100 ลดอาการหลง ๆ ลืม ๆ ได้ หรือการหัวเราะก็ช่วยให้เลือดไหลเวียนดีย่ิงขึ้น เพราะร่างกายจะหลั่ง สารเคมีในระบบประสาทท่ีทำให้ผ่อนคลาย ซ่ึงจะส่งผลดีทั้งร่างกาย จิตใจ อีกท้ังคนรอบข้างก็จะมี ความสุขตามไปดว้ ย 3. พักสายตาจากการเสพสอ่ื โซเชียล ทกุ วันน้ีไม่ว่าจะหันไปทางไหนหรือทำอะไรกต็ ้องถ่ายรปู แชร์ขอ้ มูลข่าวสารตา่ ง ๆ ไม่ให้พลาด เหตุการณ์สำคัญ ๆ ซ่ึงถ้าใช้ในปริมาณท่ีเหมาะสมก็จะให้ผลดีแก่เรา แต่ถ้าใช้มากเกินไปนอกจากจะ ทำให้เปน็ คนติดโซเชียลแล้ว ยังอาจทำให้กล้ามเน้ือดวงตาเม่ือยล้า หรือตาแห้งเพราะตอ้ งคอยจ้องอยู่ ที่หน้าจอเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดอาการเบลอ สายตาพร่ามัว หรือสายตาสั้นได้ ทางที่ดีควรพัก สายตา และบรหิ ารดวงตาของเราด้วย เช่น กระพริบตา กลอกตาไปมาเพ่ือปอ้ งกนั ตาแห้ง หรอื มองไป ยงั วัตถทุ ี่อยู่ไกล กจ็ ะช่วยให้ผ่อนคลายดวงตาลงได้ และถ้าลดโซเชียลลงบ้าง กจ็ ะทำให้ไมต่ ้องเครียด จากการเสพข่าว สุขภาพจิตดีขน้ึ 4. ออกกำลงั กาย การออกกำลังกายนอกจากจะได้สขุ ภาพที่ดี เพราะอวยั วะภายในร่างกายจะทำงานได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพแลว้ ยงั ทำใหเ้ รามภี ูมติ ้านทานห่างไกลโรคภัยต่าง ๆ สุขภาพจิตก็ดีตามไปด้วย ควรออก กำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาทีหลังเลิกงาน ลองเดินออกกำลังกายที่สวนสาธารณะใกล้บ้านก็ได้ หรอื จะว่ิง จะแอโรบิค ก็ล้วนแต่ทำให้ร่างกายมีสุขภาพท่ีดีทั้งน้ัน แต่หากใครไม่มีเวลาออกกำลังกาย จริง ๆ งานบ้านก็อาจจะช่วยได้เหมือนกัน เช่น ทำสวน กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างรถ ก็ถือเป็นการออก กำลังกายไปในตัว ท้งั ยังทำใหบ้ ้านสะอาดเป็นระเบียบเรยี บร้อยอกี ด้วย 5. พักผ่อนใหเ้ พียงพอ เมอื่ ทำกิจวตั รต่าง ๆ ในแต่ละวันเสรจ็ เรียบร้อยแล้ว การพักผ่อนที่ดที ี่สุด คอื การนอน เพราะ ร่างกายจะได้ซอ่ มแซมฟ้ืนฟไู ดอ้ ย่างเตม็ ท่ี ควรนอนให้ครบ 8 ชัว่ โมงและนอนให้เป็นเวลา เพราะหาก นอนดึกเกนิ ไป ร่างกายอาจเหนื่อยลา้ ได้ อีกทั้งยังมีผลเสียตามมา เช่น มีริว้ รอย เสย่ี งต่อโรคภัยต่าง ๆ ทางที่ดีควรพักผ่อนให้เพียงพอ เม่ือต่ืนข้ึนมารับวันใหม่ ร่างกายจะได้สดชื่นและต่ืนตัวตลอดท้ังวัน สุขภาพร่างกายกจ็ ะดีตามไปด้วย สรุปได้ว่า 5 วิธีในการสร้างสุขภาพทด่ี ี ได้แก่ การเลือกรับประทานอาหาร บริหารสมอง พัก สายตาจากการเสพสื่อโซเชียล ออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ 6.4 แนวคดิ เรอื่ งโรค/คนไข/้ คนพยาบาลไข้ 6.4.1 แนวคดิ เรื่องโรค ในอังคุตตรนกิ าย6 แสดงไว้ว่า โรคมี 2 ชนิด คือ 1. โรคทางกาย (กายิโก โรโค) 2. โรคทางใจ (เจตสิโก โรโค) ดังพุทธวจนะท่ีว่า “ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย ดูเหมือนว่า บุคคลทั้งหลายสามารถพ้นจาก โรคทางกายได้ เปน็ เวลา 1 ปีบ้าง 2 ปีบ้าง 3 ปีบ้าง 4 ปีบ้าง 5 ปีบ้าง 10 ปีบ้าง 20 ปีบ้าง 40 ปีบ้าง 50 ปีบ้าง หรือแม้ยง่ิ กวา่ 100 ปบี ้าง แต่วา่ ในโลกน้ี บคุ คลทีพ่ น้ จากโรคทางใจแม้เพียงช่วั ครยู่ ามมนี ้อย นัก นอกจากบคุ คลทพี่ น้ จากกิเลสท้ังหลาย (คือพระอรหนั ต์)” 6อง.ฺ จตุกฺก. 21/157/-.
101 เปา้ หมายสำคญั ในการแสดงธรรมของพระพทุ ธเจ้า คอื การให้การรกั ษาโรคทางใจแกช่ าวโลก ข้อนี้คือเหตุผลที่ว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงทรงได้รับการสรรเสริญจากสาวกของพระองค์ว่า เป็นแพทย์ ของชาวโลกทงั้ มวล (สพพฺ โลกตกิ จิ ฉฺ โก)7 ในสมัยพุทธกาล โรคติดต่อร้ายแรงมี 5 ชนิด คือโรคเรื้อน โรคฝี โรคกลาก โรคมองคร่อและ โรคลมบ้าหมู ในอังคตุ ตรนกิ าย ทสกนบิ าต8 ไดร้ ะบุโรคทางกายตา่ ง ๆ ไว้ดังนี้ มโี รคตา โรคหู โรคจมูก โรคลิ้น โรคกาย โรคศีรษะ โรคที่ใบหู โรคปาก โรคฟัน โรคไอ โรคหืด โรคไข้หวัด โรคไข้พิษ โรคไข้ เซ่ืองซึม โรคในท้อง โรคลมสลบ โรคบิด โรคจุกเสียด โรคลงราก โรคเรื้อน โรคฝี โรคกลาก โรค มองคร่อ โรคลมบ้าหมู โรคหดิ เป่ือย โรคหิดดา้ น โรคคุดทะราด โรคหูด โรคละอองบวม โรคอาเจียน โลหิต โรคดีเดอื ด โรคเบาหวาน โรคเริม โรคพพุ อง โรครดิ สดี วง 6.4.2 แนวคดิ เรอื่ งคนไข้ พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงคนไข้ไว้ 3 ประเภท คอื 9 1. คนไขบ้ างคนได้อาหาร ยา คนพยาบาลซึง่ สมควรหรือไม่ก็ตามก็ไม่หายจากอาพาธน้ัน 2. คนไข้บางคนได้อาหาร ยา คนพยาบาล ซง่ึ สมควรหรอื ไมก่ ต็ าม กห็ ายจากอาพาธน้ัน 3. คนไข้บางคนต่อเม่ือได้อาหาร ยา คนพยาบาลซ่ึงสมควรจึงหายจากอาพาธนั้น เมื่อไม่ได้ อาหาร ยา คนพยาบาลซึ่งสมควรก็ไมห่ ายจากอาพาธนนั้ พระพุทธเจ้าทรงระบุว่า คนไขท้ ่ีประกอบด้วย 5 อย่างนี้ เปน็ ผู้ที่พยาบาลยาก คอื 1. มักทำส่ิงซึ่งไม่เป็นท่ีสบายคือ ชอบฝืนคำสั่งหมอ เช่น ชอบกินของแสลง ห้ามเดินจะเดิน หา้ มพูดจะพูด เปน็ ต้น 2. ไมร่ ้ปู ระมาณในสง่ิ ท่สี บาย 3. ไม่กินยา 4. ไม่บอกอาการป่วยตามความจริง แก่คนพยาบาลไข้ผู้ปรารถนาสิ่งท่ีเป็นประโยชน์ว่า อาการปว่ ยเพิม่ ขึ้น ทุเลา หรอื ทรงอยู่ 5. ไม่อดทนต่อทุกขเวทนาทางกายท่ีเกิดขึ้นแล้วอันเป็นเวทนากล้าแข็ง เจ็บปวด ไม่เป็นท่ี พอใจถงึ ขนาดจะครา่ ชีวติ 10 ส่วนคนไข้ท่ีประกอบด้วย 5 อยา่ งน้ี เปน็ ผทู้ ่พี ยาบาลงา่ ย คือ 1. มักทำส่ิงอนั เปน็ ที่สบาย คือไม่ฝืนคำสง่ั หมอ 2. รู้ประมาณในสง่ิ อันเป็นท่สี บาย 3. กนิ ยา 4. บอกอาการป่วยตามความจริงแก่คนพยาบาลไข้ผู้ปรารถนาส่ิงท่ีเป็นประโยชน์ว่า อาการ ป่วยเพ่ิมข้นึ ทุเลาลงหรอื ทรงอยู่ 7ข.ุ เถร. 26/385/-. 8อง.ฺ ทสก. 24/60/-. 9องฺ.ติก. 20/461/-. 10องฺ.ปญฺจก. 22/123/-.
102 5. อดทนต่อทุกขเวทนาทางกายที่เกิดข้ึน อันเป็นเวทนากล้าแข็ง เจ็บปวดไม่เป็นท่ีพอใจถึง ขนาดจะครา่ ชวี ิต 6.4.3 แนวคิดเรื่องคนพยาบาลไข้ พระพุทธเจ้าทรงระบุว่า คนพยาบาลไข้ท่ีประกอบด้วย 5 อย่างน้ีไม่ควรที่จะพยาบาลคนไข้ ไดแ้ ก่ 1. ไม่สามารถที่จะจัดยา 2. ไม่รู้ของควร ของแสลง นำของแสลงเขา้ ไปให้ นำของไมแ่ สลงออก 3. เป็นผู้เหน็ แก่อามิสจงึ พยาบาล ไมม่ เี มตตาจติ พยาบาล 4. รังเกียจที่จะนำไปเทอุจจาระ ปัสสาวะ อาเจียรหรอื เขฬะ (น้ำลาย) 5. ไม่สามารถทจ่ี ะชแ้ี จงชกั ชวน ปลกุ ใจปลอบใจคนไขด้ ้วยธรรมีกถา เป็นคร้ังคราว คนพยาบาลไข้ท่ีประกอบดว้ ย 5 อยา่ งนี้ ควรท่ีจะพยาบาลคนไข้ คอื 1. สามารถที่จะจดั ยา 2. ร้ขู องควร ของแสลง นำของแสลงออก นำของควรเขา้ ไปให้ 3. มีเมตตาจิตพยาบาล ไม่มุ่งอามิสพยาบาล 4. ไมร่ งั เกียจท่จี ะนำไปเทอุจจาระ ปสั สาวะ อาเจียรหรอื เขฬะ 5. เป็นผู้สามารถที่จะช้แี จงชกั ชวน ปลุกใจ ปลอบใจคนไข้ด้วยธรรมกี ถาเป็นครัง้ คราว11 พุทธศาสนิกชนไดส้ ร้างโรงพยาบาลไมเ่ พยี งแต่สำหรบั มนษุ ยเ์ ท่านนั้ แตย่ ังสำหรบั สัตวอ์ ีกดว้ ย พบไดจ้ ากพระเจ้าอโศกมหาราชของอินเดียได้ทรงสร้างโรงพยาบาลดังกล่าว จารึกศิลาฉบับท่ี 2 ยนื ยัน ไดว้ ่า “ในสถานทท่ี ้ังปวงนั้น พระเจา้ อยหู่ ัวปริยทรรศี (พระเจ้าอโศกมหาราช) ผู้เป็นทีร่ กั แหง่ ทวยเทพ ได้โปรดให้จัดบริการในด้านเวชกรรมไว้ 2 ประการ คือ การรักษาโรคของมนุษย์ประการหน่ึง การ รักษาโรคของสัตว์ประการหนึ่ง เครื่องสมุนไพรท่ีเป็นยาสำหรับมนุษย์ไม่มี ณ สถานท่ีใด ก็โปรดให้ นำเข้ามาและให้ปลกู ขึน้ ไว้ ณ สถานท่ีนน้ั ”12 สรุปไดว้ า่ แนวคิดเร่ืองโรค คอื โรคมี 2 ชนิด คือ 1. โรคทางกาย (กายิโก โรโค) 2. โรคทางใจ (เจตสิโก โรโค) แนวคิดเร่ืองคนไข้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงคนไข้ไว้ 3 ประเภท พระพทุ ธเจ้าทรงระบวุ ่า คนไข้ทีป่ ระกอบดว้ ย 5 อย่างน้ี เป็นผทู้ ี่พยาบาลยากและเปน็ ผ้ทู ี่พยาบาลง่าย แนวคดิ เรื่องคนพยาบาล ไข้ พระพทุ ธเจ้าทรงระบุวา่ คนพยาบาลไข้ท่ปี ระกอบด้วย 5 อยา่ งน้ีไม่ควรทจี่ ะพยาบาลคนไข้และควร ที่จะพยาบาลคนไข้ 11องฺ.ปญจฺ ก. 22/124/-. 12พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต), จารึกอโศก, (กรุงเทพมหานคร : งานรำลึกพระคุณ ม.ร.ว. สอางค์ เทวกลุ ในวาระอายคุ รบ 100 ปี พ.ศ. 2541), หน้า 37.
103 6.5 พุทธวิธรี ักษาโรค พระวนิ ัยปิฎกแสดงเภสัชชขันธกะ (หมวดยา) ไวแ้ กภ่ ิกษุอาพาธ ยาท่ที รงแสดงไว้เป็นยาแผน โบราณซ่งึ มีอยใู่ นสมยั นัน้ ดงั น้ี มูลเภสัช : หัวหรือรากไม้ท่ีเป็นยา คือ ขมิ้น ขิง ว่านน้ำ ว่านเปราะ อุตพิด ข่า แฝก แห้วหมู หรือหวั หรอื รากไมท้ ่ีเปน็ ยา แมช้ นดิ อนื่ ซง่ึ มอี ยู่ กสาวเภสัช : นำ้ ฝาดจากต้นไมท้ ี่เป็นยา คอื น้ำฝาดสะเดา น้ำฝาดมูกมัน นำ้ ฝาดกระดอมหรือ ขี้เถา้ น้ำฝาดบรเพด็ หรือพญามอื เหล็ก น้ำฝาดกถนิ พมิ านหรือนำ้ ฝาดแม้ชนิดอื่นซ่งึ มีอยุ่ ปัณณเภสัช : ใบไม้ท่ีเป็นยา คือ ใบสะเดา ใบมูกมัน ใบกระดอมหรือข้ีกา ใบกระเพราหรือ แมงลกั ใบฝ้าย หรือ ใบไมท้ ่ีเป็นยาแมช้ นิดอนื่ ซ่งึ มีอยู่ ผลเภสัช : ผลไม้ที่เป็นยา คือ ลูกพิลังกาสา ดีปลี สมอไทย สมอพิเภก มะขามป้อม ผลแห่ง โกฏ หรือผลไม้ทเี่ ป็นยาแมช้ นดิ อ่ืนซึง่ มอี ยู่ ชตเุ ภสัช : ยางไม้ทเี่ ป็นยา คอื ยาอนั ไหลออกจากต้นหิงคุ ยางอนั เขาเคี่ยวจากก้านและใบแห่ง ตน้ หิงคุ ยางอันเขาเคี่ยวจากใบแห่งต้นหิงคุหรือเจือของอ่ืนด้วย ยางอันไหลออกจากยอดไม้ตกะ ยาง อนั ไหลออกจากใบแห่งตน้ ตกะ ยางอันเขาเค่ียวจากใบหรือไหลออกจากก้านแห่งต้นตกะ กำยาน หรือ ยางไมท้ ่ีเปน็ ยาชนิดอนื่ ซ่ึงมอี ยู่ โลณเภสชั : เกลือท่เี ป็นยา คือ เกลือสมทุ ร เกลือดำ เกลอื สนิ เธาว์ เกลอื ดินโป่ง เกลอื หุง หรือ เกลอื ที่เป็นยาชนดิ อืน่ ซึ่งมอี ยู่ จณุ เภสัช : ยาผง ใชเ้ มื่อเปน็ ฝี แผลพุพอง สวิ อสี ุกอใี ส มกี ล่นิ ตัวแรง ยาตา ท่ีปรุงด้วยเคร่ืองปรุงหลายอย่าง ยาตาท่ีทำด้วยเครื่องปรุงต่าง ๆ ยาตาที่เกิดใน กระแสนำ้ เป็นต้น หรดาลกลบี ทอง เขมา่ ไฟ เคร่ืองยาที่จะบดผสมกับยาตา คือ ไม้จันทน์ กฤษณา กะลัมพัก ใบเฉียง ? แห้วหมู นอกจากน้ัน พระพุทธองค์ทรงระบุถึงวิธีการเก็บยาไว้ ให้ปลอดภัย และให้ยาน้ีมีคุณภาพดี เหมาะ สำหรบั ใชใ้ นคร้ังต่อไปโดยให้เก็บยาตาชนิดผงไว้ในกลักยาตาท่ีทำด้วยกระดูก งา เขา ไมอ้ ้อ ไม้ไผ่ ไม้ ยาง ผลไม้ โลหะ เปลือกสังข์ กลักยาตาดังกล่าวน้ันต้องมีฝาปิดแม้เมื่อมีฝาปิดยังตกได้ให้ผูกด้ายแล้ว พันกบั กลกั ยาตา ในการใช้น้ำมัน ภิกษุใช้น้ำมันทาศีรษะรักษาโรคปวดศีรษะ เม่ือไม่หายใช้การนัตถุ์ น้ำมันที่ นัตถไ์ุ หลออกพระพุทธเจ้าทรงอนญุ าตกล้องสำหรับนัตถ์ุ พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติกลอ้ งสำหรบั นัตถุ์ท่ี เหมาะสมกับสมณภาวะคือ กล้องท่ีทำด้วยกระดูก งา เขา ไม้อ้อ ไม้ไผ่ ไม้ ยาง ผลไม้ โลหะ เปลือก สังข์ น้ำมันที่หุงรักษาโรคลมได้ อาจจะเจือนำ้ เมาด้วย โดยมีเง่ือนไขว่า น้ำเมาท่ีใส่นั้น สี กลิน่ รส ไม่ ปรากฏ13 มีการรกั ษาบางรูปแบบท่ีแสดงไว้ในพระวินัยปิฎกซ่ึงสมควรจะได้รับความสนใจโดยการวิจัย ยาแผนโบราณซง่ึ ใช้กนั อยใู่ นอินเดยี ในสมัยพุทธกาล ภิกษุถูกงูกัด พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ใช้ยา 4 ชนิดคือ คูถ (อุจจาระ) มูตร (ปัสสาวะ) ขเ้ี ถา้ และดิน (ยาชนิดนีจ้ ะเพ่ือให้อาเจียนหรืออยา่ งไรไม่มบี อกไว้) 13วิ.มหา. 5/28-39/-.
104 ภกิ ษุรปู หนง่ึ ด่ืมยาพิษเข้าไป พระพทุ ธองค์ทรงอนุญาตให้ดื่มนำ้ เจอื คถู ภิกษุรูปหน่ึงอาพาธถูกยาแฝด พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ดื่มน้ำที่เขาละลายจากดินรอยไถ ซ่ึงตดิ ผาล ภกิ ษรุ ปู หนงึ่ เปน็ โรคทอ้ งอดื พระพทุ ธองคท์ รงอนญุ าตให้ดืม่ น้ำด่างจากขีเ้ ถา้ ของขา้ วสกุ เผา ภกิ ษรุ ปู หน่ึงอาพาธเป็นโรคเหลอื ง พระพุทธองคท์ รงอนญุ าตให้ดื่มน้ำสมอดองน้ำมูตรโค ภิกษรุ ูปหนึง่ อาพาธเป็นโรคผิวหนงั พระพทุ ธองค์ทรงอนุญาตให้ทำการทาตัวด้วยของหอม ภกิ ษุรูปหนงึ่ ทอ้ งผูก พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ด่ืมยาประจถุ า่ ย หมอชีวก โกมารภัจจ์เรียนวิชาแพทย์ เมื่อทดสอบว่า เขามีความรู้หรือไม่ อาจารย์มอบงาน หนักแก่เขาว่า “พ่อชีวก ถ้าเช่นน้ัน เธอจงถือเสียมเที่ยวไปรอบเมืองตักกสิลาระยะทาง 1 โยชน์ ตรวจดูสงิ่ ใดไม่ใช่ตัวยาจงขุดส่ิงน้ันมา หมอชีวกเดนิ ไปรอบเมืองตักกสิลา มิได้เหน็ สิ่งใดที่ไม่เป็นตัวยา สักอยา่ งหนึ่ง ตวั อย่างนเ้ี ป็นการเพียงพอทจ่ี ะแสดงให้เหน็ ถงึ ตำรบั ยาท่ีใชก้ นั แล้ว การผ่าตัดเป็นที่รจู้ ักกันในสมัยพุทธกาล เรารจู้ ากหมอชีวกรักษาเศรษฐีคนหนึ่ง โดยการถลก หนังศรี ษะเปิดรอยประสานกะโหลกศีรษะ นำสัตว์มชี ีวติ ออกมา 2 ตัวสัตว์เหล่าน้ีเป็นสาเหตุใหเ้ ศรษฐี เป็นโรคปวดศีรษะ เศรษฐีอีกคนหนึ่งทนทุกข์ทรมานจากโรคเนื้องอกที่ลำไส้ ยาคู (ข้าวตม้ เปน็ ของเหลวดื่มได้ซด ได้ ไม่ใช่ของกินให้อ่ิม) ที่ด่ืมเข้าไป ข้าวสวยท่ีกินเข้าไปไม่ย่อยอุจจาระและปัสสาวะออกไม่สะดวก เพราะโรคนัน้ จงึ ซบู ผอมเศร้าหมอง มีผิวพรรณซบู ซีด เหลอื งข้นึ ๆ มีตวั สะพร่ังด้วยเอน็ หมอชวี กจงึ ผ่า หนังท้อง นำเนื้องอกทีลำไส้ออก แล้วตัดเนื้องอกในลำไส้ออก สอดใส่ลำไส้กลับดังเดิม แล้วเย็บหนัง ทอ้ งทายาสมานแผล หมอชีวกรักษาภรรยาเศรษฐีโดยการนัตถุ์ หมอชีวกรักษาโรคริดสีดวงงอกของพระเจ้าพิม พิสาร ให้หายขาดด้วยทายาเพียงครง้ั เดียว เมื่อจำเป็นท่ีจะให้พระพุทธเจา้ ถา่ ยท้อง หมอชีวกได้ถวาย พระโอสถถ่ายโดยใหท้ รงสูดกา้ นอบุ ล หมอชวี กได้แทรกยาทางเล็บในมะข้ามปอ้ ม (ซ่ึงมสี รรพคุณให้ถ่ายท้อง) ทต่ี นเองรับประทาน แล้วให้แก่กากะมหาดเล็กซึ่งติดตามมาจับตัวไปให้แก่พระเจ้าจัณฑปัชโชติ ผู้ทรงเกลียดการรักษาโรค ผอมเหลอื งดว้ ยเนยใส การป้องกันจากความเจ็บป่วย (มิใช่เฉพาะการรักษาเท่าน้ัน) เป็นสิ่งที่พระพุทธศาสนา สรรเสริญไว้อย่างสูงยิ่ง ในเรื่องน้ี เน้นการรักษาความสะอาดไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า และยังแนะนำการ รักษาปากให้สะอาดโดยการใช้ไม้สีฟัน พระพุทธเจ้าทรงระบุผลของการเค้ียวไม้สีฟันไว้ 5 ประการ คือ14 1. สายตาดี 2. ปากไม่มกี ลน่ิ เหมน็ 3. ประสาทรบั รสหมดจด 4. ดีและเสมหะไม่รึงรัดอาหาร 5. รบั ประทานอาหารได้อรอ่ ย (มรี ส) 14อง.ฺ ปญจฺ ก. 22/208/-.
105 นิสัยการใช้ส้วมของภิกษุมีกล่าวไว้ในพระวินัยปิฎก ภิกษุอุจจาระในท่ีต่าง ๆ ในอาราม ปรากฏว่า อารามสกปรก พระพุทธองค์ทรงอนุญาตหลุมถ่ายอุจจาระ ทรงอนุญาตให้ก่อ 3 อย่าง คือ ก่อด้วยอิฐ ก่อด้วยศิลา ก่อด้วยไม้ ภิกษุถ่ายอุจจาระในที่แจ้งลำบากเพราะร้อนบ้าง หนาวบ้าง พระพทุ ธเจา้ จงึ ทรงอนุญาตวจั จกุฎี การถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือ บ้วนน้ำลายลงในน้ำเป็นนิสัยที่ต้องหลีกเล่ียงเพราะการทำ เชน่ นผี้ ดิ หลักอนามยั แม้แต่ในเร่ืองการอาบน้ำ ภิกษุสรงน้ำในท่ีต่าง ๆ ในอาราม ปรากฏว่า อารามเป็นตม พระ พุทธองค์จึงทรงอนุญาตลำรางระบายน้ำ ลำรางโล่งโถง ภิกษุอายที่จะสรงน้ำ จึงทรงอนุญาตให้กั้น กำแพง 3 ชนิด คือ กำแพงอิฐ กำแพงหิน กำแพงไม้ ปรากฏว่า ลำรางระบายน้ำเป็นตม จึงทรง อนุญาตเครือ่ งลาด 3 ชนิด คอื อิฐ หิน ไม้ ปรากฏวา่ นำ้ ขัง จึงทรงอนญุ าตทอ่ ระบายน้ำ ในเสขิยวัตรตอนท่ีว่าด้วยโภชนสังยุต (ธรรมเนียมเก่ียวกับการรับบิณฑบาตและฉันอาหาร) พระพุทธเจา้ ทรงสอนวัฒนธรรมการฉันอาหารไว้ เช่น ภิกษุทำการศึกษาว่า เมื่อคำข้าวอยูใ่ นปาก เรา จกั ไม่พูด, เราจกั ไม่ฉันดังจับๆ, เราจักไมฉ่ ันดงั ซูดๆ, เราจกั ไมฉ่ ันเลียรมิ ฝีปาก, เราจักไม่ฉนั เลียมือ, เรา จักไม่ฉันเลียบาตร (บาตรในสมัยนั้นไม่ลึกมากอย่างในปัจจุบัน แม้ภาชนะใส่ของคล้ายชามก็เรียกว่า บาตร จึงเลยี ได้), เราจกั ไมเ่ อามอื เปือ้ นจบั ภาชนะนำ้ เปน็ ตน้ การป้องกันความเจ็บป่วยและภัยต่าง ๆ ควรเกิดขึ้นโดยการพัฒนาสภาพจิตเชิงบวกคือ แผ่ เมตตาจิตไปยังสรรพสัตว์ ในสมัยหน่ึง ภิกษุรูปหนึ่งถูกงูกัดถึงมรณภาพ พระพุทธเจ้าตรัสวา่ “ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรูปน้ันไม่ได้แผ่เมตตาจิตไปสู่ตระกูลพญางูท้ัง 4 คือ (ตระกูลพญางูวิรูปักขะ, ตระกลู พญางูเอราปถะ,ตระกลุ พญางฉู ัพยาปุตตะ และ ตระกูลพญางูกัณหาโคตมกะ) เป็นแน่ เพราะ ถา้ ภิกษุรปู น้นั แผ่เมตตาจิต ไปสตู่ ระกูลพญางูทัง้ 4 ภิกษรุ ูปนน้ั จะไม่ถูกงูกดั ถงึ มรณภาพ พระพุทธเจ้าทรงแสดงคาถาแผเ่ มตตากันงูกัดไว้ ดังนี้15 “เรากบั พญางูตระกลู วิรูปักขะ จงมเี มตตาต่อกัน เรากบั พญางตู ระกลู เอราปถะ จงมเี มตตาต่อกัน เรากับพญางูตระกูลฉพั ยาปตุ ตะ จงมีเมตตาตอ่ กัน เรากบั พญางตู ระกูลกัณหาโคตมกะ จงมเี มตตาต่อกนั เรากับฝูงสัตวไ์ ม่มีเท้า จงมีเมตตาต่อกัน เรากับฝูงสตั ว์ 2 เทา้ จงมเี มตตาตอ่ กัน เรากบั สตั ว์ 4 เท้า จงมเี มตตาตอ่ กัน เรากบั ฝูงสัตว์มีเทา้ มาก จงมีเมตตาตอ่ กนั สัตวไ์ ม่มีเทา้ อยา่ ไดเ้ บียดเบียนเรา สัตว์ 2 เท้า อย่าไดเ้ บยี ดเบยี นเรา สัตว์ 4 เทา้ อย่าไดเ้ บยี ดเบียนเรา สตั ว์มเี ท้ามากอย่าไดเ้ บยี ดเบียนเรา และสตั วท์ ี่เกิด แล้วยงั มีชวี ิตทั้งหลายทุกหมเู่ หลา่ จงประสบความเจริญ อยา่ ได้พบเห็นส่งิ ชั่วช้า สกั น้อยหนงึ่ เลย” 15วิ.จุล.ฺ 7/27/-.
106 สรุปได้ว่า พระพุทธเจา้ ทรงแสดงเภสัชชขันธกะ (หมวดยา) ซึ่งเป็นยาแผนโบราณซึ่งมีอยู่ใน สมัยน้ันไว้แก่ภิกษุอาพาธ การผ่าตัดเป็นที่รู้จักกันในสมัยพุทธกาล การป้องกันจากความเจ็บป่วยเป็น สง่ิ ท่ีพระพุทธศาสนาสรรเสริญไว้อย่างสูงยิ่ง ในเรื่องนี้ เน้นการรักษาความสะอาดไว้คร้ังแล้วคร้ังเล่า และยังแนะนำการรกั ษาปากให้สะอาดโดยการใช้ไม้สฟี ัน และการป้องกันความเจ็บปว่ ยและภยั ต่าง ๆ ควรเกิดขนึ้ โดยการพัฒนาสภาพจิตเชิงบวกคอื แผเ่ มตตาจติ ไปยงั สรรพสตั ว์ 6.5 พิธีกรรมการรกั ษาโรคของชาวพุทธ พิธกี รรมของชาวพทุ ธในรกั ษาโรค ประกอบดว้ ย 2 วิธี คอื 1. การสวดมนตร์ ักษา คือ รตนสตู ร โพชฌังคสตู รและคริ ิมานนทสตู ร 2. การพรมนำ้ มนต์เพื่อรกั ษาไข้ พระพุทธเจ้า พระมหากัสสปะและพระมหาโมคคัลลานะ ผู้ซึ่งอาพาธ เม่ือได้ฟังโพชฌงค์ องค์ ธรรมแหง่ การตรสั รู้ กไ็ ดห้ ายจากอาพาธนัน้ ทนั ที พระคิรมิ านนท์อาพาธหนกั ไดฟ้ ังสัญญา 10 จากพระ อานนท์ อาพาธก็สงบโดยพลัน ในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค16 แสดงไวว้ ่า สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่ทีว่ ัดเวฬุวัน ได้ ทราบขา่ วว่า พระมหากัสสปะอาพาธ เลยเสด็จไปเยย่ี ม เม่ือเสด็จไปถึงท่ีอยู่ของพระมหากัสสปะ ตรัส ถามอาการว่า ดูก่อนกัสสปะยังพอทนได้ไหม พอยังอัตภาพให้เปน็ ไปได้ไหม ทุกขเวทนาผอ่ นคลายลง หรอื กำเรบิ ข้ึน พอทเุ ลาแลว้ หรอื ยงั ไม่กำเรบิ แลว้ ใชไ่ หม ? พระมหากัสสปะกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์อดทนไม่ได้ ยังอัตภาพให้ เปน็ ไปไม่ได้ ทุกขเวทนาของข้าพระองคก์ ำเรบิ หนักยงั ไม่คลายไป ความกำเริบย่อมปรากฏ ความทุเลา ไมป่ รากฏ เม่อื พระพทุ ธเจ้าได้ทรงทราบวา่ อาการอาพาธของพระมหากัสสปะอย่ใู นข้นั หนกั หนาสาหสั จึง ทรงแสดงโพชฌงค์อันเป็นองค์ธรรมแห่งการตรัสรู้แก่พระมหากัสสปะว่า ดูก่อนกัสสปะโพชฌงค์ 7 เหล่านี้เรากล่าวไว้ชอบแล้ว อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพ่ือ ความตรัสรู้ เพ่ือนพิ พาน โพชฌงค์ 7 เป็นไฉน ? ดูก่อนกัสสปะ สติสัมโพชฌงค์ เรากล่าวไว้ชอบแล้ว อนั บุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว ย่อม เป็นไปเพื่อความรู้ยง่ิ เพื่อตรัสรู้ เพ่ือนิพพาน ธมั มวจิ ยสมั โพชฌงค์...วริ ิยสัมโพชฌงค์ ...ปีติสัมโพชฌงค์ ...ปสั สัทธิสัมโพชฌงค์...สมาธสิ ัมโพชฌงค์...อุเบกขาสัมโพชฌงค์...เรากล่าวไวช้ อบแลว้ อันบุคคลเจริญ แล้ว กระทำให้มากแล้ว ยอ่ มเป็นไปเพอ่ื ความร้ยู ง่ิ เพอ่ื ความตรสั รู้ เพื่อนิพพาน ดูก่อนกัสสปะ โพชฌงค์ 7 เหล่านแ้ี ล เรากล่าวไว้ชอบแล้ว อนั บุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว ย่อมเปน็ ไปเพือ่ ความรู้ย่ิง เพ่อื ตรสั รู้ เพ่ือนพิ พาน พระมหากัสสปะกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า โพชฌงค์ดีนัก ข้าแต่พระสุคต โพชฌงค์ดนี ักพระมหากัสสปะปล้ืมใจ ชนื่ ชมภาษิตของพระพุทธเจา้ พระมหากัสสปะหายจากอาพาธ นนั้ 16ส.ํ มหา. 15/415-419/-.
107 อีกแห่งหน่ึง ในอนาถปณิ ฑโิ กวาทสตู ร อนาถปิณฑิกคฤหบดไี ม่สบาย เป็นไข้หนัก จึงส่งคนไป กราบทูลพระพทุ ธเจ้าให้ทรงทราบและให้ถวายบังคมแทนตน กับส่งคนไปอาราธนาพระสารบี ุตรไปท่ี อยู่ของตน เพื่อเป็นการอนเุ คราะห์ พระสารบี ุตรรับนิมนต์แล้วก็ไปเยย่ี มไตถ่ ามโดยมีพระอานนท์ตาม ไปด้วยเป็นปัจฉาสมณะ (ภิกษุผู้ติดตาม) อนาถปิณฑิกคฤหบดมี ีทกุ ขเวทนากล้า พระสารีบุตรจึงกล่าว ธรรมส่ังสอน เช่น ท่านพึงสำเนยี กว่า จกั ไม่ยึดถือตา หู จมูก ล้ิน กาย ใจ และวิญญาณของท่านจักไม่ อาศัยตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจ ฯลฯ อนาถปิณฑกิ คฤหบดีได้ฟัง ก็รอ้ งไห้ พระอานนท์จึงถามว่า ทา่ นยัง ติด ยังอาลัยอยู่หรอื อนาถปิณฑิกคฤหบดีตอบว่า มิได้ติด มิได้อาลัย แตไ่ ม่เคยได้ฟังธรรมิกถาอย่างนี้ เมื่อทราบว่าธรรมกิ ถาเช่นนี้ ไม่ไดแ้ สดงแกค่ ฤหสั ถ์ผ้นู ุ่งผา้ ขาว แต่แสดงแก่บรรพชิต จงึ ขอรอ้ งพระสารี บตุ รให้แสดงแกค่ ฤหัสถบ์ า้ ง เพราะกุลบุตรทมี่ กี เิ ลสน้อยมอี ย่จู ะเป็นผรู้ ู้ธรรมะได้ ไมไ่ ดฟ้ ังกจ็ ะเสือ่ มจาก ธรรมะไป สว่ นการพรมน้ำมนต์เพอื่ รกั ษาไข้ปรากฏในอรรถกถาธรรมบท ดังน้ี “เมืองไพสาลีเมืองหลวงของเจ้าลจิ ฉวีทัง้ หลาย มีพลเมืองมากมาย ไดป้ ระสบทุพภิกขภยั และ ลม้ ตาย กล่ินของซากศพเหมน็ กระจายไปไกล พลเมอื งถกู คกุ คามโดยเชือ้ โรคทางระบบหายใจ เจ้าลิจฉวีได้ทูลอาราธนาพระพุทธเจ้า เพื่อเสด็จเยือนพระนคร พระพุทธเจ้าทรงรับคำ อาราธนาและได้เสด็จไปพร้อมกับพระสาวก 5 รูป ไม่นานเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จถึงเขตเมืองไพสาลี ก็ได้เกิดฝนตกห่าใหญ่ พระพุทธองค์เสด็จ เสด็จมาถึงในตอนเย็น พระพทุ ธองค์ตรัสให้พระอานนท์สวดรตนสตู รใน 3 ด้านของกำแพงเมือง พระ อานนทเ์ รียนรตนสูตรจากพระโอฐของพระพุทธเจ้า รับน้ำจากบาตรหินของพระพุทธเจ้าและไปยืนที่ ประตูเมือง เมื่อพระอานนท์สวดว่า ยงฺกิญฺจิ และพรมน้ำมนต์ หยดน้ำท่ีพุ่งเข้าไปในอากาศแล้วตกลงมา ถกู คนป่วยเหลา่ นน้ั ความเจ็บป่วยของคนเหล่านัน้ ก็หายทันที” คนแต่ละคนจะมีสุขภาพดีก็ต่อเมื่อสมบูรณ์ท้ังทางกายและใจ รวมทั้งสามารถปฏิบัติพันธะ ทางศีลธรรมของตนไดโ้ ดยไม่เสีย บุคคลเชน่ นน้ั จงึ ชื่อว่า บรรลุถึงความสำเรจ็ ท้ังสว่ นตวั และสว่ นสงั คม สรุปได้ว่า พิธีกรรมของชาวพุทธในรักษาโรค ประกอบไปการสวดมนต์รักษา คือ รตนสูตร โพชฌังคสูตรและคิริมานนทสูตร ซ่ึงพระพุทธเจ้า พระมหากัสสปะและพระมหาโมคคัลลานะ ผู้ซึ่ง อาพาธ เมือ่ ไดฟ้ งั โพชฌงค์องคธ์ รรมแห่งการตรสั รู้ กไ็ ดห้ ายจากอาพาธนน้ั ทนั ที พระคริ มิ านนทอ์ าพาธ หนักได้ฟังสัญญา 10 จากพระอานนท์ อาพาธก็สงบโดยพลัน และการพรมน้ำมนต์เพ่ือรกั ษาไข้ เมื่อ ครั้งท่ีเมืองไพสาลีเมืองหลวงของเจ้าลิจฉวีท้ังหลาย มีพลเมืองมากมาย ได้ประสบทุพภิกขภัยและล้ม ตาย กลิน่ ของซากศพเหมน็ กระจายไปไกล พลเมอื งถูกคุกคามโดยเชื้อโรคทางระบบหายใจ 6.6 ธรรมะกับการรกั ษาสุขภาพ การมีสขุ ภาพดีในทัศนะพระพทุ ธศาสนาโดยท่ัวไปหมายถึงความมโี รคน้อยตา่ งหาก เนื่องจาก พระพุทธศาสนามองว่าความเจ็บไขเ้ ป็นเรื่องธรรมดา เพราะมนุษย์เราประกอบขึ้นด้วยองค์ประกอบ ตา่ ง ๆ ทเี่ ป็นอนจิ จลกั ษณะ คือเคลื่อนไหวไมห่ ยดุ นิ่ง เปน็ อนจิ จัง หลักสำคัญจงึ อยู่ท่ีว่าจะปฏบิ ัตติ ่อมัน อย่างไรให้สมบูรณ์ดี และในยามท่ีเกิดเป็นโรคภัยไข้เจ็บข้ึน ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องไปทุกข์ใจ เรามี
108 หน้าท่ีท่ีจะต้องแก้ไขบำบัดรักษาและบริหารชีวิตให้ดี ถ้าหลีกเลี่ยงโรคได้ก็หลีกเล่ียง ถ้ามันเกิดขึ้นก็ รักษาไป ทำให้ไดผ้ ลดี แตอ่ ย่าไปทกุ ข์กระวนกระวายกับโรคภัยไขเ้ จบ็ นัน้ ในพระพุทธศาสนา พระพุทธองคไ์ ดแ้ บ่งโรคออกเป็น 2 อยา่ งด้วยกันคอื โรคทางกายกับโรค ทางใจ ทั้ง 2 โรคนี้ พระพุทธองค์ตรัสวา่ “คนท่ีไม่มีโรคทางกายเปน็ เวลานาน ๆ ก็ยังพอหาได้ แตค่ นที่ ไม่มีโรคทางใจ แม้เพียงชั่วขณะนั้นหาได้ยากเต็มที จะมีก็แต่พระอรหันต์เท่านั้นท่ีไม่มีโรคทางใจ” โดยนัยนี้ พระพุทธองค์ให้ความสำคัญกับโรคทางใจมากกว่าโรคทางกาย ในแงจ่ ุดมุ่งหมายสูงสุดของ พุทธศาสนา สุขภาพกายเป็นเพียงบันไดให้เราไตไ่ ปสจู่ ุดหมาย ไมใ่ ชเ่ ป็นจุดหมายปลายทางแต่อย่างใด เพราะในท่ีสุดแล้วมนุษย์ควรจะมีชีวิตท่ีสมบูรณ์ด้วยการมีสุขภาพจิตท่ีสมบูรณ์ ส่วนสุขภาพกายเป็น พื้นฐานทีจ่ ะช่วยให้เราเข้าถงึ ชีวิตทด่ี งี ามขนึ้ ไป ไม่ใช่จุดหมายสงู สดุ ในพระพทุ ธศาสนา การดแู ลรักษาสุขภาพดว้ ยธรรมะ ในพระไตรปิฎกจะพบวา่ มีการใช้ 2 วิธีดว้ ยกนั คอื 17 ใชส้ วด ให้คนป่วยฟัง และคนป่วยนำหลักธรรมมาปฏิบัติเพ่ือระงบั ความเจ็บไข้ การสวดพระปริตร หมายถึง การใชบ้ ทสวดต่าง ๆ สาธยายใหค้ นป่วยฟงั การฟังสาธยายธรรม ทำใหก้ ายผ่อนคลายไมเ่ ครยี ดได้ เม่ือ กายผ่อนคลายไม่เครียด จิตก็ต้ังมั่นไม่หวั่นไหว สามารถใช้ปัญญาพิจารณาเข้าถึงความจริงแห่งชีวิต และทำจิตให้มสี ุขภาพสมบูรณ์เต็มท่ี กายทีเ่ ครียดจากความเจบ็ ไขก้ ็จะผอ่ นคลาย ปรับเข้าสู่สภาพปกติ ได้งา่ ย กรณีดังกล่าวนี้ พบท้งั กรณีการสวดให้ฆราวาสญาติโยมฟงั การสวดใหพ้ ระภกิ ษดุ ว้ ยกนั ฟัง รวม กระทง่ั การสวดให้พระพทุ ธเจ้าฟัง การสวดในลักษณะดงั กล่าว ส่งผลหลายลักษณะ เช่น ในรายทีอ่ าการหนัก ไมไ่ หว ไมร่ อดแล้ว ก็ถือเปน็ การชว่ ยประคองจิตให้อยใู่ นฐานะทคี่ วร ท่ีเหมาะสม อยา่ งนอ้ ยกพ็ อจะประกันไดว้ ่า หากตาย ไปในสภาพจิตแบบน้ี ไม่ไปสู่ทุคตแิ นน่ อน ข้อน้ีได้กลายมาเป็นแบบแผนสำหรับการปฏิบัติของชาวพุทธในปัจจุบัน ในกรณีญาติพ่ีน้อง พิจารณาแล้วเห็นว่า ผ้ปู ่วยไม่รอดแล้วก็จะนิยมนมิ นต์พระมาสวด และเรยี กการสวดชนิดน้ีตามภาษา ชาวบา้ นงา่ ย ๆ ว่า “สวดตัดกรรม” ในรายท่เี ปน็ พระสงฆ์สาวก ท่านได้รับการฝึกจติ มาดีแลว้ มีพลงั จิต สงู การสวดพระปรติ รจะส่งผลให้หายจากอาการป่วยไข้ได้ การรักษาโรคด้วยการสวดพระปริตรใหฟ้ ัง จึงพบเหน็ ได้บ่อยทั้งในคัมภีรพ์ ระไตรปฎิ ก และคัมภรี ์อรรถกถา สว่ นการนำหลักธรรมมาปฏิบัติเพื่อระงับความเจ็บป่วย เช่น อิทธิบาท 4 อันมี ฉันทะ วิริยะ จติ ตะ และวมิ ังสา มีอานุภาพตรงที่ทำให้เราได้เรียนรู้ชีวิตจากความเจ็บไข้ เรยี นรู้โรคภัยไข้เจ็บท่ีเกิด ขึ้นกับตนและหาหนทางเยียวยาแก้ไขเพ่ือระงับความเจบ็ ปวดให้บรรเทาเบาบางไป เมื่อมีอิทธิบาท 4 เรากจ็ ะมีความหนักแน่น อดทน สืบค้นหาเหตุแห่งความเจ็บไข้ ทำให้เราได้เรียนรโู้ รคภัยตา่ ง ๆ ที่เกิด กบั ตน จนเข้าใจโรคและวิธีการเยียวยารกั ษาได้ แต่ท่ีเน้นเป็นการเฉพาะก็เห็นจะเป็น ในมหาสติปัฏฐานสูตรและอานาปานสติสูตร ได้พูดถึง การเจริญสติและการทำสมาธิดว้ ยการกำหนดลมหายใจเข้า-ออก ทั้ง 2 พระสตู รนี้ นับวา่ เป็นยอดของ การทำกายและใจให้สงบผ่อนคลายไม่เครียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ประสบกับโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ทางกายและใจ การเจริญสติทุกขณะที่เคล่ือนไหวและการทำสมาธิ ย่อมช่วยให้จิตตั้งม่ัน สงบ ผ่อน 17<https://www.hfocus.org/content/2015/02/9195> (สืบค้นข้อมูลเม่ือวันที่ 5 พฤษภาคม 2563)
109 คลาย เม่ือกายผ่อนคลาย อวัยวะต่าง ๆ ก็จะทำงานปกติมีดุลยภาพ ร่างกายก็สามารถซ่อมแซม ทำลาย และต่อต้านโรคที่คมุ คามเราได้ การป้องกันการเกิดโรคด้วยข้อปฏิบัติสุขอนามัยในวัตร 14 นับได้ว่าพระพุทธองค์ได้วาง หลกั การดำเนินชวี ติ ที่ดีงาม ซ่งึ นำไปส่กู ารดแู ลปอ้ งกนั ตวั เองจากทุกข์และโรคภัยไขเ้ จบ็ ตา่ ง ๆ ไมว่ า่ จะ เป็นธรรมเพ่ือส่งเสริมความเป็นมนุษย์ ธรรมเพื่อดำเนินชีวิตให้งอกงาม ธรรมเพื่อส่งเสริมชีวิตท่ีดี รว่ มกัน ธรรมเพื่อชีวิตครอบครัว ธรรมเพ่ือความสัมพันธ์ในสังคม ธรรมเพ่ือความอยู่ดีทางเศรษฐกิจ และธรรมสำหรบั ภิกษสุ งฆ์ ฯลฯ พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้มากมายหลายแห่งด้วยกัน รวมทงั้ วตั รปฏบิ ตั ทิ ี่ พูดถึงมารยาท ความสะอาด และความเป็นระเบียบเรียบร้อยของภิกษุสงฆ์ ไม่เว้นแม้แต่เรื่องถ่าย อจุ จาระ ปัสสาวะ เรื่องการลา้ งบาตร การขบฉัน ฯลฯ ล้วนแสดงให้เห็นถึงสุขอนามัยที่พระพุทธองค์ ตรัสสอนภิกษุมา เช่น วัตรปฏิบัติเก่ียวกับท่ีอยู่อาศยั 1 ใน 14 ข้อ ที่พระสงฆ์ตอ้ งถือปฏิบตั ขิ ณะพำนัก อยู่ท่ีใดท่ีหน่ึง ซึ่งจัดว่าเป็นสุขอนามัยขั้นพื้นฐานสำคัญของพระสงฆ์นอกจากหลักธรรมท่ีกล่าวมา ขา้ งตน้ เพ่อื ป้องกันโรคภยั ไข้เจ็บอันเนือ่ งมาจากความสกปรกรกรุงรังของเครอ่ื งใช้ไม้สอยต่าง ๆ ในท่ี อยู่อาศัย โดยนัยนี้ก็จะเห็นว่า พระพุทธองค์นั้นนับเป็นยอดในการรักษาความสะอาดของอาคาร สถานที่และเคร่ืองใช้ไม้สอยต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน ไม่ใช่สะอาดแต่จิตใจแต่ฝ่ายเดียว ต้องสะอาดด้านใน และด้านนอกดว้ ย สรุปได้ว่า ในพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ได้แบ่งโรคออกเป็น 2 อย่างด้วยกันคือ โรคทาง กายกับโรคทางใจ ในพระไตรปิฎกจะพบวา่ การดูแลรกั ษาสุขภาพมีการใช้ 2 วิธีด้วยกันคือ การใชส้ วด ใหค้ นปว่ ยฟัง โดยใชบ้ ทสวดต่าง ๆ สาธยายให้คนป่วยฟัง การฟังสาธยายธรรม ทำใหก้ ายผอ่ นคลายไม่ เครียดได้ เมอ่ื กายผ่อนคลายไม่เครียด จิตก็ตั้งมั่นไม่หว่ันไหว สามารถใช้ปัญญาพิจารณาเข้าถึงความ จริงแห่งชีวิต และคนป่วยนำหลักธรรมมาปฏิบัติเพ่ือระงบั ความเจ็บไข้ เช่น อิทธิบาท 4 อันมี ฉันทะ วริ ยิ ะ จติ ตะ และวิมงั สา การเจรญิ สตแิ ละการทำสมาธดิ ว้ ยการกำหนดลมหายใจเขา้ -ออก 6.7 สรุป สขุ ภาพจึงเปน็ เรื่องที่เราจะต้องใหค้ วามสำคัญท้ังสขุ ภาพกายและสุขภาพจติ ซ่ึงก็สามารถทำ ได้โดยทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และทานให้ตรงเวลา ออกกำลงั กายอย่างสม่ำเสมอ นอนหลบั พักผอ่ น อย่างพอเพียง หลีกเลี่ยงพฤติกรรมท่ีส่งผลเสียต่อสุขภาพ รักษาสุขภาพจิตให้ดี และให้เวลากับคนใน ครอบครวั แนวคดิ เร่ืองโรค คือ โรคมี 2 ชนิด คือ 1. โรคทางกาย (กายิโก โรโค) 2. โรคทางใจ (เจตสิโก โรโค) แนวคดิ เรื่องคนไข้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงคนไข้ไว้ 3 ประเภท พระพุทธเจ้าทรงระบวุ ่า คนไข้ที่ ประกอบด้วย 5 อย่างนี้ เป็นผู้ที่พยาบาลยากและเป็นผู้ที่พยาบาลง่าย แนวคิดเร่ืองคนพยาบาลไข้ พระพุทธเจ้าทรงระบุว่า คนพยาบาลไข้ที่ประกอบด้วย 5 อยา่ งน้ีไม่ควรที่จะพยาบาลคนไข้และควรที่ จะพยาบาลคนไข้ ในพระไตรปิฎกจะพบว่า การดูแลรักษาสุขภาพมีการใช้ 2 วิธีด้วยกันคือ การใช้สวดให้คน ป่วยฟัง โดยใช้บทสวดต่าง ๆ สาธยายให้คนป่วยฟัง การฟังสาธยายธรรม ทำให้กายผ่อนคลายไม่ เครียดได้ เมือ่ กายผอ่ นคลายไม่เครียด จิตก็ตง้ั ม่ันไม่หวั่นไหว สามารถใช้ปัญญาพิจารณาเข้าถึงความ
110 จริงแห่งชีวิต และคนป่วยนำหลักธรรมมาปฏิบัติเพื่อระงบั ความเจ็บไข้ เช่น อิทธิบาท 4 อันมี ฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมงั สา การเจริญสตแิ ละการทำสมาธิด้วยการกำหนดลมหายใจเขา้ -ออก ปญั หาประจำบทที่ 6 จงตอบคำถามต่อไปนี้ 1. ใหน้ กั ศกึ ษาบอกถงึ วิธีการดูแลสุขภาพให้แขง็ แรงมา 5 ประการ 2. ให้นักศึกษาอธิบายแนวคิดเร่ืองโรคตามแนวทางพระพุทธศาสนา 3. ให้นกั ศึกษาอธิบายแนวคิดเรอื่ งคนไข้ตามแนวทางพระพุทธศาสนา 4. ใหน้ กั ศกึ ษาอธบิ ายแนวคดิ เรื่องคนพยาบาลไข้ตามแนวทางพระพุทธศาสนา 5. การดูแลรกั ษาสุขภาพด้วยธรรมะ ในพระไตรปฎิ กจะพบว่า มกี ารใช้ก่วี ิธี คืออะไรบา้ ง บรรณานกุ รมประจำบทท่ี 6 พระธรรมปฎิ ก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). (2541). จารึกอโศก. กรุงเทพมหานคร : งานรำลกึ พระคณุ ม.ร.ว. สอางค์ เทวกุล ในวาระอายคุ รบ 100 ปี. มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย. (2539). พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . ราชบัณฑิตยสถาน. (2556). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554. กรุงเทพมหานคร : บรษิ ัท ศิริวฒั นาอนิ เตอรพ์ ริ้นท์ จำกดั (มหาชน). Nandasena Ratnapala. (1993). Buddhist Sociology. Delhi : D. K. Fine art Press. <https://www.sanook.com/women/124225/> (สบื คน้ ขอ้ มูลเมือ่ วันท่ี 20 สิงหาคม 2561) <https://sites.google.com/site/chintanacarkowe/withi-dulae-raksa-taw-xeng-hi-mi- sukhphaph-khaeng-raeng>(สบื ค้นขอ้ มลู เมือ่ วนั ที่ 27 เมษายน 2563) <https://www.krungsri.com/bank/th/plearn-plearn/5-things-you-must-try-for-healthy- living.html>(สบื ค้นขอ้ มูลเมือ่ วันท่ี 27 เมษายน 2563) <https://www.hfocus.org/content/2015/02/9195> (สืบค้นขอ้ มูลเมอ่ื วันที่ 5 พฤษภาคม 2563)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111