50 3. การสอน, การฝกึ 4. วิชาหนึ่งใน 6 ของเวทางค์ สอนการออกเสียง ถ้อยคำ และกฎของการออกเสียง (Euphony) 5. มารยาท (Modesty) และความถอ่ มตน (Humbility)8 คำว่า “การศึกษา” เป็นศัพท์บัญญัติแทน “Education” ในภาษาอังกฤษ มีรากศัพท์มาจาก ภาษาละติน คอื 1. Educere (ex + ducere) หมายถึง ดึงออก (to draw out) มีนัยบ่งถึง การดึงเอาพลังที่ ซ่อนอยู่ในตวั บุคคลออกมาพฒั นา 2. Educare (ex + ducare) หมายถึง หล่อหลอม (to nourish or nurture) มีนัยบ่งถึง การ นำเข้า ในแง่ของกระบวนการทางการศึกษา จำเป็นต้องมีความหมายทัง้ 2 นยั คอื การดึงออก ซงึ่ เป็น เรื่องกิจกรรม (activity) และการฝึก (exercising) และการนำเข้า ซึ่งเป็นเรื่องกระบวนการบรรจุ (infilling process) การปลกู ฝังความคิด (inculation) และการสรา้ งอดุ มคติ (forming ideals) เมื่อมี ทงั้ 2 นยั ดงั กล่าว กระบวนการทางการศกึ ษาจงึ จะสมบูรณ์ได้9 สรุปได้ว่า นิรุกติศาสตร์ของภาษาตะวันตกมีลักษณะเป็นกระบวนการ และมีจริยะคือความ ประพฤตปิ ระกอบอย่ดู ้วยเหมอื นกัน ต่างแตว่ ่าระบุไว้เพียงการสร้างอุดมคติ มไิ ดบ้ ง่ ไว้ค่อนข้างชัดเจน เหมอื นกันกับนริ กุ ติศาสตร์ของภาษาตะวันออก ซึ่งทงั้ ภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต ต่างลงรอยกันใน แงท่ วี่ า่ จรยิ ะคอื ความประพฤตินัน้ จะตอ้ งมคี วามสำคญั อยู่ดว้ ยอยา่ งชัดเจน พระราชบัญญตั ิการศึกษา นักการศึกษาและนักปราชญ์ได้ให้ทัศนะเกี่ยวกบั ความหมายของ การศึกษาไวต้ า่ ง ๆ กัน ในทนี่ ี้ ขอนำมาเสนอเพยี งเพอื่ ใหเ้ หน็ เปน็ แนวทางและพอเป็นตัวอยา่ ง ดงั นี้ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้ระบุความหมายของการศึกษาไว้ว่า กระบวนการเรียนรู้เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคมโดยการถ่ายทอดความรู้ การฝึกการ อบรม การสืบสานทางวัฒนธรรม การสร้างสรรค์จรรโลง ความก้าวหน้าทางวิชาการ การสร้างองค์ ความรู้ อันเกิดจากการจัดสภาพแวดล้อมสังคม การเรียนรู้และปัจจัยเกื้อหนุนให้บุคคลเรียนรู้อย่าง ตอ่ เนอื่ งตลอดชีวิต10 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้ให้ความหมายของการศึกษาไว้ว่า คำวา่ ศึกษา หมายความกวา้ ง ไม่เฉพาะแตเ่ ร่ืองหนังสอื เรียนใหร้ ู้จักอะไร ๆ เช่น รู้จกั รับผดิ ชอบ หัดทำ อะไร ๆ เป็น เช่นปรงุ เครื่องเรอื นเป็น จัดว่าศึกษาทัง้ นน้ั เปน็ แต่มียิ่งมหี ยอ่ นอยใู่ นน้ัน การศึกษาควรจัด ให้สมแก่ความตอ้ งการของบา้ นเมือง แมค้ วามร้จู ะสูง หรือแม้เป็นประโยชนใ์ นประเทศอนื่ แต่ทน่ี ี่ยังไม่ ตอ้ งการเลยหรอื ยังไม่แลเห็นว่าจะต้องการเมื่อไร ก็ยังไมจ่ ำเป็นจะจดั ถา้ บ้านเมืองต้องการคนมีความรู้ 8V.S. Apte, The Student’s Sanskrit- English Dictionary, (Delhi : Motilal, Banar sidass, 1965), p. 553. 9J. M. Price, A Survey of Religious Education, ( New York : The Ronald Press, 1940), p. 13 10ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 116 ตอนที่ 74 ก 19 สิงหาคม 2542, หนา้ 2.
51 อย่างใด ก็จำขวนขวายจัดขึ้น เช่นนี้ การศึกษาจึงจะดำเนินตามกฎแห่งวิชาประหยัดทรัพย์ในข้อว่า ความต้องการกับความจัดทำ ต้องพอดีกัน ผลจึงจะสำเร็จ ไม่เช่นน้ี ความเหลือเปล่าหรือความขาด แคลนกจ็ ำตอ้ งมี และบ้านเมืองย่อมต้องการคนมคี วามรู้ความสามารถ ผจู้ ะรบั ราชการในฝ่ายปกครอง และต้องการจะบำรุงผู้จะรับราชการในฝ่ายปกครอง และต้องการจะบำรุงราษฎรให้มั่นคง จะได้เป็น กำลังแห่งแผน่ ดิน การเรียนหนงั สอื นน้ั ไมใ่ ช่ตัวศึกษา เปน็ แต่เอกเทศของศกึ ษา การฝึกหดั ใหม้ ีความคิดสามารถ ประกอบกิจนั้น ๆ ได้ นั่นแลเป็นตัวศึกษาโดยตรง แยกออกไปเป็น 2 ประเภท คือ พาหุสัจจะ ได้แก่ วชิ าความรู้ และศลิ ปะ ได้แก่ การงานท่ปี ระกอบดว้ ยมือ สงเคราะห์หัตถโกศลคือการช่าง กสิกรรมคือ การเพาะปลูก พาณิชกรรมคอื การคา้ ขาย ถึงลูกชาวบา้ นทีส่ ำเหนียกในการทำกนิ ตามตระกูล กไ็ ดช้ อ่ื วา่ ศกึ ษาเหมือนกัน11 ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้ให้ความหมายของการศึกษาไว้ว่า การศึกษาในพระพุทธศาสนานี้ หมายถึง training เปน็ อย่างนอ้ ย คอื การกระทำลงไปจริง ๆ ไมใ่ ช่เพียงแต่ศึกษาเลา่ เรยี น แยกออกได้ เป็น 2 ฝา่ ย คอื ฝา่ ยทจ่ี ะต้องละมัน หมายถึงการข่มข่ีกิเลส หรือข่มขค่ี วามรู้สกึ ของสัญชาตญาณอย่าง สัตว์ ส่วนทเี่ ป็นความรู้สกึ ฝ่ายตำ่ ต้องข่มขม่ี ัน แล้วกพ็ ฒั นามันในสว่ นที่มันเปน็ ความดีความงาม ความ ถูกต้อง เมื่อรวมกันเข้า คือการกระทำเพื่อปราบปรามส่วนที่ควรปราบปราม พอกพูนส่วนที่ควรพอก พนู พร้อมกนั ไปดว้ ยการกระทำจริง ๆ12 พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้ให้ความหมายของการศึกษาหรือสิกขาไว้ว่า การ สำเหนยี ก การเรียน การฝกึ ฝนปฏิบัติ การเล่าเรยี นใหร้ ู้เขา้ ใจและฝึกหัดปฏิบัติให้เปน็ คุณสมบัติที่เกิดมี ขน้ึ ในตนหรือให้ทำได้ทำเป็น ตลอดจนแกไ้ ขปรบั ปรุงหรือพัฒนาให้ดยี ิ่งขนึ้ ไปจนถึงความสมบรู ณ์13 พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ โฺ ต) ไดใ้ หค้ วามหมายของการศึกษาไว้อีกวา่ 1. มองในแง่สภาพที่เผชิญ : การศกึ ษา คอื การแก้ปญั หาของมนษุ ย์หรือพูดใหช้ ัดว่า การทำให้ ชีวติ แกป้ ัญหาได้ ถ้าไม่มีปัญหา การศกึ ษากไ็ มม่ ี (ทกุ ข-์ ทกุ ขนโิ รธ) 2. มองในแง่สภาพที่ประสบผล : การศึกษา คือการทำให้ชีวิต 1) แง่ลบ : หลุดพ้นจากปัญหา ปราศจากสิ่งบีบค้ันขัดข้อง และ 2) แง่บวก : เข้าถึงสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ประเสริฐหรือดีที่สุดที่ชีวิตพึงได้ มี อสิ รภาพสมบูรณ์ 11อ้างในมานพ นักการเรียน, ปรัชญาการศึกษา, (นครปฐม :: มหาวิทยาลัยมหามกุฏราช วิทยาลัย วทิ ยาเขตสิรนิ ธรราชวิทยาลัย, 2546), หนา้ 20-21. 12พุทธทาสภกิ ขุ, การศกึ ษาคืออะไร, (กรุงเทพมหานคร : สมชายการพมิ พ์, 2527), หนา้ 42- 43. 13พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน์ฉบับประมวลศัพท์ (ชำระ- เพิ่มเตมิ ช่วงที่ 1), พิมพ์ครัง้ ที่ 12, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2551), หน้า 446.
52 3. มองในแง่ความสัมพันธ์ของชีวิตกับปจั จัยแวดล้อม : การศึกษาคอื การทำให้มนุษย์พ้นจาก การต้องพง่ึ ต้องข้นึ ต่อปัจจยั ภายนอก มีความสมบรู ณ์ในตัวเองมากยง่ิ ข้นึ โดยลำดับ14 ศ. ดร. วิจติ ร ศรีสะอ้าน ได้ให้ความหมายของการศึกษาไว้วา่ การศึกษาเป็นการพัฒนาบุคคล เพื่อใหบ้ รรลุเปา้ หมายใดเป้าหมายหน่ึง เป้าหมายถูกกำหนดข้ึนตามคุณคา่ ท่ีแต่ละคนยึดถือ ซึ่งมักจะ แตกต่างกนั อาจพิจารณาความหมายของการศึกษาไดเ้ ป็น 2 แนวคือ 1) ความหมายในแนวกว้าง ถือว่าการศกึ ษาเปน็ กระบวนการตอ่ เนือ่ งตลอดชีวิต มีปจั จัยหลาย อยา่ งท่มี อี ทิ ธิพลตอ่ การหลอ่ หลอมชีวิต บคุ ลกิ ภาพและความรู้สกึ นึกคิดของมนษุ ย์ เป็นการศึกษาจาก ประสบการณ์ทง้ั มวล ตามแนวนก้ี ารศึกษามิใช่จำกัดอย่ใู นโรงเรียนเท่านั้น สถาบนั ทางสงั คมอืน่ ๆ เช่น บ้าน วัด สอื่ มวลชน และ ฯลฯ ต่างกม็ อี ิทธิพลต่อการเรยี นรขู้ องบุคคล 2) ความหมายในแนวแคบ ถือว่า การศึกษาเป็นการถ่ายทอดวัฒนธรรม ความรู้ และค่านิยม จากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง โดยผ่านสถาบันทางสังคมที่มีหน้าที่จัดการศึกษา เช่น โรงเรียน ความหมายตามแนวแคบนี้ เป็นความหมายท่เี ราเข้าใจกนั ทั่วไป การศกึ ษาไมว่ า่ จะนยิ ามความหมายวา่ อยา่ งไร มีลักษณะสำคัญอยู่ 3 ประการ คอื 1) การศึกษาเปน็ การเปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรมของบุคคลให้เปน็ ไปในแนวทางทป่ี รารถนา 2) การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมน้ี เป็นไปโดยจงใจโดยการกำหนดจุดมุ่งหมายซึ่งเป็นสิ่งที่มี คุณคา่ สงู สดุ ไว้ 3) การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมน้ี กระทำเป็นระบบ มีกระบวนการอันเหมาะสมและผ่าน สถาบนั ทางสงั คมท่ีได้รับมอบหมายให้ทำหนา้ ที่ดา้ นการศกึ ษา15 สรุปได้ว่า การศึกษาจึงเป็นกระบวนการหรือเครื่องมือพัฒนาบุคคลทั้ง ร่างกาย จิตใจ สติปัญญาและทักษะวิชาชีพ เพื่อให้ดำรงอยู่ร่วมในสังคมได้อย่างปกติสุข ดังนั้น การศึกษาจึงไม่ใช่ เครื่องมือพัฒนาปัจเจกชนเท่านั้น แต่รวมไปถึงพัฒนาสังคมโลกที่อยู่อาศัยอีกด้วย กระบวนการ การศึกษามิใช่กระบวนการของธรรมชาติ แต่เป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์ ซึ่งมนุษย์ได้คิดค้น ข้นึ มาและดำเนินการ การศึกษามีความหมายกว้างไกลและลึกกว่าการเรียนหนังสือและการไปโรงเรียน การศึกษา ดำเนินอยู่เป็นล่ำเป็นสันในสถานศึกษา แต่การศึกษาส่วนใหญเ่ กดิ ข้ึนนอกสถานศกึ ษา การศึกษามใิ ช่ การเรียนรู้เนื้อวิชา แต่เป็นการเรียนให้ได้ความคิดโน้มนำให้บุคคลเกิดความประจักษ์ใจ และพัฒนา ความสามารถของตนเอง 14พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), ปรชั ญาการศึกษาของไทยภาคพทุ ธธรรม : แกนนํา การศกึ ษา, (กรุงเทพมหานคร :: ผลธิ ัมม,์ 2556), หนา้ 25-26. 15อ้างในมานพ นักการเรียน, ปรัชญาการศึกษา, (นครปฐม : มหาวิทยาลัยมหามกุฏราช วิทยาลัย, 2546), หนา้ 22-23.
53 3.3 ความมุ่งหมายของการศกึ ษา พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้ระบุไว้ในมาตรา 6 ว่า การจัดการศึกษา ตอ้ งเปน็ ไปเพื่อพฒั นาคนไทยใหเ้ ป็นมนษุ ยท์ สี่ มบรณู ท์ ง้ั ร่างกาย จติ ใจ สติปญั ญา ความรู้ และคณุ ธรรม มจี รยิ ธรรมและวฒั นธรรมในการดำรงชวี ิต สามารถอยรู่ ่วมกบั ผู้อืน่ ได้อยา่ งมคี วามสขุ ตามแนวทางพระพุทธศาสนา ความมุ่งหมายของการศึกษาคือ อิสรภาพหรือความหลุดพ้น แยกไดเ้ ป็น 4 ด้าน ซึ่งสอดคล้องกบั หลกั ภาวนา 4 คอื 1. อสิ รภาพทางกายหรืออิสรภาพพนื้ ฐานของชีวติ ได้แก่ อิสรภาพทางกายท่ีปลอดพ้นจากการ บีบคั้นเบยี ดเบยี นในทางธรรมชาติ หรือสภาพแวดล้อมทางกายภาพ เช่น โรคภัยไข้เจ็บ การมีปัจจัย 4 เพียงพอทจ่ี ะหลุดพ้นจากความยากจนแรน้ แคน้ ขาดแคลน ไมม่ ภี ัยธรรมชาติเบียดเบียน หรือว่าพอจะ ป้องกันแก้ไขได้ แล้วก็พ้นจากภัยที่มนุษย์สร้างขึ้นในทางกายภาพ เช่น มลภาวะในสภาพแวดล้อม ตลอดจนการรจู้ ักใช้เทคโนโลยีอย่างถูกตอ้ งเป็นคุณประโยชน์ 2. อิสรภาพทางสังคม คือ ความปลอดพ้นจากการเบียดเบียนกันในระหว่างมนุษย์ พ้นจาก ความอยุติธรรม การเอารัดเอาเปรียบ การข่มเหงแย่งชิง มีอาชีวะคืออาชีพที่ประกอบได้โดยสุจริต ดำรงชีวติ อยา่ งโปร่งโลง่ ไมว่ า่ งงาน พ่ึงตนได้ รวมไปถงึ ความหลุดพน้ จากความบีบคัน้ การใช้สติปัญญา สามารถแสดงออกซง่ึ ความคิดเห็นอนั เป็นผลแห่งสตปิ ัญญานั้นโดยเสรี 3. อสิ รภาพทางจติ ใจ คอื มจี ติ ใจที่มีคุณธรรม มีความเขม้ แขง็ มั่นคงไมห่ ว่ันไหวดว้ ยโลกธรรม ไม่มคี วามโศก ไมม่ ีกิเลสธลุ ี ปราศจากความเศรา้ หมอง เบิกบาน เปน็ สขุ 4. อิสรภาพทางปัญญา คือ ภาวะที่มีการรับรู้อย่างถูกต้องตามเป็นจริงไม่เอนเอียงด้วยอคติ รจู้ ักคดิ คดิ เองเป็น ร้จู ักคดิ แก้ปญั หา รู้วธิ ที จ่ี ะจดั ทำการตา่ ง ๆ ให้สำเรจ็ ผล มีความคิดวินจิ ฉยั ที่บริสุทธิ์ ไม่เปน็ ทาสของกิเลส ใช้ปญั ญาคดิ การตา่ ง ๆ โดยบรสิ ทุ ธ์ิใจ ไม่มเี งอ่ื นงำหรือกเิ ลสเคลอื บแฝง ตลอดจน รู้แจง้ สัจธรรมถึงขนั้ หลดุ พ้นจากความทุกข์16 นอกจากนั้น ความมุ่งหมายของการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาชีวิตของมนุษย์ให้บรรลุถึง ประโยชน์ทเ่ี ปน็ จดุ หมาย ทั้ง 3 ประการ คือ17 1. ทิฏฐธมั มกิ ัตถะ คือประโยชน์ปจั จุบนั ประโยชนใ์ นโลกนี้ หรอื ประโยชน์ขน้ั ต้น ไดแ้ ก่ เร่ือง ทั่ว ๆ ไป เรื่องการดำเนินชีวิต การเป็นอยู่ที่ปรากฏ เรื่องทางวัตถุที่เหน็ กันได้ เช่น การมีปัจจัย 4 มี ฐานะ มลี าภ มเี กยี รติ มียศ มีสรรเสรญิ เรอ่ื งชีวิตคู่ครอง ความมมี ิตรไมตรี ในชีวติ ปัจจบุ ันนี้ 2. สัมปรายิกัตถะ คือประโยชน์เบื้องหน้า ประโยชน์ในภพหน้า หรือประโยชน์ขั้นสูงขึ้นไป ได้แก่ สงิ่ ที่เป็นหลักประกันชวี ิตในเบ้ืองหนา้ หมายถึงสิ่งทลี่ ึกเข้าไปทางจิตใจ คือ เร่ืองคุณธรรมต่างๆ มีศรทั ธา มีศีล มจี าคะ และ มีปญั ญา 3. ปรมตั ถะ คอื ประโยชน์สงู สุด คือ นิพพาน ได้แก่ ความมจี ติ หลุดพ้น มีจิตใจปลอดโปร่งผ่อง ใสเบกิ บานอยู่ไดต้ ลอดเวลา เพราะปราศจากกเิ ลส 16พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต), ทางสายกลางของการศึกษาไทย, (กรุงเทพมหานคร : อมรินทร์พริน้ ติ้งกร๊พุ , 2530),หนา้ 113-114. 17ข.ุ จู. 30/144/464.
54 สรปุ ได้วา่ การศกึ ษาต้องเปน็ ไปโดยมีความมุ่งหมายเพือ่ พฒั นาชวี ิตของมนุษย์ให้สมบูรณ์แบบ องค์รวม คือในส่วนร่างกาย ได้แก่ การปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ หรือการทำให้มีโรคภัยไข้เจ็บน้อยลง การมีปัจจัย 4 ในส่วนสังคม ได้แก่ การพ้นจากความอยุติธรรม ในส่วนจิตใจ ได้แก่ การมีจิตใจที่มี คุณธรรม ตลอดจนกระทั่งการมีจิตใจปลอดโปร่งผ่องใส และในส่วนปัญญา ได้แก่ การรับรู้สิ่งต่าง ๆ อยา่ งถกู ตอ้ งตามเป็นจรงิ ไมเ่ อนเอยี งด้วยอคติ 3.4 องคป์ ระกอบของการศึกษา การศึกษาโดยทั่วไปและการศึกษาตามแนวพระพุทธศาสนานั้น มีองค์ประกอบหลัก ๆ ท่ี สำคัญ 5 ประการ คอื 1. โรงเรยี น โรงเรียนเป็นสถานที่สัปปายะ (อาวาสสัปปายะ) คือ เกื้อกูลต่อการศึกษาเล่าเรียน ประกอบด้วย ปัจจัยภายนอก คือ ปรโตโฆสะ เสียงจากผู้อื่นหรืออทิ ธิพลภายนอกที่เป็นกัลยาณมติ ร และ ปัจจัยภายใน คือ โยนิโสมนสิการ การรู้จักคิดการคิดถูกวิธี คือ โรงเรียนเป็นแหล่งบ่มเพาะ ให้ นักเรียนรู้จักวิธีคิดที่ถูกต้อง เช่น ให้นักเรียนรู้จักวิธีคิดแบบคุณค่าแท้และคุณค่าเทียม (ปฏิสังขา โยนิโส) วิธีคิดแบบแก้ปัญหา (อริยสัจ 4) วิธีคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย (อิทัปปัจจยตา) วิธีคิดแบบ แยกแยะสว่ นประกอบ (ขันธ์ 5) วิธีคิดแบบรู้เทา่ ทันธรรมดา (สามญั ลกั ษณะ) 2. ผเู้ รียน พระพุทธศาสนามีทัศนะว่า การท่ีผู้เรียนจะบรรลุความสำเร็จในระดบั หนึ่งของการศึกษานั้น ต้องขึ้นอยูก่ บั ความพยายามของผู้เรียนเอง18 ผู้ที่ทำหน้าท่ีเป็นผู้สอนอาจให้ขอ้ มูลต่าง ๆ แก่ผู้เรียนได้ มากมาย อาจนำผู้เรียนเข้าไปใกล้จุดความสำเร็จได้ แต่ขั้นสุดท้ายของความสำเร็จจะต้องเป็นความ พยายามของผเู้ รียนเอง จนกระท่งั เป็นผู้เห็นดว้ ยตนเอง19 ผเู้ รยี นมีหนา้ ทตี่ อ่ ผู้สอนในฐานะเป็นทศิ เบื้องขวา ดังน้ี 1) ลกุ ต้อนรับ 2) เขา้ ไปหา (เพอื่ บำรงุ คอยรบั ใช้ ปรึกษา ซกั ถาม และรบั คำแนะนำ เป็นต้น) 3) ใฝใ่ จเรยี น (คอื มีใจรัก เรยี นด้วยศรทั ธา และรูจ้ กั ฟังใหเ้ กดิ ปญั ญา) 4) ปรนนบิ ัติ ชว่ ยบริการ 5) เรียนศลิ ปวิทยาโดยเคารพ (คือเอาจริงเอาจัง ถือเป็นกจิ สำคญั )20 3. ผู้สอน ผสู้ อนหรือ “คร”ู เป็นผู้มใี จหนักแนน่ ไมใ่ จเบาฉนุ เฉียว โกรธง่ายใจเร็ว มีน้ำหนักเสมือนฉัตร ศลิ า เป็นผู้ท่ศี ษิ ย์พึงเคารพยำเกรง ผู้เอาใจใส่ดูแลในการเรียนของศิษย์ เอ้ือเฟอื้ ตอ่ ศิษย์เสมือนลูกของ ตนเอง เป็นผู้ที่เชิดชูศิษยท์ ี่จมอยูใ่ นความโง่ให้ขึ้นสู่ความฉลาด ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิทยาแก่ศษิ ย์โดย 18ขุ.ธ. 25/160/82. 19ข.ุ ธ. 25/276/117. 20ท.ี ปา. 11/268/213.
55 เปิดเผย ไม่อำพรางความรู้ ไม่ปิดบังซ่อนไว้เพราะหวงวิชาความรู้ และผู้เลิศลอย คือ เด่นด้วยวิทยา ปรากฏแก่ศษิ ยเ์ หมือนดวงอาทติ ย์เด่นดว้ ยรศั มเี ห็นปรากฏแกช่ าวโลก21 ผสู้ อนมีบทบาทดงั ต่อไปน้ี 1) เป็นพหูสูต (เรียนรู้มาก) ประกอบดว้ ย 1.1) พหสุ สฺ ตุ า ฟังมาก 1.2) ธตา จำได้ 1.3) วจสา ปริจิตา คล่องปาก 1.4) มนสานุเปกขฺ ติ า เพ่งข้นึ ใจ 1.5) ทิฏฺฐิยา สปุ ฏวิ ิทธฺ า ขบไดด้ ว้ ยทฤษฏี คอื มีความเขา้ ใจลึกซ้งึ 22 2) เป็นคนดี (สัตบุรษุ ) ประกอบดว้ ยสปั ปุรสิ ธรรม 7 ประการ ดงั นี้ 2.1) ธมั มญั ญุตา ร้จู กั หลกั หรือรูจ้ กั เหตุ 2.2) อตั ถัญญุตา รจู้ ักความมงุ่ หมายหรือร้จู กั ผล 2.3) อัตตัญญตุ า รู้จักตน 2.4) มัตตญั ญุตา รู้จักประมาณ 2.5) กาลญั ญตุ า รจู้ กั กาล 2.6) ปรสิ ญั ญตุ า รู้จักชมุ ชน 2.7) ปุคคลญั ญุตา รจู้ กั บุคคล23 3) เป็นบัณฑิต คือ คนฉลาด หรือ คนที่ดำเนินชีวิตด้วยปัญญา โดยมีลักษณะดังน้ี “เป็นผู้มี ปกติคดิ ดี เปน็ ผมู้ ปี กติพดู ดี และเปน็ ผมู้ ปี กติทำดี” “ประกอบด้วยกายสุจริต วจสี จุ ริต และมโนสจุ ริต” 4) เป็นกัลยาณมติ ร ประกอบด้วยกัลยาณมิตรธรรม 7 ประการดังนี้ 4.1) ปโิ ย นา่ รกั 4.2) ครุ น่าเคารพ 4.3) ภาวนีโย นา่ เจรญิ ใจหรือน่ายกยอ่ ง 4.4) วตฺตา จ รู้จักพูด 4.5) วจนกขฺ โม อดทนตอ่ ถ้อยคำ 4.6) คมฺภรี ญฺจ กถํ กตฺตา แถลงเรือ่ งลำ้ ลึกได้ 4.7) โน จฏฐฺ าเน นโิ ยชเย ไมแ่ นะนำในเรื่องเหลวไหล24 5) ผสู้ อนในฐานะเป็นทักษณิ ทิศ มีหนา้ ที่ต่อผู้เรียน ดงั น้ี 5.1) ฝกึ ฝนแนะนำใหเ้ ป็นคนดี 5.2) สอนให้เข้าใจแจม่ แจ้ง 5.3) สอนศลิ ปวิทยาใหส้ ้ินเชิง 21พระมหาอดศิ ร ถิรสีโล, คณุ ธรรมสำหรับคร,ู (กรุงเทพมหานคร : โอเดยี นสโตร์, 2540), หนา้ 6. 22องฺ.ปญจฺ ก. 22/87/155. 23ท.ี ปา. 11/330/333. 24อง.ฺ สตฺตก. 23/37/57.
56 5.4) ยกย่องให้ปรากฏในหมคู่ ณะ 5.5) สร้างเครือ่ งคุ้มภยั ในสารทศิ (สอนฝึกให้รูจ้ ักเลี้ยงตวั รักษาตนในอันทีจ่ ะดำเนนิ ชีวติ ต่อไปดว้ ยด)ี 25 4. หลักสตู ร หลักสูตรแบง่ เป็น 2 สาย คือ 1) สายโลกียะ เป็นสายที่มุง่ สอนใหค้ นเป็นคนดใี นโลกนี้ ดีทั้งในการประกอบอาชีพและดีท้ัง ในเรื่องความประพฤติ ถ้าจะตรวจดูหลักธรรมของพระพุทธองค์แล้ว ก็จะเห็นได้ว่า มีธรรมะอยู่ มากมายที่สอนเพื่อให้คนตั้งเนื้อตั้งตัวได้ในโลก พ้นจากความเป็นทุกข์อันเกิดจากความยากจน เช่น สอนให้ขยนั หมั่นเพียร สอนให้รูจ้ กั การจบั จ่ายทรัพยแ์ ละเกบ็ รกั ษาทรัพย์ เป็นตน้ 2) สายโลกตุ ตระ เปน็ สายท่มี ุ่งสอนคนดว้ ยธรรมะขั้นสงู โดยมุง่ ใหค้ นพน้ จากโลก เพราะตาม ทัศนะของพระพุทธเจ้าเห็นว่า โลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน คนทั้งหลายถูกกิเลสรัดรึงจึง เดือดร้อนเหมือนไฟสุมขอน พระพุทธองค์ทรงมุ่งให้คนพ้นทุกข์ประเภทน้ี โดยการปฏิบัตติ ามมรรคมี องค์ 8 โดยสรุปก็คอื ศีล สมาธิ ปัญญา น่ันเอง26 5. การสอน การสอนนน้ั มีหลกั การดังนี้27 1) ปญั ญาเปน็ สิ่งสรา้ งสรรค์ขน้ึ ภายในตัวผูเ้ รยี นเอง 2) ผสู้ อนทำหน้าทีเ่ ป็นกลั ยาณมติ รชว่ ยชี้นำทางการเรยี น 3) วิธีสอน อบุ าย และกลวิธีต่าง ๆ เปน็ ส่อื หรอื เป็นเครื่องผอ่ นแรงทางการเรียนการสอน 4) อสิ รภาพในทางความคดิ เป็นอุปกรณ์สำคญั ในการสรา้ งปัญญา สรุปไดว้ ่า องค์ประกอบหลัก ๆ ของการศกึ ษาประกอบไปด้วย โรงเรยี น เป็นสถานท่ีสัปปายะ ที่เกื้อกูลต่อการศึกษาเล่าเรียน ผู้เรียนจะบรรลุความสำเร็จ สุดท้ายต้องขึ้นอยู่กับความพยายามของ ผู้เรียนเอง ผู้สอนเป็นกัลยาณมิตร ประสิทธิ์ประสาทวิทยาแก่ผู้เรียนโดยเปิดเผย ไม่อำพรางความรู้ หลกั สูตรมที ง้ั ท่มี ุ่งการประกอบอาชพี และมุ่งการพน้ จากความเป็นทุกข์อย่างสน้ิ เชงิ และวิธสี อน อุบาย และกลวธิ ีตา่ ง เปน็ เพียงเครอ่ื งผ่อนทางการเรียนการสอน 25ท.ี ปา. 11/268/213. 26พันโทประสาน ทองภักดี, ระบบการศึกษาของพระพุทธเจ้า ในพระพุทธศาสนากับ การศกึ ษาในประเทศไทย, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์การศาสนา, 2513), หน้า 157-158. 27พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยุตโฺ ต), พทุ ธวธิ ใี นการสอน, พมิ พ์คร้ังท่ี 18, (กรุงเทพมหานคร : บริษทั พมิ พส์ วย จำกัด, 2556), หนา้ 7-8.
57 3.5 หนา้ ทขี่ องสถาบันการศึกษา หน้าทีข่ องสถาบนั การศกึ ษามีดงั น้ี28 1. อบรมให้สมาชิกได้เรียนรู้ระเบียบแบบแผนของสังคม สอนให้สมาชิกในสังคมได้พัฒนา บคุ ลิกภาพ มกี ิริยามรรยาท มีจรยิ ธรรม คณุ ธรรม เคารพในสิทธิของผูอ้ ่ืน ปฏิบตั ิตามหนา้ ทข่ี องตน 2. อบรมให้ได้เรียนรู้เกี่ยวกับอาชีพ เพื่อการดำรงชีวิตเพื่อเพิ่มผลผลิตในภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การบริการ นอกจากสอนให้ผู้คนไดเ้ รียนรู้ในการประกอบอาชีพแลว้ สถาบันการศึกษา ยังมีหน้าที่ในการพัฒนาอาชีพ ริเริ่มสร้างสรรค์อาชีพ เพื่อผลผลิตใหม่ที่จะสนองความต้องการของ สงั คม 3. จัดสรรตำแหน่งและกำหนดหนา้ ที่การงานให้แก่บคุ คล เพื่อบุคคลได้เรียนรู้ในอาชีพใด มี ความสามารถในทางใด กจ็ ะไปทำงานในอาชีพนน้ั 4. ช่วยให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ในสังคม เมื่อการศึกษาเจริญก้าวหน้าขึ้น ก่อให้เกิดความรู้ แนวคดิ เทคนิคใหม่ ๆ การค้นพบต่าง ๆ ทำใหเ้ กิดการประดษิ ฐ์สิ่งของอุปกรณ์เครอ่ื งใช้ตา่ ง ๆ และมี การพฒั นาสงิ่ ของเคร่อื งใชต้ า่ ง ๆ ให้มคี ณุ ภาพมากย่ิงขน้ึ 5. ช่วยให้สังคมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผลจากการศึกษาอบรมให้เรียนรู้ระเบียบแบบแผน วัฒนธรรมเดียวกัน ยิ่งถ้ามีการใช้ภาษาเดยี วกันในการติดต่อสื่อสาร จะทำให้เกิดความรู้สึกเป็นพวก เดียวกัน มีความผกู พันกนั ดขี ึ้น 6. ช่วยให้เกิดการเลื่อนชั้นทางสังคม ในทุกสังคมย่อมประกอบด้วยชนชั้นและจากการมชี น ชน้ั ซึ่งจดั วา่ เปน็ ปรากฏการณ์ทางสงั คมนน้ั สมาชกิ สว่ นหนึง่ ย่อมจะมีความตอ้ งการเลื่อนชัน้ ทางสังคม และปจั จัยหน่ึงจะชว่ ยไดก้ ็คือการศกึ ษา เพราะการศึกษาจะช่วยเพมิ่ โอกาสในการได้รบั ตำแหน่งหน้าที่ การงานท่สี งู ขน้ึ มีเกียรตไิ ด้รับการยกย่อง 7. ช่วยพัฒนาบุคลิกภาพเฉพาะของสมาชกิ จากการเรียนรู้ในวิชาต่าง ๆ เขาอาจสนใจในเร่ือง ใดเร่อื งหนึง่ หรอื หลายเรื่องและกลายมาเปน็ คุณสมบัติประจำตวั เขา เช่น ความรักในศลิ ปะและดนตรี หรือความซาบซึ้งในวรรณกรรม ความสนใจ ทางการเมอื ง ฯลฯ หนา้ ทขี่ องสถาบันการศึกษาตามแนวทางพระพทุ ธศาสนา ประกอบไปด้วย 1. ฝึกอบรมให้สมาชิกได้เรียนรู้เกี่ยวกับอาชีพ พระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงการทำมาหากิน ดว้ ยอาชีพที่สจุ ริต (สมั มาอาชวี ะ) และเป็นการปฏิเสธอาชีพทจุ ริตทไี่ มช่ อบธรรมทกุ อย่าง (การค้าขาย อาวุธ การคา้ ขายมนษุ ย์ การค้าขายสตั ว์เป็นที่ยังมีชวี ติ การค้าขายของเมา และการค้าขายยาพษิ )29 2. ฝึกอบรมใหส้ มาชิกไดพ้ ัฒนาด้านรา่ งกายและจิตใจ พระพุทธศาสนาได้กลา่ วถงึ สปั ปายะ 7 (ที่อยู่เหมาะสม การเดินทางเหมาะสม การพดู คยุ เหมาะสม บคุ คลเหมาะสม อาหารเหมาะสม อากาศ เหมาะสม และอริ ยิ าบถเหมาะสม)30 เพ่ือทำใหเ้ กดิ ความสขุ ทางรา่ งกายและจิตใจ 28<https://www.baanjomyut.com/library/social_sciences/23.html> (สืบค้นข้อมูล เมื่อ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2562) 29อง.ฺ ปญฺจก. 22/177/295. 30วสิ ทุ ฺธิ. 1/161.
58 3. ฝึกอบรมให้สมาชิกไดพ้ ฒั นาสงั คม พระพทุ ธศาสนาได้กล่าวถึงสัปปุริสธรรม 7 (ความรู้จัก เหตุ ความรู้จักผล ความรู้จักตน ความรู้จักประมาณ ความรู้จักกาล ความรู้จักชุมชน และความรู้จกั บคุ คล)31 เพื่อจะได้ดำเนินชวี ิตได้อย่างถูกตอ้ งในการอยู่รว่ มในสงั คม 4. ฝึกอบรมให้สมาชิกได้พัฒนาปัญญา พระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงปัญญา 3 (ปัญญาเกิดแต่ การคดิ การพจิ ารณาหาเหตผุ ล ปญั ญาเกิดแตก่ ารสดับการเล่าเรียน และปัญญาเกดิ แต่การฝกึ อบรมลง มือปฏิบัติ)32 เพื่อใหไ้ ดด้ ำเนนิ ชวี ติ ได้ดงี ามถูกตอ้ ง สรุปได้ว่า หน้าที่ของสถาบนั การศึกษาเป็นการฝึกอบรมใหส้ มาชิกในสังคมไดเ้ รียนรู้เก่ยี วกบั อาชีพที่สุจริต ให้หลีกเลี่ยงอาชีพทุจริตที่ไม่ชอบธรรมทุกอย่าง ให้ได้พัฒนาด้านร่างกายและจิตใจ สังคมและปัญญาอย่างเป็นองค์รวม โดยมีหลักธรรมหมวดต่าง ๆ ที่กล่าวถึงเรื่องเหล่านี้ เป็นการ ถ่ายทอดสิ่งต่าง ๆ จากคนรุ่นเก่าไปสู่คนรุ่นใหม่ พร้อมทั้งสนับสนุนให้เกดิ นวัตกรรมใหม่ ๆ ในสังคม เพื่อให้มีคุณภาพชวี ติ ท่ีดงี าม 3.6 การวางแผนชีวิตกบั การศึกษา การวางแผนชีวติ ดา้ นการศึกษา คำนงึ ใน 3 ประเด็น ดงั น3ี้ 3 1. เริ่มก่อนสบายกว่า โดยพิจารณารายได้ครอบครัว ค่าใช้จ่าย งบประมาณที่ได้รับการ สนับสนุนจากผใู้ หญ่ เช่น คณุ ปู่ คุณยา่ เพ่ือใหท้ ราบว่าเราตอ้ งออมเงิน และมคี วามสามารถในการออม เงนิ เท่าไหร่ จงึ จะพอกบั ค่าใช้จ่ายเพอื่ การศึกษาทตี่ ั้งเปา้ หมายไว้ 2. เลือกสถาบันการศึกษาให้เหมาะสมกับสถานะทางการเงิน และความสามารถในการออม ของเรา ซึ่งรวมถึงปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ เช่น ใกล้บ้าน ระบบการเรียนการสอนของสถาบันการศึกษา เพ่อื จะได้เตรยี มจดั เงินใหพ้ อ 3. จำนวนเงินทต่ี ้องใช้จรงิ ตอ้ งพจิ ารณาอัตราการขึน้ ค่าเลา่ เรยี นประกอบ และนอกเหนอื จาก คา่ เลา่ เรียน ยงั ตอ้ งรวมคา่ ที่พัก คา่ หนังสือ ค่าเรียนพิเศษ และอน่ื ๆ เข้ามาดว้ ย คอื ต้องบวกเพ่ิมจาก ค่าเทอมทเี่ ราหาอีกอย่างนอ้ ย 30-50% เลยทเี ดยี ว สรุปได้ว่า การวางแผนชีวิตด้านการศึกษา คำนึงถึงรายได้ครอบครัว ค่าใช้จ่าย งบประมาณที่ ได้รับการสนับสนุนจากผู้ใหญ่ เลือกสถาบันการศึกษาให้เหมาะสมกับสถานะทางการเงิน นอกเหนือจากค่าเล่าเรียน ยังต้องรวมค่าที่พัก ค่าหนังสือ และรวมถึงปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ เช่น ใกล้ บ้าน ระบบการเรยี นการสอนของสถาบันการศกึ ษา เป็นตน้ 31ท.ี ปา. 11/330/333. 32ที.ปา. 11/305/271. 33<https://forbesthailand.com/commentaries/การวางแผนการศกึ ษาบุตร-ค.html> (สืบคน้ ข้อมูลเมื่อวันท่ี 25 มนี าคม 2563)
59 3.7 สรปุ การศึกษาเป็นกลไกหลักในการพัฒนากำลังคนให้มีคุณภาพทั้งทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา และทักษะวิชาชีพ เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นในสังคมได้อย่างเป็นสุข การจัดการ ศึกษามีทงั้ ระดับสจั ธรรม เป็นตวั หลักการที่สอดคลอ้ งกับความเป็นจริงตามธรรมดาของธรรมชาติ และ ระดับจริยธรรม เป็นรูปแบบจะต้องจัดให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมตามที่สังคมนั้นเขาถือว่าดี โดยมี โรงเรียนเปน็ สถานที่สัปปายะ ท่ีเก้อื กูลต่อการศกึ ษาเล่าเรยี น ผู้สอนเป็นกัลยาณมิตร หลกั สตู รมที ้ังที่มุ่ง การประกอบอาชีพและมุ่งการพน้ จากความเป็นทุกข์อย่างสิน้ เชิง และวิธีสอน อุบายและกลวิธีต่าง ๆ เป็นเพียงเครอ่ื งผอ่ นแรงทางการเรียนการสอน ผเู้ รยี นจะบรรลุความสำเรจ็ สดุ ท้ายต้องขึ้นอยูก่ ับความ พยายามของผู้เรียนเอง สถาบนั การศกึ ษาควรช่วยฝกึ อบรมใหส้ มาชิกในสังคมได้เรียนรู้เก่ยี วกับอาชีพที่สุจริต ยกย่อง คนที่ประกอบอาชีพที่ชอบธรรม อบรมให้สมาชิกได้พัฒนาด้านร่างกายจิตใจ สังคมและปัญญาอย่าง เป็นองค์รวม ได้ช่วยถ่ายทอดสิ่งต่าง ๆ จากคนรุ่นเก่าไปสู่คนรุ่นใหม่ พร้อมทั้งสนับสนุนให้เกิด นวตั กรรมใหม่ ๆ ในสงั คม เพือ่ ให้มีคุณภาพชีวิตทีด่ ีงาม ปญั หาประจำบทท่ี 3 จงตอบคำถามต่อไปน้ี 1. ความหมายของการศกึ ษาตามแนวทางของพระพทุ ธศาสนาควรเปน็ เช่นไร ? 2. โรงเรยี นตามแนวทางของพระพุทธศาสนาควรเปน็ เชน่ ไร? 3. ผู้เรียนตามแนวทางของพระพุทธศาสนาควรเปน็ เชน่ ไร ? 4. ผูส้ อนตามแนวทางของพระพทุ ธศาสนาควรเป็นเชน่ ไร ? 5. หลักสูตรตามแนวทางของพระพทุ ธศาสนาควรเป็นเช่นไร ? 6. วธิ ีการสอนตามแนวทางของพระพุทธศาสนาควรเปน็ เชน่ ไร ? 7. จุดมุ่งหมายของการศกึ ษาตามแนวทางของพระพทุ ธศาสนาควรเป็นเช่นไร ? 8. การประกันคุณภาพทางการศกึ ษาตามแนวทางของพระพุทธศาสนาควรเป็นเชน่ ไร ? 9. หนา้ ทข่ี องสถาบนั การศกึ ษาตามแนวทางของพระพุทธศาสนาควรเปน็ เชน่ ไร ? 10. นกั ศึกษาได้วางแผนชีวติ ด้านการศกึ ษาไว้อยา่ งไรบา้ ง ? บรรณานกุ รมประจำบทท่ี 3 ภาษาไทย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). ปรัชญาการศึกษาของไทยภาคพทุ ธธรรม: แกนนําการศึกษา. กรงุ เทพมหานคร :: ผลิธมั ม,์ 2556. พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต. พจนานกุ รมพุทธศาสนฉ์ บับประมวลศัพท์ (ชำระ-เพิ่มเตมิ ช่วง ท่ี 1). พิมพ์ครัง้ ที่ 12. กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , 2551. พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยตุ โฺ ต). พุทธวิธีในการสอน. พิมพค์ รง้ั ที่ 18. กรงุ เทพมหานคร : บริษัท พิมพ์สวย จำกัด, 2556.
60 พันโทประสาน ทองภักดี. ระบบการศึกษาของพระพุทธเจ้า ในพระพุทธศาสนากับการศึกษาใน ประเทศไทย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์การศาสนา, 2513. พระมหาอดิศร ถิรสีโล. คุณธรรมสำหรับครู. กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์, 2540. พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต). สู่การศึกษาแนวพุทธ. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร : กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2546. พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). ทางสายกลางของการศึกษาไทย. กรุงเทพมหานคร : อมรินทร์ พริ้นติ้งกรุ๊พ, 2530. พทุ ธทาสภกิ ขุ. การศกึ ษาคืออะไร. กรุงเทพมหานคร : สมชายการพิมพ์, 2527. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. โรงเรียนวิถพี ุทธ. พิมพ์คร้ังที่ 2. กรุงเทพมหานคร : โรง พิมพ์มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, 2547. มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , 2539. มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. อรรถกถาภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์วญิ ญาณ, 2532. มานพ นักการเรยี น. ปรัชญาการศึกษา. นครปฐม : มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวิทยาลัย วิทยาเขตสิ รนิ ธรราชวิทยาลัย, 2546. ราชกิจจานเุ บกษา เล่ม 116 ตอนที่ 74 ก 19 สงิ หาคม 2542. ราชกจิ จานุเบกษา เล่ม 116 ตอนที่ 74 ก 19 สงิ หาคม 2542, หน้า 4. วิจิตร เกิดวิสิษฐ์. “ปรัชญาการศึกษาของพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท”. วิทยานิพนธ์อักษรศาสตร มหาบัณฑติ . บณั ฑิตวทิ ยาลัย : จุฬาลงกรณ์ราชวทิ ยาลยั , 2520. สาํ นกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา. แผนการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579. กรงุ เทพมหานคร : สํานักงานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา, 2560. หลวงเทพดรณุ านศุ ษิ ฏ์. ธาตปุ ปทปี กิ า. พระนคร : มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , 2494. V.S. Apte. (1965). The Student’s Sanskrit- English Dictionary. Delhi : Motilal, Banar sidass. J.M. Price. (1940). A Survey of Religious Education. New York : The Ronald Press. <https://www.baanjomyut.com/library/social_sciences/23.html> (สืบค้นข้อมูลเมื่อ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2562) <https://forbesthailand.com/commentaries/การวางแผนการศึกษาบุตร-ค.html> (สืบค้น ขอ้ มลู เมอื่ วนั ท่ี 25 มนี าคม 2563)
61 บทที่ 4 แนวคดิ เก่ยี วกบั การวางแผนชีวติ ด้านการทำงาน การวางแผนชีวิตเป็นสิ่งจำเป็น เพราะเป็นการกำหนดเป้าหมายในชีวิตให้ชัดเจน เป็นเสมือน แผนท่ีนำทางให้ถึงจุดหมายท่ีวางไว้ เพราะในปัจจุบันนี้มีปัจจัยหลายอย่างที่เข้ามากระทบต่อการ ดำเนินชีวิต ทำให้การดำเนนิ ชีวติ มีอุปสรรค จึงจำเปน็ ท่จี ะตอ้ งมีการวางแผนชวี ติ เพื่อจะได้เข้าใจและ หาแนวทางทีถ่ ูกต้องในการดำเนนิ ชีวติ ให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ชวี ิตการทำงาน เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ตอนต้นบุคคล (ช่วงอายุ 20 - 39 ปี) ส่วนใหญ่จะอย่ใู นช่วง ของการศึกษาระดับอุดมศึกษา หรือใกล้ท่ีจะสำเร็จการศึกษา จะมีการวางแผนในการเลือกอาชีพ ประกอบอาชีพทตี่ นมีความรัก ความพึงพอใจในงาน และการได้พิจารณาแล้วว่ามีความเหมาะสมกับ ตนเอง ย่อมทำให้ชวี ิตการทำงานมีความสุข มีความพร้อมที่จะปรบั ตัวกับเพื่อนร่วมงาน และพร้อมที่ จะเผชิญปัญหาและการแก้ไขปัญหาต่อไป ซ่ึงสาระสำคัญในบทน้ี ได้รวบรวมจากเอกสารต่าง ๆ ทั้งท่ี เป็นสอ่ื สิ่งพมิ พ์ และสือ่ อนิ เตอร์เน็ต มีรายละเอยี ดดงั น้ี 4.1 4 ขนั้ ตอนวางแผนชีวติ การทำงานสำหรบั นักศึกษาจบใหม่ 4.2 6 เคล็ดลบั วางแผนการทำงานอยา่ งไรให้รุง่ 4.3 7 วธิ ที ำงานใหส้ ำเรจ็ 4.4 10 วธิ ที ีจ่ ะช่วยใหเ้ ราประสบความสำเร็จในการทำงาน 4.5 9 ขัน้ ตอนการวางแผนการทำงานใหป้ ระสบความสำเร็จ 4.6 6 แนวคิดการทำงานให้ประสบความสำเร็จแบบคนญี่ป่นุ 4.7 11 วธิ ีทำงานอย่างมีความสุข 4.8 ธรรมะท่ีเหมาะสมสำหรับผู้ปฏิบัติงาน 4.9 สรุป 4.1 4 ขั้นตอนวางแผนชีวิตการทำงานสำหรบั นกั ศึกษาจบใหม่ ตลอดชวี ิตคนเราคงจะเจอการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ๆ ท่สี ่งผลตอ่ ชีวติ กันไมก่ ค่ี ร้ัง หน่ึงในนั้นน่าจะ หนไี ม่พ้นช่วงเวลาทเี่ ราตอ้ งเร่มิ ต้นชีวิตการทำงาน มันเหมือนเป็นการเดนิ ทางไปในเสน้ ทางท่ีไมเ่ คยไป และไม่รู้ว่าขา้ งหน้าจะเปน็ ยังไง นักศกึ ษาจบใหม่บางคนต้องเสียเวลาไปหลายปกี ับการลองผิดลองถูก กว่าจะเจอเส้นทางที่ใช่และเหมาะกับตัวเอง เพราะไม่เคยคิดวางแผนมาก่อน ท้ังท่ีการวางแผนชีวิต การทำงานเป็นสิง่ สำคัญทต่ี อ้ งทำ 4 ข้ันตอนวางแผนชวี ติ การทำงาน มีดงั นี้1 1<https://blog.jobthai.com/career-tips/4-ขั้ น ต อ น ว า ง แ ผ น ชี วิ ต ก า ร ท ำ ง า น ส ำ ห รั บ นักศึกษาจบใหม่>(สบื ค้นขอ้ มูลเม่ือวันท่ี 27 มนี าคม 2563)
62 1) ย่งิ ร้จู กั ตัวเองมากเทา่ ไหรย่ ่งิ ดี เราจะเรมิ่ ต้นวางแผนชวี ิตการทำงานได้ กต็ ้องรู้จักตัวเองก่อน ลองตั้งคำถามเพื่อสำรวจตัวเอง อย่างละเอียดดู ไมว่ ่าจะเป็นทักษะท่เี ป็นจุดเด่น จุดด้อยที่ต้องปรับปรงุ ความสนใจพิเศษ ลักษณะงาน ที่ชอบและไม่ชอบ หรือกิจกรรมที่เราชอบทำตอนเรียน ซ่ึงเราจะต้องซื่อสัตย์กับตัวเองให้มากท่ีสุด เพราะคำตอบท่ีได้จะทำให้เราเห็นศักยภาพของตัวเองและมีผลต่อการกำหนดเป้าหมายการทำงาน ของเรา เราอาจจะเอาคำตอบท่ีได้ไปคุยกบั คนรอบตัวท่ีรจู้ กั เราดเี พ่อื ให้เกดิ ความมั่นใจมากข้นึ ก็ได้ ว่า คำตอบนนั้ คอื ตวั ตนของเราจรงิ ๆ 2) เป้าหมายคอื อะไร กำหนดใหช้ ัดเจน หลังจากรู้แล้วว่าเราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร หรือมีศกั ยภาพเหมาะกับงานแบบไหนแล้ว อย่าง ต่อไปที่ต้องทำกค็ ือตัง้ เปา้ หมาย เริ่มจากแบ่งเป้าหมายเป็นระยะสั้น กลาง และยาว หรือแบ่งย่อยกว่านั้นก็ได้ แต่ต้องเป็น เป้าหมายท่ีชัดเจน เพราะจะช่วยให้เรากำหนดทิศทางและวางแผนชีวิตงา่ ยขนึ้ จากนั้นก็ตั้งคำถามว่า เป้าหมายสูงสุดในชวี ิตการทำงานของเราคอื อะไร สายอาชีพไหนท่ีเราอยากทำ หรือคำถามต่าง ๆ ท่ี จะทำให้เรารูว้ ่าตัวเองต้องการอะไร รวบรวมคำตอบแล้วเขียนเป้าหมายออกมาให้กระชับและชัดเจน มีความเฉพาะเจาะจง เป็นไปได้จริง และตัง้ กรอบเวลาใหก้ ับเป้าหมายน้นั ด้วย ที่สำคัญตงั้ เป้าหมายที่ ท้าทายเราดว้ ย เพ่ือกระตุ้นให้เราเกิดความรสู้ ึกอยากทีจ่ ะประสบความสำเรจ็ 3) จะพิชิตเป้าหมายได้ ตอ้ งวางแผนใหด้ ี เราจะพิชิตเป้าหมายได้ ต้องวางแผนเป็นอย่างดี ซึ่งเปา้ หมายแรกสุดของเด็กจบใหม่ท่ีกำลังจะ กา้ วมาเป็นคนทำงานเต็มตัวกค็ ือการได้เข้าทำงานในสายงานที่ตัวเองสนใจ ให้เราเอาคำตอบท่ีได้จาก การสำรวจตัวเองและเป้าหมายที่ต้ังไว้มาเปน็ หลกั แล้วพจิ ารณา ประเมินว่าศกั ยภาพในปจั จุบันของเรา ตอนนี้ มีมากพอที่บริษัทจะรับเราเข้าทำงานแล้วหรือยัง มีอะไรท่ีเราต้องศึกษา เรียนรู้ หรือพัฒนา เพม่ิ เติมบา้ ง คอ่ ย ๆ วางแผนไปทลี ะขั้น ให้สอดคลอ้ งกบั เปา้ หมายย่อย ๆ ทเี่ ราตง้ั ไวด้ ว้ ย 4) เม่ือทกุ อย่างพรอ้ ม ก็ลงมือทำ ข้ันตอนสุดท้ายท่ีสำคัญและท้าทายท่ีสุดก็คือ “ลงมือทำ” เพราะแผนการและเปา้ หมายต่าง ๆ ทีเ่ ราวางมาอย่างดี จะไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้าเราไม่เอามาทำ โดยเฉพาะสำหรบั นักศกึ ษาจบใหม่ท่ี ต้องปรับตัวเข้าสู่โลกการทำงานอย่างเต็มตัว ไหนยังจะต้องแข่งกับเด็กจบใหม่คนอื่น ๆ ที่หางานใน ชว่ งเวลาเดียวกับเราอกี เราเลยต้องมีความมุ่งมนั่ และทำตามแผนท่เี ราวางไวอ้ ย่างเคร่งครัด แน่นอนว่าทุกอย่างไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ระหว่างทางเราอาจต้องเจอกับอุปสรรคต่าง ๆ มากมายจนอาจส่งผลกบั แผนตา่ ง ๆ ที่เราวางไว้ ก็ไม่เป็นไร เราสามารถปรับเปล่ียนแผนการให้เป็นไป ตามความเหมาะสมได้ เพยี งแต่เราตอ้ งหม่นั กระต้นุ ตัวเองและไมย่ อมแพ้งา่ ย ๆ เท่าน้ันเอง สรุปได้ว่า นักศึกษาจบใหม่ควรวางแผนชีวิตการทำงานเป็นขั้นตอน เพ่ือจะต้องไม่เสียเวลาไป หลายปีกับการลองผิดลองถูก คือย่ิงรู้จักตัวเองมากเท่าไหร่ย่ิงดี เป้าหมายคืออะไร กำหนดให้ชัดเจน จะพชิ ิตเป้าหมายได้ ต้องวางแผนให้ดี และเมอ่ื ทุกอย่างพรอ้ ม กล็ งมอื ทำ
63 4.2 6 เคลด็ ลับวางแผนการทำงานอยา่ งไรใหร้ ุ่ง คงไม่ปฏิเสธว่า ใคร ๆ ก็อยากประสบความสำเร็จในการทำงานกนั ทุกคน แตก่ ารจะไปถึงจดุ น้ัน ไม่ใชท่ ุกคนท่ีจะทำได้ และก็ไม่ใชว่ ่าอยู่เฉย ๆ แลว้ จะไปถึง แตก่ ารวางแผนที่ดีต่างหากจะพาคณุ ไปถึง เป้าหมายที่ใฝ่ฝนั เร่ิมต้นวางแผนอาชีพของคุณเสียแต่เน่ิน ๆ เพ่ือวางแผนเส้นทางไปสู่จดุ สูงสุดท่ีคุณ ปรารถนาอยา่ งรวดเรว็ และไม่หลงทาง 6 เคล็ดลับวางแผนการทำงานอย่างไรใหร้ ุ่ง มีดังน้ี2 1) วางแผนความกา้ วหน้าในอาชีพ สร้างเครือข่ายท่ีจะช่วยสนับสนุนคุณ ผูกมิตรกับเพื่อนร่วมงานและบุคคลในสาขาอาชีพ เพื่อ เสริมความแข็งแกรง่ ให้กับแผนการของคุณ บคุ คลเหล่านจ้ี ะเปน็ กำลงั สนับสนุนใหน้ ายจ้างม่ันใจในตัว คุณ เป็นกระบอกเสียงท่ีจะบอกว่าคณุ มีความเป็นมืออาชีพ และเหมาะสมเพียงใดที่จะเลื่อนตำแหน่ง หรอื ยา้ ยไปยังสว่ นงานอ่ืน ๆ ท่ีคุณสนใจ พัฒนาทักษะการทำงานอยู่เสมอ นายจ้างชอบท่ีจะเห็นพนักงานนำทักษะใหม่ ๆ มาใช้ในการ ทำงาน ดังน้ันจึงไม่ควรหยุดย้ังการเรียนรู้ส่ิงใหม่ ๆ และพัฒนาทักษะท่ีมีอยู่ในแล้วดีย่ิงข้ึน เพื่อเพ่ิม มลู ค่าของตัวคุณ และสามารถเพม่ิ เตมิ ให้พอร์ทโฟลิโอของคุณดูเปน็ มอื อาชีพมากขึ้นดว้ ย ชีวิตและงานอย่าให้ขาดสมดุล แม้ว่าคุณจะทุ่มเทให้กับการทำงานมากเพียงใด แต่อย่าให้งาน มากระทบกบั ชีวติ สว่ นตัวของคณุ เด็ดขาด คนทำงานมืออาชพี ตัวจรงิ ตอ้ งสามารถรกั ษาสมดุลชวี ติ และ งานไดด้ ดี ้วย สำคัญของการวางแผนความกา้ วหน้าในอาชพี ไม่ใชว่ ิธกี ารทีจ่ ะไปใหถ้ ึงจุดนน้ั แต่เป็นระยะเวลา ที่คุณต้องใช้เพอื่ ไปให้ถึงจดุ นั้นต่างหาก คุณไม่จำเป็นต้องรีบเร่งท่ีจะกา้ วกระโดด แต่ควรค่อย ๆ ก้าว และใช้เวลาคิดถึงเป้าหมายในระยะยาว เพื่อให้คุณสามารถกำหนดส่ิงท่ีจำเป็นต้องทำได้อยา่ งแม่นยำ และชดั เจน ด้วยเทคนคิ การวางแผนความก้าวหน้าตอ่ ไปน้ี 2) คน้ หาสิง่ ท่ีคณุ ทำแล้วมีความสขุ เมื่อคุณมีความสุขกับส่ิงไหน คุณจะไม่กังวลกับส่ิงน้ัน และทำออกมาได้ดี ลองจดว่า ช่วงเวลา ไหนที่คุณรู้สึกมีความสุขกับการทำงาน อะไรที่คุณชอบและไม่ชอบเกี่ยวกับงานของคณุ ถามตัวเองว่า คุณปรารถนาที่จะทำมันต่อหรือไม่ และคิดว่าจะทนทำมันได้อีกนานแค่ไหน การประเมินความรู้สึก เหล่านี้ด้วยความซือ่ สัตย์จะชว่ ยให้คุณตัดสินใจได้ว่าอะไรทค่ี วรทำและอะไรที่ไม่ควรเสียเวลากับมัน 3) เขา้ ใจบคุ ลิกภาพของตัวเอง การเข้าใจบุคลิกภาพของตัวเอง จะทำให้คุณรู้ว่าควรจะเติมเต็มในส่วนไหน ลองเข้าไปทำ แบบทดสอบบุคลิกภาพฟรีตามอินเทอร์เน็ต คุณจะได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับอาชีพท่ีเหมาะกับ บุคลกิ ภาพ รวมทงั้ คำแนะนำในการวางแผนอาชพี ใหป้ ระสบความสำเร็จอกี ด้วย 2<https://th.jobsdb.com/th-th/articles/เคลด็ ลับ-วางแผนการทำงาน> (สืบค้นข้อมูล เมือ่ วนั ที่ 27 มีนาคม 2563)
64 4) กำหนด Wish List ของคณุ เพ่ือให้คุณโฟกัสอยู่กับเป้าหมาย และกระหายท่ีจะทำให้สำเรจ็ คุณควรมี Wish List ที่จะช่วย ให้คุณมุ่งไปท่ีสิ่งใดสงิ่ หนึง่ โดยไม่วอกแวก เม่ือใดกต็ ามท่ีถูกส่ิงอ่ืนดงึ ความสนใจออกจากเส้นทางท่ีควร เดินไป ใหก้ ลบั มาดูที่ Wish List ของคุณเพ่ือกลับมาเดินในเสน้ ทางทีถ่ กู ตอ้ งอกี ครงั้ 5) มที ัศนคตเิ ชงิ บวกเสมอ ทศั นคตเิ ชิงบวกถือเป็นกุญแจดอกแรกที่จะนำคุณไปสู่ความสำเรจ็ เพราะทัศนคติที่ดีจะช่วยให้ คุณหาทางเดินไปสู่เป้าหมายได้สำเร็จ คนท่ีคิดบวกจะมีพลังบวกในการทำส่ิงต่าง ๆ ซึ่งพลังนี้จะช่วย ปอ้ งกนั คณุ จากความรสู้ กึ แย่ ๆ เวลาที่สงิ่ ตา่ ง ๆ ไมเ่ ปน็ ไปตามทีห่ วัง 6) ลงมือทำอย่างต้ังใจ เมอ่ื คุณวางแผนทุกอยา่ งเรยี บร้อยแล้ว กถ็ งึ เวลาลงมือทำอย่างต้ังใจ ดว้ ยความปรารถนาท่คี ณุ มี โดยไม่หยุดหรือล้มเลิกกลางคัน อย่าให้ความสงสัยหรือความไม่แน่นอนมาเป็นอุปสรรค ก้าวไป ขา้ งหน้าตามแผนการที่คุณวางไว้ คณุ จะเข้าใกล้เปา้ หมายทีละน้อย เม่ือสิ้นสุดการทำงานในแตล่ ะวัน ควรทบทวนว่า คุณได้ทำอะไรสำเร็จไปแล้วบ้าง เพ่ือให้กำลังใจตัวเองในการเดินหน้าเพื่อความสำเร็จ ตอ่ ไป สรุปได้ว่า การวางแผนท่ีดีต่างหากจะพาไปถึงเป้าหมายท่ีใฝ่ฝัน คือวางแผนความก้าวหน้าใน อาชีพ ค้นหาสิ่งท่ีคุณทำแล้วมีความสุข เข้าใจบุคลิกภาพของตัวเอง กำหนด Wish List ของคุณ มี ทัศนคติเชิงบวกเสมอ และลงมือทำอยา่ งตัง้ ใจ 4.3 7 วธิ ีทำงานใหส้ ำเร็จ ในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ไหน แผนกไหน ตำแหน่งไหนก็ตาม คนท่ีทำงานแล้วประสบ ความสำเรจ็ ไม่ได้มอี ะไรพิเศษกวา่ คนอื่น แต่อาศัยวา่ เป็นคนที่ใฝ่หาความรู้ และขยันสร้างความชำนาญ สรา้ งทกั ษะใหม่ ๆ ให้ตัวเอง กส็ ามารถประสบความสำเรจ็ ในหนา้ ท่กี ารงานได้ วธิ กี ารทำงานให้สำเร็จ มี 7 วิธี ดังน้ี3 1) กำหนดเป้าหมายความสำเร็จในแบบของคุณ ความสำเร็จไม่ได้จะต้องเป็นไปตามสิ่งที่คนอ่ืนคิดเสมอไป ความสำเร็จของคุณ คุณควรเป็นผู้ กำหนดเป้าหมาย และเส้นทางการเดินทาง เพื่อท่ีคณุ จะสามารถบรรลคุ วามสำเร็จของคุณได้ เพราะว่า เป้าหมายเป็นส่ิงสำคญั หากคณุ มเี ป้าหมายท่ีมั่นคงก่อนแล้ว จะหลงทาง จะต้องใชเ้ ส้นทางออ้ มไกลแค่ ไหน คณุ ก็ยงั รู้ได้วา่ สง่ิ ที่คุณต้องการจรงิ ๆ น้ันคอื อะไรและเดินทางต่อไปได้น่ันเอง (อ่าน 5 จุดสำคัญ บรหิ ารความม่งั คั่งอย่างถกู วธิ ี) 2) อยากประสบความสำเร็จตามตั้งใจไดจ้ ะต้องทำอะไรบา้ ง ในแตล่ ะวัน คนเราก็จะมีงานตา่ ง ๆ เข้ามาให้ไดป้ วดหัวกันเป็นประจำ บางครั้งสมองเราก็เรยี บ เรยี งไมถ่ กู คิดนี่ คดิ น่นั อยากทำนี่ ต้องทำน่ัน กลายเปน็ สะเปะสะปะไม่มีระเบียบ ในท่ีสดุ กไ็ ม่มีอะไร 3<https://www.krungsri.com/bank/th/plearn-plearn/seven-ways-working- success.html> (สบื คน้ ข้อมูลเมือ่ วันท่ี 25 มนี าคม 2563)
65 สำเร็จลุล่วงสักอย่าง ดังนั้น ขอแนะนำวิธีง่าย ๆ ท่ีใช้ได้ผลกว่าท่ีคิดไม่ว่าคุณจะเป็นคนทำงานระดับ ไหนก็ตาม นั่นก็คือ การเขียนรายการสิ่งที่ต้องทำรายวัน ตามลำดับความสำคัญของสิ่งท่ีต้องทำให้ สำเร็จ แนะนำให้จดรายการสิ่งท่ีต้องทำก่อนนอน หรือไม่ก็ทำเป็นอย่างแรกในตอนเช้า ไม่ว่าจะเป็น เรื่องเล็กใหญ่แค่ไหนก็ตาม แล้วจัดลำดับความสำคัญว่าคุณจะต้องทำอะไรให้เสร็จในวันน้ีบ้าง อะไร สำคญั กวา่ กัน เปน็ ต้น 3) เวลาทำงาน คิดอะไรออกใหร้ ีบจด เป็นกันบา้ งหรอื เปลา่ บางคร้ังบางที ความคิดดี ๆ โผลม่ าผดิ เวล่ำเวลา ไม่วา่ จะเปน็ ตอนอาบน้ำ ตอนขับรถ ก่อนนอน นั่งทานข้าวกลางวัน หากไม่รบี จดไว้ดีไม่ดีจะลืมเอาได้ บางครั้งเป็นเรื่องสำคัญ สำหรับการทำงาน บางคร้ังบางอย่างอาจจะเป็นไอเดียวิธีพรีเซนต์งานให้ลกู ค้าทีน่ ดั ไว้ พอลืมทนี ี้ละ่ จะ เรยี กความทรงจำคนื มาก็ลำบากแล้ว ดังนนั้ อีกวธิ ีง่าย ๆ ก็คือ การพกสมุดจดเล็ก ๆ ตดิ ตวั ไว้ หรือจะ ใชแ้ อปในโทรศัพท์มอื ถอื อัดเสยี งเอาไวก้ ่อนก็ได้เช่นกัน 4) มคี วามอดทนและขยนั หม่ันเพยี รในการทำงาน การมีความอดทนอดกลั้น เพียรพยายามในการทำงาน เป็นพลังที่จะส่งเสริมให้เราไปสู่ ความสำเร็จได้ คอื อดทนต่อพฤตกิ รรมคำพูด อดทนตอ่ ความเครียดความเหนอ่ื ยในการทำงาน อดทน ต่อสถานการณ์ที่เลวรา้ ย รู้จกั ปรับตัว และคิดหาทางแก้ไขปัญหาได้จะสามารถทำให้เราเผชิญปัญหา ตา่ ง ๆ ได้ และประสบความสำเร็จในท่ีสุด 5) ไมห่ ยุดเรยี นรู้พัฒนาตนเอง คนท่จี ะสามารถประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานได้ จะต้องมกี ารพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ไม่ มีการหยุดนิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเร่ืองของบุคลิกการวางตัว การแต่งกาย พฤติกรรม วิธีการทำงาน ความ เข้าใจในการทำงานในหน้าที่ของตนเอง วิธีการทำงานท่ีมีประสิทธิภาพย่ิงข้ึน และการประเมิน ความสามารถของตนเองเพื่อปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน อะไรที่เราควรเรียนรู้เพิ่มเติมก็ควรจะต้อง คน้ ควา้ หาเวลาเรยี นรเู้ พิ่มเติม เพือ่ เปน็ การพัฒนาการทำงานใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพยงิ่ ขน้ึ ไป 6) การสรา้ งเน็ตเวริ ์กที่ดใี นวงการ สมัยน้ีการสร้างเน็ตเวิร์กเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในทางธุรกิจ เพราะการมีสัมพันธ์ที่ดีในทางธุรกิจ อาจจะเป็นสิ่งท่ีชว่ ยให้ธุรกิจหรือโครงการของเราเดินหน้าไปตอ่ ได้ หรือประสบความสำเร็จได้น่นั เอง ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็ตาม ไม่มีใครสามารถเก่งอยู่คนเดียวแล้วนำพาทีมให้ประสบความสำเร็จได้ แต่เรา จะต้องทำงานได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ มีทีมงานที่ทำงานร่วมกันไดอ้ ย่างดี แต่ละคนในทีมงานร้หู น้าท่ี และความรับผิดชอบของตนเอง และมีการส่ือสารกนั อย่ตู ลอดเวลา และการมีส่ือสัมพันธ์กับธุรกิจอ่ืน ๆ ท่ีดีจะสามารถทำให้เราประสบความสำเร็จได้รวดเรว็ ยิ่งขึ้น (อ่านข้อคิดเพ่ือชีวิตทำงานประจำแต่มี รายได้ทางอ้อม) 7) ทำสิ่งดี ๆ ไม่ตอ้ งป่าวประกาศกไ็ ด้ ส่ือต่าง ๆ สร้างอิมเมจที่ว่า คนท่ีจะประสบความสำเร็จ หรือคนดี ทำดีแล้วจะตกเป็นข่าว แต่ จรงิ ๆ แลว้ ส่ิงดี ๆ เกิดขึน้ มาทุกวนั นี้ เกิดจากการปิดทองหลังพระของคนหลาย ๆ คน ทำไปไม่มีใครรู้ แต่จรงิ ๆ แล้วเปน็ เรือ่ งที่ดี บางครั้งลองทำสิ่งดี ๆ วันละนดิ วันละหนอ่ ย โดยไมต่ ้องหวังผลอะไรตอบ แทน ทำทุกวัน ไม่ต้องบอกใคร แต่พอเราเห็นคนอื่นมีความสุข ได้ผลประโยชน์จากสิ่งท่ีเราทำไว้ นั่น
66 จะทำใหห้ ัวใจเราพองโตได้มากมายเลยทเี ดียว และจะทำให้คุณมีความสุข สนุกกับส่งิ ท่ีตัวเองทำ และ มแี รงผลกั ดันในการทำงานเพ่อื ใหผ้ ลลพั ธ์ออกมาดที ีส่ ดุ ทำใหเ้ ราประสบความสำเร็จได้ในท่สี ดุ สรุปไดว้ ่า การทำงานให้สำเร็จจะต้องใช้วิธีกำหนดเป้าหมายความสำเร็จในแบบของคุณ อยาก ประสบความสำเร็จตามตั้งใจไดจ้ ะต้องทำอะไรบ้าง เวลาทำงาน คิดอะไรออกให้รีบจด มีความอดทน และขยนั หมั่นเพียรในการทำงาน ไมห่ ยุดเรียนรู้พัฒนาตนเอง การสร้างเน็ตเวริ ์กท่ีดใี นวงการ และทำ สงิ่ ดี ๆ ไม่ต้องปา่ วประกาศกไ็ ด้ 4.4 10 วธิ ีท่จี ะช่วยใหเ้ ราประสบความสำเร็จในการทำงาน อยากเงินดี ก็ต้องมีงานดี อยากประสบความสำเร็จด้านการเงิน ก็ควรจะต้องประสบ ความสำเร็จในการทำงานด้วย เพราะทุกอย่างเป็นเรื่องเกื้อหนุนกัน แล้วจะทำยังไงให้ประสบ ความสำเร็จในการทำงาน (เพอื่ ท่จี ะประสบความสำเรจ็ ในเรื่องการเงิน) 10 วธิ ีทีจ่ ะชว่ ยให้เราประสบความสำเรจ็ ในการทำงาน มดี ังน้ี4 1) อยา่ หยุดทจี่ ะพัฒนาตัวเอง การเรียนร้ทู ี่แท้จริงไม่ได้จบลงแค่ท่ใี บปริญญา เรียบจบคอื จบ ไมต่ ้องเรยี นอะไรต่อแล้ว เพราะ ถ้าเราหยุดเดิน ขณะที่โลกกำลังพฒั นาไปข้างหน้า ก็เท่ากับว่าเราเดินถอยหลัง เม่อื ความรู้และทักษะ เราไม่ได้ก้าวหน้า ขณะที่คนใหม่ๆมีความรู้ความสามารถที่สดใหม่กว่า มีค่าจ้างถูกกว่าเรา เราก็จะ กลายเป็น \"ต้นทุน\" ของบรษิ ัทมากกว่าจะเป็นฟันเฟืองเพ่ือสร้างรายได้ เราก็มีโอกาสที่จะเป็นคน \"ไร้ ค่า\" ในท่ีทำงานไปไดง้ ่ายๆ และเม่ือเป็นเช่นน้ัน กอ็ ยา่ โวยวาย หรือหวังว่าจะมรี ายได้ท่ีดขี ึ้นเลย ตราบ เทา่ ทเี่ รายงั ไม่คดิ ทจี่ ะพฒั นาตัวเองให้เก่งขึน้ กว่าน้ีอยูเ่ สมอ 2) ความสำเร็จไมไ่ ด้อยู่ท่แี ค่มีความรู้ แตต่ ้องลงมอื ทำ ด้วยจติ ใจทมี่ ุ่งมนั ด้วย บางคนอาจจะคิดแค่ว่า การพัฒนาตัวเอง คือการหาความรู้เพิ่มเติมเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว แต่ ความรู้ที่มีจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเราไม่เอามาลงมือปฏิบัติ และถึงแม้จะลงมือทำแล้ว ก็คงไม่มี ประโยชน์อะไรอกี เช่นกนั ถ้าเราเรม่ิ ทำแล้วท้อถอย ลม้ เลิกไปกลางคนั ซะกอ่ นท่ีจะเกดิ ผลสำเร็จ ดังนั้น การจะประสบความสำเร็จในการทำงานได้ ต้องมีทั้ง Head (ความรู้), Hand (การลงมือทำ) และ Heart (จิตใจ, ความมุ่งมั่น, ไม่ย่อท้อ) ดว้ ย ถ้าใครมีครบท้ัง 3 H นี้ได้ รับรองว่าทำอะไรก็สำเร็จอย่าง แน่นอน 3) จงพัฒนาทักษะการ “ขาย” ของตวั เราเอง การขายเป็นทักษะท่ีสำคัญสำหรับคนท่ีอยากประสบความสำเร็จในการทำงานทุกคน ไม่เว้น แม้แต่งานที่ไม่ต้องพบเจอลูกค้า เพราะอย่างน้อย ๆ เราก็จำเป็นต้อง “ขายตัวเอง” เพ่ือให้ได้รับการ ยอมรบั นบั ถอื จากผูร้ ว่ มงานด้วยเชน่ กนั 4) ทำงานในท่ที ่ใี หโ้ อกาสเราเรยี นรู้ และพัฒนาตวั เอง อย่ามองแค่เร่อื งผลตอบแทน บางคนที่กำลังมองหางาน อาจจะดูท่ีเรื่องของเงนิ เดอื นเป็นหลกั แตห่ ากเป็นที่ที่ให้เงินเดือนดี แต่วฒั นธรรมการทำงานภายในองคก์ รแย่ มีการแบ่งพักแบง่ พวก ไม่มีการฝึกอบรมทด่ี ี ไม่ใหโ้ อกาสคน 4<https://aommoney.com/stories/insuranger/1 0 - วิ ธี ที่ จ ะ ช่ ว ย ให้ เร า ป ร ะ ส บ ความสำเรจ็ ในการทำงาน> (สืบค้นขอ้ มูลเมอ่ื วนั ท่ี 27 มนี าคม 2563)
67 ในการพัฒนาตวั เอง หรือเสนอความคดิ เห็นใดๆ ก็ไม่มที างคุ้มค่ากับเงินที่ได้มาเด็ดขาด ใหเ้ ลอื กงานท่ี ถงึ แม้จะให้เงินน้อยกว่า แต่ใหโ้ อกาสเราพัฒนาตัวเอง และสนับสนุนความก้าวหน้าในงานเรา เพราะ ระยะยาวแล้ว ถ้าเราใช้โอกาสที่มีอยู่ในการพัฒนาตัวเองได้ดี เราย่อมมีโอกาสหาเงินได้มากกว่าเงิน จำนวนมากที่เราอาจจะได้ในปัจจบุ ันอย่างแน่นอน 5) สรา้ งผลงานให้ได้ ก่อนจะเรยี กรอ้ งหาโอกาส บางคนอาจจะคดิ วา่ ที่ตวั เองไม่ก้าวหน้าในอาชพี การงานซกั ที ก็เพราะไม่มใี ครให้โอกาส แล้วก็ ตัดพ้อต่อโชคชะตา โทษคนอื่นต่างๆนานาวา่ ทีต่ ัวเองไม่รุ่ง เพราะไม่มีคนสนับสนุน ซ่ึงถงึ แมม้ ันอาจจะ มสี ่วน แต่การมาน่ังโทษคนอ่ืนแล้วไม่ลงมือทำอะไร ก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้มันดีขึ้น ดังน้ัน ถ้าไม่มีใครให้ โอกาสเรา เราก็ต้องสร้างโอกาสน้ันข้ึนมาเองครับ พยายามสร้างผลงานอะไรที่จับต้องได้ ที่เป็นตัว พิสูจน์ความสามารถที่แท้จริงของเรา ให้คนอ่ืนเห็นอย่างสม่ำเสมอให้ได้ เม่ือเราพิสูจน์ตัวเองได้ใน ระดับหนึ่งแล้ว เมอ่ื นั้นแหละ โอกาสอ่ืน ๆ จะเร่ิมเข้ามาหาเราเอง เพราะฉะนั้น ก่อนจะเรียกร้องหา โอกาส ให้ถามตัวเองก่อนดีกว่าว่า เรามีผลงานอะไรที่พสิ ูจน์ได้วา่ เราสมควรจะไดร้ ับโอกาสก่อนดีกว่า ครบั 6) รู้จกั สร้างความสมั พนั ธก์ ับคนรอบดา้ น เพอื่ หาโอกาสร่วมงาน/สร้างทมี งานทด่ี ี มีคำพูดหน่ึงที่ว่า “ถ้าไปคนเดียวจะไปได้ไว แต่ถ้าอยากไปได้ไกล ต้องไปกันเป็นทีม” ซึ่งเป็น เรื่องจริงมาก ๆ การทำอะไรด้วยตัวเองคนเดียว อาจจะมีความคล่องตัวมากกว่า ไม่ต้องรอการ ตัดสินใจจากคนอื่นๆ อยากทำอะไรก็ทำได้เลย แต่ศักยภาพในตัวเรามีขีดจำกัด มันจะทำให้เราไปได้ เร็ว แต่จะสุดอยู่แค่ระดับหน่ึงเท่านั้น ถ้าเราอยากก้าวหน้าในการทำงานมากกว่านั้น เราต้องใช้พลัง ของ “ทีม” ในการผลักดันไปสู่ส่ิงที่ย่ิงใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ท่ีสำคัญต้องเป็นทีมที่ดี มีความเข้าขารู้ใจ มี แนวคิดตรงกนั ทำงานรว่ มกันไดด้ ีดว้ ย ซึง่ การจะมที ีมทีด่ ีได้น้นั เราก็จำเป็นต้องร้จู ักคนใหม้ าก เพ่ือให้ สามารถเช่ือมโยงถึงคนประเภทที่เราต้องการได้ ดังนั้น เราจึงต้องเป็นคนที่มีความสามารถในการ ตดิ ตอ่ สอื่ สารทีด่ ีดว้ ย 7) สรา้ งภาวะผู้นำในตวั เอง พัฒนาแนวคิดแบบผูป้ ระกอบการ ถา้ อยากจะประสบความสำเร็จ ก็ต้องคิดแบบคนสำเร็จ ซ่ึงหน่ึงในคุณลักษณะของคนสำเร็จก็ คอื จะไม่ใช่พวกทเี่ อาแต่รอรับคำสั่ง คิดอะไรเองไมไ่ ด้ คิดพัฒนาอะไรเองไมเ่ ป็น ถ้าเปน็ แบบนั้นโอกาส ที่เราจะก้าวหน้าก็มีน้อย ดังน้ัน การท่ีจะโดดเด่นในการทำงาน เราจึงต้องมีความคิดที่เป็นแบบ Proactive คือ “ทำให้กา้ วไกลเกนิ กว่าทไ่ี ดร้ บั คำสัง่ ” (ให้แม้แต่ทค่ี นสั่งเรายงั คิดไม่ถึง) ซึง่ ถ้าทำได้บอ่ ย ๆ ก็จะสร้างความประทับใจ และความเชื่อมั่นในฝีมือการทำงานของเราให้มากขึ้น ถ้าอยากเป็น เจ้าของธุรกิจ เป็นหัวหน้า ก็ต้องมีความคิดแบบเจ้าของธุรกิจ แบบคนเป็นหัวหน้า ตั้งแต่วันที่เรายัง เปน็ ลูกนอ้ งให้ได้ 8) รจู้ กั ใชเ้ คร่ืองมอื ตา่ ง ๆ เพอื่ พฒั นา “แบรนด์” ของตัวเอง คำวา่ “แบรนด์” ในทนี่ ้ี คือ ภาพลักษณ์ของเราในความรู้สึกของคนอ่ืน ๆ ที่ตอ้ งเด่นชัด วา่ เวลา คนนกึ ถึงเรา จะต้องนกึ ถงึ อะไร ความสามารถอะไรในตัวเอาที่โดดเดน่ เราตอ้ งทำออกมาให้ชัดเจน ให้ คนนึกถึงเรื่องนี้ จะต้องนึกถึงเราเป็นคนแรก ๆ ให้ได้ มันจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าเราเป็นคนดี เป็นคนเก่ง แต่ไมม่ ีใครรู้จัก หรือสรา้ งผลลัพธ์ทีย่ อดเยยี่ มใหค้ นจำนวนไมม่ ากพอ ดังน้นั เราต้องใช้พลัง ของ “การตลาด” ทำให้เราเป็นที่รู้จกั และเป็นท่ีจดจำของคนส่วนใหญ่ให้ไดด้ ้วย (ถ้าย่ิงออกสู่คนหมู่
68 มากได้มากเท่าไหร่ สรา้ งผลลัพธ์ท่ีดีให้คนได้เยอะเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสประสบความสำเร็จในสิ่งท่ีทำ มากขึ้นเท่าน้นั ) 9) ต้องทำงานทรี่ ัก ไม่ก็รักในงานท่ีทำ มีแรงกระต้นุ ในการทำงานดว้ ยความสนกุ อยู่เสมอ ไม่เคยเห็นคนทป่ี ระสบความสำเร็จในการทำงานคนไหน ไม่รักหรือไม่สนุกในงานท่ีทำเลย มัน เป็นไปไมไ่ ด้เลยทจี่ ะเป็นคนแบบนั้น เพราะกว่าที่เราจะประสบความสำเรจ็ ในสง่ิ ท่ีเรา เราย่อมต้องเจอ ปญั หา เจออุปสรรคมากมาย ซึ่งถ้าเราไม่รักในส่ิงที่ทำ เราจะไม่มีกำลงั ใจ ไม่มีแรงกระตุ้นมากพอทจ่ี ะ ผา่ นพ้นอุปสรรคเหล่าน้ันได้เลย จนอาจจะทำให้เราต้องลม้ เลิกกลางคัน การได้ทำในสิ่งท่ีรัก หรือรู้สึก รักในสง่ิ ที่ทำจงึ เปน็ พื้นฐานทส่ี ำคัญที่สดุ อยา่ งหน่งึ ต่อความสำเรจ็ ในสิง่ ท่ีเราทำเลยทเี ดียว 10) ต้องรจู้ ักใช้คนใหเ้ ปน็ มีความสัมพนั ธ์และจติ วิทยาทด่ี กี บั ทุกคนรอบตัว ทัง้ หมดท่ีว่ามา อาจจะทำให้เราเป็นคนท่ีเก่งหรอื ประสบความสำเร็จในการทำงานไดก้ ็จริง แต่ มนั จะไม่ยิ่งใหญ่และย่ังยืนเลย ถา้ เราเป็นคนเก่งท่ีไม่นา่ รกั คนยอมรับในความสามารถแต่ไม่ยอมรับที่ นิสัย คนทำตามคำส่ังเพราะความกลัว ไม่ใช่เพราะความเคารพ ดังน้ันถ้าเราอยากจะประสบ ความสำเร็จในการทำงานอย่างยั่งยืน เราจึงต้องเป็นคนท่ีดี มีความเข้าอกเข้าใจผู้อ่ืน ทำงานร่วมกับ ผอู้ ่ืนได้ดี ถา้ เปน็ เจ้านาย กเ็ ป็นเจ้านายท่พี รอ้ มลุยไปกับลูกนอ้ ง ซื้อใจลกู น้องได้ ไม่ใชเ่ ป็นเจา้ นายท่เี อา แต่ช้นี ว้ิ ส่ังอย่างเดยี ว เปน็ หุ้นสว่ นหรือทำงานรว่ มกบั ใคร ก็ตอ้ งใจใหญพ่ อ บางครั้งอาจจะตอ้ งยอมเสีย ผลประโยชน์บ้าง เพ่ือแลกกับความสัมพันธ์หรือความเคารพนับถือจากคนอ่ืน เราถึงจะอยู่ร่วมกับคน อ่ืนได้อย่างสงบและเป็นสุข เพราะเราคงไม่อยากเป็นคนทีป่ ระสบความสำเร็จในการงาน แตม่ ีศตั รอู ยู่ มากมายมากกวา่ คนรักอยแู่ ล้ว 4.5 9 ข้ันตอนการวางแผนการทำงานใหป้ ระสบความสำเร็จ การทำงานน้ันเปน็ สิ่งท่ีทุกคน เมื่อเรียนจบแล้วต้องทำ แต่การจะทำงานใหป้ ระสบความสำเร็จ นั้น ต้องอาศัยปัจจัยหลาย ๆ อยา่ ง 9 ขนั้ ตอนการวางแผนการทำงานใหป้ ระสบความสำเรจ็ มดี ังน้ี5 1) พฒั นาตนเอง ขน้ั ตอนแรกท่ีจะนำไปสคู่ วามสำเร็จ คุณจะต้องเร่ิมตน้ พัฒนาตนเองในด้านบุคลกิ ภาพ ไม่ว่าจะ เป็นการพูด การส่ือสาร การเจรจา การวางตัวในสังคม ควรพัฒนาตนเองให้มีความน่าเชื่อถือและมี ความเปน็ ผนู้ ำ 2) พัฒนาทักษะดา้ นภาษา การวางแผนในการทำงานที่จะช่วยทำให้ประสบความสำเร็จมากยิ่งข้ึน อย่างน้อยควรสื่อสาร ภาษาอังกฤษได้ ซ่ึงภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากล การมีทักษะภาษาอังกฤษจะช่วยให้คุณมีชัยไปกว่า ครึ่ง เพราะในปัจจุบันน้ี การสือ่ สารด้วยภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะจะทำให้คุณสามารถ ตดิ ต่องานกบั ชาวต่างชาติได้ ซึ่งถือเป็นอีกโอกาสในการเจริญก้าวหน้าในหน้าท่ีการงานของคณุ ได้อีก ดว้ ย และบางบริษทั ใหค้ า่ ภาษารวมไปในเงินเดือนเพม่ิ ด้วย 5<https://millionaire-academy.com/archives/3676> (สื บ ค้ น ข้ อ มู ลเม่ื อ วั น ที่ 2 7 มีนาคม 2563)
69 3) พัฒนาทกั ษะด้านเทคโนโลยี การพัฒนาทักษะดา้ นเทคโนโลยีกเ็ ปน็ อกี หนึ่งขัน้ ตอนสำคัญในการทำให้คุณเจริญก้าวหน้าและ ประสบความสำเร็จในหน้าท่ีการงาน ซึ่งเทคโนโลยีเป็นสิ่งท่ีก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ดังน้ัน คุณควร พัฒนาทกั ษะในด้านของเทคโนโลยีอยสู่ มำ่ เสมอ ไม่ว่าจะเปน็ การใช้โทรศัพทม์ ือถอื เคร่อื งคอมพิวเตอร์ และโปรแกรมต่าง ๆ ท่ีช่วยให้การทำงานของคุณเร็วข้ึน หรือโปรแกรมท่ีช่วยในการนำเสนองาน ซึ่ง ปฏิเสธไมไ่ ดว้ า่ เทคโนโลยีมสี ว่ นชว่ ยหลักให้คุณสามารถประสบความสำเรจ็ ในการงานได้ 4) พัฒนาการส่อื สาร การส่ือสารก็เป็นส่ิงสำคัญ เพราะในการทำงานจะต้องมีการติดต่อส่ือสารกัน ไม่ว่าจะเป็น ระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง หรอื กับเพื่อนร่วมงานที่ทำงานรว่ มกันเป็นทีม หรือกับลูกค้าที่ต้องพบปะ เพ่ือเสนองาน หรือพบลูกค้าเพ่ือทราบความต้องการด้านต่าง ๆ ของลูกค้าแล้วนำมาปรับปรุง และ พัฒนาให้เกิดผลดีสูงสุดต่อการทำงาน การส่ือสารที่ดีจะต้องเป็นการสื่อสารท่ีเปิดโอการโอกาสให้ ลกู คา้ แสดงความคิดเห็น และคุณต้องให้คำปรึกษาและความช่วยเหลือลูกค้าในทกุ ๆ ด้านของบรกิ าร หลังการขายด้วย การส่ือสารสามารถพัฒนาได้โดยการฝึกฝนหรอื การเข้าฝึกอบรมในหลักสูตรต่าง ๆ ซงึ่ การสื่อสารทีด่ ีนำไปสู่ความสำเรจ็ ได้ 5) มมี นุษยสัมพันธท์ ่ดี ี หากคุณต้องการความสำเร็จด้วยการวางแผนการทำงาน คุณควรมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อเพ่ือน ร่วมงาน เจ้านาย และลูกค้า เพราะมนษุ ยสัมพันธ์คือการสร้างความสมั พนั ธท์ ่ดี ีระหว่างคุณกับคนรอบ ข้าง อกี ท้ังยังช่วยใหค้ ุณร้จู ักคนมากขึ้น การรู้จักคนมากมผี ลตอ่ การทำงาน โดยมนุษยสมั พันธ์จะต้อง มาจากความจริงใจของคุณ ไม่เสแสร้ง หรือแกล้งแสดงออกมา เพื่อสร้างความน่าเชอื่ ถือให้กับตัวคุณ เอง 6) สามารถแก้ไขปัญหาได้ การทำงานนั้นควรมีการวางแผนในการทำงาน เน่อื งจากการทำงานมักมีปัญหามาให้เราต้องขบ คดิ แก้ไขปัญหาอยู่บ่อย ๆ ดังนั้น คนท่ีต้องการประสบความสำเรจ็ ในหน้าที่การงาน ควรที่จะสามารถ แกไ้ ขปัญหาไดอ้ ยา่ งทนั ท่วงที เพื่อใหง้ านสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างไม่สะดดุ การแก้ไขปัญหาได้เป็น ส่งิ ที่คนจะประสบความสำเร็จในการทำงานต้องมีทุกคน เพราะปัญหาเปรยี บเสมือนบททดสอบทเ่ี ข้า มาระหว่างการเดินทางไปสู่ความสำเรจ็ 7) มีความรับผดิ ชอบ ถ้าคุณต้องการที่จะประสบความสำเร็จในการทำงาน การวางแผนการทำงานจะต้องมีความ รับผิดชอบต่อหน้าที่การงานในทุก ๆ ส่วนท่ีรับผิดชอบ รวมถึงหากคุณเป็นหัวหน้างาน คุณจะต้อง สามารถรับผิดชอบและมอบหมายงานให้แกล่ ูกน้อง หรือผอู้ ยู่ใต้บังคับบัญชาทำงานให้สำเร็จ และการ ทำงานเป็นทีมก็สำคัญเช่นกัน หลายครงั้ ท่ีความสำเร็จในงานหนงึ่ ๆ ไมไ่ ด้เกดิ ข้นึ จากคนเพยี งคนเดยี ว ดังน้ัน ความรับผิดชอบจึงเป็นสิ่งสำคัญของคุณที่มีเป้าหมายในการประสบความสำเร็จในหน้าท่ีการ ทำงาน 8) การตรงตอ่ เวลา การตรงต่อเวลาเปน็ การวางแผนการทำงานท่ีนำมาซ่งึ ความสำเร็จในหนา้ ท่ีการงาน การตรงต่อ เวลาในที่นี้คอื การตรงตอ่ เวลาในการทำงานและมีเปา้ หมายในการทำงานแต่ละวนั มีการตรงต่อเวลา
70 ในการส่งงาน การนัดพบลูกค้าหรืออื่น ๆ ที่ช่วยให้การทำงานนั้นราบรน่ื และประสบความสำเร็จใน การทำงานอย่างย่งั ยืน การตรงต่อเวลานอกจากจะเป็นการวางแผนการทำงานแลว้ ยังเปน็ ขอ้ ปฏิบัตทิ ี่ นกั ธรุ กิจหรอื ผู้ท่ปี ระสบความสำเร็จในการทำงานยึดถอื ปฏิบตั ิ 9) คดิ บวก การคดิ บวกในเร่อื งการทำงานและในทกุ ๆ เร่อื งนัน้ ลว้ นสง่ ผลดีตอ่ การวางแผนการทำงานทจ่ี ะ นำไปสู่ความสำเร็จ โดยการคิดบวก นัน่ ก็คือ การคิดในแงท่ ่ีดี ซ่ึงจะช่วยลดความเครียดและเพิ่มความ ผอ่ นคลายให้กับคุณ รวมท้งั ยังช่วยทำให้สามารถแก้ปญั หาท่ียงุ่ ยาก หรือไม่สามารถแก้ไขได้ สามารถ แก้ไขได้ง่ายขึ้นดว้ ย สรุปได้ว่า การจะทำงานให้ประสบความสำเร็จน้ัน ต้องอาศัยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง คือ พัฒนา ตนเอง พัฒนาทักษะด้านภาษา พัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยี พัฒนาการส่ือสาร มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี สามารถแก้ไขปญั หาได้ มคี วามรบั ผิดชอบ การตรงตอ่ เวลา และคดิ บวก 4.6 6 แนวคิดการทำงานใหป้ ระสบความสำเรจ็ แบบคนญปี่ ุน่ ชาวญปี่ ุ่นนั้นข้ึนชื่อในเรื่องของระเบียบวินัย ในการใช้ชีวิตกนั อยู่แล้ว ไม่วา่ จะเป็นเร่ืองของการ ใช้ชวี ติ ประจำวันหรอื เร่ืองของการทำงาน ไมว่ า่ จะเป็นเรอ่ื งของมารยาทในที่ทำงาน, เวลาเขา้ -เลิกงาน หรือ การแตง่ ตัว ทกุ อย่างกด็ ูจะเคร่งขรึม จรงิ จงั เป็นการเปน็ งานไปซะหมด จนหลายๆคนอาจจะเคย ได้ยนิ ว่าคนญ่ปี ุ่นนัน้ “บ้างาน” เปน็ ที่หน่ึง แต่ถ้ามองข้ามความจริงจังตรงนี้ไป เราต้องยอมรับว่าบริษัทญ่ีปุ่นน้ันมีการทำงานที่มี ประสิทธภิ าพและให้ประสิทธผิ ลท่ดี ีออกมา ถงึ แมอ้ าจจะมองไดว้ ่ามันจรงิ จงั มากเกินไปหรือเปล่า แต่ เรากป็ ฏิเสธไมไ่ ด้ว่าการทำงานของชาวญป่ี ุ่นน้นั มนั ไดผ้ ลและเวริ ์คมาก ๆ อีกด้วย 6 แนวคิดการทำงานใหป้ ระสบความสำเรจ็ แบบคนญปี่ ่นุ มดี งั น้ี6 1) การแลกเปลย่ี นนามบัตรทางธุรกิจ การแลกเปล่ียนนามบัตรเป็นสิ่งท่ีเรามักจะทำกันเวลาพบเจอคนใหม่ๆในการทำงาน หรือ อาจจะต้องการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพือ่ ทำธรุ กิจ ซึ่งในประเทศไทยการแลกเปลีย่ นนามบัตรอาจจะไม่ใช่ เรอ่ื งที่จำเป็นเสมอไป แต่สำหรับคนญ่ีปุ่นน้ัน เขาจะแลกเปลี่ยนนามบัตรกันก่อนการประชุมหรือพบปะกันคร้ังแรก เสมอทำไม เพราะการแลกเปลยี่ นนามบัตรสำหรบั คนญ่ีปุ่นถอื เปน็ วิธกี ารแสดงความสำคัญของบุคคล อกี ฝ่ายหนึ่ง วา่ เราให้คณุ คา่ กับบุคคลนน้ั และการพบปะคร้ังนนั้ ๆ มากแคไ่ หนนน่ั เอง เราเรียนรอู้ ะไรได้บา้ ง เราควรมีนามบัตรและแลกนามบัตรให้เป็นนิสยั เม่ือรับนามบัตรของคนอ่ืนมาแล้วก็อย่ารีบยัด เขา้ กระเปา๋ แต่ควรหยบิ ข้ึนมาอา่ นรายละเอยี ดก่อนสกั นิดนงึ ทำความเข้าใจและจดจำข้อมูลของบคุ คล นั้นๆบา้ ง เพอ่ื ให้การพบปะกนั ครงั้ หนา้ เปน็ ไปได้อยา่ งราบรนื่ 6<https://rabbitfinance.com/blog/6-japanese-motto-to-success> (สบื ค้นข้อมูลเมื่อ วันที่ 25 มนี าคม 2563)
71 2) เคารพผอู้ าวโุ สในที่ทำงาน ผ้อู าวุโสในท่ีนี้ คือ คนท่ีทำงานมานานกว่าหรือคนที่มีประสบการณ์มากกว่า คนญี่ปุ่นเคารพผู้ อาวุโสในท่ีทำงานมาก เพราะพวกเขาเชื่อว่า คนเหล่านี้ข้ึนมาตำแหน่งที่สูง ๆ ได้ เพราะเขามี ความสามารถ และทกั ษะในการทำงานทีด่ ีจรงิ ๆ และพวกเขาน่าจะมีเคล็ดลับที่เป็นประโยชน์ตอ่ การ ทำงานและองค์กร ดงั นน้ั ชาวญ่ีปนุ่ จึงพร้อมท่ีจะเรียนรู้การทำงานจากพวกเขาเหล่าน้ี เราเรียนรอู้ ะไรได้บ้าง คนรุ่นใหม่สมัยน้ีมักจะชอบตั้งคำถามกบั หลาย ๆ อยา่ ง ซงึ่ น่ันไม่ใช่เรื่องผิด แตเ่ ราก็ตอ้ งยอมรับ ว่า ถึงเราจะมีทัศนคติที่ไม่ตรงกับหัวหน้างานหรือรุ่นพี่ที่ทำงาน แต่เขาเองก็ผ่านประสบการณ์มา มากกว่าเรา และอาจจะรู้จักองค์กรมากกว่า ดังนั้น เราเองก็ควรที่จะเรียนรู้ส่ิงดี ๆ จากพวกเขา และ แลกเปลยี่ นความเหน็ ซ่ึงกันและกนั ด้วย 3) ปฏบิ ัติตามเป้าหมายขององค์กร บรษิ ัทญี่ปุ่นมักจะเริ่มการทำงานของทุกวันด้วยการประชุมในตอนเช้า เพื่อให้คนในองค์กรได้ ต้ังเป้าหมายของทำงานในแต่ละวัน และเป็นการตอกย้ำเป้าหมายในระยะยาวขององค์กรในกับ พนกั งานทกุ คนอกี ด้วย เราเรียนรอู้ ะไรได้บ้าง ไมว่ ่าเราจะทำอะไรในชีวิต เราควรจะมีเปา้ หมายในการทำสิ่งนนั้ ๆ การทำงานก็เหมอื นกนั เรา ควรจะตัง้ เป้าหมายในการทำงานของเรา วา่ เราทำงานไปเพอ่ื อะไร และพยายามบรรลุเป้าหมายนัน้ ๆ ใหไ้ ด้ รวมถึงคิดถึงการทำงานอย่างไรเพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององคก์ รไดด้ ว้ ย เมื่อเรามเี ปา้ หมายและ เราทำให้มนั สำเร็จได้ เราเองกจ็ ะมี ความสุขกับการทำงาน และมคี วามสุขกบั ชีวิต 4) การวางตัวในทท่ี ำงาน คนญ่ปี ุ่นจะไม่ใช้อารมณ์ในการทำงาน และจะพยายามรักษาสีหน้า คำพูด และกิริยาท่าทางให้ เป็นปกติทสี่ ดุ ระหว่างการทำงาน โดยเฉพาะเวลาประชุมท่ีพวกเขาจะพูดในโทนเสยี งธรรมดา และใจผู้ พดู เป็นพิเศษ การทำเช่นนเ้ี ป็นการแสดงความเคารพตอ่ สถานทีท่ ำงาน และผู้ร่วมงาน โดยการใช้หลัก เหตุและผลในการพดู คุยมากกวา่ ใชอ้ ารมณใ์ นการตัดสนิ เราเรียนร้อู ะไรไดบ้ ้าง ท่ีทำงานเป็นที่ส่วนรวม ที่มีคนหลายๆความคิดมารวมตัวกนั เพราะฉะนั้นความขัดแย้งในเรื่อง งานกเ็ ปน็ สง่ิ ท่ีเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ แตเ่ ราสามารถรับมือกับมนั ได้ ด้วยการใช้เหตแุ ละผลในการแกป้ ญั หา รับฟังและเคารพความคิดเห็นของผู้อ่ืน ควบคุมอารมณ์ของตนเอง และนำข้อติชมที่ได้มาปรับการ ทำงานของเราเอง 5) งานเป็นงาน เลน่ เปน็ เล่น เมื่ออยู่ในเวลางาน คนญี่ปุ่นจะจริงจังกับการทำงานมาก เพราะ เขาถือว่ามันคือคว าม รับผิดชอบของพวกเขา แต่เมื่อเลิกงาน พวกเขาก็ไม่ลืมที่จะหาความสนุกให้กับตัวเองและผ่อนคลาย ซะบ้าง เช่น การไปงานเลี้ยงสังสรรค์ ไปเที่ยวพักผ่อน หรือใช้เวลาวันหยุดกับครอบครัวของพวกเขา นน่ั เอง
72 เราเรยี นรู้อะไรได้บ้าง ถึงเราจะรักมันแคไ่ หน แต่เราตอ้ งไมล่ ืมว่า งานไม่ใชท่ ง้ั หมดของชีวติ ชีวิตเรายังมีสิ่งอ่ืน ๆ ท่ีสำคัญเช่นกัน อย่างเพื่อน แฟน หรือครอบครัว การหาเวลาว่างสัก อาทิตย์ละครั้งในการใช้เวลากับคนสำคัญของเราเป็นสิ่งที่เราไม่ควรละเลย และก็อย่าจริงจังกับการ ทำงานมากเกินไป หาช่วงพักระหว่างวันและนั่งผ่อนคลายซะบ้าง อาจจะทำให้เราทำงานออกมาได้ ดกี วา่ นัง่ จมปลักกับมนั ท้ังวนั กไ็ ด้ 6) การสรา้ งความสมั พันธ์กับผอู้ นื่ ในการทำงานยอ่ มจะต้องมีการติดตอ่ เจรจาธุรกจิ กบั องค์กรอื่น หรอื มกี ารประชมุ ระหว่างแผนก หรือแม้แต่การทำงานร่วมกับคนในทีม ซ่ึงคนญี่ปุ่นน้ันให้ความสำคัญกับการสร้างและรักษา ความสัมพันธ์ในการทำงานเป็นอยา่ งมาก เพราะพวกเขาเชื่อว่าการมีความสัมพันธ์ทางธุรกจิ ที่ดีต่อกันจะเป็นประโยชน์ทำให้องคก์ รของ พวกเขากา้ วไปขา้ งหน้าได้นน่ั เอง เราเรียนรู้อะไรได้บา้ ง การสร้างเครือข่ายหรือพันธมิตรในการทำงาน เป็นเร่ืองที่ดี เพราะในหลาย ๆ ครั้งเราอาจจะ ต้องพึ่งพาคนอื่นเพ่ือช่วยให้งานของเราสำเรจ็ ไปได้ เราเองควรที่จะศึกษาและใสใ่ จทำความรู้จักกับคน อนื่ ๆบ้าง การมีเพ่ือนในที่ทำงานไว้ปรึกษากันหรือ การมีเครือข่ายในบริษัทอื่น ก็จะส่งผลดีต่อท้ังการ ทำงานของเราและต่อองค์กรของเราด้วย สรุปได้ว่า แนวคิดการทำงานให้ประสบความสำเร็จแบบคนญ่ีปุ่นน้ัน ประกอบด้วยการ แลกเปลี่ยนนามบัตรทางธุรกิจ เคารพผ้อู าวโุ สในท่ีทำงาน ปฏบิ ัตติ ามเป้าหมายขององคก์ ร การวางตัว ในที่ทำงาน งานเปน็ งาน เลน่ เป็นเล่น และการสรา้ งความสมั พันธก์ บั ผอู้ นื่ 4.7 11 วธิ ีทำงานอยา่ งมคี วามสุข 11 วธิ ที ำงานอย่างมคี วามสขุ มดี งั นี้7 1) เร่ิมงานอยา่ งสดชื่น กระปร้ีกระเปร่า ปลอดโปร่ง ความสดชนื่ กระปรีก้ ระเปร่า ปลอดโปรง่ จะช่วยให้สมองโลง่ ต่ืนตัวท่ีจะคิดและทำงานทงั้ งา่ ย และยากได้อยา่ งสดใส ไม่กลัว และมีมุมมองต่องานและปัญหาได้อยา่ งแหลมคมเสมอ 2) ปรบั ปรงุ บคุ ลกิ ภาพ ใหเ้ หมาะกบั ตำแหนง่ และลักษณะงาน ผู้ที่มีบุคลิกภาพดีจะเหมือนมีมนต์สะกดคนอ่ืนให้เช่ือมั่น เช่ือถือ เคารพ และชื่นชม นั่นย่อม ชว่ ยใหก้ ารทำงานงา่ ยขึน้ กว่าเดิมอกี มาก 7<https://hilight.kapook.com/view/29270> (สบื คน้ ข้อมูลเมือ่ วันที่ 25 มีนาคม 2563)
73 3) สนทนาแลกเปล่ียนกบั บคุ คลท่เี กย่ี วขอ้ งกับงานอยู่เสมอ อยา่ ฉายเด่ยี ว งานทต่ี อ้ งทำเปน็ หมคู่ ณะกต็ ้องไปกันเป็นหมูค่ ณะ หากหมู่คณะสามารถประสาน พลังกันได้ งานก็ง่าย ผลลัพธ์ก็ดี และการอยู่ร่วมกันก็มีความสุข การพูดคุยกันเสมอ คือการละลาย กำแพงนำ้ แข็งทอ่ี าจกอ่ ตวั ข้นึ ขวางก้ันความสมั พันธท์ ่ีควรจะดตี อ่ กนั ไดต้ ลอดเวลา 4) ศกึ ษาวธิ กี ารทำงานใหม้ ปี ระสิทธภิ าพยงิ่ กวา่ เดมิ งานคือความทา้ ทายท่ีไม่หยุดนง่ิ มันจะมีตวั แปรหรือปญั หาทัง้ เกา่ และใหม่ใหเ้ ราตอ้ งคอยแก้อยู่ เสมอ อย่าใช้แค่ความเคยชินทำงาน แต่ต้องต่ืนตัวท่ีจะเรียนรู้กลยุทธ์ใหม่ๆ เพ่ือนำไปใช้พิชิตปัญหา งานจะสำเร็จได้ดง่ั ใจเสมอ และตัวคุณเองก็จะพฒั นากา้ วหนา้ ไดม้ ากตามไปดว้ ย 5) ใสค่ วามกระตอื รือร้นและพลงั วงั ชาลงไปในงาน งานคอื การสะสาง คือการลงมือ คอื การแกไ้ ข ทั้ง 3 ประการนล้ี ้วนตอ้ งการพลังกายพลังใจท่ีจะ พิชิต ความกระตือรือร้นนั้นเหมือนน้ำมันเครื่อง ช่วยให้เคร่ืองยนต์ทำงานดี มีกำลังมาก และเป็นไป อยา่ งราบรื่น ฉะนน้ั กระตอื รือรน้ ให้มาก และมีกำลังวงั ชาเข้าไว้ 6) หมั่นบันทึกคำเตอื นเพื่อกันลมื สำหรบั ตนเอง ความจำของคนมขี ีดจำกัด มนั สามารถหลงลมื เรื่องหลายเรอื่ งได้ การบันทึกไวไ้ ม่เพียงช่วยกัน ลืม แตจ่ ะกลายเป็นหลักฐานยืนยนั ทม่ี นี ำ้ หนกั ได้ในภายภาคหนา้ 7) หม่ันหาความรเู้ พมิ่ เตมิ ตลอดเวลา อย่าหยุดเรียนรู้ คนที่หยุดเรียนรู้คือคนท่ีตายแล้ว เพราะโลกเปลี่ยนแปลงทุกวัน ความรู้ยังมี อกี สารพดั สารพนั ซง่ึ เรายงั เขา้ ไม่ถึง น่นั คือขมุ ทรัพยท์ ่คี วรจะค้นให้พบ 8) หากต้องการคลายเครียด ลองหาหนังสือธรรมะมาอา่ น หนังสือธรรมะดี ๆ ช่วยปัดฝุ่นใจ ช่วยให้ใจเบา ขจัดความหมองเศร้า และเติมความสงบ ซ่ึง เป็นพลังที่ย่ิงใหญใ่ หเ้ ราทุกคนได้ 9) อยา่ จริงจงั กบั งานและชีวติ จนเคร่งเครยี ด ชวี ติ กบั งานมีไวเ้ พือ่ ใหเ้ ราจดั การใหม้ ันลงตัว ไม่ได้มไี วใ้ ห้แบก ทำให้ดที ส่ี ุดเท่าท่คี ุณทำได้ ไม่มี อะไรที่ดีไปกว่านั้น เพราะคุณใส่ใจท่ีจะทำมันอย่าง “ดีท่ีสุด” แล้ว จึงไม่เหลืออะไรให้ต้องโกรธหรือ โทษตัวเองอีก 10) แบง่ งานออกเปน็ สว่ น ๆ แล้วลำดบั ความสำคัญของงาน เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลากับงานท่ีไม่สำคัญ และเหลือเวลาเพียงน้อยนิดให้งานท่ีสำคัญมาก แยกมันออกจากกันซะ แล้วเลือกจดั การตามลำดับความสำคัญของมัน 11) กำหนดเวลาพกั ผอ่ น เวลาทำงาน และเวลานัง่ สมาธิให้สมดุล ชัดเจน ทั้งหมดจะช่วยสร้างพลังให้แก่คุณ เพื่อออกไปรบรากับภารกิจมากมายที่คอยท่าอยู่ใน วันรุ่งข้ึน ทำทุกอย่างน้ีให้ดีท่ีสุด คุณจะพบว่าคุณมีพลัง มีไฟ และมีความสุขใจอย่างมหาศาล จะไม่ กลวั การงานแมห้ นักแสนหนกั
74 4.8 ธรรมะทเ่ี หมาะสมสำหรบั ผูป้ ฏบิ ัติงาน ธรรมะท่เี หมาะสมสำหรับผูป้ ฏบิ ตั งิ าน คอื ธรรมคุ้มครองโลก 2 (ธรรมท่ีช่วยให้โลกมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่เดือดร้อนและ สบั สนวุน่ วาย) ผู้ปฏบิ ัตงิ านจะต้องมีธรรมคมุ้ ครองโลก 2 ในจิตใจเป็นเบอื้ งต้น คอื 8 1) หริ ิ (ความละอาย, ละอายใจตอ่ การทำความชั่ว) 2) โอตตปั ปะ (ความกลัวบาป, เกรงกลัวต่อความชั่ว) ธรรมมีอปุ การะมาก 2 (ธรรมท่ีเก้ือกูลในกจิ หรอื ในการทำความดีทกุ อย่าง) ผปู้ ฏิบตั ิงานจะต้องมีธรรมมีอปุ การะมาก 2 ในจิตใจตนเอง คือ9 1) สติ (ความระลึกได้, นกึ ได้, สำนึกอยไู่ ม่เผลอ) 2) สมั ปชญั ญะ (ความรูช้ ัด, ร้ชู ัดสง่ิ ที่นกึ ได้, ตระหนัก, เข้าใจชดั ตามความเปน็ จริง) ธรรมทำใหง้ าม 2 ผปู้ ฏบิ ัตงิ านจะตอ้ งมีธรรมทำใหง้ าม 2 ในจติ ใจตนเอง คือ10 1) ขันติ (ความอดทน, อดได้ทนได้เพ่อื บรรลุความดีงามและความมุง่ หมายอนั ชอบ) 2) โสรจั จะ (ความเสงย่ี ม, อัธยาศัยงาม รักความประณตี หมดจดเรยี บร้อยงดงาม) อิทธบิ าท 4 (คุณเครือ่ งให้ถึงความสำเร็จ, คณุ ธรรมทนี่ ำไปส่คู วามสำเร็จแหง่ ผลท่ีมุ่งหมาย) ผปู้ ฏบิ ตั ิงานจะตอ้ งมีอทิ ธบิ าท 4 ในจิตใจเปน็ เบอ้ื งตน้ คอื 11 1) ฉันทะหรือ ความพอใจ หมายถึง ผู้ปฏิบัติงานต้องชอบหรือศรัทธางานท่ีทำอยู่ และมี ความสขุ กับงานทีไ่ ด้รับมอบหมาย 2) วิริยะ หรือ ความพากเพียร ผู้ปฏิบัตงิ านจะตอ้ งมีความขยันหม่ันเพียรในการทำงานที่ได้รับ มอบหมาย รวมท้งั หมนั่ ฝึกตนเองอย่างตอ่ เนอ่ื ง เพือ่ ให้การทำงานมปี ระสิทธิภาพมากขึ้น 3) จติ ตะ หรือ ความเอาใจใส่ หมายถึง ผูป้ ฏิบัติงานจะต้องมีจิตใจหรือสมาธิจดจอ่ กับงานที่ทำ รวมถึงมคี วามรอบคอบและความรับผดิ ชอบในงานทที่ ำอยา่ งเตม็ สติกำลัง 4) วิมังสา หรือ ความหม่ันตริตรองพิจารณาหาเหตุผลในงานที่ทำ ทำงานด้วยปัญญา ด้วย สมองคดิ รวมถึงเข้าใจในงานอย่างลกึ ซ้ึง ทงั้ ในแงข่ ั้นตอนและผลสำเร็จหรอื ผลสัมฤทธิ์ของงาน สงั คหวัตถุ 4 (ธรรมเครื่องยดึ เหน่ียว คอื ยดึ เหนี่ยวใจบุคคล) ธรรมะที่เหมาะสมสำหรบั การทำงานร่วมกัน คอื “สงั คหวัตถุ 4” ไดแ้ ก1่ 2 1) ทาน หรอื เกื้อกูลกันด้วยการให้ การเสียสละ การเอ้ือเฟ้ือแบง่ ปันของ ๆ ตนเพ่ือประโยชน์ แก่บคุ คลอื่น ไม่ตระหนี่ถเ่ี หนยี ว ไมเ่ ป็นคนเห็นแกไ่ ดฝ้ า่ ยเดยี ว และการให้ทีย่ ่งิ ใหญ่ คือ การให้อภยั 8อง.ฺ ทุก. 20/255/655. 9ท.ี ปา. 11/378/290. 10อง.ฺ ทกุ . 20/410/118. 11ที.ปา. 11/231/233. 12ที.ปา. 11/140/167; 267/244.
75 2) ปิยวาจา หรือ การใช้วาจาประสานไมตรี การพูดจาด้วยถ้อยคำทีไ่ พเราะอ่อนหวาน พูดด้วย ความจริงใจ ไม่พดู หยาบคาย กา้ วร้าว พดู ในส่งิ ท่ีเป็นประโยชนแ์ ละเหมาะสมกับกาลเทศะ ดงั นนั้ การ ทำงานร่วมกันจะต้องพูดหรอื ปรึกษาหารือกันโดยยดึ ถอื หลักเกณฑ์ 4 ประการ คือ 1. เวน้ จากการพูด เท็จ 2. เว้นจากการพูดส่อเสียด 3. เว้นจากการพูดคำหยาบ และ 4. เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ และที่ สำคัญอย่างยิง่ คือตอ้ งพดู หรือเจรจากนั ดว้ ยไมตรแี ละความปรารถนาดตี อ่ กนั 3) อัตถจริยา หรือ ร่วมสร้างสรรค์อุดมการณ์ การปฏิบัติในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น เพราะ การทำงานร่วมกนั ต้องชว่ ยเหลือกนั ด้วยกำลังกาย กำลงั ความคดิ และกำลังใจ 4) สมานัตตตา หรอื การเป็นผมู้ ีความสมำ่ เสมอ ประพฤตเิ สมอตน้ เสมอปลาย ผู้ทำงานรว่ มกัน ทุกคนจะต้องไม่ถือตัว มีความเสมอภาค วางตนเสมอต้นเสมอปลาย ทำตนให้เป็นท่ีน่ารัก น่าเคารพ นับถือ และน่าใหค้ วามรว่ มมือชว่ ยเหลือ เวน้ อคติ 4 (ทางความประพฤติท่ผี ิด, ความไมเ่ ทย่ี งธรรม, ความลำเอียง) ผปู้ ฏิบัตงิ านจะตอ้ งเว้นอคติ 4 คือ13 1) ฉันทาคติ (ลำเอยี งเพราะชอบ) 2) โทสาคติ (ลำเอียงเพราะชงั ) 3) โมหาคติ (ลำเอียงเพราะหลง, พลาดผดิ เพราะเขลา) 4) ภยาคติ (ลำเอยี งเพราะกลัว) พรหมวหิ าร 4 (ธรรมเครอื่ งอยูอ่ ยา่ งประเสรฐิ , ธรรมประจำใจอันประเสรฐิ ) ผู้ปฏิบตั งิ านจะต้องมีพรหมวหิ าร 4 ในจิตใจตนเอง คือ14 1) เมตตา (ความรกั ใคร่ ปรารถนาดอี ยากใหเ้ ขามีความสุข) 2) กรุณา (ความสงสาร คดิ ช่วยให้พน้ ทุกข์) 3) มุทติ า (ความยนิ ดีในเมอื่ ผู้อืน่ อยดู่ มี ีสขุ ) 4) อุเบกขา (ความวางใจเป็นกลาง อันจะให้ดำรงอยู่ในธรรมตามทพ่ี ิจารณาเห็นดว้ ยปัญญา คือ มีจิตเรียบตรงเท่ียงธรรมดุจตราช่ัง ไม่เอนเอียงด้วยรักและชัง เขาสมควรรับผิดชอบตนเอง หรือเขา ควรไดร้ ับผลอนั สมกบั ความรบั ผิดชอบของตน ) ห า ก ทุ ก ค น ส า ม า ร ถ ป ฏิ บั ติ ห ลั ก ธ ร ร ม ดั ง ก ล่ า ว ไ ด้ พ ร้ อ ม กั บ ท ำ ห น้ า ที่ ข อ ง ต น เต็ ม ก ำ ลั ง ความสามารถอย่างสมบูรณ์ย่อมสร้างบรรยากาศในการทำงาน ในแบบงานสัมฤทธิ์ ชีวิตร่ืนรมย์ได้ อยา่ งแน่นอน 13ที.ปา. 11/176/196. 14ที.ม. 10/184/225.
76 4.9 สรปุ การวางแผนในการเลือกอาชพี ประกอบอาชพี ทตี่ นมีความรกั ความพงึ พอใจในงาน และการได้ พิจารณาแล้วว่ามีความเหมาะสมกับตนเอง ย่อมทำให้ชีวิตการทำงานมีความสุข มีความพร้อมที่จะ ปรบั ตวั กับเพ่อื นร่วมงาน และพรอ้ มทจี่ ะเผชญิ ปญั หาและการแกไ้ ขปัญหาต่อไป การวางแผนชีวิตการทำงานได้ ก็ต้องร้จู ักตัวเองก่อน ลองต้ังคำถามเพื่อสำรวจตัวเองเก่ียวกับ ทักษะท่ีเป็นจุดเด่น จุดด้อยที่ต้องปรับปรุง ความสนใจพิเศษ ลักษณะงานท่ีชอบและไม่ชอบ หรือ กิจกรรมท่ีเราชอบทำตอนเรียน ซ่ึงเราจะต้องซ่ือสัตย์กับตัวเองให้มากที่สุด มีการสร้างเครือข่ายท่ีจะ ช่วยสนับสนุนคุณ ผูกมิตรกับเพ่ือนร่วมงานและบุคคลในสาขาอาชีพ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับ แผนการของคุณ บุคคลเหล่านจ้ี ะเปน็ กำลงั สนับสนุนให้นายจ้างม่นั ใจในตัวคุณ เป็นกระบอกเสียงที่จะ บอกว่าคุณมีความเปน็ มืออาชีพ และเหมาะสมเพยี งใดที่จะเลอ่ื นตำแหน่ง หรอื ย้ายไปยงั ส่วนงานอืน่ ๆ ที่คุณสนใจ ขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญและท้าทายท่ีสุดก็คือ “ลงมือทำ” เพราะแผนการและเป้าหมาย ต่าง ๆ ที่เราวางมาอยา่ งดี จะไม่มีประโยชนอ์ ะไรเลยถา้ เราไม่เอามาทำ ธรรมะท่ีเหมาะสมสำหรับผู้ปฏบิ ัติงาน คอื ธรรมคุ้มครองโลก 2 (ธรรมทช่ี ่วยให้โลกมีความเป็น ระเบยี บเรียบร้อย ไม่เดือดร้อนและสับสนวนุ่ วาย) ธรรมมอี ุปการะมาก 2 (ธรรมท่ีเกื้อกูลในกิจหรือใน การทำความดที กุ อยา่ ง) ธรรมทำให้งาม 2 อิทธิบาท 4 (คุณเครอ่ื งใหถ้ งึ ความสำเรจ็ , คณุ ธรรมท่นี ำไปสู่ ความสำเรจ็ แห่งผลท่ีมุ่งหมาย) สังคหวัตถุ 4 (ธรรมเครอื่ งยึดเหนี่ยว คอื ยดึ เหนี่ยวใจบุคคล)เวน้ อคติ 4 (ทางความประพฤติที่ผดิ , ความไม่เทีย่ งธรรม, ความลำเอียง) และพรหมวิหาร 4 (ธรรมเคร่อื งอยู่อย่าง ประเสริฐ, ธรรมประจำใจอันประเสรฐิ )
77 ปญั หาประจำบทท่ี 4 จงตอบคำถามต่อไปน้ี 1. ทำไมตอ้ งมีการวางแผนชีวติ ด้านการทำงาน 2. ใหน้ กั ศึกษาวางแผนชีวิตการทำงานของตนเองในรปู แบบแผนภูมคิ วามคดิ 3. ใหน้ กั ศึกษาวางแผนการทำงานให้ร่งุ เรืองเจรญิ ก้าวหน้า 4. คนญีป่ ุ่นมีแนวคดิ การทำงานใหป้ ระสบความสำเร็จอยา่ งไรบา้ ง 5. นักศึกษาได้ใช้หลกั ธรรมะใดบ้างในการทำงาน บรรณานกุ รมประจำบทท่ี 4 มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2539). พระไตรปฎิ กภาษาไทย ฉบับมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพม์ หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย., <https://blog.jobthai.com/career-tips/4-ขั้นตอนวางแผนชีวิตการทำงานสำหรับนักศึกษาจบ ใหม>่ (สบื ค้นข้อมลู เม่อื วันที่ 27 มีนาคม 2563) <https://th.jobsdb.com/th-th/articles/เคล็ดลับ-วางแผนการทำงาน> (สืบค้นข้อมูลเมื่อวันที่ 27 มนี าคม 2563) <https://www.krungsri.com/bank/th/plearn-plearn/seven-ways-working-success.html> (สบื คน้ ข้อมูลเมอื่ วันที่ 25 มนี าคม 2563) <https://aommoney.com/stories/insuranger/10- วิธีท่ีจะช่วยให้เราประสบความสำเร็จในการ ทำงาน> (สบื ค้นขอ้ มูลเม่ือวันที่ 27 มีนาคม 2563) <https://millionaire-academy.com/archives/3676> (สบื คน้ ข้อมูลเมือ่ วันที่ 27 มีนาคม 2563) <https://rabbitfinance.com/blog/6-japanese-motto-to-success> (สืบค้นข้อมูลเม่ือวันที่ 25 มนี าคม 2563) <https://hilight.kapook.com/view/29270> (สบื ค้นข้อมูลเมื่อวนั ที่ 25 มีนาคม 2563)
บทท่ี 5 แนวคิดเกีย่ วกบั การวางแผนชวี ติ ดา้ นการมคี รอบครวั การวางแผนชีวิตเป็นส่ิงจำเป็น เพราะเป็นการกำหนดเป้าหมายในชีวิตให้ชัดเจน เป็นเสมือน แผนที่นำทางให้ถึงจุดหมายท่ีวางไว้ เพราะในปัจจุบันน้ีมีปัจจัยหลายอย่างที่เข้ามากระทบต่อการ ดำเนินชีวิต ทำให้การดำเนนิ ชีวิตมอี ุปสรรค จงึ จำเป็นท่ีจะตอ้ งมีการวางแผนชวี ิต เพื่อจะได้เข้าใจและ หาแนวทางท่ถี กู ตอ้ งในการดำเนนิ ชีวติ ใหบ้ รรลเุ ปา้ หมายท่ีวางไว้ สถาบันครอบครัวเป็นสถาบันพ้ืนฐานท่ีเป็นหลักสำคัญที่สุดของสังคม เป็นกลุ่มบุคคลท่ี ประกอบด้วยสามีภรรยาท่ไี ด้เพ่ิมสถานภาพเป็นบิดามารดา รวมถึงบุตรธิดา ซึ่งแตล่ ะฝ่ายต้องมพี ันธะ ทางศีลธรรมและต้องมีความตระหนักในหน้าท่ีของตน มีลักษณะที่ดี ได้แก่ สามีภรรยามีธรรม บิดา มารดาเป็นแบบอยา่ งที่ดีแกบ่ ุตรธิดา บุตรธิดามีความกตัญญูกตเวที มีหน้าที่สำคัญคือ การอบรมเลี้ยง ดูบุตรธิดา การแสดงโลกน้ีแก่บุตรธดิ า และการรู้จักจัดสรรรายได้เพื่อทำให้ดำเนินชีวติ อยู่ในโลกน้ีได้ อยา่ งปกติสุข บางคนเร่ิมตน้ มีความสนใจเร่ืองความรักอย่างจริงจัง สร้างสัมพันธภาพกับคนต่างเพศรูปแบบ ถาวรในวัยผู้ใหญ่ตอนต้น (ช่วงอายุ 20- 39 ปี) โดยมีลักษณะคดิ ที่อยากจะใช้ชีวิตร่วมกัน อยากท่ีจะ สร้างครอบครัวใหม่ เม่ือบุคคลสองคนตกลงใจใช้ชีวิตร่วมกันจึงต้องมีการปรับตัวกับบทบาทใหม่ที่ เกิดขึ้น ได้แก่ บทบาทของการเป็นสามีหรือภรรยา มีความรับผิดชอบในบทบาทใหม่ที่ตนได้รับ มี ความรักความเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน มีความอดทน ร่วมกันประคับประคองชีวิตคู่ เม่ือมีชีวิตคู่จึงมี ความตอ้ งการท่ีจะมีบุตร การมีบุตรนี้ทำให้ท้ังสามีและภรรยาได้มีการเรียนรู้ถึงความรักอีกชนิดหน่ึงคือ ความรักท่ีมีแต่การให้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน ซึ่งสาระสำคัญในบทนี้ ได้รวบรวมจากเอกสารต่าง ๆ ทงั้ ที่เป็นสื่อสง่ิ พมิ พ์ และสอื่ อินเตอรเ์ นต็ มีรายละเอยี ดดงั นี้ 5.1 ความหมายของครอบครวั 5.2 การเกดิ ขน้ึ ของสถาบนั ครอบครัว 5.3 ลักษณะของสถาบันครอบครวั 5.4 หน้าทีข่ องสถาบนั ครอบครัว 5.5 ความเขม้ แข็งของสถาบนั ครอบครวั 5.6 การวางแผนชวี ติ กบั การสรา้ งครอบครวั ทีอ่ บอุ่น 5.7 สรุป 5.1 ความหมายของครอบครัว ครอบครวั เป็นสถาบนั พ้ืนฐานที่เป็นหลกั สำคญั ท่ีสุดของสังคม ทำหน้าท่ีหล่อหลอมและขดั เกลา ความเป็นมนุษย์ให้แก่สมาชิกของครอบครวั ด้วยการอบรมเลี้ยงดู ให้ความรัก ความเอ้ืออาทร ความ ชว่ ยเหลือเก้ือกูลกัน พร้อมท้ังปลูกฝังคุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านิยม และถ่ายทอดวัฒนธรรมทางสังคม
79 ให้แก่สมาชิกในครอบครัว เพื่อให้เป็นบุคคลที่มีคุณภาพ มีความพร้อมท่ีจะทางานอย่างเต็มที่และ สรา้ งสรรค์ เปน็ พลังสำคัญในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติต่อไป1 คัมภรี ์พระพทุ ธศาสนา พจนานกุ รม หนว่ ยงาน และนกั วชิ าการ ได้ใหค้ วามหมายของครอบครัว (Family) ไว้ตา่ งกนั ไป ดังนี้ มังคลัตถทีปนี ได้จัดลำดับความสัมพันธ์ทางเครือญาติของบุคคลในครอบครัวเป็น 7 ชั่วคน โดยถือว่า บุคคลต่าง ๆ นั้นมีความเกี่ยวพันกันในฐานะเป็นสมาชิกของครอบครัว ประกอบด้วยบิดา มารดา ปู่ย่าตายาย ปู่ทวดย่าทวดหรือตาทวดยายทวด ตนเอง ลูก หลานและเหลน ซึ่งเป็นลักษณะ ครอบครัวขยาย2 พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้ความหมายของครอบครัวว่า หมายถึง “สถาบันพน้ื ฐานของสังคมท่ปี ระกอบด้วยสามีภรรยาและหมายความรวมถึงลูกดว้ ย”3 พจนานุกรมศัพท์สงั คมวิทยา อังกฤษ-ไทย ไดใ้ ห้ความหมายของคำว่า “ครอบครัว” หมายถึง กลุ่มบุคคลซ่ึงเก่ียวดองเป็นญาติกนั และโดยเฉพาะหมายถึงคู่สามีภรรยา และบุตร ความหมายกว้าง ๆ ครอบครัวมลี ักษณะ 1) โครงสร้าง ขนึ้ อยูก่ ับคา่ นิยมของสงั คมนั้น ไมว่ ่าจะเป็นครอบครัวขยาย หรือ ครอบครัวเด่ยี ว 2) หน้าที่ ในการสืบทอดสมาชิกใหม่ ให้ความรัก การเล้ียงดูอบรม ให้การศึกษา เป็น หนว่ ยงานทางเศรษฐกิจ4 คณะอนุกรรมการครอบครัวแห่งประเทศไทย ได้กำหนดความหมายของครอบครัวว่า “ครอบครัว คือ กลุ่มบุคคลท่ีมีความผูกพันกันทางอารมณ์และจิตใจในการดำเนินชีวิต รวมท้ังการ พง่ึ พงิ ทางสังคมเศรษฐกิจ และมีความสัมพันธ์ทางกฎหมายหรือทางสายโลหิต โดยบางครอบครัวอาจ มีลักษณะเปน็ ข้อยกเวน้ บางประการจากท่กี ลา่ วกไ็ ด้”5 รองศาสตราจารย์ ดร.โสภา ชปีลมันน์ และคนอนื่ ๆ ไดใ้ ห้ความหมายของคำว่า “ครอบครวั ” ไว้ดังน้ี - ครอบครัวในแง่ชีววิทยา หมายถึง “กลุ่มคนท่ีเก่ียวพันกันทางสายโลหิต เช่น สามีภรรยามี บุตร บุตรเกิดจากอสุจิของบิดาผสมกับไข่สุกของมารดา ฉะน้ัน บิดามารดากับบุตรจึงเกี่ยวพันกันทาง สายโลหติ แลว้ แตโ่ ครโมโซมและยีนสท์ บ่ี ุตรไดร้ ับมาจากท้ังบดิ าและมารดา”6 1<http://stat.thaifamily.in.th/file/StatThaifamilyManual.pdf> (สืบค้นข้อมูลเม่ือวันที่ 23 เมษายน 2557) 2มงฺคล. 2/79. 3ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554, (กรุงเทพมหานคร : บริษัท ศริ วิ ฒั นาอินเตอรพ์ รน้ิ ท์ จำกัด (มหาชน), 2556), หน้า 230. 4สุนทรี พรหมเมศและคณะ, พจนานุกรมศัพท์สังคมวิทยา อังกฤษ-ไทย, พิมพ์คร้ังท่ี 2, (กรงุ เทพมหานคร : สำนักพิมพ์มหาวทิ ยาลยั รามคำแหง, 2541), หน้า 91. 5ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์จรี เนาว์ ทศั ศรี และคนอนื่ ๆ, ครอบครัวสมั พนั ธ์ เลม่ ที่ 1, (สงขลา : ชาน เมอื งการพิมพ์, 2545), หนา้ 4. 6รองศาสตราจารย์ ดร.โสภา ชปีลมันน์, ผู้ช่วยศาสตราจารย์สมบัติ สุพพัดชัย และผู้ช่วย ศาสตราจารย์ประกายรัตน์ สุขุมาลชาติ, รูปแบบครอบครัวไทยที่พึงปรารถนา ในสังคมเมืองใน
80 - ครอบครัวในแง่กฎหมาย กำหนดนิยามไว้ว่า “ชายหญิงจดทะเบียนสมรสกัน มีบุตร คน เหล่านี้เป็นครอบครัวเดียวกันตามกฎหมาย บุตรมีสิทธ์ิได้รับมรดกจากบิดามารดา ถ้าไม่มีบุตรผู้ สืบสายโลหิตข้ึนไปหรือลงมาโดยตรงหรือท่ีจดทะเบียนเป็นบุตรบุญธรรมก็นับว่าเป็นครอบครัว เดยี วกนั ตามกฎหมาย”7 - ครอบครัวในแง่เศรษฐกิจ คือ “คนที่ใช้จ่ายร่วมกัน จากเงินงบเดียวกันท่ีทำการสมรสแล้ว แยกบ้านไปอยู่ต่างหาก แต่มีพันธะทางศีลธรรมที่จะเลี้ยงน้อง คือ ต้องส่งเสียให้เงินน้อง เล่าเรียน เชน่ นี้ นับว่าใชจ้ ่ายจากงบเดียวกันและเปน็ ครอบครวั เดียวกนั ”8 - ครอบครัวในแง่สังคม คือ “กลุ่มที่รวมอยู่ในบ้านเดียวกัน อาจเก่ียวหรือไม่เกี่ยวพันทาง สายโลหิตหรือทางกฎหมาย แต่มีปฏิกิริยาสัมพันธ์กัน ให้ความรักและความเอาใจใส่ต่อกัน มีความ ปรารถนาดีต่อกัน เช่น ลูกของลูกจ้างอยู่ในบ้านเดียวกัน เจ้าของบ้านเล้ียงดู ให้ความเอาใจใส่ ความ รัก ก็นับว่าเด็กน้ันเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวในแง่สังคม ความสัมพันธ์นั้นอาจจะแน่นแฟ้นมั่นคง หรือไม่กระชบั ส่นั คลอน หรือร้าวราน แตไ่ มถ่ งึ กบั แตกแยก ก็ยังนบั วา่ เป็นครอบครัว”9 สรุปได้ว่า ครอบครัวหมายถงึ กลุ่มสังคมของมนษุ ยท์ ่ีประกอบด้วยสามี ภรรยา และบุตร อย่าง น้อยต้องมีช่วงเวลาหน่ึงที่ได้อยู่ร่วมกันและต่างมีสัมพันธภาพต่อกันในด้านต่าง ๆ ที่เก่ียวเนื่องตาม กฎหมายและหรือประเพณีของสังคมนั้น ๆ ในกรณีครอบครัวท่ีไม่สามารถมีบุตรด้วยกันเองได้ก็ สามารถขอบตุ รผู้อ่ืนมาเลี้ยงและจดทะเบียนเปน็ บุตรบุญธรรม แต่ความหมายของครอบครัวตามแนวทางพระพุทธศาสนาพอจะกำหนดเป็นกรอบกว้าง ๆ ได้ ว่า กลุ่มบุคคลที่ประกอบด้วยสามีภรรยาที่ได้เพ่ิมสถานภาพเป็นบิดาและมารดาและหมายความ รวมถึงลูกท่ีมีความผูกพันทางสายโลหิตและทางจิตใจท่ีมีหน้าท่ีและคุณธรรมเป็นแกนกลางในการ ดำเนินชีวิต สำหรับสามภี รรยาบางคไู่ ม่สามารถมีบุตรธิดาได้ อาจเปน็ เพราะความบกพร่องทางร่างกาย หรืออะไรก็ตามที จงึ หาทางออกด้วยการขอบุตรผู้อน่ื มาเล้ียงเป็นบตุ รบุญธรรม ซึ่งก็จัดว่าเป็นบุตรได้ เชน่ กนั แต่ละฝา่ ยตอ้ งมีพนั ธะทางศีลธรรมและตอ้ งมคี วามตระหนักในหน้าทขี่ องตน 5.2 การเกดิ ข้นึ ของสถาบันครอบครัว ครอบครัวเป็นสถาบันพ้ืนฐานที่ค่อย ๆ วิวัฒนาการมาตามลำดับ เน่ืองด้วยความจำเป็นและ ความต้องการของมนุษย์เอง ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญหรือผู้มีอำนาจเสกสร้างขึ้นมา ดังท่ีปรากฏ ในอัคคัญญสูตรแห่งทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค10 กล่าวถึงการอุบัตขิ ึ้นและวิวฒั นาการของโลก ตลอดจน สังคมของมนุษย์ตามลำดบั ซ่ึงได้แสดงถงึ การเกดิ ข้นึ ของสถาบนั ครอบครวั ไว้ดว้ ย ซึ่งเร่มิ แรกเปน็ ความ ประเทศไทย, (กรงุ เทพมหานคร : สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถมั ภ์, 2534), หน้า 1. 7เรอื่ งเดียวกัน. 8เรอ่ื งเดียวกัน. 9เร่ืองเดียวกนั . 10ที.ปา. 11/111-140/86-106.
81 ตอ้ งการพื้นฐานคือความต้องการทางเพศ ต่อจากนั้น จึงขยายเป็นความต้องการด้านความมั่นคงของ ครอบครัวและความมนั่ คงของคุณภาพชีวติ ในด้านเศรษฐกจิ และการปกครองของสมาชิกต่อไป ในพระสูตรนี้ ได้กลา่ วถึงกระบวนการเกิดขน้ึ ของสถาบันครอบครัวตามลำดบั ในตอนต้น เม่ือ ความเป็นชายและหญิงปรากฏข้ึน ท้ัง 2 ฝ่ายต่างมีความกำหนัดชอบพอซ่ึงกันและกันแล้วสมสู่กัน ดังนี้ “สตรีก็มีเพศหญิงปรากฏ และบุรุษก็มีเพศชายปรากฏ สตรีก็จ้องดูบุรุษอยู่เสมอ และบุรุษก็ จ้องดูสตรีอยู่เสมอ เมื่อคนท้ัง 2 เพศต่างก็จ้องดูกันและกันอยู่เสมอ ก็เกิดความกำหนัดข้ึน เกิด ความเรา่ ร้อนขึ้นภายใน เพราะความเรา่ รอ้ นเปน็ ปจั จัย เขาท้ัง 2 จงึ เสพเมถนุ ธรรมกัน”11 ในตอนแรก มนุษย์มีการสมสู่กันอย่างเปิดเผยและเป็นท่ีรังเกียจของผู้อื่นท่ีพบเห็น ต่อมา ภายหลังมนุษยจ์ ึงได้สร้างบ้านเรอื นอยแู่ ละมีเพศสัมพนั ธก์ ันในท่ลี บั จงึ ไดเ้ กดิ สถาบันครอบครัวขน้ึ ดัง ความตอนหน่ึงว่า “ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็โดยสมัยน้ันแล สัตว์พวกท่ีเห็นพวกอื่นเสพ เมถนุ ธรรมกันอยู่ ย่อมโปรยฝุ่นใส่บ้าง โปรยขี้เถา้ ใส่บ้าง โยนมูลโคใส่บ้าง พร้อมกับพูดว่า คนชาติ ช่ัว จงฉบิ หาย คนชาติชว่ั จงฉบิ หาย ดงั นี้”12 ดังนนั้ จึงเห็นไดว้ า่ การเกิดขน้ึ ของสถาบันครอบครวั ในยคุ เรม่ิ ตน้ นนั้ ไม่เปน็ ทยี่ อมรับกนั ในทาง สังคม เพราะสังคมเห็นว่า การสมสู่กันอย่างเปิดเผยระหว่างชายหญิงน้ัน เป็นเรื่องท่ีน่ารังเกียจ เมื่อ เป็นเช่นนั้น ชายหญิงที่มีจิตรักใครช่ อบพอกัน จึงต้องแอบมีความสัมพันธก์ ันในท่ีลับ แล้วจึงอาศัยอยู่ ดว้ ยกนั ในครัวเรอื นในลำดับตอ่ มา ในอัคคัญญสูตรนั้นไม่ไดร้ ะบุถึงการมีคู่ครองว่ามีคนเดียว การมีภรรยาหลายคนคราวเดียวกัน การมีสามีหลายคนคราวเดียวกนั และการแตง่ งานกลมุ่ แตพ่ อจะอนุมานไดว้ ่า สงั คมในยคุ น้เี ปน็ ยคุ บุพ พกาล ซ่ึงประชากรมีไม่มากนัก คงจะเลือกการมีคู่ครองเพียงคนเดียว เพื่อให้พอเพียงทั่วหน้ากัน น่ันเอง ต่อจากน้ัน ในพระสูตรน้ี ครอบครัวจะมีความเข้มแข็งจำเป็นต้องมีความมั่นคงทางฐานะ เศรษฐกิจเพ่ือเล้ียงตัวเอง คู่ตัวเอง บุตรธิดาและวงศ์วานว่านเครือต่อไป เมื่อมีปัญหาเร่ืองสิทธิ์ใน ทรพั ย์สิน จงึ คัดเลอื กตัวแทนของครอบครัวท่ีมีผิวพรรณดี มารยาทงามเปน็ ผูป้ กครองและพพิ ากษาคดี ความทีเ่ กดิ ขึ้นในชุมชน ตอ่ มาพัฒนาเป็นรัฐในที่สดุ ชายหญิงท่ีจะสามารถอยู่ครองรักครองเรือนและสรา้ งครอบครัวขึ้น ต้องมีความรักเป็นพนื้ ฐาน พระพุทธเจ้าตรัสเหตุแห่งความรักไว้ 2 ประการ ได้แก่ 1. การอยู่ร่วมกันในกาลก่อน และ 2. ความ เกอ้ื กลู ตอ่ กันในปัจจบุ ัน ดงั คาถาทวี่ า่ ปุพฺเพว สนนฺ วิ าเสน ปจจฺ ปุ ฺปนฺนหเิ ตน วา เอวนฺตํ ชายเต เปมํ อุปฺปลวํ ยโถทเก แปลว่า ความรักนั้นย่อมเกดิ ขน้ึ ด้วยเหตุ 2 ประการคือ ดว้ ยการอยู่รว่ มกันในกาลกอ่ น 1 ดว้ ยความเกอ้ื กลู ต่อกนั ในปจั จุบัน 1 เหมอื นดอกอบุ ล เม่ือเกิดในนำ้ 11ท.ี ปา. 11/126/96. 12ท.ี ปา. 11/126/96.
82 ยอ่ มเกิดเพราะอาศัยเหตุ 2 ประการคือนำ้ และเปือกตม ฉะน้นั 13 สง่ิ ท่อี ิทธิพลต่อชีวิตคู่มีท้ังเหตใุ นปัจจุบันและอดีตดังกล่าวและจะได้เป็นคู่กันอีกสบื เน่ืองไปถึงใน อนาคตต้องประกอบด้วยสมชีวิธรรม 4 (หลักธรรมของคู่ชีวิต, ธรรมที่จะทำให้คู่สมรสชีวิตสมหรือ สม่ำเสมอกลมกลืนกนั อย่คู รองกันยืดยาว) คือ 1. สมสัทธา (มีศรทั ธาเสมอกัน) 2. สมสีลา (มีศีลเสมอ กัน) 3. สมจาคา (มีจาคะเสมอกนั ) และ4. สมปัญญา (มีปญั ญาเสมอกนั ) ดังท่ีพระพทุ ธเจ้าตรสั ไว้ในอัง คุตตรนิกาย จตุกกนิบาตว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าภรรยาและสามีท้ัง 2 พึงหวังพบกันและกันทั้ง ในปัจจุบนั และสัมปรายภพท้ัง 2 เทียว พงึ เป็นผมู้ ีศรัทธาเสมอกัน มีศลี เสมอกัน มีจาคะเสมอกัน และ มีปญั ญาเสมอกัน ภรรยาและสามที ั้ง 2 น้ัน ย่อมไดพ้ บกันและกันทัง้ ในปัจจุบันและสมั ปรายภพ”14 การท่ีจะเป็นสถาบันครอบครัว มีเพียงชายหญิงที่สมัครใจร่วมชีวิตคู่กันนั้น ยังไม่เพียงพอต่อ การดำเนินกิจกรรมทางครอบครัว ต้องมีบุตรธิดาเพ่ิมขึ้นมาอีก คือสามีมีสถานะเพ่ิมเป็นบิดาและ ภรรยามสี ถานะเพ่ิมเป็นมารดา สามีภรรยามีความปรารถนาที่สำคัญคือต้องการมีบุตรธิดาไว้สืบสกุล ไว้ดูแลเล้ียงดูเมื่อยามเจ็บป่วยหรือแก่ตัวในชาติน้ีและทำบุญอุทิศไปให้ในชาติหน้า ดังที่พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ในปุตตสูตร แห่งอังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาตว่า “มารดาบิดาผู้ฉลาด เล็งเห็นฐานะ 5 ประการ จึงปรารถนาบุตรด้วยหวังว่า บุตรที่เราเลี้ยงมาแล้ว จักเล้ียงตอบเรา จักทำกิจแทนเรา วงศ์ สกุลจักดำรงอยู่ได้นาน บุตรจักปกครองทรัพย์มรดก และเมื่อเราตายไปแล้ว บุตรจักบำเพ็ญทักษิณา ทานให้ มารดาบดิ าผู้ฉลาดเล็งเห็นฐานะเหล่านี้ จึงปรารถนาบตุ ร”15 สำหรับสามีภรรยาบางคไู่ ม่สามารถมีบุตรธดิ าได้ อาจเป็นเพราะความบกพรอ่ งทางรา่ งกายหรือ อะไรก็ตามที จึงหาทางออกด้วยการขอบุตรผู้อ่ืนมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ซ่ึงก็จัดว่าเป็นบุตรธิดา เช่นกนั ดังปรากฏในขทุ ทกนกิ าย ชาดก (ปณั ฑรกชาดก) ได้กล่าวถงึ บตุ รไว้ 3 ประเภท คอื 1. ลูกศษิ ย์ (อนเฺ ตวาสี) ได้แก่ บุตรผู้อืน่ ท่ีมาเป็นศิษย์ 2. บตุ รบุญธรรม (ทินฺนโก) ไดแ้ ก่ บุตรผู้อ่นื ทข่ี อมาเป็นบุตรบุญธรรม 3. บุตรทเ่ี กดิ กบั ตน (อตฺรโช) ได้แก่ ได้แก่ บุตรทีเ่ ป็นเลือดเน้ือเชือ้ ไขของตน16 เมือ่ มกี ารเกิดขึน้ ของบุตรธดิ าไมไ่ ด้มีความหมายเพียงแค่การเพมิ่ สมาชิกใหม่เท่านน้ั แต่เป็นการ เกดิ ข้ึนของพันธะทางศีลธรรมของผ้ใู ห้กำเนิด ที่จะต้องมีความตระหนกั ในหน้าท่ขี องตนในฐานะที่เป็น บิดามารดา ทำให้บดิ ามารดารับผดิ ชอบมากข้ึน รจู้ ักควบคุมตนเองมากข้ึนกว่าเดิมและร้จู ักยบั ย้ังช่ังใจ ตนเองมากขน้ึ สรุปได้ว่า การเกิดขึ้นของสถาบันครอบครัว ในตอนต้น เมื่อความเป็นชายและหญิงปรากฏข้ึน ทง้ั 2 ฝ่ายตา่ งมีความกำหนดั ชอบพอซ่ึงกันและกันแล้วสมสกู่ ัน ชายหญงิ ทจ่ี ะสามารถอยู่ครองรักครอง เรอื นและสร้างครอบครวั ขนึ้ ต้องมีความรักเป็นพื้นฐาน โดยอาศัยเหตุแห่งความรัก 2 ประการ ไดแ้ ก่ การอยู่ร่วมกันในกาลกอ่ นและความเก้อื กลู ต่อกันในปัจจบุ ัน สิ่งที่อิทธพิ ลต่อชีวิตคู่มที ้ังเหตใุ นปัจจุบัน และอดีตดังกล่าวและจะได้เป็นคู่กันอีกสบื เนื่องไปถึงในอนาคตต้องประกอบดว้ ยสมชีวธิ รรม 4 คอื 1. 13ธ.อ. 2/21. 14องฺ.จตุกกฺ . 21/56/81. 15อง.ฺ ปญฺจก. 22/39/48. 16ขุ.ชา. 27/2887/583.
83 สมสัทธา (มีศรัทธาเสมอกัน) 2. สมสีลา (มีศีลเสมอกัน) 3. สมจาคา (มีจาคะเสมอกัน) และ4. สม ปัญญา (มปี ัญญาเสมอกัน) ในท่สี ุด การท่ีจะเป็นสถาบันครอบครัว มีเพียงชายหญิงท่ีสมัครใจรว่ มชวี ิต คู่กนั น้ัน ยังไม่เพียงพอต่อการดำเนนิ กจิ กรรมทางครอบครวั ตอ้ งมบี ตุ รธดิ าเพม่ิ ขึ้นมาอกี 5.3 ลกั ษณะของสถาบนั ครอบครัว สถาบันครอบครวั ตามแนวทางพระพุทธศาสนาน้นั มลี กั ษณะดังนี้ 1. ผู้ครองเรอื น/สามีภรรยามธี รรม ผู้ครองเรือนได้แก่ สามีภรรยา ซึ่งได้สถานภาพเพ่ิมเป็นบิดามารดาปฏิบัติธรรม มีศีล 5 เป็น เบ้ืองต้น ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงผู้แกล้วกล้าครองเรือน ดังน้ี “ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย อุบาสก ประกอบด้วยธรรม 5 ประการ เป็นผู้มีความแกล้วกล้าครองเรือน ธรรม 5 ประการเป็นไฉนคือ อบุ าสก/มาตคุ ามเป็นผู้งดเว้นจากการฆา่ สัตว์ 1 เป็นผู้งดเวน้ จากการลกั ทรัพย์ 1 เป็นผงู้ ดเว้นจากการ ประพฤติผดิ ในกาม 1 เป็นผู้งดเวน้ จากการพูดเทจ็ 1 เป็นผูง้ ดเว้นจากสุราเมรัยและของมึนเมา อันเป็น ทตี่ ั้งแห่งความประมาท 1”17 เม่ือสามีภรรยามีศีล 5 เป็นพ้ืนฐาน ย่อมจะทำให้ครอบครัวมีความสุขอบอุ่นมั่นคงเข้มแข็ง ไดร้ ับการยกย่องสรรเสรญิ จากสงั คม ตลอดจนเทวดาก็ยกย่องบูชา 2. บิดามารดาเป็นแบบอยา่ งที่ดีแก่บตุ รธดิ า สามีภรรยาเมื่อมีบุตรธิดาก็มสี ถานะเพ่มิ ขึ้นมาคือเป็นบิดามารดา จะต้องมีคุณสมบัติในการส่ัง สอนบุตรธิดา ผู้ที่จะส่ังสอนผู้อื่นได้ดีจะต้องอบรมตนเองให้เป็นแบบอย่างเสียก่อน ดังคำกล่าวว่า “ตัวอย่างดีกว่าคำสอน” บุตรธิดาย่อมซมึ ซับรับเอาแบบอย่างพฤติกรรมอันดงี ามจากบิดามารดามา ปฏิบัติ พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบความเจริญของต้นไม้ที่ต้องอาศัยป่าใหญ่แล้วเติบโตกับความ เจรญิ ทางธรรมของคนในครอบครัวทตี่ ้องอาศยั แบบอย่างจากบิดามารดา ดงั ที่ปรากฏในปพั พตสตู รว่า “ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย ไม้แก่นขนาดใหญ่ ๆ อาศัยขุนเขาหิมวันต์ ย่อมงอกงามด้วยความเจริญ 3 ประการ 3 ประการเป็นไฉน คือ เจริญด้วยกิ่ง ใบแก่และใบอ่อน 1 เจริญด้วยเปลือกและกระเทาะ 1 เจริญด้วยกะพ้ีและแก่น 1 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม้แก่นขนาดใหญ่ ๆ อาศัยขุนเขาหิมวันต์ ย่อมงอก งามด้วยความเจริญ 3 ประการน้ี ฉันใด ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน คนภายในอาศัย พ่อบ้านแม่เรือนผู้มีศรัทธา ย่อมเจริญด้วยธรรมอันเป็นเหตุเจรญิ 3 ประการ 3 ประการเป็นไฉน คือ เจริญด้วยศรัทธา 1 เจริญด้วยศีล 1 เจริญด้วยปญั ญา 1 ดูก่อนภิกษุทง้ั หลาย คนภายในอาศัยพ่อบ้าน แม่เรือนผมู้ ศี รัทธา ยอ่ มเจรญิ ด้วยธรรมเป็นเหตเุ จรญิ 3 ประการน้แี ล”18 3. บตุ รธิดามีความกตัญญูกตเวที บตุ รธิดาเป็นความหวังเป็นท่ีพ่ึงของบิดามารดาเพื่อไวส้ ืบสกุลและไวด้ ูแลเล้ียงดูบิดามารดาเมื่อ ยามเจบ็ ป่วยหรอื แก่ตัว บุตรธิดาท่ีมคี วามกตัญญูกตเวทคี ือรบู้ ุญคุณและตอบแทนคณุ เป็นเคร่ืองหมาย ได้ช่ือว่าเป็นคนดี ดังน้ัน ครอบครัวที่สมบูรณ์จะต้องมีบุตรธิดาที่มีความกตัญญูกตเวที มีความเคารพ เชื่อฟังบิดามารดาและบำเพ็ญประโยชน์ต่อบุคคลในครอบครัว ถ้าบุตรธิดาทำได้เช่นน้ี ย่อมเป็นที่รัก 17อง.ฺ ปญฺจก. 22/172/233. 18อง.ฺ ตกิ . 20/49/205.
84 ของทุกคนท่ีเกี่ยวข้อง ตลอดจนสมณชีพราหมณ์ ดังที่ปรากฏในกุมารลิจฉวีสูตรว่า “กุลบุตรผู้โอบ อ้อมอารี มีศีล ย่อมทำการงานแทนมารดาบิดา บำเพ็ญประโยชน์แก่บุตรภรรยา แก่ชนภายใน ครอบครัว แกผ่ ู้อาศัยเลี้ยงชีพ แก่ชนทงั้ 2 ประเภท กุลบุตรผู้เป็นบัณฑิต เม่ืออยู่ครองเรือนโดยธรรม ย่อมยังความยินดีให้เกิดข้ึนแก่ญาติทั้งที่ล่วงลับไปแล้ว ทั้งท่ีมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน แก่สมณพราหมณ์ เทวดา กุลบุตรนั้นคร้ันบำเพ็ญกัลยาณธรรมแล้ว เป็นผู้ควรบูชา ควรสรรเสริญ บัณฑิตทั้งหลายย่อม สรรเสริญเขาในโลกนี้ เขาละโลกนไี้ ปแล้ว ยอ่ มบนั เทงิ ใจในสวรรค”์ 19 บุตรธิดาที่ไม่มีความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา ก็ยังสู้ไม้เท้าของคนเฒ่าไม่ได้ ดังคาถาท่ี พระพุทธเจ้าทรงแนะนำพราหมณ์เฒ่าท่ีถูกบุตรทอดท้ิงให้ไปกล่าว ณ ท่ีประชุมของสภาพราหมณ์ ตอนหนึ่งว่า “ไม้เท้าของข้าพเจ้ายังจะดีเสียกว่าบุตรที่ไม่เชื่อฟัง ไม้เท้ากันโคดุได้ กันสุนัขได้ ยัน ขา้ งหน้าเวลามืดได้ ใช้หยง่ั ในทลี่ กึ ได”้ (ไม้เท้าของคนเฒ่า ดกี วา่ ลูกเต้าอกตญั ญู)20 4. มคี วามเป็นอยทู่ ีด่ ี/มีความมนั่ คงทางเศรษฐกิจ การมีความเป็นอยู่ที่ดีคือการมีความม่ันคงทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นความจำเป็นพื้นฐานของ ครอบครวั โดยเฉพาะปัจจยั 4 คือ อาหาร เคร่ืองนุ่งห่ม ท่ีอยอู่ าศัยและยารักษาโรค ซ่ึงจำเป็นต่อการ ดำรงชีพ พระพุทธศาสนาจงึ มีคำสอนสำหรับผูค้ รองเรือนใหป้ ฏิบัตใิ นหัวใจเศรษฐีคือ อุ อา กะ สะ ให้ ห่างไกลจากอบายมุข 6 และให้เติมเต็มด้วยความสุขทางด้านเศรษฐกิจของครอบครัว 4 ประการ ดงั ท่ี ปรากฏในอานณั ยสูตร ดงั น้ี21 1) อตั ถิสขุ (สุขเกดิ จากความมีทรพั ย์) 2) โภคสุข (สุขเกิดจากการใชจ้ ่ายทรพั ย์) 3) อนณสุข (สุขเกิดจากความไม่เปน็ หน้)ี 4) อนวัชชสขุ (สขุ เกดิ จากความประพฤติไม่มโี ทษคือการทำงานที่สจุ รติ ) “นรชนผู้มีอันจะตายเป็นสภาพ รู้ความไม่เป็นหน้ีว่าเป็นสุขแล้ว พึงระลึกถึงสุขเกิดแต่ความมี ทรพั ย์ เมอื่ ใช้สอยโภคะเป็นสุขอยู่ ยอ่ มเหน็ แจ้งด้วยปญั ญา ผูม้ เี มธาดี เม่อื เห็นแจ้ง ย่อมรู้ส่วนท้ัง 2 ว่า สุขแม้ท้ัง 3 อย่างน้ี ไม่ถึงเส้ียวท่ี 16 อันจำแนกแล้ว 16 คร้ัง ของสุขเกิดแต่การประกอบการงานที่ ปราศจากโทษ22 ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น จะเห็นได้ว่า ปัจจัยที่ก่อให้เกิดความสุขแก่ครอบครัวท่ีแท้จริงไม่ได้อยู่ที่ ทรัพย์สินเงินทอง แต่มุ่งไปที่วิธีการที่ได้มาและวิธีการบริหารจัดการกับทรัพย์สินน้ันต่างหาก พระพุทธศาสนาให้ความสำคัญกบั ความสขุ ประการท่ี 4 คือสุขเกิดจากการทำงานท่ีสุจริต ความสุขท่ี แท้จริงของครอบครัวเกดิ จากคนในครอบครัวทำงานที่สุจริต ชอบธรรม ไม่เบียดเบียนผู้อน่ื ครอบครัว ทีส่ ูงศักดิ์หรอื ตำ่ ต้อยน้ันมไิ ดข้ ้นึ อยกู่ ับฐานะทางเศรษฐกจิ และสงั คมแต่ประการใด หากข้ึนอยู่กับฐานะ ทางคณุ ธรรมท่ีบคุ คลในครอบครัวมี แมแ้ ต่การวัดฐานะความสำคญั ทางเศรษฐกิจของครอบครัวก็ไม่ได้ 19อง.ฺ ปญฺจก. 22/58/88. 20ธ.อ. 7/142-143. 21องฺ.จตกุ กฺ . 21/62/90. 22อง.ฺ จตุกฺก. 21/62/91.
85 วัดที่ระดับเศรษฐกิจของครอบครัวที่มี แต่วัดท่ีกิจกรรมทางเศรษฐกิจของครอบครัวว่า เป็นไปตาม แนวทางทถี่ ูกตอ้ งตามธรรมหรอื ไม่ สรปุ ได้ว่า ลักษณะของสถาบันครอบครัวตามแนวทางพระพทุ ธศาสนา ประกอบไปด้วยผู้ครอง เรือน/สามีภรรยา ซ่ึงได้สถานภาพเพ่ิมเป็นบิดามารดาปฏิบัติธรรม มีศีล 5 เป็นเบื้องต้น บิดามารดา เปน็ แบบอย่างท่ีดีแก่บุตรธดิ า บตุ รธดิ ามคี วามกตัญญกู ตเวทีดแู ลเลี้ยงดบู ิดามารดา และมคี วามเปน็ อยู่ ที่ดี/มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ให้ปฏิบัติในหัวใจเศรษฐีคือ อุ อา กะ สะ ให้ห่างไกลจากอบายมุข 6 และใหเ้ ตมิ เตม็ ด้วยความสุขทางดา้ นเศรษฐกิจของครอบครวั 4 ประการ 5.4 หนา้ ท่ขี องสถาบนั ครอบครัว สถาบันครอบครัวตามแนวทางพระพุทธศาสนานนั้ มหี น้าที่ดงั น้ี 1. หนา้ ทที่ างด้านการอบรมเลย้ี งดบู ุตรธิดา มารดาบิดามีหน้าท่ีอบรมเล้ียงดูบุตรธิดาให้ได้รับพัฒนาการทางร่างกาย อารมณ์ สังคม จิตใจ และสติปัญญาอย่างถูกต้องเหมาะสม หลักของการเล้ียงดูตามแนวของพระพุทธศาสนามิได้ให้ ความสำคัญเฉพาะแต่การเติบโตทางร่างกายเท่านั้น แต่เน้นการเจริญเติบโตในด้านต่าง ๆ พร้อม ๆ กัน23 และมีอาหารท้ัง 4 คือ 1. กวฬิงการาหาร อาหารคือคำข้าว 2. ผัสสาหาร อาหารคือผัสสะ 3. มโนสัญเจตนาหาร อาหารทางใจ และ 4. วิญญาณาหาร อาหารคือวญิ ญาณ24 เป็นเคร่ืองหล่อเล้ียงท้ัง ด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ความรูส้ ึกและด้านจติ ใจ การทีจ่ ะเล้ยี งดใู หบ้ ุตรธิดามพี ัฒนาการทีส่ มบูรณท์ ุก ดา้ นนั้น มารดาบิดาพึงให้ความสำคัญต่ออาหารทั้ง 4 ประการน้ี โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารทางจิตใจ คือการปลูกฝงั ให้บตุ รธิดามคี ุณธรรมประจำจิตใจ ไดแ้ ก่ มเี มตตา กรณุ า ขยนั อดทน ซ่ือสตั ย์ ฯลฯ 2. หนา้ ทท่ี างดา้ นสงั คม ครอบครัวมีหน้าที่ปลูกฝังทักษะทางสังคมแก่สมาชิกในครอบครัว ได้แก่ การแนะนำให้รู้จัก สังคมภายนอกครอบครัวและปฏิบัติตนอย่างถูกต้องต่อบุคคลต่าง ๆ ทางสังคมในฐานะเป็นผู้แสดง โลกนแ้ี ก่บตุ รธดิ า (โลกทสฺเสตาโร)25 คือปฏบิ ัติตอ่ บุคคลตา่ ง ๆ ตามหลักทศิ 6 คอื บคุ คลประเภทตา่ ง ๆ ที่เราต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์ทางสังคม ดุจทิศท่ีอย่รู อบตัว ได้แก่ ทิศเบ้ืองหนา้ ไดแ้ ก่ มารดาบดิ า ทิศ เบ้อื งขวา ได้แก่ อาจารย์ ทศิ เบื้องหลงั ได้แก่ บุตรภรรยา ทิศเบื้องซา้ ย ไดแ้ ก่ มิตรสหาย ทิศเบ้ืองล่าง ได้แก่ ลูกจ้าง (ทาสและกรรมกร) และทิศเบื้องบน ได้แก่ สมณพราหมณ์ และทำให้บุตรธิดาได้เห็น อิฏฐารมณ์ หมายถึง สว่ นที่น่าปรารถนา คือ ได้ลาภ ได้ยศ สรรเสริญและความสุข และอนิฏฐารมณ์ หมายถึง ส่วนท่ีไม่น่าปรารถนา คอื เส่อื มลาภ เสื่อมยศ ติเตียน และความทุกข์26 ซ่ึงเป็นธรรมดาของ โลก ทำให้รเู้ ทา่ ทันตามท่ีมันเป็น ซึ่งเป็นประโยชน์ตอ่ การดำเนินชีวิตได้อยา่ งม่นั คงของบุตรธดิ า 23พระมหาบุญเพียร ปุญฺญวิริโย (แก้ววงศ์น้อย), “แนวคิดและวิธีการขัดเกลาทางสังคมใน สถาบันครอบครัวตามแนวพระพุทธศาสนา”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบณั ฑติ , (บณั ฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย), 2544, หนา้ 37. 24ม.มู. 11/311/266. 25องฺ.ทกุ . 20/31/180. 26อง.ฺ อฏฺฐก. 23/5/182.
86 นอกจากนนั้ ครอบครัวมีหน้าท่ีในการสงเคราะห์ญาตพิ ่ีนอ้ ง ญาติพ่ีน้องเปน็ เหมือนร่มเงาของ ครอบครัว เพราะให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลและพ่ึงพาเม่ือยามจำเป็นได้ ดังนั้น การสงเคราะห์ญาติพ่ี น้องจึงเป็นหน้าท่ีอย่างหน่ึงของครอบครัวดงั ท่ปี รากฏในมงคลสูตร27 และพระพุทธเจ้าก็เป็นตัวอย่าง แก่บุคคลทั่วไปในการทำหน้าที่สงเคราะห์แก่ญาติพี่น้อง ดังท่ีเป็นพระจริยาประการหน่ึง ใน 3 ประการคือญาตัตถจริยา พระพุทธจริยาเพ่ือประโยชน์แก่พระญาติตามฐานะ เช่น การเสด็จไประงับ ขอ้ พพิ าทระหว่างพระญาตทิ งั้ 2 ฝ่ายกรณีแย่งนำ้ จากแม่นำ้ โรหิณเี ข้านาเพ่อื ทำการเพาะปลูกข้าว28 3. หน้าท่ที างดา้ นเศรษฐกจิ หน้าท่ีทางด้านเศรษฐกิจของครอบครัวไม่ใช่เพียงแต่การแสวงหาทรัพย์มาได้และการรักษา ทรัพย์ให้ดำรงคงอยู่เพ่ือความเป็นอยู่ที่ดีของสมาชิกในครอบครัวเท่าน้ัน ครอบครัวจะต้องทำหน้าที่ สำคัญในการใช้จ่ายทรพั ย์อย่างถูกต้อง สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพย์สนิ ท่ีมีอยู่อย่างคุ้มค่าและรู้จัก การแบ่งทรพั ย์สินนน้ั ให้ใช้ประโยชน์ในดา้ นที่จำเป็น ซ่งึ มีหลกั ในการแบ่งทรพั ย์เพ่อื การใช้สอยในดา้ น ต่าง ๆ เปน็ 4 ส่วนทีเ่ รยี กว่า “โภควิภาค” ดงั นี้ 1 ส่วน ใช้จ่ายเลี้ยงตน เลย้ี งคนท่คี วรบำรงุ และทำประโยชน์ (เอเกน โภเค ภุญเฺ ชยยฺ ) 2 สว่ น ใช้ลงทุนประกอบการงาน (ทวฺ ีหิ กมมฺ ํ ปโยชเย) อกี 1 ส่วน เกบ็ ไวใ้ ชใ้ นคราวจำเปน็ ในเวลาประสบกบั วกิ ฤติตา่ ง ๆ (จตตุ ถฺ ญจฺ นิธาเปยยฺ )29 4. หน้าทีท่ างดา้ นการบรหิ ารครอบครวั 30 หน้าที่ของมารดาบิดาในฐานะผู้เป็นผู้นำและผู้บริหารครอบครัวทำใน 5 ประการ คือ การ วางแผนครอบครัว การจัดองค์กรในครอบครวั การบรหิ ารงานบคุ คลในครอบครวั การสงั่ การหรือการ ประสานงานในครอบครัว และการกำกับดูแลและการบริหารความขัดแย้งในครอบครัว โดยมี จุดมุ่งหมายเพ่ือให้ครอบครัวได้เข้าถึงประโยชน์ท้ัง 3 ขั้น ได้แก่ ประโยชน์ปัจจุบันขั้นทันตาเห็น ประโยชน์เบ้ืองหน้าขัน้ เลยตาเห็น และประโยชน์สูงสุด รวมถึงจุดมุ่งหมายเพ่ือให้สมาชิกแต่ละบุคคล ไดบ้ รรลผุ ลสำเร็จอีก 3 ด้าน คือ ความสำเรจ็ ดา้ นส่วนตัว ความสำเร็จดา้ นครอบครัว และความสำเร็จ ด้านสังคม คือ การมสี ่วนรว่ มสร้างสรรคส์ งั คมให้มคี วามสุขสงบ สรุปได้ว่า สถาบันครอบครัวตามแนวทางพระพุทธศาสนาน้ัน มีหน้าท่ีประกอบไปด้วย หน้าที่ ทางด้านการอบรมเล้ียงดูบุตรธิดา ให้ได้รับพัฒนาการทางร่างกาย อารมณ์ สังคม จิตใจและ สติปัญญาอย่างถูกต้องเหมาะสม หน้าที่ทางด้านสังคม ได้แก่ การแนะนำให้รู้จักสังคมภายนอก ครอบครัวและปฏิบัติตนอย่างถูกต้องต่อบุคคลต่าง ๆ ตามหลักทิศ 6 หน้าท่ีทางด้านเศรษฐกิจ คือ การรู้จักหลกั ในการแบง่ ทรพั ย์เพ่อื การใชส้ อยในดา้ นต่าง ๆ เปน็ 4 ส่วนที่เรยี กว่า “โภควิภาค” หนา้ ท่ี ทางด้านการบรหิ ารครอบครัว คอื การวางแผนครอบครวั การจัดองคก์ รในครอบครัว การบรหิ ารงาน 27ขุ.ขุ. 25/6/4. 28ธ.อ. 6/183-186. 29ที.ปา. 11/265/204. 30พระครูสุนทรพิพัฒนโกศล (ประจวบ อาทโร), “การบริหารครอบครัวตามหลักทิศ 6”, วิทยานิพนธ์ศาสนศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย), 2551, หนา้ บทคดั ยอ่ ข.
87 บคุ คลในครอบครัว การสั่งการหรือการประสานงานในครอบครัว และการกำกับดูแลและการบริหาร ความขดั แย้งในครอบครัว 5.5 ความเขม้ แขง็ ของสถาบันครอบครวั มาตรฐานครอบครัวเข้มแขง็ ประกอบดว้ ย 4 ด้าน ไดแ้ ก่ 1. ดา้ นสมั พันธภาพ เช่น สมาชิกในครอบครัวมีการช่วยเหลอื แบ่งเบาภาระงานบา้ นซง่ึ กันและ กันสมาชิกในครอบครัวมีการพูดคุยและ/หรอื รับฟังกันและกัน สมาชิกในครอบครัวมกี ารพดู จาตอ่ กัน ดว้ ยดีและ/หรอื ใชเ้ หตุผล ในสงิ คาลกสูตรแห่งทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค31 พระพุทธเจ้าไดท้ รงแสดงดา้ น สมั พนั ธภาพของสามที ่ีมตี ่อภรรยาไว้ 5 ประการ คือ 1) ใหเ้ กียรตยิ กยอ่ ง 2) ไมด่ ูหม่นิ 3) ไมป่ ระพฤตินอกใจ 4) มอบความเป็นใหญ่ให้ 5) ให้เครอื่ งแตง่ ตวั พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงด้านสัมพันธภาพของภรรยาที่พึงกระทำต่อสามีในสิงคาลกสูตรไว้ 5 ประการ คือ 1) จดั การงานดี 2) สงเคราะหค์ นข้างเคียงดี 3) ไม่ประพฤตนิ อกใจ 4) รักษาทรพั ย์ท่สี ามหี ามาได้ 5) ขยนั ไม่เกียจครา้ น 2. ด้านการพง่ึ ตนเอง (เศรษฐกิจ สุขภาพ ขอ้ มลู ขา่ วสารและการเรยี นรู)้ ครอบครัวที่เข้มแข็งต้องมีการพึ่งตนเองทางเศรษฐกิจได้ ซ่ึงได้แก่ประกอบด้วยทิฏฐธัมมิกัตถ ประโยชน์ คอื ประโยชนใ์ นปัจจบุ นั 4 อย่าง คอื หัวใจเศรษฐี “อุ อา กะ สะ” มี 4 ประการ คอื 32 1) อุ=อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความหม่ัน เช่น ขยันหม่ันเพียร เลี้ยงชีพด้วยการหม่ัน ประกอบการงาน เป็นผู้ขยันไม่เกยี จครา้ นในการงานนัน้ ประกอบดว้ ยปญั ญาเครื่องสอดส่อง อันเป็น อบุ ายในการงานนั้น ให้สามารถทำได้สำเร็จ 2) อา=อารักขสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการรกั ษาโภคทรพั ย์ (ท่ีหามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร โดยชอบธรรม) เขารักษาคุ้มครองโภคทรพั ย์เหล่านั้นไวไ้ ด้พรอ้ มมูล ไม่ให้ถูกลัก หรือทำลายไปโดยภัย ต่างๆ 3) กะ=กัลยาณมติ ตตา คบคนดี ไม่คบคบชั่ว อยู่อาศยั ในบ้านหรือนคิ มใด ยอ่ มดำรงตน เจรจา สนทนากับบุคคลในบ้านหรือนิคมนั้น ซึ่งเป็นผู้มีสมาจารบริสุทธิ์ ผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา 31ท.ี ปา. 11/269/205. 32องฺ.อฏฺฐก. 23/54/321-323.
88 4) สะ=สมชวี ิตา อยอู่ ย่างพอเพยี ง รู้ทางเจรญิ ทรพั ยแ์ ละทางเสือ่ มแห่งโภคทรพั ย์ แลว้ เลี้ยงชีพ พอเหมาะ ไมใ่ หส้ ุรุ่ยสุร่ายฟมู ฟายนัก ไม่ให้ฝดื เคืองนัก ดว้ ยคิดว่า รายได้ของเราจักต้องเหนือรายจ่าย และรายจา่ ยของเราจกั ต้องไมเ่ หนอื รายได้ ครอบครัวที่เข้มแข็งต้องมีการพึ่งตนเองทางสุขภาพได้ ปัจจุบัน คำว่า “สุขภาพ” มิได้หมาย เฉพาะสุขภาพกายและสุขภาพจิตเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงสุขภาพสังคม และสุขภาพศีลธรรมอีก ด้วย33 เร่ืองสุขภาพเป็นส่ิงสำคัญ ดังท่ีพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “สิ่งท่ีต้องการสุดยอดคือความไม่มี โรค หรอื ความไมม่ ีโรคเปน็ ลาภอันประเสรฐิ ” (อาโรคยฺ ปรมา ลาภา)34 ดงั นนั้ ถ้าปราศจากสขุ ภาพท่ี ดีเสยี แลว้ ครอบครวั ไมส่ ามารถทำงานเพือ่ พัฒนาครอบครวั ตัวเองและสงั คมไดอ้ ย่างเตม็ ท่ี 3. ด้านทุนทางสังคม สมาชิกในครอบครัวได้รับการยอมรับจากเพื่อนบ้าน เน่ืองจากมีหลักสังคมสงเคราะห์กับคน รอบขา้ ง คือหลักสงั คหวัตถุ แปลวา่ ธรรมทีเ่ ปน็ ท่ีต้ังแห่งการสงเคราะห์กัน, ธรรมเปน็ เครอื่ งยดึ เหนี่ยว นำ้ ใจกนั มี 4 ประการ คอื 35 1) ทาน การให้ การเสียสละ การแบง่ ปนั เพอื่ ประโยชน์แก่คนอ่ืน ช่วยปลูกฝังให้เป็นคนท่ไี ม่เห็น แกต่ วั แบง่ ปันกนั (แบง่ ปันไปมา) 2) ปยิ วาจา การพูดจาด้วยถอ้ ยคำไพเราะอ่อนหวาน จรงิ ใจ ไม่พูดหยาบคายก้าวร้าว พดู ในส่ิงท่ี เป็นประโยชน์ เหมาะกับกาลเทศะ พดู ดีต่อกนั (พดู จาจับใจ) 3) อตั ถจริยา ช่วยเหลอื กนั (ชว่ ยกิจกนั ไป) 4) สมานัตตตา การเป็นผู้มีความสม่ำเสมอ โดยประพฤติตัวให้มีความเสมอต้นเสมอปลาย วางตวั ดีต่อกัน (นิสยั เปน็ กนั เอง) 4. ด้านการหลกี เล่ียงภาวะเสี่ยงและการปรับตวั ได้ในภาวะยากลำบาก ครอบครัวมีการเตรียมความพร้อมในการรองรับภาวะยากลำบากในด้านต่าง ๆ คือมีการ วางแผนเก่ยี วกับการแบ่งทรัพย์โดยจดั สรรเปน็ 4 ส่วน ไดแ้ ก่36 1) เอเกน โภเค ภุญฺเชยยฺ (1 สว่ น ใชจ้ ่ายเล้ยี งตน เลีย้ งคนท่ีควรบำรงุ และทำประโยชน)์ 2-3) ทวฺ หี ิ กมฺมํ ปโยชเย (2 ส่วน ใชล้ งทุนประกอบการงาน) 4) จตตุ ฺถญฺจ นิธาเปยยฺ (อีก 1 สว่ น เกบ็ ไว้ใช้ในคราวจำเปน็ ในเวลาประสบกับวกิ ฤติตา่ ง ๆ) ครอบครัวที่เข้มแข็งต้องหลีกเลี่ยงภาวะเส่ียงท่ีเก่ียวกับสังคม รัฐและสิ่งเหนือธรรมชาติ โดยมี การแบ่งปันเผื่อแผ่ตามหลักโภคอาทิยะ หรือ โภคาทิยะ 5 ขอกล่าวเพียง 1 ประการคือทำพลี 5 อย่าง ประกอบด้วย ก. ญาติพลี สงเคราะหญ์ าติ ข. อติถพิ ลี ตอ้ นรบั แขก ค. ปุพพเปตพลี ทำบุญอุทิศ ให้ผู้ล่วงลับ (ถ้าไม่ทำ ทำให้สังคมติฉนิ นินทา) ราชพลี บำรุงราชการดว้ ยการเสียภาษีอากรเป็นตน้ (ถ้า ไม่ทำ ทำให้รัฐลงโทษเก็บภาษียอ้ นหลัง) และจ. เทวตาพลี ถวายเทวดา คอื สักการะบำรงุ หรือทำบุญ 33<http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/>(สืบค้นข้อมูลเม่ือวันท่ี 28 สิงหาคม 2556) 34ข.ุ ธ. 25/25/42. 35ท.ี ปา. 11/273/208. 36ที.ปา. 11/265/204.
89 อุทศิ สง่ิ ท่ีเคารพบูชา ตามความเชื่อถือ (ถ้าไม่ทำ ทำให้ส่งิ เหนือธรรมชาติไมพ่ อใจและตนเองก็ไมส่ บาย ใจ)37 5.6 การวางแผนชีวติ กบั การสร้างครอบครวั ท่ีอบอุ่น การสร้างครอบครัวที่อบอุ่นคือ การสร้างครอบครัวทสี่ มบูรณ์แบบ การมีครอบครัวท่ีอบอุ่นทำ ให้เราดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข คนที่มีครอบครัวอบอุ่นย่อมมีความได้เปรียบ เพราะสามารถทำ หน้าทไ่ี ด้เหมาะสม และทำใหส้ มาชิกในครอบครัวมสี ขุ ภาพจติ ดีไปดว้ ย 10 ลักษณะของการสรา้ งครอบครวั ทอี่ บอ่นุ มีดงั น้ี38 1. มีขอบเขตท่เี หมาะสม ท้งั ขอบเขตส่วนบุคคล และคนในครอบครัว 2. มีความผูกพันทางอารมณ์ที่เหมาะสม ไม่ห่างเกิน ไป และไม่ใกล้ชิดกันเกินไป สมาชิกใน ครอบครวั มีความเป็นตวั ของตัวเอง แตย่ งั คงความเปน็ อันหน่ึงอันเดยี วกนั ในครอบครวั ได้ 3. มีการจดั ลำดบั อำนาจ และความเปน็ ผ้นู ำที่ชัดเจน 4. สมาชิกมบี ทบาทหน้าท่ชี ดั เจน และปฏิบัติหน้าทไ่ี ด้อย่างสอดคล้องกัน 5. โครงสร้างและการปฏิบัตหิ นา้ ท่ีของครอบครัวมคี วามยืดหยนุ่ ดแี ละเหมาะสม 6. สามารถแก้ไขความขดั แยง้ ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ 7. มีการจดั ระบบภายในครอบครวั อยา่ งมีประสิทธภิ าพ 8. มีการสือ่ สารทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพ 9. มเี ครอื ข่ายทางสงั คมทีด่ ี และมีความสมั พันธ์ท่ีดีกบั ครอบครวั 10. สมาชกิ ในครอบครัวใชเ้ วลาอยรู่ ่วมกันตามสมควร สรุปได้ว่า การสร้างครอบครัวที่อบอุ่น ประกอบไปด้วยมีขอบเขตที่เหมาะสม ทั้งขอบเขตส่วน บุคคล และคนในครอบครัว มีความผูกพันทางอารมณ์ท่ีเหมาะสม ไม่ห่างเกินไป และไม่ใกล้ชิดกัน เกินไป มีการจัดลำดับอำนาจ และความเป็นผู้นำที่ชัดเจน มกี ารสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และสมาชิก ในครอบครวั ใชเ้ วลาอย่รู ว่ มกนั ตามสมควร 5.7 สรปุ สถาบนั ครอบครวั เป็นสถาบันพื้นฐานท่เี ป็นหลักสำคัญทสี่ ุดของสังคม ทำหน้าท่ีหล่อหลอมและ ขัดเกลาความเป็นมนุษย์ให้แก่สมาชิกของครอบครัวและเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาสังคมและ ประเทศชาติต่อไป ซึ่งตามแนวทางของพระพุทธศาสนานั้น ครอบครัวหมายถึง กลุ่มบุคคลท่ี ประกอบด้วยสามีภรรยาที่ได้เพิ่มสถานภาพเป็นบิดาและมารดา รวมถึงบุตรธิดา ซ่ึงแต่ละฝ่ายต้องมี พนั ธะทางศลี ธรรมและต้องมีความตระหนักในหนา้ ทข่ี องตน การเกดิ ขึ้นของสถาบนั ครอบครวั เริม่ แรก 37อง.ฺ ปญจฺ ก. 22/41/50-51. 38<https://www.thaihealth.or.th/Content/43099-10%20ลักษ ณ ะ% 20ครอบครัวท่ี อบอุน่ .html>(สืบคน้ ขอ้ มลู เมื่อวนั ที่ 7 เมษายน 2563)
90 เป็นความต้องการพื้นฐานคือความต้องการทางเพศ ต่อจากน้ัน จึงขยายเป็นความต้องการด้านความ มั่นคงของครอบครัวและความมั่นคงของคุณภาพชีวิตในด้านเศรษฐกิจและการปกครองของสมาชิก ตอ่ ไป สิ่งทอ่ี ทิ ธิพลต่อชีวติ คมู่ ีท้งั เหตุในปัจจบุ นั รวมไปถึงเหตุในอดตี คอื การอย่รู ่วมกนั ในกาลก่อน ลักษณะของสถาบันครอบครัวท่ีดีน้ัน ประกอบด้วย ผู้ครองเรือน/สามีภรรยามีธรรม บิดา มารดาเป็นแบบอย่างท่ีดีแก่บุตรธิดา บุตรธิดามีความกตัญญูกตเวทีและมีความเป็นอยู่ที่ดี/มีความ ม่ันคงทางเศรษฐกิจ ปัญหาที่มักพบอยู่บ่อย ๆ ในครอบครัว คือการเงิน/เงินไม่พอใช้/มีหนี้สินท่ีต้อง ผ่อนชำระ ดังนั้น ครอบครัวต้องพยายามสร้างฐานะทางเศรษฐกิจให้มั่นคง เพื่ออย่างน้อยไม่ให้เกิด ความหย่าร้างและการใช้ความรุนแรงในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาเพ่ือเสรมิ สร้าง คณุ ธรรมใหเ้ กดิ ข้นึ ในจติ ใจ สถาบันครอบครัวท่ีดีตามแนวทางพระพุทธศาสนานั้น มีหน้าท่ีประกอบด้วย หน้าที่ทางด้าน การอบรมเลีย้ งดบู ตุ รธดิ า หนา้ ทที่ างด้านสงั คม แสดงโลกนี้แก่บตุ รธดิ า (โลกทสฺเสตาโร) เพอ่ื ทำให้บุตร ธดิ าได้เห็นอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์อย่างร้เู ท่าทัน เท่าท่ีมันเป็น จึงสามารถดำเนินชวี ิตอยใู่ นโลกนี้ อย่างปกติสุข หน้าท่ีทางเศรษฐกิจ และหน้าท่ีทางการบริหารครอบครัว เน่ืองจากครอบครัวเป็น องคก์ ร/บริษทั /หนว่ ยงานเล็กแหง่ หนึ่งก็ว่าได้ ซึ่งจะต้องนำหลักการบริหารจัดการมาปรับใช้ตามความ เหมาะสม โดยเฉพาะการวางแผนครอบครวั ใหส้ มาชกิ ในครอบครัวไดร้ บั การศกึ ษาเล่าเรยี น หลีกเลี่ยง หนทางแห่งความเสือ่ มหรืออบายมขุ รจู้ ักจัดสรรรายได้หรือทรัพย์สมบัตใิ นครอบครัวให้เกิดประโยชน์ มากทส่ี ดุ และรหู้ ลกั ท่จี ะยึดเหนีย่ วจติ ใจของสมาชิกในครอบครัวให้เกิดความสามคั คี มาตรฐานครอบครัวเข้มแข็งตามเกณฑ์ท่ีหน่วยงานท่ีดูแลสถาบันครอบครัวกำหนดไว้ 4 ด้าน ไดแ้ ก่ 1. ดา้ นสัมพันธภาพ 2. ด้านการพง่ึ ตนเอง (เศรษฐกจิ สขุ ภาพ ข้อมลู ข่าวสารและการเรียนรู้) 3. ด้านทุนทางสังคม และ4. ด้านการหลีกเลี่ยงภาวะเสี่ยงและการปรับตัวได้ในภาวะยากลำบาก ซึ่ง คำตอบส่วนหนง่ึ สามารถพบได้ในคำสอนของพระพุทธศาสนาน่นั เอง
91 ปัญหาประจำบทที่ 5 จงตอบคำถามตอ่ ไปน้ี 1. ใหน้ ักศกึ ษาได้ใหค้ วามหมายของครอบครวั 2. สถาบนั ครอบครวั เกิดขึ้นมาไดอ้ ย่างไร 3. ลกั ษณะของสถาบันครอบครัวมีอะไรบา้ ง 4. หนา้ ทขี่ องสถาบันครอบครวั มอี ะไรบ้าง 5. ใหน้ กั ศึกษาอธบิ ายการสร้างครอบครัวทอี่ บอุ่น บรรณานกุ รมประจำบทที่ 5 จีรเนาว์ ทัศศรี, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ และคนอ่ืนๆ. (2545). ครอบครัวสัมพันธ์ เล่มที่ 1. สงขลา : ชานเมอื งการพมิ พ์. บุญเพียร ปุญฺญวิริโย (แก้ววงศ์น้อย), พระมหา. (2544). “แนวคิดและวิธีการขัดเกลาทางสังคมใน สถาบันครอบครวั ตามแนวพระพทุ ธศาสนา”. วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบณั ฑิต. บัณฑิต วทิ ยาลยั : มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั . พระครูสุนทรพิพัฒนโกศล (ประจวบ อาทโร). (2551). “การบริหารครอบครัวตามหลักทิศ 6”. วิทยานิพนธ์ศาสนศาสตรมหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหามกุฏราช วทิ ยาลัย. มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2539). พระไตรปฎิ กภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ราชบัณฑิตยสถาน. (2556). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554. กรุงเทพมหานคร : บรษิ ทั ศิริวัฒนาอินเตอรพ์ รน้ิ ท์ จำกดั (มหาชน). สุนทรี พรหมเมศและคณะ. (2541). พจนานุกรมศัพท์สังคมวิทยา อังกฤษ-ไทย. พิมพ์คร้ังที่ 2, กรงุ เทพมหานคร : สำนกั พิมพ์มหาวิทยาลยั รามคำแหง. โสภา ชปีลมันน์,รองศาสตราจารย์ ดร.สมบัติ สุพพัดชัย, ผู้ช่วยศาสตราจารย์และประกายรัตน์ สุขุมาลชาติ,ผู้ช่วย ศาสตราจารย.์ (2534).รูปแบบครอบครัวไทยท่ีพึงปรารถนา ในสงั คมเมืองในประเทศไทย.กรุงเทพมหานคร :สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์. <http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/>(สบื ค้นข้อมูลเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2556) <http://stat.thaifamily.in.th/file/StatThaifamilyManual.pdf> (สืบค้นข้อมูลเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2557) <https://www.thaihealth.or.th/Content/43099-10%20ลักษณ ะ% 20ครอบ ครัวท่ีอบอุ่น . html>(สืบคน้ ขอ้ มลู เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2563)
บทที่ 6 แนวคิดเกีย่ วกบั การวางแผนชวี ติ ดา้ นการรักษาสขุ ภาพ การวางแผนชีวิตเป็นส่ิงจำเป็น เพราะเป็นการกำหนดเป้าหมายในชวี ิตใหช้ ัดเจน เป็นเสมือน แผนที่นำทางให้ถึงจุดหมายท่ีวางไว้ เพราะในปัจจุบันน้ีมีปัจจัยหลายอย่างท่ีเข้ามากระทบต่อการ ดำเนินชีวิต ทำให้การดำเนนิ ชีวติ มอี ุปสรรค จงึ จำเป็นที่จะต้องมีการวางแผนชวี ติ เพ่ือจะได้เข้าใจและ หาแนวทางทถี่ กู ตอ้ งในการดำเนินชีวิตใหบ้ รรลุเปา้ หมายที่วางไว้ สขุ ภาพดีเป็นส่ิงที่คนเราต้องแสวงหามาให้ได้ในชีวติ โดยการใช้ความพากเพียรพยายามของ ตัวเอง การสวดมนต์อ้อนวอนพระเจา้ หรือองคอ์ วตารที่มีอำนาจวิเศษ ไม่ทำให้ชีวิตคนเรามีสุขภาพดี ข้นึ มาได้อยา่ งแน่นอน แต่ละคนต้องพยายามฝา่ ฟันอย่างหนักเพ่ือใหม้ ีสุขภาพดี เมื่อคนเรามีสุขภาพดี แล้ว ควรรักษาสุขภาพของตนเอาไว้ เพราะวา่ ถ้าปราศจากสขุ ภาพดีเสียแล้ว คนเราไมส่ ามารถทำงาน เพ่ือพฒั นาตวั เองและสังคมไดอ้ ยา่ งเตม็ ที่1 ในพระพทุ ธศาสนา เร่อื งสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ พระพุทธเจ้า ได้ตรัสไว้ว่า “ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสรฐิ ” (อาโรคยฺ ปรมา ลาภา)2 ดังน้ัน การมีสุขภาพดกี ็คือ การไม่มีโรคท้ังทางกายและทางใจ ถ้ามนุษยไ์ ม่มีสขุ ภาพดี จะไม่สามารถปฏิบัติบทบาทของตนเองได้ อย่างสมบูรณ์ ซ่ึงสาระสำคัญในบทนี้ ได้รวบรวมจากเอกสารต่าง ๆ ทั้งท่ีเป็นส่ือส่ิงพิมพ์ และส่ือ อนิ เตอร์เน็ต มรี ายละเอียดดังน้ี 6.1 วิธีการดแู ลสขุ ภาพกายและใจเพ่ือชวี ติ สดใส 7 ประการ 6.2 วธิ ีการรกั ษาสขุ ภาพรา่ งกายให้แขง็ แรง 5 ประการ 6.3 วิธใี นการสรา้ งสุขภาพท่ดี ี 5 ประการ 6.4 แนวคดิ เร่ืองโรค/คนไข/้ คนพยาบาลไข้ 6.5 พุทธวิธรี ักษาโรค 6.6 ธรรมะกับการรกั ษาสุขภาพ 6.7 สรปุ 6.1 วธิ ีการดูแลสขุ ภาพกายและใจเพอื่ ชีวิตสดใส 7 ประการ หลายคนอาจจะคิดว่าความร่ำรวยเงินทองคือ บ่อเกิดของความสุข แต่คุณจะมีความสุขกับ เงินที่หามาได้อย่างไร หากสขุ ภาพไมเ่ อ้ืออำนวย ต้องเขา้ โรงพยาบาลไปพบหมอมากกว่าได้เดนิ ทางไป แหล่งท่องเท่ียว สุขภาพจึงเป็นเร่ืองที่เราจะต้องให้ความสำคัญทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต ซึ่งก็ สามารถทำได้ดังตอ่ ไปนี้3 1Nandasena Ratnapala, Buddhist Sociology, (Delhi : D. K. Fine art Press, 1993), pp. 177-191. 2ข.ุ ธ. 25/25/-. 3<https://www.sanook.com/women/124225/> (สืบค้นข้อมูลเม่ือวันที่ 20 สิงหาคม 2561)
93 1. ทานอาหารใหค้ รบ 5 หมู่ และทานให้ตรงเวลา ในทุก ๆ มื้อพยายามทานอาหารใหค้ รบทั้ง 5 หม่อู ยา่ งพอเพียงตามความตอ้ งการของร่างกาย และควรทานให้ตรงเวลาเป็นประจำทกุ วัน โดยม้ือเชา้ ถอื ว่าเป็นมื้อที่สำคัญท่ีสุดจงึ ไม่ควรทีจ่ ะงด สว่ น มื้อเย็นควรทานแต่น้อยและไม่ควรทานหลงั 6 โมง เพราะหากทานดึกเกินไปใกล้เวลานอน อาจทำให้ รา่ งกายไมไ่ ด้รับการพักผอ่ นอย่างเต็มท่ี 2. ดื่มน้ำให้พอเพยี ง พยายามดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว เพราะการด่ืมน้ำอย่างพอเพียงมีประโยชน์ต่อร่างกาย มากมาย ทั้งในเร่ืองของสุขภาพและความสวยความงาม ไม่ว่าจะเป็นช่วยให้ระบบหมุนเวียนโลหิต เปน็ ไปอยา่ งปกติ ช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย ชว่ ยใหผ้ วิ มคี วามชมุ่ ช่นื ดูสดใสเปล่งปลง่ั 3. ออกกำลังกายอยา่ งสมำ่ เสมอ ควรหาเวลาออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 คร้ัง ครั้งละประมาณ 30 นาที นอกจากการออกกำลงั กายจะช่วยใหส้ ดช่ืนผ่อนคลายแล้ว ยงั ช่วยให้กล้ามเนือ้ มีความแขง็ แรง ช่วยให้ ปอดและหวั ใจทำงานไดด้ ี อกี ท้งั ยงั ช่วยสลายไขมัน ซึง่ จะชว่ ยลดความอ้วนไดอ้ กี ดว้ ย 4. นอนหลับพกั ผอ่ นอย่างพอเพียง นอนหลับพักผ่อนให้ได้วันละ 6-8 ชั่วโมง การนอนหลับพักผ่อนอย่างพอเพียงไม่เพียงแต่ ร่างกายจะซ่อมแซมตัวเองได้อย่างเต็มที่เท่านั้น แต่ยังทำให้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความสดชื่นแจ่มใส มี พลงั ในการทำงานและการใชช้ วี ติ 5. หลกี เล่ยี งพฤตกิ รรมทสี่ ่งผลเสยี ตอ่ สุขภาพ เป็นที่รู้กันว่า การสูบบุหร่ีและดื่มเหลา้ น้ันเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งตับ มะเร็งปอด การ หลีกเล่ียงหรือพยายามลด ละ เลิก พฤติกรรมท่ีส่งผลเสียต่อสุขภาพเหล่านี้จงึ เป็นเหตุผลหน่ึงท่ีจะทำ ให้คุณมีสุขภาพดีข้ึน เพราะหากคุณไม่รับสารพิษเข้าสู่ร่างกายก็ย่อมเป็นการลดปัจจัยที่จะมาทำลาย สขุ ภาพของคณุ น่ันเอง 6. รักษาสุขภาพจติ ให้ดี การมีสุขภาพจิตที่ดีย่อมส่งผลให้สุขภาพร่างกายดีไปด้วย และการมีสุขภาพจิตท่ีดีนั้นก็ สามารถทำได้โดยการทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส มองโลกในแง่บวกอยู่เสมอ หากิจกรรมท่ีชอบทำ ฝึก สมาธปิ ฏบิ ัตธิ รรม เปน็ ต้น 7. ใหเ้ วลากับคนในครอบครวั ความสมั พันธท์ ่ีดภี ายในครอบครัว เป็นแหล่งท่มี าอกี แห่งหน่ึงของความสุข การให้ความสนใจ กับธุระการงานจนลืมท่ีจะแบ่งเวลาให้กับคนในครอบครัวย่อมทำให้ความสุขในครอบครัวลดน้อยลง ใสใ่ จกบั ครอบครวั ใหม้ ากขนึ้ สร้างความสมดลุ ให้กับชวี ิตส่วนตวั และการทำงาน เท่านี้คณุ ก็หาความสุข ไดใ้ นทกุ ๆ วนั ได้แล้ว สุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์และการมีสุขภาพจิตท่ีดี ไม่เพียงแต่จะทำให้คุณสามารถ สัมผัสกับความสุขท่ีอยู่ตรงหน้าได้อย่างเต็มท่ีเท่าน้ัน แต่มันยังเป็นแหล่งกำเนิดของความสุขด้วยตัว ของมันเอง และมันคงไม่ใช่เร่ืองท่ียากลำบากอะไรถ้าคุณจะหันมาใส่ใจกับสุขภาพเสียแต่บัดน้ี เพื่อท่ี คณุ จะได้มคี วามสุขไดม้ ากขึน้ ในทกุ วนั ทผ่ี ่านไป
94 สรุปได้ว่า สุขภาพจงึ เป็นเรื่องที่เราจะต้องให้ความสำคัญทั้งสขุ ภาพกายและสุขภาพจิต ซ่ึงก็ สามารถทำได้โดยทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และทานให้ตรงเวลา ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอน หลับพักผ่อนอย่างพอเพียง หลีกเล่ียงพฤติกรรมท่ีส่งผลเสียต่อสุขภาพ รักษาสุขภาพจิตให้ดี และให้ เวลากับคนในครอบครัว 6.2 วิธีการรกั ษาสุขภาพรา่ งกายใหแ้ ขง็ แรง 5 วิธีการรักษาสขุ ภาพร่างกายใหแ้ ขง็ แรง มดี งั นี้4 1. การออกกำลงั กาย การออกกำลงั กาย คำนึงดังน้ี 1) รูจ้ ักประมาณตน การประมาณตนในการออกกำลังกายแต่พอควร จะช่วยให้ร่างกายเผา ผลาญอาหารและพลังงานส่วนเกินได้ดี มีข้อสังเกตคือ ถ้าออกกำลังกาย เหน่ือยแล้ว ยังฝืนต่อด้วย ความหนักเท่าเดิม โดยไมเ่ หนอื่ ยเพิ่มข้ึน และพักไมเ่ กิน 10 นาที ก็รู้สึกหายเหนื่อย แสดงวา่ ร่างกาย ทนได้ ตรงข้ามถ้าออกกำลังกายจนเหน่ือยทนไม่ไหว หรือพักแล้วยังไม่หายเหน่ือย แนะนำให้หยุด เพราะขนื เลน่ ต่อไป อาจเกิดหัวใจวายเฉียบพลนั ได้ 2) มีโรคประจำตัวหรือไม่ หากมี ควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะเลือกวิธีการออกกำลังกายเพ่ือ ความปลอดภยั 3) แต่งกายเหมาะสม ควรใชผ้ ้าฝ้าย เพ่ือระบายความร้อนสะสมที่เกิดขึ้นขณะออกกำลังกาย เพราะความร้อนจะเปน็ ตัวจำกดั การออกกำลังกาย แลว้ ยังทำอนั ตรายต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกายด้วย ส่วนการเลือกใช้รองเท้าที่ไม่เหมาะกับสภาพสนาม อาจส่งผลเสียต่อการเคล่ือนไหวและเกิดการ บาดเจบ็ ได้ 4) เลือกเวลาออกกำลังกาย เวลาเชา้ ตร่แู ละตอนเยน็ เหมาะทีส่ ุดในการออกกำลังกายมากกว่า ตอนกลางวัน ซึ่งจะทำให้เหนื่อยเร็วและไดป้ รมิ าณน้อย บางรายอาจหน้ามืดเป็นลมก็มี ทั้งนี้ ควรเป็น เวลาเดียวกนั ทุกวนั เพราะจะส่งผลดตี ่อการปรับตัวของรา่ งกาย 5) สภาพกระเพาะอาหาร ควรงดอาหารหนักเพื่อป้องกันการจุกเสียดก่อนออกกำลังกายหรือ เล่นกฬี าอย่างน้อย 3 ช่ัวโมง โดยเฉพาะกีฬาที่มีการกระทบกระแทก เช่น รักบี้ฟุตบอล บาสเกตบอล รวมถึงกีฬาท่ีต้องเล่นเป็นเวลานาน ๆ เช่น ว่ิงมาราธอน จักรยานทางไกล ซ่ึงควรรับประทานอาหาร จำพวกคารโ์ บไฮเดรตทย่ี อ่ ยง่ายในปรมิ าณไมถ่ ึงอม่ิ เปน็ ระยะ ๆ จะดีกว่า 6) ดม่ื นำ้ เพยี งพอ หลงั การออกกำลงั กาย รา่ งกายจะสูญเสียเสยี นำ้ ได้ถงึ 2 ลิตร หรอื มากกว่า น้นั ดังนนั้ ควรใหน้ ำ้ ชดเชยในปริมาณเท่ากบั ท่ีสญู เสียไป โดยด่มื ทลี ะนิด ๆ เปน็ ระยะ 7) บาดเจ็บกลางคัน ขณะออกกำลังกาย ให้หยุดพักจะดีที่สุด แต่หากบาดเจ็บเล็กน้อย อาจ ออกกำลังกายต่อได้ แต่ถ้ารู้สึกเจ็บปวดมากข้ึน ก็ต้องหยุด เพราะการฝืนต่อไปอาจเป็นอันตรายถึง ชีวิต 4<https://sites.google.com/site/chintanacarkowe/withi-dulae-raksa-taw-xeng-hi- mi-sukhphaph-khaeng-raeng>(สืบค้นข้อมลู เม่อื วนั ท่ี 27 เมษายน 2563)
95 8) จิตใจตอ้ งพร้อม ควรทำจติ ใจให้ปลอดโปร่ง หากมีเรื่องไมส่ บายใจ ก็ไม่ควรออกกำลังกาย เพราะอาจทำให้เกดิ อบุ ตั ิเหตุไดง้ ่าย 9) ความสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะออกกำลังกายให้สุขภาพแข็งแรงหรือลดน้ำหนัก แต่จะได้ผลแค่ ไหนขึ้นกับปริมาณ และความหนกั เบาของการออกกำลังกายดว้ ย 10) พกั ผ่อนเพยี งพอ หลงั การออกกำลังกาย จำเปน็ ต้องพักผ่อนใหเ้ พยี งพอ เพ่อื ให้ร่างกายได้ ฟนื้ ฟสู ภาพของตนเองและพรอ้ มรบั การออกกำลงั กายครั้งใหมอ่ ยา่ งมพี ลังตอ่ ไป 2. การตรวจสขุ ภาพ ปจั จุบนั สังคมไทยได้มีการเปลีย่ นแปลงจากสังคมเกษตรกรรมไปสู่สังคมอตุ สาหกรรม การใช้ ชีวติ ของคนเปล่ียนไปท้ังในแง่การใชแ้ รงงานทำงานมาใชส้ มองนั่งโตะ๊ ทำงาน การใช้ชีวติ อย่างเรง่ รีบทำ ให้เกิดความเครียด ขาดการออกกำลังกาย ขาดการรบั ประทานอาหารท่ีมีคุณภาพ ขาดความสนใจต่อ สุขภาพตัวทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ซึ่งเกิดจากการไม่ดูแลตัวเองให้ดี เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรค หลอดเลือดสมอง ความดันโลหติ สูง โรคมะเร็งซึ่งโรคเหล่านี้สามารถป้องกนั หรือลดอุบัตกิ ารณไ์ ด้โดย การท่เี ราใส่ใจดูแลตัวเอง เพียงใชเ้ วลาวันละประมาณ 1 ช่ัวโมงก็สามารถทำให้สุขภาพดขี นึ้ คนไทยทุก วนั นีร้ ักสุขภาพมากขึ้น จะเหน็ ได้จากกระแสการใชส้ มุนไพร การนวด spa ชาเขยี ว อาหารเสรมิ ตา่ ง ๆ การตรวจสุขภาพต่าง ๆ ทั้งท่ีอาจจะไม่มีรายงานว่าได้ผลจริงทำให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจและ เสียงต่อการเกดิ โรคแทรกซ้อนในความหมายของคนทั่วไปการตรวจสุขภาพคือไปพบแพทย์และตรวจ ตามโปรแกรมตามที่แพทย์หรือโรงพยาบาลเสนอ ในความเป็นจริงการตรวจสุขภาพตนเองควรจะ เริ่มตน้ โดยตัวเองสำรวจสขุ ภาพตนเอง ได้แก่ 1) การใช้สารเสพตดิ การสูบบุหร่ี 2) การบรโิ ภคอาหารสุขภาพ 3) การออกกำลงั กาย 4) การพกั ผอ่ น 5) การมเี พศสัมพันธ์อยา่ งปลอดภยั 6) ปจั จัยเส่ยี งต่อโรคมะเรง็ 7) ปจั จัยเสี่ยงตอ่ โรคเบาหวาน 8) ปัจจยั เส่ียงต่อภาวะหลอดเลอื ดแข็ง 9) ปจั จยั เสียงตอ่ การเกดิ โรคไต 10) คุณอว้ นไปหรอื ไม่ ดชั นีมวลกายเปน็ เทา่ ไร 11) การดูแลชอ่ งปาก 12) การจัดการเก่ียวกับความเครียด 3. การกินอาหาร “อาหารคือตัวเรา” น่ีคือคำกล่าวที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ เพราะส่ิงต่าง ๆ ท่ีประกอบข้ึนมา เป็นตัวเราล้วนมาจากอาหารที่กินเข้าไป เร่ิมตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ เราได้อาหารจากแม่เพ่ือไปสร้าง โครงสร้างเลอื ดเนือ้ จนกระท่ังคลอดออกมาเป็นทารก และเจรญิ เติบโตเปน็ ผใู้ หญ่และผู้สูงอายุ เราต้อง กินอาหารทุกวัน เพราะอาหารไมเ่ พียงแตจ่ ะนำไปประกอบเป็นสว่ นต่าง ๆ ของร่างกายเท่านั้น แต่ยัง ทำให้ชีวิตดำรงอย่ไู ด้อย่างเป็นสุข ถ้ามีภาวะโภชนาการที่ดี (หมายถึงการกินท่ีถูกต้อง) แต่ถ้าหากกิน
96 อาหารไม่ถูกหลักหรือไม่เพียงพอก็จะทำให้เกิดปัญหาภาวะโภชนาการได้ในปัจจุบันน้ี คนไทยยัง ประสบปัญหาโภชนาการอยูม่ าก ไม่วา่ จะเปน็ การขาดสารอาหาร เช่น ขาดสารไอโอดนี โรคโลหิตจาง เป็นต้น โรคเหล่าน้ีทำให้เด็กมีความเจริญเติบโตช้า และมีพัฒนาการทางด้านร่างกายและสมอง ผิดปกติ เจ็บป่วยง่าย ไม่ใช่แต่เด็กอย่างเดียว ผู้ใหญ่ก็มีผลทำให้ร่างกายอ่อนแอ สมรรถภาพทาง ร่างกายในการทำงานต่ำ ในขณะเดียวกันถ้าภาวะโภชนาการเกิน ก็จะเป็นปัญหาเหมือนกัน เช่น โรค อว้ น เบาหวาน หัวใจขาดเลือด มะเร็ง เปน็ ต้น ซึ่งล้วนแต่เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยและเสียชวี ิตได้ ปัญหาทางด้านโภชนาการของคนไทยนั้นเกิดจากหลายสาเหตุ แต่หนึ่งในสาเหตุสำคัญ คือ คนไทย ส่วนมากยังไม่ได้รับการส่งเสริมให้มีพฤติกรรมการกินอาหารที่ถูกต้อง จึงทำให้ขาดความรู้และ ความคิดท่ดี ตี ่อการกินอาหาร เพื่อการมีภาวะโภชนาการและสขุ อนามัยท่ดี ี การดูแลสุขภาพเพื่อให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ต้องรู้จักการกินอาหารเป็นส่ิงสำคัญ รองลงมาคือการออกกำลังกาย ด้วยเหตุนี้ทางกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และสถาบันวิจัย โภชนาการและหนว่ ยงานทเี่ ก่ียวข้องทางด้านอาหารและโภชนาการ จึงไดจ้ ดั ทำ “ข้อปฏิบตั ิในการกิน อาหารเพ่ือสุขภาพทด่ี ี 9 ข้อ หรอื โภชนบัญญัติ 9 ประการ” เพ่ือเผยแพร่ให้ใช้ยึดเป็นแนวทางในการ กินอาหารใหห้ ถกู ต้องตามหลกั โภชนาการ โภชนบญั ญัติ 9 ประการ ประกอบด้วย 1. กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ แต่ละหมู่ให้หลากกลายและหมั่นดูแลน้ำหนักตัว เพื่อให้ สารอาหารท่ีรา่ งกายตอ้ งการอยา่ งครบถ้วนและมีนำ้ หนกั อยใู่ นเกณฑ์มาตรฐานไม่อ้วนหรอื ผอมเกินไป 2. กินข้าวเป็นหลักสลับกับอาหารแป้งในบางมื้อ เลือกกินข้าวกล้องแทนข้าวขาวและได้ คุณคา่ และใยอาหารมากกวา่ 3. กนิ ผักให้มาก และกินผลไม้ประจำ กินผักและผลไม้ทุกมื้อ จะช่วยเสริมสรา้ งภูมคิ ุ้มกันโรค และตา้ นโรคมะเรง็ ได้ 4. กนิ ปลา เน้ือสตั วไ์ ม่ตดิ มัน ไข่ และถั่วเมล็ดแหง้ เป็นประจำ ปลาเป็นโปรตนี คณุ ภาพดี และ ย่อยง่าย เป็นอาหารที่หางา่ ย ถ่ัวเมลด็ แหง้ เปน็ โปรตีนจากพชื ทใ่ี ชแ้ ทนเนอื้ สตั ว์ได้ 5. ดมื่ นมให้เหมาะสมกับวยั นมช่วยให้กระดกู และฟันแขง็ แรง เดก็ ควรด่มื นมวันละ 1-2 แก้ว ผใู้ หญ่ควรดมื่ นมพร่องมันเนย วนั ละ 1-2 แกว้ 6. กินอาหารท่มี ีไขมันแต่พอควร กินอาหารประเภททอด ผัด หรือแกงกะทิ แต่พอควร เลือก กินอาหาร ประเภท ตม้ นึ่ง ย่าง (ที่ไม่ไหมเ้ กรยี ม) แกงไมใ่ ส่กระทะเป็นประจำ 7. หลีกเลี่ยงการกินอาหารรสจัด หวานจัด เค็มจัด กินหวานมากเส่ียงต่อการเกิดโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหวั ใจ และหลอดเลือด กินเค็มจดั เสีย่ งต่อการเป็นโรคความดนั โลหติ สงู 8. กินอาหารทสี่ ะอาดปราศจากการปนเปื้อน อาหารท่ีไม่สกุ และปนเปื้อนเชอ้ื โรคและสารเคมี เชน่ สารบอแร็กซ์ สารเร่งสี สารกนั เชื้อรา สารฟอกขาว สารฆา่ แมลง ฟอรม์ าลนิ ทำให้เกดิ โรคได้ 9. งดหรือลดเครือ่ งดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะทำให้มีความเสียงต่อการเกิดโรคความดันโลหิต สงู โรคตบั แขง็ โรคมะเร็งในหลอดอาหาร และโรคร้ายอีกมาก 4. การดแู ลตวั เอง การดูแลสุขภาพตนเองเมื่อเจ็บป่วย โดยธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อเกิดปัญหาต่าง ๆ ขึ้น ใน ชีวิต ก็จะพยายามหาทางแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เป็นอันดับแรก เม่ือรู้ว่า ไม่สามารถแก้ปัญหาได้เอง ก็
97 จะแสวงหาความช่วยเหลือจากผู้อื่นในเร่ืองความเจ็บป่วย หรือปัญหาสุขภาพก็เช่นเดียวกัน ทุกคน ตอ้ งการที่จะดูแลตนเอง ให้มสี ุขภาพดอี ยู่เสมอ ดังนั้น การดูแลสขุ ภาพตนเองเป็นกิจกรรมท่ีบุคคลแต่ ละคนปฏิบัติ และยึดเป็นแบบแผนในการปฏิบัติ เพื่อให้มีสุขภาพดี อาจแบ่งขอบเขตการดูแลสขุ ภาพ ตนเอง เป็น 2 ลักษณะคอื 1) การดูแลสุขภาพตนเองในสภาวะปกติ เป็นการดูแลสุขภาพตนเอง และสมาชิกใน ครอบครัว ใหม้ สี ุขภาพแขง็ แรง สมบูรณ์อยเู่ สมอ ไดแ้ ก่ - การดูแลส่งเสริมสุขภาพ เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข เช่น การออกกำลังกาย - การสร้างสุขวิทยาส่วนบุคคลท่ีดี ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหร่ี หลีกเล่ียงจากสิ่งท่ีเป็นอันตรายต่อ สุขภาพ - การป้องกนั โรค เพ่ือไมใ่ ห้เจ็บป่วยเป็นโรค เช่น การไปรบั ภูมิคมุ้ กันโรคต่าง ๆ การไปตรวจ สุขภาพ การป้องกนั ตนเองไม่ให้ติดโรค ได้แก่ การขอคำแนะนำ - การแสวงหาความรู้จากผู้รู้ เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขต่าง ๆ ในชุมชน บุคลากร สาธารณสุข เพ่ือให้ได้แนวทางปฏิบัติ หรือการรักษาเบ้ืองต้นให้หาย จากความเจ็บป่วย ประเมิน ตนเองได้ว่า เมื่อไรควรไปพบแพทย์ เพอ่ื รักษากอ่ นที่จะเจ็บป่วยรนุ แรง และปฏิบตั ติ ามคำแนะนำของ แพทย์ หรือบุคลากรสาธารณสุข เพื่อบรรเทาความเจบ็ ป่วย และมีสุขภาพดดี ังเดมิ 2) การปฏิบตั ิตนในชีวติ ประจำวัน - อาบน้ำทุกวัน อยา่ งน้อยวันละ 2 คร้ัง การอาบนำ้ ให้สะอาด จะต้องใช้สบู่ฟอกทุกส่วนของ รา่ งกายให้ท่วั และมกี ารขัดถูขไ้ี คล บริเวณลำคอ สุขภาพของคนเราจะดีหรือเส่ือมน้ัน ข้ึนอยกู่ ับความ สมบูรณแ์ ข็งแรง ของอวยั วะต่าง ๆ เช่น ผิวหนงั ตา หู จมูก และฟัน ซึง่ เป็นอวัยวะภายนอกร่างกาย ท่ี เราควรดูแลรกั ษาให้อยู่ในสภาพท่ีดี และแข็งแรง เพราะถ้าเส่ือมโทรม หรือผิดปกติ จะส่งผลกระทบ ต่ออวัยวะสว่ นอนื่ ๆ ได้ ดังนน้ั เราตอ้ งระวงั รกั ษาส่วนตา่ ง ๆ ของรา่ งกายให้สะอาด ตลอดจนการออก กำลงั กาย และการพกั ผอ่ น - สระผม อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 คร้ังการสระผมช่วยให้ผสม และหนังศีรษะสะอาด ไม่ สกปรก หรอื มีกลิ่นเหมน็ โดยใชส้ บู่ หรือแชมพูสระผมจนสะอาด แล้วเช็ดผมให้แห้ง พรอ้ มทัง้ หวีผมให้ เรียบร้อย การหมั่นหวีผม จะช่วยนวดศีรษะให้เลือดมาเลี้ยงศรี ษะมากขึ้น และต้องล้างหวี หรือแปรง ให้สะอาดเสมอ การไม่สระผม หรือสระผมไมส่ ะอาด ทำให้เปน็ ชนั นะตุ รังแค และเกิดอาการคัน เกิด โรคผิวหนงั และเช้อื ราบนหนังศรี ษะ ทำให้เกิดผมร่วง และเสยี บุคลิกภาพ 3) ป้องกันอบุ ัติเหตดุ ว้ ยความไมป่ ระมาท - ดแู ล ตรวจสอบ และระมัดระวังอุปกรณ์เครอื่ งใช้ภายในบ้าน เช่น ไฟฟ้า เตาแกส๊ ของมีคม ธูปเทียนทีจ่ ดุ บชู าพระ และไม้ขีดไฟ - ระมัดระวังเพ่ือปอ้ งกนั อุบตั ิภัยในทส่ี าธารณะ เชน่ การใช้ถนน โรงฝึกงาน สถานที่ก่อสร้าง และชุมชนแออัด เปน็ ต้น 4) ออกกำลงั กายสมำ่ เสมอ และตรวจสขุ ภาพประจำปี - ออกกำลงั กายอย่างนอ้ ยสัปดาห์ละ 3 วนั ครง้ั ละ 20-30 นาที - ออกกำลังกาย และเลน่ กฬี าให้เหมาะสมกบั สภาพรา่ งกาย และวัย
98 - ตรวจสอบสุขภาพประจำปีอยา่ งน้อยปีละคร้ัง 5) ทำจิตใจใหร้ ่าเรงิ แจ่มใสอย่เู สมอ - พักผอ่ น และนอนหลบั ให้เพียงพอ - จัดส่ิงแวดลอ้ มทัง้ ในบา้ น และนอกบ้านใหน้ ่าอยู่ - มองโลกในแง่ดี ใหอ้ ภยั และยอมรบั ข้อบกพร่องของคนอนื่ - เมอ่ื มปี ญั หาไมส่ บายใจ ควรหาทางผอ่ นคลาย ในทางทถ่ี ูกตอ้ งเหมาะสม 5. วิธีหลีกเลี่ยงยาเสพตดิ สว่ นสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ พ่อแม่ ผู้ปกครอง ทำให้เดก็ และเยาวชนไม่ติดยาเสพติดจาก เหตผุ ล ดงั นี้ 1. เพราะพ่อแม่ ผู้ปกครอง เล้ียงดูในบรรยากาศที่ดีให้เกียรติคนในครอบครัว เหมือนกับให้ เกียรติคนนอกบ้าน ทำให้เด็กไม่มีปมด้อย ไม่เปรียบเทียบจุดเด่นของนอกบ้านกับจุดด้อยของคนใน บ้าน 2. เพราะพ่อแม่ ผู้ปกครอง สอนลูกให้รู้จักเลือกรับฟังเลือกรับรู้ ในส่ิงท่ีดีของสังคม มี ประโยชนต์ อ่ ตนเอง ผู้อนื่ และส่งผลดตี อ่ ประเทศชาติ 3. เพราะพ่อแม่ ผู้ปกครอง สอนลูกให้เป็นคนเกง่ สรา้ งรากฐานให้มีความภูมิใจในตนเอง โดย ช่ืนชมให้กำลงั ใจลูกในทางท่ีสรา้ งสรรคแ์ ละถกู ตอ้ ง 4. เพราะพ่อแม่ ผู้ปกครอง สอนลูกให้รู้จักการแก้ปัญหาโดยใช้เหตุผลและฝึกให้ลูกมีการอยู่ ร่วมกบั ผู้อนื่ ได้ แม้มีการขัดแยง้ ไม่ใช้ความรนุ แรงตา่ ง ๆ 5. เพราะพ่อแม่ ผู้ปกครอง เล้ียงลูกให้รู้จักให้อภัยไม่ซ้ำเติมเม่ือมีปัญหา มีความทุกข์ ปลอบโยน ให้กำลงั ใจซึง่ กันและกนั ชว่ ยกนั ปรับและแกไ้ ขใหม่ 6. เพราะพ่อแม่ ผ้ปู กครอง มกั สอนใหใ้ ช้เวลาวา่ งทำกจิ กรรมทเี่ ป็นประโยชน์ เชน่ ปลูกต้นไม้ เล่นกฬี า หรือนันทนาการทช่ี อบ ส่วนสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ส่ิงแวดลอ้ มในโรงเรยี นและเพ่ือนทำให้เด็กและเยาวชนไม่ติด ยาเสพตดิ จากเหตุผล ดงั นี้ 1. เพราะโรงเรยี น มีมาตรการแทรกแซง ป้องกันปราบปราม เข้มงวด ร่วมกับทางครอบครัว ในการแก้ปัญหายาเสพตดิ มใิ หร้ ะบาทในโรงเรียน เช่น โรงเรียนสขี าว ปลอดยาเสพตดิ 2. เพราะครแู ละเพื่อน ให้ความเข้าใจ ให้การยอมรบั ไม่ลงโทษซ้ำเติม หรือแสดงการปฏิเสธ เพื่อน 3. เพราะครูและเพ่ือนเปน็ ที่พ่ึง เม่ือมปี ัญหาที่เพ่ือนช่วยเหลือในทางท่ีถูกต้อง หลีกเลี่ยงการ ใชย้ าเสพติด 4. เพราะครูและเพ่ือน ช่วยชี้แนะและร่วมฝึกทักษะให้รู้จักการปฏิเสธยาเสพติด และรู้โทษ พิษภยั ยาเสพตดิ 5. เพราะครูและเพอ่ื น มีส่วนรว่ มในการดแู ลสอดส่องป้องกันปญั หายาเสพติดในโรงเรยี น สว่ นสำคัญอีกประการหน่ึง คือ สิ่งแวดล้อมในชุมชนจะทำให้เด็กและเยาวชนไม่ติดยาเสพติด จากเหตุผลตา่ ง ๆ ดงั น้ี คอื
99 1. เพราะชุมชน มีส่วนร่วมกับทางราชการโดยมีนโยบายของรัฐบาล ในเร่ืองการดำเนินการ ป้องกันปราบปรามยาเสพตดิ เพอ่ื ควบคุมและลดปญั หาการแพร่ระบาดของยาเสพติดอย่างจรงิ จงั 2. เพราะชมุ ชน ครอบครัว และสถาบันการศึกษาเป็นฐานในการสร้างกระแสรณรงค์ต่อต้าน ยาเสพติดไมใ่ หแ้ พร่ระบาดอย่างต่อเนอ่ื ง 3. เพราะชุมชน มีการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ติดยาเสพติดได้เข้าฟื้นฟูสมรรถภาพใน สถานพยาบาล 4. เพราะชุมชน ได้มีการระดมความร่วมมือร่วมใจ จัดตั้งโครงการหรือเครือข่าย เพ่ือ ช่วยเหลอื ดูแล สอดส่อง และบำบัดรักษายาเสพติดให้ดขี ึ้น โดยให้อภัย ไม่รงั เกียจ หรอื ผลกั ดันผู้ทีต่ ิด ยาเสพติดออกจากชุมชน หรอื สังคมไปก่อปัญหาตา่ ง ๆ อีกมากมาย ซ่ึงเป็นการลดการบริโภค ลดการ ผลิตและลดปัญหาต่าง ๆ ของยาเสพตดิ สรุปได้ว่า 5 วิธีการรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ได้แก่ การออกกำลังกาย คือรู้จัก ประมาณตน การประมาณตนในการออกกำลังกายแต่พอควร จะช่วยใหร้ ่างกายเผาผลาญอาหารและ พลังงานส่วนเกินได้ดี การตรวจสขุ ภาพตนเอง คอื ตัวเองสำรวจสุขภาพตนเอง ได้แก่ การใช้สารเสพติด การสูบบุหร่ี การบรโิ ภคอาหารสุขภาพ การออกกำลังกาย การพักผ่อน การกินอาหารตามหลักโภชน บญั ญัติ 9 ประการ เช่น กินอาหารใหค้ รบ 5 หมู่ แต่ละหมูใ่ ห้หลากกลาย เป็นต้น การดูแลตัวเอง คือ การดูแลสุขภาพตนเองในสภาวะปกติและการปฏิบัติตนในชีวิตประจำวันและวิธีหลีกเลี่ยงยาเสพติด คือพอ่ แม่ ผู้ปกครอง ส่ิงแวดล้อมในโรงเรยี นและเพ่อื นสง่ิ แวดล้อมในชุมชนทำใหเ้ ดก็ และเยาวชนไม่ติด ยาเสพตดิ ได้ 6.3 วิธใี นการสรา้ งสุขภาพที่ดี 5 ประการ สุขภาพที่ดีใคร ๆ กอ็ ยากมี แต่วิถีการใชช้ ีวติ ในปจั จุบันมีสง่ิ ยัว่ ยุต่าง ๆ มากมาย ไม่วา่ จะเป็น อาหารการกิน การเสพสื่อโซเชียล ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกาย สิ่งเหล่าน้ีล้วนแต่เป็นต้นเหตุที่ทำให้ สขุ ภาพของเราทรุดโทรมทง้ั นัน้ ดงั น้นั 5 วิธีในการสร้างสุขภาพทด่ี ี มดี งั นี้5 1. การเลอื กรับประทานอาหาร ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า อาหารเป็นปัจจัยหน่ึงที่สำคัญต่อร่างกาย การจะเกิดผลดีหรอื ผลเสียนั้น ข้ึนอยู่กับการเลอื กรบั ประทานอาหารให้เหมาะสม เพราะร่างกายจะนำไปพัฒนาและซอ่ มแซมในส่วน ต่าง ๆ ควรลดอาหารท่ีมีแคลอรีสูง ของทอด ปิ้ง-ย่าง หรืออาหารที่มีไขมันเยอะ เพราะหากร่างกาย เผาผลาญไมห่ มดก็จะกลายเปน็ ไขมันสะสมในร่างกายในทส่ี ดุ ทางทด่ี ีควรรับประทานอาหารใหค้ รบ 5 หมใู่ นปรมิ าณท่เี หมาะสม เลอื กรับประทานแต่อาหารทมี่ ปี ระโยชน์ 2. บรหิ ารสมอง การบรหิ ารสมองก็เป็นอีกวธิ ีที่จะช่วยเสรมิ สร้างสขุ ภาพทีด่ ีได้ ลองหาเกมฝึกสมองมาเล่น เช่น เกมอักษรไขว้ เกมจำตำแหน่งภาพ เกมจับผิด เกมซูโดกุ หรือเกมหมากรุกจีน เป็นต้น ควรหันมา รบั ประทานผลไม้พวก ส้ม องนุ่ เบอร์ร่ีให้มากขึน้ ดว้ ย เพราะผลไมจ้ ำพวกนี้มีสารชว่ ยต้านอนุมลู อิสระ 5<https://www.krungsri.com/bank/th/plearn-plearn/5-things-you-must-try-for- healthy-living.html>(สืบคน้ ขอ้ มลู เมือ่ วันท่ี 27 เมษายน 2563)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111