขี ่มขนื กย็ ังเปน็ คดที ยี่ อมความกนั - สังคมยังมีทัศนคติ ความเชื่อ และความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเก่ียวกับสิทธิ ซ่ึงเป็นผลให้มีการ ตอ่ ต้านกลุ่มท่ีทางานด้านผู้หญิง และการยอมรับของผู้ชายในเร่ืองของความเสมอภาคก็เป็นไปแบบยอมจานน เพราะผู้หญิงหลายคนไม่ตอ้ งพงึ่ ผูช้ ายทางเศรษฐกจิ ตอ่ ไป ปัญหาในการชว่ ยเหลือผทู้ ไ่ี ด้รับความรนุ แรง - เมื่อเข้ารับการรักษาจากแพทย์ ผู้หญิงบางคนจะปิดบังไม่ยอมบอกถึงสาเหตุของการถูก กระทา โดยเฉพาะเด็กเมื่อถูกกระทามักจะไม่กล้าเล่าให้ฟัง บ่อยคร้ังที่ปัญหาของเด็กเป็นผลกระทบมาจาก พ่อแม่ เม่ือพ่อแม่และญาติปิดบังและไม่เปิดเผยปัญหาของตนเอง แพทย์ก็ไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลืออะไร ได้มาก - กรณีที่แพทย์ผู้รักษาไม่สามารถติดตามผลการรักษาได้อย่างต่อเนื่อง อาจทาให้เกิดการ ละเลยในการเก็บหลักฐานตา่ ง ๆ ยิ่งหากฝ่ายหญิงไมไ่ ด้แจ้งจะดาเนนิ คดี ทาให้ไมม่ ีการเกบ็ หลักฐาน หรือเก็บ ได้ไม่ครบถ้วน ยกเว้นแต่กรณีท่ีถูกกระทารุนแรงมาก และฝ่ายแพทย์ได้พิจารณาเห็นว่าน่าจะแจ้งความ แต่ ผู้ถูกกระทาไม่ติดใจเอาความก็จะทาให้แพทย์เกิดความลาบากใจ เพราะไม่แน่ใจในบทบาท และคนนอกก็จะ ทาตวั ลาบาก - เม่ือเข้ารับการบาบัดจากแพทย์ หากให้ผู้ชายเข้ามาคุยปัญหาด้วย ความสัมพันธ์ระหว่าง สามแี ละภรรยาอาจเลวลงกไ็ ด้ เพราะผชู้ ายซ่งึ เปน็ ผู้กระทามักไมย่ อมรับวา่ ตวั เองเป็นผู้สรา้ งปัญหา - ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวต่างจากปัญหาอาชญากรรมทั่วไป เพราะผู้หญิงยังต้อง ติดต่อกับผูก้ ระทาตลอดเวลา - เม่ือนักสังคมสงเคราะห์ที่ให้ความช่วยเหลือผู้ถูกกระทารุนแรงโทรศัพท์ไปเพื่อติดตามผล ก็มักไม่ได้รับความร่วมมือ และกฎหมายก็ยงั ไม่เอื้ออานายต่อการทางานของนกั สงั คม สงเคราะหเ์ ทา่ ทคี่ วร จึง ทาใหก้ ารทางานเสมือนการละเมดิ เร่ืองครอบครัว - ผู้ประสบปัญหาไม่กล้าก้าวออกจากปัญหา ไม่กล้าเปล่ียนแปลงชีวิตตัวเอง ดังน้ัน การจะ เปลี่ยนความคิดของผู้ถูกกระทาจึงเป็นเร่ืองยาก การแก้ปัญหาการกระทารุนแรงจึงเป็นการแก้ปัญหาท่ีปลาย เหตุท่ไี มจ่ บส้นิ - การประสานความชว่ ยเหลอื ของหน่วยงานท่เี ก่ียวขอ้ ง เชน่ ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ ยังเป็นไป ตามเวลาราชการ และไม่สามารถปฏิบัติงานได้ตลอด 24 ช่ัวโมง จึงไม่สามารถช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาได้ อย่างเตม็ ที่ แนวทางการสง่ เสรมิ บทบาทสตรีในการขบั เคล่ือนงานพัฒนาสงั คมเพอื่ ป้องกนั และแก้ไขปญั หาความรนุ แรงในครอบครัว 11
- เม่ือปัญหาความรุนแรงไปถึงตารวจ ภรรยาเข้าแจ้งความเพ่ือประสงค์ให้ตารวจช่วยยุติ ความรุนแรงมากกว่าจะดาเนินคดีกับสามีของตน หรือในกรณีที่ภรรยาบางรายยืนยันจะดาเนินคดี ก็ หมายความวา่ จะต้องขังและส่งศาล ปัญหาท่ตี ามมาคือ เมอื่ ขังแลว้ จะเกิดภาระวา่ ลกู เมยี จะมาเยย่ี มหรอื ไม่ - เมอื่ ภรรยาแจ้งความกบั ตารวจแล้ว ภายหลังเกิดเปลี่ยนใจบอกไม่เอาความ และอาจไม่ให้ ความร่วมมือในการมาเป็นพยาน หรือหลบหนีการเป็นพยาน ตารวจเองก็ลาบากใจ จึงไม่แน่ใจว่าเป็นการ แกป้ ญั หาทถ่ี กู ทางหรือไม่ - การดาเนินคดีจะดูแค่การกระทาและปลายเหตุ โดยไม่มีการถามถึงสาเหตุพื้นฐานและ ทีม่ า - การลงโทษผู้กระทาตามกระบวนการทางกฎหมายเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะ หากดาเนินกับผู้กระทาด้วยการจับเข้าคุกเพียงอย่างเดียว แต่ไม่มีการบาบัด รักษาหรือฟื้นฟูจิตใจก็เป็นการ แกป้ ัญหาไม่ถูกจุด เพราะปัญหาเดมิ กจ็ ะเวยี นกลบั มาอีกไม่รูจ้ บ - ขั้นตอนการของพิจารณาคดียังซ้าเติมผู้เสียหาย โดยเฉพาะกรณีการข่มขืน เมื่อมีการ พิจารณาคดี ช่ือของผู้ถกู กระทาจะปรากฎในคาพิพากษาและฎกี า - เม่ือเกิดความรุนแรงขึ้น ผู้หญิงมักเป็นฝ่ายที่ต้องย้ายออกจากบ้าน เพราะกลไกทาง กฎหมายยังไมเ่ อ้อื ให้ผู้กระทาตอ้ งย้ายออกจากบ้าน 1.2.2 กฎหมายทเี่ กีย่ วขอ้ งกบั ความรนุ แรงในครอบครวั รัฐบาลได้ให้ความสาคัญต่อการส่งเสริมการจดั สวัสดิการทางสังคมและการคุ้มครองสวัสดภิ าพ แก่ประชาชน ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 40 (6) ได้กาหนดให้เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการหรือทุพลภาพ มีสิทธิได้รับความคุ้มครองในการดาเนินกระบวนการพิจารณาคดีอย่าง เหมาะ และมีสิทธิได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสมในคดีที่เกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศ และมาตรา 52 วรรคสอง กาหนดให้เด็ก เยาวชน สตรีและบุคคลในครอบครัวมีสิทธิได้รับความคุ้มครองจากรฐั ให้ปราศจากการใช้ความ รุนแรงและการปฏิบัติอันไม่เป็นธรรม รวมท้ังมีสิทธิได้รับการบาบัดฟ้ืนฟูในกรณีที่มีเหตุดังกล่าว[5] และให้ ความสาคัญกับกระบวนการในการจัดทารายงานการอนุวัติตามอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อ สตรีทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination of All Forms of Discrimination against Women- CEDAW) ต้ังแต่ปี พ.ศ. 2551 เพ่ือประโยชน์ต่อการพัฒนางานในการส่งเสริมความเสมอภาคหญิงชายและขจัด การเลอื กปฏิบตั ติ อ่ สตรี ข้อมูลของมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล พบว่า ผู้ประสบปัญหาความรุนแรงในครอบครัวที่มาขอ ปรึกษามูลนิธิฯ ปี 2553 มี 914 ราย มากกว่าปี 2552 ที่มี 668 ราย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอายุ 31-40 ปี หาก จาแนกการให้คาปรึกษา พบว่าผู้ประสบปัญหาความรุนแรงในครอบครัวร้อยละ 40 ต้องเข้าพบนักสังคม สงเคราะห์ แบ่งตามการพจิ ารณาคดี พบว่า ร้อยละ 39 เป็นคดแี พง่ และร้อยละ 21 เป็นคดีอาญา ความรุนแรง ทพี่ บมากคือ การขม่ ขู่ ทาร้ายร่างกาย ที่น่าหว่ งคือ สถานการณ์การตงั้ ครรภ์ไมพ่ ร้อมที่ยงั คงเพมิ่ มากข้ึนกว่าร้อย ละ 9 โดยสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากสามีไม่รับผิดชอบ (สานักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว,2553) จาก การรวบรวมข้อมูลเพื่อดาเนินคดี ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทาด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 มีเพียง 74 รายท่ีถูกแจ้งดาเนินคดี ในจานวนน้ีมีจานวนคดีร้อยละ 15 ท่ีพนักงานสอบสวนไม่รับแจ้ง 12 แนวทางการส่งเสรมิ บทบาทสตรีในการขับเคลือ่ นงานพัฒนาสงั คมเพ่อื ป้องกนั และแกไ้ ขปญั หาความรนุ แรงในครอบครัว
ความ เน่ืองจากยังมองว่าเป็นเร่ืองส่วนตัว และตารวจบางรายยังไม่รู้ว่ามีพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทา ดว้ ยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 (นสพ.ไทยรัฐ, 2555 อ้างถึงใน องั คณา ชว่ ยค้าชู, 2555) โดยพบว่าผู้ พิทักษ์กฎหมายมักไกล่เกลี่ยให้คู่สมรสปรองดองกันมากกว่าจะดาเนินคดีตามกฎหมาย จนกล่าวได้ว่าการทา ร้ายกันในครอบครัวเป็นภัยเงยี บท่ีมองไม่เห็น เป็นอาชญากรรมอย่างหน่ึงท่เี กิดข้ึนภายใต้หลังคาบ้านทีค่ นทั่วไป เข้าใจวา่ จะเปน็ สถานทป่ี ลอดภัยที่สุด ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า ถึงแม้จะมีกฎหมายคุ้มครองก็ยังพบว่ามีผู้ประสบปัญหาความรุนแรงใน ครอบครัวอีกมาก เพราะแม้ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนกฎหมายต่างๆ เพ่ือพัฒนาไปสู่ความเสมอภาคระหว่างชาย หญิง แต่ก็ยังไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของกระแสสังคม ซึ่งได้มีการศึกษาผลกระทบจากแก้ไขกฎหมายที่ เก่ียวข้องกับการกระทารุนแรงในครอบครัวของกุหลาบแก้ว ภู่เผ่าพันธุ์ (2552) อ้างถึงใน อังคณา ช่วยค้าชู, 2555 ท่ีพบว่าปัญหาในการบังคับใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทาด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 มชี ่องว่างและมีปัญหาในการบังคับใช้หลายประการ เนื่องจาก แม้กฎหมายจะมเี พียง 18 มาตรา แต่แทบ ทุกมาตราต้องตีความ เช่น ค่านิยามของบุคคลในครอบครัว ซ่ึงรวมถึงอดีตภรรยา อดีตสามี จะครอบคลุม เพียงใดต้องขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์หรือผลกระทบท่ีอาจเกิดกับบุตรของคู่กรณี และพบปัญหาเก่ียวกับ ระบบงานที่สนับสนุนการบังคับใช้ตามพ.ร.บ.คุ้มครองฯ รวมทั้งการสร้างกลไกเครือข่าย และการเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ ท่ีต้องอาศัยความร่วมมือของกลไก หน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง ซ่ึงอาจยังมีความเข้าใจไม่ตรงกันใน การทางาน ทาให้ขาดความเช่ือมโยงความร่วมมือ รวมไปถึงการรับและส่งต่อเร่ืองให้กับหน่วยงานที่มีภารกิจ รองรับกลไกปฏิบัติงาน เช่น ตารวจ อาจไม่มีความรู้ในการบังคับใช้พ.ร.บ.คุ้มครองฯ หรือมีความรู้ความเข้าใจ แต่ไม่ตระหนักต่อประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นในครอบครัว มองว่าเป็นเพียงเรื่องส่วนตัวเท่านั้น เน่ืองจากความไม่ เสมอภาคทางเพศได้มีการฝังรากลึกอยู่ในระบบคิด วัฒนธรรมความเชื่อ และความรู้ของบุคลากรใน กระบวนการยุตธิ รรม 2.3 สถานการณก์ ารพฒั นาสตรีในประเทศไทย และนโยบาย กฎหมายท่ีเกีย่ วข้องกับสิทธิ บทบาทของสตรี 2.3.1 สถานการณก์ ารพฒั นาสตรีในประเทศไทย จากข้อมลู โครงสรา้ งประชากร เม่ือเปรียบเทียบสดั สว่ นระหวา่ งเพศชายและเพศหญิง จะเห็น ไดว้ ่าจานวนประชากรคร่ึงหน่ึงของประเทศเปน็ ผู้หญิง และจากการวจิ ัยพบว่า ผู้หญิงมีอายขุ ยั เฉล่ยี สูงกว่าผชู้ าย นอกจากประชากรของประเทศท่ีมีผู้หญิงมากกว่าผู้ชายและมีอายุเฉลี่ยมากกว่าแล้ว ยังพบว่าท้ังด้านบทบาท และหน้าท่ีของผู้หญิงในปัจจุบันมีความสาคัญมากข้ึนกว่าในอดีตท้ังทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ผู้หญิงมิใช่มีบทบาทหน้าที่เป็นเพียงภรรยาและมารดาที่เลี้ยงดูบุตรภายในบ้านเท่านั้น มีหลายคนประกอบ อาชีพการงานที่มีความรู้ความสามารถไม่แตกต่างไปจากผู้ชาย ผู้หญิงจึงเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีส่วนสาคัญใน การชว่ ยผลักดันพัฒนาสังคมและประเทศชาติ องค์การสหประชาชาติได้ประกาศทศวรรษสตรีในระหว่างปี คศ. 1975-1985 เพอ่ื ผลักดันไปสู่ การตรากฎหมายใหม่ใหม้ ีความเสมอภาคมากขึน้ ระหวา่ งชาย-หญิง มีการจดั ทาแผนระยะยาวเก่ยี วกบั กิจกรรม ต่างๆด้านสตรี จึงถือว่ามีส่วนสาคัญในการส่งเสริมให้สตรีเข้ามามีบทบาทในกิจกรรมการพัฒนาต่างๆได้มาก ย่ิงข้ึน สอดคล้องกับการดาเนินนโยบายต่างๆของประเทศไทยท่ีพยายามเปิดโอกาสให้สตรีเข้ามามีบทบาทใน แนวทางการสง่ เสรมิ บทบาทสตรใี นการขับเคล่ือนงานพัฒนาสังคมเพอื่ ปอ้ งกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว 13
การพัฒนามากย่ิงข้ึน ดังจะเห็นจากงานวิจัยของกรมพัฒนาชุมชน (สุชลี วาทะสัตย์, 2535 : 38) พบว่าสตรีไม่ อยากอยู่บ้านเฉยๆ ไม่อยากทางานบ้านอย่างเดียว ต้องการออกไปนอกบ้านเพื่อทางานมีรายได้มาเลี้ยง ครอบครัว มีอาชีพหลัก และสตรีต้องการมีบทบาทในการพัฒนาชุมชนเพื่อสร้างความเจริญให้กับหมู่บ้าน โดย การเขา้ รว่ มกจิ กรรมตา่ งๆของชมุ ชน อย่างไรก็ตาม จากการพัฒนาสตรีของไทยพบว่า ยังมีปัญหาอุปสรรคมากมายทั้งด้าน การศึกษาและการพัฒนาศักยภาพ โดยเฉพาะการศึกษาท่ีผู้หญิงส่วนใหญ่ยังไม่รู้หนังสือถึงร้อยละ 60 ซ่ึงพบ มากในสตรอี ายุ 40 ปขี ึ้นไป เชน่ เดียวกบั โอกาสในการศกึ ษาต่อทีส่ ตรีมโี อกาสนอ้ ย สว่ นในด้านสุขภาพอนามัยที่ พบวา่ แมผ้ ู้หญิงมีอายุยืนยาวกว่าผูช้ ายแต่ปัญหาด้านอนามยั เจรญิ พนั ธุ์ อัตราการตายของสตรีท่ีเก่ียวกบั การติด เชื้อและการคลอด โรคหัวใจ หลอดเลือด มะเร็งเต้านมและมดลูกที่พบมากในสตรีไทยเช่นเดียวกับโรคเอดส์ท่ี เพิ่มมากข้ึนในผู้หญิง นอกจากนั้นปัญหาการทาแท้งในวัยรุ่นสตรีท่ีเป็นปัญหามากข้ึน รวมทั้งความเสมอภาค และการคุ้มครองทางสังคมแก่สตรียังมีอยู่น้อย โดยเฉพาะความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินท่ียังไม่เพียงพอ และการที่ผู้หญิงถูกทาให้เป็นสัญลักษณ์และวัตถุทางเพศจากส่ือมวลชนที่จาเป็นต้องมีการแก้ไขให้สตรีมี ภาพลักษณใ์ นเชิงสร้างสรรคม์ ากขนึ้ ขณะเดียวกันผู้หญิงยังประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจเกี่ยวกับความไม่เป็นธรรมและความไม่ ม่ันคงในรายได้ การขาดโอกาสในการพัฒนาทักษะและฝีมือ การไม่ได้รับคุ้มครองตามกฎหมาย แรงงาน ด้วย เหตุดังกล่าวทาให้ผู้หญิงมีข้อจากัดในการเข้าสู่ตลาดแรงงานที่เป็นระบบ เพราะขาดความรู้ทักษะฝีมือและมี ภาระครอบครัวทาให้ผู้หญิงไม่สามารถเข้าทางานเป็นเวลาได้ แม้ตลาดแรงงานนอกระบบจะเปิดโอกาสให้รับ งานไปทาท่ีบ้านได้ก็ตาม สาหรับด้านการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจของสตรีในระดับต่างๆ นั้น พบว่า ขอบเขต การตัดสินใจของสตรียังจากัดอยู่เพียงครัวเรือน ขณะที่ผู้ชายมีอานาจการตัดสินใจด้านการลงทุนและการ เปล่ยี นแปลงทส่ี าคัญของครอบครัว ทั้งนี้เพราะคา่ นิยมในสงั คมและครอบครัวมอบหมายบทบาทในฐานะมารดา ภรรยา และลูกสาวให้จัดการเก่ียวกับชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัว และมอบให้ผู้ชายมีบทบาทนาในการหา เลี้ยงครอบครัว การเป็นผูแ้ ทนครอบครัวในเร่ืองเกยี่ วกบั สถาบันทางสังคมอืน่ ๆ นอกจากนั้น บทบาทของสตรีในการมีส่วนร่วมตัดสินใจในระดับชุมชนพบว่า สตรีมีบทบาท นอ้ ยแม้จะมีการส่งเสริมการรวมกล่มุ ของสตรีในรูปแบบต่างๆ แต่บทบาทสตรีทม่ี ใี นกลุ่ม/องคก์ รก็ยังเป็นองคก์ ร เฉพาะด้านไม่มีอิทธิพลในการชี้นาการพัฒนาท้องถิ่นมากนัก เช่นเดียวกับในระดับประเทศที่พบว่าสตรียังมี บทบาทน้อยมาก จากสถานการณ์ของสตรีในด้านต่างๆ ดังกล่าวประกอบกับการเปล่ียนแปลงของสังคมทั้ง ปัจจัยด้านบวกและด้านลบรวมทั้งสภาพแวดล้อมพบวา่ การดาเนินงานด้านสตรีในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงไปใน ทศิ ทางที่เน้นการส่งเสริมการพัฒนาสตรที ั้งด้านกฎหมาย ด้านเทคโนโลยี และส่ือสารมวลชนทุกประเภท คือ มี กฎหมายท่ีสามารถแก้ปัญหาของสังคม และอานวยความยุติธรรมให้มากขึ้น เปิดโอกาสให้สตรีได้รับการ ค้มุ ครองและพัฒนาอาชีพ การขจดั การเลอื กปฏิบัติ เทคโนโลยีสารสนเทศและส่อื มวลชนทีม่ ีความก้าวหน้าและ นาเสนอข้อมูลข่าวสารในรูปแบบต่างๆทาให้สตรีมีช่องทางในการแสวงหาข่าวสารที่หลากหลาย ทันต่อ เหตุการณ์ และเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซ่ึงสตรีจาเป็นต้องเท่าทันในการพิจารณาเลือกรับข้อมูล ข่าวสารท่ีเป็นประโยชน์ เพอื่ ใชใ้ นการพัฒนาตนเอง (มาตรฐานส่งเสริมการพฒั นาสตรี,กรมส่งเสริมการปกครอง สว่ นทอ้ งถน่ิ 14 แนวทางการสง่ เสรมิ บทบาทสตรีในการขบั เคลือ่ นงานพฒั นาสงั คมเพือ่ ปอ้ งกนั และแกไ้ ขปญั หาความรนุ แรงในครอบครวั
2.3.2 นโยบาย กฎหมายทีเ่ ก่ียวข้องกับสทิ ธิ บทบาทของสตรี 2.3.2.1 มาตรา 190 กลา่ วถึง การมีสว่ นรว่ มร่างกฎหมาย - ให้ผู้แทนองค์กรเอกชนด้านเด็ก สตรีและคนชรา หรือทุพพลภาพร่วมเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง กฎหมาย ในกรณีประธานสภาวินิจฉัยว่ากฎหมายน้ัน มีสาระสาคัญเกี่ยวกับกลุ่มบุคคลเหล่าน้ันจานวนไม่น้อย กวา่ หนงึ่ ในสามนอกจากนั้นคณะรัฐมนตรีได้มีมตเิ มื่อวนั ที่ 31 กรกฎาคม 2544 ใหม้ ีผบู้ รหิ ารด้านการเสริมสรา้ ง บทบาทหญิงชายในระดับกระทรวง ทบวง กรม และศูนย์ประสานงานด้านความเสมอภาคในหน่วยงานดังกล่าว และมีการกาหนดอานาจหน้าที่ของผู้บริหารด้านการเสริมสร้างบทบาทหญิงชายและศูนย์ประสานงานด้าน ความเสมอภาคระหว่างหญิงชายให้ทาหน้าท่ีเป็นศูนย์กลางในการสร้างความเข้าใจแนวคิดและสร้างความ ตระหนักในบทบาทหญิงชาย และผสมผสาน แนวคิดบทบาทหญิงชายในการทางานของข้าราชการในส่วน ราชการแม้ว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ได้บัญญัติเก่ียวกับความเสมอภาค เท่าเทียมกัน การไม่เลือกปฏิบัติ ระหว่างชายหญิง แต่ว่าสิทธิ โอกาส และเงื่อนไขต่างๆ ท้ังด้านสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองจะพบว่าความ เป็นอยู่ของผู้หญิง สภาพทางอาชีพหน้าท่ีการงาน แมแ้ ต่ความรุนแรงในผ้หู ญิงยังคงพบอยู่เสมอๆ และทวคี วาม รุนแรงข้ึนด้วยรูปแบบใหม่ๆ เช่น ทางสื่ออินเตอร์เน็ต (Internet) โทรทัศน์ ฯลฯ ดังนั้นการที่ผู้หญิงจะได้รับ โอกาส การส่งเสริมและพัฒนาให้ดีข้ึนในความเท่าเทียมกันทั้งด้านเศรษฐกิจสังคม การเมือง การได้รับเกียรติ การยอมรับ การดารงอยู่อย่างปราศจากความหวาดกลัว มีความปลอดภัยในชวี ิตและทรัพยส์ ิน ความปรารถนา เหล่านี้จะปรากฏได้ข้ึนอยู่กับนโยบายท่ีชัดเจนของรัฐบาลและการปฏิบัติหน้าที่ ของผู้ท่ีเก่ียวข้องทั้งภาครัฐและ เอกชน ภาคประชาคมท้องถ่นิ ทจ่ี ะรว่ มกันพิจารณา ทาความเขา้ ใจและรว่ มมือกนั 2.3.2.2 แผนพัฒนาสตรีในชว่ งแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติฉบับที่ 8 - ฉบับท่ี 9 สาหรับแผนพัฒนาสตรีในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับท่ี 8 และฉบับที่ 9 เน้น การพัฒนาให้สตรีทุกคนมีโอกาสได้พัฒนาตนเองอย่างเต็มศักยภาพท้ังทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์สังคม และ สติปัญญา มีสุขอนามัยที่สมบูรณ์ มีโอกาสพัฒนาความรู้ ความสามารถ และมีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนา และการตัดสินใจในทุกระดับ นอกจากน้ันยังให้ความสาคัญกับการพัฒนาสภาพแวดล้อมรอบตัวสตรีทั้งระดับ ครอบครวั ชุมชน และสงั คม โดยมปี ระเดน็ ท่สี าคัญคือ 1) การพัฒนาศักยภาพสตรี โดยการให้การศึกษาและฝึกอบรมสตรี สุขอนามัยของสตรี เศรษฐกจิ และการมีงานทาของสตรี 2) การมีส่วนร่วมของสตรีในการตัดสินใจในระดับต่างๆ ทั้งการตัดสินใจในระดับครอบครัว ระดบั ชุมชน การมีสว่ นร่วมในการตดั สินใจของสตรใี นภาคการเมอื ง ภาคราชการ และภาคธรุ กจิ เอกชน 3) การส่งเสริมความเสมอภาคและการคุ้มครองทางสังคม ได้แก่ การแก้ไขกฎ ระเบียบและ กฎหมายต่างๆ ท่ีเลือกปฏิบัติตอ่ สตรี การระงับการใช้ความรุนแรงกับสตรีทัง้ ทางร่างกาย จิตใจ และทางเพศใน ทุกสถานที่รวมท้งั การสร้างระบบคมุ้ ครองทางสงั คมแกส่ ตรีและสตรีดอ้ ยโอกาส 4) การพัฒนาส่ือเพ่ือการดาเนินงานด้านสตรี โดยต่อต้านการใช้สตรีเป็นวัตถุทางเพศการเน้น เสนอบทบาทสตรเี ชงิ สรา้ งสรรคส์ งั คม การนาเสนอเนอ้ื หาท่ีเอ้ือตอ่ การส่งเสรมิ สถานภาพสตรี 5) การบริหารจัดการเพ่ือการพัฒนาสตรี โดยสร้างองค์กร/กลไกการพัฒนาสตรีท่ีเข้มแข็ง รวมทั้งการมีข้อมูลและสารสนเทศด้านสตรี ท้ังแง่การจัดเก็บข้อมูลสถิติต่างๆ การวิจัยท่ีเน้นมิติหญิงชาย เป็น แนวทางการสง่ เสรมิ บทบาทสตรีในการขับเคล่อื นงานพัฒนาสังคมเพ่อื ป้องกนั และแก้ไขปญั หาความรนุ แรงในครอบครวั 15
ตน้ อย่างไรกต็ ามผลแห่งการพัฒนาสตรีทีผ่ า่ นมาพบว่า มีเง่ือนไขมากมายที่เปล่ยี นแปลงและมีผลตอ่ การพัฒนา สตรีของไทย กล่าวคือ - การเปล่ียนแปลงโครงสรา้ งประชากรที่มีสตรีสูงอายุมากข้ึน ซึ่งส่งผลต่อการกาหนดนโยบาย ด้านสุขภาพและการจัดสวัสดิการ ขณะท่ีประชากรสูงอายุท่ีมากขึ้นมีผลกระทบต่อสตรีในฐานะผู้ดูแลผู้สูงอายุ สง่ ผลให้สตรีจานวนมากต้องรับภาระท้ังงานนอกบ้าน งานในบ้าน และการดูแลบิดา มารดา หรือญาติผู้สูงอายุ ดังน้นั การสรา้ งระบบบริการหรือสวัสดกิ ารสงั คมท่ีสนับสนุนและเอือ้ อานวยต่อสตรีท่ตี ้องดูแลผู้สูงอายจุ งึ มีความ จาเปน็ สาหรบั การวางแผนพัฒนาสตรีไทย - รูปแบบครัวเรือนและหัวหน้าครัวเรือน พบว่า สตรีมีแนวโน้มเป็นหัวหน้าครัวเรือนและ รับภาระเล้ียงดูเด็กและผู้สูงอายุเพียงลาพังมากข้ึน เพราะการมีครอบครัวเด่ียวมากข้ึน การหย่าร้าง การ ตั้งครรภ์ และถูกสามีหรือฝ่ายชายทอดท้ิง รวมถึงการท่ีสตรีเป็นโสดมากขึ้นส่งผลให้สตรีต้องทาหน้าที่เป็น หัวหน้าครัวเรือนมีมากขึ้น ภาระการเล้ียงดูสมาชิกในครอบครัวจึงตกอยู่กับสตรี ดงั นั้นการจดั บริการทางสังคม เพือ่ ชว่ ยเหลอื สตรจี งึ เป็นแนวทางในการชว่ ยเหลือสตรีไทย - ระบบกฎหมายและพันธกรณีระหว่างประเทศ อันได้แก่ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ท่ีประกัน สิทธิความเสมอภาคระหว่างหญิงชาย เป็นปัจจัยท่ีเอื้อต่อการพัฒนาสตรีในประเทศไทยพระราชบัญญัติข้อมูล ขา่ วสารของราชการ พ.ศ. 2540 ท่ีกาหนดให้รัฐตอ้ งเผยแพรข่ ้อมูลสปู่ ระชาชน และประชาชนสามารถร้องขอให้ รัฐเปิดเผยข้อมลู ได้ เปน็ ชอ่ งทางและโอกาสให้สตรีสามารถติดตามและตรวจสอบการบริหารงานภาครัฐดา้ นการ ส่งเสรมิ ความเสมอภาคระหว่างหญิงชายได้มากข้ึนพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ท่ีใหส้ ิทธิและ หน้าท่ที างการศึกษาอย่างเสมอภาค, นโยบายการกระจายอานาจสทู่ ้องถ่ินตามพระราชบัญญัติกาหนดแผนและ ขั้นตอนการกระจายอานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 และพันธกรณีต่างๆ ท่ีประเทศไทย ต้องปฏิบัติตาม เช่น อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรี ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ปฏิญญาและแผนปฏิบตั ิการปกั กิ่งเพอื่ ความกา้ วหนา้ ของสตรี เป็นตน้ 1) นโยบายเร่งดว่ นของรัฐบาล และนโยบายด้านสุขภาพและการปฏริ ปู ระบบสุขภาพ 2) ความก้าวหนา้ ทางเทคโนโลยสี ารสนเทศ ทาใหก้ ารเผยแพรข่ ้อมูลขา่ วสาร เป็นไปอยา่ งรวดเรว็ ไรพ้ รมแดน 3) ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่ต่อเน่ืองส่งผลให้การจัดสรรงบประมาณไม่เพียงพอต่อการพัฒนาสตรี จากเง่ือนไข ตา่ งๆ ดังกล่าวไดน้ าไปสกู่ ารกาหนดแนวทางการพฒั นาสตรีในแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545 - 2549) โดยมยี ุทธศาสตร์ 5 ประการ ดงั นี้ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การพัฒนาศักยภาพสตรี ยุทธศาสตร์ที่ 2 การให้สตรีมีส่วนร่วมในกระบวนการตดั สินใจทุกระดับ ยทุ ธศาสตร์ท่ี 3 การส่งเสริมความเสมอภาคและการคุ้มครองทางสงั คม ยุทธศาสตรท์ ี่ 4 การพัฒนาส่ือเพ่ือการดาเนินงานดา้ นสตรี ยทุ ธศาสตร์ท่ี 5 การพัฒนาองคก์ รและการบริหารจัดการเพื่อการดาเนนิ งานด้านสตรี ทง้ั นีไ้ ด้กาหนดวสิ ยั ทัศนส์ ตรที ่ีพึงประสงค์ไว้ 5 ประการ คือ 1) สตรีทุกคนมีศักยภาพเพียงพอในทุกด้านท่ีจะสามารถพึ่งพาตนเองได้มีคุณภาพชีวิตท่ีดี และสามารถอยู่ใน สังคมได้อย่างมคี วามสุขและมคี ุณคา่ ตลอดทุกชว่ งอายุ 2) สตรที ุกคนมสี ่วนรว่ มในกระบวนการพฒั นาและกระบวนการตัดสินใจในทุกด้านและทกุ ระดบั 16 แนวทางการส่งเสรมิ บทบาทสตรใี นการขบั เคลอ่ื นงานพัฒนาสังคมเพอ่ื ป้องกนั และแกไ้ ขปญั หาความรนุ แรงในครอบครัว
3) สตรไี ดร้ บั การคุ้มครองจากครอบครัว ชมุ ชน และสังคม และการปฏบิ ตั อิ ยา่ งเสมอภาคกับชาย 4) สตรที กุ คนไดร้ บั โอกาสในการเขา้ ถึงสือ่ และไมต่ กเป็นเครือ่ งมอื ในเชงิ การค้าและพาณิชย์ 5) สตรีได้รับประโยชน์จากการบริหารจัดการเพื่อความก้าวหน้าของสตรีท่ีเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพอย่าง สม่าเสมอ สาหรับวัตถุประสงค์ของแผนพัฒนาสตรใี นชว่ งแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ ฉบับท่ี 9 ได้กาหนดไว้ 4 ประการ คือ 1) เพื่อพฒั นาคณุ ภาพชีวิตและศักยภาพของสตรที ้ังด้านร่างกาย สติปญั ญา ความถนดั สงั คม และจิตใจ 2) เพ่ือขจัดการเลือกปฏิบตั ิต่อสตรที ุกรปู แบบ ทั้งทางนติ ินัยและพฤตินัย 3) เพ่ือให้สตรีได้รับการคุ้มครองทุกด้าน รวมทั้งในสภาพการทางาน และสภาพการเป็นมารดา ในฐานะที่มี ศกั ดิ์ศรขี องความเป็นมนุษย์เทา่ เทยี มบรุ ุษ 4) เพ่ือส่งเสริมให้สตรีมีส่วนร่วมอย่างจริงจังในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง การปกครอง รวมท้ัง การพัฒนาสันติสุขในครอบครัว ชุมชน ประเทศ และประชาคมโลกในส่วนของเป้าหมายหลักของแผนพัฒนา สตรี ในชว่ งแผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ ฉบับที่ 9 ไดร้ ะบุเป้าหมายหลกั ไว้ดงั น้ี 1) ลดอัตราการไม่รู้หนังสือของสตรีอายุ 40 ปีข้ึนไป และเพ่ิมอัตราการเข้าเรียนและส่งเสริมการศึกษาเป็นร้อย ละ 100 2) ขยายการคมุ้ ครองแรงงานให้ครอบคลุมแรงงานสตรนี อกระบบ 3) ลดอตั ราการเจ็บป่วยและการเสยี ชีวติ ของสตรีจากโรคที่เป็นสาเหตุสาคัญ 10 อนั ดับแรกลง ร้อยละ 20 เช่น การตง้ั ครรภ์และการคลอด มะเรง็ ปากมดลกู มะเร็งเต้านม ฯลฯ 4) เพ่ิมการมีส่วนร่วมของสตรีในภาคการเมืองและภาคการบริหารอย่างน้อยเป็นสองเท่า แก้ไขกฎหมายทุก ฉบับที่ขัดต่อหลักการของรัฐธรรมนูญมาตรา 30 และอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุก รูปแบบ 5) ออกพระราชบญั ญัตขิ จัดความรุนแรงต่อเด็กและสตรี 6) ขยายเครือข่ายส่ือสตรีให้ครอบคลุมสื่อมวลชนทุกสาขา เพ่ือประสานความร่วมมือในการเสริมสร้างความ เสมอภาคระหว่างหญงิ ชาย และขจดั อคติต่อสตรี 7) สร้างองคก์ รแห่งการเรยี นรู้แกส่ ตรีในรปู แบบต่างๆ ในทุกชุมชน 8) สร้างระบบการเฝา้ ระวงั ปัญหา และการชว่ ยเหลอื ผู้ถูกกระทารุนแรงในทุกชมุ ชน 9) ยกฐานะสานักงานคณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานสตรีแห่งชาติ เป็นหน่วยงานระดับกรม เพ่ือให้มี สถานภาพและอานาจหน้าที่ในการประสานงานกับหน่วยงานทั้งในประเทศและต่างประเทศได้อย่างคล่องตัว และมปี ระสิทธิภาพ 10) มีข้อมูลตัวช้ีวัดสถานภาพสตรตี ามมาตรฐานของสหประชาชาตทิ เ่ี ป็นปัจจบุ ันและถกู ตอ้ ง 11) มีระบบสารสนเทศท่ีเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานท่ีเป็นแหล่งข้อมูลมิติหญิงชายนอกจากนั้นในแต่ ละ ยุทธศาสตร์การพัฒนาสตรขี องแผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติไดก้ าหนดแนวทางการพฒั นาไว้ดังน้ี แนวทางการพฒั นาตามยุทธศาสตรท์ ่ี 1 การพฒั นาศกั ยภาพสตรี 1. ด้านการปรับเปล่ยี นเจตคตขิ องสังคมให้เอ้อื ต่อการพฒั นาศักยภาพของสตรี แนวทางการส่งเสรมิ บทบาทสตรใี นการขบั เคลื่อนงานพฒั นาสังคมเพื่อป้องกันและแกไ้ ขปัญหาความรนุ แรงในครอบครัว 17
1) ส่งเสริมให้สตรีตระหนักถึงคุณค่าของตน และมีความเช่ือม่ันในตนเองทักษะชีวิตและสังคมเพียงพอท่ีจะ ดารงชวี ติ อยา่ งมศี กั ด์ศิ รี และเหมาะสมกับวัฒนธรรม 2) สร้างวัฒนธรรมความเช่ือในเร่ืองคุณค่าของมนุษย์และความเสมอภาคระหว่างหญิงชายในครอบครัวและ สังคม 3) อบรมเล้ียงดูและให้โอกาสบุตรโดยปราศจากอคติทางเพศ และให้มีการแบ่งเบาภาระงานบ้านแก่สมาชิกใน ครอบครวั อยา่ งเหมาะสมในทุกชมุ ชน 4) ส่งเสริมบทบาทสตรใี นการเสริมสรา้ งคุณธรรม จรยิ ธรรม และรกั ษาวฒั นธรรม ประเพณี 2. ดา้ นการศึกษา 1) จัดบรกิ ารการศกึ ษาตลอดชพี การศกึ ษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยท่ีได้มาตรฐานเพ่ือเปิดโอกาส ให้สตรอี ายุ 40 ปีข้นึ ไปทไี่ มร่ ูห้ นังสอื สามารถศกึ ษาได้ในทกุ สาขาอาชีพ 2) ประเมินและปรับปรุงหลักสูตร กระบวนการเรียนการสอน และหนังสืออ่านประกอบในระดับประถมศึกษา และมธั ยมศึกษาใหป้ ราศจากอคตทิ างเพศ 3) สง่ เสรมิ ใหส้ ตรเี รยี นในสาขาที่ยังมีสตรีเรียนน้อยมาก เชน่ วิศวกรรมศาสตรแ์ ละนิติศาสตร์ 4) ส่งเสรมิ ใหเ้ ปดิ สอนวิชาเกย่ี วกับมติ ิหญิงชายเป็นวิชาพน้ื ฐานในระดบั อุดมศกึ ษา 5) ส่งเสริมให้เยาวชนรู้จักวิเคราะห์ข้อมูล และสื่อเก่ียวกับเรื่องเพศและบทบาทหญิงชายที่ได้จากการนาเสนอ ของสอ่ื อยา่ งเหมาะสม 6) จัดใหม้ ีกองทุนเพือ่ สง่ เสริมโอกาสทางการศึกษาของสตรดี ้อยโอกาสและสตรีกล่มุ เสี่ยง 7) พฒั นาแรงงานสตรีทงั้ ในและนอกระบบใหม้ ีทักษะในการประกอบอาชีพ 3. ด้านสขุ ภาพอนามัย 1) ให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาและบทบาททางเพศท่ีเหมาะสมและรับผิดชอบรวมท้ังให้ชายมีส่วนร่วมในการ วางแผนครอบครัวและการคุมกาเนิดมากขนึ้ 2) จัดบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขใหแ้ ก่สตรีอย่างทั่วถึง 3) ให้ความรู้แก่สตรีในการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค รู้จักเลือกบริโภคสินค้าและบริการ รวมทั้งรู้จัก ป้องกันตนเองจากการทางานที่มลี ักษณะเปน็ อนั ตรายตอ่ สขุ ภาพ 4) ให้ความรู้และแนวทางแก่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขเก่ียวกับความต้องการบริการสุขภาพท่ี แตกต่างระหวา่ งหญิงและชาย และผลกระทบของการใหบ้ รกิ าร 5) สนับสนุนให้เครือข่ายผู้หญิงกับสุขภาพผลิตงานวิจัยเชิงนโยบายเก่ียวกับสุขภาพของสตรี เพ่ือนาไปสู่การ กาหนดนโยบายพฒั นาระบบการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ ท่เี กย่ี วข้องกบั สขุ ภาพของสตรี 6) ใหค้ วามร้แู ละแนวทางการส่งเสริมสขุ ภาพกายและสุขภาพจติ แกส่ ตรีทุกวยั โดยเฉพาะสตรวี ยั รุ่น และสตรวี ัย ทอง 4. ดา้ นอาชพี และการมงี านทา 1) รณรงค์ให้นักเรียน ผู้ปกครอง เจ้าของสถานประกอบการภาคธุรกิจเอกชน และประชาชนทั่วไปตระหนักถึง ศกั ยภาพที่เท่าเทียมกันระหวา่ งหญงิ และชายในการประกอบอาชพี โดยไม่ยึดติดกับค่านิยมดงั้ เดมิ 2) สง่ เสริมการฝึกอาชพี แก่สตรี ให้สอดคล้องกบั ความต้องการของตลาดแรงงานและเทคโนโลยสี มยั ใหม่ที่มีการ เปล่ยี นแปลงอยา่ งรวดเรว็ 18 แนวทางการสง่ เสรมิ บทบาทสตรใี นการขบั เคลือ่ นงานพัฒนาสงั คมเพอื่ ป้องกนั และแกไ้ ขปญั หาความรนุ แรงในครอบครัว
3) ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ในการพัฒนาทักษะแรงงานสตรีด้านการบริหารและ การตลาด 4) จัดหาตลาดแรงงานให้แกส่ ตรี โดยเฉพาะกลุ่มสตรดี ้อยโอกาส แรงงานสตรีนอกระบบและสตรีกลมุ่ เสีย่ ง 5) ส่งเสริมการรวมกลุ่มอาชีพ กลุ่มสหกรณ์ การพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์การหาตลาดรองรับการสร้างและ ขยายเครอื ขา่ ย เพอ่ื สนบั สนนุ การพัฒนาอาชีพอย่างต่อเนื่อง 6) สร้างเสริมความแข็งแกร่งด้านการเงินแก่สตรี โดยส่งเสริมให้มีการจัดต้ังกองทุนสนับสนุนสินเชื่อเงื่อนไข พิเศษท่ีเอ้ือต่อการดาเนินวิสาหกิจทุกระดับ ตลอดจนการเข้าถึงแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยการผลิตและ การตลาด 7) สง่ เสรมิ การพฒั นาภูมิปัญญาสตรจี ากการผลิตเพ่ือการบริโภคในครวั เรอื นสู่การผลิตเพื่อสรา้ งรายได้ 8) แก้ไขกฎหมายหรือระเบยี บทไ่ี มเ่ ออื้ ใหส้ ตรมี โี อกาสประกอบอาชีพไดท้ ัดเทียมบรุ ษุ แนวทางการพฒั นาตามยทุ ธศาสตร์ที่ 2 การให้สตรมี ีสว่ นร่วมในกระบวนการตดั สนิ ใจทุกระดบั 1. จัดมาตรการพิเศษเพ่ือส่งเสริมการมีสว่ นรว่ มของสตรีในการเมอื ง การปกครองและการบริหาร เช่น การเพ่ิม จานวนสตรใี นคณะกรรมการระดับนโยบายของชาติ 2. ให้ความรู้อย่างต่อเน่ืองและเป็นระบบแก่สตรีและผู้นา สตรีเกี่ยวกับความสาคัญของการมีสตรีร่วมอยู่ใน เศรษฐกจิ สังคม การเมือง การปกครอง และการบริหารทกุ ระดบั 3. จัดฝึกอบรมภาวะผู้นาแก่สตรีท่ีจะลงสู่สนามการเมือง และเพิ่มขีดความสามารถในการดาเนินงานทาง การเมืองแก่สตรที ไ่ี ดร้ บั เลอื กตง้ั 4. ส่งเสริมสตรีให้มบี ทบาทในการทาประโยชนแ์ ก่ชุมชนและสงั คม 5. เพ่มิ บทบาทของสตรีในการเสรมิ สรา้ งธรรมาภิบาล 6. รณรงค์ให้หน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พรรคการเมืองกลุ่มการเมืองท้องถิ่น เอกชน และ ประชาชน เห็นความสาคัญและสนับสนุนการมีส่วนร่วมและการตัดสินใจของสตรีในทางเศรษฐกิจ สังคม การเมอื ง การปกครอง และการบริหาร แนวทางการพฒั นาตามยุทธศาสตร์ที่ 3 การสง่ เสรมิ ความเสมอภาคและการคมุ้ ครองทางสังคม 1. การสรา้ งความเสมอภาคทางกฎหมายและการบังคับใช้ 1) ตรวจสอบและปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบต่างๆ ที่ขัดแย้งกับหลักการตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิ มนุษยชนและอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ เพ่ือขจัดอคติทางเพศและการ เลือกปฏิบัติต่อสตรี เช่น กฎหมายครอบครัว ประมวลกฎหมายอาญา (ความผิดเกี่ยวกับเพศ) พระราชบัญญัติ ช่ือบุคคล พ.ศ. 2505 พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508พระราชกฤษฎีกาให้ใช้คานาหน้าสตรี พ.ศ. 2460 พระราชบญั ญัติแรงงานรัฐวิสาหกจิ สัมพันธ์ พ.ศ. 2543 ฯลฯ รวมทงั้ ระบุโทษอยา่ งเหมาะสม 2) เร่งรดั ใหม้ กี ารออกพระราชบญั ญัติขจัดความรุนแรงในครอบครวั 3) เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ และเจตคติที่เหมาะสมแก่ประชาชนและเจ้าหน้าที่ท่ีเก่ียวข้องกับการบังคับใช้ กฎหมายท่ีเกีย่ วกับความเสมอภาคและการคมุ้ ครองสตรี 4) สรา้ งเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน และประชาชนในการติดตามการบังคับ ใชก้ ฎหมายทเ่ี กีย่ วกบั ความเสมอภาคและการคุ้มครองสตรี 5) เผยแพร่ความรูเ้ กี่ยวกับสทิ ธิและความเทา่ เทยี มทางกฎหมายแกส่ ตรีทกุ ระดับ แนวทางการสง่ เสริมบทบาทสตรีในการขับเคล่ือนงานพัฒนาสังคมเพ่ือปอ้ งกันและแกไ้ ขปญั หาความรนุ แรงในครอบครวั 19
2. การเสริมสรา้ งความเสมอภาคในระดับครอบครัวและสังคม 1) ให้ความรู้แก่สมาชิกในครอบครัว ชุมชน และสังคมให้ตระหนักถึงความเสมอภาคระหว่างหญิงชาย และ คานึงถึงศักดิ์ศรคี วามเปน็ มนษุ ย์ของสตรี 2) บรู ณาการแนวความคิดดา้ นสิทธมิ นษุ ยชน สิทธิสตรี และสทิ ธเิ ด็กในหลักสตู รการศึกษาทกุ ระดบั ทงั้ ในระบบ และนอกระบบ 3. การคุ้มครองทางสงั คม 1) เร่งรัดการออกกฎหมายสวัสดิการสังคม และขยายบริการทางสังคมให้ครอบคลุมสตรีทุกกลุ่ม และทุกช่วง อายุ โดยคานึงถึงสภาพปัญหา และความตอ้ งการของสตรแี ต่ละกลุ่มโดยเฉพาะสตรีพิการและสตรดี ้อยโอกาส 2) เร่งรัดการออกกฎหมายคุ้มครองแรงงานสตรีนอกระบบ โดยเฉพาะแรงงานสตรีภาคเกษตร และแรงงานสตรี ท่ีรบั งานไปทาที่บา้ น 3) ส่งเสริมให้หน่วยงานต่างๆ ที่ดาเนินการด้านการคุ้มครองแรงงานการคุม้ ครองทางสังคม จัดสวัสดิการที่ครบ วงจรที่เอ้ือตอ่ ความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดีของสตรีทุกกลุ่มและทุกช่วงอายุ รวมทง้ั มีการประสานงานอย่าง เปน็ ระบบและมีประสิทธิภาพ 4) ส่งเสริมให้หน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดสวัสดิการพิเศษรับเลี้ยงเด็ก กลางวันและสวัสดกิ ารดูแลผูส้ งู อายุเพอื่ แบง่ เบาภาระสตรี 5) ส่งเสริมการจัดให้มีและพัฒนากลุ่มอาสาสมัคร องค์กรชุมชน และองค์กรสตรี เพ่ือเฝ้าระวังติดตาม และ สนับสนนุ การคุ้มครองทางกฎหมายและทางสงั คมแกส่ ตรีดอ้ ยโอกาสรวมท้ังการใช้มาตรการลงโทษทางสังคมแก่ ผู้กระทารุนแรงตอ่ เด็กและสตรี 6) สนับสนุนให้ทุกชุมชนมีแนวทางการดาเนินการเพ่ือให้ความคุ้มครองแก่เด็กและสตรีที่ประสบปัญหาความ รุนแรงในครอบครวั และสังคม 7) ดาเนินมาตรการเชิงรุกในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและแหล่งบริการช่วยเหลือในเรื่องปัญหาความรุนแรง ใหแ้ กส่ ตรี แนวทางการพฒั นาตามยุทธศาสตร์ท่ี 4 การพัฒนาสื่อเพ่ือการดาเนนิ งาน ด้านสตรี 1. องค์กรสตรีทุกระดับท้ังภาครัฐและเอกชนให้ความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับประเด็นมิติหญิงชายกับการพัฒนา แก่สื่อมวลชนทุกประเภทอย่างต่อเน่ือง รวมท้ังให้คาปรึกษาแนะนาแก่ส่ือต่างๆ ในการสร้างเน้ือหาสาระและ รูปแบบการนาเสนอท่ีจะช่วยรณรงค์ให้ความรู้และข้อมูลข่าวสารแก่สังคมในการพัฒนาสตรีได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม 2. สนับสนุนและยกย่องส่ือที่นาเสนอเน้ือหาสาระในการส่งเสริมบทบาทสถานภาพและคุณค่าของสตรีที่มี ความสาคญั ต่อสังคมไทย รวมทงั้ ปรับทัศนคติของคนในสงั คมในเรือ่ งความเสมอภาคระหว่างหญงิ และชาย 3. องค์กรสตรีและกลุ่มสตรี แสดงความคิดเห็นต่อการโฆษณาสินค้าท่ีมีเน้ือหาที่สะท้อนบทบาทดั้งเดิม มีอคติ ทางเพศและแสวงหาประโยชน์จากสตรีโดยไม่เป็นธรรม และรณรงค์ไม่เห็นด้วยกับโฆษณา รวมท้ังสร้างกระแส ไมส่ นบั สนุนสนิ ค้าทีม่ ีเนื้อหาดงั กล่าว 4. เร่งรัดให้มีการบังคับใช้กฎหมายท่ีเกี่ยวข้องเพ่ือดาเนินการกับส่ือที่นาเสนอสาระที่ละเมิดสิทธิของสตรีอย่าง จริงจงั 20 แนวทางการส่งเสรมิ บทบาทสตรใี นการขับเคลอ่ื นงานพัฒนาสังคมเพ่ือป้องกันและแกไ้ ขปัญหาความรนุ แรงในครอบครัว
5. ส่งเสริมให้องค์กรท่ีเกี่ยวข้องใช้ประโยชน์จากส่ือมวลชนต่างๆ ที่ทางานเก่ียวกับสตรี นาสื่อสารมวลชนและ เทคโนโลยสี ารสนเทศเพอ่ื ความก้าวหน้าของสตรี 6. ฝึกอบรมและเผยแพร่ความรู้เพื่อให้สตรีรู้เท่าทันสื่อ และมีทักษะในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่าง เหมาะสม 7. สนับสนุนให้สตรีที่อยู่ในสาขาส่ือสารมวลชนรวมตัวเป็นเครือข่าย เพ่ือนาเสนอสาระที่ส่งเสริมบทบาทสตรี และสรา้ งมาตรฐานในการนาเสนอ 8. สร้างความเข้มแขง็ แก่เครือข่ายองคก์ รสตรี ในการเฝา้ ระวังและตรวจสอบสอ่ื ท่ีขาดจรรยาบรรณและนาเสนอ ภาพลกั ษณส์ ตรใี นทางที่ไม่เหมาะสม แนวทางการพฒั นาตามยุทธศาสตร์ท่ี 5 การพัฒนาองคก์ รและการ บริหารจัดการ เพอื่ การดาเนนิ งานดา้ นสตรี 1. ผลักดันการออกกฎหมายเพ่ือยกฐานะและเสริมสร้างศักยภาพในการดาเนินงานของสานักงานกิจการสตรี และสถาบันครอบครัว (กสส.) 2. จัดอบรมหลักสูตร “การผสมผสานมิติหญิงชายในการกาหนดนโยบายและการบริหารงาน” และหลักสูตร ต่างๆ ในกระบวนการกาหนดนโยบายท่ีเจาะลึกเก่ียวกับมิติหญิงชายแก่ผู้บริหารระดับสูงของส่วนราชการที่ รับผิดชอบด้านการเสริมสร้างบทบาทหญิงชาย (Chief GenderEaqality Officer : CGEO) และเจ้าหน้าท่ี ประจาศูนย์ประสานงานฯ ทุกหน่วยงาน เช่น การฝึกอบรมสร้างความตระหนักเกี่ยวกับมิติหญิงชาย การ วิเคราะห์ การวางโครงการ การติดตามประเมินผล การจัดสรรงบประมาณ การบริหารงาน การจัดทาตัวชี้วัด ความก้าวหน้าในการดาเนินงานด้านสตรีของหน่วยงานและการนาเสนอและเผยแพร่ข้อมูลและสารสนเทศมิติ หญิงชาย 3. จัดการอบรมเสริมสร้างขีดความสามารถของบุคลากรสานักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ในการให้ ข้อคิดเห็นต่อคณะรัฐมนตรีเก่ียวกับผลกระทบของกฎหมาย นโยบายและแผนงาน/โครงการต่างๆ ของ หนว่ ยงานภาครฐั และเอกชน รวมทั้งทา่ ทขี องประเทศไทยในเวทีระหวา่ งประเทศ 4. เสริมสร้างกลไกการประสานงานและเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสานักงานกิจการสตรีและสถาบัน ครอบครวั กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนทุกระดับในการดาเนินงานด้านสตรี รวมทั้งส่งเสริมการรวมกลุ่มของ สตร/ี องค์กรสตรใี นทุกระดับอย่างเป็นเครอื ขา่ ย 5. ส่งเสริมการจัดตั้ง “กองทุนเพื่อความก้าวหน้าของสตรี” เพ่ือระดมทรัพยากรและความรู้ความเช่ียวชาญท่ีมี อยมู่ าเสรมิ การดาเนินงานของภาครัฐและองค์กรพฒั นาเอกชนใหเ้ กดิ ประโยชน์สงู สดุ 6. สรา้ งเสริมสมรรถนะการดาเนินงานของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยส่งเสริมให้มีการจัดสรรทุนด้านสตรี ศกึ ษาแก่บุคลากรของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพือ่ ใหม้ ีบุคลากรทีม่ ีความรคู้ วามเขา้ ใจประเด็นสตรีกระจาย อยู่ในหน่วยงานและองค์กรต่างๆ 7. กาหนดระบบการติดตามและประเมินผลการดาเนินงาน เพ่ือจัดทารายงานความก้าวหน้าของสตรีเสนอต่อ คณะรัฐมนตรเี ป็นรายปี ตามตวั ชี้วัดสถานภาพสตรี ดัชนีช้ีวัดการพฒั นามนษุ ย์ ดัชนชี ้ีวัดการพัฒนาด้านมิติหญิง ชาย และดัชนีชว้ี ัดความเขม้ แข็งของสตรี โดยการสง่ เสริมใหห้ น่วยงานท่เี ก่ยี วข้องจัดเก็บขอ้ มูลจาแนกเพศ 8. สานักงานพัฒนาระบบข้อมูลและสารสนเทศเกี่ยวกับมิติหญิงชาย และเป็นศูนย์ประสานเครือข่ายเพ่ือให้ทุก หน่วยงาน บคุ คลทวั่ ไป และสอื่ มวลชนสามารถนาข้อมลู ไปใช้ประโยชน์ไดอ้ ย่างรวดเร็วและถูกต้อง แนวทางการส่งเสรมิ บทบาทสตรใี นการขับเคลื่อนงานพัฒนาสังคมเพ่ือปอ้ งกนั และแกไ้ ขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว 21
2.4 แนวคดิ เก่ยี วกบั การสง่ เสรมิ และพัฒนาสตรี แนวคิด หลกั การ และทฤษฎเี กี่ยวกับการสง่ เสรมิ การพัฒนาสตรที ่สี าคญั (มาตรฐานส่งเสริมการพฒั นาสตรี, กรมส่งเสรมิ การปกครองส่วนท้องถิ่น :11-17) กลา่ วคอื 2.4.1 แนวคิดว่าด้วยความเสมอภาค การพฒั นาและสันติภาพ จากอดีตถึงปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันว่าการเลือกปฏิบัติทางเพศยังคงดารงอยู่ในหลายมิติของชีวิตท่ัว โลก ฉะน้ันประเด็นการสร้างความเสมอภาคระหว่างบทบาทหญิง-ชาย จึงเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา จาก รายงานนโยบายศึกษาของธนาคารโลก (Word Bank,2000) ได้กล่าวว่า การสร้างความเสมอภาคระหว่าง บทบาทหญิง-ชาย เป็นวัตถุประสงค์หลักในการพัฒนาด้วยความสาคัญของตัวปัญหาเอง และเพราะความเสมอ ภาคระหว่างเพศจะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศในการสร้างความเจริญเติบโต ในการลดความ ยากจนในการบริหารอย่างมีประสิทธิผล การส่งเสริมความเสมอภาคในมิติหญิง-ชาย จึงเป็นส่วนสาคัญของกล ยทุ ธก์ ารพฒั นาที่มุง่ เน้นใหค้ นทุกคนท้ังผู้หญิงและผู้ชายหลุดพ้นจากความยากจนและสามารถยกระดับคุณภาพ ชีวิตของตนเองได้ ท้ังนี้รายงานของธนาคารโลกฉบับดังกล่าวได้นาเสนอกลยุทธ์ 3 ประการในส่งเสริมความ เสมอภาคระหว่างเพศ ไดแ้ ก่ 1) การปฏิรูปเชิงสถาบันด้วยการสร้างกฎระเบียบและองค์กร เพื่อสร้างสิทธิและโอกาสท่ีเท่าเทียมระหว่าง ผู้หญิงและผู้ชาย การปฏิรูประเบียบและองค์กรด้านกฎหมายและด้านเศรษฐกิจเป็นเร่ืองที่ต้องดาเนินการเพ่ือ วางพื้นฐานของสิทธิและโอกาสที่เท่าเทียมกันสาหรับผหู้ ญิงผู้ชาย เนื่องจากกฎหมายในหลายประเทศยังมิได้ให้ สทิ ธิที่เทา่ เทยี มกันระหวา่ งหญงิ และชาย การปฏิรปู กฎหมายจงึ เป็นสิ่งทตี่ ้องกระทาโดยเฉพาะอยา่ งยิ่งกฎหมาย ครอบครัว รวมทั้งการป้องกนั การใช้ความรุนแรง สทิ ธิการถือครองท่ีดิน การจา้ งงาน และสิทธทิ างการเมอื ง 2) การส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจท่ีเสริมแรงจูงใจให้มีการจัดสรรทรัพยากร โดยเสมอภาคและเน้นการมีส่วน ร่วม รายได้ท่ีสูงข้ึน และระดับความยากจนท่ีลดลงมีแนวโน้มท่ีจะช่วยลดความไม่เท่าเทียมระหว่างเพศในด้าน การศึกษา การสาธารณสุข และโภชนาการ ผลิตภาพท่ีสูงข้ึน และโอกาสการจ้างงานใหม่ๆ จะช่วยลดความไม่ เท่าเทียมกันระหว่างเพศในการจ้างงาน รวมท้ังการลงทุนโครงสร้างพ้ืนฐานด้านประปา การพลังงาน และ การจราจรขนส่ง จะชว่ ยลดความไม่เท่าเทยี มกันในมติ หิ ญิง-ชาย ในแงท่ ี่ผู้หญงิ ตอ้ งเปน็ ผู้แบกรบั ภาระทั้งหมด 3) ใช้มาตรการเชิงรุกและมาตรการพิเศษ เพ่ือแก้ไขปัญหาความไม่เท่าเทียมกันระหว่างเพศ ในการควบคุม ทรัพยากรและสิทธิทางการเมือง โดยเหตุท่ีการปฏิรูปกฎระเบียบองค์กรควบคู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจอาจไม่ เพียงพอสาหรบั การแก้ไขปัญหาหรือผลทไี่ ด้อาจต้องใช้ระยะเวลายาวนานจงึ จาเป็นต้องมีมาตรการเร่งด่วน เพื่อ แก้ปัญหาดังกล่าวในระยะส้นั และระยะกลาง โดยมองว่ากลยุทธ์ท้ัง 3 จะเป็นแนวทางและเคร่ืองมือท่ีสาคัญในการสร้างให้เกิดความเสมอภาค ระหว่างบทบาทหญิง-ชาย ขึ้นในสังคม และเชื่อม่ันว่าความเสมอภาคดังกล่าวคือหัวใจในการพัฒนาสังคมใน ระดบั ชุมชน ระดับประเทศ และระดับโลกไดใ้ นทกุ มิติของการพัฒนาไม่ว่าจะเปน็ การพัฒนาในมิติทางการเมือง วัฒนธรรม สังคม และเศรษฐกิจ นอกจากความเสมอภาคระหว่างบทบาทหญิง-ชายจะเป็นกุญแจสาคัญท่ี จาเป็นสาหรับการพัฒนาแล้ว ความเสมอภาคดังกล่าวยังมีความสัมพันธ์กับการสร้างสันติภาพในทุกระดับ กล่าวคือ การทีม่ นุษยห์ ญงิ -ชาย อยรู่ ่วมกนั โดยตระหนกั และสานึกรู้ว่าตนเองมีความเสมอภาคเท่าเทียมกบั ผอู้ ่ืน โดยเฉพาะในมิติของศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ ความตระหนักและสานึกรู้ดังกล่าวจะทาให้หญิง-ชาย และคนใน 22 แนวทางการสง่ เสรมิ บทบาทสตรีในการขบั เคล่ือนงานพัฒนาสังคมเพื่อปอ้ งกันและแก้ไขปญั หาความรุนแรงในครอบครวั
ทุกกลุ่มในสังคมยอมรับในความแตกต่างหลากหลายน้ัน และจะนามาซึ่งการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข สืบไป 2.4.2 แนวคิดวา่ ดว้ ยการสง่ เสริมการมสี ่วนร่วมของสตรีในการพัฒนา แนวคิดในการดึงผู้หญิงเข้ามาสู่การพัฒนา (Integrating Women in Development) ได้ถูก นามาใช้เป็นครง้ั แรกโดยองค์การสหประชาชาติ ในปี ค.ศ.1975 จากน้ันมาองค์กรระหว่างประเทศองค์กรต่างๆ ได้กาหนดให้ “ผู้หญิงกับการพัฒนา” (Women in Development) เป็นโปรแกรมหน่ึงของการพัฒนาเพ่ือ สร้างความม่ันใจว่าทรัพยากรมนุษย์ซ่ึงมีอยู่เป็นจานวนมากถึงครึ่งหนึ่งของประชากรโลกจะไม่ถูกละเลยในการ นาไปใช้ประโยชน์ (เนตรดาว, 2544) และเป็นแนวคิดท่ีเกิดขน้ึ เพื่อแก้ไขปัญหาทเ่ี กดิ กับผู้หญิง อนั ได้แก่ ปัญหา เรือ่ งการขาดโอกาสในสงั คม, ปัญหาความยากจน, และปัญหาด้านการไม่มีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาอย่าง เต็มท่ีแม้ว่าปัญหาอันเนื่องมาจากความไม่เท่าเทียมทางเพศระหว่างหญิง-ชาย ยังคงปรากฏอยู่อย่างชัดเจนใน ทุกสังคม โดยเฉพาะในเรื่องของการมีส่วนร่วมของผู้หญิง/สตรีในกระบวนการพัฒนาการมีส่วนร่วมของสตรีใน กระบวนการพัฒนามีนัยสะท้อนให้เหน็ ถงึ “อานาจ” ของผู้หญิงในการกาหนดชะตาชวี ิตของตนเองร่วมกับผอู้ ่ืน มิได้เป็นเพียงผู้ท่ีรอผลจากการตัดสินใจของผู้อื่นเท่าน้ัน ฉะน้ันประเด็นของการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสตรี ในการพัฒนาจึงเป็นอีกมิติหนึ่งของการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของสตรี ทั้งนี้กระบวนการและ บทบาทการเขา้ ไปมีสว่ นรว่ มของสตรนี ัน้ มีดว้ ยกัน 5 ข้นั ตอน คอื 1) การมีส่วนร่วมในการริเริ่มโครงการ ได้แก่ การตระหนักถึงปัญหา การวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา การ กาหนดและจดั ลาดับความสาคัญของปญั หา ตลอดจนร่วมในกระบวนการตดั สนิ ใจ 2) การมีส่วนร่วมในการวางแผนโครงการ เป็นข้ันตอนการกาหนดนโยบายและวัตถุประสงค์ของโครงการ ตลอดจนกาหนดวิธกี ารในการดาเนินโครงการ 3) การมีส่วนร่วมในการดาเนนิ โครงการ เป็นขั้นที่จะตอ้ งทาประโยชน์ให้กับโครงการ ซงึ่ อาจจะเป็นการออกทุน ทรพั ย์ วัสดุ แรงงาน หรอื การบริหาร และประสานงาน ตลอดจนการติดต่อกับภายนอกตามแผนงานที่วางไว้ 4) ข้ันรับผลของโครงการ เป็นข้ันท่ีได้รับผลประโยชน์หรือผลเสียที่อาจตามมา ซึ่งอาจจะเป็นผลทางวัตถุหรือ จิตใจทอ่ี าจจะกระทบไปส่บู คุ คลและสังคม 5) การมีส่วนร่วมในการประเมินและสรุปผลของโครงการเป็นข้ันพิจารณาคุณค่าของโครงการท่ีดาเนินมาว่า บรรลุวัตถุประสงค์ท่ีวางไว้หรือไม่ การประเมินในขั้นน้ีอาจกระทาระหว่างการดาเนินงานหรือภายหลังจาก โครงการเสร็จส้ินแล้วก็ได้ (อคิน รพีพัฒน์ 2527, Cohen and Uphoff,1977) รฐั บาลพยายามแกไ้ ขปัญหาการ ไมม่ ีส่วนรว่ มของผ้หู ญิงในการพัฒนา โดยการจดั ทาโครงการใหม่ๆ เพื่อกระตนุ้ ให้ผู้หญิงเขา้ มามสี ่วนรว่ มในการ พัฒนา แม้กระนั้นรัฐยังได้มองข้ามเง่ือนไขที่ทาให้หญิงชายตอบสนองต่อการพัฒนาแตกต่างกัน ทาให้มองไม่ เห็นถึงอุปสรรคท่ีแท้จริง ซึ่งทาให้ผู้หญิงไม่สามารถเข้าร่วมในการพัฒนาได้อย่างเท่าเทียมแต่อย่างไรก็ตาม มีผู้ ตงั้ ข้อสังเกตว่าแนวคิดการสง่ เสริม/นาผู้หญิงเข้าสู่พัฒนานั้น ต้ังอยู่บนฐานคิดท่ีว่า “ผู้หญิงมีปัญหา” เป้าหมาย ของการแก้ปัญหาจึงเน้นที่ผู้หญิง โดยเป็นกลุ่มที่แยกออกต่างหากจากกระบวนการพัฒนาด้วย ประเด็นผู้หญิง จงึ เป็นประเด็นท่ีถูกเสริมเพ่ิมเติมเข้าไป โดยเป็นเพียงส่วนรอบนอกของกระบวนการพัฒนากระแสหลัก การดึง ผู้หญิงเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนานั้นยังมุ่งเน้นในเร่ืองของการสร้างรายได้ และเน้นให้ผู้หญิงกลายเป็น แม่บ้าน (House wifization) และวางแผนครอบครัว พร้อมทัง้ มองวา่ การดึงผหู้ ญิงเข้าสู่การพฒั นาเป็นการเพิ่ม ภาระรับผิดชอบให้กบั ผู้หญิงมากขน้ึ เปน็ การเพ่ิมขดี ความสามารถในงานการผลิตให้แกผ่ ้หู ญงิ โดยมิไดเ้ ช่อื มโยง แนวทางการสง่ เสรมิ บทบาทสตรใี นการขบั เคลือ่ นงานพัฒนาสงั คมเพอ่ื ป้องกนั และแก้ไขปัญหาความรนุ แรงในครอบครัว 23
ไปถงึ ความรับผิดชอบของผูห้ ญิงในส่วนงานในบ้านดว้ ย ซง่ึ ในจุดนจ้ี ึงทาใหก้ ลายเป็นการเพมิ่ ภาระการทางานแก่ ผหู้ ญงิ ให้หนกั ขน้ึ ไปอกี 2.4.3 แนวคดิ ว่าด้วยการขจดั การเลอื กปฏิบัตติ อ่ สตรี การทาความเข้าใจแนวคิดว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีจะต้องทาความเข้าใจ เสียก่อนว่าการเลือกปฏิบัติต่อสตรคี ืออะไร การเลือกปฏิบัติต่อสตรคี ือการปฏิบัติไม่เหมือนกัน การแบ่งแยกกีด กัน หรือการจากัดใดๆ เพราะเหตุท่ีเป็นเพศหญิง การท่ีผู้ท่ีถูกเลือกปฏิบัติไม่ได้รับสิทธิท่ีพึงมีพึงได้เกิดความไม่ เท่าเทียม ไม่เสมอภาคกับบุรุษ เกิดความลาเอียงหรืออคติข้ึน ซ่ึงผลก็คือความไม่เป็นธรรมต่อผู้ถูกเลือกปฏิบัติ ซ่ึงกระทบต่อสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพ้ืนฐานในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม และสิทธิ ของประชาชน หรือทางแพ่งอ่ืนๆ ท่ีต้องเส่ือมเสียหรือสูญสิ้นไป (วิระดา สมสวัสดิ์,2535) การเลือกปฏิบัติต่อ สตรีอาจเกิดขึ้นจากรัฐเป็นผู้เลือกปฏิบัติเองโดยผ่านกลไกต่างๆ ของรัฐซึ่งอาจจะเป็นในรูปของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือเกิดจากการปฏิบัติของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการใช้หรือตีความบทบัญญัติต่างๆ ของ กฎหมายหรือระเบียบ ข้อบังคับต่างๆการเลือกปฏิบัติต่อสตรียังอาจเกิดจากปัจเจกชนหรือองค์กร กลุ่มคน ชุมชน ได้เช่นเดียวกัน และไม่จาเป็นว่าจะต้องเป็นผู้ชายเท่าน้ันที่เลือกปฏิบัติต่อสตรี เน่ืองจากสตรีก็อาจจะ เลือกปฏิบัติต่อสตรีด้วยกันเองก็ได้การเลือกปฏิบัติทางตรง มักจะเกิดข้ึนเม่ือกฎหมาย ข้อบังคับทางศาสนา และระเบียบตา่ งๆ ห้ามมิใหผ้ ู้หญิงเขา้ รว่ มกิจกรรมต่างๆ ไดเ้ ท่าเทียมผู้ชาย รูปแบบของการกีดกันทางตรงท่เี ห็น ได้ชัดเจน ได้แก่ การมีข้อกาหนดมิให้ผู้หญิงดารงตาแหน่งบางตาแหน่งการเลือกปฏิบัติทางอ้อม จะเกิดขึ้นเม่ือ ระเบียบทางสังคม บรรทัดฐาน และค่านิยมทางสังคม ห้ามมิให้ผู้หญิงเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ เช่น การไม่จ้าง ผู้หญิงเข้าทางานในตาแหน่งท่ีถูกมองว่าเป็น “งานของผู้ชาย” แม้ว่ากฎหมายจะบัญญัติว่าผู้หญิงและผู้ชายมี โอกาสเท่าเทียมกันในการจ้างงาน การเลือกปฏิบัติทางอ้อมท่ีเกิดขึ้นเช่นน้ีมักเรียกกันว่า “การกีดกันในทาง ปฏิบตั ิ” ซึ่งเป็นเร่ืองทแี่ กไ้ ขได้ยากอีกรูปแบบหนงึ่ ของการเลือกปฏิบัตทิ างอ้อมคือ การเลือกปฏิบัติโดยระบบซ่ึง เป็นในลักษณะที่กีดกันผู้หญิงท่ีเกิดข้ึนจากนโยบายและแนวทางการปฏิบัติที่ยึดถือและปฏิบัติกันอยู่ในสถาบัน ต่างๆ ในสังคม การขจัดการเลือกปฏิบัตติ ่อสตรีในทุกรูปแบบจะนาไปสกู่ ารท่ีผู้หญิงได้รับการปฏิบัติท่ีดีและเท่า เทียมกันกับผู้ชาย ผู้หญิงจะไม่ถูกกล่าวหาว่าฉลาดน้อยกว่าผู้ชาย และจะไม่ถูกมองว่าไร้เหตุผลไม่มี ความสามารถในการใช้ดุลพินิจที่ถูกต้อง ผู้หญิงจะไม่ถูกมองว่าใช้อารมณ์ ตลอดจนจะไม่ถูกมองในลักษณะท่ี เป็นส่ิงท่ีติดมากับเพศหญงิ อาทิเชน่ การถูกมองว่าเปน็ เพศที่อ่อนแอหรือเป็นเพศท่ีมีหน้าทีเ่ พียงผู้ดูแลบ้านและ ลกู อย่างไรก็ดีการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีมิได้หมายความวา่ ผู้หญิงจะกลายเพศเป็นผู้ชาย หากแต่หมายถึง ว่าผู้หญิงจะมีโอกาสในการพัฒนาศักยภาพได้อย่างเต็มที่ จะเป็นคนท่ีมีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกับผู้ชายใน ทุกๆ ด้านการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีน้ันมักถูกมองข้ามไปว่าในที่สุดแล้วน้ันการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อ สตรจี ะทาให้สงั คมโดยรวมไดร้ ับประโยชน์ ผชู้ ายก็ไดป้ ระโยชน์ เน่ืองจากวา่ สมาชิกในสงั คมไม่ว่าหญิงหรือชายก็ ล้วนแต่จะมีโอกาสเดินไปตามแนวทางทต่ี นปรารถนามากกวา่ ตามแนวทางท่ีถูกกาหนดจากเพศ 2.4.4 แนวคดิ ว่าด้วยความเสมอภาคหญิงชาย (Gender Equality) แนวคิดว่าด้วยความเสมอภาคระหว่างหญิงชาย หมายถึง ความเท่าเทียมกันในสิทธิหน้าท่ี ความรับผิดชอบและโอกาสของผู้หญิงและผู้ชายของเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย โดยที่ความเสมอภาคไม่ได้ หมายความว่า ผู้หญิงและผู้ชายจะต้องเหมือนกัน หากแต่หมายถึงว่าสิทธิหน้าท่ี ความรับผิดชอบต่างๆ และ 24 แนวทางการส่งเสรมิ บทบาทสตรใี นการขับเคลอื่ นงานพฒั นาสงั คมเพอ่ื ปอ้ งกนั และแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว
โอกาสต่างๆ ทางสังคมจะต้องไม่ถูกกาหนดหรือข้ึนอยู่กับว่าบุคคลน้ันเกิดเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายความเสมอภาค ยังหมายถึงการที่ผู้หญิงและผู้ชายมีสถานภาพที่เท่าเทียมกันในการใช้สิทธิของความเป็นมนุษย์อย่างเต็มท่ี ซึ่ง รวมถึงการมีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและวัฒนธรรม ตลอดจนได้รับประโยชน์จากผล ของการพัฒนานั้นด้วยความเสมอภาคระหว่างหญิงชายนอกจากจะเป็นประเด็นเร่ืองสิทธิมนุษยชนแล้วยังเป็น เง่ือนไขและตัวช้ีวัดการพัฒนาแบบย่ังยืนที่ยึดคนเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาอีกด้วยอย่างไรก็ดีเน่ืองจากการท่ี ผู้หญิงไม่ได้รับความเสมอภาคในสังคมเท่าเทียมกับผู้ชายมาเป็นเวลานานแล้ว ด้วยสถานภาพทางสังคมท่ี แตกต่างและไม่เท่ากัน จึงทาให้ในบางครั้งความเท่าเทียมหรือเสมอภาคในโอกาสของผู้หญิงอาจจะยังไม่เพียง พอท่จี ะแกป้ ญั หานี้ได้ 1) แนวคิดพน้ื ฐานในการสง่ เสรมิ ความเสมอภาคระหว่างหญงิ ชาย มดี งั นี้ (1) มิตคิ วามสัมพันธ์หญิงชาย เป็นทีเ่ หน็ ได้ชัดว่า ในทุกสังคมจะมีการกาหนดบทบาทและความสัมพนั ธ์ระหวา่ ง หญิงชายไว้แตกต่างกันไป สังคมจะมีหน้าท่ีขัดเกลาให้หญิงชายรู้จักและปฏิบัติหน้าท่ีที่แตกต่างกันตามที่สังคม คาดหวัง โดยบทบาทและความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชายนี้จะเปล่ียนแปลงได้ตามโครงสร้างทางสังคมซ่ึงได้แก่ เศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม ศาสนา ความเช่ือ ประเพณี การศึกษา ครอบครัว ซึ่งเปล่ียนแปลง ตลอดเวลา และยังสัมพันธก์ ับอายุ ชาตพิ นั ธ์ุ และชนชนั้ อยา่ งเลย่ี งไม่ได้ (2) เพศ เป็นการจาแนกผู้หญิงและผู้ชายตามสรีระ อวัยวะ ร่างกายท่ีมีมาต้ังแต่กาเนิด ซึ่งเป็นการจาแนกท่ี เหมอื นกนั ทวั่ โลก และเปน็ ส่ิงทีเ่ ปล่ียนแปลงได้ยาก (3) การส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ ช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของคนยากจนในสังคม ซ่ึงการส่งเสริม ความเสมอภาคยังครอบคลุมถึงการส่งเสริมให้ผู้หญิงและผู้ชายมีสิทธิแรงงานและสิทธิมนุษยชนที่เหมือนกัน , การให้คุณค่าและโอกาสทางสังคมท่ีเท่าเทียมกันต่อผู้หญิงและผู้ชายในด้านของความรับผิดชอบและด้าน ปรมิ าณงานและอานาจในการตดั สนิ ใจ (4) การส่งเสริมความเสมอภาค มิใช่เป็นเพียงสิทธิของบุคคลท่ีจะต้องได้รับแต่ยังเป็นแนวทางการพัฒนาท่ี สาคัญซึ่งจะต้องได้รับการดาเนินการอย่างต่อเน่ืองอีกด้วย โดยท่ีการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างหญิงและ ชายมหี ลักการ ดังตอ่ ไปน้ี - การบรรลุเป้าหมายในการส่งเสริมความเสมอภาคน้ันเป็นส่ิงที่ต้องรับผิดชอบร่วมกันของสมาชิกทั่วท้ังสังคม มใิ ช่เป็นเพยี งความรับผดิ ชอบของผู้หญิงหรอื ผ้ชู ายเท่านัน้ - ควรมีการกาหนดมาตรการพิเศษ โครงการหรือกิจกรรมพิเศษให้ครบวงจรเพ่ือแก้ปัญหาความไม่เสมอภาค ความรนุ แรง และปัญหาทีม่ ตี ่อสถานภาพของผู้หญิง ทันทที ่พี บว่ามีปัญหาเหลา่ น้เี กิดขน้ึ - การส่งเสรมิ ความเสมอภาคระหวา่ งหญงิ ชายนน้ั จะนาไปสปู่ ระโยชนแ์ ละความสุขแกส่ งั คมโดยรวม - ใช้หลักการในการส่งเสริมความเสมอภาคในการวางแผนทุกระดับตั้งแต่เริ่มต้นและในทุกข้ันตอนของการ วางแผนโครงการ/กจิ กรรม โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในระดบั สงู ตัง้ แต่การกาหนดนโยบาย แผนงาน และงบประมาณ - กิจกรรมต่างๆ ที่จัดข้นึ จะต้องมีการคานึงถึงความต้องการของผู้หญงิ ต้งั แต่ความต้องการพืน้ ฐานซ่ึงสัมพันธ์กับ ความต้องการในด้านปัจจัยสี่ซ่ึงจาเป็นต่อการดารงชีวิตประจาวัน รวมถึงความตอ้ งการในการทางานและความ ต้องการในเชิงโครงสร้างหน้าท่ี ซ่ึงสัมพันธ์กับสถานภาพและการเข้าถึงและควบคุมการใช้ทรัพยากร รวมถึง ผลประโยชน์ที่ไม่เสมอภาคระหว่างหญงิ ชาย แนวทางการสง่ เสรมิ บทบาทสตรใี นการขบั เคลอ่ื นงานพฒั นาสังคมเพื่อป้องกันและแก้ไขปญั หาความรนุ แรงในครอบครัว 25
- ควรคานึงถึงความแตกต่างทางสังคมในมิติอื่นๆ ท่ีมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชาย อาทิ อายุ ชาติพันธ์ุ ชนช้นั ฐานะ ศาสนา เพราะหากย่ิงมีการแบ่งแยกความแตกต่างหรือความไม่เสมอภาคกันในมติ ิต่างๆ ดังกล่าว ก็อาจจะนาไปสู่ความไม่เสมอภาคในความสัมพันธ์ระหว่างหญิงและชายได้ด้วย และหากไม่มีความ เสมอภาคของบทบาทความสัมพันธ์หญิงชายแล้วก็จะก่อให้เกิดความรุนแรงในความไม่เสมอภาคในมิติอ่ืนๆ เชน่ เดียวกนั - กิจกรรมและโครงการดาเนินงานตา่ งๆ ควรมีการเนน้ ใหเ้ กิดการสรา้ งพลังและเน้นการสรา้ งเครอื ข่ายทุกระดับ เพื่อเป็นการสนับสนุน รวมพลัง และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้อมูลข่าวสารกัน โดยเฉพาะในเรื่องของสิทธิต่างๆ เพราะปญั หาสาคัญเกีย่ วกับสิทธกิ ็คือ การละเมิดสิทธิและกดี กนั ไม่ให้สทิ ธิ ดงั นั้นการใหค้ วามรู้เรื่องสิทธิจึงไมไ่ ด้ เป็นทางออกของปัญหา ทางออกควรจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการขจัดการละเมิดและกีดกันท้ังในระดับ โครงสร้างสังคมและบุคคล ดังนั้นกลวิธีจึงต้องใช้ทั้งการทาให้เป็นปัญหาส่วนรวมไม่ใช่เรื่องส่วนตัว นอกจากน้ี การนาเสนอปัญหาต่อสาธารณะและการใช้กระบวนการทางกฎหมายหรือศาล ข้อมูลและความต่อเนื่องใน กระบวนการดาเนินการ การรวมพลังและการสรา้ งเครอื ขา่ ยจึงเป็นหัวใจยทุ ธศาสตรใ์ นการสร้างความเสมอภาค ระหว่างหญิงชายด้วย 2.5 บทบาทสตรีในกจิ กรรมทางสงั คม บทบาทของสตรีทางด้านสังคมก็คือ หน้าที่หรือพฤติกรรมของสตรีที่ถูกคาดหวังควรจะมี บทบาทการกระทาในเรื่องต่างๆทเ่ี ก่ียวข้องกับการพัฒนาสังคม ซ่งึ มีประเด็นหลักๆ คือ (สุทธพิ งศ์ พรหมไพจติ ร ,2541:39) 1. บทบาทสตรใี นการพัฒนาด้านการศึกษา การลงทนุ ทางดา้ นการศกึ ษาส่วนหน่ึงเป็นการตัดสินใจของ ผเู้ ป็นแมห่ รือสตรี ความคาดหวังของแม่ต่ออนาคตของบุตรจึงมีความสาคญั อย่างมากต่อการตัดสนิ ใจว่าบุตรคน ใดจะได้รับการศึกษาถึงระดับใด แม่จึงเป็นบุคคลสาคัญที่สุดในแง่การให้การศึกษาและการอบรมเล้ียงดูให้ลูกมี ความเจริญทางด้านร่างกายและจิตใจ การอบรมระเบียบวินัยต่างๆ ต้ังแต่เล็กจนเติบใหญ่เป็นต้นมา รวมทั้ง การตัดสินใจต่างๆ เคียงคู่กับพ่อเพ่ืออนาคตท่ีดีของลูก ดังนั้นจึงนับได้ว่าสตรีในฐานะท่ีเป็นแม่จึงมีบทบาทต่อ การให้การศกึ ษาและการถ่ายทอดความรูต้ า่ งๆให้แก่บตุ รมากท่ีสุด อกี ทั้งในปจั จุบันจะเห็นได้วา่ สตรียังเป็นผู้นา ทางการศึกษาเป็นจานวนมาก เช่น เป็นครู เป็นอาจารย์ เป็นผู้บริหารสถานศึกษา รวมท้ังการมีโอกาสเป็นผู้ กาหนดนโยบายทางการศึกษาของประเทศในฐานะรัฐมนตรีท่ีเกี่ยวข้องกับการศึกษา ซึ่งนับว่าสตรีเหล่าน้ันได้มี บทบาทในการคดิ ตดั สนิ ใจ การทากจิ กรรมตา่ งๆทเี่ กีย่ วขอ้ งกบั การพัฒนาการศึกษามากยง่ิ ขน้ึ 2. บทบาทของสตรีในการพัฒนาด้านสุขภาพอนามัย องค์การอนามัยโลกได้ให้ความสาคัญแก่สตรีว่า เป็นผู้ให้อันดับแรกในด้านสุขภาพอนามัยข้ันมูลฐาน ในประเทศกาลังพัฒนาปรากฏว่า 3 ใน 4 ของสุขภาพ อนามัยข้ันมูลฐานเกิดจากในครอบครัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสตรีเป็นผู้จัดหาน้า ทาอาหาร แล ะดูแล รักษาพยาบาลลูกๆ นอกจากนี้ในครอบครัวขนาดใหญ่ สตรียังต้องคอยดูแลคนพิการ คนชรา และคนป่วยใน ครัวเรอื นด้วย โดยทว่ั ไปผูเ้ ปน็ แมค่ อื ผ้พู าลูกๆไปสถานีอนามัยเพื่อรักษาโรคและซื้อยา สตรียังทาหน้าที่สอนเร่ือง อนามัยและความสะอาดแกส่ มาชิกในครัวเรือน รวมท้ังการแนะนาเทคโนโลยีใหม่ๆเก่ยี วกบั สุขภาพอนามัยและ ชมุ ชนท่ีอาศัย และเชน่ กันสตรีคอื ผู้ต้องรองรับภาระอันหนักหน่วงในด้านการวางแผนครอบครวั ด้วย (สานกั งาน คณะกรรมการสง่ เสริมและประสานงานสตรแี หง่ ชาติ,2536:17) 26 แนวทางการสง่ เสริมบทบาทสตรใี นการขับเคลือ่ นงานพฒั นาสังคมเพ่ือป้องกนั และแกไ้ ขปัญหาความรนุ แรงในครอบครวั
บทบาทของสตรีในการพัฒนาด้านสุขภาพอนามัยจึงเป็นเร่ืองที่มีความสาคัญ ดังเช่นโครงการส่งเสริม แม่ตัวอย่างเป็นโครงการหนึ่งท่ีส่งเสริมบทบาทของสตรีให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นแม่ท่ีดีต่อลูก กล่าวคือ สนับสนุนให้ สตรีสนใจด้านสุขภาพอนามัยของตัวเองและของลูก เช่น กาหนดคุณสมบัติให้แม่เลี้ยงดูลูกด้วยนมตนเองอย่าง น้อย 12 เดอื น และรู้จักให้อาหารทเี่ หมาะสมตามวัยแกล่ กู เล้ียงลกู ให้แข็งแรง ไมเ่ ปน็ โรคที่ขาดสารอาหาร นา ลูกทุกคนไปรับวัคซีนป้องกันโรคตามที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขกาหนด ฯลฯ หากแม่คนใดผ่านเกณฑ์ของ คณุ สมบตั ทิ ก่ี าหนดกจ็ ะได้รับการคัดเลือกเป็นแม่ตวั อยา่ ง 3. บทบาทสตรีในการพัฒนาชุมชน เน่ืองจากมีการขยายตัวด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่าง รวดเร็วของประเทศในทศวรรษที่ผ่านมา ก่อให้เกิดการพัฒนาชุมชนและการเคล่ือนย้ายแรงงานจากภาค เกษตรกรรมไปสู่ภาคพาณิชยกรรมและการบริการ สตรีจึงมีบทบาทต่อการพัฒนาชุมชนมากขึ้น เชน่ มบี ทบาท ในการแสดงความคิดเห็นและการตัดสินใจในการวางแผนพัฒนาหมู่บ้าน บทบาททางด้านการศึกษา บทบาท ทางดา้ นส่ิงแวดลอ้ ม กิจกรรมต่างๆที่ผหู้ ญิงได้เขา้ ร่วมในการพฒั นาชุมชน เช่น การจดั ตั้งกลุ่มสตรี กลุม่ แม่บา้ นไดด้ าเนินไป อย่างกว้างขวาง แต่ในสังคมของมุสลิมมักจะพบว่า การมีส่วนร่วมของสตรีในกระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจและ สงั คมจะมีข้อจากัดอยู่มาก ซึ่งในด้านพื้นฐานการศึกษา สังคมการเมือง และค่านิยมในการยอมรับความคิดเห็น ของผู้ชายมากกว่าผู้หญิง และจะส่งผลให้เป็นอุปสรรคอย่างย่ิงต่อการพัฒนาชุมชน แต่พบว่าศาสนาไม่ใช่ ขอ้ จากดั (ศิรริ ัตน์ ธานรี ณานนท์,2538) 4. บทบาทของสตรีในการพัฒนากิจกรรมทางสงั คมอื่น ๆ คาว่ากิจกรรมทางสังคมอ่ืนๆ (other social activities) ได้แก่ กิจกรรมทางเศรษฐกิจ กิจกรรมการประกันภัย กิจกรรมด้านส่ิงแวดล้อม ฯลฯ ซ่ึงมีผล เก่ียวข้องกับสตรีที่เข้าไปมีส่วนร่วมเพ่ือก่อให้เกิดการพัฒนาในสังคมของตนเอง ส่วนใหญ่จะเห็นได้ชัดเจน เกี่ยวกบั บทบาทของสตรใี นกจิ กรรมทางเศรษฐกจิ ทั้งนีเ้ พราะผู้หญิงมีสว่ นในการหารายไดท้ ่ีไดจ้ ากการผลิตเพ่ือ บริโภคเองภายในครอบครัว (subsistence income) มาก โดยเฉพาะในทวีปเอเชียมีการผลิตเพ่ือส่งออกมาก ขึ้น จึงมีการใช้แรงงานสตรีมากขึ้น ซึ่งคาดว่ามีแรงงานสตรีประมาณร้อยละ 80 หรือมากกว่าในโรงงาน อุตสาหกรรม (ดารณี ถวลิ พันธก์ุ ุล,2539:89) แสดงใหเ้ ห็นวา่ บทบาทของสตรีในดา้ นนมี้ มี ากข้ึน นอกจากนั้นยังสามารถแยกพิจารณาบทบาทของสตรีด้านสังคมเป็น 2 ประเด็นใหญ่ๆ คือบทบาทของ สตรีในกิจกรรมการพัฒนาและในกิจกรรมด้านศาสนา อาภรณ์พันธ์ จันทร์สว่าง (2523) กิจกรรมการพัฒนาใน ที่น้ี หมายถึง กิจกรรมหรืองานใดๆก็ตามท่ีเกิดข้ึนเพ่ือการเปลี่ยนแปลงไปในทางท่ีดีตามสายตาของสังคม ขณะนัน้ กิจกรรมหรอื งานดังกล่าวอาจทาเป็นรายบุคคล ครอบครัว กลมุ่ และชุมชน โดยแม่บ้านจะเป็นผ้มู ีสว่ น ร่วมอย่างสาคัญในกิจกรรมหรือโครงการพัฒนาหมู่บ้านต่างๆ ได้แก่ การตัดถนน การจัดหมู่บ้านสะอาดและ อ่ืนๆ แม่บ้านจะเข้าไปร่วมในรูปแบบต่างๆกันตามความถนัดและความพอใจของตน อาจจะเป็นการออกความ คิดเห็น ออกเงิน ออกแรง ออกวัสดุอุปกรณ์ หรือให้ความยินยอมในการเข้าร่วมกิจกรรมใดๆ ของสมาชิกใน ครอบครัวร่วมท้ังพ่อบ้านเกษตร ประกอบกับแม่บ้านเป็นผู้ถือเงินของครอบครัว ฉะน้ันแม่บ้านจึงนับว่ามี อิทธิพลต่อโครงการพัฒนาต่างๆเป็นอย่างมาก และเป็นท่ีน่าสังเกตว่าแม่บ้านจะเป็นผู้ร่วมปฏิบัติอย่างแข็งขัน มากกว่าเป็นผู้นาเมื่อมีการกระทาหรอื ปฏิบัติการ โดยเฉพาะการร่วมแรงจะมีแนวโน้มสูงข้นึ และจานวนผู้หญิง ทเี่ ขา้ ร่วมโครงการจะมีมากกว่าผู้ชาย ไดแ้ ก่ ร่วมในโครงการพัฒนาตา่ งๆ รว่ มเลือกตั้ง ตลอดจนใช้บริการความ แนวทางการส่งเสรมิ บทบาทสตรีในการขบั เคลือ่ นงานพัฒนาสงั คมเพอ่ื ป้องกันและแก้ไขปัญหาความรนุ แรงในครอบครัว 27
ชว่ ยเหลือ คาแนะนาเกือบทุกประเภทของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ฉะนนั้ จงึ ควรเปิดโอกาสใหแ้ มบ่ ้านได้รบั การพัฒนา ศักยภาพ ความรู้ ความสามารถ ความเปน็ ผ้นู าในการพฒั นามากขนึ้ ส่วนบทบาทในกิจกรรมทางศาสนา ได้แก่ การทาบุญตักบาตร การริเริ่มหรือการมีส่วนร่วมในการ ทอดกฐิน ผ้าป่า บริจาคเงินและสิ่งของเพื่อบารุงรักษาวัด การริเร่มิ หรือมีส่วนรว่ มในการบวชลกู หลานหรือคน ในความปกครอง แนะนาสงั่ สอนธรรมะและการปฏิบตั ิตามหลกั พุทธศาสนาแก่ลูกหลานและคนอื่นๆ มีส่วนร่วม ในกิจกรรมพฒั นาวดั ได้แก่ การทาความสะอาดบริเวณวัด ขนทรายเขา้ วดั ดายหญา้ ฯลฯ เปน็ ต้น 2.6 แนวคิดการมีส่วนร่วม แนวคิดเร่ืองการมีส่วนร่วมของสมาชิกในชุมชนในการดาเนินกิจกรรมต่าง ๆ ภายในชุมชน อาจไม่ใช่ปรากฏการณ์ใหม่ในสังคมไทย โดยเฉพาะในบริบทของสังคม วัฒนธรรมและวิถีชีวิตแบบด้ังเดิมใน ชุมชนนับต้ังแต่ทศวรรษที่ 1970 เป็นต้นมา โครงการพัฒนาจานวนหนึ่งได้ริเริ่มนาแนวคิด “การมีส่วนร่วม” กาหนดเป็นแนวทางหลักในการพัฒนาเป็นกลยุทธ์หลักในการสนับสนุนให้กระบวนการพัฒนาชุมชน ดาเนินการไปอยา่ งมีประสิทธิภาพ หากพิจารณาเก่ียวกับมุมมองของบุคคลต่าง ๆ ที่สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของประชาชนในด้านการมี ส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน เรามักพบว่า แนวคิดเก่ียวกับการมีส่วนร่วมเป็นแนวคิดที่มีขอบเขตกว้างขวาง และสะท้อนใหเ้ หน็ ความเชื่อของบคุ คลท่ีหลากหลายกันไป ดังตัวอยา่ งต่อไปน้ี 1. มุมมองของ Arnstein Arnstein (1969: 6) เป็นบุคคลหน่ึงที่ได้ให้ความสาคัญกับการจัดระดับการมีส่วนร่วมของ บุคคลต่าง ๆ ในชุมชน เขาได้ชี้ให้เห็นสถานภาพของพลเมืองในการเข้ามามีส่วนร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ใน ชุมชน Arnstein อธิบายมุมมองของเขาที่มีต่อการมีส่วนร่วมของพลเมือง โดยพิจารณาเก่ียวกับฐานของ ความสัมพันธ์เชิงอานาจระหว่างประชาชนและหน่วยงานในพื้นท่ี ควบคู่ไปกับการพิจารณาโอกาสของ ประชาชนในการนาเสนอข้อมูลข่าวสารและการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายต่าง ๆ ระดับการ แลกเปล่ียนข้อมูลร่วมกันและการอิงข้อมูล โดยอิงข้อมลู เก่ียวกับสดั ส่วนของ “อานาจ” ซึ่งประชาชนพึงได้รับ ในการดาเนินการพัฒนาด้านต่าง ๆ จากแนวคิดดังกล่าว นาไปสู่การที่ Arnstein ระบุว่า การมีส่วนร่วมของ ประชาชนในการพัฒนาประกอบดว้ ย 8 ระดบั ดงั ตอ่ ไปน้ี ข้ันที่ 1 การจัดการแบบเบ็ดเสร็จโดยตรง (Direct Manipulation) หน่วยงานมักทาหน้าที่ จัดการกับเร่ืองราวต่าง ๆ แบบเบ็ดเสร็จและโดยตรง โดยไม่จาเป็นต้องให้ประชาชนรับรู้เร่ืองราวเก่ียวกับ รายละเอยี ดตา่ ง ๆ ท่ีเกย่ี วขอ้ ง ขั้นที่ 2 การบาบัดรักษา (Therapy) หน่วยงานมักทาหน้าท่ีเชิญชวนประชาชนให้เข้าร่วมรับ ฟัง ร่วมรับทราบข้อมูลข่าวสาร และร่วมตัดสินใจต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม หน่วยงานมิได้ให้ความสาคัญกับการ ตอบข้อซักถาม หรอื การรับฟงั ความคิดเห็นตา่ ง ๆ จากประชาชนอยา่ งจริงจงั ขั้นท่ี 3 การร่วมให้ข้อมูลข่าวสาร (Informing) หน่วยงานอาจเชิญชวนตัวแทนประชาชนท่ี เก่ียวข้องมาร่วมให้ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ โดยหน่วยงานได้ให้ความสาคัญกับความรู้สึกหรือทัศนะต่าง ๆ ของ 28 แนวทางการส่งเสริมบทบาทสตรีในการขับเคล่อื นงานพัฒนาสงั คมเพอื่ ปอ้ งกันและแกไ้ ขปญั หาความรุนแรงในครอบครัว
ประชาชนอย่างแท้จริง หลังจากท่ีประชาชนได้ทาหน้าที่ให้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ แก่หน่วยงานแล้ว โดย หน่วยงานต่าง ๆ มักพิจารณาเลือกสรรข้อมูลข่าวสารท่ีเป็นประโยชน์ไปใช้ประกอบการตัดสินใจดาเนินการ ตามโครงการต่าง ๆ ทีต่ นรบั ผดิ ชอบต่อไป ข้ันท่ี 4 การร่วมให้คาปรึกษา (Consultation) ประชาชนมักทาหน้าที่ให้ข้อมูลและนาเสนอ ข้อคิดเห็นต่างๆ ตามความต้องการของหน่วยงาน อย่างไรก็ตาม อานาจในการตัดสินใจยังอยู่ในมือของ หน่วยงานราชการ ขนั้ ท่ี 5 การร่วมแลกเปลยี่ นข้อคดิ เห็น (Placation) ประชาชนเริ่มมโี อกาสในการจุดประเดน็ เกยี่ วกับเร่ืองราวต่าง ๆ ทต่ี นเห็นวา่ สาคญั ตลอดจนก้าวเข้ามามบี ทบาทในการใหข้ ้อคิดเหน็ และนาเสนอ ข้อมูลตา่ ง ๆ จากมุมมองและจดุ ยนื ของตน อย่างไรก็ตาม หน่วยงานยังคงสงวนสทิ ธิใ์ นการตดั สินใจตา่ ง ๆ ไว้ เป็นภารกจิ ขององคก์ าร ขั้นที่ 6 การร่วมเปน็ พันธมิตร (Partnership) ประชาชนเร่มิ ทางานใกลช้ ดิ กบั หนว่ ยงาน และ เริ่มมอี านาจในการเสนอข้อคิดเหน็ หรอื ข้อโตแ้ ย้งตา่ ง ๆ ตลอดจนทาหน้าท่กี ระตนุ้ ใหห้ นว่ ยงานตัดสนิ ใจบน พื้นฐานของการพิจารณาขอ้ มูลทีห่ ลากหลาย ข้ันที่ 7 การส่งตวั แทนเข้ารว่ มใช้สทิ ธิในการตัดสินใจ (Delegated Power) ประชาชนส่วน หนึ่งได้รบั การคดั เลอื กให้เข้าไปทาหนา้ ท่ีเป็นตวั แทนเพื่อออกความคิดเห็น นาเสนอข้อโต้แยง้ และมีสิทธโิ ดย ชอบธรรมในการร่วมตดั สนิ ใจเชิงนโยบายต่าง ๆ ข้นั ที่ 8 การควบคมุ การตดั สินใจโดยพลเมือง (Citizen Control) อานาจในการตัดสนิ ใจ ทง้ั หมดอยู่ในมือของประชาชน โดยหน่วยงานต่าง ๆ มักทาหนา้ ทดี่ ้านการสนบั สนุนข้อมูลข่าวสาร ประกอบการตัดสินใจของประชาชน 2. มมุ มองของ White White (1994 อ้างถึงใน ปาริชาติ สถาปิตานนท์ และคณะ, 2549: 21) กล่าวว่า การมีส่วน ร่วมของประชาชนในการพัฒนาสามารถแยกแยะได้เป็น 2 ลักษณะ คือ การมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง (Genuine Participation) และการมีส่วนร่วมแบบเทียม (Pseudo Participation) White ได้นาแนวคิดของ Arnstein ซึ่งสะท้อนเก่ียวกับการมีส่วนร่วมของประชาชนมาจัดกลุ่มใหม่โดยเขาย้าให้เห็นว่า การมีส่วนร่วม อย่างแท้จริง (Genuine Participation) เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับส่ิงท่ี Arnstein เรียกว่า การร่วม แลกเปล่ียนข้อคิดเหน็ การร่วมเป็นพันธมติ ร การส่งตัวแทนเข้าไปรว่ มใช้สิทธิในการตัดสินใจ และการควบคุม การตดั สนิ ใจโดยพลเมือง อย่างไรก็ตาม White กล่าวว่า ไม่ใช่การมีส่วนร่วมท้ังหมดเป็นการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง แต่ยังมีกิจกรรมใน เชิงความร่วมมือของประชาชนกับองค์กรต่าง ๆ ที่มีลักษณะเป็น “การมีส่วนร่วมแบบเทียม” (Pseudo Participation) ในสายตาของ White นั้น เขามองว่า การมีส่วนร่วมแบบเทียมเป็นเร่ืองท่ีเกี่ยวข้องกับสิ่งท่ี Arnstein เรียกว่า การจัดการแบบเบ็ดเสร็จโดยตรง การบาบัดรักษา การร่วมให้ข้อมูลข่าวสาร และการร่วม ให้คาปรกึ ษา 3. มุมมองของ Cohen Cohen (1996 อ้างถึงใน ปาริชาติ สถาปิตานนท์ และคณะ, 2549: 21-22) กล่าวว่า การมี ส่วนร่วมในงานพัฒนาสามารถอธิบายได้ใน 4 ลักษณะ คือ 1) การมีส่วนร่วมในเชิงการกระทา เกี่ยวข้องกับ แนวทางการสง่ เสรมิ บทบาทสตรใี นการขับเคลื่อนงานพฒั นาสงั คมเพ่ือปอ้ งกนั และแกไ้ ขปญั หาความรนุ แรงในครอบครัว 29
การที่บุคคลฝ่ายต่าง ๆ ในชุมชนได้อุทิศแรงกายในการดาเนินกิจกรรมเพื่อให้งานบรรลุเป้าหมาย 2) การมี ส่วนร่วมในเชิงเงินตรา กล่าวคือ การมีส่วนร่วม หมายถึง การท่ีชุมชนได้อุทิศเงินในการทากิจกรรมต่าง ๆ 3) การมีส่วนร่วมในเชิงรับผิดชอบ เกี่ยวข้องกับการ “การกระจายภารกิจและความรับผิดชอบ” โดยผู้ ประสานงานหลักมักดาเนินการแบ่งสรรภารกิจ/หน้าที่ให้คนกลุ่มต่าง ๆ ท่ีมีความสาคัญในพื้นท่ี อาทิ การ พัฒนาความร่วมมือกับผู้นาท้องถ่ินในการขอคาสนับสนุนเก่ียวกับโครงการ การต้ังคณะกรรมการในการ ส่งเสริมการดาเนินงานของโครงการ การจัดการและติดตามการดาเนินงานของโครงการ ตลอดจนการ ถ่ายทอดเทคโนโลยีต่าง ๆ ผ่านการฝึกอบรม และการใช้เครื่องมือสนับสนุนต่าง ๆ และ 4) การมีส่วนร่วมใน เชิงการตัดสินใจ เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงอานาจในการตัดสินใจ ซึ่งหมายถึง การสร้างความภาคภูมิใจ ให้กับสมาชิกในชุมชน ผ่านการออกแบบกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้สมาชิกในชุมชนได้มีส่วนร่วมในการวางแผน และการตดั สินใจต่าง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกับโครงการ 4. มมุ มองของ Singhal Singhal (2001 อ้างถึงใน ปาริชาติ สถาปติ านนท์ และคณะ, 2549: 22-23) ได้พฒั นาแนวคิด เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมโดยอิงกรอบแนวคิดจากมุมมองของ De Negri และคณะ ซึ่งให้ความสาคัญกับระดับ การมีสว่ นรว่ มของประชาชนในทอ้ งถน่ิ และกิจกรรมทเ่ี ก่ียวของกบั ประชาชนในท้องถน่ิ เป็นเกณฑ์ Singhal ได้ใช้ตัวอักษรย่อ C ในการอธิบายเกี่ยวกับ “การมีส่วนร่วม” ของประชาชนโดย เรียกว่า หลกั การ “6 Cs” ซงึ่ ประกอบด้วย 1) การร่วมมือ (Co-Operation) หรอื การทางานบนความรว่ มมือ ของคนในท้องถิ่น (Working on Local People) หลักการดังกล่าวเกี่ยวกับการคัดเลือกตัวแทน ซ่ึงบุคคล ดังกล่าวมักไม่ใช่บุคคลที่สามารถให้ข้อมูลท่ีสาคัญได้เป็นอย่างดี หรือเป็นบุคคลที่มีอานาจในชุมชน 2) การ ยินยอม (Compliance) หรือ การทางานเพื่อคนในท้องถ่ิน (Working for the Local People) หลักการ ดงั กล่าวเก่ยี วขอ้ งกบั การมอบหมายภารกิจ/หน้าที่ พร้อม ๆ กับการเสนอส่ิงกระต้นุ เรา้ ใจตา่ ง ๆ อย่างไรก็ตาม บุคคลภายนอกทาหน้าทเ่ี ป็นหลกั เป็นผู้กาหนดวาระสาคัญและทิศ-ทางการดาเนินกระบวนการตา่ ง ๆ 3) การ ให้คาปรึกษา (Consultation) หรือ การทางานเพื่อคนในท้องถิ่นและกับบุคคลในท้องถิ่น (Working for the Local People and with Local People) หลักการดังกล่าวเกย่ี วข้องกับการสอบถามความคิดเห็นตา่ ง ๆ ของสมาชิกในชุมชนท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม บุคคลภายนอกยังคงทาหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลและมีอานาจในการ ตัดสินใจกระทากิจกรรมต่าง ๆ 4) การให้ความร่วมมือ (Cooperation) หรือ การทางานกับคนในท้องถ่ิน (Working with the Local People) แนวทางดงั กลา่ วเก่ียวขอ้ งกับการท่สี มาชกิ ในชุมชนและบุคคลภายนอก ทางานร่วมกันเพื่อแสวงหาแนวทางท่ีเหมาะสม โดยในกรณีน้ีบุคคลภายนอกมีบทบาทหน้าท่ีเฉพาะด้านการ สนับสนุนข้อมูลเก่ียวกับทิศทางต่าง ๆ ในการดาเนินการ ในขณะที่บุคคลในท้องถิ่นเป็นผู้ตัดสินใจดาเนินงาน 5) การเรียนรรู้ ่วมกัน (Co-Learning) หรือการทางานของบุคคลในท้องถน่ิ และโดยบคุ คลในท้องถ่นิ (Working with Local People and by the Local People) แนวทางดังกล่าวเกี่ยวข้องกบั การท่ีสมาชกิ ในชุมชนและ บุคคลภายนอกแลกเปล่ียนความรู้เพ่ือสร้างความเข้าใจต่าง ๆ ร่วมกันและทางานร่วมกันเป็นทีม เพ่ือช่วยกัน กาหนดแผนการดาเนินกิจกรรมโดยบุคคลภายนอกทาหน้าที่สนับสนุนให้เกิดการขับเคล่ือนกิจกรรมต่าง ๆ ของสมาชิกในชุมชน และ 6) การลงมือกระทาร่วมกัน (Collective Action) หรือ การทางานโดยบุคคลใน ท้องถ่ิน (By the Local People) เก่ียวข้องกับการที่สมาชิกท้องถิ่นเป็นผู้กาหนดวาระของตนและขับเคล่ือน 30 แนวทางการส่งเสริมบทบาทสตรีในการขบั เคล่อื นงานพฒั นาสังคมเพ่ือปอ้ งกันและแกไ้ ขปญั หาความรนุ แรงในครอบครัว
วาระดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติ โดยปราศจากความคิดริเริ่มจากบุคคลภายนอก หรือการสนับสนุนกระบวนการ โดยบคุ คลภายนอก กล่าวโดยสรุป การมีส่วนร่วมคือการท่ีฝ่ายหน่ึงฝ่ายใดที่ไม่เคยได้เข้าร่วมในกิจกรรมต่างๆหรือเข้าร่วม ตัดสินใจหรือเคยเข้าร่วมด้วยเล็กน้อยได้เข้าร่วมมากขึ้นเป็นไปอย่างมีอิสรภาพเสมอภาคมิใช่มีส่วนร่วมอย่าง ผิวเผิน แต่เข้าร่วมอย่างแท้จริงยิ่งขึ้นและการเข้าร่วมนั้น ต้องเริ่มต้ังแต่ข้ันแรกจนถึงข้ันสุดท้ายของโครงการ หรือกจิ กรรม คาวา่ “การมีส่วนร่วม” หมายถึงการมีส่วนรว่ มของประชาชนในลักษณะทเี่ ปน็ กระบวนการของ นักพัฒนา ต้ังแต่ต้นจนส้ินสุดกระบวนการ ได้แก่ การวิจัย (ศึกษาชุมชน) การวางแผน การตัดสินใจ การ ดาเนินงาน การบรหิ าร การติดตามประเมินผล ตลอดจนการจัดการผลประโยชนท์ ่ีเกดิ ขน้ึ ในกระบวนการพัฒนาแบบมีส่วนร่วม จะต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการ ตัดสินใจกาหนดความต้องการของตนเอง ตัดสินใจใช้ทรัพยากรท่ีมีอยู่ กระบวนการมีส่วนร่วมประชาชน จะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนของการปฏิบัติงาน โดยมีนักพัฒนา หรอื นักวิชาการจากภายนอกเป็นผู้ ส่งเสริมและสนับสนุนในด้านต่าง ๆ เช่น ข้อมูลข่าวสาร เทคโนโลยี ฯลฯ จากการทบทวนวรรณกรรมที่ เกี่ยวข้องกับกระบวนการมีส่วนร่วม พบว่า โดยส่วนใหญ่กระบวนการมีส่วนร่วมจะเริ่มจากการค้นหาปัญหา และสาเหตุ การวางแผนดาเนินการแก้ไขปัญหา การปฏิบัติงาน การร่วมรบั ผลประโยชน์ และการติดตาม ประเมินผล กระบวนการมีส่วนร่วมของชาวบา้ นในการพัฒนา มอี ยู่ 5 ระดบั คือ 1) ชาวบ้านมีสว่ นร่วมในการ ค้นหาปัญหา การพิจารณาปัญหา และจัดลาดับความสาคัญของปัญหา 2) ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการค้นหา สาเหตุแห่งปัญหา 3) ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการค้นหา และพิจารณาแนวทางวิธีการในการแก้ไขปัญหา 4) ชาวบ้านมสี ่วนร่วมในการดาเนินกิจกรรมเพื่อการแกป้ ัญหา และ 5) ชาวบ้านมสี ่วนร่วมในการประเมินผลของ กจิ กรรมการพฒั นา ในกระบวนการมีส่วนรว่ มของประชาชนในการพัฒนา ต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม ในการตัดสินใจท่ีจะกาหนดปัญหา และความต้องการด้วยตนเอง โดยเฉพาะในขั้นตอนของการวางแผนแก้ไข ปัญหาดังท่ี (Cohen and Uphoff, 1977: 213-218) ได้แบ่งการมีส่วนร่วมออกเป็น 4 แบบ คือ 1) การมี ส่วนร่วมตัดสินใจ (Decision Making) ประกอบด้วยการริเร่ิมตัดสินใจดาเนินการตัดสินใจ และตัดสินใจ ปฏิบัติการ 2) การมีส่วนร่วมปฏิบัติการ (Implementation) ประกอบด้วยการสนับสนุนทรัพยากร การ บริหาร การประสานความร่วมมือ 3) การมีส่วนร่วมในผลประโยชน์ (Benefits) ประกอบด้วยผลประโยชน์ ดา้ นวสั ดุ ด้านสงั คม และสว่ นบคุ คล และ 4) การมีสว่ นร่วมในการประเมนิ ผล (Evaluation) รูปแบบของการมสี ่วนรว่ ม (Type of Participation) มีผ้เู สนอรูปแบบของการมสี ว่ นรว่ มออกเปน็ รปู แบบตา่ ง ๆ หลายลักษณะ ดังน้ี Uphoff (1977 อ้างถึงใน วิโรจน์ รอดวงษ์, 2544: 49) ไดส้ ร้างกรอบพ้ืนฐานเพ่ืออธิบายและวิเคราะห์ การมีส่วนร่วมในแง่ของรูปแบบของการมีส่วนร่วมได้ 4 รูปแบบ คือ 1) การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ (Decision–Making) โดยอาจเป็นการตัดสินใจต้งั แตใ่ นระยะเริ่มตน้ การตัดสนิ ใจในช่วงของกิจกรรม และการ ตดั สินใจในการดาเนนิ กิจกรรม 2) การมสี ว่ นรว่ มในการดาเนินกิจกรรม ที่เป็นไปทัง้ ในรูปแบบของการเข้าร่วม โดยมีการสนับสนุนทางดา้ นทรัพยากร หรือการมีส่วนรว่ มในการบริหารและการเข้าร่วมในการร่วมแรงร่วมใจ เพื่อทากิจกรรมใดกิจกรรมหน่ึง 3) การมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ ซึ่งอาจเป็นผลประโยชน์ทางวัตถุ ทางสังคมหรือโดยส่วนตัวอย่างใดอย่างหน่ึงหรือหลายอย่างควบคู่กันไป และ 4) การมีส่วนร่วมในการ แนวทางการส่งเสริมบทบาทสตรีในการขบั เคลอ่ื นงานพฒั นาสงั คมเพอื่ ป้องกันและแกไ้ ขปญั หาความรุนแรงในครอบครวั 31
ประเมินผล ในรูปแบบน้ีเป็นการควบคุมตรวจสอบการดาเนินกิจกรรมท้ังหมด และเป็นการแสดงถึงการ ปรับตวั ในการมสี ่วนรว่ มตอ่ ไป Macda (1978 อ้างถึงใน วิโรจน์ รอดวงษ์, 2544: 49) ได้สรุปรูปแบบของการมีส่วนร่วมได้ 3 รูปแบบ คือ 1) การมีส่วนร่วมแบบแข่งขัน (Active) หมายถึง การเข้าร่วมต้ังแต่การริเร่ิมและติดตามในกระบวนการ กาหนดความต้องการแผนงาน ตลอดจนเข้าร่วมในกิจกรรมการดาเนินงานและสนใจในผลงานของการพัฒนา 2) การมีส่วนรว่ มแบบไมแ่ ข่งขัน (Passive) หมายถึง การมีส่วนรว่ มของประชาชน โดยไม่คานึงถึงความสาคัญ ของการกาหนดแผนและนโยบาย ตลอดจนไม่สนใจในผลของการพัฒนา และ 3) การมีส่วนร่วมแบบเฉ่ือยชา (Innert) หมายถึง การเขา้ ร่วมโดยการถูกชักจงู จายอมหรือถูกบังคับโดยสภาพแวดล้อม บุคคล หรอื อืน่ ๆ ซ่ึง การมีส่วนรว่ มจะแปรเปลีย่ นไปตามสภาพแวดลอ้ มท่ีเปลี่ยนแปลงไปดว้ ยเสมอ World Health Organization (1970 อ้างถึงใน วิโรจน์ รอดวงษ์, 2544: 50) ได้เสนอว่า รูปแบบท่ี แท้จริงหรือสมบูรณ์ของการมีส่วนร่วมนั้น จะต้องประกอบด้วยกระบวนการ 4 ข้ันตอน คือ 1) การวางแผน (Planning) ในส่วนน้ีประชาชนจะมีส่วนร่วมในการวิเคราะห์ปัญหา ลาดับความสาคัญ ตั้งเป้าหมาย กาหนดการใช้ทรัพยากร กาหนดวิธีการติดตามประเมินผลและประการสาคัญคือ การตัดสินใจ 2) การดาเนิน กิจกรรม (Implementation) ส่วนน้ีประชาชนจะต้องมีสว่ นร่วมในการจดั การและบรหิ ารการใช้ทรัพยากร มี ความรับผิดชอบในการจัดสรร ควบคุมการเงิน และการบริหาร 3) การใช้ประโยชน์ (Utilization) เป็นส่วนที่ ประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการนาเอากิจกรรมมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ซึ่งเป็นการเพ่ิมระดับของการพึ่งพา ตัวเองและการควบคุมทางสังคม และ 4) การได้รับผลประโยชน์ (Obtaining Benefits) ในส่วนน้ีประชาชน ต้องได้รับการแจกจ่ายผลประโยชน์จากชุมชนในพื้นฐานที่เท่ากัน ซึ่งอาจจะเป็นผลประโยชน์ส่วนตัว สั งคม หรอื วัตถกุ ็ได้ นิรันดร์ จงวุฒิเวศย์ (2527: 188) เสนอรูปแบบของการมีส่วนร่วมไว้ 3 ประการ ดังน้ี 1) การท่ี ประชาชนมีส่วนร่วมโดยตรง (Direct Participation) โดยผ่านองค์กรจัดตั้งของประชาชน (Inclusive Organization) เช่น การรวมกลุ่มของเยาวชนกลุ่มต่าง ๆ 2) การท่ีประชาชนมีส่วนร่วมทางอ้อม (Indirect Participation) โดยผ่านองค์กรผู้แทนของประชาชน (Representative Organization) เช่น กรรมการของ กลุ่ม หรือชุมชน กรรมการหมู่บ้าน เป็นต้น และ 3) การท่ีประชาชนมีส่วนร่วมโดยการเปิดโอกาสให้ (Open Participation) โดยผ่านองค์กรท่ีไม่ใช้ผู้แทนของประชาชน (Non–Representative Organization) เช่น สถาบนั หรอื หนว่ ยงานท่ีเชิญชวนหรือเปิดโอกาสให้ประชาชนเขา้ มามสี ่วนร่วมเมื่อไรก็ได้ทุกเวลา จากความเหมือนและความแตกต่างในรูปแบบที่มีผู้นาเสนอข้างต้น สามารถจาแนกรูปแบบการมีส่วน ร่วมได้ 3 ลกั ษณะ คือ 1) รปู แบบที่ให้ความสาคัญเชิงเน้ือหา กล่าวคือ รูปแบบนี้ประชาชนเข้ามสี ่วนร่วมใน การตัดสนิ ใจ กาหนดแผน กาหนดปัญหาความตอ้ งการ การตดั สินใจแนวทางการแก้ไขปัญหา เข้าร่วมในการ กระทาและรับผลประโยชน์ ตลอดจนเขา้ ร่วมในการประเมนิ ผลการกระทาด้วย 2) รูปแบบท่ใี ห้ความสาคัญใน การจัดรูปแบบความสมั พันธ์ หรือรปู ขององค์กร ซ่งึ การมีสว่ นร่วมอาจเกิดจากความสมคั รใจ หรอื อาจเกดิ จาก การถูกชักจูง หรือเกิดจากการบังคับ โดยการมีส่วนร่วมอาจเป็นเพียงแค่การแสดงความคิดเห็นในการดาเนิน กิจกรรมเพียงบางส่วนเท่านั้น ซึ่งความสัมพันธ์ดังกล่าวเป็นไปได้ท้ังในรูปแบบมีตัวแทน หรือไม่มีตัวแทนก็ได้ และ 3) รูปแบบที่ให้ความสาคัญรูปแบบของกิจกรรม ในรูปแบบนี้จะเป็นการเข้าร่วมกจิ กรรมในลักษณะแบบ แขง่ ขัน แบบไมแ่ ข่งขันหรือแบบเฉ่อื ยชาก็ได้ 32 แนวทางการสง่ เสรมิ บทบาทสตรีในการขบั เคล่อื นงานพัฒนาสังคมเพ่ือป้องกันและแก้ไขปัญหาความรนุ แรงในครอบครัว
ประโยชน์ของการมีส่วนร่วมของประชาชน กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนโดยทั่วไปเป็นกระบวน การท่ีต้องดาเนินการอย่างเป็นขั้นตอน ต่อเนื่อง ซึ่งก่อให้เกิดต้นทุนในการดาเนินการมากพอสมควร อย่างไรก็ตามข้อดีของการมีส่วนร่วมคือ ก่อให้เกดิ การผลิตนโยบายและการบรกิ ารสาธารณะท่ีสอดคลอ้ งกบั ความต้องการของสาธารณชนเป็นการเพ่ิม ประสิทธิภาพของการจัดสรรทรพั ยากรของสาธารณะให้สูงขึ้น โดยการมีส่วนร่วมของประชาชนเพ่อื ก่อใหเ้ กิด ประโยชน์ต่าง ๆ (วิทยาลัยการปกครองท้องถ่ิน, 2545: 380-381) ดังน้ี 1) เพิ่มคุณภาพของการตัดสินใจ กระบวนการปรึกษาหารือกับสาธารณชนช่วยให้เกิดความกระจ่างในวัตถุประสงค์ และความต้องการของ โครงการหรือนโยบายน้ัน ๆ ได้อยู่เสมอสาธารณชนสามารถท่ีจะผลักดันให้เกิดการทบทวนข้อสันนิษฐานท่ี ปิดบังอยู่ ซึ่งอาจจะปดิ บงั ไมใ่ หม้ องเห็นทางออกทมี่ ีประสทิ ธิภาพท่ดี ที ี่สดุ บ่อยคร้งั กระบวนการการมีส่วนรว่ ม ของประชาชนก่อให้เกิดการพิจารณาถึงทางเลือกใหมแ่ ทนวธิ ีการที่ได้เคยใช้กันมาในอดีต สาธารณชนมกั จะมี ข้อมูลที่สาคัญซึ่งทาให้เกิดความแตกต่างในการท่ีจะนาไปสู่การตัดสินใจ ก่อให้เกิดความแตกต่างระหว่าง โครงการที่ประสบความสาเร็จและไม่ประสบความสาเร็จ 2) ลดค่าใช้จ่ายและการสูญเสียเวลา โดยทั่วไป กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างเต็มรูปแบบมักจะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายและเสียเวลา แต่ในทาง ปฏิบัติแล้วการมีส่วนร่วมของประชาชนมาต้ังแต่ต้น สามารถท่ีจะลดความล่าช้าและลดค่าใช้จ่ายท่ีเก่ียวข้อง กับความขัดแย้งของประชาชนได้ การตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งอาจจะดูว่าส้ินเปลืองและเสียเวลากว่าท่ีจะ ตัดสินใจได้ แต่ว่าเม่ือตัดสินใจได้แล้วและนามาสู่การปฏิบัติอาจจะเป็นวิธีการท่ีประหยัดกว่าด้วยซ้า การ ตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งท่ีทาไปอย่างรวดเร็วและดูเหมือนจะไม่สิ้นเปลืองอาจจะเสียค่าใช้จ่ายมากกว่า ถ้า การตัดสินใจน้ันไม่ได้ทาให้เกิดข้อตกลงระหว่างกลุ่มหรือความเห็นชอบในกลุ่มต่าง ๆ ท่ีมีผลประโยชน์ เกี่ยวข้องได้ แต่กลับนาไปสู่ความขัดแย้งของประชาชนอย่างต่อเนื่องมากข้ึน การมีส่วนร่วมของประชาชน สามารถเกิดผลในการยอมรับอย่างสงู ต่อการตดั สนิ ใจโดยกลมุ่ ซ่ึงมีสว่ นไดส้ ่วนเสยี ในการตัดสนิ ใจนน้ั ๆ วิธีการ นี้จะช่วยลดการขัดแย้งระหว่างการนาไปปฏิบัติ ทาให้เกิดการประหยัดค่าใช้จ่ายซึ่งโดยทั่วไปมักจะแพงกว่า คา่ ใช้จา่ ยที่เกดิ ขนึ้ จากการจดั ทาหรอื ดาเนนิ การให้ประชาชนมีส่วนร่วมในระยะต้น 3) การสร้างฉันทามติ การ มสี ่วนร่วมของประชาชนสามารถสร้างข้อตกลงท่ีม่ันคง และยืน-ยาวและการยอมรับระหว่างกลุ่มซ่ึงก่อนหน้า นี้อาจจะมีความเห็นขัดแย้งกันคนละทาง การมีส่วน-ร่วมน้ียังก่อให้เกิดความเข้าใจระหว่างคู่กรณี ลดความ ขดั แย้งทางการเมืองและก่อให้เกิดความชอบธรรมในการตัดสินใจของรัฐ 4) ความสาเร็จผลในการปฏิบัติของ โครงการ การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทาให้คนเรามีความร้สู ึกถึงความเป็นเจ้าของการตดั สินใจนั้น และครั้ง หนึ่งเม่ือได้รว่ มตัดสนิ ใจแลว้ เขาก็ย่อมต้องการทจ่ี ะเห็นสิ่งน้ันนาไปปฏบิ ัติได้ ไม่เพียงแต่จะมีการสนับสนุนทาง การเมืองต่อการนาไปปฏิบัติ แต่กลุ่มและปัจเจกชนอาจจะรู้สึกกระตือรือร้นในการท่ีจะช่วยให้เกิดผลทาง ปฏิบัติ 5) การหลีกเล่ียงการเผชิญหน้าหรือหลีกเล่ียงความขัดแย้งท่ีรุนแรง ความขัดแย้งในโครงการอาจ นาไปสกู่ ารเป็นปฏปิ ักษ์ท่ียากจะแก้ไข กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนก่อให้เกิดโอกาสทีค่ ู่กรณีจะแสดง ความต้องการของกลุ่มเขา และความห่วงกังวลที่ปราศจากความรู้สึกท่ีเป็นปฏิปักษ์ การมีส่วนร่วมของ ประชาชนตั้งแต่ตน้ สามารถลดการเผชิญหน้ากันอย่างรุนแรงที่อาจจะเป็นไปได้ อย่างไรก็ดีการมีส่วนร่วมของ ประชาชนไม่ใช่ยาวิเศษ มันไม่อาจท่ีจะลดหรือกาจัดความขัดแย้งในทุก ๆ กรณีได้ และ 6) ความน่าเชื่อถือ และความชอบธรรม โดยท่ัวไปแล้วการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นวิถีทางที่จะนาไปสู่ความชอบธรรม การ ดารงอยู่ของความชอบธรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการตัดสินใจก่อให้เกิดความขัดแย้ง ก็คือจะต้องใช้ แนวทางการสง่ เสริมบทบาทสตรีในการขบั เคลอื่ นงานพฒั นาสังคมเพื่อป้องกันและแกไ้ ขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว 33
กระบวนการตัดสินใจซึ่งโปร่งใสและน่าเช่ือถือต่อสาธารณชนและซึ่งให้สาธารณชนมีส่วนร่วม โครงการมีส่วน รว่ มของประชาชนยังกอ่ ใหเ้ กดิ ความเข้าใจถึงเหตุผลทนี่ าไปสูก่ ารตัดสนิ ใจนน้ั จากทกี่ ลา่ วมาข้างตน้ จะเห็นถึงประโยชนข์ องการมสี ว่ นรว่ มที่ก่อใหเ้ กิดการพฒั นาอย่างมีประสิทธิภาพและ ยงั่ ยืน การมีส่วนรว่ มของประชาชนจึงเป็นกลไกทีส่ าคญั ในการขบั เคล่ือนทางสังคมแตย่ ังคงมคี าถามที่เกดิ ขนึ้ คือ กลไกหรือเครื่องมือหรอื มาตรการในการสรา้ งให้เกิดการมสี ่วนร่วมของประชาชนเกิดข้นึ พร้อมกับการ รับมอื ต่อการเปลี่ยนแปลงของประชาคมอาเซียนได้อย่างเหมาะสมเพียงพอแลว้ หรือยงั ขั้นตอนการมีส่วนรว่ มของประชาชน เจิมศักด์ิ ปิ่นทอง (2535: 11-13) กล่าวถึงการระดมประชาชนหรือการมีส่วนร่วมของ ประชาชนท่ีแท้จริง จะต้องมีขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1) การมีส่วนร่วมในการค้นหาปัญหาและสาเหตุของปัญหา ของชาวชนบท ข้ันตอนน้ีเป็นขั้นตอนแรกท่ีสาคัญท่ีสุด เพราะถ้าชาวชนบทยังไม่สามารถเข้าใจปัญหา และ สาเหตุของปัญหาด้วยตัวของเขาเอง กิจกรรมต่าง ๆ ที่ตามมาก็ไร้ประโยชน์ เพราะประชาชนจะขาดความ เข้าใจและมองไม่เห็นความสาคัญของกิจกรรมน้ัน สิ่งหน่ึงที่แน่นอนที่สุด คือ ชาวชนบทเป็นผู้อยู่กับปัญหา และรจู้ ักปัญหาของตนเองดีที่สุด แต่มนุษย์ย่อมจะยังมองปญั หาของตนเองไม่ชัดเจน จนกว่าจะมเี พื่อนมาช่วย ใหต้ นวิเคราะห์ถงึ ปัญหาและสาเหตุของปัญหาของตนได้เด่นชัดย่ิงข้ึน 2) การมีส่วนร่วมในการวางแผนดาเนิน กิจกรรม การวางแผนดาเนินกิจกรรมเป็นขั้นตอนต่อไปที่ขาดไม่ได้ เพราะถ้าหากเจ้าหน้าท่ีหรือนักพัฒนา ตอ้ งการแต่ผลงานการพัฒนาวัตถุให้เสร็จส้ินโดยฉับไวก็จะดาเนินการวางแผนงานด้วยตวั เอง ผลทีจ่ ะตามมาก็ คือต่อไปเมื่อขาดเจ้าหน้าท่ี ประชาชนก็ไม่สามารถจะดาเนินการวางแผนงานได้ด้วยตนเอง อาจจะมีความ ยากลาบากที่จะผลักดันเจา้ หน้าที่หรือนักพฒั นาทาหน้าท่ีเป็นเพียงเพื่อนของชาวชนบทในการช่วยกนั วางแผน เพราะประชาชนชนบทโดยทวั่ ๆ ไป มีการศึกษาน้อย แต่ถ้าพวกเราไม่ให้ชาวชนบทได้มีส่วนร่วมในขั้นตอนนี้ โอกาสท่ีชาวชนบทจะได้รับการศึกษาและพัฒนาตนเองในการวางแผนดาเนินงานก็จะหมดไป เจ้าหน้าที่หรือ นักพัฒนาจะต้องทาใจให้ได้ว่าการศึกษาใดก็ต้องเริ่มความยากง่าย เร็ว ช้า จากระดับของผู้ท่ีจะรับการศึกษา มใิ ชจ่ ากระดับความรู้ ความสามารถของตน 3) การมีส่วนร่วมในการลงทุนและปฏิบัติงาน ถึงแม้วา่ ชาวชนบท ยากจนและขาดแคลนทรัพยากร แต่ชาวชนบทก็มีทรัพยากรท่ีสามารถเข้ามีส่วนร่วมในการลงทุนและ ปฏิบัติงานได้ เพราะจากประสบการณ์การทางานชนบท อย่างน้อยชาวชนบทสามารถจะร่วมลงทุนใน กิจกรรมหลาย ๆงาน และจะระมัดระวังรักษากิจกรรมท่ีทาขึ้นเพราะเขาจะมีความรู้สึกร่วมเป็นเจ้าของ ซึ่ง ตา่ งไปจากสภาพการลงทุนและปฏิบัตงิ านทั้งหมดที่มาจากปัจจัยภายนอก จะมอี ะไรเสียหายกม็ ิต้องเดือดรอ้ น มากนัก และการบารุงรักษาก็จะไม่เกิด เพราะเม่ือไม่ใช่ของเขา เขาก็จะไม่บารุงรักษา ไม่รักและหวงแหน นอกจากน้ันการร่วมปฏิบัติงานด้วยตนเองทาให้ได้เรียนรู้การดาเนินกิจกรรมอย่างใกล้ชิด และเมื่อเห็น ประโยชน์ก็จะสามารถดาเนินกิจกรรมชนิดนั้นด้วยตนเองต่อไปได้ และ 4) การมีส่วนร่วมในการติดตามและ ประเมินผลงาน ข้นั ตอนน้ีเป็นข้ันตอนสุดท้ายท่ีสาคัญอย่างย่ิงอีกเหมอื นกัน เพราะถ้าหากการติดตามงานและ การประเมินผลงานขาดการมีส่วนรว่ มของชาวชนบท แต่การดาเนินการโดยบุคคลภายนอก ชาวชนบทย่อมจะ ไม่ได้ประเมินดว้ ยตนเองว่างานที่ทาไปน้ันได้รับผลดี ได้รับประโยชน์หรือไม่อย่างใด การดาเนินกิจกรรมอย่าง เดียวในโอกาสต่อไป จงึ อาจจะประสบความยากลาบาก เพราะชาวชนบทไม่ได้ประเมินด้วยตนเองให้รู้แจง้ วา่ ดี หรือไมด่ อี ย่างไร 34 แนวทางการสง่ เสรมิ บทบาทสตรีในการขับเคลื่อนงานพฒั นาสังคมเพ่ือปอ้ งกนั และแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว
นอกจากขั้นตอนการมีส่วนร่วมที่ได้กล่าวมาในข้างตน้ ท่ีได้กลา่ วมาแลว้ ยังมขี นั้ ตอนการมีส่วนร่วมอกี รปู แบบหน่งึ โดยแบง่ ออกเป็น 5 ขน้ั ตอน ดังน้ี ขนั้ ท่ี 1 ขั้นมีส่วนร่วมในการค้นหาปัญหาและสาเหตุของปัญหาในชมุ ชน โดยการร่วมกนั ศกึ ษา ค้นคว้า ถึงปัญหาและสาเหตุท่ีเกิดข้ึนในชุมชน ตลอดจนกาหนดความต้องการของชุมชน และมีส่วนร่วมในการ จัดลาดับความสาคัญของความต้องการ รวมทั้งการร่วมค้นหาและสร้างรูปแบบวิธีการพัฒนา เพื่อแก้ไขแล ะ ลดปญั หาของชุมชนหรอื เพ่ือสร้างส่งิ ใหมท่ ่ีเป็นประโยชนต์ อ่ ชุมชน หรอื สนองความต้องการของชมุ ชน ขน้ั ท่ี 2 ข้ันมีส่วนร่วมในการวางนโยบายหรือวางแผนพัฒนา โดยประชาชนมีส่วนร่วมกาหนดนโยบาย และวัตถุประสงค์ของโครงการ กาหนดวิธีการและแนวทางการดาเนินงาน ตลอดจนกาหนดทรัพยากรแ ละ แหล่งทรัพยากรท่ีใช้ ท่ีอาจมีอยู่อย่างจากัดเพ่ือให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม และตอบสนองต่อความต้องการ ของชมุ ชน ข้ันที่ 3 ข้ันมีส่วนร่วมในการดาเนินงาน เป็นข้ันตอนท่ีประชาชนมีส่วนร่วมในการสร้างประโยชน์โดย การสนับสนุนทรัพย์ วัสดุอุปกรณ์และแรงงาน หรือเข้าร่วมการบริหารงาน ประสานงานและดาเนินการขอ ความช่วยเหลือจากภายนอก ตลอดจนการพัฒนาหรือปรับปรุงระบบการบริหารงานเพื่อให้เกิดการทางาน อย่างมปี ระสทิ ธิภาพและมีประสิทธผิ ล ขั้นที่ 4 ข้ันการมีส่วนร่วมในการประเมินผลการพัฒนา เป็นขั้นที่ประชาชนเข้าร่วมควบคุม ติดตาม ประเมินผลว่าการพัฒนาที่ได้กระทาลงไปน้ันสาเร็จตามวัตถุประสงค์เพียงใด และเสนอแนะแนวทางในการ พฒั นา หรอื ปรับปรงุ โครงการทจี่ ะปฏบิ ตั ิในโอกาสตอ่ ไป ข้ันท่ี 5 ขนั้ การมสี ่วนร่วมในการรับผลประโยชนจ์ ากการพัฒนาตามนโยบายแผนงาน โครงการกจิ กรรม ที่บรรลุเป้าหมายตามที่วางไว้ ซึ่งประชาชนในท้องถ่ินจะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์จากโครงการพัฒนาต่าง ๆ ท่ี เกดิ ขึน้ ปัจจัยท่สี ่งเสริมการมสี ว่ นร่วมของประชาชน การพัฒนาในด้านต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนน้ัน ส่วนหนึ่งของการพัฒนาที่จะประสบความสาเร็จได้ก็ต้องได้รับ การสนบั สนุนและความร่วมมือจากประชาชนในท้องถน่ิ น้ัน ๆ ดังนั้น การทจ่ี ะทาให้ประชาชนเข้ามาสนบั สนุน และยอมรับในโครงการพัฒนาน้ัน ก็ต้องส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการคิด กาหนดแผนหรือ โครงการนั้น ดังนั้น การเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชนจึงต้องอาศัยปัจจัยต่าง ๆ ท่ีมีส่วนเกี่ยวข้องดังนี้ (ปรัชญา เวสารัชช์, 2528: 33-34) คือ 1) ปัจจัยสภาพแวดล้อม ปัจจัยสภาพแวดล้อมท้ังหลาย ไม่ว่าจะเป็น ปัจจัยสภาพแวดล้อมทางกายภาพ เศรษฐกิจ สังคม การเมืองการปกครองและความปลอดภัย เป็นปัจจัยที่ กาหนดกรอบหรือขอบเขตความจาเป็นในการจัดทาโครงการพัฒนา เช่น โครงการพัฒนาทางกายภาพ โครงการยกระดับรายได้และพัฒนาอาชพี เป็นต้น และเป็นปัจจัยคุน้ เคยท่ีตอ้ งปรับสภาวะชวี ิตของตนให้สอด ประสานกับสภาพแวดล้อมเหล่านี้ เช่น ภาวะบีบค้ันทางธรรมชาติดังกรณีภาวะน้าท่วม ทาให้ประชาชนต้อง ปรับสภาพบ้านเรือนของตนให้รองรับภาวะนั้น กล่าวอีกนัยหน่ึงก็คือปัจจัยสภาพแวดล้อมเป็นตัวกาหนด กรอบหรือขอบเขตกิจกรรมการพัฒนา แต่ผู้กาหนดกิจกรรมการพัฒนานั้นส่วนใหญ่มิใช่ประชาชนที่ประสบ ปัญหา เพราะกิจกรรมดังกล่าวนั้นโดยทั่วไปถูกกาหนดให้แล้วโดยรัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐตามโครงการ หรือแผนปฏิบัติการทางราชการ 2) ปัจจัยผลักดันจากบุคคลอื่น กิจกรรมการพัฒนานั้นส่วนหน่ึงเกิดจากการ ริเริ่มและผลักดันจากผู้นาภายในหมู่บ้านเอง ซ่ึงโดยท่ัวไปได้แก่ ผู้นาเป็นทางการคือกานันและผู้ใหญ่บ้าน แนวทางการสง่ เสริมบทบาทสตรใี นการขับเคลอื่ นงานพฒั นาสังคมเพื่อปอ้ งกันและแก้ไขปัญหาความรนุ แรงในครอบครวั 35
น่ันเอง ท้ังนี้ข้ึนอยู่กับความสนใจและความสามารถส่วนตัวของผู้นาดังกล่าว หากผู้นามีความสามารถ มี ความคิดริเร่ิม มีประสบการณ์ด้านการพัฒนาจากภายนอก ได้รับการช้ีแนะจากผู้รู้ภายนอกหมู่บ้าน ประกอบ กับมีความสนใจในการพัฒนาอยู่แล้ว การพัฒนาจากภายนอกในหมู่บ้านภายใต้การนาของผู้นาทางการก็ เกิดข้ึนได้ โดยทั่วไปผู้นาทางการมักสนใจริเร่ิมกิจกรรมการพัฒนาทางกายภาพเป็นหลัก ในขณะเดียวกันมัก เป็นผู้รับกิจกรรมจากภายนอกมาผลักดันให้เกิดผลในหมู่บ้าน ดังนั้นปัจจัยผลักดันจากบุคคลอื่นจึงต้องหมาย รวมไปถึงผู้นาจากภายนอกหมู่บ้านอย่างเลี่ยงไม่ได้ 3) รางวัลตอบแทน ในสภาวะจากัดด้านทรัพยากร กิจกรรมการพัฒนาในหมู่บ้านยากจนไม่ส่งผลตอบแทนเป็นตัวเงินหรือวัตถุ มีกิจกรรมส่วนน้อยท่ีให้ ผลตอบแทนสว่ นบุคคลแต่ไม่มากนัก เช่น ค่าตอบแทนแรงงานจากการเข้าร่วมโครงการ กระนั้นกต็ าม รางวัล ตอบแทนท่ีแต่ละบคุ คลไดร้ บั ก็เป็นปัจจัยผลักดนั สาคัญทีท่ าให้ประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมและ 4) ปจั จัยภายใน ตวั บุคคล นอกเหนือจากแรงผลักดันหรอื แรงจูงใจจากภายนอกแล้ว ยังมีปัจจัยผลักดันซึ่งเกิดภายในตัวบุคคล อันส่งผลให้ประชาชนเข้าร่วมพัฒนาด้วย ปัจจัยภายในตัวบุคคลนี้เป็นความรู้สึกหรือความคาดหวังส่วนตน บางอยา่ งนอกเหนอื จากการคาดหวงั วา่ จะให้รางวัลตอบแทน ศภุ ฤกษ์ โรจนธรรม (2532:43) ไดส้ รุปถงึ ปจั จัยทเ่ี กีย่ วข้องกับการมสี ว่ นร่วมไวด้ งั นี้ 1. ปัจจยั สว่ นบคุ คล ได้แก่ รายได้ ระดบั การศกึ ษา สถานภาพส่วนบุคคล อายุ ประสบการณ์ ความรู้ และทศั นคติ 2. ปจั จัยทางสังคม ไดแ้ ก่ การได้รบั ความรู้และการเปิดรับข้อมูลข่าวสาร การชักชวนจากเจา้ หน้าที่ของ รฐั การชกั ชวนจากเพื่อนบ้าน ความเชอ่ื ถือต่อผูน้ าในหมู่บ้าน ความต้องการความสัมพันธท์ ด่ี ีกับเพ่ือนบา้ น ความต้องการการยอมรับนับถอื การเปน็ สมาชิกกลุ่ม จานวนตาแหน่งทางสงั คม จุฑาทพิ ย์ ภัทราวาท (2538:5) อธิบายวา่ ปจั จัยทที่ าให้สตรีเข้ามามสี ่วนร่วมในขบวนการสหกรณท์ ี่ สาคัญ 2 ด้านคือ ดา้ นแรก ปัจจัยด้านสถานภาพสว่ นบุคคลของสตรเี อง ได้แก่ อายุ ระดบั การศึกษา ประสบการณ์ ความรู้ และ ทัศนคตทิ มี่ ตี ่อสหกรณ์ บคุ ลกิ ภาพส่วนบุคคล ตลอดจนสภาพเศรษฐกิจของ ครัวเรอื น ด้านที่ 2 สภาพแวดล้อมต่างๆ ได้แก่ นโยบายของรฐั กฎหมายข้อบังคบั และระเบยี บ ศาสนาประเพณี และค่านิยม ตลอดจนองคก์ รทใ่ี หก้ ารสนบั สนนุ การพัฒนา ทัง้ นีก้ ารเข้าร่วมของสตรีในขบวนการสหกรณ์นนั้ ตวั สตรเี องจะต้องมีความพร้อม โดยสถานภาพสว่ นบุคคลของสตรี จะต้องเอื้ออานวยต่อการเขา้ มามสี ่วนรว่ มก่อน ตอ่ จากนน้ั ส่ิงแวดล้อมต่างๆ จะเป็นปจั จยั ช่วยสนบั สนนุ และให้โอกาสแก่สตรีทีจ่ ะเข้ามามีส่วนร่วมในขบวนการ สหกรณ์ อภศิ กั ดิ์ ไฝทาคา (2539:79-80) ได้กล่าวถงึ เงื่อนไขของการมีส่วนรว่ มของประชาชนในการพัฒนา ชมุ ชนว่าขน้ึ อยู่กบั เง่ือนไขดงั ต่อไปน้ี 1. ประชาชนต้องมีเวลา 2.ประชาชนต้องมีเสียเงินเสยี ทองเป็นคา่ ใช้จ่ายในการมสี ว่ นร่วมมากเกินกวา่ ทเ่ี ขาประเมินคา่ ตอบแทน ท่ีเขาจะได้รบั 3. ประชาชนตอ้ งมีความสนใจทส่ี มั พนั ธ์สอดคล้องกับการมสี ่วนร่วมน้ัน 4. ประชาชนต้องสามารถสื่อสารร้เู รือ่ งกนั ท้ังสองฝ่าย 5. ประชาชนต้องไมร่ สู้ กึ กระทบกระเทือนต่อตาแหน่งหน้าที่ หรือสถานภาพทางสังคม 36 แนวทางการสง่ เสรมิ บทบาทสตรใี นการขบั เคล่อื นงานพฒั นาสงั คมเพ่ือปอ้ งกันและแกไ้ ขปญั หาความรนุ แรงในครอบครวั
สามารถสรุปปัจจัยท่ีเก่ียวข้องกับการมีส่วนร่วมได้ 2 ปัจจัย คือ ปัจจัยส่วนบุคคลกับปัจจัยทางสังคม ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ อายุ ระดับการศึกษา ความรู้ รายได้ ส่วนปัจจัยทางสังคม ได้แก่ การเป็นสมาชิกกลุ่ม และสถานภาพทางสังคม การเปดิ รับข้อมูลขา่ วสาร การได้รับการชักชวนจากเพ่ือนบา้ น ตาแหนง่ การสังคม การวัดระดบั การมีสว่ นรว่ มของประชาชน การมีส่วนร่วมของประชาชน คือ การท่ีประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในระดับที่มีผลกระทบต่อ ชีวิตความเป็นอยู่ของตนและพัฒนาชุมชนได้ด้วยตัวเอง โดยเร่ิมจากความต้องการที่แท้จริงของประชาชน ไมใ่ ชด่ ้วยความต้องการของบุคคลภายนอกภายใตก้ ระบวนการพัฒนาอย่างตอ่ เนื่อง ดงั นัน้ หากเขา้ ใจถงึ การวัด ระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนจะทาให้สามารถทราบว่าการพัฒนาดังกล่าวมีส่วนร่วมของประชาชน หรือไม่ เพราะถ้าหากประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาแล้วจะทาให้การพัฒนาประสบกับความ สาเร็จ ประชาชนได้รบั ประโยชนส์ ูงสุด โดยสามารถจาแนกวิธีการวดั การมีสว่ นร่วมในการพฒั นาได้ดังน้ี 7.1 การจาแนกตามขน้ั ตอนในการพัฒนา การจาแนกตามขั้นตอนการพัฒนาเป็นการวัดเชิงคุณภาพ แบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอน (บัญชร แกว้ ส่อง, 2531 อา้ งถึงใน วิโรจน์ รอดวงษ์, 2544: 50-51) คอื ข้ันที่ 1 การมีส่วนร่วมในขั้นริเร่ิมการพัฒนา ซ่ึงเป็นข้ันตอนท่ีแสดงความคิดเห็น ประชาชนมี ส่วนร่วมในการค้นหาปัญหาและสาเหตุของปัญหาภายในชุมชน ตลอดจนมีส่วนร่วมตัดสินใจกาหนดความ ตอ้ งการของชมุ ชนและการมีสว่ นร่วมในการจัดลาดบั ความสาคัญของความต้องการดว้ ย ขั้นที่ 2 การมีส่วนร่วมในขั้นวางแผนการพัฒนา เป็นข้ันตอนที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการ กาหนดนโยบายและวัตถุประสงค์ของโครงการ กาหนดวิธีการ และแนวทางการดาเนินงาน ตลอดจนกาหนด ทรัพยากรและแหล่งทรัพยากรทีจ่ ะใช้ ขั้นที่ 3 การมีส่วนร่วมในการขั้นดาเนินการพัฒนา เป็นขั้นตอนที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการ บริหารทรัพยากรเพื่อการพัฒนา ในข้ันตอนนี้ประชาชนมีส่วนร่วมในการสร้างประโยชน์ โดยการสนับสนุน ทรัพย์ วัสดุอุปกรณ์และแรงงาน หรือเข้าร่วมบริหารงาน ประสานงานและดาเนินการขอความช่วยเหลือจาก ภายนอก ขน้ั ท่ี 4 การมสี ว่ นร่วมในข้นั รับผลประโยชน์จากการพฒั นา เป็นขัน้ ตอนทปี่ ระชาชนมีสว่ นรว่ ม ในการรับผลประโยชน์ทพี่ ึงได้จากการพัฒนา หรอื ยอมรับผลกระทบอนั อาจเกดิ จากการพฒั นาท้งั ทางดา้ น วัตถุ และจติ ใจ อนั แสดงออกมาในเชงิ รปู ธรรมต่อสงั คมหรือบคุ คลกไ็ ด้ ขั้นท่ี 5 การมสี ว่ นรว่ มในขน้ั ประเมินผลการพัฒนา เป็นข้ันตอนที่ประชาชนเข้าร่วมประเมินว่า การพัฒนาที่ได้กระทาไปน้ันสาเร็จตามวัตถุประสงคเ์ พียงใด ซ่ึงในการประเมินอาจปรากฏในลักษณะของการ ประเมินรูปแบบ (Formative Evaluation) อันนับเป็นการประเมินผลความก้าวหน้าท่ีทาเป็นระยะ ๆ หรือ กระทาในรูปของการประเมินผลรวม (Summative Evaluation) ซึ่งเป็นการประเมินผลสรุปรวบยอดว่า ผล การพฒั นาน้นั ก่อใหเ้ กดิ ผลอยา่ งไร 7.2 การจาแนกตามระดบั ความเข้มของการมีส่วนรว่ ม ตามแนวคิดของสมาคมสาธารณสุข อเมรกิ า (1978 อ้างถงึ ใน วโิ รจน์ รอดวงษ์, 2544: 51-52) จาแนกระดับความเข้มไว้ 3 ระดับ คือ 1) ระดับการตัดสินใจ (Decision Making) ในระดับน้ี ประชาชนจะเข้าร่วมในการวางแผนและจัดการกับกิจกรรมการพัฒนาด้วยตนเอง จึงถือว่าการมีส่วนร่วม แนวทางการสง่ เสริมบทบาทสตรีในการขบั เคลอ่ื นงานพฒั นาสงั คมเพอ่ื ป้องกันและแกไ้ ขปญั หาความรนุ แรงในครอบครัว 37
Search