Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ชุดวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย สค22020

ชุดวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย สค22020

Description: ชุดวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย สค22020

Search

Read the Text Version

42 2.3 ประเพณสี งกรานต์ ประเพณีสงกรานต์ สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นประเพณีหลวง (ไม่เป็นประเพณีราษฎรเปน็ พระราชพิธีในเดือน 5 เป็นการให้ข้าราชการพากันไปถวายบังคมถือน้าพิพัฒน์สัจจาพระราชทานเบ้ียหวัด ผ้าปี แก่ข้าราชการฝ่ายในและฝ่ายหน้า สมัยกรุงศรีอยุธยา พิธีน้ีขยายกว้างออกไป มกี ารสรงน้าพระพุทธรูป และพระสงฆ์ มีการกอ่ เจดียท์ ราย และจดั ฉลองกนั อยา่ งสนุกสนาน ประเพณีสงกรานต์ กาหนดให้มีข้ึน 3 วัน คือวันท่ี 13, 14 และ 15 เมษายนมีชอื่ เรียก ดงั น้ี วันแรก เป็นวนั ที่พระอาทิตย์ยกเข้าสู่ราศีเมษ เรียกว่า “วันมหาสงกรานต์”ตรงกบั วันที่ 13 เมษายน ของทกุ ปี วันท่ีสอง วันกลาง เป็นวัน “เนา” ตรงกับวันที่ 14 เมษายน หรืออาจจะเป็นวันที่ 15 เมษายน เพราะบางปมี วี ันเนา 2 วัน วันที่สาม เป็น “วันเถลิงศก” ตรงกับวันที่ 15 เมษายน วันเถลิงศกน้ีเป็นจุดเปลย่ี นจลุ ศกั ราช งานพระราชพธิ ีเรมิ่ ตั้งแต่วันจ่าย คือ วันก่อนสงกรานต์ มีการสวดฉลองพระทรายครั้นถึงมหาสงกรานต์ก็มีการสวดมนต์ และสรงน้าพระ จานวนพระสงฆ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยามิไดจ้ ากดั จานวน ในวันเนาตอนบ่าย มีการฉลองพระทรายเตียงยก ซ่ึงจัดขึ้น จานวน 10 องค์เวลาค่า พระราชาคณะสวดมนต์ วันเถลิงศก เร่ิมด้วยการทรงบาตรในวันนี้เสด็จขึ้นหอพระ ทรงพระสุหร่ายแล้วเสด็จข้ึนหออัฐิเพื่อสดัปกรณ์ ถวายภัตตาหารเพล หลังจากนั้นก็พระราชทานรดน้าพระบรม-วงศานวุ งศ์ทม่ี พี ระชนมายุ 60 พรรษาขนึ้ ไป สาหรับประชาชนมีการทาบุญตักบาตร สรงน้าพระ ไปขอพรผู้ใหญ่ท่ีเคารพและมีการละเล่นฉลองตา่ ง ๆ ตามความนยิ มของท้องถ่นิ ประเพณีสงกรานต์ มีเร่อื งราวเป็นนทิ านประกอบ วา่ กอ่ นพุทธกาลมเี ศรษฐีครอบครวั หน่งึ อายุเลยวัยกลางคนก็ยังไร้ทายาทสืบสกุลซ่ึงทาให้ท่านเศรษฐีทุกข์ใจเป็นอันมาก ข้างรั้วบ้านเศรษฐีมีครอบครัวหน่ึง หัวหน้าครอบครัวเป็นนักเลงสุรา ถ้าวันไหนร่าสุราสุดขีด ก็จะพูดเสียงดังแสดงวาจาเยาะเย้ยเศรษฐีสบประมาทในความมที รัพย์มาก แตไ่ ร้ทายาทสืบสมบัติเสมอ วันหนึ่งเศรษฐีจึงถามว่ามีความขุ่นเคืองอะไรจึงแสดงอาการเยาะเย้ยและสบประมาท เฒ่านักดื่มจึงตอบ ถึงท่านม่ังมีสมบัติมากก็จริง แต่เป็นคนมีบาปกรรมท่านจึงไม่มีบุตรตายไปแล้วสมบัติก็ตกเป็นของผู้อ่ืนหมด สู้เราไม่ได้ถึงแม้จะยากจนแต่ก็มีบุตรคอยดูแลรักษายามเจบ็ ไข้ และรักษาทรัพย์สมบตั ิเมอ่ื เราสน้ิ ใจ นับแต่น้ันมา เศรษฐีย่ิงมีความเสียใจ จึงพยายามไปบวงสรวงพระอาทิตย์และพระจันทร์ เพยี รพยายามต้ังจิตอธษิ ฐานขอบุตร ทาเช่นน้เี ปน็ เวลาติดตอ่ กันถึงสามปี ก็ไม่ได้

43บุตรดังท่ีตนปรารถนา จนวันหนึ่งเป็นวันนักขัตฤกษ์สงกรานต์ ท่านเศรษฐีก็พาข้าทาสบริวารของตน มาทีโ่ คนต้นไทรใหญต่ ้นหนึ่งทอี่ ยู่บนฝ่ังแม่น้าทีอ่ าศัยของนกทั้งหลาย ทา่ นเศรษฐีใหบ้ รวิ ารล้างขา้ วสารดว้ ยน้าสะอาดถงึ 7 คร้ัง แล้วจึงหุงข้าวสารน้ันเมื่อสุกแลว้ ยกขนึ้ บูชาพระไทร เทพเหล่านั้นเกิดความสงสาร จึงข้ึนไปเฝ้าพระอินทร์ ทูลขอบุตรแก่เศรษฐี พระอินทร์จึงบัญชาให้เทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ “ธรรมบาล” ลงมาเกิดในครรภ์ของภรรยาเศรษฐี เม่ือครบกาหนดภรรยาเศรษฐีก็คลอดบุตรเป็นชาย เศรษฐีจึงต้ังชื่อว่า ธรรมบาลกุมารเพื่อตอบสนองพระคณุ เทพเทวา เศรษฐีจึงสรา้ งปราสาท สงู 7 ช้ัน ถวายเทพตน้ ไทร เม่ือธรรมบาลกุมารเจริญวัยขึ้น เป็นเด็กท่ีมีปัญญาเฉียบแหลม รอบรู้ และวัยเพยี ง 7 ขวบก็เรียนจบไตรเพท ยังมีเทพองค์หนึ่งช่ือ “ท้าวกบิลพรหม” ได้ยินกิตติศัพท์ทางสติปัญญาอนั ยอดเยี่ยมของเดก็ นอ้ ย จงึ คิดทดลองภูมิปัญญา โดยการเอาชีวิตเป็นเดิมพันจึงถามปญั หา 3 ข้อ ถา้ กมุ ารน้อยแก้ปัญหาทง้ั 3 ข้อได้ ท้าวกบิลพรหมจะตัดศีรษะของตนบชู าถ้าธรรมบาลกุมารแก้ไม่ได้ กจ็ ะต้องเสยี หัวเพื่อยอมรับความพา่ ยแพ้ ปัญหาน้นั มวี า่ ข้อหนง่ึ ตอนเช้าราศคี นอยูแ่ หง่ ใด ขอ้ สอง ตอนเท่ยี งราศีของคนอย่แู ห่งใด ขอ้ สาม ตอนค่าราศีของคนอยู่แห่งใด เมื่อได้ฟงั ปัญหาแล้ว ธรรมบาลกุมาร ไม่อาจทราบคาตอบในทันทีได้จึงผลัดวันตอบปญั หาไปอกี 7 วัน ครั้นเวลาล่วงจากนั้นไป 6 วัน ธรรมบาลกุมารก็ยังคิดหาคาตอบปัญหานั้นไม่ได้ จงึ หลบออกจากปราสาทหนีเข้าปา่ และไปนอนพกั เอาแรงใตต้ น้ ตาล ขณะน้นั บนต้นตาลมนี กอินทรคี ูห่ นึ่งอาศยั อยู่ นางนกถามสามีว่า “พรุ่งน้ีเราจะไปหาอาหารทีไ่ หน” นกสามีก็ตอบว่า “พรุ่งนี้เราไม่ต้องบินไปไกล เพราะจะได้กินเน้ือธรรมบาลกุมารซึ่งจะถูกท้าวกบิลพรหมตัดหัว เน่ืองจากแก้ปัญหาไม่ได้” นางนกถามว่า“ปัญหาน้ันว่าอย่างไร”นกสามี ตอบวา่ ปัญหามีอยู่ 3 ข้อ และหมายถงึ ขอ้ หน่งึ ตอนเช้าราศขี องมนษุ ยอ์ ยูท่ ี่หน้า คนจงึ ตอ้ งล้างหน้าทกุ ๆ เช้า ขอ้ สอง ตอนเทย่ี งราศีคนอยู่ท่ีอก มนุษย์จึงตอ้ งเอาเคร่อื งหอมประพรมทีอ่ ก ขอ้ สาม ตอนคา่ ราศีคนอยู่ทเี่ ท้า มนษุ ยจ์ ึงต้องล้างเทา้ ก่อนเข้านอน ธรรมบาลกุมาร ได้ยินการไขปัญหาของนกอินทรี และจาจนข้ึนใจ ทั้งน้ีเพราะธรรมบาลกุมารรู้ภาษานก จึงกลับสู่ปราสาทอนั เปน็ ที่อยู่แห่งตน รุ่งข้ึนเป็นวันครบกาหนดแก้ปัญหาทา้ วกบิลพรหมมาฟงั คาตอบ ธรรมบาลกมุ ารกล่าวแก้ปัญหาตามที่นกอนิ ทรีคุยกนั ทุกประการ ท้าวกบิลพรหม จึงเรียกธิดาท้ัง 7 ของตนอันเป็นบริจาริกา คือ หญิงรับใช้ของพระอนิ ทร์มาพร้อมกนั แล้วบอกว่าตนจะตัดเศียรบูชาธรรมบาลกุมาร แต่ถ้าเอาศีรษะพ่อวางไว้บนแผ่นดิน แผ่นดินก็จะลุกไหม้ไปทั้งโลก ถ้าจะโยนขึ้นไปบนอากาศ อากาศจะแห้งแล้งฟ้าฝนจะหายไปส้ิน ถ้าท้ิงลงไปในมหาสมุทร น้าในมหาสมุทรจะเหือดแห้งไปเช่นกัน จึงส่ังให้นางท้ัง 7 คน

44เอาพานมารองรับศีรษะ แล้วจึงตัดศีรษะส่งให้นางทุงษะ ธิดาคนโต นางทุงษะ จึงเอาพานรับเศียรบิดาไว้แล้วแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุ 60 นาที แล้วอัญเชิญไปไว้ในมณฑปถ้าคันธุรลีเขาไกรลาส บูชาด้วยเคร่ืองทิพย์ พระเวสสุกรรมก็เนรมิตโรงประดับด้วยแก้ว 7 ประการชอื่ ภควดี ให้เป็นที่ประชุมเทวดา เทวดาทัง้ ปวงก็เอาเถาฉมูนวดลงมาล้างในสระอโนดาต 7 ครั้งแลว้ กแ็ จกกนั เสวยทุก ๆ องค์ ครั้นครบ 365 วันโลก สมมุติว่าเป็นหน่ึงปีเป็นสงกรานต์ ธิดา 7 องค์ของท้าวกบลิ พรหม กผ็ ลัดเวรกันมาเชญิ พระเศียรของพระบิดาออกแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุทกุ ปี รายชอื่ นางสงกรานต์ พร้อมสง่ิ ประจาตัว ดงั น้ีวนั ท่ี 13 ชอ่ื นาง ดอกไม้ เครอ่ื ง อาหาร อาวุธ พาหนะเมษายน สงกรานต์ ประดับ ปทั มราช อมุ าพร จักร-สงั ข์ ครฑุอาทิตย์ ทงุ ษะ ทับทมิ นา้ มนั พระขรรค-์ ไมเ้ ทา้ พยคั ฆ์ มกุ ดาหาร โลหติ ตรศี ลู -ธนู วราหะจันทร์ โคราคะ ปปี นมเนย ไม้เท้าเหลก็ แหลม ดัสพะ โมรา ถ่ัวงา ขอ-ปนื กุญชรองั คาร รากษส บวั หลวง ไพฑูรย์ กลว้ ยน้าหอม พระขรรค-์ พณิ มหงิ ส์ มรกต เนือ้ ทราย จกั ร-ตรศี ลู นกยูงพุธ มัณฑา จาปา บษุ ราคมัพฤหสั บดี กริ ิณี มณฑา นลิ รตั น์ศุกร์ กิมิทา จงกลนีเสาร์ มโหธร สามหาว นางสงกรานต์ที่สมมติให้ประจาตามวัน พร้อมท้ังเคร่ืองอาภรณ์ ภักษาหารตา่ ง ๆ ยังมีการสมมติอิริยาบทในการข่ีพาหนะต่างๆ โดยกาหนดเอาเวลาท่ีพระอาทิตย์ยกเข้าสู่ราศเี มษในปีนัน้ ๆ คอื 1) พระอาทิตย์ยกเข้าสู่ราศีเมษในเวลารุ่งเช้า - เที่ยงวัน นางสงกรานต์ยืนบนพาหนะ 2) พระอาทิตยย์ กเข้าสู่ราศเี มษในเวลาเทยี่ งวนั - ย่าคา่ นางสงกรานต์นั่งบนพาหนะ 3) พระอาทติ ย์ยกเข้าสรู่ าศีเมษในเวลาย่าค่า - เทย่ี งคนื นางสงกรานต์นอนลืมตาบนพาหนะ 4) พระอาทติ ย์ยกเข้าสรู่ าศีเมษในเวลาเทยี่ งคืน - รุ่งเช้า นางสงกรานต์นอนหลับตาบนพาหนะ

45 2.4 ประเพณกี ารลงแขกทานา ประเพณีการลงแขกทานา เป็นประเพณีอีกประเพณีหน่ึงท่ีชาวกรุงศรี-อยุธยารกั ษาเอาไว้ กล่าวคอื เมือ่ ถงึ ฤดเู กี่ยวขา้ วชาวนาจะช่วยกันเก็บเก่ียว ในการเก็บเก่ียวจะมีการร้องราทาเพลงร่วมกัน ซ่ึงจะได้ทั้งงานได้ท้ังความเบิกบานสาราญใจ และไมตรีจิตมิตรภาพประเพณนี แ้ี สดงใหเ้ หน็ ถึงความพร้อมเพรียง ความรักพวกพ้องของชาวกรุงศรีอยุธยา เป็นการปฏิบัติเขา้ ทานองสุภาษติ โบราณว่า “ถ้าเหลือกาลังลาก ให้ออกปากบอกแขกช่วยแบกหาม” ประเพณีนี้เปน็ เครอ่ื งยืนยนั ถงึ ลักษณะนิสัยใจคอของคนไทยได้อกี กรณีหนงึ่ ดว้ ย 2.5 ประเพณีเดือน 11 การแขง่ เรือ ประเพณีเดือน 11 การแข่งเรือเป็นการเส่ียงทายระหว่างพระเจ้าแผ่นดินกับพระมเหสี และพระบรมวงศานุวงศ์ เป็นพิธีปลอบขวัญกาลังใจแก่ราษฎรมากกว่าจะแข่งกันอย่างจรงิ จัง เพราะถา้ หากเรือไกรสรมุขเป็นเรอื ศีรษะราชสีห์ของพระเจ้าแผ่นดินชนะ ทายว่า ข้าวจะได้มาก จะอุดมสมบูรณ์ ราษฎรก็จะได้สบายใจ แต่ถ้าหากเรือสมรรถไชยเป็นเรือของพระมเหสีชนะทายว่า จะเกิดยุคเข็ญเดือดร้อน จึงเข้าใจว่าในการแข่งเรือทุก ๆ ครั้ง เรือสมรรถไชยของพระมเหสีจะต้องแพ้ทุกครั้ง ประเพณีการแข่งเรือจัดเป็นพระราชพิธีใหญ่ เมื่อเสร็จการแข่งเรือแล้วจะมีมหรสพ พระราชทานเล้ียงขุนนาง และพระราชทานรางวัล ในยามค่าคืนพระมหากษัตริย์จะเสดจ็ ทางชลมารคแหร่ อบพระนครและลอยพระประทปี ถวายเป็นพุทธบูชา 2.6 ประเพณเี ดือน 12 พิธีจองเปรยี งตามประทีป (ชกั โคม) ในสมัยกรุงศรีอยุธยาพระราชพิธีจองเปรียงตามประทีป (ชักโคม) มีท้ังในพระราชวัง และตามบ้านเรือน ทั้งในพระนคร และนอกพระนคร พิธีน้ีมีกาหนด 15 วันการพระราชพิธีจองเปรียง ลดชุดโคมลอยน้ีทาในเดือนสิบสอง ซึ่งปรากฏอยู่ในกฎมณเฑียรบาลตามคาโบราณกลา่ วว่า พิธีจองเปรียงตามประเพณีน้ีเป็นพิธียกโคมขึ้นบูชาพระเป็นเจ้าท้ังสามพระองค์ในศาสนาพราหมณ์ คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม คร้ันเม่ือพระเจ้าแผ่นดินทรงมานับถือพระพุทธศาสนา พระราชพิธีนี้จึงเป็นการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ พระจุฬามณีในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และพระพุทธบาท ได้กาหนดการยกไว้ว่า ถ้าปีใดท่ีมีอธิกามาส ให้ยกโคมขึ้นต้ังแต่วนั แรม 14 คา่ ถึงวันขึน้ 1 ค่า เดอื นอ้ายเป็นวันลดโคม หรืออีกนัยหน่ึงกาหนดตามโหราศาสตร์ว่าพระอาทิตย์ถึงราศีพฤศจิก พระจันทร์อยู่ราศีพฤษภ เมื่อใดเม่ือน้ันเป็นกาหนดท่ีจะยกโคม หรืออีกนัยหน่ึงกาหนดด้วยดวงดาวกฤติกา คือ ดาวลูกไก่ ถ้าเห็นดาวลูกไก่ต้ังแต่หัวค่าจนรุ่งเมื่อใดเมอ่ื นนั้ เป็นเวลายกโคมกจิ กรรมท้ายเรือ่ งท่ี 2 ประเพณีไทย(ให้ผูเ้ รียนไปทากิจกรรมเรอื่ งท่ี 2 ท่ีสมุดบันทกึ กิจกรรมการเรียนรู้ประกอบชุดวิชา)

46เรอื่ งที่ 3 วฒั นธรรมไทย วัฒนธรรม คือ ลักษณะที่แสดงออกถึงความเจริญงอกงาม ความเป็นระเบียบเรยี บร้อย ความกลมเกลียวก้าวหนา้ ของชาติ และศลี ธรรมอนั ดีของประชาชน วัฒนธรรมเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงความเป็นอยู่ ความเจริญ เชิดชูเกียรติของบุคคลและชาติ เพราะชาติใดถ้าไม่มีวัฒนธรรมของตนเอง จะได้รับการดูหมิ่นเหยียดหยามเป็นสิ่งท่ีแสดงถึงอายุและความเจริญของชาติ และเป็นเครื่องมือบังคับให้คนในชาติปฏิบัติตนไปตามธรรมนองคลองธรรม รักหมู่คณะ ส่งเสริมการกระทาดี รวมท้ังการดารงอยู่ของชีวิตด้วยวัฒนธรรมทีส่ าคญั ในสมัยกรงุ ศรีอยธุ ยา ไดแ้ ก่ 3.1 วฒั นธรรมการแต่งกาย การแต่งกายมีบทบาทต่อการดารงชีวิตของมนุษย์ในการสร้างความสุขได้อีกทางหนึ่ง ด้วยเหตุที่มนุษย์รักความสวยงาม และเป็นส่ิงท่ีหาได้ไม่ยากนัก วัฒนธรรมการแต่งกายของคนในแต่ละสังคมมีความแตกต่างกันข้ึนอยู่กับสภาพความเป็นอยู่ และมีการเปลยี่ นแปลงตามยุคสมยั ภาวะของบ้านเมอื ง วฒั นธรรมการแต่งกายสมยั กรงุ ศรีอยุธยามีดังน้ี 1) การแต่งกายของคนชั้นสูง คนช้ันสูงมักจะแต่งกายตามขนบธรรมเนียมประเพณีของราชการ ซ่ึงเจ้านายหรือข้าราชการผู้ใหญ่ท้ังหลายใช้กัน และพวกผู้ดีมีสกุล ผู้หญิงท้งั หลายถอื เป็นแบบอย่างเพราะแสดงให้เห็นว่าอยู่ในสงั คมชั้นสูง 2) การแต่งกายของชาวบ้าน ชาวบ้านจะนุ่งโจงกระเบน พวกทางเหนือผู้ชายมักไว้ผมยาว ส่วนพวกทางใต้มักตัดผมให้สั้น สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ผู้ชายตัดผมทรงมหาดไทย สว่ นผหู้ ญงิ คงไว้ผมยาว และห่มผ้าสไบ 3) การแต่งกายเม่ือเกิดสงคราม เมื่อเกิดสงครามผู้หญิงอาจต้องช่วยสู้รบหรือให้การสนับสนุน มีการเปลี่ยนทรงผมตัดผมให้สั้นดูคล้ายชาย ทะมัดทะแมงเข้มแข็งขึ้นการนุ่งห่มต้องให้รัดกุม แน่นไม่รุ่มร่าม เคล่ือนไหวได้สะดวก จึงห่มผ้าแบบตะเบงมานส่วนผ้ชู ายไม่มีการเปลยี่ นแปลง 3.2 ภาษา สาเนียงด้ังเดิมของกรุงศรีอยุธยามีความเชื่อมโยงกับชนพื้นเมือง ตั้งแต่ลมุ่ นา้ ยมท่ีเมืองสุโขทัยลงมาทางลุ่มนา้ เจา้ พระยาฝ่ังตะวันตกในแถบสพุ รรณบรุ ี ราชบุรี เพชรบุรีซ่ึงสาเนียงดังกล่าวมีความใกล้ชิดกับสาเนียงหลวงพระบาง โดยเฉพาะสาเนียงเหน่อของสุพรรณบุรีมคี วามใกล้เคยี งกับสาเนียงหลวงพระบาง ซึ่งสาเนียงเหน่อดังกล่าวเป็นสาเนียงหลวงของกรุงศรีอยุธยา ประชาชนชาวกรุงศรีอยุธยาท้ังพระเจ้าแผ่นดิน จนถึงไพร่ฟ้าราษฎรก็ล้วนตรัส และพูดจาสาเนียงเหน่อในชีวิตประจาวัน ซึ่งปัจจุบันเป็นการละเล่นโขนที่ต้องใช้สาเนียงเหน่อ โดยหากเปรียบเทียบกับสาเนียงกรุงเทพฯ ในปัจจุบันนี้สาเนียงเหนือในสมัยนั้นถือว่าเป็นสาเนียงบ้านนอกถ่ินเล็ก ๆ ของราชธานีที่แปร่ง และเย้ืองจากสาเนียงมาตรฐานของกรุงศรอี ยธุ ยา

47 ภาษาด้ังเดมิ ของกรงุ ศรอี ยธุ ยาปรากฏอย่ใู นโองการแช่งน้า ซึ่งเป็นร้อยกรองท่ีเต็มไปด้วยฉันทลักษณ์ที่แพร่หลายแถบแว่นแคว้นสองฝั่งลุ่มแม่น้าโขงมาแต่ดึกดาบรรพ์ และภายหลังได้พากันเรียกว่า โคลงมณฑกคติ เนื่องจากเข้าใจว่าได้รับแบบแผนมาจากอินเดียซ่ึงแท้จริงคือ โคลงลาว หรือโคลงห้า ที่เป็นต้นแบบของโคลงด้ัน และโคลงสี่สุภาพ โดยในโองการแช่งน้าเต็มไปด้วยศัพท์แสงพื้นเมืองของไทย-ลาว ส่วนคาท่ีมาจากบาลี-สันสกฤต และเขมรมีอยู่น้อย โดยหากอ่านเปรียบเทียบก็จะพบว่าสานวนภาษาใกล้เคียงกับข้อความในจารึกสมัยสุโขทัย และพงศาวดารลา้ นช้าง ด้วยเหตุท่กี รงุ ศรีอยธุ ยาตั้งอยใู่ กลท้ ะเล และเป็นศูนย์กลางการค้านานาชาติทาให้สังคมและวัฒนธรรมเปล่ียนไปอย่างรวดเร็ว ต่างกับบ้านเมืองแถบสองฝ่ังโขงท่ีห่างทะเลอันเป็นเหตุที่ทาให้มีลักษณะท่ีล้าหลังกว่า จึงสืบทอดสาเนียงและระบบความเช่ือแบบด้ังเดิมไว้ได้เกือบท้ังหมด ส่วนภาษาในกรุงศรีอยุธยาก็ได้รับอิทธิพลของภาษาจากต่างประเทศจึงรับคาในภาษาต่าง ๆ มาใช้ เช่น คาว่า กุหลาบ ท่ียืมมาจากคาว่า กุล้อบ ในภาษาเปอร์เซีย ที่มีความหมายเดิมว่า น้าดอกไม้ และยืมคาว่า ปาดรี (Padre) จากภาษาโปรตุเกส แล้วออกเสียงเรยี กเปน็ บาทหลวง เปน็ ต้น 3.3 อาหารไทย สมัยกรุงศรีอยุธยาถือว่าเป็นยุคทองของไทย เพราะได้มีการติดต่อค้าขายกับชาวต่างประเทศมากขึ้น ท้ังชาวตะวันตก และตะวันออก จากเอกสารของชาวต่างประเทศไดก้ ล่าวถงึ คนไทยกนิ อาหารแบบเรียบง่าย มีปลาเป็นหลัก มีต้ม แกง และคาดว่ามีการใช้น้ามันประกอบอาหาร เป็นประเภทน้ามันมะพร้าว และกะทิมากกว่าไขมัน หรือน้ามันจากสัตว์อาหารสมัยกรุงศรีอยุธยา เช่น หนอนกะทิ วิธีทาคือ ตัดต้นมะพร้าวและเอาหนอนที่อยู่ในต้นมะพร้าวมาให้กินกะทิ แล้วนามาทอดก็กลายเป็นอาหารชาววัง ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีวิธีการถนอมอาหาร เช่น การนาไปตากแห้ง หรือการทาเป็นปลาเค็ม มีอาหารประเภทเคร่ืองจ้ิมเชน่ นา้ พริกกะปิ ในสมยั นี้นยิ มบริโภคสตั ว์น้ามากกว่าสัตว์บก โดยเฉพาะสัตว์ใหญ่ไม่นิยมนามาฆา่ เพ่อื ใชเ้ ป็นอาหาร แกงปลาต่าง ๆ ท่ีใช้เคร่ืองเทศ เช่น แกงที่ใส่หัวหอม กระเทียม สมุนไพรหวานและเครื่องเทศแรง ๆ เพ่ือดับกล่ินคาวของปลา หลักฐานจากการบันทึกของบาทหลวงชาวต่างชาติท่ีแสดงให้เห็นว่าอาหารของชาติต่าง ๆ เริ่มเข้ามามากข้ึนในสมเด็จพระนารายณ์ เช่น ญ่ีปุ่นโปรตุเกส เหล้าองุ่นจากสเปนเปอร์เซีย และฝรั่งเศส สาหรับอิทธิพลของอาหารจีนคาดว่าเริ่มมีมากขนึ้ ในชว่ งยคุ กรงุ ศรีอยธุ ยาตอนปลาย ที่ไทยตัดสัมพนั ธ์กบั ชาตติ ะวันตก ดงั นั้นจึงกล่าวได้ว่าอาหารไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้รับเอาวัฒนธรรมจากอาหารต่างชาติ โดยผ่านทางการมีสัมพันธไมตรีท้ังทางการทูต และทางการค้ากับประเทศต่าง ๆ และจากหลักฐานท่ีปรากฏทางประวัติศาสตร์ว่า อาหารต่างชาติส่วนใหญ่แพร่หลายอยู่ในราชสานัก ต่อมาจึงกระจายสู่ประชาชนและกลมกลนื กลายเปน็ อาหารไทยไปในทีส่ ุด

48 3.4 การละเล่นสมยั กรุงศรอี ยธุ ยา และกรุงธนบรุ ี สมยั กรุงศรีอยุธยา การละเล่นสมยั กรุงศรีอยุธยาปรากฏในกฎมณเฑียรบาล ในพิธีออกสนามใหญ่เดอื น 5 ข้ึน 5 ค่า มีการเล่นระบาซ้ายขวา โหม่งครุ่มกายก ในพิธีอาสยุช เดือน 11 มีโหม่งครุ่มซา้ ยขวา ระบา ฯลฯ โหมง่ ครุ่ม เรยี กกันตามเสียงฆ้องและกลอง วิธีเล่นมีหลายกระบวน คือ ตีไม้อย่างหนง่ึ ตกี ลองอย่างหนงึ่ และทาทา่ ทางอกี อย่างหนึ่ง กระบวนที่ 1 เต้นตีไม้ ปากรอ้ งวา่ “ถดั ทา่ ถัด” เตน้ ไปรอบ ๆ กลอง กระบวนที่ 2 ฆอ้ งตี โหม่งนา คนเล่นตีไม้รับจังหวะ 2 - 3 ครั้ง ยกเท้าข้างหนึ่งแลว้ เอยี้ วไปตีกลองพรอ้ มกัน กระบวนที่ 3 ทาทา่ ชไู ม้ เอาปลายเกยกัน เรียกว่า “บัวตูม” แล้วชูไม้เอาปลายถา่ งออก เรยี กวา่ “บวั บาน” กบั เอาโคมไม้มาจดทปี่ ากยื่นปลายออก เรียกว่า “ช้างประสานงา”เม่ือทาท่าเหลา่ น้ใี ห้ยนื ยักเอวไปตามจงั หวะ การราท่าทัง้ สามในการเล่นโหมง่ ครุ่มจงึ มีตอ่ กนั ดงั น้ี ทา่ ที่ 1 ถวายบังคมแลว้ ลุกข้นึ ตีไม้เตน้ เวียนรอบกลองร้อง “ถัดท่าถัด” ไปตามจงั หวะฆ้อง 3 รอบ แล้วเปลยี่ นเปน็ ทา่ ที่ 2 ท่าท่ี 2 ตีฆ้องรัวเป็นสัญญาณให้หยุดยืนรอบกลอง ราท่าบัวตูมบัวบานไปตามจังหวะฆ้อง แลว้ เปล่ียนเปน็ ทา่ ที่ 3 ทา่ ที่ 3 ตีฆ้องย่าสญั ญาณก่อน แล้วให้จงั หวะตีไม้ 3 หน ตีกลอง 1 หน แล้วตีไม้เวยี นรอบกลองร้อง “ถดั ท่าถดั ” ต่อไป ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีหลักฐานปรากฏในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชว่ามีการให้จัดแสดงโขน และการแสดงประเภทอื่นขึ้นในพระราชวังหลวงของกรุงศรีอยุธยา ในลักษณะท่ีกล่าวได้ว่าเกือบจะเหมือนกับรูปแบบของนาฏศิลป์ไทยที่ปรากฏอยู่ในประเทศไทยในปัจจุบัน และท่ีแพร่หลายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยในระหว่างที่ราชอาณาจกั รกรงุ ศรีอยธุ ยายังมีสมั พนั ธ์ทางการทูตโดยตรงกบั ฝรั่งเศส สมัยกรุงธนบุรี สมัยกรุงธนบุรี มีช่วงระยะเวลาส้ันเพียง 14 ปี ประกอบกับบ้านเมืองต้องผจญกบั ศกึ สงครามอยเู่ ป็นประจา เมือ่ วา่ งจากการศึกสงครามกต็ ้องทาการบรู ณะฟน้ื ฟูประเทศ ช่วงระยะดังกล่าวการเล่นเกมและกีฬาพ้ืนเมืองจึงเป็นการเล่นในลักษณะฝึกฝนการต่อสู้ป้องกันตัว เพื่อเตรยี มสาหรบั การศึกสงครามเป็นหลัก สาหรับการเล่นเกมและกีฬาพื้นเมืองเพื่อการสนุกสนานรื่นเริงของชาวบ้านก็ปรากฏให้เห็นในยามบ้านเมืองว่างเว้นจากสงคราม ความมุ่งหมายในการเล่นเกมและกีฬาพื้นเมือง โอกาสท่ีเล่นเกมและกีฬาพ้ืนเมืองและลักษณะของการเล่นเกมและ

49กีฬาพนื้ เมืองในสมยั ธนบุรี จึงมีลักษณะเหมือนในสมัยกรุงศรีอยุธยา กล่าวคือ เล่นเกมและกีฬาพื้นเมืองเพื่อฝึกฝนร่างกายเป็นการเตรียมพร้อมทาศึกสงคราม เล่นเกมและกีฬาพ้ืนเมืองเพ่ือเป็นการสนุกสนานรื่นเริงผ่อนคลายความตึงเครียด ในยามว่างจากศึกสงครามและว่างจากงานประจา โอกาสที่เล่นเกมและกีฬามักเล่นกันในยามว่างจากงานประจาหรือในโอกาสท่ีมีการเฉลมิ ฉลอง งานพระราชพธิ ี งานพิธีการ งานรื่นเริงตามขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ลักษณะของการเล่นเกมและกีฬาพืน้ เมืองที่เลน่ เพือ่ เปน็ การฝกึ หัดการต่อสู้ ได้แก่ ตีคลี การต่อสู้บนหลังม้าชนช้าง มวยไทย มวยปล้า กระบ่ีกระบอง กายกรรม ลอดบ่วง ดังปรากฏลักษณะของการเล่นเกมและกีฬาพื้นเมืองในหนังสือลิลิตเพชรมงกุฏ และยังมีการเล่นเกมและกีฬาพื้นเมืองท่ีเล่นเพ่ือความเพลิดเพลนิ เป็นการสนกุ สนานรืน่ เรงิ ในเทศกาลต่าง ๆ ได้แก่ ชนโค ชนไก่ ชนโคคน ว่ิงวัววิ่งควาย ว่าว แข่งเรือ ตะกร้อ สะบ้า สกา หมากรุก ลิงชิงหลัก ปลาลงอวน อีโปง ไม้หึ่ง และไม้จ่า เปน็ ต้น ซึง่ ก็จะคล้ายคลึงกับการเล่นเกมและกีฬาพน้ื เมอื งในสมยั กรุงศรีอยธุ ยานัน่ เองกิจกรรมทา้ ยเรื่องท่ี 3 วัฒนธรรมไทย(ใหผ้ เู้ รียนไปทากิจกรรมเร่ืองท่ี 3 ท่สี มุดบนั ทกึ กิจกรรมการเรยี นรู้ประกอบชดุ วชิ า)เรอ่ื งท่ี 4 ศลิ ปะไทย 4.1 วรรณกรรมสมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีไทยตั้งแต่ พ.ศ. 1893 ถึง พ.ศ. 2310 นับเป็นเวลายาวนาน ถึง 417 ปี มีกวีและวรรณคดีจานวนมาก ลักษณะวรรณกรรมจึงค่อนข้างหลากหลายในเน้ือหามีลักษณะสาคัญร่วมกันประการหน่ึง คือ ผู้แต่งวรรณกรรมเป็นชนช้ันสูงและมีความสมั พันธ์กับราชสานกั สมยั กรงุ ศรอี ยุธยาตอนต้น วรรณกรรมสาคญั ได้แก่ ลิลิตโองการแช่งน้าแต่งข้ึนเพื่อใช้ในพระราชพีธีถือน้าพิพัฒน์สัตยา ลิลิตยวนพ่าย ลิลิตพระลอ มหาชาติคาหลวงกาพย์มหาชาติ และหนังสือจินดามณี แบบเรียนเล่มแรกของคนไทย อาจกล่าวถึงวรรณกรรมสมัยกรุงศรีอยธุ ยาได้ ดงั นี้

504.1.1 ลลิ ติ โองการแช่งน้าหรอื ประกาศแชง่ นา้ โคลงห้า (ท่มี า : https://www.google.co.th/search?biw=1366&bih=666&tbm =isch&sa=1&ei =U7O8WrDZM4jzvATC3JSoCg&q=ลิลติ โองการแช่งน้าหรือประกาศแช่งนา้ ) ลิลิตโองการแช่งน้าหรือประกาศแช่งน้าโคลงห้า เป็นวรรณคดีเก่าแก่ท่ีสันนิษฐานว่าแต่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยามีลักษณะเป็นลิลิต ซึ่งประกอบด้วย ร่ายดั้นและโคลงห้าหรือมณฑกคติ จัดเป็นหนังสือที่อ่านเข้าใจยากมาก เน่ืองจากถ้อยคาสานวนเป็นคาภาษาไทยโบราณ บางตอนแต่งเป็นคาอรรถคาสวดลึกซึ้ง หนักแน่น เพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ บางตอนใช้ถ้อยคาแข็งกร้าว ทาให้ผู้ฟังเกิดอารมณส์ ะเทือนใจหวาดหว่นั พร่นั พรึง จึงนับได้ว่าลิลิตเร่ืองนี้แต่งได้เหมาะสมกับความมุ่งหมายคือ เพ่ือใช้อ่านหรือสวดในพระราชพิธีถือน้าพระพิพัฒน์สัตยา เนื้อความหลักของลิลิตโองการแช่งน้าเริ่มด้วยร่ายสามบท เป็นคาสรรเสริญพระนารายณ์ พระอิศวร และพระพรหมตอนต่อมาเป็นโคลงและร่าย เน้ือความว่าด้วยการสร้างโลกตามคติไตรภูมิ แล้วอัญเชิญพระรัตนตรัย ผีสางเทวดา และผู้มีฤทธานุภาพทั้งหลายมาชุมนุมเพ่ือเป็นพยานในพิธี แล้วจึงเป็นคาสาปแช่งให้ผู้คิดร้ายไม่ซ่ือต่อสมเด็จพระรามาธิบดีต้องประสบภัยพิบัตินานัปการ และอวยพรผูท้ ซ่ี ่อื ตรงจงรกั ภักดใี ห้มีความสขุ และมลี าภยศ

514.1.2 มหาชาตคิ าหลวง (ทีม่ า : https://www.google.co.th/search?biw=1366&bih=666&tbm=isch&sa =1&ei= qrO8WoWlHsXNvgT716ugCA&q=มหาชาตคิ าหลวง&oq=มหาชาตคิ าหลวง)มหาชาติคาหลวง เป็นหนังสือคาหลวงเล่มแรกที่พระมหากษัตริย์โปรดเกล้าฯให้กวนี ักปราชญ์ราชบณั ฑิตหลายคนชว่ ยกันแตง่ แปลคาถาบาลีเป็นคาประพันธ์ไทยหลายอย่างมีทั้งโคลง ร่าย กาพย์ และฉันท์ นอกจากจะมีสานวนโวหารและถ้อยคาไพเราะเต็มไปด้วยรสวรรณคดี เช่น ความโศก ความงามตามธรรมชาติ เป็นต้น อีกท้ังยังให้ความรู้ด้านภาษาเกีย่ วกับคาโบราณ คาแผลง และคาเขมรหนงั สอื มหาชาติคาหลวงมหี ลายอย่างหลายสานวนดว้ ยกนั เชน่ กาพย์มหาชาติมหาชาติกลอนเทศน์ เปน็ ตน้4.1.3 ลลิ ติ ยวนพา่ ย ลิลิตยวนพ่าย เป็นวรรณคดีทแ่ี ต่งเป็น ลิลิต ประกอบด้วย ร่ายด้ันสลับกับโคลงด้ัน บาทกุญชร มีถ้อยคาสานวนลึกซ้ึงเข้าใจยาก อีกทัง้ คาโบราณ และภาษาสันสกฤตปะปนอยมู่ าก นอกจากเป็นหนังสือท่ีใช้บทพรรณนาโวหารได้ ละเอียดไพเราะงดงามแล้วยังให้ความรู้ทาง ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ แ ล ะ โ บ ร า ณ ค ดี อ ย่ า ง ม า ก แ ก่(ทม่ี า : https://www.google.co.th/search?biw= ผู้อ่าน1366&bih=666&tbm=isch&sa=1&ei=VrS8Wv6wO8j2vgSDmLiABQ&q=ลิลิตยวนพ่าย)

52 4.1.4 ลลิ ติ พระลอ ลลิ ติ พระลอ เป็นลิลิตเรื่องเอกท่ีแต่งเป็นลิลิตสุภาพ มีร่ายสุภาพและโคลงสุภาพเป็นส่วนใหญ่ บางบทเป็นร่ายโบราณและร่ายด้ัน วรรณคดีสโมสรยกให้เป็นยอดลิลิต อีกท้ังเป็นที่ยอมรับกันท่ัวไปว่าเป็นตาราของหนังสือลิลิตในยุคตอ่ มา (ที่มา :https://www.google.co.th/search?q=ลลิ ิตพระลอ&tbm) 4.1.5 กาพย์มหาชาติ กาพย์มหาชาติ เป็นวรรณกรรมทางพุทธศาสนา โบราณเรียกว่า \"กลอนสวด\"เน่ืองจากใช้สวดเป็นทานองต่าง ๆ ตามวิหารหรือศาลารายรอบพระอุโบสถ เรียกอย่างหนึ่งว่า\"สวดโอ้เอ้วิหารราย\" มีทานองการแต่งเป็นร่ายยาวด้วยภาษาง่าย ๆ ไม่มีคาศัพท์โบราณ ทาให้กาพยม์ หาชาตนิ ่าอา่ นน่าฟังมากกว่ามหาชาตคิ าหลวง หนังสือกาพย์มหาชาติเท่าท่ีค้นพบมีเพียงสามกัณฑ์ คือ กัณฑ์ประเวศน์ กัณฑ์กุมารและกณั ฑส์ ักรบรรพ สว่ นกัณฑท์ เ่ี หลือนอกจากนี้ นา่ จะสญู หายไปเมื่อคร้งั เสยี กรุง 4.1.6 หนังสอื จนิ ดามณี แบบเรียนเลม่ แรกของคนไทย หนังสือจินดามณี เป็นหนังสือแบบเรียน เก่าแก่มาต้ังแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา มีเน้ือหาครอบคลุม เร่ืองการใช้สระ พยัญชนะ วรรณยุกต์ การแจกลูก การผันอักษร อักษรศัพท์ อักษรเลข การสะกด การันต์ การแต่งคาประพันธ์ ชนิดต่าง ๆ และกลบท ปรากฏกลบท อยู่ 60 ชนิด จากการที่จินดามณีของ พระโหราธิบดี เป็นแบบเรียนไทยมาก่อนจนเป็น เสมือนสัญลักษณ์ของแบบเรียนไทย ทาให้หนังสือ แบบเรียนไทยในยุคต่อมาหลายเล่มใช้ชื่อตามว่า(ทีม่ า “จินดามณ”ี เชน่ เดยี วกนั เช่น จนิ ดามณฉี บับความแปลก: https://teen.mthai.com/education/ จินดามณีครั้งแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ จินดามณีฉบับ145315.html) กรมหลวงวงษาธิราชสนิท จินดามณีฉบับพิมพ์ของ หมอสมิท และจินดามณีฉบับพิมพ์ของหมอบรัดเลย์ เป็นต้น

53 4.2 สถาปัตยกรรม 4.2.1 สถาปตั ยกรรมสมยั กรุงศรีอยธุ ยา ศิ ล ป ะ ส มั ย ก รุ ง ศ รี อ ยุ ธ ย า ส ร้ า ง ขึ้ น ใ น อ า ณ า จั ก ร ก รุ ง ศ รี อ ยุ ธ ย าในระยะเวลา 417 ปี ซ่ึงมีศิลปกรรมแขนงต่าง ๆ เกิดข้ึนมาก ล้วนมีรูปแบบเน้ือหาที่คล้ายคลึงกัน และมวี ิวฒั นาการเปลย่ี นไปตามสภาพบา้ นเมอื งแบง่ ไดเ้ ป็น 3 ยุค คือ ศิลปะอยุธยาตอนต้น สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี 1 ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. 1893 จนถึงสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถใน พ.ศ. 2031 ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นแบบศิลปะลพบุรี หรือศิลปะเขมรกับศิลปะอู่ทอง นิยมสร้างปรางค์เป็นประธานของวัดโดยมีลักษณะปรางค์เลียนแบบเขมรแต่สูงชะลดู กว่า เชน่ ปรางค์ประธานวัดพุทไธสวรรย์ปรางคป์ ระธานวดั มหาธาตุทม่ี า : https://encrypted-tbn3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSDwZ2fgQ6BKgpKa57ggKdazhtKkU-Nyi7FiF0sJYlchrD6PkAZtQ ศลิ ปะสมยั กรุงศรีอยุธยาตอนกลาง สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเสด็จไปประทับที่เมืองพิษณุโลกใน พ.ศ. 2006 จนถึงสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองใน พ.ศ.2172 สถาปตั ยกรรมไดร้ ับอิทธิผลมาจากศิลปะสุโขทัย นิยมสร้างเจดีย์รูปทรงลังกาแบบสุโขทัยแทนปรางค์แบบเขมร เช่น พระมหาสถูปสามองค์วัดพระศรีสรรเพชญ์ พระเจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคลจังหวดั พระนครศรอี ยุธยา เปน็ ต้นท่ีมา : https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcTO4JCVAMmD2xO5SE44xC2zUOyXr5OnSRLC0bcLEQjdMMKp8vuxkw

54 ศิลปะสมัยกรุงศรอี ยุธยาตอนปลาย สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองพ.ศ. 2172 จนส้ินสมัยกรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ. 2310 เป็นช่วงเวลาท่ีศิลปะเขมรเข้ามามีอิทธิพลอีกคร้ัง เช่น พระปรางค์ประธานวัดไชยวัฒนาราม ปราสาทพระนครหลวง เป็นต้น นอกจากน้ียังนิยมสรา้ งพระเจดีย์ยอ่ มุมไม้สิบสองเป็นลกั ษณะเฉพาะของสถาปัตยกรรมกรุงศรอี ยุธยา เปน็ ตน้ท่ีมา : https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcRvCDhbbbDBrzJ0izXsCk3g6-mITWZLDf8cwpl1PYHn0E7OKZ4luA ในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (พ.ศ. 2275 - 2301) เป็นช่วงการบูรณ-ปฏิสังขรณ์และนิยมสร้างพระเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง เช่น การบูรณปฏิสังขรณ์พระมหาเจดีย์วดั ภเู ขาทอง เปน็ ต้น สถาปตั ยกรรมแบบอื่น ๆ คอื โบสถ์ วิหาร สมยั กรุงศรีอยุธยาตอนต้นนิยมทาขนาดใหญ่มากเป็นโถงสเี่ หลี่ยมก่อดว้ ยอฐิ ผนังอาคารเจาะเป็นช่องแคบ ๆ เรียกว่า ลูกฟักเพ่ือระบายลมและมแี สงสอ่ งผ่าน ยงั ไมม่ กี ารเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนัง พอถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง อาคารมีขนาดเล็กลง ก่อผนังทึบ อาคารสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ฐานอาคารนิยมทาเป็นรูปโค้งคล้ายท้องเรือ มีการเจาะหน้าต่างที่ผนังตกแต่งซุ้มประตูหน้าต่างประณีตใช้กระเบ้ืองเคลือบมุงหลังคามีการนาเอาศิลปะการก่อสร้างอาคารของยุโรปเข้ามาผสม เกิดการสร้างอาคาร 2 ช้ัน โบสถ์ วิหาร เช่น ตาหนักพระพุทธโฆษาจารย์ วิหารวัดตึก วิหารวัดเจ้าย่าจงั หวดั พระนครศรีอยุธยา สถาปตั ยกรรมท่ีเกยี่ วขอ้ งกับพระมหากษัตริย์ ได้แก่ พระราชวัง และพระตาหนักต่าง ๆ ของกรุงศรีอยุธยาถูกทาลายไปมากจนยากท่ีจะหารูปแบบที่แท้จริงได้ มีเพียงรากฐานเท่านั้น ท่ีพอมีเค้าโครงให้เห็นอยู่บ้าง เป็นพระท่ีน่ังอยู่นอกกรุงศรีอยุธยา เช่น พระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ จังหวัดลพบุรี ตาหนักพระนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตาหนักธารเกษม จังหวัดสระบรุ ี เป็นต้น นอกจากน้ียังมีสถาปัตยกรรมประเภทที่อยู่อาศัยของประชาชน เรียกว่าเรอื นไทย นยิ มสรา้ งเป็นเรอื นชั้นเดียว ยกพน้ื สูงใต้ถุนโปร่งมี 2 ลักษณะ คือ เรือนเคร่ืองผูกปลูกด้วยไม้ไผ่ ใช้เส้นหวาย และตอกเป็นเครื่องผูกรัด เป็นที่อยู่ของชาวบ้านท่ัวไป และเรือนเครื่องสับ

55ปลกู ด้วยไมอ้ าศัยวธิ ีเข้าปากไมโ้ ดยบากเปน็ ร่องในตัวไม้แต่ละตัว แล้วนามาสับประกบกันเป็นที่อยู่ของผ้มู ฐี านะดี 4.2.2 สถาปัตยกรรมสมัยกรงุ ธนบรุ ี ในรัชสมยั ของสมเดจ็ พระเจ้ากรุงธนบุรี เป็นยุคของการสร้างบ้านแปลงเมืองจึงมีการก่อสร้างเป็นจานวนมาก อาทิ พระราชวัง ป้อมปราการ กาแพงพระนคร พระอารามต่าง ๆลกั ษณะสถาปตั ยกรรมสมัยน้ี ล้วนสืบทอดมาจากสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ฐานอาคารจะมีลักษณะอ่อนโค้งดุจรูปเรือสาเภา ทรงอาคารจะสอบชะลูดข้ึนทางเบ้ืองบน ส่วนประกอบอื่น ๆของอาคารก็ไม่แตกต่างจากกรุงศรีอยุธยามากนัก เป็นที่น่าเสียดายว่าสถาปัตยกรรมสมัยกรุงธนบุรีมักได้รับการบูรณะ ซ่อมแซมในสมัยหลังหลายครั้งด้วยกัน ลักษณะในปัจจุบันจึงเป็นแบบสถาปตั ยกรรมในรัชกาลท่ีบูรณะครั้งหลังสดุ เท่าทยี่ ังปรากฏเค้าเดิมในปัจจุบนั ได้แก่ วดั อรุณราชวรารามท่มี า : https://twentysixteen376.files.wordpress.com/2016/04/30709246.jpg?w=300&h=200 1) วัดอรุณราชวราราม หรือวัดแจ้ง เดิมช่ือวัดมะกอก เป็นวัดโบราณที่มีมาต้ังแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เล่ากันว่าเหตุที่วัดมะกอกได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า วัดแจ้งสบื เนอื่ งมาจากท่สี มเด็จพระเจ้าตากสนิ มหาราช ไดท้ รงลอ่ งเรือมาตามลาน้าเจ้าพระยา เพอื่ หาชัยภูมิทีต่ ั้งพระนครแห่งใหม่ และเมอ่ื ถึงบริเวณวัดมะกอกน้ันเป็นเวลารุ่งแจ้งพอดี ซึ่งถือว่าเป็นมงคลฤกษ์จึงหยุดนาไพร่พลข้ึนพัก และได้เลือกบริเวณน้ันเป็นราชธานีแห่งใหม่ วัดแห่งน้ีจึงกลายเป็นวัดในเขตพระราชฐาน จากน้ันได้โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาใหม่ท้ังพระอาราม มีพระประสงค์จะให้เป็นเขตพุทธาวาสแบบเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญ์ของกรุงศรีอยุธยาแล้วพระราชทานนามใหม่ว่า“วัดแจ้ง” เพอ่ื ให้มคี วามหมายถึงการทเี่ สด็จถึงวัดนี้ในตอนรุ่งอรุณ จึงได้มีฐานะเป็นพระอารามหลวงสาคญั ของแผน่ ดินมาตลอดสมัยกรุงธนบรุ ี

56 ปอ้ มวิไชยประสิทธ์ิท่มี า : https://twentysixteen376.files.wordpress.com/2016/04/wichai_prasit.jpg?w=300&h=201 2) ป้อมวิไชยประสิทธ์ิ เป็นป้อมสาคัญท่ีใช้ป้องกันข้าศึกตามริมแม่น้าเจ้าพระยาตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้าเจ้าพระยาด้านตะวันตก ทางเหนือของปากคลองบางหลวง (คลองบางกอกใหญ)่ โดยมีป้อมคูก่ นั อยฝู่ ั่งตรงขา้ มแมน่ า้ เจ้าพระยาด้านทิศตะวันออก โดยป้อมวิไชยประสิทธ์ิสร้างขึ้นในสมยั สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เดมิ ช่ือ ป้อมบางกอกหรือปอ้ มวิไชยเยนทร์ ตั้งตามช่ือของเจ้าพระยาวิชเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) ชาวกรีกที่เป็นผู้กราบบังคมทูลให้สร้างป้อมแห่งนี้ เพ่ือป้องกันเรือรบของฮอลันดา ต่อมาเม่ือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี ได้ทรงสร้างพระราชวังข้ึนบริเวณป้อมน้ี พร้อมกับปรับปรุงป้อมพระราชทานนามว่า “ป้อมวิไชยประสทิ ธ์” 4.3 ประติมากรรมสมยั กรงุ ศรอี ยุธยา ประติมากรรม ส่วนมากสร้างจากเหตุการณ์ทางพระพุทธศาสนาพระพทุ ธรปู หล่อดว้ ยสาริด หรืออาจทาดว้ ยวสั ดุอืน่ เชน่ สกัดจากศลิ า ทาด้วยไม้ ปูนปั้น ดินเผาและทองคา พระประธานในโบสถ์วิหารเป็นพระปูนปั้น หรือสาริดขนาดใหญ่โตคับโบสถ์สมยั กรุงศรีอยธุ ยาตอนปลายนยิ มสรา้ งพระพุทธรูปทรงเครอื่ ง นอกจากน้ี ยังมีการสร้างพระพิมพ์ทาเป็นพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ บนแผ่นเดียวกันเรียกว่า พระแผง หรือพระกาแพงห้าร้อย มักนิยมทาพระพิมพ์เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องประทับอยภู่ ายในเรอื นแก้ว ประตมิ ากรรมที่สรา้ งข้นึ ในสมยั กรุงศรีอยธุ ยา แบง่ ออกเป็น 3 ยคุ คือ 1) ยุคแรก เริ่มต้ังแต่สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง)ทรงสร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ตั้งแต่ พ.ศ. 1893 จนถึงสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2(เจ้าสามพระยา) พ.ศ. 1991 ในยุคน้ีประติมากรรมยังนิยมทาตามแบบฝีมือช่างอู่ทองอยู่ ดังจะเห็นได้จากพระพุทธรูปองค์ใหญ่ท่ีวัดพนัญเชิง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งสร้างก่อนต้ังกรุงศรีอยุธยา

57ถงึ 26 ปี ในยุคแรก ๆ ของกรุงศรีอยุธยายังไม่มีพระพุทธรูปท่ีมีลักษณะเฉพาะตน ส่วนมากจะมีลักษณะผสมเปน็ แบบศิลปะอู่ทอง ลพบุรี และสุโขทยั ปะปนกนั ไป 2) ยุคที่สอง เร่ิมจากสมัยพระบรมไตรโลกนาถไปจนถึงสมัยพระเจ้าปราสาททอง พ.ศ. 2173 พระพุทธรูปในยุคน้ีนิยมทาวงพระพักตร์ พระรัศมีตามแบบอย่างศิลปะสุโขทัย และนิยมทาปางมารวิชัย ปางป่าเลไลยก์ ปางประทานอภัย ไม่นิยมสร้างปางลีลา และปางสมาธิ 3) ยุคท่ีสาม เร่ิมตั้งแต่แผ่นดินพระเจ้าปราสาททอง พ.ศ. 2173 มาจนถึงเสยี กรงุ ศรีอยุธยา พ.ศ. 2310 รวมเวลา 157 ปี โดยอาศัยช่วงเวลาท่ียาวนานของกรุงศรีอยุธยาโดยเฉพาะในช่วงหลังจากกรงุ ศรีอยุธยาได้เจริญสัมพันธไมตรี มีการติดต่อค้าขายกับชาวกัมพูชาและต่างชาติมากขึ้น ทั้งชาวยุโรปและชาวจีน ดังนั้น ช่างและศิลปินแขนงต่าง ๆ จึงรับเอาอทิ ธิพลทางศลิ ปะและวิทยาการมาจากต่างชาตเิ หลา่ นนั้ มาสรา้ งงานประตมิ ากรรม งานศิลปกรรมในยุคนี้เน้นหนักไปทางด้านสถาปัตยกรรมและจิตรกรรมมากกว่าด้านประติมากรรมทาให้การสร้างพระพุทธรูปไม่ก้าวหน้าไปกว่าเดิม แต่ในยุคน้ีมีพระพุทธรูปท่ีมีลักษณะเฉพาะของยุคที่นิยมสร้างกันมาก คือ พระพุทธรูปทรงเคร่ืองแบบราชาธริ าช ซ่ึงมีท้งั แบบทรงเครือ่ งใหญ่ และทรงเครือ่ งนอ้ ย โดยสว่ นมากนยิ มสรา้ งปางประทานอภัย อย่างไรก็ตาม ประติมากรรมสมัยกรุงศรีอยุธยาแม้จะไม่ให้ความรู้สึกที่สมบูรณ์ด้านความงามหรืออุดมคติมากนัก แต่พระพุทธรูปสมัยกรุงศรีอยุธยาโดยเฉพาะพุทธรูปทรงเครื่องต่าง ๆ ถือเป็นลักษณะพิเศษของประติมากรรมเป็นพระพุทธรูปของสมัยกรุงศรีอยุธยาที่บ่งบอกถึงความพยายามที่จะสร้างเอกลักษณ์ของตนเอง พระพุทธรูปเหล่าน้ันได้แสดงให้เห็นถึงความมั่นคงของผู้คนยุคน้ันได้เป็นอย่างดี และส่วนมากเป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยสาริดมากกวา่ อยา่ งอืน่ นอกจากงานประติมากรรมแล้ว งานด้านแกะสลักไม้ท้ังที่เป็นพระพุทธรูปและลวดลายตกแต่งก็มีมากในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซ่ึงงานประติมากรรมเป็นเคร่ืองแสดงให้เห็นความสามารถช้ันสูงของช่างในสมัยน้นักิจกรรมท้ายเรอ่ื งที่ 4 ศิลปะไทย(ใหผ้ ้เู รยี นไปทากจิ กรรมทา้ ยเรอื่ งที่ 4 ทีส่ มดุ บนั ทกึ กจิ กรรมการเรียนรู้ประกอบชุดวชิ า)

58เร่ืองท่ี 5 การอนุรกั ษ์มรดกไทย มรดกทางวัฒนธรรมทีเ่ ป็นรูปธรรม ซึ่งเปน็ ส่ิงทสี่ ามารถจบั ตอ้ งและมองเหน็ ได้ได้แก่ โบราณสถาน อนุสาวรีย์ สถาปัตยกรรม อาคารกลุ่มอาคาร ย่านชุมชนท้องถิ่น เมืองเก่าแหล่งประวัติศาสตร์ แหล่งโบราณคดี แหล่งภูมิทัศน์ประวัติศาสตร์ ภูมิทัศน์วัฒนธรรมโบราณวตั ถุ และผลงานศลิ ปะแขนงต่าง ๆ เป็นตน้ มรดกทางวัฒนธรรมที่เป็นนามธรรม ซ่ึงเป็นส่ิงท่ีไม่สามารถจับต้องหรือแสดงออกมาทางกายภาพได้ ได้แก่ ภูมิปัญญาความรู้ ความหมาย ความเช่ือ ความสามารถขนบธรรมเนียมประเพณีจารีตที่บุคคลหรือชุมชนได้สร้างสรรค์ข้ึน เพ่ือเป็นส่วนหน่ึงของการดารงชีวิตอยู่ และได้ถา่ ยทอดจากรุน่ หน่ึงไปสู่อีกรุน่ หนงึ่ มาจนถึงปจั จบุ ัน การอนุรักษ์ เป็นการดูแลรักษาเพื่อให้คงคุณค่าไว้ โดยการอนุรักษ์แหล่งมรดกวัฒนธรรมที่เก่ียวข้องแต่ละแหล่งน้ัน อาจทาได้ด้วย การป้องกัน การสงวนรักษา การบูรณะการปฏิสังขรณ์ หรือการประยุกต์การใช้สอย การอนุรักษ์มีวิธีการในระดับท่ีแตกต่างกันแล้วแต่สถานการณ์และปัจจัยอื่นๆ ในแต่ละกรณี โดยอาจจะใช้วิธีการใดวิธีการหนึ่งหรือหลายวิธีรว่ มกัน และให้หมายรวมถึงการอนุรักษ์เพื่อร้ือฟ้ืน ฟ้ืนฟู เพื่อให้สามารถนากลับมาใช้ประโยชน์และการสบื สานใหย้ ังคงมีอย่ตู อ่ ไป การอนุรักษ์มีวิธีการในระดบั ตา่ ง ๆ กัน ดังน้ี 1. การปอ้ งกนั การเส่ือมสภาพ 2. การสงวนรักษา 3. การเสริมความม่นั คงแข็งแรง 4. การจาลองแบบ 5. การบูรณะ 6. การปฏสิ ังขรณ์ 7. การประกอบคืนสภาพ 8. การประยุกตก์ ารใชส้ อย หลกั การในการอนรุ ักษ์ 1. พึงรักษาความแท้ของแหล่งมรดกวัฒนธรรมที่มีค่าความสาคัญ หาได้ยากไว้โดยแก้ไขน้อยท่ีสุด ควรอนุรักษ์ด้วยวิธีป้องกันการเส่ือมสภาพ วิธีการสงวนรักษา วิธีการเสริมความม่ันคงแข็งแรงเท่านั้น ท้ังนี้ให้หลีกเล่ียงการรบกวนหลักฐานด้ังเดิมท่ียังหลงเหลืออยู่ และไมค่ วรก่อสรา้ งทับลงบนซากสิ่งกอ่ สร้างเดมิ 2. อนุรักษ์แหลง่ มรดกวัฒนธรรมทเี่ ป็นปูชนยี สถานอันเป็นท่ีเคารพบูชา โดยไม่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงลักษณะ สี และทรวดทรงซึ่งจะทาให้มรดกวัฒนธรรมน้ันด้อยคุณค่าหรือเสือ่ มความศกั ด์ิสทิ ธ์ไิ ป

59 3. อนุรักษ์แหล่งมรดกวัฒนธรรมที่ยังมีประโยชน์ใช้สอยอยู่อย่างต่อเนื่องการเสริมสร้าง หรือต่อเติมสิ่งท่ีจาเป็นขึ้นใหม่สามารถทาได้เพื่อความเหมาะสมในการใช้งานโดยไม่จาเปน็ ตอ้ งสร้างให้เหมือนส่วนของเดิม แต่สง่ิ ทเ่ี พ่ิมข้ึนใหม่นั้นจะต้องกลมกลืน และไม่ทาให้มรดกวฒั นธรรมนั้นดอ้ ยคา่ ลงไป 4. ศึกษาโดยละเอียดว่าแหล่งมรดกวัฒนธรรมที่มีการอนุรักษ์โดยมีการแก้ไขมากอ่ นแล้ว บูรณะแกไ้ ขมาแล้วกค่ี รั้ง ผดิ ถูกอย่างไร ระยะเวลานานเท่าไร การอนุรักษ์ใหม่ที่จะทาไม่จาเป็นจะต้องใชแ้ บบใดแบบหน่งึ เสมอไป แต่ให้มีกระบวนการพิจารณาเลือกแบบที่เหมาะสมทส่ี ดุ เป็นหลกั เพือ่ ให้แหลง่ มรดกวฒั นธรรมนัน้ คงคณุ คา่ และความสาคัญมากทีส่ ุด 5. ไม่ควรเคลื่อนย้ายแหล่งมรดกวัฒนธรรม หรือช้ินส่วนของมรดกวัฒนธรรมไปยังสถานท่ีตั้งใหม่ ซ่ึงเป็นการฝ่าฝืนหลักการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรม ยกเว้นพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วเห็นว่าเป็นวิธีการสุดท้ายในการป้องกันการชารุดเสียหาย หรือการโจรกรรมโดยจะต้องนามรดกวัฒนธรรม หรือชิ้นส่วนของมรดกวัฒนธรรมนั้นมารักษาไว้ในสถานท่ีปลอดภัยและถูกต้องตามกฎหมาย โดยต้องจาลองแบบชิ้นส่วนของมรดกวัฒนธรรมท่ีถอดย้ายมานั้นไปประกอบไว้แทน ณ ท่ีต้ังเดิม และต้องมีการส่ือความหมายให้เกิดความเข้าใจอย่างถูกต้อง เนื่องจากจุดมุ่งหมายของการอนุรักษ์แหล่งมรดกวัฒนธรรมคือ การใช้ประโยชน์ และการรกั ษาแหลง่ มรดกวัฒนธรรมไว้ ณ บรเิ วณทค่ี น้ พบอย่างยง่ั ยนื และเหมาะสม 6. การก่อสร้างหรือฟื้นฟูแหล่งมรดกวัฒนธรรมข้ึนมาใหม่ตามความต้องการในปัจจุบัน จะต้องมาจากการออกแบบและการตัดสินใจท่ีมีกระบวนการศึกษาข้อมูลรูปแบบและท่ีต้ังด้ังเดิมอย่างครบถ้วน ที่จะไม่ก่อให้เกิดการส่ือความหมายท่ีผิดและบิดเบือนข้อมูลคุณค่าของมรดกวฒั นธรรม 7. อนุรักษ์แหล่งมรดกวัฒนธรรมโดยวิธีการปฏิสังขรณ์ เพ่ือประโยชน์ในการอธบิ าย ส่อื ความหมายควรเป็นไปตามข้อมูลหลักฐานท่ีได้ศึกษาวิเคราะห์ ตีความอย่างมีเหตุผลและเป็นทยี่ อมรบั โดยใหค้ านึงถงึ การทจี่ ะสามารถปรบั เปลีย่ นแก้ไขไดใ้ นอนาคต 8. อนรุ กั ษม์ รดกสงิ่ ก่อสรา้ งพื้นถ่ิน ให้คานึงถึงการพัฒนาหรือความเปลี่ยนแปลงทีไ่ มอ่ าจหลีกเลีย่ งได้ และลกั ษณะเฉพาะทางวฒั นธรรมท่สี บื ทอดมาของชมุ ชน โดยงานท่ีต่อเติมบนสิ่งก่อสร้างหรือในบริเวณชุมชนพ้ืนถ่ินน้ันควรเคารพคุณค่าทางวัฒนธรรมและลักษณะตามแบบดั้งเดิม ที่ผสานกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ แนวทางในการปฏิบัติ ได้แก่ การวิจัย บันทึก จัดเก็บข้อมูล ส่งเสริมให้มีการสืบสานระบบการก่อสร้างและทักษะฝีมือช่างพื้นถ่ินในทุกระดับ อาจใช้วัสดุใหม่ที่ไม่เปลี่ยนแปลงการแสดงออกของภาพลักษณ์ ผวิ สมั ผัส รูปทรงไปจากโครงสรา้ งและวัสดุของเดิมทีส่ บื เน่อื งมา 9. อนุรักษ์แหล่งมรดกวัฒนธรรมประเภทย่าน ชุมชน และเมืองประวัติศาสตร์มีความจาเปน็ ทจี่ ะต้องพัฒนาและปรับปรุงให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ในปัจจุบัน ทั้งนี้ควรบูรณาการนโยบายของรัฐและการวางผังเมืองในทุกระดับให้สอดคล้องกัน การรักษาความ

60ด้ังเดิมของแหล่งมรดกวัฒนธรรมประเภทย่าน ชุมชน และเมืองประวัติศาสตร์ ต้องไม่ละเลยการตรวจสอบด้านโบราณคดีและประวตั ศิ าสตร์ เพื่อเป็นความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของย่านชุมชน และเมืองประวัติศาสตร์ เช่น รูปแบบแผนผังของเมือง การแบ่งพื้นที่ดิน และโครงข่ายการคมนาคมความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงก่อสร้าง พื้นท่ีโล่ง และพ้ืนที่สีเขียว ท้ังท่ีเป็นธรรมชาติและมนษุ ย์สรา้ งขึน้ รูปลักษณข์ องส่ิงกอ่ สร้างและการใช้สอยเดิมที่มีความหลากหลาย 10. อนุรักษ์แหล่งมรดกวัฒนธรรมที่เป็นซากสิ่งก่อสร้างซ่ึงมีคุณค่าทางศิลปะประวัติศาสตร์ หรือโบราณคดี ให้รักษาไว้ตามสภาพเดิมหลังการขุดแต่ง แต่ต้องป้องกันมิให้มีความเสียหายตอ่ ไป 11. เน่ืองจากภมู ิทศั นป์ ระวตั ิศาสตร์เป็นแหล่งมรดกวัฒนธรรมทย่ี งั ประกอบด้วยพืชพันธุ์ที่มีชีวิต การบารุงรักษาอย่างต่อเนื่องมีความสาคัญอย่างยิ่ง ควรรักษาสภาพไว้ไม่ให้เปล่ียนแปลงด้วยการปลูกทดแทนโดยเร็ว และวางแผนการดูแลในระยะยาวไว้ในการฟ้ืนฟูจะต้องมกี ารศึกษาวจิ ัยจากหลักฐานทีย่ งั หลงเหลอื อยู่จากการตรวจสอบทางโบราณคดี หรือจากเอกสารหลักฐานท่ีเชื่อถือได้โดยผ่านการตรวจสอบรับรองผลจากผู้เชี่ยวชาญแล้ว และเคารพต่อพัฒนาการในลาดับต่าง ๆที่ต่อเนื่องมาของแหล่งนั้น ๆ การฟ้ืนฟูอาจดาเนินการเฉพาะในบางส่วนท่ีอยู่ใกล้เคียงกับวัฒนธรรมในพ้ืนท่ี เพื่อเผยให้เห็นความต้ังใจของการออกแบบที่สมั พนั ธ์กันของภูมทิ ศั น์โดยรวมในพ้ืนทีน่ ้นั 12. การอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมใดๆ ก็ตามจะต้องคานึงถึงวิถีชีวิตชุมชนที่สอดคล้องกับสภาพโดยรอบ และภูมิทัศน์วัฒนธรรมในฐานะที่เป็นส่วนประกอบสาคัญที่มีผลตอ่ การดารงอยู่และการเปล่ยี นแปลงในคณุ คา่ และลักษณะเฉพาะของมรดกวฒั นธรรม 13. การอนุรักษ์สภาพโดยรอบและภูมิทัศน์วัฒนธรรมควรดาเนินการตั้งแต่การจัดให้มีระเบียบ กฎหมาย และระเบียบเฉพาะ มีแผนการอนุรักษ์แผนการบริหารจัดการท่ีมีประสิทธิภาพ การกาหนดขอบเขตโบราณสถานต่อเน่ือง และเขตกันชนรอบบริเวณแหล่งมรดกวัฒนธรรม หรือมาตรการอื่น ๆ เพ่ือรักษาคุณค่าทางวัฒนธรรมและลักษณะเฉพาะของแหลง่ มรดกวฒั นธรรม ตลอดจนการจากัดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการพฒั นาพนื้ ที่ 14. มรดกวฒั นธรรมท่จี ับต้องไม่ได้ถือเปน็ ส่วนหนงึ่ ทส่ี รา้ งคณุ คา่ และความหมายรวมท้ังเก่ียวข้องกับมรดกวัฒนธรรมท่ีจับต้องได้ จึงจะต้องพิจารณาร่วมกันและคานึงถึงมาตรการในการอนุรักษ์ไวด้ ว้ ย จะเห็นได้ว่า ชนชาติไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีความงดงาม เจริญรุ่งเรืองท้ังทางด้านวรรณกรรม ประติมากรรม ขนมธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรมตลอดระยะเวลาส่ีร้อยกวา่ ปที เ่ี ปน็ ราชธานีของไทย ซึ่งถือเป็นมรดกตกทอดมาที่ทรงคุณค่า ถึงแม้จะมีบางประเพณี และบางวัฒนธรรมได้สูญหายไปตามกาลเวลา เนื่องจากไม่สอดคล้องกับวิถีการดาเนนิ ชีวิตในยคุ ปัจจุบนั แต่ยังมีวัฒนธรรมและประเพณีที่ดีงามอีกหลายอย่างที่ยังคงได้รับการฟน้ื ฟู อนุรักษแ์ ละสืบทอดมาถงึ รนุ่ ลูกหลานในปจั จุบัน และแม้ในสมัยกรุงธนบุรี จะมีระยะเวลา

61ที่เป็นราชธานีของไทยในระยะส้ัน ๆ แต่ก็ถือได้ว่าเป็นสมัยท่ีมีความเจริญรุ่งเรืองทางด้านวัฒนธรรมและประเพณี ที่ทรงคุณค่าที่ลูกหลานไทยทุกคนควรมีความภาคภูมิใจ และอนุรักษ์สืบทอดให้เปน็ มรดกไทยใหก้ ับลูกหลานภายหน้าสืบไปกิจกรรมท้ายเรือ่ งที่ 5 การอนุรักษ์มรดกไทย(ใหผ้ เู้ รยี นไปทากจิ กรรมเร่ืองที่ 5 ท่สี มดุ บันทกึ กจิ กรรมการเรียนรู้ประกอบชุดวิชา)

62 หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 3 บทเรียนจากเหตุการณ์ทางประวตั ิศาสตรใ์ นสมัยกรุงศรอี ยุธยาและกรงุ ธนบรุ ีสาระสาคญั เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา และกรุงธนบุรี มีเหตุการณ์สาคัญท่ีเกิดขึ้นมากมายในเรื่องสงครามช้างเผือก การเสียกรุงศรีอยุธยาคร้ังท่ี 1 และคร้ังท่ี 2สงครามยุทธหตั ถีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช การกอบกู้เอกราชของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชตวั ช้วี ดั 1. เลา่ เหตกุ ารณ์ท่ีสาคญั ทางประวัติศาสตร์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา และกรุงธนบรุ ี 2. เลือกแนวทางในการนาบทเรียนจากเหตุการณ์ทางประวตั ศิ าสตร์ที่ได้มาปรับใช้ในการดาเนนิ ชีวติขอบข่ายเน้ือหา เรอ่ื งท่ี 1 สงครามช้างเผือก เรอ่ื งท่ี 2 การเสยี กรุงศรีอยุธยา ครง้ั ที่ 1 เร่ืองที่ 3 สงครามยุทธหตั ถีของสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช เรอ่ื งท่ี 4 การเสยี กรุงศรอี ยุธยา ครงั้ ที่ 2 เรอ่ื งท่ี 5 การกอบกู้เอกราชของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเวลาทใี่ ชใ้ นการศกึ ษา 30 ชว่ั โมงส่ือการเรียนรู้ 1. ชุดวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย รหสั รายวิชา สค22020 2. สมดุ บันทึกกิจกรรมการเรียนร้ปู ระกอบชดุ วิชา

63เรอ่ื งท่ี 1 สงครามช้างเผอื ก 1. ความเปน็ มา สงครามช้างเผือก เป็นสงครามก่อนการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่หน่ึง สงครามมสี าเหตมุ าจาก ในปี พ.ศ. 2106 พระเจ้าบุเรงนอง ทรงส่งเคร่ืองราชบรรณาการมาถวายสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเพอื่ ทลู ขอช้างเผือก 2 เชอื ก เนื่องจากกรุงศรีอยธุ ยาในขณะน้ันมีช้างเผือกอยู่ท้ังหมด 7 เชือก ฝ่ายขุนนางจึงมีความเห็นเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งต้องการให้ส่งช้างเผือกไปถวายแก่พระเจ้าบุเรงนองเพื่อหลีกเลี่ยงสงคราม ส่วนอีกฝ่ายอันได้แก่ พระราเมศวร พระยาจักรีพระสุนทรสงครามไม่เห็นด้วยกับการส่งช้างเผือกไป เน่ืองจากจะเป็นการอ่อนข้อให้หงสาวดีในที่สุดสมเด็จพระมหาจักรพรรดิก็ทรงมีพระบรมราชโองการไม่ประทานช้างเผือก แล้วมีพระราชสาสนต์ อบกลับไปดังนี้ “ชา้ งเผอื กย่อมเกดิ สาหรบั บญุ บารมีของพระเจา้ แผน่ ดนิ ผเู้ ป็นเจ้าของ เมอื่พระเจ้าหงสาวดไี ดบ้ าเพ็ญธรรมใหไ้ พบรู ณ์คงจะไดช้ า้ งเผือกมาสูบ่ ารมเี ปน็ ม่นั คงอย่าไดท้ รงวิตกเลย” พรอ้ มรบั สง่ั ให้เตรียมไพร่พลพรอ้ มรบั ศกึ อย่างเข้มแขง็ ทางฝ่ายพระเจ้าบุเรงนองได้ยกทัพรวมพลท่ีเมืองเมาะตะมะ จัดทัพใหญ่ออกเป็น 5 ทัพ มีเจ้าเมืองเชียงใหม่ควบคุมกองเรือ-เสบยี ง ล่องลงมาถึงเมอื งตาก รวมไพลพ่ ลเป็นจานวนประมาณ 500,000 คน ส่วนทางอยุธยาได้เตรียมพลพร้อมรบและเรือรบจานวนมาก เพ่ือป้องกันการโจมตีจากทัพหลวงของหงสาวดีทางดา่ นเจดยี ส์ ามองค์ แต่เหตุการณ์ไม่เป็นดังทค่ี าดไว้ กองทพั พม่ากลับยกทัพมาทางด่านแม่ละเมาและเขา้ ตีกาแพงเพชรจนชนะ แล้วแยกทัพไปตสี โุ ขทัย เนือ่ งด้วยทางสโุ ขทัยมีกาลังน้อยกว่ามากแต่ก็สู้รบอย่างเต็มความสามารถ แต่ท้ายที่สุดก็ถูกพม่ายึดเมืองได้สาเร็จ จากน้ันพม่าจึงล้อมเมืองพิษณุโลก พระมหาธรรมราชาก็ต่อสู้เต็มความสามารถเช่นกัน แต่เกิดไข้ทรพิษข้ึนในเมืองและเสบียงอาหารก็หมดจึงยอมจานน หลังจากท่ีพม่าได้หัวเมืองฝ่ายเหนือแล้วจึงบังคับให้พระมหาธรรมราชาและเจ้าเมืองถือน้ากระทาสัตย์ให้อยู่ใต้บังคับของพม่า พร้อมทั้งสั่งให้ยกทัพตามลงมาเพ่ือตกี รงุ ศรอี ยธุ ยาดว้ ย ในเวลาต่อมา กองทัพพม่าก็ยกมาประชิดเขตเมืองใกล้ทุ่งลุมพลี พระมหา-จักรพรรดทิ รงให้กองทัพบก กองทัพเรอื ระดมยิงใสพ่ ม่าเปน็ สามารถ แต่สู้ไม่ได้จึงถอย ทางพม่าจึงยึดได้ป้อมพระยาจักรี (ทุ่งลุมพลี) ป้อมจาปา ป้อมพระยามหาเสนา (ทุ่งหันตรา) แล้วล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่นาน พระมหาจักรพรรดิทรงเห็นว่าพม่ามีกาลังมาก การท่ีจะออกไปรบเพื่อเอาชัยคงจะยากนกั จงึ ทรงสั่งใหเ้ รือรบนาปืนใหญล่ ่องไปยงิ ทหารพม่าเปน็ การถ่วงเวลาให้เสบียงอาหารหมดหรือเข้าฤดูน้าหลากพม่าคงจะถอยไปเอง แต่พม่าได้เตรียมเรือรบและปืนใหญ่มาจานวนมากยิงใส่เรือรบไทยพังเสียหายหมด แล้วต้ังปืนใหญ่ยิงเข้ามาในพระนครทุกวันถูกชาวบ้านล้มตายบ้านเรอื น วัด เสยี หายมาก ทางพระเจ้าบุเรงนอง จึงมีพระราชสาส์นมาว่า จะรบต่อไปหรือยอมเป็นไมตรี เน่ืองด้วยทางไทยเสียเปรียบมาก พระมหาจักรพรรดิจึงทรงยอมเป็นไมตรี ทาให้ฝ่ายไทยต้องเสียช้างเผือกจาก 2 เชือก เป็น 4 เชือก และทุกปีต้องส่งช้างให้ 30 เชือก พร้อมเงิน 300 ช่ัง

64จับตัวพระยาจักรี ไปเป็นตัวประกัน นอกจากนี้ยังจะขอเก็บภาษีอากรจากเมืองมะริดที่ขึ้นกับไทยอกี ด้วย ขณะนนั้ สมเด็จพระนเรศวรทรงพระชมมายุได้ 9 พรรษา ถูกนาเสด็จไปประทับที่กรุงหงสาวดีเพอ่ื เปน็ องค์ประกนั ด้วย 2. การถอดองคค์ วามรู้ สงครามช้างเผือกเป็นสงครามท่ีเกิดขึ้นหลังจากพระเจ้าตะเบ็งชเวต้ี ถูกกลุ่มแม่ทัพมอญลอบปลงพระชนม์เพ่ือชิงราชสมบัติ บุเรงนองซึ่งปราบกบฏสาเร็จแล้วได้ข้ึนครองราชย์เป็นพระเจ้าหงสาวดีได้ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. 2106 เนื่องจากสมเด็จพระมหา-จกั รพรรดิไม่ทรงยอมมอบชา้ งเผือกให้ตามทข่ี อมา บเุ รงนองยกทพั มาทางหัวเมืองฝ่ายเหนือผ่านด่านแม่ละเมาและตีเมืองพิษณุโลกได้ ทาให้พระมหาธรรมราชาต้องถวายสัตย์อยู่ข้างฝ่ายหงสาวดีสมเดจ็ พระมหาจักรพรรดิทรงยอมหยา่ ศกึ กบั พระเจ้าบเุ รงนอง จากเหตุการณ์ในคร้ังนี้ ทาให้กรุงศรีอยุธยาต้องมอบช้างเผือกให้แก่พระเจ้า-หงสาวดี 4 เชอื ก สว่ ยช้าง ปีละ 30 เชอื ก เงนิ ปีละ 300 ชั่ง ภาษีอากรที่เมืองมะริดเก็บได้ และยอมให้นาตัวพระราเมศวร พระยาจักรี และพระสุนทรสงคราม ไปกรุงหงสาวดี บุเรงนองได้แวะเมืองพิษณุโลกและขอพระนเรศวร ซึ่งขณะน้ันมีพระชนมายุ 9 พรรษา ไปเล้ียงดูท่ีกรุงหงสาวดีอกี ดว้ ย 3. บทเรยี นที่ไดเ้ พ่อื นามาปรับใช้ในการดาเนินชีวิต และความมั่นคงของชาติ หากมองตามสภาพเหตุการณ์สงครามครั้งนี้ พม่าเป็นผู้มาหยั่งเชิง ลองกาลังกรุงศรีอยุธยาก่อน จึงใช้ข้ออ้างเรื่องช้างเผือก แต่เม่ือนากาลังมาล้อมกรุงศรีอยุธยาแล้วก็คงจะรู้ว่ายากท่ีจะตีกรุงศรีอยุธยาได้ง่าย ๆ และหากแม้จะพิชิตได้ก็จะเกิดความเสียหายอย่างมหาศาลดงั น้ัน หากจะตอี ยุธยาให้ได้ต้องกลับไปเตรียมทัพมาให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ สิ่งที่ทาได้คือ ไม่หักหาญกรุงศรีอยุธยาจนเกินไป จึงยกเอาแค่เง่ือนไขในระดับที่กรุงศรีอยุธยายังรับได้ เพ่ือท่ีจะสร้างภาพลักษณ์เกียรติยศศักด์ิศรีให้ทั้งสองฝ่าย ทางด้านหงสาวดีเองก็ได้รับผลประโยชน์ที่ต้องการหรือแม้กระทั่งกรุงศรีอยุธยาเองจะสามารถรักษาตัวเองเอาไว้ได้ แม้จะต้องเสียอะไรไปบ้างแต่ก็ไมไ่ ด้ตกเป็นประเทศราช และไมถ่ งึ ข้ันแพ้สงครามกิจกรรมท้ายเร่อื งที่ 1 สงครามช้างเผอื ก(ให้ผ้เู รียนไปทากจิ กรรมทา้ ยเรอ่ื งท่ี 1 ท่สี มดุ บนั ทกึ กจิ กรรมการเรยี นรู้ประกอบชดุ วชิ า)

65เรอ่ื งที่ 2 การเสียกรุงศรอี ยธุ ยา ครัง้ ที่ 1 1. ความเป็นมา สงครามเสียกรงุ ครั้งท่ี 1 พ.ศ. 2112 การเสยี กรุงศรีอยธุ ยาครั้งทีห่ นง่ึ เป็นส่วนหน่ึงของความขัดแย้งระหว่างอาณาจักรพม่า และอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา อันเป็นผลมาจากพระเจ้าบุเรงนองต้องการได้กรุงศรีอยุธยาเป็นประเทศราช และอาจถือได้ว่าเป็นผลสืบเน่ืองมาจากสงครามช้างเผือก ในปี พ.ศ. 2106 ท่ีทรงตีกรุงศรีอยุธยาไม่สาเร็จ ความขัดแย้งภายในกรุงศรีอยุธยาระหว่างสมเด็จพระมหาจักรพรรดิกับเจ้าเมืองพิษณุโลก พระมหาธรรมราชา ซึ่งมีพระทัยฝักใฝ่พม่าได้นาไปสู่ความพินาศของกรุงศรีอยุธยาในท่ีสุดจนกระท่ังสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงประกาศอิสรภาพใหก้ บั อาณาจกั รอยุธยาในอกี 15 ปีต่อมา กอ่ นการเสียกรุง พระมหาธรรมราชา เสด็จไปเฝ้าพระเจ้าบุเรงนองในปี พ.ศ. 2108 โดยทรงกล่าวโทษว่ากรงุ ศรีอยธุ ยาวางแผนกาจัดพระองค์ พระเจ้าบุเรงนองจึงให้พระมหาธรรมราชาเป็นเจ้าเมืองประเทศราช ทรงพระนามว่า พระศรีสรรเพชญ์ เจ้าฟ้าพิษณุโลก หรือเจ้าฟ้าสองแคว อันอยู่ในฐานะกบฏต่ออาณาจักรกรุงศรีอยุธยา พระมหาจักรพรรดิกับพระมหินทราธิราช เสด็จขึ้นไปเมอื งพิษณโุ ลก ในขณะทพ่ี ระมหาธรรมราชาเสด็จไปหงสาวดีแล้วนาพระวิสุทธิกษัตรีพร้อมด้วยพระเอกาทศรถ มาอยทู่ ก่ี รุงศรีอยุธยาเมื่อพระมหาธรรมราชาทราบเรื่องจึงให้ไปเข้ากับหงสาวดีอยา่ งเปิดเผย ถึงแมว้ า่ สมเด็จพระมหาจกั รพรรดจิ ะทรงนาพระชายา พระโอรสและพระธิดาของพระมหาธรรมราชาลงมายังกรุงศรีอยุธยา โดยหวังว่าพระมหาธรรมราชาจะไม่ทรงกล้าดาเนินการใด ๆ ต่อกรุงศรีอยุธยา แต่เหตุการณ์มิได้เป็นเช่นนั้น เม่ือพระมหาธรรมราชาทราบว่าพระอัครชายาและโอรส ธิดาถูกจับเป็นองค์ประกัน ก็ทรงวิตกย่ิงนัก แล้วรีบส่งสาส์นไปยังพระเจ้าหงสาวดีให้ยกทพั มาตีกรุงศรอี ยุธยา กอ่ นการเสยี กรงุ พ.ศ. 2112 พระมหาธรรมราชาได้ทรงสง่ กองทพั มาร่วมล้อมกรุงศรีอยุธยารว่ มกบั ทัพใหญข่ องพระเจ้าบุเรงนองด้วย และได้ปฏิบัติหนา้ ท่ีสาคญั ในกองทพั พม่าดว้ ย และในปี พ.ศ. 2112 พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 1 แห่งล้านช้างทรงส่งกองทัพเข้าช่วยเหลือกรุงศรีอยุธยา พระมหาธรรมราชาก็ทรงปลอมเอกสารลวงให้กองทัพล้านช้างนาทัพผ่านบรเิ วณที่ทหารพมา่ คอยดกั อยู่ กองทพั ล้านช้างจงึ แตกพา่ ยกลบั ไป พระเจ้าบุเรงนองทรงนาทัพเข้ารุกรานกรุงศรีอยุธยาในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2111ยกเขา้ มาทางด่านแมล่ ะเมา เมอื งตาก รวมท้ังหมด 6 ทัพ ประกอบด้วย พระมหาอุปราชา เจ้าเมืองแปรเจ้าเมืองตองอู เจ้าเมืองอังวะ เจ้าเมืองเชียงใหม่ และเชียงตุง เข้ามาทางเมืองกาแพงเพชร โดยได้เกณฑ์หัวเมืองทางเหนือ รวมทั้งเมืองพิษณุโลกมาร่วมสงครามด้วยรวมจานวนได้กว่า500,000 นาย ยกทัพลงมาถึงพระนครในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน โดยให้พระมหาธรรมราชาเป็นกองหลังดแู ลคลงั เสบยี ง ทัพพระเจา้ บุเรงนองกต็ ัง้ ค่ายรายลอ้ มพระนครอยู่ไม่ห่าง การตั้งรับภายในพระนคร ส่งผลให้มีการระดมยิงปืนใหญ่ของข้าศึกทาลายอาคารบ้านเรือนอยู่ตลอด ทาให้

66ได้รับความเสียหายอยา่ งมาก ฝา่ ยกรงุ ศรีอยุธยาเม่ือทราบว่าหัวเมืองทางเหนือเป็นของพม่าแล้วจึงเตรยี มรบอยทู่ พ่ี ระนคร นาปนื นารายณส์ งั หารยิงไปยังกองทัพพระเจ้าหงสาวดีที่ต้ังอยู่บริเวณทุ่งลมุ พลี ถกู ทหาร ช้าง ม้าล้มตายจานวนมาก พม่าจึงถอยทัพมาตั้งท่ีบ้านพราหมณ์ให้พ้นทางปืนแล้วพระเจ้าหงสาวดีจึงเรียกประชุมการศึก พระมหาอุปราชเห็นสมควรให้ยกทัพเข้าตีไทยทุกด้านเพราะมกี าลงั มากกว่า แต่พระเจ้าหงสาวดีไม่เห็นด้วยเพราะกรุงศรีอยุธยามีทาเลดี มีน้าล้อมรอบ จึงส่งั ให้ตเี ฉพาะด้านตะวันออกเพราะคเู มอื งแคบที่สุด พม่าพยายามจะทาสะพานข้ามคเู มอื งโดยนาดนิ มาถมเปน็ สะพาน พระมหาเทพนายกองรักษาด่านอย่างเต็มความสามารถ โดยให้ทหารไทยใช้ปืนยิงทหารพม่าท่ีขนดินถมเป็นสะพานเข้ามา ทาให้พม่าล้มตายจานวนมากจงึ ถอยขา้ มคูกลับไป พระเจ้าบุเรงนอง ทรงพยายามโจมตีอยู่นานจนถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2112ก็ยังไม่ได้กรุงศรีอยุธยา อีกทั้งยังสูญเสียกาลังพลเป็นจานวนมาก พระองค์ทรงพยายามเปล่ียนท่ีตั้งค่ายอยู่หลายระยะ ภายหลังทรงย้ายค่ายเข้าไปใกล้กาแพงเมือง จนทาให้สูญเสียพลอย่างมากระหว่างการสงคราม สมเด็จพระมหาจักรพรรดิประชวร และสวรรคตในเวลาต่อมา สมเด็จพระมหินทราธิราชข้ึนครองราชย์และทรงบัญชาการรบแทน พระเจ้าบุเรงนองจึงถามพระมหา-ธรรมราชาว่าจะทาอย่างไรให้ชนะศึกโดยเร็ว พระมหาธรรมราชาทรงแนะว่าพระยารามเป็นแม่ทัพสาคญั หากได้ตัวมาการยึดพระนครจักสาเร็จ จึงมีสาส์นมาถึงพระอัครชายาว่า “...การศึกเกิดจากพระยารามที่ยุยงให้พี่น้องต้องทะเลาะกัน ถ้าส่งตัวพระยารามมาให้พระเจ้าหงสาวดีจะยอมเปน็ ไมตรี...” สมเดจ็ พระมหนิ ทราธิราช ทรงอ่านสาส์นแล้ว ปรึกษากับข้าราชการต่าง ๆจึงเห็นสมควรสงบศึกเพราะผู้คนล้มตายกันมากแล้ว สมเด็จพระมหินทราธิราช มีรับส่ังให้ส่งพระสังฆราชออกไปเจรจาและส่งตัวพระยารามให้พระเจ้าบุเรงนองเพ่ือเป็นไมตรี แต่พระเจ้า-บุเรงนองตระบัดสัตย์ไม่ยอมเป็นไมตรี ทาให้สมเด็จพระมหินทราธิราช ทรงพิโรธโกรธแค้นในการกลับกลอกของพระเจ้าบุเรงนองอย่างมาก มีรับส่ังให้ขุนศึกทหารทั้งปวงรักษาพระนครอย่างเข้มแข็ง พระเจ้าบุเรงนองเห็นวา่ ยงั ไมส่ ามารถตีกรุงศรีอยุธยาได้ จึงส่งพระมหาธรรมราชามาเกลยี้ กลอ่ มใหย้ อมแพ้ แต่ถกู ทหารไทยเอาปืนไลย่ ิงจนต้องหนีกลบั ไป พระเจ้าหงสาวดีคิดอุบายจะใช้พระยาจักรีท่ีจับตัวได้เป็นประกัน เมื่อคร้ังสงครามชา้ งเผอื กเปน็ ไส้ศึก จึงให้พระมหาธรรมราชาทรงเกลี้ยกล่อมพระยาจักรีให้เป็นไส้ศึกในกรุงศรีอยุธยา แลว้ แกล้งปล่อยตัวออกมา รุ่งเช้าพม่าทาทีเป็นตามหาแต่ไม่พบเลยจับตัวผู้คุมมาตัดหัวเสียบไว้ริมแม่น้าเพื่อให้ไทยหลงกล สมเด็จพระมหินทราธิราช ทรงดีพระทัยที่พระยาจักรีหนมี าไดจ้ ึงทรงแต่งต้ังให้เปน็ ผู้บังคบั บญั ชาการรบแทนทีพ่ ระยาราม

67 (ที่มา : https://sites.google.com/site/pongsagorn45434/hetukarn-sakhay/seiy-krung-khrang-thi-1) ครั้นพระยาจักรีได้รับแต่งต้ังให้ดารงตาแหน่งรักษาพระนครแล้วจึงดาเนินการสับเปล่ียนหน้าท่ีของฝ่ายต่าง ๆ จนกระท่ังการป้องกันพระนครอ่อนแอลง พระยาจักรีได้ใส่ร้ายให้พระศรีสาวราชว่าเป็นกบฏจึงถูกสาเร็จโทษ เมื่อเห็นว่าได้เวลาอันควรพระยาจักรีจึงให้สญั ญาณแก่พม่าเข้าตีกรุงศรีอยุธยาทุกด้าน และให้กองทัพพม่าเข้ายึดพระนครสาเร็จ กรุงศรีอยุธยาจงึ ตกเปน็ เมอื งข้ึนของพม่าในปี พ.ศ 2112 พระเจา้ บเุ รงนองประทับอยทู่ ่ีกรงุ ศรีอยุธยาจนกระทั่ง วนั ศุกรข์ ้ึนหกค่า เดอื นสบิ สองปีมะเสง็ พ.ศ. 2112 ไดอ้ ภิเษกให้สมเดจ็ พระมหาธรรมราชาธิราช ขึ้นเป็นกษตั รยิ ์ครองกรุงศรีอยุธยาในฐานะประเทศราช ทรงพระนามว่า สมเด็จพระสรรเพชญท่ี 1 บางแห่งเรียก “พระสุธรรมราชา”สมเด็จพระมหนิ ทราธริ าช พระบรมวงศานุวงศ์ และขนุ นางนอ้ ยใหญ่ ได้ถูกนาไปกรงุ หงสาวดีดว้ ยแต่สมเด็จพระมหินทราธิราช ประชวรและสวรรคตระหวา่ งทางไปกรุงหงสาวดี พม่าเข้ายึดทรัพย์สินและกวาดต้อนผู้คนกลับไปพม่าเป็นจานวนมาก โดยเหลือให้รักษาเมืองเพียง 1,000 คน คนที่เหลอื ก็หนไี ปหลบอาศยั อย่ทู ่ีอืน่ บา้ นเรอื นและสิ่งปลูกสร้างท้ังหลายได้รับความเสียหายเป็นอันมากอาณาจักรอยุธยาจงึ ตกเป็นเมืองข้นึ ของพมา่ เป็นเวลานาน 15 ปี 2. การถอดองค์ความรู้ หลังจากเสร็จสิ้นสงครามช้างเผือก สมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้ปรับปรุงบ้านเมืองเพื่อเตรียมรับศึก รวมท้ังสร้างสัมพันธไมตรีกับพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชแห่งอาณาจักรล้านช้างซึง่ เป็นเหตใุ หส้ มเด็จพระมหินทราธริ าช พระราชโอรสของสมเดจ็ พระมหาจักรพรรดเิ กิดความขัดแย้งกับพระมหาธรรมราชา เจ้าผู้ครองเมืองพิษณุโลก สมเด็จพระมหินทราธิราช จึงได้ให้พระเจ้าไชย-เชษฐาธริ าช ส่งกองทัพมาช่วยตเี มืองพษิ ณุโลก แตพ่ ระมหาธรรมราชาสามารถป้องกนั เมืองไวไ้ ด้ พระเจ้าบุเรงนองทรงทราบเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึน ทรงสถาปนาพระมหาธรรมราชาเป็นเจ้าประเทศราชของกรุงหงสาวดี ปกครองเมืองพิษณุโลกและหัวเมืองฝ่ายเหนือ โดยไม่ข้ึนต่อกรุงศรีอยุธยา จากการขัดแย้งระหว่างพระมหาธรรมราชากับสมเด็จพระมหินทราธิราช ทาให้ทางกรงุ ศรีอยุธยาออ่ นแอลง

68 ในปี พ.ศ. 2111 พระเจ้าบุเรงนอง ยกทัพใหญ่มาหมายตีกรุงศรีอยุธยาให้แตกพ่ายกองทัพพม่าล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่หลายเดือน แต่ก็ยังไม่สามารถเข้ายึดได้ เพราะทหารกรุงศรีอยุธยาได้ต่อสู้อย่างเข้มแข็ง เพ่ือรอให้ถึงฤดูน้าหลาก ซ่ึงจะทาให้กองทัพพม่าต้ังค่ายอยู่ไม่ได้ระหว่างที่ศึกมาประชิดกรุงน้ัน สมเด็จพระมหาจักรพรรดิประชวรและเสด็จสวรรคตในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2111 พระมหินทร์เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ พระนามว่า สมเด็จพระมหนิ ทราธริ าช และทรงต่อสปู้ อ้ งกันกรุงศรีอยุธยาต่อไป หลังจากนั้นทางพม่าได้ใช้กลอุบายให้พระยาจกั รีมาเปน็ ไสศ้ ึก กรุงศรีอยุธยาจึงเสียแก่พมา่ ในปี พ.ศ. 2112 จากเหตุการณ์ในคร้ังน้ี ทาให้สมเด็จพระมหินทราธิราชถูกจับไปเป็นเชลยท่ีหงสาวดี รวมท้ังข้าราชบริพารอีกจานวนหนึ่ง และทาให้กรุงศรีอยุธยาได้กลายเป็นประเทศราชของกรงุ หงสาวดนี ับแต่น้ันมา ซ่ึงนบั เปน็ การสญู เสยี อิสรภาพของคนไทยเป็นครั้งแรก 3. บทเรียนทไ่ี ดเ้ พื่อนามาปรับใช้ในการดาเนินชีวิต และความมั่นคงของชาติ การเสียกรุงคร้ังที่ 1 โดยสาเหตุใหญ่มาจากการแตกความสามัคคีไม่จงรักภักดีต่อชาติและพระมหากษัตริย์ บรรดาขุนนางผู้มีอานาจท้ังในพระนคร และหัวเมืองใหญ่ต่างมีความรู้สึกแตกแยกแบ่งเขาแบ่งเรา แก่งแย่งชิงดี กอบโกยอานาจสู่ตนเอง ทาตนเป็นไส้ศึกให้ฝ่ายตรงข้าม ขาดความเป็นน้าหน่ึงใจเดียวกันของพลเมือง จึงทาให้ไม่อาจรวมพลังต้านทานกองกาลังแสนยานภุ าพของขา้ ศกึ ศตั รไู ด้กิจกรรมทา้ ยเร่ืองที่ 2 การเสียกรุงศรีอยุธยา คร้ังที่ 1(ใหผ้ ูเ้ รียนไปทากิจกรรมท้ายเรอ่ื งท่ี 2 ท่ีสมดุ บนั ทกึ กจิ กรรมการเรียนรู้ประกอบชุดวิชา)เรอ่ื งท่ี 3 สงครามยทุ ธหัตถีของสมเดจ็ พระเนรศวรมหาราช การทายุทธหัตถี คือ การทาสงครามบนหลังช้างตามประเพณีโบราณของกษัตริย์ในภูมิภาคอุษาคเนย์ เป็นการทาสงครามซึ่งถือว่ามีเกียรติยศ เพราะช้างถือเป็นสัตว์ใหญ่ และเป็นการปะทะกันซึ่ง ๆ หน้า ผู้แพ้อาจถึงแก่ชีวิตได้ การกระทายุทธหัตถีในประวัติศาสตร์ไทยปรากฏท้ังหมด 4 ครง้ั คอื 1. การชนช้างระหว่างพ่อขุนรามคาแหงมหาราชกับขุนสามชน เจ้าเมืองฉอดพอ่ ขุนรามคาแหงชนะ 2. การชนช้างท่ีสะพานป่าถ่าน ระหว่างเจ้าอ้ายพระยากับเจ้ายี่พระยา เพ่ือชิงราชสมบตั ิ ปรากฏวา่ สิ้นพระชนมท์ งั้ คู่ 3. ยุทธหัตถีระหว่างสมเด็จพระสุริโยทัยกับพระเจ้าแปร ในปี พ.ศ. 2091 ท่ีทุ่งมะขามหย่อง จังหวดั พระนครศรอี ยธุ ยา สมเด็จพระสรุ โิ ยทัยสิน้ พระชนม์บนคอช้าง 4. ยทุ ธหตั ถรี ะหว่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราช กับพระมหาอุปราชามังสามเกียดในปี พ.ศ. 2135 ที่ อาเภอดอนเจดยี ์ จังหวดั สุพรรณบรุ ี สมเด็จพระนเรศวรมหาราชไดช้ ัยชนะ

69 สงครามยทุ ธหตั ถีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 1. ความเป็นมา สงครามยุทธหัตถี ที่ยกมาเป็นบทเรียนน้ี เป็นการทาสงครามยุทธหัตถีที่เกิดข้ึนในปี พ.ศ. 2135 ระหว่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา กับพระมหาอุปราชาแห่งกรุงหงสาวดี ผลของสงครามครั้งน้ัน ปรากฏว่ากรุงศรีอยุธยาเป็นฝ่ายชนะถึงแม้จะมีกาลังพลนอ้ ยกวา่ ประวัติสงคราม ในปี พ.ศ. 2135 พระเจ้านันทบุเรง โปรดให้พระมหาอุปราชา นากองทัพทหาร240,000 คน มาตีกรุงศรีอยุธยาหมายจะชนะศึกในคร้ังน้ี สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงทราบว่าพม่าจะยกทพั ใหญ่มาตี จงึ ทรงเตรียมไพรพ่ ล มกี าลัง 100,000 คน เดินทางออกจากบ้านป่าโมกไปสุพรรณบรุ ี ขา้ มนา้ ตรงทา่ ท้าวอู่ทอง และตัง้ คา่ ยหลวงบรเิ วณหนองสาหรา่ ย เชา้ วันจันทร์ แรม 2 ค่า เดือนยี่ ปีมะโรง พ.ศ. 2135 สมเด็จพระนเรศวรมหาราชและสมเด็จพระเอกาทศรถทรงเครื่องพิชัยยุทธ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงช้าง นามว่าเจ้าพระยาไชยานุภาพ ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงช้างนามว่า เจ้าพระยาปราบไตรจักรชา้ งทรงของทงั้ สองพระองค์น้ันเป็นช้างชนะงา คือช้างมีงาที่ได้รับการฝึกให้รู้จักการต่อสู้มาแล้วหรือเคยผ่านสงครามชนช้างชนะช้างตัวอื่นมาแล้ว ซึ่งเป็นช้างที่กาลังตกมัน ในระหว่างการรบจึงวิ่งไล่ตามพม่าหลงเข้าไปในแดนพม่า มีเพียงทหารรักษาพระองค์และจาตุรงคบาทเท่าน้ันที่ติดตามไปทัน สงครามยุทธหตั ถขี องสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช ท่มี า : https://www.gotoknow.org/posts/73321....) สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทอดพระเนตรเห็นพระมหาอุปราชาทรงพระคชสารอยู่ในรม่ ไม้กับเหลา่ ท้าวพระยา จงึ ทราบได้วา่ ช้างทรงของสองพระองค์หลงถลาเข้ามาถึงกลางกองทัพและตกอยู่ในวงล้อมข้าศึกแล้ว แต่ด้วยพระปฏิภาณไหวพริบของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเห็นว่าเป็นการเสียเปรียบข้าศึกจึงไสช้างเข้าไปใกล้ แล้วตรัสถามด้วยคุ้นเคยมาก่อนแต่วัยเยาว์ว่า

70“พระเจ้าพ่ีเราจะยืนอยู่ใยในร่มไม้เล่า เชิญออกมาทายุทธหัตถีด้วยกันให้เป็นเกียรติยศไว้ในแผ่นดินเถิด ภายหน้าไปไม่มีพระเจ้าแผ่นดินท่ีจะได้ยุทธหัตถีแล้ว” พระมหาอุปราชาได้ยินดังน้ันจงึ ไสช้างนามว่า พลายพัทธกอ เข้าชนเจ้าพระยาไชยานุภาพเสียหลัก พระมหาอุปราชาทรงฟันสมเด็จพระนเรศวรมหาราชด้วยพระแสงของ้าว แต่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเบี่ยงหลบทันจึงฟันถูกพระมาลาหนังขาด จากน้ันเจ้าพระยาไชยานุภาพชนพลายพัทธกอเสียหลัก สมเด็จพระ-นเรศวรมหาราช ทรงฟนั ด้วยพระแสงของ้าวถกู พระมหาอุปราชาเข้าทอ่ี งั สะขวา ส้นิ พระชนม์อยู่บนคอช้าง ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงฟันเจ้าเมืองจาปะโรเสียชีวิตเช่นกัน ทหารพม่าเห็นว่าแพ้แน่แล้ว จึงใช้ปืนระดมยิงใส่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้รับบาดเจ็บ ทันใดนั้น ทัพหลวงไทยตามมาช่วยทัน จึงรับทั้งสองพระองค์กลับพระนคร พม่าจึงยกทัพกลับกรุงหงสาวดีไป นับแต่น้ันมากไ็ ม่มีกองทพั ใดกลา้ ยกทัพมากล้ากรายกรงุ ศรีอยธุ ยาเป็นระยะเวลาอีกยาวนาน 2. การถอดองค์ความรู้ สงครามยุทธหัตถี เร่ิมต้นจากพระมหาธรรมราชาได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา มีพระนามว่า สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ปกครองกรุงศรีอยุธยาสืบต่อมา และเมื่อเสร็จส้ินสงคราม พระมหาธรรมราชาได้ปราบดาภิเษกข้ึนเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา มีพระนามว่า สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ครั้นต่อมาพระเจา้ บุเรงนองไดส้ ง่ พระนเรศวรกลับคืนกรุงศรีอยุธยาหลังจากท่ีพระองค์ได้อยู่ที่กรุงหงสาวดีเปน็ เวลา 6 ปี สมเด็จพระมหาธรรมราชาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีสถาปนาพระนเรศวรขึ้นเปน็ พระมหาอปุ ราชและส่งไปครองเมืองพิษณุโลก และระหว่างท่ีสมเด็จพระนเรศวรประทับอยู่ท่ีเมืองพิษณโุ ลก พระองคท์ รงฝึกฝนไพรพ่ ลให้เข้มแขง็ ในการศึกสงครามเพ่ือเตรียมประกาศเอกราช สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นผู้ที่มีความสามารถในการรบ ทาให้ฝ่ายพม่าหวาดระแวงว่ากรุงศรีอยุธยาจะแข็งเมือง จึงหาทางกาจัดพระนเรศวร แต่พระองค์ทรงทราบแผนการน้ีก่อน จากพระยาเกียรต์ิและพระยารามซึ่งเป็นขุนนางชาวมอญ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช จึงทรงประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง ไม่ยอมเป็นเมืองขึ้นของกรุงหงสาวดี จนกระทั่งพ.ศ. 2135 พระมหาอุปราชาได้ยกกองทัพพม่ามุ่งหวังมายึดกรุงศรีอยุธยาคืนให้ได้ การทาสงครามในครั้งน้ี ได้ทรงกระทายุทธหัตถีกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราช แต่พระมหาอุปราชาพลาดท่าเสียทีถูกสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ฟันด้วยพระแสงของ้าวจนสิ้นพระชนม์บนคอช้างทาใหพ้ ม่าต้องถอยทัพกลับไป จากเหตุการณ์ในครง้ั นี้ ทาใหพ้ ม่าไม่ได้ยกทัพมาโจมตีกรุงศรีอยุธยาอีกเป็นเวลานานและทาให้หัวเมืองต่าง ๆ พากันเกรงขามในความสามารถของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และยอมกลับมาอ่อนน้อมต่อกรุงศรีอยุธยาอีกคร้ัง จึงทาให้คนไทยได้อยู่อาศัยอย่างสงบสุขและปลอดภัยจากการรกุ รานของศัตรภู ายนอกติดตอ่ กันนานถงึ 150 ปี

71 3. บทเรียนทไ่ี ดเ้ พ่ือนามาปรับใช้ในการดาเนนิ ชวี ติ และความมัน่ คงของชาติ การทาสงครามยุทธหัตถี เป็นสงครามที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นา ความเด็ดเด่ียวกล้าหาญ และพระปรีชาสามารถในด้านการรบของพระมหากษัตริย์ และการทายุทธหัตถีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในคร้ังน้ัน นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญของพระองค์ท่าน ท่ีพร้อมจะสละชีวิตเพ่ือการปกป้องบ้านเมือง ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ ยังแสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพ พระราชปฏิภาณไหวพริบของพระองค์ในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอีกท้ังการมองการณ์ไกล และการเตรียมความพร้อมตั้งอยู่ในความไม่ประมาทของพระมหากษัตริย์ไทย ที่ทรงตั้งพระราชหฤทัยฝึกฝนไพร่พลให้มีทักษะความชานาญในการรบไดน้ ามาซง่ึ ความเปน็ ปึกแผน่ ของการสร้างชาติ ไมเ่ ปน็ เมืองข้ึนของใคร นอกจากน้ี การรวบรวมไพร่พลเพ่ือเข้าร่วมทัพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้จานวนถึงหน่ึงแสนคน ได้แสดงให้เห็นถึงความสมัครสมานสามัคคีของชนชาติไทยในอดีตยามมีภัย หรือยามศึกทุกคนก็มีความรักชาติรักแผ่นดิน พร้อมออกต่อสู้ศึกสละชีพเพื่อปกป้องผนื แผน่ ดินอย่างไม่กลวั ตายกิจกรรมทา้ ยเรอ่ื งที่ 3 สงครามยุทธหัตถีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช(ให้ผูเ้ รยี นไปทากจิ กรรมทา้ ยเร่อื งท่ี 3 ท่ีสมดุ บันทกึ กิจกรรมการเรียนรู้ประกอบชุดวชิ า)เรอื่ งที่ 4 การเสยี กรงุ ศรอี ยุธยา ครง้ั ท่ี 2 1. ความเป็นมา ในสมัยที่พระเจ้าเอกทัศน์ปกครองเมืองน้ัน บ้านเมืองมีความอยู่เย็นเป็นสุขการค้าขายเจริญก้าวหน้า แต่บ้างก็บันทึกไว้ว่าในสมัยพระเจ้าเอกทัศน์ ทรงทาให้เมืองถดถอยพระชายามีอานาจเท่ากับพระเจ้าแผ่นดิน จากเดิมผู้ท่ีกระทาความผิดร้ายแรงจะถูกประหารชีวิตแต่กลับเปลี่ยนมาเป็นการริบทรัพย์กลายเป็นของพระชายา จนทาให้เชื้อพระวงศ์หลายคนไม่พอใจแลว้ เรมิ่ ต้ังตนเปน็ กบฏ โดยมีความหวังว่าตนจะได้เป็นใหญ่ซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนจากขุนนางและชาวบ้าน ทาให้บ้านเมืองเร่ิมมีการแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย เพราะเหตุน้ีเองที่ทาให้กรุงศรีอยุธยาเรมิ่ มีความตกต่าเส่อื มถอยลงไปทุกวนั เมื่อพระเจ้าอลองพญาแห่งเมืองพม่าได้ทราบถึงปัญหาในกรุงศรีอยุธยาพระเจ้าอลองพญาจึงได้ประกาศสงครามกับเมืองอยุธยา เพื่อที่จะได้เมืองอยุธยาเป็นเมืองขึ้นแต่ในระหว่างการทาศึกพระเจ้าอลองพญาก็ได้ส้ินพระชนม์ลงและพ่ายแพ้กลับไป หลังจากนั้นฝั่งอยธุ ยาคดิ วา่ ไดโ้ อกาส เจ้าเมืองจงึ ตอบโต้โดยการส่งทตู ไปยว่ั ยใุ หป้ ระเทศราชต่าง ๆ ของพม่าเกิดการแข็งข้อ เม่ือพระเจ้ามังระกษัตริย์องค์ใหม่ของพม่าได้ทราบถึงเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนจงึ ตัดสนิ ใจสง่ เนเมียวสีหบดี และมังมหานรธาไปปราบเมืองขึน้ ทแี่ ขง็ ขอ้ ใหห้ มด

72 ทัพของเนเมียวสีหบดีก็ได้เข้าตีในแคว้นล้านช้าง เชียงตุงและเชียงใหม่จึงได้รับชัยชนะด้วยจานวนคน 20,000 คน ส่วนทัพของมังมหานรธาก็ได้เข้าตีเมืองทวาย และทัพของพระเจ้ามังระก็เข้าตีที่เมืองมณีปุระ หลังจากที่ได้ชัยชนะแล้วทัพของพระเจ้ามังระก็ไปรวมตัวกับทัพของมังมหานรธารวมเป็นกาลังผลกว่า 30,000 คน หลังจากนั้นพระเจ้ามังระจึงได้ทาการประกาศศึกกับเมืองอยุธยา เพราะเพียงแค่ต้องการทาลายอิทธิพลของเมืองอยุธยาให้สน้ิ เพอ่ื จะไดไ้ ม่มีใครมายุยงการก่อกบฏอีก โดยพระเจ้ามังระได้ประกาศออกไปว่าหากเมืองใดท่ียอมเข้าร่วมแต่โดยดี โดยส่งกาลังพลส่งเสบียงมาเข้าร่วมด้วยจะเว้นไว้ แต่หากหัวเมืองใดขดั ขนื กจ็ ะถกู เผาใหส้ ิ้นในไมช่ า้ พระเจ้าเอกทัศน์ก็ทราบถึงข่าวแล้วได้รวมกาลังพลกว่า 60,000 คน และวางกาลังพลไว้ที่เมืองกาญจนบุรี เมืองสุโขทัย เมืองพิษณุโลก และได้เตรียมกองทัพไว้ต้ังรับท่ีกรุงศรีอยุธยา ส่วนในฝั่งของพม่าก็ได้เร่ิมการโจมตีโดยแบ่งการโจมตีของทัพของเนเมียวสีหบดีโดยเริ่มตีเมืองจากเมืองลาปาง กาแพงเพชร สุโขทัย พิษณุโลก จนไปถึงเมืองอยุธยา ส่วนทางฝา่ ยทพั ของมงั มหานรธาก็ไดแ้ บง่ การโจมตีเป็น 3 ทาง ในทางแรกเป็นการโจมตีจากเมืองเมาะตามะแล้วตามด้วยเมืองสุพรรณบุรี ทางท่ีสองโจมตีโดยเริ่มจากเมืองมะริด เมืองเพชรบุรี เมืองชุมพรนนทบรุ ี ในทางท่ีเป็นการโจมตีเร่ิมจากทวายไปยังเมืองกาญจนบุรี และทั้ง 3 ทัพก็ไปรวมตัวกันท่ีกรุงศรีอยุธยา และสาเหตุที่ทัพของเนเมียวสีหบดี และทัพของมังมหานรธาสามารถเข้าไปถึงกรุงศรีอยุธยาได้ง่ายก็เพราะว่าการต้านทานของแต่ละเมืองนั้นมีการต้านทานเพียงเล็กน้อยที่เป็นเชน่ น้ี กเ็ นื่องมาจากความกลวั ของหวั เมืองจากการโจมตขี องพม่า พระเจ้าเอกทัศน์จึงได้ตัดสินใจให้สร้างค่ายล้อมเมืองเอาไว้ทั้ง 8 แห่ง ซึ่งในวันท่ี14 กันยายน พ.ศ. 2309 พม่าได้รุกคืบไปอยู่ใกล้กับกาแพงเมืองและได้สร้างค่ายกว่า 27 ค่ายล้อมรอบกรุงศรีอยุธยาเอาไว้ เมื่อพวกขุนนางรู้ก็พากันกันหนีเอาตัวรอด เพราะคิดว่าอย่างไรกรุงศรีอยธุ ยากต็ ้องผา่ ยแพ้ให้กบั พม่าแนน่ อน ระหว่างที่กองทัพพม่าล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่นั้น พระยาตาก (สิน) เห็นว่าไม่อาจจะต่อสู้พม่าได้ จึงรวบรวมสมัครพรรคพวกประมาณ 500 คน ตีฝ่าวงล้อมของกองทัพพม่าออกไปทางทศิ ตะวันออก และไปต้งั อยทู่ ีเ่ มอื งจันทบุรี เพื่อหาฐานท่ีมั่นวางแผนกลับมาตีกองทัพพม่าต่อไป ในท่ีสุดฝ่ายพม่าที่ต้ังทัพล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่นั้นก็สามารถตีกรุงศรีอยุธยาได้สาเร็จเป็นครง้ั ท่ี 2 ในปี พ.ศ. 2310 จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ทาให้บ้านเมืองสูญเสียคร้ังยิ่งใหญ่ เพราะพม่าได้ทาลายบ้านเรือน และวัดต่าง ๆ ด้วยการจุดไฟเผา รวมท้ังกวาดต้อนผู้คนไปเป็นเชลย และนาทรพั ย์สมบตั ติ า่ ง ๆ กลับไปเปน็ จานวนมาก สาเหตขุ องสงคราม พระเจ้ามังระ สืบราชย์ต่อจากพระเจ้ามังลอก พระเชษฐา ใน พ.ศ. 2306 และอาจนบั ได้ว่า พระเจา้ มังระมพี ระราชดารพิ ิชิตดินแดนอยุธยานบั แตน่ น้ั ในคราวที่พระเจ้าอลองพญา

73เสด็จมาบุกครองอาณาจักรอยุธยาน้ัน พระเจ้ามังระก็ทรงร่วมทัพมาด้วย หลังเสวยราชย์แล้วดว้ ยความที่ทรงมปี ระสบการณใ์ นการสู้รบครั้งกอ่ น พระเจ้ามังระจงึ ทรงทราบจุดออ่ นของอาณาจักรอยธุ ยาพอสมควร และตระเตรยี มงานสงครามไวเ้ ปน็ อนั ดี ในรัชกาลพระเจ้ามังระ มีการปราบกบฏในแว่นแคว้นต่าง ๆ และพระองค์ก็ทรงเห็นความจาเป็นต้องลดอานาจของกรุงศรีอยุธยาลง ถึงขนาดต้องให้แตกสลายหรืออ่อนแอไป เพื่อมิให้เป็นที่พ่ึงของเหล่าหัวเมืองท่ีคิดตีตัวออกห่างได้อีก พระองค์ไม่มีพระราช-ประสงค์ในอันที่จะขยายอาณาเขตอย่างเคย ในเวลาไล่เลี่ยกัน หัวเมืองล้านนาและหัวเมืองทวายก็กระด้างกระเด่ืองต่ออาณาจักรพม่า พระเจ้ามังระจึงต้องทรงส่งรี้พลไปปราบกบฏเดี๋ยวนั้นฝ่ายพม่าบันทึกว่าอยุธยาได้ส่งกาลังมาหนุนกบฏล้านนาน้ีด้วย แต่พงศาวดารไทยระบุว่า ทหารอยุธยาไมไ่ ด้ร่วมรบ เพราะพมา่ ปราบปรามกบฏเสร็จกอ่ นกองทพั อยธุ ยาจะไปถงึ นอกจากนี้ คาดว่ามสี าเหตอุ น่ื ๆ อนั นาไปส่กู ารสงครามกับอยุธยาด้วย เป็นต้นว่าอยุธยาไม่ส่งหุยตองจา ที่เป็นผู้นากบฏมอญ คืนพม่าตามที่พม่าร้องขอ (ตามความเข้าใจของชาวกรุงเก่าพระเจ้ามังระ หมายพระทัยจะเป็นใหญ่เสมอพระเจ้าบุเรงนอง หลังพระเจ้าอลองพญารุกรานในคร้ังก่อน มีการตกลงว่าฝ่ายอยุธยาจะถวายราชบรรณาการ แต่กลับบิดพล้ิว (ปรากฏในThe Description of the Burmese Empire) หรือไม่ก็พระเจ้ามังระ มีพระดาริว่า อาณาจักรอยธุ ยาอ่อนแอ จงึ สบโอกาสที่จะเข้าช่วงชิงเอาทรัพย์ศฤงคาร และจะได้นาไปใช้เตรียมตัวรับศึกกบั จนี ด้วย 2. การถอดองค์ความรู้ การเสียกรุงศรีอยุธยาคร้ังที่ 2 มีสาเหตุ เนื่องจากปัญหาการแย่งชิงอานาจของชนช้ันปกครองปลายกรุงศรีอยุธยา ต้ังแต่แผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์จนถึงสมัยพระเจ้า-เอกทัศน์ ซงึ่ นาไปสู่การกวาดล้างบา้ นเมอื ง อีกท้ังการขาดผู้มีความรู้ความสามารถในการบริหารและการรบ ซ่ึงผู้แพ้จะถูกฆ่าล้างโคตร เพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนาม หรือถูกจองจา ถูกถอดยศ ย่ิงเกิดการชิงอานาจบ่อยเท่าใด บ้านเมืองก็ยิ่งอ่อนแอมากเท่านั้น นอกจากนี้ได้เกิดความแตกสามัคคีในหมู่ขา้ ราชการ โดยแตกเป็นสองฝ่ายตามแตเ่ จ้านายตน แม้จะมีข้าศึกประชิดเมือง ข้าราชการก็ไม่สามารถสามัคคกี นั ได้ จากสาเหตุขา้ งตน้ จึงสง่ ผลให้เศรษฐกจิ ในสมัยนนั้ ตกต่า เพราะไพร่พลถูกเกณฑไ์ ปรบ ไมม่ ีเวลาทามาหากนิ พ่อค้าต่างชาติไม่กล้าเข้ามาค้าขาย ทาให้บ้านเมืองขาดเสบียงเมอื่ พมา่ ล้อมจงึ เสียกรุงในทสี่ ุด 3. บทเรยี นทไ่ี ดเ้ พอ่ื นามาปรบั ใช้ในการดาเนนิ ชวี ติ และความมัน่ คงของชาติ การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งท่ี 2 เกิดจากการขาดความสามัคคี ความอ่อนแอของกองทัพ กระทั่งคนในชาติเอง อีกท้ังส่วนหน่ึงมาจากการท่ีผู้บริหารบ้านเมืองยึดติดอยู่กับการแสวงหาผลประโยชนใ์ สต่ วั และหลงเพ้อกับภาพลวงตาของความมั่งคั่งจนมองไม่เห็นปัญหาทีส่ ะสมอยู่ ท่ีสาคัญจะเห็นได้จากความเข้มแข็งของผู้รุกราน คือ พม่า ซ่ึงมีกองกาลังที่พร้อมจะ

74รบทุกเม่อื จึงสง่ ผลให้พม่าสามารถตีกรุงศรีอยุธยาและกวาดต้อนผู้คน พร้อมทั้งทาลายสิ่งท่ีเป็นทรพั ย์สนิ ของชาติไทยไปอย่างนา่ เสยี ดายกิจกรรมท้ายเร่อื งที่ 4 การเสียกรงุ ศรีอยธุ ยา ครงั้ ท่ี 2(ให้ผูเ้ รยี นไปทากิจกรรมทา้ ยเรื่องที่ 4 ท่สี มดุ บันทึกกิจกรรมการเรียนรู้ประกอบชุดวิชา)เรอ่ื งท่ี 5 การกอบกูเ้ อกราชของสมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราช เหตุการณน์ ี้เกิดขึน้ ในช่วงกอ่ นท่ีกรงุ ศรีอยุธยาจะถกู ตีแตกในครง้ั ที่ 2 ขณะที่พม่าล้อมกรุงศรีอยุธยา พระยาวชิรปราการ (ตาแหน่งสุดท้ายของพระเจ้าตากสิน) เจ้าเมืองกาแพงเพชรซง่ึ ถูกเรียกตวั มาช่วยรกั ษากรงุ เหน็ วา่ จะรกั ษากรุงไวไ้ มไ่ ด้ จึงรวบรวมผู้คนได้ประมาณ 500 คนตฝี ่าแนวรบของทหารพมา่ ออกไปทางหวั เมืองชายทะเลตะวันออก เมื่อผ่านเมืองใดก็จะส่งทหารเขา้ ไปชกั ชวนให้เจ้าเมอื งมารว่ มมือกัน ถ้าเมืองใดไม่ยอมก็จะใช้กาลังเข้าโจมตี ทาให้พระเจ้าตากสินมกี าลงั มากขึ้น พระเจา้ ตากสินเห็นว่าการจะกูช้ าตบิ า้ นเมืองให้สาเร็จน้ันจะต้องมีบารมีเป็นที่นับถือยาเกรงของคนทั้งหลาย จึงประกาศต้ังตนเป็นเจ้าท่ีเมืองระยอง ด้วยความเห็นชอบของบรรดาทหารและประชาชน หลังจากน้ันจึงเดินทางไปยังจันทบุรี แต่ได้รับการต่อต้าน พระเจ้า-ตากสิน จึงทรงแสดงความสามารถใช้กลวิธีปลุกใจทหารและสร้างแรงบันดาลใจ โดยให้ทหารทุบหม้อข้าวหม้อแกงก่อนเข้าตี หวังจะไปกินอาหารมื้อต่อไปในเมือง ซึ่งได้ผลเพราะทหารเกิดกาลังใจท่ีจะต้องตีเมืองจันทบุรีให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะไม่มีอาหารกิน การตีจันทบุรีจึงสาเร็จ และพระเจ้าตากสินจึงใช้เมืองจันทบุรีเป็นศูนย์กลางในการกู้เอกราช การยกทัพของพระเจ้าตากสินท่ีตีฝ่าพม่าออกไปมีเส้นทางเดินทัพผ่านไปตามเมืองต่าง ๆ ถ้าพิจารณาตามสถานที่ของจังหวัดในปัจจบุ นั ก็จะผา่ นจงั หวัดพระนครศรีอยุธยา – นครนายก – ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา – ชลบุรี –ระยอง – จันทบรุ ี เมอ่ื พระเจา้ ตากสนิ มีกาลงั ไพรพ่ ลมากขึ้น จงึ ได้ยกทพั มาตีธนบุรเี ปน็ ด่านแรกได้ปะทะกบั กาลังของนายทองอิน คนไทยทีพ่ มา่ แตง่ ตั้งให้เปน็ ผรู้ ักษากรุง พระเจา้ ตากสินชนะจบั นายทองอินประหารชีวิต จากน้ันจงึ เดนิ ทัพตอ่ ไปทก่ี รงุ ศรอี ยุธยาในคา่ วันเดียวกันนนั่ เอง ศกึ กชู้ าตอิ ย่างแท้จรงิ ได้เริ่มขึ้นในเช้าวันเพ็ญ เดือน 12 ตรงกับวันศุกร์ท่ี 6 พฤศจิกายนพ.ศ. 2310 ณ ค่ายโพธิ์สามต้น ซึ่งอยู่เหนือกรุงศรีอยุธยาข้ึนไปเล็กน้อย มีกองกาลังของพม่าคุมเชิงอยู่มีสุกี้พระนายกองเป็นผู้บังคับบัญชา พระเจ้าตากสินรบชนะพม่าท่ีค่ายโพธิ์สามต้น ซึ่งถือเป็นการกู้เอกราชคืนจากพม่าได้สาเรจ็ โดยใช้เวลาเพียง 7 เดือนเศษเท่านั้นนับจากเสียกรุงศรีอยุธยาในปีพ.ศ. 2310 ปีต่อมาพระเจ้าตากสินได้ย้ายราชธานีจากกรุงศรีอยุธยาไปอยู่ที่กรุงธนบุรี ซึ่งมีช่ือเต็มว่า “กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร” และได้ปราบดาภิเษกข้ึนเป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4

75 เมือ่ ข้ึนครองราชย์เปน็ กษัตริย์แล้ว พระองคย์ งั มิไดม้ อี านาจเบด็ เสร็จครอบคลมุอาณาจักรไทยทั้งหมด เพราะว่าหลังจากกรุงศรีอยุธยาแตกแล้วแผ่นดินว่างกษัตริย์ บ้านเมืองระส่าระสาย คนไทยแตกแยกออกเป็นชุมนุมใหญ่น้อยมากมาย แต่ละชุมนุมต่างรบราฆ่าฟันกันเองเพื่อแย่งชิงเสบียงอาหารและปล้นสะดมทรัพย์สินหรือเสริมสร้างอานาจ ซ่ึงพระเจ้าตากสินไดท้ รงวางแผนการทจี่ ะรวบรวมชมุ นุมตา่ ง ๆ การปราบปรามชุมนุมต่าง ๆ เป็นความจาเป็นทางการเมอื ง เพราะชมุ นุมเหล่านสี้ ว่ นใหญม่ ีความไดเ้ ปรียบพระเจา้ ตากสินท้ังสนิ้ 1. การรวบรวมชุมนุมตา่ ง ๆ การรวบรวมแผน่ ดนิ ให้เป็นปกึ แผ่น พ.ศ. 2311 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ให้เตรียมเรือและกาลังจะขึ้นไปตีเมืองพิษณุโลก คร้ันถึงฤดูน้านอง สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก็เสด็จยกกาลังข้ึนไปทางเหนือเจ้าพิษณุโลกให้หลวงโกษายังคุมกาลังมาต้ังรับบริเวณปากน้าโพ เมื่อกองทัพสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมาถงึ ก็ได้มีการรบพงุ่ กนั สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีถูกปืนเข้าที่พระชงฆ์ (แข้ง) กองทัพกรุงธนบุรีจึงถอยกลับคืนพระนคร เจ้าพิษณุโลกทราบข่าวก็ปราบดาภิเษกตัวเองข้ึนเป็นพระเจ้าแผ่นดินแต่อีก 7 วันต่อมาก็ถึงแก่พิราลัย ชุมนุมพิษณุโลกก็อ่อนแอลง ไม่นานก็ถูกผนวกรวมกับชุมนุมเจ้าพระฝาง ต่อมาสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดให้จัดเตรียมกาลังเพ่ือทาลายคู่แข่งทางการเมืองคือ กรมหม่ืนเทพพิพิธ เจ้าแผ่นดิน “หุ่นเชิด” ของชุมนุมเจ้าพิมาย กรมหม่ืนเทพพิพิธสู้ไม่ได้พระองค์จึงถูกนาตัวกลับมายังกรุงธนบุรี และทรงถูกประหารระหว่างเดือนตุลาคม - เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2311 ราวเดือน 4 พ.ศ. 2312 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ให้เจ้าพระยาจักรี(แขก) เป็นแม่ทัพใหญ่ คุมกาลัง 5,000 คน ยกไปตีเมืองนครศรีธรรมราชทางบก เมื่อยกไปถึงท่าหมาก แขวงอาเภอลาพูน แม่ทัพธนบุรีไม่สามัคคี ตีค่ายชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราชไม่พร้อมกันจึงเสียที สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทราบและประเมินสถานการณ์แล้ว จึงเสด็จยกกองทัพเรือกาลัง 10,000 คน ไปชว่ ย ข้นึ บกแล้วเคลือ่ นทพั ต่อไปจนถึงเมืองไชยา ก่อนจะเขา้ ตีนครศรธี รรมราชฝ่ายกองทพั เรอื ธนบรุ ีก็ไปถงึ เช่นกัน กองทัพ กรุงธนบุรีจึงตไี ด้เมืองนครศรธี รรมราช ในปี พ.ศ. 2313 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก็ยกกองทัพข้ึนไปปราบชุมนุมเจ้าพระฝางตีได้เมืองพิษณุโลกแล้วตามไปตีเมืองสวางคบุรี เจ้าพระฝางสู้ไม่ได้ จึงนับได้ว่าสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบรุ ีปราบปรามชมุ นุมต่าง ๆ ลงอยา่ งราบคาบแลว้ 2. ตีเมืองจนั ทบรุ ี เหตใุ ดจึงต้องทุบหม้อตเี มอื งจันท์ เม่ือพระเจ้าตากสินนาทหารเพียง 500 คน แหวกวงล้อมของพม่าออกจากกรงุ ศรอี ยธุ ยา ทรงม่งุ ไปภาคตะวนั ออกกเ็ พราะไมม่ ีกองทพั ใหญ่ของพม่าอยู่ย่านนั้น คงมีแต่กองกาลังเลก็ ๆ ตั้งรกั ษาการไว้แคช่ ลบรุ ี แต่ก็ต้องปะทะกับทหารพม่าถึง 4 ครั้ง เมื่อกิตติศัพท์ท่ีพระเจ้า-ตากสินมีชัยชนะต่อกองทหารพม่ามาตลอด ทาให้ราษฎรที่หลบซ่อนอยู่ในป่า และนายซ่องท่ีรวมตัวกันป้องกันครอบครัวจากทหารพม่าเข้ามาสวามิภักด์ิเป็นอันมาก รวมท้ังพระระยอง ชื่อบุญ

76ซ่ึงว่าราชการเมืองระยอง เม่ือทราบข่าวว่าพระเจ้าตากสินกาลังยกมาด้านตะวันออกเกรงจะทาร้ายตวั จงึ ไปดักต้อนรับขออ่อนนอ้ มท่กี ลางทาง มอบข้าวสารให้หน่ึงเกวียนและเชิญเข้าเมืองแต่พระเจา้ ตากสินได้ต้งั คา่ ยทวี่ ดั ลุม่ นอกเมืองระยอง แมพ้ ระระยองจะอ่อนนอ้ มต่อพระเจ้าตากสิน แต่กรมการเมืองระยองหลายคนกลับเห็นว่าพระเจ้าตากสินเป็นกบฏ เพราะขณะน้ันกรุงศรีอยุธยายังไม่เสียแก่พม่า จึงคบคิดที่จะเข้าตีค่ายที่วัดลุ่ม แต่มีคนท่ีสวามิภักด์ินาความมาบอก พระเจ้าตากสินจึงเตรียมรับแล้วโต้กลับจนเขา้ ยึดเมืองระยองได้ ขณะนั้นหัวเมืองใหญ่สุดในทะเลภาคตะวันออกก็คือเมืองจันทบุรี ยังคงมีเจ้าเมืองปกครองตามปกติและมีกาลังมาก พระเจ้าตากสินใคร่หยั่งท่าทีว่าเจ้าเมืองจันทบุรีจะร่วมมือด้วยหรือไม่จึงส่งทูตถือศุภอักษรไปแจ้งว่า พระเจ้าตากสินได้มาตั้งรวบรวมผู้คนที่เมืองระยอง หมายจะไปรบกับพม่าให้พระนครพ้นจากอานาจข้าศึก ขอให้พระยาจันทบุรีเห็นแก่บา้ นเมือง ชว่ ยกันปราบปรามพมา่ ให้กรงุ ศรอี ยุธยาผาสกุ ดังแตก่ อ่ น พระยาจันทบุรีรับสาส์นแล้วก็ตอบรับว่าจะมาปรึกษาหารือที่เมืองระยองใน 10 วนั ตอนนีข้ อส่งเสบยี งอาหารมาให้ก่อน คร้ันถึงกาหนด 10 วัน พระยาจันทบุรีก็ไม่ได้มาตามสญั ญาสง่ แต่กรมการเมืองนาข้าวเปลอื กอกี 4 เกวียนมาให้ ต่อมาถึงเดือน 5 ปีกุน พ.ศ. 2310 กรุงศรีอยุธยาก็แตก คนท่ีมีกาลังอยู่ตามหัวเมืองก็อยากจะต้ังตัวเป็นใหญ่กันทั้งนั้นด้วยแผ่นดินว่างอานาจ พระยาจันทบุรีก็เพ้อด้วยเพราะถูกยุจากคนรอบตัว โดยเฉพาะขุนรามและหมื่นซ่อง กรมการเมืองระยองที่หนีไปจากการเข้าปล้นค่ายพระเจ้าตากสิน ซ่องสุมกาลังอยู่ท่ีบ้านประแส แขวงเมืองจันทบุรี คุมสมัครพรรคพวกออกปล้นวัวควายช้างม้าของชาวระยองอยู่เนือง ๆ พระเจ้าตากสินเห็นว่าจะต้องปราบปรามให้ราบคาบจงึ นาทหารไปบ้านประแส บ้านไร่ บ้านกร่า เมืองแกลง ระดมยิงด้วยปืนใหญ่จนแตกกระเจิงขุนรามและหมืน่ ซอ่ งหนไี ปหาพระยาจนั ทบุรี พระยาจันทบุรีคาดว่าพระเจ้าตากสินจะต้องมาตีเมืองจันทบุรีต่อแน่ จึงคบคิดกบั ขนุ รามและหมื่นซ่อง เห็นว่าเจ้าตากสินมีฝีมือเข้มแข็งท้ังรี้พลก็ชานาญศึก จะสู้ซึ่งหน้าคงไม่ไหวจาจะใช้อบุ ายลอ่ เขา้ มาในเมอื งกจ็ ะกาจัดได้โดยง่าย เมื่อคิดได้ดังนั้น พระยาจันทบุรีจึงนิมนต์พระสงฆ์ 4 รูป ให้เป็นทูตไปเชิญพระเจ้าตากสินมาเมืองจันทบุรี แจ้งว่าพระยาจันทบุรีมีความเจ็บแค้นข้าศึกที่มาย่ายีกรุงศรีอยุธยาจึงเต็มใจจะมาช่วยพระเจ้าตากสินปราบยุคเข็ญ และเห็นว่าเมืองระยองเป็นเมืองเล็กจะเป็นที่รวบรวมกองทัพใหญ่ได้ยาก จึงขอเชิญไปตั้งท่ีจันทบุรีซ่ึงเป็นเมืองใหญ่ และมีอาหารอุดมสมบูรณ์ จะได้ปรึกษาหารือเตรียมยกไปกู้กรุงศรีอยุธยาจากข้าศึกให้จงได้ พระเจ้าตากสินฟังความแล้วก็ไม่ไว้วางใจพระยาจันทบุรี แต่เม่ือปรึกษาแม่ทัพนายกองแล้วเห็นว่าควรจะยกไปเพ่ือให้รแู้ น่ หากประสงคร์ า้ ยกจ็ ะได้จัดการเสยี

77 พระเจ้าตากสินนาทัพตามพระสงฆ์ไป 5 วันก็ถึงบางกระจะหัวแหวน ห่างเมืองจันทบุรี 200 เส้น พระยาจันทบุรีให้ปลัดกับขุนหม่ืนกรมการเมืองออกมาต้อนรับ บอกว่าจัดท่ีใหต้ ง้ั ทาเนียบไวท้ ี่ริมนา้ ฟากใต้ตรงข้ามเมือง พระเจ้าตากสินก็สั่งให้ทัพหน้าตามปลัดเมืองไปแต่ยังไมท่ ันถึงเมืองจันทบุรีก็มผี ู้มาบอกใหท้ ราบว่า พระยาจันทบุรีพร้อมขุนรามและหมื่นซ่องระดมคนไว้ในเมืองจะออกมาโจมตีตอนข้ามแม่น้า พระเจ้าตากสินจึงให้ม้าเร็วไปส่งข่าวทัพหน้า ส่ังให้เลีย้ วกระบวนไปทางเหนือ ตรงไปวัดปา่ แก้ว หา่ งประตูทา่ ช้างเพยี ง 4 เส้น พระยาจันทบุรีเห็นว่าพระเจ้าตากสินไม่เดินไปตามแผนก็ตกใจ รีบให้ไพร่พลขึ้นรักษาเชิงเทิน แล้วให้ขุนพรหมธิบาลซึ่งคุ้นเคยกับพระเจ้าตากสินมาก่อน ออกมาเช้ือเชิญให้เข้าไปในเมอื ง พระเจา้ ตากสินจึงวา่ ที่พระยาจันทบุรีให้พระสงฆ์ไปเชิญมาคิดอ่านกู้กรุงศรีอยุธยากันก็เขา้ ใจว่าเปน็ ความบรสิ ุทธใ์ิ จจึงมา แต่เมอ่ื มาถงึ แล้วก็ไม่ได้ออกมาต้อนรับอย่างผู้น้อยกับผู้ใหญ่เพราะเจ้าเมืองกาแพงเพชรถือศักดินาหม่ืน มียศเป็นผู้ใหญ่กว่าพระยาจันทบุรี แต่กลับเรียกระดมคนเข้าประจาหนา้ ท่ีเชิงเทิน ทัง้ ยงั คบหาขนุ รามหมน่ื ซ่องทท่ี าร้ายเราไว้เป็นมิตร พระยาจันทบุรีทาเหมือนหน่ึงเป็นข้าศึกกับเรา ถ้าจะให้เราเข้าไปในเมือง พระยาจันทบุรีก็ควรออกมาหาเราก่อน หรอื ส่งตัวขุนรามกบั หมืน่ ซอ่ งออกมา แล้วพระยาจันทบุรีออกมาทาสัตย์สาบานให้เราไว้ใจจะรักใคร่นับถือเหมือนเป็นพี่น้องกันต่อไป พระยาจันทบุรีก็ตอบออกมาว่าขุนรามหม่ืนซ่องมีความกลัวไม่กล้าออกมา ทั้งพระยาจันทบุรีก็ไม่ยอมออก ส่งแต่สารับเครื่องเลี้ยงดูมาให้พระเจ้าตากสินขดั เคอื งจงึ สงั่ ใหก้ ลบั ไปบอกพระยาจนั ทบุรีว่า เมอื่ ไม่เหน็ แกไ่ มตรีแล้วกร็ กั ษาเมอื งไว้ให้ดีเถดิพระยาจนั ทบุรีจึงสงั่ ปดิ ประตูเมืองเตรยี มรบั มือเตม็ ที่ ดว้ ยเช่ือว่าตัวมกี าลงั มากกวา่ พระเจา้ ตากสินรู้สถานะของตัวเองว่าอยู่ในท่ีคับขันเสียแล้ว ข้าศึกที่อยู่ในเมืองมีกาลังมากกว่า เป็นแต่คร่ันคร้ามไม่กล้าออกมาสู้ซึ่งหน้า แต่ถ้าหากพระเจ้าตากสินล่าถอยเม่ือใด ข้าศึกก็จะออกมาล้อมตีได้หลายทางเพราะชานาญพื้นท่ี และถ้าจะตั้งประจันหน้ากันต่อไปกจ็ ะขาดเสบยี งอาหาร เหมือนหนึ่งคอยใหข้ ้าศึกเลือกเวลาโจมตเี อาตามใจชอบ ด้วยความเป็นชายชาตินักรบ เห็นว่าถ้าชิงลงมือก่อนจะได้เปรียบ จึงเรียกแม่ทพั นายกองมาสัง่ ว่า “เราจะตีเมอื งจนั ทบรุ ีในคา่ วนั น้ี เมือ่ กองทพั หงุ ข้าวเยน็ กินเสรจ็ แล้ว ทั้งนายไพร่ ใหเ้ ททง้ิ อาหารท่เี หลอื และต่อยหม้อเสียให้หมด หมายไปกินข้าวเช้าด้วยกันที่ในเมืองพรุ่งนี้ถ้าตเี อาเมอื งไมไ่ ด้ในคา่ วันน้ี ก็จะไดต้ ายเสยี ดว้ ยกนั ให้หมดทีเดยี ว” นายทพั นายกองเหน็ อาญาสิทธิ์พระเจา้ ตากสนิ มาแต่ก่อน จึงไม่มีใครกล้าขัดขืนคร้ันเวลาค่าพระเจ้าตากสินจึงให้ทหารแอบไปซุ่มตัวมิให้ชาวเมืองรู้ ส่ังให้คอยฟังเสียงปืนสัญญาณเข้าปล้นเมืองพร้อมกัน แต่อย่าให้ออกเสียงอื้ออึง จนเมื่อพวกไหนเข้าเมืองได้แล้วจึงค่อยโห่ร้องข้ึนให้ด้านอื่นรู้ คร้ันพอได้ฤกษ์ 3 นาฬิกา พระเจ้าตากสินก็ขึ้นคอช้างพังคีรีบัญชรให้ยงิ ปืนสัญญาณบอกทหารให้เข้าปล้นเมืองพร้อมกัน ส่วนพระเจ้าตากสินก็ขับช้างจะพุ่งเข้าพังประตูเมือง พวกชาวเมืองที่รักษาอยู่บนกาแพงจึงระดมยิงลงมา นายท้ายช้างเกรงพระเจ้าตากสินจะเป็นอันตรายจึงเกี่ยวช้างทรงให้ถอยออก พระเจ้าตากสินขัดพระทัยชักพระแสงดาบหันมาจะฟัน

78นายท้ายช้างตกใจรอ้ งขอชีวติ แล้วไสช้างกลับเข้าชนบานประตเู มืองพังลง พวกทหารก็กรูกันเข้าประตูเมืองพร้อมโห่ร้อง ทหารพระยาจันทบุรีรู้ว่าข้าศึกเข้าเมืองได้ก็พากันละท้ิงหน้าที่เผ่นหนีเอาตัวรอด พระยาจันทบุรีพาครอบครัวลงเรือหนีไปได้ เมื่อพระเจ้าตากสินสามารถตีเข้าเมืองจันทบรุ ีได้นนั้ เปน็ วนั อาทติ ย์ เดอื น 7 ปีกนุ พ.ศ. 2310 3. การสร้างกรงุ ธนบรุ ี อนุสาวรียส์ มเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (ท่มี า : https://siwakon19.wordpress.com/tag/การสถาปนากรงุ ธนบุรีเปน็ ราชธาน)ี “กรุงธนบุรี” เป็นราชธานีต่อเนื่องมาจาก กรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้าตากสิน-มหาราช ทรงสถาปนาเป็นเมืองหลวงมาตั้งแต่วันท่ี 28 ธันวาคม 2310 และมาส้ินสุดการเป็นราชธานี เมือ่ สมเดจ็ พระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราชทรงโปรดฯ ให้ยา้ ยเมืองหลวงมาอยู่ฝ่ังพระนครเมื่อวันท่ี 6 เมษายน 2325 การเป็นราชธานีของธนบุรีจึงมีระยะเวลายาวนานเพียงแค่ 15 ปีเทา่ นัน้ การสถาปนากรงุ ธนบรุ ีเป็นราชธานี เมือ่ พระเจ้าตากสินทรงขับไล่พม่าออกไปจากกรุงศรีอยุธยาแล้ว ก็ทรงรวบรวมผู้คนและทรัพย์สมบัติ ซ่ึงสุก้ีพระนายกองยังมิได้ส่งไปยังเมืองพม่า และได้นามาเก็บรักษาไว้ในค่ายนั้นมีแม่ทัพนายกอง ข้าราชการ และเจ้านายหลายพระองค์ในพระราชวงศ์แห่งกรุงศรีอยุธยาตกค้างถูกกุมขังอยู่ในค่าย พระเจ้าตากสินได้ประทานอุปการะเล้ียงดูตามสมควร ส่วนเมืองลพบุรีก็ยอมอ่อนน้อม ปรากฏว่า ท่ีลพบุรีมีพระบรมวงศานุวงศ์ของพระเจ้าเอกทัศน์ล้ีภัยมาพานักอยู่มากพระเจ้าตากสินทรงสั่งให้คนไปอัญเชิญไว้ยังเมืองธนบุรี และกระทาการขุดพระบรมศพของสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ข้ึนมาถวายพระเพลิงตามโบราณราชประเพณี ต่อจากนั้นพระเจ้าตากสิน

79ได้เสด็จออกตรวจตราดูความพินาศเสียหายของปราสาทราชมณเฑียร และวัดวาอารามทั้งปวงแล้วก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อพยพผู้คนเคล่ือนย้ายลงมาทางใต้ ตั้งราชธานีข้ึนใหม่ท่ีเมืองธนบุรีเรียกนามราชธานีน้ีวา่ กรงุ ธนบรุ ศี รีมหาสมทุ ร 1. เหตุผลท่ีทรงย้ายราชธานีจากกรุงศรีอยุธยา หลังจากพระเจ้าตากสินทรงตรวจดูซากปรักหักพังของกรุงเก่าแล้ว มีเรื่องราวเล่าไว้ในพงศาวดารว่า พระองค์ทรงพระสุบินว่าพระมหากษัตริย์องค์ก่อน ๆ ได้ทรงขับไล่มิให้พระองค์ทรงอยู่ท่ีน่ัน จึงทรงคิดจะย้ายราชธานีไปท่อี ่ืน มเี หตุผลสาคัญ ดงั นี้ 1.1 กรงุ ศรอี ยุธยานั้นถงึ แม้เป็นบรเิ วณทีม่ ชี ยั ภมู นิ ้าล้อมรอบ และเปน็ เมอื งปอ้ ม-ปราการมัน่ คง แต่รพี้ ลของพระเจา้ ตากสินท่ีมีอยู่ไม่เพียงพอแก่การรักษากรุงศรีอยุธยาและต่อสู้กับข้าศึกได้ เพราะขณะน้ันศัตรูยังมีมาก ท้ังพม่าและคนไทยก๊กอื่น อาจยกกองกาลังมาย่ายีเมือ่ ใดก็ได้ 1.2 กรงุ ศรอี ยธุ ยาอย่ใู นทาเลที่ข้าศึกจะมาถึงไดส้ ะดวก ทงั้ ทางบกและทางน้าหากมีกาลังไม่พอรักษาข้าศึกโดยเฉพาะพม่ารู้ลู่ทางภูมิประเทศ และจุดอ่อนของกรุงศรีอยุธยาเปน็ อย่างดี ทาให้เสยี เปรียบในการป้องกันพระนคร 1.3 กรุงศรีอยุธยาทรุดโทรมมากจนยากแก่การบูรณะให้ดีดังเดิมได้เพราะต้องใชก้ าลังคน กาลังทรัพย์ และเวลาในการบูรณะซอ่ มแซม 1.4 กรุงศรีอยุธยาอยู่ห่างทะเลมากเกินไป ไม่สะดวกแก่การติดต่อค้าขายกับนานาประเทศซึ่งนบั วนั จะเจริญขน้ึ 2. เหตุผลท่ีทรงเลือกเมืองธนบุรีเป็นราชธานี การท่ีพระเจ้าตากสินได้ทรงเลือกเมืองธนบรุ เี ปน็ ท่ตี ั้งราชธานแี ห่งใหม่ มเี หตผุ ลสาคัญ ดังน้ี 2.1 กรงุ ธนบรุ ีต้งั อย่ทู ่นี า้ ลึกใกลท้ ะเล หากข้าศกึ ยกมาทางบก โดยไม่มีทัพเรือเปน็ กาลงั สนับสนุนด้วยแล้วก็ยากที่จะตีได้สาเร็จ และในกรณีที่ข้าศึกมีกาลังมากกว่าท่ีจะรักษากรงุ ไว้ได้ ก็อาจย้ายไปตงั้ มนั่ ทจ่ี นั ทบุรี โดยทางเรอื ไดส้ ะดวก 2.2 กรุงธนบุรีมีป้อมปราการอยู่ทั้ง 2 ฟากแม่น้า คือ ป้อมวิไชยประสิทธิ์และป้อมวิไชเยนทร์ที่สร้างไว้ตั้งแต่รัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช หลงเหลืออยู่พอทใ่ี ช้ป้องกนั ข้าศกึ ท่จี ะเขา้ มารุกรานโดยยกกาลงั มาทางเรือได้บ้าง 2.3 กรุงธนบุรีตั้งอยู่บนเกาะเหมือนกรุงศรีอยุธยา และยังมีสภาพเป็นท่ีลุ่มมีบึงใหญน่ ้อยอย่ทู ั่วไป ซ่ึงจะเป็นเครอื่ งกดี ขวางข้าศกึ มิใหโ้ อบล้อมพระนครไดง้ ่าย 2.4 กรุงธนบุรีตั้งปิดปากน้าระหว่างเส้นทางที่หัวเมืองฝ่ายเหนือท้ังปวงจะได้ไปมาค้าขายติดต่อกับต่างประเทศ จึงสามารถกีดกันมิให้หัวเมืองฝ่ายเหนือที่ต้ังตัวเป็นใหญ่ซ้ือหาเคร่อื งศาสตราวธุ ยุทธภัณฑ์จากต่างประเทศได้

80 2.5 กรงุ ธนบรุ อี ยใู่ กล้ทะเล สะดวกแกก่ ารไปมาคา้ ขายและติดต่อกบั ตา่ งประเทศเรือสินค้าสามารถเข้าจอดเทียบท่าได้ โดยไม่ต้องขนถ่ายสินค้าลงเรือเล็กอย่าง สมัยกรุงศรีอยธุ ยาทาให้ประหยดั เวลาและค่าใช้จา่ ยไดม้ าก 2.6 กรุงธนบุรเี ป็นเมืองเกา่ มวี ัดจานวนมากที่สรา้ งไว้ตั้งแตส่ มัยกรุงศรีอยุธยาเพียงแต่บูรณะและปฏิสังขรณ์บา้ งเทา่ น้ัน ไมจ่ าเปน็ ตอ้ งสรา้ งวดั ขึ้นใหมท่ ั้งหมด 2.7 กรุงธนบุรี มีดินดี มีคลองหลายสาย มีน้าใช้ตลอดปี เหมาะแก่การทานาปลกู ข้าว ทาสวนผัก และทาไรผ่ ลไม้ ดว้ ยเหตนุ ี้ พระเจา้ ตากสินจึงทรงพาผู้คนมาต้ังเมืองหลวงใหม่ท่ีธนบุรี และได้ทรงทาพิธีปราบดาภิเษก ประกาศพระเกียรติยศขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงพระนามว่าสมเด็จพระศรีสรรเพชญ์ ในปี พ.ศ. 2310 ทรงปกครองกรุงธนบุรีสืบมา มีพระนามอย่างเป็นทางการว่า สมเดจ็ พระเจ้าตากสินมหาราชกจิ กรรมท้ายเรอื่ งที่ 5 การกอบกเู้ อกราชของสมเดจ็ พระเจ้าตากสินมหาราช(ใหผ้ เู้ รยี นไปทากจิ กรรมท้ายเรือ่ งที่ 5 ทสี่ มดุ บันทกึ กิจกรรมการเรียนรู้ประกอบชดุ วิชา)

81 หน่วยการเรยี นรู้ที่ 4 ความสัมพันธก์ บั ต่างประเทศในสมยั กรงุ ศรอี ยุธยาและกรงุ ธนบุรีสาระสาคญั การติดตอ่ สัมพันธก์ บั ต่างประเทศของไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาและกรุงธนบุรี มีท้ังการติดต่อสัมพันธ์กับรัฐเพื่อนบ้าน ประเทศในทวีปเอเชีย และประเทศในทวีปยุโรป ซ่ึงการตดิ ต่อสมั พนั ธ์สว่ นใหญจ่ ะเป็นการตดิ ตอ่ สมั พนั ธ์ในเร่ืองของการคา้ ขาย และการเผยแพร่ศาสนา ความสมั พนั ธร์ ะหว่างประเทศในสมัยกรงุ ศรอี ยธุ ยากับรัฐอื่น ๆ ส่วนใหญ่เป็นไปเพ่ือประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ ศิลปวัฒนธรรม และความม่ันคงของอาณาจักร และมักจะใช้นโยบายสร้างความเปน็ มติ รไมตรีตอ่ กนั บางครงั้ กห็ ันไปใช้นโยบายทางด้านการเผชิญหน้าทางทหารความสัมพันธ์กับต่างประเทศสมัยกรุงศรีอยุธยา มีทั้งความสัมพันธ์กับรัฐเพ่ือนบ้าน ความสัมพันธ์กับประเทศในทวีปเอเชยี และทวีปยโุ รป อาณาจกั รกรุงธนบุรแี ม้จะดารงอยไู่ ด้เพียง 15 ปี ก็สนิ้ สดุ สมัยธนบรุ ี แต่กรงุ ธนบุรีก็ได้มีการพัฒนาทางด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศอย่างรวดเร็ว ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในสมัยกรุงธนบุรี มีลักษณะสาคัญ 2 ประการ คือ การป้องกันประเทศจากการรุกรานของต่างชาติ และการแผ่ขยายอานาจไปยังอาณาจักรข้างเคียง เป็นลักษณะการเผชิญหน้าทางการทหาร เพ่ือเสริมสร้างความม่ันคงแก่บ้านเมือง การแบ่งแยกการปกครองและการทูต ท้ังน้ีเพื่อประโยชน์ทางด้านความมั่นคงและความปลอดภัยจากการรุกรานของข้าศึกอีกทัง้ เพอื่ ประโยชนท์ างดา้ นเศรษฐกิจและการค้าของอาณาจักรธนบุรี ลักษณะความสัมพันธ์กับต่างชาติในสมัยกรุงธนบุรีเป็นความสัมพันธ์ที่เกิดในระยะสั้น ๆ เพียง 15 ปี ของอาณาจักรกรุงธนบุรี ได้แก่ ความสัมพันธ์กับรัฐเพ่ือนบ้านความสมั พันธ์กับประเทศในทวีปเอเชยี และความสมั พนั ธ์กบั ประเทศในทวีปยโุ รปตวั ชีว้ ดั 1. อธบิ ายความสมั พันธ์กบั ตา่ งประเทศในสมัยกรงุ ศรอี ยธุ ยาและสมัยกรุงธนบุรี 2. วเิ คราะหค์ วามสมั พนั ธ์กับต่างประเทศในทวีปเอเชียและทวีปยุโรปท่ีส่งผลต่อความมน่ั คงของประเทศ 1) ด้านเศรษฐกจิ การคา้ 2) ด้านการเมือง การปกครอง 3) ดา้ นการทตู 4) ด้านศาสนา และวฒั นธรรม 5) ด้านการศกึ ษา

82ขอบข่ายเน้อื หา เรอื่ งที่ 1 ความสัมพันธ์กบั ต่างประเทศในสมัยกรุงศรอี ยธุ ยา 1.1 ความสมั พนั ธ์กบั รฐั เพือ่ นบ้าน 1.2 ความสมั พนั ธ์กับประเทศในทวปี เอเชยี 1.3 ความสัมพนั ธ์กับประเทศในทวปี ยุโรป (ชนชาตติ ะวนั ตก) เรื่องท่ี 2 ความสัมพันธ์กับต่างประเทศในสมยั กรงุ ธนบรุ ี 2.1 ความสัมพันธก์ ับรฐั เพอ่ื นบา้ น 2.2 ความสมั พันธ์กบั ประเทศในทวีปยโุ รปเวลาที่ใช้ในการศึกษา 10 ช่วั โมงสื่อการเรียนรู้ 1. ชุดวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย รหัสรายวชิ า สค22020 2. สมุดบันทกึ กจิ กรรมการเรียนรู้ประกอบชุดวชิ า

83เรอ่ื งท่ี 1 ความสัมพนั ธก์ บั ตา่ งประเทศในสมัยกรุงศรีอยุธยา การติดต่อสัมพันธ์กับต่างประเทศของไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา และกรุงธนบุรีมีท้ังการติดต่อสัมพันธ์กับรัฐเพื่อนบ้าน ประเทศในทวีปเอเชีย และประเทศในทวีปยุโรป(ชาติตะวันตก) ซึ่งการติดต่อสัมพันธ์ส่วนใหญ่จะเป็นการติดต่อสัมพันธ์ในเรื่องของการค้าขายและการเผยแพรศ่ าสนา กล่าวคือ ความสมั พันธ์ระหว่างประเทศของกรุงศรีอยุธยากับรัฐอื่น ๆ ส่วนใหญเ่ ปน็ ไปเพ่ือประโยชนท์ างดา้ นเศรษฐกิจ ศิลปวัฒนธรรม และความมนั่ คงของอาณาจักร และมักจะใช้นโยบายสร้างความเป็นมิตรไมตรตี ่อกนั บางครง้ั กห็ นั ไปใช้นโยบายทางด้านการเผชญิ หน้าทางทหาร ความสัมพนั ธ์กับต่างประเทศสมยั กรงุ ศรอี ยุธยา มีดังนี้ 1. ความสมั พันธ์กับรัฐเพื่อนบา้ น 1.1 ความสัมพันธ์กับสุโขทัย กรุงศรีอยุธยาสร้างความสัมพันธ์กับสุโขทัยด้วยการใชน้ โยบายการสรา้ งมิตรไมตรี การเผชิญหน้าทางการทหาร และนโยบายสร้างความสัมพันธ์เชงิ เครอื ญาตผิ สมผสานกันไป สมัยกรุงศรีอยุธยาพยายามจะใช้การเผชิญหน้าทางการทหารกับสโุ ขทัย เพ่อื ใหส้ โุ ขทัยอย่ภู ายใต้อานาจของอยุธยามาต้ังแต่สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี 1 (พระเจ้าอู่ทอง) และสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว) บางคร้ังสุโขทัยก็ยอมอ่อนน้อมบางครั้งก็เป็นอิสระ แต่พอมาถึงสมัยสมเด็จพระอินทราชา (เจ้านครอินทร์) พระองค์ได้ส่งกองทัพขึ้นมาแก้ไขปัญหาจลาจลท่ีสุโขทัย ทาให้สุโขทัยกลับมาอยู่ภายใต้อานาจของกรุงศรีอยุธยาความสัมพันธ์ระหว่างกรุงศรอี ยธุ ยากบั สุโขทัยในฐานะท่ีเป็นเมืองประเทศราชของกรุงศรีอยุธยาไดส้ นิ้ สุดลงใน ปี พ.ศ. 2006 เมอ่ื สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงผนวกสุโขทัยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกรุงศรีอยุธยาเพ่ือป้องกันความวุ่นวายในสุโขทัยที่จะเกิดข้ึน และป้องกันมิให้ล้านนาขยายอิทธิพลลงมาแถบล่มุ แม่นา้ เจา้ พระยาตอนบน โดยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเสด็จขึ้นมาครองเมืองพิษณุโลก เมื่อ ปี พ.ศ. 2006 ในฐานะเป็นราชธานีของกรุงศรีอยุธยาจนสิ้นสมัยของพระองค์ การดาเนินนโยบายของกรุงศรีอยุธยาในครั้งนั้นมีผลทาให้อาณาเขตของกรุงศรีอยุธยาขยายออกไปอยา่ งกว้างขวาง และมีความเข้มแข็งมากยิ่งขน้ึ 1.2 ความสัมพันธ์กับล้านนา อาณาจักรล้านนาในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นดินแดนท่ีครอบคลุมพ้ืนท่ีส่วนใหญ่ทางภาคเหนือของประเทศไทย ปัจจุบันประกอบด้วยเมอื งเชยี งใหม่ ลาพูน ลาปาง เชียงราย พะเยา แพร่ และนา่ น โดยมีเมืองเชียงใหม่เป็นศูนย์กลางสาคัญของล้านนา ลักษณะความสัมพันธ์กับอาณาจักรล้านนาส่วนใหญ่เป็นการเผชิญหน้าทางการทหาร กรุงศรีอยุธยามักจะทาสงครามกับล้านนาเพ่ือป้องกันมิให้ล้านนาเข้ามาคุกคามหัวเมืองฝ่ายเหนือของกรุงศรีอยุธยา บางครั้งก็ต้องการใช้ล้านนาเป็นด่านหน้าป้องกันการคุกคามจากพม่าทางด้านเหนือนับตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะง่ัว) เป็นต้นมากรุงศรีอยุธยาพยายามส่งกองทัพไปรบกับล้านนาเพ่ือให้ล้านนายอมอยู่ใต้อานาจแต่ไม่ประสบความสาเรจ็ แมใ้ นปี พ.ศ. 2088 สมยั สมเดจ็ พระไชยราชาธิราช กรุงศรีอยุธยาสามารถยึดเมืองล้านนา

84เป็นเมืองประเทศราชได้ แต่สุดท้ายล้านนาก็ต้องตกเป็นเมืองประเทศราชของกรุงหงสาวดี และตอ่ มากรุงศรอี ยธุ ยาไดล้ ้านนากลบั มาเปน็ เมอื งประเทศราชอีกคร้ังในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชโดยเมืองล้านนายอมเขา้ มาสวามิภักด์ิ แต่หลังจากสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมืองล้านนาก็เร่ิมแยกตัวเปน็ อิสระไปตกเป็นประเทศราชของพม่าบ้าง ของกรงุ ศรอี ยุธยาบา้ ง 1.3 ความสัมพันธ์กับพม่า ความสัมพันธ์ระหว่างกรุงศรีอยุธยากับพม่า เริ่มต้นในสมยั สมเด็จพระไชยราชาธริ าช เมอ่ื กรงุ ศรีอยุธยาส่งกองทัพไปช่วยเมืองเชียงกรานของมอญที่เป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยารบกับพม่าที่เข้ามาโจมตีเป็นคร้ังแรกในปี พ.ศ. 2081 นับตั้งแต่น้นั มาพมา่ พยายามขยายอานาจเข้ามารกุ รานกรุงศรอี ยุธยา จนกระทงั่ กรุงศรีอยุธยาต้องสูญเสียอิสรภาพแกพ่ มา่ ในปี พ.ศ. 2112 ในสมัยสมเดจ็ พระมหนิ ทราธิราช นานถงึ 15 ปี จงึ ไดเ้ ปน็ อสิ ระ กรุงศรีอยุธยา มีความสัมพันธ์กับพม่าในลักษณะของการทาศึกสงคราม ซ่ึงส่วนใหญ่พม่าจะเป็นฝ่ายเข้ามารุกรานกรุงศรีอยุธยา และในบางสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้ดาเนินความสัมพันธ์กับพม่าในลักษณะประนีประนอม เพื่อรักษาความมั่นคงของอาณาจักร รวมท้ังชวี ติ และทรัพยส์ ินของคนไทย 1.4 ความสัมพันธ์กับหัวเมืองมอญ ดินแดนหัวเมืองมอญ ประกอบด้วยเมืองเมาะตะมะ เชียงกราน มะริด ตะนาวศรี ทวาย และเมืองพัน ซึ่งต้ังอยู่ทางทิศตะวันตกของกรุงศรีอยุธยา ติดต่อกับอาณาเขตของอาณาจักรพม่า ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างกรุงศรีอยุธยากับหัวเมืองมอญ มีท้ังความสัมพันธ์ด้านการค้า การผูกพันธไมตรีด้วยการให้ความช่วยเหลือเกอ้ื กูลตอ่ กัน และมีความสัมพันธ์ทางด้านการเมืองในลักษณะทร่ี าชธานีมตี อ่ เมืองประเทศราช มอญมีความสาคญั ต่อความมนั่ คงของอาณาจักรอยุธยามาก เพราะหัวเมืองมอญเป็นเสมือนเมืองด่านหน้าของกรุงศรีอยุธยาในการสกัดกั้นกองทัพพม่า ขณะเดียวกันก็มีความสาคญั ต่อเศรษฐกจิ ของกรงุ ศรีอยุธยา เพราะกรุงศรีอยุธยาอาศัยหัวเมืองมอญเป็นเมืองท่าหรือเป็นทางผา่ นในการติดต่อค้าขายกบั พ่อค้าเรือสาเภาจากอนิ เดยี ลงั กา และอาหรับ ทางด้านทะเลอนั ดามัน ทาให้กรงุ ศรอี ยธุ ยาต้องป้องกนั หัวเมอื งมอญจากพมา่ 1.5 ความสัมพันธ์กับเขมร เขมรหรือกัมพูชามีอาณาเขตอยู่ทางตะวันออกของกรุงศรอี ยุธยา ลกั ษณะความสัมพันธท์ ีก่ รงุ ศรีอยธุ ยามีตอ่ เขมรส่วนใหญ่จะเป็นความสัมพันธ์ทางดา้ นวัฒนธรรม ด้านการทาสงคราม และด้านการเมืองในฐานะท่ีเขมรเป็นเมืองประเทศราชของกรงุ ศรอี ยธุ ยา กรุงศรอี ยธุ ยาไดร้ บั วัฒนธรรมหลายอยา่ งมาจากเขมร เช่น รปู แบบศิลปกรรมศาสนาพราหมณ-์ ฮินดู ภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณี การปกครองแบบจตุสดมภ์ และแนวคิดสมมติเทพที่ยกย่องฐานะของกษัตริยว์ ่ามคี วามสูงส่งประดจุ ด่งั เทพเจา้ เป็นต้น 1.6 ความสัมพันธ์กับล้านช้าง ความสัมพันธ์ส่วนใหญ่เป็นลักษณะของการผูกมิตรเชื่อมสัมพันธไมตรีให้แน่นแฟ้น กรุงศรีอยุธยามีความสัมพันธ์อันดีกับล้านช้าง ซึ่งมีกรงุ ศรีสัตนาคนหตุ เปน็ ราชธานี นับตง้ั แตส่ มยั สมเด็จพระรามาธบิ ดที ่ี 1 (พระเจ้าอู่ทอง) และ

85ภายหลังต่อมาได้มีความใกล้ชิดกันมากขึ้นในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เม่ือพระเจ้าไชย-เชษฐาธิราช กษัตริย์ของล้านช้างได้แต่งตั้งทูตอัญเชิญพระราชสาส์น พร้อมเครื่องราชบรรณาการมาถวายและกราบทูลขอพระเทพกษัตรี พระราชธิดาของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิไปเป็นพระอัครมเหสี สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ทรงตอบรับไมตรีเพราะเล็งเห็นประโยชน์ท่ีจะได้ล้านช้างไว้เป็นพันธมติ รในการทาศกึ สงครามกบั พม่า แตพ่ ระเจา้ บุเรงนองกษัตริย์ของพม่าได้ส่งทหารมาชิงตัวพระเทพกษัตรีในระหว่างเดินทางไปยังล้านช้าง แล้วนาตัวไปไว้ที่กรุงหงสาวดี ถึงแม้การอภเิ ษกสมรสในคร้ังน้ีจะมิได้บังเกิดขึ้น แต่กรุงศรีอยุธยาก็ยังคงรักษาสัมพันธไมตรีอันดีกับล้านช้างเอาไว้ จนกระทั่งกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าครั้งท่ี 1 ความสัมพันธ์ระหว่างกรุงศรีอยุธยาต่อล้านช้างกล็ ดน้อยลงไป และไม่ปรากฏเร่ืองราวความสมั พนั ธใ์ หท้ ราบมากนกั จนกระทง่ั ส้นิ สมัยกรงุ ศรอี ยธุ ยา 1.7 ความสัมพนั ธ์กบั ญวน ความสัมพันธ์ระหว่างกรุงศรีอยุธยากับญวนเป็นความสัมพันธ์ท่ีเกิดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย โดยลักษณะความสัมพันธ์จะเป็นการทาสงครามเพอ่ื แยง่ ชิงความเป็นใหญ่เหนอื เขมร 1.8 ความสัมพันธ์กับหัวเมืองมลายู หัวเมืองมลายูอยู่ทางตอนใต้ของกรุงศรี-อยธุ ยาบริเวณปลายคาบสมุทรมลายู มีเมืองสาคัญ เช่น ปัตตานี ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู มะละกาเป็นต้น ความสัมพันธ์ที่กรุงศรีอยุธยาดาเนินกับหัวเมืองเหล่านี้ เป็นความสัมพันธ์ทางด้านการคา้ การทาสงคราม การผูกสัมพันธ์ไมตรใี หแ้ นน่ แฟน้ ยงิ่ ขน้ึ ในสมัยกรุงศรีอยุธยานอกจากจะมีความสัมพันธ์กับประเทศเพ่ือนบ้านใกล้เคียงกรุงศรีอยุธยายังมีความสัมพันธ์กับประเทศต่าง ๆ ในทวีปเอเชียและทวีปยุโรปหลายประเทศ โดยมีประเทศสาคญั คอื 2. ความสัมพันธก์ บั ประเทศในทวปี เอเชยี 2.1 ความสัมพันธ์กับจีน ประเทศไทยกับจีนมีความสัมพันธ์กันมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยทั้งด้านการทูตและด้านการค้า คร้ังเม่ือในสมัยกรุงศรีอยุธยาพระเจ้าหงหวู่หรือหงอู่(หรือจูหยวงจาง) ซึ่งเป็นจักรพรรดิองค์แรกของราชวงศ์หมิงข้ึนปกครองจีนได้ทรงส่งทูตไปยังอาณาจักรต่าง ๆ รวมทงั้ กรงุ ศรีอยุธยาด้วย ในปี พ.ศ. 1913 ได้ทรงส่งราชทูตอัญเชิญพระบรมราช-โองการมายังกรุงศรีอยุธยา ซ่ึงตรงกับสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี 1 (ขุนหลวงพะงั่ว)ในปี พ.ศ. 1914 ทางกรุงศรีอยุธยาได้ส่งคณะราชทูตไทยอัญเชิญพระราชสาส์นและเครื่องบรรณาการไปถวาย ซ่ึงนับได้ว่าเป็นความสัมพันธ์ทางการทูตครั้งแรกระหว่างกรุงศรีอยุธยากับจีนหลังจากนน้ั ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งไทยกบั จนี เป็นไปดว้ ยความราบรนื่ ไทยไดส้ ง่ ทตู ไปเมืองจีนเป็นประจาทุกปแี ละบางปีมากกว่าหน่งึ ครง้ั คือ ระหวา่ งปี พ.ศ. 1914 – ปี พ.ศ. 2054 กรุงศรีอยุธยาส่งทูตไปเมืองจีนถึง 89 ครั้ง การท่ีไทยได้ส่งคณะทูตบรรณาการไปจีนบ่อยคร้ังเป็นผลให้ไทยได้สิทธิพิเศษทางการค้ากับจีน เพราะคณะทูตได้นาสินค้าจากกรุงศรีอยุธยามาขายที่จีนและตอนขากลับก็ได้นาสินค้าจากเมืองจีนไปขายท่ีกรุงศรีอยุธยาด้วย ในการติดต่อค้าขายระหว่างกรุงศรีอยุธยากับจีนนั้นต่างก็มีความต้องการสินค้าของกันและกัน สินค้าที่ไทยต้องการจากจีน

86ไดแ้ ก่ ผา้ ไหม ผา้ แพร เคร่ืองกระเบ้ือง เป็นต้น ส่วนสินค้าท่ีจีนต้องการจากไทย เช่น เคร่ืองเทศรังนก ข้าว พรกิ ไทย เปน็ ต้น 2.2 ความสัมพันธ์กับญ่ีปุ่น ชาวญี่ปุ่นได้เข้ามาตั้งบ้านเรือนและเข้ามาทามาหากินอยู่ในกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2083 ซ่ึงตรงกับปลายรัชกาลของสมเด็จพระไชย-ราชาธิราช ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญ่ีปุ่นเริ่มอย่างเป็นทางการในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ(ปี พ.ศ. 2148 – พ.ศ. 2153) กบั โชกุนโตกุงาวะ อิเอยาสุ ในปี พ.ศ. 2149 ญี่ปุ่นได้ส่งสาส์นมาเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับสมเด็จพระเอกาทศรถพร้อมด้วยเครื่องราชบรรณาการ ได้แก่ ดาบเสื้อเกราะ และในขณะเดียวกันได้ทูลขอปืนใหญ่และไม้หอมจากไทย สมเด็จพระเอกาทศรถจึงส่งสาส์นตอบไปที่ญ่ีปุ่นเป็นการตอบแทน ซ่ึงนับได้ว่าเป็นจุดเร่ิมต้นของความสัมพันธ์ท่ีดีระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับญ่ีปุ่นเจริญสูงสุดในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม (ปี พ.ศ. 2153 – ปี พ.ศ. 2171) เพราะในสมัยน้ีทางกรุงศรีอยุธยาได้ส่งคณะทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับญ่ีปุ่นถึง 4 คร้ัง คือ ในปี พ.ศ. 2159, พ.ศ. 2164, พ.ศ. 2166 และพ.ศ. 2168 ส่วนความสัมพันธ์ทางด้านการค้าระหว่างไทยกับญ่ีปุ่น ซึ่งนับว่ามีความสาคัญมากโดยทีญ่ ่ปี ่นุ ต้องการสินคา้ จากไทย คือ ข้าว ดีบุก น้าตาล ไม้ หนังกวาง สินค้าที่ไทยต้องการจากญี่ปุ่น คือ ทองแดง เงินเหรียญ ฉากลับแล เป็นต้น ชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาอยู่ในกรุงศรีอยุธยานอกจากเป็นทหารอาสาแลว้ มีชาวญ่ปี ุ่นบางคนเข้ารบั ราชการในกรุงศรีอยุธยาในตาแหน่งท่ีสูงคือยามาดา นางามาซา ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นออกญาเสนาภิมุข ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นเริ่มเส่ือมลงหลังจากสิ้นสุดสมัยของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม เช่น ในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองส่งคณะทูตไปญี่ปุ่น 5 คร้ัง แต่ไม่ได้รับการต้อนรับจากญี่ปุ่น เพราะญีป่ นุ่ มนี โยบายที่จะอยู่อย่างโดดเดี่ยว และปิดประเทศ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2182 ทาให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุน่ สิ้นสุดลง เปน็ ต้น 2.3 ความสัมพันธ์กับอิหร่าน ชาวอิหร่านหรือชาวอาหรับได้เข้ามาติดต่อค้าขายกับกรุงศรีอยุธยาและเข้ามารับราชการในราชสานักไทยต้ังแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมเช่น เฉกอะหมัด หรือต่อมา คือต้นตระกูลบุนนาค ความสัมพันธ์ระหว่างกรุงศรีอยุธยากับอิหร่านนั้นอิหร่านได้ส่งทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยา แต่ความสัมพันธ์ไม่ค่อยราบรน่ื นักเพราะถกู ออกญาวิชเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) กดี กนั 2.4 ความสัมพันธ์กับลังกา ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีความสัมพันธ์กับลังกาเพราะทางลังกาได้ส่งทูตมาขอพระสงฆ์จากไทย เพ่ือไปฟ้ืนฟูพระพุทธศาสนา ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยหู่ วั บรมโกศ ลังกาจึงเรยี กพระสงฆ์ทไ่ี ปปฏิบตั ิพระธรรมทีล่ ังกาว่า ลทั ธิสยามวงศ 3. ความสมั พันธ์กบั ประเทศในทวีปยุโรป (ชนชาติตะวันตก) ชาวยุโรปหรือชาวชาติตะวันตกได้เข้ามาติดต่อกับอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาต้ังแต่กลางพุทธศตวรรษที่ 21 โดยมีวัตถุประสงค์สาคัญ คือ ต้องการเคร่ืองเทศ พริกไทย และ

87ในขณะเดียวกัน เพ่ือต้องการเผยแผ่คริสต์ศาสนา โดยประเทศต่าง ๆ ที่เข้ามาติดต่อกับอาณาจักรกรุงศรอี ยุธยา ได้แก่ 1) ประเทศโปรตุเกสเข้ามาในปี พ.ศ. 2054 ในสมยั สมเดจ็ พระรามาธิบดีท่ี 2 2) ประเทศฮอลันดาเข้ามาในปี พ.ศ. 2147 ในสมัยตอนปลายของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 3) ประเทศอังกฤษ เข้ามาในปี พ.ศ. 2155 สมัยสมเด็จพระเจา้ ทรงธรรม 4) ประเทศฝรั่งเศสเข้ามาในปี พ.ศ. 2205 สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช 5) ประเทศสเปนเขา้ มาในปี พ.ศ. 2141 ในสมยั สมเด็จพระนเรศวรมหาราช 3.1 ความสัมพันธ์กับโปรตุเกส โปรตุเกสเป็นชาวตะวันตกชาติแรกที่เดินทางเข้ามาติดตอ่ กับอาณาจักรกรงุ ศรอี ยธุ ยาในปี พ.ศ. 2054 ตรงกบั รัชสมัยของสมเดจ็ พระรามาธบิ ดที ี่ 2ด้วยการส่งทูตชื่อ ดูอาร์เต้ เฟอรน์ นั เดส มาเจริญสมั พันธ์ไมตรีกบั กรุงศรอี ยุธยา ส่วนทางกรุงศรีอยุธยาได้ส่งทูตไปมะละกา และส่งพระราชสาส์นไปถวายกษัตริย์ของโปรตุเกส ต่อมาในปี พ.ศ. 2059ไทยกับโปรตุเกสได้ทาสนธิสัญญาสัมพันธไมตรี และการค้าต่อกัน โดยให้ชาวโปรตุเกสเข้ามาทาการค้าและเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในกรุงศรีอยุธยา และหัวเมืองต่าง ๆ ของไทย เช่น มะริดตะนาวศรี ปัตตานี และนครศรธี รรมราช เปน็ ตน้ สาหรับสินค้าของโปรตุเกสท่ีทางกรุงศรีอยุธยามีความสนใจมากเป็นพิเศษ คือ ปืนไฟ กระสุนปืน และดินปืน สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2ทรงสนพระทัยในอาวุธและยุทธวิธีของโปรตุเกสเป็นอย่างมาก ทรงนาความสนพระทัยในเร่ืองอาวุธยุทธวิธีไปแต่งเป็นตาราพิชัยสงคราม อีกท้ังได้เชิญชาวโปรตุเกสเข้ามาเป็นทหารอาสาในไทยและช่วยไทยรบกับพม่าที่เมืองเชียงกราน จนกระทั่งในสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราชได้โปรดฯใหช้ าวโปรตเุ กสสามารถตั้งบา้ นเรือนอย่ใู นกรุงศรอี ยุธยาได้ เรียกว่า “หมู่บา้ นโปรตุเกส” ตลอดทั้งได้พระราชทานที่ดิน เพ่อื ใหส้ รา้ งโบสถ์สาหรบั ครสิ ต์ศาสนา ความสัมพนั ธ์ทด่ี ีระหวา่ งกรุงศรีอยุธยากับโปรตุเกสเร่ิมเสื่อมลงเม่ือชาวตะวันตกชาติอื่นได้เข้ามายังดินแดนแถบน้ี เช่น ฮอลันดา ซึ่งเป็นคู่แข่งทางการคา้ ที่สาคัญของโปรตเุ กส และทางกรุงศรีอยุธยาก็ยินดตี ดิ ต่อการค้าด้วย จนกระทั่งหลังสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมอานาจของโปรตุเกสก็ลดบทบาทสาคัญจนไม่มีความสาคญั ในท่ีสดุ 3.2 ความสมั พนั ธก์ บั ฮอลันดา ฮอลันดาปัจจบุ นั คอื ประเทศเนเธอร์แลนด์หรือดัตช์ เข้ามาติดต่อกับอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาในสมัยตอนปลายรัชกาลของสมเด็จพระนเรศวร-มหาราช ซึ่งหลังจากโปรตุเกสประมาณเกือบหนึ่งศตวรรษ การเข้ามาติดต่อของฮอลันดาจะแตกตา่ งกับโปรตเุ กส คือ ฮอลันดาสนใจเฉพาะด้านการค้า โดยไม่ได้สนใจในเร่ืองการเผยแผ่คริสต์ศาสนา สาหรับสินค้าท่ีชาวฮอลันดาต้องการจากกรุงศรีอยุธยา คือ เคร่ืองเทศ พริกไทยหนังกวาง และข้าว ตลอดสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ไทยกับฮอลันดามีความผูกพันกันเป็นอย่างดี ในสมัยรัชกาลของสมเด็จพระเอกาทศรถได้ส่งราชทูตไปฮอลันดาเพ่ือเจรจาด้านการค้าและศึกษาความเจริญของฮอลันดา ในปี พ.ศ. 2150 และได้เข้าเฝ้ากษัตริย์แห่งฮอลันดา

88และตอนขากลับทางกษัตริย์ฮอลันดาได้ฝากปืนใหญ่และอาวุธอ่ืน ๆ มาถวายแด่สมเด็จพระเอกาทศรถทาให้ความสัมพันธ์ระหว่างกรุงศรีอยุธยากับฮอลันดาเป็นไปด้วยดี จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2176ฮอลันดาได้ตั้งสถานีการค้าข้ึนในกรุงศรีอยุธยาในระยะแรก การค้าระหว่างไทยกับฮอลันดาเป็นไปด้วยดี โดยเฉพาะอย่างย่ิงทางไทยให้สิทธิพิเศษแก่พ่อค้าฮอลันดาในการผูกขาดการค้าหนังสัตวจ์ ากไทย ต่อมาในสมยั พระเจ้าปราสาททอง ความผูกพนั ทีม่ ีต่อกันเริ่มมีปัญหาเนื่องจากฮอลันดาไม่ช่วยไทยปราบกบฏ และทาให้พระเจ้าปราสาททองต้องเข้มงวดกับฮอลันดามากขึ้นท้งั น้ี เพ่ือจะให้ไทยค้าขายอย่างอิสระ แต่ฮอลันดาพยายามจะผูกขาดการค้า จนกระทั่งฮอลันดาต้องใช้กาลังกองทัพเรือมาบีบบังคับไทยเกี่ยวกับการค้า ความบาดหมางใจกันระหว่างไทยกับฮอลันดามีขึ้นอย่างรุนแรงในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ฮอลันดาได้ส่งเรือรบมาปิดอ่าวไทยและเรยี กรอ้ งสิทธิพิเศษตา่ ง ๆ จากไทยมากมาย เช่น ฮอลันดาขอมีสิทธิในการค้าขายที่นครศรีธรรมราชถลาง และหัวเมืองอื่น ๆ รวมทั้งสิทธิพิเศษในการพิจารณาพิพากษาคดี คือ ชาวฮอลันดากระทาผิดไมต่ อ้ งขึ้นศาลไทย เป็นต้น จากเหตุการณท์ ่ีเกดิ ข้นึ กับฮอลนั ดาทาใหไ้ ทยตอ้ งสูญเสียผลประโยชน์ต่าง ๆ เป็นจานวนมาก แต่ไทยเราก็ยังสามารถรักษาความเป็นเอกราชไว้ได้ ต่อมาในสมัยพระเจ้า-ทรงธรรม ฮอลันดาเกิดมีปัญหากับอังกฤษเก่ียวกับเรื่องการค้า จนทาให้ทั้งสองประเทศมีการต่อส้กู นั ทางเรอื ผลปรากฏว่า อังกฤษเปน็ ฝา่ ยพา่ ยแพ้ และได้เลิกติดต่อค้าขายกับกรุงศรีอยุธยาแต่อิทธพิ ลของฮอลนั ดาไดเ้ รม่ิ เส่อื มลงในตอนกลางสมัยสมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช เพราะทางกรุงศรีอยุธยาได้ติดต่อกับอังกฤษและฝร่ังเศส เพ่ือเป็นการคานอานาจกับฮอลันดา ทาให้ฮอลันดาค่อย ๆ ลดปรมิ าณการคา้ และถอนตัวออกจากกรงุ ศรอี ยธุ ยาในทสี่ ดุ 3.3 ความสัมพันธ์กับอังกฤษ ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างกรุงศรีอยุธยากับองั กฤษเขา้ มาติดตอ่ เกยี่ วกบั การคา้ ขาย และในบางช่วงมีความสัมพันธ์ทางด้านการเมืองด้วยกรุงศรีอยุธยาเร่ิมมีความสัมพันธ์กับอังกฤษในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม พระองค์ทรงอนุญาตให้อังกฤษมาตั้งสถานีการค้าที่กรุงศรีอยุธยาได้ แต่ได้รับการขัดขวางจากฮอลันดา ในที่สุดอังกฤษจึงปิดกิจการบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษในกรุงศรีอยุธยา เม่ือปี พ.ศ. 2167ต่อมาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กรุงศรีอยุธยาเริ่มฟ้ืนฟูความสัมพันธ์กับอังกฤษอีกครั้งหนึ่ง เพราะพระองค์ทรงต้องการให้อังกฤษเข้ามาถ่วงดุลอานาจกับฮอลันดา ซึ่งกาลังเข้ามามีอิทธิพลและพยายามมีอานาจเหนือการบริหารบ้านเมืองของพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยาองั กฤษจงึ เขา้ มาต้งั สถานกี ารค้าในกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. 2204 โดยมุ่งค้าขายเพียงอย่างเดียวไม่เข้าไปเกย่ี วข้องกับความขดั แย้งระหวา่ งกรงุ ศรีอยธุ ยากับฮอลนั ดา เนื่องจากอังกฤษไม่ประสบความสาเร็จในการแข่งขันการค้ากับฮอลันดา ขณะเดียวกันอังกฤษต้องเข้าไปจัดการแก้ไขปัญหาในทวีปยุโรปด้วย และเมื่อเรือค้าขายของอังกฤษถูกโจรปล้นสะดมในน่านน้าเมืองมะริดจนตอ้ งสรู้ บกับกรุงศรีอยธุ ยา ทาใหค้ วามสัมพันธ์ระหว่างกรุงศรีอยุธยากับอังกฤษห่างเหินไปจนส้ินสมัยกรุงศรีอยุธยา อย่างไรก็ตาม อังกฤษมุ่งประโยชน์ทางด้านการค้ากับกรุงศรีอยุธยาเป็นสาคัญ ดงั น้นั องั กฤษจงึ ไมเ่ ก่ียวขอ้ งกับการเผยแผศ่ าสนาดงั เชน่ ฝร่ังเศส

89 3.4 ความสัมพันธ์กับฝรั่งเศส เป็นชาติตะวันตกชาติสุดท้ายท่ีเข้ามาติดต่อกับกรุงศรีอยธุ ยา โดยมวี ัตถปุ ระสงค์ คอื ต้องการเผยแผค่ รสิ ตศ์ าสนา สาหรบั ชาวฝร่ังเศสที่เดินทางมายังกรุงศรีอยุธยาชุดแรก คือ กลุ่มของสังฆราชเบริต ช่ือ เดอลาบ๊อต ลัมแปต์ กับบาทหลวงอกี 2 องค์ โดยความประสงค์สาคัญของคณะนี้ คือ ต้องการที่จะใช้กรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางในการเผยแผ่คริสต์ศาสนา และคณะของสังฆราชเบริต ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์ซึ่งได้รับการตอ้ นรบั จากพระนารายณเ์ ป็นอย่างดี จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2233 ฝร่งั เศสได้เข้ามาต้ังสถานีการค้าในกรงุ ศรอี ยุธยา และเพอ่ื ต้องการเป็นมิตรกับฝร่ังเศส สมเด็จพระนารายณ์มหาราช จึงทรงส่งทูตไปฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2223 แต่ไปไม่ถึงเพราะเรืออับปางเสียก่อน อีกสามปีต่อมาสมเด็จพระนารายณ์-มหาราช ได้ส่งขุนพิชัยวาทิตและขุนพิชิตไมตรี เป็นทูตไปฝร่ังเศสอีกคร้ัง ซึ่งได้รับการต้อนรับจากฝรั่งเศสเป็นอย่างดี เม่ือเดินทางกลับทางฝร่ังเศสได้ส่งเชอวาเลีย เดอ โชมองต์ เป็นทูต นับได้ว่าไทยได้รบั การตอ้ นรบั จากฝรง่ั เศสเป็นอย่างดี และเป็นการส่งเสริมให้ศาสนาคริสต์แพร่หลายมากขึ้นฝรัง่ เศสไดส้ ่งคณะทูตมายงั กรุงศรอี ยุธยาอีกครั้ง สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงให้การต้อนรับอย่างดีโดยให้ออกญาวิชเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) เป็นผู้แสดงบทบาทสาคัญในการท่ีจะให้ฝร่ังเศสเผยแผ่ศาสนาคริสต์และขยายการค้าซึ่งเป็นท่ีพอใจของฝร่ังเศสเป็นอย่างยิ่ง แต่การท่ีฝรั่งเศสทูลให้สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงเปลี่ยนศาสนาน้ันไม่เป็นผลสาเร็จ ต่อมาในปี พ.ศ. 2229สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้ส่งทูตไทยซ่ึงมีออกพระวิสุทธสุนทร (โกษาปาน) เป็นหัวหน้าคณะทูตไทยไปฝรั่งเศส พร้อมกบั การกลบั ไปของคณะทตู เดอ โชมองต์ ได้พานักอยู่ในฝรั่งเศสนาน8 เดือน และได้เข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝร่ังเศสท่ีพระราชวังแวร์ซายส์ ตลอดท้ังได้ศึกษาถึงความเจริญในด้านต่าง ๆ ของฝรั่งเศส และเม่ือคณะทูตไทยเดินทางกลับ ฝร่ังเศสได้ส่งทหารจานวน 636 คน พร้อมทูตที่มี เดอ ลา บูแบร์ เป็นหัวหน้าคณะ และในการมาคร้ังน้ีจะเห็นว่าฝร่งั เศสเริม่ เขา้ มามีอานาจในกรุงศรีอยุธยาด้วยการสนับสนุนของออกญาวิชเยนทร์ ในปี พ.ศ. 2231ทูตฝร่ังเศสได้เดินทางกลับโดยมีขุนนางผู้น้อยกลุ่มหนึ่งของไทยเดินทางไปด้วย แต่กองทหารฝร่ังเศสยังอยู่ในไทยบริเวณเมืองบางกอก และเมืองมะริด ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวของทหารฝร่ังเศสและออกญาวิชเยนทร์เป็นสิ่งท่ีขุนนางไทยไม่พอใจจึงได้ต่อต้านฝรั่งเศสและกาจัดออกญาวชิ เยนทร์ ในการตดิ ตอ่ กับฝรัง่ เศสทาใหไ้ ทยได้นาความเจริญในด้านต่าง ๆ เข้ามาหลายด้านเช่น ด้านวิทยาศาสตร์ ได้เรียนรู้การแพทย์สมัยใหม่และสร้างหอดูดาวท่ีพระราชวังจันทรเกษมพระนครศรีอยุธยา ด้านการทหาร มีการสร้างป้อมแบบตะวันตก ด้านการศึกษา ตั้งโรงเรียนท่ีกรงุ ศรอี ยุธยาของบาทหลวง และได้ส่งนักเรียนไทยไปเรียนท่ีฝร่ังเศส ด้านสถาปัตยกรรม มีการสร้างพระราชวังแบบไทยผสมฝรั่งเศสที่ลพบุรี เป็นต้น ความสัมพันธ์ไมตรีระหว่างไทยกับฝรั่งเศสในระยะหลังไม่ค่อยราบร่ืน และมีการสู้รบกันขึ้นระหว่างคนไทยกับทหารฝร่ังเศส และเป็นระยะเวลาท่ีสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สวรรคต ในปี พ.ศ. 2231 สมเด็จพระเพทราชาข้ึนครองราชย์ ทรงขับไล่ทหารฝรั่งเศสได้สาเร็จ ทาให้ความสัมพันธ์ไมตรีของท้ังสองประเทศเสื่อมลงเปน็ ลาดับ

90 3.5 ความสัมพันธ์กับสเปน ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสเปนไม่ค่อยราบรื่นเน่ืองจากสเปนสนับสนุนให้เขมร ซ่ึงเป็นประเทศราชของไทย เป็นอิสระจากกรุงศรีอยุธยาโดยหวังจะใช้เขมรเป็นศูนย์กลางการค้า และเป็นแหล่งเผยแผ่คริสต์ศาสนา ด้วยเหตุน้ีจึงก่อให้เกิดความบาดหมางกับไทย ชาวสเปนไม่ได้เข้ามาตั้งรกรากในอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา ดังนั้น จึงไม่ได้มอี ทิ ธิพลทางวัฒนธรรมของสเปนหลงเหลอื ใหเ้ หน็ เด่นชัด ความสัมพันธ์กับต่างประเทศในสมัยกรุงศรีอยุธยาข้ึนอยู่กับนโยบายด้านเศรษฐกิจและการเมือง การปกครอง การทูต ศาสนา วัฒนธรรม และด้านการศึกษาแบ่งเป็นดา้ น ๆ ได้ดังน้ี 1) ด้านเศรษฐกิจ กรุงศรีอยุธยาต้ังอยู่ในทาเลที่เป็นศูนย์กลางของรัฐต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอยู่ใกล้ทะเลที่เป็นเส้นทางการค้าระหว่างอินเดียและจีน กรุงศรอี ยธุ ยาจึงมกี ารตดิ ตอ่ ค้าขายกบั รัฐอื่น ๆ เช่น จีน อินเดีย ชาติต่าง ๆ ทางด้านตะวันตกและผลักดันนโยบายการเมอื งในการขยายอานาจไปยังรฐั ใกล้เคียง เพราะต้องการสินค้าประเภทของป่า บรรณาการ และควบคุมเมืองท่าอื่น ๆ เช่น มะริด ทวาย ตะนาวศรี หัวเมืองมลายู ที่เป็นเมืองท่าค้าขาย โดยมีจดุ มงุ่ หมายเพอ่ื ความมน่ั คงของอาณาจักรเป็นสาคัญ 2) ด้านการเมือง อาณาจักรกรุงศรีอยุธยาขยายอิทธิพลเพ่ือความมั่นคงเป็นปึกแผ่น โดยการขยายอานาจไปยังสุโขทัย นครศรีธรรมราช และเมืองอ่ืน ๆ ทาให้อาณาจักรเข้มแข็งข้ึน แล้วขยายอานาจสู่ล้านนาทางเหนือ เขมรทางตะวันออก มอญทางตะวันตก และหัวเมืองมลายูทางใต้ เพื่อแสดงความย่ิงใหญ่และเป็นศูนย์กลางอานาจทางการเมอื งในภมู ภิ าคน้ี 3) ด้านการทูต กรุงศรีอยุธยามีความสัมพันธ์ด้านการทูตท้ังประเทศในทวปี เอเชยี และทวีปยุโรป ไดแ้ ก่ (3.1) ญ่ีปุ่น ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับญ่ีปุ่นเจริญสูงสุดในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ระหว่าง ปี พ.ศ. 2153 - ปี พ.ศ. 2171 ในสมัยน้ีกรุงศรีอยุธยาไดส้ ง่ คณะทตู ไปเจริญสัมพันธไมตรกี ับประเทศญ่ีปุ่น จานวน 4 คร้ัง คือ ในปี พ.ศ. 2159พ.ศ. 2164 พ.ศ. 2166 และ พ.ศ. 2168 (3.2) อิหร่าน ชาวอิหร่านหรือชาวอาหรับได้มาติดต่อค้าขายกับกรงุ ศรีอยธุ ยาและเข้ามารับราชการในราชสานักไทยต้ังแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม อิหร่านได้ส่งทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยา แต่ไม่ค่อยราบร่ืนเพราะถูกออกญาวิชเยนทร์(คอนสแตนตนิ ฟอลคอน) กีดกัน (3.3) ลงั กา กรุงศรีอยุธยามีความสมั พันธก์ ับลังกา เพราะลังกาส่งทูตมาขอพระสงฆ์จากไทย เพื่อไปฟื้นฟูพุทธศาสนาในลังกา ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศลังกา จึงเรียกพระสงฆ์ท่ไี ปปฏิบตั ธิ รรมท่ีลังกาว่า ลัทธสิ ยามวงศ์

91 (3.4) โปรตุเกส ส่งทูตมาเจราจาทาสนธิสัญญาสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยา ในปี พ.ศ. 2059 ตรงกับสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ทาให้โปรตุเกสได้สิทธิด้านการค้า การตั้งถิ่นฐานในกรุงศรีอยุธยา การทาสัญญาดังกล่าว ทาให้การค้าระหว่างกรุงศรีอยุธยากับโปรตุเกส เฟอื่ งฟูขึ้น จนกรงุ ศรีอยุธยากลายเปน็ แหลง่ สนิ ค้าสาคัญสาหรับพอ่ ค้าโปรตุเกส (3.5) ฮอลันดา ปี พ.ศ. 2146 ฮอลันดาได้เข้ามาตั้งสถานีการค้าทปี่ ัตตานี ซึง่ เป็นเมอื งประเทศราชของกรุงศรีอยุธยาในขณะนั้น ฮอลันดาส่งทูตเข้ามาติดต่อกับกรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เพ่ือก่อตั้งสถานีการค้า แต่การค้าและความสัมพันธ์ระหว่างกรุงศรีอยุธยากับฮอลันดาในระยะหลังไม่ค่อยราบร่ืนนัก ทาให้ความสัมพันธ์ระหว่างกรงุ ศรีอยุธยากับฮอลันดาเสอ่ื มลงตามลาดับ จนฮอลนั ดาตอ้ งปดิ สถานีการคา้ ไปในท่สี ดุ (3.6) ฝร่ังเศส สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ต้องการให้ฝร่ังเศสเปน็ พันธมติ รกับกรงุ ศรีอยุธยา เพอื่ ถว่ งดลุ อานาจของฮอลันดา ซึ่งมีท่าทีคุกคามไทย จึงมีการติดต่อทางการค้าและทางการทูต พ่อค้าฝรั่งเศสได้เข้ามาต้ังสถานีการค้าในกรุงศรีอยุธยาเป็นคร้ังแรกฝรั่งเศสได้จัดส่งคณะทูตชุดใหญ่ ซึ่งมี เชอวาเลีย เดอ โซมองต์ เป็นหัวหน้าเดินทางมาเยือนกรุงศรีอยุธยา ต่อมาภายหลังกรุงศรีอยุธยาได้ส่งออกพระวิสุทธสุนทร (โกษาปาน) ราชทูตไทยไปเจริญสัมพนั ธไมตรกี ับฝรัง่ เศส ในสมัยพระเจา้ หลุยสท์ ี่ 14 ทีพ่ ระราชวังแวร์ซาย (3.7) สเปน ไดม้ ีทตู ของสเปนเดินทางมาเพื่อทาสญั ญาสัมพันธไมตรีและการคา้ โดยฝา่ ยกรงุ ศรีอยธุ ยาอนุญาตให้สเปนตัง้ สถานีการคา้ บนฝ่ังแมน่ า้ เจา้ พระยา 4) ด้านการศึกษา สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงสนพระทัยในการทานบุ ารุงทางดา้ นการศึกษา พระองค์ไดจ้ ัดสง่ บุตรออกไปศึกษา ณ ประเทศฝรั่งเศส และนาเอาวิชาการต่าง ๆ มาเผยแพร่และพัฒนาในประเทศไทย มีการฝึกทางด้านการทหารแบบยุโรปการอักษรศาสตร์และวรรณคดี 5) ด้านศาสนาและวัฒนธรรม ศาสนาและวัฒนธรรมสมัยอยุธยาต่างชาตทิ ี่รับเข้ามามากที่สุดคือ วัฒนธรรมอินเดยี แต่มิได้รับโดยตรง รับต่อจากขอม มอญ และจากพราหมณ์ทีส่ บื เชือ้ สายต่อ ๆ กันมา ปัจจุบันท่ีเห็นได้เด่นชัด คือ วัฒนธรรมเก่ียวกับพระพุทธศาสนานอกจากนั้น อยุธยายังรับวัฒนธรรมจากอาณาจักรไทยอื่น ๆ เช่น รับเอารูปแบบตัวอักษรและการเขียนหนงั สือจากสุโขทยั กล่าวโดยสรุป อาณาจักรกรุงศรีอยุธยามีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับรัฐท่ีอยู่ใกล้เคียงและกับรัฐท่ีอยู่ห่างไกลออกไปท้ังในทวีปเอเชียและทวีปยุโรป ส่วนใหญ่ก็เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจและการค้า ความม่ันคงของราชอาณาจักร และวัฒนธรรมนโยบายส่วนใหญ่มีลักษณะของการสร้างความเป็นมิตรไมตรี การถ่วงดุลอานาจ และการเผชิญหน้าทางการทหาร อยา่ งไรกต็ าม กรงุ ศรีอยุธยาตอ้ งเผชิญปญั หาการถูกรุกรานจากรัฐท่ีอยู่ใกล้เคยี งกบั กรงุ ศรีอยธุ ยา ตลอดแนวพระราชอาณาเขตทางด้านตะวันตก ดังน้ัน กรุงศรีอยุธยาจงึ ตอ้ งใช้นโยบายการเผชิญหน้าทางการทหาร เพื่อป้องกันราชอาณาจักรให้พ้นจากการคุกคาม