144 3. หนว ยวดั นํา้ หนกั โลหะทมี่ คี า เชน ทอง นาก เงนิ คอื 1 บาท มี 15 กรัม สําหรบั หนว ยวัดทเี่ ปนกิโลกรัมใชอ กั ษรยอ วา “กก.” สวนกรัมใชอกั ษรยอวา “ก.” แตคําวา “ขดี ”นัน้ เปน ชอื่ ทีน่ ยิ มเรียกกนั ในทอ งตลาด ในทางราชการนิยมอา นเปน “กรมั ” ซึง่ เราสามารถเปรียบเทยี บหนวยน้ําหนักตา ง ๆ ไดโ ดยอาศัยหนว ยนํา้ หนกั ทกี่ ําหนดไวข า งตน มาชวยคดิ เปรยี บเทยี บอยางงา ย ๆโจทยป ญ หา โจทยปญ หาจะเปนเร่ืองเกี่ยวของกบั นา้ํ หนกั ราคา และการเปรยี บเทยี บนํา้ หนักของส่งิ ของตา ง ๆโดยใชว ธิ ี บวก ลบ คูณ หาร ปนกนั ดงั ตัวอยางตอ ไปน้ีตัวอยาง ยอดรักหนกั 65 กิโลกรัม ยอดชายหนกั 58 กโิ ลกรัม ใครหนกั กวากันเทาไรวิธีทํา ยอดรักหนกั 65 - กิโลกรัม ยอดชายหนกั 58 กโิ ลกรมั ดังน้นั ยอดรกั หนกั กวา 7 กโิ ลกรัม ตอบ 7 กโิ ลกรัมตัวอยา ง นายชุมพลสง ถ่ัวเหลอื งไปขาย 2 เมตริกตนั 480 กโิ ลกรัม 500 กรัม ครั้งหลังสง ไปอกี 3 เมตรกิ ตนั 930 กิโลกรัม 750 กรมั นายชุมพลสง ถั่วเหลอื งไปขายท้ังหมดเทา ไรวิธที าํ เมตรกิ ตนั กิโลกรัม กรัม คร้งั แรกสงถั่วเหลอื งไปขาย 2 480 500 คร้ังหลังสง ไปขายอีก 3 930 750 5 1,410 1,250 หรอื = 6 411 250 ตอบ 6 เมตรกิ ตนั 411 กโิ ลกรมั 250 กรัมวธิ คี ดิ ใหบ วกจากหนวยยอ ยมาหาหนว ยใหญ ดังน้ี 1. นําจาํ นวนนํา้ หนกั ที่เปนกรมั มาบวกกนั คือ 500 + 750 ได 1,250 ทาํ เปนกิโลกรมั ได 1 กโิ ลกรมั 250 กรัม ทด 1 กิโลกรมั ขน้ึ ไป ใส 250 ไวทกี่ รมั 2. นําจาํ นวนน้ําหนกั ทเี่ ปนกิโลกรัมมาบวกกนั คอื 480 + 930 เปน 1,410 บวกอกี 1 กโิ ลกรัมท่ที ดข้นึ มาเปน 1,411 กิโลกรัม ทําเปน เมตรกิ ตนั ได 1 เมตรกิ ตัน 411 กโิ ลกรัม ทด 1 เมตริกตันขนึ้ ไป 3. นําจาํ นวนนํ้าหนกั ท่เี ปน เมตรกิ ตนั บวกกนั คือ 2 + 3 แลว บวกอีก 1 ท่ที ดข้นึ มาเปน 6 เมตริกตนั
1452.2 การตวง การตวง คอื การวัดปริมาณหรือความจุของสิ่งของตาง ๆ โดยใชเคร่อื งตวงชนดิ ตางๆ ซง่ึ ผูใชต องเลอื กใหเ หมาะสมกับสิง่ ที่จะตวง 2.2.1 ชนดิ ของเคร่ืองตวง เคร่อื งตวง แบงออกเปน 2 ชนดิ คอื 1) เครอ่ื งตวงที่ไมเ ปนมาตรฐาน เปนเครอื่ งตวงทแ่ี ตล ะคนกาํ หนดขน้ึ ใชเองตามความตอ งการท่ีจะใชงาน เชน ถังน้าํ ขัน แกว นา้ํ ชอ น การใชเ ครอ่ื งตวงทเี่ ปน มาตรฐาน อาจทําใหผ ูอนื่ เขา ใจไมตรงกนั จงึไมนิยมนํามาใชตวงสงิ่ ของตา ง ๆ ภาพเครอ่ื งตวงทีไ่ มเ ปน มาตรฐาน 2) เครอื่ งตวงมาตรฐาน เปนเคร่อื งตวงซึ่งทางราชการยอมรบั วา หนว ยทใี่ ชในการตวงนัน้ มคี วามจุเทากนั ทกุ เครือ่ ง เชน ถงั ลติ ร ถว ยตวง ชอนตวง ภาพเคร่ืองตวงมาตรฐาน
146 2.2.2 วิธีการตวง มีหลายวธิ ขี ้ึนอยกู ับลักษณะของสิ่งทจ่ี ะตวง ดังนี้ 1) วธิ กี ารตวงของเหลว เชน นํ้า นํ้ามนั ใหใสข องเหลวเตม็ เครือ่ งตวงพอดี ไมล น หรอืไมขาด 2) วิธกี ารตวงของละเอยี ด เชน แปง นาํ้ ตาลทราย ขา วสาร เกลอื ตวงใหเสมอปากเครอื่ งตวง ใสข องละเอยี ดใหพนู ใชไ มป าดใหเ สมอขอบเครอ่ื งตวง ไดละเอยี ดทตี่ อ งการตวงตามตองการ 3) วธิ ีการตวงของหยาบ เชน ถา น แหว กระจบั ใหใ สข องทจี่ ะตวงจนพูนขอบเครื่องตวงเนื่องจากของหยาบจะกา ยกนั ในเครอื่ งตวงทาํ ใหมชี อ งวา งภายในจงึ ตองตวงใหพูนชดเชยชอ งวา ง
1472.2.3 หนวยการตวง หนวยการตวงจะตอ งใชต ามหนว ยของมาตรฐานการตวง ซึง่ มี 2 ลกั ษณะคือ 1) หนว ยตวงมาตรฐานสากล หนวยตวงที่นิยมใชใ นการตวงสง่ิ ตา ง ๆ มหี ลายระบบ เชนระบบอังกฤษเปนออนซ แกลลอน ระบบไทยเปน เกวยี น ถัง ลิตร ระบบเมตริกเปน ลิตร มลิ ลิลิตรหรอืลกู บาศกเซนติเมตร แตร ะบบท่ีนยิ มใชก นั ทว่ั โลก และทางราชการถอื เปนระบบตวงมาตรฐาน คือ ระบบเมตริก ซึ่งใช “ลติ ร” เปนหนวยมาตรฐาน 2) หนว ยตวงมาตรฐานทนี่ ยิ มใชกันท่วั ไป ในชีวติ ประจําวนั ของคนไทย ไดแ ก มลิ ลลิ ิตรลติ ร ถงั เกวยี น ถวยตวง ชอ นโตะ และชอนชา โดยมกี ารเปรียบเทยี บหนวยตาง ๆ ไวด งั น้ี 1,000 มลิ ลลิ ติ ร (มล.) = 1 ลิตร (ล.) 20 ลิตร = 1 ถงั 100 ถัง = 1 เกวียน 1 ถวยตวง = 8 ออนซ หรอื 16 ชอ นโตะ 1 ชอ นโตะ = 3 ชอ นชา 1 มิลลลิ ติ ร = 1 ลูกบาศกเซนตเิ มตร (ลบ.ซม.)หมายเหตุ อกั ษรในวงเล็บเปน ตวั ยอ ของแตล ะหนวย เราสามารถเปรียบเทียบหนว ยตา ง ๆ ของการตวงได โดยอาศยั หนวยตวงทกี่ าํ หนดไวข า งตน มาชวยคดิ เปรียบเทียบอยางงา ย ๆ ดงั นี้ตวั อยาง 3 ชอนชา = 1 ชอนโตะ 6 ชอนชา = 2 ชอ นโตะ 16 ชอนโตะ = 1 ถวยตวง 1,000 มิลลิลติ ร = 1 ลิตร 4,000 มิลลลิ ิตร = 4 ลิตร 7,500 มลิ ลลิ ิตร = 7 ลิตรครง่ึ หรือ = 7 ลติ ร 500 มิลลิลิตร 20 ลติ ร = 1 ถงั 50 ลติ ร = 2 ถงั ครึ่ง หรอื 2 ถัง 10 ลติ ร 75 ลติ ร = 3 ถัง 15 ลติ ร 200 ลิตร = 2 เกวยี น 650 ถงั = 6 เกวียนครง่ึ หรือ 6 เกวียน 50 ถงั 3,000 ลูกบาศกเ ซนติเมตร = 3 ลติ ร 600 ลูกบาศกเซนติเมตร = 600 มิลลลิ ติ ร
148โจทยปญ หาตัวอยาง นายสมโชคขายขาวได 11 เกวยี น 80 ถงั นายสมชัยขายขาวได 16 เกวียน 15 ถงั นายสมโชค ขายขา วไดน อ ยกวานายสมชยั เทาไรวธิ ที าํ เกวียน ถัง เกวียน ถงั นายสมชัยขายขาวได 16 15 15 115 - นายสมโชคขายขาวได 11 80 11 80 ดงั นั้น นายสมโชคขายขา วไดนอยกวา นายสมชยั 4 35 ตอบ 4 เกวยี น 35 ถงัตวั อยาง น้าํ ปลา 30 ลติ ร นาํ มาบรรจใุ สข วดขนาด 100 มลิ ลิลติ ร จะไดก ่ขี วดวธิ ที ํา 1 ลติ ร = 1,000 มิลลลิ ิตร 30 ลติ ร = 1,000 × 30 มลิ ลลิ ิตร ดงั น้ัน นาํ้ ปลา 30 ลิตร = 30,000 มิลลิลติ ร นํามาบรรจใุ สขวด = 100 มิลลลิ ิตร จะไดน้าํ ปลา = 30,000 ÷ 100 = 30,000 ÷ (10 × 10) = (30,000 ÷ 10) ÷ 10 = 3,000 ÷ 10 = 300 ขวด ตอบ 300 ขวดขอสังเกต ตวั หารเปน 100 แยกเปน 10 × 10 แลวนาํ 10 ไปหารทีละตวั เม่อื ตวั ต้ังลงทา ยดว ย 0 ตวั หาร เปน 10 ใหตดั ศนู ยทท่ี า ยตวั ตัง้ ออกได 1 ตวั ก็จะเปนผลหาร นน่ั คือ ถา ตัวหารเปน 100 ไป หารตวั ตงั้ ทีล่ งทา ยดว ย 0 หลายตวั ใหตัด 0 ทา ยตวั ต้ังออก 2 ตวั ทเี่ หลือ คือ ผลหารการตวง 1. การตวง เปน การวัดปรมิ าณหรือความจขุ องสิง่ ของตา ง ๆ โดยใชเครือ่ งตวง เคร่ืองตวงท่ียอมรบั กนั วาเปน เคร่อื งตวงมาตรฐาน ไดแก ลิตร ถัง ถวยตวง และชอ นตวง และหนว ยตวงมาตรฐานคอื ลิตร นอกจากน้ยี ังมีหนว ยตวงตา ง ๆ ท่ีนยิ มใชก ันในบานเรา คอื มลิ ลลิ ิตร ถัง เกวียน ชอ นโตะชอนชา ถว ยตวง 2. วธิ ีการตวง ถา ตวงของเหลว ใหใสเตม็ เครอ่ื งตวงพอดี ถา เปน ของละเอยี ด ใหต วงเสมอปากเครอื่ งตวง แตถ าเปน ของหยาบใหตวงพนู ขอบเคร่อื งตวง
149แบบฝก หดั ที่ 5ก. จงเขยี นเคร่ืองหมาย > , < หรอื = ลงใน ถูกตอ ง (1) ขาวสาร 20 ลติ ร ขา วสาร 1 ถงั (2) นํ้า 1 ลิตร น้าํ 1 แกว (3) น้ําตาลทราย 1 ถวยตวง น้าํ ตาลทราย 1 ลิตร (4) ขา วสารครง่ึ ถงั ขาวสาร 15 ลติ ร (5) ถั่ว 4 ถัง ถ่ัว 40 ลติ ร (6) นาํ้ 4,000 มิลลลิ ติ ร นมสด 4 ลิตร (7) ถ่วั เขียว 3 เกวียน ถว่ั ลิสง 250 ถัง (8) ขา วโพด 1,800 มิลลิลติ ร ขา วโพด 2 ถังข. จงคาดคะเนสิ่งของตอ ไปนด้ี วยสายตา แลว ใชเคร่อื งตวงมาตรฐานตวงจรงิ แลวบันทกึ ลงในตารางขอ ชือ่ สงิ่ ของ คาดคะเนได ตวงไดจรงิ ผดิ พลาด1 น้ํา 1 กระปอง 5 ลิตร 6 ลิตร 1 ลิตร2 ขา วสาร 1 ขนั3 กรวด 1 กระปอง4 นํา้ 1 แกว5 ขา วเปลอื ก 1 ถงั6 ทราย 1 ถงุ7 แกลบ 1 กะละมงั8 ข้เี ลือ่ ย 1 กระปองนมหมายเหตุ ขัน กระปอง แกว ถงั ถุง กะละมัง เหยือก อาจจะเลก็ หรือใหญกไ็ ด เครอ่ื งตวง ไมจ าํ เปน ตองใช ลติ ร อาจเปนเครือ่ งตวงมาตรฐานอยา งอืน่ ก็ได
150ค. ใหนกั ศกึ ษาตอบคาํ ถามตอ ไปนี้ โดยไมต อ งแสดงวธิ ีทํา (1) นํา้ มนั พืช 2 ลิตร เทใสขวดทมี่ คี วามจใุ บละ 500 มลิ ลิลติ ร ไดกใ่ี บ (2) ซอ้ื เกลอื มา 1 ถัง แบง ใสถ ุง ถุงละ 2 ลิตร ไดก ถ่ี ุง (3) หมอใหปาสีรบั ประทานยาธาตวุ ันละ 3 ครง้ั ครั้งละ 1 ชอนโตะ ในเวลา 5 วนั ปาสตี อ ง รบั ประทานยาก่ชี อนโตะ (4) ถั่วเขยี ว 4 ลิตร ราคา 20 บาท ถา ซือ้ ท้ังถงั จะตองจายเงนิ ทั้งหมดเทาไร (5) ซื้อถวั่ ลสิ งเปลอื กมา 3 ถงั ราคาถงั ละ 60 บาท แลว ตมขายลิตรละ 4 บาท จะไดก าํ ไรหรือ ขาดทนุ เทาไร (6) ซ้ือนาํ้ มันมา 8 ลติ ร ราคา 32 บาท นาํ้ มันราคาลิตรละเทา ไร (7) ขวดใบหนงึ่ มนี ํ้าอดั ลมอยเู ต็ม 1 ลิตรพอดี เทนาํ้ อัดลมใสแกว ขนาดเทา กนั ได 3 แกว เมอื่ เต็มแลว ยงั เหลืออยูในขวดอกี 100 มลิ ลิลิตร แกวแตล ะใบจนุ ้าํ อดั ลมเทาใดง. ใหนักศกึ ษาแสดงวธิ ีทาํ (1) น้ําตาลทรายถุงหนึ่งมคี วามจุ 2 ลติ ร 200 มลิ ลิลิตร ถา ซื้อนา้ํ ตาล 5 ถงุ ซง่ึ มคี วามจเุ ทา ๆ กนั มีความจุรวมทั้งส้นิ เทาไร (2) โองนาํ้ ใบหนึ่งใชถงั ซ่ึงมคี วามจุ 15 ลติ ร ตกั น้าํ ใส 20 ครง้ั จึงเตม็ โองพอดี โองใบนีจ้ ุน้ํากี่ลิตร (3) ยานํา้ บรรจุขวด ขวดละ 400 มิลลิลติ ร ยานํ้า 9 ขวด มปี ริมาณเทา ไร (4) ตอ งการใชข า วสาร 6 ถงั แตม ีอยแู ลว 3 ถัง 7 ลติ ร ตอ งซื้อมาเพม่ิ อีกเทา ไรจงึ จะครบตาม ตองการ (5) ถาขา วสารราคาถงั ละ 70 บาท ซ้อื เปนลิตรราคาลิตรละ 4 บาท ตอ งการซอ้ื ขาว 1 ถัง ควรซอื้ เปน ลติ รหรือถงั จึงจะถูกกวาและถกู กวา กันเทา ไร (6) ขาวเปลือก 1 เกวียน สีเปน ขา วสารได 55 ถัง ชาวนาผหู น่งึ นาํ ขา วเปลอื กไปสี 8 เกวยี น จะไดข าวสารทง้ั หมดกี่ถงั
151เรื่องท่ี 3 การหาพน้ื ท่ี 3.1 การหาพื้นท่ีและความยาวรอบรูปเรขาคณติ สองมติ ิ 1) การหาพน้ื ทจ่ี ากการนับตาราง วดั พ้นื ทเี่ ปน ตารางหนว ย โดยใชร ปู ส่เี หลี่ยมจตั รุ สั ที่มีความยาวดา นละ 1 หนว ย จะมพี นื้ ท่ี 1 ตารางหนว ย ดงั น้ี ก 1 หนว ย ข 1 ซม. 1 หนวย 1 ซม. รปู สีเ่ หลี่ยม ก ยาวดา นละ 1 หนว ย จะมพี นื้ ท่ี 1 ตารางหนว ย รปู ส่เี หลีย่ ม ข ยาวดานละ 1 เซนตเิ มตร จะมพี น้ื ที่ 1x1 =1 ตารางเซนติเมตรตัวอยา ง สวนท่แี รเงามีพ้ืนท่ีเทาไรตอบ นับตารางสว นทแ่ี รเงามพี นื้ ที่ 16 ตารางหนว ย
152ตวั อยางจงหาพื้นที่ของรปู สามเหลย่ี ม กขจ และสี่เหลย่ี มผนื ผา กขคง โดยการนับตาราง งจ ค 34 2 หนวย 4 31 24ก 4 หนวย ขตอบ พ้ืนที่ของรูปสามเหล่ยี ม กขคง = 8 ตารางหนวย พื้นที่ของรปู สามเหลยี่ ม กขจ = 4 ตารางหนว ย จะเหน็ วารูปสี่เหลี่ยมผืนผา กขคง มคี วามยาวของฐานหรือความยาวดานยาว 4 หนวยและมคี วามสงู หรือความกวางเปน 2 หนว ย มพี ืน้ ทเ่ี ทา กบั 4 หนว ย 2 หนวย = 8 ตารางหนว ย สูตร พื้นทีร่ ปู สี่เหลยี่ มผนื ผา = ความยาวของดา นยาว ความยาวของดา นกวางข. จงหาพืน้ ทขี่ องรปู สี่เหล่ียมตอไปนีโ้ ดยใชส ตู ร 2 เมตร(1) (2)1.6 เมตร 2 เมตร 1 เมตร2 เมตร
1533.2 โจทยปญ หาของการหาพน้ื ทขี่ องรปู เรขาคณิต ในการแกป ญหาเก่ียวกบั การหาพน้ื ทข่ี องรปู เรขาคณติ มีสตู รท่นี ําไปใชป ระจํา เชน พนื้ ที่สเี่ หล่ียมจตั รุ ัส = ดาน x ดาน พืน้ ทสี่ เ่ี หลีย่ มผืนผา = กวาง x ยาว รูปท่ีสีเ่ หลยี่ มดา นขนาน = ความยาวของฐาน x ความสงูตวั อยา ง รปู ส่ีเหลีย่ มคางหมู = 1 x สูง x ผลบวกของความยาวดานคขู นาน 2 พืน้ ที่รูปสามเหลย่ี ม = 1 x ฐาน x สงู 2 ที่ดนิ รูปสี่เหล่ยี มผนื ผามีความกวาง 6 เมตร ยาว 12 เมตร ที่ดินน้ีจะมพี ื้นทเ่ี ทา ไหร วธิ ีทาํ สูตร พท. ส่ีเหลยี่ มผืนผา = กวาง x ยาว = 6 ม. x 12 ม. = 72 ตร.ม. ดงั นนั้ พื้นทด่ี นิ แปลงน้มี ีพ้นื ท่ี 72 ตารางเมตร ตอบ 72 ตารางเมตรหมายเหตุ ในชวี ติ จรงิ บางคร้งั คาํ วาตารางเมตรมักจะใชต วั ยอ เปน ม. 2แบบฝกหดั ท่ี 61. จงหาพื้นท่ีของรูปสี่เหลี่ยม ตอ ไปนี้ 1.1 รปู สเี่ หลี่ยมจัตุรสั ทีม่ ีดานกวา งดา นละ 7 ซม. 1.2 รปู สเ่ี หลีย่ มผนื ผา ท่มี ีดานยาวยาว 5 ซม. และมดี า นกวา งยาว 3 ซม 1.3 รปู สเี่ หลีย่ มดา นขนาน ทม่ี ดี านฐานยาว 10 เมตร และสูง 5 เมตร2. จงหาพ้นื ที่ของรูปสามเหล่ยี ม ตอไปนี้ 2.1 รปู สามเหลี่ยม ทม่ี ฐี านยาว 10 เมตร และสงู 5 เมตร 2.2 รปู สามเหลย่ี ม ท่มี ฐี านยาว 6 ซม. และสูง 5 ซม. 2.3 รปู สามเหลยี่ ม ท่มี ีฐานยาว 10 ซม. และสูง 8 ซม.3. กระดาษสเ่ี หลย่ี มจตั ุรสั 1 แผน มีความยาวดานละ 10 นวิ้ นํามาตัดเปน รปู สี่เหลี่ยมท่มี ีฐานยาว 5 นิว้ สูง 8 นว้ิ ไดกรี่ ปู4. หองเรียนกวา ง 5 เมตร ยาว 12.5 เมตร ตอ งใชพ รมขนาดกวา ง 2.5 เมตร และยาวเทาไรจงึ จะปูไดเ ตม็ หองพอดี5. นายคณติ ตอ งการทาํ แปลงปลกู ผกั เปน รูปสเ่ี หลี่ยมผนื ผา มีดา นยาว 10 หลา และดา นกวา ง 2 หลา 2 ฟุต นายคณติ จะตองใชพื้นทก่ี ตี่ ารางฟตุ
154เร่อื งที่ 4 ปรมิ าตรและความจุ 4.1 การหาปริมาตรและความจุของทรงสเี่ หลย่ี มมมุ ฉากและการแกปญ หา 1) ปริมาตร คือ ความจขุ องทรงสามมติ ิ การวัดปรมิ าตรของทรงสามมิติ ใชหนวยวัดท่ีเรยี กวาลกู บาศกห นว ย 2) ความจุ คือ ปริมาตรภายในของภาชนะนน้ั ๆ 1 หนว ย ทรงสี่เหล่ียมมมุ ฉาก มคี วามกวาง ความยาว และความสูง 1 หนว ย 1 หนว ยเทากนั เรยี กวา 1 ลกู บาศกหนวย1 หนว ย เราอาจใชสูตรหาปรมิ าตร ดงั น้ีสตู ร ปริมาตรทรงสีเ่ หล่ียมมุมฉาก = กวาง × ยาว × สูง หรอื = พ้ืนท่ีฐาน × สูง จากรูป ปรมิ าตร = 1 × 1 × 1 = 1 ลกู บาศกหนว ย (ถา หนว ยเปนเมตรก็จะมปี รมิ าตรหนว ยเปน ลูกบาศกเมตร)ตวั อยาง(1) ทรงส่เี หลย่ี มมุมฉาก กวา ง 3 เมตร ยาว 4 เมตร สูง 2 เมตร มีปรมิ าตรเทาไร วิธีทํา ปริมาตร = กวา ง × ยาว × สูง = 3×4×2 = 24 ลูกบาศกเมตร(2) กลองนมกวาง 3 นวิ้ ยาว 5 น้วิ สูง 6 นวิ้ มีปรมิ าตรเทาไร วิธีทํา ปรมิ าตร = กวา ง × ยาว × สูง = 3×5×6 = 90 ลูกบาศกเ มตร
155แบบฝกหดั ที่ 7จงหาคาํ ตอบตอไปนีโ้ ดยการแสดงวธิ ีทํา1. สระนา้ํ ทรงส่เี หลย่ี มมมุ ฉากกวา ง 10 เมตร ยาว 15 เมตร ลกึ 1.5 เมตร สระน้าํ นี้มคี วามจุเทาใด2. ตดั ไมท ําลกู บาศก โดยมคี วามยาวดานหนงึ่ ของขอบเปน 10 ซม. ลกู บาศกน ม้ี ปี ริมาตรเทา ใด3. เหลก็ เสน กลมมปี รมิ าตร 500 ลูกบาศกเซนติเมตร ตดั แบง เปน 5 ทอ นเทา ๆ กนั แตล ะทอนจะมีปริมาตรเทาใด4. จงหาความจขุ องโกดังเก็บของ ซงึ่ มีเนื้อทว่ี างของไดต ามยาว 7 เมตร กวาง 5 เมตร สงู 4 เมตร5. เสาเหลย่ี มตนหน่ึงมหี นาตัดเปน รปู ส่ีเหล่ียมจตั รุ สั กวาง 20 เซนตเิ มตร สูง 3 เมตร เสาตน นม้ี ปี ริมาตรเทาใด4.2 ความสัมพันธร ะหวางหนว ยของปรมิ าตรหรอื หนวยของความจุความจุ คอื ปรมิ าตรภายในของภาชนะท่ีบรรจุสิ่งของไดเ ตม็ พอดี ซงึ่ ถาทราบวาสิง่ ท่ีจะนาํ ไปบรรจุในภาชนะนน้ั มปี รมิ าตรทตี่ วงไดเทา ใดก็จะทราบความจุของภาชนะน้ันได โดยใชมาตราเปรียบเทียบดังนี้1 ลติ ร = 1000 มลิ ลิลติ ร1 มิลลิลติ ร = 1 ลูกบาศกเซนตเิ มตร1,000,000 ลูกบาศกเซนติเมตร = 1 ลกู บาศกเ มตร1 ถวยตวง = 240 มลิ ลิลติ ร1 ชอนโตะ = 15 มลิ ลิลิตร1 ถงั = 20 ลิตร1 ถงั = 15 กโิ ลกรัม1 เกวียน = 100 ถัง1 เกวยี น = 200 ลิตรตวั อยาง ถงั นํา้ ทรงส่เี หลี่ยมมมุ ฉากใบหน่ึงวดั ดานในไดย าว 40 ซม. ดา นกวา ง 20 ซม. สงู 30 ซม. ใสนา้ํ จนเตม็ ถงั พอดี ถังนาํ้ ใบนจี้ ุ น้าํ กลี่ ติ รวธิ ที ํา ปรมิ าตรของสเี่ หลย่ี มมมุ ฉาก = กวา ง x ยาว x สงู = 20 x 40 x 30 = 24000 ลบ.ซม.แตน ํา้ 1 ลบ.ซม. = 1 มลิ ลิลิตรนา้ํ 24000 ลบซม. = 24000 มิลลลิ ิตรแตน าํ้ 1000 มลิ ลิลิตร = 1 ลติ รนั่นคือถงั น้ําบรรจนุ ้ําได = 24000 = 24 ลติ รตอบ 24 ลติ ร 1000
156แบบฝก หดั ที่ 8 1. นํ้าตาลทราย 2,000 มิลลลิ ติ ร มีความจุกบั ถว ยตวงขนาด 500 มิลลลิ ิตร กถ่ี วย 2. เหยือกใบหนึง่ บรรจุนํ้าได 3 ลติ ร คดิ เปน ความจุไดก ม่ี ลิ ลิลิตร 3. กระปองใสน ํ้าใบหน่งึ ใสน ้ําไดเตม็ พอดจี ํานวน 10 ลิตร อยากทราบวาภายในกระปอ งใบนี้ มีปรมิ าตรกี่ลกู บาศกเมตร 4. ถังใบหนง่ึ บรรจขุ าวสารได 5 ถัง อยากทราบวาภายในถงั ใบนม้ี ปี รมิ าตรกีล่ ูกบาศกเซนติเมตรเร่ืองท่ี 5 ทศิ และแผนผัง 5.1 ชอื่ และทศิ ทางของทศิ ท้ัง 8 ทิศหลักมีส่ีทิศ ไดแก ทิศเหนือ ทิศใต ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศท่ีดวงอาทิตยขึ้นเรียกวา ทิศตะวันออก และทิศที่ดวงอาทิตยตก เรียกวาทิศตะวันตก ถาเรายืนหันหนาไปทางทิศตะวันออกทางซา ยมอื จะเปนทิศเหนอื ทางขวามอื จะเปนทศิ ใต เหนอืตะวันตก ตะวนั ออก ใต นอกจากทิศหลักส่ีทิศแลว ยังมีอีกสี่ทิศท่ีไมใชทิศหลักและมีช่ือเรียกเฉพาะคือทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทิศตะวันออกเฉียงใต ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ทิศตะวันตกเฉียงใต นั่นคือทิศทั้ง 8น่ันเอง ดังภาพขา งลา งตะวนั ตกเฉียงเหนือ เหนอื (พายพั ) (อดุ ร) ตะวันออกเฉยี งเหนือ (อีสาน)ตะวันตก ตะวันออก(ประจิม) (บูรพา)ตะวนั ตกเฉียงใต ใต ตะวันออกเฉียงใต (หรดี) (ทกั ษิณ) (อาคเนย)
157 5.2 การอา นเขยี นแผนผงั แผนผงั คือ รปู ยอสวนหรือขยายสวนทีแ่ สดงขนาดและทศิ ทางที่ถกู ตอ ง และเขยี นบอกดว ยวา แผนผังน้นั แสดงอะไร ใชมาตราสวนอยา งไร และจะเขยี นลูกศรชท้ี ศิ เหนือ N กํากับไวต ามความเหมาะสมทกุ ครั้งตัวอยา ง แผนผงั แสดงการเดนิ ทางจากบานไปโรงเรียนของ นายวิจติ ร โรงเรียน N 7 เซนตเิ มตร 5 เซนตเิ มตร 2 เซนติเมตรบา นวิจติ ร บานแกว ตา มาตราสวน 1 ซม. : 100 เมตรจากแผนผังเราจะทราบขอ มลู หลายอยาง คอื 1. บา นวจิ ิตรอยูท างทศิ ตะวนั ตกของบา นแกว ตา 2. บานแกวตาอยูทางทิศใตข องโรงเรียนและอยูมมุ ถนน 3. โรงเรยี นอยทู างทิศตะวนั ออกเฉยี งเหนือของบานวจิ ติ รา 4. บานวิจติ รอยหู า งจากโรงเรยี น ตามแผนผัง 7 เซนติเมตร เปนระยะทางจรงิ 700 เมตร (มาตราสวน 1 ซม. : 100 เมตร) 5. บานแกวตาอยหู างจากบา นวจิ ติ ร ตามแผนผงั 2 เซนติเมตร เปนระยะทางจริง 200 เมตร 6. บา นแกว ตาอยูหา งจากโรงเรียน ตามแผนผงั 5 เซนตเิ มตร เปนระยะทางจริง 500 เมตร
158 ในการเขียนแผนผัง จะตองทราบขนาดของจริงกอน แลวคดิ วา จะตอ งการรูปขนาดใดแลว จงึคาํ นวณวามาตราสวนควรเปนเทาใด จงึ จะคดิ คํานวณไดง ายและสะดวก แลว จึงเขียนรปู ใหถูกตองทง้ั ขนาดและตาํ แหนง ตัวอยา ง จงเขยี นแผนผงั หอ งทาํ งานหองหนง่ึ มีความยาว 8 เมตร กวา ง 6 เมตร กําหนดความยาว1 เซนตเิ มตรแทนความยาว 1 เมตร และวางโตะอยกู ลางหอ ง ซึง่ มขี นาดกวา ง 1 เมตร ยาว 1 เมตร 8 ซม. 1 ซม. 6 ซม. มาตราสว น 1 ซม. : 1 ม.แบบฝก หดั ท่ี 9ก. จงอานแผนผังแปลงดอกไม และแปลงผักของไรส ขุ ใจ แลว ตอบคําถามน แปลงผกั 3 ซม.10 ซม. ท่ดี ิน 4 ซม. แปลงดอกไม 9 ซม. (1) ท่ีดินไรสุขใจน้เี ปน รูปอะไร มาตราสว น 1 ซม. : 9 เมตร (2) แปลงผักอยูทางทศิ ใดของท่ีดนิ ดานกวา งของแปลงผักกวา งกเ่ี มตร (3) แปลงดอกไมด านท่ยี าวที่สุด มีความยาวก่เี มตร (4) แนวรมิ ที่ดนิ ดานทิศตะวันตกปลูกผกั หรอื ดอกไม (5) ดา นกวา งของท่ีดินไรส ขุ ใจกวางเทา ใด
159ข. จงอานแผนผังตอ ไปนแ้ี ลวตอบคาํ ถาม ลกู เสอื หมหู นงึ่ ออกเดินทางไกลจากโรงเรยี นไปยงั คา ยพกั แรมชัว่ คราวท่ีเชงิ เขา โดยมแี ผนผังการเดินทาง ดงั นี้ ระยะทางจากโรงเรยี นไปวดั 2 ซม. ทพี่ ักแรมหางจากเชิงเขา 5 ซม. 2 ซม. มาตราสวน 1 ซม. : 100,000 ซม.ใหนักศกึ ษาอานแผนผังแลว ตอบคําถาม (1) ลกู เสือเดินทางไปทางทิศใด เปนระยะทางเทา ใดจงึ ถงึ วดั (2) คา ยพกั แรมเชิงเขาอยหู างจากโรงเรยี นกก่ี โิ ลเมตรค. จงอา นแผนผงั และตอบคาํ ถาม ระยะทางจากรานเครื่องดืม่ ไปรานดอกไม 7 ซม. ระยะทางรานดอกไมไ ปโรงเรียน 3 ซม. 3 ซม. 7 ซม. มาตราสว น 1 ซม. : 500 ม. (1) ออกจากบานไปยังทิศใดบาง จึงจะถงึ รานขายดอกไมแ ละตอ งเดินทางเปน ระยะทางเทาใด (2) รานขายดอกไมอ ยทู างทศิ ใดของโรงเรียนและอยหู า งจากโรงเรยี นเปน ระยะทางเทา ใด (3) รา นขายเคร่อื งดมื่ อยูทางทิศใดของรานขายดอกไม ถา เดนิ ทางจากรา นขายดอกไมไ ป โรงเรยี น จะเปนระยะทางใกล หรือไกลกวาจากรา นดอกไมไปยงั รา นขายเคร่ืองด่ืมเปนระยะทางเทา ใด
160ง. จงเขยี นแผนผงั อยา งคราว ๆ แสดงเสน ทางจากบานไปวดั ทีอ่ ยูใกลบ านของทา น
161เรื่องท่ี 6 เงนิ 6.1 การเขยี นและการอา นจาํ นวนเงนิ เงินเปน สือ่ กลางในการซือ้ ขายและแลกเปล่ยี น ประเทศไทยใชเงินบาทเปนหนว ยของเงินตรา ดงั นี้ 1 บาท = 100 สตางค 1 บาท = 4 สลึง 1 สลงึ = 25 สตางคเงินตราทท่ี ําขน้ึ เชน นี้ แบง ออกเปน 2 ลักษณะ ดังน้ี1) เงินท่ีใชเ ปน เหรยี ญทน่ี ิยมใช ไดแ ก เหรียญ 1 สลึง หรือ 25 สตางค เหรยี ญ 2 สลึง หรอื 50 สตางค เหรยี ญ 1 บาท เหรยี ญ 2 บาท เหรยี ญ 5 บาท เหรียญ 10 บาท2) เงินท่ีใชเปนธนบตั รทน่ี ยิ มใช ไดแก ธนบัตรใบละ สบิ บาท ธนบัตรใบละ ย่ีสิบบาท ธนบตั รใบละ หา สบิ บาท ธนบตั รใบละ หนงึ่ รอ ยบาท ธนบตั รใบละ หารอ ยบาท ธนบัตรใบละ หนึง่ พนั บาท การอา นและการเขียนเงินตราของไทย 5 สตางค เขยี น .05 บาท อานวา หาสตางค 25 สตางค เขยี น .25 บาท อานวา ย่ีสิบหา สตางค หรือ ภาษาพดู ใช หนึ่งสลงึ 50 สตางค เขียน .50 บาท อา นวา หา สิบสตางค หรือภาษาพดู ใช สองสลงึ 75 สตางค เขยี น .75 บาท อานวา เจ็ดสิบหาสตางค หรอื ภาษาพดู ใช สามสลงึ 1 บาท กับ 25 สตางค เขยี น 1.25 บาท อา นวา หน่ึงบาทยสี่ บิ หา สตางค หรอื ภาษาพดู ใชหนึง่ บาทหนึ่งสลงึ หรอื หาสลงึ
162 2 บาท กับ 50 สตางค เขยี น 2.50 บาท อา นวา สองบาทหา สบิ สตางค หรือ สองบาท หา สิบ หรือในภาษาพดู ใชส บิ สลึง 15 บาท กับ 65 สตางค เขยี น 15.65 บาท อา นวา สิบหาบาทหกสบิ หาสตางค ในการเขียน ใชจ ดุ คนั่ ระหวางจาํ นวนเงินบาท กับ สตางค 6.2 การเปรียบเทยี บจาํ นวนเงนิ และการแลกเปลย่ี นเงนิ ตรา การเปรียบเทียบคาของเงนิ เงินเหรยี ญและธนบัตรมคี า แตกตา งตัง้ แตนอ ยไปหามาก คือ25 สต. 50 สต. 1 บาท 2 บาท 5 บาท 10 บาท สวนธนบตั รเรียงจากนอยไปหามากคอื 20 บาท 50 บาท100 บาท และ 1000 บาท การแลกเปลย่ี นเงนิ ทง้ั เงินเหรยี ญ และธนบัตร เราสามารถนํามาแลกเปล่ียนได เชน เหรียญหา บาท จะแลกเปน เหรยี ญหน่ึงบาท ได 5 เหรยี ญ เหรียญสิบบาท จะแลกเปนเหรยี ญหนึง่ บาท ได 10 เหรียญหรือ เปน เหรียญหาบาทได 2 เหรียญ สวนธนบตั รก็เชน กนั อาจแลกเปลี่ยนเปนเงนิ เหรียญหรอื ธนบัตรดวยกนั กไ็ ด เชน ธนบัตรใบละหา สบิ บาท อาจแลกไดเปนธนบัตรใบละย่ีสบิ บาท 2 ใบ และเหรียญหา บาทได 2 เหรยี ญ เปนตนตัวอยาง มีธนบัตรใบละหา รอ ยบาท 3 ใบ ใบละหน่ึงรอยบาท 9 ใบ ใบละหา สบิ บาท 5 ใบวธิ ที ํา ใบละยี่สบิ บาท 10 ใบ และใบละสิบบาท 20 ใบ รวมทั้งหมดมีเงนิ กีบ่ าท ธนบตั รใบละหา รอยบาท 3 ใบ เปนเงนิ 500 × 3 = 1,500 บาท ธนบตั รใบละหนึง่ รอยบาท 9 ใบ เปน เงนิ 100 × 9 = 900 บาท ธนบัตรใบละหา สิบบาท 5 ใบ เปนเงนิ 50 × 5 = 250 บาท ธนบตั รใบละยสี่ ิบบาท 10 ใบ เปน เงิน 20 × 10 = 200 บาท ธนบตั รใบละสบิ บาท 20 ใบ เปนเงนิ 10 × 20 = 200 บาท รวมทง้ั หมดมเี งนิ 1,500 + 900 + 250 + 200 + 200 บาท = 3,050 บาท ตอบ 3,050 บาท 6.3 โจทยปญ หาในชีวติ ประจําวัน การแลกเปลย่ี นเงินตราในการใชจา ยจะมีคอ นขางสงู เพราะราคาสนิ คาไมต รงกับชนดิ ของเงนิ เชนซอ้ื ของราคา 37 บาทเราใหธ นบัตรใบละหนง่ึ รอ ยบาท รานคาจะทอนมาใหเ รา 63 บาท ซ่ึงจะมที ้งัธนบตั รและเหรียญ
163ตวั อยา ง มุกดามีธนบัตรหารอยบาท 1 ใบ นําไปจา ยตลาดดังน้ี ซ้อื เนอื้ หมู 2 กิโลกรมั 108 บาท ซอื้ เนื้อไก 3 กโิ ลกรมั 94.50 บาท ซอื้ นํ้าตาลทราย 2 กโิ ลกรมั 25.50 บาท ซื้อนาํ้ ปลา 3 ขวด ราคา 55.50 บาท ด้งั นน้ั จะเหลอื เงนิ กีบ่ าทวธิ ีทาํ ซอ้ื เนอ้ื หมู 108.00 + บาท ซื้อเนอ้ื ไก 94.50 บาท คดิ เปนเงนิ 202.50 + บาท ซื้อนา้ํ ตาลทราย 25.50 บาท คิดเปน เงนิ 228.00 + บาท ซอื้ น้ําปลา 55.50 บาท รวมเปนเงินซื้อของทั้งหมด 283.50 บาท มุกดามีเงนิ 500.00 - บาท ซือ้ ของท้ังหมด 283.50 บาท ดังน้ันเหลือ 216.50 บาท ตอบ 216 บาท 50 สตางคขอ สังเกต สาํ หรบั การบวกหรือลบจํานวนเงนิ ซึ่งอยใู นรูปจุดทศนยิ ม ตวั บวกและตัวตงั้ จะตอ งตั้งใหจดุ ทศนยิ มตรงกนั แลว จงึ บวกหรือลบตามธรรมดา และผลบวกจะตองมจี ดุ ทศนิยมตรงกบั จาํ นวนที่มาบวกหรอื ลบกนั ดว ยตัวอยา ง เมตตาขายปลาชอนได 7 กโิ ลกรัม ๆ ละ 63 บาท 75 สตางค จะไดเ งนิ ทั้งหมดเทาไรวธิ ที าํ เมตตาขายปลาชอน 1 กโิ ลกรัม ราคา 63.75 × บาท ขายได 7 กิโลกรัมดงั นัน้ จะไดเ งนิ ทั้งหมด 446.25 บาท ตอบ 446 บาท 25 สตางคขอสงั เกต การคูณจํานวนเงนิ ทีเ่ ปน จุดทศนิยม ทาํ เชน เดยี วกบั การคูณจํานวนเต็ม แตผลคูณตอ งมีจาํ นวนเลขหลังจดุ ทศนิยมเทา กบั ผลบวกของจาํ นวนจุดทศนยิ มของตวั ตัง้ และตวั คูณ เชน จากตวั อยางท่ี 3 ตัวต้งั มีจาํ นวนทศนิยม 2 ตวั แตต วั คณู ไมม ีจดุ ทศนยิ ม ผลคูณจึงมีทศนิยม 2 ตวั เทานั้นตัวอยา ง นายทองใบซ้ือถา นมา 5 เขง คดิ เปน เงนิ 233 บาท 75 สตางค อยากทราบวา ถานราคาเขงละเทา ไรวธิ ีทาํ คา ถานท้งั หมด 233.75 บาทนายทองใบซอ้ื ถานมา 5 เขงดังนั้นถา นราคาเขง ละ 5 )233.75 บาท 46.75 บาท ตอบ 46 บาท 75 สตางค
164 ขอ สังเกต การหารจํานวนเงนิ ทเี่ ปนจดุ ทศนยิ ม ทําเชน เดยี วกับการหารจํานวนเตม็ แตผ ลหารตองใสจดุ ทศนิยมใหตรงกับตัวตง้ัสรปุ เงิน 1. เงนิ เปน สื่อกลางในการซื้อขายและแลกเปลย่ี นสง่ิ ของ ในปจจุบนั ประเทศไทย ใช “บาท” เปนหนว ยของเงนิ ตรา และแบงบาทออกเปนเงนิ ยอ ย เรียกวา “สตางค” 2. การเขียนจาํ นวนเลขแสดงจาํ นวนเงนิ บาทและสตางค โดยใชจ ดุ คนั่ ใหใ สจ ดุ ค่นั ระหวา งจํานวนเงินบาทและจํานวนสตางค เชน 19 บาท 45 สตางค เขยี นเปน 19.45 บาท สว นวิธีอา นใหอานชือ่ จํานวนเงินเตม็ คือ 19 บาท 45 สตางค 3. การบวกหรอื ลบจาํ นวนเงินที่เปน จดุ ทศนิยม ตองตง้ั จดุ ใหต รงกนั แลว ทําการบวกหรอื ลบเหมือนจํานวนเลขทว่ั ไป 4. การคณู จาํ นวนเงนิ ทเ่ี ปนจุดทศนยิ ม ทาํ เชน เดียวกับจาํ นวนเตม็ แตผลคูณตอ งมจี าํ นวนตําแหนงทศนิยมเทา กบั ผลบวกของตัวตง้ั และตัวคณู 5. การหารจาํ นวนเงินทีเ่ ปน จุดทศนิยม ทาํ เชน เดียวกับการหารจาํ นวนเตม็ แตผลหารตอ งใสจ ดุทศนยิ มใหต รงกบั ตวั ต้งัแบบฝก หดั ท่ี 10จงแสดงวธิ ีทาํ (1) จายเงนิ ใหลกู คนโต 18.50 บาท คนที่สอง 16.50 บาท คนทสี่ าม 15 บาท คนสุดทอ ง 12.50 บาท คดิ เปน เงินทีต่ องจา ยใหล กู ท้ังหมดเทาไร (2) แมคา ขายของไดธนบัตรใบละหา สิบบาท 1 ใบ ๆ ละยสี่ บิ บาท 4 ใบ ๆ ละสบิ บาท 7 ใบ เหรยี ญ 5 บาท 8 อัน และเหรียญบาท 9 อัน แมคาขายของไดเงนิ เทาไร (3) ซื้อหมวกใบละ 25 บาท 2 ใบ ปากกา 1 ดาม 65 บาท รองเทา ผา ใบหน่งึ คู 135 บาท ใหธ นบัตร ใบละหารอยบาท จะไดรบั เงินทอนเทาไร (4) ซื้อเสอื้ 8 ตัว ๆ ละ 35 บาท 50 สตางค ถาแมค าลดให 10 บาท จะตองจา ยเงินเทา ไร (5) ซือ้ ละมุดมา 1 เขง 24 กิโลกรัม เปนเงิน 384 บาท ขายไปกิโลกรมั ละ 21 บาท จะไดก าํ ไร ทั้งหมดเทา ไร
165 6.4 การอา นและบันทึกรายรบั - รายจา ย บริษัท หางหนุ สวน รา นคา หรือองคก ารคาตา ง ๆ จะตอ งทาํ บญั ชี 5 ประเภท ตามพระราชบญั ญตั กิ ารบญั ชี คือ บัญชีเงินสด บัญชลี ูกหนีแ้ ละเจาหน้ี บัญชีรายวนั ซอ้ื และบัญชีรายวันขาย บัญชีสนิ ทรัพย และบญั ชแี ยกประเภทรายได - รายจาย การทาํ บญั ชี นอกจากจะชว ยใหเจาหนาท่ีผตู รวจสอบบญั ชีเก่ยี วกับการภาษี ไดร ับความสะดวกแลวยงั ชว ยทางหางรานไดท ราบฐานะการคา ที่แทจ ริงของตนไดด ว ย บุคคลทมี่ ีงานในชีวติ ประจําวันหลายอยา งโดยเฉพาะเกี่ยวกบั รายรับ – รายจา ย กม็ ักจะมีการบนั ทกึ รายรบั – รายจา ยประจําวนั ของตนเองไวเพือ่ ชว ยความจําวา ไดจ า ยอะไรบา ง เพื่อสะดวกในการคน หาเมอื่ ตองการทราบในภายหลัง เชน บนั ทกึ รายรบั – รายจา ย ของนายชมุ พล บันทึกรายจายของนายชมุ พล ตงั้ แตวันที่ 1 มิถนุ ายน 2553 ถงึ 7 มิถุนายน 2553วนั เดือน ป รายการ รายรับ รายจา ย คงเหลือ1 ม.ิ ย. 53 500 แมใ หเงิน 500 - 3002 ม.ิ ย. 53 2503 ม.ิ ย. 53 ซ้ือเส้ือ 1 ตัว - 200 3004 ม.ิ ย. 53 2755 ม.ิ ย. 53 ซื้อหนังสอื - 50 1256 ม.ิ ย. 53 2007 ม.ิ ย. 53 รบั จา งพับถงุ ไดเ งนิ 50 - 75 ซื้อขนม - 25 ซือ้ กางเกง - 150 ขายดอกไมไ ดเงนิ 75 - ซ้ือรองเทา - 125 บัญชเี งนิ สด เปน บัญชีทีบ่ ันทึกวา ในวันหนึ่ง ๆ รับเงินเทา ใดจากใครและจายเงนิ เทา ใดเรอ่ื งอะไรแกใ คร รูปบัญชีแบงเปน 2 ดา น คอื “รายการรบั ” นยิ มเขยี นวา “ลูกหน”ี้ อยดู า นซา ยมือ รายการจา ยนยิ มเขยี นวา “เจาหน”้ี อยดู านขวามือ ตัวอยางบญั ชีเงนิ สด (งบยอดบญั ชีใน 3 วนั )
บญั ชเี งินสด (ลกู หนี้วัน เดอื น ป รายการรับ หนา จํานวนเงนิ ว บญั ชี บาท สต.1 ต.ค. 45 ยอดยกมา 1,500 - 1 ต2 ต.ค. 45 ขายหนังสอื เรียน 2,510 - ขายเครื่องเขยี น 2,325 - 23 ต.ค. 45 ขายสมดุ แบบฝกหัด 3,100 - ขายหนงั สอื เรียน 2,140 - 3 ต ขายสมุดแบบฝก หัด 2,215 - ขายหนงั สอื เรยี น 3,000 - การขายเครื่องแบบลูกเสอื 1,200 - รวม 17,990 -ขอ สงั เกต 1. คาํ วา “ยอดยกมา” หมายถงึ ยกยอดที่เหลือจากวนั กอ นวนั ที่ 1 ต.ค 2. คาํ วา “ยอดเหลือยกไป” หมายถึง ยกยอดที่เหลอื จากงบบญั ชีไปลง 3. ในชอ งงบรายจาย จะเห็นวา 17,990 = 8,945 + 9,045 ยอดรายรับทงั้ หมด = ยอดรายจา ยท้งั หมด + ยอดเหลอื ยกไป 4.ยอดเหลอื ยกไปหาไดจ าก รายรับ – รายจาย
166 ตัวอยาง(งบยอดบัญชใี นเวลา 3 วัน) เจา หน้ีวนั เดอื น ป รายการจาย หนา จาํ นวนเงนิ บญั ชี บาท สต.ต.ค. 45 ซ้ือของเขา รา น 6,000 - จายคานํา้ ประปา 130 -ต.ค. 45 จายคา ไฟฟา 250 - จายคา โทรศพั ท 315 -ต.ค. 45 จายคารถบรรทกุ ของ 100 - ซ้อื ของเขา ราน 2,150 - รวม 8,945 - ยอดเหลือยกไป 9,045 - 17,990 -ค. 45 มาเขยี นเปน รายรบั ของวันที่ 1 ต.ค. 45งบัญชวี ันตอไป
168แบบฝกหดั ที่ 11ก. จงพิจารณารายการตอไปนี้ รายการใดตอ งลงบญั ชีดา นรายการรบั (ลกู หน)ี้ รายการใด ตอ งลงบัญชีดา นรายการจา ย (เจา หน)ี้(1) ซือ้ สินคา เขา รา น 1,500 บาท(2) ชําระดอกเบย้ี เงนิ กู 300 บาท(3) คา จา งซอมแซมบา น 500 บาท(4) เงินเหลือจากงบบญั ชคี รัง้ กอน 1,250 บาท(5) คา รถบรรทกุ สินคา 120 บาท(6) ขายสินคาสง 2,000 บาท(7) ขายหนงั สือเรียน 3,000 บาท(8) ขายรองเทา นักเรียน 450 บาท(9) คาเชาบาน 500 บาท(10) ขายพนั ธุพืช 1,200 บาท(11) ขายอาหาร 1,800 บาท(12) คา นํา้ ประปา 160 บาท(13) คาไฟฟา 230 บาท(14) รับคา จา งทาํ อาหาร 1,350 บาท(15) คา จางคนครัว 800 บาทข. จงทาํ บญั ชเี งินสดของรา นอาหารอรอย ดงั มีรายการตอ ไปนี้วันท่ี 1 พฤษภาคม 2553 เงนิ ยอดเหลอื ยกมา 2,335 บาท ขายอาหาร 3,500 บาท ซ้ืออาหารสด1,200 บาท เสยี คา น้าํ ประปา 115 บาท จายเงนิ เดอื นคนครวั 800 บาทวนั ท่ี 2 พฤษภาคม 2553 ขายอาหารไดเ งิน 4,115 บาท ซือ้ อาหารสด 1,500 บาทซ้อื ขาวสาร 200 บาท เสยี คา ไฟฟา 318 บาท เสียคารถขนของ 130 บาทวนั ท่ี 3 พฤษภาคม 2553 รบั เงนิ คาจดั งานเลี้ยงนอกสถานที่ 4,200 บาท เสียคา รถบรรทกุ ของ200 บาทค. จงทาํ บญั ชีเงนิ สดของรานขายเคร่ืองเขียนแบบเรียน “ปญญา” ดงั มีรายการตอ ไปนี้วันท่ี 6 เมษายน 2553 เงินคงเหลอื ยกมา 2,500 บาท ซ้ือของเขาราน 3,400 บาท ขายหนังสอื เรยี น 3,000 บาท ขายเครอ่ื งเขยี น 4,000 บาทวนั ท่ี 7 เมษายน 2553 ขายหนงั สือเรยี น 5,200 บาท
169วันที่ 8 เมษายน 2553 ขายเครื่องแบบลกู เสือ 2,100 บาท ขายรองเทา นักเรยี น 1,500 บาท จายคาน้าํ ประปา 165 บาท จา ยคาไฟฟา 135 บาท จายคา รถบรรทกุ ของ 215 บาท ขายหนงั สอื เรยี น 2,420 บาท รับเงนิ จากลกู คา 1,200 บาทสรปุ การบนั ทกึ รายรับ – รายจาย - การบนั ทึกรายรบั – รายจายประจําวัน เปนรูปบญั ชีเงินสด - รปู บัญชเี งนิ สดแบง เปน สองดาน ดานซายมือเปน รายการรับ หรอื ลกู หนี้ ดานขวามือเปนรายการจา ย หรือ เจาหนี้ - เวลางบบญั ชีรวมรายการรบั ทงั้ หมด และรวมรายการจายท้งั หมด รายรบั – รายจาย = ยอดเหลือยกไป (ในรายการจา ย) - ยอดเหลือยกไป เปนยอดรายการรับ ในการทําบญั ชวี นั ตอ ไป รายจา ย – ยอดเหลือยกไป = รายรับเรอ่ื งท่ี 7 อณุ หภมู ิอณุ หภมู ิ หมายถงึ ปริมาณความรอนหรอื เย็นของส่ิงใดส่งิ หน่ึง โดยมีหนว ยการวดั เปนองศา7.1 หนว ยการวดั อุณหภมู ิระบบตาง ๆ1) ระบบมาตรฐานสากล (ระบบ SI) หนวยการวดั เปน เคลวิน สัญลกั ษณ °K2) ระบบท่อี นโุ ลมใช หนว ยการวัดเปนองศาเซลเซยี ส สัญลกั ษณ °C หนวยการวดั เปน องศาฟาเรนไฮต สญั ลักษณ °F หนวยการวัดเปนองศาโรเมอร สญั ลักษณ °R
170 เคร่ืองมอื วดั อณุ หภมู ิ หมายเหตุ อุณหภูมิปกตขิ องรางกายมนุษยประมาณ 37 °C หรอื 98.6 °F 7.2 การเปลี่ยนหนว ยการวัดอณุ หภมู ิ เราสามารถเปลยี่ นหนวยการวัดอุณหภูมเิ ปนระบบตาง ๆ ไดดงั นี้ องศาเซลเซยี ส องศาฟาเรนไฮต องศาเคลวินจุดเดือด 100 °C 212 °F 371 °Kจดุ เยือกแข็ง 0 °C 32 °F 273 °Kอุณหภมู ิรา งกาย (ปกต)ิ 37 °C 98.6 °F 101 °Kอณุ หภมู ขิ องหอ ง 25 °C 77 °F 68.2 °K จะเห็นวา ระหวางจุดเยือกแข็งถงึ จุดเดือด องศาเซลเซียสมี 1 ชว ง องศาฟาเรนไฮตม ี 18 ชว ง(212 – 32 = 180) ดังน้ัน 1 ชว งองศาเซลเซียส เทา กบั 1.8 ชว งขององศาฟาเรนไฮตตัวอยาง ถาวัดอณุ หภูมิหองได 34 องศาเซลเซยี ส (30°C) จะเทา กับกอ่ี งศาฟาเรนไฮตวธิ ที าํ 1 ชวงขององศาเซลเซียส = 1.8 ชวงขององศาฟาเรนไฮต 30 ชวงขององศาเซลเซียส = 1.8 30 ชวงขององศาฟาเรนไฮต = 54 คิดเปนอณุ หภูมใิ นระบบองศาฟาเรนไฮตไ ดเ ทา กับ 32 + 54 = 86 °F (เนื่องจากระบบฟาเรนไฮตม จี ดุ เยือกแขง็ ที่ 32°F ตรงกับ 0°C ของระบบเซสเซยี สแบบฝก หดั ที่ 12 1. ใหน ักศกึ ษานาํ ปรอทวดั ไข อมไวใ ตล ิ้นประมาณ 3 นาที แลวอานอุณหภูมิเปน องศา เซลเซยี ส และองศาฟาเรนไฮต 2. ใหว ิเคราะหผลจากการวัดอณุ หภูมิของรางกายวา ปกตหิ รือผิดปกติหรือไม
171เร่อื งที่ 8 เวลา 8.1 การบอกและเขียนเวลาจากหนาปด นาฬกิ า 1) สว นประกอบของนาฬกิ า สว นประกอบของนาฬกิ า คอื 1.1 หนา ปด บนหนาปดแบงออกเปน 12 ชอ งใหญ ซ่ึงมตี วั เลขกาํ กบั ไวต ้ังแต 1 ถงึ 12 แทน12 ช่วั โมง และในระหวา งตวั เลขจะแบง เปน 5 ชองเล็ก แตล ะชองเล็กแทนเวลา 1 นาทใี นระหวางตัวเลขมี 5 นาที 1.2 นาฬิกา เขม็ ส้ันบอกเวลาเปนชว่ั โมง เขม็ ยาวบอกเวลาเปนนาที เข็มยาวหมนุ ไป 1 รอบหรอื 12 ชองใหญ นับเปนเวลา 60 นาที เขม็ สน้ั จะหมนุ ไป 1 ชอ งใหญ หรือ 1 ชว งตวั เลข นบั เปนเวลา1 ช่วั โมง ดงั นนั้ 1 ช่ัวโมง จึงมี 60 นาที2) การบอกเวลาหรือการอานเวลา การอา นเวลามที ั้งภาษาราชการ และภาษาพ้ืนบาน ซึ่งจะยกตวั อยางใหด ู ดังน้ี เวลากอ นเทย่ี งวัน เวลาหลังเทย่ี งวนัเวลา ภาษา ภาษา ภาษา ภาษา ราชการ พนื้ บา น ราชการ พน้ื บาน 7 นาฬกิ า 7 โมงเชา 19 นาฬกิ า 1 ทมุ 0 นาฬกิ า เทีย่ งคนื 12 นาฬิกา เทย่ี ง 25 นาที 25 นาที 25 นาที 25 นาที
172 10 นาฬิกา 10 โมงเชา 22 นาฬกิ า 4 ทุม 45 นาที 45 นาที 45 นาที 45 นาที 12 นาฬกิ า เท่ยี งวัน 24 นาฬิกา เทีย่ งคืน 3) การเขยี นและอานเวลาโดยใชจ ดุ การเขยี นเวลาโดยใชจ ุด นยิ มเขียนคลา ย ๆ กบั จดุ ทศนยิ มของเงิน แตตา งกนั ทจ่ี ุดทศนยิ มของบาทคดิ จาก 100 สตางค สว นจดุ ทศนยิ มของเวลาคิดจาก 60 นาที เลขซึ่งอยูดา นซา ยของจดุแทนจาํ นวนชั่วโมง เลขซึ่งอยูดานขวาของจุดแทนจํานวนนาที และตอ งนอ ยกวา 60 ถาเปน 60 ขึ้นไปจะตองทด 60 ขน้ึ ไปเปน 1 ชวั่ โมง สว นการอา นเวลาที่เขียนโดยใชจ ุดจะอานเปน ช่ือเต็มเหมอื นในขอ2 ดงั ตวั อยา งตอ ไปน้ี เวลา การเขียนภาษาราชการ ภาษาพนื้ บาน 09.30 น. 05.00 น.9 นาฬิกา 30 นาที เกา โมงครงึ่ 01.45 น. 13.00 น.5 นาฬกิ าตรง ตหี า 07.05 น. 16.25 น.1 นาฬิกา 45 นาที ตหี นง่ึ สสี่ บิ หา 24.00 น. 23.14 น.13 นาฬกิ าตรง บายโมงตรง 18.00 น.7 นาฬกิ า 5 นาที เจด็ โมงหา นาที16 นาฬกิ า 25 นาที บา ยส่ีโมงย่สี ิบหา นาที24 นาฬกิ าตรง เทย่ี งคนื23 นาฬกิ า 14 นาที หาทมุ สบิ สน่ี าที18 นาฬกิ าตรง หกโมงเยน็หมายเหตุ น. ยอ มาจาก นาฬกิ า
173แบบฝก หัดที่ 13จงเขียนเวลาตอ ไปนโ้ี ดยใชจุด (1) 6 โมงเชา (2) 23 นาฬกิ า 15 นาที (3) ตีหนง่ึ ครงึ่ (4) เทยี่ งคืน 5 นาที (5) บา ย 2 โมง 45 นาที (6) 11 นาฬิกา 30 นาที (7) 10 นาฬิกา 40 นาที (8) 4 นาฬกิ า 12 นาที8.2 การอานตารางเวลาและการบนั ทกึ เหตกุ ารณหรือกจิ กรรมผูเรียนดูกําหนดการเดนิ รถไฟขา งลา งนแี้ ลว ตอบคําถาม ตารางกําหนดการเดนิ รถไฟจากสถานีกรงุ เทพฯ ถงึ อบุ ลราชธานี สถานี ดวน เรว็ ธรรมดา 1 39 63กรุงเทพฯ ออก 21.00 18.45 15.25สระบุรี ถึง 23.00 20.48 17.47 ออก 23.01 20.49 17.48นครราชสีมา ถงึ 01.46 23.28 21.01 ออก 01.51 23.33 21.08อบุ ลราชธานี ถงึ 06.30 04.40 03.35(1) รถเร็วออกจากกรงุ เทพฯ เวลาเทาไร(2) รถดวนถงึ อุบลราชธานเี วลาเทาไร(3) รถดว นหยุดพกั ท่ีสถานนี ครราชสมี านานกีน่ าที(4) รถเรว็ จากสระบุรีถงึ อบุ ลราชธานีใชเ วลาว่งิ นานเทาไร(5) รถดวนจากกรุงเทพฯถงึ อบุ ลราชธานีเร็วกวารถธรรมดาเทา ไร(6) รถขบวนไหนถงึ นครราชสีมาชา ที่สดุ(7) ระยะเวลาทร่ี ถเรว็ ว่ิงจากสระบุรีถึงนครราชสมี าชาหรือเร็วกวารถดว นเทาไร
174แบบฝกหัดที่ 14 1. ใหผ ูเรียนฝกอา นตารางรถขนสง ภายในจงั หวัดของตนเอง 2. ใหผูเ รียนฝก ปฏิบัตบิ ันทกึ เหตกุ ารณในการมาเรยี นของตนเองใน 1 เดือน8.3 ความสมั พันธระหวา งหนวยเวลา ความสัมพันธข องเวลาตา ง ๆ หรอื อาจเรยี กอกี อยา งวา “มาตราเวลา” ไดแก 60 วนิ าที เปน 1 นาที 60 นาที เปน 1 ชั่วโมง 24 ชว่ั โมง เปน 1 วนั 7 วนั เปน 1 สปั ดาห 30 วนั เปน 1 เดือน 12 เดือน เปน 1 ป 52 สปั ดาห เปน 1 ป เราสามารถกระจายหรอื ทอนมาตราเวลาไดโ ดยงา ยเหมอื นมาตรา ชงั่ ตวง วดั ท่ผี า นมาดังน้ีตวั อยา ง จงกระจาย 9 วนั 4 ช่ัวโมง 25 นาที ใหเ ปนนาทีวิธีทํา 9 × วนั 1 วันมี 24 ชว่ั โมง 9 วันมี 216 + ชั่วโมง กับอีก 4 ช่ัวโมง รวมเปน 220 × ชัว่ โมง 1 ชว่ั โมงมี 60 นาที 220 ชว่ั โมงมี 13,200 + นาที กับอีก 25 นาที รวมเปน 13,225 นาที ตอบ 13,225 นาที
175ตวั อยา ง 2,349 นาที เทากบั กว่ี นั กี่ชัว่ โมง กีน่ าทีวธิ ที ํา 60 นาที เปน 1 ชวั่ โมง 2,349 นาที คิดเปนชวั่ โมง 2,349 ÷ 60 ชว่ั โมง 39 ชว่ั โมง 60 ) 2349 - 180 549 - 540 9 คิดเปน 39 ชัว่ โมง 9 นาที แต 24 ช่วั โมง เปน 1 วัน 39 ชว่ั โมงคดิ เปน วนั 39 ÷ 24 วัน 1 24 ) 39 - 24 15 คดิ เปน 1 วนั 15 ช่ัวโมง ดังนัน้ 2,349 นาทเี ทากบั 1 วนั 15 ชวั่ โมง 9 นาที ตอบ 1 วัน 15 ชัว่ โมง 9 นาที
1768.4 การแกป ญ หาเกย่ี วกบั เวลาตวั อยา งที่ 1 ฉนั เรมิ่ ทําแบบฝก ทกั ษะเม่อื เวลา 19.30 น. ทําเสร็จเวลา 21.40 น. ฉันใชเวลานานเทา ไรวิธีทํา นาฬิกา นาที ฉนั ทาํ แบบฝก ทกั ษะเสรจ็ เวลา 21 40 - เรมิ่ ทําเวลา 19 30 2 10 ตอบ 2 ชว่ั โมง 10 นาทีตัวอยางท่ี 2 รถดวนออกจากเชียงใหมเวลา 16.50 น. ถึงกรงุ เทพฯ เวลา 06.25 น. รวมเวลารถว่งิเทาไรวิธีทาํ เชยี งใหม 7.10 ชั่วโมง 6.25 ชัว่ โมง กรงุ เทพฯ 16.50 น. 24.00 น. 06.25 น. เวลา 16.50 น. ถึง 24.00 น. เปน เวลา = 24.00 – 16.50 ชั่วโมง = 7.10 ชวั่ โมง จาก 24.00 น. ถงึ เวลา 06.25 น. เปนเวลา = 6.25 ชั่วโมง ดงั น้ันจากเชียงใหมถ ึงกรงุ เทพฯ ใชเ วลา = 7.10 + 6.25 ชว่ั โมง = 13.35 ชั่วโมง ตอบ 13 ชวั่ โมง 35 นาทีสรปุ เวลา 1. เวลาเปน สงิ่ ที่กําหนดความยาวนานหรอื อายขุ องส่งิ ตาง ๆ เวลาท่ีเปน ชว งยาว ไดแก ปเดือน สปั ดาห และวัน สวนเวลาท่ีเปนชวงสัน้ ไดแ ก ชวั่ โมง นาที และวินาที 2. เครอ่ื งวัดเวลาที่เปน มาตรฐาน คือ นาฬิกา รอบหนาปดนาฬิกาจะมเี พียง 12 ชวั่ โมง เขม็ ส้นับอกเวลาเปน ชวั่ โมง เขม็ ยาวบอกเวลาเปนนาที 3. การเขียนเวลาเขียนไดท ้ังแบบเตม็ และแบบใชจ ุด สว นการอา นเวลานั้นอานไดทั้งแบบภาษาราชการและภาษาพน้ื บาน
177แบบฝกหดั ที่ 15ก. จงตอบคาํ ถาม (1) เดือนทีม่ ี 30 วนั มกี ่ีเดอื น ช่อื เดือนอะไรบาง (2) เดือนที่มี 31 วนั มีกี่เดอื น ช่อื เดือนอะไรบา ง (3) โดยทวั่ ไปใน 1 เดือน จะมปี ระมาณก่ีสัปดาห (4) ป พ.ศ. 2554 น้ี มที ้ังหมดกีว่ นั (5) วนั ฉัตรมงคล ป พ.ศ. 2554 ตรงกับวนั ทเ่ี ทาไรข. จงใชปฏทิ นิ เดือน พฤษภาคม 2554 ตอบคาํ ถามตอไปนี้ เดือนพฤษภาคม 2554 อา จ อ พ พฤ ศ ส 12 34567 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 (6) จากปฏทิ ินสปั ดาหส ดุ ทา ยของเดือนพฤษภาคม 2554 ตรงกับวนั ทเ่ี ทา ไร (7) วนั เสารสัปดาหแ รกของเดอื นพฤษภาคม 2554 ตรงกับวันท่ีเทา ใด (8) ถาวนั ที่ 1 ของเดอื นเปนวนั จันทร วันจนั ทรถ ัดไปจะเปนวนั ทเี่ ทาไร (9) วนั สิ้นเดอื นพฤษภาคม 2554 เปน วนั ท่ีเทา ใด ตรงกับวนั อะไร (10) เดือนพฤษภาคม 2554 มวี นั ที่เทา ใดบางเปน วนั ศุกร
178เรื่องท่ี 9 การคาดคะเน การคาดคะเนเก่ียวกบั ความยาวพนื้ ท่ี ปริมาตร ความจุ นา้ํ หนกั และเวลา ดช. คณติ ใชค วามกวางของฝามือการกา วเทา เขาสามารถใชไปคาดคะเนส่ิงของ ตา งๆได ดังภาพ คณติ 9 ซม. 50 ซม. คณติ อาจคาดคะเนโดยการกา วเทา ระยะทจ่ี ะวดั เชน สมมตุ ริ ะยะทางความยาวของสนามหญา คณิตกาวได 20 กาว น่นั คือสนามหญา น้ียาวประมาณ 1000 ซม. เทากบั 10 ม. เปนตน ในทาํ นองเดียวกนั ฝา มือกอ็ าจใชค าดคะเนความสงู ของตไู ดเ ชน เดียวกัน และเมือ่ คาดคะเนความยาวไดคณติ กส็ ามารถไปหาพ้ืนท่ีของสนามไดเชน กันโดยนําผลการคาดคะเนดา นความยาว x ดานความกวา ง ครใู หผ เู รียนทาํ การทดลองคาดคะเนในการหาความยาว พน้ื ที่ ปรมิ าตร ความจุน้าํ หนกั และเวลาโดยการปฏิบัตจิ ริง
179 บทที่ 6 เรขาคณติสาระสาํ คัญ 1. รูปท่มี ีเสน ขอบ ซึ่งลากจากจดุ เริ่มตน แลวไมว กกลับมาพบทจี่ ดุ เรมิ่ ตนเรยี กวา รูปเปดและถา ลากจากจดุ เริ่มตน แลว วกกลับมาพบทจี่ ุดเริม่ ตน เรียกวา รปู ปด 2. รปู สามเหลย่ี ม เปนรูปปดทมี่ ีสามดาน สามมมุ แตล ะมมุ เรยี กวา มุมภายในของรปูสามเหล่ียม 3. รปู สเ่ี หลี่ยม เปน รูปปดทีม่ สี ี่ดาน สม่ี ุม แตละมมุ เรยี กวา มมุ ภายในของรูปส่เี หลี่ยม 4. รูปบนระนาบทมี่ จี ดุ ทกุ ๆ จดุ หา งจากจดุ คงทจ่ี ดุ หนง่ึ เปน ระยะเทากนั เรยี กวา รปู วงกลมขอบของรูป เรยี กวา เสน รอบรูปวงกลมหรือเสน รอบวง จุดคงที่ เรยี กวา จดุ ศนู ยกลาง ระยะทางจากจดุศูนยก ลางไปยงั เสนรอบวง เรยี กวา รศั มีผลการเรียนรทู ่ีคาดหวัง 1. จาํ แนกชนิดของรปู เรขาคณติ หนึ่งมิติ สองมติ ิ และสามมติ ไิ ด 2. เขาใจลกั ษณะของลกู บาศกแ ละนําไปใชได 3. เขียนรูปเรขาคณติ หนึง่ มติ ิ สองมิติ และประดษิ ฐรูปเรขาคณิตสามมิติไดขอบขา ยเนอ้ื หา เรื่องท่ี 1 รปู เรขาคณติ หน่ึงมิติ เรื่องท่ี 2 รูปเรขาคณติ สองมิติ เรอื่ งท่ี 3 รูปเรขาคณติ สามมติ ิ เรอื่ งที่ 4 บาศก เรื่องท่ี 5 การสรา งรปู เรขาคณิต เรอ่ื งท่ี 6 การประดษิ ฐรูปเรขาคณติ สามมติ ิ
180เรือ่ งท่ี 1 รปู เรขาคณติ หน่งึ มิติรปู เรขาคณิตหนึง่ มิติ เชน จดุ เสนตรง รังสี และมมุ1.1 จดุ ใชแ สดงตาํ แหนงเพ่อื ใหเขา ใจตรงกันและนิยมใชต ัวอักษรภาษาไทยหรือตวั อักษรภาษาองั กฤษตัวพิมพใ หญ ต้งั ชอื่ จุด เชน . ก .A .P .ข .M1.2 ระนาบ พ้นื ทผ่ี ิวแบนและเรยี บที่แผขยายออกไปอยางไมม ีท่สี น้ิ สดุ สว นของพื้นทผ่ี ิวท่เี ราเหน็ ขอบเขตไดจ งึ เปน “สว นของระนาบ” เทานั้น การกําหนดระนาบตอ งใชจุดอยา งนอ ย 3 จดุ และทงั้ 3 จดุ น้ันตองไมอ ยูร วมเสนตรงเดียวกนั1.3 เสนตรง ถา เขยี นจุดต้ังแต 2 จุดข้ึนไปใหต ดิ ตอ กนั จะเกิดเปน เสน ตรงหรือเสนโคง การเรยี กชื่อเสน ตรง นิยมเรียกตามตวั อกั ษรสองตัว ซ่ึงเปนชือ่ ของจดุ สองจุดทีอ่ ยบู นเสน ตรงนนั้ MN เสนตรง MN เขยี นแทนดว ยสญั ลักษณ MNสวนของเสนตรงสว นของเสนตรง เปน สว นหนึ่งของเสนตรงซงึ่ มคี วามยาวจํากดั และอยรู ะหวางจุดสองจดุ ที่เรียกวา จดุ ปลาย ของสวนของเสนตรงนัน้ เชน ค ง สว นของเสนตรง คงแทนดวยสัญลกั ษณ คง อานวา สว นของเสนตรง คงดงั น้ัน สวนของเสน ตรง คอื สว นที่เราตองการเทา น้ัน
1811.4 รังสี ลําแสงทีพ่ งุ จากกระบอกไฟฉาย ดงั ภาพขางบนนจี้ ะเห็นวา แสงออกจากจดุ ตั้งตน ทห่ี ลอดไฟไปทางเดยี วกนั โดยไมย อนกลับ ความยาวของแสงกาํ หนดไมไ ด ลกั ษณะเชน นี้เราเรียกวา รงั สี รงั สี เปน สวนหนึ่งของเสนตรง ซ่ึงมีจดุ ปลายจดุ เดยี ว รงั สี กข จะเริม่ ตนจากจดุ ก เชน ก ข เขยี นสัญลกั ษณแ ทนดว ย กข1.5 มมุ มุมเกิดจากรังสี 2 เสน ท่ีมจี ดุ ปลายเปนจดุ เดียวกนั จะทําใหเ กดิ มมุ ขน้ึ ดังภาพขา งลา ง ป พผรังสี พป และ รงั สี พผ มีจุดปลายรว มกนั หรือมีจดุ เร่ิมตน ท่ี จุด พ ทาํ ใหเกิดมุมจุดปลายรวมกันนนั้ เรยี กวา จดุ ยอดมุม ซ่งึ ไดแ ก จดุ พรังสีหรอื สว นของเสนตรงแตล ะเสน เรยี กวา แขนของมุมดังนน้ั แขนของมุมท่มี ี พ เปนจุดยอดมมุ จงึ ไดแก รังสี พป และ รงั สี พผ1) การเรียกชอื่ มมุการเรยี กช่ือมมุ เรยี กตามตัวอกั ษร 3 ตวั คือ ก ก เปน ชอื่ จุดหนึ่งบนแขนของมุม ข ข เปนชื่อจดุ ยอดมุมดังนั้น ค ค เปนช่ือจุดหนึ่งบนแขนของมมุ อกี ขา งหนงึ่ แทนดวย กขค อา นวา มุม กขค หรือแทนดวย คขก อา นวา มมุ คขกบางคร้งั เรยี กชอื่ มมุ สั้น ๆ เฉพาะชอ่ื จดุ ยอดมุม เชน ขอา นวา มุม ขสญั ลักษณทใ่ี ชเขยี นแทนมมุ ใช หรอื
182ตัวอยาง มุม จฉช สามารถเขียนสัญลกั ษณไ ดเปน จฉช หรือ จฉช2) ชนิดของมมุ ชนิดของมุมจาํ แนกตามขนาดของมุม ดังน้ีก (1) มุมฉาก คือ มมุ ท่มี ขี นาด 90 องศา เขียนสญั ลักษณ แทนมมุ ฉากไวท มี่ มุ ฉาก ขค เชน กขค มขี นาด 90 องศา ดังนน้ั กขค เปน มมุ ฉาก ค (2) มุมแหลม คือ มมุ ทม่ี ีขนาดเล็กกวา มมุ ฉาก หรอื เล็กกวา กข 90 องศา เชน มุม คกข มขี นาด 80 องศา ดงั น้นั คกข เปน มุมแหลมก (3) มมุ ปา น คอื มุมทมี่ ีขนาดใหญก วามมุ ฉาก แตไมถ ึง ข 2 มมุ ฉาก เชน กขค มขี นาด 120 องศา ดังนั้น กขค เปน มุมปา น ค (4) มุมตรง คือ มมุ ท่มี ีขนาดเทา กับ 2 มุมฉาก หรอื 180 องศา เชน จฉช มขี นาด 2 มมุ ฉาก จ ฉช ดงั น้นั จฉช เปน มมุ ตรงด ตถ (5) มมุ กลบั คอื มมุ ที่มขี นาดใหญก วา 2 มมุ ฉาก แตไมถึง 4 มมุ ฉาก เชน ดตถ มขี นาด 210 องศา ดงั นนั้ ดตถ จ เปน มุมกลบั
183แบบฝก หดั ท่ี 1ขอ 1 1.1 จงเขียนจดุ 5 จุด พรอ มทง้ั ต้ังชอ่ื จดุ 1.2 จงเขยี นชื่อและสัญลกั ษณของสว นเสนตรง เสน ตรงและรงั สีตอ ไปนี้ (ก) จช จ ช(ข) ม พ พ ม(ค) ร ท ท ร2. จงวดั ขนาดของมุมตอ ไปน้ี แลวบอกชนดิ ของมมุ ดว ย (ก) ก 60° ขคช่อื มมุ ..................................................เปนมมุ ...............................ขนาด..................................................องศา(ข) ชื่อมุม..................................................เปนมมุ ............................... ขนาด..................................................องศา ง120°
184 จช3. มุมตอไปน้เี ปน มุมชนดิ ใด มขี นาดเทากันหรือไม (1) มมุ หนังสอื เรียนทงั้ ตอนบนและตอนลา ง (2) มุมไมบรรทดั ท้ังสองขา ง (3) มมุ ประตูทงั้ ตอนบนและตอนลา ง4. จงบอกช่ือสงิ่ ของทเ่ี ปน สวนของระนาบมา 5 ชือ่5. จงพบั กระดาษหรือใชกระดาษลอกมุมใดมุมหนง่ึ ในแตล ะขอ เพื่อนาํ ไปทาบกบั อีกมุมหนง่ึ ดูวามมุ คใู ดในขอ ใดบา งทีเ่ ทา กัน จงสรางมมุ โดยวธิ ีพับกระดาษหรอื ใชก ระดาษบางลอกตามแบบ ใหมีขนาดเทา กับมมุ ในขอ 56. จงเขยี นสญั ลักษณแสดงสว นของเสน ตรงทขี่ นานกนั กข คง จฉแบบฝกหดั ท่ี 2 1. จงเขียนสญั ลกั ษณแสดงสวนของเสน ตรงทข่ี นานกันกข จ ชคง ฉ ซ
185แบบฝกหดั ที่ 3 1. ลากเสนตรงผา นจดุ อ ใหขนานกับ บป •อ ป บ 2. ลากเสน ตรงผานจดุ ช ใหข นานกับ จฉ จ •ช ฉ 3. ลาก คง ตัง้ ฉากกบั กข ให คง // บป และยาวเทากบั บป ลาก ปง ป •ง ก บ คข ปง ขนานกับ กข หรือไม
186เรอ่ื งที่ 2 รปู เรขาคณิตสองมิติรปู เรขาคณิตสองมติ ิ เปน รูปปดบนระนาบ เชนรปู สามเหลีย่ ม รปู สเ่ี หลย่ี มรปู หลายเหล่ยี มตาง ๆรปู วงกลม รูปวงรี2.1 ลักษณะและชนดิ ของรปู สามเหล่ียมรูปสามเหลย่ี ม เปนรปู ปด ที่ประกอบดว ยดา น 3 ดาน มมุ 3 มุม และมมุ ทง้ั 3 มมุ รวมกนั จะได180 องศาเสมอ ดังภาพ คดาน 3 ดาน ไดแ ก กข , กค และ ขคมุม 3 มมุ ไดแก คกข. กคข และ กขค คกข + กคข + กขค = 180 °และสญั ลกั ษณท ่ีเขยี นแทนรูปสามเหล่ียม กขค คือ กขค ก ข1) รูปสามเหล่ยี มเมื่อแบงตามลกั ษณะของมุม มี 3 ชนดิ คอื(1) รปู สามเหล่ียมมุมฉาก คอื รูปสามเหล่ียม ค ท่มี ีมมุ มมุ หนึ่งเปนมุมฉาก (หรอื 90 องศา) ดงั ภาพ กขค เปน รูปสามเหล่ยี มมมุ ฉาก ก ข เพราะมี ขกค เปน มมุ ฉาก(2) รปู สามเหล่ยี มมุมแหลม คอื รปู สามเหลีย่ ม ทม่ี ีมมุ ทกุ มุมเปนมมุ แหลม (หรอื มุมทมี่ ี ช ขนาดเล็กกวา 90 องศา) ดังภาพ จฉช เปนรูปสามเหลี่ยมมุมแหลม จ ฉ เพราะมี ฉจช เปน มุมแหลม ฉชจ เปน มุมแหลม จฉช เปน มุมแหลม
187 (3) รูปสามเหลีย่ มมมุ ปา น คอื รปู สามเหล่ียม ถ ต ทีม่ ีมุมหนง่ึ มุมเปน มุมปาน (หรือมขี นาด ด มากกวา 90 องศา) ดงั ภาพ ดตถ เปน รปู สามเหลี่ยมมมุ ปาน เพราะ ถดต เปน มมุ ปานตัวอยา งที่ 1 จากภาพตอไปน้ี รปู สามเหลีย่ มแตละชนดิ เปน รปู สามเหล่ยี มอะไร เพราะเหตใุ ด ค 1. กขค เปนรูปสามเหล่ียมมมุ ปาน เพราะมี ขกค = 120° (มากกวามุมฉาก)ข 120 ช ก 2. จฉช เปน รปู สามเหลี่ยมมุมฉาก เพราะ จฉช = 90° (มุมฉาก) จ ฉ ด 3. ดตป เปนรปู สามเหล่ียมมมุ แหลม เพราะ 70 ดตป = 60° นอ ยกวา 90° 60 50 ตดป = 70° นอยกวา 90° ป ดปต = 50° นอ ยกวา 90° ต 2) รูปสามเหลี่ยมเม่อื แบง ตามลักษณะของดานมี 3 ชนดิ คอื ก ข ค (1) รปู สามเหลี่ยมเหลย่ี มดานเทา คอื รูปสามเหล่ยี ม ช ท่มี ดี า นทงั้ สามยาวเทากนั และมุมแตล ะมุม จะมีขนาด 60 องศา จากภาพ กขค เปน รปู สามเหลี่ยมดานเทา เพราะ กข = ขค = กค ก= ข= ค (2) รูปสามเหล่ียมหนา จัว่ คือ รูปสามเหลยี่ ม ที่มดี า นเทากัน 2 ดา น
188 เพราะ จช = ฉชเน่อื งจากรูปสามเหลี่ยมหนา จวั่ มดี า นเทา กนั 2 ดา น จึงทําใหมุมทอ่ี ยตู จรงขา มกับดา นคูท่เี ทฉากันมขี นาดเทากันดว ยจากภาพ จะเหน็ วามมุ จ ตรงขามกับ ฉช มมุ ฉ ตรงขา มกบั จชดงั น้นั จ = ฉนน่ั คือ รูปสามเหลยี่ มหนา จ่ัว จะมดี านเทากนั 2 ดา น และมมี มุ เทากัน 2 มมุ ม (3) รปู สามเหลี่ยมดานไมเทา คอื รปู สามเหลยี่ ม ทมี่ ดี านทง้ั สามยาวไมเ ทากนั จากภาพ บปม เปนรปู สามเหลย่ี มดานไมเ ทา เพราะ บป, ปม, และ บม ยาวไมเทากนั บ ปตัวอยางที่ 2 กขค มี กข = 3 ซม. กค = 4 ซม. และ ขค = 3 ซม. อยากทราบวา กขค เปนรูปสามเหลี่ยมอะไร ข 3 ซม. 3 ซม. เพราะวา กข = ขค = 3 ซม. ก ค ดงั นนั้ กขค เปน รปู สามเหล่ยี มหนาจ่ัว 4 ซม.ตวั อยา งที่ 3 จงหามมุ ภายในของรปู สามเหลยี่ มแตล ะรปู ในตารางรูป มมุ 1 มมุ 2 มมุ 3 กขค 50 50 กขค มี 3 = 80° จฉช 60 60 จฉช มี 2 = 60° ตปม มี 3 = 70° ตปม 30 801.3 สว นสงู และฐานของรปู สามเหลี่ยม เสน ทล่ี ากจากจดุ ยอดของรูปสามเหลี่ยมไปตั้งฉากกับดา นตรงขา ม เรียกวา สว นสูง และดานตรงขามคอื ฐานบ จากภาพ ใน อบปล ข ถา อป เปน ฐานแลว คบ เปน สว นสูง ถา บป เปน ฐานแลว ขอ เปน สว นสงู
189อ ถา อบ เปน ฐานแลว ลป เปนสวนสงู ตัวอยา งที่ 4 ค จงหาสวนสูงของปรูปสามเหล่ยี มมมุ ฉาก กขค ดงั ภาพทก่ี าํ หนด ค วธิ ีคดิ วธิ ที ี่ 1 ถา ให กข เปน ฐาน ดังน้ัน สวนสูง คอื กค = 3 ซม. 3 ซม. 4.5 ซม. วธิ ที ี่ 2 ถา ให กค เปนฐาน ดงั นั้น สวนสูง คือ กข = 3.5 ซม. ก 3.5 ซม. ข ตัวอยางที่ 5 จงหาสวนสงู ของ จฉช จากภาพทก่ี ําหนด ช วธิ คี ิด จากภาพ 5 ซม. 5 ซม. เพราะวา ชด ตง้ั ฉากกบั จฉ กบั ทจี่ ดุ ด ด ดังนัน้ ชด เปน สว นสูงของ จฉช จ 8 ซม. ฉ และ ชด = 3 ซม. ตวั อยา งท่ี 6 จากภาพ สว นสูงของรูปสามเหลยี่ มมมุ ปา น ดตม ซึ่งมี ตม เปนฐาน คอื เสนใด ด วิธีคดิ เพราะวา จดุ ด เปน ยอดของ ดตม ดว ตั้งฉากกบั สวนตอของ ตม ซึง่ เปน ฐาน ดังนนั้ ดว เปน ว สวนสูงของ ดตม ม ต ตวั อยา งท่ี 7 จากภาพ รปู สามเหล่ยี มหนาจว่ั กขค มี กข = กค = 4 ซม. และ กง ตั้งฉากกับ คข ที่จุด ง จงวดั ดคู า คง และ งข ยาวเทา ไร ก วิธีทํา จากการวดั จะได คง = 2.5 ซม. 4 ซม. 4 ซม. งข = 2.5 ซม. ง ดงั น้นั คง = งข = 2.5 ซม. ค 5 ซม. ข น่นั คือ สว นสงู ของรปู สามเหลีย่ มหนาจวั่ จะตงั้ ฉากและแบงครึ่งฐาน
1902. ลกั ษณะและชนดิ ของรปู สเ่ี หล่ยี ม รปู สี่เหล่ียมเปน รปู ปด ประกอบดว ยดาน 4 ดา น และมมุ 4 มมุ มมุ ภายในท้งั 4 มมุ รวมกนั จะได360 องศา และสญั ลกั ษณท ีใ่ ชเขียนแทนรูปสเี่ หลี่ยม คือ งค ก ขจากภาพดา น 4 ดา น ไดแก กข, ขค, คง และ งกมุม 4 มมุ ไดแก งกข, กขค, ขคง และ คงกงกข + กขค + ขคง + คงก = 360 °สัญลกั ษณทเี่ ขยี นรูปส่เี หล่ียม กขคง คือ กขคง1) รูปส่ีเหลี่ยมผนื ผา รูปสี่เหลี่ยมทมี่ ีมมุ ทุกมุมเปนมุมฉาก และมีดาน ตรงขามยาวเทา กันเรียกวา รปู ส่ีเหลย่ี มผืนผา ค จากภาพ กขคง กขค = ขคง = คงก = งกข = 90 ° ง กข = คง ซึ่งเปนดา นตรงขามกัน และ กง = ขค ซ่งึ เปนดา นตรงขา มกนั ดงั นน้ั กขคง เปน รูปสี่เหลี่ยมผนื ผากข 2) รปู ส่เี หลี่ยมจตั รุ ัส รูปสเี่ หลย่ี มทม่ี ีมมุ ทกุ มมุ เปน มมุ ฉาก และมดี า นท้ังสย่ี าวเทา กันเรยี กวา รูปส่ีเหลีย่ มจตั รุ สั จากภาพ จฉชซ ซช จ = ฉ = ช= ซ = 90 ° จฉ = ฉช = ชซ = ซจ = 3.5 ซม. ดงั นั้น จฉชซ เปนรปู สเ่ี หลย่ี มจัตุรัสจฉ
191 2.3) รปู ส่ีเหล่ยี มดานขนาน รปู สเ่ี หลยี่ มทมี่ ดี านตรงขามขนานกนั และยาวเทา กัน เรยี กวา รูปส่ีเหลี่ยมดา นขนาน ล ร จากภาพ มยรล มย // รล และยาวเทา กนั มล // ยร และยาวเทากนั ดงั นนั้ มยรล เปน รูปส่ีเหลย่ี มดา นขนาน มย4) รปู ส่ีเหล่ียมขนมเปย กปูน รูปสเ่ี หลย่ี มท่มี ีดา นทั้งสี่ยาวเทา กัน และมมุ แตละมมุ ไมเปน มุมฉาก เรียกวา รปู สี่เหลี่ยมขนมเปย กปนู จากภาพ ถทธนน ธ ถท = ทธ = ธน = นถ มมุ ถ, ท, ธ, น ไมเปน มมุ ฉาก ดงั นั้น ถทธน เปน รปู สเ่ี หลยี่ มขนมเปย กปูน ถท 5) รูปส่ีเหล่ียมคางหมู รปู ส่ีเหลย่ี มทมี่ ีดา นคหู น่งึ ขนานกัน เรยี กวา รปู สเ่ี หล่ยี มคางหมูง ค จากภาพ กขคง กข // คง ดังนั้น กขคง เปนรปู สเี่ หลย่ี มคางหมู กข
1922.6 รปู สเ่ี หลย่ี มรปู วาว รปู ส่เี หลยี่ มทม่ี ีดา นประชิดของมุมหนึ่งเทา กัน และดานประชิดอกีคหู น่ึงของมมุ ที่อยูตรงขาม เสนทแยงมมุ ยาวไมเ ทากนั แตต ดั กันเปนมุมฉาก เรียกวา รูปสเี่ หลี่ยมรปู วา ว ก จากภาพ กขคง ขง ดาน กข = กง ขค = คง ดงั นัน้ กขคง เปนรปู ส่เี หลีย่ มรูปวาว ค2.7 รปู สเ่ี หลี่ยมดา นไมเทา รปู ส่เี หล่ยี มทมี่ ีดา นทัง้ สี่ยาวไมเ ทากนั เรยี กวา รูปสีเ่ หล่ียมดานไมเทา ค จากภาพ กขคง ง สี่เหล่ียมรปู นีม้ ดี า นไมเ ทา กั้นทัง้ สดี่ าน กข2.3 เสน ทแยงมุมและการตดั กนั ของเสน ทแยงมุมง ค รูปสเี่ หล่ียมใด ๆ จะมีมมุ ตรงขาม 2 คู มุมตรงขามกนั คทู ่ี 1 คอื ก และ ค มุมตรงขามกันคูท ี่ 2 คอื งและ ขกข
193 ช ซ มมุ ตรงขามคูที่ 1 คือ ช กับ ฉ ข มมุ ตรงขามคูท ่ี 2 คอื จ กบั ซ กขคง มีเสน ทแยงมุม 2 เสน คือ กค และ ขง อ สว นของเสนตรงทล่ี ากเช่อื มจุดยอดตรงขามของ รปู สเี่ หล่ยี ม เรียกวา เสน ทแยงมมุ จฉ จฉชซ เปนรูปส่เี หล่ยี มผนื ผา จากรปู จฉชซ จฉ และ ฉซ คอื เสนทแยงมุมตัดกนั ทจ่ี ดุ อ จอ และ อช ยาวเทากนั เสน ทแยงมุมของรูป ผนื ผา จะยาวเทากัน และ แบงคร่ึงซง่ึ กนั และกัน2.3 วงกลม วงกลมมลี กั ษณะเปน รปู ปด ดังรูป และจดุ ที่อยูภายในวงกลม ซ่ึงอยหู า งจากจุดตาง ๆ บนวงกลมเทากนั ตลอดเรียกวา จดุ ศูนยก ลาง • ดังภาพ ก เปน จดุ ศนู ยก ลางภายในวงกลม ระยะจากจุดศนู ยก ลางไปยงั จดุ ใด ๆ บนวงกลมเรียกวา รัศมี เราสามารถลากรัศมไี ดหลายเสน กข เปน รศั มขี องวงกลม และมจี ุด ก เปนจดุ ศนู ยก ลางค ก• ข
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279