Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นัฐกร สุขเสริม

นัฐกร สุขเสริม

Published by วิทย บริการ, 2022-07-03 07:29:08

Description: นัฐกร สุขเสริม

Search

Read the Text Version

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าอนามัยสง่ิ แวดลอ ม นฏั กร สขุ เสริม คณะวิทยาลยั มวยไทยศึกษาและการแพทยแผนไทย มหาวิทยาลยั ราชภัฏหมูบานจอมบงึ 2565

คํานาํ เอกสารประกอบการสอน รายวิชาอนามัยสิ่งแวดลอม จัดอยูในหมวดวิชาเฉพาะ กลุมวิชาชีพ สาธารณสขุ ตามหลกั สูตรสาธารณสุขศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร วิทยาลัยมวยไทยศึกษาและ การแพทยแผนไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏหมูบานจอมบึง เปดสอนสําหรับนักศึกษาปริญญาตรี เนื้อหาวิชา มงุ เนน ใหน ักศึกษามีความรู ความเขา ใจและสามารถอธบิ ายความหมาย ขอบเขต และความสําคัญ แนวคิดงาน อนามยั ส่งิ แวดลอม การจัดการน้าํ สะอาด วธิ กี ารจัดการและการควบคุมมูลฝอย ส่ิงปฏิกูลและนํ้าโสโครกจากท่ี อยูอาศัย ชุมชนและโรงงานอุตสาหกรรม มลพิษสิ่งแวดลอม การควบคุมแมลงและสัตวนําโรค การสุขาภิบาล อาหาร การสุขาภิบาลท่ีพักอาศัย การจัดการสิ่งแวดลอม การประเมินผลกระทบตอสุขภาพ เหตุรําคาญ กฎหมายและมาตรฐานดา นอนามัยสงิ่ แวดลอ ม และฝก ปฏบิ ัตกิ ารงานอนามยั สิ่งแวดลอ ม ไดอ ยา งถูกตอง ผูเขียนหวังวา เอกสารประกอบการสอนฉบับนี้จะเปนประโยชนตอผูเรียน ผูสอน และผูสนใจท่ีจะ ศึกษา เจาหนาที่ที่เกี่ยวของกับงานสาธารณสุขไมมากก็นอย หากมีขอเสนอแนะประการใดผูเขียนขอนอมรับ และขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ดวย นฏั กร สุขเสริม 28 มกราคม 2565 มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง สารบัญ หนา (ก) คํานํา (ข) สารบญั (ค) แผนบรหิ ารการสอนประจําวิชาอนามัยส่ิงแวดลอม 1 บทท่ี 1 แนวคิดดานอนามัยสง่ิ แวดลอม 4 4 ขอบเขตงานอนามัยส่ิงแวดลอม (WHO) 5 ปจจัยเส่ยี งดา นอนามัยสงิ่ แวดลอ ม 7 ผลกระทบตอสขุ ภาพจากความเสย่ี งดา นอนามัยสง่ิ แวดลอม 7 คําถามทายบท 8 เอกสารอางอิง 8 บทที่ 2 การจัดหานา้ํ สะอาด 9 ความสําคญั ของนา้ํ 10 วฏั จกั รนาํ้ (water cycle) 15 ประเภทของแหลง น้าํ ในการอุปโภคบรโิ ภค 16 ปริมาณความตองการน้ํา 21 คุณสมบตั ิของน้ํา 21 คําถามทายบท 22 เอกสารอางอิง 22 บทที่ 3 การผลติ น้ําสะอาดเพือ่ การอปุ โภคบรโิ ภค (การประปา) 23 แหลงนาํ้ ดิบ 25 ประเภทการผลิตน้าํ ประปา 34 ระบบผลติ นํา้ ประปา 34 คาํ ถามทบทวน 35 เอกสารอางองิ 35 บทที่ 4 สตั วแ ละแมลงนําโรค 35 แนวคิดและหลกั การ 41 ยุง 44 การจัดการแหลง เพาะพันธุยงุ 50 แมลงวัน 57 แมลงสาป 59 สัตวฟน แทะ 59 คาํ ถามทายบท เอกสารอา งอิง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบงสารบัญ (ตอ) 60 60 บทที่ 5 มลพษิ ทางนํ้า 61 น้ําเสยี 63 แหลง กาํ เนดิ มลพษิ ทางน้าํ 65 การควบคมุ การเกิดมลพิษทางนํ้า 68 ผลกระทบของน้ําเสียตอสขุ ภาพอนามยั 68 คําถามทายบท 69 เอกสารอางองิ 69 79 บทที่ 6 กระบวนการบําบัดนํ้าเสยี 78 กระบวนการบําบดั น้ําเสยี 78 การเลือกระบบบําบัดนํา้ เสยี 79 คําถามทา ยบท 79 เอกสารอา งองิ 79 81 บทท่ี 7 การบาํ บัดและกําจดั ส่งิ ปฏกิ ูล 82 แนวคดิ และหลกั การ 84 ความจาํ เปน ในการบําบดั และกาํ จัดส่ิงปฏิกลู 84 หลกั การบาํ บัดและกําจดั สงิ่ ปฏิกลู 85 ระบบบําบดั และกําจดั สงิ่ ปฏกิ ลู 85 คําถามทา ยบท 86 เอกสารอางอิง 88 92 บทที่ 8 การสุขาภิบาลอาหาร 92 แนวคดิ และหลกั การ ความสําคญั ของอาหารและการสุขาภิบาลอาหาร หลักเกณฑพน้ื ฐานของงานสขุ าภิบาลอาหาร คําถามทา ยบท เอกสารอางอิง

แผนการบริหารการสอนประจําวชิ า รหัสวชิ า HE 62603 3(2-2-5) รายวชิ า อนามัยสิง่ แวดลอม เวลาเรยี น (Environmental Health) 60 ชั่วโมง/ภาคเรียน มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง คําอธิบายรายวชิ า ความสําคัญของงานอนามยั ส่ิงแวดลอ ม การจัดการน้ําสะอาด วิธีการและการควบคุมมูลฝอย สิ่งปฏิกูล น้ําเสีย และนํ้าโสโครก มลพิษทางอากาศและเสียง สุขาภิบาลอาหาร การควบคุมสัตวและ พาหะนําโรค กฎหมายและมาตรฐานดานอนามัยส่ิงแวดลอม การประเมินผลกระทบทางดาน สิ่งแวดลอ มและสขุ ภาพ (EHIA) และสุขาภิบาลในโรงเรยี น วตั ถุประสงคท่ัวไป 1. เพื่อใหมีความรูความเขาใจงานอนามัยสง่ิ แวดลอม 2. เพ่อื ใหม ีความรูความเขา ใจหลักการและวธิ กี ารในการจดั การน้าํ สะอาดและนํา้ เสีย 3. เพ่อื ใหมคี วามรูความเขาใจในการควบคุมแมลงและสัตวนาํ โรค 4. เพอื่ ใหม ีความรเู กี่ยวกับหลกั การเก่ียวกับงานจดั การขยะมูลฝอยและสงิ่ ปฏกิ ูล เนือ้ หา 4 ช่วั โมง บทท่ี 1 แนวคดิ ดา นอนามัยสิ่งแวดลอม 8 ชัว่ โมง ความหมาย ความสาํ คญั และขอบเขตงานอนามยั สงิ่ แวดลอม สถานการณมลพิษสง่ิ แวดลอม นโยบายและแผนงานดานอนามยั ส่งิ แวดลอ ม การจดั การดานอนามัยสง่ิ แวดลอม บทที่ 2 การจัดหาน้ําสะอาด วฏั จกั รของนํ้า แหลง น้ํา และคณุ ภาพนํา้ บรโิ ภค วธิ กี ารผลติ นาํ้ สะอาดและการปรบั ปรุงคณุ ภาพน้ํา ระบบการผลิตนา้ํ ประปาชุมชน มาตรฐานน้าํ อปุ โภค บรโิ ภค

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบงบทท่ี 3 การผลติ นํ้าสะอาดเพื่อการอุปโภคบริโภค8 ชั่วโมง ประเภทของการผลิตนาํ้ ประปา 12 ช่ัวโมง 8 ชวั่ โมง ระบบผลิตนาํ้ ประปา 8 ช่ัวโมง บทที่ 4 สัตวและแมลงนาํ โรค 8 ชั่วโมง แนวคดิ หลกั การ 4 ชั่วโมง แมลงนําโรค สัตวฟน แทะ บทท่ี 5 มลพิษทางน้าํ ความสาํ คัญ แหลงกาํ เนดิ ลักษณะน้ําเสีย 16 ผลกระทบตอสขุ ภาพและสิง่ แวดลอ ม แนวทางการจัดการมลพิษทางนาํ้ 16บทท่ี 6 กระบวนการบาํ บดั นาํ้ เสยี กระบวนการบาํ บดั น้ําเสยี ข้ันตน 16 กระบวนการบําบดั นํ้าเสียขั้นท่ี 2 16 การเลอื กกระบวนการบําบดั นํ้าเสยี 16บทที่ 7 การบําบัดและกาํ จัดสิ่งปฏิกลู 16 แนวคิดและหลกั การ 16 ความจาํ เปน ในการบําบัดและกําจัดส่งิ ปฏกิ ลู หลกั การบาํ บดั และกําจัดสิ่งปฏิกลู ระบบบาํ บัดและกาํ จดั ส่งิ ปฏิกลู 16บทท่ี 8 การสขุ าภบิ าลอาหาร แนวคดิ และหลกั การ 16 นิยามและความหมาย 16 ความสาํ คัญของอาหารและสุขาภบิ าลอาหาร 16 หลักเกณฑพนื้ ฐานของงานสุขาภบิ าลอาหาร

16วิธสี อนและกิจกรรม 1. ฟงบรรยาย ประกอบไฟล Power point 2. แบงกลุมอภปิ รายตามเนื้อหาท่ีกาํ หนดให 3. อธบิ ายตัวอยาง และฝกปฏบิ ัติจากตัวอยางที่กาํ หนดให 4. แบง กลุม ทําแบบฝกหดั 5. ศกึ ษาจากเอกสารประกอบการสอน 6. ศึกษาเพมิ่ เติมจากตําราในหองสมุด, web site ทเี่ ก่ยี วของ, หองเรียนออนไลนท่ผี สู อนสรางขน้ึ 7. อธบิ ายนิยามและทฤษฎบี ทตา ง ๆ ประกอบไฟล Power point 8. ทาํ แบบฝก หดั ทายบท 9. ทําแบบทดสอบทีก่ าํ หนดให 10. การใชป ญหาเปน พ้ืนฐาน กรณีศึกษา 11. เรียนรูจากสถานการณจ ริง ท้ังการเรยี นรใู นชัน้ เรียน และชุมชน 12.16 16 การนําประเด็นทีผ่ เู รียนสนใจเพื่อการเรยี นรูรวมกนั ของกลุม 16ส่อื การเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอนวิชาสุขศกึ ษาและพฤติกรรมสขุ ภาพ 2. หนงั สือ/เอกสารคน ควาเพิ่มเติมทเ่ี ก่ียวขอ ง 3. แผนภูมริ ปู ภาพ 4. คอมพิวเตอร 5. โปรแกรม16หองเรียนออนไลน 6.16 Web site ที่เก่ียวของ 7. video YouTube 8. วารสารสุขศกึ ษา กระทรวงสาธารณสุข มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง การวดั ผลและประเมินผล 16 รอยละ 70 รอ ยละ 20 1. 16การวดั รอ ยละ 30 1.116 คะแนนระหวางภาคเรียน รอยละ 10 16 1.1.1 การทดสอบยอย รอยละ 10 1.1.2 การสอบกลางภาค รอยละ 30 1.1.3 ทาํ แบบฝก หัดทายบท/รายงาน 1.1.4 ประเมนิ พฤติกรรมดานคณุ ธรรม จริยธรรม วนิ ยั และความรบั ผิดชอบ 1.216 คะแนนสอบปลายภาค

2. 16การประเมินผล 16ระดบั คะแนนมหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง16ความหมายของผลคะแนน16คาระดบั คะแนน16คา รอ ยละ A 16ดีเย่ียม 4.016 1680-100 B+ 16ดมี าก 3.516 1675-79 B ดี16 3.016 1670-74 C+ 16ดพี อใช 2.516 1665-69 C 16พอใช 2.016 1660-64 D+ 16ออน 1.516 1655-59 D 16ออนมาก 1.016 1650-54 E ตก16 0.016 160-49

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 1 บทท่ี 1 แนวคิดดา นอนามัยส่ิงแวดลอม นยิ ามศพั ท 1. ความหมายของสิ่งแวดลอมและอนามยั สงิ่ แวดลอม สิ่งแวดลอม คือ ส่ิงตางๆท่ีอยูรอบๆ มนุษย ท้ังส่ิงท่ีมีชีวิต และส่ิงไมมีชีวิต สามารถ มองเห็นไดดวยตาเปลา และไมสามารถมองเห็นไดดวยตาเปลา รวมไปถถึงท่ีเกิดข้ึนจากธรรมชาติ และสิ่งท่ีมนุษยสรางขึ้น ส่ิงแวดลอมจะประกอบดวยทรัพยากรทางธรรมชาติ และทรัพยากรที่มนุษย สรางขึ้นในชวงเวลาหนึ่งในการตอบสนองตอความตองการของมนุษยนั่นเอง (19มูลนิธิโครงการ สารานกุ รมไทยสาํ หรับเยาวชน19, 2564) องคประกอบของส่งิ แวดลอม อยากไดเ ปน 3 ลกั ษณะ 1. ส่ิงแวดลอมทางดานกายภาพ คือ สามารถสัมผัสไดดวยกาย ไดแก รูป รส กล่ิน เสียง เชน นาํ้ อากาศ ดิน ลม ไฟ เปนตน 2. ส่ิงแวดลอมดานเคมีคนลักษณะของส่ิงแวดลอมดานเคมี เปน ส่ิงแวดลอมท่ีมี องคป ระกอบ เชน โลหะ อโลหะ สารประกอบเคมีตา งๆ เปนตน 3. สิ่งแวดลอมดานชีวภาพ คุณลักษณะของสิ่งแวดลอมท่ีมีองคประกอบของสิ่งมีชีวิต เชน จลุ ินทรยี พ ชื สัตว เปน ตน สง่ิ แวดลอมของมนุษยท่ีอยูรอบ ๆ ตัว ทั้งสิ่งท่ีมีชีวิตและไมมีชีวิต ซึ่งเกิดจาก การกระทําของ มนุษยแ บง ออกเปน 2 ประเภท คอื (วจิ ิตร บุณยะโหตระ,) 1. สิ่งแวดลอ มทางธรรมชาติ 2. สง่ิ แวดลอ มทางวฒั นธรรม หรือสง่ิ แวดลอ มทม่ี นุษยส รา งข้ึน สิ่งแวดลอ มธรรมชาติ จําแนกได 2 ชนิด คือ 1) สิ่งแวดลอมทางกายภาพ ไดแก อากาศ ดิน ลักษณะภูมิประเทศ ลักษณะ ภูมิอากาศ ทัศนียภาพตาง ๆ ภเู ขา หวย หนอง คลอง บึง ทะเลสาบ ทะเล มหาสมทุ รและทรัพยากรธรรมชาติทุก ชนิด 2) สิ่งแวดลอมทางชีวภาพหรือชีวภูมิศาสตร ไดแก พืชพันธุธรรมชาติตาง ๆ สัตวปา ปา ไม ส่งิ มีชีวิตอื่น ๆ ท่ีอยรู อบตวั เราและมวลมนษุ ย 2. มนุษยก ับสงิ่ แวดลอม (Man and Environment) ความสมั พนั ธระหวางมนษุ ยกับสิ่งแวดลอม มนุษยหับส่ิงแวดลอมตางตองพ่ึงพาอาศัยกัน ไมวา จะเปนสงิ่ แวดลอ มทางธรรมชาตหิ รือส่งิ แวดลอมทีม่ นุษยสรางข้ึนจะเปนสิ่งแวดลอมทางกายภาพ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 2 เคมีชีวภาพ หรือสังคมก็ตางมีความสัมพันธที่เก่ียวของกับมนุษย รวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่นๆ นอกจากนี้ยังมี ความจําเปนตอการดําเนินกิจกรรม ของมนุษย ไมวาจะเปนท่ีอยูอาศัยท่ีทํางานยานพาหนะ ใน ขณะเดยี วกนั ผลจากการใชประโยชนจากส่ิงแวดลอ มหรือความสัมพันธที่เก่ียวของกับสิ่งแวดลอมของ มนุษยในการดํารงชีพและการดําเนินกิจกรรมตางๆอาจเปนผลทําใหส่ิงแวดลอมกลายสภาพเปนของ เสยี ของเหลือใช ซง่ึ อาจกลายเปนของเสยี อันตรายตอมนุษย ความสัมพันธของมนุษยและสิ่งแวดลอม มีสองรปู แบบคือ 2.1 ส่ิงแวดลอมทส่ี ง เสริมหรอื ค้ําจนุ ชวี ติ เชนอาหาร 2.2 ส่ิงแวดลอม ส่ิงแวดลอมท่ีเปนอันตรายเชนจุลินทรียสัตวสารเคมีมูลฝอยสิ่งปฏิกูลภัย พิบัติ อุทกภยั วาตภัย เปนตน 3. ระบบนเิ วศ (Ecosystem) ประกอบดวยส่ิงมีชีวิตหรือกลุมของสิ่งมีชีวิตที่ดํารงอยู แตละชนิดมีความตองการท่ีอยู อาศัยแตกตางกันไปตามลักษณะของส่ิงแวดลอมเชน มนุษยตองการท่ีอยูอาศัยหลักบนพ้ืนดิน ปลา ตอ งการทอี่ ยอู าศยั หลักในนําระบบนิเวศจึงมีความแตกตางกันท้ังในเร่ืองของขนาด มีต้ังแตขนาดใหญ จนถงึ ขนาดเล็กท่สี ุด สามารถจําแนกระบบนเิ วศออกเปน กลมุ ใหญดงั น้ี 3.1 ระบบนิเวศธรรมชาติหรือก่ึงธรรมชาติเปนระบบที่จําเปนตองอาศัยดวงอาทิตยหรือ แสงอาทติ ยเพ่อื เปน แหลงพลังงาน ไดแก 3.1.1 ระบบนิเวศแหลงน้ําเปนระบบที่ สิ่งมีชีวิตตางๆอาศัยอยูในแหลงนํ้าอาศัย พืชน้ําเปนตัวนําพลังงานจากแสงอาทิตย แบงไดสองแหลงคือระบบนิเวศทางทะเลไดแกมหาสมุทร ทะเล และระบบนิเวศแหลง นาํ้ จืดไดแ กแ มน า้ํ ลําคลอง หวย นอง สระ อา งเกบ็ นํา้ เปน ตน 3.1.2 ระบบนิเวศบก เปนระบบที่ส่ิงมีชีวิตตางๆอาศัยอยูบนแผนดินที่เปนหลัก ใหญ อาศัยพลังงานจากดวงอาทิตยหรือแสงอาทิตย แบงไดเปนสองแหลงคือระบบนิเวศก่ึงบก ไดแก ปา ชายเลนปา พรเุ ปนตน ระบบนเิ วศบนบกไดแกป าดงดิบภเู ขา เปนตน 3.2 ระบบนิเวศนอุตสาหกรรมเมือง เปนระบบนิเวศนท่ีมนุษยสรางข้ึนมาใหมและอาศัย พลังงานที่สรางขึ้นจากมนุษยเ ชนพลงั งานไฟฟาพลงั งานจากเชอื้ เพลงิ 3.3 ระบบนิเวศทางการเกษตร เปนระบบนิเวศของมนุษยท่ีปรับปรุงขึ้นมาใหมเพ่ือเพิ่ม พลงั งานทเ่ี กิดขน้ึ ตามธรรมชาตใิ หเพยี งพอกับสงิ่ มชี วี ิตในระบบ องคประกอบของระบบนิเวศ แบง ไดเ ปน 2 กลุม 1. องคป ระกอบไมม ชี วี ิต แบงออกเปน 3 ประเภท 1.1 อนินทรยี สาร ไดแ ก แรธาตุ ดนิ หิน 1.2 อนิ ทรียสาร ไดแก ซากพชื ซากสัตว สารอาหาร 1.3 สภาพแวดลอ มทางกายภาพ ไดแก แสงสวา ง อณุ หภูมิ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 3 2. สวนประกอบทีม่ ีชีวติ (biotic component) ไดแก พืช สัตว รวมท้ังส่ิงมีชีวิตขนาดเล็ก และสิ่งมีชีวิต เซลลเดียว ซึ่งชวยทําให ระบบนเิ วศทาํ งานไดอ ยา งเปน ปกติ โดยแบงออกตามหนาทข่ี องสงิ่ มีชีวิต ไดเ ปน 3 ประเภท คือ 2.1 ผูผลิต (producer) คือ สิ่งมีชีวิตท่ีสามารถสรางอาหารเองไดโดยการสังเคราะห ดวยแสง ไดแก พืชสีเขียว แพลงกตอนพืช และแบคทีเรียบางชนิด ผูผลิตมีความสําคัญมากเพราะ เปนจุดเร่ิมตนทีเ่ ช่อื มตอระหวา งส่งิ ไมมชี ีวิตและส่ิงทม่ี ีชีวติ อ่นื ๆในระบบนเิ วศ 2.2 ผูบริโภค (consumer) คือ ส่ิงมีชีวิตท่ีไมสามารถสรางอาหารข้ึนเองได แตไดรับ ธาตอุ าหารจากการกินส่งิ มชี วี ติ อ่ืนอีกทอดหนึ่ง พลังงานและแรธาตุจากอาหารที่ส่ิงมีชีวิตกิน จะถูก ถา ยทอดสูผูบรโิ ภค ซ่ึงแบง ตามลาํ ดับของการกินอาหารได ดังนี้ 2.2.1 ผูบริโภคปฐมภูมิ (primary consumers) เปนสิ่งมีชีวิตที่กินพืชเปน อาหาร (herbivore) โดยตรง เชน ปะการัง เมนทะเล กวาง กระตาย วัว เปนตน 2.2.2 ผูบริโภคทุติยภูม (secondary consumers) เปนสิ่งมีชีวิตพวกสัตวกิน เนื้อ (carnivore) หมายถึง สัตว ท่ีกินสัตวกินพืช หรือผูบริโภคปฐมภูมิ เปนอาหาร เชน ปลาไหลมอเรย ปลาสาก นก งู หมาปา เปนตน 2.2.3 ผบู รโิ ภคตติยภมู ิ (tertiary consumers) เปนส่ิงมีชีวิตที่กินท้ังสัตวกินพืช และสัตวกินสัตวหรือพวกที่กินทั้งพืชและสัตวเปนอาหาร (omnivore) เชน ปลาฉลาม เตา เสอื คน เปนตน 2.3 ผูยอยสลาย (decomposer) คือ สิ่งมีชีวิตท่ีไมสามารถสรางอาหารเองได แต อาศัยอาหารจากส่ิงมีชีวิตชนิดอ่ืน โดยการสรางน้ํายอย ออกมายอยสลายแรธาตุตางๆใน สวนประกอบของซากสง่ิ มชี วี ติ ใหเปนสารโมเลกุลเล็กๆ แลวจึงดูดซึมอาหารผานเย่ือหุมเซลลเขาไปใช เชน แบคทเี รยี เห็ด รา เปนตน อนามัย ตามความหมายขององคการอนามัยโลก หมายถึง “สภาวะที่สมบูรณทั้งรางกาย (Physical Health) ทางจิตใจ (Mental Health) และสามารถดํารงชีพอยูในสังคมไดดวยดี (Social well – being) ซึ่งไมเพียงแตปราศจากโรคหรือไมแข็งแรงทุพพลภาพเทานั้น” (Health is defined as a state complete physical, mental and social well-being and merely the absence of disease infirmity) อนามัยส่ิงแวดลอม หมายถึง ความสัมพันธระหวางมนุษยและสิ่งแวดลอมเปนการสงเสริม ความเปนอยูที่ดีอนามัยส่ิงแวดลอมเปนสาขาของการสาธารณสุขท่ีมุงเนนไปที่ความสัมพันธระหวาง ผูคนและสิ่งแวดลอมสงเสริมสุขภาพของมนุษยและความเปนอยูท่ีดีและสงเสริมใหชุมชนมีสุขภาพดี และปลอดภัย เปนพ้ืนฐานองคประกอบของระบบสาธารณสุขเพ่ือท่ีครอบคลุมดาน สุขาภิบาล สงิ่ แวดลอ ม มุง มัน่ ทจ่ี ะสง เสรมิ นโยบาย

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 4 4. ขอบเขตงานอนามยั ส่ิงแวดลอม (WHO) ตามองคการอนามัยโลก ไดก ําหนดขอบเขตของงานอนามยั ส่ิงแวดลอมไวซึง่ สรปุ ไดดงั น้ี 1. การจัดหานํ้าเพ่ืออปุ โภค บริโภค 2. การบําบัดนํ้าเสยี และควบคุมมลพษิ ทางนํ้า 3. การจดั การขยะมลู ฝอยและสิง่ ปฏกิ ลู 4. การควบคุมสตั วพ าหะนําโรค 5. การปอ งกนั และควบคุมมลพิษทางดิน 6. การสขุ าภิบาลอาหาร 7. การควบคมุ มลพิษทางอากาศ 8. การปอ งกันอันตรายจากกัมมนั ตภาพรังสี 9. อาชวี อนามัยและความปลอดภัย 10. การควบคมุ มลพิษทางเสยี ง 11. การจดั การสิ่งแวดลอมของที่พักอาศัยและส่ิงแวดลอมใกลเ คียง 12. การผังเมอื ง 13. การจัดการส่งิ แวดลอมของการคมนาคมทางบก ทางนํ้า และทางอากาศ 14. การปอ งกนั อบุ ตั ิเหตุตาง ๆ 15. การจดั การสิง่ แวดลอมของสถานที่พักผอนหยอนใจและสถานท่ีทองเท่ียว 16. การจดั การสุขาภิบาลเกี่ยวกับโรคระบาด เหตกุ ารณฉกุ เฉิน อุบตั ภิ ัย และการอพยพยายถน่ิ 17. มาตรการปอ งกนั เพื่อใหสงิ่ แวดลอมโดยทวั่ ไปไมทําใหเกิดโรคหรือเกิดอนั ตรายตอ สุขภาพ 5. ปจจยั เส่ียงดานอนามัยสิ่งแวดลอม (กรมอนามัย, 2560) ปจจัยเส่ียงหมายถึง สาเหตุ ตนเหตุ ของการไดรับสัมผัสของบุคคลท่ีเพ่ิมโอกาสของ ความเสียหาย ทําใหเกิดการเจ็บปวย บาดเจ็บ และสงผลกระทบตอสุขภาพของมนุษย โดยสงผล กระทบตอสุขภาพ หรือความเสียหายตอชีวิตและทรัพยสิน อาจยังไมเกิดขึ้นในปจจุบันแตมีโอกาส เกดิ ข้นึ ในอนาคตเมือ่ สัมผสั มาเปน ระยะเวลาหนึง่ ปจจัยเส่ียงดานอนามัยส่ิงแวดลอม หมายถึง หมายถึงสถานการณหรือองคประกอบ ดานส่ิงแวดลอมสงผลใหเกิดโอกาสความเสียหาย เส่ือมโทรม สงกระทบทําใหเกิดความเสียหาย และ สงผลกระทบตอสุขภาพอนามัย เชน อากาศเปนพิษ หมอกควัน ฝุนละออง น้ําเนาเสีย การปนเปอน ของเชื้อโรคในอาหารและน้าํ ปญ หาจากขยะ เปน ตน ซ่งึ ปจ จยั เสี่ยงดา นอนามัยสิ่งแวดลอมมีดงั น้ี การบริโภคนํ้าที่ไมสะอาด ประชากรโลกปวยจากการดื่มนํ้าปนเปอนอุจจาระ ปละ ประมาณ 1,800 ลานคน เชน โรคอุจจาระรวง บิด อหิวาตกโรค ไทฟอยด เปนตน และเสียชีวิตปละ ประมาณ 5 แสนคน เฉลีย่ นาทีละ 1 คน (ขอมูลจากสํานกั งานกองทุนสนับสนนุ การสรางเสรมิ สขุ ภาพ)

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 5 ควันไฟจากการประกอบอาหารดวยฟน หรือน้ํามันเช้ือเพลิงภายในบาน เปนสาเหตุ ของการเสียชวี ติ ของประชากรโลกดวยโรคระบบทางเดนิ หายใจถึง 1.6 ลานคน โรคไขเลือดออก ไขมาลาเรีย เกดิ จากยุงเปนพาหะซึ่งมีสาเหตุมาจากแหลงน้ําที่ขังรอบ บริเวณบาน การจัดบานท่ีไมสะอาดรวมท้ังการจัดเก็บกักนํ้าใชและระบบกําจัดน้ําท้ิงจากชุมชนที่ไมดี จงึ เกดิ เปน แหลงเพาะพันธุยุง มลพิษทางอากาศจากยานพาหนะ ไมวาจะเปนเครื่องยนตเบนซิน หรือดีเซล โดย รถยนตเปนแหลงกอปญหาอากาศเสียมากที่สุด สารพิษสําคัญไดแก กาซคารบอนมอนอกไซด ไฮโดรคารบ อน ออกไซดของไนโตรเจน เปน ตน การไดรับสัมผัสสารพิษเฉียบพลันโดยไมต้ังใจ เกิดจากการจัดเก็บสารเคมีโดยเฉพาะ การเก็บยาฆาแมลงไวภ ายในบา นโดยไมจัดเก็บไวใหหางจากมือเด็กเล็กอาจเกิดอันตรายจากการนําไป รับประทาน หรือเลนโดยไมต้ังใจ รวมท้ังการใชสารเคัมอยางไมถูกตองไมมีการปองกันอันตราย ในขณะใชงานทั้งในบา นและในท่ีทาํ งาน จึงเปนสาเหตุของการเสียชีวิตประมาณ 355,000 ลานคนตอ ป การเปล่ียนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ หรือภาวะโลกรอนท่ีเกิดจากการทําลาย สิ่งแวดลอมและการใชพลังงานอยางส้ินเปลืองของประชากรโลก ทําใหเกิดการเปล่ียนแปลงทางดาน อุณหภูมิที่สูงข้ึนสภาพอากาศท่ีเปลี่ยนแปลงทําใหเกิดโรคชนิดใหม เช้ือโรคบางชนิดมีความทนตอ สภาพแวดลอมมากขึ้น เกิดโรคระบาดรูปแบบใหมท่ียากตอการรักษา รวมถถึงสงผลกระทบตอภาค การเกษตรในวิกฤตดา นอาหารของประชากรโลก 6. ผลกระทบตอสุขภาพจากความเสยี่ งดานอนามัยสงิ่ แวดลอม 6.1 ผลกระทบตอ ระบบทางเดินหายใจ เม่ือไดรับปจ จยั เส่ียงดานอนามัยสิ่งแวดลอม เชน ไอระเหยสารเคมีฝุนละออง ควนั ไฟ และยาฆา แมลง เปน ตน 6.2 ผลกระทบตอระบบไหลเวียนเลือดในรางกาย เชน สารตะกั่วท่ปี นเปอ นจากสีเปนตน 6.3 ผลกระทบตอระบบประสาทของรางกาย เชน ยาฆาแมลงลงหรือยากําจัดวัชพืชใน งานเกษตรกรรม เปนตน 6.4 ผลกระทบตอระบบอวัยวะสบื พนั ธุ 6.5 ผลกระทบตอผิวหนัง เกิดจากการไดรับปจจัยเสี่ยงจากสารเคมีหรือฝุนละออง รวมทั้งขนสัตวหรือเกสรดอกไมโดยเกิดลักษณะอาการตอผิวหนัง เชน มีอาการผดผ่ืน แสบคัน ท่ี ผวิ หนงั เปนตน ผลกระทบดังกลาวอาจรุนแรงข้ึนหากประชาชนมีสุขภาพออนแอหรือเปนกลุมออนไหว ไดแก เด็ก หญิงต้ังครรภ ผูสูงอายุผูปวยโรคเรื้อรังหรือผูท่ีมีโรคประจําตัว เชน โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง เปนตน ผูปวยดวยโรคระบบภูมิคุมกันบกพรองผูปวยโรคภูมิแพ ผูขาดสสาร หรืออดอยาก

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 6 จะเห็นไดวา ปจจัยเส่ียงดานอนามัยส่ิงแวดลอมเกิดขึ้น สงผลเสียตอสุขภาพของ ประชาชนอยางกวางขวาง การจัดการความเสี่ยงจึงเปนสิ่งสําคัญท่ีทุกภาคสวนตองรวมมือกันเพ่ือลด ผลกระทบท่ีเกิดข้ึนตอสุขภาพ และเปนการขจัดปญหาสิ่งแวดลอมใหหมดไป โดยเฉพาะอยางยิ่งการ เขา ไปใหก ารชว ยเหลือคุมครอง และปอ งกนั ความเสยี่ งดา นอนามัยส่ิงแวดลอมใหกับกลุมประชากรท่ีมี ลกั ษณะเปน กลุมออ นไหวตอสภาพความเสยี่ งดานสขุ ภาพ 7. การกําหนดนโยบายอนามัยส่ิงแวดลอ ม ผบู รหิ ารระดบั สงู เปน ผูก าํ หนดนโยบายอนามยั สง่ิ แวดลอ ม หรอื ใหทิศทางแลวมอบหมาย ใหค ณะจัดทําฯ รางนโยบายและนํามาเสนอใหพิจารณานโยบายอนามัยส่ิงแวดลอม เนื้อหาที่จะตอง นาํ มาบรรจุลงในนโยบายอนามยั ส่ิงแวดลอ มเปนเรื่องทจ่ี ะตองพิจารณาอยางรอบคอบ เนอ่ื งจากแตล ะ องคกรมีจดุ มุงหมายที่แตกตา งกัน มีปรัชญาในการดําเนินงานแตกตา งกนั ซง่ึ องคกรจะตองคาดหวงั วา นโยบายจะตองปฏบิ ตั ิได มีความเฉพาะเจาะจง และจะตองเปน ท่ีประทบั ใจของลูกคา หรอื ผูพบเห็น โดยเฉพาะอยา งยิ่ง ชมุ ชนหรอื คแู ขงทางธรุ กิจ นโยบายสง่ิ แวดลอ มควรมีพ้นื ฐานมาจากการทบทวน สถานะเบื้องตน ทางดา นส่ิงแวดลอม นโยบายจะไมม ีความหมายเลยถาไมม ีความมงุ มน่ั ในการ ดาํ เนนิ งานท่จี ะปรบั ปรุงและพัฒนาสง่ิ แวดลอม นโยบายอนามยั สง่ิ แวดลอ มจะตองครอบคลุมประเดน็ ดงั ตอไปน้ี (1) เหมาะสมกบั ลักษณะ ขนาด และผลกระทบดา นสง่ิ แวดลอ มอันเกิดจากกจิ กรรม สนิ คา หรือบรกิ ารขององคการ (2) แสดงความมุงมั่นท่ีจะปรบั ปรุงอยางตอเน่ืองและปอ งกันมลภาวะดว ยการใชกระบวนการ กรรมวธิ ี หลกี เลยี่ ง ลด หรอื ควบคมุ มลพิษ ซ่งึ อาจรวมถึงการหมนุ เวยี นกลับมาใชใ หม การใช ประโยชนจ ากของเสยี การบาํ บัด การเปลีย่ นแปลงกระบวนการผลติ กรรมวิธีควบคุม การใช ทรพั ยากรอยางมีประสิทธภิ าพ และการใชวสั ดุทดแทน (3) แสดงถึงความมุงมัน่ ตอการปฏบิ ตั ติ ามกฎหมาย และขอ บังคับ รวมถึงขอกาํ หนดตางๆ ที่ องคกรเปน สมาชกิ อยู (4) เปนแนวทางทใ่ี ชใ นการกาํ หนดและทบทวน วัตถุประสงคและเปา หมายดา นสิ่งแวดลอม (5) มกี ารบันทึกไว นาํ ไปปฏิบัตแิ ละการรกั ษา เพ่ือสื่อสารตอ พนักงานทุกคน เชน รวมไวใน คูม อื พนักงานหรอื แยกสวนไวตา งหาก (6) เปดเผยตอ สาธารณชน เชน ปดประกาศไวในหองโถง และมีแจกถามผี ขู อดูนโยบายอนามยั ส่ิงแวดลอ มตองจดั ทําเปนลายลกั ษณอักษร มกี ารลงนามโดยผบู รหิ ารระดับสงู สุด รวมทง้ั ลงวนั เดอื น ป ทม่ี ผี ลบังคบั ใชด วย นโยบายอนามยั สิ่งแวดลอมควรเปนแนวทางหรอื หลักการสนั้ ๆ และกวา งท่ีพิมพเผยแพร นอกจากน้ียงั มแี นวทางของกลมุ อตุ สาหกรรมแตละกลุมซ่ึงรวมไปถึงแนวทางการดําเนนิ งานดาน สง่ิ แวดลอ มดว ย เชน มาตรการของกลุม อตุ สาหกรรมรถยนต กลมุ อตุ สาหกรรมอีเลคโทรนคิ เปนตน มาตรการของกลุม อุตสาหกรรมเหลา นก้ี ส็ ามารถนาํ มากาํ หนดเปนนโยบายขององคก รได เชน การ ประหยัดพลงั งาน การประหยัดนํ้า การปองกันการเกิดมลพิษ การปรบั ปรงุ อยา งตอเนอ่ื ง หรือการลด ปรมิ าณของเสียอันตราย เปนตน นโยบายจึงเปน สวนสาํ คญั ในการใชส าํ หรับการจดั ทาํ วตั ถุประสงค และเปาหมาย สวนรายละเอยี ดและเปาหมายน้ันจะเขยี นไวในวตั ถุประสงคและเปา หมายในข้นั ตอน

7 ของการวางแผน เพ่ือใหเปน ไปตามนโยบายอีกทหี นึง่ ในกรณีท่ีมีหนวยงานในองคก รใหญ ซงึ่ มี นโยบายทางดา นสิ่งแวดลอ มอยูแลว นโยบายของหนว ยงานควรสอดคลองกับนโยบายขององคกรใหญ โดยอาจมีขอจาํ กดั เฉพาะลงไปอกี ได เอกสารนโยบายอนามัยสงิ่ แวดลอมในระบบการจัดการสง่ิ แวดลอ มขององคก รเปนเอกสาร ระดบั แรก ในระบบฯ ซ่ึงแสดงถึงความมุงมน่ั ขององคก ร ปจจบุ ันหลาย ๆ องคกรมกั มีการจดั ทํา วิสยั ทศั นขององคก รมากกวานโยบาย ซง่ึ ในวิสัยทศั นจะรวมถึงแนวทางในการกําหนดวตั ถุประสงค ทางดา นส่ิงแวดลอมไวด ว ย โดยมากเอกสารนโยบายอนามยั ส่งิ แวดลอ มจะถูกระบไุ วในคูมือ สิง่ แวดลอ ม ซง่ึ เปนเอกสารระดับสูงสุดขององคก ร อยางไรก็ตามการเผยแพรนโยบายซง่ึ โดยมาก องคกรตดิ ประกาศนโยบายไวตามที่ตาง ๆ ในองคก รดวย ซึ่งเอกสารนโยบายอนามัยส่งิ แวดลอ ม เหลา นน้ั ก็ตองควบคุม (ตามแนวทางการควบคุมเอกสาร) ตามจุดทน่ี ําไปติดดวย คาํ ถามทายบท 1. จงอธิบายความหมายของอนามัยสิ่งแวดลอม 2. จงบอกขอบเขตงานอนามัยสิง่ แวดลอ มมา 5 งาน 3. องคประกอบของสิง่ แวดลอมมีอะไรบาง จงอธบิ าย 4. ปจ จัยเสีย่ งดานอนามัยส่งิ แวดลอ มมอี ะไรบาง 5. จงบอกผลกระทบตอสุขภาพของงานอนามัยส่งิ แวดลอมมา 5 ขอ เอกสารอางอิง วรเดช จันทรศร. (2551). ทฤษฎีการนาํ นโยบายสาธารณะไปปฏิบัติ(พมิ พค รั้งที่ 3). กรุงเทพฯ : พรกิ หวานกราฟค. สาํ นักอนามัยสิ่งแวดลอม กรมอนามัย. (2560). คมู ือการจดั การอนามัยส่ิงแวดลอมในชุมชนสําหรับ ประชาชน. กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย. กรมอนามัย. (2554). คมู ือการพฒั นาคุณภาพระบบบรกิ ารอนามยั ส่ิงแวดลอมสาํ หรบั ทองถิน่ . กรุงเทพฯ: องคก ารสงเคราะหท หารผา นศึก. มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 8 บทที่ 2 การจดั หานาํ้ สะอาด 1. ความสําคญั ของน้ํา น้าํ เปน ทรัพยากรที่มีความสําคัญตอชีวิตมนุษย พืช และสัตวมากท่ีสุด และเปนองคประกอบ สําคัญในเซลลของสิ่งมีชีวิต เปนตัวกลางของกระบวนการตางๆในสิ่งมีชีวิต อีกทั้งยังเปนแหลงที่อยู อาศยั ของสิง่ มชี วี ติ เน่ืองจากโลกของเราประกอบดว ยนํ้า 3 ใน 4 สว น ของพ้ืนผิวโลก ภาพที่ 2-1 ปริมาณนา้ํ บนโลก (ทมี่ า : กรมทรัพยากรนา้ํ บาดาล, 2564) นอกจากนีน้ าํ้ ยงั มสี ําคัญดงั นี้ 1. ใชส าํ หรับการบริโภคและอุปโภค เพอื่ ดื่มกิน ประกอบอาหาร ชําระรา งกาย ทําความสะอาด ฯลฯ 2. ใชสําหรับการเกษตร ได แก การเพาะปลูก เล้ียงสัตว แหลงน้ําเปนท่ีอยูอาศัยของปลาและสัตวนํ้า อ่ืน ๆ ซง่ึ คนเราใชเ ปน อาหาร 3. ดานอุตสาหกรรม ตอ งใชน ํ้าในกระบวนการผลิต กระบวนการหลอเย็น ลางของเสีย หลอเคร่ืองจักร และระบายความรอน ฯลฯ 4. การทาํ นาเกลอื โดยการระเหยนา้ํ เค็มจากทะเล หรอื ระเหยนาํ้ ทใ่ี ชละลายเกลือสินเธาว 5. น้าํ เปน แหลงพลังงานในการผลิตกระแสไฟฟา 6. เปนเสนทางคมนาคมท่ีสําคัญ แมน้ํา ลําคลอง ทะเล มหาสมุทร เปนเสนทางคมนาคมท่ีสําคัญมา ตั้งแตอดีตจนถึงปจจุบัน 7. เปนสถานทีท่ อ งเทย่ี ว ทศั นยี ภาพของริมฝงทะเล และแหลงนํ้าที่ใสสะอาดเปนสถานท่ีทองเที่ยวของ มนุษย

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 9 2. วัฏจักรนาํ้ (water cycle) วัฏจักรนํ้า หรือ อุทกวิทยา หมายถึง การหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของนํ้าซ่ึงเปนปรากฎการณ ที่เกิดขึน้ เองตามธรรมชาติ โดยเริ่มตนจากน้ําในแหลงน้ําตาง ๆ เชน ทะเล มหาสมุทร แมนํ้า ลําคลอง หนอง บึง ทะเลสาบ จากการคายนํ้าของพืช จากการขับถายของเสียของส่ิงมีชีวิต และจากกิจกรรม ตาง ๆ ท่ีใชในการดํารงชีวิตของมนุษย ระเหยขึ้นไปในบรรยากาศ กระทบความเย็นควบแนนเปน ละอองน้ําเลก็ ๆ เปนกอนเมฆ ตกลงมาเปนฝนหรือลูกเห็บสูพ้ืนดินไหลลงสูแหลงนํ้าตาง ๆ หมุนเวียน อยเู ชนน้ีเรื่อยไป การเกิดวัฏจกั รของนํ้าตามธรรมชาติแบงออกเปน 4 ขนั้ ตอน 1. การระเหย (evaporation) หมายถงึ กระบวนการที่นํ้าเปลี่ยนสถานะจากของเหลวไปเปน กาซจากในแหลงน้ํา เชน แมน้ํา ทะเล และมหาสมทุ ร ฯลฯ เม่ือไดรับความรอนจากแสงอาทิตย ซึ่งนํ้า ผิวดินใหความชนื้ ถงึ 90% และสวนทเี่ หลอื จาก 10% พบจากคายนา้ํ จากพืช 2. การควบแนน (condensation) หมายถึง การที่ไอน้ําในบรรยากาศเปล่ียนสถานะเปน ของเหลวในรปู ของเมฆเม่ือไดรับความเยน็ 3. การเกิดฝนตก (precipitation) หมายถึง ปรากฏการณของการเกิดการรวมตัวของนํ้าใน อากาศ เกิดเปนฝนและหิมะตกสูพ้ืนโลก ซ่ึงสวนใหญตกลงสูพื้นท่ีมหาสมุทร นอกจากน้ันตกลงมาใน รูปของฝนและหมิ ะและบางสว นก็ซมึ ลงดินและไหลลงสูแหลงน้าํ ตา งๆ 4. การรวมตัวของนํ้า (collection) หมายถึง การท่ีนํ้าไหลรวมกันสูแหลงนํ้า เชน แมนํ้า ทะเล หรอื มหาสมุทร ท่เี ปน แหลง อุปโภคและบรโิ ภคของมนษุ ยแ ละส่ิงมชี วี ติ อ่นื ๆ ตอ ไป 1บริเวณทสี่ ูงหรอื ลาดชนั มาก การไหลของน้าํ ใตดินจะเรว็ กวา ในท่รี าบหรือลาดชันนอย และถา หากระดับน้ําใตดินตัดกับสภาพภูมิประเทศท่ีมีความลาดชัน เชน บริเวณไหลเขา จะเกิดนํ้าซับ (spring) ภาพท่ี 2-2 วัฏจกั รของนํ้า (ท่มี า : https://gpm.nasa.gov/education/water-cycle, 2563)

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 10 3. ประเภทของแหลงน้ําในการอุปโภคบริโภค แหลงน้าํ ธรรมชาติแบง เปน 3 ประเภท - นา้ํ ในบรรยากาศ (atmospheric water) - นาํ้ ผิวดิน หรอื นาํ้ ทา (surface water) - นาํ้ ใตด ิน หรือนาํ้ บาดาล (ground water) 3.1 นํ้าในบรรยากาศ (Atmospheric Water) แหลง นาํ้ ในบรรยากาศ ไดแ ก สถานะไอนาํ้ เชน เมฆ หมอก สถานะของเหลว ไดแ ก ฝน และ นาํ้ คา ง และสถานะของแข็ง ไดแ ก หมิ ะ และลกู เหบ็ เปน ตน 3.2 น้าํ ผิวดนิ (surface water) นา้ํ ผิวดนิ หมายถงึ นาํ้ ในบรรยากาศเม่ือตกลงมาสูพ้นื ผิวโลกจะถูกเก็บกกั หรือเคลื่อนตัวเปน นาํ้ ในแมน า้ํ ลําธาร หนอง บงึ สระ และทะเลสาบ ซ่งึ เปน แหลงนา้ํ ผิวดนิ นา้ํ ทีอ่ ยูบ นผวิ ของเปลอื กโลก สามารถแบงตามประโยชนใชส อยไดเ ปน น้ําเคม็ และนํ้าจืด น้าํ เคม็ คือ นํ้าทีม่ เี กลอื ละลายอยเู ปน จํานวนมาก โดยท่ัวไปมักจะมรี สเคม็ เพราะมเี กลือ เฮไลตล ะลายอยู แตบ างครัง้ ก็มเี กลอื อน่ื ๆ ละลายอยู ประโยชนข องนา้ํ เค็ม คือ เปน ท่ีอยูอาศยั และ เพาะเลีย้ งสตั วน ํา้ พชื น้ํา เปนแหลงเกลือแรและสนิ แร นา้ํ จดื คอื นา้ํ ท่ีไมมีเกลอื ละลายอยู หรอื มนี อย เปนน้าํ ที่มคี วามสาํ คญั ในการดาํ รงชีวิดของพชื และสตั ว ตลอดจนใชในการอุปโภค บริโภคของมนุษย 3.3 นาํ้ ใตด ิน หรือน้าํ บาดาล (ground water) (สมั ฤทธิ์ มากสง และคณะ, 2563) นํ้าใตดินท่ีถูกกักเก็บและสะสมอยูภายในชองวางและรอยแตกของชั้นหินและช้ันดินตะกอน ลึกลงไปใตพื้นดิน จากการหมุนเวียนของ “วัฏจักรนํ้า” (Hydrologic Cycle) ในธรรมชาติ ซ่ึงน้ําผิว ดินบางสวนท่ีไหลซึมลงไปใตดินจะถูกกักเก็บไวในชองวางระหวางเม็ดดิน ชั้นหิน ชั้นตะกอนหรือชั้น กรวด นํ้าท่ีไหลสูใตดินสวนแรกจะไหลซึมอยูตามชองวางระหวางเม็ดดินเรียกวายนํ้าในดิน (soil water) ในฤดูแลงน้ําในดินอาจถูกแดดเผาใหระเหยแหงไปได และนํ้าท่ีเหลืออยูในดินจะไหลซึมลง ตอไปอีกสุดทายจะถูกกักเก็บไวตามชองวางระหวางตะกอนหรือตามรอยแตกและรอยแยกที่อยู ตอเน่ืองกันของหิน ชั้นหิน ชั้นตะกอน หรือช้ันกรวด จนเกิดเปนน้ําใตดิน (subsurface water) หรือ น้ําบาดาลน่นั เอง การแบงหิน ชน้ั หนิ ชน้ั ตะกอนและชน้ั กรวดโดยใชระดับนํา้ ใตดนิ เปนแนวแบง เขต จะแบง ออกเปน 2 สว น ดังรูปที่ 2 ไดแ ก 1) เขตอม่ิ อากาศหรือบริเวณที่มอี ากาศถายเทได (zone of aeration) คือ สว นบนต้ังแตผิว ดินลงไปจนถึงระดับน้ําใตดิน ชองวา งในดิน ในตะกอนและในหนิ เขตนบี้ างสว นจะมนี ้าํ กักเก็บอยแู ละ บางสว นจะมีอากาศแทรกอยู น้ําในเขตนีจ้ ะถูกยึดอยใู นชองวา งดวยแรงตงึ ผิวของอนภุ าคดนิ 2) เขตอม่ิ นาํ้ (zone of saturation) เปน เขตที่อยูตอจากเขตอิ่มอากาศลงไปหรืออยใู ตร ะดับ น้าํ ใตด ินลงไป ชอ งวางในตะกอนหรอื ในหินเขตน้ีจะมนี า้ํ อยเู ต็มทกุ ชองวางหรืออม่ิ ตวั ไปดวยนํา้ นํา้ ท่ี ถกู กักเก็บอยูในเขตนี้จะเปน นํ้าบาดาล

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 11 ภาพที่ 2-3 การแบงหิน ชน้ั หนิ ชั้นตะกอนและชั้นกรวดโดยใชร ะดบั น้าํ ใตด ิน (ที่มา : นพลกั ษณ ศุภธนสนิ เขษม, 2559) ชั้นหินอมุ นํา้ และช้นั หินกันนาํ้ ช้ันหินอุมนํ้า (aquifer) เปนชั้นหินหรือชั้นตะกอนที่เปนแหลงกักเก็บนํ้าบาดาล ที่มีสมบัติ ยอมใหน้ําซึมผานไดโดยงายและมีความพรุนสูง เนื่องจากชั้นหินหรือชั้นตะกอนดังกลาวมีชองวาง ระหวา งตะกอนกวา งหรือมรี อยแตกและรอยแยกที่อยูตอเนื่องกัน จึงทําใหสามารถกักเก็บนํ้าไวไดเปน ปริมาณมาก จนกลายเปนแหลงนํ้าใตดิน ช้ันหินน้ีจะอยูในเขตอิ่มนํ้าและวางตัวอยูติดกับช้ันหินกันน้ํา ตวั อยา งชนั้ หินอุมนํา้ เชน หนิ ทราย ชนั้ ตะกอนทรายหรอื ชัน้ กรวดท่ียังไมแ ขง็ ตวั เปน หิน ช้ันหินกันนํ้า (confining bed) เปนช้ันหินท่ีรองรับแหลงน้ําบาดาล เปนชั้นหินหรือช้ัน ตะกอนที่มีเน้ือแนนจําพวกหินเนื้อตัน (impermeable rock) ซึ่งมีสมบัติเปนเหมือนวัสดุกันนํ้า ไม ยอมใหนํ้าซึมผานหรือซึมผานไดแตนอยมาก เนื่องจากชั้นหินหรือช้ันตะกอนดังกลาวไมมีชองวาง ระหวางตะกอนที่ตอเนื่องกัน ชั้นหินกันน้ําสวนใหญจะวางตัวอยูติดกับชั้นหินอุมน้ําที่อยูดานบนหรือ ดา นลา งชั้นใดช้ันหน่ึงหรือทง้ั สองชั้น ตัวอยางชัน้ หินกันนํา้ เชน หนิ ทรายแปง หนิ ดินดาน บริเวณหน่ึงๆ อาจมีแหลงนํ้าบาดาลหลายแหลงหรือหลายช้ันก็ได โดยช้ันหินในบริเวณนั้น จะตองวางตัวเอยี งเทกับผิวดิน ซ่งึ จะทําใหนํา้ ผิวดนิ สามารถไหลซึมเขาสูชั้นหินอุมน้ําแตละชั้นที่วางตัว เอียงเทและถูกขนาบดวยชั้นหินกันนํ้าท้ังดานบนและดานลางไดโดยตรง และจะทําใหเกิดแรงดันของ น้ําขึ้นในชั้นหินอุมนํ้าท่ีถูกขนาบดวยชั้นหินกันนํ้าทั้งจากดานบนและดานลาง ดังนั้นถามีการเจาะบอ บาดาลในบรเิ วณชั้นหนิ อุม นํ้าดังกลาวจะเกดิ บอนํา้ บาดาลมีแรงดันข้นึ ดงั รปู ที่ 3

12 มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบงภาพที่ 2-4 โครงสรางทางธรณีวิทยาและการเกดิ น้ําบาดาล (ทมี่ า : สมาคมฟสกิ สไทย, 2564) ตารางที่ 2.1 คุณลกั ษณะของนํ้าผวิ ดนิ และนา้ํ ใตดนิ นา้ํ ใตดิน น้าํ ผิวดิน มสี ารประกอบที่อาจแตกตา งกนั ได มีสารประกอบท่ัวไปไมเปลี่ยนแปลง มคี วามขนุ มาก มีความขุน นอย มแี รธาตุตา งๆ นอยกวา มแี รธาตตุ า ง ๆ มากกวา มีสีมากกวา มสี ีนอ ยกวา พบเช้ือจลุ ชพี มีมาก พบเชอื้ จลุ ชพี นอย ความเขม ขนของออกซเิ จนนํ้าละลายสงู กวา ความเขม ขนของออกซเิ จนละลายนํา้ ตา่ํ นํา้ มคี วามกระดางนอ ย น้าํ มคี วามกระดางมากกวา พบสารพิษเจือปนไดมากกวา อาจพบ H2S, Fe, Mn ได 4. 1ประเภทและมาตรฐานคุณภาพนาํ้ ในแหลงนํา้ ผิวดนิ กรมควบคุมมลพิษ ไดกําหนดประเภทของแหลงนํ้าผวิ ดินตามการใชป ระโยชน แบง ออกเปน 5 ประเภท ประเภทที่ 1 แหลงน้ําทค่ี ุณภาพนาํ้ มีสภาพตามธรรมชาติโดยปราศจากน้าํ ทง้ิ จากกจิ กรรมทุก ประเภทและสามารถเปน ประโยชนเ พือ่ (1) การอุปโภคและบริโภคโดยตองผา นการฆาเชือ้ โรคตามปกติกอน (2) การขยายพันธตุ ามธรรมชาติของสิง่ มชี ีวิตระดับพน้ื ฐาน (3) การอนรุ กั ษร ะบบนเิ วศนข องแหลง น้าํ

13 ประเภทที่ 2 ไดแ ก แหลงนาํ้ ท่ไี ดรบั น้ําทิ้งจากกจิ กรรมบางประเภท และสามารถเปน ประโยชนเพื่อ (1) การอปุ โภคและบรโิ ภคโดยตองผา นการฆา เชื้อโรคตามปกตแิ ละผา นกระบวนการปรับปรุง คุณภาพนํ้าท่วั ไปกอน (2) การอนรุ กั ษสัตวน ้าํ (3) การประมง (4) การวายนํา้ และกีฬาทางนํ้า ประเภทที่ 3 ไดแก แหลง นาํ้ ทไี่ ดรับนํ้าท้ิงจากกจิ กรรมบางประเภท และสามารถเปน ประโยชนเพื่อ (1) การอุปโภคและบรโิ ภคโดยตองผานการฆาเช้ือโรคตามปกติและผานกระบวนการปรับปรุง คณุ ภาพนาํ้ ทว่ั ไปกอน (2) การเกษตร ประเภทที่ 4 ไดแก แหลงน้าํ ที่ไดร ับนา้ํ ท้ิงจากกจิ กรรมบางประเภท และสามารถเปน ประโยชนเพือ่ (1) การอุปโภคและบริโภคโดยตอ งผานการฆาเช้อื โรคตามปกตแิ ละผา นกระบวนการปรับปรุง คณุ ภาพน้ําเปน พิเศษกอน (2) การอุตสาหกรรม ประเภทที่ 5 ไดแก แหลงนํ้าท่ไี ดร ับนํ้าทิ้งจากกจิ กรรมบางประเภท และสามารถเปน ประโยชนเ พื่อ การคมนาคม มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 5. ความตอ งการการใชน้าํ นาํ้ มคี วามสําคัญในการดํารงชวี ติ ประจําวนั ในการทาํ กจิ กรรมตา งๆของมนุษย ไดแก การเกษตร การชําระลา งรางกาย การซักผา การเตรยี มการประกอบอาหาร หรือการใชในสถานที่ ตางๆ เชน โรงพยาบาล โรงงานอตุ สาหกรรม ซ่ึงปจจัยทส่ี งผลตอ ปรมิ าณการใชน ํ้า ไดแก 5.1 ลกั ษณะของชมุ ชน โดยการแบง ออกเปนตามขนาดของชมุ ชน ซึ่งจะมีความตองการ การในการนํ้าท่ีมีความ แตกตา งกัน เทศบาลขนาดใหญมกี ารใชปริมาณนํา้ มากทีส่ ดุ โดยกรมพฒั นาและสงเสริม พลังงานแบง อตั ราการใชนํ้าอุปโภคบรโิ ภคตามประเภทของชมุ ชน ดังน้ี ตารางที่ 2.2 การแสดงอัตราการใชน า้ํ อปุ โภคบริโภคตามประเภทของชมุ ชน ประเภทชมุ ชน อตั ราการใชนา้ํ (ลิตร/คน/วนั ) เทศบาลขนาดเลก็ 120 เทศบาลขนาดกลาง 200 เทศบาลขนาดใหญ 250 ชุมชนเมอื งทย่ี กระดบั เปนเทศบาล 110

14 5.2 ความหนาแนน ของประชากร จากการพัฒนาเมืองท่ีเกิดข้ึน ทําใหความหนาแนนของประชากรเพิ่มมากข้ึน แนวโนมความ ตองการการใชน้ําสูงมากขึ้นตามไปดว ย การวางแผนระบบการจัดการนาํ้ ควรครอบคลุมความเส่ียงจาก ภัยธรรมชาติตา งๆ ทจ่ี ะเกดิ ขึน้ ในอนาคตอีกทั้งปญ หาการแยงชิงทรัพยากรนํ้า ระหวางภาคการเกษตร กับภาคครัวเรอื นของเมอื งหรอื ชุมชน ตารางที่ 2.3 แสดงอตั ราการใชน ํา้ อปุ โภค บรโิ ภคตามปรมิ าณประชากร มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบงปริมาณประชากร (คน)อัตราการใชนํ้า (ลิตร/คน/วนั ) 3,000 - 10,000 120 10,001 - 20,000 170 20,001 - 30,000 200 30,001 - 50,000 250 มากกวา 50,000 ขึ้นไป 300 5.3 ท่ีตง้ั และภูมปิ ระเทศ ภูมิประเทศมีความสําคัญตอการใหความสําคัญในการใชน้ําของประชาชน เนื่องจากบาง ประเทศตั้งอยูในภูมิภาคที่มีแหลงน้ําธรรมชาติที่ไมเพียงพอตอจํานวนประชากร เชน ภูมิประเทศที่ เปน เทอื กเขาสูง ยอมมอี ิทธพิ ลตอ ลกั ษณะภมู อิ ากาศของทองถ่นิ เชน ทาํ ใหเกิดเขตเงาฝน เปนตน 5.4 ฤดกู าล ฤดูการมีผลตอปริมาณนํ้าของพ้ืนที่ตางๆ ภาวะภัยแลงของประเทศไทยสวนใหญมีผลกระทบ ตอการเกษตรกรรม โดยเปนภัยแลงที่เกิดจากขาดฝนหรือ ฝนแลง ในชวงฤดูฝน และเกิด ฝนทิ้งชวง ในเดือนมิถุนายนตอเน่ืองเดือนกรกฎาคม พ้ืนที่ท่ีไดรับผลกระทบจากภัยแลงมาก ไดแกบริเวณภาค ตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง เพราะเปนบริเวณท่ีอิทธิพลของมรสุมตะวันตกเฉียงใตเขาไปไมถึง และถาปใดไมมีพายุหมุนเขตรอนเคล่ือนผานในแนวดังกลาวแลวจะกอใหเกิดภัยแลงรุนแรงมากข้ึน นอกจากพืน้ ที่ดังกลาวแลว ยงั มีพื้นทีอ่ ่ืน ๆ ทีม่ ักจะประสบปญ หาฝนแลง ฝนทิง้ ชว ง เปน ประจํา ตารางท่ี 2.4 ปริมาณน้ําในฤดูกาลของประเทศไทย ภาค/ตน เหนอื ตะวนั ออกเฉียงเหนอื กลาง ตะวันออก ใต เดือน ตะวันออก ตะวนั ตก มกราคม ฝนแลง กุมภาพนั ธ ฝนแลง ฝนแลง ฝนแลง มนี าคม ฝนแลง ฝนแลง ฝนแลง ฝนแลง ฝนแลง ฝนแลง เมษายน ฝนแลง ฝนแลง ฝนแลง ฝนแลง ฝนแลง พฤษภาคม ฝนแลง มถิ ุนายน ฝนแลง ฝนแลง ฝนแลง ฝนแลง กรกฎาคม ฝนแลง ฝนแลง ฝนแลง ฝนแลง ท่มี า : กรมอตุ นุ ิยมวทิ ยา, 2564

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 15 5.5 ชวงระยะเวลาการปฏิบัติ การปฏบิ ตั ภิ ารกิจในชีวิตประจําวัน และการประกอบกิจการจําเปนตองใชนํ้า ซึ่งปริมาณการ ใชนํ้าโดยทั่วไปของชุมชน จะใชน้ําสูงสุด 2 ชวงเวลาไดแก 5.00 น. - 9.00 น.เนื่องจากเปนชวง ระยะเวลาปฏิบัติงาน และในชวงระยะเวลา 1.00 น-4.00 น เปนชวงเวลาท่ีใชนํ้านอยท่ีสุด ยกเวนใน ยา นธรุ กจิ กลางคอื เชน สถานบนั เทงิ รานอาหาร เปนตน 5.6 พฤติกรรมของประชาชน จะเกยี่ วขอ งกับชีวิตประจาํ วนั หากคนในชุมชนมีการใชน้าํ อยางไมสิ้นเปลือง เชน การอาบนํา โดยใชฝกบัวแทนการตักนํ้าอาบ ซ่ึงพฤติกรรมของประชาชนเปนปจจัยสําคัญดานปริมาณนํ้าของ ชุมชน 5.7 ปรมิ าณของนา้ํ ปรมิ าณนํา้ ของแหลงนํา้ ธรรมชาติ การจดั หาแหลง นาํ้ ที่มีความเพียงพอตามความตองการของ ประชาชนการใชน ํา้ ก็จะมปี ริมาณความตองการท่ีมากข้ึน แตถาแหลงนํ้าธรรมชาติมีปริมาณนํ้าที่จํากัด ปริมาณน้ําของชุมชนก็จะถูกจํากัดใหนอยลง หากปริมาณคนในชุมชนมีมากขึ้นทําใหเกิดการขาด แคลนได 6. ปริมาณความตองการนํ้า ความตอ งการการใชน ้ําจะข้นึ อยูก ับองคประกอบที่สําคัญหลายอยาง เชน ลักษณะของชุมชน ใหญ กลาง เล็ก ชุมชนเมืองที่แออัดหรือชุมชนชนบทท่ีหางไกล หรือชุมชนในเขตการคาอุตสาหกรรม หรอื ชมุ ชนชนบทท่กี ําลังพัฒนาและมีความเจริญใกลเคียงเมือง อัตราการใชนํา้ แบงเปนประเภทไดด ังนี้ 6.1 การใชน้ําในท่ีพักอาศัย ( domestic use ) การใชน้ําในท่ีพักอาศัยหรือบานเรือน ของประชาชนนั้นถือวาเปนประเภทที่มีจํานวนผูใชน้ําทั้งหมดและในวัตถุประสงคหลายอยาง เปนตน วา การใชดื่ม การใชซักลางการลางรถ การรดน้ําตนไม สวนครัว การหุงตม และตลอดจนใชทําความ สะอาดหองนา้ํ และหองสว ม 6.2 การใชน ้ําสาํ หรบั อุตสาหกรรม ( industrial use ) การใชนํ้าในอุตสาหกรรมน้ัน โดย ปกติแลวจะมีปริมาณการใชนํ้าสูงกวาในการใชครัวเรือน แตยอมข้ึนอยูกับขนาดของอุตสาหกรรมน้ัน ๆ ดว ยวามขี นาดและชนดิ ของอุตสาหกรรมอยา งไร 6.3 การใชน้ําในกิจการสาธารณะ ( public use ) การใชนํ้าในกิจการสาธารณะน้ันเปน ส่ิงจําเปนสําหรับประชาชนทั่วไป และปริมาณการใช น้ําก็จะแตกตางกันไปดวยในกรณีชุมชนท่ี หนาแนนและเจริญแลว กิจการสาธารณะเหลานี้ไดแก การลางและทําความสะอาดตลาดสวม สาธารณะ ถนน ทอนํ้าโสโครก การดับเพลิงการรดสนามหญา ตนไมตามถนนและหารบริการนํ้าตาม กอ กสาธารณะ นา้ํ พปุ ระดบั 6.4 การใชนา้ํ เพ่อื กิจการเลี้ยงสัตว ( farm animals ) การใชน ํา้ ในคอกปศุสัตว วัว ควาย มา สุกร ไก ปกติแลวการใชน้ําสําหรับเล้ียงสัตวและสวนครัวตามบานมักจะมีปริมาณไมมากนัก นอกจากกรณีทาํ ฟารม หรือปศุสตั วจาํ นวนมาก ๆ 6.5 การใชน้ําสําหรับการคา ( Commercial use ) การใชน้ําในธุรกิจการคาน้ัน โดย ปกตแิ ลวปริมาณการใชน า้ํ จะสงู กวาในการใชใ นครวั เรือน และยอมจะข้ึนอยูกับขนาดของธุรกิจการคา

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 16 วามีขนาดและกิจการอยางไรการสูญเสียของนํ้า ( Loss and waste ) ปริมาณน้ําที่จะตองสูญเสียไป ระบบการประปา นั้นเปนตัวอยางที่ดีช้ีใหเห็นถึงการสูญเสียของนํ้าท่ีมิสามารถเก็บเงินได ท้ังนี้จากเหตุหลายประการ เชน การรั่วไหลเนื่องจากทอน้ําแตกและขอตอชํารุด การจายนํ้าเพ่ือการ ดับเพลิงการจายน้ําฟรีเพ่ือประชาชนในฤดูแลงแกไขปญหาการขาดแคลนนํ้า การใชนํ้าเพื่อ ลางหนา ทรายทําความสะอาดถงั ตะกอน มาตรวัดนา้ํ ชํารุด ฯลฯ ซง่ึ การสญู เสียของนํ้าท่ีเก็บ หรือคิดเปนตัวเงิน มีไดน้ี ประมาณรอ ยละ 20 ของปริมาณการผลิตนํ้าทั้งหมด 7. คุณสมบตั ิของนาํ้ นํา้ จะมีคุณสมบตั ิท่แี ตกตา งกันขน้ึ อยูก ับสารตา งๆ ท่ีละลายปะปนอยูในนํ้าการทมี่ สี ารตาง ๆ ละลายปะปนอยูในนาํ้ แบงออกเปน 3 ดาน ไดแก กายภาพ เคมี และชวี ภาพ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 7.1 คุณสมบัติทางกายภาพของนาํ้ คอื ลักษณะทางภายนอกท่ีแตกตางกนั เชน ความใส ความขุน กลิ่น สี เปนตน 7.1.1 สี (color) สีของนํ้าเกดิ จากการสะทอนแสงของสารแขวนลอยในนาํ้ เชน นาํ้ ตาม ธรรมชาติจะมีสเี หลืองซ่ึงเกดิ จากกรดอินทรีย น้ําในแหลง น้ําทีม่ ีใบไมทับถมจะมีสนี ํ้าตาล หรือถามี ตะไครนํ้าก็จะมีสีเขยี ว 7.1.1.1 สจี ริง (true color) เกิดจากสารละลายเปน เนื้อเดียวกับน้ํา กําจัดออกไปยาก สี ชนดิ นีเ้ กดิ จากการยอ ยสลายของสารอนิ ทรีย ถึงแมวาสีท่เี กิดโดยธรรมชาตจิ ากการยอ ยสลายของพืช ตา งๆ จะไมมีอนั ตรายตอสขุ ภาพ แตก ็มผี ลตอความรสู ึกของผบู รโิ ภค 7.1.1.2 สีปรากฏ (Appearance color) คือ สีท่ีเกิดจากสารแขวนลอยตางๆ ซึ่งสามารถ แยกออกไปได เมื่อกําจัดสีปรากฏออกไปแลวจะเห็นสีจริงของน้ํา สีของนํ้าตามธรมชาติเกิดจากการ สลายตัวของสารอินทรียวัตถุ เชน ตนหญา พืชนํ้า หรือใบไมที่เนาเปอยทับถมกัน จึงมีสีน้ําตาลปน เหลือง หรือสีชาเปนสารพวกแทนนิน กรดฮิวมิก นอกจากนี้สีอาจเกิดจากการปนเปอนจาก อุตสาหกรรมท่ีมีสี ถึงแมวาสีท่ีเกิดโดยธรรมชาติจากการยอยสลายของพืชตางๆ จะไมมีอันตรายตอ สุขภาพ แตก ม็ ีผลตอ ความรสู ึกของผูบริโภค 7.1.2 รสและกล่ิน (Test and odor) รสและกลน่ิ สว นใหญเกิดจากสารอินทรียวัตถุ หรืออาจ เกิดจากสารอนินทรียวัตถุบางตัว กล่ินในนํ้าอาจเกิดไดจากหลายสาเหตุ เชน เกิดจากแบคทีเรียยอย สลายของซากพืชซากสัตวหรือสารอินทรียตางๆ หรือเกิดจาดสาหรายบางชนิดท่ีสามารถสรางน้ํามัน ระเหย (volatile oil) แลวเกิดกาซตางๆเชน กาซไขเนา (Hydrogen Sulfide) รวมท้ังอาจเกิดจาก สารเคมี ท่ีเติมลงไปฆา เช้อื โรคในระบบประปา เชน กลิ่นของสารคลอรีนในนํ้า สําหรับรสในน้ํามักเกิด จากสารอนนิ ทรีย เชนสารประกอบพวกดา งจะทาํ ใหน าํ้ มรี สขม ในขณะทเ่ี กลือของโลหะจะใหรสกรอย หรือขม แลว แตช นิดของโลหะกบั เกลอื นอกจากน้ีการปลอยน้ําเสียลงไปปนเปอนกับแหลงนํ้า อาจทํา ใหร สและกลน่ิ ผดิ ไปจากธรรมชาติได 7.1.3 ความขุน (Turbidity) ความขุนของนํ้าเกิดจาก สารแขวนลอยในน้ํา ในรูปสารอินทรีย และสารอนินทรีย หรือคอลลอยดโดยส่ิงเหลาน้ีจะไปบดบังทําใหแสงหักเหเมื่อมีแสงสองผานทําให มองเหน็ ความขุน ในนาํ้ ขึ้น ความขุนของนํา้ จงึ ขึน้ อยูก บั ขนาดและปริมาณของสารแขวนลอย การกระจัด

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 17 กระจายและความสามารถในการดูดซับแสงของสารแขวนลอยเหลาน้ัน ความขุนมีความสําคัญตอ ทัศนคติในการเลือกอุปโภคบริโภคของผูใชน้ํา คาความขุนยังมีผลตอตอปริมาณสารเคมีในการปรับปรุง คุณภาพนํ้า และประสิทธิภาพของเครื่องกรองนํ้า หากน้ําดิบท่ีมีคาความขุนสูงจะทําใหสิ้นเปลือง สารเคมี และทําใหเคร่อื งกรองเกิดการอุดตันเร็ว และมีอายุการใชงานส้ันลง น้ําท่ีมีความขุนสูง จะทําให ประสิทธิภาพในการฆา เช้ือโรคลดลงโดยจุลินทรียบางสวนอาจอาศัยหลบซอนอยูตามอนุภาคแขวนลอย ทําใหโอกาศที่สัมผัสกับสารเคมีที่ฆาเช้ือโรคนอยลง ความขุนมีหนวย NTU (Nephelometric Turbidity Units) 1 NTU = 1 มลิ ลิกรมั ของความขนุ ในนํา้ 1 ลิตร 7.1.4 ของแข็งทงั้ หมด (total solid: TS) 7.1.4.1 ของแข็งละลายน้ําทั้งหมด (Total Dissolved Solids: TDS) จะมีขนาดเลก็ ผานขนาด กรองมาตรฐาน คํานวณไดจ ากการระเหยน้ําท่ีกรองผา นกระดาษกรองออกไป 7.1.4.2 ของแขง็ แขวนลอย (Suspended Solids: SS) หมายถึง ของแข็งท่ีอยูบนกระดาษ กรองมาตรฐานหลงั จากการกรอง แลวนํามาอบเพ่ือระเหยน้ําออก 7.1.4.3 ของแข็งระเหยงาย (Volatile Solids: VS) หมายถงึ สว นของแข็งที่เปนสารอินทรยี แต ละลายนาํ้ สามารถคาํ นวณไดโ ดยการนํากระดาษกรองวเิ คราะหเ อาของแขง็ ท่ีแขวนลอยออก แลวนํา ของแขง็ สว นท่ลี ะลายทงั้ หมดมาระเหยอณุ หภูมิประมาณ 550 องศาเซลเซียส นาํ น้ําหนกั นํา้ ท่ชี ัง่ หลงั การกรองลบดว ยน้ําหนักหลังจากการเผา นํ้าหนกั ท่ีไดค ือ ของแข็งสวนท่ีระเหยไป 7.1.5 อุณหภูมิ (temperature) อุณหภูมิของน้ํามีผลในดานการเรงปฏิกิริยาทางเคมีและ ชีวภาพซึ่งจะสงผลตอการลดปริมาณออกซิเจนที่ละลายนํ้า มีอิทธิพลทั้งโดยทางตรงและทางออมตอ การดํารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตท่ีอาศัยในนํ้า ซ่ึงปกตินั้นอุณหภูมิของน้ําธรรมชาติจะแปรผันตามอุณหภูมิ ของอากาศขึ้นอยูกับฤดูกาลระดับความสูง และสภาพภูมิอากาศ นอกจากนั้นแลวยังข้ึนกับความเขม ของแสงจํากัดวงอาทติ ยก ระแสลม ความลึก ปริมาณสารแขวนลอย หรือความขุน และสภาพแวดลอม ทั่ว ๆ ไปของแหลง น้ําในประเทศไทย อุณหภมู ขิ องนํ้าธรรมชาติจะแปรผันอยูในชวงระหวาง 23 ถึง 32 องศาเซลเซียส ซึ่งจะมีคาสูงหรือตํ่าตามสภาพภูมิประเทศและสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนแปลง อุณหภูมินํ้าธรรมชาติจะคอยเปลี่ยนแปลงอยางชา และไมคอยกอใหเกิดปญหาตอสูงมีชีวิตท่ีอาศัยอยู ในน้ํามากนัก แตหากเกิดการเปล่ียนแปลงอุณหภูมิน้ําอยางรวดเร็วก็สามารถทําใหเกิดอันตราย โดยตรงตอสัตวนํ้าไดเชนกัน ผลกระทบที่สําคัญกรณีท่ีนํ้ามีอุณหภูมิสูงข้ึนปริมาณออกซิเจนที่ละลาย นํ้าจะลดลง อุณหภูมิท่ีสูงขึ้นจะทําใหเพิ่มปริมาณแบคทีเรียในแหลงนํ้าทําใหแหลงน้ํา ทําใหเกิด ภาวะการขาดออกซิเจนเจนอยางรวดเร็ว เปนสาเหตุใหเ กิดการเนา เสียของแหลงนํ้า 7.1.6 การนําไฟฟา (Electrical Conductivity : EC) การนําไฟฟาเปนคาที่บอกถึง ความสามารถของตัวอยางนํ้าในการเปนส่ือนํากระแสไฟฟา ซ่ึงสื่อในการนํากระแสไฟฟาในน้ําคือไอออน (ion) ของแรธาตุตาง ๆ ซึ่งสวนมากจะเปนเกลืออนินทรียที่ละลายอยูในนํ้า โดยมีหนวยเปน ไมโครโมห ตอเซนติเมตร (Micromhos/cm : mohs / cm) หรือไมโครซีเมนตตอเซนติเมตร (Microsiemen /cm : S/cm ) คา การนาํ ไฟฟาของนาํ้ จะมาก หรือนอยขึ้นอยูกับผลรวมท้ังหมดของคาความนําไฟฟาของแรธาตุ ทุกชนิดท้ังท่ีเปนไอออนบวกและไอออนลบที่ละลายอยูในตัวอยางน้ํา และอุณหภูมิขณะท่ีทําการวัด โดยปรกติแลววัดเทยี บทอี่ ุณหภมู ิ 25 องศาเซลเซยี ส เปนมาตรฐาน

18 7.2 คณุ สมบัติทางเคมี คุณสมบัตทิ างดานเคมีของน้ํา คือ ลักษณะทางเคมีของนํ้า เชน ความเปน กรด - เบส ความ กระดาง ปริมาณออกซิเจนท่ลี ะลายนา้ํ เปน ตน 7.2.1 ความเปนกรด - ดาง (pH) ความสําคัญของคาความเปนกรดเปนดางของน้ํามีผลตอ ปฏิกิริยาเคมีตางๆในน้ํา ทั้งในดานของการปรับปรุงคุณภาพนํ้า ในกระบวนการตกตะกอนดวยสารเคมี มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบงการแกไขปญหาน้ํากระดาง และการฆาเช้ือโรค โดยแหลงน้ําธรรมชาติสวนใหญมีคาคาความเปนกรด- ดาง (pH) อยรู ะหวาง 6.5-8.5 ยกเวนนํ้าที่มี คารบอนไดออกไซดละลายอยู อาจจมีคาความเปนกรด-ดาง (pH) ตา่ํ กวา 5 สวนนํ้ากระดางท่ีมีคารบอเนตละลายอยูมีคา pH สูงกวา 9 สวนนํ้าดื่มควรมีคาความเปน กรด-ดาง (pH) ระหวาง 6.8-7.3 นอกจากนี้คาความเปนกรด-ดาง (pH) จะมีฤทธิ์ในการกัดกรอนทอและ อุปกรณไ ด 7.2.2 ปริมาณออกซิเจนที่ละลายน้ํา (dissolved oxygen, DO) แบคทีเรียที่เปนสารอินทรียใน นํ้าตองการออกซิเจน (aerobic bacteria) ในการยอยสลายสารอนินทรีย ความตองการออกซิเจนของ แบคทีเรียนี้จะทําใหจะทําใหปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ําลดลง ดังน้ันในนํ้าท่ีสะอาดจะมีคา DO สูง และน้ําเสยี จะมคี า DO ตา่ํ มาตรฐานของน้ําที่มีคุณภาพดีโดยทั่วไปจะมีคา DO ประมาณ 5-8 ppm หรือ ปริมาณ O2 ละลายอยูปริมาณ 5-8 มิลลิกรัม / ลิตร หรือ 5-8 ppm น้ําเสียจะมีคา DO ต่ํากวา 3 ppm คา DO มีความสําคัญในการบงบอกวาแหลงนํ้าน้ันมีปริมาณออกซิเจนเพียงพอตอความตองการของ สงิ่ มชี วี ิตหรอื ไม 7.2.3 ความกระดา ง (hardness) น้ํากระดางเปนนํ้าท่ีมีการละลายของอิออนโลหะท่ีมีประจุบวก สอง เชน ไอออนของโลหะที่มีอยูในนํ้ากระดาง เชน แคลเซียมไอออน (Ca2+) แมกนีเซียมไอออน (Mg2+) ธาตุอื่นๆ เล็กนอย เชน เหล็ก (II) ไอออน (Fe2+) , แมงกานีส (II) ไอออน (Mn2+) และ สทรอ นเซยี มไอออน (Sr2+) ความกระดางมี 2 ประเภทคอื 7.2.3.1 ความกระดางช่ัวคราว (carbonate hardness) ความกระดางประเภทนี้เกิด จากเกลือ ไบคารบอเนต และคารบอเนตของแคลเซียมและแมกนีเซียมละลายอยูการแกความ กระดางชั่วคราวสามารถทําไดโดยการตมเพ่ือใหเกิดตะกอนของเกลือแคลเซียมคารบอเนต (HCO3-) ทาํ ใหน้ําหายกระดา งได Ca2+ (aq) + 2 (HCO3-) (aq) ----> CaCO3 (s) + H2O (I) + CO2 (g) Mg2+ (aq) + 2 (HCO3-) (aq) ----> MgCO3 (s) + H2O (I) + CO2 (g) 7.2.3.2 ความกระดางถาวร (noncarbonate hardness) ความกระดางประเภทน้ีเกิด จากเกลือซัลเฟต หรือเกลือคลอไรดของแคลเซียมและแมกนีเซียม ความกระดางประเภทน้ีสามารถแก ดว ยการกล่นั การกรองเรซน่ิ การใชโซดาแอช (โซเดียมคารบ อเนต) เพือ่ ตกตะกอน เปน ตน 7.2.4 เหล็ก (Iron) และแมงกานีส (Manganese) เปนธาตุที่พบท่ัวไปในดินและหินใน ธรรมชาติ เหล็กและแมงกานีสามารถเปลี่ยนเปนรูปของสารละลายในนํ้าไดหากในนํ้ามีกาซ เคปานรเบฟออนรไัสดอ(Fอeก2ไ+ซ) ดละ(ลCาOย2อ)ยหูในรือนมํ้าีสภภายาใพตเสปภนากพรไดรอเาหกลา็กศเแฟลอะรแรมิกงก(Fาeน3ีส+)จะซถึ่งไูกมรลีดะิวลซาจยาใกนปนรํ้าะจจะุ +ถ4ูกรซีดึ่งิวไมซ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 19 ละลายในน้ําเปนประจุ +2 ซึ่งอยูในรูปสารละลายในน้ําได นํ้าที่มีเหล็กและแมงกานีสอยูจะไมมีผลเปน อันตรายตอสุขภาพมากนักแตเปนสาเหตุของความนารังเกียจที่จะด่ืมนํ้านั้น เชน ทําใหนํ้ามีรสขม ทําให น้ํามีสีแดง น้ําตาลหรือดําหากใชซักลางทําใหเกิดรอยดางบนเสื้อหรือมีคราบบนสุขภัณฑและเครื่องใช ตา ง ๆ 7.2.5 คลอไรด (chlorides) คลอไรดสงผลตอรสของนํ้าเน่ืองจากนํ้าท่ีมีปริมาณคลอไรด 250 มิลลกรมั ตอลิตร จะมรี สกรอ ยคอนขางเคมี 7.2.6 ฟลูออไรด (fluoride) เปนธาตุจําเปนสําหรับการสรางกระดูกและฟน ดังน้ันหากไดรับ ฟลูออไรดนอยเกินไปอาจทําใหฟนเปราะหรือหักงาย แตถาฟูออไรดมากกวา 3 มิลลกรัมตอลิตร จะทํา ใหฟนเกิดเปน คราบหรือเปน จุดดําปรมิ าณทเ่ี หมาะสมที่ควรใหมีในน้ําดื่มคือประมาณ 1 มิลลกรัมตอ ลิตร 7.2.7 สารไนเตรต-ไนไตรต (Nitrate-Nitrite) เกิดจากการยอยสลายของอินทรียวัตถุตาง ๆ โดย เกิดปฏกิ ริ ยิ าชวี เคมขี องจุลนิ ทรียในการออซิเดชัน่ แอมโมเนียไดไ นไตรทและเปล่ยี นเปนไนเตรท ในดานสุขภาพอนามัย ไนเตรทจะมีผลตอเด็กออนที่มีอายุตํ่ากวา 2 เดือน เน่ืองจากลําไสเด็กใน เวลาน้ีมีความเปนกรดพอเหมาะกับความตองการของแบคทีเรียประเภทไนเตรท รีดิวสซ่ิงแบคทีเรียที่จะ เปล่ียนไนเตรทเปนไนไตรท เม่ือไนไตรทถูกดูดซึมเขากระแสเลือดจะเขาจับกับฮีโมโกลบินในเม็ดเลือด แดงไดดีกวาออกซิเจน ไดสารประกอบสีนํ้าเงิน หากปลอยทิ้งไวเด็กจะตัวเขียวคลํ้าขาดอากาศหายใจ และอาจเสียชวี ิตในท่ีสุด ซง่ึ เรียกอาการแบบนวี้ า blue baby 7.2.8 ตะกั่ว (lead) น้ําตามธรรมชาติจะไมมีตะก่ัวปนเปอน ยกเวนเกิดการปนเปอนจาก กิจกรรมตาง ๆ ของมนุษย น้ําท่ีมีตะกั่วละลายอยูไมมากนัก็กอาจเปนอันตรายตอการบริโภคไดเพราะ ตะกั่วสงผลตอ สมองและระบบประสาท 7.2.9 สารหนู (Arsenic) สารหนูอาจเกินในน้ําตามธรรมชาติเนื่องจากการไหลของนํ้าผานช้ันดิน ช้ันหินที่มีสารหนูหรืออาจเกิดจากกิจกรรมของมนุษยสารหนูมีความเปนพิษตอสูงมีชีวิต มีสวนเก่ียวของ กบั การทําใหเ กิดมะเร็งผิวหนัง 7.2.10 ไตรฮาโลมีเทน (Trihalomethanes : THMs) สารไตรฮาโลมีเทน (Trihalomethanes :THMs) เกิดจากกระบวนการผลิตนาประปา สารไตรฮาโลมีเทน ประกอบไปดวยสาร 4 ชนิดไดแก คลอโรฟอรม (CHCl3), โบรโมไดคลอโรมีเทน (CHCl2Br), ไดโบรโมคลอโรมีเทน (CHClBr2), และโบรโม ฟอรม (CHBr3) องคก ารอ นามัยโลกไดก าํ หนดมาตรฐานน้ําดื่มใหมีสารไตรฮาโลมีเทน ท้ัง 4 ชนิดไวไมเกิน 300, 60, 100 และ100 นาโนกรมั ตอ มลิ ลลิ ิตร องคกรระหวางประเทศดานการวิจัยดานมะเร็ง (International Agency for Research on Cancer : IARC) ระบุวา มีความเปนไปไดวา สารไตรฮาโลมีเทนบางรูปแบบอาจจะกอใหเกิดมะเร็งใน มนษุ ย โดยจดั ให - คลอโรฟอรม (CHCl3) เปนสารในกลุม 2B (สารท่อี าจกอใหเ กิดมะเร็งในมนุษย) - โบรโมไดคลอโรมีเทน (CHCl2Br) เปน สารใน กลุม 2B (สารท่ีอาจกอใหเ กิดมะเร็งในมนุษย) - ไดโบรโมคลอโรมเี ทน (CHClBr2) เปน สารใน กลุม 3 (สารที่ยังไมสามารถจําแนกการเกิดมะเร็ง ในมนษุ ย) - โบรโมฟอรม (CHBr3) เปนสารในกลมุ 3 (สารท่ียังไมสามารถจาํ แนกการเกิดมะเร็งในมนุษย)

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 20 7.3 คุณสมบัติทางชวี ภาพ มีความสําคัญเนื่องจากนํ้าเปนส่ือนําโรคได (Water Borne Disease) ดังนั้น คุณภาพน้ําทางดาน ชีวภาพจึงมีความสําคัญมากน่ืองจากเพราะเช้ือโรคตาง ๆ สามารถดํารงชีพอยูในนํ้าคุณภาพนํ้าทางดาน ชีวภาพหมายถึงการที่นํ้ามีส่ิงมีชีวิตตางๆ อยูในน้ํา เชน พืชนํ้า สัตวนํ้า และจุลินทรีย ซ่ึงมีท้ังประโยชน และโทษตอมนุษย แตในท่ีนี้จะกลาวถึงคุณภาพน้ําทางดานชีวภาพท่ีสําคัญเก่ียวของกับการนํานํ้า มาใช ประโยชนตอการอุปโภคบริโภค 7.3.1 จุลลนิ ทรยี ท ี่ไมทําใหเ กิดโรค (Nonpathogenic micro-organism) เปนจลุ ินทรยี ที่อยูในนาํ้ โดยไมก อโรค ไดแก แบคทีเรยี โปรโตซัว สาหรายหรือราบางชนดิ นอกจากน้ี นอกจากไมทําใหเ กิดโรค แลว ยังชวยในการยอยสลายสง่ิ สกปรกท่เี ปนสารอินทรียในนาํ้ 7.3.2 จลุ ินทรยี ที่ทําใหเกิดโรค (Pathogenic micro-organism) อยูห ลายชนิด มีทงั้ ชนิดท่ี กอใหเ กดิ อาการของโรคอยางรุนแรงถึงตายได ไปจนถึงเพยี งแคมีอาการเจบ็ ปวยเล็กนอย ดังน้ัน เพ่ือ ความปลอดภยั แลวจะตองไมมีจุลนิ ทรียประเภทน้ีในน้ําท่ีใชเพื่อการ อุปโภคบริโภคเลยจุลนิ ทรียท ่ที ําให เกิดโรคโดยมนี ํ้าเปนส่อื นําโรคท่ีสาํ คัญ ไดแ ก ไวรสั (Virus) แบคทีเรีย ( Bacteria) โปรโตซวั (Protozoa) หนอนพยาธิ (Helminth) 8. การอนุรกั ษทรพั ยากรนํา้ การอนุรักษทรัพยากรนํ้าจะเห็นวานํ้ามีความสําคัญและมีประโยชนมากมายาจึงควรชวยกัน อนุรกั ษทรัพยากรนาํ้ โดยมีวธิ ีการ ดงั น้ี 8.1 การใชน ้ําอยางประหยัด นอกจากจะชวยลดคาใชจายเก่ียวกับคานํ้าลงไดแลว ยังทําให ปริมาณน้ําเสยี ที่จะท้ิงลงแหลงนํ้าลดลง และปอ งกนั การขาดแคลนนํ้าไดดว ย 8.2 การสงวนนํ้าไวใช ในบางฤดูหรือในสภาวะท่ีมีนํ้ามากเหลือใช ควรมีการเก็บน้ําไวใช เชน การทําบอเก็บนํ้า การสรางโองน้ํา การขุดลอกแหลงนํ้า รวมท้ังการสรางอางเก็บน้ําไวใชเพื่อ การเกษตร และพลงั งานแลว ยงั ชวยปอ งกันการเกิดอทุ กภัย ปองกันการไหลชะลางหนาดินที่อุดมสมบูรณ และใชเ ปนท่พี กั ผอนหยอนใจ 8.3 การพัฒนาแหลงน้ํา ในบางพื้นที่ขาดแคลนนํ้า จําเปนท่ีจะตองหาแหลงนํ้าเพิ่มเติม เพื่อใหม ีนํา้ ไวใ ชท ัง้ ในครัวเรอื นและในการเกษตรไดอยางเพียงพอ ปจจุบันการนํานํ้าบาดาลข้ึนมาใชกําลัง แพรหลายมาก แตอาจมีปญหาเร่ืองแผนดินทรุด เชนในบริเวณกรุงเทพ ฯ ทําใหเกิดดินทรุดได จึงควรมี มาตรการกาํ หนดวาเขตใดควรใชน ้ําใตด ินไดมากนอยเพียงใด 8.4 การปองกันน้ําเสยี การไมท ้งิ ขยะ สิ่งปฏิกูล และสารพิษลงในแหลงนํ้า นํ้าเสียที่เกิดจาก โรงงานอุตสาหกรรม โรงพยาบาล ควรมีการบําบัดและขจัดสารพิษกอนที่จะปลอยลงสูแหลงน้ํา การวาง ทอ ระบายนํา้ จากบา นเรือน การวางฝง การกอสรางโดยไมใหน ้าํ สกปรกไหลลงสูแมน ้ําลาํ คลอง 8.5 การนํานํ้าเสียกลับไปใช นํ้าที่ไมสามารถใชไดในกิจการหน่ึง เชน น้ําท้ิงจากการลาง ภาชนะอาหาร สามารถนาํ ไปรดตนไม โรงงานบางแหงอาจนํานา้ํ ท้งิ มาทําใหส ะอาดแลว นาํ กลบั มาใชใ หม

21 คาํ ถามทา ยบท 1. จงบอกประเภทและมาตรฐานคุณภาพน้ําในแหลง นํ้าผิวดนิ 2. ความตองการการใชนาํ้ ข้ึนอยกู ับปจ จยั ใดบา ง 3. คุณสมบัติทางกายภาพของนํ้ามีอะไรบาง 4. จงบอกแนวทางการอนุรักษทรัพยากรนํ้ามา 4 ขอ 5. จงอธบิ ายวฏั จกั รของนา้ํ เอกสารอา งอิง อรนุช ใจดี. (2552). ปจจัยที่มีผลกับความตองการใชนํา้ ประปาของครัวเรอื นในเขตเทศบาลเมืองหัว หนิ จังหวดั ประจวบคีรีขนั ธ. : มหาวิทยาลยั เชียงใหม. กรมควบคุมมลพิษ. (2543). มาตรฐานคณุ ภาพนาํ้ และเกณฑระดับคุณภาพนา้ํ ในประเทศไทย. กระทรวงวิทยาศาสตร เทคโนโลยแี ละสิ่งแวดลอม. กรมสงเสริมคุณภาพสิ่งแวดลอม. (2543). แหลงธรรมชาติอันควรอนรุ ักษของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. กระทรวงวิทยาศาสตร เทคโนโลยีและสิ่งแวดลอม มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 22 บทท่ี 3 การผลิตนา้ํ สะอาดเพื่อการอุปโภคบริโภค (การประปา) ระบบผลิตน้ํา หมายถึง การนํานํ้าผิวดินหรือน้ําดิบจากแหลงน้ําธรรมชาติตางๆ อาทิ แมน้ํา คลอง ทะเลสาบ อางเก็บน้ํา และทะเล เขาสูกระบวนการผลิตเพ่ือใหไดน้ําท่ีมีคุณภาพและปริมาณ ตามความตองการ ไดแก น้ําประปา นํ้าจืด และนํ้าบริสุทธ์ิ เพ่ือใชในการอุปโภคบริโภค เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม หรือใชในโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งตั้งอยูในพื้นท่ีใกลทะเลหรือพ้ืนท่ีที่ราคานํ้าสูง ซึ่ง น้ําทผ่ี ลิตไดแ ตล ะประเภทจะใชเทคโนโลยกี ารผลิตท่ีมคี วามซับซอ นแตกตา งกนั แหลงน้ําดบิ เปน แหลงนา้ํ ทนี่ ํามาผลิตน้ําประปาตองมีคุณภาพน้ําดีและเหมาะที่จะนํามาผลิต นํ้าประปา และแหลงนํ้าดิบตองมีการควบคุมและปองกันมลพิษ ซึ่งตองมีปริมาณที่เพียงพอในการ นาํ มาใชผลติ ตลอดทงั้ ป แหลงน้ําดบิ แบง ออกเปน 2 ประเภท ดังน้ี 1. นาํ้ ผิวดิน (Surface Water) หมายถึง นํา้ ทา ซ่ึงเกิดจากการไหลบนพืน้ ดิน ลงมารวมกัน แหลง น้าํ ไดแ ก แมน้ํา ลําคลอง อางเก็บนํ้า ทะเลสาบ หนอง บึง ปริมาณน้ําผิวดินขึ้นกับ ความเขม ความถี่และระยะเวลาท่ีฝนตก ลักษณะขอบเขตพื้นที่รองรับ (Catchments Area) ปริมาณ การสูญเสียเนอื่ งจากการระเหยของผิวหนาของแหลงนํ้า ปริมาณการสูญเสียเน่ืองจากการซึม ของช้ันดิน 2. ใตดินหรือนํ้าบาดาล (Ground water) การแบงหิน ชั้นหิน ชั้นตะกอนและชั้นกรวดโดยใช ระดับนา้ํ ใตดนิ เปน แนวแบงเขต ซ่ึงแบงชนิดของนํ้าบาดาล ออกเปน 2.1 นํ้าบาดาลปราศจากความดัน (Unconfined Aquifer) ชั้นหินอุมนํ้าอิสระท่ีไมไดอยู ภายใตค วามกดดนั น้ําท่ีอยใู นชน้ั จะไหลไปตามความดนั นํ้าและแรงดึงดูดของโลกในพ้ืนท่ี ทตี่ ่ํากวา 2.2 นํ้าบาดาลในที่กักขัง (Confined Ground Water) เปนชั้นหินใหนํ้าภายใตแรงดัน โดย ชั้นหินอุมน้ําอยูระหวางช้ันหินเน้ือทึบที่ไมยอมใหน้ําซึมผาน ประกบอยูท้ังดานบนและ ดานลาง บางครั้งแรงดันมาก เมื่อเจาะจะมีนํ้าไหลพุงมาเหนือปากบอ เรียกวาบอนํ้าพุ (Flowing Well) และเนื่องจากนํ้าบาดาลจากช้ันหินอุมนํ้าประเภทนี้มักอยูในระดับลึก สามารถนํามาใชบ ริโภคได แตอ าจมีคุณสมบัติเปนนํ้ากระดาง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 23 1. ประเภทการผลติ น้ําประปา 1.1 ระบบประปาบาดาล ถาสามารถหาแหลงนํ้าบาดาลท่ีมีปริมาณเพียงพอและมีคุณภาพของน้ําที่ดี เมื่อเทียบกับ มาตรฐานที่กําหนดไวสามารถเลือกใชบอบาดาลใหเปนแหลงน้ําในการผลิตประปาถือวามีความ เหมาะสมเน่ืองจากไมตองใชกรรมวิธีในการกําจัดสารแขวนลอยที่ปะปนอยูกับน้ําโดยใชเคร่ืองสูบน้ํา เพียงเครือ่ งเดียวสูบ โดยตรงจากบอ บาดาลสูถังเก็บ เพ่ือแจกจาย บริการตอไป แตแมนํ้าบาดาลท่ัวไป จะปราศจาก โรค ก็ยังแนะนําใหใชคลอรีนจายเขาสูเสนถ กอนข้ึนถังเก็บนํ้าเพื่อใหคลอรีน มีเวลาทํา ปฏกิ ริ ยิ า Contact Time กบั สิง่ เจือปนในน้าํ และคลอรนี ยังคงเหลือในเสนทอ เผื่อจะชวยฆาเชื้อโรค ท่ีตกคา งอยภู ายในทอ ประปาได 1.2 ระบบประปาบาดาลแบบเติมอากาศ น้าํ บาดาลสวนใหญอ ยูในสภาพไรอ อกซิเจน แอโรบิค (Aerobic) ทําใหมีเหล็ก และแมงกานีส คารบ อนไดออกไซดห รอื ไฮโดรเจนซลั ไฟด ละลายปนอยูในนา้ํ การกาํ จดั แรธ าตุหรือสิ่งท่ีเจือปน ทําได โดย วิธีการเติมอากาศ กาซที่ละลายลงไปในน้ําจะระเหยออกไป สวนเล็กและแมงกานีสจะทํา ปฏิกิริยากับออกซิเจน เปนออกไซดและตกตะกอนเปนสารแขวนลอยดังนั้นระบบผลิตน้ําประปาบาง แหงจะมีถังตกตะกอนไวเพื่อกักตะกอนหรือผานน้ําที่เติมอากาศเขาสูระบบกลองโดยตรง แลวจึงฆา เชื้อโรคดว ยสารคลอรีนกอนเก็บในถังน้ําใสเพ่ือรอแจกจายใหแกผใู ชนาํ้ ตอ ไป ภาพที่ 3.1 ขั้นตอนการผลิตนาํ้ ประปาบาดาล ท่ีมา : สาํ นกั บรหิ ารจดั การน้ํา กรมทรัพยากรนํา้

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 24 ภาพที่ 3.2 ขั้นตอนการผลิตนา้ํ ประปาบาดาล ทมี่ า : สาํ นักบรหิ ารจัดการนาํ้ กรมทรัพยากรนํา้

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 25 1.3 ระบบประปาผิวดินแบบ Conventional ระบบผลิตนํา้ ประปาสําหรับชุมชนขนาดใหญ สวนมากจะอาศัยแหลงนํ้าจากแมน้ํา ซ่ึงมีปริมาณ ที่เพียงพอ แตนํ้าผิวดินที่นําเขามาผลิตน้ําประปามักมีความขุนสูง ดังน้ันกรรมวิธีการผลิต จึงตองอาศัย สารเคมีชวยทําใหตกตะกอนเร็วขึ้นเชน สารสม สารพอลีอะลูมิเนียมคลอไรด PACl กรรมวิธีต้ังแตการ ผสมสารเคมีชวยตกตะกอน เกิดตะกอน ตกตะกอน จนกระท่ังการกรองแบบทรายกรองเร็ว เรียกวา ระบบการผลติ นํ้าประปาแบบ Conventional ซ่ึงวธิ ีการเปนการปรับปรุงคุณภาพน้ําโดยสวนใหญ 1.4 ระบบประปาปรบั ปรงุ คุณภาพน้าํ กระดา ง รูปแบบที่ 1 กระบวนการน้ีใชวิธี แลกเปลี่ยนประจุไฟฟา โดยใชสารซึ่งสามารถ จะบรรจุท่ี เปนความกระดางไวสารนี้มีชื่อเรียกหลายอยาง เชน Zeolite Ion exchange หรือ Resin เปน ปฏิกริยาแลกเปลี่ยนอนุมูลอิส ระหวางสารเคมีท่ีใชเติมกับความกระดาง นพยมใชในการกําจัดความ กระดา งไดท ้ังแบบชว่ั คราวและกระดางถาวร รูปแบบท่ี 2 กระบวนการใชปูนขาวและโซดาแอช แกความกระดาง (Lime- SodAsh Process ) นา้ํ ที่ผานกระบวนการจงึ มีความกระดา งเหลอื อยูบา งเล็กนอย 2. ระบบผลิตนา้ํ ประปา ระบบผลิตนํ้าประปา (Portable Water Plant) เปนการนํานํ้าผิวดินหรือน้ําดิบเขาสู กระบวนการผลิตเพ่ือใหไดน้ําประปา นําไปใชประโยชนในการการอุปโภคบริโภค เกษตรกรรม และ อุตสาหกรรมบางประเภททีไ่ มต องใชน้ําท่มี ีคณุ ภาพสูง ขัน้ ตอนการผลิตนํา้ ประปามี 6 ข้นั ตอนดงั นี้ ขัน้ ตอนท่ี 1 การกักเกบ็ และปรบั ปรงุ คณุ ภาพนาํ้ ดิบขน้ั ตน (Raw Water Storage) ข้ันตอนท่ี 2 การสรางตะกอนและการรวมตัวของตะกอน (Coagulation & Flocculation) ขนั้ ตอนที่ 3 การตกตะกอน (Sedimentation) ข้นั ตอนที่ 4 การกรอง (Filtration) ขัน้ ตอนที่ 5 การฆา เชอื้ โรคในนา้ํ (Disinfection) ขัน้ ตอนที่ 6 การกกั เกบ็ นาํ้ ประปา (Storage/Clarifier Tank/Elevated Tank) ขั้นตอนท่ี 1 การกักเก็บและปรับปรุงคุณภาพนํ้าดิบขั้นตน (Raw Water Storage) โดยมี วิธีการดงั นี้ 1.1 การขจัดสิ่งแขวนลอยดวยตะแกรง (Screen) เปนกระบวนการข้ันตนในการกําจัดของแข็ง ขนาดใหญ สวนใหญมักมีน้ําหนักเบา เชน พลาสติก ใบไม เศษขยะมูลฝอย โดยชนิดของตะแกรงแบง ออกเปน ตะแกรงหยาบ เปนตะแกรงที่มีขนดประมาณ 2 น้ิว และตะแกรงละเอียดมีขนาดเล็กกวา 1 น้วิ เพื่อกรอส่ิงแขวนลอยข้ันตน กอ นเขาสูโรงสบู น้าํ ดบิ

26 1.2 การเติมคลอรนี ข้นั ตน (Pre-Chlorination) น้ําจากแหลงนํ้าดิบท่ีนํามาใชผลิตนํ้าประปาบาง แหงอาจจะมีจุสินทรีปะปนอยูจํานวนมาก จําเปนตองมีการทําลายเชื้อจุลินทรียในนํ้าดิบโดยวิธีการ เติมคลอรีนช้ันตน กอนท่ีจะผานกรรมวิธีอื่นๆ ในข้ันตอไปการเติมคลอรีน ขั้นตนจะสามารถชวยทําให ลดปรมิ าณของจุลินทรียทําใหน้ําใสที่ผานการกรองแลว มีจํานวนจุลินทรียเหลืออยูในน้ํานอยลงทําให การเตมิ คลอรนี ในข้ันสุดทา ย ใชปรมิ าณของคลอรนี นอยลงไปดวย 1.3 การตกตะกอนโดยธรรมชาติ (Plain Sedimentation) เปนการเก็บน้ําโดยอาศัยวิธีการทาง ธรรมชาติเพ่อื ใหเกดิ การฟอกตวั เองตามธรรมชาติ (Self Purification) จะทําใหปริมาณสารแขวนลอย ความกระดางและแบคทเี รียลดลงและคุณภาพน้ําจะดีขึ้น โดยใชระยะเวลาเก็บกัก 2-3 สัปดาห ทําให ลดความสกปรก และของแข็งแขวนลอยจะตกตะกอน นอกจากนย้ี ังลดแบคทเี รียในนา้ํ อีกดวย มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ตารางท่ี 3.1 การเลอื กวิธีการปรบั ปรุงคณุ ภาพน้ําดบิ และการผลติ นาํ้ ประปา ลาํ ดับ คณุ ภาพน้าํ ดบิ กระบวนการปรับปรงุ คณุ ภาพนา้ํ ดิบและการผลติ น้าํ ประปา 1 สแี ละความขนุ 1. Coagulation +การกรอง และถา นกัมมนั ต 2. เตมิ คลอรีน รว มกบั Coagulation + การกรอง 2 กลิน่ น และรส 1. การดดู ซบั ดว ยถานกัมมนั ต 2. Coagulation + การกรอง 3. การเตมิ คลอรนี หรือโอโซน 4. การเตมิ อากาศ 3 ความกระดาง (Hardness) 1. การใชสารเคมที าํ ปฏิกิริยาเพ่ือใหตกผลึก (Precipitation) ไดแ กแคลเซียม และ โดยใชป นู ขาว และโซดาแอซ แมกนีเซยี ม 2. Ion exchange 4 เหลก็ และแมงกานสี 1. Chemical Oxidation และการใช#สารเคมีทําปฎิกริยา เพ่ือใหตกผลกึ (Precipitation) เชน KMnO4) 2. การเติมอากาศรวมกบั ปูนขาว 5 โซเดียม โปแทสเซียม คลอ Desalination ไรด และไนเตรท 6 pH การปรับสภาพอลั คาไล (Alkaline) 7 แอมโมเนยี การเตมิ คลอรีน 8 ไฮโดรเจนซัลไฟต 1. การเตมิ อากาศในสภาวะทเ่ี ปนกรด 2. การเตมิ คลอรีน หรือโอโซน 3. การใช Ferrous Salts ทําปฏิกรยิ าเพื่อใหต กผลกึ 9 คารบ อนไดออกไซด 1. การเตมิ อากาศ 2. การปรบั สภาพอัลคาไล 10 ฟลอู อไรด Desalination

27 ลําดบั คณุ ภาพน้าํ ดิบ กระบวนการปรบั ปรงุ คุณภาพนาํ้ ดบิ และการผลติ นํ้าประปา 11 แบคทเี รีย 1. ฆาเชื้อดวยคลอรีน หรอื โอโซน 2. Coagulation + การกรอง + การฆาเชอ้ื โรค 12 สารอินทรยี บางชนดิ ท่ีมี 1. การดูดซับในชวงการรวมตะกอน (Adsorption During ปรมิ าณนอ ย (Traces Flocculation) Organic) 2. การดซู บั ดวยถานกมั มนั ต มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง3. โอโซน 13 สาหราย แพลงกต อน 1. วิธีการทางเคมี 2. Coagulation 3. Double Filtration 14 สารกําจดั ศตั รพู ชื 1. ถานกมั มันต 2. การเติมอากาศ 15 การกาํ จดั โลหะหนัก 1. Coagulation + การกรอง ตะกว่ั (Pb) 2. การแลกเปลีย่ นประจุ 3. การทาํ Adsorption (การดูดซับ) 4. การตกผลึกทางเคมี 5. การออกซเิ ดชัน-รดี ักช้นั 6. Reverse Osmosis (RO) 16 ปรอท (Hg) 1. Coagulation + การกรอง 2. การทาํ Softening ( ในกรณีท่นี าํ้ มปี รอท ≥ 10 µg/L) 17 สารหนู (As) 1. Coagulation + การตกตะกอน 2. กระบวนการออกซิเดชนั่ 3. การทํา Adsorption (การดดู ซับ) 18 แคดเมียม 1. Coagulation + การตกตะกอน 2. การทํา Softening ท่มี า : คมู อื กระบวนการผลติ นาํ้ ประปาและควบคุมคณุ ภาพนาํ้ พ.ศ.2561 ขน้ั ตอนที่ 2 การสรางตะกอนและการรวมตัวของตะกอน (Coagulation & Flocculation) 2.1 การสรางตะกอน (Coagulation) แหลงน้ําดิบธรรมชาติ จะมีส่ิงเจือปนท่ีเปนสารวัตถุ ขนาดเลก็ ๆ ปะปนอยูดว ยจํานวนหนึ่งทาํ ใหเกดิ เปน ความขุน การสรา งตะกอนเปน กระบวนการทําลาย การจับตัวของคอนลอยด ท่ีไมสามารถตกตะกอนในสภาวะปกติได จําเปนตองใชสารเคมี ชวยทําให เกดิ การสรางตะกอน และทําใหต ะกอนจบั ตวั กนั สารเคมีท่ีใชในกระบวนการโคแอกกเู ลชน่ั (Coagulation) คือสารเคมีชนิดสารอินทรียที่ใชใน การทําลายเสถียรภาพอนุภาคคอลลอยดและสามารถรวมตัวกันเปน Floc ขนาดใหญขึ้น ไดแก สารสม (Aluminum Sulfate), Polyaluminium Chloride (PAC, PACl) หรือ Ferri hl id ic

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 28 Chloride (FeCl2) เปนตน ลงไปในน้ํา และผสมกันอยางท่ัวถึงอยางรวดเร็ว การสรางตะกอน ประกอบดวยถงั กวนเร็ว (Rapid Mixing) นอกจากนี้ยังเติมสารชวยสรางตะกอน (Coagulant Aid) เปนสารที่ชวยเพิ่มประสิทธิภาพ ใหกับสาร Coagulant ท่ีนิยมใชคือปูนขาว, โซดาแอซ, Polymer เพื่อเปนการปรับ pH ของน้ําใหมี ความเปนดางมากขึ้น (pH 6.5-8.5) จะทําใหสารสมมีปฏิกริยาท่ีสมบูรณดีขึ้น ไมเหลือเปนสารสม ตกคางในน้ําทําใหน้ํามีฤทธ์ิเปนกรด และเกิดการกัดกรอนข้ึนได ในการปฏิบัติ การเติมสารสมใหมี ปริมาณท่ีพอเหมาะทจี่ ะทําใหน าํ้ ดิบเกดิ ตะกอนไดดี ภาพที่ 3.3 ปฏกิ รยิ าในถังกวนเรว็ ทม่ี า : พรศักดิ์ สมรไกรสรกิจ, 2564 การควบคุมระบบการผลิตจําเปนตองมีการทดลองเพ่ือหาปริมาณการใชสารเคมีท่ีเหมาะสมใน การปรบั ปรุงคุณภาพน้ํา (Optimum dose of coagulation) เพื่อตกตะกอนสารแขวนลอยในนํ้าการ ทดสอบหาปริมาณการตกตะกอนความดวยเครือ่ งมือทเี่ รยี กวา Jar test ภาพท่ี ... การทาํ Jar test ทม่ี า : การประปาสว นภมู ภิ าค, 2557 1.4 การรวมตะกอน (Flocculation) เปน กระบวนการรวมตวั กนั ของอนุภาคคอนลอยดที่ถูกทําลายเสถียรภาพแลว มีโอกาสสัมผัส กันมากขึ้น มีขนาดใหญพอท่ีจะตกตะกอนไดงาย เรียกวา floc การรวมตะกอนตองมีถังกวนชาหรือ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 29 อุปกรณชวยรวมตะกอน อาจเปนเคร่ืองกวนใบพัด หรือแผนก้ันเพื่อทําใหเกิด floc ใชเวลาประมาณ 30-60 นาทีจังตกตะกอนเปนการแยกเอาตะกอนออกจากของเหลวโดยวิธีการลดความเร็วของน้ําท่ี นําเขาสูถงั ตก กระบวนการนจ้ี ะเกดิ ข้ึนในถงั กวนชา (Slow Mixing Tank) ภาพท่ี 3.4 ปฏิกริยาในถังกวนชา ทีม่ า : พรศกั ดิ์ สมรไกรสรกจิ , 2564 ขั้นตอนที่ 3 การตกตะกอน (Sedimentation) การทําใหตะกอนในนํ้าเกิดการจมตัวลงสูกันตะกอน และใหมีระยะเวลาของการตกตะกอน ประมาณ 2-4 ช่ัวโมง ซึง่ จะทาํ ใหต ะกอนที่มีนํ้าหนักหรือมีความถวงจําเพาะ มากกวานํ้าตกตะกอนอยู ทีก่ ันถัง ภาพท่.ี ...ภาพถังตกตะกอนแบบสีเ่ หลยี่ มผนื ผา ท่ีมา : Glenda McMahon & Ken Chatterton, 2019

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 30 ข้นั ตอนที่ 4 การกรอง (Filtration) การกรอง คือการแยกสารปนเปอนขนาดเล็ก ท่ีแขวนลอยอยูในน้ําออกจากนํ้า โดยใหไหล ผานชองวางของตัวกลางพรุน เชน ทราย ถาน แอนทราไซทวัตถุประสงคของการกรองคือการ ปรับปรุงคณุ ภาพนา้ํ ทางดา นกายภาพ และชีววทิ ยาของน้าํ ใหดีข้ึน โดยกําจัดตะกอน ความขุน ทํา ใหนํ้าใส นอกจากน้ีการการกรอง ชวยลดปริมาณของจุลินทรียท่ีติดมากับน้ํา 58-99% หลักใน การกรองคือเม่ือนํ้าผานกระบวนการการสรางตะกอน รวมตะกอน และการตกตะกอน ยังมี อนภุ าคเลก็ ๆซึ่งยังไมต กตะกอน จะผานการกรองดวยชั้นทรายกรองในถังกรอง ทรายที่นิยมใชใน ถังกรอง มีขนาด 0.5 ม.ม. ถาเปนการกรองดวยผงถานจะใชขนาด 1 ม.ม. ซึ่งมีประโยชนในการ ดดู ซบั กลน่ิ ภาพที่ 3.5 สารทีใ่ ชกรองนํ้าประปา ทีม่ า : ประปาสวนภมู ิภาค 4.1 การกรองชา (Slow Sand Filter) ถังกรองทรายแบบชา (Slow Sand Filter)อัตราการกรองตา (0.13 - 0.42 m3/hr/m2) ใชพื้นท่ีมาก ขนาดทรายเล็กไมจําเปนตองใชสารเคมีในการสรางตะกอนใชกับแหลงนาที่มีการ ปนเปอนนอยน้าํ ดบิ ที่เขา กรอง ความขนุ ไมเกนิ 10-50 NTU

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 31 ภาพท่ี 3.6 ถังกรองชา (Slow Sand Filter) ที่มา : ประปาสวนภูมภิ าค 4.2 ถังกรองทรายแบบเร็ว (Rapid Sand Filter) ถังกรองทรายแบบเร็ว (Rapid Sand Filter) อัตราการกรองสูง (5 - 7.5 m3/hr/m2) ใช พื้นที่นอย จาํ เปนตองใชสารเคมีในการสรา งตะกอนและการตกตะกอน น้ําที่เขา กรองควรมีความขุนไม เกิน 10 NTU ช้ันกรวดเปนสารรองรับสารกรองมีความหนาประมาณ 15-24 น้ิว ถาใชสารกรอง 2 ชนิด คือถานและทราย จะตองวางถานไวช้ันบนของทราย การใชสาร 2 ชนิด จะชวยยืดอายุการใช เครือ่ งกรองไดน านกวาการใช การลางยอ น (Back Wash) การลา งยอนของถังกรองทรายแบบเร็ว- ปลอยนํ้าไหลเขาดานลางถัง ดว ยอตั รา 500 ลิตร/นาที-ตร.ม.จะทาใหชั้นทรายเกิดการขยายตัว สิ่งสกปรกหลุดออกไหลลนเขาราง รบั นํ้าลา งถัง ใชเ วลาลา ง 10 - 15 นาที ประสิทธภิ าพของถงั กรอง ถังกรองนํ้ามีประสิทธิภาพสูง ในการกําจัดสารแขวนลอย และความสกปรกของนํ้าออกไป เชน ความขุน แบคทีเรียสาหราย ไวรัส และจุลินทรียอื่น ๆ สี เหล็กและแมงกานีสที่ออกซิไดสแลว สาร กมั มันตภาพรงั สี สารเคมีทเี่ ติมในระบบผลตอและสารอนื่ ๆ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 32 ปจจยั ทีม่ ีผลตอ ประสทิ ธิภาพการกรองนา้ํ 1. การเตรยี มนาํ้ กอนเขากรอง 2. ความแปรปรวนของอัตราการกรอง 3. ขนาดของสารกรอง 4. อตั ราการลา งยอ น 5. คุณภาพนาํ้ ดบิ 6. ความหนาของชนั้ กรอง 7. อายุของถงั กรอง ขั้นตอนที่ 5 การฆาเช้อื โรคในน้าํ (Disinfection) การฆาเช้ือโรคในน้ํา สารท่ีนิยมใชในการฆาเช้ือโรคในน้ําคือ คลอรีน เปนสารเคมีที่นิยมใชอยาง แพรหลาย เนื่องจากราคาไมแพง มีฤทธ์ิในการทําลายเช้ือจุลินทรียไดดีและรวดเร็ว ความเขมขนที่ใช ตองไมสูงมากนัก ทง้ั สามารถละลายในน้ําใหอ ยใู นรปู ของคลอรนี ตกคาง (Residual Chlorine) ขอเสีย ของคลอรีนคือการเก็บรักษาไดยาก เพราะระเหยได ณ อุณหภูมิหองเปนแกสที่มีความเปนอันตราย และมกี ล่นิ คลอรนี ท่นี ยิ มใชม ี 3 ชนดิ คือ 1. คลอรีนแกส นิยมใชในระบบประปาขนาดใหญตองนําแกสคลอรีนมาละลายนํ้าในภาชนะ ชนิดปด แกสคลอรีนละลายน้ําไดดีท่ีอุณหภูมิต่ําไมควรสูงเกิน 10 องศาเซลเซียส ใชนํ้า คลอรีนผสมลงไปในนํา้ ประปา 2. คลอรีนผง โดยทั่วไปรูจักในรูปของ (Calcium Hypochlorite) ใชเปนสารฆาเช้ือโรค จะอยู ในรปู ของของแข็ง ซงึ่ ประกอบไปดวย Ca(OCl)2 รอยละ 65 ถึง 70 3. คลอรีนน้ํา (Sodium Hypochlorite) โซเดียมไฮโปคลอไรท ใชเปนสารฆาเชื้อโรค อยูในรูป ของเหลว ปจจุบันโรงงานผูผลิตจะเตรียมท่ีความเขมขน 10 % เพื่อใหสามารถใชงานได ทนั ที ขอ ดีและขอ ดอยของการใชคลอรนี ฆา เช้อื โรคในนํา้ ประปา ขอ ดี 1. ราคาถูกเมอื่ เทียบกบั สารเคมอี ่ืนๆที่ใชใ นการฆา เช้ือโรค 2. หาซ้อื งายมจี าํ หนา ยทวั่ ไป 3. วธิ ีการใชง านมีความสะดวกไมยุงยากซับซอน 4. มใี หเ ลอื กหลากหลายรูปแบบ ขอ ดอ ย 1. มีกล่นิ ฉุน 2. กรณีท่นี ํ้ามปี ริมาณสารอนิ ทรยี ส งู จําทําใหเ ปลืองคลอรนี มาก 3. ในกรณใี ชคลอรนี แบกา ซตองมีระบบความปลอดภัยทดี่ ี

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 33 ประสทิ ธิภาพในการทาํ ลายเช้ือโรคของคลอรนี มอี งคป ระกอบสําคัญคือ 1. ความเปน กรดและดา งของน้ํา 2. ความเขม ขนของคลอรนี 3. ระยะเวลาในการสมั ผัสของคลอรีนทเี่ หมาะสมคือ 30 นาที 4. อุณหภูมิ 5. สารอินทรียท่ีอยูในนํ้า เชน หากคลอรีนไปรวมตัวกับสารอินทรียจะเกิดสารประกอบ ประกอบไตรฮาโลมีเทน (สารกอมะเรง็ ) โดยการเติมคลอรีนในกิจการประปาพบวา ควรจะมีปริมาณคลอรีนตกคาง ประมาณ 0.5 ppm แตไมควรจะนอยกวา 0.2 มิลิกรรมตอลิตร ถามีการระบาดของโรคทางนํ้าเกิดข้ึนควรเพิ่ม ปริมาณคลอรีนตกคาง ใหมีปริมาณ 1.0 มิลิกรรมตอลิตร ในกิจการประปาขนาดใหญ นิยมใช เคร่ืองมือเติมคลอรีนเปนเคร่ืองมืออัตโนมัติที่ควบคุมดวยระบบไฟฟาสวนมากจะใชกับคลอรีนแกส การตรวจหาปรมิ าณของคลอรนี ในนา้ํ ในทางปฏิบัติทําไดโดยการใชเคร่ืองมือตรวจหาคลอรีน ใชน้ํายา Orthotolidine ข้นั ตอนท่ี 6 การกักเก็บน้าํ ประปา (Storage/Clarifier Tank/Elevated Tank) นํา้ ทีผ่ า นการกรองแลว ไดผานการฆาเชื้อโรคแลวนํา เขาเก็บไวในถังพักน้ําใสเพื่อใหมีปริมาณ เพียงพอและพรอมท่ีจะนําเขาสูการปรับปรุงคุณภาพข้ันสุดทายถังเก็บนํ้าใสๆควรไดรับการดูแลไมให เกดิ การปนเปอนทีอ่ าจจะเกิดขึน้ ในถัง การทําลายเชื้อจุลินทรียถึงแมวาในถังนํ้าสายจะมีลักษณะที่ใสสะอาดแตยังมีเช้ือจุลินทรียที่ ปะปนอยูในน้ําอาจจะเปนอันตรายและกอโรคจากนํ้าเปนสื่อไดในระยะเวลาท่ีรวดเร็วดังนั้นกอนที่จะ แจกจา ย น้าํ ใส ไปยังผูใชน้าํ จึงจําเปน ตองมกี ารฆาเช้ือและทําลายเช้ือ จุลินทรีย ที่จะหลงเหลือปะปน อยูในนํ้าโดยตองทําการเติมคลอรีนใหมีคลอรีนตกคางอยูประมาณศูนยจุดสองถึงศูนยจุดหาสวนใน ลานสวน เพื่อใหสามารถใชในการฆาเช้ือโรคท่ีจะเกิดการปนเปอนกับนํ้าประปาในขณะจายน้ําใหแก ผูใชน้าํ ได ระบบการแจกจา ยนา้ํ ประปา (Distribution system) น้าํ ประปาท่ีผลิตข้ึนนั้นจะตองมีระบบแจกจายสูประชาชนผูใชน้ําโดยปกติการจายนํ้าประปา จะมสี ิง่ สําคญั สามประการคอื 1. ระบบสูบนาํ้ (Water Pumps) หมายถงึ เครอ่ื งสูบนาํ้ ที่ สูบสงน้ําสะอาด สูบสงน้ําสะอาด ท่ีไปยังผูใชนํ้าท่ีปลายเสนทอแรงดันของน้ําในเสนทอประปาจะจายไปยังอาคารบานพัก อาศัยและสถานที่ทําการตางๆ โดยจะตองมีแรงดันในเสนทอไมนอยกวาสิบหาปอนดตอ ตารางนิว้ หรอื หน่งึ กิโลกรมั ตอตารางเซนติเมตร งานเซลลทจะตองปองกันการปนเปอนที่ จะเกิดขึน้ ในระบบการสูบนาํ้ และตอ งไดร บั การปอ งกนั ดูแลรักษาอยางสมํา่ เสมอ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 34 2. ระบบเสนทอน้ํา (Water pipelines) ในระบบเสนทอจายนํ้าประกอบดวยทอสงนํ้าชนิด และขนาดตางๆตามความเหมาะสม โดยจัดเปนเสนทอหลัก และเสนทอแยกทอ นาํ้ ประปาที่นิยมใชก ันในปจ จุบนั ทาํ ดว ยวัสดุตา งๆเชน ทอเหล็กเคลือบสังกะสีทอเหล็กลอ ทอเหลก็ ไรสนมิ ทอ ซีเมนตทอ พลาสติกในการตอทอนํ้าประปาจะตองระมัดระวังไมใหเกิด การปนเปอนกับส่ิงโสโครกโดยเฉพาะการตอทอนํ้าประปาเขากับทอน้ําโสโครกหรือวาง เสน ทอไวท่ี ไมเหมาะสม เชน อยใู นน้าํ โสโครก อาจจะทําใหน้ําโสโครกมีการปนเปอนเขา สทู อประปาได 3. หอถังสูง (Elevated Tank) หอถังสูงใชเปนที่กักเก็บนํ้าสํารองเพ่ือรักษาระดับแรงดัน ของน้ําประปาในเสนทอ โดยท่ัวไปหอถังสูงจะบรรจุนํ้าไมนอยกวา 50 ลูกบาศกเมตรข้ึน ไป คาํ ถามทา ยบท 1. จงบอกขอ ดีและขอดอยของการใชค ลอรีนฆาเช้ือโรคในนํา้ ประปา 2. จงบอกหลักการทํางานในกระบวนการกวนชา และกระบวนการกวนเร็ว 3. จงบอกหลกั การการปรับปรุงคณุ ภาพนํา้ กระดาง 4. จงอธบิ ายหลักการฆาเช้อื โรคในนาํ้ 5. จงบอกหลกั การกกั เกบ็ และปรับปรงุ คุณภาพนา้ํ ดิบ เอกสารอางองิ โกมล ศวิ ะบวร, เชาวยุทธ พรพิมลเทพ และสวุ ิทย ชุมนมุ ศิริวัฒน . (2527). การประปา เบื้องตน. กรุงเทพฯ : ธนะการพิมพ. ขตั ตยรตั น สงวนสัตย .(2554). ศักยภาพระบบผลตอนํ้าประปาของกิจการประปากระฉอด ตาํ บลตลาดอําเภอเมืองนครราชสีมา จังหวดั นครราชสีมา. โครงงานมหาบัณฑิตการ บริหารงานกอสรางและสาธารณปู โภค มหาวิทยาลัยเทคโนโลยสี รุ นาร.ี จรียาย้มิ รตั นบวร และสดุ จิต ครุจิต. (2555). การประเมินคุณภาพน้าํ ในระบบประปา ชุมชน. รายงานการวิจัย มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สวนสนุ ันทา.

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 35 บทท่ี 4 สัตวแ ละแมลงนาํ โรค แนวคิดและหลักการ สัตวและแมลงและนําโรคบางประเภท นอกจากจะทําลายสุขภาพอนามัยแลว ยัง สรางความเสียหายตาง ๆ ใหแกคนดวย การกําจัดและควบคุมแมลงและสัตวนําโรคจึงมี ความสําคัญเน่ืองจาก ชวยปองกันสาเหตุท่ีทําใหเกิดโรค เพราะแมลงและสัตวนําโรคบาง ชนิดเปน ตัวพาเชื้อโรคจากคนหรือสัตวที่มีเชื้อโรคมาสูคนได เชน ยุงกนปลองนําเชื้อ โรค มาเลเรียแมลงวันนําโรค อหิวาตหรือทองรวง แมลงสาบนําโรคคอตีบ อีกทั้งชวยปองกัน เหตุรําคาญ การกําจัดและควบคุมแมลงและสัตวนําโรค เปนการชวยลดจํานวนของแมลง และสตั วนําโรคลงไดแ ละสงผลใหเหตรุ ําคาญจากสัตวต า ง ๆเหลานีล้ ดลง 1. ยุง (Mosquitoes) ยุงเปนแมลงดูดเลือดที่กอปญหาใหกับชุมชน ยุงบางชนิดสรางความรําคาญ บางชนิดเปน พาหะนําโรค ยุงทเ่ี ปนพาหะนาํ โรคทสี่ าํ คัญในประเทศไทย ไดแ ก ยงุ ลาย เปนพาหะนําโรคไขเลือดออก และชิคุนกนุ ยา ยงุ กน ปลองเปนพาหะนาํ โรคมาลาเรีย ยงุ เสอื เปน พาหะนาํ โรคเทาชาง เปนตน วงจรชีวติ ของยงุ เรม่ิ จากไข (egg) ฟกเปนลูกนํ้า (larva) ภายใน 2-3 วัน ลูกนํ้ามี 4 ระยะ แต ระยะกินอาหารและลอกคราบเพื่อเพ่ิมขนาดของลําตัว อาหารของลูกน้ํา เชน ตะใครน้ํา แพลงตอน หรืออินทรียสารตางๆ ลูกนํ้าระยะสุดทายจะเขาตัวโหมง (pupa) ของยุงจากหาตัวโมงจะใชเวลา ประมาณ 1-3 วัน จึงเปนตัวเต็มวัยยุงตัวผูจะออกจากตัวโมงกอนยุงตัวเมีย ในชวงแรกยุงตัวโตเต็มวัย จะหาน้ําหวานกินเปนอาหารซึ่งน้ําหวานเปนแหลงพลังงานที่สําคัญในระยะแรก มีเพียงยุงตัวเมีย เทาน้ันที่ดูดเลือดในเวลาตอมา เพ่ือชวยใหไขเจริญเติบโตเปนตัวเต็มวัยมีอายุประมาณหนึ่งถึงสอง เดือน ยุงแบงออกเปน 3 subfamily ใหญ คือ Toxorhynchites (ยุงยักษ) Anophelinae (ยุงกนปลอง) และ Culicinae (ยุงลายและยุงรําคาญ) ยุงยักษไมดูดเลือดเปนอาหาร ยุงกนปลอง ยุง ลําคาญและยุงลายดูดเลือดคนและสัตวเปนอาหาร พฤติกรรมการเขาหาเหยื่อในแตละชนิดจะไม เหมือนกนั ยงุ ลายมกั ชอบหากินในเวลากลางวนั สว นยงุ กนปลองและยงุ ราํ คาญหากินในเวลากลางคืน

36 มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบงตารางท่ี 4.1 โรคทนี่ ําโดยยุงในประเทศไทยโรค พาหะ มาลาเรีย (Malaria) ฟลาเรยี (Filariasis) ฟลาเรยี ไขสมองอักเสบ (Encephalitis) ยงุ กนปลอง (Anopheles) ไขเลอื ดออก (Denguehaemorrhagicfever) ยงุ รําคาญ (Culex) ชิคนุ กนุ ยา (Chikungunya) ฟล าเรยี ยุงลาย (Aedes) ฟล าเรยี ยุงเสือ (Mansonia) 1.1 วงจรชีวิต การพัฒนาการเจริญเติบโตของยุงเปนแบบสมบูรณ (complete metamorphosis) หมายถึง การเจรญิ เตบิ โตทมี่ กี ารเปล่ยี นแปลงรูปรางในแตล ะระยะทแ่ี ตกตางกัน แบงเปน 4 ระยะ คือ ระยะไข (egg) ระยะลูกน้ํา (larva) ระยะตัวโมง (pupa) และระยะตัวเต็มวัย (adult) ระหวางการ เจริญเติบโตในแตละระยะตองมีการลอกคราบ (molting) ซ่ึงถูกควบคุมโดยฮอรโมนท่ีสําคัญ 3 ชนิด คอื brain hormone , ecdysone และ juvenile hormone ภาพท่ี 4.1 ภาพวงจรชีวิตของยุง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 37 1.1.1 ระยะไข (egg) ไขย ุงแตละชนดิ มขี นาดและลักษณะไมเ หมือนกัน ลักษณะการวางไขอาจบอกชนิดของกลุมยุง ไดยุงชอบวางไขบนผิวนํ้าหรือบริเวณช้ืน ๆ เชน บริเวณขอบภาชนะเหนือระดับนํ้าการวางไขของยุง แบง ออกเปน 4 ประเภท • วางไขใบเดย๋ี ว ๆ บนผิวนาํ้ เชน ยงุ กนปลอง • วางไขเ ปนแพ บนผวิ นาํ้ เชน ยงุ รําคาญ • วางไขเดี๋ยว ๆ ตามขอบเหนอื ระดบั นํา้ เชน ยุงลาย • วางไขต ิดกับใบพชื นาํ เปน กลุม เชน ยงุ เสือหรือยงุ ฟล าเรยี ระยะไขใชเ วลา 2-3 วนั จงึ ฟกตัวออกเปน ลกู นาํ้ ในยุงบางชนิด เชน ยุงลาย ไขสามารถอยูใน สภาพแหงไดหลายเดือนหรือเปนป เมื่อมีน้ําฝนหรือมีนํ้าขังในภาชนะก็จะฟกออกเปนลูกนํ้าแหลง วางไขของยงุ แตละชนิดแตกตา งกนั เชน ยงุ ลายชอบวางไขในภาชนะทม่ี นี าํ้ ขงั ที่มนุษยสรางข้ึน สวนยุง ราํ คาญชอบวางไขในแหลงนํ้าสกปรกตาง ๆ น้ําเสียจากทอระบายน้ํา แตหากไมพบสภาพนํ้าที่ชอบยุง กอ็ าจวางไขในสภาพนํ้าท่ีผิดไป นักวิทยาศาสตรหลายคนรายงานวาปจจัยที่ชวยใหยุงตัวเมียวางไขมา จากสารเคมีบางอยางในน้ําสารเคมีอาจเปน diglycerides ซึ่งผลิตโดยลูกนํ้ายุงท่ีอาศัยอยูในแหลงนํ้า นั้น หรือเปนกรดไขมัน (fatty acid) จากแบคทีเรีย หรือเปนสารพวก phenolic compounds จาก พืชน้าํ เปน ตน 1.1.2 ระยะลูกนา้ํ (larva) ลูกน้ํายุงแตละชนิดอาศัยอยูในแหลงนํ้าที่ไมเหมือนกัน เชน ตามภาชนะขังนํ้าตาง ๆ บอน้ํา หนอง ลาํ ธาร โพรงไม หรือกาบใบไมท่ีอุมน้ํา เปนตน ลูกนํ้ายุงสวนใหญลอยตัวข้ึนมาหายใจบนผิวน้ํา โดยมที อสาํ หรับหายใจ เรียกวา siphon ยกเวนยุงกนปลองไมมีทอหายใจแตจะวางตัวขนานกับผิวนํ้า โดยมีขนลกั ษณะคลายใบพัด (palmate hair) ชวยใหลอยตัวและหายใจทางรูหายใจ (spiracle) สวน ยุงเสือจะใชทอหายใจซ่ึงสั้นและปลายแหลมเจาะพวกพืชน้ําและหายใจเอาออกซิเจนผานรากของพืช นําอาหารของลกู นา้ํ ยุง ไดแก ส่ิงมีชวี ิตเล็ก ๆ ใน น้ําน่ันเอง เชน แบคทีเรียยีสตสาหรา ย เปนตน ลูกนํ้า จะลอกคราบ 4 ครัง้ เมอ่ื ลอกคราบครงั้ สุดทายกลายเปน ตัวโมง การเจริญเติบโตในระยะลูกนํ้าใชเวลา ประมาณ 7-10 วัน ขน้ึ อยกู ับชนดิ ของลูกนาํ้ อาหารอณุ หภมู แิ ละความหนาแนน ของลูกนา้ํ ดวย 1.1.3 ระยะตัวโมง (pupa) ตัวโมงรูปรางผิดไปจากลูกน้ําสวนหัวเช้ือมตอกับสวนอก รูปรางลักษณะคลายเครื่องหมาย จุลภาค ( , ) ระยะน้ีไมกินอาหาร เคล่ือนไหวอยางรวดเร็ว มีทอหายใจคูหนึ่งที่สวนหัว เรียก trumpets ระยะนีส้ ัน้ ใชเ วลาเพยี ง 1-3 วนั

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 38 1.1.4 ระยะตัวเต็มวัย (adult) แบงออกเปน 3 สวน สวนหัว (head) มีลักษณะกลมเช้ือมติดกับสวนอก ประกอบดวยตา 1 คู ตาของยุงเปนแบบ ตาประกอบ (compound eyes) มีหนวด (antenna) 1 คูมีระยางคปาก (labial palpi) 1 คูและมี อวัยวะเจาะดูด (proboscis)1อัน มีลักษณะเปนแทงเรียวยาวคลายเข็ม สําหรับแทงดูดอาหาร หนวด ของยุงแบง เปน 15 ปลอ ง สามารถใชจ ําแนกเพศของยงุ ไดแ ตล ะปลองจะมีขนรอบ ๆ ในยุงตัวเมียขนน้ี จะสั้นและไมหนาแนน (sparse) เรียกวา pilose antenna สวนยุงตัวผูขนจะยาวและเปนพุม (bushy) เรียกวา plumose antenna หนวดยุงเปนอวัยวะที่ใชในการรับคล่ืนเสียง ยุงตัวผูจะใชรับ เสียงการกระพือปกของยุงตัวเมีย ความชื้นของอากาศ และรับกลิ่น ระยางคปาก (labial palpi) แบงเปน 5 ปลองอยูติดกับ proboscis ในยุงกนปลองตัวเมีย palpi จะตรงและยาวเทากับ proboscis สวนยุงตัวผูตรงปลาย palpi จะโปงออกคลายกระบองในยุงอื่นท่ีไมใชยุงกนปลอง palpi ของตวั เมยี จะสนั้ ประมาณ ¼ ของ proboscis สวนยุงตัวผู palpi จะยาวแตตรงปลายไมโปงและมีขน มากท่ีสองปลองสุดทา ยซ่งึ จะงอขึ้น สวนอก (thorax) มีปก 1 คู ดานบนของอก ปลองกลาง (mesonotum) ปกคลุมดวยขน หยาบ ๆ และเกล็ด ซึ่งมีสีและลวดลายตาง ๆ กัน เราใชลวดลายน้ีสําหรับแยกชนิดยุงไดดานขางของ อกมีเกล็ดและกลุมขนซ่ึงใชแยกชนิดของยุงไดเชนกัน ดานลางของอกมีขาโดยขาแตละขางจะ ประกอบดวย coxaซึ่งมีขนาดส้ันอยูท่ีโคนสุด ตอไปเปน trochanter คลาย ๆ บานพับ femur, tibia และtarsus ซึ่งมีอยู 5 ปลอง ปลองสุดทายมีหนามงอ ๆ 1 คู เรียกวา claws ขาก็มีเกล็ดสีตาง ๆ ใช แยกชนดิ ของยุงไดปก มลี ักษณะแคบและยาว มลี ายเสน ปก (veins) ซึ่งมีช่ือเฉพาะของแตละเสนปกจะ มีเกล็ดสีตาง ๆ กัน ตรงขอบปกดานหลังจะมีขนเรียงเปนแถวเรียก เกล็ด (fringe)และขนบนปกนี้ก็ใช ในการแยกชนิดของยุงไดเชนกัน นอกจากน้ียังมี halteres1 คู อยูที่อกปลองสุดทาย มีลักษณะเปน ปมุ เล็ก ๆ อยตู อจากปก เมอ่ื ยุงบนิ halteresจะสนั่ อยางเรว็ ใชประโยชนในการทรงตัวของยุง สวนทอง (abdomen) มีลักษณะกลม ยาว ประกอบดวย 10 ปลอง แตจะเห็นชัดเพียง 8 ปลอง ปลองที่ 9-10 จะดัดแปลงเปน อวยั วะสืบพันธุในยงุ ตวั ผจู ะใชส วนนี้แยกชนิดของยุงได 1.2 อาหาร ยุงตวั เตม็ วยั ทั้ง 2 เพศ กินนํ้าหวานจากเกสรดอกไมก็สามารถดํารงชีวิตอยูไดแตสวนใหญยุง ตัวเมียยังตองการโปรตีนจากเลือดมนุษยหรือสัตวเพ่ือชวยในการเจริญของไขและใชสรางพลังงาน ดังน้ัน ยุงตัวเมียเทาน้ันที่กัดคนและสัตวยุงแตละชนิดชอบกินเลือดตางกัน พวกท่ีชอบกินเลือดสัตว เรียก zoophilic สวนพวกท่ีชอบกินเลือดคน เรียก anthropophilic เลือดจะเขาไปชวยในการเจริญ ของไข การเจริญของไขเเบบทตี่ อ งการโปรตีนจากเลือด เรียก anautogeny มียงุ ไมกี่ชนิดท่ีไขจะสุกได โดยใชอ าหารท่ีสะสมไวโ ดยไมตองกินเลือด เรียก autogenyเชนยุง Aedes togoi, Culex molestus เปนตน เวลาท่ียุงออกหากินก็ไมเหมือนกัน เชน ยุงลายชอบหากินในเวลากลางวัน ยุงรําคาญชอบหา กินในเวลากลางคนื ยงุ แมไ กชอบหากินตอนพลบคํ่าและยาํ่ รงุ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 39 1.3 การบนิ มีลักษณะเฉพาะสําหรับยุงแตละชนิด เชน ยุงลายบานจะบินไปไมไกล บินไดประมาณ30- 300 เมตร ยงุ ลายสวนบินไดประมาณ 400-600 เมตร ยุงกน ปลองบนิ ไดประมาณ 0.5 - 2.5 กิโลเมตร สวนยุงรําคาญบินไดตั้งแต 200 เมตรถึงหลายกิโลเมตร ยุงพาหะนําโรคไขสมองอักเสบบินไดไกลถึง 50 กิโลเมตร ยุงตัวเมยี สามารถบนิ ไดไกลกวา ยุงตัวผู 1.4 การผสมพนั ธุ ยุงตวั ผูลอกคราบโผลอ อกจากตวั โมง กอ นยงุ ตวั เมีย และอยูใกล ๆ แหลง เพาะพันธุเมื่อตัวเมีย ออกมา 1-2 วัน จะผสมพันธุกัน หลังจากผสมพันธุแลวยุงตัวเมียจะออกหาแหลงเลือดแตยุงบางชนิด ตองการเลือดกอนการผสมพันธุเชน Anopheles Culicifacies เปนตน นอกจากน้ียุงกนปลองมี พฤติกรรมการบินนี้เปนกลุมเพ่ือการจับคูผสมพันธุเรียก swarming ซึ่งมักเกิดข้ึนตอนพระอาทิตย กําลังตก โดยแสงท่ีออนลงอยางรวดเร็วมีผลในการกระตุนกิจกรรมนี้สวนยุงลายจับคูผสมพันธุโดยไม ตอง swarm ตัวผูจะตอบสนองตอเสียงกระพือปกของยุงตัวเมีย ยุงลายตัวผูสามารถคนหาตัวเมียได ภายในระยะทาง 25 เซนติเมตร 1.5 อายขุ องยุง ยุงตัวผมู ักมีอายุสั้นกวายุงตัวเมีย โดยยุงตัวผูมีอายุประมาณ 1 สัปดาหยกเวนในกรณีที่เลี้ยง ดูดวยอาหารสมบูรณและมีความชื้นเหมาะสมจะมีอายุอยูไดเปนเดือนสวนยุงตัวเมียมีอายุ 1-5 เดือน อายุของยุงขึ้นอยูกับปจจัยหลายอยางเชน ในฤดูรอน ยุงมีกิจกรรมมากทําใหอายุสั้นเฉล่ียประมาณ 2 สปั ดาห ในฤดูหนาวยุงมีกจิ กรรมนอยจึงอายุยืน ในบางพืน้ ทีย่ ุงสามารถจําศีลตลอดฤดูหนาว 1.6 ชนิดของยุงทส่ี ําคัญในทางการแพทยม ี 4 ตระกลู ไดแก • ยุงลาย (Genus Aedes) • ยุงควิ เล็กซห รอื ยงุ รําคาญ (Genus Culex) • ยุงกน ปลอง (Genus Anopheles) • ยุงเสอื หรือยงุ ฟล าเรยี (Genus Mansonia) 1.6.1 ยงุ ลาย 1.6.1.1 ยงุ ลายบา น (Aedes aegypti) ตัวเต็มวัยยุงลายชอบอาศัยอยูในบานและหากินในบาน ดูดเลือดคนี้เปนอาหาร (indoor feeding mosquitoes) ชอบออกหากนิ ในเวลากลางวนั สวนชวงออกหาอาหาร 2 ชวง คือเชา (08 :00 - 11 :00 น) และบาย (14 :00 - 16 :00 น) หลังจากดูดเลือด 2-3 วัน จะวางไขในน้ําขังตาม ภาชนะตาง ๆ ภายในบาน เชน ตามจานรองขาตูแจกันดอกไมตุมนํ้าอางอาบน้ําในหองนํ้า เปนตน หลังจากไดมีการรณรงคใหทําลายแหลงเพาะพันธุในบาน พบวายุงลายบานออกไปวางไขนอกบานมาก ขน้ึ ตามภาชนะทีท่ ้งิ กระจดั กระจาย อาทยิ างรถยนตกระปองนํ้าถงุ พลาสติก ขวดยา เปน ตน

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 40 1.6.1.2 ยุงลายสวน (Aedes albopictus) เปนยุงพาหะนําโรคไขเลือดออกและเปนยุงทองถ่ิน พบในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใตมัก พบตามสวนผลไมสวนยางพารา ชอบหากินในเวลากลางวันเหมือนยุงลายบาน หลังจากกินเลือด 2-3 วัน ตัวเต็มวัยจะวางไขตามแหลงนํ้าขังตาง ๆ นอกบาน ตามสวนผลไมหรืออาจพบลูกนํ้าตามโพรง ตน ไมท ี่มนี ํา้ ขัง หลังจากท่ีมีการรณรงคทําความสะอาดีหรือเก็บกวาดทําลายแหลงเพาะพันธุเชน ตาม สวนผลไมข องยงุ ประเภทน้อี ยา งตอ เนอื่ ง ยุงชนดิ น้เี ขา มาวางไขใ นบานและอยูรวมกบั ยุงลายบาน 1.6.2 ยุงกนปลอง 1.6.2.1 ยุงกนปลองไดรัส (Anopheles dirus) ยุงกนปลองชนิดนี้เปนพาหะนําโรคมาลาเรียท่ีสําคัญในประเทศไทย มักพบในปาลึกยากตอ การควบคุม อาจพบลกู น้ํายุงชนดิ นี้ตามน้าํ ขังของรอยเทา สตั วบ อ พลอย หรือแองนํ้าขังน่ิงของโขดหินที่ มีรมเงา เปนตน ตัวเต็มวัยออกหากินในเวลากลางคืน โดยสามารถบินไดหลายกิโลเมตรเพ่ือหาเหยื่อ หลังจากการดูดเลือดประมาณ 2-3 วัน จะวางไขและไขเจริญเปนลูกนํ้า ตัวโมงและตัวเต็มวัยตอไป พบวายุงกนปลองไดรัสในประเทศไทยไมตานทาน หรือด้ือตอสารเคมีที่ใชในการควบคุม ทั้งน้ีอาจ เนื่องมาจากพฤติกรรมการหลีกหนีสารเคมี (avoidance behavior) ซ่ึงจัดเปนพัฒนาการอยางหนึ่ง เพื่อความอยูรอด 1.6.2.1 ยุงกน ปลอ งแมกคูลาตสั (Anopheles maculatus) เปนยุงกนปลองที่เปนพาหะนําโรคมาลาเรียท่ีสําคัญอีกชนิดหน่ึง พบมากทางภาคใตของ ประเทศไทยตามสวนยางพาราและสวนผลไมตัวออนอาศัยอยูตามลําธารนํ้าไหลริน ๆ มีหญาข้ึนปก คลุมและมีแสงแดดสองรําไร ตัวเต็มวัยบินออกหาอาหารในเวลากลางคืน โดยดูดกินเลือดโฮสตทั้ง มนุษยและสัตวเล้ียง พบวายุงในกลุมน้ีจัดเปนยุงพาหะชนิดซับซอน (complex species)ในประเทศ ไทยมมี ากกวา 5 กลุม ยอย แตละกลุม มคี วามสาํ คัญแตกตา งกันไปในแตละพื้นท่ี 1.6.2.2 ยงุ กนปลองมินิมัส (Anopheles minimus) ยุงกนปลองมินิมัสเปนพาหะนําโรคมาลาเรียซ่ึงพบหลายในประเทศตาง ๆแถบทวีปเอเชีย และเอเชียอาคเนยรวมท้ังประเทศไทยดวย ในประเทศไทยยุงกนปลองมินิมัสไดถูกจัดเปนยุงพาหะ ชนิดซับซอนท่ีนําเช้ือมาลาเรียและแพรกระจายอยูท่ัวไป ยุงชนิดนี้มีแหลงท่ีอยูอาศัยตามบริเวณชาย ปา หรือชายเขาที่มีธารนํ้าไหลริน ๆ และมีนิสัยชอบดูดเลือดคนภายในบาน ตอมาเม่ือสภาพ นิเวศวิทยาเกิดการเปลี่ยนแปลงทําใหแหลงที่อยูอาศัยของยุงชนิดน้ีลดนอยลงไป สภาพแวดลอมตาง ๆ ท่ีเปล่ียนไปอันเนื่องมาจากการทําลายปา รวมทั้งการใชสารเคมีชนิดตาง ๆ ท้ังทางดานการเกษตร และทางดา นสาธารณสุข โดยเฉพาะอยา งย่ิงการใชด ีดีทีควบคุมมาลาเรียเปนเวลานานทําใหยุงชนิดน้ีมี การเปล่ียนแปลงดานพฤติกรรม และมีการตอบสนองตอการเปล่ียนแปลงที่เกิดขึ้นโดยเขามาอยู ใกลชดิ มนุษยมากข้นึ จนกลายเปนยงุ พาหะที่มีความสาํ คญั ในบางพื้นท่ีของประเทศไทย

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 41 1.6.3 ยงุ ยกั ษ (Toxorhynchites sp.) ยุงยักษแพรพันธุตามแหลงนํ้าขังทั่วไป สวนใหญมักเปนน้ํานิ่งท่ีมีเศษวัชพืช หรืออินทรียสาร พบมากตามบริเวณสวนผลไมหรือสวนยางพารา ในประเทศไทยพบยุงยักษไดทั่วไปและมักอาศัยอยู รวมกับยุงลายบานและยุงลายสวน บางครั้งอาจพบอยูรวมกับยุงรําคาญ โดยเฉพาะทางภาคใตและ ภาคตะวันออกของประเทศไทย ยุงยักษทั้งเพศผูและเพศเมียไมดูดเลือดเปนอาหารเนื่องจากปากได พัฒนาไวสําหรับดูดของเหลวหรือน้ําหวานจากเกสรดอกไมพบวาลูกน้ํายุงยักษในธรรมชาติชวยกําจัด ลูกน้ํายุงลายและยุงรําคาญประเทศในแถบอเมริกากลางและใตนายุงยักษไปควบคุมยุงชนิดอ่ืน (McClelland,1990) 1.6.4 ยุงรําคาญ (Culex quinquefasciatus) พบมากในแอฟริกาและเอเชีย วางไขเปนแพในนํ้าเนาเสีย ทอระบายนํ้าท้ิงแหลงเพาะพันธุ อยูใกลบาน ไขแพหนึ่งมีประมาณ 200 - 250 ฟอง ไขฟกภายใน 30 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิ 24-30 องศา เซลเซียส ออกหากินกลางคืน ชอบกินเลือดคน ในประเทศพมา อินเดีย อินโดนีเชีย ยุงชนิดนี้เปน ตัวการสาํ คญั ในการนําโรคฟล าเรยี สําหรบั ประเทศไทยพบวายงุ ชนิดนีส้ ามารถนาํ เชอ้ื ฟลาเรียไดเชนกัน แตย งั มีขอ มูลจาํ กัด นอกจากนอ้ี าจทําใหม ีอาการคัน แพแ ละเกดิ เปน แผลพุพองได 1.6.4.1 ยงุ รําคาญ (Culex tritaeniorhynchus) ยงุ ชนดิ นีเ้ ปน ตัวนําเช้ือไวรัส Japanese encephalitis ซ่ึงทําใหเกิดโรคไขสมองอักเสบพบทั่วไป ในประเทศไทย แตพบมากในจังหวัดภาคเหนือเชน เชียงใหมเชียงราย อุตรดิตถนาน เปนตน แหลง เพาะพันธุอยูตามทองนา แหลงนํ้าท่ีเกิดจากรอยเทาสัตวบอนํ้าเล็ก ๆ ที่มีพืชตามลําธาร ชอบกินเลือดวัว ควาย หมมู ากกวา เลือดคนและนก ออกหากินตง้ั แตพลบค่ําจนตลอดคืน สวนมากหากนิ นอกบา น 1.6.4.2 ยงุ รําคาญ (Culex gelidus) เปนตัวนําเช้ือไวรัสท่ีทําใหเกิดโรคไขสมองอักเสบเชนเดียวกับ Cx. tritaeniorhynchus แหลง เพาะพนั ธุเชน สระนา้ํ บอ หนอง นํ้าลางคอกสัตวคูน้ํา เปนตน ชอบอาศัยอยูในแหลงน้ําที่มีพืชน้ํา หากินกลางคืน ชอบกนิ เลอื ดสัตวรวมทั้งคน 1.6.4.3 ยงุ รําคาญ (Culex fuscocephala) เปนตัวนําเช้ือไวรัส ที่ทําใหเกิดโรคไขสมองอักเสบ พบตามหนองนํ้าบึงนาขาว หากิน กลางคนื ชอบกินเลอื ดสตั วเ ชน วัว ควาย สุกร นก และเลือดคน เปนตน 1.7 การจัดการแหลง เพาะพนั ธุ ขั้นตอนการดําเนินการเร่ิมจากการสํารวจแหลงเพาะพันธุความชุกชุมของลูกนํ้าและตัวยุง เพื่อวางแผนจดั การควบคมุ ภายหลังการปฏิบัติงานตองมีการประเมินผลโดยสํารวจแบบเดียวกับกอน การควบคุมเพือ่ ตรวจสอบวายุงลดลงหรือไม แหลง เพาะพันธุของยงุ แตละชนิดแตกตางกัน ดังนั้น ตอง มีความรูเกี่ยวกับชีววทิ ยาและนเิ วศวิทยาของยุงทีต่ อ งการกาํ จัด ดังนี้ 1.7.1 ยุงลาย

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 42 ยุงลายมีแหลงเพาะพันธุในภาชนะขังนํ้า เชน โองใสนํ้าด่ืม-น้ําใช บอคอนกรีต น้ําในหองนํ้า แจกนั ภาชนะใสตน ไม จดั การตองเปนการหาวิธปี องกนั ไมใ หภาชนะดังกลาวเปนแหลงเพาะพันธุ เชน ปดฝาภาชนะใหม ดิ ชิดดวยผา ตาขาย อลูมิเนียมหรือแผนโลหะ ทําความสะอาดขัดลางโอง ระบายน้ํา ทิ้ง เปลี่ยนนํ้าในแจกันทุก 4-5 วัน ในกรณีของวัสดุที่ไมไดใชประโยชนเชนยางรถยนตเกา โอง-อาง แตกชํารดุ ควรแนะนาํ ใหก าํ จดั ทิ้งไป หรือนาํ ไปดัดแปลงใชใหเกดิ ประโยชนอ่ืน เชน นาํ ไปใสดินปลูกพืช สวนครัว เปน ตน สาํ หรับแหลงเพาะพันธุตามธรรมชาติเชน โพรงไมกาบใบพืช กระบอกไมไผสามารถ ปอ งกนั ไมใ หเ ปนแหลงเพาะพนั ธุโดยใสดิน หรือทราย หรอื อดุ ดวยซีเมนต หรือฉีดพนสารกําจัดลูกนํ้า ซ่ึงอาจใชสารเคมีหรือสารชีวภาพ วิธีการจัดการกับวัสดุท่ีไมใชแลว เชน ขวด กระปอง โองแตก ไห แตก ถังพลาสติกชํารุด ยางรถยนตกะลามะพราว เปลือกทุเรียน ถวยยางพาราเกา ๆ เปนตน มี ดังตอ ไปน้ี - ฝง เผาทําลาย หรือเก็บรวบรวมใสถุง นําไปทํารองเทายาง ถังน้ําถังขยะหรือนําไปหลอม กลบั มาใชใหม - ยางรถยนตเกาอาจนําไปดัดแปลงใชประโยชนเชน ปลูกตนไมทําถังขยะชิงชาเด็กเลน ทํา รองเทา ทาํ เกา อี้ทําแนวก้นั ดินปองกันการถกู คลื่นเซาะทําลาย ใชในการปรับปรุงคุณภาพยาง มะตอย ใชเปน เช้อื เพลิงในระดับอตุ สาหกรรม - กะลามะพราว เปลอื กทเุ รียน นาํ ไปใชเปนเชื้อเพลิง - เรือบดเลก็ หรอื เรอื ชํารดุ ใหคว่ําไวเ ม่อื ไมใชงาน 1.7.2 ยุงรําคาญ เพาะพันธอุ ยใู นทอระบายนํ้า แหลงนํ้าขังท่ีมีมลภาวะสูง การจัดการปรับสภาพแวดลอมเพื่อ ไมใหเปนแหลง เพาะพันธทุ าํ ไดห ลายวิธเี ชน - การเก็บขยะในแหลงนํ้าขังเพ่ือจะไดไมเปนอาหารของลูกน้ําและเปนท่ีหลบซอนของลูกนํ้า จากการสังเกตพบวาแองน้ําขังหรือคลองที่ไมมีขยะลอยอยูในน้ําจะไมคอยมีลูกน้ํายุงรําคาญ เพราะไมมแี หลง เกาะพักของลูกนํ้า ไมม รี ม เงา - การกาํ จัดตนหญาที่อยูร ิมขอบบอ - การทําใหทางระบายน้าํ ไหลไดสะดวก เพราะยุงรําคาญชอบอาศัยในแหลงนํ้าขังหรือน้ําน่ิงซ่ึง มเี ศษขยะลอยอยูบนผิวนาํ้ - การถมหรอื ระบายน้ําในแหลงน้าํ ทไี่ มจ ําเปน ออก เพอื่ ลดแหลง เพาะพนั ธใุ หนอยลง 1.7.3 ยุงกนปลอง เปนพาหะโรคมาลาเรียมีแหลงเพาะพันธุตามลําธาร บอพลอย แองหิน แองดินคลอง ชลประทาน สามารถปรับเปล่ียนสภาพแวดลอมใหไมเหมาะสมโดยการกลบถมปรับปรุงความเร็วของ กระแสนํ้าเพ่ือรบกวนการวางไขของยุงและทําใหไขยุงกระทบกระเทือน จัดการถางวัชพืชริมลําธาร ลดรมเงาและแหลงเกาะพัก นอกจากน้ีการใชสารเคมีบางชนิด เชน สารกลุมไพรีทรอยดสังเคราะห (synthetic pyrethroids) ฉีดพน ตามฝาบานเรอื นดานใน เพอ่ื ไลห รือฆา ขณะทีย่ งุ กนปลองมาเกาะพกั


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook