การป้องกันการหกลม้ ของผสู้ ูงอายุ ชุมชนบ้านขนุน ตำบลบา้ นเลือกมหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง อำเภอโพธาราม จงั หวดั ราชบุรี โดยการมีส่วนร่วมของชมุ ชน รุ่งอรณุ สุทธิพงษ์ งานวิจยั นไ้ี ดผ้ า่ นการพจิ ารณาจากมหาวิทยาลยั ราชภฏั หมู่บา้ นจอมบงึ และไดร้ บั ทนุ อุดหนนุ การวิจัยจากมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บา้ นจอมบงึ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 มหาวิทยาลยั ราชภฏั หม่บู ้านจอมบึง พ.ศ. 2564 ลิขสทิ ธ์เิ ป็นของมหาวิทยาลยั ราชภัฏหมบู่ า้ นจอมบึง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง การป้องกันการหกลม้ ของผสู้ งู อายุ ชุมชนบ้านขนนุ ตำบลบา้ นเลือก อำเภอโพธาราม จงั หวดั ราชบรุ ี โดยการมีส่วนร่วมของชมุ ชน รุ่งอรณุ สุทธิพงษ์ งานวิจยั นไ้ี ดผ้ า่ นการพจิ ารณาจากมหาวิทยาลยั ราชภฏั หมู่บา้ นจอมบงึ และไดร้ บั ทนุ อุดหนนุ การวิจัยจากมหาวิทยาลยั ราชภัฏหมู่บา้ นจอมบงึ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 มหาวิทยาลยั ราชภฏั หม่บู ้านจอมบึง พ.ศ. 2564 ลิขสทิ ธ์เิ ป็นของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมูบ่ า้ นจอมบึง
ชื่อเรื่อง การปอ้ งกนั การหกลม้ ของผ้สู งู อายุ ชมุ ชนบา้ นขนุน ตำบลบ้านเลอื ก อำเภอโพธาราม จังหวดั ราชบรุ ี โดยการมสี ว่ นร่วมของชุมชน ผ้วู จิ ยั ร่งุ อรณุ สทุ ธิพงษ์ สาขาวิชา สาธารณสุขศาสตร์ ปี 2564 มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง บทคัดย่อ การวจิ ยั ครง้ั นม้ี ีวตั ถุประสงคเ์ พอ่ื 1) ประเมนิ ความเส่ียงการหกล้มของผู้สงู อายุชุมชนบ้านขนุน ตำบลบ้านเลือก อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี และ 2) ศึกษาแนวทางการป้องกันการหกล้มของ ผสู้ งู อายุ ชุมชนบ้านขนนุ ตำบลบา้ นเลอื ก อำเภอโพธาราม จงั หวดั ราชบุรี การดำเนินการวิจัยแบง่ เป็น 2 ข้ันตอน คือ 1) ขน้ั ประเมินความเสี่ยงต่อการหกล้มของผูส้ งู อายุ กลุม่ ตัวอยา่ ง คอื ผู้สงู อายุในชุมชน บ้านขนุน ตำบลบ้านเลือก อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี จำนวน 127 คน ได้มาด้วยวิธีเลือกแบบ เจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบประเมินความเสี่ยงต่อการหกล้มสำหรับผู้สูงอายุไทยที่ อาศัยในชุมชนของ ลดั ดา เถียมวงศ,์ สทุ ธชิ ัย จิตะพันธก์ ลุ , และจักษณา ปัญญาชีวนิ (2547) และแบบ ประเมินสภาพแวดลอ้ มในบ้านของผู้สงู อายุ ของนงนชุ วงศส์ วา่ ง และคณะ (2560) 2) ข้นั ศึกษาแนว ทางการป้องกันการหกล้มของผูส้ ูงอายุ กลุ่มตัวอย่าง คือ ตัวแทนผู้สูงอายุ ญาติผู้สูงอายุ ผู้นำชุมชน อสม. เจ้าหน้าสาธารณสุขในชุมชน จำนวน 30 คน ได้มาด้วยวิธีเลือกแบบเจาะจง โดยประยุกต์ใช้ กระบวนการวางแผนงานอย่างมีส่วนร่วม AIC วิเคราะห์ข้อมูลทัง้ 2 ข้ันตอน ข้อมลู เชิงปริมาณ หาค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละ ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์ เนือ้ หาและตีความตามประเด็นการประชุม ผลการวิจยั พบว่า 1. ผสู้ ูงอายุทีอ่ ย่ใู นกล่มุ เสยี่ งต่อการหกล้มมี 34 คนคิดเปน็ รอ้ ยละ 26.77 ปจั จัยเส่ียงท่ีพบคือ การเป็นเพศหญิงร้อยละ 69.29 การมองเห็นบกพร่องร้อยละ 46.46 การทรงตัวบกพร่องร้อยละ 21.26 ใช้ยาที่เสี่ยงต่อการหกล้มร้อยละ 61.42 มีประวัติเคยหกล้ม 2 ครั้งใน 6 เดือนก่อน ร้อยละ 12.60 และอยใู่ นบา้ นยกพ้ืนสูง 1.5 เมตรข้นึ ไปร้อยละ 27.56 2. ผู้สงู อายทุ ่ีมีความเสี่ยงด้านส่งิ แวดล้อมในบ้าน อย่ใู นระดับสูงมีจำนวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 0.79 และอยูใ่ นระดบั ปานกลางมีจำนวน 13 คน คิดเป็นร้อยละ 10.24 โดยมีปัจจัยเสีย่ งมากทีส่ ุด 3 ลำดับแรกคือ 1) พื้นบ้านมีพรม เสื่อ ผ้ายางหรือผ้าปูรองพื้น ร้อยละ 64.57 2) พื้นบ้านวางข้าวของ เกะกะ ร้อยละ 32.28 และ 3) บริเวณทางเดินมีสายไฟ สายโทรศัพท์หรือสายพ่วงต่อพาดผ่าน และ บริเวณบันไดมผี ้าหรอื พรมเชด็ เท้า มีร้อยละ 29.13 เท่ากัน 3. แนวทางการปอ้ งกนั การหกลม้ ของผู้สูงอายุ จัดใหม้ กี ลุม่ ผู้รบั ผิดชอบเป็น 3 กลุ่ม คอื 1) กลุ่ม ผู้สูงอายุและญาติ 2) กลุ่ม อสม.และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และ 3) กลุ่มผู้นำชุมชน โดยหาวิธีการ ป้องกันการหกล้มตามปัจจัยเสี่ยงที่พบคือด้านการใช้ยา ด้านการมองเห็นบกพร่อง ด้านการทรงตัว
ข และดา้ นสภาพแวดลอ้ ม ซึ่งแตล่ ะกล่มุ ไดแ้ นวทางการปอ้ งกันการหกลม้ ของผูส้ งู อายุ 4 ด้านคอื 1) การ ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจ 2) การดูแลรักษาสุขภาพ 3) การส่งเสริมการออกกำลังกาย และ 4) การ ปรบั ปรุงสภาพแวดล้อม คำสำคญั : ผู้สงู อายุ การป้องกนั การหกลม้ การประเมินความเส่ยี งตอ่ การหกล้ม การประเมนิ ความเสยี่ งดา้ นสิ่งแวดลอ้ มในบา้ น มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
Research Title Elderly falls prevention for Ban Kanun community of Ban Lueak subdistrict, Photharam district, Ratchaburi province by community involvement Researcher Rung-arun Sutthiphong Program Public Health Academic Year 2021 ABSTRACT มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง The purposes of this research were: 1) to assess the elderly fall risk and 2) to establish fall prevention guidelines for the elderly in Ban Kanun community-dwelling, at Ban Lueak subdistrict, Photharam district, Ratchaburi province. Research organizing composed of 2 stages. The first stage, evaluation falling risk of the elderly. 127 senior citizens, sampling by purposive selection method in Ban Kanun community-dwelling, at Ban Lueak subdistrict, Photharam district, Ratchaburi province were the sample for this study. The research instruments comprised of Thai Falls Risk Assessment Test (THAI-FRAT) (Thiamwong, Jitapunkul & Panyacheewin, 2004) and Home Environmental Assessment Tool (Wongsawang et al., 2017) were used in this study. The second stage, creating fall prevention guidelines for the elderly. Thirty persons of the elderly representative group, the elderly and relatives, community leaders, village health volunteers, and state health officials, sampling by purposing selection method, were the samples. They had conferenced by applying the AIC process. Data from two stages were analyzed in terms of means, standard deviations, and percentages for the quantitative data, and the qualitative data were analyzed by content analysis and interpretation by each conference topics. The results showed that: 1. There are 34 seniors at risk for falling (26.77%). The risk factors that related for falls are female gender (69.29%), poor eye vision (46.46%), balance impairment (21.26%), using medicine that induce falling (61.42%), history of recurrent falling 2 times in early 6 months (12.60%) and living in the house with high platform of 1.5 meters (27.56%). 2. Only one senior who was in high risk level of house environmental risk (0.79%), and 13 seniors (10.24%) were in middle risk level. The 3 first orders of risks were 1) There were rug, mat, rubber mat or ground floor cloth on house floor (64.57%), 2) There was untidily things on the floor (32.28), and 3) Pathway area had electrical
wire, telephone line or connecting line leaned on, and staircase area had cloth or foot scraper, all equals (29.13). 3. Guidelines for fall prevention of the elderly, there were 3 responsible groups, 1) Group of the elderly and relatives, 2) Group of village health volunteers and state health officials, and 3) Group of community leaders. These groups should find fall prevention methods according to found risk factors: medical use, visual impairment, balance impairment and house environment. Each group had falls prevention guidelines in 4 aspects: 1) Promotion of knowledge and understanding 2) Health care 3) Exercise promotion and 4) Environmental modification. Keyword: Elderly, Falls Prevention, Falling Risk Assessment, Home Environmental Risk Assessment มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
กติ ติกรรมประกาศ งานวจิ ัยเลม่ น้ีสำเร็จลุลว่ งไปได้ดว้ ยดเี นื่องจากผ้วู จิ ยั ไดร้ ับการสนับสนุนและความกรุณาจาก ผู้มีพระคุณหลายฝ่าย ขอขอบคุณสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ที่ เป็นผู้สนับสนุนและจัดสรรงบประมาณในการทำวิจัย (งบประมาณอุดหนุนการทำวิจัยมหาวิทยาลัย ราชภัฏหมบู่ า้ นจอมบึง) ขอขอบคุณ ภาคีเครอื ขา่ ยร่วมวิจยั จากภายนอก คือ 1) โรงพยาบาลส่งเสริม สุขภาพตำบลบ้านเลือก โดยฉพาะนายนิคม พุทธา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล บ้านเลอื ก ทีช่ ว่ ยประสานงานกับฝา่ ยต่าง ๆ ใหก้ ารสนับสนุนข้อมลู บคุ ลากรและอำนวยความสะดวก เกี่ยวกับสถานท่ีในการประชุมอบรมและการสนทนากลุ่ม 2) อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมูบ่ ้าน บ้านขนุน ตำบลบ้านเลือก ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยวิจยั ในการเก็บขอ้ มูล และ 3) ชมรมผู้สูงอายุบ้านขนุน ตำบลบ้านเลือก ที่ให้ความร่วมมือในการวิจัยครั้งนี้เป็นอย่างดี ขอขอบคุณ รองศาสตราจารย์ ดร. ประพัฒน์ ลักษณพิสุทธิ์ ที่กรุณาให้คำปรึกษาและตรวจบทคัดย่อให้มีความถูกต้องสมบูรณ์ ขอขอบคุณ เจา้ หน้าท่อี งคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถน่ิ เทศบาล กำนนั ผ้ใู หญ่บา้ น เจา้ หน้าท่ีสาธารณสุข อสม. ผู้สูงอายุ และญาติผู้สงู อายุ ตำบลบ้านเลือก อำเภอโพธาราม ที่มีส่วนเก่ียวข้องในการให้ข้อมูล และใหค้ วามร่วมมือในการดำเนนิ การวจิ ยั ครงั้ น้ี จนทำใหก้ ารวจิ ยั สำเรจ็ ลุล่วงไปไดด้ ว้ ยดี ขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สำราญ สุขแสวง คณบดีวิทยาลัยมวยไทยศึกษาและ การแพทย์แผนไทย คณาจารย์สาขาวิชาสาธารณสขุ ศาสตร์ และเจ้าหนา้ ที่วิทยาลัยมวยไทยศึกษาและ การแพทยแ์ ผนไทย ทีใ่ หค้ วามอนเุ คราะห์สถานที่และอำนวยความสะดวกในทกุ ด้าน และขอขอบคุณ ครอบครวั เพื่อน และนกั ศกึ ษาท่ีชว่ ยสนบั สนุน เป็นกำลงั ใจและรว่ มจดั กิจกรรมมาโดยตลอด รุ่งอรุณ สุทธิพงษ์ ผู้วจิ ัย มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง สารบัญ หน้า บทคดั ยอ่ ภาษาไทย .................................................................................................... ก บทคดั ย่อภาษาอังกฤษ ................................................................................................. ค กติ ติกรรมประกาศ ....................................................................................................... จ สารบัญ ......................................................................................................................... ฉ สารบญั ตาราง .............................................................................................................. ซ สารบัญภาพประกอบ ................................................................................................... ฌ บทที่ 1 บทนำ ………………...…..…………………………………………….………….................................. 1 ความเป็นมาและความสำคญั ของปญั หา ………………..…………….….…………..................... 1 วตั ถุประสงค์ของการวจิ ยั …………………………………………………………....……..................... 2 ขอบเขตของการวิจัย ………………………………………………………………....……...................... 3 นิยามศัพท์ …………….……………………………………………………….…….................................. 3 ประโยชนท์ ี่คาดว่าจะไดร้ บั ………………………………………………….…….............................. 4 2 เอกสารและงานวิจยั ทเี่ กย่ี วขอ้ ง …………………………….………………………....................... 5 แนวคิดและทฤษฎเี ก่ียวกับผู้สูงอายุ…….…………...……………………………............................ 5 แนวคิดเก่ียวกับปจั จัยเส่ยี งตอ่ การหกลม้ ของผสู้ งู อายุ.............…………………..................... 11 แนวคดิ เกย่ี วกบั การประเมนิ ความเสยี่ งในการหกลม้ .............................…….…….............. 16 แนวคดิ เก่ียวกบั การจดั การปจั จยั เสี่ยงเพอื่ ป้องกันการหกล้มของผสู้ ูงอายุ....................... 19 แนวคดิ เกีย่ วกบั การวางแผนงานอย่างมีสว่ นรว่ ม (AIC)...............………………................... 20 ภาวะสขุ ภาพกับการหกล้มของผูส้ ูงอายุไทย….………….………………….………….................. 24 งานวิจัยทเี่ กี่ยวขอ้ ง …………………..……………………………………………................................ 27 กรอบแนวคิดของการวิจยั ……………………………….……………………….……....……............... 35 3 วธิ ีดำเนนิ การวิจยั ………………...…..……………………………………....……............................. 36 ขั้นตอนที่ 1 ประเมนิ ความเสย่ี งการหกลม้ ..................................................................... 36 ข้นั ตอนที่ 2 ศึกษาแนวทางการปอ้ งกนั การหกล้มของผู้สูงอาย…ุ …………………................. 38
ช สารบญั (ตอ่ ) หน้า บทที่ 4 ผลการวจิ ยั ………………………....………………………….…………..……............................. 40 ขั้นตอนท่ี 1 ผลการประเมินความเสย่ี งการหกล้มของผ้สู ูงอายุ …….............................. 41 ขน้ั ตอนที่ 2 ผลการศกึ ษาแนวทางการป้องกันการหกลม้ ของผู้สงู อายุ ......................... 47 5 สรปุ อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ………………..………………………….…....................... 57 สรปุ ผลการวิจัย ………………….……………………………………………......................................... 57 อภิปรายผล ………………………...……………………………………………....................................... 58 ข้อเสนอแนะ ………………………...……………………………………………..................................... 61 บรรณานกุ รม ………………..……………......................……………………..……............................... 63 ภาคผนวก ………………..…………………………………………………..…..…..................................... 70 ภาคผนวก ก เครอ่ื งมอื ทีใ่ ช้ในการวิจยั ………………..…………………………........................ 71 ภาคผนวก ข รายชือ่ ผู้เข้าร่วมประชาคม /กระบวนการ AIC….………………….................. 74 ภาคผนวก ค รายชอ่ื ผู้ร่วมสนทนากลมุ่ ตดิ ตามการดำเนนิ กิจกรรม………….................. 77 ภาคผนวก ง รายช่ือผูส้ ูงอายุแยกตามความเส่ยี งตอ่ การหกล้ม………………….................. 79 ภาคผนวก จ หนังสอื รบั รองการสนบั สนุนจากภาคเี ครือข่ายภายนอก และหนังสอื รับรองการใช้ประโยชน์จากงานวิจัย.......................………...... 81 ภาคผนวก ฉ เอกสารเกีย่ วกับการพทิ ักษส์ ทิ ธิของผ้เู ข้ารว่ มโครงการ…………................ 84 ภาคผนวก ช ภาพถ่ายกิจกรรมการดำเนนิ งาน.........................…………………................ 91 ประวัติผู้วิจัย ……………………………………………………...…………..…........................................ 100 มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
สารบญั ตาราง หนา้ ตารางท่ี 4.1 แสดงจำนวน รอ้ ยละ ค่าเฉลย่ี ขอ้ มูลทั่วไปของกล่มุ ตัวอยา่ ง……………………….............. 43 4.2 จำนวนและรอ้ ยละของปจั จัยเสย่ี งต่อการหกล้มในกลุ่มตวั อย่างผสู้ งู อายุชุมชนบา้ นขนุน ตามรายการประเมินความเส่ียงการหกล้มของผสู้ งู อายุในชุมชน THAI FRAT…………... 44 4.3 จำนวนและร้อยละของกลุ่มเสยี่ งและไม่เสย่ี งตามเกณฑ์การประเมนิ ความเสีย่ ง การหกลม้ ของผู้สงู อายุในชมุ ชน THAI FRAT…………………………………………….............. 44 4.4 แสดงจำนวน ร้อยละและอายุเฉล่ียของกลุม่ เสี่ยงและไม่เสย่ี งต่อการหกล้มจำแนกตามเพศ 45 4.5 จำนวนและร้อยละของของผสู้ งู อายุ จำแนกตามระดบั ความเสย่ี งดา้ นสิ่งแวดล้อมตอ่ การหกลม้ …………………………………………………………….……......................................... 45 4.6 จำนวนและร้อยละของผูส้ ูงอายจุ ำแนกตามปจั จัยเสย่ี งด้านส่ิงแวดล้อมตอ่ การหกลม้ .. 46 4.7 แนวทางการปอ้ งกันการกล้มของผู้สูงอายุในชมุ ชนบา้ นขนนุ ตำบลเลือก อำเภอโพธาราม จงั หวดั ราชบรุ ี..................................................................................... 48 มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
สารบญั ภาพประกอบ หนา้ ภาพประกอบท่ี 1.1 กระบวนการประชมุ เชงิ ปฏบิ ัติการ AIC........................................................................ 24 1.2 กรอบแนวคิดในการวจิ ัย............................................................................................... 35 4.1 แผนท่ชี ุมชนบา้ นขนุน.................................................................................................... 41 4.2 แผนทีเ่ ดนิ ดนิ ชุมชนบา้ นขนนุ ……………………………………………………………………………... 42 มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา การบาดเจบ็ จากการพลัดตกหกล้มเป็นปญั หาสาธารณสุขทีส่ ำคญั ซ่ึงมแี นวโนม้ เพ่ิมขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับสองรองจากการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน ทั่วโลกมี ผู้เสียชีวิตจากการพลัดตกหกล้มประมาณปีละ 424,000 คน เฉลี่ยวันละ 1,160 คน และร้อยละ 80 พบในประเทศทม่ี ีรายได้ต่ำถงึ ปานกลาง องค์การอนามัยโลก (World Health Organization, 2012) ระบุว่าผู้สูงอายุตัง้ แต่ 65 ปีขึ้นไปจะมีแนวโน้มหกล้มรอ้ ยละ 28-35 ต่อปีและจะเพ่ิมเปน็ ร้อยละ 32- 42 เมื่อก้าวเข้าสู่ปีที่ 70 เป็นต้นไป ดังนั้นความเสี่ยงของการหกล้มจะยิ่งมากขึ้นเมื่ออายุมากข้ึน โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือมีโรคประจำตัว เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือมีปัญหา เรื่องการทรงตัว ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากการพลัดตกหกล้ม ปีละกว่า 2,000 คน เพิ่มขึ้นอย่าง ต่อเนอ่ื ง โดยเกอื บครึ่งเปน็ ผู้ทีม่ อี ายุ 60 ปีขน้ึ ไปซง่ึ ความเส่ียงของการพลัดตกหกลม้ เพม่ิ สงู ขน้ึ ตามอายุ และพบในเพศชายสูงกว่าเพศหญิงกว่า 3 เท่า (สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสขุ , 2558) นอกจากน้นั ยังพบวา่ ในเพศหญิงมากกว่าคร่ึง (ร้อยละ 55) หกล้มในตัวบ้านและในบริเวณรั้วบ้าน เช่น ห้องนอนห้องครัว และห้องน้ำ เป็นต้น ในขณะทเี่ พศชายร้อยละ 60 หกลม้ บรเิ วณนอกบ้าน ขณะเดินทาง และในสถานท่ีทำงาน สาเหตขุ อง การหกล้มสว่ นใหญ่มาจากพนื้ ลืน่ สะดุดส่ิงกีดขวาง การเสียการทรงตวั พนื้ ต่างระดับ หน้ามืดวิงเวียน และสาเหตุจากสิ่งแวดล้อม เช่น ถูกกระแทก ตกบันได เป็นต้น และหลังจากการพลัดตกหกล้มแล้ว ประมาณคร่งึ หนงึ่ มอี าการฟกช้ำ รองลงมาคอื มอี าการปวดหลัง และรนุ แรงจนกระดูกหกั (สำนักงาน สำรวจสุขภาพประชาชนไทย, 2552, สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, 2559) การหกล้มในผู้สูงอายุเป็นเหตุนำไปสู่การเสียชีวิตและเกิดความพิการก่อนวัยอันควร เนือ่ งจากเปน็ สาเหตุทำให้บาดเจบ็ ได้ในระดับปานกลางถึงระดับรนุ แรง การบาดเจบ็ ทีพ่ บมากท่ีสุดคือ กระดกู หกั รอ้ ยละ 74.8 และต้องพักรักษาตวั ในโรงพยาบาลมากกว่าเดก็ ถึง 10 เทา่ ภาวะกระดูกหัก ส่วนใหญ่ไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตหรือทำงานได้ตามปกติ ความสามารถในการทำงานและคุณภาพชีวิต ลดลง (แดนเนาวรัตน์ จามรจันทร์, จิตอนงค์ ก้าวกสิกรรม และ สุจิตรา บุญหยง, 2548, 325) ซึ่ง พบว่าประมาณหนึ่งในสี่ของผู้สูงอายุที่หกล้มและมีกระดูกสะโพกหัก จะเสียชีวิตภายใน 6 เดือน (Tremblay and Barber, 2005) ปัจจัยการหกล้มของผู้สงู อายุมสี าเหตุมาจากทั้งปจั จัยภายในท่ีเกิดจาก ตัวผสู้ ูงอายุเอง ซึ่งปจั จัยภายในได้แกก่ ารเจ็บป่วยเฉียบพลันและเรื้อรัง การใช้ยาที่เสี่ยงต่อการหกล้ม และปัจจัยภายนอกซึ่งเป็นปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม อาคารบริเวณที่พักอาศัยไม่เหมาะสมซึ่งจาก การศึกษาการหกล้มของผู้สูงอายุที่เคยหกล้มพบว่าเกิดจากสภาพแวดล้อมไม่ปลอดภัยร้อยละ 31 ท่าทางและการทรงตัวบกพร่อง ร้อยละ 17 เวียนศีรษะ ร้อยละ 13 ขาอ่อนแรงฉับพลัน ร้อยละ 9 สบั สน ร้อยละ 5 ภาวะความดนั โลหติ ตำ่ จากการเปลี่ยนท่า ร้อยละ 3 การมองเหน็ บกพร่อง รอ้ ยละ 2
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 2 และที่เหลือเป็นจากสาเหตุอื่นๆ (Rubenstein IZ, Robbins AS, Schulman BL., et al., 2006, 266-278) รวมทั้งเกิดค่าใช้จ่ายของระบบบริการเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ส่งผลกระทบต่อครอบครัว ชุมชน สังคม ระบบบริการสุขภาพ และเศรษฐกิจของประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม จึงควรให้ ความสำคัญกับการป้องกนั การหกล้มในผสู้ งู อายุ จากการคาดการณ์ในภาพรวมของประเทศไทย พบวา่ ในปี พ.ศ. 2560 จะมีผสู้ งู อายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) พลัดตกหกล้ม จานวน 3,030,900 - 4,714,800 คน และระหว่างปี พ.ศ. 2560 - 2564 มผี ูส้ ูงอายุพลดั ตกหกลม้ ปลี ะประมาณ 3,030,900 - 5,506,000 คน ซงึ่ ในจานวนน้จี ะมผี ู้เสยี ชวี ติ จาน วน 5,700 - 10,400 คนต่อปี (นิพา ศรชี ้าง และลวิตรา ก๋าวี, 2560, 5) และจากสถิติ ข้อมลู มรณบัตร สำนกั นโยบายและยุทธศาสตร์ สำนกั งานปลดั กระทรวงสาธารณสุข, พ.ศ. 2558 (ลวิตรา กา๋ ว,ี 2559, 3 ) ระบุว่าอัตราการเสียชีวติ จากการพลัดตกหกล้มในผู้ทม่ี อี ายุ 60 ปีขน้ึ ไป ต่อประชากรแสนคน เขต สุขภาพที่ 5 มีอัตราการเสียชีวิต สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศเป็นอันดับที่ 2 เมื่อพิจารณาเป็นราย จังหวัดพบว่าจังหวัดราชบุรี ปี พ.ศ. 2557 มีอัตราการเสียชีวิต 5.94 ปีพ.ศ. 2558 เพิ่มเป็น 10.75 และจากการสำรวจขอ้ มูลความจำเปน็ พืน้ ฐานของ ชุมชนบา้ นขนุน ตำบลบ้านเลอื ก อำเภอโพธาราม จงั หวดั ราชบรุ ี พบวา่ จำนวนรอ้ ยละของประชากรอายุ 60 ปีข้ึนไป เท่ากบั 21.38 (โรงพยาบาลสง่ เสริม สุขภาพตำบลบ้านเลือก, 2560, 14-15) นับว่าเป็นชุมชนที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแบบเต็มรูปแบบ จึง เสี่ยงต่อการเกดิ ภาวะพลัดตกหกลม้ สูง การป้องกันการหกลม้ ของผู้สงู อายุท่ีมีประสทิ ธิภาพและมีความ คุ้มคา่ มากที่สุดไดแ้ ก่การประเมินความเส่ยี งอยา่ งเปน็ ระบบ การจัดกจิ กรรมปอ้ งกนั และลดความเส่ียง ตามปัจจัยเสี่ยงที่พบในผู้สูงอายุ ซึ่งควรให้สอดคล้องกับบริบทของชุมชนนั้น ๆ ด้วย ดังนั้นชุมชน ควรมสี ว่ นรว่ มในการหาวธิ ีการป้องกนั เพ่อื ลดความสญู เสยี ทจี่ ะเกดิ ขึน้ ตามมา จากข้อมูลดังกล่าวเป็นสาเหตุนำไปสู่การศึกษาเรื่องการป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุ ชุมชนบ้านขนนุ ตำบลบา้ นเลอื ก อำเภอโพธาราม จงั หวัดราชบุรี โดยการมสี ว่ นรว่ มของชมุ ชน อีก ทั้งเพอื่ ให้สอดคล้องกบั แนวนโยบายของมหาวทิ ยาลัยท่ีมงุ่ เนน้ การพฒั นาชมุ ชนในทอ้ งถ่ิน ทเี่ ป็นพื้นที่ บรกิ ารวิชาการของมหาวิทยาลยั ซง่ึ ผลที่ได้จากการศึกษาวจิ ัยครงั้ นนี้ ำไปสู่ความมน่ั ใจในการลดความ เสี่ยงและป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุในชุมชน ทำให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีและได้มาตรฐาน และทั้งยังเป็นข้อมูลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและชุมชนอื่น ๆ สามารถนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ ต่อไป วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย การวิจัยเรื่องการป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุ ชุมชนบ้านขนุน ตำบลบ้านเลือก อำเภอ โพธาราม จังหวัดราชบรุ ี ผูว้ ิจัยได้กำหนดวัตถปุ ระสงค์ไว้ดงั นี้ 1. เพื่อประเมินความเสีย่ งการหกล้มของผูส้ ูงอายุ ชุมชนบ้านขนุน ตำบลบ้านเลือก อำเภอ โพธาราม จังหวัดราชบุรี 2. เพื่อศึกษาแนวทางการป้องกันการหกลม้ ของผูส้ ูงอายุ ชุมชนบ้านขนนุ ตำบลบ้านเลือก อำเภอโพธาราม จงั หวัดราชบรุ ี
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 3 คำถามของการวจิ ยั 1. ผูส้ ูงอายุ ชุมชนบา้ นขนนุ ตำบลบ้านเลอื ก อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี มีความเสย่ี งใน การหกลม้ หรือไม่ อย่างไร 2. แนวทางการป้องกนั การหกล้มของผู้สูงอายุ ชุมชนบ้านขนนุ ตำบลบ้านเลือก อำเภอโพธาราม จังหวดั ราชบุรี เปน็ อยา่ งไร ขอบเขตของการวิจัย การวิจยั ครั้งนี้ ใช้รปู แบบการวจิ ยั เชงิ ปฏิบัติการ (Action Research) โดยอาศัยกระบวนการ ใหผ้ ้สู ูงอายุ ญาติ อาสาสมคั รสาธารณสขุ (อสม.) และแกนนำชุมชน ไดม้ สี ว่ นรว่ มในการหาแนวทาง ในการป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุ การดำเนินการในคร้ังนี้ ได้กำหนดขอบเขตของการศึกษาใน ประเดน็ ต่าง ๆ ดังน้ี 1. ด้านเน้ือหา 1.1 ศึกษาแนวคดิ ทฤษฎเี กย่ี วกับการป้องกนั การหกล้มของผู้สูงอายุ 1.2 ประเมนิ ความเสี่ยงการหกลม้ ของผสู้ งู อายุ ชมุ ชนบ้านขนุน ตำบลบา้ นเลอื ก อำเภอ โพธาราม จังหวดั ราชบุรี 1.3 ประเมินความเส่ียงด้านสภาพแวดล้อมภายในบ้านต่อการหกล้มของผู้สงู อายุ ชุมชน บ้านขนนุ ตำบลบา้ นเลือก อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี 1.4 ศึกษาแนวทางการป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุ ชุมชนบ้านขนุน ตำบลบ้านเลือก อำเภอโพธาราม จงั หวัดราชบรุ ี 2. ดา้ นประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง 2.1 ขน้ั ประเมนิ ความเสย่ี งการหกล้มของผู้สงู อายุ กล่มุ ตวั อยา่ งคือ ผู้สูงอายุที่อาศัย อยใู่ นชุมชนบา้ นขนนุ หมู่ 3 ตำบลบา้ นเลอื ก อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี จำนวน 127 คน 2.2 ศึกษาแนวทางการป้องกันการหกล้ม กลุ่มเป้าหมายคือตัวแทนกลุ่มผู้สูงอายุ ญาติผู้สูงอายุ แกนนำชุมชน อสม. เจ้าหน้าสาธารณสขุ ในชุมชนบ้านขนุน ตำบลบ้านเลือก อำเภอโพ ธาราม จังหวดั ราชบุรี กลมุ่ ละ 6 คน รวม 30 คน 3. ด้านเวลา ทำการศกึ ษาระหวา่ ง เดอื นพฤษภาคม 2562 – กุมภาพนั ธ์ 2564 4. ขอบเขตด้านพ้นื ที่ ศึกษาในพนื้ ท่ีชมุ ชนบ้านขนนุ ตำบลบ้านเลือก อำเภอโพธาราม จงั หวดั ราชบุรี นยิ ามศพั ท์เฉพาะ 1. ผู้สูงอายุ คือ ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป อาศัยอยู่ในชุมชนบ้านขนุน หมู่ 3 ตำบลบ้านเลือก อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบรุ ี 2. อสม. คอื อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ประจำชมุ ชนบ้านขนุน ตำบลบ้านเลือก อำเภอโพธาราม จังหวดั ราชบุรี
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 4 3. ญาติผู้สูงอายุ คือ บุคคลที่อยู่บ้านเดียวกับผู้สูงอายุ อายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป เป็นผู้ดูแล ผูส้ งู อายุ 4. แกนนำชุมชน หมายถึง ผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ประธานชุมชน หวั หน้าหนว่ ยงานในชุมชนบา้ นขนุน หมู่ 3 ตำบลบ้านเลือก อำเภอโพธาราม จังหวดั ราชบุรี 5. เจา้ หน้าสาธารณสุขในชุมชน คอื บคุ ลากรในโรงพยาบาลส่งเสริมสขุ ภาพตำบลบ้านเลือก อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบรุ ี 6. การหกล้ม คือ สภาพที่ผู้สูงอายุล้มลงไปสู่พื้น หรือนอนอยู่ที่พื้น หรือเป็นภาวะที่ล้มไป กระแทกกบั วสั ดอุ ปุ กรณ์ใด ๆ ทอี่ ยใู่ นบริเวณน้นั โดยไม่ไดต้ งั้ ใจและไม่สามารถควบคมุ ได้ 7. การประเมินความเสี่ยงการหกล้มของผู้สูงอายุ คือ การประเมินเพื่อหาสาเหตุที่ทำให้ ผสู้ งู อายุมีโอกาสเกิดการหกล้ม โดยใช้ แบบประเมินความเสี่ยงการหกลม้ ของผู้สงู อายุในชุมชน THAI FRAT (ลัดดา เถยี มวงศ์, สุทธิชยั จิตะพันธ์กลุ , และจกั ษณา ปญั ญาชีวิน, 2547) และ แบบประเมิน สภาพแวดล้อมในบา้ นต่อความเสี่ยงในการหกลม้ ของผสู้ งู อายุ (นงนชุ วงศส์ ว่างและคณะ, 2560) 8. การปอ้ งกนั การหกลม้ ของผู้สูงอายุ คอื วิธกี ารท่ีจะควบคุม หรอื ยบั ยั้งเหตอุ ันจะก่อให้เกิด การหกล้มของผูส้ ูงอายุ ประโยชน์ทคี่ าดว่าจะได้รับ การศึกษาวิจัยครงั้ น้ี จะไดป้ ระโยชนด์ ังต่อไปนี้ 1. ด้านวิชาการ ได้แนวทางการป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุ สามารถเผยแพร่ ให้แก่ ญาติของผู้สูงอายุ อสม.หรือกลุ่มองค์กรประชาชน อื่น ๆ เช่น ชมรม สมาคม มูลนิธิ หรือองค์กรที่ รวมตัวกันดำเนินกิจกรรมโดยมวี ัตถุประสงค์ในการทำกิจกรรมจิตอาสาในหมู่บ้าน สามารถนำไปใช้ เป็นแนวทางในการขอทนุ อุดหนนุ การจดั กจิ กรรมด้านสาธารณสุขได้ 2. ด้านนโยบาย สำนักโรคไม่ติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ ได้นำไปเป็นแนวทางให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาศักยภาพ ผู้สูงอายุ อสม. นำไปพิจารณาจัดทำแผนในการฝึกอบรมให้ความรู้แก่ ชุมชน อสม. และเจ้าหน้าที่ ของหน่วยงาน และดำเนนิ งานแก้ปญั หา เพอื่ ลดปจั จัยเส่ยี งของการเกดิ การพลดั ตกหกล้มของผู้สูงอายุ ในชุมชนตอ่ ไป 3. ด้านสังคมและชุมชน ชุมชน อสม. และผู้ที่เกี่ยวข้อง ตระหนักถึงความสำคัญในการ ป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุในชุมชนตนเอง ทำให้คุณภาพชีวิตของทั้งผู้สงู อายุ ครอบครัว และ ชุมชนดีขึ้น ทั้งยังลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล มีผลดีต่อเศรษฐกิจทั้งในระดับครัวเรือน ชุมชน และประเทศชาติอกี ด้วย
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจยั ทเ่ี กี่ยวขอ้ ง การวิจัย เรื่องการป้องกนั การหกล้มในผู้สูงอายุ ชุมชนบ้านขนุน ตำบลบ้านเลือก อำเภอ โพธาราม จังหวัดราชบุรี โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อประเมินความเสี่ยงการ หกล้มของผู้สูงอายุ ชุมชนบ้านขนุน ตำบลบ้านเลือก อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี 2) เพื่อศึกษา แนวทางการป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุ ชุมชนบ้านขนุน ตำบลบ้านเลือก อำเภอโพธาราม จังหวัด ราชบรุ ี โดยผู้วจิ ัยไดศ้ กึ ษา ค้นคว้า แนวคดิ ทฤษฎี และงานวิจยั ท่ีเกี่ยวขอ้ ง และนำเสนอตามประเดน็ ดงั น้ี เอกสารที่เก่ยี วข้อง 1. แนวคดิ และทฤษฎีเก่ยี วกับผู้สูงอายุ 2. แนวคดิ เกี่ยวกับปจั จยั เส่ยี งตอ่ การหกล้มของผู้สงู อายุ 3. แนวคิดเกย่ี วกบั การประเมนิ ความเสยี่ งในการหกลม้ 4. แนวคดิ เกยี่ วกับการจดั การปัจจัยเส่ียงเพอื่ ป้องกันการหกลม้ ของผสู้ งู อายุ 5. แนวคดิ เก่ยี วกบั การวางแผนงานอย่างมีส่วนร่วม (AIC) 6. ภาวะสุขภาพกบั การหกลม้ ของผสู้ งู อายุไทย งานวจิ ยั ที่เกยี่ วขอ้ ง งานวจิ ัยในประเทศและงานวจิ ยั ต่างประเทศ เอกสารท่ีเก่ียวข้อง 1. แนวคิดและทฤษฎเี ก่ียวกับผ้สู งู อายุ ผู้สูงอายุ เป็นวัยที่เกิดการเสื่อมถอยของสุขภาพ สมรรถภาพในด้านการเคลื่อนไหว รวมถึง สภาวะทางด้านจิตใจ อารมณ์ และสังคม มีนักการศึกษาหลายท่านได้เสนอแนวคิดและทฤษฎีที่ เกีย่ วขอ้ งกบั ผ้สู ูงอายุไวม้ ากมาย ในทน่ี ี้ผู้วิจยั จะขอนำเสนอตามประเดน็ ดังน้ี 1 ความหมายผ้สู ูงอายุ ในการประชุมสมัชชาว่าด้วยผู้สูงอายุโลกขององค์การสหประชาชาติ เมื่อพ.ศ. 2525 ให้คำ จำกดั ความ ผสู้ ูงอายุ วา่ หมายถึง บุคคลที่มีอายุ 60 ปขี ึ้นไป โดยนับตามปปี ฏิทนิ และถือเป็นข้อตกลง ในวงการระหว่างประเทศ และใช้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก (ศศิธร กรุณา, ม.ป.ป. อ้างใน กรรณกิ าร์ ปัจฉมิ พหิ งค์, 2552, 7) พจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายคำว่า “ชรา” ว่าแก่ด้วย อายุ, ชำรุด ทรุดโทรม นักวิชาการพิจารณาแล้วเหน็ ว่าคำนก้ี อ่ ให้เกดิ ความหดหู่ใจและส้ินหวัง ดงั นั้นทปี่ ระชุมคณะ ผู้อาวุโส โดยมีพล.ต.ต.หลวงอรรถสิทธิสุนทร เป็นประธาน จึงได้กำหนดคำให้เรียกว่า ผู้สูงอายุ ขึ้น แทน ต้ังแต่วันท่ี1 ธันวาคม 2512 เปน็ ตน้ มา ซงึ่ คำนไ้ี ดใ้ ห้ความหมายทย่ี กย่องใหเ้ กยี รตแิ กผ่ ู้ทชี่ ราภาพ วา่ เป็นผูท้ ี่สงู ท้ังวัยวฒุ ิ คณุ วฒุ ิ และประสบการณ์ (ศศพิ ฒั น์ ยอดเพชร, 2544, 8-9)
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 6 จากนั้นมา คำว่า “ผู้สูงอายุ” มีการให้ความหมายที่หลากหลาย โดยพิจารณาจาก 1) เกณฑ์ อายตุ ามปปี ฏทิ ินส่วนใหญค่ ิดว่า คอื บุคคลท่มี อี ายุ 60 ปีตามเกณฑ์ของทางราชการ 2) ดูจากลักษณะ ภายนอกเช่น หนา้ ตาทด่ี มู ีอายุ หรอื แก่ ผิวหนังทเี่ หีย่ วย่น ผมหงอกสีขาว 3) การมีสุขภาพและความจำ ไม่ดีเป็นวัยที่ต้องพึ่งพิงผู้อื่น 4) ความสามารถในการทำงานลดลง หรือไม่สามารถทำงานได้แล้ว 5) พฤติกรรมและอารมณ์ เช่น จุกจิกขี้บ่น ย้ำคิดย้ำทำ และ 6) การเปลี่ยนแปลงสถานภาพ เป็น ปู่ ย่า ตา ยาย ทวด (รศรินทร์ เกรย์, อุมาภรณ์ ภัทรวาณิชย์, เฉลมิ พล แจ่มจนั ทร์ และเรวดี สุวรรณนพเก้า, 2556, 202-203) ผ้สู ูงอายุหมายถงึ บุคคลทีม่ อี ายุ 60 ปขี นึ้ ไป ทั้งชายและหญงิ เป็นทรัพยากรที่มีค่า ของชาติเพราะเปน็ ผู้ที่สามารถถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์แก่ลกู หลานและเยาวชนรุ่นหลัง อีก ทั้งยังเป็นผู้นำและเป็นผู้ทำประโยชน์แก่สังคม (คณะกรรมาธิการวิสามัญสวัสดิการผู้สูงอายุ อ้างใน ยาจนิ ต์ สินสภุ า, 2544, 15) ผสู้ ูงอายุหมายถงึ บุคคลที่สงั คมไดก้ ำหนดเกณฑอ์ ายเุ มื่อมชี วี ิตอยู่ในช่วงวยั สุดท้ายของชีวิตซ่ึง เป็นวัยเสื่อมทางร่างกายจิตใจและสังคมแต่ละคนจะปรากฏอาการเสื่อมแตกต่างกันนอกจากอาการ เสื่อมดังกล่าวแล้วยงั ใช้เกณฑอ์ ายุ 60 ปีเป็นเกณฑ์สากลเพื่อใหท้ ราบว่าบุคคลใดสมควรเป็นผู้สูงอายุ นำมาพิจารณาประกอบกนั ด้วย (สมศักดิ์ ศรสี ันตสิ ุข, ม.ป.ป. อ้างใน วันชยั ชปู ระดษิ ฐ์, 2555, 6) ซ่ึง บรรลุ ศิริพานิช (2555) ให้ความหมายของคำท่ีเกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ ดังนี้ 1) ผู้สูงอายุหมายถึง การ เอาอายเุ ปน็ หลกั ในการเรียก ในท่ีนี้คือ 60 ปีขน้ึ ไป 2) คนชรา หมายถงึ การเอาลักษณะทางกายภาพ เป็นหลักในการเรียก และ 3) ผู้อาวุโส หมายถึง การเอาสถานภาพทางราชการ แก่กว่าเก่ากว่า เป็น หลักในการเรียก นักวชิ าการและหนว่ ยงานต่าง ๆ จึงไดใ้ ห้คำจำกัดความของผสู้ ูงอายุไว้มากมาย ดงั นี้ กรมประชาสงเคราะห์ (2530, 11) ให้กล่าวถึง ผู้สูงอายุว่า หมายถึง การเปลี่ยนแปลงอย่าง ตอ่ เนือ่ งในช่วงอายรุ ะยะสุดท้ายของชีวิตมนุษยจ์ นถงึ ส้นิ อายุขยั สำนกั งานสถิตแิ หง่ ชาติ (2549, 1) ใหค้ วามหมายวา่ ผสู้ ูงอายหุ มายถึงประชากรท่มี ีอายุตั้งแต่ 60 ปขี น้ึ ไป นบั เป็นบุคคลที่ได้รับความนับถือตามขนบธรรมเนียมประเพณีของคนไทย และควรมีชีวิต อย่ใู นช่วงวยั ของการพกั ผ่อนและได้รบั การดแู ลจากลกู หลาน องคก์ ารอนามยั โลก (World Health Organization, 1986) กลา่ วถงึ ผสู้ ูงอายวุ ่า ผู้สูงอายุคือ ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปโดยยึดปีปฏิทินเปน็ เกณฑ์ หรือมากกว่าเมือ่ นบั ตามวัย หรือผู้ที่เกษียณอายุจาก การทำงานเมื่อนับตามสภาพเศรษฐกิจ หรือผู้ที่สังคมยอมรับว่าสูงอายุ หรือหลังจากการเข้าสู่วัยรุน่ เป็นกระบวนการต่อเนื่องไปตลอดช่วงชวี ิตเมือ่ นับตามชีววิทยา และได้แบ่งผู้สูงอายุออกเป็น 3 กลุ่ม คอื 1. ผ้สู ูงอายุระยะต้น มีอายุระหวา่ ง 60-74 ปี 2. ผู้สูงอายุระยะกลาง มีอายรุ ะหว่าง 75-90 ปี 3. ผู้สงู อายรุ ะยะสดุ ทา้ ย มอี ายมุ ากกว่า 90 ปีขึน้ ไป เพื่อนใจ รัตตากร (2540, 20) กล่าวว่า ผู้สูงอายุหรือวัยชราเป็นระยะสุดท้ายของชีวิต เร่ิม ตั้งแต่อายุ 60 ปีขึ้นไป มีการพัฒนาไปสู่ความเสื่อมของร่างกายและจิตใจ ขึ้นอยู่กับปัจจยั ตา่ ง ๆ เช่น สภาพความเป็นอยู่ ดนิ ฟา้ อากาศ อาชพี อาหาร โรคภัยไข้เจ็บ กรรมพันธ์ุ และ สภาพจิตใจ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 7 วิจิตร บุญยะโหตระ (2543, 1) กล่าวว่าผูส้ ูงอายุ หมายถึง ผู้ที่มีประสบการณ์ รู้เห็นชีวิตมา อย่างยาวนาน มีลูกมีหลานสืบทอดวงศ์สกุลรับหน้าที่บริหารกิจการแทน โดยตนเองจะได้เลื่อนไป ปฏิบัตหิ น้าที่สูงย่งิ ข้นึ นาวิน คงรักษา (2555, 19) ให้ความหมาย ผู้สูงอายุว่า เป็น บุคคลท่ีมีอายุ 60 ปีขึ้นไป มี สภาพรา่ งกายและจติ ใจเปลี่ยนแปลงไปในทางท่ีเสื่อมถอย มโี อกาสเกิดโรคภยั ไข้เจ็บไดง้ า่ ย สมควรท่ี จะไดร้ ับการดูแลช่วยเหลือและถือว่าเป็นวัยท่ีปลดเกษียณจากการทำงาน วนดิ า ตรีสวัสด์ิ (2556, 11) กล่าววา่ ผู้สูงอายคุ อื บุคคลท่ีมอี ายุ 60 ปขี ึ้นไป เป็นบุคคลท่ีอยู่ ในวัยสุดทา้ ยของวงจรชวี ติ มนุษย์ ซึ่งเป็นช่วงวยั ของการพักผอ่ นและควรได้รับการดแู ลจากบุตรหลาน จากการใหค้ วามหมายของนักวชิ าการและหน่วยงานตา่ ง ๆ ทำให้สรุปได้วา่ ผ้สู งู อายุ หมายถงึ บุคคลที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีการเปลี่ยนแปลงสภาพร่างกายและจิตใจที่เสื่อมลง เป็นช่วงวัยแห่งการ พกั ผอ่ นและควรไดร้ บั การดแู ลชว่ ยเหลือ 2 ทฤษฎีเกีย่ วกบั ผู้สงู อายุ ทฤษฎีเกี่ยวกับผู้สูงอายุ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ ทฤษฎีเกี่ยวกับความชราด้าน ชีววิทยา ทฤษฎีเกี่ยวกับความชราด้านจิตวิทยา และทฤษฎีเกี่ยวกับความชราด้านสังคมวิทยา ดังมี รายละเอยี ดต่อไปน้ี (Ebersole & Hess, 1998) 2.1 ทฤษฎีเกี่ยวกับความชราด้านชีววิทยา เป็นทฤษฎีที่อธิบายถึงสาเหตุของความชรา ของรา่ งกาย ประกอบด้วย 1) ทฤษฎีทำลายตนเอง (Autoimmunity Theory) ทฤษฎีนี้เชื่อว่า ความชราเกิด จากร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันปกติน้อยลง พร้อมกับมีการสร้างภูมิคุ้มกันชนิดทำลายตัวเองมากขึ้น ร่างกายจึงต่อสู้กับเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมได้ไมด่ ี ทำให้เกิดความเจ็บป่วยง่ายและเมื่อเกิดแล้วก็ มกั จะรนุ แรง เปน็ อนั ตรายต่อชีวติ 2) ทฤษฎีความผิดพลาด (Error Theory) ทฤษฎีนี้เชื่อว่า เมื่อมีอายุมากข้ึนยีนส์จะ ค่อยๆ เกิดความผิดพลาด และความผิดพลาดจะมากขึ้นๆ จนถึงจุดที่ทำให้เซลล์ต่างๆ ของร่างกาย เสือ่ มและหมดอายุลง 3) ทฤษฎเี รดิคัลอิสระ (Free Radicals Theory) ทฤษฎีนีเ้ ชอ่ื วา่ ภายในรา่ งกายของ มนุษย์มีเรดิคัลอิสระหรืออนุมูลอิสระเกิดขึ้นอย่างมากและตลอดเวลา ซึ่งจะทำให้ยีนส์เกิดความ ผดิ ปกติ ซึ่งประนอม โอทกานนท์ (2554, 11-19) ได้กล่าวถึงทฤษฎีผู้สูงอายุรศาสตร์ด้านชีวภาพ (Biological View) โดยอธบิ ายกระบวนการสูงอายุเป็นทฤษฎี 3 ระดบั คือ 1) ทฤษฎีพันธุกรรม (Gene Theory) ทฤษฎีนี้อธิบายว่า สิ่งมีชีวิตแกข่ ึ้นเพราะว่ามี การถ่ายทอดข้อมูลที่ผิดปกติจากนิวเคลียสของเซลล์ ในนิวเคลียสของเซลล์มีสารพันธุกรรม (Deoxyribonucleic Acid : DNA) ซง่ึ มโี ครงสรา้ งเปน็ กรดนวิ คลีอิก 2 เส้นพันกันเปน็ เกลยี วคู่คอยเกบ็ รกั ษารหัสหรอื ขอ้ ความของเซลล์ การถ่ายทอดข้อมูลท่ีผิดปกตเิ กดิ จากมกี ารเปลี่ยนแปลงการถ่ายทอด รหสั ปกติของ DNA การเปลยี่ นแปลงการถ่ายทอดรหสั ปกติอธิบายไดว้ ่า เมือ่ เซลล์แก่ข้นึ มีการผลิตมาก ขึน้ โอกาสการถ่ายทอดผิดพลาดย่อมมมี ากข้ึน กลุ่มของทฤษฎีพันธกุ รรมประกอบดว้ ย
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 8 1.1) ทฤษฎีวิวัฒนาการ (Evolution Theory) อธิบายกระบวนการแก่ว่า สง่ิ มีชวี ติ มกี ารเปลยี่ นแปลงและมกี ารพฒั นาตลอดกาล สิ่งมชี วี ติ แตล่ ะเผ่าพันธจ์ุ ะมยี ีนส์เป็นตัวกำหนด ลักษณะเมอ่ื มีอายุมากขนึ้ 1.2) ทฤษฎีนาฬิกาชีวิต (Biological Clock หรือ Genetic Clock หรือ Programmed Aging Theory) อธิบายว่า สิ่งมีชีวิตแต่ละเผ่าพันธุ์จะมียีนส์เป็นตัวกำหนดอายุขัย อายุขัยของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตได้ถูกกำหนดไว้แล้วและเรียกว่าเป็นนาฬิกาชีวิต นาฬิกาชีวิตจะอย่ใู น นวิ เคลียสและโพรโทพลาซึมของร่างกาย 1.3) ทฤษฎีการกลายพนั ธ์ุ (Somatic Mutation Theory) อธบิ ายวา่ ความ แก่เรม่ิ จากการผ่าเหล่าของสารพันธกุ รรม (DNA) การผา่ เหลา่ ทำให้เซลล์ อวยั วะ และระบบต่างๆ ผัน แปรไป การผันแปรทำให้เกิดมโี รคภยั ไขเ้ จบ็ เชน่ เซลลม์ ีการเสอื่ มหรอื เซลลเ์ กิดเปน็ มะเร็ง เป็นตน้ 1.4) ทฤษฎีการสะสมความผิดพลาดของเซลล์ (Error Theory) อธิบายว่า เมื่อมีชีวติ มอี ายมุ ากข้นึ รา่ งกายมกี ารสร้างโปรตนี ท่ีผดิ พลาดได้ โปรตีนใหม่กลายเป็นสิ่งแปลกปลอม ในร่างกาย ร่างกายจะสร้างอนุมูลตอ่ ต้านส่งิ แปลกปลอมมผี ลทำใหเ้ ซลล์ถกู ทำลายเซลลเ์ ส่ือมสลาย ทำ หนา้ ท่ไี ม่ไดต้ ามปกติและเซลลต์ ายในทสี่ ุด 2) ทฤษฎีอวัยวะ (Organ Theory) ทฤษฎีนี้อธิบายว่า เมื่อสิ่งมีชีวิตมีอายุมากขึ้น อวัยวะต่างๆ ในร่างกายมีการใช้งานมากขึ้น เกิดการเสื่อมถอยหรือเกิดการเปลี่ยนแปลง การ เปลีย่ นแปลงของอวยั วะมีผลตอ่ หนา้ ท่ขี องอวยั วะนั้นๆ กลุ่มทฤษฎีอวยั วะ ประกอบด้วย 2.1) ทฤษฎีการเสื่อมและการถดถอย (Wear and Tear Theory) อธิบาย วา่ กระบวนการแกเ่ ปน็ กระบวนการท่ีเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เมื่อเซลล์มกี ารใชง้ าน เซลล์จะผลิตให้ เหลอื ใช้ เชน่ สารลโิ ปฟวิ ซิน (Lipofuscin) สะสมไว้ สารนี้เปน็ โปรตนี เหลอื ใช้จากการเผาผลาญอาหาร มีลักษณะไม่ละลาย หน้าที่ไม่ทราบชัดเจน พบว่ามีการสะสมไว้ในอวยั วะต่างๆ เมื่อสิ่งมีชวี ิตอายมุ าก ขน้ึ พบว่ามีการสะสมทีห่ วั ใจ รงั ไข่ และหน่วยประสาท (Neurons) เมอื่ มีการสะสมถงึ ระดับหนึง่ เซลล์ จะทำงานไม่ได้หรือทำงานลดลง เป็นเหตุให้เซลล์มีการเส่อื มถอยและอวยั วะต่างๆ ทำงานลดลง 2.2) ทฤษฎีระบบประสาทและต่อมไร้ท่อ (Neuroendocrine Theory) ทฤษฎีนี้ช่วยอธิบายการทำงานลดลงของระบบประสาท เช่น ปฏิกิริยาสะท้อนกลับ (Reflex) ของ ผู้สูงอายุทีล่ ดลง และความสามารถในการจำลดลงเม่ือมนุษย์มีอายุมากขึน้ ซงึ่ ความสามารถท่ีลดลงน้ี เปน็ สญั ญาณเตือนของความเปลี่ยนแปลงและความมอี ายุของมนษุ ย์ สว่ นการทำงานลดลงของต่อมไร้ ท่อ ได้แก่ การตรวจพบเบาหวานในผูส้ งู อายุเนือ่ งจากรา่ งกายผลติ อินซูลินลดลง 2.3) ทฤษฎีภูมิคุ้มกัน (Immunological Theory) ทฤษฎีนี้อธิบายว่า ไข กระดูก ต่อมไทมสั ระบบน้ำเหลอื ง ตับ มา้ ม อวัยวะเหลา่ น้ีลว้ นเป็นอวัยวะท่ีเปน็ ระบบภูมิคุ้มกันของ ร่างกาย เมือ่ สิง่ มชี ีวิตอายุมากขึน้ อวัยวะเหลา่ น้ที ำงานลดลง สร้างภมู คิ ้มุ กันชนิดทำลายตนเองมากขึน้ 3) ทฤษฎีสรีรวิทยา (Physiological Theory) ประกอบดว้ ย 3.1) ทฤษฎีความเครียดและการปรับตัว (Stress Adaptation Theory) อธิบายว่า สิ่งมีชีวิตอยู่ในภาวะเครียดมากจะแก่เร็วและอาจจะตายในที่สุด เมื่อคนเราอยู่ในภาวะ เครียดร่างกายจะปรับตัวโดยความเครียดจะกระตุ้นการทำงานของต่อมไฮโพทาลามัสและพิทูอิทาร่ี ทำใหม้ กี ารหลง่ั Adrenocorticotropic Hormone ไปกระตุน้ ตอ่ มหมวกไต (Adrenal Cortex และ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 9 Adrenal Medulla) ทำใหม้ กี ารหลงั่ Cortisol, Aldosterone และ Epinephrine สารเหล่าน้ีจะเพ่ิม น้ำตาลในเลือด ช่วยให้การไหลเวียนโลหิตรวดเร็วขึ้น การปรับตัวของร่างกายนี้ช่วยทำให้ร่างกาย สามารถดำรงชีวิตอยู่ไดใ้ นภาวะเครียด แต่หากร่างกายต้องเผชญิ กับภาวะเครียดมากๆ และมีความถี่ สงู เซลลภ์ ายในรา่ งกายจะเส่อื มและอาจตายได้ 3.2) ทฤษฎีการสะสมของเสีย (Waste Product Accumulation) อธิบาย ว่า เมื่อส่งิ มีชวี ติ อายุมากขนึ้ รา่ งกายใชง้ านมาก ใชง้ านมานาน รา่ งกายสะสมของเสยี ไวม้ ากเซลล์เสื่อม มกี ารเปลี่ยนแปลงรปู ร่าง 3.3) ทฤษฎีอนุมูลอิสระ (Free Radical Theory) อธิบายว่า ในร่างกายมี อนุมูลอิสระซึ่งมีปฏิกิรยิ าไวมาก เมื่อทำปฏกิ ริ ิยากท็ ำลายเนือ้ เยื่อและอวยั วะเปน็ สาเหตุของความแก่ อนุมูลอสิ ระคือส่วนประกอบทางเคมีของเซลล์ซึง่ เกิดจากผลพลอยไดใ้ นกระบวนการทำงานปกติของ เซลล์ โดยโมเลกุลของอนุมูลอิสระเม่ือแตกออกเป็นอิสระจะจับโมเลกุลอื่นที่อยู่ข้างเคียง ทำให้ โครงสร้างและหน้าท่ีของเซลล์เปล่ียนแปลงไป อนมุ ูลอสิ ระเกดิ จากสาเหตุต่างๆ เช่น จากอาหาร รังสี มลภาวะของอากาศ การสูบบุหรี่ กล่าวกันว่า วิตามินดี และซี จะเป็นตัวหยุดหรือยับยั้งการสร้าง อนมุ ูลอิสระได้ 3.4) ทฤษฎีการเชื่อมไขว้ (Cross Linkage Theory) ทฤษฎีนี้อธิบาย กระบวนการแก่ด้วยกระบวนการเปลี่ยนแปลงในระดับ DNA และส่งผลกระทบต่อการทำงานของ รา่ งกาย Cross linking เป็นปฏิกิริยาเคมที ี่เกดิ ขนึ้ และทำให้ DNA มกี ารเสื่อมเป็นผลทำให้เซลลต์ าย ทฤษฎีนีอ้ ธิบายความสมั พันธข์ องปฏิกิริยาเคมใี นร่างกายกบั กระบวนการแก่ ข้อคิดจากการอธิบายของทฤษฎีกลุ่มนี้คือ การลดกระบวนการเผาผลาญอาหารในร่างกายโดยการ จำกัดอาหาร การลดอณุ หภมู ิของร่างกายเหล่าน้ชี ว่ ยทำใหอ้ ายยุ ืน ดังคำกลา่ วทว่ี ่าสิ่งที่เรารับประทาน มีความหมายยิง่ ใหญต่ ่อการมีอายุของเรา 2.2 ทฤษฎเี กย่ี วกบั ความชราดา้ นจติ วิทยา เปน็ ทฤษฎที ่ีอธิบายถึงสาเหตุท่ีทำให้ผู้สูงอายุ มบี คุ ลกิ ลักษณะเปลี่ยนแปลงไป ประกอบดว้ ย 1) ทฤษฎีบุคลิกภาพ (Personality Theory) ทฤษฎีนี้เชื่อวา่ ผู้สูงอายุจะมคี วามสขุ หรือมีความทุกข์ขึ้นอยู่กับภูมิหลังและพัฒนาการด้านจิตใจของตน เช่น บุคคลที่เติบโตมาจาก ครอบครัวที่มีความรัก ความอบอุ่น ความมั่นคง เห็นความสำคัญและรักผู้อื่น เมื่อเป็นผู้สูงอายุก็จะ สามารถอยรู่ ว่ มกบั ผ้อู ื่นได้อยา่ งมีความสุข ในทางตรงกันข้ามถ้าบุคคลทเ่ี ติบโตมาในลักษณะร่วมมือกับ ใครไมเ่ ป็น ถือว่าตัวใครตวั มนั จติ ใจคับแคบ ก็มกั จะเปน็ ผสู้ ูงอายุท่ีไมค่ อ่ ยมคี วามสุข 2) ทฤษฎีความปราดเปรื่อง (Intelligence Theory) ทฤษฎีนี้เชื่อว่า ผู้สูงอายุที่ยัง ปราดเปรอ่ื งกเ็ น่อื งมาจากยังสนใจใฝร่ ู้ในเร่ืองตา่ งๆ มกี ารคน้ คว้าและเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ผู้สูงอายุท่ี จะมีลกั ษณะน้ีได้ ต้องเป็นผ้ทู ่มี ีสขุ ภาพดี และมีเงินใช้โดยไมเ่ ดอื ดรอ้ น ประนอม โอทกานนท์ (2554, 20-21) ได้กลา่ ววา่ ศาสตรด์ า้ นจติ วิทยาไดช้ ว่ ยอธบิ ายเก่ียวกับ พฤติกรรมของผู้สูงอายุที่เปลี่ยนแปลงไป ศาสตร์ด้านจิตวิทยาให้ความสนใจต่อพัฒนาการของ บุคลิกภาพ โดยได้พยายามอธิบายว่าพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นผลมาจากปัจจัยหลายอย่าง พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไม่สามารถอธิบายด้วยปัจจัยเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ในแต่ละวัยจะมีการ เปลีย่ นแปลงพฤติกรรมท่ีแตกต่างกัน อยา่ งไรกต็ ามพนั ธกุ รรมและส่ิงแวดล้อมมผี ลตอ่ การเปลยี่ นแปลง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 10 พฤติกรรมของบุคคล การศึกษาปัจจัยภายในของบุคคลจะต้องเข้าใจในเรื่องความจำ การรับรู้ การ เรียนรู้ และบุคลิกภาพของบุคคล ซึ่งปรากฏการณ์ต่างๆ เหล่านี้ในผู้สูงอายุจะผันแปรไปตามการ เปลี่ยนแปลงในระดับต่างๆ ของร่างกาย นับตั้งแต่ระดับโมเลกุล เซลล์ อวัยวะและระบบต่างๆ ของ ร่างกาย สว่ นปจั จัยภายนอกของบุคคลน้ัน ศาสตรด์ ้านจิตวิทยาอธิบายว่า เปน็ การเปล่ียนแปลงสรีระ ภาพของร่างกายกบั ปฏิสัมพนั ธท์ ี่รา่ งกายมตี ่อสงั คม ซงึ่ สรีระภาพร่างกายกค็ ือพันธุกรรม และส่วนของ สงั คมนั้น ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม และโครงสร้างสงั คม 2.3 ทฤษฎีเกี่ยวกบั ความชราด้านสังคมวทิ ยา เป็นทฤษฎีที่วิเคราะห์หาสาเหตุ ซึ่งทำให้ ผสู้ ูงอายมุ สี มรรถภาพทางสงั คมเปลย่ี นแปลงไป ประกอบด้วย 1) ทฤษฎีกจิ กรรม (Activity Theory) ทฤษฎีนีม้ ีแนวความคดิ ว่า กิจกรรมทางสังคม จำเป็นสำหรับบุคคลทุกวัย ผู้สูงอายุที่จะมีความสุขควรมีกิจกรรมทางสังคมพอสมควร ผู้สูงอายุท่ี ปฏิบัติกิจกรรมทางสังคมอยู่เสมอ จะเป็นผู้ที่มีความพึงพอใจในชวี ติ สูง มีภาพพจน์เกี่ยวกับตนเองใน ทางบวก และปรบั ตวั ไดด้ ีกวา่ ผสู้ งู อายุทปี่ ราศจากกิจกรรมทางสังคม 2) ทฤษฎีการแยกตนเอง (Disengagement) ทฤษฎีนม้ี ีแนวความคิดว่าผสู้ งู อายุและ สังคมจะลดบทบาทซ่งึ กนั และกนั เนือ่ งจากผ้สู ูงอายุรู้สึกว่าตนเองมีความสามารถลดลงและมีสุขภาพ เสือ่ มลง จึงถอดถอนหรือหลีกเลี่ยงบทบาทและกจิ กรรมทางสงั คม เพอ่ื ลดความตึงเครียดหรือบบี ค้ัน 3) ทฤษฎีความต่อเนื่อง (Continuity Theory) ทฤษฎีนี้มีแนวความคิดว่าผู้สูงอายุ จะเข้าร่วมกิจกรรมในสังคมอย่างมีความสุขนั้นขึ้นอยู่กับบุคลิกภาพและแบบแผนชีวิตของแต่ละคน เช่น บุคคลที่ชอบเข้าร่วมกิจกรรมในสังคมก็จะมีกิจกรรมเหมือนเดิมเมื่ออายุมากขึ้น ส่วนผู้ที่ชอบ สันโดษก็จะแยกตัวเองออกจากสงั คมเมื่ออายุมากขนึ้ 4) ทฤษฎีบทบาท (Role Theory) ทฤษฎนี ี้มแี นวความคิดว่า อายเุ ปน็ องค์ประกอบ สำคัญประการหนง่ึ ในการกำหนดบทบาทของบุคคลในแต่ละชว่ งชวี ิต ผ้สู ูงอายจุ ะปรับตัวได้ดีเพียงใด ขน้ึ อยูก่ บั การยอมรับบทบาททางสงั คมในแตล่ ะชว่ งชวี ติ ท่ผี ่านมา และยังมีผลสืบเน่ืองไปถงึ การยอมรบั บทบาททางสังคมในอนาคตซง่ึ เปล่ียนแปลงไปดว้ ย ประนอม โอทกานนท์ (2554, 22-24) กล่าวถึงศาสตร์ด้านสังคมวิทยาที่ใช้อธิบาย กระบวนการแก่ โดยสรปุ จากเจทท์และคณะ (Jette, et.al, 2008) ว่า ศาสตรด์ า้ นสังคมวิทยาอธิบาย การเปลี่ยนแปลงบทบาทและความสัมพันธ์ของบคุ คลโดยเน้นกระบวนการปรบั ตัว การศึกษาค้นควา้ ในปัจจุบันศาสตร์ด้านนี้ให้ความสนใจมากขึ้นในบริบทของวัฒนธรรม (Culture) ว่ามีผลต่อการ เปลี่ยนแปลงของบุคคลเมื่ออายุมากขึ้น และเช่นเดียวกันกับศาสตร์ด้านจิตวิทยา ศาสตร์ด้านสังคม วิทยา ยงั มปี ญั หาด้านกระบวนการวัด ทฤษฎีทน่ี ำมาอธบิ ายมีดังน้ี 1) ทฤษฎีบทบาท (Role Theory) ทฤษฎีนี้อธิบายว่า บทบาทในสังคมของบุคคล เปลี่ยนไปตามวัยที่เพิ่มขึ้น ความสามารถของบุคคลในการปรับตัวบทบาทที่เปลี่ยนแปลงตามวัยท่ี สูงข้นึ คือ ตัวพยากรณก์ ารปรบั ตัวการเขา้ สู่วัยสูงอายุของบคุ คลน้ันๆ 2) ทฤษฎีการถอยห่าง (Disengagement Theory) ทฤษฎีนี้อธิบายว่า โดยปกติ บุคคลจะผสมผสานอยู่กบั สงั คม ทง้ั น้ีเพอื่ เปน็ การรกั ษาความสมดุลทั้งรา่ งกาย จติ ใจ และอารมณ์ แต่ บทบาทของคนจะแคบลงและปฏิสัมพันธ์กับสังคมจะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น บุคคลโดยทั่วไปรับรู้ ล่วงหน้าว่าจะตอ้ งแก่ บุคคลจะปรับตัวคอ่ ยๆ ถอยห่างจากสังคม มีการสนใจตนเองมากขึน้ การถอย
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 11 หนีจากสังคมช่วยให้ผสู้ ูงอายุประหยัดพลังงานของตนเอง และทั้งยังเป็นการเปดิ โอกาสใหผ้ อู้ าวโุ สน้อย กว่าได้แสดงบทบาทในสงั คมมากขึน้ 3) ทฤษฎีกิจกรรม (Activity Theory) คำว่ากิจกรรมในทฤษฎีที่ใช้อธิบายน้ี หมายความถึง กิจกรรมต่างๆ นอกเหนือจากกิจกรรมที่บุคคลปฏิบัติต่อตนเอง หมายถึงกิจกรรมที่ บุคคลปฏบิ ตั ติ อ่ เพ่ือนฝูง ตอ่ ครอบครัว และต่อสังคม กิจกรรมเหลา่ นเ้ี ม่อื มีการปฏิบัติจะทำให้ผู้สูงอายุ รู้สึกตนเองมีคุณค่า ตนเองยังเป็นประโยชน์และยังมบี ทบาทต่อสังคมอยู่ท้ังๆ ที่ภาวะรา่ งกายทำให้มี การถอยหา่ งออกจากสงั คม ทฤษฎีอธบิ ายไดว้ ่าการมีกิจกรรมตอ่ สงั คมของผู้สูงอายุจะมีความสัมพันธ์ ทางบวกกับความพึงพอใจในชีวิต ดังนั้นการมีกิจกรรมที่พอเหมาะกับวัยของผู้สูงอายุจึงเป็นสิ่งที่มี คุณคา่ ยงิ่ 4) ทฤษฎีการตอ่ เนื่อง (Continuity Theory) ทฤษฎีนอ้ี ธบิ ายว่า ผสู้ งู อายยุ งั ตอ้ งการ แสดงบทบาทในสงั คมแม้นวา่ สังคมจะมีการเปล่ยี นแปลงไป ทฤษฎีนไ้ี ดเ้ สนอแนะไวว้ า่ การพิจารณาถึง แรงจูงใจ สถานภาพของเศรษฐกิจและสังคมบุคลกิ ภาพของผู้สูงอายุ ตลอดทั้งความยดื หยุ่นและการ ปรบั ตวั ส่งิ เหลา่ นี้เปน็ ปจั จัยสำคญั ย่ิงทผ่ี สู้ ูงอายเุ องและผู้เกี่ยวขอ้ งตอ้ งนำไปพิจารณา ซง่ึ ความล้มเหลว และความสำเร็จในชวี ิตบ้ันปลายของผสู้ ูงอายุมีส่วนสมั พนั ธก์ บั ปจั จัยเหล่าน้ีเปน็ อยา่ งมาก 5) ทฤษฎีต่างยุค (Age-Stratification Theory) ทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีใหม่คำนึงถึง บุคคลในฐานะโครงสร้างของสังคม ผ้มู วี ัยในยคุ สังคมตา่ งกันยอ่ มมปี ระสบการณ์ตา่ งกนั ทฤษฎีช่วยให้ เขา้ ใจและนยิ ามการสูงอายุในบริบทของสังคมวฒั นธรรม เหตกุ ารณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละยคุ รวมทัง้ ความ แตกตา่ งกนั ในภาคสว่ นต่างๆ ของโลก 6) ทฤษฎีแลกเปลย่ี นทางสงั คม (Social Exchange Theory) ทฤษฎีน้ีมพี นื้ ฐานจาก การพิจารณา Cost-Benefit Model ของการมีปฏิสัมพันธ์ในสังคม และทั้งยังมีพื้นฐานมาจากการ แลกเปลี่ยนในลักษณะสมดุลในคุณค่าและประโยชน์ของการแลกเปลี่ยนผู้สูงอายุอาจถูกมองว่าให้ ผลตอบแทนนอ้ ย ไม่คุ้มค่า อย่างไรกต็ ามทีก่ ลา่ ววา่ คุณค่าของการแลกเปลี่ยนจะบอกสถานภาพทาง สงั คมของผู้แลกเปล่ยี น บทบาทและทกั ษะของบุคคลอาจใช้เปน็ ตัวแลกเปลี่ยนในสถานการณ์ท่ีสังคม นั้นมีความต้องการ อาทิ พ่อแม่มีคุณค่าทำหน้าที่เลี้ยงลูกหลานเพ่ือตอบแทนให้คนหนุ่มสาวสามารถ ประกอบภารกจิ ในชีวติ การงานได้ เปน็ ตน้ 7) ทฤษฎีความทันสมยั (Modernization Theory) ทฤษฎนี ไ้ี ดอ้ ธิบายสภาพสังคมท่ี เปลี่ยนแปลงไปจากเทคโนโลยีที่ทันสมัย สังคมและบทบาทของคนมีการเปลี่ยนแปลงทันสมัยข้ึน ผู้สงู อายอุ าจกา้ วไมท่ นั และถูกมองวา่ ไม่มีคณุ ค่าอีกต่อไป อยา่ งไรก็ตามมีผู้ใหข้ อ้ สังเกตในทฤษฎีน้ีว่าใน สังคม เช่น ประเทศญี่ปนุ่ ซง่ึ มคี วามเจริญมากยงั คงไวซ้ ง่ึ การยกยอ่ งนบั ถอื ผสู้ ูงอายุเช่นในอดตี เป็นต้น 2. แนวคิดเกี่ยวกบั ปัจจัยเสี่ยงตอ่ การหกล้มของผสู้ ูงอายุ ผู้สูงอายุ เป็นวัยที่เกิดการเสื่อมถอยของสุขภาพและสมรรถภาพในด้านการเคลื่อนไหวของ ร่างกาย จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการพลัดตกหกล้มได้ง่ายซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวติ เป็นอย่าง มาก ภาวการณห์ กลม้ ในผู้สูงอายุท่ีจะนำเสนอมี
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 12 1. คำจำกัดความของคำวา่ “หกล้ม” การหกล้มเป็นอาการหรือพฤติกรรมของร่างกายที่ลงสู่พื้นในลักษณะต่าง ๆ อย่างไรก็ตามมีผู้ให้ ความหมายในเชงิ วิชาการของการหกล้มว่า หมายถงึ การท่เี กดิ การเปล่ียนท่าโดยไม่ตง้ั ใจ และเป็นผล ให้ร่างกายทรุดหรือลงนอนกับพื้น หรือ ปะทะสิ่งของต่าง ๆ เช่น โต๊ะ เตียง (สุทธิชัย จิตะพันธ์กุล, 2544, 6) ส่วนบปุ ผา จนั ทรจรสั (2546, 28) ใหค้ วามหมายของการหกล้มในผ้สู งู อายุว่าหมายถึง การ เปลี่ยนตำแหน่งของร่างกายจากการลื่น ถลา หรือ ตกลงไปสู่พ้ืนหรือพืน้ ผิวอื่นที่ต่ำกว่าร่างกาย เป็น เหตกุ ารณท์ ่ีเกิดขึ้นโดยไม่ได้ต้ังใจและไม่สามารถควบคมุ ได้ อาจส่งผลให้ร่างกายไดร้ ับบาดเจ็บหรือไม่ ไดร้ บั บาดเจ็บกไ็ ด้ ในทำนองเดียวกันกบั ลัดดา เถียมวงศ์, สุทธชิ ัย จิตะพนั ธ์กลุ , และจักษณา ปัญญา ชีวิน. (2547) ท่ีให้ความหมายการหกล้มว่าหมายถึง บุคคลที่สูญเสียการทรงตัวโดยไม่ได้ตั้งใจ และ ไม่ไดเ้ กิดจากแรงกระทำภายนอก โดยทำให้สว่ นใดสว่ นหน่ึงของร่างกาย ไดแ้ ก่ มอื แขน ขา ก้น หรือ ร่างกายทัง้ ตัวสมั ผสั กบั พ้ืนและต้องเกิดเหตกุ ารณ์ดังกลา่ วตง้ั แต่ 2 ครั้งขน้ึ ไป คำจำกัดความของคำว่า “หกล้ม” ในทางงานวิจัย หมายถึง ภาวะที่ผู้สูงอายุล้มลงไปสู่พื้น หรือพบว่านอนอยู่ที่พืน้ หรือเป็นภาวะที่ล้มไปกระแทกกับวัสดุอุปกรณ์ที่อยูใ่ นบริเวณนั้น เช่น เก้าอี้ เคานเ์ ตอร์ แล้วต้องพยายามดงึ ตัวกลับมาเพ่อื การทรงตวั ซ่งึ งานวิจยั ส่วนใหญจ่ ะกลา่ วถึงการหกล้มว่า เป็นการรบกวนสมดลุ การทรงตัวโดยไปรบกวนฐานที่รองรับน้ำหนักขณะยืน กรณนี ีก้ ารหกลม้ หรอื การ สูญเสียการทรงตัวจะหมายถึง การเปลี่ยนแปลงหรือการเคลื่อนที่ของจุดศูนย์กลางมวล (center of mass) ออกมานอกฐานที่รองรับน้ำหนักของร่างกาย หรือในทางคลินิกอาจใหค้ ำจำกัดความของการ หกล้มว่า เป็นการหลุดจากฐานที่รับน้ำหนักของร่างกายโดยไม่ได้ตั้งใจ คำจำกัดความนี้ไม่ได้หมายถงึ ขณะยืนเท่านั้น แต่รวมถึงขณะลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้แล้วเกดิ ภาวะหงายหลังลงมาน่ังบนเก้าอ้ีโดยไม่ได้ ตงั้ ใจ หรอื เซไปกระแทกกับผนังห้อง ในปี 1987 คณะทำงานเกีย่ วกบั การปอ้ งกนั การหกลม้ ในผสู้ งู อายุ ของ Kellogg International ให้คำจำกัดความของการหกล้มว่า “การล้มลงสู่พื้นหรือระดับต่ำกว่า โดยไม่ได้ตั้งใจที่ไม่ได้เกิดจากแรงกระแทกอย่างแรง ภาวะไม่รู้สติ ภาวะอ่อนแรงทันทีทันใดจากโรค ภาวะหลอดเลือดในสมองและโรคลมชัก” ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงการหกล้มที่มาจากความบกพร่องของ ระบบประสาทการรับรู้และการเคลื่อนไหวและควบคุมการทรงตัว (Shumway-Cook A and Woollacott MH, 2001, p.34; Gibson MJ., Andres RO., Isaacs B., Rodebaugh T., & Worm- Peterson J. 1987, 1-24) จึงพอสรปุ ไดว้ า่ การหกลม้ หมายถงึ สภาพทรี่ ่างกายลม้ ลงไปสู่พ้นื หรอื นอนอยู่ทีพ่ ืน้ หรอื เป็น ภาวะทล่ี ้มไปกระแทกกบั วัสดอุ ปุ กรณ์ใด ๆ ท่ีอยูใ่ นบริเวณน้นั โดยไม่ได้ตั้งใจและไมส่ ามารถควบคมุ ได้ 2. ปจั จัยท่ีทำใหเ้ กดิ การหกล้ม ปัจจัยที่ทำให้เกิดการหกล้มในผู้สูงอายุจะเพิ่มอัตราการหกล้มในผู้สูงอายุ (Tinetti ME, Speechley M. & Ginter, 1988, 1707) แบ่งเป็น ปัจจัยภายใน (Intrinsic Factor) และ ปัจจัย ภายนอก (Extrinsic Factor) 2.1 ปัจจัยภายใน (Intrinsic Factor) เป็นการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา ระบบกระดกู และกล้ามเนื้อและทางจิตใจ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพร่างกายเมื่ออายุเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ ผู้สูงอายุหกล้มไดง้ ่ายได้แก่ อายุที่เพ่ิมขึ้น ประวัติการหกล้มในอดีต การเจ็บป่วยเรื้อรงั การได้รับการ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 13 รักษาทางยา (Hill K, Schwarz JA, Flicker L., & Carroll S., 1999, 41-48) เช่น ยากล่อมประสาท ยาคลายเครียด มีความบกพร่องในด้านการทรงตัวและการเคลื่อนไหว ระบบประสาทรับความรู้สึก บกพรอ่ ง รวมถึงการมองเหน็ ภาพที่ไมช่ ัดเจน ภาวะความมึนงง ความบกพรอ่ งทางการรบั รู้ การเรียนรู้ และความเข้าใจต่อสิ่งแวดล้อม ความผิดปกติทางระบบหัวใจและหลอดเลือดระบบประสาทและ กล้ามเนอ้ื ระบบกระดกู และปญั หาของเทา้ 2.2 ปัจจัยภายนอก (Extrinsic Factors) จะเป็นปฏิกิริยาของร่างกายในการตอบสนอง ตอ่ ส่ิงแวดลอ้ มซงึ่ ต้องนำมาพิจารณาในการสร้างโปรแกรมปอ้ งกนั การหกลม้ ผทู้ มี่ ีการเคล่ือนไหวอยู่ ตลอดเวลาจะเกิดการบาดเจ็บจากการหกล้มน้อยกว่าผู้ทีก่ ลัวหรือไม่อยากเคลื่อนไหว ซึ่งอาจมีภาวะ ของกระดกู บาง หรือการปอ้ งกันตนเองไม่ใหห้ กล้ม ผูส้ งู อายุทีอ่ ยเู่ ฉยๆ ไม่คอ่ ยเคล่ือนไหว ไม่แข็งแรง มีแนวโน้มที่จะหกล้ม ผู้สูงอายุมักจะเกิดการบาดเจ็บจากการหกล้มเนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เป็น อนั ตราย เช่น บนั ไดหรือพ้นื ที่ทีไ่ ม่คุน้ เคยเม่ือออกจากบ้าน นอกจากน้ี ปัจจยั ภายนอกอ่นื ๆ ได้แก่ แสง สว่างไม่เพียงพอ ทางขึ้นบันไดทีไ่ ม่ปลอดภัยหรือพื้นต่างระดับ และพฤตกิ รรมท่ีก่อให้เกิดความเสีย่ ง ( Fuller GF, 2000, 2159-2168, 2173-4; Rubenstein IZ, Robbins AS, Schulman BL., et al. 1988, 266-278) 3. ปัจจัยเสย่ี งในการหกล้มของผู้สูงอายุ 3.1 การเดินและการทรงตัว มีนักวิชาการหลายคนให้ความสำคัญกับประเด็นการเดินและการทรงตัวของผู้สูงอายุใน ระดับมากเพราะเป็นปัจจัยหลักของความเสี่ยงในการหกล้มของผู้สูงอายุ ในเบื้องต้นผู้สูงอายุควร ได้รับการตรวจประเมินเพื่อหาสาเหตุของการหกล้ม และแนวทางในการแก้ไขสาเหตุของการหกล้ม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการหกล้มอีก การซักประวัติเป็นสิง่ จำเป็นในการหาสาเหตุของการหกล้ม และ ควรถามถึงกิจกรรมทีท่ ำกอ่ นและขณะล้มลง โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวหรอื การทำงานท่ีเกี่ยวกับการ เปล่ยี นทิศทาง บริเวณที่หกล้ม และ สภาพแวดล้อม เพ่ือนำมาเป็นแนวทางในการป้องกนั การทดสอบ การทรงตวั เบอ้ื งตน้ จะดคู วามสามารถในการเคล่อื นไหว และความสามารถในการเคลือ่ นย้ายตนเองได้ อยา่ งปลอดภัยไปยงั ทต่ี า่ งๆ เชน่ การน่ัง การลุกขนึ้ ยนื จากเก้าอ้ี การยืน การเออื้ มมือมาด้านหน้าขณะ ยืน การเดนิ อย่างอสิ ระ และการหมุนตัว 360 องศา 6การทดสอบทนี่ ิยมใช้ คือ การยนื บนขาข้างเดียว เป็นระยะเวลา 5 วนิ าที (one leg balance) โดยให้ผู้ถูกทดสอบเลอื กขาข้างทถี่ นัด การยนื นั้นต้องให้ งอข้อเข่าของขาด้านตรงข้ามขึ้นและเท้าต้องพ้นพื้น ให้ทรงตัวในท่านี้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ การ ทดสอบนี้สามารถคาดเดาถึงแนวโน้มของการเกิดการหกล้มได้ (Campbell A.J, Reinken J., Allen B., & Martinez G, 1981, 264-270) การทดสอบด้วยวิธีอื่น เช่นแบบทดสอบ timed “Up & Go” (Tinetti ME, deLeon C., Doucette J., and Baker D.,1994, M140-147) แ ล ะ “Get-Up and Go”(Legters K., 2002, 264-272) โดยเป็นการประเมนิ การเดินและการทรงตัวแบบทดสอบ timed \"Up & Go\" ทดสอบโดยใหผ้ ู้ป่วยลกุ ขน้ึ จากเก้าอ้นี ่งั มาตรฐานมที ี่พักแขน ให้เดนิ เปน็ ระยะทาง 3 เมตร แล้วหมุนตัวเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ โดยผู้ถูกทดสอบใส่รองเท้าที่ใช้เดินปกติในแต่ละวัน อาจใช้ เครอ่ื งช่วยเดนิ ถา้ จำเป็น เช่น ไมเ้ ทา้ แตต่ ้องเดนิ ด้วยตนเองโดยไม่มีคนช่วย ผูท้ ดสอบจะบันทึกเวลาที่ ใช้ในการทดสอบ ถ้าเวลาในการทดสอบเกินกวา่ หรือ เท่ากับ 30 วินาที แสดงว่าผู้ถูกทดสอบมีความ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 14 บกพร่องทางการเคลื่อนไหว หรอื ต้องการความช่วยเหลอื และมีความเส่ยี งต่อการหกล้มแบบทดสอบ \"Get-Up and Go\" ทดสอบโดยให้ผู้ถูกทดสอบนั่งบนเก้าอี้มาตรฐานไม่มีที่พักแขนเก้าอี้วางห่างจาก ผนงั ห้อง 3 เมตร ผถู้ ูกทดสอบยืนข้นึ และเดินไปท่ีผนงั ห้อง อาจใชเ้ ครื่องชว่ ยเดินถา้ จำเปน็ หมนุ ตัวกลับ โดยไม่สัมผสั ผนังหอ้ ง เดนิ กลบั มานง่ั เก้าอี้ การทดสอบนีไ้ มต่ ้องจับเวลา ผู้ทดสอบสังเกตความสามารถ ในการทรงตวั และการเดิน ประเดน็ ทเี่ กีย่ วขอ้ งกับการทรงตัวมีดงั นี้ 3.2 คำจำกัดความของ “การทรงตัว” การทรงตัว หมายถงึ ความสามารถในการรกั ษาจุดศูนยก์ ลางมวลของรา่ งกายให้คงอยู่บน ฐานทร่ี องรบั รา่ งกาย (Tinetti ME, Richman D, Powell L. 1990, 239-243) การทรงตวั ทดี่ ีเกดิ จาก การทำงานหลายระบบของร่างกายที่ให้ข้อมูลสูร่ ะบบประสาทที่ถูกต้อง สมองจะรับข้อมูลที่ส่งมาจาก ส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ตา หูชั้นใน ข้อต่อ กล้ามเนื้อ และผิวหนังเพื่อรวบรวม ประเมินและ ประมวลข้อมูล แล้วจึงกำหนดให้ร่างกายปรับสมดุลการทรงตัว นอกจากการทำงานของระบบต่าง ๆ ของร่างกายแลว้ มีปัจจยั อื่นทีเ่ ข้ามาเกยี่ วข้องกับการทรงตัว คอื ภาวะความกลวั การหกล้ม การได้รับ หรือการใชย้ า และความผิดปกตขิ องร่างกาย ความเส่ือมของร่างกาย 3.3 การควบคมุ การทรงตวั จากแนวคิดเรื่องการควบคุมการเคลื่อนไหว (Tinetti ME, Richman D, Powell L. (1990, 239-243) ระบบประสาทจะมโี ปรแกรมในการควบคมุ การเคลือ่ นไหวที่สามารถนำมาใช้ได้ทันที ระบบ ประสาทส่วนกลางจะทำหน้าที่เชื่อมโยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้ทำงานต่อสภาวะต่างๆ เป็นการ ทำงานของกล้ามเนื้อที่เกี่ยวเนื่องกับรูปแบบที่สมองได้จดจำจากการทำงานที่ผ่านมา และเป็นการ ทำงานซ้ำๆ จนเกิดเป็นรูปแบบเดิมๆ ที่เรียกว่า รูปแบบการเคล่ือนไหวขั้นตอนการทำงานจะเกิดการ ตอบสนองแบบอัตโนมัติเป็นการเคลื่อนไหวออกมาทำให้สามารถทรงตัวอยู่ได้ ระบบประสาท ส่วนกลางจงึ ไม่ตอ้ งทำงานเสมอไปเม่ือเสียการทรงตัว การทำงานเพือ่ รักษาสมดุลของรา่ งกายขณะยืน เปน็ การทำงานของข้อเทา้ ขอ้ สะโพก และการก้าวเทา้ ออกไปเพื่อสรา้ งฐานรองรบั น้ำหนกั ใหม่ 3.4 ระบบประสาทรับความรสู้ ึกกับการทรงตวั ประสาทรับความรู้สึกประกอบไปดว้ ย ตา หู และองค์ประกอบของเวสติบวิ ลาร์ (หูช้ันใน) การรับรู้ของขอ้ ต่อและการสัมผสั การรับรส การดมกลิน่ ระบบประสาทรับความรู้สึกทีเ่ กี่ยวข้องหรือมี บทบาทสำคญั ตอ่ การทรงตัว คือ การมองเห็น ระบบเวสตบิ วิ ลาร์ ระบบกายสมั ผัส การที่มนุษย์เราใช้ ระบบต่างๆ มาทำงานร่วมกันจะทำให้สามารถเรียนรู้และปรับตัวได้อย่างรวดเร็วในการรักษาสมดุล และเคลื่อนไหวได้อย่างมปี ระสิทธิภาพประสาทรับความรู้สึกส่งข้อมูลมายังระบบประสาทส่วนกลาง เพื่อดำเนินการให้ร่างกายทำการเคลื่อนไหวในรูปแบบที่เหมาะสม โดยประเมินถึงน้ำหนัก แรงที่ถูก กระทำ (Tinetti ME, Richman D, Powell L. (1990, 239-243) 3.5 ระบบการมองเห็นตอ่ การทรงตัว การมองเห็นเป็นส่วนที่สำคัญของการทรงตัวของมนุษย์ รับข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ของการเคลื่อนไหวของร่างกายกบั สิ่งแวดล้อมรอบกาย ทำให้เราแยกแยะสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัว เพ่ือ ช่วยในการตัดสินใจว่าควรเคลื่อนไหวในรูปแบบใด และให้ข้อมูลความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ รอบตัว เมื่อใช้ระบบการมองเหน็ รับข้อมูลทำใหส้ ามารถบอกตำแหน่งของร่างกายที่สัมพันธ์ต่อสิ่งแวดล้อมได้ นอกจากนี้ ระบบการมองเหน็ จะรับข้อมูลของการทำงานของข้อตอ่ สง่ ไปยังระบบประสาทส่วนกลาง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 15 (Campbell A.J, Reinken J., Allen B., & Martinez G.,1981, 264-270) ในผู้สูงอายุซึ่งมีการ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของตาทำให้แสงผ่านมายังจอตาได้นอ้ ยลง ดังนั้น เมื่ออายุมากขึ้นจึงตอ้ งการ แสงสว่างในการมองมากขึน้ มองเห็นภาพได้ไม่ชัดเจน อาจเกิดจากภาวะต้อกระจกต้อหิน เนื่องจาก การขาดเลือดมาเลี้ยงที่จอตาหรือมีโรคทางระบบประสาท ซึ่งปัญหาทางสายตานั้นมีผลต่อ ความสามารถในการทรงตวั (Tinetti ME, Richman D, Powell L. (1990, 239-243) 3.6 ระบบกายสมั ผสั ตอ่ การทรงตวั ระบบกายสมั ผัสประกอบด้วย การสัมผัสและการรับรู้ของขอ้ ต่อ ข้อมูลท่ีได้มีความสำคัญ ตอ่ ระบบประสาทมาก เนอื่ งจากบอกถงึ ตำแหนง่ ของร่างกาย การรบั รขู้ องการสัมผสั และข้อต่อน้ีจะทำ ให้กล้ามเนื้อปรับตัวหรือทำงานได้อย่างอัตโนมตั ิเพื่อรักษาสมดุลของร่างกายไม่ให้ล้มระดับการรับรู้ การสัน่ สะเทอื น ที่นว้ิ หัวแมเ่ ทา้ ลดลงถึง 3 เท่าเมือ่ อายุ 90 ปีข้นึ ไป การลดลงนเ้ี กดิ ในส่วนของรยางค์ ขามากกว่าแขน และมีผสู้ ูงอายุจำนวนไมน่ อ้ ยที่ไม่สามารถบอกความรสู้ ึกของการสน่ั สะเทือนท่ีข้อเท้า ได้ สำหรับการรับรูข้ องการสมั ผัสจะลดลงเมือ่ อายมุ ากข้ึน โดยมีการลดลงของการสมั ผัสละเอียด การ รับรู้แรงกด และการสั่นสะเทือน เมื่ออายุมากข้ึน Meissner end organ และ Paciniancorpuscles จะลดความสามารถในการรับความรู้สึก สาเหตทุ ี่ความสามารถในการทำงานลดลงอาจมาจากจำนวน ประสาทรับความรู้สึกที่ลดลง พบว่ามีการลดลงถึง 30 เปอร์เซ็นต์ของใยประสาทรับความรู้สึกส่วน ปลายทำให้เกิดภาวะโรคระบบประสาทส่วนปลาย และมีผลกระทบต่อระบบรับความรู้สึกอื่น ๆ (Shumway-Cook A and Woollacott MH, 2001, p.34) เช่น ระบบการมองเห็น และระบบเวสติ บิวลาร์ และเวลาเร่ิมต้นของการเปลี่ยนแปลงสัญญาณไฟฟา้ กล้ามเนื้อจะช้ากวา่ คนปกติ เมื่อมคี วาม บกพร่องของระบบการมองเหน็ ระบบเวสติบิวลาร์ และ ระบบกายสัมผัส จะมีผลกระทบต่อการทรง ตวั การสญู เสยี การทรงตัวน้ันมสี าเหตหุ ลายประการ เชน่ การที่ระบบประสาทถกู ทำลาย จำนวนและ ความรุนแรงของประสาทรับความรู้สึกที่สูญเสียไป และความสามารถของส่วนการรับความรู้สึกท่ี สามารถทดแทนได้ระดับความบกพร่องของการทรงตัวที่เกดิ จากการสญู เสยี ความรู้สึกขึน้ กับโครงสร้าง และความรนุ แรงของระบบประสาทท่ีมีพยาธิสภาพ กรณีที่มีความบกพร่องของสายตาจากโรคหลอด เลือดในสมองหรือต้อกระจก จะใช้ข้อมูลจากระบบกายสัมผัสและระบบเวสติบวิ ลารเ์ พ่ือรักษาการ ทรงตัวไว้ กรณีนี้การเลือกใช้อุปกรณ์ช่วย ราวเกาะเดิน หรือแสงสว่างที่เพียงพอเป็นสิ่งจำเป็นถ้า ระบบเวสติบิวลาร์ผิดปกติหรือถูกทำลายจะเกิดภาวะวิงเวียนศีรษะ มองภาพไม่ชัดได้ ทำให้มีความ บกพรอ่ งตอ่ การทรงตัวและการควบคุมการทรงตวั อยา่ งรุนแรง ระบบประสาทมีความสามารถในการ นำส่วนตา่ ง ๆ มาทดแทนเมือ่ มคี วามบกพรอ่ งของร่างกายเกิดขนึ้ สมองไมไ่ ด้เลือกหรอื เลือกวิธที ด่ี ีที่สุด ในการทำงานทดแทน ในกรณีที่เลือกอาจเลือกวิธีที่เร็วที่สุดมาใช้เพื่อให้ร่างกายทำงานต่อไปได้ (Tinetti ME, Richman D, Powell L. 1990, 239-243) 3.7 ความแขง็ แรงของกล้ามเน้อื ความแข็งแรงหรือแรงที่เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อจะลดลงเมื่ออายุเพ่ิมขึ้น พบวา่ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาอาจลดลงถึง 40 เปอร์เซ็นต์ จากช่วงอายุ 30 ถึง 80ปี ความทนทาน ของกลา้ มเนื้อในการหดตวั ต่อเนือ่ งทร่ี ะดับรองสูงสุด(submaximum contraction) จะลดลงเมื่ออายุ เพ่ิมข้ึน อยา่ งไรก็ตาม ความทนทานในการทำงานนั้นลดลงชา้ หรือน้อยกว่าความแขง็ แรง เม่ืออายุมาก ขึ้นขนาดของกล้ามเนื้อจะเล็กลงและปริมาณกล้ามเนื้อลดลง กล้ามเนื้อขาจะลดมากกว่ากล้ามเนื้อ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 16 แขน เมื่อเซลล์กล้ามเนื้อตายจะมีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันและไขมันเข้ามาทดแทน นอกจากนี้ พบว่ามีการ หายไปของเส้นใยกล้ามเน้ือ Type II ชนิดหดตัวเร็ว จะลดลงหรือหายไปเร็วกว่า Type I และจำนวน หน่วยยนต์จะลดลงเมื่ออายุเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการลดลงของเส้นใยมัยอีลินขนาดเล็กและใหญ่ การ เปลี่ยนแปลงของกล้ามเนื้อลายมีผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงานของมนุษย์ในการทำการ เคลื่อนไหว พบว่า ความสามารถหดตัวสงู สุดลดลง กล้ามเนือ้ อ่อนลา้ เรว็ ขึน้ ความไวของการหดตัวช้า ลง และพบว่า การหดตัวแบบ concentric มีผลกระทบจากอายุที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยมีการ เปลยี่ นแปลงของระบบประสาทและกล้ามเนอื้ มากกว่าการเปลีย่ นแปลงการหดตัวแบบ eccentric ใย กลา้ มเนอื้ ท่หี ดตวั เรว็ มีผลกระทบมากกว่ากลา้ มเนือ้ ทีห่ ดตัวชา้ 3.8 ช่วงองศาการเคล่อื นไหวของข้อตอ่ มีการลดลงของช่วงองศาการเคลื่อนไหวของข้อต่อและมีการลดลงของความยดื หยุ่นของ กระดูกสนั หลงั ในผ้สู ูงอายุทำให้ลกั ษณะท่าทางเปลี่ยนไปเป็นการยนื หลังค่อม ศรี ษะยน่ื ไปดา้ นหน้า ทำ ใหม้ กี ารเปลยี่ นแปลงของแนวโครงสร้างของท่าทาง การปรบั เปล่ียนตำแหนง่ ของจดุ ศูนย์กลางมวลใน แนวดิ่งมาดา้ นหลังทางส้นเท้า นอกจากนี้ ภาวะข้อเสอ่ื มกท็ ำให้ชว่ งองศาการเคล่ือนไหวลดลง และถ้า มีการเจ็บหรือปวดในบรเิ วณต่างๆ จะทำให้ช่วงองศาการเคลื่อนไหวลดลง (Tinetti ME, Richman D, Powell L. 1990, 239-243) 3.9 การทรงตวั ในผ้สู ูงอายุ เมื่ออายุมากขึ้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายมากมาย เช่น การเดินช้าลง ความ แข็งแรงของกล้ามเนื้อขาลดลง และช่วงองศาการเคลื่อนไหวของข้อต่อลดลง การเปลี่ยนแปลงอื่นๆ เชน่ ปญั หาทางสายตา ไดแ้ ก่ ความสามารถในการมองเห็นลดน้อยลงท้ังด้านความชัดเจน การมองใกล้ ไกล เลนส์สายตาการปรับของสายตาเม่ือมองในท่ีมืดและสว่าง ซึง่ จะต้องได้รบั การตรวจประเมินจาก จักษุแพทย์ความสัมพันธ์ของการทรงตัวกับอายุนั้นเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในระบบของ ร่างกายเช่น การเปลี่ยนแปลงทางระบบประสาทที่ทำให้ตอบสนองช้าลงเมื่อสูญเสียการทรงตัว ประสทิ ธภิ าพของการทำงานต้านกบั แรงดงึ ดูดของโลกลดลง มีการเปล่ียนแปลงทางกระดูกและข้อต่อ ทำให้ลดการทำงานของข้อเท้า นำไปสู่การใช้ข้อสะโพกและการกา้ วเท้าออกไปมากข้ึนเพือ่ รักษาการ ทรงตัวไม่ใหล้ ้มลง ภาวะกลัวการหกล้ม การรับความรู้สึกที่เปลี่ยนไปหรือผิดปกติ และการลดลงของ ความสามารถในการทำงานของระบบเวสติบิวลาร์ (Tinetti ME.,1986, 119-26; Tinetti ME, Richman D, Powell L. 1990, 239-243) จากรายงานการศึกษาลักษณะการเดินในผู้สูงอายุ พบว่า ผู้สูงอายทุ ี่มีประวัติหกลม้ น้ันช่วงก้าวเดินแคบและสั้น เมื่อเปรียบเทยี บกับผู้ที่อายนุ อ้ ยกว่า ซึ่งเชื่อวา่ เกิดจากการที่ผสู้ ูงอายใุ ช้ฐานรองรับนำ้ หนักท่แี คบเนอ่ื งจากไปลดการเคล่อื นของจดุ ศูนย์กลางมวลตาม แรงดึงดดู ของโลกในทิศทางดา้ นข้างลำตวั เพื่อไม่ใหเ้ กดิ การเซ และการที่ไปลดฐานรองรับน้ำหนักทำ ให้ลดความสามารถในการกางขาขณะเดนิ 3. แนวคิดเก่ียวกับการประเมินความเส่ยี งในการหกล้ม การตรวจประเมินความเสี่ยงต่อการหกล้มของผู้สูงอายุ มีวัตถุประสงค์เพือ่ เป็นการวางแผน จัดการลดหรือกำจัดปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง มีการศึกษาของนักวิชาการหลายคน สนับสนนุ ให้มกี ารประเมินปัจจยั เสี่ยงหลายปัจจัย เพือ่ เปน็ แนวทางในการปอ้ งกันการหกล้มได้อย่างมี
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 17 ประสิทธิภาพ แบบประเมินความสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ ดังนี้ (กมลรัตน์ กิตติพิมพา นนท์, 2559) 1. แบบประเมินคัดกรองกลุ่มเสี่ยง (Fall screening) ใช้ในการคัดกรองผู้สูงอายุทุกคนเพื่อ จำแนกกลมุ่ ผูส้ ูงอายุทม่ี ีความเส่ียงให้ได้รับการประเมินความเส่ยี งแบบหลายปัจจัย ประกอบด้วย การ ซกั ประวตั กิ ารหกลม้ และการประเมินสมรรถภาพทางกาย (American Geriatrics Society & British Geriatrics Society, 2011; Milisen et al., 2009; Phelan et al., 2015) ซ่งึ มรี ายละเอยี ดดังน้ี 1.1 การซักประวัตกิ ารหกล้ม เปน็ การซักถามผู้สูงอายุเก่ยี วกับประวตั กิ ารหกล้ม โดยถ้า ผสู้ งู อายมุ ปี ระวัติหกล้มภายใน 1 ปีทผี่ า่ นมา หรือได้รับบาดเจบ็ จากการหกล้ม ถือว่ามคี วามเส่ียง และ หากผ้สู งู อายมุ คี วามรู้สึกไม่มัน่ คงหรือมีปญั หาเรอ่ื งการเดินหรือทำแบบประเมินความเสี่ยงด้วยตนเอง ได้มากกว่าหรือเท่ากับ 4 ข้อ ถือว่าบุคคลนั้นเสี่ยงต่อการหกล้มเช่นกัน โดยผู้สูงอายุดังกล่าวจะต้อง ได้รบั การประเมนิ สมรรถภาพทางกายเพอ่ื ประเมินความเส่ียงต่อไป 1.2 การทดสอบสมรรถภาพทางกายหลังจากซักประวัติเกี่ยวกับการหกล้ม ผู้ที่มีความ เสี่ยงจะได้รับ การทดสอบสมรรถภาพทางกาย โดยการศึกษาส่วนใหญ่ใช้การลุกนั่งจากเก้าอ้ีและลกุ เดิน (Timed up and go test) เป็นเครื่องมือคัดกรองความเสี่ยงต่อการหกล้ม โดยเกณฑ์ในการ วนิ ิจฉยั วา่ ผูส้ งู อายมุ ีความเส่ียงสูง คือผ้สู ูงอายทุ ี่ใชเ้ วลาในการทดสอบ มากกวา่ หรือเท่ากับ 12 วินาที ถือว่ามีความเสี่ยงสูง และต้องได้รับการประเมินความเสี่ยงหลายปัจจัยในชั้นต่อไป นอกจากนี้การ ทดสอบสมรรถภาพทางกายอนื่ ๆ ที่นำมาใช้การคดั กรองเพิ่มเติม ไดแ้ ก่ การลุกนง่ั จากเกา้ อ้ี 30 วินาที (30-sec chair stand) และการยืนเพื่อทดสอบการทรงตวั 4 แบบ (4 Stage balance test) (Phelan et al., 2015) 2. แบบประเมินปจั จัยเสย่ี งตอ่ การหกลม้ หลายปัจจยั (Multifactorial fall risk assessment ) แบบประเมนิ นี้มีวัตถุประสงค์เพอ่ื ประเมนิ ปจั จัยท่มี ีความสัมพนั ธ์กบั การหกล้มท้ังหมด ประกอบด้วย อายุ เพศ ประวัติการหกล้ม การกลัวการหกล้ม การเคลื่อนไหวบกพร่อง การใช้ยา ความดันโลหิตต่ำ เมื่อเปลี่ยนท่า การตรวจสายตาและการมองเห็นบกพร่อง ลักษณะเท้าและรองเท้า สิ่งแวดล้อมและ พฤติกรรม การใช้เครื่องช่วยเดิน และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยแนวทางการประเมินที่ผ่านมาจะ กำหนดลกั ษณะของการประเมินที่เหมอื นและแตกต่างกนั ออกไป ซึ่งสามารถสรปุ ตามปจั จยั ต่าง ๆ ได้ ดังน้ี 2.1 อายุและเพศ อายุที่เพิ่มมากขึ้นจะส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการหกล้มเพิ่มมากขึ้น โดยมีการแบ่งความเสีย่ งตามชว่ งอายุ ดังนี้ อายุต่ำกว่า 65 ปี เป็นผู้มีความเส่ียงต่ำ อายุระหว่าง 65- 75 ปี เป็นผมู้ คี วามเสี่ยงปานกลาง และอายมุ ากกว่า 75 ปี เป็นผู้มีความเสย่ี งสงู ด้านเพศ พบว่า เพศ หญิงมีความเส่ียงสูงกวา่ เพศชาย (Renfro & Fehrer, 2011) 2.2 ประวัติการหกลม้ เป็นปจั จัยในการประเมนิ ความเสี่ยงของผู้สูงอายุในทุกการศึกษา ท่ีผา่ นมา ส่วนใหญ่นยิ มใชก้ ารมีประวัตกิ ารหกลม้ 1 ครง้ั ใน 12 เดอื นทผ่ี า่ นมาเปน็ เกณฑ์วินิจฉัยความ เสี่ยงต่อการหกล้ม (American Geriatrics Society & British Geriatrics Society, 2011) บาง การศึกษาใช้เกณฑ์การมีประวัติหกล้ม 2 ครั้งขึ้นไป ใน 12 เดือน และ 2 ครั้งขึ้นไป ใน 6 เดือน (Renfro & Fehrer, 2011)
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 18 2.3 การกลัวการหกลม้ การประเมินการกลัวต่อการหกลม้ เป็นอกี ปจั จัยท่พี บในผู้สูงอายุ ที่มีประวัติหกล้มมาก่อน โดยการประเมินส่วนใหญ่เป็นการซักถามความกังวลเกี่ยวกับการหกล้ม (Phelan et al., 2015) หรือความรสู้ ึกไม่กลา้ ทำกิจกรรมเนอ่ื งจากกลัวการหกล้ม หากผสู้ ูงอายมุ ีความ กังวลดังกล่าว ถือว่าผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อการหกล้ม นอกจากนี้มีการใช้แบบประเมิน Falls Efficacy Scale (FES) เพือ่ แบ่งความเสยี่ งเป็น 3 ระดับ คอื คะแนน 8 ถงึ 10 คะแนน มีความเสยี่ งต่ำ คะแนน 3 ถึง 7 คะแนน มคี วามเสีย่ งปานกลาง และคะแนน 0 ถึง 2 คะแนน มคี วามเส่ยี งสูง (Renfro & Fehrer, 2011) 2.4 การเคลือ่ นไหวบกพร่อง การเคล่อื นไหวทส่ี ัมพนั ธ์กบั การหกลม้ มากท่ีสุด ได้แก่ การ เดินและการทรงตัว โดยการทดสอบสมรรถภาพทางกายท่เี ก่ยี วขอ้ ง ไดแ้ ก่ 2.4.1 การลกุ นัง่ จากเก้าอแ้ี ล้วลกุ เดนิ 2.4.2 การลกุ นัง่ จากเกา้ อ้ี 1) ลุกนั่งตดิ ต่อกนั ภายใน 30 วินาที และนับจำนวนครง้ั ท่ที ำได้ 2) ใหล้ ุกนั่งจากเก้าอ้ี 5 ครั้งตดิ ต่อกัน หากใช้เวลาในการทำการทดสอบ มากกว่า 12 วินาที หรือมากกว่า หรือเท่ากับ 14 วินาที แสดงว่ามีการทรงตัวที่ผิดปกตแิ ละเสี่ยงต่อ การหกลม้ 2.4.3 การยนื เพือ่ ทดสอบการทรงตวั 4 แบบ ไดแ้ ก่ การยนื เทา้ ชิดกัน การยืนต่อเท้า ทั้งหมด การยนื ต่อเท้าคร่งึ หนึ่ง และการยืนขาเดียว 2.4.4 การกา้ วขึ้นช้ันต่างระดบั เปน็ การประเมนิ ความมัน่ คงของร่างกาย 2.4.5 ความสามารถในการเอื้อมจับขณะยนื เปน็ การทดสอบดูความสามารถในการ เอ้อื มหยบิ ของ 2.5 การใชย้ า เป็นปัจจัยเสีย่ งที่สำคัญในการประเมนิ ทกุ การศึกษา โดยการประเมินการ ใช้ยาจะคำนงึ ถึงจำนวนของชนิดยาและกลุ่มยาที่ใช้หากผู้สูงอายุใช้ยามากกว่าหรอื เท่ากับ 4 ชนิดขึ้น ไป หรือใช้ยาที่มีผลต่อจิตประสาท (Psychoactive medications) หรือยาอื่นๆ ที่ทำให้เกิด อาการ งว่ งซมึ หรือความดนั โลหติ ตำ่ เมอ่ื เปลี่ยนทา่ ถอื วา่ มคี วามเสยี่ งตอ่ การหกลม้ 2.6 ความดนั โลหิตตำ่ เมื่อเปลย่ี นท่า เป็นปญั หาทพี่ บบอ่ ยในผสู้ ูงอายทุ ่ีสัมพันธ์กับการหกล้ม 2.7 การตรวจสายตาและความผิดปกติ ความสามารถในการมองเห็นเป็นปัจจัยที่มี ความสำคัญในผ้สู งู อายซุ ่งึ ควรได้รับการประเมนิ ทุกๆ 1 ปี 2.8 ลักษณะเท้า และรองเท้า และการใช้เครื่องช่วยเดิน คือการประเมนิ ลกั ษณะเท้าท่ี ผิดปกติ ได้แก่ เท้าแบน เท้าผดิ รปู นวิ้ เทา้ ผดิ ปกติ มีแผล เปน็ ต้น การใส่รองเทา้ ไม่เหมาะสม เช่น คับ แนน่ เกนิ ไป รองเทา้ ส้นสูง หรือการเดินเทา้ เปล่า 2.9 สิ่งแวดล้อมและพฤติกรรม บางการศึกษาที่เลือกประเมินเพียงสิ่งแวดล้อมหรือ ประเมินเพยี งพฤติกรรมเส่ียงโดยการซกั ถาม 2.10 ปัจจัยอื่นๆ ท่ีเกี่ยวข้อง ปัจจัยเสี่ยงที่เฉพาะเจาะจง ได้แก่ ระดับการรู้คิด ภาวะ ซึมเศร้า การดื่มแอลกอฮอล์ ระดับกิจกรรมทางกาย การประเมินระบบประสาท และการประเมิน ความรู้สกึ สว่ นปลาย เปน็ ต้น
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 19 จากการศึกษาแนวคิดและทฤษฎีดังกล่าวข้างต้น การประเมินความเส่ียงการหกล้มของ ผู้สูงอายุ เป็นการประเมินเพื่อหาสาเหตุที่ทำให้ผู้สูงอายุมีโอกาสเกิดการหกล้ม โดยผู้วิจัยใช้แบบ ประเมินความเส่ียงการหกล้มของผู้สูงอายุในชุมชน THAI FRAT ของลัดดา เถยี่ มวงศ์ สุทธชิ ยั จิตะพันธ์กุล และจักษณา ปญั ญาชวี นั (2547) และแบบประเมินสภาพแวดล้อมในบ้านต่อความเสี่ยงในการหกล้ม ของผสู้ งู อายุของนงนชุ วงศส์ ว่างและคณะ (2560) 4. แนวคิดเกี่ยวกบั การจดั การปจั จยั เสยี่ งเพอื่ ป้องกนั การหกลม้ ของผสู้ ูงอายุ เป้าหมายของการปอ้ งกันการหกล้มในผู้สงู อายุ คือการลดปจั จัยเสย่ี งที่จะเกดิ การหกลม้ และ ให้ผู้สูงอายุคงสภาวะที่สามารถเคลื่อนไหวอย่างปกติในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งสามารถสรุปการจัดการ ปจั จัยเสีย่ งตอ่ การหกลม้ ทีม่ ีประสทิ ธภิ าพไดด้ งั นี้ (กมลรัตน์ กิตติพิมพานนท์, 2559) 1. การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Strength and balance training) การออกกำลังกายเพื่อป้องกันการหกล้มให้ความสำคัญกับท่าออกกำลังกาย โดยการออก กำลงั กายท่เี พมิ่ ความแข็งแรงของกลา้ มเน้ือขาและการทรงตวั 2. มาตรการการป้องกันหลายปัจจัย (Multifactorial intervention) เป็นมาตรการในการ ป้องกนั การหกลม้ ท่ีสำคญั ภายหลงั ไดร้ ับการประเมินปจั จยั เสี่ยง ได้แก่ การใหค้ วามรู้ การปรับเปลี่ยน ยา การออกกำลังกาย การจัดการเรื่องสายตา การจัดการสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัย การจัดการและ ติดตามภาวะความดันโลหิตต่ำเมอื่ เปลีย่ นท่า การแกไ้ ขปัญหาเรือ่ งเท้าและรองเท้าและการให้วิตามินดี และแคลเซยี มสามารถสรุปได้ดังน้ี 2.1 การให้ความรู้ ความรู้จะประกอบด้วย ขนาดของปัญหาและผลกระทบของการ หกลม้ ในผ้สู งู อายุ สาเหตุ ปจั จัยเสย่ี งตอ่ การหกลม้ วิธกี ารปอ้ งกนั การหกลม้ ทั้งตวั ผู้สูงอายุ ญาติ และ ผดู้ แู ล 2.2 การปรบั เปล่ยี นยา ในกรณที ผ่ี สู้ ูงอายุมีการรบั ประทานยาที่สัมพันธก์ บั การหกล้ม ส่ง ต่อหรือปรึกษาแพทยป์ ระจำตัวผ้สู ูงอายุเพ่ือพิจารณาปรบั เปล่ียนหรือลดยาใหเ้ หมาะสมตอ่ ไป 2.3 การออกกำลังกาย ออกแบบวิธีการออกกำลังกายทเี่ ฉพาะเจาะจงกับผู้สูงอายุ 2.4 การจดั การเรื่องสายตา ผูส้ ูงอายทุ กุ รายควรไดร้ ับการตรวจสายตาอย่างนอ้ ยปีละ 1 ครั้ง ในกรณีที่มีความสามารถในการมองเห็นน้อยกว่า 20/40 ผู้สูงอายุควรได้รับการส่งต่อให้จักษุ แพทย์เพอื่ ตรวจหาสาเหตุและให้การรักษาต่อไป 2.5 การจัดการสง่ิ แวดล้อมให้ปลอดภยั โดยการศกึ ษาที่ผ่านมาเป็นการใช้แบบประเมิน ด้วยตนเองในการประเมินและจัดการแก้ไข เชน่ การตดิ ต้ังราวจบั ทางเดินราวบนั ได ราวจับพยุงตัวใน ห้องน้ำ การปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้เกิดการสะดุดหรือลื่นหกล้มได้ง่าย เช่น พรมเช็ดเท้า สิ่งของหรือสายไฟทีก่ ีดขวางทางเดิน บริเวณพื้นที่ไม่เรยี บ พื้นลื่นมีนำ้ ขัง รวมทั้งการจัดแสงสว่างให้ เพยี งพอโดยเฉพาะทางเดนิ เป็นตน้ 2.6 การจัดการและติดตามภาวะความดันส่งต่อหรือปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและ ปรับลดยา 2.7 การแกไ้ ขปญั หาเรื่องเทา้ และรองเท้าควรแนะนำใหผ้ ้สู ูงอายสุ วมใสร่ องเทา้ ท่พี อดี ไม่ สงู สน้ แขง็ แรง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 20 2.8 การใหว้ ิตามนิ ดแี ละแคลเซยี ม ให้ในผูป้ ่วยทีม่ ีความเสย่ี งสูงและมีภาวะกระดกู พรนุ จากแนวคิดดังกล่าวข้างต้น สรุปได้ว่าการป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุเป็นวิธีการที่จะ ควบคมุ หรอื ยับยงั้ เหตุอันจะกอ่ ใหเ้ กิดการหกล้มของผสู้ ูงอายุ 5. แนวคิดเก่ียวกบั การวางแผนงานอยา่ งมสี ว่ นรว่ ม (AIC) การเขียนแผนงานโดยใช้กระบวนการมสี ว่ นร่วม (Appreciation-Influence-Control: AIC) เปน็ ระบบการสรา้ งทีมดว้ ยการเอาคนทเี่ กีย่ วข้องมาอยู่ด้วยกัน มองอนาคตดว้ ยกัน หาจุดร่วมท่ีเปน็ คณุ ค่าหรอื อดุ มการณร์ ่วมกนั แล้ววางแผนเพอ่ื ดำเนินการร่วมกนั เปน็ ศิลปะของการพฒั นาท่ีเน้นการ คิดหาวิธกี ารให้บรรลุเปา้ หมาย เป็นการปฏบิ ัตริ ว่ มกนั ดว้ ยความรักหรือเหน็ คณุ ค่าซึ่งกันและกันอีกท้งั ยังเปน็ การคดิ เชงิ บวก (Positive Thinking) จึงทำให้ผู้มีสว่ นร่วมเกดิ ความรู้สกึ อ่มิ เอมใจ สนกุ เห็นใจ ช่วยเหลือเกอ้ื กูลกนั มนี กั วชิ าการหลายท่านเสนอแนวคิดเกี่ยวกบั กระบวนการ AIC ไว้ดงั น้ี ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม และวิเชียร ศรีลูกหว้า (2552) ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับ AIC ว่า เป็น เครอื่ งมอื ในการสง่ เสริมใหค้ นมีความร่วมมอื กัน รักกัน และมีการเรยี นรู้ร่วมกันได้ โดยให้ความหมาย AIC ว่า เทคนิคการรวมพลังสร้างอนาคต ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสมกับสภาพ สังคม วัฒนธรรมแบบไทย ๆ ได้เป็นอย่างดี AIC จึงเป็นกระบวนการ และ เทคนิคในการนำคนท่ี ต้องการทำงานร่วมกันทั้งหมดในระบบใดระบบหนึ่ง หรือ เรื่องใดเรื่องหนึ่ง เข้ามา ประชุมเชิง ปฏิบตั ิการ ( Workshop ) รว่ มกัน ซงึ่ มคี วามเหมาะสมในการนำมาใช้จัดทำแผนพัฒนาองค์กร ชุมชน และ สังคม เน่อื งจากกระบวนการดงั กล่าวจะช่วยกอ่ ใหเ้ กิด พลงั แห่งความรว่ มมือไดอ้ ย่างดีย่ิง โดยมี ข้ันตอนดำเนินการตามลำดับ ดังน้ี ขั้นที่ 1 A : APPRECIATION (การสร้างพลังเมตตา) คือ กระบวนการที่ทำให้ทุกคนให้การ ยอมรบั และชนื่ ชมคนอืน่ โดยที่ไม่รู้สกึ ทไี่ มด่ ี หรือ แสดงการตอ่ ตา้ น หรือ วพิ ากษว์ จิ ารณ์ กระบวนการ ในขั้นนี้ ทกุ คนทเ่ี ขา้ รว่ มการประชมุ จะมโี อกาสในการแสดงออกไดอ้ ยา่ งทัดเทียมกัน ซึง่ จะทำให้ทุกคน ได้มีโอกาสใช้ทงั้ ข้อเท็จจรงิ เหตผุ ล และ ความรสู้ ึกของตน ตลอดจนการแสดงออกในลักษณะต่าง ๆ ตามทเ่ี ป็นจริง เมอ่ื ทุกคนไดแ้ สดงออกโดยได้รบั การยอมรับจากคนอื่น ๆ จะทำใหท้ ุกคนมคี วามรู้สึก ที่ดี มคี วามสขุ มีความอบอุน่ และ จะเกดิ พลงั รว่ มขน้ึ ในระหว่างคนทีม่ าประชมุ ร่วมกัน ขั้นที่ 2 I : INFLUENCE (การสร้างพลังปญั ญา) คือ การใช้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ที่แต่ละ คนมอี ย่มู าช่วยกันกำหนดวธิ ีการสำคัญหรอื ยุทธศาสตร์ทีจ่ ะทำใหบ้ รรลุ วสิ ัยทัศนร์ ่วม หรืออุดมการณ์ รว่ มของกลุ่มทม่ี าประชุมร่วมกันไดอ้ ย่างดีที่สดุ กระบวนการในขน้ั น้ี ทกุ คนยงั มีโอกาสทดั เทยี มกนั ให้ เกยี รติ ให้โอกาส ซง่ึ กันและกนั รับฟังข้อคิดเหน็ ซึ่งกนั และกนั โต้เถียงกันดว้ ยเหตุและผล ยอมรับกัน จะทำให้เกิดพลังรว่ มของสติปัญญาทแ่ี ตล่ ะคนมี และนำออกมารว่ มกันกำหนดวธิ ีการสำคัญท่ีจะทำให้ บรรลวุ สิ ัยทศั นร์ ่วมหรืออุดมการณร์ ่วม สมาชกิ ในกลมุ่ จะมีปฏิสัมพันธ์ซ่ึงกันและกันสงู มาก เพื่อให้ได้ วธิ ีการสำคญั ทีก่ ลมุ่ เหน็ วา่ ดีทสี่ ุดนัน่ เอง ขั้นที่ 3 C : CONTROL (การสร้างพลังพัฒนา) คือ การนำเอาวิธีการสำคัญมากำหนดเป็น แผนปฏิบัติการอย่างละเอียดว่า จะทำอะไร อย่างไร มีหลักการและเหตุผลอย่างไร ใครจะเป็น ผู้รับผดิ ชอบหลัก ใครจะต้องให้ความรว่ มมือ จะต้องใช้งบประมาณค่าใช้จ่ายเท่าไร จะได้จากแหล่ง ใดบา้ ง กลุม่ / องคก์ ร / หน่วยงาน ฯลฯ ของตนเอง มีงบประมาณ และทรพั ยากรอะไรสนับสนุนบ้าง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 21 เหล่านี้เป็นตน้ กระบวนการในขนั้ นี้ สมาชิกของกลมุ่ แต่ละคนจะตัดสินใจเลือกเองดว้ ยความสมัครใจ ว่าแต่ละคนจะรับอาสาที่จะรับผิดชอบในเรื่องใด หรือจะให้ความร่วมมือในเรื่องใด หรือ จะเป็น ผู้สนับสนุนในเรื่องใด เป็นการกำหนดข้อผูกพันให้กับตนเอง เพื่อควบคุมให้เกิดการกระทำอันจะ นำไปสู่การบรรลุเป้าหมาย หรืออุดมการณ์ร่วมกันในที่สุด ซึ่งก็ คือ การก่อเกิดพลังร่วมของการ พัฒนาน่ันเอง นอกจาน้ี จุฬาภรณ์ โสตะ (2554, 75) ยงั อธบิ ายถึง AIC ไว้ในทำนองเดียวกนั ดังน้ี AIC เป็นเทคนิคการประชุมอย่างสร้างสรรค์โดยการระดมสมองเพื่อทำความเข้าใจท้ัง สถานการณ์ปัญหา ขอ้ จำกัด ความต้องการและศกั ยภาพของผูม้ ีส่วนไดส้ ่วนเสีย A = Appreciation คือการหยั่งรู้ถึงความพอใจและความชืน่ ชอบ ความคิดเห็นที่ดีและการ คิดเชิงบวกในการทำความเข้าใจกับประสบการณ์ สถานการณ์ เป็นเรื่องของความรักความเมตตา เห็นคุณคา่ และการให้เกียรติซึ่งกันและกัน เป็นเครือข่ายประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม จะก่อให้เกิด พลังความร่วมมอื รว่ มแรง ร่วมใจ บางครั้งเรียกว่า พลังความเมตตา I = Influence แปลว่าอิทธิพล อำนาจชักจูง เพราะการที่บุคคลเข้ามารวมพลังกัน จะ ก่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์ต่อกนั มีอำนาจในการชักชวนซึ่งกันและกนั มีการแสดงความคิดเห็น อภิปราย โต้ตอบ เพื่อการแก้ปัญหาร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ คิดทำกิจกรรมซึ่งเป็นกุญแจแห่งความสำเร็จใน เปา้ หมายท่ีทุกคนมงุ่ หวงั เรียกว่า พลงั แห่งปัญญานำสคู่ วามสำเรจ็ C = Control แปลวา่ ควบคุม การกำกับ การบงการ ใหเ้ กดิ การปฏิบตั ไิ ปตามวิถที างทวี่ างไว้ นอกจากนี้ยงั เป็นการช่วยกันสอดสอ่ ง ดูแล พร้อมขจัดสิ่งที่อาจเป็นปัญหา อุปสรรคใหห้ มดไป การ รว่ มพลงั สร้างสรรคใ์ นชว่ งนจ้ี ึงก่อใหเ้ กิดการเปลยี่ นแปลไปในทางทดี่ ขี ้ึน เรียกวา่ พลังพฒั นา กระบวนการ AIC ประกอบด้วย 3 ขน้ั ตอน ดงั นี้ (บญุ เทยี น อาสารินทร์, 2553) ข้นั ตอนที่ 1 การสรา้ งความรู้ (Appreciation หรอื A) เปน็ ขน้ั ตอนแลกเปลีย่ นประสบการณแ์ ละการเรยี นรู้ โดยจะเปิดโอกาสให้ผู้เข้ารว่ มประชุมทุก คนแสดงความคิดเหน็ รบั ฟัง และหาข้อสรุปร่วมกันอย่างเปน็ ประชาธปิ ไตย โดยใช้การวาดรูปเป็นส่ือ ในการแสดงขอ้ คดิ เห็น แบง่ เป็น 2 ช่วง คอื 1. การวเิ คราะหส์ ถานการณข์ องหมู่บ้าน ชมุ ชน ในปจั จุบนั (A1) 2. การกำหนดวิสัยทัศน์ และอนาคต ว่าต้องการให้เกิดการพัฒนาไปในแนวทางใด (A2) โดยการวาดภาพมคี วามสำคญั คือ 1) การวาดภาพสามารถช่วยให้ผู้เข้าร่วมประชุมสร้างจินตนาการ ทำให้เกิดการคิด วิเคราะห์ สรปุ ออกมาเปน็ ภาพ และชว่ ยส่ือสารได้งา่ ยสำหรบั ผู้ทีเ่ ขียนไม่ถนดั 2) เป็นการชว่ ยกระตนุ้ ใหผ้ ู้เข้ารว่ มประชุมเกิดกระบวนการคิดและพดู อธิบายภาพท่ีตน ได้วาด ซึ่งยังเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมประชุม ได้สอบถามข้อมูลจากภาพ ทำให้เกิดเป็นการ เปดิ โอกาสใหม้ ีการแลกเปล่ียน พดู คยุ กระตุ้นสำหรบั คนทไ่ี ม่กลา้ พูด หรอื กลา้ แสดงความคิดเห็น 3) การรวมภาพของบุคคล เพื่อนำมาเป็นภาพรวมของกลุ่ม ทำให้มีความสะดวกและ ง่ายต่อการรวมแนวคดิ ของผู้เข้ารว่ มประชุม สามารถสรา้ งความรู้สึกเปน็ เจ้าของภาพ เจา้ ของความคิด และยงั ชว่ ยในการสรา้ งภาพพงึ ประสงค์ของกล่มุ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 22 4) การเสริมสร้างบรรยากาศการประชุมให้มีความเป็นกันเอง ในบางครั้งผู้เข้าร่วม ประชุม อาจจะมองว่าการวาดภาพเป็นกิจกรรมสำหรับเด็ก ซึ่งวทิ ยากรจะตอ้ งสร้างความเข้าใจ และ นำรูปแบบของเกมที่เกี่ยวกับการวางแผน มาละลายพฤติกรรมกลุ่ม เพื่อการแนะนำตนเอง และวาด ภาพสิง่ ที่ตนเองชอบ เพ่อื เปน็ การเตรียมความพร้อมของผ้เู ข้ารว่ มประชมุ ขนั้ ตอนที่ 2 การสรา้ งแนวทางการพัฒนา (Influence หรือ I) ขั้นตอนที่ 2 เป็นการค้นหาวิธี ที่นำไปสู่การพฒั นาหมู่บา้ น หรือชุมชน ตามเป้าประสงค์ท่ไี ด้ ตั้งไว้ในช่วง (A2) และเป็นการค้นหาวิธี หรือมาตรการในการค้นหาเหตุผลเพื่อจัดลำดับความสำคัญ ตามความคิดเหน็ ของผ้เู ขา้ รว่ มประชมุ แบง่ ออกเป็น 2 ช่วง คอื 1. การคิดโครงการหรอื กจิ กรรมที่จะใหบ้ รรลุตามวตั ถุประสงค์ (I1) 2. การจดั ลำดับความสำคัญของโครงการหรอื กจิ กรรม (I2) โดยแบง่ ออกเปน็ 3 ประเภท คือ 1) กิจกรรมหรือโครงการทีช่ มุ ชนทำได้เอง 2) กจิ กรรมหรอื โครงการท่ีชาวบ้านได้ทำเองบางส่วนและกิจกรรมทขี่ อความช่วยเหลือ จากแหล่งเงินทนุ ภายนอก 3) กิจกรรมหรือโครงการท่ีสามารถขอเงนิ ทุนทีไ่ ด้รับการสนับสนุนจากภาครัฐโดยผ่าน ตำบล ขน้ั ตอนที่ 3 การสร้างแนวทางปฏบิ ัติ (Control หรอื C) ขน้ั ตอนที่ 3 เป็นการนำกจิ กรรมหรอื โครงการต่างๆ ซึง่ นำมาปฏิบตั แิ ละทำการจดั กล่มุ โดยผู้ ดำเนินงาน รับผิดชอบตอ่ โครงการหรือกิจกรรมข้ันตอนน้ี ซ่ึงแบง่ ออกเปน็ 2 ช่วง ไดแ้ ก่ 1. การแบ่งความรบั ผิดชอบเป็นกล่มุ (C1) 2. การตกลงรายละเอียดของการดำเนินงาน โดยจดั ทำเปน็ แผนปฏบิ ตั ิ (C2) กระบวนการ AIC ภาคปฏบิ ตั ิ 6 ขนั้ ตอน มดี งั น้ี (วีระ นิยมวนั , 2542) 1. ข้นั ตอนที่ 1 (A-1) ใชร้ ะยะเวลา 15 นาที ทำความเขา้ ใจในสถานการณ์ และสภาพความเปน็ จริง (Reality) ผู้สนับสนุน ให้ผู้เข้าร่วมประชมุ วาดภาพลงในกระดาษเพื่อจะแสดงใหเ้ ห็นว่าเร่ืองที่จะนำมา พจิ ารณามีรปู รา่ งหน้าตาอยา่ งไร โดยสามารถวาดเปน็ ลายเส้น สญั ลักษณ์ อาจจะมกี ารระบายสีลงไป ในภาพเพื่อแสดง หรือเป็นการสื่อความหมาย ในกลุ่มเล็ก ให้นำภาพของผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนมา รวมกันเป็นภาพเดียว นำเสนอในที่ประชุมร่วมกัน เพื่อให้เกิดกระบวนการแลกเปลีย่ น และเกิดการ ปรับปรุงรว่ มกัน 2. ขนั้ ตอนท่ี 2 (A-2) ใชร้ ะยะเวลา 20 นาที การสร้างวิสัยทัศน์ สภาพความคาดหวังที่ได้หวังไว้ในอนาคต ( (ideal vision หรือ scenario) เข้ากลุ่มเล็ก ให้ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนเขียนภาพในอนาคตข้างหน้า โดยแสดงถึงการ เปลีย่ นแปลง ความเป็นไปได้ นำมาแลกเปลี่ยนพูดคยุ และสุดท้ายนำมารวมกันเปน็ ภาพรวมของกลุ่ม นำเสนอสู่ที่ประชุมใหญ่ ได้ซักถามข้อคิดเห็น แล้วให้ผู้แทนกลุ่มนำไปรวมกัน สร้างเป็นปณิธาน คำขวัญ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 23 ความหมาย ของโครงการ โดยเป็นภาพที่เป็นตัวหลักของความคาดหวัง จะนำไปสู่การคิดวิธีการทีจ่ ะ ทำให้บรรลุเปา้ หมาย 3. ข้นั ตอนท่ี 3 (I-1) ใช้ระยะเวลา 30 นาที การหากลวิธี (solution design) กลุม่ เล็ก ให้ผ้เู ขา้ ร่วมเขียนกิจกรรมที่ตนเองคดิ ว่าต้องปฏิบัติ เพ่อื ทำให้เกิดผลสำเร็จ โดยจะ เปน็ ภาพรวมของ A-2 ซึง่ จะเขียนกจิ กรรมละ 1 แผ่น ให้มากที่สดุ เท่าท่ีมศี ักยภาพ และมีประสบการณ์ โดยนำมาอภิปรายร่วมกันแลว้ เลอื กข้อที่เหมอื นกัน ใหเ้ ป็นมติของกลมุ่ 3 ถึง 5 ข้อ ที่มีความแตกต่าง เก็บไว้ แล้วเขยี นบนั ทกึ เพื่อ นำเสนอต่อท่ีประชุมรวม เพอ่ื ได้ซกั ถามขอ้ คดิ เหน็ และได้รว่ มกนั คดั ไว้ 5 ถึง 6 เร่อื ง 4. ขั้นตอนที่ 4 (I–2) ใชร้ ะยะเวลา 30 นาที การจัดความสำคัญ จำแนกกิจกรรม (priority) กลุ่มเล็ก ให้ผเู้ ขา้ ร่วมเขยี นคนละ 1 กิจกรรม ทไ่ี ด้จากการอภปิ รายมา โดยมีการเลอื กกิจกรรม ตามความถนัดของตนเอง โดยจัดลำดับความสำคัญ และดูถึงความเป็นไปได้ ขององค์กร แล้วแบ่ง ออกเป็น 1. กจิ กรรมทส่ี ามารถปฏิบตั ไิ ด้เอง 2. กิจกรรมที่ต้องปฏบิ ตั ริ ว่ มกับคนอื่น 3. กจิ กรรมท่ตี อ้ งให้คนอื่นทำให้ แลว้ นำกิจกรรมท่ไี ด้เขียนบันทกึ ไว้เพอื่ ไปนำเสนอต่อท่ีประชุม โดยใหเ้ ลือกให้เหลือเพียง ชุดเดียว เรียงตามลำดับความสำคัญ I-2 เพื่อเก็บไว้เป็นแนวทางในการการทำขั้นตอนต่อไป นำมา ประกอบการเขยี นโครงการ 5. ข้ันตอนที่ 5 (C–1) ใชร้ ะยะเวลา 30 นาที การหาผ้รู ับผดิ ชอบเพ่อื นำมาวางแผน (responsibility) กลุ่มเล็ก ให้ผู้เข้ารว่ มช่วยเลือกหัวข้อและวิธีการ ของกิจกรรมที่ได้จากข้ันตอน I-2 โดย เขียนลงแบบบันทึกกิจกรรม 1 กิจกรรม ซึ่งการเขียนมากน้อยแล้วแต่ที่ตนมีความสามารถ บทบาท หน้าที่ ซึ่งสามารถทำได้เอง หรือต้องร่วมทำกับผู้อื่น หรือต้องขอให้ใครทำให้ โดยจะต้องเขียนชือ่ คน ทำกจิ กรรม หลังจากน้นั นำไปรวมกนั เป็นเพียงหนงึ่ เดียว เขยี นบนั ทึกแลว้ นำเสนอในท่ีประชุมรวม ให้ อภิปรายผลเพ่ือเปน็ การเรยี นรู้งาน 6. ขัน้ ตอนท่ี 6 (C–2) ใช้ระยะเวลา 30 นาที จัดทำแผน / กจิ กรรม / โครงการ (Action plan) จัดกลุ่มใหม่โดยแบ่งตามงานที่รับผิดชอบ ได้แก่ กลุ่มนโยบาย กลุ่มนักวิชาการ กลุ่ม ผูบ้ ริหาร กล่มุ ผนู้ ำชุมชน กลุ่มประชาชน หรอื ผู้มสี ว่ นได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้ มีข้นั ตอนท่สี ำคัญ คือ การ เขียนแผนงาน / โครงการ ตามมาตรฐาน ประกอบดว้ ย 1. ชื่อโครงการ หรือแผนงาน 2. หลักการเหตุผล 3. สาเหตทุ ี่ตอ้ งจดั ทำโครงการ 4. จดุ มงุ่ หมาย หรอื วตั ถุประสงค์ ทีต่ ้องการให้เปน็ ผล
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 24 5. วิธกี ารทำอยา่ งไร 6. กิจกรรมทตี่ ้องทำ 7. ผู้รับผิดชอบเป็นช่อื หน่วยงาน หรือบคุ คล ในแตล่ ะกจิ กรรม 8. ระยะเวลาเร่มิ ต้น จนถงึ สิน้ สดุ โครงการ 9. วธิ กี ารวดั และประเมนิ ผลสำเร็จ ตามตัวชี้วัด และตามวัตถปุ ระสงคข์ องโครงการ 10. วสั ดุ อุปกรณ์ งบประมาณ พรอ้ มกับแหล่งท่สี นับสนนุ ภาพประกอบ 1.1 กระบวนการประชมุ เชงิ ปฏิบัติการ AIC ทมี่ า : วีระ นยิ มวัน (2542) จึงพอสรุปไดว้ า่ กระบวนการ AIC เป็นการจดั เวทปี ระชุมที่ทำใหเ้ กิดการแลกเปลย่ี น ความรู้ ประสบการณ์ การนำเสนอข้อมลู ทจ่ี ะทำใหเ้ กิดการรวบรวม วเิ คราะห์ปญั หา ความต้องการ ขอ้ จำกัด และศักยภาพของผู้เกี่ยวข้อง เปิดโอกาสให้เกิดการระดมสมองในการศึกษา วิเคราะห์ พัฒนาหา วิธกี ารหรือทางเลอื กทส่ี รา้ งสรรคแ์ ละเหมาะสมในการพฒั นาทอ้ งถ่ิน ผู้วิจัยได้นำหลักการและแนวคิด AIC (ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม และวิเชียร ศรีลูกหว้า, 2552, จุฬาภรณ์ โสตะ, 2554, 75 และบุญเทียน อาสารินทร์, 2553 ) มาปรับปรุงและประยุกต์ใช้ในการ สร้างกรอบแนวคิดงานวิจัยครั้งนี้ โดยใช้ในช่วงที่ 2 คือการศึกษาหาแนวทางการป้องกันการหกล้ม ของผู้สงู อายใุ นชุมชนบ้านขนุน 6. ภาวะสุขภาพกับการหกลม้ ของผู้สงู อายุไทย 1 กระบวนการเขา้ สู่สงั คมสงู วยั ของประเทศไทย การกา้ วสู่ศตวรรษแห่งประชากรสูงวัย เป็นปรากฏการณ์ท่เี กิดขึ้นไปแลว้ ในประเทศที่พัฒนา ตั้งแต่ศตวรรษท่ีผ่านมา และกำลังเริม่ ข้ึนในประเทศทีก่ ำลังพฒั นาในศตวรรษท่ี 21 น้ี จากการศึกษา
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 25 ของวิพรรณ ประจวบเหมาะ ใน ชื่นตา วิชชาวุธ, นภาพร ชโยวรรณ, ยุพา วงศ์ไชย ประคอง อินทรสมบตั ิ, และนันทศักด์ิ ธรรมานวตั ร.(บก.) (2553, 19-57) กล่าวว่า ในทางประชากรศาสตร์นั้น การเปลย่ี นแปลงเป็นสงั คมสงู วัยสามารถทจี่ ะพิจารณาไดอ้ ย่างคร่าว ๆ จากการท่สี งั คมนั้นมีประชากร สูงอายุ (อายตุ ้ังแต่ 60 ปขี ้ึนไป) มากกวา่ ร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมดหรือกล่าวอีกนัยหน่งึ คือ ใน ประชากรทุกๆ 10 คนจะเป็นผู้สูงอายุ 1 คน รายงานการสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย พ.ศ.2550 ของสำนักงานสถิติแหง่ ชาติ พบว่าประชากรสูงอายขุ องประเทศไทยมถี ึงประมาณ 7 ล้าน คน คิดเป็นเกือบร้อยละ 11 ของประชากรทั้งประเทศที่มีอยู่ประมาณ 65.6 ล้านคน ข้อมูลดังกล่าว แสดงใหเ้ ห็นชัดเจนว่าสังคมไทยไดเ้ ร่ิมเขา้ สู่สงั คมสูงวัยแลว้ แมว้ ่าสัดสว่ นประชากรสงู อายุของประเทศ ไทยยงั ไม่มากเทา่ ประเทศที่พฒั นาแล้วซงึ่ ในปจั จบุ นั มีถงึ ประมาณ 1 ใน 4 หรอื 1 ใน 5 ของประชากร ทัง้ หมด แต่การเปลี่ยนเป็นประชากรสูงวยั ของไทยน้ันเกิดขึ้นในระยะเวลาที่สน้ั กว่ามาก ดังจะเห็นได้ จากการเพ่มิ ของประชากรอายุ 65 ปขี น้ึ ไปจากรอ้ ยละ 7 เปน็ รอ้ ยละ 14 ใช้เวลาเพียงประมาณ 22 ปี ในขณะที่ประเทศท่ีพัฒนาแล้ว เช่นสหรัฐอเมริกาหรอื ประเทศในยุโรป ใช้เวลา กว่าครึ่งศตวรรษหรอื เป็นศตวรรษ การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ย่อมหมายความว่าประเทศไทยจะมีเวลาสั้นมากที่จะ เตรียมการทั้งในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คม ตลอดจนการเตรียมการในดา้ นสวัสดิการบรกิ าร และการสรา้ งหลักประกนั ตา่ งๆ เพอ่ื รองรบั ประชากรสูงอายุ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางอายุของประชากรประเทศไทย โดยมีอัตราการเข้าสู่สงั คมสูง วัยอย่างรวดเร็วนี้มีปัจจัยหลักในทางประชากร 2 ปัจจัย คือการลดภาวะเจริญพันธุ์ และการลดการ ตาย การลดการเกิดอย่างรวดเร็วจากระดับที่สูงในอดีตเป็นระดับที่ต่ำกว่าระดับทดแทนในปัจจุบัน ภายในระยะเวลาอนั สน้ั จากช่วงปี 2506-07 สตรีคนหนง่ึ มบี ุตรโดยเฉลีย่ ประมาณ 6 คน ลดลงเหลือ ประมาณ 4 คนในช่วงทศวรรษ 2520 จากนัน้ ลดลงสูร่ ะดบั ทดแทนในช่วงกลางทศวรรษที่ 2530 และ ในปัจจุบันเหลือประมาณ 1.6 คนตอ่ สตรคี นหนง่ึ 2 ภาวะสุขภาพกบั การหกล้มของผสู้ งู อายุไทย จากการทบทวนและสงั เคราะห์องคค์ วามรูผ้ สู้ งู อายุของ มลู นธิ ิสถาบันวจิ ยั และพฒั นาผสู้ ูงอายุ ไทย (มส.ผส.)ร่วมกับสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) รายงานว่าอาการผิดปกติหรือปัญหา สำคัญที่พบบอ่ ยในผู้สูงอายุคือ การหกล้ม การกลั้นปัสสาวะไม่ได้ ปัญหาการขับถ่าย ปัญหาการนอน ไม่หลับ ปัญหาปวดข้อ ปวดเม่ือย ปวดหลัง และปวดคอ อาการวิงเวียน ปัญหาทางอารมณ์และจิตใจ เปน็ อาการผิดปกตทิ ่ีบ่นั ทอนคุณภาพชีวิตของผู้สงู อายุ (ช่ืนตา วิชชาวุธ, นภาพร ชโยวรรณ, ยุพา วงศ์ ไชย ประคอง อินทรสมบัติ, และ นนั ทศกั ดิ์ ธรรมานวตั ร, (บก.), 2553, 89–90) การหกล้ม เป็นปัญหาที่มีสัดส่วนมากขึ้นในผู้สูงอายุ และเป็นปัญหาสำคัญที่อาจทำให้ ผู้สูงอายุเกิดภาวะทุพพลภาพและการเสียชีวิตตามมา โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุมาก การ สำรวจขนาดใหญใ่ นรอบ 5 ปที ีผ่ ่านมา พบว่าอบุ ัติการณ์ของการหกล้มแตกตา่ งกัน ทงั้ นอ้ี าจเน่ืองจาก เป้าหมายของการสำรวจ ในปี พ.ศ.2546-2547 การสำรวจพบว่า ผู้สูงอายุชาย 1 ใน 3 และผู้สูงอายุ หญิงจำนวนครึง่ หนึ่งเคยหกลม้ (ร้อยละ30.0 และ 50.0) และเฉล่ียหกลม้ ประมาณ 3 ครงั้ ในเกือบทุก เพศและทกุ กล่มอายุ ยกเว้นในเพศชายท่ีเคยหกล้มเฉลย่ี 4 ครั้ง 3 ปี พ.ศ.2549 ผู้สูงอายบุ อกว่าเคยมี การหกล้มเฉพาะในรอบ 6 เดือนร้อยละ 14.2 โดยหกล้มจำนวน 1-2 ครั้งมากที่สุด (ร้อยละ 10) ผสู้ ูงอายุหญิงมสี ัดส่วนจำนวนครง้ั มากกว่าเพศชายในทุกกลุม่ อายุ รวมทัง้ ผู้สงู อายุวัยปลายดว้ ย และ ปี
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 26 พ.ศ.2550 ที่สอบถามการหกล้มในรอบ 6 เดือนเช่นกัน พบว่าผู้สูงอายุมีการหกล้มร้อยละ 10.3 ผู้สูงอายุหญิงมีสัดส่วนการหกล้มมากกว่าผู้สูงอายุชาย (ร้อยละ 12.6 และ7.4) ผู้สูงอายุวัยปลายมี สัดส่วนของการหกล้มมากกว่าวัยกลางและวัยต้น (ร้อยละ 12.7 ร้อยละ 11.7 และร้อยละ 9.2 ตามลำดับ) สำหรบั จำนวนคร้ังในการหกลม้ นน้ั รอ้ ยละ 55.6 เคยหกล้ม 1 ครั้ง รอ้ ยละ 23.7 หกล้ม 2 ครัง้ และมากกวา่ 2 ครง้ั รอ้ ยละ 20.7 การหกล้มเป็นปัญหาของผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้สูงอายุวัยปลายผู้สูงอายุหญิงมีการหกล้ม มากกว่าผู้สูงอายุชาย อนุมานได้ว่าสูงกว่าในทุกกลุ่มอายุ และผู้สูงอายุเกือบครึ่งมีจำนวนการหกล้ม มากกว่า 2 คร้งั การหกลม้ กบั เขตท่ีอยอู่ าศยั พบว่า ผสู้ ูงอายหุ ญงิ ท้ังในและนอกเขตชุมชน มสี ัดส่วนการ หกลม้ มากกว่าผู้สงู อายชุ าย สำหรบั สถานท่ีท่ีเกิดการหกล้มนัน้ พบวา่ มีความต่างกันจากกระบวนการ สำรวจ โดยพบทงั้ สัดส่วนการหกลม้ นอกบา้ นสูงสุด และการหกล้มในบา้ นสงู สุด การหกลม้ ในบ้านเกิด ท่บี ริเวณของบ้านที่ไม่ใช่ห้องรบั แขก ห้องน้ำ และหอ้ งครวั ในสัดส่วนร้อยละ 2.0 และหกล้มในห้องน้ำ ร้อยละ 1.9 ส่วนสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการหกล้ม จากการสำรวจปี พ.ศ.2546-2547 คือ การเวียน ศีรษะ การทรงตัวที่ไม่สมดุล (ร้อยละ 38 และร้อยละ 41) และในปี พ.ศ.2550 คือการสะดุดสิ่งกีด ขวางทางเดิน (ร้อยละ 33.8) ลื่น (ร้อยละ 31.8) เกิดอาการหน้ามืด (ร้อยละ14.0) จากพื้นต่างระดับ ร้อยละ 8.6 และหกล้มเพราะตกบันได (ร้อยละ 2.9) ทุกขภาระที่ตามมาของการหกล้มในผู้สูงอายุ อาจมากกว่ากลุ่มวัยอื่น เพราะอาจมีภาวะกระดูกหักได้ง่าย จากการมีโอกาสมีโรคกระดูกพรุนเป็น ตน้ ทนุ อยู่ จากการศึกษาพบวา่ ผสู้ งู อายทุ ี่หกลม้ เกิดปญั หาเคล็ดขัดยอกสงู ท่ีสดุ รองลงมา คือ กระดูก ร้าว อัมพฤกษ์ และพบว่า ภายหลังการหกล้ม ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ คือ ร้อยละ 34.8 รักษาตัวเองอยู่ท่ี บ้านและมสี ัดส่วนผูส้ ูงอายุที่ไม่ต้องรักษาพยาบาลและไปรับการรักษาพยาบาลจากสถานพยาบาลใน สัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน คือ ร้อยละ 27.7 และร้อยละ 27.6 และที่ต้องเข้ารักษาตัวในสถานพยาบาลมี สัดส่วนสูงถึงร้อยละ 9.91ปัจจัยหนึ่งที่เป็นสาเหตุของการหกล้ม คือ การทรงตัว ซึ่งผู้สูงอายุที่มีการ ทรงตวั ไม่ดีมโี อกาสเกิดการหกล้มได้สงู ดงั นน้ั การประเมนิ การทรงตวั จึงเปน็ การตระหนักรู้เหตุปัจจัย แต่เบื้องต้น การเพิ่มมาตรการป้องกันและแก้ไขจะช่วยลดทุกขภาระจากการหกล้มได้ และจากการ สำรวจการทรงตัวโดยลุกแล้วยืนขาเดียว ซึ่งเป็นการทดสอบความแข็งแรงของกล้ามเนื้อช่วงขาและ ความสามารถที่จะทรงตัวอยู่ได้ ในปี พ.ศ.2549 ชี้ว่าความสามารถในการทรงตัวของผู้สูงอายุลดลง ตามวัยที่เพิ่มข้ึน และเมื่ออายุมากๆ การทรงตัวทำไดย้ ากลำบากจนถึงยืนไม่ได้เลย ผู้สูงอายุในชมุ ชน เมืองสามารถทรงตัวได้ในสัดส่วนที่สูงกว่าผู้สูงอายุนอกชุมชนเมือง และผู้สูงอายุนอกชุมชนเมืองยืน ไมไ่ ดส้ งู กวา่ ผ้ทู ่ีอยู่ในชมุ ชนเมอื งซึง่ หากมกี ารประเมนิ และสรา้ งเสริมความแขง็ แรงของกล้ามเนื้อขา จะ ช่วยใหก้ ารทรงตัวดีและป้องกนั การเกิดการหกลม้ เม่อื พิจารณาสาเหตภุ าวะหกล้มที่เกิดในผู้สูงอายุจะ เห็นว่าส่วนหน่ึงมาจากสิง่ แวดล้อม ซึ่งหากตระหนักรู้ในปัญหาจะจดั การปอ้ งกันไดไ้ ม่ยากนกั และยัง เป็นการชว่ ยลดทุกขภาระทจี่ ะเกดิ ตามมาจากการหกลม้ ด้วย จากรายงานการพยากรณ์การพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ในประเทศไทย ปี พ.ศ. 2560-2564 ของนิพา ศรีช้าง และลวิตรา ก๋าวี (2560, 5) พบวา่ ในปี พ.ศ. 2560 จะมีผู้สูงอายุ ทมี่ ีอายุ 60 ปขี ้ึนไป พลัดตกหกล้ม จานวน 3,030,900 - 4,714,800 คน และระหว่างปี พ.ศ. 2560 - 2564 จะมีผู้สูงอายุพลัดตกหกล้มปีละประมาณ 3,030,900 - 5,506,000 คน ซึ่งในจานวนนี้จะมี ผู้เสียชีวิต จำนวน 5,700 - 10,400 คนต่อปี และจากข้อมูลสถิติของสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 27 สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2558 (ลวิตรา ก๋าวี, 2559, 3 ) ระบุว่าอัตราการเสียชีวิต จากการพลัดตกหกล้มในผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ต่อประชากรแสนคน เขตสุขภาพที่ 5 มีอัตราการ เสยี ชวี ติ สงู กวา่ คา่ เฉลี่ยของประเทศเปน็ อันดับที่ 2 และยังพบวา่ จังหวดั ราชบรุ ี ในปี พ.ศ. 2557 มี อตั ราการเสียชีวิต 5.94 ปพี .ศ. 2558 เพ่ิมเป็น 10.75 และจากการสำรวจข้อมูลความจำเป็นพื้นฐาน ของ ชุมชนบ้านขนุน ตำบลบ้านเลือก อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี พบว่าจำนวนร้อยละของ ประชากรอายุ 60 ปีขึน้ ไป เทา่ กับ 21.38 (โรงพยาบาลสง่ เสริมสุขภาพตำบลบ้านเลือก, 2560,14-15) นับวา่ เปน็ ชุมชนที่เข้าสู่สงั คมผู้สูงอายุแบบเต็มรูปแบบ จงึ มีความเสย่ี งต่อการเกิดภาวะพลัดตกหกล้ม สงู การป้องกันการหกลม้ ท่มี ีประสทิ ธภิ าพเพือ่ ลดอตั ราการสูญเสียควรเร่มิ จากการประเมนิ ความเส่ียง อยา่ งเปน็ ระบบ การจัดกจิ กรรมปอ้ งกนั การหกล้มและลดความเสย่ี งตามปัจจัยเสี่ยงท่ีพบในผู้สูงอายุ และเพอื่ ให้สอดคลอ้ งกับบริบทของชุมชนนน้ั ๆ สมาชิกในชุมชนควรมสี ว่ นรว่ มในการหาวิธีการป้องกัน การหกลม้ ของผู้สงู อายุดว้ ย งานวจิ ัยที่เกย่ี วข้อง ลัดดา (เถียมวงศ์) เพชรประสมกูล, จิตติมา ทมาภิรัต, วันทนา มณีศรีวงศ์กุล, และสุทธิชัย จติ ะพันธ์กลุ (2547) ศกึ ษาวิจัยเร่ืองเครือ่ งมือประเมนิ ความเส่ยี งต่อการหกลม้ สำหรับผู้สูงอายุไทยใน ชุมชน มวี ัตถุประสงคเ์ พ่ือพัฒนาเครอ่ื งมอื ประเมินความเส่ยี งต่อการหกลม้ ทเ่ี หมาะสมกับผู้สูงอายุไทย ในชุมชน วัสดุและวิธีการเป็นการศึกษาภาคตัดขวางในกลุ่มประชากรผู้สูงอายุ 270 คนที่อาศัยใน ตำบลบ้านสร้าง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อคน้ หากลุ่มปัจจยั เสี่ยงท่ีสามารถทำนายการหกล้มและ พฒั นาข้ึนเป็นเครือ่ งมือประเมนิ ความเส่ียงต่อการหกล้ม (Thai-FRAT) และทำการตรวจสอบคุณภาพ ของเครื่องมือนี้กับกลุ่มประชากรผู้สูงอายุจำนวน 156 คนที่ได้รับการเก็บข้อมูลระยะยาวระหว่างปี พ.ศ.2540 ถงึ พ.ศ.2545 ในการศึกษาท่ีมชี อ่ื โครงการ CERB ผลการศึกษาพบว่า เครื่องมือประเมินความเสี่ยงต่อการหกล้มที่พัฒนาขึ้นมาใหม่น้ี (Thai- FRAT) ประกอบด้วย 6 ปัจจัยได้แก่ประวัติการหกล้ม การทรงตัวบกพร่อง เพศหญิง การใช้ยาบาง ประเภท การมองเห็นบกพร่อง และการอาศัยอยู่ในบ้านทรงไทย โดยคะแนนอยู่ในช่วง 0 ถึง 11 คะแนน และจุดตัดที่ดีที่สุดมีคะแนนเท่ากับ 4 โดยมีค่าความไวและความจำเพาะเท่ากับ 0.92 และ 0.83 ตามลำดับ ในการทดสอบคุณภาพของเคร่ืองมือกับประชากรพบว่า เครื่องมือนี้สามารถทำนาย การหกลม้ ท่เี กดิ ขึน้ ภายในหกเดือนหลังจากการตดิ ตามกลุม่ ตวั อย่างไปเปน็ เวลาสองปี นอกจากนั้นยัง พบความสมั พันธร์ ะหวา่ งคะแนนของเครื่องมือ (Thai-FRAT) กับการเสยี ชวี ติ สรปุ วา่ เครือ่ งมือประเมินความเสีย่ งตอ่ การหกลม้ (Thai-FRAT) เป็นเครอ่ื งมือแรกทีพ่ ัฒนาข้ึน เพื่อใช้กับผู้สูงอายุไทยในชุมชน โดยมีความตรงและความนา่ เชือ่ ถือในการประเมินความเส่ียงต่อการ หกล้ม การศกึ ษานยี้ ังพบว่าสิง่ แวดล้อมมผี ลต่อการหกล้มในผู้สงู อายุไทยอีกด้วย แดนเนาวรัตน์ จามรจันทร์, จิตอนงค์ ก้าวกสิกรรมและ สุจิตรา บุญหยง (2548) ได้ ทำการศึกษาเรื่องการทรงตัวและหกล้มในผู้สูงอายุไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการทรงตัว ความสัมพันธ์ระหว่างความกลัวการหกล้มกับการทรงตัวในผู้สูงอายุ และอิทธิพลความแข็งแรงของ กล้ามเนื้อทีค่ วบคุมข้อเข่าและข้อเทา้ กับการทรงตัว วิธีการศึกษา ประชากรผู้สงู อายุไทยท้ังเพศชาย
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 28 และหญิง อายรุ ะหวา่ ง 65-80 ปี เพศละ 30 คน แต่ละเพศแบง่ เปน็ 2 กลุ่ม คือ กลุม่ ท่ีกลัวการหกล้ม และกลุ่มที่ไม่กลัวการหกล้ม กลุ่มละ 15 คน ทำการทดสอบการทรงตัวขณะยืนโดยวัดจุดศูนย์กลาง แรงกดที่เท้า (ระยะจำกดั การทรงตัว) ขณะโนม้ ตวั ไปดา้ นหน้าและเอนตัวมาทางดา้ นหลัง และวัดเวลา เริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงสัญญาณไฟฟ้าที่กล้ามเนื้อ tibailis anterior,rectus femoris, biceps femoris และ gastrocnemius (medial head) ของขาขวา เมื่อถูกรบกวนให้เสียสมดุลไปด้านหน้า ผลการศึกษา กล่มุ ทไ่ี มก่ ลัวการหกล้มเพศชายมีความสามารถในการโนม้ ตวั มาด้านหน้าได้ระยะทางท่ี เคลื่อนไปได้มากที่สุดมากกว่าทุกกลุ่ม ทั้งระหว่างเพศและในเพศเดียวกัน โดยมีค่าความแตกต่าง อย่างมนี ัยสำคัญทางสถติ ทิ ่ี p<0.05 และกลุม่ ท่ไี มก่ ลัวการหกลม้ ท้งั 2 เพศ สามารถเอนตวั มาด้านหลัง ได้ ระยะทางที่เคลื่อนไปได้มากที่สุดและความสามารถในการควบคุมทิศทางมากกว่ากลุ่มที่กลัวการ หกลม้ โดยมีคา่ ความแตกต่างอยา่ งมีนัยสำคญั ทางสถิติท่ี p<0.05 และเมอ่ื ถกู รบกวนสมดุลการทรงตัว ขณะยืนพบว่าทุกกลุ่มมีการทำงานของกล้ามเนื้อ tibialis anterior ก่อนกล้ามเนื้อขามัดอื่น โดยท่ี กลุม่ ท่ไี ม่กลัวการหกล้มกลา้ มเน้ือจะทำงานกอ่ นกลมุ่ ท่ีกลัวการหกล้มโดยมคี ่าความแตกตา่ งทางสถิติที่ p<0.05 และกลุม่ ท่ไี ม่กลวั การหกลม้ ท้งั 2 เพศไม่มีความแตกต่างกนั ชฎาพร โพคัยสวรรค์ (2556, 168-170) ศึกษาวิจัยเรื่องการพัฒนารูปแบบที่เหมาะสม สำหรบั คณุ ภาพชีวติ ผ้สู ูงอายใุ นเขตเมือง จังหวดั ราชบรุ โี ดยใช้ครอบครวั เปน็ ศูนยก์ ลาง มวี ตั ถปุ ระสงค์ เพื่อศึกษาสภาพและวิเคราะห์องค์ประกอบเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในเขตเมือง จังหวัด ราชบุรี โดยใช้ครอบครัวเป็นศูนย์กลาง โดยใช้กรณีศึกษาจากกลุ่มเป้าหมายซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่เขต เมือง จงั หวัดราชบุรี กลมุ่ เป้าหมาย ได้แก่ ผู้สงู อายทุ ่มี ีอายุอยรู่ ะหว่าง 60-79 ปี ผ้ดู ูแลใกล้ชิดผู้สูงอายุ และผู้นำชมุ ชน การวิจยั เป็นรูปแบบการวิจัยประยกุ ต์ ใชเ้ ทคนคิ การวิจัยเชิงคุณภาพ เครื่องมือท่ีใช้ใน การวิจัย ได้แก่ แบบสังเกต แบบสมั ภาษณ์ แบบสอบถาม ผลการวิจัยพบวา่ 1. องค์ประกอบคุณภาพชีวติ ผู้สูงอายุในเมือง เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบ 2 ประการ คือ 1) องค์ประกอบภายในซึ่งเป็นผลมาจากความเสื่อมทางร่างกายที่มีผลต่อสุขภาพจิตและพฤติกรรม ส่วนตัวและสังคม ซึ่งสามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีผู้สูงอายุ 2) องค์ประกอบภายนอกซึ่งเกีย่ วข้องกบั เศรษฐกจิ สงั คมวฒั นธรรม การศึกษา ส่งิ แวดลอ้ มและสวสั ดิการทางสงั คม 2. การสร้างรูปแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตผูส้ ูงอายุในเมอื งโดยใช้ครอบครัวเป็นศูนย์กลาง เป็นข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในเขตเมือง ซึ่งได้จากการ สังเคราะห์องค์ความรู้เก่ียวกับผู้สูงอายุในเมืองทุกด้านได้รูปแบบ ซึ่งประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ การพัฒนา 5 ด้าน คือ 1) การเตรียมความพร้อมผู้สูงอายุในเมืองโดยครอบครัว 2) การส่งเสริม สนับสนุนผู้สูงอายุในเมืองโดยครอบครัว 3) ระบบคุ้มครองผู้สูงอายุในเมืองโดยครอบครัว 4) การ พัฒนาบคุ ลากรของครอบครัวผ้สู งู อายใุ นเมอื ง และ 5) การจัดการความรแู้ ละการวจิ ยั ผสู้ งู อายุในเมือง โดยครอบครวั มีสว่ นรว่ ม ละออม สร้อยแสง, จริยาวัตร คมพยัคฆ์, และกชพร นทีธนสมบัติ (2557) ศึกษาวิจัยเรื่อง การศึกษาแนวทางการป้องกันการหกล้มในผู้สูงอายุชุมชนมิตรภาพพัฒนา โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 29 ศึกษาอุบัติการณ์การหกล้ม ปัจจัยเสี่ยงต่อการหกล้มและแนวทางการป้องกันการหกล้มในผู้สูงอายุ ของชุมชนมิตรภาพพัฒนา กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย ผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปี จำนวน 158 คน ผ้ดู แู ลผู้สูงอายุ จำนวน 25 คน ผู้นำชมุ ชน และ อสม. จำนวน 33 คน และบคุ ลากรสขุ ภาพ จำนวน 6 คน เกบ็ รวบรวมข้อมูลดว้ ยการสัมภาษณ์ตามแบบสอบถามท่ผี ู้วิจยั สร้างขนึ้ การตรวจรา่ งกายผู้สูงอายุ และการสังเกตสิ่งแวดล้อมในบ้านและชมุ ชน ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2555 วเิ คราะหข์ ้อมูลด้วยความถี่ ค่าร้อยละ และวิเคราะหเ์ นอ้ื หา ผลการศึกษาพบว่า ผูส้ ูงอายุเปน็ เพศหญงิ รอ้ ยละ 62.0 อายทุ พ่ี บมากท่ีสดุ คือ ช่วงอายุ 70-79 ปี รอ้ ยละ 43.0 ไมไ่ ดป้ ระกอบอาชพี ร้อยละ 58.2 มีโรคประจำตัวที่แพทย์วินิจฉัยแล้ว ร้อยละ 72.2 โดยโรคที่พบมากคือ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน กระดูกและขอ้ ตามลำดับ ผสู้ งู อายุมโี รคประจำตัวมากกว่า 1 โรค ร้อยละ 37.0 ยาที่ได้รับจากแพทย์ มากที่สุดคือ ยาลดความดันโลหิต ร้อยละ 64.0 อุบัติการณ์การหกล้มของผู้สูงอายใุ นรอบ 6 เดือนท่ี ผ่านมา คิดเป็นร้อยละ 34.8 โดยมีสาเหตุจากการเดินสะดุด ร้อยละ 41.8 ลื่น ร้อยละ 38.2 เวียน ศีรษะ ร้อยละ 7.3 ปัจจัยด้านบุคคลที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ คือ เพศหญิงร้อยละ 62.0 ความ บกพร่องทางสายตา ร้อยละ 44.3 ความผิดปกติของการทรงตัว ร้อยละ 19.6 โรคความดันโลหิตสูง รอ้ ยละ 50.0 ภาวะดชั นมี วลกายมากกว่าเกณฑ์ รอ้ ยละ 34.2 ด้านสง่ิ ทที่ ำใหเ้ กิดการหกล้ม คือ ยาลด ความดนั โลหิต รอ้ ยละ 64.0 ปัจจัยด้านสิง่ แวดล้อมในบ้าน คือ ขอบธรณีประตทู างเดินต่างระดับ พื้น ปูด้วยกระเบื้องเซรามิก การจัดสิ่งของในบ้านไม่เป็นระเบียบ ใช้เศษผ้าหรือเสื้อผ้าเก่าเป็นที่เช็ดเท้า และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมนอกบ้าน คือ การเดินรอบบ้านมีสิ่งกีดขวาง ร้อยละ 37.3 มีทางเดิน รถจักรยาน จักรยานยนต์ลกั ษณะขรขุ ระ แนวทางการปอ้ งกนั การหกล้มท่สี ำคัญมี 3 ประการ คอื การ ปรบั ปรุงสง่ิ แวดล้อมภายในและรอบบ้าน การส่งเสรมิ การออกกำลงั กายให้ผสู้ ูงอายุ และการใหค้ วามรู้ เกย่ี วกบั การป้องกันการหกล้มในชมุ ชน จิตติมา บุญเกิด, อัญญาพร สุทัศน์วรวุฒิ, พิชิต สุขสบาย, กัลญารัตน์ รามรงค์, ธเนศ แก่น สาร, และรชั นวี รรณ รอส (2558) ศึกษาเร่ืองการสร้างความตระหนกั รู้และทศั นคติเชงิ บวกแกผ่ สู้ ูงอายุ ในชุมชนเพื่อป้องกันการหกล้มโดยคำแนะนำจากอาสาสมัครและจากสื่อส่งเสริมสุขภาพ โดยใน ปัจจุบันพบว่าการนำแนวทางการป้องกันการหกล้มในชุมชนสู่การปฏิบัติจริงในเวชปฏิบัตินั้นยังไม่ ได้ผลตามเป้าหมายเท่าที่ควร ปัจจัยหนึ่งเป็นเพราะความเชื่อและการตระหนักรู้ถึงความสำคัญของ การป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุซึ่งเป็นกุญแจสำคัญต่อการนำแนวทางการป้องกันการหกล้มใน ชุมชนสู่เวชปฏิบัติ การจัดทำสื่อเผยแพร่และการสร้างทีมในชุมชนเป็นยุทธวิธีหนึ่งที่ได้ผลในการ เปลย่ี นแปลงทัศนคตเิ ชิงบวกและเพ่ิมความตระหนักรูท้ างสขุ ภาพ งานวิจยั นเี้ ปน็ การศึกษากึ่งปริมาณ และคุณภาพ เปรียบเทียบทัศนคตแิ ละความตระหนักรู้ในการดูแลสุขภาพของผูส้ ูงอายุและผู้ดแู ล กอ่ น และหลังการได้รับสื่อและคำแนะนำจากอาสาสมัครหมู่บ้านในชุมชน การศึกษาเชิงปริมาณ ใช้ แบบสอบถามสัมภาษณ์ผู้สูงอายุ 144 คน และสมาชิกในครอบครัว 100 คน ก่อนและหลัง กระบวนการอบรมอาสาสมัครหมู่บ้านและให้อาสาสมัครไปให้คำแนะนำและเผยแพร่สื่อแก่ผู้สูงอายุ และผดู้ ูแล สำหรับการศึกษาเชิงคณุ ภาพ ทำโดยการสัมภาษณ์กลุ่มผสู้ งู อายุ 3 กลุม่ (n total = 38 : n1 = 8, n2 = 15, n3 = 15) ทำภายหลงั การศกึ ษาเชงิ ปริมาณ เพอื่ ตรวจสอบขอ้ มลู เชิงปริมาณ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 30 ผลการวิเคราะห์พบว่า ความตระหนักรู้และทัศนคติภายหลังรับคำแนะนำจากอาสาสมัคร หมูบ่ ้านและไดร้ บั สื่อเพิม่ ข้ึนอยา่ งมีนยั สำคญั ในหัวขอ้ ความกระตือรอื ร้นในการดูแลสขุ ภาพ การออก กำลังกาย และการป้องกันการหกล้ม สรุปได้ว่ากระบวนการผลิตสื่อส่งเสริมสุขภาพที่เน้นการดูแล สุขภาพเพอื่ ชะลอความเส่อื มวัยและแทรกเนื้อหาการป้องกันการหกลม้ รวมถงึ การเผยแพร่ส่ือและให้ คำแนะนำผู้สูงอายุในชุมชนโดยอาสาสมัครสาธารณสุขเป็นยุทธวิธีหนึ่งในการสร้างความตระหนักรู้ และทัศนคตทิ ด่ี ีในการดูแลสุขภาพเพอ่ื ปอ้ งกันการหกลม้ ได้ ภัคพชิ า แก่นเพ็ชร์ (2558, บทคัดย่อ) ได้ศกึ ษาเร่ือง รปู แบบการดแู ลผู้สูงอายุของชาวไทย เชอ้ื สายกะเหร่ยี งในจังหวัดราชบุรี (A Model of Karen Elderly Caring in Ratchaburi Province) การวิจัยคร้ังน้ีมีวตั ถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพการณ์ปัจจุบันและการดำรงชวี ิตผู้สงู อายุ ปัจจัยท่ีมีผลต่อ การดูแลผู้สูงอายุ และเสนอการพัฒนารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุของชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงใน จังหวัดราชบุรี พื้นที่ในการศึกษามีสามชุมชน ประกอบด้วย ชุมชนยางหัก ชุมชนบ้านบึง และชุมชน ตะนาวศรี กลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่มผู้รู้ เจ้าหน้าที่รัฐ กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มผู้ดูแลผู้สูงอายุ ได้มาโดยการ เลือกแบบเจาะจง จำนวน 75 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบสอบถาม แบบ สมั ภาษณ์ แบบบนั ทึกการสังเกตและแบบบันทกึ การประชุมกลุ่ม การวเิ คราะห์ขอ้ มูลใชก้ ารวเิ คราะห์ เน้อื หา ผลการวจิ ยั พบว่า 1) สภาพการณ์ปัจจุบันการดแู ลผู้สูงอายุ มลี กั ษณะการดูแลแตกต่างกนั คือ ผู้สูงอายุท่ีไม่ถูก ทอดทงิ้ ไดร้ ับการดูแลจากครอบครัวและญาตพิ ี่น้อง ผ้สู งู อายทุ ถ่ี กู ทอดทงิ้ ได้รับการดูแลแบบพ่ึงตนเอง และพ่ึงรฐั สวัสดกิ าร ส่วนการดำรงชวี ิตของผูส้ ูงอายแุ ตกตา่ งกันหลายด้าน เช่น สุขภาพกาย สขุ ภาพจิต เศรษฐกิจ สงั คม และสภาพแวดล้อม 2) ปจั จยั ท่มี ีผลต่อการดูแลผู้สงู อายุ ไดแ้ ก่ ด้านคณุ ลกั ษณะส่วนบุคคลของผู้สูงอายุ ครอบครัว ของผู้สูงอายุ วัฒนธรรมและสิง่ แวดล้อมของชมุ ชน สถานบริการสุขภาพในทอ้ งถ่ิน และการปกครอง ของรฐั 3) การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่เหมาะสม คือ รูปแบบการดูแลผู้สูงอายุโดยการมี ส่วนร่วมอยา่ งต่อเนอื่ งที่เกิดจากทนุ ทางสงั คมแบบพหุภาคี ซ่งึ เป็นการปฏิสัมพนั ธ์ระหวา่ งทนุ ทางสงั คม ทีเ่ กดิ จากปัจจัยภายในกับทนุ ทางสังคมทเ่ี กิดจากปจั จัยภายนอก วิทยา วาโย, นารรี ตั น์ จิตรมนตรี และวริ าพรรณ วโิ รจน์รัตน์ (2560, 25-32) ทำการวิจยั แบบ กึ่งทดลองเรื่องผลของโปรแกรมป้องกันการหกล้มแบบสหปัจจัยต่อพฤติกรรมการป้องกนั การหกล้ม ของผู้สูงอายุในชุมชน เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมป้องกนั การหกล้มแบบสหปัจจัย ต่อพฤติกรรมการ ป้องกันการหกล้ม ของผู้สูงอายุในชุมชน กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุเพศหญิงและเพศชาย ที่อาศัยอยู่ บา้ นเป็ด ตำบลบา้ นเป็ด อำเภอเมือง จงั หวดั ขอนแก่น อายุระหว่าง 60 - 75 ปี จำนวนท้งั ส้นิ 60 คน แบ่งป็นกลุ่มทดลอง 30 คน กลุ่มควบคุม30 คน เครื่องมือที่ใช้เป็น แบบสัมภาษณ์ ข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน แบบประเมินสภาพสมองเบื้องต้น แบบ ประเมินความเสี่ยงต่อการหกล้มของผู้สูงอายุไทยในชุมชน แบบประเมินความปลอดภัยของ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 31 สิ่งแวดล้อมภายในบ้านและภายนอกบ้าน แบบสัมภาษณ์พฤติกรรมการป้องกันการหกล้ม และ โปรแกรมปอ้ งกนั การหกล้มแบบสหปัจจัย วิเคราะห์ขอ้ มลู โดยใช้ผลการวิจัย พบว่า คะแนนพฤติกรรม การป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุในชุมชนกลุ่มทดลอง มากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติ (p < .001) (t = - 30.29,p = .000) การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมป้องกันการหกล้ม แบบสหปัจจัยของผู้สูงอายุในชุมชน โดยการแจกคะแนนความเสี่ยงต่อการหกล้มเพื่อกระตุ้นให้ ผู้สูงอายุได้ตระหนักถึงความเสี่ยงในการหกล้มของตนเอง การให้ความรู้เพื่อป้องกันการหกล้ม การ ออกกำลงั กายด้วยตาราง 9 ช่อง การแจกคู่มือปอ้ งกันการหกล้ม การแจกปฏทิ นิ เตอื นการหกล้ม การ ติดตามเยี่ยมบ้านเพื่อปรับสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัยและการตรวจสอบการรับประทานยา ส่งผลทำให้ ผู้สูงอายุที่เข้าร่วมโปรแกรมมพี ฤติกรรมการป้องกันการหกล้มสูงขึ้น ดังนั้นจึงควรส่งเสริมให้มกี ารนำ โปรแกรมไปใช้อยา่ งต่อเนอ่ื ง ฐิติมญชุ์ ปัญญานะและสุวิณี วิวัฒน์วานชิ (2560) ศึกษาวิจัยเรื่องการพัฒนารูปแบบการ ปอ้ งกนั การหกล้มของผ้สู งู อายุในชมุ ชน สำหรับผสู้ ูงอายุไทย พบวา่ รูปแบบการปอ้ งกนั การหกล้มของ ผู้สูงอายุในชุมชน อำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน ประกอบด้วย 1) การประเมินความเสีย่ งต่อการหก ล้ม โดยพัฒนาความรู้และทักษะของอสม.ในการใช้เครื่องมือประเมินความเสี่ยงการหกล้ม THAI FRAT (ลัดดา เถียมวงศ์, สทธิชัย จิตะพันธ์กุล, และจักษณา ปัญญาชีวิน, 2547,14-20) แก่อสม. จำนวน 153 ราย ประเมินผู้สูงอายุจำนวน 3,483 ราย พบผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยง ร้อยละ 40.11 2) คัดเลือกหมบู่ ้านพฒั นารูปแบบ 1 หมู่บา้ น จำแนกผสู้ ูงอายุเป็น 4 กล่มุ และจดั กจิ กรรมตามปัจจัยเสี่ยง ที่พบ ได้แก่ 1) กลุ่มผู้สูงอายุที่สภาพแวดล้อมไมเ่ หมาะสม ให้ชุมชนมีส่วนร่วมจดั หางบประมาณและ ปรับปรุงสภาพแวดล้อมของผู้ที่ยากจน 2) กลุ่มผู้สูงอายุที่การทรงตัวบกพร่อง จัดกิจกรรมออกกำลงั กายโดยจดั ทำยางยืดและจัดทำโปสเตอร์การออกกำลงั กายและติดตามประเมินผล 3) กลุ่มผู้สูงอายุท่ี สายตาบกพร่อง ประสานงานโรงพยาบาลทว่ั ไปตรวจตา และสง่ ต่อการรักษาทเี่ หมาะสม และ 4) กลุ่ม ผู้สูงอายุที่ใช้ยาที่เส่ียงต่อการหกล้ม ประเมินภาวะความดนั โลหติ ตำ่ จากการเปลีย่ นท่าและให้ความรู้ ในการเปลี่ยนท่า นอกจากนี้พบว่าผู้สูงอายุ และ แกนนำชุมชนตระหนักและเห็นความสำคัญในการ ป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุมากขึ้น โดยสังเกตจากความร่วมมือสนับสนุนงบประมาณปรับปรุง สภาพแวดล้อมของผู้สูงอายุในพื้นที่อ่ืนบริเวณใกล้เคียง ผลการพัฒนานำไปสู่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ผู้เกี่ยวข้องในชุมชนอื่นๆเกี่ยวกับรูปแบบการป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุในชุมชน เพื่อกระจาย แนวคดิ ให้ครอบคลุมทกุ พนื้ ที่ ในอำเภอเชยี งกลางต่อไป อจั ฉรา สาระพันธ์, ณัฐกฤตา ศริ ิโสภณ, ประเสริฐศกั ด์ิ กายนาคา, สมบัติ อ่อนศิริ, บุญเลิศ อุทยานิก, สุพัฒน์ ธีรเวชเจริญชัย และณัฐพงศ์ สุโกมล (2560) ศึกษาเรื่องปัจจยั ท่ีมีความสมั พันธ์ต่อ พฤตกิ รรมการป้องกันการหกลม้ ของผู้สูงอายุ เปน็ การวจิ ยั เชงิ พรรณนา กลุ่มตวั อย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้สงู อายทุ ่อี าศยั อยใู่ น เขตเทศบาลเมืองบางศรีเมอื ง อำเภอเมอื ง จงั หวัดนนทบรุ ี จำนวน 380 คน เคร่อื งมอื ทใ่ี ช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามข้อมูลด้านชวี ภาพ การรบั รู้ทีม่ คี วามสัมพันธ์ต่อพฤติกรรม การป้องกนั การหกลม้ ในผสู้ ูงอายุ ประกอบด้วย การรับรู้ความรนุ แรงของการหกล้ม การรับรปู้ ระโยชน์ ของการป้องกันการหกล้ม การรับรู้อุปสรรคของการป้องกันการหกล้ม สิ่งชักนำสู่การปฏิบัตติ อ่
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 32 การป้องกันการหกล้ม การรับรู้ความสามารถของตนเองในการป้องกันการหกล้ม และแบบสอบถาม พฤติกรรมการป้องกนั การหกล้มในผู้สูงอายุ ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรม การป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุ การรับรู้โอกาสเสี่ยงตอ่ การหกล้ม การรับรูค้ วามรุนแรงของการ หกล้ม การรับรู้ประโยชน์ของการป้องกันการหกล้ม การรับรู้อุปสรรคของการป้องกันการหกล้ม การรับร้คู วามสามารถของตนเองในการปอ้ งกนั การหกล้ม สง่ิ ชกั นำสู่การปฏิบัติตอ่ การป้องกันการหกล้ม มีความสัมพันธ์กบั พฤติกรรมการป้องกันการหกล้มของผูส้ ูงอายุ ดังนั้นการส่งเสริมการป้องกันการ หกล้มของผู้สูงอายคุ วรจัดกิจกรรมทีส่ ร้างเสรมิ ให้ผู้สูงอายเุ กิดการรบั รู้ความสามารถของตนเอง เช่น การออกกำลังกายเพื่อฝึกการทรงตัวและเพิ่มความแขง็ แรงของกล้ามเนื้อ จัดเคร่ืองใชภ้ ายในบ้านให้ เป็นระเบียบไม่เกะกะทางเดิน ทำความสะอาดห้องน้ำให้สะอาดไม่เปียกชื้น สวมรองเท้าที่มีขนาด เหมาะสมกับขนาดเท้าการรับรู้อุปสรรค ควรมีการจัดกิจกรรมให้ผู้สูงอายุเห็นความสำคัญของการ ป้องกันการหกลม้ ไม่มองว่าจะเปน็ สิ่งยุง่ ยาก เสยี เวลา เสียคา่ ใช้จา่ ย อาจแนะนำรูปแบบของโมเดล ของผู้สูงอายุซึ่งเป็นผูท้ ี่มีการรับรู้ความสามารถของตนเองในการป้องกนั การหกล้มสูงและมีการรับรู้ อุปสรรคต่ำ นงนุช วงศส์ ว่าง และคณะ (2560) ศกึ ษาวจิ ัยเร่ืองความเส่ยี งดา้ นสิง่ แวดลอ้ มในบ้านต่อการพลัด ตกหกล้มและอบุ ตั กิ ารณก์ ารพลดั ตกหกล้มของผสู้ ูงอายุ โดยมีวตั ถุประสงค์เพ่อื ศึกษา 1) ความเส่ียงด้าน ส่งิ แวดลอ้ มในบ้านตอ่ การพลัดตกหกล้ม 2) อุบัติการณก์ ารพลัดตกหกลม้ และ 3) ความสมั พนั ธ์ระหว่าง ความเสย่ี งด้านสิ่งแวดลอ้ มในบา้ นกับการพลัดตกหกลม้ ของผู้สงู อายุ กลมุ่ ตัวอยา่ งเปน็ ผ้สู ูงอายุจำนวน 113 คนท่อี าศยั อย่ใู นตำบลดอนตะโก อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรีคัดเลือกกลมุ่ ตัวอย่างแบบเจาะจงใน เดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน 2559 รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามท่ีผวู้ ิจัยสร้างขน้ึ วเิ คราะห์ข้อมูล โดยใชส้ ถติ เิ ชิงพรรณนาและสถติ ิเชิงอนมุ านเพื่อหาความสัมพันธร์ ะหว่างตวั แปร (Chi-square test) ผลการวจิ ยั พบวา่ 1. ความเสย่ี งดา้ นสิง่ แวดล้อมในบ้านสูงสุด ไดแ้ ก่ บรเิ วณบนั ไดมผี ้าหรือพรมเช็ดเทา้ (ร้อยละ 49.6) รองลงมาคือบริเวณบันไดมีแสงสว่างไม่เพียงพอ (ร้อยละ 46.2) และไฟบริเวณบันไดมีสวิตช์ เพียงตวั เดียว (รอ้ ยละ 41.6) 2. อุบัติการณ์การพลัดตกหกล้มพบว่า ผู้สูงอายุเคยพลัดตกหกล้มในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา รอ้ ยละ 19.5 ผู้สูงอายทุ ีเ่ คยพลดั ตกหกล้มสว่ นใหญพ่ ลดั ตกหกลม้ ภายในตัวบา้ น (รอ้ ยละ 68.2) 3. ความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมในบ้านกับการพลัดตกหกล้ม พบว่า บริเวณบนั ไดมแี สงสว่างไมเ่ พียงพอและบรเิ วณทางเดินมีสายไฟสายโทรศพั ท์คอื สายพ่วงตอ่ พาดผ่านมี ความสมั พันธ์กบั การพลดั ตกหกลม้ อยา่ งมนี ยั สำคญั ทางสถิติ (P-value < 0.05) วรวิทย์ ตาปงิ (2559, 20-22) ศกึ ษาเร่ืองการพัฒนารูปแบบกิจกรรมทางกายเพ่อื ปอ้ งกันการ หกล้มผสู้ งู อายุในเขตภาคเหนือตอนบน มวี ัตถปุ ระสงคเ์ พอ่ื พัฒนารปู แบบการส่งเสริมกจิ กรรมทางกาย และศึกษาประสิทธิผลรูปแบบการส่งเสริมกิจกรรมทางกายเพือ่ ป้องกันภาวะหกล้มให้กบั ผู้สูงอายุใน เขตภาคเหนือตอนบน กลุ่มตวั อยา่ งคือผู้สูงอายุท่ีมอี ายุตัง้ แต่ 60 ปขี ึน้ ไป มสี มรรถภาพทางกายต้ังแต่ ระดับสภาพร่างกายอ่อนแอ (Physically frail) แต่ช่วยเหลือตนเองได้ จนถึงระดับสภาพร่างกายที่มี
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 33 สมรรถภาพทางกายที่ดี (Physically fit) สังกัดสำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวง สาธารณสุข หรือองค์การบริหารส่วนท้องถิน่ (อปท.) ตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป ท่ีอาศัยอยู่ในตำบลหนองตอง อำเภอหางดง ตำบลมะขุนหวาน อำเภอสนั ป่าตอง และศนู ยส์ ง่ เสรมิ สขุ ภาพ ตำบลบา้ นกาด อำเภอ แม่วาง จำนวน 158 คน โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มควบคุม จำนวน 79 คน และกลุ่มทดลอง จำนวน 79 คน เครอ่ื งมือการวิจัย/แบบเกบ็ ขอ้ มลู เครือ่ งมือในการทดลอง ไดแ้ ก่ โปรแกรมกิจกรรมทางกาย เป็นกิจกรรมทางกายเพื่อสุขภาพ (PA for Health) เป็นเวลา 24 สัปดาห์ โดยมีกิจกรรมความหนัก ระดบั เบาและปานกลาง-หนกั และเนน้ การป้องกนั ภาวะเสี่ยงจากการหกลม้ และเคร่ืองมือท่ีใช้ในการ เก็บข้อมูลประกอบด้วยแบบสอบถามการมีกิจกรรมทางกาย (GPAQ v2) แบบบันทึกการประเมิน สมรรถภาพการทำหน้าที่ทางกายของผู้สูงอายุ (Senior fitness test) และแบบประเมินภาวะเสี่ยง การหกล้มผู้สงู อายุ (Berg Balance scale) และทำการประเมนิ ภาวะเส่ยี งต่อการหกล้มผู้สูงอายุ โดย ใ ช ้ ส ถ ิ ติ Pearson Chi-Square, Independent t-test Mann-Whitney U test แ ล ะ One way repeated measures ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มทดลองหลังจากทดลอง 24 สัปดาห์ กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยผลการ ประเมินภาวะความเสย่ี งการหกล้มมากกวา่ กลุ่มควบคมุ อยา่ งมีนยั สำคญั ทางสถติ ิ (P < 0.01) หลังจาก สน้ิ สดุ โครงการ 6 เดือน กลุ่มทดลองมีคา่ เฉลี่ยผลการประเมินภาวะความเส่ียงการหกล้มมากกว่ากลุ่ม ควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P < 0.01) ผลการเปรียบเทียบสมรรถภาพการทำหน้าทีท่ างกาย ผู้สงู อายุของกลมุ่ ทดลองและกลุม่ ควบคมุ ท่แี ตกตา่ งอยา่ งมีนยั สำคญั ทางสถติ ิ กนกวรรณ เมอื งศิริ, นิภา มหารัชพงศ,์ และยวุ ดี รอดจากภัย (2561) ศึกษาวจิ ัยเร่ืองปัจจัยท่ี มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการป้องกนั การหกล้มของผู้สูงอายุ จังหวัดชลบุรี การวิจัยแบบตัดขวาง ครงั้ นีม้ ีวัตถปุ ระสงคเ์ พ่อื ศึกษาปัจจัยที่มีความสมั พันธ์ตอ่ พฤตกิ รรมการปอ้ งกนั การหกล้มของผู้สูงอายุ จังหวดั ชลบรุ ี กลุ่มตัวอย่างเปน็ ผู้สงู อายทุ มี่ ีอายุ 60 ปขี น้ึ ไป อาศยั อยู่ในจงั หวัดชลบุรี จำนวน 370 คน เก็บรวบรวมข้อมลู โดยใชแ้ บบสมั ภาษณ์ ซึง่ ประกอบด้วย 6 ส่วน คอื ขอ้ มลู สว่ นบคุ คลและประวัติการ หกล้ม ความเชื่อเก่ียวกับการป้องกนั การหกล้ม ทักษะการประเมินสภาพแวดล้อมท่ีเสี่ยงภายในบ้าน สภาพแวดล้อมภายในบ้าน การได้รับกำลังใจและการกระตุ้นเตือน และพฤติกรรมการป้องกันการ หกล้ม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติการแจกแจงความถ่ี ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วเิ คราะห์หาความสมั พันธ์ด้วยสถติ ไิ คสแควร์ (Chi-square test) ผลการศึกษาพบว่า ผู้สูงอายุ ร้อยละ 44.1 มีการหกล้มในรอบปีที่ผ่านมา มีพฤติกรรมการ ปอ้ งกนั การหกล้มในระดับสงู ปจั จัยท่มี คี วามสัมพันธ์ต่อพฤตกิ รรมการปอ้ งกนั การหกล้มของผู้สูงอายุ จังหวัดชลบุรี ประกอบด้วย ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ (P = 0.01) ความเชื่อเกี่ยวกับการป้องกัน การหกล้ม (P > 0.01) และความกลัวการหกล้ม (P > 0.01) ผลการศึกษาวิจัยครั้งนี้ทำให้เข้าใจ เกี่ยวกับความเชื่อเกี่ยวกับการป้องกันการหกล้มและพฤติกรรมการป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุ ดังกล่าว สามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับบุคลากรทางด้านสุขภาพ เพื่อส่งเสริมทักษะด้าน พฤตกิ รรมการป้องกนั การหกลม้ ของผ้สู ูงอายตุ ่อไป
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 34 กรอบแนวคิดในการวิจัย ในการศึกษาวิจัยคร้งั น้ี ผ้วู ิจัยมีการประยุกต์ใช้แนวคิดและทฤษฎดี ังน้ี ขนั้ ตอนท่ี 1 ประเมนิ ความเส่ยี งการหกลม้ 1. ผู้วจิ ัยประเมนิ ความเสี่ยงการหกลม้ ของผูส้ ูงอายโุ ดยให้แนบแบบประเมินความเส่ียงต่อการ หกลม้ สำหรบั ผู้สงู อายุไทยในชมุ ชน THAI FLAT (ลดั ดา เถยี มวงศ์, สทุ ธิชัย จติ ะพันธ์กลุ , และจักษณา ปัญญาชีวิน, 2547) เพื่อประเมินว่าผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อการหกล้มหรือไม่ ใช้ในขั้นตอนที่ 1 ประเมนิ ความเสี่ยงการหกลม้ 2 แบบประเมินสภาพแวดล้อมในบ้านของผู้สูงอายุ ของนงนุช วงศ์สว่างและคณะ (2560) เพื่อประเมินว่าสภาพแวดล้อมในบ้านมีความเสี่ยงต่อการหกล้มของผู้สูงอายุมากน้อยเพียงใด ใช้ใน ขั้นตอนท่ี 1 ประเมินความเส่ียงการหกลม้ ขั้นตอนที่ 2 ศกึ ษาแนวทางการปอ้ งกนั การหกลม้ 1. ผวู้ จิ ยั ไดน้ ำหลกั การและแนวคดิ AIC มาประยกุ ต์ในการสรา้ งกรอบแนวคิดงานวิจัยครั้งน้ี โดยใช้ในขนั้ ตอนที่ 2 ศกึ ษาแนวทางการป้องกันการหกล้ม เปน็ การหาแนวทางการป้องกันการหกล้ม ของผู้สงู อายุในชมุ ชนบ้านขนนุ ใชก้ ระบวนการ AIC (จฬุ าภรณ์ โสตะ, 2554, 75 และบญุ เทียน อาสา รนิ ทร์, 2553) โดยการจัดเวทีประชุมท่ีทำให้เกิดการแลกเปลี่ยน ความรู้ ประสบการณ์ มีการนำเสนอ ข้อมูลท่ีได้การรวบรวมจากขั้นตอนแรก มาวิเคราะห์ปัญหา ความต้องการ ข้อจำกัดและศักยภาพ ของผู้เกี่ยวข้อง เปิดโอกาสให้เกิดการระดมสมองในการศึกษา วิเคราะห์ พัฒนาหาวิธีการหรือ ทางเลอื กที่สร้างสรรคแ์ ละเหมาะสมในการปอ้ งกนั การหกลม้ ของผู้สงู อายุ ในชมุ ชนต่อไป การประชาคมผเู้ ก่ียวข้อง ดำเนินการตามข้ันตอนดังนี้ A - คนื ข้อมลู การประเมนิ ความเส่ียงการหกล้ม - วเิ คราะห์ และจัดกลุ่มผู้สงู อายุตามความเส่ียง I - ระดมสมองสร้างแนวทางป้องกนั การหกล้มท่ีเหมาะสมกบั บริบทของชุมชน C - วางแผนสร้างแนวปฏบิ ัติ และกำหนดผ้รู ับผิดชอบซ่ึงยนิ ดรี ่วมกจิ กรรมการป้องกนั การ หกลม้ ของผ้สู ูงอายุท่ีเหมาะสมกับบรบิ ทของชมุ ชน 2. ปฏิบตั ติ ามแนวทางท่กี ำหนดจากกระบวนการ AIC ปฏบิ ตั ิกจิ กรรมโดยผรู้ บั ผิดชอบดำเนิน กิจกรรมเกี่ยวกับการลดความเสี่ยงการหกล้มของผู้สูงอายุในชุมชนที่ได้กำหนดไว้ ตามแนวทางการ ป้องกนั การหกลม้ ท่ไี ด้จากร่วมกันกำหนดไว้ เป็นระยะเวลา 3 เดอื น 3. ติดตามผลการดำเนินกิจกรรม โดยการสนทนากลุ่ม เพื่อปรับปรุงแก้ไขให้ได้วิธีการหรือ แนวทางในการป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุที่เหมาะสมกับบริบทของชุมชนบ้านขนุน ตำบลบ้าน เลือก อำเภอโพธาราม จงั หวัดราชบรุ ี
35 ตัวแทนผสู้ งู อายุ าติของผู้สูงอายุ อาสาสมัครสา าร สขุ (อสม.) แกน นาชุมชนและเจ้าหนา้ ท่ีสา าร สขุ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง- ศกษาข้อมูลกระบวนการมีส่วนรว่ ม AIC- ปฏิบัติแนวทาง บรบิ ทชุมชน ดยการประชาคมผู้เกี่ยวข้อง กจิ กรรมตาม การป้องกัน แนวทางที่ การหกลม้ - ประเมิน A -คนื ข้อมลู การประเมินความเส่ียง กาหนด ของผูส้ ูงอายุ ความเสี่ยงการ การหกล้ม หกลม้ ของ -วิเคราะห และจัดกลุ่มผู้สงู อายตุ าม - ติดตามการ ผู้สูงอายุ ความเสี่ยง ดาเนนิ I -ระดมสมองสร้างแนวทางปอ้ งกัน กจิ กรรม การหกลม้ ท่ีเหมาะสมกบั บรบิ ทของ ชมุ ชน C-วางแผนสรา้ งแนวปฏบิ ัติ และ กาหนดผู้รับผดิ ชอบ ง่ ยินดรี ว่ ม กิจกรรมการปอ้ งกนั การหกลม้ ของ ผู้สงู อายุท่เี หมาะสมกบั บรบิ ทของ ชุมชน ผสู้ ูงอายุสูง ภาพประกอบ 1.2 กรอบแนวคดิ ในการวจิ ัย
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 36 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวจิ ยั การวจิ ัยเรอื่ ง การป้องกันการหกลม้ ของผู้สูงอายุ ชมุ ชนบา้ นขนุน ตำบลบ้านเลอื ก อำเภอ โพธาราม จังหวัดราชบุรี โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน เป็นการวิจัยเพื่อพัฒนาเชิงพื้นที่ ใช้รูปแบบ การวจิ ยั เชงิ ปฏิบตั ิการ (Action Research) เปน็ แนวทางในการดำเนินการวจิ ัยโดยมี 2 ขน้ั ตอน คือ ข้ันตอนที่ 1 ขั้นประเมินความเสีย่ งการหกลม้ ขนั้ ตอนท่ี 2 ขน้ั ศกึ ษาแนวทางการปอ้ งกันการหกลม้ ของผู้สูงอายุ ขั้นตอนที่ 1 ขนั้ ประเมนิ ความเสี่ยงการหกล้ม ผู้วิจัยศึกษาข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวบริบทของชุมชนบ้านขนุน รวมทั้งศึกษาเอกสาร ตำรา แนวคิด ทฤษฎี งานวิจัย ที่เกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงและการป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุ ตลอดจน ประเมินความเส่ียงการหกลม้ ของผูส้ ูงอายุ มีรายละเอียดการดำเนินการดังน้ี วัตถุประสงค์ เพื่อประเมินความเสี่ยงการหกล้มของผู้สูงอายุ ชุมชนบ้านขนุน ตำบลบ้าน เลือก อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบรุ ี ประชากรที่ศึกษา คือ ผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป ที่อาศัยอยู่ในชุมชนบ้านขนุน ตำบลบา้ นเลอื ก อำเภอโพธาราม จงั หวัดราชบรุ ี จำนวน 181 คน จากทะเบียนรายชอ่ื กล่มุ วยั สงู อายุ 60 ปขี ้นึ ไป หมู่ 3 (โรงพยาบาลสง่ เสริมสุขภาพตำบลบ้านเลือก, 2562) กล่มุ ตวั อย่าง คือ ผู้สูงอายุท่ีมอี ายุต้งั แต่ 60 ปีข้ึนไป อาศยั อยูใ่ นชมุ ชนบ้านขนุน หมู่ 3 ตำบล บ้านเลือก อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ.2562 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2564 กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใชต้ ารางสำเร็จรูปของ เครจซี่และมอร์แกน (Krejcie and Morgan, 1970, p. 607-610) ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 127 คน ความคลาดเคลื่อนที่ยอมรับได้ 5% และระดับความเชื่อมั่น 95% การได้มาซึ่งกลุ่มตัวอย่างใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง (Purposive selection sampling method) มีคุณลักษณะตามเกณฑ์คัดเข้า (inclusion criteria) คือเป็น ผสู้ ูงอายตุ ง้ั แต่ 60 ปี บรบิ ูรณข์ ้ึนไปทั้งเพศชายและเพศหญิง มสี ติสมั ปชญั ญะสมบรู ณ์ สามารถได้ยนิ พูดคุยส่อื สารภาษาไทยได้เขา้ ใจ รบั รู้เกยี่ วกบั เวลา สถานท่ี บคุ คลไดป้ กติ และยนิ ดใี หค้ วามรว่ มมือใน การศึกษาคร้งั นี้ และตามเกณฑก์ ารคัดออก (exclusion criteria) คือผสู้ ูงอายุที่เปน็ ผู้ปว่ ยติดเตยี ง ไม่ สามารถเคลอื่ นไหวได้ การพิทักษ์สิทธิกลุ่มตัวอย่าง ผู้วิจัยดำเนินการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างและเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู โดยคำนึงถึงหลักจริยธรรม ความปลอดภัย ความสมัครใจยินยอมเข้าร่วมการวิจัย เมื่อกลุ่มตัวอย่าง รับทราบรายละเอยี ดของขอ้ มลู ต่าง ๆ และตัดสินใจจะเข้าร่วมโครงการวจิ ัย ให้กลมุ่ ตัวอย่างลงช่ือเข้า ร่วมโครงการวิจยั เปน็ ลายลักษณ์อักษรในแบบฟอรม์ ยินยอมเขา้ ร่วมโครงการวจิ ัย การวจิ ัยครงั้ น้ีไดร้ ับ การรบั รองจากคณะกรรมการจริยธรรมในคน สถาบนั วจิ ัยและพัฒนา มหาวิทยาลยั ราชภฏั กาญจนบุรี เลขทโ่ี ครงการ SOP 006/62
37 เครอ่ื งมือทใ่ี ชใ้ นการวิจัย เคร่ืองมือทีใ่ ชใ้ นการวิจัยคร้ังนี้ เป็นแบบสอบถามสำหรับประเมินความเส่ียงตอ่ การหกล้มของ ผู้สูงอายใุ นชุมชน ซ่ึงมี 2 ตอน ตอนที่ 1 แบบประเมินความเสี่ยงการหกล้มของผู้สูงอายุชาวไทย [Thai Falls Risk Assessment Test (Thai-FRAT) ที่ผู้วิจยั นำแบบประเมินของ ลัดดา เถียมวงศ์, สทุ ธชิ ัย จิตะพันธ์กุล, และจักษณา ปญั ญาชีวิน (2547) โดยมีค่าความไวและความจำเพาะเท่ากับ 0.92 และ 0.83 ตามลำดับ ประกอบดว้ ยขอ้ ประเมนิ จำนวน 6 รายข้อ ดงั น้ี ข้อที่ 1 เกี่ยวกับเพศ ถ้าเป็นเพศหญิง ถือว่ามีความเสี่ยงต่อการหกล้ม ได้คะแนน เทา่ กบั 1 คะแนน แตถ่ ้าเป็นเพศชาย จะได้คะแนนความเสีย่ งตอ่ การหกล้ม เทา่ กับ 0 ข้อที่ 2 เกี่ยวกับการมองเห็น ถ้าไม่สามารถอ่านตัวเลขที่ระยะ 6/12 ของ Snellen chart ไดเ้ กินคร่งึ ถือวา่ บกพร่อง มีคะแนนความเส่ยี งตอ่ การหกล้ม เทา่ กับ 1 คะแนน ถา้ สามารถอ่าน ได้ จะไดค้ ะแนนความเสย่ี งตอ่ การหกล้ม เท่ากับ 0 ข้อที่ 3 เกี่ยวกับการทรงตัว ถ้ายืนต่อเท้าในแนวเส้นตรงไม่ได้ หรือยืนไม่ได้ถึง 10 วนิ าที ถอื วา่ บกพร่อง มีคะแนนความเสี่ยงต่อการหกล้ม เท่ากบั 2 คะแนน ถ้าสามารถกระทำได้ จะได้ คะแนนความเสีย่ งต่อการหกล้ม เท่ากับ 0 ขอ้ ที่ 4 เกยี่ วกบั การใช้ยานอนหลับ หรอื ยากล่อมประสาท หรือ ยาลดความดันโลหิต หรือยาขับปัสสาวะ หรือ กินยาชนิดใดก็ได้ตั้งแต่ 4 ชนิดขึ้นไป ถือว่ามีความเสี่ยงต่อการหกล้ม ได้ คะแนน เท่ากบั 1 คะแนน ถ้าไม่เข้ากรณดี งั กล่าว จะได้คะแนนความเส่ยี งต่อการหกลม้ เทา่ กับ 0 ข้อท่ี 5 เกีย่ วกับประวตั ิการหกล้ม ถา้ หกล้มตงั้ แต่ 2 ครง้ั ขนึ้ ไป ในหกเดือนท่ีผ่านมา ถือว่ามีคะแนนความเสี่ยงต่อการหกล้ม ได้คะแนน เท่ากับ 5 คะแนน ถ้าไม่มีประวัติดังกล่าว จะได้ คะแนนความเสีย่ งต่อการหกล้ม เท่ากับ 0 และ ขอ้ ท่ี 6 เก่ยี วกบั การพกั อาศัยอย่บู ้านแบบไทยท่มี ีการยกพ้ืนสูงจากพ้ืนดิน ต้ังแต่ 1.5 เมตร ข้นึ ไป ถือวา่ มคี วามเส่ียงต่อการหกล้ม ได้คะแนน เทา่ กับ 1 คะแนน ถา้ ไม่ได้พักอาศัยในบ้านท่ี มกี ารยกพนื้ ดังกลา่ ว จะไดค้ ะแนนความเสี่ยงต่อการหกล้ม เท่ากับ 0 มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง เกณฑ์การประเมนิ ความเสยี่ ง คอื ถ้าได้คะแนน 0 – 3 หมายถึง ไมเ่ สี่ยงต่อการหกลม้ ถา้ ได้คะแนน 4 – 11 หมายถึง เสย่ี งต่อการหกล้ม ตอนท่ี 2 แบบประเมินสภาพแวดล้อมในบ้านต่อความเส่ียงในการหกล้มของผู้สูงอายุ ท่ีผู้วิจัย นำแบบประเมินของ นงนุช วงศ์สว่าง และคณะ (2560) ค่าสัมประสิทธิอัลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Coefficient Alpha) มคี า่ เทา่ กับ 0.92 มีรายการประเมนิ 13 ขอ้ ใหค้ ะแนนข้อละ 1 คะแนน มเี กณฑ์การประเมิน ดังนี้ ถา้ ได้คะแนนเป็น 0 หมายถึง ไมม่ ีความเส่ยี งต่อการหกลม้ ถา้ ได้คะแนน 1 – 4 หมายถึง มีความเสยี่ งต่อการหกลม้ ระดับน้อย ถา้ ได้คะแนน 5 – 8 หมายถงึ มีความเส่ียงตอ่ การหกลม้ ระดับปานกลาง ถ้าได้คะแนน 9 – 13 หมายถงึ มคี วามเส่ียงตอ่ การหกลม้ ระดับสูง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 38 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล ผ้วู ิจัยดำเนินการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ตามขัน้ ตอน ดงั น้ี 1. ศึกษาข้อมูลบริบทด้านการสาธารณสุขของชุมชนบ้านขนุน ตำบลบ้านเลือก อำเภอโพธาราม จงั หวดั ราชบรุ ี ทเี่ ก่ียวข้องกบั ผู้สงู อายใุ นชมุ ชน 2. ศึกษาเอกสาร ตำรา เกี่ยวกับแนวคิด ทฤษฎี องค์ความรู้ต่าง ๆ ตลอดจนงานวิจัย เก่ียวกบั ปัจจัยเสย่ี งต่อการหกล้มและการหกล้มของผสู้ งู อายุ 3. ปรกึ ษาเจ้าหน้าท่ีสาธารณสุข ผู้นำชุมชน อาสาสมคั รสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เพื่อจัดประชมุ ทำความเขา้ ใจและให้ อสม. มสี ว่ นร่วมในการเป็นผูช้ ว่ ยวิจัย โดยทำการอบรม อสม. ที่ สมัครใจในการเข้าร่วมเก็บข้อมูล จำนวน 1 วัน ให้มีความรู้เกี่ยวกับการใช้แบบประเมินความเสี่ยง การหกล้มของผู้สูงอายุไทย (THAI FRAT) (ลัดดา เถียมวงศ์, สุทธิชัย จิตะพันธ์กุล, และจักษณา ปัญญาชีวิน, 2547) และแบบประเมินสภาพแวดล้อมในบ้านต่อความเสี่ยงในการหกล้มของผู้สูงอายุ (นงนชุ วงศส์ วา่ งและคณะ, 2560) 4. ผู้วิจัยแนะนำตัวต่อกลุ่มตัวอย่าง มอบสำเนาเอกสารแสดงความยินยอมเข้าร่วมใน โครงการวิจัย พร้อมดว้ ยเอกสารข้อมูลสำหรบั ผู้เขา้ รว่ มโครงการวจิ ัย โดยกอ่ นท่ีกลุ่มตัวอย่างจะลงนาม ในใบยินยอมใหท้ ำการวจิ ัยน้ี ผวู้ ิจยั และผู้ช่วยวิจัยอธิบายถึงวัตถุประสงค์ของการวิจัย ระยะเวลาของ การทำวิจัย วิธีการวิจัย รวมทั้งประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการวิจัยอย่างละเอียด ให้กลุ่มตัวอย่าง ซักถามข้อสงสัยจนมีความเข้าใจอย่างดี และมีสิทธิที่จะไม่เข้าร่วมโครงการวิจัย โดยไม่จำเป็นต้อง แจ้งเหตุผล 5. เกบ็ ขอ้ มลู โดยร่วมกบั อสม. ทำการประเมนิ ความเสย่ี งต่อการหกล้มของผู้สูงอายุ และ ประเมนิ สภาพแวดลอ้ มในบ้านตอ่ ความเสยี่ งในการหกล้มของผู้สูงอายุ จำนวน 20 วนั 6. นำแบบประเมินที่เก็บได้ทั้งหมดมาตรวจสอบความสมบูรณ์ ก่อนที่จะนำไปวิเคราะห์ ข้อมูลด้วยวิธกี ารทางสถติ ิและการวเิ คราะห์เนือ้ หาต่อไป การวเิ คราะห์ข้อมูล ผ้วู ิจยั นำแบบประเมินที่ผา่ นการตรวจสอบความสมบูรณ์แล้วมาดำเนนิ การวิเคราะห์ข้อมูล โดยนำขอ้ มูลมาแจกแจงความถี่ และหาคา่ รอ้ ยละ ค่าเฉล่ีย และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน แล้วนำเสนอ ผลการวเิ คราะหใ์ นรูปตารางประกอบความเรียง ขน้ั ตอนที่ 2 ขนั้ ศึกษาแนวทางการป้องกนั การหกล้มของผู้สูงอายุ ข้นั ศกึ ษาแนวทางการป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุ ผูว้ จิ ัยได้นำขอ้ มูลบริบทของชุมชนบ้าน ขนุน ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาเอกสาร ตำรา แนวคิด ทฤษฎี งานวิจยั ที่เกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงและการ ป้องกนั การหกลม้ ของผู้สูงอายุ ตลอดจนผลการประเมนิ ความเส่ียงการหกล้มของผูส้ ูงอายุ มาใช้เป็น ข้อมูลเบื้องต้นเพื่อการพิจารณาหาแนวทางการป้องกันการหกล้ม ในการประชุมผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยมี การดำเนินงานตามขนั้ ตอนดงั น้ี
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 39 วัตถุประสงค์ เพ่ือศึกษาแนวทางการป้องกันการหกลม้ ของผู้สูงอายุ ชุมชนบ้านขนุน ตำบล บา้ นเลือก อำเภอโพธาราม จงั หวัดราชบรุ ี กลุ่มตัวอยา่ ง คือ ตัวแทนกล่มุ ผสู้ ูงอายุ ญาติผ้สู งู อายุ ผ้นู ำชมุ ชน อสม. เจ้าหน้าท่ีสาธารณสุข ในชมุ ชน จำนวน 30 คน โดยการประชุมระดมความคิด แบบมีส่วนร่วมสงู ( Highly Participative ) ด้วย กระบวนการการรวมพลงั สร้างอนาคต ( AIC: Appreciation, Influence, Control ) (ไพบูลย์ วฒั นศริ ธิ รรม และ วเิ ชยี ร ศรลี ูกหวา้ , 2552) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือประเด็นการประชุม AIC และการสนทนากลุ่ม เรื่องแนวทาง การปอ้ งกันการหกล้มของผู้สงู อายุ ชมุ ชนบา้ นขนุน ตำบลบา้ นเลอื ก อำเภอโพธาราม จงั หวดั ราชบุรี การดำเนนิ การวจิ ัยและเก็บรวบรวมข้อมลู ผูว้ ิจยั ดำเนนิ การวิจยั และเก็บรวบรวมข้อมูลตามขนั้ ตอน ดงั น้ี 1. คืนข้อมูลให้ชุมชน นำข้อมูลการประเมินความเสี่ยงจากขั้นตอนที่ 1 คืนให้ชุมชน โดย ดำเนินการประชุมระดมความคิดแบบมีส่วนร่วมสูง (Highly Participative) ด้วยกระบวนการการรวมพลัง สรา้ งอนาคต (AIC: Appreciation, Influence, Control) ประชมุ รว่ มกนั กบั ชมุ ชนและผู้ที่เกี่ยวข้องกลุ่ม ตา่ ง ๆ ซง่ึ ประกอบด้วย กล่มุ ตวั แทนกล่มุ ผู้สูงอายุ กลุ่มญาตผิ สู้ ูงอายุ กลุ่มผนู้ ำชุมชน กลุ่มเจ้าหน้าที่ อสม. และกลุ่มเจา้ หนา้ สาธารณสุขในชมุ ชน รวม 5 กลุ่ม จำนวนกลุม่ ละ 6 คน รวมท้งั ส้นิ จำนวน 30 คน เพ่ือหาแนวทางการป้องกนั การหกลม้ ท่ีเหมาะสมกับบริบทของชุมชน วางแผนสร้างแนวปฏิบัติ และ การปฏบิ ัตกิ จิ กรรม ดังรายละเอียดตอ่ ไปนี้ A - คืนข้อมูลการประเมนิ ความเสี่ยงการหกล้ม วิเคราะห์ และจัดกลมุ่ ผู้สูงอายุตาม ปจั จยั เสยี่ ง I - ระดมสมองสรา้ งแนวทางปอ้ งกนั การหกลม้ ทเี่ หมาะสมกับบริบทของชุมชน C- วางแผนสรา้ งแนวปฏบิ ัตแิ ละกำหนดผรู้ ับผิดชอบซึง่ ยนิ ดรี ่วมกจิ กรรมการปอ้ งกนั การหกล้มของผู้สงู อายุท่ีเหมาะสมกับบรบิ ทของชุมชน 2. กำหนดผ้รู บั ผดิ ชอบกจิ กรรมการป้องกันการหกล้มของผู้สงู อายุ และปฏบิ ัติกิจกรรมตาม แนวทางทีก่ ำหนด 3. ติดตามการดำเนินกิจกรรม โดยการประชุมสนทนากลุ่มผู้รับผิดชอบกิจกรรม เพื่อตรวจสอบ ความเป็นไปได้และสรุปเป็นแนวทางการป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุ ชมุ ชนบา้ นขนนุ ตำบลบ้านเลือก อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบรุ ี การวิเคราะหข์ ้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ใช้สถิติ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละ ส่วนการ วเิ คราะห์ขอ้ มูลเชงิ คุณภาพ โดยการตีความตามประเดน็ การประชุมและการสนทนากลุ่ม
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115