มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าอนามัยสง่ิ แวดลอ ม นฏั กร สขุ เสริม คณะวิทยาลยั มวยไทยศึกษาและการแพทยแผนไทย มหาวิทยาลยั ราชภัฏหมูบานจอมบงึ 2565
คํานาํ เอกสารประกอบการสอน รายวิชาอนามัยสิ่งแวดลอม จัดอยูในหมวดวิชาเฉพาะ กลุมวิชาชีพ สาธารณสขุ ตามหลกั สูตรสาธารณสุขศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร วิทยาลัยมวยไทยศึกษาและ การแพทยแผนไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏหมูบานจอมบึง เปดสอนสําหรับนักศึกษาปริญญาตรี เนื้อหาวิชา มงุ เนน ใหน ักศึกษามีความรู ความเขา ใจและสามารถอธบิ ายความหมาย ขอบเขต และความสําคัญ แนวคิดงาน อนามยั ส่งิ แวดลอม การจัดการน้าํ สะอาด วธิ กี ารจัดการและการควบคุมมูลฝอย ส่ิงปฏิกูลและนํ้าโสโครกจากท่ี อยูอาศัย ชุมชนและโรงงานอุตสาหกรรม มลพิษสิ่งแวดลอม การควบคุมแมลงและสัตวนําโรค การสุขาภิบาล อาหาร การสุขาภิบาลท่ีพักอาศัย การจัดการสิ่งแวดลอม การประเมินผลกระทบตอสุขภาพ เหตุรําคาญ กฎหมายและมาตรฐานดา นอนามัยสงิ่ แวดลอ ม และฝก ปฏบิ ัตกิ ารงานอนามยั สิ่งแวดลอ ม ไดอ ยา งถูกตอง ผูเขียนหวังวา เอกสารประกอบการสอนฉบับนี้จะเปนประโยชนตอผูเรียน ผูสอน และผูสนใจท่ีจะ ศึกษา เจาหนาที่ที่เกี่ยวของกับงานสาธารณสุขไมมากก็นอย หากมีขอเสนอแนะประการใดผูเขียนขอนอมรับ และขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ดวย นฏั กร สุขเสริม 28 มกราคม 2565 มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง สารบัญ หนา (ก) คํานํา (ข) สารบญั (ค) แผนบรหิ ารการสอนประจําวิชาอนามัยส่ิงแวดลอม 1 บทท่ี 1 แนวคิดดานอนามัยสง่ิ แวดลอม 4 4 ขอบเขตงานอนามัยส่ิงแวดลอม (WHO) 5 ปจจัยเส่ยี งดา นอนามัยสงิ่ แวดลอ ม 7 ผลกระทบตอสขุ ภาพจากความเสย่ี งดา นอนามัยสง่ิ แวดลอม 7 คําถามทายบท 8 เอกสารอางอิง 8 บทที่ 2 การจัดหานา้ํ สะอาด 9 ความสําคญั ของนา้ํ 10 วฏั จกั รนาํ้ (water cycle) 15 ประเภทของแหลง น้าํ ในการอุปโภคบรโิ ภค 16 ปริมาณความตองการน้ํา 21 คุณสมบตั ิของน้ํา 21 คําถามทายบท 22 เอกสารอางอิง 22 บทที่ 3 การผลติ น้ําสะอาดเพือ่ การอปุ โภคบรโิ ภค (การประปา) 23 แหลงนาํ้ ดิบ 25 ประเภทการผลิตน้าํ ประปา 34 ระบบผลติ นํา้ ประปา 34 คาํ ถามทบทวน 35 เอกสารอางองิ 35 บทที่ 4 สตั วแ ละแมลงนําโรค 35 แนวคิดและหลกั การ 41 ยุง 44 การจัดการแหลง เพาะพันธุยงุ 50 แมลงวัน 57 แมลงสาป 59 สัตวฟน แทะ 59 คาํ ถามทายบท เอกสารอา งอิง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบงสารบัญ (ตอ) 60 60 บทที่ 5 มลพษิ ทางนํ้า 61 น้ําเสยี 63 แหลง กาํ เนดิ มลพษิ ทางน้าํ 65 การควบคมุ การเกิดมลพิษทางนํ้า 68 ผลกระทบของน้ําเสียตอสขุ ภาพอนามยั 68 คําถามทายบท 69 เอกสารอางองิ 69 79 บทที่ 6 กระบวนการบําบัดนํ้าเสยี 78 กระบวนการบําบดั น้ําเสยี 78 การเลือกระบบบําบัดนํา้ เสยี 79 คําถามทา ยบท 79 เอกสารอา งองิ 79 81 บทท่ี 7 การบาํ บัดและกําจดั ส่งิ ปฏกิ ูล 82 แนวคดิ และหลกั การ 84 ความจาํ เปน ในการบําบดั และกาํ จัดส่ิงปฏิกลู 84 หลกั การบาํ บัดและกําจดั สงิ่ ปฏิกลู 85 ระบบบําบดั และกําจดั สงิ่ ปฏกิ ลู 85 คําถามทา ยบท 86 เอกสารอางอิง 88 92 บทที่ 8 การสุขาภิบาลอาหาร 92 แนวคดิ และหลกั การ ความสําคญั ของอาหารและการสุขาภิบาลอาหาร หลักเกณฑพน้ื ฐานของงานสขุ าภิบาลอาหาร คําถามทา ยบท เอกสารอางอิง
แผนการบริหารการสอนประจําวชิ า รหัสวชิ า HE 62603 3(2-2-5) รายวชิ า อนามัยสิง่ แวดลอม เวลาเรยี น (Environmental Health) 60 ชั่วโมง/ภาคเรียน มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง คําอธิบายรายวชิ า ความสําคัญของงานอนามยั ส่ิงแวดลอ ม การจัดการน้ําสะอาด วิธีการและการควบคุมมูลฝอย สิ่งปฏิกูล น้ําเสีย และนํ้าโสโครก มลพิษทางอากาศและเสียง สุขาภิบาลอาหาร การควบคุมสัตวและ พาหะนําโรค กฎหมายและมาตรฐานดานอนามัยส่ิงแวดลอม การประเมินผลกระทบทางดาน สิ่งแวดลอ มและสขุ ภาพ (EHIA) และสุขาภิบาลในโรงเรยี น วตั ถุประสงคท่ัวไป 1. เพื่อใหมีความรูความเขาใจงานอนามัยสง่ิ แวดลอม 2. เพ่อื ใหม ีความรูความเขา ใจหลักการและวธิ กี ารในการจดั การน้าํ สะอาดและนํา้ เสีย 3. เพ่อื ใหมคี วามรูความเขาใจในการควบคุมแมลงและสัตวนาํ โรค 4. เพอื่ ใหม ีความรเู กี่ยวกับหลกั การเก่ียวกับงานจดั การขยะมูลฝอยและสงิ่ ปฏกิ ูล เนือ้ หา 4 ช่วั โมง บทท่ี 1 แนวคดิ ดา นอนามัยสิ่งแวดลอม 8 ชัว่ โมง ความหมาย ความสาํ คญั และขอบเขตงานอนามยั สงิ่ แวดลอม สถานการณมลพิษสง่ิ แวดลอม นโยบายและแผนงานดานอนามยั ส่งิ แวดลอ ม การจดั การดานอนามัยสง่ิ แวดลอม บทที่ 2 การจัดหาน้ําสะอาด วฏั จกั รของนํ้า แหลง น้ํา และคณุ ภาพนํา้ บรโิ ภค วธิ กี ารผลติ นาํ้ สะอาดและการปรบั ปรุงคณุ ภาพน้ํา ระบบการผลิตนา้ํ ประปาชุมชน มาตรฐานน้าํ อปุ โภค บรโิ ภค
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบงบทท่ี 3 การผลติ นํ้าสะอาดเพื่อการอุปโภคบริโภค8 ชั่วโมง ประเภทของการผลิตนาํ้ ประปา 12 ช่ัวโมง 8 ชวั่ โมง ระบบผลิตนาํ้ ประปา 8 ช่ัวโมง บทที่ 4 สัตวและแมลงนาํ โรค 8 ชั่วโมง แนวคดิ หลกั การ 4 ชั่วโมง แมลงนําโรค สัตวฟน แทะ บทท่ี 5 มลพิษทางน้าํ ความสาํ คัญ แหลงกาํ เนดิ ลักษณะน้ําเสีย 16 ผลกระทบตอสขุ ภาพและสิง่ แวดลอ ม แนวทางการจัดการมลพิษทางนาํ้ 16บทท่ี 6 กระบวนการบาํ บดั นาํ้ เสยี กระบวนการบาํ บดั น้ําเสยี ข้ันตน 16 กระบวนการบําบดั นํ้าเสียขั้นท่ี 2 16 การเลอื กกระบวนการบําบดั นํ้าเสยี 16บทที่ 7 การบําบัดและกาํ จัดสิ่งปฏิกลู 16 แนวคิดและหลกั การ 16 ความจาํ เปน ในการบําบัดและกําจัดส่งิ ปฏกิ ลู หลกั การบาํ บดั และกําจัดสิ่งปฏิกลู ระบบบาํ บัดและกาํ จดั ส่งิ ปฏิกลู 16บทท่ี 8 การสขุ าภบิ าลอาหาร แนวคดิ และหลกั การ 16 นิยามและความหมาย 16 ความสาํ คัญของอาหารและสุขาภบิ าลอาหาร 16 หลักเกณฑพนื้ ฐานของงานสุขาภบิ าลอาหาร
16วิธสี อนและกิจกรรม 1. ฟงบรรยาย ประกอบไฟล Power point 2. แบงกลุมอภปิ รายตามเนื้อหาท่ีกาํ หนดให 3. อธบิ ายตัวอยาง และฝกปฏบิ ัติจากตัวอยางที่กาํ หนดให 4. แบง กลุม ทําแบบฝกหดั 5. ศกึ ษาจากเอกสารประกอบการสอน 6. ศึกษาเพมิ่ เติมจากตําราในหองสมุด, web site ทเี่ ก่ยี วของ, หองเรียนออนไลนท่ผี สู อนสรางขน้ึ 7. อธบิ ายนิยามและทฤษฎบี ทตา ง ๆ ประกอบไฟล Power point 8. ทาํ แบบฝก หดั ทายบท 9. ทําแบบทดสอบทีก่ าํ หนดให 10. การใชป ญหาเปน พ้ืนฐาน กรณีศึกษา 11. เรียนรูจากสถานการณจ ริง ท้ังการเรยี นรใู นชัน้ เรียน และชุมชน 12.16 16 การนําประเด็นทีผ่ เู รียนสนใจเพื่อการเรยี นรูรวมกนั ของกลุม 16ส่อื การเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอนวิชาสุขศกึ ษาและพฤติกรรมสขุ ภาพ 2. หนงั สือ/เอกสารคน ควาเพิ่มเติมทเ่ี ก่ียวขอ ง 3. แผนภูมริ ปู ภาพ 4. คอมพิวเตอร 5. โปรแกรม16หองเรียนออนไลน 6.16 Web site ที่เก่ียวของ 7. video YouTube 8. วารสารสุขศกึ ษา กระทรวงสาธารณสุข มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง การวดั ผลและประเมินผล 16 รอยละ 70 รอ ยละ 20 1. 16การวดั รอ ยละ 30 1.116 คะแนนระหวางภาคเรียน รอยละ 10 16 1.1.1 การทดสอบยอย รอยละ 10 1.1.2 การสอบกลางภาค รอยละ 30 1.1.3 ทาํ แบบฝก หัดทายบท/รายงาน 1.1.4 ประเมนิ พฤติกรรมดานคณุ ธรรม จริยธรรม วนิ ยั และความรบั ผิดชอบ 1.216 คะแนนสอบปลายภาค
2. 16การประเมินผล 16ระดบั คะแนนมหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง16ความหมายของผลคะแนน16คาระดบั คะแนน16คา รอ ยละ A 16ดีเย่ียม 4.016 1680-100 B+ 16ดมี าก 3.516 1675-79 B ดี16 3.016 1670-74 C+ 16ดพี อใช 2.516 1665-69 C 16พอใช 2.016 1660-64 D+ 16ออน 1.516 1655-59 D 16ออนมาก 1.016 1650-54 E ตก16 0.016 160-49
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 1 บทท่ี 1 แนวคิดดา นอนามัยส่ิงแวดลอม นยิ ามศพั ท 1. ความหมายของสิ่งแวดลอมและอนามยั สงิ่ แวดลอม สิ่งแวดลอม คือ ส่ิงตางๆท่ีอยูรอบๆ มนุษย ท้ังส่ิงท่ีมีชีวิต และส่ิงไมมีชีวิต สามารถ มองเห็นไดดวยตาเปลา และไมสามารถมองเห็นไดดวยตาเปลา รวมไปถถึงท่ีเกิดข้ึนจากธรรมชาติ และสิ่งท่ีมนุษยสรางขึ้น ส่ิงแวดลอมจะประกอบดวยทรัพยากรทางธรรมชาติ และทรัพยากรที่มนุษย สรางขึ้นในชวงเวลาหนึ่งในการตอบสนองตอความตองการของมนุษยนั่นเอง (19มูลนิธิโครงการ สารานกุ รมไทยสาํ หรับเยาวชน19, 2564) องคประกอบของส่งิ แวดลอม อยากไดเ ปน 3 ลกั ษณะ 1. ส่ิงแวดลอมทางดานกายภาพ คือ สามารถสัมผัสไดดวยกาย ไดแก รูป รส กล่ิน เสียง เชน นาํ้ อากาศ ดิน ลม ไฟ เปนตน 2. ส่ิงแวดลอมดานเคมีคนลักษณะของส่ิงแวดลอมดานเคมี เปน ส่ิงแวดลอมท่ีมี องคป ระกอบ เชน โลหะ อโลหะ สารประกอบเคมีตา งๆ เปนตน 3. สิ่งแวดลอมดานชีวภาพ คุณลักษณะของสิ่งแวดลอมท่ีมีองคประกอบของสิ่งมีชีวิต เชน จลุ ินทรยี พ ชื สัตว เปน ตน สง่ิ แวดลอมของมนุษยท่ีอยูรอบ ๆ ตัว ทั้งสิ่งท่ีมีชีวิตและไมมีชีวิต ซึ่งเกิดจาก การกระทําของ มนุษยแ บง ออกเปน 2 ประเภท คอื (วจิ ิตร บุณยะโหตระ,) 1. สิ่งแวดลอ มทางธรรมชาติ 2. สง่ิ แวดลอ มทางวฒั นธรรม หรือสง่ิ แวดลอ มทม่ี นุษยส รา งข้ึน สิ่งแวดลอ มธรรมชาติ จําแนกได 2 ชนิด คือ 1) สิ่งแวดลอมทางกายภาพ ไดแก อากาศ ดิน ลักษณะภูมิประเทศ ลักษณะ ภูมิอากาศ ทัศนียภาพตาง ๆ ภเู ขา หวย หนอง คลอง บึง ทะเลสาบ ทะเล มหาสมทุ รและทรัพยากรธรรมชาติทุก ชนิด 2) สิ่งแวดลอมทางชีวภาพหรือชีวภูมิศาสตร ไดแก พืชพันธุธรรมชาติตาง ๆ สัตวปา ปา ไม ส่งิ มีชีวิตอื่น ๆ ท่ีอยรู อบตวั เราและมวลมนษุ ย 2. มนุษยก ับสงิ่ แวดลอม (Man and Environment) ความสมั พนั ธระหวางมนษุ ยกับสิ่งแวดลอม มนุษยหับส่ิงแวดลอมตางตองพ่ึงพาอาศัยกัน ไมวา จะเปนสงิ่ แวดลอ มทางธรรมชาตหิ รือส่งิ แวดลอมทีม่ นุษยสรางข้ึนจะเปนสิ่งแวดลอมทางกายภาพ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 2 เคมีชีวภาพ หรือสังคมก็ตางมีความสัมพันธที่เก่ียวของกับมนุษย รวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่นๆ นอกจากนี้ยังมี ความจําเปนตอการดําเนินกิจกรรม ของมนุษย ไมวาจะเปนท่ีอยูอาศัยท่ีทํางานยานพาหนะ ใน ขณะเดยี วกนั ผลจากการใชประโยชนจากส่ิงแวดลอ มหรือความสัมพันธที่เก่ียวของกับสิ่งแวดลอมของ มนุษยในการดํารงชีพและการดําเนินกิจกรรมตางๆอาจเปนผลทําใหส่ิงแวดลอมกลายสภาพเปนของ เสยี ของเหลือใช ซง่ึ อาจกลายเปนของเสยี อันตรายตอมนุษย ความสัมพันธของมนุษยและสิ่งแวดลอม มีสองรปู แบบคือ 2.1 ส่ิงแวดลอมทส่ี ง เสริมหรอื ค้ําจนุ ชวี ติ เชนอาหาร 2.2 ส่ิงแวดลอม ส่ิงแวดลอมท่ีเปนอันตรายเชนจุลินทรียสัตวสารเคมีมูลฝอยสิ่งปฏิกูลภัย พิบัติ อุทกภยั วาตภัย เปนตน 3. ระบบนเิ วศ (Ecosystem) ประกอบดวยส่ิงมีชีวิตหรือกลุมของสิ่งมีชีวิตที่ดํารงอยู แตละชนิดมีความตองการท่ีอยู อาศัยแตกตางกันไปตามลักษณะของส่ิงแวดลอมเชน มนุษยตองการท่ีอยูอาศัยหลักบนพ้ืนดิน ปลา ตอ งการทอี่ ยอู าศยั หลักในนําระบบนิเวศจึงมีความแตกตางกันท้ังในเร่ืองของขนาด มีต้ังแตขนาดใหญ จนถงึ ขนาดเล็กท่สี ุด สามารถจําแนกระบบนเิ วศออกเปน กลมุ ใหญดงั น้ี 3.1 ระบบนิเวศธรรมชาติหรือก่ึงธรรมชาติเปนระบบที่จําเปนตองอาศัยดวงอาทิตยหรือ แสงอาทติ ยเพ่อื เปน แหลงพลังงาน ไดแก 3.1.1 ระบบนิเวศแหลงน้ําเปนระบบที่ สิ่งมีชีวิตตางๆอาศัยอยูในแหลงนํ้าอาศัย พืชน้ําเปนตัวนําพลังงานจากแสงอาทิตย แบงไดสองแหลงคือระบบนิเวศทางทะเลไดแกมหาสมุทร ทะเล และระบบนิเวศแหลง นาํ้ จืดไดแ กแ มน า้ํ ลําคลอง หวย นอง สระ อา งเกบ็ นํา้ เปน ตน 3.1.2 ระบบนิเวศบก เปนระบบที่ส่ิงมีชีวิตตางๆอาศัยอยูบนแผนดินที่เปนหลัก ใหญ อาศัยพลังงานจากดวงอาทิตยหรือแสงอาทิตย แบงไดเปนสองแหลงคือระบบนิเวศก่ึงบก ไดแก ปา ชายเลนปา พรเุ ปนตน ระบบนเิ วศบนบกไดแกป าดงดิบภเู ขา เปนตน 3.2 ระบบนิเวศนอุตสาหกรรมเมือง เปนระบบนิเวศนท่ีมนุษยสรางข้ึนมาใหมและอาศัย พลังงานที่สรางขึ้นจากมนุษยเ ชนพลงั งานไฟฟาพลงั งานจากเชอื้ เพลงิ 3.3 ระบบนิเวศทางการเกษตร เปนระบบนิเวศของมนุษยท่ีปรับปรุงขึ้นมาใหมเพ่ือเพิ่ม พลงั งานทเ่ี กิดขน้ึ ตามธรรมชาตใิ หเพยี งพอกับสงิ่ มชี วี ิตในระบบ องคประกอบของระบบนิเวศ แบง ไดเ ปน 2 กลุม 1. องคป ระกอบไมม ชี วี ิต แบงออกเปน 3 ประเภท 1.1 อนินทรยี สาร ไดแ ก แรธาตุ ดนิ หิน 1.2 อนิ ทรียสาร ไดแก ซากพชื ซากสัตว สารอาหาร 1.3 สภาพแวดลอ มทางกายภาพ ไดแก แสงสวา ง อณุ หภูมิ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 3 2. สวนประกอบทีม่ ีชีวติ (biotic component) ไดแก พืช สัตว รวมท้ังส่ิงมีชีวิตขนาดเล็ก และสิ่งมีชีวิต เซลลเดียว ซึ่งชวยทําให ระบบนเิ วศทาํ งานไดอ ยา งเปน ปกติ โดยแบงออกตามหนาทข่ี องสงิ่ มีชีวิต ไดเ ปน 3 ประเภท คือ 2.1 ผูผลิต (producer) คือ สิ่งมีชีวิตท่ีสามารถสรางอาหารเองไดโดยการสังเคราะห ดวยแสง ไดแก พืชสีเขียว แพลงกตอนพืช และแบคทีเรียบางชนิด ผูผลิตมีความสําคัญมากเพราะ เปนจุดเร่ิมตนทีเ่ ช่อื มตอระหวา งส่งิ ไมมชี ีวิตและส่ิงทม่ี ีชีวติ อ่นื ๆในระบบนเิ วศ 2.2 ผูบริโภค (consumer) คือ ส่ิงมีชีวิตท่ีไมสามารถสรางอาหารข้ึนเองได แตไดรับ ธาตอุ าหารจากการกินส่งิ มชี วี ติ อ่ืนอีกทอดหนึ่ง พลังงานและแรธาตุจากอาหารที่ส่ิงมีชีวิตกิน จะถูก ถา ยทอดสูผูบรโิ ภค ซ่ึงแบง ตามลาํ ดับของการกินอาหารได ดังนี้ 2.2.1 ผูบริโภคปฐมภูมิ (primary consumers) เปนสิ่งมีชีวิตที่กินพืชเปน อาหาร (herbivore) โดยตรง เชน ปะการัง เมนทะเล กวาง กระตาย วัว เปนตน 2.2.2 ผูบริโภคทุติยภูม (secondary consumers) เปนสิ่งมีชีวิตพวกสัตวกิน เนื้อ (carnivore) หมายถึง สัตว ท่ีกินสัตวกินพืช หรือผูบริโภคปฐมภูมิ เปนอาหาร เชน ปลาไหลมอเรย ปลาสาก นก งู หมาปา เปนตน 2.2.3 ผบู รโิ ภคตติยภมู ิ (tertiary consumers) เปนส่ิงมีชีวิตที่กินท้ังสัตวกินพืช และสัตวกินสัตวหรือพวกที่กินทั้งพืชและสัตวเปนอาหาร (omnivore) เชน ปลาฉลาม เตา เสอื คน เปนตน 2.3 ผูยอยสลาย (decomposer) คือ สิ่งมีชีวิตท่ีไมสามารถสรางอาหารเองได แต อาศัยอาหารจากส่ิงมีชีวิตชนิดอ่ืน โดยการสรางน้ํายอย ออกมายอยสลายแรธาตุตางๆใน สวนประกอบของซากสง่ิ มชี วี ติ ใหเปนสารโมเลกุลเล็กๆ แลวจึงดูดซึมอาหารผานเย่ือหุมเซลลเขาไปใช เชน แบคทเี รยี เห็ด รา เปนตน อนามัย ตามความหมายขององคการอนามัยโลก หมายถึง “สภาวะที่สมบูรณทั้งรางกาย (Physical Health) ทางจิตใจ (Mental Health) และสามารถดํารงชีพอยูในสังคมไดดวยดี (Social well – being) ซึ่งไมเพียงแตปราศจากโรคหรือไมแข็งแรงทุพพลภาพเทานั้น” (Health is defined as a state complete physical, mental and social well-being and merely the absence of disease infirmity) อนามัยส่ิงแวดลอม หมายถึง ความสัมพันธระหวางมนุษยและสิ่งแวดลอมเปนการสงเสริม ความเปนอยูที่ดีอนามัยส่ิงแวดลอมเปนสาขาของการสาธารณสุขท่ีมุงเนนไปที่ความสัมพันธระหวาง ผูคนและสิ่งแวดลอมสงเสริมสุขภาพของมนุษยและความเปนอยูท่ีดีและสงเสริมใหชุมชนมีสุขภาพดี และปลอดภัย เปนพ้ืนฐานองคประกอบของระบบสาธารณสุขเพ่ือท่ีครอบคลุมดาน สุขาภิบาล สงิ่ แวดลอ ม มุง มัน่ ทจ่ี ะสง เสรมิ นโยบาย
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 4 4. ขอบเขตงานอนามยั ส่ิงแวดลอม (WHO) ตามองคการอนามัยโลก ไดก ําหนดขอบเขตของงานอนามยั ส่ิงแวดลอมไวซึง่ สรปุ ไดดงั น้ี 1. การจัดหานํ้าเพ่ืออปุ โภค บริโภค 2. การบําบัดนํ้าเสยี และควบคุมมลพษิ ทางนํ้า 3. การจดั การขยะมลู ฝอยและสิง่ ปฏกิ ลู 4. การควบคุมสตั วพ าหะนําโรค 5. การปอ งกนั และควบคุมมลพิษทางดิน 6. การสขุ าภิบาลอาหาร 7. การควบคมุ มลพิษทางอากาศ 8. การปอ งกันอันตรายจากกัมมนั ตภาพรังสี 9. อาชวี อนามัยและความปลอดภัย 10. การควบคมุ มลพิษทางเสยี ง 11. การจดั การสิ่งแวดลอมของที่พักอาศัยและส่ิงแวดลอมใกลเ คียง 12. การผังเมอื ง 13. การจัดการส่งิ แวดลอมของการคมนาคมทางบก ทางนํ้า และทางอากาศ 14. การปอ งกนั อบุ ตั ิเหตุตาง ๆ 15. การจดั การสิง่ แวดลอมของสถานที่พักผอนหยอนใจและสถานท่ีทองเท่ียว 16. การจดั การสุขาภิบาลเกี่ยวกับโรคระบาด เหตกุ ารณฉกุ เฉิน อุบตั ภิ ัย และการอพยพยายถน่ิ 17. มาตรการปอ งกนั เพื่อใหสงิ่ แวดลอมโดยทวั่ ไปไมทําใหเกิดโรคหรือเกิดอนั ตรายตอ สุขภาพ 5. ปจจยั เส่ียงดานอนามัยสิ่งแวดลอม (กรมอนามัย, 2560) ปจจัยเส่ียงหมายถึง สาเหตุ ตนเหตุ ของการไดรับสัมผัสของบุคคลท่ีเพ่ิมโอกาสของ ความเสียหาย ทําใหเกิดการเจ็บปวย บาดเจ็บ และสงผลกระทบตอสุขภาพของมนุษย โดยสงผล กระทบตอสุขภาพ หรือความเสียหายตอชีวิตและทรัพยสิน อาจยังไมเกิดขึ้นในปจจุบันแตมีโอกาส เกดิ ข้นึ ในอนาคตเมือ่ สัมผสั มาเปน ระยะเวลาหนึง่ ปจจัยเส่ียงดานอนามัยส่ิงแวดลอม หมายถึง หมายถึงสถานการณหรือองคประกอบ ดานส่ิงแวดลอมสงผลใหเกิดโอกาสความเสียหาย เส่ือมโทรม สงกระทบทําใหเกิดความเสียหาย และ สงผลกระทบตอสุขภาพอนามัย เชน อากาศเปนพิษ หมอกควัน ฝุนละออง น้ําเนาเสีย การปนเปอน ของเชื้อโรคในอาหารและน้าํ ปญ หาจากขยะ เปน ตน ซ่งึ ปจ จยั เสี่ยงดา นอนามัยสิ่งแวดลอมมีดงั น้ี การบริโภคนํ้าที่ไมสะอาด ประชากรโลกปวยจากการดื่มนํ้าปนเปอนอุจจาระ ปละ ประมาณ 1,800 ลานคน เชน โรคอุจจาระรวง บิด อหิวาตกโรค ไทฟอยด เปนตน และเสียชีวิตปละ ประมาณ 5 แสนคน เฉลีย่ นาทีละ 1 คน (ขอมูลจากสํานกั งานกองทุนสนับสนนุ การสรางเสรมิ สขุ ภาพ)
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 5 ควันไฟจากการประกอบอาหารดวยฟน หรือน้ํามันเช้ือเพลิงภายในบาน เปนสาเหตุ ของการเสียชวี ติ ของประชากรโลกดวยโรคระบบทางเดนิ หายใจถึง 1.6 ลานคน โรคไขเลือดออก ไขมาลาเรีย เกดิ จากยุงเปนพาหะซึ่งมีสาเหตุมาจากแหลงน้ําที่ขังรอบ บริเวณบาน การจัดบานท่ีไมสะอาดรวมท้ังการจัดเก็บกักนํ้าใชและระบบกําจัดน้ําท้ิงจากชุมชนที่ไมดี จงึ เกดิ เปน แหลงเพาะพันธุยุง มลพิษทางอากาศจากยานพาหนะ ไมวาจะเปนเครื่องยนตเบนซิน หรือดีเซล โดย รถยนตเปนแหลงกอปญหาอากาศเสียมากที่สุด สารพิษสําคัญไดแก กาซคารบอนมอนอกไซด ไฮโดรคารบ อน ออกไซดของไนโตรเจน เปน ตน การไดรับสัมผัสสารพิษเฉียบพลันโดยไมต้ังใจ เกิดจากการจัดเก็บสารเคมีโดยเฉพาะ การเก็บยาฆาแมลงไวภ ายในบา นโดยไมจัดเก็บไวใหหางจากมือเด็กเล็กอาจเกิดอันตรายจากการนําไป รับประทาน หรือเลนโดยไมต้ังใจ รวมท้ังการใชสารเคัมอยางไมถูกตองไมมีการปองกันอันตราย ในขณะใชงานทั้งในบา นและในท่ีทาํ งาน จึงเปนสาเหตุของการเสียชีวิตประมาณ 355,000 ลานคนตอ ป การเปล่ียนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ หรือภาวะโลกรอนท่ีเกิดจากการทําลาย สิ่งแวดลอมและการใชพลังงานอยางส้ินเปลืองของประชากรโลก ทําใหเกิดการเปล่ียนแปลงทางดาน อุณหภูมิที่สูงข้ึนสภาพอากาศท่ีเปลี่ยนแปลงทําใหเกิดโรคชนิดใหม เช้ือโรคบางชนิดมีความทนตอ สภาพแวดลอมมากขึ้น เกิดโรคระบาดรูปแบบใหมท่ียากตอการรักษา รวมถถึงสงผลกระทบตอภาค การเกษตรในวิกฤตดา นอาหารของประชากรโลก 6. ผลกระทบตอสุขภาพจากความเสยี่ งดานอนามัยสงิ่ แวดลอม 6.1 ผลกระทบตอ ระบบทางเดินหายใจ เม่ือไดรับปจ จยั เส่ียงดานอนามัยสิ่งแวดลอม เชน ไอระเหยสารเคมีฝุนละออง ควนั ไฟ และยาฆา แมลง เปน ตน 6.2 ผลกระทบตอระบบไหลเวียนเลือดในรางกาย เชน สารตะกั่วท่ปี นเปอ นจากสีเปนตน 6.3 ผลกระทบตอระบบประสาทของรางกาย เชน ยาฆาแมลงลงหรือยากําจัดวัชพืชใน งานเกษตรกรรม เปนตน 6.4 ผลกระทบตอระบบอวัยวะสบื พนั ธุ 6.5 ผลกระทบตอผิวหนัง เกิดจากการไดรับปจจัยเสี่ยงจากสารเคมีหรือฝุนละออง รวมทั้งขนสัตวหรือเกสรดอกไมโดยเกิดลักษณะอาการตอผิวหนัง เชน มีอาการผดผ่ืน แสบคัน ท่ี ผวิ หนงั เปนตน ผลกระทบดังกลาวอาจรุนแรงข้ึนหากประชาชนมีสุขภาพออนแอหรือเปนกลุมออนไหว ไดแก เด็ก หญิงต้ังครรภ ผูสูงอายุผูปวยโรคเรื้อรังหรือผูท่ีมีโรคประจําตัว เชน โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง เปนตน ผูปวยดวยโรคระบบภูมิคุมกันบกพรองผูปวยโรคภูมิแพ ผูขาดสสาร หรืออดอยาก
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 6 จะเห็นไดวา ปจจัยเส่ียงดานอนามัยส่ิงแวดลอมเกิดขึ้น สงผลเสียตอสุขภาพของ ประชาชนอยางกวางขวาง การจัดการความเสี่ยงจึงเปนสิ่งสําคัญท่ีทุกภาคสวนตองรวมมือกันเพ่ือลด ผลกระทบท่ีเกิดข้ึนตอสุขภาพ และเปนการขจัดปญหาสิ่งแวดลอมใหหมดไป โดยเฉพาะอยางยิ่งการ เขา ไปใหก ารชว ยเหลือคุมครอง และปอ งกนั ความเสยี่ งดา นอนามัยส่ิงแวดลอมใหกับกลุมประชากรท่ีมี ลกั ษณะเปน กลุมออ นไหวตอสภาพความเสยี่ งดานสขุ ภาพ 7. การกําหนดนโยบายอนามัยส่ิงแวดลอ ม ผบู รหิ ารระดบั สงู เปน ผูก าํ หนดนโยบายอนามยั สง่ิ แวดลอ ม หรอื ใหทิศทางแลวมอบหมาย ใหค ณะจัดทําฯ รางนโยบายและนํามาเสนอใหพิจารณานโยบายอนามัยส่ิงแวดลอม เนื้อหาที่จะตอง นาํ มาบรรจุลงในนโยบายอนามยั ส่ิงแวดลอ มเปนเรื่องทจ่ี ะตองพิจารณาอยางรอบคอบ เนอ่ื งจากแตล ะ องคกรมีจดุ มุงหมายที่แตกตา งกัน มีปรัชญาในการดําเนินงานแตกตา งกนั ซง่ึ องคกรจะตองคาดหวงั วา นโยบายจะตองปฏบิ ตั ิได มีความเฉพาะเจาะจง และจะตองเปน ท่ีประทบั ใจของลูกคา หรอื ผูพบเห็น โดยเฉพาะอยา งยิ่ง ชมุ ชนหรอื คแู ขงทางธรุ กิจ นโยบายสง่ิ แวดลอ มควรมีพ้นื ฐานมาจากการทบทวน สถานะเบื้องตน ทางดา นส่ิงแวดลอม นโยบายจะไมม ีความหมายเลยถาไมม ีความมงุ มน่ั ในการ ดาํ เนนิ งานท่จี ะปรบั ปรุงและพัฒนาสง่ิ แวดลอม นโยบายอนามยั สง่ิ แวดลอ มจะตองครอบคลุมประเดน็ ดงั ตอไปน้ี (1) เหมาะสมกบั ลักษณะ ขนาด และผลกระทบดา นสง่ิ แวดลอ มอันเกิดจากกจิ กรรม สนิ คา หรือบรกิ ารขององคการ (2) แสดงความมุงมั่นท่ีจะปรบั ปรุงอยางตอเน่ืองและปอ งกันมลภาวะดว ยการใชกระบวนการ กรรมวธิ ี หลกี เลยี่ ง ลด หรอื ควบคมุ มลพิษ ซ่งึ อาจรวมถึงการหมนุ เวยี นกลับมาใชใ หม การใช ประโยชนจ ากของเสยี การบาํ บัด การเปลีย่ นแปลงกระบวนการผลติ กรรมวิธีควบคุม การใช ทรพั ยากรอยางมีประสิทธภิ าพ และการใชวสั ดุทดแทน (3) แสดงถึงความมุงมัน่ ตอการปฏบิ ตั ติ ามกฎหมาย และขอ บังคับ รวมถึงขอกาํ หนดตางๆ ที่ องคกรเปน สมาชกิ อยู (4) เปนแนวทางทใ่ี ชใ นการกาํ หนดและทบทวน วัตถุประสงคและเปา หมายดา นสิ่งแวดลอม (5) มกี ารบันทึกไว นาํ ไปปฏิบัตแิ ละการรกั ษา เพ่ือสื่อสารตอ พนักงานทุกคน เชน รวมไวใน คูม อื พนักงานหรอื แยกสวนไวตา งหาก (6) เปดเผยตอ สาธารณชน เชน ปดประกาศไวในหองโถง และมีแจกถามผี ขู อดูนโยบายอนามยั ส่ิงแวดลอ มตองจดั ทําเปนลายลกั ษณอักษร มกี ารลงนามโดยผบู รหิ ารระดับสงู สุด รวมทง้ั ลงวนั เดอื น ป ทม่ี ผี ลบังคบั ใชด วย นโยบายอนามยั สิ่งแวดลอมควรเปนแนวทางหรอื หลักการสนั้ ๆ และกวา งท่ีพิมพเผยแพร นอกจากน้ียงั มแี นวทางของกลมุ อตุ สาหกรรมแตละกลุมซ่ึงรวมไปถึงแนวทางการดําเนนิ งานดาน สง่ิ แวดลอ มดว ย เชน มาตรการของกลุม อตุ สาหกรรมรถยนต กลมุ อตุ สาหกรรมอีเลคโทรนคิ เปนตน มาตรการของกลุม อุตสาหกรรมเหลา นก้ี ส็ ามารถนาํ มากาํ หนดเปนนโยบายขององคก รได เชน การ ประหยัดพลงั งาน การประหยัดนํ้า การปองกันการเกิดมลพิษ การปรบั ปรงุ อยา งตอเนอ่ื ง หรือการลด ปรมิ าณของเสียอันตราย เปนตน นโยบายจึงเปน สวนสาํ คญั ในการใชส าํ หรับการจดั ทาํ วตั ถุประสงค และเปาหมาย สวนรายละเอยี ดและเปาหมายน้ันจะเขยี นไวในวตั ถุประสงคและเปา หมายในข้นั ตอน
7 ของการวางแผน เพ่ือใหเปน ไปตามนโยบายอีกทหี นึง่ ในกรณีท่ีมีหนวยงานในองคก รใหญ ซงึ่ มี นโยบายทางดา นสิ่งแวดลอ มอยูแลว นโยบายของหนว ยงานควรสอดคลองกับนโยบายขององคกรใหญ โดยอาจมีขอจาํ กดั เฉพาะลงไปอกี ได เอกสารนโยบายอนามัยสงิ่ แวดลอมในระบบการจัดการสง่ิ แวดลอ มขององคก รเปนเอกสาร ระดบั แรก ในระบบฯ ซ่ึงแสดงถึงความมุงมน่ั ขององคก ร ปจจบุ ันหลาย ๆ องคกรมกั มีการจดั ทํา วิสยั ทศั นขององคก รมากกวานโยบาย ซง่ึ ในวิสัยทศั นจะรวมถึงแนวทางในการกําหนดวตั ถุประสงค ทางดา นส่ิงแวดลอมไวด ว ย โดยมากเอกสารนโยบายอนามยั ส่งิ แวดลอ มจะถูกระบไุ วในคูมือ สิง่ แวดลอ ม ซง่ึ เปนเอกสารระดับสูงสุดขององคก ร อยางไรก็ตามการเผยแพรนโยบายซง่ึ โดยมาก องคกรตดิ ประกาศนโยบายไวตามที่ตาง ๆ ในองคก รดวย ซึ่งเอกสารนโยบายอนามัยส่งิ แวดลอ ม เหลา นน้ั ก็ตองควบคุม (ตามแนวทางการควบคุมเอกสาร) ตามจุดทน่ี ําไปติดดวย คาํ ถามทายบท 1. จงอธิบายความหมายของอนามัยสิ่งแวดลอม 2. จงบอกขอบเขตงานอนามัยสิง่ แวดลอ มมา 5 งาน 3. องคประกอบของสิง่ แวดลอมมีอะไรบาง จงอธบิ าย 4. ปจ จัยเสีย่ งดานอนามัยส่งิ แวดลอ มมอี ะไรบาง 5. จงบอกผลกระทบตอสุขภาพของงานอนามัยส่งิ แวดลอมมา 5 ขอ เอกสารอางอิง วรเดช จันทรศร. (2551). ทฤษฎีการนาํ นโยบายสาธารณะไปปฏิบัติ(พมิ พค รั้งที่ 3). กรุงเทพฯ : พรกิ หวานกราฟค. สาํ นักอนามัยสิ่งแวดลอม กรมอนามัย. (2560). คมู ือการจดั การอนามัยส่ิงแวดลอมในชุมชนสําหรับ ประชาชน. กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย. กรมอนามัย. (2554). คมู ือการพฒั นาคุณภาพระบบบรกิ ารอนามยั ส่ิงแวดลอมสาํ หรบั ทองถิน่ . กรุงเทพฯ: องคก ารสงเคราะหท หารผา นศึก. มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 8 บทที่ 2 การจดั หานาํ้ สะอาด 1. ความสําคญั ของน้ํา น้าํ เปน ทรัพยากรที่มีความสําคัญตอชีวิตมนุษย พืช และสัตวมากท่ีสุด และเปนองคประกอบ สําคัญในเซลลของสิ่งมีชีวิต เปนตัวกลางของกระบวนการตางๆในสิ่งมีชีวิต อีกทั้งยังเปนแหลงที่อยู อาศยั ของสิง่ มชี วี ติ เน่ืองจากโลกของเราประกอบดว ยนํ้า 3 ใน 4 สว น ของพ้ืนผิวโลก ภาพที่ 2-1 ปริมาณนา้ํ บนโลก (ทมี่ า : กรมทรัพยากรนา้ํ บาดาล, 2564) นอกจากนีน้ าํ้ ยงั มสี ําคัญดงั นี้ 1. ใชส าํ หรับการบริโภคและอุปโภค เพอื่ ดื่มกิน ประกอบอาหาร ชําระรา งกาย ทําความสะอาด ฯลฯ 2. ใชสําหรับการเกษตร ได แก การเพาะปลูก เล้ียงสัตว แหลงน้ําเปนท่ีอยูอาศัยของปลาและสัตวนํ้า อ่ืน ๆ ซง่ึ คนเราใชเ ปน อาหาร 3. ดานอุตสาหกรรม ตอ งใชน ํ้าในกระบวนการผลิต กระบวนการหลอเย็น ลางของเสีย หลอเคร่ืองจักร และระบายความรอน ฯลฯ 4. การทาํ นาเกลอื โดยการระเหยนา้ํ เค็มจากทะเล หรอื ระเหยนาํ้ ทใ่ี ชละลายเกลือสินเธาว 5. น้าํ เปน แหลงพลังงานในการผลิตกระแสไฟฟา 6. เปนเสนทางคมนาคมท่ีสําคัญ แมน้ํา ลําคลอง ทะเล มหาสมุทร เปนเสนทางคมนาคมท่ีสําคัญมา ตั้งแตอดีตจนถึงปจจุบัน 7. เปนสถานทีท่ อ งเทย่ี ว ทศั นยี ภาพของริมฝงทะเล และแหลงนํ้าที่ใสสะอาดเปนสถานท่ีทองเที่ยวของ มนุษย
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 9 2. วัฏจักรนาํ้ (water cycle) วัฏจักรนํ้า หรือ อุทกวิทยา หมายถึง การหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของนํ้าซ่ึงเปนปรากฎการณ ที่เกิดขึน้ เองตามธรรมชาติ โดยเริ่มตนจากน้ําในแหลงน้ําตาง ๆ เชน ทะเล มหาสมุทร แมนํ้า ลําคลอง หนอง บึง ทะเลสาบ จากการคายนํ้าของพืช จากการขับถายของเสียของส่ิงมีชีวิต และจากกิจกรรม ตาง ๆ ท่ีใชในการดํารงชีวิตของมนุษย ระเหยขึ้นไปในบรรยากาศ กระทบความเย็นควบแนนเปน ละอองน้ําเลก็ ๆ เปนกอนเมฆ ตกลงมาเปนฝนหรือลูกเห็บสูพ้ืนดินไหลลงสูแหลงนํ้าตาง ๆ หมุนเวียน อยเู ชนน้ีเรื่อยไป การเกิดวัฏจกั รของนํ้าตามธรรมชาติแบงออกเปน 4 ขนั้ ตอน 1. การระเหย (evaporation) หมายถงึ กระบวนการที่นํ้าเปลี่ยนสถานะจากของเหลวไปเปน กาซจากในแหลงน้ํา เชน แมน้ํา ทะเล และมหาสมทุ ร ฯลฯ เม่ือไดรับความรอนจากแสงอาทิตย ซึ่งนํ้า ผิวดินใหความชนื้ ถงึ 90% และสวนทเี่ หลอื จาก 10% พบจากคายนา้ํ จากพืช 2. การควบแนน (condensation) หมายถึง การที่ไอน้ําในบรรยากาศเปล่ียนสถานะเปน ของเหลวในรปู ของเมฆเม่ือไดรับความเยน็ 3. การเกิดฝนตก (precipitation) หมายถึง ปรากฏการณของการเกิดการรวมตัวของนํ้าใน อากาศ เกิดเปนฝนและหิมะตกสูพ้ืนโลก ซ่ึงสวนใหญตกลงสูพื้นท่ีมหาสมุทร นอกจากน้ันตกลงมาใน รูปของฝนและหมิ ะและบางสว นก็ซมึ ลงดินและไหลลงสูแหลงน้าํ ตา งๆ 4. การรวมตัวของนํ้า (collection) หมายถึง การท่ีนํ้าไหลรวมกันสูแหลงนํ้า เชน แมนํ้า ทะเล หรอื มหาสมุทร ท่เี ปน แหลง อุปโภคและบรโิ ภคของมนษุ ยแ ละส่ิงมชี วี ติ อ่นื ๆ ตอ ไป 1บริเวณทสี่ ูงหรอื ลาดชนั มาก การไหลของน้าํ ใตดินจะเรว็ กวา ในท่รี าบหรือลาดชันนอย และถา หากระดับน้ําใตดินตัดกับสภาพภูมิประเทศท่ีมีความลาดชัน เชน บริเวณไหลเขา จะเกิดนํ้าซับ (spring) ภาพท่ี 2-2 วัฏจกั รของนํ้า (ท่มี า : https://gpm.nasa.gov/education/water-cycle, 2563)
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 10 3. ประเภทของแหลงน้ําในการอุปโภคบริโภค แหลงน้าํ ธรรมชาติแบง เปน 3 ประเภท - นา้ํ ในบรรยากาศ (atmospheric water) - นาํ้ ผิวดิน หรอื นาํ้ ทา (surface water) - นาํ้ ใตด ิน หรือนาํ้ บาดาล (ground water) 3.1 นํ้าในบรรยากาศ (Atmospheric Water) แหลง นาํ้ ในบรรยากาศ ไดแ ก สถานะไอนาํ้ เชน เมฆ หมอก สถานะของเหลว ไดแ ก ฝน และ นาํ้ คา ง และสถานะของแข็ง ไดแ ก หมิ ะ และลกู เหบ็ เปน ตน 3.2 น้าํ ผิวดนิ (surface water) นา้ํ ผิวดนิ หมายถงึ นาํ้ ในบรรยากาศเม่ือตกลงมาสูพ้นื ผิวโลกจะถูกเก็บกกั หรือเคลื่อนตัวเปน นาํ้ ในแมน า้ํ ลําธาร หนอง บงึ สระ และทะเลสาบ ซ่งึ เปน แหลงนา้ํ ผิวดนิ นา้ํ ทีอ่ ยูบ นผวิ ของเปลอื กโลก สามารถแบงตามประโยชนใชส อยไดเ ปน น้ําเคม็ และนํ้าจืด น้าํ เคม็ คือ นํ้าทีม่ เี กลอื ละลายอยเู ปน จํานวนมาก โดยท่ัวไปมักจะมรี สเคม็ เพราะมเี กลือ เฮไลตล ะลายอยู แตบ างครัง้ ก็มเี กลอื อน่ื ๆ ละลายอยู ประโยชนข องนา้ํ เค็ม คือ เปน ท่ีอยูอาศยั และ เพาะเลีย้ งสตั วน ํา้ พชื น้ํา เปนแหลงเกลือแรและสนิ แร นา้ํ จดื คอื นา้ํ ท่ีไมมีเกลอื ละลายอยู หรอื มนี อย เปนน้าํ ที่มคี วามสาํ คญั ในการดาํ รงชีวิดของพชื และสตั ว ตลอดจนใชในการอุปโภค บริโภคของมนุษย 3.3 นาํ้ ใตด ิน หรือน้าํ บาดาล (ground water) (สมั ฤทธิ์ มากสง และคณะ, 2563) นํ้าใตดินท่ีถูกกักเก็บและสะสมอยูภายในชองวางและรอยแตกของชั้นหินและช้ันดินตะกอน ลึกลงไปใตพื้นดิน จากการหมุนเวียนของ “วัฏจักรนํ้า” (Hydrologic Cycle) ในธรรมชาติ ซ่ึงน้ําผิว ดินบางสวนท่ีไหลซึมลงไปใตดินจะถูกกักเก็บไวในชองวางระหวางเม็ดดิน ชั้นหิน ชั้นตะกอนหรือชั้น กรวด นํ้าท่ีไหลสูใตดินสวนแรกจะไหลซึมอยูตามชองวางระหวางเม็ดดินเรียกวายนํ้าในดิน (soil water) ในฤดูแลงน้ําในดินอาจถูกแดดเผาใหระเหยแหงไปได และนํ้าท่ีเหลืออยูในดินจะไหลซึมลง ตอไปอีกสุดทายจะถูกกักเก็บไวตามชองวางระหวางตะกอนหรือตามรอยแตกและรอยแยกที่อยู ตอเน่ืองกันของหิน ชั้นหิน ชั้นตะกอน หรือช้ันกรวด จนเกิดเปนน้ําใตดิน (subsurface water) หรือ น้ําบาดาลน่นั เอง การแบงหิน ชน้ั หนิ ชน้ั ตะกอนและชน้ั กรวดโดยใชระดับนํา้ ใตดนิ เปนแนวแบง เขต จะแบง ออกเปน 2 สว น ดังรูปที่ 2 ไดแ ก 1) เขตอม่ิ อากาศหรือบริเวณที่มอี ากาศถายเทได (zone of aeration) คือ สว นบนต้ังแตผิว ดินลงไปจนถึงระดับน้ําใตดิน ชองวา งในดิน ในตะกอนและในหนิ เขตนบี้ างสว นจะมนี ้าํ กักเก็บอยแู ละ บางสว นจะมีอากาศแทรกอยู น้ําในเขตนีจ้ ะถูกยึดอยใู นชองวา งดวยแรงตงึ ผิวของอนภุ าคดนิ 2) เขตอม่ิ นาํ้ (zone of saturation) เปน เขตที่อยูตอจากเขตอิ่มอากาศลงไปหรืออยใู ตร ะดับ น้าํ ใตด ินลงไป ชอ งวางในตะกอนหรอื ในหินเขตน้ีจะมนี า้ํ อยเู ต็มทกุ ชองวางหรืออม่ิ ตวั ไปดวยนํา้ นํา้ ท่ี ถกู กักเก็บอยูในเขตนี้จะเปน นํ้าบาดาล
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 11 ภาพที่ 2-3 การแบงหิน ชน้ั หนิ ชั้นตะกอนและชั้นกรวดโดยใชร ะดบั น้าํ ใตด ิน (ที่มา : นพลกั ษณ ศุภธนสนิ เขษม, 2559) ชั้นหินอมุ นํา้ และช้นั หินกันนาํ้ ช้ันหินอุมนํ้า (aquifer) เปนชั้นหินหรือชั้นตะกอนที่เปนแหลงกักเก็บนํ้าบาดาล ที่มีสมบัติ ยอมใหน้ําซึมผานไดโดยงายและมีความพรุนสูง เนื่องจากชั้นหินหรือชั้นตะกอนดังกลาวมีชองวาง ระหวา งตะกอนกวา งหรือมรี อยแตกและรอยแยกที่อยูตอเนื่องกัน จึงทําใหสามารถกักเก็บนํ้าไวไดเปน ปริมาณมาก จนกลายเปนแหลงนํ้าใตดิน ช้ันหินน้ีจะอยูในเขตอิ่มนํ้าและวางตัวอยูติดกับช้ันหินกันน้ํา ตวั อยา งชนั้ หินอุมนํา้ เชน หนิ ทราย ชนั้ ตะกอนทรายหรอื ชัน้ กรวดท่ียังไมแ ขง็ ตวั เปน หิน ช้ันหินกันนํ้า (confining bed) เปนช้ันหินท่ีรองรับแหลงน้ําบาดาล เปนชั้นหินหรือช้ัน ตะกอนที่มีเน้ือแนนจําพวกหินเนื้อตัน (impermeable rock) ซึ่งมีสมบัติเปนเหมือนวัสดุกันนํ้า ไม ยอมใหนํ้าซึมผานหรือซึมผานไดแตนอยมาก เนื่องจากชั้นหินหรือช้ันตะกอนดังกลาวไมมีชองวาง ระหวางตะกอนที่ตอเนื่องกัน ชั้นหินกันน้ําสวนใหญจะวางตัวอยูติดกับชั้นหินอุมน้ําที่อยูดานบนหรือ ดา นลา งชั้นใดช้ันหน่ึงหรือทง้ั สองชั้น ตัวอยางชัน้ หินกันนํา้ เชน หนิ ทรายแปง หนิ ดินดาน บริเวณหน่ึงๆ อาจมีแหลงนํ้าบาดาลหลายแหลงหรือหลายช้ันก็ได โดยช้ันหินในบริเวณนั้น จะตองวางตัวเอยี งเทกับผิวดิน ซ่งึ จะทําใหนํา้ ผิวดนิ สามารถไหลซึมเขาสูชั้นหินอุมน้ําแตละชั้นที่วางตัว เอียงเทและถูกขนาบดวยชั้นหินกันนํ้าท้ังดานบนและดานลางไดโดยตรง และจะทําใหเกิดแรงดันของ น้ําขึ้นในชั้นหินอุมนํ้าท่ีถูกขนาบดวยชั้นหินกันนํ้าทั้งจากดานบนและดานลาง ดังนั้นถามีการเจาะบอ บาดาลในบรเิ วณชั้นหนิ อุม นํ้าดังกลาวจะเกดิ บอนํา้ บาดาลมีแรงดันข้นึ ดงั รปู ที่ 3
12 มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบงภาพที่ 2-4 โครงสรางทางธรณีวิทยาและการเกดิ น้ําบาดาล (ทมี่ า : สมาคมฟสกิ สไทย, 2564) ตารางที่ 2.1 คุณลกั ษณะของนํ้าผวิ ดนิ และนา้ํ ใตดนิ นา้ํ ใตดิน น้าํ ผิวดิน มสี ารประกอบที่อาจแตกตา งกนั ได มีสารประกอบท่ัวไปไมเปลี่ยนแปลง มคี วามขนุ มาก มีความขุน นอย มแี รธาตุตา งๆ นอยกวา มแี รธาตตุ า ง ๆ มากกวา มีสีมากกวา มสี ีนอ ยกวา พบเช้ือจลุ ชพี มีมาก พบเชอื้ จลุ ชพี นอย ความเขม ขนของออกซเิ จนนํ้าละลายสงู กวา ความเขม ขนของออกซเิ จนละลายนํา้ ตา่ํ นํา้ มคี วามกระดางนอ ย น้าํ มคี วามกระดางมากกวา พบสารพิษเจือปนไดมากกวา อาจพบ H2S, Fe, Mn ได 4. 1ประเภทและมาตรฐานคุณภาพนาํ้ ในแหลงนํา้ ผิวดนิ กรมควบคุมมลพิษ ไดกําหนดประเภทของแหลงนํ้าผวิ ดินตามการใชป ระโยชน แบง ออกเปน 5 ประเภท ประเภทที่ 1 แหลงน้ําทค่ี ุณภาพนาํ้ มีสภาพตามธรรมชาติโดยปราศจากน้าํ ทง้ิ จากกจิ กรรมทุก ประเภทและสามารถเปน ประโยชนเ พือ่ (1) การอุปโภคและบริโภคโดยตองผา นการฆาเชือ้ โรคตามปกติกอน (2) การขยายพันธตุ ามธรรมชาติของสิง่ มชี ีวิตระดับพน้ื ฐาน (3) การอนรุ กั ษร ะบบนเิ วศนข องแหลง น้าํ
13 ประเภทที่ 2 ไดแ ก แหลงนาํ้ ท่ไี ดรบั น้ําทิ้งจากกจิ กรรมบางประเภท และสามารถเปน ประโยชนเพื่อ (1) การอปุ โภคและบรโิ ภคโดยตองผา นการฆา เชื้อโรคตามปกตแิ ละผา นกระบวนการปรับปรุง คุณภาพนํ้าท่วั ไปกอน (2) การอนรุ กั ษสัตวน ้าํ (3) การประมง (4) การวายนํา้ และกีฬาทางนํ้า ประเภทที่ 3 ไดแก แหลง นาํ้ ทไี่ ดรับนํ้าท้ิงจากกจิ กรรมบางประเภท และสามารถเปน ประโยชนเพื่อ (1) การอุปโภคและบรโิ ภคโดยตองผานการฆาเช้ือโรคตามปกติและผานกระบวนการปรับปรุง คณุ ภาพนาํ้ ทว่ั ไปกอน (2) การเกษตร ประเภทที่ 4 ไดแก แหลงน้าํ ที่ไดร ับนา้ํ ท้ิงจากกจิ กรรมบางประเภท และสามารถเปน ประโยชนเพือ่ (1) การอุปโภคและบริโภคโดยตอ งผานการฆาเช้อื โรคตามปกตแิ ละผา นกระบวนการปรับปรุง คณุ ภาพน้ําเปน พิเศษกอน (2) การอุตสาหกรรม ประเภทที่ 5 ไดแก แหลงนํ้าท่ไี ดร ับนํ้าทิ้งจากกจิ กรรมบางประเภท และสามารถเปน ประโยชนเ พื่อ การคมนาคม มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 5. ความตอ งการการใชน้าํ นาํ้ มคี วามสําคัญในการดํารงชวี ติ ประจําวนั ในการทาํ กจิ กรรมตา งๆของมนุษย ไดแก การเกษตร การชําระลา งรางกาย การซักผา การเตรยี มการประกอบอาหาร หรือการใชในสถานที่ ตางๆ เชน โรงพยาบาล โรงงานอตุ สาหกรรม ซ่ึงปจจัยทส่ี งผลตอ ปรมิ าณการใชน ํ้า ไดแก 5.1 ลกั ษณะของชมุ ชน โดยการแบง ออกเปนตามขนาดของชมุ ชน ซึ่งจะมีความตองการ การในการนํ้าท่ีมีความ แตกตา งกัน เทศบาลขนาดใหญมกี ารใชปริมาณนํา้ มากทีส่ ดุ โดยกรมพฒั นาและสงเสริม พลังงานแบง อตั ราการใชนํ้าอุปโภคบรโิ ภคตามประเภทของชมุ ชน ดังน้ี ตารางที่ 2.2 การแสดงอัตราการใชน า้ํ อปุ โภคบริโภคตามประเภทของชมุ ชน ประเภทชมุ ชน อตั ราการใชนา้ํ (ลิตร/คน/วนั ) เทศบาลขนาดเลก็ 120 เทศบาลขนาดกลาง 200 เทศบาลขนาดใหญ 250 ชุมชนเมอื งทย่ี กระดบั เปนเทศบาล 110
14 5.2 ความหนาแนน ของประชากร จากการพัฒนาเมืองท่ีเกิดข้ึน ทําใหความหนาแนนของประชากรเพิ่มมากข้ึน แนวโนมความ ตองการการใชน้ําสูงมากขึ้นตามไปดว ย การวางแผนระบบการจัดการนาํ้ ควรครอบคลุมความเส่ียงจาก ภัยธรรมชาติตา งๆ ทจ่ี ะเกดิ ขึน้ ในอนาคตอีกทั้งปญ หาการแยงชิงทรัพยากรนํ้า ระหวางภาคการเกษตร กับภาคครัวเรอื นของเมอื งหรอื ชุมชน ตารางที่ 2.3 แสดงอตั ราการใชน ํา้ อปุ โภค บรโิ ภคตามปรมิ าณประชากร มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบงปริมาณประชากร (คน)อัตราการใชนํ้า (ลิตร/คน/วนั ) 3,000 - 10,000 120 10,001 - 20,000 170 20,001 - 30,000 200 30,001 - 50,000 250 มากกวา 50,000 ขึ้นไป 300 5.3 ท่ีตง้ั และภูมปิ ระเทศ ภูมิประเทศมีความสําคัญตอการใหความสําคัญในการใชน้ําของประชาชน เนื่องจากบาง ประเทศตั้งอยูในภูมิภาคที่มีแหลงน้ําธรรมชาติที่ไมเพียงพอตอจํานวนประชากร เชน ภูมิประเทศที่ เปน เทอื กเขาสูง ยอมมอี ิทธพิ ลตอ ลกั ษณะภมู อิ ากาศของทองถ่นิ เชน ทาํ ใหเกิดเขตเงาฝน เปนตน 5.4 ฤดกู าล ฤดูการมีผลตอปริมาณนํ้าของพ้ืนที่ตางๆ ภาวะภัยแลงของประเทศไทยสวนใหญมีผลกระทบ ตอการเกษตรกรรม โดยเปนภัยแลงที่เกิดจากขาดฝนหรือ ฝนแลง ในชวงฤดูฝน และเกิด ฝนทิ้งชวง ในเดือนมิถุนายนตอเน่ืองเดือนกรกฎาคม พ้ืนที่ท่ีไดรับผลกระทบจากภัยแลงมาก ไดแกบริเวณภาค ตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง เพราะเปนบริเวณท่ีอิทธิพลของมรสุมตะวันตกเฉียงใตเขาไปไมถึง และถาปใดไมมีพายุหมุนเขตรอนเคล่ือนผานในแนวดังกลาวแลวจะกอใหเกิดภัยแลงรุนแรงมากข้ึน นอกจากพืน้ ที่ดังกลาวแลว ยงั มีพื้นทีอ่ ่ืน ๆ ทีม่ ักจะประสบปญ หาฝนแลง ฝนทิง้ ชว ง เปน ประจํา ตารางท่ี 2.4 ปริมาณน้ําในฤดูกาลของประเทศไทย ภาค/ตน เหนอื ตะวนั ออกเฉียงเหนอื กลาง ตะวันออก ใต เดือน ตะวันออก ตะวนั ตก มกราคม ฝนแลง กุมภาพนั ธ ฝนแลง ฝนแลง ฝนแลง มนี าคม ฝนแลง ฝนแลง ฝนแลง ฝนแลง ฝนแลง ฝนแลง เมษายน ฝนแลง ฝนแลง ฝนแลง ฝนแลง ฝนแลง พฤษภาคม ฝนแลง มถิ ุนายน ฝนแลง ฝนแลง ฝนแลง ฝนแลง กรกฎาคม ฝนแลง ฝนแลง ฝนแลง ฝนแลง ท่มี า : กรมอตุ นุ ิยมวทิ ยา, 2564
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 15 5.5 ชวงระยะเวลาการปฏิบัติ การปฏบิ ตั ภิ ารกิจในชีวิตประจําวัน และการประกอบกิจการจําเปนตองใชนํ้า ซึ่งปริมาณการ ใชนํ้าโดยทั่วไปของชุมชน จะใชน้ําสูงสุด 2 ชวงเวลาไดแก 5.00 น. - 9.00 น.เนื่องจากเปนชวง ระยะเวลาปฏิบัติงาน และในชวงระยะเวลา 1.00 น-4.00 น เปนชวงเวลาท่ีใชนํ้านอยท่ีสุด ยกเวนใน ยา นธรุ กจิ กลางคอื เชน สถานบนั เทงิ รานอาหาร เปนตน 5.6 พฤติกรรมของประชาชน จะเกยี่ วขอ งกับชีวิตประจาํ วนั หากคนในชุมชนมีการใชน้าํ อยางไมสิ้นเปลือง เชน การอาบนํา โดยใชฝกบัวแทนการตักนํ้าอาบ ซ่ึงพฤติกรรมของประชาชนเปนปจจัยสําคัญดานปริมาณนํ้าของ ชุมชน 5.7 ปรมิ าณของนา้ํ ปรมิ าณนํา้ ของแหลงนํา้ ธรรมชาติ การจดั หาแหลง นาํ้ ที่มีความเพียงพอตามความตองการของ ประชาชนการใชน ํา้ ก็จะมปี ริมาณความตองการท่ีมากข้ึน แตถาแหลงนํ้าธรรมชาติมีปริมาณนํ้าที่จํากัด ปริมาณน้ําของชุมชนก็จะถูกจํากัดใหนอยลง หากปริมาณคนในชุมชนมีมากขึ้นทําใหเกิดการขาด แคลนได 6. ปริมาณความตองการนํ้า ความตอ งการการใชน ้ําจะข้นึ อยูก ับองคประกอบที่สําคัญหลายอยาง เชน ลักษณะของชุมชน ใหญ กลาง เล็ก ชุมชนเมืองที่แออัดหรือชุมชนชนบทท่ีหางไกล หรือชุมชนในเขตการคาอุตสาหกรรม หรอื ชมุ ชนชนบทท่กี ําลังพัฒนาและมีความเจริญใกลเคียงเมือง อัตราการใชนํา้ แบงเปนประเภทไดด ังนี้ 6.1 การใชน้ําในท่ีพักอาศัย ( domestic use ) การใชน้ําในท่ีพักอาศัยหรือบานเรือน ของประชาชนนั้นถือวาเปนประเภทที่มีจํานวนผูใชน้ําทั้งหมดและในวัตถุประสงคหลายอยาง เปนตน วา การใชดื่ม การใชซักลางการลางรถ การรดน้ําตนไม สวนครัว การหุงตม และตลอดจนใชทําความ สะอาดหองนา้ํ และหองสว ม 6.2 การใชน ้ําสาํ หรบั อุตสาหกรรม ( industrial use ) การใชนํ้าในอุตสาหกรรมน้ัน โดย ปกติแลวจะมีปริมาณการใชนํ้าสูงกวาในการใชครัวเรือน แตยอมข้ึนอยูกับขนาดของอุตสาหกรรมน้ัน ๆ ดว ยวามขี นาดและชนดิ ของอุตสาหกรรมอยา งไร 6.3 การใชน้ําในกิจการสาธารณะ ( public use ) การใชนํ้าในกิจการสาธารณะน้ันเปน ส่ิงจําเปนสําหรับประชาชนทั่วไป และปริมาณการใช น้ําก็จะแตกตางกันไปดวยในกรณีชุมชนท่ี หนาแนนและเจริญแลว กิจการสาธารณะเหลานี้ไดแก การลางและทําความสะอาดตลาดสวม สาธารณะ ถนน ทอนํ้าโสโครก การดับเพลิงการรดสนามหญา ตนไมตามถนนและหารบริการนํ้าตาม กอ กสาธารณะ นา้ํ พปุ ระดบั 6.4 การใชนา้ํ เพ่อื กิจการเลี้ยงสัตว ( farm animals ) การใชน ํา้ ในคอกปศุสัตว วัว ควาย มา สุกร ไก ปกติแลวการใชน้ําสําหรับเล้ียงสัตวและสวนครัวตามบานมักจะมีปริมาณไมมากนัก นอกจากกรณีทาํ ฟารม หรือปศุสตั วจาํ นวนมาก ๆ 6.5 การใชน้ําสําหรับการคา ( Commercial use ) การใชน้ําในธุรกิจการคาน้ัน โดย ปกตแิ ลวปริมาณการใชน า้ํ จะสงู กวาในการใชใ นครวั เรือน และยอมจะข้ึนอยูกับขนาดของธุรกิจการคา
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 16 วามีขนาดและกิจการอยางไรการสูญเสียของนํ้า ( Loss and waste ) ปริมาณน้ําที่จะตองสูญเสียไป ระบบการประปา นั้นเปนตัวอยางที่ดีช้ีใหเห็นถึงการสูญเสียของนํ้าท่ีมิสามารถเก็บเงินได ท้ังนี้จากเหตุหลายประการ เชน การรั่วไหลเนื่องจากทอน้ําแตกและขอตอชํารุด การจายนํ้าเพ่ือการ ดับเพลิงการจายน้ําฟรีเพ่ือประชาชนในฤดูแลงแกไขปญหาการขาดแคลนนํ้า การใชนํ้าเพื่อ ลางหนา ทรายทําความสะอาดถงั ตะกอน มาตรวัดนา้ํ ชํารุด ฯลฯ ซง่ึ การสญู เสียของนํ้าท่ีเก็บ หรือคิดเปนตัวเงิน มีไดน้ี ประมาณรอ ยละ 20 ของปริมาณการผลิตนํ้าทั้งหมด 7. คุณสมบตั ิของนาํ้ นํา้ จะมีคุณสมบตั ิท่แี ตกตา งกันขน้ึ อยูก ับสารตา งๆ ท่ีละลายปะปนอยูในนํ้าการทมี่ สี ารตาง ๆ ละลายปะปนอยูในนาํ้ แบงออกเปน 3 ดาน ไดแก กายภาพ เคมี และชวี ภาพ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 7.1 คุณสมบัติทางกายภาพของนาํ้ คอื ลักษณะทางภายนอกท่ีแตกตางกนั เชน ความใส ความขุน กลิ่น สี เปนตน 7.1.1 สี (color) สีของนํ้าเกดิ จากการสะทอนแสงของสารแขวนลอยในนาํ้ เชน นาํ้ ตาม ธรรมชาติจะมีสเี หลืองซ่ึงเกดิ จากกรดอินทรีย น้ําในแหลง น้ําทีม่ ีใบไมทับถมจะมีสนี ํ้าตาล หรือถามี ตะไครนํ้าก็จะมีสีเขยี ว 7.1.1.1 สจี ริง (true color) เกิดจากสารละลายเปน เนื้อเดียวกับน้ํา กําจัดออกไปยาก สี ชนดิ นีเ้ กดิ จากการยอ ยสลายของสารอนิ ทรีย ถึงแมวาสีท่เี กิดโดยธรรมชาตจิ ากการยอ ยสลายของพืช ตา งๆ จะไมมีอนั ตรายตอสขุ ภาพ แตก ็มผี ลตอความรสู ึกของผบู รโิ ภค 7.1.1.2 สีปรากฏ (Appearance color) คือ สีท่ีเกิดจากสารแขวนลอยตางๆ ซึ่งสามารถ แยกออกไปได เมื่อกําจัดสีปรากฏออกไปแลวจะเห็นสีจริงของน้ํา สีของนํ้าตามธรมชาติเกิดจากการ สลายตัวของสารอินทรียวัตถุ เชน ตนหญา พืชนํ้า หรือใบไมที่เนาเปอยทับถมกัน จึงมีสีน้ําตาลปน เหลือง หรือสีชาเปนสารพวกแทนนิน กรดฮิวมิก นอกจากนี้สีอาจเกิดจากการปนเปอนจาก อุตสาหกรรมท่ีมีสี ถึงแมวาสีท่ีเกิดโดยธรรมชาติจากการยอยสลายของพืชตางๆ จะไมมีอันตรายตอ สุขภาพ แตก ม็ ีผลตอ ความรสู ึกของผูบริโภค 7.1.2 รสและกล่ิน (Test and odor) รสและกลน่ิ สว นใหญเกิดจากสารอินทรียวัตถุ หรืออาจ เกิดจากสารอนินทรียวัตถุบางตัว กล่ินในนํ้าอาจเกิดไดจากหลายสาเหตุ เชน เกิดจากแบคทีเรียยอย สลายของซากพืชซากสัตวหรือสารอินทรียตางๆ หรือเกิดจาดสาหรายบางชนิดท่ีสามารถสรางน้ํามัน ระเหย (volatile oil) แลวเกิดกาซตางๆเชน กาซไขเนา (Hydrogen Sulfide) รวมท้ังอาจเกิดจาก สารเคมี ท่ีเติมลงไปฆา เช้อื โรคในระบบประปา เชน กลิ่นของสารคลอรีนในนํ้า สําหรับรสในน้ํามักเกิด จากสารอนนิ ทรีย เชนสารประกอบพวกดา งจะทาํ ใหน าํ้ มรี สขม ในขณะทเ่ี กลือของโลหะจะใหรสกรอย หรือขม แลว แตช นิดของโลหะกบั เกลอื นอกจากน้ีการปลอยน้ําเสียลงไปปนเปอนกับแหลงนํ้า อาจทํา ใหร สและกลน่ิ ผดิ ไปจากธรรมชาติได 7.1.3 ความขุน (Turbidity) ความขุนของนํ้าเกิดจาก สารแขวนลอยในน้ํา ในรูปสารอินทรีย และสารอนินทรีย หรือคอลลอยดโดยส่ิงเหลาน้ีจะไปบดบังทําใหแสงหักเหเมื่อมีแสงสองผานทําให มองเหน็ ความขุน ในนาํ้ ขึ้น ความขุนของนํา้ จงึ ขึน้ อยูก บั ขนาดและปริมาณของสารแขวนลอย การกระจัด
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 17 กระจายและความสามารถในการดูดซับแสงของสารแขวนลอยเหลาน้ัน ความขุนมีความสําคัญตอ ทัศนคติในการเลือกอุปโภคบริโภคของผูใชน้ํา คาความขุนยังมีผลตอตอปริมาณสารเคมีในการปรับปรุง คุณภาพนํ้า และประสิทธิภาพของเครื่องกรองนํ้า หากน้ําดิบท่ีมีคาความขุนสูงจะทําใหสิ้นเปลือง สารเคมี และทําใหเคร่อื งกรองเกิดการอุดตันเร็ว และมีอายุการใชงานส้ันลง น้ําท่ีมีความขุนสูง จะทําให ประสิทธิภาพในการฆา เช้ือโรคลดลงโดยจุลินทรียบางสวนอาจอาศัยหลบซอนอยูตามอนุภาคแขวนลอย ทําใหโอกาศที่สัมผัสกับสารเคมีที่ฆาเช้ือโรคนอยลง ความขุนมีหนวย NTU (Nephelometric Turbidity Units) 1 NTU = 1 มลิ ลิกรมั ของความขนุ ในนํา้ 1 ลิตร 7.1.4 ของแข็งทงั้ หมด (total solid: TS) 7.1.4.1 ของแข็งละลายน้ําทั้งหมด (Total Dissolved Solids: TDS) จะมีขนาดเลก็ ผานขนาด กรองมาตรฐาน คํานวณไดจ ากการระเหยน้ําท่ีกรองผา นกระดาษกรองออกไป 7.1.4.2 ของแขง็ แขวนลอย (Suspended Solids: SS) หมายถึง ของแข็งท่ีอยูบนกระดาษ กรองมาตรฐานหลงั จากการกรอง แลวนํามาอบเพ่ือระเหยน้ําออก 7.1.4.3 ของแข็งระเหยงาย (Volatile Solids: VS) หมายถงึ สว นของแข็งที่เปนสารอินทรยี แต ละลายนาํ้ สามารถคาํ นวณไดโ ดยการนํากระดาษกรองวเิ คราะหเ อาของแขง็ ท่ีแขวนลอยออก แลวนํา ของแขง็ สว นท่ลี ะลายทงั้ หมดมาระเหยอณุ หภูมิประมาณ 550 องศาเซลเซียส นาํ น้ําหนกั นํา้ ท่ชี ัง่ หลงั การกรองลบดว ยน้ําหนักหลังจากการเผา นํ้าหนกั ท่ีไดค ือ ของแข็งสวนท่ีระเหยไป 7.1.5 อุณหภูมิ (temperature) อุณหภูมิของน้ํามีผลในดานการเรงปฏิกิริยาทางเคมีและ ชีวภาพซึ่งจะสงผลตอการลดปริมาณออกซิเจนที่ละลายนํ้า มีอิทธิพลทั้งโดยทางตรงและทางออมตอ การดํารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตท่ีอาศัยในนํ้า ซ่ึงปกตินั้นอุณหภูมิของน้ําธรรมชาติจะแปรผันตามอุณหภูมิ ของอากาศขึ้นอยูกับฤดูกาลระดับความสูง และสภาพภูมิอากาศ นอกจากนั้นแลวยังข้ึนกับความเขม ของแสงจํากัดวงอาทติ ยก ระแสลม ความลึก ปริมาณสารแขวนลอย หรือความขุน และสภาพแวดลอม ทั่ว ๆ ไปของแหลง น้ําในประเทศไทย อุณหภมู ขิ องนํ้าธรรมชาติจะแปรผันอยูในชวงระหวาง 23 ถึง 32 องศาเซลเซียส ซึ่งจะมีคาสูงหรือตํ่าตามสภาพภูมิประเทศและสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนแปลง อุณหภูมินํ้าธรรมชาติจะคอยเปลี่ยนแปลงอยางชา และไมคอยกอใหเกิดปญหาตอสูงมีชีวิตท่ีอาศัยอยู ในน้ํามากนัก แตหากเกิดการเปล่ียนแปลงอุณหภูมิน้ําอยางรวดเร็วก็สามารถทําใหเกิดอันตราย โดยตรงตอสัตวนํ้าไดเชนกัน ผลกระทบที่สําคัญกรณีท่ีนํ้ามีอุณหภูมิสูงข้ึนปริมาณออกซิเจนที่ละลาย นํ้าจะลดลง อุณหภูมิท่ีสูงขึ้นจะทําใหเพิ่มปริมาณแบคทีเรียในแหลงนํ้าทําใหแหลงน้ํา ทําใหเกิด ภาวะการขาดออกซิเจนเจนอยางรวดเร็ว เปนสาเหตุใหเ กิดการเนา เสียของแหลงนํ้า 7.1.6 การนําไฟฟา (Electrical Conductivity : EC) การนําไฟฟาเปนคาที่บอกถึง ความสามารถของตัวอยางนํ้าในการเปนส่ือนํากระแสไฟฟา ซ่ึงสื่อในการนํากระแสไฟฟาในน้ําคือไอออน (ion) ของแรธาตุตาง ๆ ซึ่งสวนมากจะเปนเกลืออนินทรียที่ละลายอยูในนํ้า โดยมีหนวยเปน ไมโครโมห ตอเซนติเมตร (Micromhos/cm : mohs / cm) หรือไมโครซีเมนตตอเซนติเมตร (Microsiemen /cm : S/cm ) คา การนาํ ไฟฟาของนาํ้ จะมาก หรือนอยขึ้นอยูกับผลรวมท้ังหมดของคาความนําไฟฟาของแรธาตุ ทุกชนิดท้ังท่ีเปนไอออนบวกและไอออนลบที่ละลายอยูในตัวอยางน้ํา และอุณหภูมิขณะท่ีทําการวัด โดยปรกติแลววัดเทยี บทอี่ ุณหภมู ิ 25 องศาเซลเซยี ส เปนมาตรฐาน
18 7.2 คณุ สมบัติทางเคมี คุณสมบัตทิ างดานเคมีของน้ํา คือ ลักษณะทางเคมีของนํ้า เชน ความเปน กรด - เบส ความ กระดาง ปริมาณออกซิเจนท่ลี ะลายนา้ํ เปน ตน 7.2.1 ความเปนกรด - ดาง (pH) ความสําคัญของคาความเปนกรดเปนดางของน้ํามีผลตอ ปฏิกิริยาเคมีตางๆในน้ํา ทั้งในดานของการปรับปรุงคุณภาพนํ้า ในกระบวนการตกตะกอนดวยสารเคมี มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบงการแกไขปญหาน้ํากระดาง และการฆาเช้ือโรค โดยแหลงน้ําธรรมชาติสวนใหญมีคาคาความเปนกรด- ดาง (pH) อยรู ะหวาง 6.5-8.5 ยกเวนนํ้าที่มี คารบอนไดออกไซดละลายอยู อาจจมีคาความเปนกรด-ดาง (pH) ตา่ํ กวา 5 สวนนํ้ากระดางท่ีมีคารบอเนตละลายอยูมีคา pH สูงกวา 9 สวนนํ้าดื่มควรมีคาความเปน กรด-ดาง (pH) ระหวาง 6.8-7.3 นอกจากนี้คาความเปนกรด-ดาง (pH) จะมีฤทธิ์ในการกัดกรอนทอและ อุปกรณไ ด 7.2.2 ปริมาณออกซิเจนที่ละลายน้ํา (dissolved oxygen, DO) แบคทีเรียที่เปนสารอินทรียใน นํ้าตองการออกซิเจน (aerobic bacteria) ในการยอยสลายสารอนินทรีย ความตองการออกซิเจนของ แบคทีเรียนี้จะทําใหจะทําใหปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ําลดลง ดังน้ันในนํ้าท่ีสะอาดจะมีคา DO สูง และน้ําเสยี จะมคี า DO ตา่ํ มาตรฐานของน้ําที่มีคุณภาพดีโดยทั่วไปจะมีคา DO ประมาณ 5-8 ppm หรือ ปริมาณ O2 ละลายอยูปริมาณ 5-8 มิลลิกรัม / ลิตร หรือ 5-8 ppm น้ําเสียจะมีคา DO ต่ํากวา 3 ppm คา DO มีความสําคัญในการบงบอกวาแหลงนํ้าน้ันมีปริมาณออกซิเจนเพียงพอตอความตองการของ สงิ่ มชี วี ิตหรอื ไม 7.2.3 ความกระดา ง (hardness) น้ํากระดางเปนนํ้าท่ีมีการละลายของอิออนโลหะท่ีมีประจุบวก สอง เชน ไอออนของโลหะที่มีอยูในนํ้ากระดาง เชน แคลเซียมไอออน (Ca2+) แมกนีเซียมไอออน (Mg2+) ธาตุอื่นๆ เล็กนอย เชน เหล็ก (II) ไอออน (Fe2+) , แมงกานีส (II) ไอออน (Mn2+) และ สทรอ นเซยี มไอออน (Sr2+) ความกระดางมี 2 ประเภทคอื 7.2.3.1 ความกระดางช่ัวคราว (carbonate hardness) ความกระดางประเภทนี้เกิด จากเกลือ ไบคารบอเนต และคารบอเนตของแคลเซียมและแมกนีเซียมละลายอยูการแกความ กระดางชั่วคราวสามารถทําไดโดยการตมเพ่ือใหเกิดตะกอนของเกลือแคลเซียมคารบอเนต (HCO3-) ทาํ ใหน้ําหายกระดา งได Ca2+ (aq) + 2 (HCO3-) (aq) ----> CaCO3 (s) + H2O (I) + CO2 (g) Mg2+ (aq) + 2 (HCO3-) (aq) ----> MgCO3 (s) + H2O (I) + CO2 (g) 7.2.3.2 ความกระดางถาวร (noncarbonate hardness) ความกระดางประเภทน้ีเกิด จากเกลือซัลเฟต หรือเกลือคลอไรดของแคลเซียมและแมกนีเซียม ความกระดางประเภทน้ีสามารถแก ดว ยการกล่นั การกรองเรซน่ิ การใชโซดาแอช (โซเดียมคารบ อเนต) เพือ่ ตกตะกอน เปน ตน 7.2.4 เหล็ก (Iron) และแมงกานีส (Manganese) เปนธาตุที่พบท่ัวไปในดินและหินใน ธรรมชาติ เหล็กและแมงกานีสามารถเปลี่ยนเปนรูปของสารละลายในนํ้าไดหากในนํ้ามีกาซ เคปานรเบฟออนรไัสดอ(Fอeก2ไ+ซ) ดละ(ลCาOย2อ)ยหูในรือนมํ้าีสภภายาใพตเสปภนากพรไดรอเาหกลา็กศเแฟลอะรแรมิกงก(Fาeน3ีส+)จะซถึ่งไูกมรลีดะิวลซาจยาใกนปนรํ้าะจจะุ +ถ4ูกรซีดึ่งิวไมซ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 19 ละลายในน้ําเปนประจุ +2 ซึ่งอยูในรูปสารละลายในน้ําได นํ้าที่มีเหล็กและแมงกานีสอยูจะไมมีผลเปน อันตรายตอสุขภาพมากนักแตเปนสาเหตุของความนารังเกียจที่จะด่ืมนํ้านั้น เชน ทําใหนํ้ามีรสขม ทําให น้ํามีสีแดง น้ําตาลหรือดําหากใชซักลางทําใหเกิดรอยดางบนเสื้อหรือมีคราบบนสุขภัณฑและเครื่องใช ตา ง ๆ 7.2.5 คลอไรด (chlorides) คลอไรดสงผลตอรสของนํ้าเน่ืองจากนํ้าท่ีมีปริมาณคลอไรด 250 มิลลกรมั ตอลิตร จะมรี สกรอ ยคอนขางเคมี 7.2.6 ฟลูออไรด (fluoride) เปนธาตุจําเปนสําหรับการสรางกระดูกและฟน ดังน้ันหากไดรับ ฟลูออไรดนอยเกินไปอาจทําใหฟนเปราะหรือหักงาย แตถาฟูออไรดมากกวา 3 มิลลกรัมตอลิตร จะทํา ใหฟนเกิดเปน คราบหรือเปน จุดดําปรมิ าณทเ่ี หมาะสมที่ควรใหมีในน้ําดื่มคือประมาณ 1 มิลลกรัมตอ ลิตร 7.2.7 สารไนเตรต-ไนไตรต (Nitrate-Nitrite) เกิดจากการยอยสลายของอินทรียวัตถุตาง ๆ โดย เกิดปฏกิ ริ ยิ าชวี เคมขี องจุลนิ ทรียในการออซิเดชัน่ แอมโมเนียไดไ นไตรทและเปล่ยี นเปนไนเตรท ในดานสุขภาพอนามัย ไนเตรทจะมีผลตอเด็กออนที่มีอายุตํ่ากวา 2 เดือน เน่ืองจากลําไสเด็กใน เวลาน้ีมีความเปนกรดพอเหมาะกับความตองการของแบคทีเรียประเภทไนเตรท รีดิวสซ่ิงแบคทีเรียที่จะ เปล่ียนไนเตรทเปนไนไตรท เม่ือไนไตรทถูกดูดซึมเขากระแสเลือดจะเขาจับกับฮีโมโกลบินในเม็ดเลือด แดงไดดีกวาออกซิเจน ไดสารประกอบสีนํ้าเงิน หากปลอยทิ้งไวเด็กจะตัวเขียวคลํ้าขาดอากาศหายใจ และอาจเสียชวี ิตในท่ีสุด ซง่ึ เรียกอาการแบบนวี้ า blue baby 7.2.8 ตะกั่ว (lead) น้ําตามธรรมชาติจะไมมีตะก่ัวปนเปอน ยกเวนเกิดการปนเปอนจาก กิจกรรมตาง ๆ ของมนุษย น้ําท่ีมีตะกั่วละลายอยูไมมากนัก็กอาจเปนอันตรายตอการบริโภคไดเพราะ ตะกั่วสงผลตอ สมองและระบบประสาท 7.2.9 สารหนู (Arsenic) สารหนูอาจเกินในน้ําตามธรรมชาติเนื่องจากการไหลของนํ้าผานช้ันดิน ช้ันหินที่มีสารหนูหรืออาจเกิดจากกิจกรรมของมนุษยสารหนูมีความเปนพิษตอสูงมีชีวิต มีสวนเก่ียวของ กบั การทําใหเ กิดมะเร็งผิวหนัง 7.2.10 ไตรฮาโลมีเทน (Trihalomethanes : THMs) สารไตรฮาโลมีเทน (Trihalomethanes :THMs) เกิดจากกระบวนการผลิตนาประปา สารไตรฮาโลมีเทน ประกอบไปดวยสาร 4 ชนิดไดแก คลอโรฟอรม (CHCl3), โบรโมไดคลอโรมีเทน (CHCl2Br), ไดโบรโมคลอโรมีเทน (CHClBr2), และโบรโม ฟอรม (CHBr3) องคก ารอ นามัยโลกไดก าํ หนดมาตรฐานน้ําดื่มใหมีสารไตรฮาโลมีเทน ท้ัง 4 ชนิดไวไมเกิน 300, 60, 100 และ100 นาโนกรมั ตอ มลิ ลลิ ิตร องคกรระหวางประเทศดานการวิจัยดานมะเร็ง (International Agency for Research on Cancer : IARC) ระบุวา มีความเปนไปไดวา สารไตรฮาโลมีเทนบางรูปแบบอาจจะกอใหเกิดมะเร็งใน มนษุ ย โดยจดั ให - คลอโรฟอรม (CHCl3) เปนสารในกลุม 2B (สารท่อี าจกอใหเ กิดมะเร็งในมนุษย) - โบรโมไดคลอโรมีเทน (CHCl2Br) เปน สารใน กลุม 2B (สารท่ีอาจกอใหเ กิดมะเร็งในมนุษย) - ไดโบรโมคลอโรมเี ทน (CHClBr2) เปน สารใน กลุม 3 (สารที่ยังไมสามารถจําแนกการเกิดมะเร็ง ในมนษุ ย) - โบรโมฟอรม (CHBr3) เปนสารในกลมุ 3 (สารท่ียังไมสามารถจาํ แนกการเกิดมะเร็งในมนุษย)
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 20 7.3 คุณสมบัติทางชวี ภาพ มีความสําคัญเนื่องจากนํ้าเปนส่ือนําโรคได (Water Borne Disease) ดังนั้น คุณภาพน้ําทางดาน ชีวภาพจึงมีความสําคัญมากน่ืองจากเพราะเช้ือโรคตาง ๆ สามารถดํารงชีพอยูในนํ้าคุณภาพนํ้าทางดาน ชีวภาพหมายถึงการที่นํ้ามีส่ิงมีชีวิตตางๆ อยูในน้ํา เชน พืชนํ้า สัตวนํ้า และจุลินทรีย ซ่ึงมีท้ังประโยชน และโทษตอมนุษย แตในท่ีนี้จะกลาวถึงคุณภาพน้ําทางดานชีวภาพท่ีสําคัญเก่ียวของกับการนํานํ้า มาใช ประโยชนตอการอุปโภคบริโภค 7.3.1 จุลลนิ ทรยี ท ี่ไมทําใหเ กิดโรค (Nonpathogenic micro-organism) เปนจลุ ินทรยี ที่อยูในนาํ้ โดยไมก อโรค ไดแก แบคทีเรยี โปรโตซัว สาหรายหรือราบางชนดิ นอกจากน้ี นอกจากไมทําใหเ กิดโรค แลว ยังชวยในการยอยสลายสง่ิ สกปรกท่เี ปนสารอินทรียในนาํ้ 7.3.2 จลุ ินทรยี ที่ทําใหเกิดโรค (Pathogenic micro-organism) อยูห ลายชนิด มีทงั้ ชนิดท่ี กอใหเ กดิ อาการของโรคอยางรุนแรงถึงตายได ไปจนถึงเพยี งแคมีอาการเจบ็ ปวยเล็กนอย ดังน้ัน เพ่ือ ความปลอดภยั แลวจะตองไมมีจุลนิ ทรียประเภทน้ีในน้ําท่ีใชเพื่อการ อุปโภคบริโภคเลยจุลนิ ทรียท ่ที ําให เกิดโรคโดยมนี ํ้าเปนส่อื นําโรคท่ีสาํ คัญ ไดแ ก ไวรสั (Virus) แบคทีเรีย ( Bacteria) โปรโตซวั (Protozoa) หนอนพยาธิ (Helminth) 8. การอนุรกั ษทรพั ยากรนํา้ การอนุรักษทรัพยากรนํ้าจะเห็นวานํ้ามีความสําคัญและมีประโยชนมากมายาจึงควรชวยกัน อนุรกั ษทรัพยากรนาํ้ โดยมีวธิ ีการ ดงั น้ี 8.1 การใชน ้ําอยางประหยัด นอกจากจะชวยลดคาใชจายเก่ียวกับคานํ้าลงไดแลว ยังทําให ปริมาณน้ําเสยี ที่จะท้ิงลงแหลงนํ้าลดลง และปอ งกนั การขาดแคลนนํ้าไดดว ย 8.2 การสงวนนํ้าไวใช ในบางฤดูหรือในสภาวะท่ีมีนํ้ามากเหลือใช ควรมีการเก็บน้ําไวใช เชน การทําบอเก็บนํ้า การสรางโองน้ํา การขุดลอกแหลงนํ้า รวมท้ังการสรางอางเก็บน้ําไวใชเพื่อ การเกษตร และพลงั งานแลว ยงั ชวยปอ งกันการเกิดอทุ กภัย ปองกันการไหลชะลางหนาดินที่อุดมสมบูรณ และใชเ ปนท่พี กั ผอนหยอนใจ 8.3 การพัฒนาแหลงน้ํา ในบางพื้นที่ขาดแคลนนํ้า จําเปนท่ีจะตองหาแหลงนํ้าเพิ่มเติม เพื่อใหม ีนํา้ ไวใ ชท ัง้ ในครัวเรอื นและในการเกษตรไดอยางเพียงพอ ปจจุบันการนํานํ้าบาดาลข้ึนมาใชกําลัง แพรหลายมาก แตอาจมีปญหาเร่ืองแผนดินทรุด เชนในบริเวณกรุงเทพ ฯ ทําใหเกิดดินทรุดได จึงควรมี มาตรการกาํ หนดวาเขตใดควรใชน ้ําใตด ินไดมากนอยเพียงใด 8.4 การปองกันน้ําเสยี การไมท ้งิ ขยะ สิ่งปฏิกูล และสารพิษลงในแหลงนํ้า นํ้าเสียที่เกิดจาก โรงงานอุตสาหกรรม โรงพยาบาล ควรมีการบําบัดและขจัดสารพิษกอนที่จะปลอยลงสูแหลงน้ํา การวาง ทอ ระบายนํา้ จากบา นเรือน การวางฝง การกอสรางโดยไมใหน ้าํ สกปรกไหลลงสูแมน ้ําลาํ คลอง 8.5 การนํานํ้าเสียกลับไปใช นํ้าที่ไมสามารถใชไดในกิจการหน่ึง เชน น้ําท้ิงจากการลาง ภาชนะอาหาร สามารถนาํ ไปรดตนไม โรงงานบางแหงอาจนํานา้ํ ท้งิ มาทําใหส ะอาดแลว นาํ กลบั มาใชใ หม
21 คาํ ถามทา ยบท 1. จงบอกประเภทและมาตรฐานคุณภาพน้ําในแหลง นํ้าผิวดนิ 2. ความตองการการใชนาํ้ ข้ึนอยกู ับปจ จยั ใดบา ง 3. คุณสมบัติทางกายภาพของนํ้ามีอะไรบาง 4. จงบอกแนวทางการอนุรักษทรัพยากรนํ้ามา 4 ขอ 5. จงอธบิ ายวฏั จกั รของนา้ํ เอกสารอา งอิง อรนุช ใจดี. (2552). ปจจัยที่มีผลกับความตองการใชนํา้ ประปาของครัวเรอื นในเขตเทศบาลเมืองหัว หนิ จังหวดั ประจวบคีรีขนั ธ. : มหาวิทยาลยั เชียงใหม. กรมควบคุมมลพิษ. (2543). มาตรฐานคณุ ภาพนาํ้ และเกณฑระดับคุณภาพนา้ํ ในประเทศไทย. กระทรวงวิทยาศาสตร เทคโนโลยแี ละสิ่งแวดลอม. กรมสงเสริมคุณภาพสิ่งแวดลอม. (2543). แหลงธรรมชาติอันควรอนรุ ักษของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. กระทรวงวิทยาศาสตร เทคโนโลยีและสิ่งแวดลอม มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 22 บทท่ี 3 การผลิตนา้ํ สะอาดเพื่อการอุปโภคบริโภค (การประปา) ระบบผลิตน้ํา หมายถึง การนํานํ้าผิวดินหรือน้ําดิบจากแหลงน้ําธรรมชาติตางๆ อาทิ แมน้ํา คลอง ทะเลสาบ อางเก็บน้ํา และทะเล เขาสูกระบวนการผลิตเพ่ือใหไดน้ําท่ีมีคุณภาพและปริมาณ ตามความตองการ ไดแก น้ําประปา นํ้าจืด และนํ้าบริสุทธ์ิ เพ่ือใชในการอุปโภคบริโภค เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม หรือใชในโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งตั้งอยูในพื้นท่ีใกลทะเลหรือพ้ืนท่ีที่ราคานํ้าสูง ซึ่ง น้ําทผ่ี ลิตไดแ ตล ะประเภทจะใชเทคโนโลยกี ารผลิตท่ีมคี วามซับซอ นแตกตา งกนั แหลงน้ําดบิ เปน แหลงนา้ํ ทนี่ ํามาผลิตน้ําประปาตองมีคุณภาพน้ําดีและเหมาะที่จะนํามาผลิต นํ้าประปา และแหลงนํ้าดิบตองมีการควบคุมและปองกันมลพิษ ซึ่งตองมีปริมาณที่เพียงพอในการ นาํ มาใชผลติ ตลอดทงั้ ป แหลงน้ําดบิ แบง ออกเปน 2 ประเภท ดังน้ี 1. นาํ้ ผิวดิน (Surface Water) หมายถึง นํา้ ทา ซ่ึงเกิดจากการไหลบนพืน้ ดิน ลงมารวมกัน แหลง น้าํ ไดแ ก แมน้ํา ลําคลอง อางเก็บนํ้า ทะเลสาบ หนอง บึง ปริมาณน้ําผิวดินขึ้นกับ ความเขม ความถี่และระยะเวลาท่ีฝนตก ลักษณะขอบเขตพื้นที่รองรับ (Catchments Area) ปริมาณ การสูญเสียเนอื่ งจากการระเหยของผิวหนาของแหลงนํ้า ปริมาณการสูญเสียเน่ืองจากการซึม ของช้ันดิน 2. ใตดินหรือนํ้าบาดาล (Ground water) การแบงหิน ชั้นหิน ชั้นตะกอนและชั้นกรวดโดยใช ระดับนา้ํ ใตดนิ เปน แนวแบงเขต ซ่ึงแบงชนิดของนํ้าบาดาล ออกเปน 2.1 นํ้าบาดาลปราศจากความดัน (Unconfined Aquifer) ชั้นหินอุมนํ้าอิสระท่ีไมไดอยู ภายใตค วามกดดนั น้ําท่ีอยใู นชน้ั จะไหลไปตามความดนั นํ้าและแรงดึงดูดของโลกในพ้ืนท่ี ทตี่ ่ํากวา 2.2 นํ้าบาดาลในที่กักขัง (Confined Ground Water) เปนชั้นหินใหนํ้าภายใตแรงดัน โดย ชั้นหินอุมน้ําอยูระหวางช้ันหินเน้ือทึบที่ไมยอมใหน้ําซึมผาน ประกบอยูท้ังดานบนและ ดานลาง บางครั้งแรงดันมาก เมื่อเจาะจะมีนํ้าไหลพุงมาเหนือปากบอ เรียกวาบอนํ้าพุ (Flowing Well) และเนื่องจากนํ้าบาดาลจากช้ันหินอุมนํ้าประเภทนี้มักอยูในระดับลึก สามารถนํามาใชบ ริโภคได แตอ าจมีคุณสมบัติเปนนํ้ากระดาง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 23 1. ประเภทการผลติ น้ําประปา 1.1 ระบบประปาบาดาล ถาสามารถหาแหลงนํ้าบาดาลท่ีมีปริมาณเพียงพอและมีคุณภาพของน้ําที่ดี เมื่อเทียบกับ มาตรฐานที่กําหนดไวสามารถเลือกใชบอบาดาลใหเปนแหลงน้ําในการผลิตประปาถือวามีความ เหมาะสมเน่ืองจากไมตองใชกรรมวิธีในการกําจัดสารแขวนลอยที่ปะปนอยูกับน้ําโดยใชเคร่ืองสูบน้ํา เพียงเครือ่ งเดียวสูบ โดยตรงจากบอ บาดาลสูถังเก็บ เพ่ือแจกจาย บริการตอไป แตแมนํ้าบาดาลท่ัวไป จะปราศจาก โรค ก็ยังแนะนําใหใชคลอรีนจายเขาสูเสนถ กอนข้ึนถังเก็บนํ้าเพื่อใหคลอรีน มีเวลาทํา ปฏกิ ริ ยิ า Contact Time กบั สิง่ เจือปนในน้าํ และคลอรนี ยังคงเหลือในเสนทอ เผื่อจะชวยฆาเชื้อโรค ท่ีตกคา งอยภู ายในทอ ประปาได 1.2 ระบบประปาบาดาลแบบเติมอากาศ น้าํ บาดาลสวนใหญอ ยูในสภาพไรอ อกซิเจน แอโรบิค (Aerobic) ทําใหมีเหล็ก และแมงกานีส คารบ อนไดออกไซดห รอื ไฮโดรเจนซลั ไฟด ละลายปนอยูในนา้ํ การกาํ จดั แรธ าตุหรือสิ่งท่ีเจือปน ทําได โดย วิธีการเติมอากาศ กาซที่ละลายลงไปในน้ําจะระเหยออกไป สวนเล็กและแมงกานีสจะทํา ปฏิกิริยากับออกซิเจน เปนออกไซดและตกตะกอนเปนสารแขวนลอยดังนั้นระบบผลิตน้ําประปาบาง แหงจะมีถังตกตะกอนไวเพื่อกักตะกอนหรือผานน้ําที่เติมอากาศเขาสูระบบกลองโดยตรง แลวจึงฆา เชื้อโรคดว ยสารคลอรีนกอนเก็บในถังน้ําใสเพ่ือรอแจกจายใหแกผใู ชนาํ้ ตอ ไป ภาพที่ 3.1 ขั้นตอนการผลิตนาํ้ ประปาบาดาล ท่ีมา : สาํ นกั บรหิ ารจดั การน้ํา กรมทรัพยากรนํา้
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 24 ภาพที่ 3.2 ขั้นตอนการผลิตนา้ํ ประปาบาดาล ทมี่ า : สาํ นักบรหิ ารจัดการนาํ้ กรมทรัพยากรนํา้
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 25 1.3 ระบบประปาผิวดินแบบ Conventional ระบบผลิตนํา้ ประปาสําหรับชุมชนขนาดใหญ สวนมากจะอาศัยแหลงนํ้าจากแมน้ํา ซ่ึงมีปริมาณ ที่เพียงพอ แตนํ้าผิวดินที่นําเขามาผลิตน้ําประปามักมีความขุนสูง ดังน้ันกรรมวิธีการผลิต จึงตองอาศัย สารเคมีชวยทําใหตกตะกอนเร็วขึ้นเชน สารสม สารพอลีอะลูมิเนียมคลอไรด PACl กรรมวิธีต้ังแตการ ผสมสารเคมีชวยตกตะกอน เกิดตะกอน ตกตะกอน จนกระท่ังการกรองแบบทรายกรองเร็ว เรียกวา ระบบการผลติ นํ้าประปาแบบ Conventional ซ่ึงวธิ ีการเปนการปรับปรุงคุณภาพน้ําโดยสวนใหญ 1.4 ระบบประปาปรบั ปรงุ คุณภาพน้าํ กระดา ง รูปแบบที่ 1 กระบวนการน้ีใชวิธี แลกเปลี่ยนประจุไฟฟา โดยใชสารซึ่งสามารถ จะบรรจุท่ี เปนความกระดางไวสารนี้มีชื่อเรียกหลายอยาง เชน Zeolite Ion exchange หรือ Resin เปน ปฏิกริยาแลกเปลี่ยนอนุมูลอิส ระหวางสารเคมีท่ีใชเติมกับความกระดาง นพยมใชในการกําจัดความ กระดา งไดท ้ังแบบชว่ั คราวและกระดางถาวร รูปแบบท่ี 2 กระบวนการใชปูนขาวและโซดาแอช แกความกระดาง (Lime- SodAsh Process ) นา้ํ ที่ผานกระบวนการจงึ มีความกระดา งเหลอื อยูบา งเล็กนอย 2. ระบบผลิตนา้ํ ประปา ระบบผลิตนํ้าประปา (Portable Water Plant) เปนการนํานํ้าผิวดินหรือน้ําดิบเขาสู กระบวนการผลิตเพ่ือใหไดน้ําประปา นําไปใชประโยชนในการการอุปโภคบริโภค เกษตรกรรม และ อุตสาหกรรมบางประเภททีไ่ มต องใชน้ําท่มี ีคณุ ภาพสูง ขัน้ ตอนการผลิตนํา้ ประปามี 6 ข้นั ตอนดงั นี้ ขัน้ ตอนท่ี 1 การกักเกบ็ และปรบั ปรงุ คณุ ภาพนาํ้ ดิบขน้ั ตน (Raw Water Storage) ข้ันตอนท่ี 2 การสรางตะกอนและการรวมตัวของตะกอน (Coagulation & Flocculation) ขนั้ ตอนที่ 3 การตกตะกอน (Sedimentation) ข้นั ตอนที่ 4 การกรอง (Filtration) ขัน้ ตอนที่ 5 การฆา เชอื้ โรคในนา้ํ (Disinfection) ขัน้ ตอนที่ 6 การกกั เกบ็ นาํ้ ประปา (Storage/Clarifier Tank/Elevated Tank) ขั้นตอนท่ี 1 การกักเก็บและปรับปรุงคุณภาพนํ้าดิบขั้นตน (Raw Water Storage) โดยมี วิธีการดงั นี้ 1.1 การขจัดสิ่งแขวนลอยดวยตะแกรง (Screen) เปนกระบวนการข้ันตนในการกําจัดของแข็ง ขนาดใหญ สวนใหญมักมีน้ําหนักเบา เชน พลาสติก ใบไม เศษขยะมูลฝอย โดยชนิดของตะแกรงแบง ออกเปน ตะแกรงหยาบ เปนตะแกรงที่มีขนดประมาณ 2 น้ิว และตะแกรงละเอียดมีขนาดเล็กกวา 1 น้วิ เพื่อกรอส่ิงแขวนลอยข้ันตน กอ นเขาสูโรงสบู น้าํ ดบิ
26 1.2 การเติมคลอรนี ข้นั ตน (Pre-Chlorination) น้ําจากแหลงนํ้าดิบท่ีนํามาใชผลิตนํ้าประปาบาง แหงอาจจะมีจุสินทรีปะปนอยูจํานวนมาก จําเปนตองมีการทําลายเชื้อจุลินทรียในนํ้าดิบโดยวิธีการ เติมคลอรีนช้ันตน กอนท่ีจะผานกรรมวิธีอื่นๆ ในข้ันตอไปการเติมคลอรีน ขั้นตนจะสามารถชวยทําให ลดปรมิ าณของจุลินทรียทําใหน้ําใสที่ผานการกรองแลว มีจํานวนจุลินทรียเหลืออยูในน้ํานอยลงทําให การเตมิ คลอรนี ในข้ันสุดทา ย ใชปรมิ าณของคลอรนี นอยลงไปดวย 1.3 การตกตะกอนโดยธรรมชาติ (Plain Sedimentation) เปนการเก็บน้ําโดยอาศัยวิธีการทาง ธรรมชาติเพ่อื ใหเกดิ การฟอกตวั เองตามธรรมชาติ (Self Purification) จะทําใหปริมาณสารแขวนลอย ความกระดางและแบคทเี รียลดลงและคุณภาพน้ําจะดีขึ้น โดยใชระยะเวลาเก็บกัก 2-3 สัปดาห ทําให ลดความสกปรก และของแข็งแขวนลอยจะตกตะกอน นอกจากนย้ี ังลดแบคทเี รียในนา้ํ อีกดวย มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ตารางท่ี 3.1 การเลอื กวิธีการปรบั ปรุงคณุ ภาพน้ําดบิ และการผลติ นาํ้ ประปา ลาํ ดับ คณุ ภาพน้าํ ดบิ กระบวนการปรับปรงุ คณุ ภาพนา้ํ ดิบและการผลติ น้าํ ประปา 1 สแี ละความขนุ 1. Coagulation +การกรอง และถา นกัมมนั ต 2. เตมิ คลอรีน รว มกบั Coagulation + การกรอง 2 กลิน่ น และรส 1. การดดู ซบั ดว ยถานกัมมนั ต 2. Coagulation + การกรอง 3. การเตมิ คลอรนี หรือโอโซน 4. การเตมิ อากาศ 3 ความกระดาง (Hardness) 1. การใชสารเคมที าํ ปฏิกิริยาเพ่ือใหตกผลึก (Precipitation) ไดแ กแคลเซียม และ โดยใชป นู ขาว และโซดาแอซ แมกนีเซยี ม 2. Ion exchange 4 เหลก็ และแมงกานสี 1. Chemical Oxidation และการใช#สารเคมีทําปฎิกริยา เพ่ือใหตกผลกึ (Precipitation) เชน KMnO4) 2. การเติมอากาศรวมกบั ปูนขาว 5 โซเดียม โปแทสเซียม คลอ Desalination ไรด และไนเตรท 6 pH การปรับสภาพอลั คาไล (Alkaline) 7 แอมโมเนยี การเตมิ คลอรีน 8 ไฮโดรเจนซัลไฟต 1. การเตมิ อากาศในสภาวะทเ่ี ปนกรด 2. การเตมิ คลอรีน หรือโอโซน 3. การใช Ferrous Salts ทําปฏิกรยิ าเพื่อใหต กผลกึ 9 คารบ อนไดออกไซด 1. การเตมิ อากาศ 2. การปรบั สภาพอัลคาไล 10 ฟลอู อไรด Desalination
27 ลําดบั คณุ ภาพน้าํ ดิบ กระบวนการปรบั ปรงุ คุณภาพนาํ้ ดบิ และการผลติ นํ้าประปา 11 แบคทเี รีย 1. ฆาเชื้อดวยคลอรีน หรอื โอโซน 2. Coagulation + การกรอง + การฆาเชอ้ื โรค 12 สารอินทรยี บางชนดิ ท่ีมี 1. การดูดซับในชวงการรวมตะกอน (Adsorption During ปรมิ าณนอ ย (Traces Flocculation) Organic) 2. การดซู บั ดวยถานกมั มนั ต มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง3. โอโซน 13 สาหราย แพลงกต อน 1. วิธีการทางเคมี 2. Coagulation 3. Double Filtration 14 สารกําจดั ศตั รพู ชื 1. ถานกมั มันต 2. การเติมอากาศ 15 การกาํ จดั โลหะหนัก 1. Coagulation + การกรอง ตะกว่ั (Pb) 2. การแลกเปลีย่ นประจุ 3. การทาํ Adsorption (การดูดซับ) 4. การตกผลึกทางเคมี 5. การออกซเิ ดชัน-รดี ักช้นั 6. Reverse Osmosis (RO) 16 ปรอท (Hg) 1. Coagulation + การกรอง 2. การทาํ Softening ( ในกรณีท่นี าํ้ มปี รอท ≥ 10 µg/L) 17 สารหนู (As) 1. Coagulation + การตกตะกอน 2. กระบวนการออกซิเดชนั่ 3. การทํา Adsorption (การดดู ซับ) 18 แคดเมียม 1. Coagulation + การตกตะกอน 2. การทํา Softening ท่มี า : คมู อื กระบวนการผลติ นาํ้ ประปาและควบคุมคณุ ภาพนาํ้ พ.ศ.2561 ขน้ั ตอนที่ 2 การสรางตะกอนและการรวมตัวของตะกอน (Coagulation & Flocculation) 2.1 การสรางตะกอน (Coagulation) แหลงน้ําดิบธรรมชาติ จะมีส่ิงเจือปนท่ีเปนสารวัตถุ ขนาดเลก็ ๆ ปะปนอยูดว ยจํานวนหนึ่งทาํ ใหเกดิ เปน ความขุน การสรา งตะกอนเปน กระบวนการทําลาย การจับตัวของคอนลอยด ท่ีไมสามารถตกตะกอนในสภาวะปกติได จําเปนตองใชสารเคมี ชวยทําให เกดิ การสรางตะกอน และทําใหต ะกอนจบั ตวั กนั สารเคมีท่ีใชในกระบวนการโคแอกกเู ลชน่ั (Coagulation) คือสารเคมีชนิดสารอินทรียที่ใชใน การทําลายเสถียรภาพอนุภาคคอลลอยดและสามารถรวมตัวกันเปน Floc ขนาดใหญขึ้น ไดแก สารสม (Aluminum Sulfate), Polyaluminium Chloride (PAC, PACl) หรือ Ferri hl id ic
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 28 Chloride (FeCl2) เปนตน ลงไปในน้ํา และผสมกันอยางท่ัวถึงอยางรวดเร็ว การสรางตะกอน ประกอบดวยถงั กวนเร็ว (Rapid Mixing) นอกจากนี้ยังเติมสารชวยสรางตะกอน (Coagulant Aid) เปนสารที่ชวยเพิ่มประสิทธิภาพ ใหกับสาร Coagulant ท่ีนิยมใชคือปูนขาว, โซดาแอซ, Polymer เพื่อเปนการปรับ pH ของน้ําใหมี ความเปนดางมากขึ้น (pH 6.5-8.5) จะทําใหสารสมมีปฏิกริยาท่ีสมบูรณดีขึ้น ไมเหลือเปนสารสม ตกคางในน้ําทําใหน้ํามีฤทธ์ิเปนกรด และเกิดการกัดกรอนข้ึนได ในการปฏิบัติ การเติมสารสมใหมี ปริมาณท่ีพอเหมาะทจี่ ะทําใหน าํ้ ดิบเกดิ ตะกอนไดดี ภาพที่ 3.3 ปฏกิ รยิ าในถังกวนเรว็ ทม่ี า : พรศักดิ์ สมรไกรสรกิจ, 2564 การควบคุมระบบการผลิตจําเปนตองมีการทดลองเพ่ือหาปริมาณการใชสารเคมีท่ีเหมาะสมใน การปรบั ปรุงคุณภาพน้ํา (Optimum dose of coagulation) เพื่อตกตะกอนสารแขวนลอยในนํ้าการ ทดสอบหาปริมาณการตกตะกอนความดวยเครือ่ งมือทเี่ รยี กวา Jar test ภาพท่ี ... การทาํ Jar test ทม่ี า : การประปาสว นภมู ภิ าค, 2557 1.4 การรวมตะกอน (Flocculation) เปน กระบวนการรวมตวั กนั ของอนุภาคคอนลอยดที่ถูกทําลายเสถียรภาพแลว มีโอกาสสัมผัส กันมากขึ้น มีขนาดใหญพอท่ีจะตกตะกอนไดงาย เรียกวา floc การรวมตะกอนตองมีถังกวนชาหรือ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 29 อุปกรณชวยรวมตะกอน อาจเปนเคร่ืองกวนใบพัด หรือแผนก้ันเพื่อทําใหเกิด floc ใชเวลาประมาณ 30-60 นาทีจังตกตะกอนเปนการแยกเอาตะกอนออกจากของเหลวโดยวิธีการลดความเร็วของน้ําท่ี นําเขาสูถงั ตก กระบวนการนจ้ี ะเกดิ ข้ึนในถงั กวนชา (Slow Mixing Tank) ภาพท่ี 3.4 ปฏิกริยาในถังกวนชา ทีม่ า : พรศกั ดิ์ สมรไกรสรกจิ , 2564 ขั้นตอนที่ 3 การตกตะกอน (Sedimentation) การทําใหตะกอนในนํ้าเกิดการจมตัวลงสูกันตะกอน และใหมีระยะเวลาของการตกตะกอน ประมาณ 2-4 ช่ัวโมง ซึง่ จะทาํ ใหต ะกอนที่มีนํ้าหนักหรือมีความถวงจําเพาะ มากกวานํ้าตกตะกอนอยู ทีก่ ันถัง ภาพท่.ี ...ภาพถังตกตะกอนแบบสีเ่ หลยี่ มผนื ผา ท่ีมา : Glenda McMahon & Ken Chatterton, 2019
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 30 ข้นั ตอนที่ 4 การกรอง (Filtration) การกรอง คือการแยกสารปนเปอนขนาดเล็ก ท่ีแขวนลอยอยูในน้ําออกจากนํ้า โดยใหไหล ผานชองวางของตัวกลางพรุน เชน ทราย ถาน แอนทราไซทวัตถุประสงคของการกรองคือการ ปรับปรุงคณุ ภาพนา้ํ ทางดา นกายภาพ และชีววทิ ยาของน้าํ ใหดีข้ึน โดยกําจัดตะกอน ความขุน ทํา ใหนํ้าใส นอกจากน้ีการการกรอง ชวยลดปริมาณของจุลินทรียท่ีติดมากับน้ํา 58-99% หลักใน การกรองคือเม่ือนํ้าผานกระบวนการการสรางตะกอน รวมตะกอน และการตกตะกอน ยังมี อนภุ าคเลก็ ๆซึ่งยังไมต กตะกอน จะผานการกรองดวยชั้นทรายกรองในถังกรอง ทรายที่นิยมใชใน ถังกรอง มีขนาด 0.5 ม.ม. ถาเปนการกรองดวยผงถานจะใชขนาด 1 ม.ม. ซึ่งมีประโยชนในการ ดดู ซบั กลน่ิ ภาพที่ 3.5 สารทีใ่ ชกรองนํ้าประปา ทีม่ า : ประปาสวนภมู ิภาค 4.1 การกรองชา (Slow Sand Filter) ถังกรองทรายแบบชา (Slow Sand Filter)อัตราการกรองตา (0.13 - 0.42 m3/hr/m2) ใชพื้นท่ีมาก ขนาดทรายเล็กไมจําเปนตองใชสารเคมีในการสรางตะกอนใชกับแหลงนาที่มีการ ปนเปอนนอยน้าํ ดบิ ที่เขา กรอง ความขนุ ไมเกนิ 10-50 NTU
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 31 ภาพท่ี 3.6 ถังกรองชา (Slow Sand Filter) ที่มา : ประปาสวนภูมภิ าค 4.2 ถังกรองทรายแบบเร็ว (Rapid Sand Filter) ถังกรองทรายแบบเร็ว (Rapid Sand Filter) อัตราการกรองสูง (5 - 7.5 m3/hr/m2) ใช พื้นที่นอย จาํ เปนตองใชสารเคมีในการสรา งตะกอนและการตกตะกอน น้ําที่เขา กรองควรมีความขุนไม เกิน 10 NTU ช้ันกรวดเปนสารรองรับสารกรองมีความหนาประมาณ 15-24 น้ิว ถาใชสารกรอง 2 ชนิด คือถานและทราย จะตองวางถานไวช้ันบนของทราย การใชสาร 2 ชนิด จะชวยยืดอายุการใช เครือ่ งกรองไดน านกวาการใช การลางยอ น (Back Wash) การลา งยอนของถังกรองทรายแบบเร็ว- ปลอยนํ้าไหลเขาดานลางถัง ดว ยอตั รา 500 ลิตร/นาที-ตร.ม.จะทาใหชั้นทรายเกิดการขยายตัว สิ่งสกปรกหลุดออกไหลลนเขาราง รบั นํ้าลา งถัง ใชเ วลาลา ง 10 - 15 นาที ประสิทธภิ าพของถงั กรอง ถังกรองนํ้ามีประสิทธิภาพสูง ในการกําจัดสารแขวนลอย และความสกปรกของนํ้าออกไป เชน ความขุน แบคทีเรียสาหราย ไวรัส และจุลินทรียอื่น ๆ สี เหล็กและแมงกานีสที่ออกซิไดสแลว สาร กมั มันตภาพรงั สี สารเคมีทเี่ ติมในระบบผลตอและสารอนื่ ๆ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 32 ปจจยั ทีม่ ีผลตอ ประสทิ ธิภาพการกรองนา้ํ 1. การเตรยี มนาํ้ กอนเขากรอง 2. ความแปรปรวนของอัตราการกรอง 3. ขนาดของสารกรอง 4. อตั ราการลา งยอ น 5. คุณภาพนาํ้ ดบิ 6. ความหนาของชนั้ กรอง 7. อายุของถงั กรอง ขั้นตอนที่ 5 การฆาเช้อื โรคในน้าํ (Disinfection) การฆาเช้ือโรคในน้ํา สารท่ีนิยมใชในการฆาเช้ือโรคในน้ําคือ คลอรีน เปนสารเคมีที่นิยมใชอยาง แพรหลาย เนื่องจากราคาไมแพง มีฤทธ์ิในการทําลายเช้ือจุลินทรียไดดีและรวดเร็ว ความเขมขนที่ใช ตองไมสูงมากนัก ทง้ั สามารถละลายในน้ําใหอ ยใู นรปู ของคลอรนี ตกคาง (Residual Chlorine) ขอเสีย ของคลอรีนคือการเก็บรักษาไดยาก เพราะระเหยได ณ อุณหภูมิหองเปนแกสที่มีความเปนอันตราย และมกี ล่นิ คลอรนี ท่นี ยิ มใชม ี 3 ชนดิ คือ 1. คลอรีนแกส นิยมใชในระบบประปาขนาดใหญตองนําแกสคลอรีนมาละลายนํ้าในภาชนะ ชนิดปด แกสคลอรีนละลายน้ําไดดีท่ีอุณหภูมิต่ําไมควรสูงเกิน 10 องศาเซลเซียส ใชนํ้า คลอรีนผสมลงไปในนํา้ ประปา 2. คลอรีนผง โดยทั่วไปรูจักในรูปของ (Calcium Hypochlorite) ใชเปนสารฆาเช้ือโรค จะอยู ในรปู ของของแข็ง ซงึ่ ประกอบไปดวย Ca(OCl)2 รอยละ 65 ถึง 70 3. คลอรีนน้ํา (Sodium Hypochlorite) โซเดียมไฮโปคลอไรท ใชเปนสารฆาเชื้อโรค อยูในรูป ของเหลว ปจจุบันโรงงานผูผลิตจะเตรียมท่ีความเขมขน 10 % เพื่อใหสามารถใชงานได ทนั ที ขอ ดีและขอ ดอยของการใชคลอรนี ฆา เช้อื โรคในนํา้ ประปา ขอ ดี 1. ราคาถูกเมอื่ เทียบกบั สารเคมอี ่ืนๆที่ใชใ นการฆา เช้ือโรค 2. หาซ้อื งายมจี าํ หนา ยทวั่ ไป 3. วธิ ีการใชง านมีความสะดวกไมยุงยากซับซอน 4. มใี หเ ลอื กหลากหลายรูปแบบ ขอ ดอ ย 1. มีกล่นิ ฉุน 2. กรณีท่นี ํ้ามปี ริมาณสารอนิ ทรยี ส งู จําทําใหเ ปลืองคลอรนี มาก 3. ในกรณใี ชคลอรนี แบกา ซตองมีระบบความปลอดภัยทดี่ ี
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 33 ประสทิ ธิภาพในการทาํ ลายเช้ือโรคของคลอรนี มอี งคป ระกอบสําคัญคือ 1. ความเปน กรดและดา งของน้ํา 2. ความเขม ขนของคลอรนี 3. ระยะเวลาในการสมั ผัสของคลอรีนทเี่ หมาะสมคือ 30 นาที 4. อุณหภูมิ 5. สารอินทรียท่ีอยูในนํ้า เชน หากคลอรีนไปรวมตัวกับสารอินทรียจะเกิดสารประกอบ ประกอบไตรฮาโลมีเทน (สารกอมะเรง็ ) โดยการเติมคลอรีนในกิจการประปาพบวา ควรจะมีปริมาณคลอรีนตกคาง ประมาณ 0.5 ppm แตไมควรจะนอยกวา 0.2 มิลิกรรมตอลิตร ถามีการระบาดของโรคทางนํ้าเกิดข้ึนควรเพิ่ม ปริมาณคลอรีนตกคาง ใหมีปริมาณ 1.0 มิลิกรรมตอลิตร ในกิจการประปาขนาดใหญ นิยมใช เคร่ืองมือเติมคลอรีนเปนเคร่ืองมืออัตโนมัติที่ควบคุมดวยระบบไฟฟาสวนมากจะใชกับคลอรีนแกส การตรวจหาปรมิ าณของคลอรนี ในนา้ํ ในทางปฏิบัติทําไดโดยการใชเคร่ืองมือตรวจหาคลอรีน ใชน้ํายา Orthotolidine ข้นั ตอนท่ี 6 การกักเก็บน้าํ ประปา (Storage/Clarifier Tank/Elevated Tank) นํา้ ทีผ่ า นการกรองแลว ไดผานการฆาเชื้อโรคแลวนํา เขาเก็บไวในถังพักน้ําใสเพื่อใหมีปริมาณ เพียงพอและพรอมท่ีจะนําเขาสูการปรับปรุงคุณภาพข้ันสุดทายถังเก็บนํ้าใสๆควรไดรับการดูแลไมให เกดิ การปนเปอนทีอ่ าจจะเกิดขึน้ ในถัง การทําลายเชื้อจุลินทรียถึงแมวาในถังนํ้าสายจะมีลักษณะที่ใสสะอาดแตยังมีเช้ือจุลินทรียที่ ปะปนอยูในน้ําอาจจะเปนอันตรายและกอโรคจากนํ้าเปนสื่อไดในระยะเวลาท่ีรวดเร็วดังนั้นกอนที่จะ แจกจา ย น้าํ ใส ไปยังผูใชน้าํ จึงจําเปน ตองมกี ารฆาเช้ือและทําลายเช้ือ จุลินทรีย ที่จะหลงเหลือปะปน อยูในนํ้าโดยตองทําการเติมคลอรีนใหมีคลอรีนตกคางอยูประมาณศูนยจุดสองถึงศูนยจุดหาสวนใน ลานสวน เพื่อใหสามารถใชในการฆาเช้ือโรคท่ีจะเกิดการปนเปอนกับนํ้าประปาในขณะจายน้ําใหแก ผูใชน้าํ ได ระบบการแจกจา ยนา้ํ ประปา (Distribution system) น้าํ ประปาท่ีผลิตข้ึนนั้นจะตองมีระบบแจกจายสูประชาชนผูใชน้ําโดยปกติการจายนํ้าประปา จะมสี ิง่ สําคญั สามประการคอื 1. ระบบสูบนาํ้ (Water Pumps) หมายถงึ เครอ่ื งสูบนาํ้ ที่ สูบสงน้ําสะอาด สูบสงน้ําสะอาด ท่ีไปยังผูใชนํ้าท่ีปลายเสนทอแรงดันของน้ําในเสนทอประปาจะจายไปยังอาคารบานพัก อาศัยและสถานที่ทําการตางๆ โดยจะตองมีแรงดันในเสนทอไมนอยกวาสิบหาปอนดตอ ตารางนิว้ หรอื หน่งึ กิโลกรมั ตอตารางเซนติเมตร งานเซลลทจะตองปองกันการปนเปอนที่ จะเกิดขึน้ ในระบบการสูบนาํ้ และตอ งไดร บั การปอ งกนั ดูแลรักษาอยางสมํา่ เสมอ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 34 2. ระบบเสนทอน้ํา (Water pipelines) ในระบบเสนทอจายนํ้าประกอบดวยทอสงนํ้าชนิด และขนาดตางๆตามความเหมาะสม โดยจัดเปนเสนทอหลัก และเสนทอแยกทอ นาํ้ ประปาที่นิยมใชก ันในปจ จุบนั ทาํ ดว ยวัสดุตา งๆเชน ทอเหล็กเคลือบสังกะสีทอเหล็กลอ ทอเหลก็ ไรสนมิ ทอ ซีเมนตทอ พลาสติกในการตอทอนํ้าประปาจะตองระมัดระวังไมใหเกิด การปนเปอนกับส่ิงโสโครกโดยเฉพาะการตอทอนํ้าประปาเขากับทอน้ําโสโครกหรือวาง เสน ทอไวท่ี ไมเหมาะสม เชน อยใู นน้าํ โสโครก อาจจะทําใหน้ําโสโครกมีการปนเปอนเขา สทู อประปาได 3. หอถังสูง (Elevated Tank) หอถังสูงใชเปนที่กักเก็บนํ้าสํารองเพ่ือรักษาระดับแรงดัน ของน้ําประปาในเสนทอ โดยท่ัวไปหอถังสูงจะบรรจุนํ้าไมนอยกวา 50 ลูกบาศกเมตรข้ึน ไป คาํ ถามทา ยบท 1. จงบอกขอ ดีและขอดอยของการใชค ลอรีนฆาเช้ือโรคในนํา้ ประปา 2. จงบอกหลักการทํางานในกระบวนการกวนชา และกระบวนการกวนเร็ว 3. จงบอกหลกั การการปรับปรุงคณุ ภาพนํา้ กระดาง 4. จงอธบิ ายหลักการฆาเช้อื โรคในนาํ้ 5. จงบอกหลกั การกกั เกบ็ และปรับปรงุ คุณภาพนา้ํ ดิบ เอกสารอางองิ โกมล ศวิ ะบวร, เชาวยุทธ พรพิมลเทพ และสวุ ิทย ชุมนมุ ศิริวัฒน . (2527). การประปา เบื้องตน. กรุงเทพฯ : ธนะการพิมพ. ขตั ตยรตั น สงวนสัตย .(2554). ศักยภาพระบบผลตอนํ้าประปาของกิจการประปากระฉอด ตาํ บลตลาดอําเภอเมืองนครราชสีมา จังหวดั นครราชสีมา. โครงงานมหาบัณฑิตการ บริหารงานกอสรางและสาธารณปู โภค มหาวิทยาลัยเทคโนโลยสี รุ นาร.ี จรียาย้มิ รตั นบวร และสดุ จิต ครุจิต. (2555). การประเมินคุณภาพน้าํ ในระบบประปา ชุมชน. รายงานการวิจัย มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สวนสนุ ันทา.
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 35 บทท่ี 4 สัตวแ ละแมลงนาํ โรค แนวคิดและหลักการ สัตวและแมลงและนําโรคบางประเภท นอกจากจะทําลายสุขภาพอนามัยแลว ยัง สรางความเสียหายตาง ๆ ใหแกคนดวย การกําจัดและควบคุมแมลงและสัตวนําโรคจึงมี ความสําคัญเน่ืองจาก ชวยปองกันสาเหตุท่ีทําใหเกิดโรค เพราะแมลงและสัตวนําโรคบาง ชนิดเปน ตัวพาเชื้อโรคจากคนหรือสัตวที่มีเชื้อโรคมาสูคนได เชน ยุงกนปลองนําเชื้อ โรค มาเลเรียแมลงวันนําโรค อหิวาตหรือทองรวง แมลงสาบนําโรคคอตีบ อีกทั้งชวยปองกัน เหตุรําคาญ การกําจัดและควบคุมแมลงและสัตวนําโรค เปนการชวยลดจํานวนของแมลง และสตั วนําโรคลงไดแ ละสงผลใหเหตรุ ําคาญจากสัตวต า ง ๆเหลานีล้ ดลง 1. ยุง (Mosquitoes) ยุงเปนแมลงดูดเลือดที่กอปญหาใหกับชุมชน ยุงบางชนิดสรางความรําคาญ บางชนิดเปน พาหะนําโรค ยุงทเ่ี ปนพาหะนาํ โรคทสี่ าํ คัญในประเทศไทย ไดแ ก ยงุ ลาย เปนพาหะนําโรคไขเลือดออก และชิคุนกนุ ยา ยงุ กน ปลองเปนพาหะนาํ โรคมาลาเรีย ยงุ เสอื เปน พาหะนาํ โรคเทาชาง เปนตน วงจรชีวติ ของยงุ เรม่ิ จากไข (egg) ฟกเปนลูกนํ้า (larva) ภายใน 2-3 วัน ลูกนํ้ามี 4 ระยะ แต ระยะกินอาหารและลอกคราบเพื่อเพ่ิมขนาดของลําตัว อาหารของลูกน้ํา เชน ตะใครน้ํา แพลงตอน หรืออินทรียสารตางๆ ลูกนํ้าระยะสุดทายจะเขาตัวโหมง (pupa) ของยุงจากหาตัวโมงจะใชเวลา ประมาณ 1-3 วัน จึงเปนตัวเต็มวัยยุงตัวผูจะออกจากตัวโมงกอนยุงตัวเมีย ในชวงแรกยุงตัวโตเต็มวัย จะหาน้ําหวานกินเปนอาหารซึ่งน้ําหวานเปนแหลงพลังงานที่สําคัญในระยะแรก มีเพียงยุงตัวเมีย เทาน้ันที่ดูดเลือดในเวลาตอมา เพ่ือชวยใหไขเจริญเติบโตเปนตัวเต็มวัยมีอายุประมาณหนึ่งถึงสอง เดือน ยุงแบงออกเปน 3 subfamily ใหญ คือ Toxorhynchites (ยุงยักษ) Anophelinae (ยุงกนปลอง) และ Culicinae (ยุงลายและยุงรําคาญ) ยุงยักษไมดูดเลือดเปนอาหาร ยุงกนปลอง ยุง ลําคาญและยุงลายดูดเลือดคนและสัตวเปนอาหาร พฤติกรรมการเขาหาเหยื่อในแตละชนิดจะไม เหมือนกนั ยงุ ลายมกั ชอบหากินในเวลากลางวนั สว นยงุ กนปลองและยงุ ราํ คาญหากินในเวลากลางคืน
36 มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบงตารางท่ี 4.1 โรคทนี่ ําโดยยุงในประเทศไทยโรค พาหะ มาลาเรีย (Malaria) ฟลาเรยี (Filariasis) ฟลาเรยี ไขสมองอักเสบ (Encephalitis) ยงุ กนปลอง (Anopheles) ไขเลอื ดออก (Denguehaemorrhagicfever) ยงุ รําคาญ (Culex) ชิคนุ กนุ ยา (Chikungunya) ฟล าเรยี ยุงลาย (Aedes) ฟล าเรยี ยุงเสือ (Mansonia) 1.1 วงจรชีวิต การพัฒนาการเจริญเติบโตของยุงเปนแบบสมบูรณ (complete metamorphosis) หมายถึง การเจรญิ เตบิ โตทมี่ กี ารเปล่ยี นแปลงรูปรางในแตล ะระยะทแ่ี ตกตางกัน แบงเปน 4 ระยะ คือ ระยะไข (egg) ระยะลูกน้ํา (larva) ระยะตัวโมง (pupa) และระยะตัวเต็มวัย (adult) ระหวางการ เจริญเติบโตในแตละระยะตองมีการลอกคราบ (molting) ซ่ึงถูกควบคุมโดยฮอรโมนท่ีสําคัญ 3 ชนิด คอื brain hormone , ecdysone และ juvenile hormone ภาพท่ี 4.1 ภาพวงจรชีวิตของยุง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 37 1.1.1 ระยะไข (egg) ไขย ุงแตละชนดิ มขี นาดและลักษณะไมเ หมือนกัน ลักษณะการวางไขอาจบอกชนิดของกลุมยุง ไดยุงชอบวางไขบนผิวนํ้าหรือบริเวณช้ืน ๆ เชน บริเวณขอบภาชนะเหนือระดับนํ้าการวางไขของยุง แบง ออกเปน 4 ประเภท • วางไขใบเดย๋ี ว ๆ บนผิวนาํ้ เชน ยงุ กนปลอง • วางไขเ ปนแพ บนผวิ นาํ้ เชน ยงุ รําคาญ • วางไขเดี๋ยว ๆ ตามขอบเหนอื ระดบั นํา้ เชน ยุงลาย • วางไขต ิดกับใบพชื นาํ เปน กลุม เชน ยงุ เสือหรือยงุ ฟล าเรยี ระยะไขใชเ วลา 2-3 วนั จงึ ฟกตัวออกเปน ลกู นาํ้ ในยุงบางชนิด เชน ยุงลาย ไขสามารถอยูใน สภาพแหงไดหลายเดือนหรือเปนป เมื่อมีน้ําฝนหรือมีนํ้าขังในภาชนะก็จะฟกออกเปนลูกนํ้าแหลง วางไขของยงุ แตละชนิดแตกตา งกนั เชน ยงุ ลายชอบวางไขในภาชนะทม่ี นี าํ้ ขงั ที่มนุษยสรางข้ึน สวนยุง ราํ คาญชอบวางไขในแหลงนํ้าสกปรกตาง ๆ น้ําเสียจากทอระบายน้ํา แตหากไมพบสภาพนํ้าที่ชอบยุง กอ็ าจวางไขในสภาพนํ้าท่ีผิดไป นักวิทยาศาสตรหลายคนรายงานวาปจจัยที่ชวยใหยุงตัวเมียวางไขมา จากสารเคมีบางอยางในน้ําสารเคมีอาจเปน diglycerides ซึ่งผลิตโดยลูกนํ้ายุงท่ีอาศัยอยูในแหลงนํ้า นั้น หรือเปนกรดไขมัน (fatty acid) จากแบคทีเรีย หรือเปนสารพวก phenolic compounds จาก พืชน้าํ เปน ตน 1.1.2 ระยะลูกนา้ํ (larva) ลูกน้ํายุงแตละชนิดอาศัยอยูในแหลงนํ้าที่ไมเหมือนกัน เชน ตามภาชนะขังนํ้าตาง ๆ บอน้ํา หนอง ลาํ ธาร โพรงไม หรือกาบใบไมท่ีอุมน้ํา เปนตน ลูกนํ้ายุงสวนใหญลอยตัวข้ึนมาหายใจบนผิวน้ํา โดยมที อสาํ หรับหายใจ เรียกวา siphon ยกเวนยุงกนปลองไมมีทอหายใจแตจะวางตัวขนานกับผิวนํ้า โดยมีขนลกั ษณะคลายใบพัด (palmate hair) ชวยใหลอยตัวและหายใจทางรูหายใจ (spiracle) สวน ยุงเสือจะใชทอหายใจซ่ึงสั้นและปลายแหลมเจาะพวกพืชน้ําและหายใจเอาออกซิเจนผานรากของพืช นําอาหารของลกู นา้ํ ยุง ไดแก ส่ิงมีชวี ิตเล็ก ๆ ใน น้ําน่ันเอง เชน แบคทีเรียยีสตสาหรา ย เปนตน ลูกนํ้า จะลอกคราบ 4 ครัง้ เมอ่ื ลอกคราบครงั้ สุดทายกลายเปน ตัวโมง การเจริญเติบโตในระยะลูกนํ้าใชเวลา ประมาณ 7-10 วัน ขน้ึ อยกู ับชนดิ ของลูกนาํ้ อาหารอณุ หภมู แิ ละความหนาแนน ของลูกนา้ํ ดวย 1.1.3 ระยะตัวโมง (pupa) ตัวโมงรูปรางผิดไปจากลูกน้ําสวนหัวเช้ือมตอกับสวนอก รูปรางลักษณะคลายเครื่องหมาย จุลภาค ( , ) ระยะน้ีไมกินอาหาร เคล่ือนไหวอยางรวดเร็ว มีทอหายใจคูหนึ่งที่สวนหัว เรียก trumpets ระยะนีส้ ัน้ ใชเ วลาเพยี ง 1-3 วนั
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 38 1.1.4 ระยะตัวเต็มวัย (adult) แบงออกเปน 3 สวน สวนหัว (head) มีลักษณะกลมเช้ือมติดกับสวนอก ประกอบดวยตา 1 คู ตาของยุงเปนแบบ ตาประกอบ (compound eyes) มีหนวด (antenna) 1 คูมีระยางคปาก (labial palpi) 1 คูและมี อวัยวะเจาะดูด (proboscis)1อัน มีลักษณะเปนแทงเรียวยาวคลายเข็ม สําหรับแทงดูดอาหาร หนวด ของยุงแบง เปน 15 ปลอ ง สามารถใชจ ําแนกเพศของยงุ ไดแ ตล ะปลองจะมีขนรอบ ๆ ในยุงตัวเมียขนน้ี จะสั้นและไมหนาแนน (sparse) เรียกวา pilose antenna สวนยุงตัวผูขนจะยาวและเปนพุม (bushy) เรียกวา plumose antenna หนวดยุงเปนอวัยวะที่ใชในการรับคล่ืนเสียง ยุงตัวผูจะใชรับ เสียงการกระพือปกของยุงตัวเมีย ความชื้นของอากาศ และรับกลิ่น ระยางคปาก (labial palpi) แบงเปน 5 ปลองอยูติดกับ proboscis ในยุงกนปลองตัวเมีย palpi จะตรงและยาวเทากับ proboscis สวนยุงตัวผูตรงปลาย palpi จะโปงออกคลายกระบองในยุงอื่นท่ีไมใชยุงกนปลอง palpi ของตวั เมยี จะสนั้ ประมาณ ¼ ของ proboscis สวนยุงตัวผู palpi จะยาวแตตรงปลายไมโปงและมีขน มากท่ีสองปลองสุดทา ยซ่งึ จะงอขึ้น สวนอก (thorax) มีปก 1 คู ดานบนของอก ปลองกลาง (mesonotum) ปกคลุมดวยขน หยาบ ๆ และเกล็ด ซึ่งมีสีและลวดลายตาง ๆ กัน เราใชลวดลายน้ีสําหรับแยกชนิดยุงไดดานขางของ อกมีเกล็ดและกลุมขนซ่ึงใชแยกชนิดของยุงไดเชนกัน ดานลางของอกมีขาโดยขาแตละขางจะ ประกอบดวย coxaซึ่งมีขนาดส้ันอยูท่ีโคนสุด ตอไปเปน trochanter คลาย ๆ บานพับ femur, tibia และtarsus ซึ่งมีอยู 5 ปลอง ปลองสุดทายมีหนามงอ ๆ 1 คู เรียกวา claws ขาก็มีเกล็ดสีตาง ๆ ใช แยกชนดิ ของยุงไดปก มลี ักษณะแคบและยาว มลี ายเสน ปก (veins) ซึ่งมีช่ือเฉพาะของแตละเสนปกจะ มีเกล็ดสีตาง ๆ กัน ตรงขอบปกดานหลังจะมีขนเรียงเปนแถวเรียก เกล็ด (fringe)และขนบนปกนี้ก็ใช ในการแยกชนิดของยุงไดเชนกัน นอกจากน้ียังมี halteres1 คู อยูที่อกปลองสุดทาย มีลักษณะเปน ปมุ เล็ก ๆ อยตู อจากปก เมอ่ื ยุงบนิ halteresจะสนั่ อยางเรว็ ใชประโยชนในการทรงตัวของยุง สวนทอง (abdomen) มีลักษณะกลม ยาว ประกอบดวย 10 ปลอง แตจะเห็นชัดเพียง 8 ปลอง ปลองที่ 9-10 จะดัดแปลงเปน อวยั วะสืบพันธุในยงุ ตวั ผจู ะใชส วนนี้แยกชนิดของยุงได 1.2 อาหาร ยุงตวั เตม็ วยั ทั้ง 2 เพศ กินนํ้าหวานจากเกสรดอกไมก็สามารถดํารงชีวิตอยูไดแตสวนใหญยุง ตัวเมียยังตองการโปรตีนจากเลือดมนุษยหรือสัตวเพ่ือชวยในการเจริญของไขและใชสรางพลังงาน ดังน้ัน ยุงตัวเมียเทาน้ันที่กัดคนและสัตวยุงแตละชนิดชอบกินเลือดตางกัน พวกท่ีชอบกินเลือดสัตว เรียก zoophilic สวนพวกท่ีชอบกินเลือดคน เรียก anthropophilic เลือดจะเขาไปชวยในการเจริญ ของไข การเจริญของไขเเบบทตี่ อ งการโปรตีนจากเลือด เรียก anautogeny มียงุ ไมกี่ชนิดท่ีไขจะสุกได โดยใชอ าหารท่ีสะสมไวโ ดยไมตองกินเลือด เรียก autogenyเชนยุง Aedes togoi, Culex molestus เปนตน เวลาท่ียุงออกหากินก็ไมเหมือนกัน เชน ยุงลายชอบหากินในเวลากลางวัน ยุงรําคาญชอบหา กินในเวลากลางคนื ยงุ แมไ กชอบหากินตอนพลบคํ่าและยาํ่ รงุ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 39 1.3 การบนิ มีลักษณะเฉพาะสําหรับยุงแตละชนิด เชน ยุงลายบานจะบินไปไมไกล บินไดประมาณ30- 300 เมตร ยงุ ลายสวนบินไดประมาณ 400-600 เมตร ยุงกน ปลองบนิ ไดประมาณ 0.5 - 2.5 กิโลเมตร สวนยุงรําคาญบินไดตั้งแต 200 เมตรถึงหลายกิโลเมตร ยุงพาหะนําโรคไขสมองอักเสบบินไดไกลถึง 50 กิโลเมตร ยุงตัวเมยี สามารถบนิ ไดไกลกวา ยุงตัวผู 1.4 การผสมพนั ธุ ยุงตวั ผูลอกคราบโผลอ อกจากตวั โมง กอ นยงุ ตวั เมีย และอยูใกล ๆ แหลง เพาะพันธุเมื่อตัวเมีย ออกมา 1-2 วัน จะผสมพันธุกัน หลังจากผสมพันธุแลวยุงตัวเมียจะออกหาแหลงเลือดแตยุงบางชนิด ตองการเลือดกอนการผสมพันธุเชน Anopheles Culicifacies เปนตน นอกจากน้ียุงกนปลองมี พฤติกรรมการบินนี้เปนกลุมเพ่ือการจับคูผสมพันธุเรียก swarming ซึ่งมักเกิดข้ึนตอนพระอาทิตย กําลังตก โดยแสงท่ีออนลงอยางรวดเร็วมีผลในการกระตุนกิจกรรมนี้สวนยุงลายจับคูผสมพันธุโดยไม ตอง swarm ตัวผูจะตอบสนองตอเสียงกระพือปกของยุงตัวเมีย ยุงลายตัวผูสามารถคนหาตัวเมียได ภายในระยะทาง 25 เซนติเมตร 1.5 อายขุ องยุง ยุงตัวผมู ักมีอายุสั้นกวายุงตัวเมีย โดยยุงตัวผูมีอายุประมาณ 1 สัปดาหยกเวนในกรณีที่เลี้ยง ดูดวยอาหารสมบูรณและมีความชื้นเหมาะสมจะมีอายุอยูไดเปนเดือนสวนยุงตัวเมียมีอายุ 1-5 เดือน อายุของยุงขึ้นอยูกับปจจัยหลายอยางเชน ในฤดูรอน ยุงมีกิจกรรมมากทําใหอายุสั้นเฉล่ียประมาณ 2 สปั ดาห ในฤดูหนาวยุงมีกจิ กรรมนอยจึงอายุยืน ในบางพืน้ ทีย่ ุงสามารถจําศีลตลอดฤดูหนาว 1.6 ชนิดของยุงทส่ี ําคัญในทางการแพทยม ี 4 ตระกลู ไดแก • ยุงลาย (Genus Aedes) • ยุงควิ เล็กซห รอื ยงุ รําคาญ (Genus Culex) • ยุงกน ปลอง (Genus Anopheles) • ยุงเสอื หรือยงุ ฟล าเรยี (Genus Mansonia) 1.6.1 ยงุ ลาย 1.6.1.1 ยงุ ลายบา น (Aedes aegypti) ตัวเต็มวัยยุงลายชอบอาศัยอยูในบานและหากินในบาน ดูดเลือดคนี้เปนอาหาร (indoor feeding mosquitoes) ชอบออกหากนิ ในเวลากลางวนั สวนชวงออกหาอาหาร 2 ชวง คือเชา (08 :00 - 11 :00 น) และบาย (14 :00 - 16 :00 น) หลังจากดูดเลือด 2-3 วัน จะวางไขในน้ําขังตาม ภาชนะตาง ๆ ภายในบาน เชน ตามจานรองขาตูแจกันดอกไมตุมนํ้าอางอาบน้ําในหองนํ้า เปนตน หลังจากไดมีการรณรงคใหทําลายแหลงเพาะพันธุในบาน พบวายุงลายบานออกไปวางไขนอกบานมาก ขน้ึ ตามภาชนะทีท่ ้งิ กระจดั กระจาย อาทยิ างรถยนตกระปองนํ้าถงุ พลาสติก ขวดยา เปน ตน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 40 1.6.1.2 ยุงลายสวน (Aedes albopictus) เปนยุงพาหะนําโรคไขเลือดออกและเปนยุงทองถ่ิน พบในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใตมัก พบตามสวนผลไมสวนยางพารา ชอบหากินในเวลากลางวันเหมือนยุงลายบาน หลังจากกินเลือด 2-3 วัน ตัวเต็มวัยจะวางไขตามแหลงนํ้าขังตาง ๆ นอกบาน ตามสวนผลไมหรืออาจพบลูกนํ้าตามโพรง ตน ไมท ี่มนี ํา้ ขัง หลังจากท่ีมีการรณรงคทําความสะอาดีหรือเก็บกวาดทําลายแหลงเพาะพันธุเชน ตาม สวนผลไมข องยงุ ประเภทน้อี ยา งตอ เนอื่ ง ยุงชนดิ น้เี ขา มาวางไขใ นบานและอยูรวมกบั ยุงลายบาน 1.6.2 ยุงกนปลอง 1.6.2.1 ยุงกนปลองไดรัส (Anopheles dirus) ยุงกนปลองชนิดนี้เปนพาหะนําโรคมาลาเรียท่ีสําคัญในประเทศไทย มักพบในปาลึกยากตอ การควบคุม อาจพบลกู น้ํายุงชนดิ นี้ตามน้าํ ขังของรอยเทา สตั วบ อ พลอย หรือแองนํ้าขังน่ิงของโขดหินที่ มีรมเงา เปนตน ตัวเต็มวัยออกหากินในเวลากลางคืน โดยสามารถบินไดหลายกิโลเมตรเพ่ือหาเหยื่อ หลังจากการดูดเลือดประมาณ 2-3 วัน จะวางไขและไขเจริญเปนลูกนํ้า ตัวโมงและตัวเต็มวัยตอไป พบวายุงกนปลองไดรัสในประเทศไทยไมตานทาน หรือด้ือตอสารเคมีที่ใชในการควบคุม ทั้งน้ีอาจ เนื่องมาจากพฤติกรรมการหลีกหนีสารเคมี (avoidance behavior) ซ่ึงจัดเปนพัฒนาการอยางหนึ่ง เพื่อความอยูรอด 1.6.2.1 ยุงกน ปลอ งแมกคูลาตสั (Anopheles maculatus) เปนยุงกนปลองที่เปนพาหะนําโรคมาลาเรียท่ีสําคัญอีกชนิดหน่ึง พบมากทางภาคใตของ ประเทศไทยตามสวนยางพาราและสวนผลไมตัวออนอาศัยอยูตามลําธารนํ้าไหลริน ๆ มีหญาข้ึนปก คลุมและมีแสงแดดสองรําไร ตัวเต็มวัยบินออกหาอาหารในเวลากลางคืน โดยดูดกินเลือดโฮสตทั้ง มนุษยและสัตวเล้ียง พบวายุงในกลุมน้ีจัดเปนยุงพาหะชนิดซับซอน (complex species)ในประเทศ ไทยมมี ากกวา 5 กลุม ยอย แตละกลุม มคี วามสาํ คัญแตกตา งกันไปในแตละพื้นท่ี 1.6.2.2 ยงุ กนปลองมินิมัส (Anopheles minimus) ยุงกนปลองมินิมัสเปนพาหะนําโรคมาลาเรียซ่ึงพบหลายในประเทศตาง ๆแถบทวีปเอเชีย และเอเชียอาคเนยรวมท้ังประเทศไทยดวย ในประเทศไทยยุงกนปลองมินิมัสไดถูกจัดเปนยุงพาหะ ชนิดซับซอนท่ีนําเช้ือมาลาเรียและแพรกระจายอยูท่ัวไป ยุงชนิดนี้มีแหลงท่ีอยูอาศัยตามบริเวณชาย ปา หรือชายเขาที่มีธารนํ้าไหลริน ๆ และมีนิสัยชอบดูดเลือดคนภายในบาน ตอมาเม่ือสภาพ นิเวศวิทยาเกิดการเปลี่ยนแปลงทําใหแหลงที่อยูอาศัยของยุงชนิดน้ีลดนอยลงไป สภาพแวดลอมตาง ๆ ท่ีเปล่ียนไปอันเนื่องมาจากการทําลายปา รวมทั้งการใชสารเคมีชนิดตาง ๆ ท้ังทางดานการเกษตร และทางดา นสาธารณสุข โดยเฉพาะอยา งย่ิงการใชด ีดีทีควบคุมมาลาเรียเปนเวลานานทําใหยุงชนิดน้ีมี การเปล่ียนแปลงดานพฤติกรรม และมีการตอบสนองตอการเปล่ียนแปลงที่เกิดขึ้นโดยเขามาอยู ใกลชดิ มนุษยมากข้นึ จนกลายเปนยงุ พาหะที่มีความสาํ คญั ในบางพื้นท่ีของประเทศไทย
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 41 1.6.3 ยงุ ยกั ษ (Toxorhynchites sp.) ยุงยักษแพรพันธุตามแหลงนํ้าขังทั่วไป สวนใหญมักเปนน้ํานิ่งท่ีมีเศษวัชพืช หรืออินทรียสาร พบมากตามบริเวณสวนผลไมหรือสวนยางพารา ในประเทศไทยพบยุงยักษไดทั่วไปและมักอาศัยอยู รวมกับยุงลายบานและยุงลายสวน บางครั้งอาจพบอยูรวมกับยุงรําคาญ โดยเฉพาะทางภาคใตและ ภาคตะวันออกของประเทศไทย ยุงยักษทั้งเพศผูและเพศเมียไมดูดเลือดเปนอาหารเนื่องจากปากได พัฒนาไวสําหรับดูดของเหลวหรือน้ําหวานจากเกสรดอกไมพบวาลูกน้ํายุงยักษในธรรมชาติชวยกําจัด ลูกน้ํายุงลายและยุงรําคาญประเทศในแถบอเมริกากลางและใตนายุงยักษไปควบคุมยุงชนิดอ่ืน (McClelland,1990) 1.6.4 ยุงรําคาญ (Culex quinquefasciatus) พบมากในแอฟริกาและเอเชีย วางไขเปนแพในนํ้าเนาเสีย ทอระบายนํ้าท้ิงแหลงเพาะพันธุ อยูใกลบาน ไขแพหนึ่งมีประมาณ 200 - 250 ฟอง ไขฟกภายใน 30 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิ 24-30 องศา เซลเซียส ออกหากินกลางคืน ชอบกินเลือดคน ในประเทศพมา อินเดีย อินโดนีเชีย ยุงชนิดนี้เปน ตัวการสาํ คญั ในการนําโรคฟล าเรยี สําหรบั ประเทศไทยพบวายงุ ชนิดนีส้ ามารถนาํ เชอ้ื ฟลาเรียไดเชนกัน แตย งั มีขอ มูลจาํ กัด นอกจากนอ้ี าจทําใหม ีอาการคัน แพแ ละเกดิ เปน แผลพุพองได 1.6.4.1 ยงุ รําคาญ (Culex tritaeniorhynchus) ยงุ ชนดิ นีเ้ ปน ตัวนําเช้ือไวรัส Japanese encephalitis ซ่ึงทําใหเกิดโรคไขสมองอักเสบพบทั่วไป ในประเทศไทย แตพบมากในจังหวัดภาคเหนือเชน เชียงใหมเชียงราย อุตรดิตถนาน เปนตน แหลง เพาะพันธุอยูตามทองนา แหลงนํ้าท่ีเกิดจากรอยเทาสัตวบอนํ้าเล็ก ๆ ที่มีพืชตามลําธาร ชอบกินเลือดวัว ควาย หมมู ากกวา เลือดคนและนก ออกหากินตง้ั แตพลบค่ําจนตลอดคืน สวนมากหากนิ นอกบา น 1.6.4.2 ยงุ รําคาญ (Culex gelidus) เปนตัวนําเช้ือไวรัสท่ีทําใหเกิดโรคไขสมองอักเสบเชนเดียวกับ Cx. tritaeniorhynchus แหลง เพาะพนั ธุเชน สระนา้ํ บอ หนอง นํ้าลางคอกสัตวคูน้ํา เปนตน ชอบอาศัยอยูในแหลงน้ําที่มีพืชน้ํา หากินกลางคืน ชอบกนิ เลอื ดสัตวรวมทั้งคน 1.6.4.3 ยงุ รําคาญ (Culex fuscocephala) เปนตัวนําเช้ือไวรัส ที่ทําใหเกิดโรคไขสมองอักเสบ พบตามหนองนํ้าบึงนาขาว หากิน กลางคนื ชอบกินเลอื ดสตั วเ ชน วัว ควาย สุกร นก และเลือดคน เปนตน 1.7 การจัดการแหลง เพาะพนั ธุ ขั้นตอนการดําเนินการเร่ิมจากการสํารวจแหลงเพาะพันธุความชุกชุมของลูกนํ้าและตัวยุง เพื่อวางแผนจดั การควบคมุ ภายหลังการปฏิบัติงานตองมีการประเมินผลโดยสํารวจแบบเดียวกับกอน การควบคุมเพือ่ ตรวจสอบวายุงลดลงหรือไม แหลง เพาะพันธุของยงุ แตละชนิดแตกตางกัน ดังนั้น ตอง มีความรูเกี่ยวกับชีววทิ ยาและนเิ วศวิทยาของยุงทีต่ อ งการกาํ จัด ดังนี้ 1.7.1 ยุงลาย
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 42 ยุงลายมีแหลงเพาะพันธุในภาชนะขังนํ้า เชน โองใสนํ้าด่ืม-น้ําใช บอคอนกรีต น้ําในหองนํ้า แจกนั ภาชนะใสตน ไม จดั การตองเปนการหาวิธปี องกนั ไมใ หภาชนะดังกลาวเปนแหลงเพาะพันธุ เชน ปดฝาภาชนะใหม ดิ ชิดดวยผา ตาขาย อลูมิเนียมหรือแผนโลหะ ทําความสะอาดขัดลางโอง ระบายน้ํา ทิ้ง เปลี่ยนนํ้าในแจกันทุก 4-5 วัน ในกรณีของวัสดุที่ไมไดใชประโยชนเชนยางรถยนตเกา โอง-อาง แตกชํารดุ ควรแนะนาํ ใหก าํ จดั ทิ้งไป หรือนาํ ไปดัดแปลงใชใหเกดิ ประโยชนอ่ืน เชน นาํ ไปใสดินปลูกพืช สวนครัว เปน ตน สาํ หรับแหลงเพาะพันธุตามธรรมชาติเชน โพรงไมกาบใบพืช กระบอกไมไผสามารถ ปอ งกนั ไมใ หเ ปนแหลงเพาะพนั ธุโดยใสดิน หรือทราย หรอื อดุ ดวยซีเมนต หรือฉีดพนสารกําจัดลูกนํ้า ซ่ึงอาจใชสารเคมีหรือสารชีวภาพ วิธีการจัดการกับวัสดุท่ีไมใชแลว เชน ขวด กระปอง โองแตก ไห แตก ถังพลาสติกชํารุด ยางรถยนตกะลามะพราว เปลือกทุเรียน ถวยยางพาราเกา ๆ เปนตน มี ดังตอ ไปน้ี - ฝง เผาทําลาย หรือเก็บรวบรวมใสถุง นําไปทํารองเทายาง ถังน้ําถังขยะหรือนําไปหลอม กลบั มาใชใหม - ยางรถยนตเกาอาจนําไปดัดแปลงใชประโยชนเชน ปลูกตนไมทําถังขยะชิงชาเด็กเลน ทํา รองเทา ทาํ เกา อี้ทําแนวก้นั ดินปองกันการถกู คลื่นเซาะทําลาย ใชในการปรับปรุงคุณภาพยาง มะตอย ใชเปน เช้อื เพลิงในระดับอตุ สาหกรรม - กะลามะพราว เปลอื กทเุ รียน นาํ ไปใชเปนเชื้อเพลิง - เรือบดเลก็ หรอื เรอื ชํารดุ ใหคว่ําไวเ ม่อื ไมใชงาน 1.7.2 ยุงรําคาญ เพาะพันธอุ ยใู นทอระบายนํ้า แหลงนํ้าขังท่ีมีมลภาวะสูง การจัดการปรับสภาพแวดลอมเพื่อ ไมใหเปนแหลง เพาะพันธทุ าํ ไดห ลายวิธเี ชน - การเก็บขยะในแหลงนํ้าขังเพ่ือจะไดไมเปนอาหารของลูกน้ําและเปนท่ีหลบซอนของลูกนํ้า จากการสังเกตพบวาแองน้ําขังหรือคลองที่ไมมีขยะลอยอยูในน้ําจะไมคอยมีลูกน้ํายุงรําคาญ เพราะไมมแี หลง เกาะพักของลูกนํ้า ไมม รี ม เงา - การกาํ จัดตนหญาที่อยูร ิมขอบบอ - การทําใหทางระบายน้าํ ไหลไดสะดวก เพราะยุงรําคาญชอบอาศัยในแหลงนํ้าขังหรือน้ําน่ิงซ่ึง มเี ศษขยะลอยอยูบนผิวนาํ้ - การถมหรอื ระบายน้ําในแหลงน้าํ ทไี่ มจ ําเปน ออก เพอื่ ลดแหลง เพาะพนั ธใุ หนอยลง 1.7.3 ยุงกนปลอง เปนพาหะโรคมาลาเรียมีแหลงเพาะพันธุตามลําธาร บอพลอย แองหิน แองดินคลอง ชลประทาน สามารถปรับเปล่ียนสภาพแวดลอมใหไมเหมาะสมโดยการกลบถมปรับปรุงความเร็วของ กระแสนํ้าเพ่ือรบกวนการวางไขของยุงและทําใหไขยุงกระทบกระเทือน จัดการถางวัชพืชริมลําธาร ลดรมเงาและแหลงเกาะพัก นอกจากน้ีการใชสารเคมีบางชนิด เชน สารกลุมไพรีทรอยดสังเคราะห (synthetic pyrethroids) ฉีดพน ตามฝาบานเรอื นดานใน เพอ่ื ไลห รือฆา ขณะทีย่ งุ กนปลองมาเกาะพกั
Search