Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ย้อนรอยกรุงเก่ากาญจนบุรี

ย้อนรอยกรุงเก่ากาญจนบุรี

Published by Rattanagorn Putiaek, 2021-09-06 05:20:08

Description: ย้อนรอยกรุงเก่ากาญจนบุรี

Search

Read the Text Version

๕.วดั ใหญ่ดงรงั หรอื วดั สม้ ใหญ่ วัดใหญ่ดงรัง ต้ังอยู่ท่ีบ้านหนองขาว หอระฆัง  ตั้งอยู่ในแนวร้ัวด้านหน้า หมู่ท่ี ๑๑ ตำ�บลหนองขาว อำ�เภอท่าม่วง วัดหรือทางทิศตะวันออกของวัด ติดกับ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นวัดเก่าแก่สร้างมา ถนนและคลองชลประทานเป็นอาคารก่อ ตั้งแต่สมัยสงครามไทย-พม่า ซึ่งเหลือแต่ อิฐถือปูน ๓ ช้ัน ปัจจุบันทาด้วยสีแดง ช้ัน ฐานของอาคารเสนาสนะต่างๆ แต่ก่อน บริเวณดังกล่าวน้ีมีต้นรังมากมาย จึงได้ตั้ง ช่ือวัดว่า “วัดใหญ่ดงรัง” เดิมทีเดียววัดนี้ มชี อ่ื เรยี กอกี ชอื่ หนง่ึ วา่ “วดั สม้ ใหญ”่ เพราะ มีต้นมะขามใหญ่อยู่ติดทางเก่าผ่านไป-มา และเปน็ ทพี่ กั ผเู้ ดนิ ทางในสมยั นน้ั มโี บราณ สถานทีส่ �ำ คัญดังน้ี 51ยอ้ นรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบรุ ี

52 ย้อนรอยกรงุ เก่า ณ กาญจนบุรี สระโบราณภายในวดั สมใหญ่

ล่างเป็นชั้นฐานสูง ก่อทึบทุกด้าน ด้านทิศ วดั ใหญด่ งรงั เปน็ ทป่ี รากฏชอื่ ในเสภา ใตม้ ีบันไดทางขึ้นสู่ชน้ั ๒ ช้นั ๒ และช้ัน ๓ เรอ่ื งขุนช้าง ขนุ แผน เปน็ วดั ทีข่ ุนไกร และ ลกั ษณะเปน็ มณฑป ทช่ี นั้ ๒ กอ่ เปน็ ห้อง มี พลายงาม (ขุนแผน) มาศึกษาเล่าเรียนท่ี ช่องประตูท้ัง ๔ ด้าน กรอบช่องประตูด้าน สำ�นักวัดสม้ ใหญ่ ซึ่งมีขรวั บญุ เป็นอาจารย์ นอกปั้นปูนเป็นลวดลายพญานาค ภายใน ดงั ความตอนหนง่ึ ทน่ี างทองประศรนี �ำ พลาย ในอดีตคงใช้แขวนระฆัง แต่ปัจจุบันไม่มี แก้วไปฝากขรวั บญุ แห่งวัดสดั ใหญ่ วา่ ระเบียงของชัน้ ๒ กอ่ เปน็ รว้ั เต้ียๆ เจาะชอ่ ง สเี่ หลยี่ มผนื ผา้ แนวตง้ั ตลอดแนว ชอ่ งประตู ครน้ั ว่ามาถึงวดั ส้มใหญ ่ ช้ัน ๒ ชั้น ๓ ก่อเป็นชั้นทึบ เจาะช่องท้ัง ๔ เอาขา้ วของต้งั ไวศ้ าลาหน้า ด้าน แต่ตัน ไม่ทะลุถึงกัน เหนือช่องทั้งสี่ แม่พาพลายแก้วผแู้ ววตา ก่อเปน็ จว่ั ซ้อนชัน้ ๓ ชน้ั ถัดขน้ึ ไปเป็นสว่ น ไปกราบไหว้วนั ทาทา่ นสมภาร ยอดที่ทำ�เป็นเจดีย์ทรงระฆังองค์เล็ก ชาว บ้านเช่ือกันว่าหอระฆังน้ีสร้างขึ้นเมื่อคราว ท่านเจ้าขาฉนั พาลูกมาบวช ไทยรบพม่า สมัยอยุธยาตอนปลาย ได้รับ ชว่ ยเสกสวดสอนให้เปน็ แก่นสาร การบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งหลังสุดเมื่อ ๒๙ ดว้ ยขนุ ไกรบิดามาถึงกาล มกราคม ๒๕๓๘ จะได้อธิษฐานให้ส่วนบุญ วหิ ารเกา่ อย่ทู างทศิ ตะวนั ตกของหอ อีกทงั้ วชิ าการอ่านเขยี น ระฆงั ลกั ษณะเปน็ ซากของฐานวหิ ารกอ่ อฐิ เจา้ จะไดร้ ่าํ เรียนเสียแตร่ ุ่น ผงั รปู สเ่ี หลย่ี มผนื ผา้ หนั ดา้ นกวา้ งไปทางทศิ ฝา่ ยท่านอาจารยส์ มภารบุญ ตะวันออกและตะวนั ตก ทอดใจใหญค่ รุน่ แล้ววา่ มา อนิจจาขนุ ไกรบรรลัยแล้ว อนั ลกู ชายพลายแกว้ เหมอื นหนกั หนา รูปอาลยั ให้คดิ ถงึ บดิ า จะเลี้ยงลูกให้สีกาอยา่ ระคาง (เสภาเร่อื งขนุ ชา้ งขนุ แผน) 53ยอ้ นรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบรุ ี

54 ย้อนรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี

๖. เจดยี ์ยทุ ธหตั ถี วรวุธ สุวรรณฤทธิ์ (๒๕๔๕ : ๑๐๒) ได้บันทึกไว้โดยอ้างจากข้อมูลของ เจดีย์ยุทธหัตถี เป็นอนุสรณ์สถาน กรมศิลปากรว่า เจดีย์ยุทธหัตถีท่ีตำ�บล ในคราวสมเด็จพระนเรศวรทรงกระทำ� ดอนเจดีย์ อำ�เภอพนมทวน สันนิษฐานว่า ยทุ ธหตั ถกี บั พระมหาอปุ ราชาแมท่ พั พมา่ ใน สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานในสงคราม คราวสงครามไทย – พมา่ เมอื่ พ.ศ. ๒๑๓๕ ยทุ ธหตั ถ ี เปน็ ศลิ ปะแบบอยธุ ยา มลี กั ษณะ สมเด็จฯ กรมพระยาดำ�รงราชานุภาพ เป็นเจดยี ์ทรงกลม ก่ออฐิ ฉาบปูน สว่ นยอด มีรับสั่งให้เจ้าเมืองสุพรรณบุรีและเจ้าเมือง พังทลาย สูงประมาณ ๗ เมตร กาญจนบุรีค้นหาเจดีย์ร้างท่ีน่าจะเป็น เจดีย์ยุทธหัตถี ต่อมาเจ้าเมืองสุพรรณบุรี ห่างออกไปทางทิศตะวันออกเฉียง มีรายงานวา่ พบเจดีย์ร้างแห่งหน่งึ ทอ่ี ำ�เภอ ใต้ของเจดีย์ ประมาณ ๓๕๐ เมตร มีพระ ศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี สมเด็จฯ ปรางค ์ ๑ องค ์ และเจดยี ส์ เ่ี หลย่ี มยอ่ มมุ อกี กรมพระยาดำ�รงได้ทรงวินิจฉัยว่าน่าจะ ๒ องค์ พระปรางค์มีลักษณะก่ออิฐฉาบ เปน็ เจดยี ย์ ุทธหัตถี จึงกราบบังคมทลู ถวาย ปนู มีลวดลายประดบั ทีฐ่ าน เรียกว่า “ฐาน รายงานพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ สงิ ห”์ และมซี มุ้ ปรางคด์ า้ นทศิ ใต้ มลี วดลาย ทรงทราบ และต่อมาจึงได้สร้างอนุสาวรีย์ ประดับเป็นรูปคนในวรรณคด ี บรเิ วณน้ีมี ขนึ้ ป้ายชอ่ื ระบวุ า่ พระปรางคส์ ามองค”์ ต่อมาได้มีการค้นพบเจดีย์อีกแห่ง หนึ่งที่บ้านดอนเจดีย์ อำ�เภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี และมีผู้แสดงทัศนะ ความเช่ือว่า น่าจะเป็นเจดีย์ยุทธหัตถี องค์จรงิ 55ยอ้ นรอยกรงุ เก่า ณ กาญจนบุรี

56 ย้อนรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี

พระปรางคแ์ ละเจดยี ์คู่ บ้านดอนเจดีย์ (รางวลั ชมเชย) นายอคั รายชญ์ เพช็ อำ�ไพ :ถา่ ยภาพ โครงการประกวดภาพถา่ ยอนสุ รณใ์ นรอยพระบาทยาตรากาญจนบุรี ส�ำ นกั ศิลปะและวฒั นธรรม มหาวทืิ ยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี 57ยอ้ นรอยกรงุ เก่า ณ กาญจนบุรี

58 ย้อนรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี

๗. พระปรางค์ วัดทานกัณฑ์ วัดทานกัณฑ์เป็นวัดร้างเก่าแก่ ตงั้ อยใู่ นบรเิ วณดา้ นหนา้ ของทว่ี า่ การอ�ำ เภอ พนมทวน โบราณสถานท่ียังคงปรากฏอยู่ คือ พระปรางคส์ มยั อยธุ ยา และสระทาน กัณฑ์ สระนํ้าโบราณท่ียังคงอยู่บริเวณใกล้ เคยี งกับพระปรางค์ ลักษณะของพระปรางค์มีความ คล้ายกับพระปรางค์วัดเขารักษ์ กล่าวคือ สรา้ งจากอิฐ สว่ นฐานประกอบดว้ ยชดุ ฐาน บัวคว่ําบัวหงาย ๓ ฐานในผังเพ่ิมมุม ๒๐ ถัดขึ้นไปทำ�เป็นเรือนธาตุท้ัง ๔ ด้าน ยอด ปรางคแ์ บง่ เปน็ ๗ ชน้ั ประดบั ดว้ ยกลบี ขนนุ แต่เนื่องจากเป็นวัดร้างพระปรางค์องค์นี้ จึงไม่ได้รับการบูรณะซ่อมแซมด้วยการ ฉาบปูนหรือประดับลวดลายด้วยกระเบื้อง เคลือบ ด้านขวามือขององค์พระปรางค์ เปน็ ทำ�สัญญาให้เอกชนเช่าที่บางส่วนของสระ ทต่ี ง้ั ของศาลเจา้ พอ่ ปสู่ มงิ ด�ำ เปน็ ศาลาหลงั โบราณนี้ปลูกอาคารท่ีอยู่อาศัย ปัจจุบัน ขนาดย่อม เป็นท่ีเคารพสักการะของชาว ยังมีการดำ�เนินการอนุญาตให้เอกชนถม บ้าน ด้านหนา้ ยังมรี ปู ปัน้ ของเจา้ ปสู มิงด�ำ สระบรเิ วณทต่ี ดิ กบั กบั ถนนสายกาญจนบรุ -ี พรอ้ มคำ�บูชาสกั การะดว้ ย อู่ทองเพ่ิมเติมอีก จึงเป็นเร่ืองที่น่าเสียดาย มรดกต้นทุนทางวัฒนธรรมของชุมชนเป็น สระทานกัณฑ์ปัจจุบันสำ�นัก อยา่ งยิ่ง พระพุทธศาสนาเปน็ หนว่ ยงานผูด้ แู ล และ 59ย้อนรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี

60 ย้อนรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี

๘. วัดบา้ นทวน วัดบ้านทวน ตั้งอยู่เลขท่ี ๒๓๗ อยู่ทางทิศตะวันตกและทิศเหนือ มีสระ หมู่ท่ี ๒ ตำ�บลพนมทวน อำ�เภอพนมทวน อยู่ภายในเขตวัดทางทิศใต้ ประชาชนใช้ จังหวัดกาญจนบุรี ที่ดินต้ังวัดมีเนื้อท่ี ๒๘ อุปโภคตลอดปี พระประธานประจำ� ไร่ ๓ งาน ๕๐ ตารางวา อโุ บสถหลงั เกา่ สรา้ งดว้ ยอฐิ ถอื ปนู พระพทุ ธ รูปปนู ปัน้ ลงรักปิดทอง ขนาดหนา้ ตัก กว้าง วดั บา้ นทวนเปน็ วดั รา้ งมากอ่ น มอี ายุ ๒.๕๐ เมตร และเจดีย์โบราณสร้างด้วย มากกว่า ๒๐๐ ปี มีเจดีย์เก่าประดิษฐาน อิฐถือปูนสูง ๑๔ เมตร โบราณสถานท่ี อยู่หลังอุโบสถเก่า วัดต้ังอยู่ใกล้หมู่บ้าน สำ�คญั ของวัดบ้านทวน ได้แก่ มแี มน่ า้ํ เกา่ ซง่ึ ตน้ื เขนิ จนกลายเปน็ ล�ำ คลอง 61ย้อนรอยกรงุ เกา่ ณ กาญจนบุรี

๑. เจดีย์ทรงระฆัง สร้างด้วยอิฐ ปูนเช่นเดียวกัน แต่ซุ้มส่วนบนทำ�เป็น สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอน ซุ้มหลังคาทรงจ่ัว มีร่องรอยของการปรับ ปลาย มีฐานเขียงรองรับ ฐานบัวลูกแก้ว ใบระกา และการเขียนสีบริเวณเน้ือท่ีส่วน และบัววลัยรองรับองค์ระฆัง ส่วนยอด หน้าบนั ของกรอบซมุ้ ประกอบด้วยบัลลังก์ส่ีเหล่ียมขนาดใหญ่ กา้ นฉัตร บัวฝาละมแี ละปลอ้ งไฉน ลักษณะของซุ้มทั้ง ๒ แบบนี้พบว่า นิยมทำ�มาแล้วตั้งแต่ในสมัยอยุธยาตอน ๒. ซุ้มประตทู รงปราสาทยอด ก่อ ปลายเรื่อยมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ท้ังน้ี ด้วยอิฐฉาบปูน ท่ีเสารองรับซุ้มทั้ง ๒ ข้าง ซุ้มประตูท้ังสองผ่านการบูรณะมาแล้วใน ประดับประติมากรรมรูปสิงห์คล้ายกับสิงห์ ปัจจุบนั ในศิลปะจีน ปรากฏเพียงสว่ นหวั สิงห์ ส่วน ยอดเป็นหลังคาลาดซ้อนกัน ๒ ช้ัน ไม่มี มี ซ า ก วั ด ร้ า ง อ ยู่ ห่ า ง จ า ก วั ด นี้ ลวดลายประดับ ประมาณ ๕๐๐-๗๐๐ เมตร หลายวัด ไดแ้ ก่ วดั สระดอน (ปัจจบุ นั ถกู ถมเป็นลาน ๓. ซุ้มประตูหลังคาทรงจั่ว เสา กฬี าและใชป้ ระโยชนอ์ น่ื ๆ ไปหมดแลว้ ) วดั รองรับซุ้มท้ัง ๒ ด้าน ก่อด้วยอิฐและฉาบ สระแก้ว และวดั ทานกณั ฑ์ 62 ยอ้อนนรรออยยกกรรุงุงเกเา่กณ่า ณกากญาจญนจบนรุ บี ุรี

63ยอ้ นรอยกรงุ เกา่ ณ กาญจนบรุ ี

64 ยอ้ นรอยกรงุ เกา่ ณ กาญจนบุรี ภาพเก่าโบราณสถานวดั บ้านนอ้ ย ที่มา สุรชยั ใจจง

๙. วดั บ้านน้อย วัดบ้านน้อย ต้ังอยู่ท่ีบ้านน้อย หมู่ท่ี นอกจากน้ียังปรากฏเจดีย์รายอีก ๓ ต�ำ บลดอนเจดยี ์ อ�ำ เภอพนมทวน จงั หวดั หลายองค์ที่มีสภาพชำ�รุดเหลือแต่ฐาน ซุ้ม กาญจนบุรี ที่ดินต้ังวัดมีเนื้อที่ ๓๑ ไร่ ๑๐ ประตูเป็นทรงปราสาทยอดจัตุรมุข มีช่อง ตารางวา ทางเข้าเป็นรูปกลีบบัว เป็นสถาปัตยกรรม ท่ีได้รับอิทธิพลจากตะวันตก ซึ่งนิยมกัน โบราณสถานวัดบ้านน้อย ต้ังอยู่ที่ มากในสมัยอยุธยาต้ังสมัยพระนารายณ์ ตำ�บลดอนเจดีย์ อำ�เภอพนมทวน จังหวัด มหาราชเป็นต้นมา สอดคล้องกับลายปูน กาญจนบรุ ี จากขอ้ มลู ของกรมศลิ ปากรระบุ ปั้นประดับในส่วนชั้นซ้อนลด ท่มี ีบวั เป็นหัว ว่า โบราณสถานแห่งนี้ มีส่ิงสำ�คัญได้แก่ เสา เป็นแบบกลีบยาว หรือบัวแวง(หัวเสา วิหาร เจดีย์ กำ�แพงแก้ว และซุ้มประตูที่มี แบบบัวแวง ลักษณะกลีบบัวต้ังสูง ดอก เฉพาะด้านทิศตะวันออกและทิศใต้เจดีย์ ยาว ปลายกลีบผายออก จึงนิยมตกแต่ง รายอยู่ด้านหน้าวิหาร ๔ องค์ และด้านใต้ เสาลอย เสาหลอกและเสาอิง ทั้งเสามี ๑ องค์ เปน็ เจดีย์ที่มีองคร์ ะฆงั เปน็ ทรงกลม เหล่ียมจัตุรัส สี่เหลี่ยมย่อมุม โดยเฉพาะ แตม่ ลี กั ษณะพเิ ศษ คอื มีส่วนเอวคอด และ เสาส่ีเหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง จะมีบัวโคน ยอดผายออก จึงเป็นลักษณะเฉพาะของ เสาด้วย) ตลอดจนเครื่องลำ�ยองปูนป้ันซึง งานชา่ งทอ้ งถน่ิ ในแถบจงั หวดั กาญจนบรุ ี เปน็ งานศลิ ปกรรมในสมยั อยธุ ยาตอนปลาย 65ยอ้ นรอยกรงุ เกา่ ณ กาญจนบุรี

66 ย้อนรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี

67ย้อนรอยกรุงเกา่ ณ กาญจนบุรี

68 ยอ้ นรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบรุ ี อโุ บสถวัดเขาจำ�ศลี หลังเดมิ

๑๐. วัดเขาจำ�ศลี วัดเขาจำ�ศีล ตั้งอยู่ท่ี หมู่ท่ี๑๔ และประชาชนไปอยู่ท่อี ยู่ทบ่ี า้ นหลุมหนิ วัด ตำ�บลหนองโรง อำ�เภอพนมทวน จังหวัด เขาจ�ำ ศลี จงึ มสี ภาพเปน็ วดั รา้ งอกี คราวหนง่ึ กาญจนบุรี เดิมชาวบ้านเรียกกันว่า วัด เขาพระจำ�ศีล จากเอกสารของวัดระบุว่า จนปี พ.ศ. ๒๕๒๕ พระเป้ เปสโต เป็นวัดเก่าที่สร้างขึ้นสมัยกรุงศรีอยุธยา (ต่อมามีสมณศักด์ิเป็นท่ี พระครูกาญจน- ตอนกลาง กรมศิลปากร เคยนำ�อิฐเก่าท่ี ศีลาภรณ์) ได้เข้ามาพัฒนาให้เป็นวัดที่มี สร้างอุโบสถไปพิสูจน์ พบว่า มีอายุไม่ต่ํา พระสงฆ์จ�ำ พรรษาอยูจ่ นถงึ ปัจจบุ ัน กว่า ๓๑๖ ปี มีเร่ืองเล่ากันว่า วัดน้ีอยู่บน เสน้ ทางเดนิ ทพั จากประเทศพมา่ เพอ่ื ไปกรงุ โบราณสถานที่ยังปรากฏอยู่คือ ศรอี ยธุ ยา ผา่ นวดั เขาจ�ำ ศลี ไปหนองสาหรา่ ย อุโบสถสมัยอยุธยา สภาพปัจจุบัน ทางวัด ดอนเจดยี ์ ระยะทาง ประมาณ ๑๐ กโิ ลเมตร ไดป้ ฏสิ งั ขรณส์ ว่ นบนของอโุ บสถใหส้ ามารถ ใช้ประกอบพธิ ีกรรมของสงฆไ์ ด้ โดยยงั คง เมื่อคราวสงคราม ๙ ทัพ ในสมัย รกั ษาสว่ นก�ำ แพงทเี่ ปน็ ของเดมิ ไว ้ ซมุ้ ประตู พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทางเขา้ มลี ักษณะคลา้ ยทรงใบหอก ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เม่ือ กองทพั พมา่ ผา่ นมา ประชาชนไดอ้ พยพหนี ส่วนเจดีย์บนยอดเขาจำ�ศีลชำ�รุด ภยั สงครามมาพกั อยูท่ ี่บรเิ วณน้ี จากการขดุ หาของเกา่ จนพงั ทลายหมดแลว้ ทางวัดจงึ สรา้ งมณฑปในบริเวณเดมิ ต่อมาในสมัยสงครามโลกคร้ังท่ี ๒ บริเวณเขาจำ�ศีลถูกใช้เป็นท่ีตั้งและเป็น สถานที่ฝึกอาวุธและส่งเสบียงของหน่วย เสรไี ทยในจังหวดั กาญจนบุรี วัดเขาจำ�ศีลเป็นวัดร้างมายาวนาน จนเมอ่ื ป ี พ.ศ. ๒๔๗๕ หลวงพอ่ กณั ฑ์ เจา้ อาวาสวดั หว้ ยสะพาน ไดม้ าจ�ำ พรรษาทวี่ ดั ร้างแห่งนี้ เมื่อช่วงสงครามโลกท่ีเสรีไทย มาตงั้ หนว่ ยอยทู่ นี่ ี่ จงึ มกี ารอพยพพระสงฆ์ 69ยอ้ นรอยกรุงเกา่ ณ กาญจนบุรี

70 ย้อนรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี

71ย้อนรอยกรุงเกา่ ณ กาญจนบรุ ี

72 เจดยี ์วดั พงั ตรุเหนือ ยอ้ นรอยกรงุ เก่า ณ กาญจนบรุ ี

๑๑. วัดพังตรุ ต�ำ บลพงั ตร ุ ตงั้ อยใู่ นเขต อ�ำ เภอ พนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี มีโบราณ สถานท่สี ำ�คัญจำ�นวน ๒ แห่ง คือ โบราณ สถานวัดพงั ตรุ (เหนอื ) และวัดพงั ตรุ (ใต้) วัดพังตรุ (เหนือ) ไม่ปรากฏข้อมูล เอกสารการก่อสร้างท่ีแน่ชัด แต่คำ�ว่า “ต�ำ บลตะพงั ตร”ุ ปรากฏอยใู่ นเอกสารสมยั อยธุ ยาทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั สงครามยทุ ธหตั ถี และ ปรากฏอีกคราวหน่ึงในเอกสารการเสด็จฯ ประทับร้อนทีบ่ า้ นตะพงั ตรุ ของรัชกาลที่ ๖ ในปี พ.ศ. ๒๔๕๖ ก่อนจะกร่อนเหลอื เพยี ง “พังตร”ุ เช่นปจั จบุ ัน โบราณสถานทีส่ �ำ คัญ ภายในวัดประกอบด้วยวิหาร ๑ หลงั และ เจดีย์จ�ำ นวน ๑๘ องค์ล้อมรอบ ลกั ษณะ รูปแบบทางสถาปัตยกรรม สำ�นักศิลปากร ท่ ี ๒ สุพรรณบุรี ระบไุ วส้ รุปได้ดังนี้ วิหาร เปน็ อาคารทรงสีเ่ หลยี่ มผนื ผา้ ขนาดกวา้ ง ๔.๘ เมตร ยาว ๑๖.๕ เมตร พบเฉพาะฐานรากของอาคารเทา่ น้ัน เจดีย์ ๑๘ องค์ สภาพส่วนใหญ่ พังทลายลง เหลือเพียงส่วนของฐาน มี เพียงเจดยี ์หมายเลข ๑ และ ๓ ท่ีรปู แบบ สถาปตั ยกรรมเปน็ เจดยี ท์ รงเครอื่ ง ก�ำ หนด อายไุ ดร้ าวพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๒-๒๔ 73ยอ้ นรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี

ทศั นียภาพโบราณสถานวัดพงั ตรุเหนอื 74 ยอ้ นรอยกรุงเกา่ ณ กาญจนบรุ ี

75ย้อนรอยกรุงเกา่ ณ กาญจนบุรี

76 ยอ้อนนรรออยยกกรรุงุงเกเา่กณ่า ณกากญาจญนจบนรุ บี รุ ี

โบราณสถานพังตรุ (ใต้) ข้อมูล เจดีย์ราย อยทู่ างดา้ นหนา้ ๒ องค ์ ของสำ�นักศิลปากรท่ี ๒ สุพรรณบรุ ี บันทึก และดา้ นทศิ เหนอื ๑ องค ์ เปน็ เจดยี ย์ อ่ มมุ่ ไว้ สรุปได้ว่า มีโบราณสถานที่สำ�คัญคือ ไมส้ บิ สอง สว่ นบนเปน็ ทรงระฆงั กลม เจดยี ์ วิหาร เจดีย์ราย และสระน้ําขนาดใหญ่ บางองค์มีซุ้มจรนำ�ท้ัง ๔ ด้าน ตลอดจนมี (พงั ตร)ุ อยู่หา่ งออกไปทางทิศเหนอื การประดับด้วยลายปูนป้ันเป็นรูปครุฑยุด นาคและลายอนื่ ๆ เมอื่ พจิ ารณาจากรปู ทรง วหิ าร สันนษิ ฐานวา่ เปน็ อาคารทรง ของเจดีย์และลวดลายปูนป้ัน สันนิษฐาน สี่เหล่ียมผืนผ้าก่อด้วยอิฐสอปูน ตั้งอยู่บน ว่าเป็นงานศิลปกรรมในปลายสมัยอยุธยา พื้นดินถมอัดสูงกว่าพ้ืนที่โดยรอบประมาณ ตอนปลาย นอกจากน้ี ยงั ปรากฏเจดยี ์ราย ๘๐ เซนติเมตร อีกหลายองค์ท่ีมีสภาพชำ�รุดเหลือเฉพาะ ฐาน 77ยอ้ นรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบรุ ี

78 ยอ้ นรอยกรงุ เกา่ ณ กาญจนบรุ ี โบสถ์วัดเบญ็ พาด

๑๒. วัดเบญ็ พาด ใช้ผนงั ในการรับนํ้าหนัก ตัวโบสถ์กอ่ อฐิ สอ ปูน อยู่บนฐานปัทม์ มีลวดบัวคาดที่ส่วน วัดเบ็ญพาด ตั้งอยู่เลขท่ี ๑ บ้าน กลางของทอ้ งไม ้ ทด่ี า้ นหลงั ของโบสถม์ เี นนิ เบญพาด ถนนทุ่งคอก-พนมทวน หมู่ที่ ดนิ และอฐิ สนั นษิ ฐานวา่ เคยมเี จดยี อ์ ยกู่ อ่ น ๖ ตำ�บลพังตรุ อำ�เภอพนมทวน จังหวัด กาญจนบุรี ที่ดินตั้งวัดมีเน้ือที่ ๓๐ ไร่ ๒ ในกาลต่อมาวัดเหนือน่าจะอยู่ห่าง งาน ๑๙ ตารางวา ไกลชมุ ชน จงึ ไดย้ า้ ยมาสรา้ งวดั ขนึ้ ใหมแ่ ละ ได้เปลี่ยนชื่อวัดตามชื่อหมู่บ้านเป็น “วัด เล่ากันมาว่าในสมัยกรุงศรีอยุธยา เบญ็ พาด” ไดร้ บั พระราชทานวสิ งุ คามสมี า นายกองอินทรีพร้อมด้วยลูกหลานอพยพ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๐ เขตวิสุงคามสีมากว้าง มาจากจังหวัดอุทัยธานี มาถึงหมู่บ้าน ๒๙ เมตร ยาว ๔๘ เมตร เบญพาดเหน็ วา่ ภมู ิประเทศเหมาะสมจงึ ได้ ต้ังบ้านเรือนข้ึน ต่อมาเห็นว่าชาวบ้านยัง ไม่มที ่ียึดเหนย่ี วทางดา้ นจติ ใจ จงึ ได้สร้าง วัดขึ้นชาวบ้าน เรยี กวัดเหนอื ตอ่ มาชาว บา้ นมักเรียกวา่ “วัดสงิ หท์ ะยาน”เนื่องจาก แต่เดิมหน้าอุโบสถหลังน้ีมีรูปปั้นสิงห์คู่ ท่ีมีอยู่ในท่าเหมือนกำ�ลังเผ่นโจนทะยาน ปัจจุบันสิงห์คู่น้ีถูกโจรกรรมไปเมื่อหลาย สบิ ปแี ล้ว อุโบสถวัดสิงห์ทะยาน ปัจจุบัน ต้ังด้านทิศตะวันตก ของในโรงเรียนวัด เบญพาด (ช่ือโรงเรียนไม่มีเครื่องหมายไม้ ไต่คู้) สภาพปัจจุบันเหลือเพียงฐานและ ผนงั ทง้ั ๔ ดา้ น ลกั ษณะโดยรวมของอโุ บสถ จัดอยู่ในสมัยอยุธยาตอนปลาย ท่ีเรียกว่า โบสถม์ หาอดุ กลา่ วคอื มปี ระตทู างเขา้ ดา้ น หน้าทางเดียว ไม่มีช่องแสงและหน้าต่าง 79ย้อนรอยกรงุ เกา่ ณ กาญจนบรุ ี

ท่ีนี้พบโบราณวัตถุตั้งอยู่บริเวณ ด้านหน้าและด้านหลังพระอุโบสถซ่ึงสร้าง ขึ้นใหม่ คือใบเสมาสมัยอยุธยา ทำ�จาก หนิ ทราย มีรายละเอยี ดดงั น้ี รปู แบบที่ ๑ ส่วนโคนเสมาหกั หาย ตัวใบเสมาไม่มีลวดลายประดับ แต่มีการ เดินเส้นผ่านกลางใบเป็นแก้มเสมาทั้งสอง ขา้ ง รปู แบบท่ี ๒ สว่ นโคนเสมา สลกั ลาย กระหนกตวั เหงา มกี ารเดนิ เสน้ ผา่ นกลางใบ เป็นแก้มเสมาทั้งสองข้าง ส่วนบนสลักเป็น ลายดอกไมพ้ รรณพฤกษา 80 ยอ้ นรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบรุ ี

รูปแบบท่ี ๓ ส่วนโคนเสมาหักหาย บ้านเบญพาดมีประเพณีสำ�คัญ แต่ปรากฏร่องรอยของการสลักลวดลาย มี ท่ีสืบทอดกันมา จนเป็นเอกลักษณ์ของ การเดินเส้นผ่านกลางใบเป็นแก้มเสมาท้ัง หมู่บ้านน้ีคือ ประเพณียกธง ในวัน สองขา้ ง สว่ นบนสลกั เปน็ ลายดอกไมพ้ รรณ สงกรานต์ และประเพณีการจุดประทีป พฤกษา ตีนกาถวายเป็นพุทธบูชาในช่วงวันออก พรรษา 81ยอ้ นรอยกรุงเกา่ ณ กาญจนบรุ ี

82 ย้อนรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี

83ย้อนรอยกรุงเกา่ ณ กาญจนบุรี

รอรูป 84 ยอ้ นรอยกรุงเกา่ ณ กาญจนบุรี

๑๓. วดั ลาดขาม วั ด ล า ด ข า ม เ ค ย ถู ก ท้ิ ง ร้ า ง อ ย่ า ง ยาวนานนับร้อยปีจากสงครามสมัยกรุง วัดลาดขาม ต้ังอยู่ที่ริมลำ�นํ้าทวน ศรีอยุธยาและได้รับการฟ้ืนฟูข้ึนมาใน ตำ�บลพนมทวน อำ�เภอพนมทวน จังหวัด ปีพ.ศ. ๒๕๔๒ โดยพระครูปลัดเพลิน กาญจนบุรี เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างข้ึนสมัย เตชธมฺโม ที่ได้ธุดงค์มาพบซากวัดปรัก อยุธยาตอนต้น ภายในวัดยังมีการขุดค้น หั ก พั ง แ ล ะ ล ง มื อ บู ร ณ ป ฏิ สั ง ข ร ณ์ วั ด พบ วัตถุโบราณสมัยทวารวดี และอยุธยา แห่งนี้ข้ึนด้วยแรงสนับสนุนจากผู้มีจิต หลายรายการ เช่น พระพุทธรูปขนาดใหญ่ ศรัทธาและชาวบ้านจนกระท่ังกลับมาเป็น แต่ชำ�รุด รวมถึงซากปรักหักพังของเจดีย์ ศู น ย์ ร ว ม จิ ต ใ จ แ ห่ ง พุ ท ธ ศ า ส นิ ก ช น ใ น และฐานพระอุโบสถเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่ อ�ำ เภอพนมทวนอีกครงั้ สมัยอยธุ ยา ปจั จบุ ันทางวัดได้น�ำ อฐิ มอญ ท่ีสั่งมาจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มา กอ่ ทบั ฐานตามแนวฐานพระอโุ บสถหลงั เดมิ 85ย้อนรอยกรงุ เกา่ ณ กาญจนบุรี

86 ย้อนรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี

๑๔. วัดข้าวเบา คำ�ว่า “ข้าวเบา” จากการสอบถาม ท่านเจ้าอาวาส พบว่า น่าจะมาจากคำ�ว่า “กะเบา” เป็นต้นไม้ท่ีข้ึนอยู่ในบริเวณน้ี กะเบาต้นสุดท้ายอยู่ที่ริมลำ�นํ้าทวนที่ไหล ผา่ นวดั กะเบาตน้ นตี้ ายไปเมอ่ื หลายปกี อ่ น วัดข้าวเบา เป็นวัดโบราณที่สำ�คัญ เดยี ว ไมม่ ีหนา้ ต่าง ผนงั ดา้ นขา้ งทึบตัน แต่ แหง่ หนงึ่ ตงั้ อยตู่ ดิ กบั ล�ำ นา้ํ ทวน ต�ำ บลราง เจาะเพื่อให้เป็นช่องแสง ท้ัง ๒ ด้านของ หวาย อ�ำ เภอพนมทวน จงั หวดั กาญจนบุรี ผนังโบสถ์ แทนการก่อหน้าต่าง ผนังโดย จากคำ�บอกเล่าของชาวบ้านในพื้นท่ีเล่า รอบยังมีร่องรอยของการฉาบโดยใช้ปูน สืบต่อกันมาว่า วัดแห่งน้ีร้างไปเม่ือสมัย โบราณ (ปูนท่ีทำ�จากเปลือกหอยผสมกาว ที่กองทัพพม่า เข้ามาตีกรุงศรีอยุธยาใน หนังสตั ว์ และวสั ดุเสน้ ใยอ่นื ๆ) อยูบ่ า้ งเป็น คราวเสียกรงุ คร้งั ท่ี ๒ (พ.ศ.๒๓๑๐) บางส่วน นอกจากน้ียังพบช้ินส่วนสำ�คัญ ในครั้งน้ันกองทัพพม่าได้เผาทำ�ลาย และ ของสถาปตั ยกรรม คอื ชน้ิ สว่ นหลงั คาทเ่ี ปน็ สงั หารผคู้ นทอ่ี ยโู่ ดยรอบบรเิ วณแหง่ นี้ ผคู้ น ดนิ เผามเี ดอื ย คลา้ ยกบั กระเบอ้ื งกาบกลว้ ย จงึ อพยพไปอยทู่ อ่ี นื่ จงึ ท�ำ ใหว้ ดั นเี้ ปน็ วดั รา้ ง และเชิงชายหน้าอุดดินเผารูปเทพพนมมือ ปัจจุบันได้มีการบูรณะขึ้นมาใหม่โดยชาว เหนอื ลายดอกไม้ สนั นษิ ฐานวา่ อโุ บสถหลงั บ้านท่ีอยู่ใกล้เคียง และมีพระสงฆ์มาจำ� นี้ใชว้ สั ดมุ งุ หลงั คาทที่ ำ�จากดนิ เผา พรรษาอยไู่ ดช้ ว่ ยกนั บรู ณะโดยการใชเ้ หลก็ เส้นรัดตัวอุโบสถไว้โดยรอบ และก่อสร้าง หลงั คาคลมุ ไว ้ พระอุโบสถ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน แบบอโุ บสถมหาอดุ นา่ จะมอี ายใุ นชว่ งสมยั อยธุ ยาตอนตน้ ถงึ ตอนกลาง อาจจะอยรู่ ว่ ม สมัยกับพระปรางค์เขารักษ์ ลักษณะพระ อโุ บสถ เปน็ แบบมหาอดุ มีทางเข้าออกทาง 87ย้อนรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี

88 ย้อนรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี

๑๔.วดั ขา้ วเบา อโุ บสถ เป็นแบบมหาอดุ มที างเข้าออกทาง เดยี ว ไม่มหี นา้ ตา่ ง ผนงั ด้านขา้ งทึบตัน แต่ คำ�ว่า “ข้าวเบา” จากการ เจาะเพ่ือให้เป็นช่องแสง ทั้ง ๒ ด้านของ สอบถามท่านเจ้าอาวาส พบว่า น่าจะมา ผนังโบสถ์ แทนการก่อหน้าต่าง ผนังโดย จากคำ�ว่า “กะเบา” เป็นต้นไม้ท่ีข้ึนอยู่ใน รอบยังมีร่องรอยของการฉาบโดยใช้ปูน บริเวณน้ี กะเบาต้นสุดท้ายอยู่ท่ีริมลำ�นํ้า โบราณ (ปูนที่ทำ�จากเปลือกหอยผสมกาว ทวนที่ผ่านไหลวัด กะเบาต้นนี้ตายไปเมื่อ หนังสตั ว์ และวสั ดเุ สน้ ใยอ่ืนๆ) อยู่บ้างเปน็ หลายปีก่อน บางส่วน นอกจากน้ียังพบชิ้นส่วนสำ�คัญ ของสถาปตั ยกรรม คอื ชนิ้ สว่ นหลงั คาทเ่ี ปน็ วัดข้าวเบา เป็นวัดโบราณที่สำ�คัญ ดนิ เผามเี ดอื น คลา้ ยกบั กระเบอื้ งกาบกลว้ ย แหง่ หนงึ่ ตงั้ อยตู่ ดิ กบั ล�ำ นา้ํ ทวน ต�ำ บลราง และเชิงชายหน้าอุดดินเผารูปบุคคลพนม หวาย อ�ำ เภอพนมทวน จังหวดั กาญจนบุรี มือเหนือลายดอกไม้ สันนิษฐานว่าโบสถ์ จากคำ�บอกเล่าของชาวบ้านในพื้นท่ีเล่า หลังนใ้ี ชว้ ัสดุมงุ หลงั คาท่ีท�ำ จากดินเผา สืบต่อกันมาว่า วัดแห่งน้ีร้างไปเม่ือสมัยที่ กองทพั พมา่ เขา้ มาตกี รงุ ศรอี ยธุ ยาในคราว เสยี กรงุ ครัง้ ที่ ๒ (ประมาณ ปี พ.ศ.๒๓๑๐) ในคร้ังน้ันกองทัพพม่าได้เผาทำ�ลาย และ สงั หารผคู้ นทอี่ ยโู่ ดยรอบบรเิ วณแหง่ นี้ ผคู้ น จึงอพยพไปอยู่ท่ีอ่ืน จึงทำ�ให้วัดน้ีเป็นวัด ร้าง ปัจจุบันได้มีการบูรณะข้ึนมาใหม่โดย ชาวบ้านท่ีอยู่ใกล้เคียง และมีพระสงฆ์มา จำ�พรรษาอยู่ได้ช่วยกันบูรณะโดยการใช้ เหล็กเส้นรัดตัวพระอุโบสถไว้โดยรอบ และ ก่อสรา้ งหลงั คาคลมุ ไว ้ พระอุโบสถ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน แบบอโุ บสถมหาอดุ นา่ จะมอี ายใุ นชว่ งสมยั อยธุ ยาตอนตน้ ถงึ ตอนกลาง อาจจะอยรู่ ว่ ม สมัยกับพระปรางค์เขารักษ์ ลักษณะพระ 89ยอ้ นรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี

90 ย้อนรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี

๑๕. วดั วังกมุ่ วัดน้ีเป็นวัดที่อยู่ในตำ�บลรางหวาย พ้ืนท่ีใกล้เคียงที่แสดงให้เห็นถึงเหตุการณ์ อำ�เภอพนมทวน ภายในวัดมีสิ่งสำ�คัญคือ ในครง้ั นั้น เชน่ เขาคลุกคลี เขาคันหอก เขา อโุ บสถ ทมี่ ลี กั ษณะเปน็ อาคารกอ่ อฐิ ถอื ปนู ซ่อนหมอ้ หนองทิง้ สุ่ม ฯลฯ คาดวา่ นา่ จะสรา้ งในสมยั อยธุ ยาตอนปลาย โดยสงั เกตจากลกั ษณะการกอ่ สร้างทใ่ี ช้อิฐ ปัจจุบันอุโบสถได้มีการบูรณะใหม่ ถอื ปนู แบบโบราณ ลกั ษณะฐานของอโุ บสถ โดยชาวบา้ นกนั เอง จนกลายเปน็ วดั ประจ�ำ แอ่นแบบท้องสำ�เภา อันเป็นรูปแบบการ หมู่บ้าน มีบ่อนํ้าที่อยู่หน้าอุโบสถ ท่ีเขา ก่อสร้างที่นิยมในสมัยอยุธยาตอนปลาย บอกว่านํ้าไม่เคยแห้งและไหลออกมาจาก ปจั จบุ นั ทางวดั ไดส้ รา้ งพระอโุ บสถหลงั ใหม่ ใต้อุโบสถ ขน้ึ บนฐานเดิม 91ย้อนรอยกรุงเกา่ ณ กาญจนบรุ ี จากการบอกเล่าสืบต่อกันมาว่าวัด วังกุ่มเป็นวัดร้าง จากการโจมตีของพม่า ท่ี เดินทัพผ่านมา และได้ปล้น ฆ่า ชาวบ้าน และเผาทำ�ลาย จึงทำ�ให้วดั วังกมุ่ จึงเปน็ วดั ร้าง และมีความสอดคล้องกับช่ือหมู่บ้าน และสถานท่ีต่างๆในตำ�บลรางหวาย และ

92 ย้อนรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี

สระนำ�้ โบราณ ประจ�ำ หม่บู า้ นวงั กมุ่ 93ย้อนรอยกรุงเกา่ ณ กาญจนบรุ ี

94 ย้อนรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี

๑๖. เจดีย์รา้ งบนเขาเลก็ ตง้ั อยทู่ ่ี หม ู่ ๔ บา้ นหนองจอก ต�ำ บล ลักษณะโดยท่ัวไปของเจดีย์ท่ีเห็นใน รางหวาย อำ�เภอพนมทวน เป็นเจดีย์ก่อ ปจั จุบนั สนั นษิ ฐานว่า มกี ารบูรณะเพิ่มเตมิ อิฐถือปูน ฐานจัตุรมุข ล้อมด้วยกำ�แพง ในภายหลงั มสี ว่ นฐานเปน็ ฐานสงิ หป์ ระดบั แกว้ ศิลปะสมยั อยธุ ยาตอนปลาย ต้ังอยู่ ลายปูนปั้นท่ีส่วนของแข้งสิงห์จำ�นวน ๒ บนยอดเขาเล็ก มีบันไดทางข้ึนค่อนข้าง ฐานอยู่ในผังเพ่ิมมุม ที่ฐานมีการสร้างซุ้ม สะดวก ตนี เขามปี า่ ตะบองเพชรขนึ้ สวยงาม จัตุรมุข ยื่นออกมาจากฐาน ส่วนท่ีย่ืนออก ชาวบ้านเรียกว่า ต้นใบเสมา ด้วยรูปทรง มาทำ�เป็นลักษณะของเสา ๒ ต้น ยอดเสา ของต้นไม้ชนิดน้ีคล้ายใบเสมา เขาเล็กอยู่ ประดับด้วยบัวแวงหัวเสา รองรับกรอบซุ้ม บรเิ วณใกลเ้ คยี งกบั เขาคลกุ คลี ชาวบา้ นเลา่ ประตจู �ำ นวน ๒ ช้ันลดหลั่น สว่ นกลางของ ว่า เดมิ วดั หนองจอกตัง้ อยทู่ เี่ ขาเล็ก ต่อมา เจดีย์ปรากฏร่องรอยของการบูรณะ มีการ มีการย้ายวัดมาสรา้ งในทีป่ จั จบุ ัน ประดบั บวั ปากระฆงั สว่ นลา่ งขององคร์ ะฆงั ผายออก ส่วนยอดเหลือเพียงองค์บัลลังก์ เจดีย์ร้างบนเขาเล็กเป็นเจดีย์องค์ ทรงกลม สว่ นทเี่ หนอื ขน้ึ ไปหกั หายเนอ่ื งจาก เดยี วซงึ่ ตงั้ อยบู่ นยอดเขา มที างขนึ้ ทางดา้ น ถกู ฟ้าผ่าตามคำ�บอกเล่าของคนในพ้นื ที่ ทิศตะวันออกเฉียงใต้ องค์เจดีย์ก่อด้วยอิฐ ต้งั อยตู่ รงกลาง มีกำ�แพงแกว้ ล้อมรอบองค์ เจดยี ์ 95ยอ้ นรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี

96 ย้อนรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี

97ย้อนรอยกรุงเกา่ ณ กาญจนบรุ ี

อโุ บสถวดั ห้วยกระเจาหลงั เกา่ ที่ไดร้ บั การบรู ณใหม่ 98 ยอ้ นรอยกรุงเกา่ ณ กาญจนบุรี

๑๗. วัดห้วยกระเจา วัดหว้ ยกระเจา ต้ังอยู่ท่ี ตำ�บล ห้วยกระเจา อ�ำ เภอ ห้วยกระเจา เป็นวัดเก่าแก่สมัย อยุธยา ภายในวัดมีพระอุโบสถท่ีปฏิสังขรณ์จากพระอุโบสถเดิม รอบอุโบสถมเี จดยี ร์ าย สมยั อยธุ ยาตอนปลายหลายองคเ์ จดีย์ดงั กลา่ วท่เี หลืออยู่มีลักษณะดังนี้ ๑. เจดีย์ทรงระฆัง พบท่ี ๒. เจดีย์เพิ่มมมุ เป็นเจดีย์ ๓. เจดีย์ยอดปรางค์ เป็น ด้านหลังของพระอุโบสถ จำ�นวน ราย ด้านทิศตะวันตก ส่วนฐาน เจดีย์รูปแบบพิเศษพบเฉพาะ ๒ องค์ ส่วนฐานเป็นฐานบัวคว่ํา เป็นฐานสิงห์ อยู่ผังเพ่ิมมุม ๑๒ ท่ีวัดห้วยกระเจาเท่าน้ัน ส่วน บัวหงาย ๓ ฐาน อยใู่ นผังวงกลม ฐานชั้นแรกพังทลาย เหลือเพียง ฐานเป็นฐานบัวคว่ําบัวหงาย ๓ สว่ นกลางเปน็ องคร์ ะฆงั มลี กั ษณะ ฐานสิงห์ฐานเดียว ถัดขึ้นไปเป็น ช้ัน อยู่ในผังเพิ่ม มุม ๒๐ ฐาน ของปากระฆงั ผายออก องคร์ ะฆงั ฐานบัวคว่ําบัวหงาย ๒ ชดุ สว่ น ชั้นแรกพังทลายเหลือเพียงชั้นที่ ของเจดีย์ด้ายทิศตะวันออกเฉียง กลางมีลักษณะพิเศษของเจดีย์ ๒ และ ๓ ส่วนกลางมีลักษณะ ใต้ปรากฏร่องรอยของบัวปาก องค์นี้ คือ มีการทำ�ซุ้มจระนำ� เฉพาะคือคล้ายองค์ระฆังเพิ่มมุม ระฆัง และการประดับลายปูนป้นั เลก็ ๆ ทง้ั ๔ ดา้ น รองรับองคร์ ะฆงั สอบเข้าหากนั ถัดข้ึนไปเปน็ กรอบ สว่ นยอดเปน็ องคบ์ ลั ลงั กส์ เ่ี หลยี่ ม เพิ่มมุม ส่วนยอด ประกอบด้วย ซุ้มลดหล่ัน ๓ ชั้น ส่วนยอดเป็น ต่อด้วยก้านฉัตร บัวฝาละมีและ องค์บัลลังก์เพ่ิมมุมรับกับองค์ ปรางคป์ ระดบั กลบี ขนุน ๕ ชัน้ ปลอ้ งไฉน ระฆัง สว่ นยอดเจดยี ์หกั หาย 99ยอ้ นรอยกรุงเกา่ ณ กาญจนบุรี

100 พระปรางค์เขารักษ์องค์เก่า ย้อนรอยกรงุ เกา่ ณ กาญจนบรุ ี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook