ประวตั ศิ าสตรก์ ารเมืองการปกครอง ของไทย (สมยั สโุ ขทัย-ปัจจบุ ัน) ดร.บานชน่ื นกั การเรยี น
การเมอื งการปกครองสมยั สโุ ขทยั ■ การปกครอง ■ ระบบสมบรู ณาญาสทิ ธิราชย์ (พอ่ ปกครองลูก) – บุตรหรือประชาชนมีหนา้ ที่ใหค้ วามเคารพนับถอื ต่อบดิ า ■ ปกครองแบบราชาธิปไตย – กษตั รยิ ์หรือพอ่ ขุนเป็นผูใ้ ชอ้ านาจอธปิ ไตย ■ ความเชอ่ื แบบธรรมราชา – กษตั รยิ เ์ ปรยี บเสมอื นพระพทุ ธเจา้ *** การปกครองมีรากฐานมาจากครอบครัว
การบรหิ ารการปกครองสมัยสุโขทัย ■ การปกครองหัวเมอื งหรือการปกครองส่วนภมู ิภาค ■ หวั เมอื งชน้ั นอก ■ หวั เมืองชัน้ ใน ■ หัวเมืองประเทศราช *** ขยายอาณาเขตโดยมุ่งสร้างสมั พันธภาพโดยการแตง่ งาน
การเมอื งการปกครองสมยั อยุธยา ■ ปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธริ าชย์ ■ บริหารแบบจตุสดมภ์ (พระรามาธบิ ดที ี่ 1) – ขุนเมอื ง – ขนุ วัง – ขันคลัง – ขุนนา
การเมืองการปกครองสมยั อยุธยา ■ ปรบั ปรงุ ระบบราชการบรหิ ารใหม่ (พระบรมไตรโลกนาถ) – สมหุ นายก – สมุหกลาโหม ■ ความเชอ่ื แบบลัทธิเทวสิทธิ์ – พระมหากษัตริยเ์ ป็นเสมอื นสมมตุ เิ ทพหรอื พระเจา้ – ถอื วา่ พระมหากษตั รยิ ์คอื ผู้ได้รบั อานาจจากสวรรค์หรอื เป็นเสมือนเจา้ ชวี ติ
การเมืองการปกครองสมยั กรุงธนบรุ -ี กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ■ กรุงธนบุรปี กครองแบบสมบูรณาญาสิทธริ าชย์ ■ กรุงรัตนโกสนิ ทร์ ■ รชั กาลท่ี 1-4 ปกครองแบบสมบรู ณาญาสิทธิราชย์ ■ รัชกาลที่ 5 – ยกเลกิ จตุสดมภ์ – ยกเลิกสมุหนายก และสมุหกลาโหม – ยกเลกิ ทาส
■ การปฏิรูปการปกครองส่วนภูมิภาค/สว่ นทอ้ งถ่นิ ■ จัดตง้ั มณฑล จังหวดั อาเภอ และหมบู่ า้ น ■ จดั ต้งั สุขาภบิ าล – สุขาภิบาลเมือง – สขุ าภิบาลตาบล ** ร. 5 สนับสนนุ ให้มีการ จดั การศึกษาในประเทศ ส่งเสริมการศกึ ษา แบบตะวนั ตก ***ร. 6 สนบั สนนุ ใหใ้ ช้รฐั ธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสดุ
รัชกาลท่ี 7 ■ เปลย่ี นแปลงการปกครอง 24 มถิ นุ ายน 2475 ■ เป็นการปฏิวตั ิทจี่ ริงคร้ังเดยี ว ■ ปจั จยั ท่ที าใหเ้ กดิ การเปลี่ยนแปลง • สภาพเศรษฐกิจถดถอย • สภาพการเมืองท่เี ปลีย่ นแปลง • การเปลยี่ นสภาพของสงั คมไทย • สภาพการเปลี่ยนแปลงของสงั คมโลก
ร.7 - ปัจจบุ นั ■ การปกครองแบบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษัตรยิ ์ทรงเปน็ ประมุข – มีการกระทารัฐประหาร 13 คร้งั – เกิดการกบฏ 12 คร้ัง ■ เกิดวงจรอุบาทว์ – ปฏิวัติ รัฐประหาร – รัฐธรรมนูญ – การเลือกต้งั – ผูแ้ ทนราษฎร
สรุป ด้านการปกครอง ■ สมยั สุโขทยั ไดม้ กี ารปกครองแบบพ่อปกครองลกู ■ สมยั อยธุ ยาเปลี่ยนการปกครองเปน็ แบบสมบรู ณาญาสทิ ธิราชย์ พระมหากษัตริยท์ รง มอี านาจปกครองและบริหารราชการแผน่ ดิน ■ สมัยรัตนโกสินทรเ์ ร่ิมมกี ารรบั อิทธิพลของชาติตะวันตกมา ใชต้ ง้ั แต่สมัยราชกาลท่ี 5 ■ มีการเปล่ียนแปลงด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระ ประมขุ ■ โดยประชาชนมสี ทิ ธิ์เลือกตั้งสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร และสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรร่วมกันเลือก นายกรัฐมนตรี จากบรรดาสมาชิกผู้แทนราษฎร เพ่ือ จัดตง้ั เปน็ รัฐบาลบรหิ ารประเทศ
วัฒนธรรมการเมืองการปกครองไทย ดร.บานชนื่ นักการเรยี น
อะไรคือ วัฒนธรรมทางการเมือง
วัฒนธรรมทางการเมือง • วัฒนธรรมทางการเมือง คือ แบบแผนของทัศนคติและความเชื่อของบุคคล ที่มีต่อระบบ การเมืองหน่ึง โดยวัฒนธรรมทางการเมืองในแต่ละชุมชนก็จะมีความเป็นตัวของตัวเองซ่ึงถูก กาหนดขึ้นหรือได้รับอิทธิพลจากสภาวะแวดล้อม เช่น ประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียม ประเพณี ศาสนา โดยผ่านกระบวนการขัดเกลาทางการเมือง โดยสถาบันต่าง ๆ เช่น ครอบครัว เพื่อน โรงเรียน กลุ่มสังคมและสื่อมวลชน เพื่อท่ีจะถ่ายทอดวัฒนธรรมทาง การเมืองจากรุ่นหนึ่งไปสู่รุ่นหน่ึงอย่างต่อเนื่อง และมีลักษณะท่ีเปล่ียนแปลงให้เข้ากับสภาวะ แวดลอ้ มต่าง ๆ อย่เู สมอ
ความหมายของวัฒนธรรมทางการเมือง • วัฒนธรรมทางการเมือง หมายถึง ความคิดและความเข้าใจเก่ียวกับความสัมพันธ์ทางสังคม โดยเฉพาะความคิดและความเข้าใจต่อการจัดสรรแบ่งปันทรัพยากรในสังคม (นิธิ เอียวศรีวงศ์ 2554: 51) • วัฒนธรรมทางการเมือง คือ รูปแบบของการกาหนดทิศทางสู่เป้าหมายทางการเมือง ส่วนใหญ่ แสดงออกในรปู แบบของความเชื่อ, สญั ลกั ษณ์ และคณุ ค่า (Heywood 2002: 206) • วัฒนธรรมทางการเมือง คือ แบบอย่างของทัศนคติและความโน้มเอียงซ่ึงบุคคลในฐานะสมาชิก ของระบบการเมืองมีต่อการเมอื ง (Almond and Powell 1966)
ประเภทของวัฒนธรรมธรรมทางการเมือง • 1) วัฒนธรรมทางการเมอื งแบบคับแคบ (parochial political culture) • 2) วัฒนธรรมทางการเมืองแบบไพรฟ่ ้า (subject political culture) • 3) วฒั นธรรมทางการเมอื งแบบมีสว่ นรว่ ม (participant political culture)
ความสาคัญของวัฒนธรรมทางการเมือง • 1) วฒั นธรรมทางการเมอื งชว่ ยสรา้ งความชอบธรรม ใหก้ บั ระบอบการปกครอง • 2) วฒั นธรรมทางการเมอื งชว่ ยกระตุ้นให้เกดิ การเปลย่ี นแปลงทางการเมือง
กระบวนการเกิดวัฒนธรรมทางการเมือง
วัฒนธรรมทางการเมืองของไทย • ประเทศไทยเราจากอดตี ที่ผ่านมา คนไทยเรามีวฒั นธรรมทางการเมืองแบบไพรฟ่ า้ มากกวา่ แบบมี ส่วนร่วม จงึ ทาให้การเมอื งไทยถูกครอบงาดว้ ยขา้ ราชการและทหารตดิ ต่อกนั มา • หลงั ปี 2500 เป็นตน้ มา ทาให้เกดิ คนกลมุ่ ใหม่ในสงั คมไทย ซึ่งคนกล่มุ ใหมน่ ี้เป็นผูไ้ ด้รบั การศกึ ษา ในแบบตะวนั ตก เปน็ กลุม่ คนที่เติบโตมากบั ระบบเศรษฐกจิ แบบทุนนิยมมคี วามมนั่ ใจในตัวเอง และตดิ ต่อกับชาติท่ีเปน็ ประชาธปิ ไตยมาก • อทิ ธิพลจากสอ่ื มวลชนและส่ือสังคมออนไลนท์ ีท่ าให้เขาเหล่าไดร้ ับร้รู บั ทราบถึงความเปน็ ไปใน โลกกวา้ ง ทาใหพ้ วกเขาต้องการเข้ามามสี ่วนรว่ มในทางการเมอื งมากข้นึ • ปจั จบุ นั วฒั นธรรมทางการเมอื งของไทยกาลงั เคลือ่ นจากวัฒนธรรมทางการเมอื งแบบไพรฟ่ า้ ไปสู่ วัฒนธรรมทางการเมืองแบบมสี ว่ นร่วม
วัฒนธรรมทางการเมืองของไทย ได้รับอิทธิพลจาก • 1. อทิ ธพิ ลจากระบอบอานาจนิยม • 2. อิทธิพลจากระบอบประชาธปิ ไตย • 3. ผสมผสานระหวา่ งอานาจนยิ มและเสรนี ิยมจะใชอ้ านาจนยิ มตอ่ คนอน่ื และเสรี นยิ มตอ่ ตนเอง
วัฒนธรรมทางการเมืองไทย • วฒั นธรรมทางการเมอื งไทยใน 3 ยุค 1. ไทยโบราณ (ก่อน ร.5) • สงั คมสมัยน้ันอานาจกระจายอย่ใู นชนช้ันปกครอง มีการตอ่ รองและเลน่ การเมอื ง ระหว่างขุนนาง – เกดิ ลกั ษณะความสัมพนั ธแ์ บบพ่ึงพาหรอื ระบบอปุ ถัมภ์ เป็น ความสมั พนั ธเ์ ชงิ อานาจท่ีพงึ่ พากันและกัน
• 2. สมบรู ณาญาสิทธริ าชย์ • วัฒนธรรมการเมืองแบบรวมศูนย์ หลังร.5 สถาปนารัฐสมบูรณาญาสิทธริ าชยโ์ ดยรวม อานาจทัง้ หลายอยภู่ ายใตก้ ารกากบั ควบคมุ ของกษัตริย์ • การเมืองเปน็ เรอ่ื งของชนชั้นนาเท่านั้น – เป็นเร่ืองเฉพาะของชนช้ันนา ที่มีความรู้และ ฐานะทางเศรษฐกิจ มองวา่ การเมอื งเปน็ เร่อื งของความรู้และการใชเ้ ทคนิคขน้ั สูงในการ บรหิ าร (กีดกันประชาชนจากพ้ืนทกี่ ารเมือง) • พัฒนาการของชนชั้นกลางไทยมาต้ังแต่ช่วงสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ – พวกพ่อค้า, ข้าราชการ
3. ในระบอบการเลือกตัง้ และรฐั ประหาร • วัฒนธรรมการเมอื งทใ่ี ช้ความรนุ แรงเปน็ เครือ่ งมือยังมีอยู่ แต่อาจมีสมรรถภาพใน การใช้ความรุนแรงเพ่ิมมากขึ้น ,วัฒนธรรมทางการเมืองของระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ยังคงอยู่ (ภายใต้สถาบันกษัตริย์ท่ีเคารพยกย่อง) ใน ขณะเดียวกนั ชนชั้นกลางยังสามารถควบคุมอานาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้ผ่าน อานาจทางกฎหมายและส่อื • คนชนชั้นกลางนอกระบบราชการมีเพ่ิมมากข้ึน ซ่ึงพัฒนาวัฒนธรรมของสังคม ใหมๆ่ ขึน้ และสถาปนาวัฒนธรรมทางการเมืองใหมผ่ ่านการวางกฎเกณฑม์ าตรฐาน วถิ ีชวี ติ แทนชนชัน้ สงู ในระบบเกา่
ข้อสังเกตเก่ียวกับความคิดเร่ืองวัฒนธรรมทางการเมือง • 1. แนวทางการศึกษาวัฒนธรรมทางการเมืองในแบบพลเมือง (Civic culture) เน้นการศึกษา ทัศนคติและคุณค่าที่ประชาชนมีต่อการเมือง (เป็นการศึกษาในเชิงจิตวิทยา) ซ่ึงเชื่อว่าทัศนคติ หรือวัฒนธรรมทางการเมืองแบบพลเมืองมีส่วนในการเสริมสร้างความม่ันคงของระบอบการ ปกครองแบบประชาธปิ ไตย • เสถียรภาพหรือความม่ันคงของประชาธิปไตยต้องมีพื้นฐานจากวัฒนธรรมทางการเมืองท่ี ผสมผสานระหว่างความพอดีของการบังคับ การยินยอมให้ปกครอง และการแสดงออกการมี สว่ นร่วมทางการเมือง
• 2. วัฒนธรรมทางการเมืองแบบพลเมืองเป็นสาเหตุหรือผลต่อประชาธิปไตย วัฒนธรรมทางการเมืองจะเป็นช้ีวัดคุณภาพของประชาธิปไตยได้หรือไม่ หรือ วฒั นธรรมทางการเมืองเป็นเงือ่ นไขท่ีสนับสนุนให้เกิดความเป็นประชาธิปไตย ไดห้ รอื ไม่ • 3. วัฒนธรรมทางการเมืองย่อย – กลุ่มเชิงชนชั้น ชาติพันธ์ุ ศาสนา ฯลฯ ใน สงั คมมนั มีความซับซ้อนของวัฒนธรรมทางการเมืองหลักและย่อย และแต่ละ ส่วนมีพลวัตต่อกันและกันอย่างมาก วัฒนธรรมทางการเมืองย่อยอาจมี ผลกระทบในแงเ่ สถียรภาพของระบบการเมอื งการปกครอง
• 3. แนวทางการศึกษาวัฒนธรรมทางการเมืองในฐานะเป็นอุดมการณ์หรืออานาจ Marxist มองวา่ • วัฒนธรรมเป็นส่วนหน่ึงของโครงสร้างส่วนบน เป็นส่วนที่สาคัญของลักษณะ ชนชน้ั เพ่อื ใชบ้ อกตาแหนง่ ฐานะ ผลประโยชน์ • วัฒนธรรมในแบบท่ีสองเป็นรูปแบบของความคิดของชนช้ันปกครอง (อดุ มการณ)์ อดุ มการณข์ องชนชนั้ นาเป็นพลงั อานาจทางวฒั นธรรม คณุ คา่ และความเช่ือ ทาหนา้ ท่สี าคญั คอื การประนีประนอมและเป็นกันชนกบั ชน ชนั้ ใตป้ กครองซง่ึ ทาใหช้ นชนั้ นายทนุ ยงั สามารถครองอานาจทางเศรษฐกิจ และการเมืองได้ โดยผ่านเครอ่ื งมอื เช่น การโฆษณาชวนเช่ือ ตานาน
สรุป วฒั นธรรมทางการเมือง เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกของสังคมการเมืองกับสังคม การเมืองในเชงิ จิตวทิ ยา โดยวัฒนธรรมทางการเมืองใดท่ีสังคมการเมืองต้องการก็มักถูกปลูกฝัง ให้เป็นความคิด, อุดมการณ์, ความเช่ือ ฯลฯ ของสมาชิกในสังคมการเมืองน้ัน ๆ ดังน้ัน วัฒนธรรมทางการเมืองจึงเป็นแบบแผนพฤติกรรมทางการเมืองของบุคคล ซึ่งมาจากความเชื่อ คา่ นยิ ม และทัศนคตทิ างการเมืองของบคุ คลซ่ึงได้รบั การถา่ ยทอดปลกู ฝงั สืบต่อกนั มา จนกระทัง่ บคุ ลลยอมรบั และยึดถือเปน็ แนวทางปฏิบัติการเมืองของสังคม วัฒนธรรมทางการเมืองเกิดจาก กระบวนการปลกู ฝังอบรมกลอ่ มเกลาทางการเมอื ง
โครงสร้างสงั คมของไทย ดร.บานชนื่ นกั การเรยี น
มนษุ ยเ์ ป็นสตั วส์ งั คม : อรสิ โตเติล • อริสโตเติล นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญข่ อง กรีกได้กล่าวไว้ว่า \"มนุษย์เป็นสัตว์สังคม” (Human being is social animal) เพราะมนุษย์มีการอาศัยอยู่ร่วมกนั อยา่ ง เป็นหมวดหมู่ มไิ ด้ใช้ชีวติ อยูเ่ พียงคนเดียวตามลาพงั แตอ่ ย่างใดเนือ่ งจากมนุษย์ ต้องทากจิ กรรมร่วมกันอยตู่ ลอดเวลา ต้องพง่ึ พาอาศัยซึง่ กนั และกัน
ความหมายของสังคม • หมายถึง คนจานวนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันมีระเบียบกฎเกณฑ์ และ วตั ถุประสงคร์ ่วมกัน (เสถยี รโกเศส) • หมายถึง การอยู่รวมกันของมนุษย์โดยมีลักษณะความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันหลาย รปู แบบ (สารานกุ รมเสรี) • หมายถึง การที่มนุษย์พวกหนึ่ง ๆ ท่ีมีอะไรส่วนใหญ่เหมือนหรือคล้ายคลึงกัน มาอยู่ รวมกันด้วยความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน มีความสัมพันธ์กันและมาอยู่ในเขต เดียวกัน อย่างถาวร (ดร. ประสาท หลกั ศลิ า)
ลักษณะของสังคม ประกอบด้วย • 1. มคี นตงั้ แต่ 2 คนขน้ึ ไป • 2. มีการติดต่อสัมพันธต์ อ่ เน่อื งกนั • 3. มีกฎเกณฑร์ ะเบยี บแบบแผนเดยี วกัน • 4. มีเปา้ หมายหรือจดุ มุ่งหมายร่วมกนั • 5. มกี ารเปลยี่ นแปลง
โครงสรา้ งทางสงั คม (Social structure) • หมายถึง โครงสร้างความสัมพนั ธ์ของกลุ่มบุคคลที่อยู่ในสังคม โดยมีแบบแผน และวตั ถปุ ระสงคก์ ารปฏิบตั ริ ่วมกนั • หมายถึง ส่วนต่าง ๆ ที่ประกอบกันเป็นระบบความสัมพันธ์ของสังคมมนุษย์ สว่ นประกอบดังกลา่ วจะต้องเปน็ เค้าโครงทีป่ รากฏในสงั คมมนุษยท์ ุก ๆ สงั คม
โครงสรา้ งทางสงั คม มีองค์ประกอบ 2 ขอ้ • 1. การจัดระเบียบทางสังคม (Social Organization) คือ การจัดระบบ ระเบยี บแบบแผนของสงั คมให้สมาชิกใช้เป็นแบบแผนใน การดาเนินชีวิตรว่ มกนั เพื่อความสงบสุขของสังคม
การจดั ระเบียบทาง 1. กล่มุ สังคม กลุ่มสังคม สังคม มี 2 แบ่งเป็ น 2 ประเภท องค์ประกอบ 2. กระบวนการ จัดระเบียบทาง 1.กลุ่มปฐมภูมิ 2.กล่มุ ฑุติยภูมิ สังคม กระบวนการจดั ระเบียบ ทางสังคม 1. ระบบคุณค่าของสงั คม หรือ สัญญาประชาคม 2. บรรทดั ฐานทางสงั คม 3. สถานภาพและบทบาท 4. การขดั เกลาทางสงั คม
2.สถาบันสังคม (Social Institutions) • หมายถึง แนวทางปฏิบัติที่มีระเบียบ ระบบซ่ึงบุคคลส่วนใหญ่ในสังคมยอมรับปฏิบัติ เพื่อประโยชน์สว่ นรวมในสงั คมและทาให้สงั คมคงสภาพอยไู่ ด้ • หมายถึง กฎเกณฑ์ หรือระเบียบแบบแผนของสังคม ท่ีเป็นแนวทางการประพฤติใน สงั คม แตล่ ะสงั คมมีความตอ้ งการและความจาเป็นหลายอย่าง จึงจาเป็นต้องมีสถาบัน ทางสงั คมหลายสถาบัน • หมายถงึ รูปแบบพฤตกิ รรมของสมาชกิ ในสงั คมเพ่ือสนองความต้องการร่วมกันในด้าน ต่าง ๆ และเพื่อการคงอยู่ของสังคมโดยรวม แบบแผนพฤติกรรมต่าง ๆ เป็นไปตาม บรรทัดฐานทางสังคมทีม่ ีความชัดเจนแนน่ อน และเปน็ ไปตามวัฒนธรรมของสงั คม
องค์ประกอบของสถาบันสงั คม • 1. บุคคล คือ ตวั แทนในการทาหน้าทีข่ องสถาบัน มีองคป์ ระกอบทีส่ าคญั คอื สถานภาพและบทบาท • 2. แบบแผนการปฏบิ ตั ิ คอื แบบแผนแนวคิด และการกระทาทีเ่ ปน็ บรรทัดฐานของ สมาชิกในสงั คม • 3. หน้าที่ คอื การกระทาหรอื กิจกรรมทบ่ี คุ คลจะตอ้ งปฏิบตั เิ พอ่ื สนองความต้องการ จาเปน็ ของสังคม
ลักษณะสาคญั ของสถาบนั • 1. สถาบนั สังคมเปน็ นามธรรม เป็นแบบแผนพฤติกรรมซึ่งกาหนดขึ้นเพ่ือเป็นแบบแผน ในการปฏบิ ตั ริ ว่ มกนั ของสมาชิกทุกคน • 2. สถาบันสงั คมเกิดจากการเชอ่ื มโยงบรรทดั ฐานตา่ ง ๆ ทางสังคม • 3. สถาบันสังคมเกิดขึ้นเพ่ือสนองความต้องการในด้านต่าง ๆ ร่วมกันของสมาชิกใน สังคม และเพ่อื การคงอยขู่ องสังคม • 4. สถาบันสังคมเกิดจากการยอมรบั ร่วมกันของสมาชิกในสงั คม
สถาบนั พื้นฐานของสงั คมมี 6 สถาบนั • 1. สถาบนั ครอบครัว • 2. สถาบันการศกึ ษา • 3. สถาบันทางศาสนา • 4. สถาบนั เศรษฐกจิ • 5. สถาบันการเมืองการปกครอง • 6. สถาบันนนั ทนาการ
สรุป
กจิ กรรม • หน้าทข่ี องสถาบนั การปกครองคอื ?
รูปแบบและโครงสร้างการเมือง การปกครองของไทย ดร.บานชน่ื นักการเรยี น
รูปแบบการเมืองการปกครอง รปู แบบการปกครองในอดีต การที่จะวเิ คราะห์ว่าบ้านเมืองใดมีการปกครองแบบใด สามารถพิจารณาไดจ้ ากองคป์ ระกอบ 2 องคป์ ระกอบ คือ การปกครองนนั้ เป็นไปเพ่อื ผลประโยชนร์ ว่ มกนั ของสว่ นรวม การปกครองน้นั รบั ใช้ผลประโยชน์ของคนๆ เดียว กลุ่มคน หรือพรรค
ปกครองโดย เพอื่ ประโยชน/์ ผ้รู ับประโยชน์ ชอ่ื รูปแบบ คนเดยี ว สว่ นรวม ราชาธิปไตย คนเดยี ว สว่ นตน สว่ นรวม ทรราช กลุ่ม/คณะบุคคล สว่ นตน อภิชนาธิปไตย กลุ่ม/คณะบุคคล สว่ นรวม คณาธิปไตย พรรค ระบอบรฐั ธรรมนญู ประชาชน ประชาธิปไตย ประชาชน
รปู แบบการปกครองในปจั จุบัน มี 2 ระบบใหญ่ ๆ คอื • ระบบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตย • การปกครองแบบรฐั สภา • การปกครองแบบประธานาธบิ ดี • การปกครองแบบกง่ึ ประธานาธบิ ดีกงึ่ รัฐสภา • ระบบการเมอื งการปกครองแบบเผด็จการ • เผดจ็ การแบบทหารมอี านาจปกครอง • เผดจ็ การแบบประธานาธิบดี • เผด็จการแบบสมบรู ณาญาสิทธริ าช • เผด็จการแบบพรรคการเมืองพรรคเดยี วมอี านาจปกครองสงู สดุ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103