50 ตวั ชวี้ ดั 15. สืบคน้ ข้อมลู และเปรียบเทยี บสมบัติทางกายภาพระหว่างพอลิเมอร์และมอนอเมอร์ของพอลิเมอรช์ นิดนัน้การวิเคราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียนโดยอภิปรายเกี่ยวกับกระบวนการย่อยแป้งที่เป็น ดา้ นความรู้ สารโมเลกลุ ใหญ ่ จนไดก้ ลโู คสซง่ึ เปน็ สารโมเลกลุ ขนาดเลก็ ทถ่ี กู ดดู ซมึ เขา้ สู่ ความหมายและสมบัติทางกายภาพของ รา่ งกายได้ รวมท้งั ใหค้ วามร้วู ่า แป้งเกดิ จากกลูโคสหลายโมเลกลุ มาเชอื่ ม ความหมายและสมบัติทางกายภาพของพอลิเมอร์ พอลเิ มอร์และมอนอเมอร์ และมอนอเมอร์ จากผลการสืบค้นข้อมูล การทำ� ต่อกัน แบบฝกึ หดั และการทดสอบด้านทกั ษะ 2. ใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั ความหมายของพอลเิ มอรแ์ ละมอนอเมอร์ โดยเชอื่ มโยงทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ดา้ นทกั ษะ - จากตวั อยา่ งของแปง้ กบั กลโู คส จากนน้ั ยกตวั อยา่ งสารในธรรมชาตชิ นดิ อน่ื การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จากผลทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ท่ีเปน็ พอลิเมอรแ์ ละมอนอเมอร์ การส่อื สารสารสนเทศและการรูเ้ ท่าทนั สือ่ 3. ให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลและเปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพระหว่าง การสืบคน้ ขอ้ มลู และการนำ�เสนอดา้ นจติ วิทยาศาสตร์ พอลิเมอร์กับมอนอเมอร์ของพอลิเมอร์แต่ละชนิด อย่างน้อย 4 ตัวอย่าง ด้านจติ วิทยาศาสตร์ ความใจกวา้ ง จากนน้ั น�ำ เสนอขอ้ มลู เพือ่ แลกเปลยี่ นความรใู้ นหอ้ งเรยี น ความใจกว้าง จากการสังเกตพฤติกรรมในการ อภปิ ราย
วิทยาศาสตร์กายภาพ (เคมี) ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 5ตัวชว้ี ดั 51 16. ระบุสมบัติความเป็นกรด-เบสจากโครงสรา้ งของสารประกอบอนิ ทรยี ์การวิเคราะหผ์ ลการเรียนรู้ แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียนโดยยกตัวอย่างสารประกอบอินทรีย์ที่แสดงสมบัติเป็น ดา้ นความรู้ กรด-เบส เชน่ กรดน�ำ้ ส้ม สารประกอบเอมีน ยาบางชนดิ ความเป็นกรด-เบสของสารประกอบอินทรีย์ ความเปน็ กรด-เบสของสารประกอบอนิ ทรยี ์ จากการอภปิ ราย การท�ำ แบบฝกึ หดั และการทดสอบ 2. ใหน้ กั เรยี นพจิ ารณาสตู รโครงสรา้ งของสารตวั อยา่ งในขอ้ 2 แลว้ อภปิ รายดา้ นทักษะ รว่ มกนั เพอ่ื ใหส้ ามารถระบสุ ว่ นของโครงสรา้ งทที่ �ำ ใหส้ ารอนิ ทรยี ม์ สี มบตั ิ ดา้ นทกั ษะทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เปน็ กรดหรือเบส 1. การจำ�แนกประเภท จากการอภิปราย และการทำ�1. การการจ�ำ แนกประเภท2. การลงความเห็นจากขอ้ มลู 3. ให้นักเรียนระบุว่าสารประกอบอินทรีย์ใดมีสมบัติเป็นกรดหรือเบส แบบฝกึ หดัทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 จากสตู รโครงสรา้ งทกี่ �ำ หนดให้ จากนนั้ ตรวจสอบความถกู ตอ้ งและอธบิ าย 2. การลงความเห็นข้อมูล และการสื่อสารสารสนเทศ การสื่อสารสารสนเทศและการรูเ้ ท่าทนั สอื่ เพมิ่ เติมในกรณที น่ี กั เรียนมีความเขา้ ใจท่ีคลาดเคล่อื น และการรเู้ ท่าทนั สื่อ จากการอภปิ รายด้านจติ วทิ ยาศาสตร์ 4. ใหน้ กั เรยี นร่วมกันสรุปบทเรียน แล้วท�ำ แบบฝกึ หดั ทบทวนความรู้ ความใจกว้าง ด้านจิตวทิ ยาศาสตร์ ความใจกวา้ ง จากการสงั เกตพฤตกิ รรมในการอภปิ ราย
52 ตัวช้วี ดั 17. อธิบายสมบัตกิ ารละลายในตัวทำ�ละลายชนิดต่าง ๆ ของสารการวเิ คราะห์ผลการเรียนรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียนโดยตั้งคำ�ถามว่า การล้างเคร่ืองสำ�อางออกจากผิวหน้า ด้านความรู้ การละลายในตวั ท�ำ ละลายชนดิ ตา่ ง ๆ ของสาร ด้วยนำ�้ มนั หรอื ผลิตภณั ฑท์ ี่มีสว่ นผสมของไขมัน กบั การล้างดว้ ยนำ�้ เปล่า ใหผ้ ลเหมือนหรือแตกตา่ งกันอยา่ งไร การละลายในตัวทำ�ละลายชนิดต่าง ๆ ของสารด้านทักษะ จากการอภปิ ราย การท�ำ แบบฝกึ หดั และการทดสอบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 2. แสดงสตู รโครงสรา้ งของน�้ำ น�้ำ มนั และสารทเ่ี ปน็ สว่ นผสมในเครอื่ งส�ำ อาง1. การจ�ำ แนกประเภท เชน่ กรดสเตยี รกิ แลว้ ใหน้ กั เรยี นอภปิ รายรว่ มกนั เพอื่ ใหเ้ หน็ วา่ โครงสรา้ ง ดา้ นทักษะ2. การลงความเหน็ จากข้อมลู ของกรดสเตียรกิ คล้ายคลึงกับน�ำ้ มนั มากกว่าน้�ำ 1. การจำ�แนกประเภท จากการอภิปรายและการทำ�ทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 การส่อื สารสารสนเทศและการร้เู ทา่ ทันสือ่ 3. แสดงสตู รโครงสรา้ งของสารทล่ี ะลายในน�้ำ และสารทลี่ ะลายในน�้ำ มนั เพมิ่ แบบฝกึ หดั เตมิ แลว้ ใหอ้ ภปิ รายรว่ มกนั วา่ สารทล่ี ะลายน�ำ้ และสารทลี่ ะลายในน�ำ้ มนั 2. การลงความเห็นข้อมูล และการส่ือสารสารสนเทศดา้ นจติ วิทยาศาสตร์ มโี ครงสร้างเหมอื นหรือแตกต่างกันอยา่ งไร ความใจกวา้ ง และการรเู้ ท่าทนั สือ่ จากการอภปิ ราย 4. ร่วมกันสรุปให้ได้ว่า สารที่ละลายน้ำ�ได้มักมีประจุหรือมีหมู่ไฮดรอกซิล เป็นจำ�นวนมาก สามารถเกิดพันธะไฮโดรเจนกับน้ำ�ได้ ทำ�ให้สารมี ด้านจติ วิทยาศาสตร์ สภาพขว้ั ใกลเ้ คยี งกบั น�ำ้ สว่ นสารทล่ี ะลายในไขมนั ได้ มโี ครงสรา้ งสว่ นใหญเ่ ปน็ ความใจกว้าง จากการสังเกตพฤติกรรมในการ ไฮโดรคาร์บอน ซึ่งเป็นส่วนที่ไม่มีขั้ว จึงมีสภาพขั้วใกล้เคียงกับไขมัน การละลายของสารในตัวทำ�ละลายที่มีขั้วใกล้เคียงกันเรียกว่า หลักการ อภิปราย like dissolves like 5. ใหน้ กั เรยี นระบวุ า่ สารตวั อยา่ งทกี่ �ำ หนดใหล้ ะลายในน�้ำ หรอื น�้ำ มนั รวมทงั้ ให้อธิบายเก่ียวกับการละลายของสารท่ีพบในชีวิตประจำ�วันจากตัวอย่าง ท่ีกำ�หนดให้ จากนนั้ ตรวจสอบความถกู ตอ้ งและอธบิ ายเพ่ิมเติมในกรณที ี่ นักเรียนมีความเขา้ ใจท่ีคลาดเคลอื่ น 6. ให้นกั เรยี นร่วมกนั สรปุ บทเรียน แลว้ ทำ�แบบฝกึ หดั ทบทวนความรู้
วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ (เคมี) ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 5ตัวชีว้ ดั 53 18. วเิ คราะหแ์ ละอธิบายความสัมพันธร์ ะหวา่ งโครงสรา้ งกบั สมบตั ิเทอรม์ อพลาสติกและเทอร์มอเซตของพอลเิ มอร์ และการนำ�พอลิเมอรไ์ ปใช้ประโยชน ์ การวเิ คราะห์ผลการเรียนรู้ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ด้านความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี นโดยใหน้ กั เรยี นพจิ ารณาตวั อยา่ งผลติ ภณั ฑพ์ อลเิ มอร์ เชน่ ดา้ นความรู้ ภาชนะพลาสติกประเภทต่าง ๆ ที่มีข้อมูลกำ�กับวิธีใช้ และช่วงอุณหภูมิ1. สมบตั เิ ทอรม์ อพลาสตกิ และเทอรม์ อเซตของ สมบตั เิ ทอรม์ อพลาสตกิ และเทอรม์ อเซตของพอลเิ มอร์ พอลิเมอร์ ท่เี ปน็ ขอ้ จ�ำ กดั ในการใชง้ าน โครงสรา้ งของพอลเิ มอร์ และการน�ำ พอลเิ มอรไ์ ปใช้ 2. ให้นักเรียนอภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับข้อจำ�กัดในการใช้งานผลิตภัณฑ์2. โครงสรา้ งของพอลเิ มอร์ พอลเิ มอรแ์ ตล่ ะชนดิ ทนี่ �ำ มาเปน็ ตวั อยา่ งนน้ั เพอ่ื ใหไ้ ดข้ อ้ สรปุ วา่ อณุ หภมู ิ ประโยชน์ จากการอภปิ ราย การท�ำ แบบฝกึ หดั และ3. การนำ�พอลิเมอรไ์ ปใชป้ ระโยชน์ การทดสอบ เปน็ ปจั จยั หนง่ึ ทส่ี ง่ ผลตอ่ สมบตั ขิ องพอลเิ มอร์ จากนน้ั ตง้ั ค�ำ ถามวา่ อณุ หภมู ิด้านทกั ษะ สง่ ผลต่อสมบัตขิ องพอลเิ มอร์อย่างไร ดา้ นทักษะทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 3. ใหน้ กั เรยี นแลกเปลย่ี นประสบการณ์ โดยการเลา่ เรอ่ื ง หรอื บอกผลทเ่ี กดิ ขน้ึ การจำ�แนกประเภท การลงความเห็นข้อมูล และ1. การจ�ำ แนกประเภท เม่ือให้ความร้อนหรือเผาผลิตภัณฑ์พลาสติก จากนั้นนำ�เสนอสื่อวีดิทัศน์2. การลงความเหน็ จากข้อมูล เก่ียวกบั การเผาผลติ ภณั ฑพ์ ลาสติกที่ท�ำ จากพอลเิ มอรช์ นิดต่าง ๆ เพื่อให้ การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ จากการทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 อภิปราย การสอ่ื สารสารสนเทศและการรู้เทา่ ทันส่ือ นักเรียนร่วมกันอภิปรายและจัดกลุ่มของพอลิเมอร์ตามการเปลี่ยนแปลง ลักษณะเมอ่ื ได้รับความรอ้ น ดา้ นจติ วทิ ยาศาสตร์ด้านจิตวทิ ยาศาสตร์ 4. ให้ความรู้เกี่ยวกับพอลิเมอร์เทอร์มอพลาสติกและพอลิเมอร์เทอร์มอเซต ความใจกว้าง จากการสังเกตพฤติกรรมในการ ความใจกวา้ ง จากนั้นแสดงโครงสร้างแบบเส้น แบบกิ่ง และแบบร่างแหที่สัมพันธ์กับ พอลเิ มอรแ์ ตล่ ะชนดิ เพอื่ ใหไ้ ดข้ อ้ สรปุ รว่ มกนั วา่ พอลเิ มอรม์ สี มบตั ติ า่ งกนั อภิปราย เน่อื งจากมโี ครงสรา้ งทแ่ี ตกต่างกนั 5. ให้นักเรียนยกตัวอย่างการใช้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ พอลิเมอร์เทอร์- มอพลาสตกิ และพอลเิ มอร์เทอร์มอ เซตในชีวิตประจำ�วัน 6. ใหน้ กั เรียนร่วมกนั สรปุ บทเรยี น แล้วท�ำ แบบฝึกหัดทบทวนความรู้
54 ตัวช้ีวดั 19. สบื คน้ ข้อมลู และน�ำ เสนอผลกระทบของการใชผ้ ลติ ภัณฑพ์ อลเิ มอร์ทีม่ ีต่อส่งิ มีชีวิตและสงิ่ แวดลอ้ ม พร้อมแนวทางป้องกันหรอื แกไ้ ขการวเิ คราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ดา้ นความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี นโดยใชภ้ าพ หรอื สอื่ ประกอบ เพอ่ื ใหเ้ หน็ ปญั หาขยะทเ่ี กดิ ด้านความรู้ จากการใช้ผลติ ภณั ฑพ์ อลิเมอร์เป็นจ�ำ นวนมากในชีวติ ประจำ�วัน ผลกระทบ แนวทางปอ้ งกนั และแกไ้ ขปญั หา ผลกระทบ แนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เกิด ทเ่ี กดิ จากการใช้ผลิตภัณฑพ์ อลเิ มอร์ 2. ใหน้ กั เรยี นสบื คน้ ขอ้ มลู ปญั หาทเี่ กดิ จากการใชผ้ ลติ ภณั ฑพ์ อลเิ มอรท์ มี่ ตี อ่ จากการใช้ผลิตภัณฑ์พอลิเมอร์ จากผลการสืบค้น สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม และแนวทางการแก้ไขปัญหาในรูปแบบต่าง ๆ และการอภิปรายด้านทักษะ เชน่ ลดการใช้ ใช้ซำ้� น�ำ กลบั มาใช้ใหม่ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ดา้ นทักษะ - 3. ให้นักเรียนเลือกสถานการณ์ปัญหาที่เห็นว่ามีผลกระทบต่อชุมชนและ 1. การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหาทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 สง่ิ แวดลอ้ มของตนหรอื ปญั หาทค่ี รกู �ำ หนดให้ จากนน้ั ใหร้ ะบปุ ญั หา สาเหตุ จากการอภปิ ราย1. การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและการแกป้ ญั หา 2. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จากผล2. การสอ่ื สารสารสนเทศและการรู้เทา่ ทันสื่อ และน�ำ เสนอแนวทางการแกไ้ ขปญั หา โดยอาศยั ความรทู้ ไ่ี ดจ้ ากการสบื คน้3. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ ขอ้ มลู การสบื ค้นขอ้ มลู การอภิปราย และการน�ำ เสนอ 4. ใหน้ กั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ น�ำ เสนอ แลว้ ใหน้ กั เรยี นกลมุ่ อน่ื ไดอ้ ภปิ รายแลกเปลย่ี น 3. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� ด้านจิตวิทยาศาสตร์ ความคดิ เหน็ จากผลการสืบค้นข้อมูล และการนำ�เสนอ1. ความใจกวา้ ง 5. อภปิ รายรว่ มกนั เพอ่ื สรปุ บทเรยี นเกยี่ วกบั ผลกระทบจากการใชผ้ ลติ ภณั ฑ์2. ความอยากรอู้ ยากเหน็ พอลิเมอร์ท่ีมีต่อสิ่งมีชีวิตและส่ิงแวดล้อม รวมทั้งแนวทางป้องกันหรือ ดา้ นจติ วิทยาศาสตร์ แกไ้ ขปญั หา ความใจกว้าง และความอยากรู้อยากเห็น จากการ สงั เกตพฤตกิ รรมในการอภปิ รายและการนำ�เสนอ
วิทยาศาสตร์กายภาพ (เคม)ี ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 5ตวั ช้วี ดั 55 20. ระบุสตู รเคมีของสารตงั้ ตน้ ผลิตภณั ฑ์ และแปลความหมายของสัญลกั ษณใ์ นสมการเคมีของปฏกิ ิริยาเคมีการวิเคราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ด้านความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียนโดยยกตัวอย่างปฏิกิริยาเคมีที่พบในชีวิตประจำ�วัน เช่น ดา้ นความรู้ สมการเคมี ปฏกิ ริ ยิ าการเผาไหมเ้ ชอ้ื เพลงิ ตา่ ง ๆ จากนน้ั ตง้ั ค�ำ ถามวา่ ปฏกิ ริ ยิ าทเ่ี กดิ ขน้ึ สมการเคมี จากการอภปิ ราย การท�ำ แบบฝกึ หดั และดา้ นทกั ษะ จะเขียนสมการเคมีได้อยา่ งไร การทดสอบทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 2. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มเขียนสมการเคมีของปฏิกิริยาการเผาไหม้โพรเพน - ดา้ นทกั ษะทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 แล้วสุ่มให้นักเรียนออกมาเขียนสมการเคมีหน้าช้ันเรียน จากน้ันร่วมกัน การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและการแกป้ ญั หา อภิปรายเพ่ือให้ได้ข้อสรุปว่า การเขียนสมการเคมีจะเขียนสูตรเคมีของ จากการอภิปราย และการท�ำ แบบฝกึ หัด สารตั้งต้นอยู่ทางด้านซ้ายของลูกศร และสูตรเคมีของผลิตภัณฑ์อยู่ทางดา้ นจิตวิทยาศาสตร์ ด้านขวา โดยจำ�นวนอะตอมรวมของแต่ละธาตุทางด้านซ้ายและขวาต้อง ด้านจิตวทิ ยาศาสตร์ - เท่ากัน - 3. ให้ความรู้เกี่ยวกับสัญลักษณ์ต่าง ๆ ท่ีใช้แสดงในสมการเคมี เช่น สถานะ พลงั งาน ตัวเรง่ ปฏกิ ิริยา 4. ให้นักเรยี นรว่ มกนั สรุปบทเรยี น แล้วท�ำ แบบฝกึ หดั ทบทวนความรู้
56 ตวั ช้วี ดั 21. ทดลองและอธบิ ายผลของความเข้มข้น พ้นื ทผี่ ิว อุณหภมู ิ และตัวเร่งปฏิกริ ยิ า ทม่ี ผี ลต่ออตั ราการเกิดปฏิกริ ิยาเคมีการวเิ คราะห์ผลการเรียนรู้ แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ด้านความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี นโดยยกตวั อยา่ งปฏกิ ริ ยิ าเคมตี า่ ง ๆ ทพี่ บในชวี ติ ประจ�ำ วนั ด้านความรู้ เชน่ การเผากระดาษ การจดุ พลุ การเกดิ สนมิ การเกดิ หนิ งอกหนิ ยอ้ ย จากนน้ั ผลของความเข้มขน้ พ้ืนทผ่ี วิ อณุ หภูมิ และ ผลของความเข้มข้น พ้ืนท่ีผิว อุณหภูมิ และตัวเร่ง ตัวเร่งปฏิกิริยา ท่ีมีผลต่ออัตราการเกิด ให้ระบุว่า ปฏิกิริยาใดเกิดได้เร็ว ปฏิกิริยาใดเกิดได้ช้า เพื่อลงข้อสรุป ปฏิกิริยา ท่ีมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี จาก ปฏิกริ ิยาเคม ี รว่ มกนั ว่าปฏกิ ริ ิยาเคมีสามารถเกิดได้เรว็ หรอื ชา้ แตกตา่ งกนั รายงานการทดลอง การอภปิ ราย การท�ำ แบบฝกึ หดั 2. อภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสารตั้งต้นหรือผลิตภัณฑ์ และการทดสอบด้านทักษะ ต่อเวลาท่ีใช้ในการเกิดปฏิกิริยา และการเปรียบเทียบว่าปฏิกิริยาเคมีใดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ดา้ นทักษะ1. การทดลอง เกิดเรว็ หรือ ชา้ โดยพจิ ารณาจากอตั ราการเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี 1. การทดลอง การจดั กระท�ำ และสอื่ ความหมายขอ้ มลู2. การจดั กระทำ�และสอ่ื ความหมายขอ้ มูล 3. ใชค้ �ำ ถามวา่ มปี จั จยั ใดบา้ งทส่ี ง่ ผลตอ่ อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี เพอ่ื เชอ่ื มโยงทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 เข้าสูก่ ิจกรรมการทดลอง และความร่วมมอื การท�ำ งานเป็นทมี และภาวะผนู้ ำ� 1. การสื่อสารสารสนเทศและการรูเ้ ท่าทนั สื่อ 4. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มทำ�การทดลองเพื่อศึกษาปัจจัย ที่มีผลต่ออัตราการ จากการท�ำ การทดลอง2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ 2. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จากการ เกิดปฏิกิริยาเคมี และอภิปรายผลการทดลองร่วมกันเพื่อลงข้อสรุปว่า อภิปรายดา้ นจติ วทิ ยาศาสตร์ ความเข้มข้นของสารตั้งต้น พื้นที่ผิวของสารตั้งต้น อุณหภูมิ และตัวเร่ง1. ความซื่อสตั ย์ ปฏิกิรยิ า มผี ลต่ออตั ราการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี ด้านจิตวทิ ยาศาสตร์2. ความใจกว้าง 5. ใหน้ กั เรยี นรว่ มกนั สรปุ บทเรียน แลว้ ทำ�แบบฝึกหัดทบทวนความรู้ 1. ความซื่อสัตย์ จากรายงานผลการทดลอง 2. ความใจกว้าง จากการอภปิ ราย
วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ (เคม)ี ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 5ตัวช้วี ัด 57 22. สืบค้นขอ้ มูลและอธบิ ายปัจจัยท่ีมผี ลตอ่ อัตราการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมที ่ีใชป้ ระโยชน์ในชวี ติ ประจำ�วันหรอื ในอตุ สาหกรรมการวเิ คราะหผ์ ลการเรียนรู้ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ดา้ นความรู้ 1. ทบทวนความรเู้ กยี่ วกบั ปจั จยั ทม่ี ผี ลตอ่ อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี จากนนั้ ด้านความรู้ ใชค้ �ำ ถามวา่ ความรเู้ หลา่ นสี้ ามารถน�ำ ไปใชป้ ระโยชนใ์ นชวี ติ ประจ�ำ วนั หรอื การใช้ประโยชน์จากความรู้เกี่ยวกับปัจจัย ในอตุ สาหกรรมได้หรอื ไม่ อย่างไร การใชป้ ระโยชนจ์ ากความรเู้ กยี่ วกบั ปจั จยั ทมี่ ผี ลตอ่ ที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีที่ใช้ อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมที ใี่ ชใ้ นชวี ติ ประจ�ำ วนั หรอื ในชีวติ ประจ�ำ วันหรือในอตุ สาหกรรม 2. ให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์ท่ีได้จากการนำ�ความรู้เร่ือง ปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีไปใช้ในชีวิตประจำ�วัน แล้ว ในอตุ สาหกรรม จากผลการสบื คน้ ขอ้ มลู การอภปิ รายด้านทกั ษะ และการท�ำ แบบทดสอบทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ น�ำ เสนอผลการสบื คน้ ในรปู แบบตา่ ง ๆ เชน่ บอรด์ ประชาสมั พนั ธ์ แผน่ พบั การจัดกระทำ�และส่อื ความหมายข้อมูล โปสเตอร์ ดา้ นทักษะทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 1. การจดั กระท�ำ และสอ่ื ความหมายขอ้ มลู ความรว่ มมอื1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เทา่ ทันสื่อ 3. อภิปรายร่วมกันเพื่อสรุปเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้จากการนำ�ความรู้เรื่อง การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� จากการผลการ2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ ปัจจัยที่มผี ลตอ่ อตั ราการเกิดปฏิกิรยิ าเคมีไปใช้ประโยชน์ สบื คน้ ข้อมลูด้านจติ วิทยาศาสตร์ 2. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ จากการ1. ความใจกว้าง2. การเห็นคุณคา่ ทางวทิ ยาศาสตร์ ผลการสบื ค้นข้อมลู และการอภปิ ราย ด้านจติ วทิ ยาศาสตร์ 1. ความใจกวา้ ง จากการสงั เกตพฤตกิ รรมในการอภปิ ราย 2. การเห็นคุณค่าทางวิทยาศาสตร์ จากผลการสืบค้น ข้อมูล
58 ตัวชวี้ ดั 23. อธิบายความหมายของปฏกิ ริ ยิ ารดี อกซ์การวเิ คราะห์ผลการเรียนรู้ แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ด้านความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียนโดยให้นักเรียนบอกแหล่งพลังงานท่ีใช้ในอุปกรณ์ไฟฟ้า ด้านความรู้ ความหมายของปฏิกิรยิ ารีดอกซ ์ แบบพกพา เชน่ โทรศัพท์มอื ถอื คอมพิวเตอร์ ไฟฉาย จากนั้นตั้งค�ำ ถาม ความหมายของปฏกิ ริ ยิ ารดี อกซ์ จากการท�ำ แบบฝกึ หดั เพื่อให้ร่วมกันอภิปรายว่า ภายในแบตเตอร่ีมีปฏิกิริยาเคมีเกิดข้ึนหรือไม่ และการทดสอบดา้ นทกั ษะ และให้พลังงานได้อยา่ งไรทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ด้านทักษะ - 2. ใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั ความหมายของปฏกิ ริ ยิ ารดี อกซ์ รวมทง้ั อธบิ ายการเกดิ -ทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 กระแสไฟฟ้าในแบตเตอร่ี โดยใช้แผนภาพ - ดา้ นจติ วิทยาศาสตร์ 3. อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวอย่างของปฏิกิริยารีดอกซ์ท่ีพบเห็นในชีวิต -ดา้ นจติ วทิ ยาศาสตร์ ประจ�ำ วัน นอกเหนอื จากแบตเตอร่ี 4. ใหน้ กั เรยี นรว่ มกันสรปุ บทเรยี น แล้วท�ำ แบบฝึกหัดทบทวนความรู้
วิทยาศาสตรก์ ายภาพ (เคม)ี ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5ตัวชีว้ ดั 59 24. อธบิ ายสมบัตขิ องสารกัมมันตรังสี และคำ�นวณครง่ึ ชวี ิตและปรมิ าณของสารกมั มันตรังสีการวเิ คราะห์ผลการเรียนรู้ แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียนโดยเกริ่นนำ�เก่ียวกับ สารกัมมันตรังสี ซ่ึงเป็นแหล่ง ด้านความรู้ พลังงานที่ใช้สำ�หรับการผลิตกระแสไฟฟ้าในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ หรือ สมบตั ขิ องสารกมั มนั ตรงั สี ความหมายของครง่ึ ชวี ติ1. สมบตั ิของสารกมั มันตรังสี ใชใ้ นทางการแพทย์ จากน้นั ใช้คำ�ถามว่า สารกมั มันตรังสีมสี มบัตอิ ย่างไร2. ความหมายของครงึ่ ชีวติ และวิธีการคำ�นวณคร่ึงชีวิตและปริมาณของสาร3. วิธีการคำ�นวนคร่ึงชีวิตและปริมาณของสาร 2. ยกตัวอย่างภาพ ข่าว เหตุการณ์ท่ีเกิดอันตรายจาก Co-60 ซึ่งเป็น กัมมันตรังสี จากการอภิปราย การทำ�แบบฝึกหัด สารกัมมันตรังสีชนิดหนึ่ง แล้วตั้งคำ�ถามว่า เพราะเหตุใดการสัมผัสหรือ และการทดสอบ กมั มนั ตรังสี อยู่ใกล้ ๆ Co-60 จึงทำ�ให้เกิดอันตราย เพ่ือให้ได้ข้อสรุปว่า เพราะว่า รา่ งกายไดร้ ับรงั สีทีแ่ ผอ่ อกมาอย่างต่อเน่อื งจาก Co-60 ด้านทักษะดา้ นทักษะ การใชจ้ ำ�นวน จากการทำ�แบบฝกึ หดัทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 3. ให้ความรู้ว่า สารกัมมันตรังสีแผ่รังสีได้ เน่ืองจากนิวเคลียสของอะตอม การใช้จำ�นวน ไม่เสถียร จึงปลดปลอ่ ยพลงั งานบางสว่ นโดยการแผร่ งั สีออกมา ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 - - 4. เชื่อมโยงเหตุการณ์อันตรายท่ีเกิดจาก Co-60 โดยใช้คำ�ถามว่า ต้องใช้ ระยะเวลานานเท่าใด จึงจะทำ�ให้ Co-60 มีปริมาณลดลง หรือสลายตัวดา้ นจติ วทิ ยาศาสตร์ จนหมดไป เพ่อื น�ำ เขา้ ส่กู ารอธบิ ายเร่อื งคร่งึ ชีวิต - 5. อธิบายความหมายของคร่ึงชีวิต และวิธีการคำ�นวณคร่ึงชีวิตและปริมาณ ของสารกัมมนั ตรังสี จากนน้ั สุม่ นักเรียนใหท้ ำ�แบบฝึกหัดหนา้ ชัน้ เรยี น 6. ให้นักเรียนรว่ มกันสรปุ บทเรียน แลว้ ท�ำ แบบฝึกหัดทบทวนความรู้
60 ตัวช้วี ัด 25. สบื คน้ ขอ้ มลู และน�ำ เสนอตัวอย่างประโยชน์ของสารกมั มันตรังสแี ละการป้องกนั อนั ตรายที่เกิดจากกมั มันตภาพรังสีการวเิ คราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ด้านความรู้ 1. ทบทวนความรู้เก่ียวกับสมบัตขิ องสารกัมมันตรงั สีและคร่ึงชวี ิต ด้านความรู้ 2. อภปิ รายเกย่ี วกบั การน�ำ สารกมั มนั ตรงั สไี ปใชง้ านในดา้ นตา่ ง ๆ เชน่ การหา ประโยชนข์ องสารกมั มนั ตรงั สแี ละการปอ้ งกนั อายุวัตถุโบราณ การคำ�นวณหาปริมาณของสารกัมมันตรังสีเพื่อใช้ใน ประโยชนข์ องสารกมั มนั ตรงั สแี ละการปอ้ งกนั อนั ตราย อนั ตรายทเ่ี กิดจากกัมมนั ตภาพรังสี ท่ีเกิดจากกัมมันตภาพรังสี จากผลการสืบค้นข้อมูล ทางการแพทย์ดา้ นทักษะ 3. ใหน้ กั เรยี นสบื คน้ ขอ้ มลู ตวั อยา่ งประโยชนข์ องสารกมั มนั ตรงั สใี นดา้ นอน่ื ๆ และการอภิปรายทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ รวมทั้งวิธกี ารปอ้ งกนั อันตรายท่เี กิดจากกมั มันตภาพรงั สี - 4. นำ�เสนอผลการสบื คน้ และอภปิ รายร่วมกันเพื่อแลกเปลยี่ นความรู้ ดา้ นทักษะทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จากผล1. การสือ่ สารสารสนเทศและการรู้เทา่ ทันสอ่ื2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ การสบื ค้นขอ้ มูล การอภปิ ราย และการน�ำ เสนอ 2. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� ดา้ นจิตวิทยาศาสตร์ จากผลการสบื ค้นข้อมลู และการน�ำ เสนอ การเห็นคณุ คา่ ทางวิทยาศาสตร์ ดา้ นจติ วิทยาศาสตร์ การเห็นคุณค่าทางวิทยาศาสตร์ จากผลการสืบค้น ข้อมลู
วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ (ฟสิ กิ ส)์ ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 5มาตรฐาน ว 2.2 เขา้ ใจธรรมชาตขิ องแรงในชีวติ ประจ�ำ วนั ผลของแรงที่กระทำ�ต่อวตั ถุ ลักษณะการเคลื่อนทแ่ี บบตา่ ง ๆ ของวตั ถุ รวมท้ังน�ำ ความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ 61ตวั ชว้ี ัด 1. วเิ คราะห์และแปลความหมายขอ้ มูลความเรว็ กบั เวลาของการเคลอื่ นทีข่ องวตั ถุเพื่ออธิบายความเรง่ ของวัตถุการวิเคราะห์ตัวชี้วดั แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ตวั ช้ีวดัด้านความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียนโดยให้นักเรียนทำ�กิจกรรม เช่น ให้นักเรียน 2 คน ด้านความรู้ เดนิ จากจดุ ก. ไปยงั จดุ ข. เปน็ เสน้ ตรง ขณะทเ่ี ดนิ ยงั ไมถ่ งึ จดุ ข. ใหน้ กั เรยี น1. การเคลอ่ื นทขี่ องวตั ถทุ ม่ี กี ารเปลยี่ นความเรว็ ความเร็วและความเร่งจากคำ�ถามตรวจสอบความ เป็นการเคล่ือนท่ีด้วยความเร่ง ซึ่งความเร่ง คนหน่ึงหันหลังเดินกลับไปยังจุดเดิม แล้วให้นักเรียนบอกความแตกต่าง เข้าใจระหว่างเรียน การสรุป คำ�ถามท้ายบทและ เปน็ อตั ราสว่ นของความเรว็ ทเ่ี ปลย่ี นไปตอ่ เวลา ของการเดินทั้งสองแบบ อภิปรายร่วมกันเพ่ือทบทวนความรู้เก่ียวกับ แบบทดสอบ ระยะทาง การกระจัด อัตราเรว็ ความเรว็ และเป็นปริมาณเวกเตอร์ ดา้ นทกั ษะ2. ในกรณที ว่ี ตั ถทุ อ่ี ยนู่ ง่ิ หรอื เคลอ่ื นทใ่ี นแนวตรง 2. ต้ังค�ำ ถามว่า ถา้ คนหนง่ึ เดนิ เร็วขนึ้ เรอ่ื ย ๆ ส่วนอกี คนหนึง่ เดนิ เรว็ เทา่ เดมิ 1. การสงั เกต และการลงความเหน็ จากขอ้ มลู จากการ ดว้ ยความเรว็ คงตวั วตั ถนุ น้ั มคี วามเรง่ เปน็ ศนู ย์ ในทิศทางเดียวกัน คนทั้งสองเคล่ือนที่แตกต่างกันอย่างไร เพ่ือนำ�เข้าสู่3. การเคลื่อนท่ีในแนวด่ิงใกล้ผิวโลกเป็น เรือ่ งของความเรง่ อภปิ รายรว่ มกนั เกยี่ วกบั ผลการสังเกต 2. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป และการคิด การเคล่ือนที่ ทม่ี คี วามเร่งคงตวั ในทศิ ลง 3. อภิปรายร่วมกันเพ่ือนำ�ไปสู่ข้อสรุปว่า วัตถุท่ีมีการเปลี่ยนความเร็ว อยา่ งมวี จิ ารณญาณ จากการวเิ คราะหแ์ ละอภปิ ราย4. ในกรณีที่ความเร็วและความเร่งของวัตถุมี เป็นการเคล่ือนท่ีด้วยความเร่ง ซึ่งความเร่งเป็นอัตราส่วนของความเร็ว รว่ มกนั เกย่ี วกบั ระยะหา่ งระหวา่ งจดุ บนแถบกระดาษ ทิศเดียวกัน วัตถุนั้นมีความเร็วเพิ่มขึ้น ทีเ่ ปลีย่ นไปต่อเวลาและเป็นปรมิ าณเวกเตอร์ และกราฟ ค�ำ ถามทา้ ยบทและแบบทดสอบ สว่ นในกรณที คี่ วามเรว็ และความเรง่ ของวตั ถุ 4. สาธิตการดึงแถบกระดาษผ่านเคร่ืองเคาะสัญญาณเวลาด้วยความเร็ว ด้านจิตวทิ ยาศาสตร์ มที ศิ ตรงกันขา้ ม วัตถนุ ้ันมคี วามเร็วลดลง ตา่ ง ๆ กนั พรอ้ มกบั ใหน้ กั เรยี นสงั เกตการเคลอ่ื นทข่ี องมอื ทด่ี งึ แถบกระดาษ ความมีเหตผุ ล จากการอภิปรายร่วมกันดา้ นทักษะ แตล่ ะแถบ จากนน้ั ใหน้ กั เรยี นสงั เกตจดุ ทอ่ี ยบู่ นแถบกระดาษ แลว้ อภปิ รายทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ร่วมกันเพ่ือนำ�ไปสู่ข้อสรุปว่า เม่ือจุดบนแถบกระดาษมีระยะห่างเท่ากัน1. การสังเกต (การดึงแถบกระดาษ จุดและ แสดงวา่ วตั ถเุ คลอ่ื นทด่ี ว้ ยความเรว็ คงตวั หรอื ไมม่ คี วามเรง่ เมอ่ื จดุ บนแถบ ร ะ ย ะ ห่ า ง ร ะ ห ว่ า ง จุ ด บ น แ ถ บ ก ร ะ ด า ษ กระดาษมรี ะยะหา่ งไมเ่ ทา่ กนั แสดงวา่ วตั ถเุ คลอ่ื นทด่ี ว้ ยความเรว็ ทเ่ี ปลย่ี นไป กราฟการตกของถุงทราย การเคลื่อนที่ หรอื มคี วามเร่ง ของวตั ถุทีถ่ ูกโยนข้นึ ) 5. ให้นักเรียนพิจารณาตัวอย่างกราฟระหว่างความเร็วกับเวลาในกรณีท่ีมี2. การลงความเหน็ จากขอ้ มลู (จากการอภปิ ราย ความเร็วคงท่ีและความเร็วเปลี่ยนไป จากน้ันวิเคราะห์ข้อมูลและแปล ผลการสังเกต) ความหมายเพ่ืออธิบายความเร่งของวัตถุ โดยชี้ให้เห็นว่า ขนาดความเร่ง พจิ ารณาไดจ้ ากความชนั ของกราฟระหวา่ งความเร็วกับเวลา
62 แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ตวั ชี้วัด การวิเคราะหต์ ัวช้วี ดั3. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป 6. แบง่ กลมุ่ นกั เรยี นเพอ่ื ท�ำ กจิ กรรมการเคลอ่ื นทข่ี องวตั ถใุ นแนวดง่ิ โดยปลอ่ ย (จากการวเิ คราะหร์ ะยะหา่ งระหวา่ งจดุ บน วัตถุที่ติดแถบกระดาษให้ตกในแนวดิ่งผ่านเครื่องเคาะสัญญาณเวลา โดยมกี ารเพม่ิ มวลของวตั ถใุ นการปลอ่ ยแตล่ ะครง้ั ใหน้ กั เรยี นสงั เกตระยะหา่ ง แถบกระดาษ และกราฟความสัมพันธ์ ระหว่างจุดบนแถบกระดาษแตล่ ะแถบ ระหวา่ งความเรว็ กบั เวลา) 7. ให้นักเรียนนำ�แถบกระดาษมาเปรียบเทียบกัน จากนั้นอภิปรายร่วมกัน เพอ่ื ใหไ้ ดข้ อ้ สรปุ วา่ ความเรง่ จากการปลอ่ ยถงุ ทรายมคี า่ คงตวั ไมข่ น้ึ กบั มวลทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 และมที ศิ ลง การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณ (การลงขอ้ สรปุ 8. สาธติ การโยนวตั ถุ เชน่ ลกู เทนนสิ ใหเ้ คลอ่ื นทข่ี น้ึ ในแนวดง่ิ แลว้ ชใ้ี หเ้ หน็ วา่ จากการวิเคราะห์จุดและระยะห่างบน การเคลอ่ื นทน่ี เ้ี ปน็ การเคลอ่ื นทด่ี ว้ ยความเรง่ คงตวั มที ศิ ลง ทง้ั กรณเี คลอ่ื นทข่ี น้ึ และเคลอ่ื นทล่ี ง จากนน้ั อภปิ รายรว่ มกนั เพอ่ื ใหไ้ ดข้ อ้ สรปุ วา่ ในกรณที ค่ี วามเรว็ แถบกระดาษและกราฟ) และความเรง่ ของวตั ถมุ ที ศิ เดยี วกนั วตั ถนุ น้ั มคี วามเรว็ เพมิ่ ขน้ึ สว่ นในกรณีดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ ทค่ี วามเรว็ และความเรง่ ของวตั ถมุ ที ศิ ตรงกนั ขา้ ม วตั ถนุ นั้ มคี วามเรว็ ลดลง ความมีเหตุผล (จากการใช้หลักฐานและ 9. รว่ มกนั อภปิ รายและสรปุ เกย่ี วกบั ความเรง่ รวมทง้ั ยกตวั อยา่ งการน�ำ ความรู้ เก่ียวกบั ความเรง่ ไปใช้ในชวี ติ ประจ�ำ วัน เหตผุ ลในการอภปิ รายและสรุป)
วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ (ฟสิ ิกส์) ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 5ตัวชีว้ ดั 63 2. สงั เกตและอธิบายการหาแรงลัพธท์ เ่ี กิดจากแรงหลายแรงท่ีอยู่ในระนาบเดยี วกนั ท่ีกระทำ�ต่อวัตถุโดยการเขียนแผนภาพการรวมแบบเวกเตอร์การวเิ คราะห์ตัวช้วี ดั แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ตัวชว้ี ัดดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียนโดยให้นักเรียนทำ�กิจกรรม เช่น ให้นักเรียนผลักกล่อง ด้านความรู้ ด้วยแรง 2 แรงท่ีอยู่ในแนวเดียวกัน ให้สังเกตแนวการเคล่ือนท่ีของวัตถุ แรงหลายแรงกระท�ำ ตอ่ วตั ถใุ นระนาบเดยี วกนั จากนนั้ อภปิ รายรว่ มกนั เพอ่ื ทบทวนเกย่ี วกบั การหาแรงลพั ธข์ องแรง 2 แรง การหาแรงลัพธ์จากการรวมแรงแบบเวกเตอร์ สามารถหาแรงลพั ธไ์ ดโ้ ดยการรวมแบบเวกเตอร์ ทอี่ ยใู่ นแนวเดยี วกัน ท้ังวิธีหางต่อหัวและสี่เหลี่ยมด้านขนาน จากการ ท�ำ กจิ กรรม ค�ำ ถามตรวจสอบความเขา้ ใจระหวา่ งเรยี นด้านทกั ษะ 2. ใหน้ กั เรยี นผลกั กลอ่ งดว้ ยแรง 2 แรงทต่ี ง้ั ฉากกนั ในแนวราบ และใหส้ งั เกต การสรปุ ค�ำ ถามทา้ ยบทและแบบทดสอบทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ แนวการเคลอ่ื นทขี่ องวตั ถวุ า่ เคลอ่ื นทไ่ี ปตามแรงใดแรงหนง่ึ หรอื ไม่ อยา่ งไร 1. การสังเกต (ทิศทางการเคล่ือนท่ีของกล่อง ใหน้ กั เรยี นร่วมกันอภิปราย ด้านทกั ษะ 1. การสงั เกต จากการอภิปรายผลท่ไี ด้จากการวดั เมือ่ มีแรงกระท�ำ และแนวของแรง) 3. ใหน้ กั เรยี นแบง่ กลมุ่ เพอื่ ท�ำ กจิ กรรมเกยี่ วกบั การหาแรงลพั ธข์ องแรง 2 แรง 2. การวัด ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะ2. การวดั (การท�ำ กจิ กรรมการหาแรงลพั ธโ์ ดยใช้ ที่ทำ�มุมต่อกันในระนาบดิ่งหรือระนาบระดับเพ่ือนำ�ไปสู่การหาแรงลัพธ์ เคร่ืองมอื วัดขนาดของแรง) จากน้ันนำ�เสนอผลการทำ�กิจกรรมและอภิปรายร่วมกันเพื่อให้ได้ข้อสรุป ผู้น�ำ จากการท�ำ กจิ กรรม3. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป เกย่ี วกบั การหาแรงลพั ธข์ องแรง 2 แรงทที่ �ำ มมุ ตอ่ กนั ดว้ ยวธิ เี ขยี นรปู แบบ 3. การตคี วามหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ จากการวเิ คราะห์ หางต่อหัว และวิธีเขยี นรูปส่เี หลย่ี มด้านขนาน แนวแรงและการหาแรงลัพธ์ คำ�ถามตรวจสอบ (การวเิ คราะห์แนวแรงและการหาแรงลพั ธ์) ความเข้าใจระหว่างเรียน คำ�ถามท้ายบท และทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 4. รว่ มกนั อภปิ รายและสรปุ เกย่ี วกบั การหาแรงลพั ธจ์ ากการรวมแบบเวกเตอร์ แบบทดสอบ1. การสื่อสาร (จากการนำ�เสนอเก่ียวกับการ ของแรงหลายแรงที่อยู่ในระนาบเดียวกันที่กระทำ�ต่อวัตถุ รวมทั้ง 4. การส่ือสาร จากการน�ำ เสนอผลการทำ�กิจกรรม วิธกี ารหาแรงลพั ธ์) ยกตัวอยา่ งการน�ำ ความร้ไู ปใชใ้ นชีวิตประจ�ำ วัน ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ ความพยายามม่งุ ม่นั ความร่วมมือช่วยเหลือ และ (จากการทำ�กจิ กรรม) ความรอบคอบ จากการท�ำ กิจกรรมดา้ นจิตวิทยาศาสตร์1. ความพยายามมุ่งมั่น (จากความมุ่งม่ันใน การท�ำ งานให้ส�ำ เร็จและมคี ณุ ภาพ)2. ความรว่ มมอื ชว่ ยเหลอื (จากการท�ำ กจิ กรรม)3. ความรอบคอบ (จากการทำ�กิจกรรม การอภปิ รายและสรุปผลการท�ำ กจิ กรรม)
64 ตัวช้ีวัด 3. สังเกต วเิ คราะห์ และอธบิ ายความสมั พันธร์ ะหวา่ งความเร่งของวัตถุกบั แรงลพั ธท์ ีก่ ระท�ำ ตอ่ วตั ถุและมวลของวัตถุการวิเคราะห์ตัวชวี้ ดั แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมินตวั ชว้ี ดัด้านความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียนโดยให้นักเรียนทำ�กิจกรรม เช่น ดึงเชือกเบาท่ีผูกติดกับ ดา้ นความรู้ รถทดลองด้วยแรงต่างกัน แล้วให้นักเรียนอภิปรายร่วมกันว่าความเร็ว เมื่อมีแรงลัพธ์ที่มีค่าไม่เท่ากับศูนย์กระทำ� ความสัมพันธ์ระหว่างความเร่งกับแรงลัพธ์ท่กี ระทำ� ต่อวัตถุ จะทำ�ให้วัตถุเคล่ือนท่ีด้วยความเร่ง ทีเ่ พิ่มข้นึ ของรถทดลองแตกต่างกันอย่างไร เพราะเหตใุ ด ต่อวัตถุและมวลของวัตถุจากคำ�ถามตรวจสอบ และมีทิศทางเดียวกับแรงลัพธ์ ขนาดของ 2. สาธิตกิจกรรมความสัมพันธ์ระหว่างแรงท่ีใช้ดึงรถทดลองกับความเร่ง ความเข้าใจระหว่างเรียนการสรุป คำ�ถามท้ายบท ความเร่งข้ึนกับขนาดของแรงลัพธ์และมวล ของวัตถุ ในกรณที ม่ี วลรถทดลองคงตวั โดยใชร้ ถทดลองและเครอ่ื งเคาะสญั ญาณเวลา และแบบทดสอบ จากนน้ั น�ำ แถบกระดาษทไ่ี ดจ้ ากแรงดงึ รถทแ่ี ตกตา่ งกนั มาเปรยี บเทยี บกนัด้านทักษะ 3. อภปิ รายรว่ มกนั จนไดข้ อ้ สรปุ วา่ ส�ำ หรบั แถบกระดาษทด่ี งึ ดว้ ยแรงดงึ นอ้ ย ดา้ นทักษะทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ระยะห่างระหว่างจุดบนแถบกระดาษที่เพิ่มขึ้นจะน้อยกว่าในกรณีท่ี 1. การสงั เกต และการลงความเหน็ จากขอ้ มลู จากการ1. การสังเกต (จุดและระยะห่างระหว่างจุดบน แถบกระดาษทดี่ ึงด้วยแรงดึงท่ีมากกวา่ อภิปรายผลการสังเกต แถบกระดาษ) 4. ทบทวนการแปลความหมายบนจดุ บนแถบกระดาษทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ความเรง่ 2. การตคี วามหมายของขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ และการคดิ2. การลงความเหน็ จากขอ้ มลู (จากการอภปิ ราย อยา่ งมวี จิ ารณญาณ จากการวเิ คราะหแ์ ละเปรยี บเทยี บ ผลการสงั เกต) จากนั้นร่วมกันอภิปรายจนได้ข้อสรุปว่า เมื่อเพิ่มแรงดึงรถให้มากข้ึน ระยะหา่ งระหวา่ งจดุ บนแถบกระดาษ การสรปุ ค�ำ ถาม3. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป ความเรง่ ของรถทดลองจะมีค่าเพ่มิ ขน้ึ และความเรง่ มีทศิ เดยี วกับแรงดึง ท้ายบทและแบบทดสอบ 5. ตง้ั ค�ำ ถามวา่ ในกจิ กรรมทผ่ี า่ นมา ถา้ ใหแ้ รงดงึ คงตวั แตเ่ ปลย่ี นมวลรถทดลอง (จากการวเิ คราะหแ์ ละเปรยี บเทยี บระยะหา่ ง ความเรง่ จะมคี า่ เปลย่ี นไปอย่างไร อภิปรายร่วมกัน ดา้ นจติ วิทยาศาสตร์ ระหว่างจดุ บนแถบกระดาษแต่ละแถบ) 6. สาธิตกิจกรรมความสัมพันธ์ระหว่างมวลรถทดลองกับความเร่งในกรณี ความมเี หตผุ ล จากการอภปิ รายรว่ มกนั และการสรปุทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 ทแ่ี รงทใ่ี ชด้ งึ รถทดลองคงตวั โดยใชร้ ถทดลองและเครอ่ื งเคาะสญั ญาณเวลา การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (การลงข้อสรุป จากน้ันนำ�แถบกระดาษที่ได้จากมวลรถทดลองที่แตกต่างกันมา เปรยี บเทียบกัน จากการวิเคราะห์จุดและระยะห่างบนแถบ 7. อภิปรายรว่ มกันจนไดข้ ้อสรุปวา่ ส�ำ หรับแถบกระดาษของรถทีม่ มี วลมาก กระดาษ และความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งแรงลพั ธ์ ระยะห่างระหว่างจุดบนแถบกระดาษที่เพิ่มข้ึนจะน้อยกว่าในกรณีที่ ความเร่ง และมวลของวัตถ)ุ แถบกระดาษของรถทมี่ ีมวลน้อยกวา่ 8. รว่ มกนั อภปิ รายจนไดข้ อ้ สรปุ วา่ เมอ่ื เพมิ่ มวลของรถทดลอง ความเรง่ ของด้านจติ วทิ ยาศาสตร์ รถทดลองจะมคี ่าลดลง และความเร่งมที ศิ เดยี วกบั แรงดงึ ความมเี หตผุ ล (จากการใชห้ ลกั ฐานและเหตผุ ล ในการอภปิ รายและสรุป)
วิทยาศาสตร์กายภาพ (ฟสิ ิกส์) ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 5 65การวิเคราะห์ตัวช้ีวัด แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ตวั ชว้ี ัด 9. ให้นักเรียนยกตัวอย่างสถานการณ์กรณีที่แรงลัพธ์มีทิศตรงข้ามกับ การเคลื่อนที่ของวัตถุ อภิปรายร่วมกันพร้อมช้ีให้เห็นว่าความเร่งยังคงมี ทิศทางเดยี วกับทศิ ของแรงลพั ธด์ ว้ ย จงึ ทำ�ให้วตั ถุเคลือ่ นท่ีชา้ ลง 10. รว่ มกนั อภปิ รายและสรปุ เกยี่ วกบั ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความเรง่ แรงลพั ธ์ และมวลของวัตถุ รวมทั้งยกตัวอย่างการนำ�ความรู้ไปใช้ประโยชน์ ในชวี ิตประจำ�วนั
66 ตัวชว้ี ัด 4. สงั เกตและอธบิ ายแรงกริ ยิ าและแรงปฏิกริ ิยาระหวา่ งวัตถคุ หู่ นึง่ ๆการวเิ คราะห์ตวั ชวี้ ัด แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ตวั ชี้วัดดา้ นความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี น โดยใหน้ กั เรยี นท�ำ กจิ กรรม เชน่ ใหน้ กั เรยี นใชส้ นั มอื เคาะ ด้านความรู้ ที่ขอบโตะ๊ เบา ๆ หรือให้นักเรียนนั่งบนเกา้ อ้ลี อ้ เล่ือนแล้วนำ�ฝา่ มือไปผลัก แรงกระท�ำ ระหวา่ งวตั ถคุ หู่ นง่ึ ๆ เปน็ แรงกริ ยิ า กับกำ�แพง หลังจากน้ัน ตั้งคำ�ถามว่า เมื่อใช้สันมือเคาะขอบโต๊ะด้วยแรง แรงกริ ยิ าและแรงปฏกิ ริ ยิ าจากการ น�ำ เสนอ ค�ำ ถาม และแรงปฏิกิริยา แรงคู่น้ีเกิดข้ึนพร้อมกัน ที่ต่างกัน หรือเม่ือออกแรงผลักกำ�แพงด้วยแรงต่างกัน ผลของการผลัก ตรวจสอบความเข้าใจระหว่างเรียนคำ�ถามท้ายบท ก�ำ แพงเป็นอยา่ งไร และแบบทดสอบ ขนาดของแรงทงั้ สองจะเทา่ กัน แตม่ ีทิศทาง ตรงขา้ ม และเปน็ แรงทก่ี ระท�ำ กบั วตั ถตุ า่ งกนั 2. อภปิ รายรว่ มกนั เพอ่ื น�ำ ไปสขู่ อ้ สรปุ วา่ เมอ่ื ใชส้ นั มอื เคาะโตะ๊ ดว้ ยแรงทม่ี ากขน้ึ ดา้ นทกั ษะ หรือเมื่อผลักกำ�แพงด้วยแรงที่มากขึ้น ก็จะมีแรงจากโต๊ะหรือจากกำ�แพง 1. การสังเกต การคดิ อย่างมวี จิ ารณญาณ และ การลงดา้ นทกั ษะทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โตต้ อบกลบั ดว้ ยแรงมากเชน่ กนั โดยคขู่ องแรงระหวา่ งมอื กบั โตะ๊ หรอื คขู่ อง ความเหน็ จากขอ้ มลู จากการอภปิ รายผลการสงั เกต1. การสงั เกต (แรงทโ่ี ตะ๊ หรอื ก�ำ แพงกระท�ำ กบั มอื ) แรงระหวา่ งมอื กบั ก�ำ แพง จะเกดิ ขน้ึ พรอ้ มกนั แตท่ ศิ ตรงขา้ มกนั และเปน็ แรง 2. การวัด ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะ2. การวดั (การใชเ้ ครอ่ื งชง่ั สปรงิ วดั ขนาดของแรง) ทกี่ ระทำ�กับวตั ถตุ า่ งกนั3. การลงความเหน็ จากขอ้ มลู (จากการอภปิ ราย 3. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มเพ่ือทำ�กิจกรรมเกี่ยวกับแรงกิริยาและแรงปฏิกิริยา ผูน้ �ำ จากการท�ำ กิจกรรม เกย่ี วกับแรงของเครือ่ งช่งั สปรงิ ) 3. การส่ือสาร จากการน�ำ เสนอผลการทำ�กิจกรรมทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 โดยนำ�เคร่ืองช่ังสปริงสองอันมาเก่ียวกัน แล้วยึดปลายด้านหน่ึงของ1. การสอ่ื สาร (การน�ำ เสนอผลการท�ำ กจิ กรรม) เคร่ืองชั่งสปริงตัวท่ีหน่ึงกับที่ยึด จากนั้นออกแรงดึงปลายที่เหลือของ ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์2. การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (การลงข้อสรุป 1. ความมีเหตผุ ล จากการอภปิ รายร่วมกนั และสรุป เครอ่ื งชง่ั สปรงิ ตวั ทส่ี อง สงั เกตคา่ แรงทอ่ี า่ นไดจ้ ากเครอ่ื งชง่ั สปรงิ ทง้ั 2 อนั 2. ความร่วมมอื ช่วยเหลอื จากการทำ�กิจกรรม จากการอภปิ รายผลการท�ำ กิจกรรม) ใหน้ กั เรยี นน�ำ เสนอผลการทำ�กจิ กรรม3. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะ 4. ร่วมกันอภิปรายและสรุปเกี่ยวกับแรงกิริยาและแรงปฏิกิริยา รวมทั้ง ยกตวั อยา่ งการน�ำ ความรเู้ รอ่ื งแรงกริ ยิ าและแรงปฏกิ ริ ยิ าไปใชใ้ นชวี ติ ประจ�ำ วนั ผูน้ �ำ (การทำ�กิจกรรมเกย่ี วกบั แรงกริ ิยาและ แรงปฏกิ ริ ิยา)ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์1. ความมเี หตผุ ล (จากการใชห้ ลกั ฐานและเหตผุ ล ในการอภปิ รายและสรปุ )2. ความรว่ มมอื ชว่ ยเหลอื (จากการท�ำ กจิ กรรม ร่วมกนั )
วิทยาศาสตร์กายภาพ (ฟิสิกส)์ ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 5ตัวชี้วัด 67 5. สังเกตและอธิบายผลของความเรง่ ท่ีมีต่อการเคลือ่ นทแี่ บบต่าง ๆ ของวตั ถุ ไดแ้ ก่ การเคล่อื นที่แนวตรง การเคลือ่ นทีแ่ บบโพรเจกไทล์ การเคลือ่ นท่ีแบบวงกลมและ การเคล่ือนท่แี บบสั่นการวิเคราะหต์ วั ช้ีวัด แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ตวั ชี้วัดด้านความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียนโดยอภิปรายและทบทวนเก่ียวกับกิจกรรมการเคลื่อนที่ ดา้ นความรู้ ของวตั ถใุ นแนวด่งิ ทไี่ ดเ้ รยี นรู้มาก่อนหนา้ นี ้ และช้ใี ห้เหน็ วา่ การเคลื่อนที่1. การเคลื่อนที่ด้วยความเร่งคงตัวภายใต้ ดงั กลา่ วเปน็ การเคลอ่ื นทภ่ี ายใตแ้ รงโนม้ ถว่ งโลก ซง่ึ น�ำ ไปอธบิ ายการตกแบบเสรี ผลของความเร่งที่มีต่อการเคลื่อนท่ีแนวตรง แรงโน้มถ่วงโลกเท่าน้ัน เป็นการตกแบบเสรี การเคลอ่ื นทแ่ี บบโพรเจกไทล์ การเคลอ่ื นทแ่ี บบวงกลม 2. ต้ังคำ�ถามว่า ถ้าความเร่งมีทิศทางไม่อยู่ในแนวเดียวกันกับการเคลื่อนที่ และการเคลื่อนที่แบบสั่น จากคำ�ถามตรวจสอบ2. การเคลอ่ื นทแ่ี บบโพรเจกไทล์ เปน็ การเคลอ่ื นท่ี วัตถุมแี นวทางการเคลื่อนทอี่ ย่างไร อภิปรายรว่ มกนั แนวโค้งดว้ ยความเร่งคงตวั ในแนวดง่ิ ความเขา้ ใจระหวา่ งเรยี น การสรปุ การเขยี นผงั มโนทศั น์3. การเคลื่อนท่ีแบบวงกลมเป็นการเคล่ือนท่ี 3. ยกสถานการณ์หรือสาธิตการเคลื่อนที่ของวัตถุในแนวโค้งแบบวงกลม คำ�ถามท้ายบทและแบบทดสอบ และแบบสั่น พร้อมทั้งให้นักเรียนอภิปรายเกี่ยวกับทิศทางการเคลื่อนที่ แนวโคง้ ทค่ี วามเรง่ มที ศิ ทางตง้ั ฉากกบั ความเรว็ ดา้ นทักษะ ตลอดเวลาและมที ศิ เขา้ สศู่ นู ยก์ ลางของวงกลม ของวตั ถุ ความเร็ว และความเร่ง 1. การสงั เกต และการลงความเหน็ จากขอ้ มลู จากการ4. การเคลอ่ื นทแ่ี บบสน่ั เปน็ การเคลอ่ื นทก่ี ลบั ไป 4. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มทำ�กิจกรรมเพื่อศึกษาเวลาของการเคล่ือนที่แนวโค้ง กลับมาด้วยความเร่งมีทิศทางเข้าสู่จุดที่ อภปิ รายผลการสงั เกตและการสรุป แรงลพั ธเ์ ปน็ ศนู ย์ เรยี กจดุ นว้ี า่ ต�ำ แหนง่ สมดลุ เช่น ปล่อยวัตถุหนึ่งให้ตกในแนวด่ิงและดีดอีกวัตถุหน่ึงออกในแนวระดับ 2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ จากการ ท่ีความสูงเดียวกันและพร้อมกัน เพ่ือให้ได้ข้อสรุปว่า เวลาที่ใช้ในการตก ท�ำ กจิ กรรมดา้ นทักษะ ในแนวดิ่งและเวลาที่ใช้ในการเคล่ือนที่แนวโค้งเท่ากัน เมื่อวัตถุเคลื่อนที่ 3. การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณ จากการวเิ คราะหผ์ ลการทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จากความสูงเดยี วกนั และไม่คิดแรงตา้ นอากาศ1. การสงั เกต (การเคลอื่ นที่แบบต่าง ๆ) 5. ใหน้ กั เรยี นวเิ คราะหเ์ วกเตอรค์ วามเรว็ และความเรง่ ของวตั ถทุ ต่ี �ำ แหนง่ ตา่ ง ๆ ทำ�กิจกรรมแต่ละกิจกรรม และลงข้อสรุปเก่ียวกับ 2. การลงความเหน็ จากขอ้ มลู (การอภปิ รายผล บนเสน้ โคง้ ของการเคล่ือนท่ี จากรูปที่กำ�หนดให้ ผลของความเร่งที่มตี ่อการเคลอ่ื นท่แี บบตา่ ง ๆ 6. อภปิ รายรว่ มกนั จนไดข้ อ้ สรปุ วา่ การเคลอื่ นทใ่ี นแนวโคง้ เปน็ การเคลอื่ นท่ี การสังเกตทไ่ี ด้จากการทำ�กจิ กรรม) ในแนวราบและแนวดงิ่ พรอ้ มกนั และเปน็ อสิ ระตอ่ กนั โดยในแนวราบวตั ถุ ด้านจติ วทิ ยาศาสตร์ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 มีความเร็วคงตัว ส่วนในแนวดิ่งวัตถุมีความเร่งคงตัวซึ่งในกรณีนี้คือ 1. ความอยากรู้อยากเห็นและความมีเหตุผล จากการ1. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ ความเร่งโน้มถ่วงของโลก จึงทำ�ให้วัตถุเคลื่อนที่เป็นแนวโค้ง2. การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณ (จากการวเิ คราะห์ เรียกว่าการเคลือ่ นท่ีลักษณะนีว้ า่ การเคล่อื นทแ่ี บบโพรเจกไทล์ อภิปรายรว่ มกันและสรปุ และลงข้อสรุปเก่ียวกับผลของความเร่งท่ีมี 2. ความร่วมมอื ชว่ ยเหลอื จากการทำ�กิจกรรม ต่อการเคลือ่ นท่ีแบบต่าง ๆ)
68 แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ตวั ช้วี ัด การวิเคราะห์ตัวชว้ี ดัด้านจติ วทิ ยาศาสตร์ 7. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มทำ�กิจกรรมเพ่ือศึกษาการเคลื่อนที่แบบวงกลม ในแนวระดบั เชน่ ใชม้ อื จบั เชอื กแลว้ เหวย่ี งวตั ถุ เชน่ จกุ ยาง หรอื ถงุ ทราย1. ความอยากรู้อยากเห็น (จากความกระตือ ใหเ้ ปน็ วงกลมในแนวระดบั สงั เกตแรงทม่ี อื ดงึ เชอื ก อภปิ รายรว่ มกนั จนได้ รือร้น ในการมีส่วนร่วมในการท�ำ กิจกรรม ข้อสรุปว่า การเคลื่อนที่แบบวงกลมต้องมีแรงสู่ศูนย์กลางกระทำ�กับวัตถุ ในทศิ ทางตง้ั ฉากกบั ความเรว็ ตลอดเวลา เรยี กวา่ แรงสศู่ นู ยก์ ลาง และจาก และการอภปิ ราย) ความรเู้ รอื่ งความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งแรงและความเรง่ ท�ำ ใหส้ รปุ ไดว้ า่ วตั ถทุ ี่2. ความมีเหตุผล (จากการใช้หลักฐาน และ เคลือ่ นทแ่ี บบวงกลมจะมี ความเรง่ ส่ศู ูนย์กลาง เหตุผลในการอภิปรายและสรุป) 8. ใหน้ กั เรยี นแบง่ กลมุ่ ท�ำ กจิ กรรมเพอ่ื ศกึ ษาการเคลอ่ื นทแ่ี บบสน่ั เชน่ การแกวง่3. ความรว่ มมอื ช่วยเหลือ ของลกู ตมุ้ โดยใหส้ งั เกตความเปลย่ี นแปลงความเรว็ ของลกู ตมุ้ ทตี่ �ำ แหนง่ ตา่ ง ๆ น�ำ เสนอผลและรว่ มกนั อภปิ ราย เพอ่ื ใหไ้ ดข้ อ้ สรปุ วา่ การแกวง่ ของ ลูกตุ้มเป็นการเคลื่อนท่ีแบบสั่นซ่ึงมีความเร่งที่มีทิศเข้าสู่จุดท่ีแรงลัพธ์ เป็นศนู ย์ เรยี กจุดนว้ี ่าต�ำ แหน่งสมดุล 9. สาธติ หรอื ใชว้ ดี ทิ ศั นแ์ สดงการเคลอ่ื นทแ่ี บบสน่ั ของวตั ถอุ น่ื ๆ เชน่ การเคลอ่ื นท่ี ของวตั ถตุ ิดปลายสปรงิ ในแนวดิง่ 10. ร่วมกันอภิปรายและสรุปเกี่ยวกับการเคล่ือนท่ีแบบต่าง ๆ และผลของ ความเร่งทีม่ ตี อ่ การเคลื่อนทน่ี ั้น ๆ โดยอาจให้นกั เรียนเขยี นผังมโนทศั น์ 11. ให้นักเรียนยกตัวอย่างการนำ�ความรู้เกี่ยวกับการเคล่ือนที่แบบต่าง ๆ ไปใช้ในชีวติ ประจ�ำ วัน
วิทยาศาสตร์กายภาพ (ฟสิ กิ ส)์ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 5ตัวชี้วดั 69 6. สืบคน้ ขอ้ มูลและอธิบายแรงโนม้ ถว่ งทเี่ ก่ยี วกบั การเคลือ่ นทขี่ องวตั ถตุ า่ ง ๆ รอบโลกการวเิ คราะห์ตัวชวี้ ัด แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ตวั ชี้วดัด้านความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียนโดยให้ชมวีดิทัศน์หรือสาธิตกิจกรรม เช่น นำ�แก้วน้ำ� ด้านความรู้ พลาสตกิ ใสน่ �ำ้ ครง่ึ แกว้ แลว้ วางบนแผน่ ไมท้ ผ่ี กู เชอื กไว้ แลว้ แกวง่ เปน็ วงกลม ผลของแรงโนม้ ถว่ ง ทม่ี ตี อ่ การเคลอ่ื นทข่ี องวตั ถตุ า่ ง ๆ ในบรเิ วณรอบโลกมสี นามโนม้ ถว่ ง เมอื่ มวี ตั ถุ รอบโลก จากค�ำ ถามตรวจสอบความเขา้ ใจระหวา่ งเรยี น ที่มีมวล จะมีแรงโน้มถ่วงซึ่งเป็นแรงดึงดูด ในแนวดง่ิ ตัง้ ค�ำ ถามให้นกั เรยี นอภิปรายว่าทำ�ไมนำ้�ไมห่ กออกจากแก้ว การสรปุ การน�ำ เสนอ ค�ำ ถามทา้ ยบทและแบบทดสอบ ของโลกกระท�ำ ตอ่ วตั ถุ แรงนน้ี �ำ ไปใชอ้ ธบิ าย 2. ตั้งคำ�ถามให้นักเรียนอภิปรายร่วมกันว่า ทำ�ไมดาวเทียมจึงโคจรรอบโลก การเคลื่อนที่ของวัตถุต่าง ๆ เช่น ดาวเทียม ด้านทกั ษะ และดวงจนั ทร์รอบโลก ได้โดยไมต่ กสู่พน้ื จากน้นั ใหน้ กั เรยี นเปรยี บเทยี บสถานการณ์ที่น�้ำ ไม่หก การส่ือสาร จากการนำ�เสนอผลการท�ำ กิจกรรม ออกจากแก้วกับสถานการณท์ ด่ี าวเทยี มโคจรรอบโลกโดยไม่ตกสพู่ ้ืนด้านทักษะ 3. อภิปรายร่วมกันเพื่อทบทวนความรู้เกี่ยวกับสนามโน้มถ่วงซึ่งทำ�ให้เกิด ดา้ นจิตวิทยาศาสตร์ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ แรงโนม้ ถ่วงกระทำ�ต่อวัตถุและสรปุ เช่อื มโยงไปสูแ่ รงดงึ ดดู ระหว่างมวล ความอยากรอู้ ยากเหน็ และความมเี หตผุ ล จากขอ้ มลู - 4. ให้นักเรียนสืบค้นเก่ียวกับผลของแรงโน้มถ่วงท่ีเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนท่ี ที่สืบคน้ การอภปิ ราย และ การนำ�เสนอทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 ของวัตถุต่าง ๆ รอบโลก เช่น ดวงจันทร์ ดาวเทียม จากน้ัน ให้นักเรียน การส่ือสาร (จากการนำ�เสนอ) น�ำ เสนอ 5. ร่วมกันอภิปรายและสรุปเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงและการเคลื่อนท่ีของวัตถุด้านจติ วิทยาศาสตร์ ตา่ ง ๆ รอบโลก1. ความอยากรอู้ ยากเหน็ (จากความกระตอื รอื รน้ ในการมสี ว่ นรว่ มในการอภิปราย)2. ความมีเหตุผล (จากการใช้หลักฐานและ เหตุผลในการอภิปรายและการสรปุ )
70 ตวั ชว้ี ดั 7. สังเกตและอธบิ ายการเกิดสนามแมเ่ หล็กเนือ่ งจากกระแสไฟฟา้การวเิ คราะหต์ วั ช้ีวัด แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมินตัวชวี้ ัดดา้ นความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี นโดยอภปิ รายรว่ มกนั เพอ่ื ทบทวนเกย่ี วกบั ผลทเ่ี กดิ กบั เขม็ ทศิ ดา้ นความรู้ เมื่อนำ�ไปวางไว้ใกล้แท่งแม่เหล็ก รวมท้ังการบอกทิศของสนามแม่เหล็ก1. กระแสไฟฟ้าทำ�ให้เกิดสนามแม่เหล็กใน การเกิดสนามแม่เหล็กเนื่องจากกระแสไฟฟ้า บรเิ วณรอบเสน้ ลวดตวั น�ำ ทม่ี กี ระแสไฟฟา้ ผา่ น ด้วยเขม็ ทิศ จากคำ�ถามตรวจสอบความเข้าใจระหว่างเรียน 2. ตง้ั ค�ำ ถามวา่ ถา้ น�ำ เขม็ ทศิ ไปวางไวล้ วดตวั น�ำ ทม่ี กี ระแสไฟฟา้ ผา่ น จะเกดิ การสรปุ ค�ำ ถามทา้ ยบท และแบบทดสอบ2. หาทศิ ทางของสนามแมเ่ หลก็ เนอ่ื งจากกระแส ไฟฟ้าไดจ้ ากกฎมอื ขวาหรอื เขม็ ทิศ อะไรขึ้น อภปิ รายร่วมกนั ดา้ นทักษะ 3. สาธติ การท�ำ กจิ กรรมเพอ่ื ศกึ ษาการเกดิ สนามแมเ่ หลก็ เนอ่ื งจากกระแสไฟฟา้ 1. การสังเกต การลงความเห็นจากข้อมูล และการคิดดา้ นทักษะ เชน่ น�ำ เขม็ ทศิ ไปวางใกล ้ๆ ลวดตวั น�ำ จากนน้ั ใหก้ ระแสไฟฟา้ ผา่ นลวดตวั น�ำทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ แล้วใหน้ ักเรียนสงั เกตการวางตัวของเข็มทิศ อย่างมีวิจารณญาณ จากการอภิปรายเกี่ยวกับ1. การสังเกต (การเบนของเขม็ ทิศ) 4. ร่วมกันอภิปรายและสรุปเกี่ยวกับการเกิดสนามแม่เหล็กรอบลวดตัวนำ� ผลการสงั เกต และการสรปุ2. การลงความเห็นจากข้อมูล (การอภิปราย 2. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� เมอ่ื มกี ระแสไฟฟา้ ผา่ น และการบอกทศิ ทางสนามแมเ่ หลก็ จากการวางตวั เกี่ยวกับทศิ ของสนามแม่เหลก็ ) ของเขม็ ทศิ จากการท�ำ กจิ กรรมทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 5. ให้ความรู้เก่ียวกับการหาทิศทางของสนามแม่เหล็กด้วยการใช้มือขวา 1. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ กำ�รอบเสน้ ลวดตัวน�ำ ดา้ นจติ วทิ ยาศาสตร์ (จากการทำ�กจิ กรรม) 6. อาจให้นักเรียนทำ�กิจกรรมเพ่ิมเติม เช่น กิจกรรมท่ีนำ�ความรู้เร่ือง ความอยากรู้อยากเห็นและความมีเหตุผล จากการ2. การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณ (จากการอภปิ ราย กฎมือขวาไปใช้หาทศิ ทางของสนามแม่เหลก็ ทีผ่ า่ นลวดตัวน�ำ วงกลมและ และลงขอ้ สรปุ เกย่ี วกบั การเกดิ สนามแมเ่ หลก็ โซเลนอยด์ อภิปรายร่วมกนั และสรปุ เนอื่ งจากกระแสไฟฟา้ ) 7. รว่ มกนั อภปิ รายและสรปุ เกย่ี วกบั การเกดิ สนามแมเ่ หลก็ เนอ่ื งจากกระแสไฟฟา้ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์1. ความอยากรอู้ ยากเหน็ (จากความกระตอื รอื รน้ ในการมีส่วนร่วมในการทำ�กิจกรรมและการ อภิปราย)2. ความมีเหตุผล (จากการใช้หลักฐานและ เหตุผลในการอภปิ รายและสรุป)
วิทยาศาสตร์กายภาพ (ฟิสิกส)์ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5ตัวช้วี ัด 71 8. สงั เกตและอธบิ ายแรงแม่เหลก็ ทก่ี ระท�ำ ตอ่ อนภุ าคที่มปี ระจุไฟฟ้าท่เี คลื่อนที่ในสนามแม่เหลก็ และแรงแม่เหลก็ ท่กี ระท�ำ ตอ่ ลวดตวั นำ�ท่มี กี ระแสไฟฟ้าผา่ นใน สนามแม่เหลก็ รวมทั้งอธบิ ายหลักการท�ำ งานของมอเตอร์การวเิ คราะห์ตัวช้ีวดั แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ตัวชวี้ ัดดา้ นความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี นเพอื่ ศกึ ษาเกย่ี วกบั การเคลอ่ื นทข่ี องอนภุ าคทม่ี ปี ระจไุ ฟฟา้ ด้านความรู้ ในสนามแม่เหล็ก โดยให้ความรู้เกี่ยวกับหลอดรังสีแคโทด จากนั้นสาธิต1. ในบรเิ วณทม่ี สี นามแมเ่ หลก็ เมอ่ื มอี นภุ าคทม่ี ี หรือใช้วีดิทัศน์แสดงการทำ�งานของหลอดรังสีแคโทด ให้นักเรียนสังเกต แรงแม่เหล็กท่ีกระทำ�ต่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า ประจุไฟฟ้าเคลื่อนที่โดยไม่อยู่ในแนวเดียว ลำ�อิเล็กตรอนภายในหลอด โดยตั้งคำ�ถามว่า ถ้านำ�แท่งแม่เหล็กมาใกล้ และลวดตวั น�ำ ทม่ี กี ระแสไฟฟา้ ผา่ นในสนามแมเ่ หลก็ หลอดรงั สีแคโทด จะเกิดอะไรขนึ้ กบั ล�ำ อิเล็กตรอน อภปิ รายร่วมกนั รวมทั้งหลักการทำ�งานของมอเตอร์ จากคำ�ถาม กบั สนามแมเ่ หลก็ จะถกู แรงแมเ่ หลก็ กระท�ำ ตรวจสอบความเขา้ ใจระหวา่ งเรยี น การสรปุ ค�ำ ถาม2. ในบรเิ วณทม่ี สี นามแมเ่ หลก็ เมอื่ มลี วดตวั น�ำ 2. สาธิตหรือใช้วีดิทัศน์แสดงการหันขั้วแม่เหล็กเข้าหาหลอดรังสีแคโทด ในแนวตา่ ง ๆ ทท่ี �ำ ใหเ้ หน็ ล�ำ อเิ ลก็ ตรอนเบนไปแตกตา่ งกนั อภปิ รายรว่ มกนั ทา้ ยบทและแบบทดสอบ ทม่ี กี ระแสไฟฟา้ ผา่ นโดยทก่ี ระแสไฟฟา้ ไมอ่ ยู่ ในแนวเดียวกับสนามแม่เหล็ก ลวดตัวนำ� เกยี่ วกบั สาเหตทุ ท่ี �ำ ใหล้ �ำ อเิ ลก็ ตรอนเบยี่ งเบนไปจากแนวเดมิ เพอื่ น�ำ ไปสู่ ดา้ นทกั ษะ ข้อสรุปเก่ียวกับแรงแม่เหล็กที่กระทำ�ต่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าเคล่ือนที่ 1. การสังเกต การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการลง จะถูกแรงแมเ่ หลก็ กระทำ� ในสนามแมเ่ หล็ก ความเห็นจากข้อมูล จากการอภิปรายเก่ียวกับ 3. หลกั การท�ำ งานของมอเตอร์ 3. สาธติ หรอื ใชว้ ดี ทิ ศั นแ์ สดงการเคลอ่ื นทข่ี องลวดตวั น�ำ ทว่ี างอยใู่ นสนามแมเ่ หลก็ ผลการสังเกตและการสรปุด้านทักษะ เม่ือให้กระแสไฟฟ้าผ่าน อภิปรายร่วมกันและให้ความรู้เพ่ิมเติม เพื่อนำ� 2. การพยากรณ์ จากการตอบค�ำ ถามทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์1. การสังเกต (การเบนของลำ�อิเล็กตรอนของ ไปสู่ข้อสรุปเกี่ยวกับแรงแม่เหล็กท่ีกระทำ�กับลวดตัวนำ�ท่ีมีกระแสไฟฟ้า ด้านจติ วิทยาศาสตร์ วางในสนามแมเ่ หลก็ ความอยากรู้อยากเห็น ความมีเหตผุ ล และการเหน็ หลอดรังสีแคโทด การเคล่ือนที่ของลวด 4. สาธติ การท�ำ งานของมอเตอรอ์ ยา่ งงา่ ย แลว้ อภปิ รายรว่ มกนั เกยี่ วกบั สาเหตุ ตัวน�ำ การท�ำ งานของมอเตอร์) ทท่ี �ำ ใหข้ ดลวดของมอเตอรห์ มนุ ได้ เพอ่ื น�ำ ไปสขู่ อ้ สรปุ วา่ แกนของมอเตอร์ คณุ คา่ ทางวทิ ยาศาสตร์ จากการอภิปรายร่วมกัน2. การลงความเหน็ จากขอ้ มลู (จากการอภปิ ราย หมนุ เนอ่ื งจากรอบแกนมขี ดลวดพนั อยแู่ ละขดลวดวางอยใู่ นสนามแมเ่ หลก็ ผลการสังเกต) จะได้รับแรงแม่เหล็กกระทำ�เมื่อมีกระแสไฟฟ้าผ่าน จึงทำ�ให้ขดลวดและ3. การพยากรณ์ (การคาดการณส์ ่งิ ทจี่ ะเกิดขนึ้ แกนหมนุ เมอ่ื น�ำ แทง่ แมเ่ หลก็ มาใกลห้ ลอดรงั สแี คโทด 5. ร่วมกันอภิปรายและสรุปเก่ียวกับแรงแม่เหล็กท่ีกระทำ�ต่ออนุภาคที่มี และ เม่ือให้กระแสไฟฟ้าผ่านลวดตัวนำ�ที่ ประจุไฟฟ้าและลวดตัวนำ�ท่ีมีกระแสไฟฟ้าผ่านในสนามแม่เหล็ก รวมทั้ง วางอยูใ่ นสนามแมเ่ หลก็ หลักการทำ�งานของมอเตอร์ 6. อาจให้นักเรียนทำ�กิจกรรมขยายความรู้เพ่ิมเติม เช่น ประดิษฐ์มอเตอร์ อย่างงา่ ย
72 แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมินตัวชว้ี ัด การวเิ คราะหต์ วั ชว้ี ัด ทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณ (จากการอภปิ ราย และลงขอ้ สรปุ เกย่ี วกบั แรงแมเ่ หลก็ ทก่ี ระท�ำ ตอ่ อนภุ าคทม่ี ปี ระจไุ ฟฟา้ และลวดตวั น�ำ ทม่ี ี กระแสไฟฟ้าผ่านในสนามแม่เหล็ก และ การทำ�งานของมอเตอร)์ ดา้ นจิตวิทยาศาสตร์ 1. ความอยากรู้อยากเห็น (จากความกระตือ รือร้นในการมสี ่วนร่วมในการอภปิ ราย) 2. ความมีเหตุผล (จากการใช้หลักฐานและ เหตผุ ลในการอภปิ รายและสรุป) 3. การเห็นคุณค่าทางวิทยาศาสตร์ (จากการ แสดงออกถงึ การยอมรบั เกย่ี วกบั ประโยชน์ ของวทิ ยาศาสตร์ในการสรา้ งมอเตอร)์
วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ (ฟิสิกส์) ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5ตัวช้วี ัด 73 9. สังเกตและอธิบายการเกดิ อีเอม็ เอฟเหน่ียวนำ� รวมทัง้ ยกตวั อย่างการน�ำ ความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์การวิเคราะห์ตวั ชว้ี ัด แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมินตัวชว้ี ัดดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยการทบทวนเกี่ยวกับกระแสไฟฟ้าทำ�ให้เกิด ดา้ นความรู้ สนามแมเ่ หลก็ จากนน้ั ตง้ั ค�ำ ถามวา่ สนามแมเ่ หลก็ ท�ำ ใหเ้ กดิ กระแสไฟฟา้ 1. สนามแม่เหล็กท่ีตัดผ่านขดลวดตัวนำ�มี การเกดิ อเี อม็ เอฟเหนยี่ วน�ำ และ หลกั การท�ำ งานของ การเปล่ียนแปลง จะทำ�ให้เกิดอีเอ็มเอฟ ไดห้ รือไม่ อภิปรายรว่ มกนั เคร่อื งกำ�เนิดไฟฟ้าอย่างง่าย จากคำ�ถามตรวจสอบ เหนี่ยวนำ�ในขดลวด 2. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มทำ�กิจกรรมเกี่ยวกับการเกิดอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนำ� เช่น ความเข้าใจระหว่างเรียน การสรุปคำ�ถามท้ายบท2. เครื่องกำ�เนิดไฟฟ้าอย่างง่ายใช้ความรู้เร่ือง การตอ่ ขดลวดตวั น�ำ กบั แกลแวนอมเิ ตอร์ แลว้ สงั เกตการเบนของเขม็ ของ และแบบทดสอบ อีเอ็มเอฟเหน่ียวนำ�เป็นหลักการพื้นฐาน แกลแวนอมิเตอร์ เม่ือเคล่ือนแท่งแม่เหล็กเข้าหาและออกจากศูนย์กลาง ของขดลวดตวั น�ำ ทอี่ ยนู่ งิ่ และเมอ่ื เคลอื่ นศนู ยก์ ลางของขดลวดเขา้ หาและ ด้านทักษะ ในการทำ�งาน ออกจากของแท่งแมเ่ หล็กทอ่ี ยนู่ งิ่ แลว้ ต้ังค�ำ ถามว่า เพราะเหตุใดเข็มของ การสังเกต และการลงความเหน็ จากข้อมูล จากการ แกลแวนอมเิ ตอรจ์ ึงเบนดา้ นทักษะ 3. รว่ มกนั อภปิ รายเพอ่ื ใหไ้ ดข้ อ้ สรปุ วา่ เขม็ ของแกลแวนอมเิ ตอรเ์ บนเนอ่ื งจาก อภปิ รายเกีย่ วกบั ผลการสังเกตทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มกี ระแสไฟฟ้าเหนยี่ วนำ�เกดิ ขึน้ ในขดลวด1. การสงั เกต (การเบนของเขม็ แกลแวนอมเิ ตอร์ 4. ใหค้ วามรเู้ พม่ิ เตมิ วา่ กระแสไฟฟา้ เหนย่ี วน�ำ ในขดลวดเกดิ จากการทข่ี ดลวด ด้านจติ วทิ ยาศาสตร์ การเคลอ่ื นท่ขี องขดลวดและแท่งแมเ่ หลก็ ) อยใู่ นบรเิ วณทม่ี กี ารเปลย่ี นแปลงสนามแมเ่ หลก็ หรอื กลา่ วไดว้ า่ เมอ่ื ขดลวด ความอยากรอู้ ยากเหน็ ความมเี หตผุ ล และการเห็น2. การลงความเหน็ จากขอ้ มลู (จากการอภปิ ราย อยู่ในบริเวณที่มีการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็ก จะทำ�ให้เกิดความ ผลการสงั เกต) ตา่ งศกั ยร์ ะหวา่ งปลายขดลวด เรยี กวา่ อเี อม็ เอฟเหนย่ี วน�ำ ท�ำ ใหม้ กี ระแส คุณค่าทางวิทยาศาสตร์ จากการอภิปรายร่วมกันทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 ไฟฟ้าเกดิ ขน้ึ ในขดลวด และการทำ�กจิ กรรม - 5. สาธิตหรือใช้วีดิทัศน์แสดงการทำ�งานของเคร่ืองกำ�เนิดไฟฟ้าอย่างง่าย เพอื่ ให้เหน็ การนำ�ความรเู้ ร่อื งการเกิดอีเอ็มเอฟเหนย่ี วน�ำ ไปใชป้ ระโยชน์ด้านจติ วทิ ยาศาสตร์ 6. รว่ มกนั อภปิ รายและสรปุ เกี่ยวกับการเกิดอเี อม็ เอฟเหน่ียวนำ�1. ความอยากรอู้ ยากเหน็ (จากความกระตอื รอื รน้ 7. ให้นักเรียนสืบค้นตัวอย่างเก่ียวกับการนำ�ความรู้เร่ืองอีเอ็มเอฟเหน่ียวนำ� ในการมสี ่วนร่วมในการอภิปราย) ไปใช้ประโยชน์ในด้านอืน่ ๆ จากนั้น ใหน้ ักเรียนนำ�เสนอ2. ความมเี หตผุ ล (จากการใชห้ ลกั ฐานและเหตผุ ล ในการอภิปรายและสรปุ )3. การเห็นคุณค่าทางวิทยาศาสตร์ (จากการ เหน็ ประโยชนข์ องการน�ำ ความรเู้ รอ่ื งอเี อม็ เอฟ ไปใช้ในชวี ติ ประจ�ำ วนั )
74 ตัวชี้วดั 10. สืบค้นข้อมลู และอธิบายแรงเข้มและแรงอ่อนการวเิ คราะหต์ ัวชีว้ ดั แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมินตัวชวี้ ดัดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียนโดยอภิปรายเพ่ือทบทวนเกี่ยวกับโครงสร้างและ ดา้ นความรู้ องค์ประกอบของอะตอม โดยอาจยกตัวอย่างสัญลักษณ์แทนนิวเคลียส แรงเขม้ และแรงออ่ น จากค�ำ ถามตรวจสอบความเขา้ ใจ1. แรงเขม้ เปน็ แรงทย่ี ดึ เหนย่ี วอนภุ าคในนวิ เคลยี ส ของธาตุ จากนน้ั ใหน้ กั เรยี นบอกความหมายของเลขมวลและเลขอะตอม ระหวา่ งเรยี น การสรปุ ค�ำ ถามทา้ ยบทและแบบทดสอบ และเปน็ แรงหลกั ทใ่ี ชอ้ ธบิ ายเสถยี รภาพของ เพื่อระบุ จำ�นวนอนุภาค ชนิดและประจุของอนุภาคภายในนิวเคลียส ดา้ นทกั ษะ นิวเคลยี ส ตั้งคำ�ถามว่า เหตุใดอนุภาคที่มีประจุชนิดเดียวกันภายในนิวเคลียสจึงอยู่ การจ�ำ แนกประเภท และการคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณ2. แรงอ่อนเป็นแรงที่ใช้อธิบายการสลายให้ รวมกนั ได ้ จากการคำ�ถามตรวจสอบความเข้าใจระหว่างเรียน อนภุ าคบีตาของธาตกุ ัมมนั ตรงั สี 2. ให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับแรงระหว่างอนุภาคภายในนิวเคลียส และการใหน้ กั เรยี นพจิ ารณาการเปรยี บเทยี บแรงทง้ั ส่ี น�ำ เสนอ และอภปิ รายรว่ มกนั เพอื่ ใหไ้ ดข้ อ้ สรปุ เกย่ี วกบั แรงนวิ เคลยี ร์ และดา้ นทกั ษะ ดา้ นจิตวิทยาศาสตร์ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ แรงเข้ม ความมเี หตุผล จากการอภปิ รายร่วมกัน การจ�ำ แนกประเภท (การจ�ำ แนกแรงเขม้ และ 3. ให้นักเรียนสืบค้นเกี่ยวกับแรงอ่อน นำ�เสนอและอภิปรายร่วมกันเพื่อ ให้ได้ขอ้ สรปุ เก่ยี วกบั แรงออ่ น แรงอ่อน) 4. ให้นักเรียนพิจารณาตารางหรือภาพแสดงการเปรียบเทียบแรงท้ังส่ี ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (การวิเคราะห์ จากน้ันอภิปรายร่วมกันและลงข้อสรุปเกี่ยวกับแรงพ้ืนฐานในธรรมชาติ ทง้ั สี่ ไดแ้ ก่ แรงเขม้ แรงแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ แรงออ่ น และแรงดงึ ดดู ระหวา่ งมวล และเปรียบเทียบแรงพ้ืนฐานในธรรมชาติ ท้ังสแ่ี รง)ดา้ นจติ วิทยาศาสตร์ ความมเี หตุผล (จากการใช้ขอ้ มลู และเหตุผล ในการอภปิ รายและสรุป)
วทิ ยาศาสตร์กายภาพ (ฟิสกิ ส)์ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลงั งาน ปฏิสัมพนั ธ์ระหวา่ งสสารและพลังงาน พลังงานในชวี ติ ประจ�ำ วนั 75 ธรรมชาตขิ องคล่ืน ปรากฏการณท์ ี่เกย่ี วขอ้ ง แสง คลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า รวมทง้ั น�ำ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ตัวชีว้ ดั 11. สืบคน้ ขอ้ มลู และอธบิ ายพลงั งานนวิ เคลียร์ ฟชิ ชนั และฟิวชัน และความสัมพันธ์ระหว่างมวลกับพลังงานท่ปี ลดปล่อยออกมาจากฟิชชนั และฟวิ ชันการวิเคราะห์ตัวชวี้ ดั แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมินตัวชีว้ ัดด้านความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี นโดยอภปิ รายรว่ มกนั เพอื่ ทบทวนเกยี่ วกบั ทมี่ าของพลงั งาน ด้านความรู้ ทใ่ี ชใ้ นชวี ติ ประจ�ำ วนั โดยชใ้ี หเ้ หน็ วา่ พลงั งานสว่ นใหญท่ ใ่ี ชม้ าจากการเผาไหม้1. ฟชิ ชนั เปน็ ปฏกิ ริ ยิ าทย่ี งิ นวิ ตรอนไปยงั นวิ เคลยี ส 1. พลังงานนิวเคลียร์ ฟิชชัน และ ฟิวชัน จากคำ�ถาม ที่มมี วลมาก แล้วนวิ เคลียสน้นั แตกออกเป็น เชอ้ื เพลงิ ฟอสซลิ ซง่ึ เปน็ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี ทเ่ี ปน็ การเปลย่ี นแปลงในระดบั อะตอม ตรวจสอบความเข้าใจระหว่างเรียน การนำ�เสนอ และโมเลกลุ เท่านน้ั ค�ำ ถามท้ายบทและแบบทดสอบ สองนวิ เคลยี สท่ีมีมวลใกลเ้ คยี งกนั 2. ต้ังคำ�ถามว่า การเปล่ียนแปลงในระดับนิวเคลียสของอะตอมจะสามารถ2. ฟิวชันเป็นปฏิกิริยาท่ีนิวเคลียสท่ีมีมวลน้อย 2. ความสัมพันธ์ระหว่างมวลกับพลังงานที่ปลดปล่อย ให้พลงั งานออกมาได้หรอื ไม่ อยา่ งไร อภิปรายรว่ มกัน ออกมาจากปฏกิ ริ ยิ านวิ เคลยี ร์ จากการการน�ำ เสนอ รวมตวั กนั เกดิ เปน็ นวิ เคลยี สท่ีมีมวลมากข้ึน 3. ให้นักเรียนชมวีดิทัศน์การใช้ประโยชน์จากพลังงานนิวเคลียร์ จากน้ัน 3. พลงั งานทป่ี ลดปลอ่ ยออกมาจากฟชิ ชนั หรอื คำ�ถามท้ายบทและแบบทดสอบ ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มและสืบค้นเก่ียวกับฟิชชัน ฟิวชัน พลังงานนิวเคลียร์ ฟิวชัน เรียกว่า พลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งมี และความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งมวลกบั พลงั งานทปี่ ลดปลอ่ ยออกมาจากฟชิ ชนั ด้านทกั ษะ ความสัมพนั ธ์กับมวลท่ีหายไป และฟิวชนั จากนัน้ ใหน้ ักเรยี นนำ�เสนอ 1. การจ�ำ แนกประเภท จากค�ำ ถามตรวจสอบความเขา้ ใจ 4. ร่วมกันอภิปรายและสรุปเก่ียวกับฟิชชัน ฟิวชัน พลังงานนิวเคลียร์ และ ระหว่างเรียน ค�ำ ถามทา้ ยบท และแบบทดสอบดา้ นทักษะ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งมวลกบั พลงั งานทป่ี ลดปลอ่ ยออกมาจากฟชิ ชนั และ 2. การคิดอย่างมีวิจารณญาณ จากการอภิปรายและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ฟิวชัน พร้อมช้ีให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงระดับนิวเคลียสของอะตอม1. การจ�ำ แนกประเภท (จากการบอกความแตกตา่ ง สามารถให้พลังงานออกมาได้มากกว่าการเปล่ียนแปลงในระดับอะตอม สรุปเกีย่ วกับข้อมลู ที่ได้จากการสืบค้น ระหว่างฟชิ ชนั กบั ฟวิ ชนั ) และโมเลกลุ 3. การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ ความรว่ มมอื การท�ำ งานทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 เปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ และการสอ่ื สารจากการสบื คน้1. การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ในการเข้าถึง และการน�ำ เสนอ สารสนเทศที่เกย่ี วกับเนอ้ื หา) ดา้ นจติ วทิ ยาศาสตร์2. การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (การวิเคราะห์ 1. ความอยากรู้อยากเหน็ และความมเี หตผุ ล จากการ และประเมนิ ความน่าเชอ่ื ถือ ของขอ้ มูลท่ไี ด้ ตอบและถามค�ำ ถาม การอภปิ ราย และสรุป จากการสืบค้น)3. การสอื่ สาร (การน�ำ เสนอ)
76 แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมินตวั ช้วี ัด การวิเคราะหต์ ัวชวี้ ดั 2. ความร่วมมือช่วยเหลือ จากการร่วมมือกันสืบค้น 4. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ และน�ำ เสนอ (การร่วมมอื กันสืบคน้ ข้อมูลภายในกลมุ่ ) ด้านจติ วทิ ยาศาสตร์ 1. ความอยากรู้อยากเห็น (จากความกระตือ รือรน้ ในการมสี ่วนร่วมอภิปรายและสรุป) 2. ความมีเหตุผล (จากการอภิปรายและ สรปุ บนพืน้ ฐานของขอ้ มูลท่ีเช่อื ถอื ได)้ 3. ความรว่ มมอื ชว่ ยเหลอื (จากการท�ำ กจิ กรรม)
วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ (ฟิสกิ ส์) ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 5ตัวช้วี ัด 77 12. สืบค้นขอ้ มูลและอธบิ ายการเปล่ียนพลงั งานทดแทนเป็นพลงั งานไฟฟ้า รวมทงั้ สืบคน้ และอภปิ รายเกีย่ วกบั เทคโนโลยีอน่ื ๆ ทีน่ ำ�มาแก้ปัญหาหรอื ตอบสนอง ความต้องการทางดา้ นพลังงานการวเิ คราะห์ตัวชีว้ ดั แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมินตัวชวี้ ดัดา้ นความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี นโดยใหน้ กั เรยี นอภปิ รายรว่ มกนั เพอ่ื ระบชุ นดิ ของพลงั งาน ด้านความรู้ ที่ใช้ในการทำ�กิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำ�วัน จากน้ัน ถามนักเรียนว่า1. พลังงานทดแทน เป็นพลังงานท่ีนำ�มาใช้ แหล่งพลังงานหลักของประเทศไทยคือแหล่งพลังงานชนิดใด และ 1. ความหมายของพลงั งานทดแทน จากค�ำ ถามตรวจสอบ ทดแทนพลังงานหลัก เพื่อแก้ปัญหาหรือ ความเข้าใจระหว่างเรียน การสรุป การนำ�เสนอ ตอบสนองความต้องการด้านพลังงาน ในอนาคตจะมีการใช้แหล่งพลังงานเหล่านี้เพิ่มขึ้น หรือลดลง อภิปราย ร่วมกนั คำ�ถามท้ายบทและแบบทดสอบ2. พลังงานแสงอาทิตย์สามารถเปล่ียนเป็น 2. ใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั การจ�ำ แนกประเภทของพลงั งาน จากนน้ั อภปิ รายรว่ มกนั 2. ความรู้เก่ียวกับการเปล่ียนพลังงานแสงอาทิตย์เป็น พลังงานไฟฟ้าได้โดยใช้เซลลส์ ุรยิ ะ เกย่ี วกบั แนวโนม้ การใชพ้ ลงั งานของประเทศไทยในอนาคต และผลกระทบ ตอ่ สง่ิ แวดลอ้ มจากการใชเ้ ชอื้ เพลงิ ฟอสซลิ จากภาพ กราฟ หรอื แผนภาพ พลังงานไฟฟ้า การเปลี่ยนพลังงานนิวเคลียร์เป็น3. เซลล์สุริยะท่ีใช้ท่ัวไปประกอบด้วยวัสดุ พลงั งานไฟฟา้ และเทคโนโลยดี า้ นพลงั งาน จากการ สองชน้ิ ทท่ี �ำ จากสารทมี่ สี มบตั เิ ฉพาะตา่ งกนั เพ่ือนำ�ไปสู่ข้อสรุปว่า แหล่งพลังงานหลักของประเทศไทยเป็นแหล่ง อภปิ รายร่วมกนั การสรปุ การนำ�เสนอ ค�ำ ถามทา้ ย พลังงานสิ้นเปลือง ที่ส่งผลกระทบกับส่ิงแวดล้อมโดยเฉพาะปัญหา บท และแบบทดสอบ นำ�มาประกบกัน เม่ือแสงอาทิตย์ตกกระทบ ที่มาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงควรพัฒนาพลังงานอ่ืน ๆ เซลลส์ รุ ยิ ะ จะท�ำ ใหเ้ กดิ ความตา่ งศกั ยร์ ะหวา่ ง มาทดแทน ด้านทักษะ วัสดุท้ังสอง และเม่ือต่อวงจรไฟฟ้าจะทำ�ให้ 3. ให้ความรู้เกี่ยวกับความหมายของพลังงานทดแทน และยกตัวอย่าง 1. การจำ�แนกประเภทจากคำ�ถามตรวจสอบความ พลังงานทดแทนชนิดต่าง ๆ จากนั้น นำ�อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีเซลล์สุริยะ เกิดกระแสไฟฟ้าในวงจร มาสาธติ การท�ำ งาน แลว้ ตงั้ ค�ำ ถามวา่ เซลลส์ รุ ยิ ะมหี ลกั การท�ำ งานอยา่ งไร เขา้ ใจระหวา่ งเรยี น ค�ำ ถามทา้ ยบทและแบบทดสอบ4. พลงั งานนวิ เคลยี รเ์ ปลยี่ นเปน็ พลงั งานไฟฟา้ อภิปรายรว่ มกนั 2. การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ ความรว่ มมอื การท�ำ งาน 4. ให้ความรู้เกี่ยวกับหลักการทำ�งานเบื้องต้นของเซลล์สุริยะ จากนั้น เป็นทีมและภาวะผู้นำ�จากการสืบค้นข้อมูล และ ดว้ ยการเรม่ิ จากการถา่ ยโอนพลงั งานใหก้ บั น�ำ้ ถามนกั เรยี นวา่ ถา้ จะน�ำ เซลลส์ รุ ยิ ะไปใช้ จะตอ้ งท�ำ อยา่ งไร อภปิ รายรว่ มกนั การนำ�เสนอ จนน�ำ้ กลายเปน็ ไอน�ำ้ จากนน้ั ไอน�ำ้ ทไ่ี ดน้ �ำ ไป 5. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มเพ่ือสืบค้นหรือทำ�กิจกรรมเกี่ยวกับ ปัจจัยท่ีมีผลต่อ 3. การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การสร้างสรรค์และ หมุนกงั หนั และเครอื่ งกำ�เนิดไฟฟา้ พลงั งานไฟฟา้ ทไี่ ดจ้ ากเซลลส์ รุ ยิ ะ และแนวทางการน�ำ เซลลส์ รุ ยิ ะมาใชก้ บั5. เทคโนโลยีด้านพลังงานเป็นการนำ�ความรู้ เครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ ในทพี่ กั อาศยั จากนนั้ ใหน้ กั เรยี นน�ำ เสนอผลการสบื คน้ หรอื นวตั กรรม และการสอื่ สาร จากขอ้ มลู ทน่ี �ำ เสนอและ ความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ ผลการท�ำ กจิ กรรม การน�ำ เสนอ 6. ร่วมกันอภิปรายและสรุปเก่ียวกับการเปล่ียนพลังงานแสงอาทิตย์เป็น ในการพฒั นาแหลง่ พลงั งานในธรรมชาติ เพอ่ื พลงั งานไฟฟ้าของเซลล์สุรยิ ะ ดา้ นจิตวิทยาศาสตร์ น�ำ ไปใช้ประโยชน์ รวมท้งั เพ่มิ ประสิทธภิ าพ 1. ความอยากรู้อยากเห็น ความใจกว้าง และความ ความปลอดภยั ลดปญั หาสง่ิ แวดลอ้ ม ลดตน้ ทนุ ฯลฯ เพอ่ื แกป้ ญั หาหรอื ตอบสนองความตอ้ งการ มเี หตผุ ล จากการอภปิ รายรว่ มกนั และการนำ�เสนอ ทางดา้ นพลงั งาน
78 แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ตัวชี้วัด การวิเคราะห์ตวั ชีว้ ัดด้านทกั ษะ 7. นำ�เข้าสู่หัวข้อการเปลี่ยนพลังงานนิวเคลียร์เป็นพลังงานไฟฟ้า โดย 2. ความร่วมมือช่วยเหลือ จากความร่วมมือและ ตั้งคำ�ถามว่า ถ้าในอนาคตพลังงานที่ใช้ในประเทศไทยมีไม่เพียงพอ การท�ำ งานเปน็ ทมี ในการสบื คน้ ขอ้ มลู และการน�ำ เสนอทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ จงึ ตอ้ งมกี ารสรา้ งโรงไฟฟา้ นวิ เคลยี รข์ น้ึ จะเปน็ ไปไดห้ รอื ไม่ โดยใหน้ กั เรยี น - อภปิ รายรว่ มกนั ในประเดน็ ตา่ ง ๆ เชน่ ความปลอดภยั สถานท่ี ความคมุ้ คา่ 3. การเห็นคุณค่าทางวิทยาศาสตร์ จากการอภิปรายทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ผลกระทบกับส่งิ แวดล้อม เปน็ ตน้ รว่ มกันและการนำ�เสนอ1. การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ (จากการสบื คน้ ) 8. ให้ความรู้เก่ียวกับการเปล่ียนพลังงานนิวเคลียร์เป็นพลังงานไฟฟ้า 2. การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (การประเมิน ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ จากน้ันอาจให้นักเรียนสืบค้นเพิ่มเติมเก่ียวกับ ความน่าเชื่อถอื ความสมั พนั ธ์ และ ความ ความปลอดภัย การจัดการกากกัมมันตรังสี ความคุ้มค่า และผลกระทบ สมบรู ณข์ องขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากการสบื คน้ และ กับสงิ่ แวดลอ้ มของโรงไฟฟา้ นวิ เคลยี ร์ การเปรียบเทียบข้อดแี ละขอ้ จำ�กัด) 9. ร่วมกันอภิปรายและสรุปเก่ียวกับการเปล่ียนพลังงานนิวเคลียร์เป็น3. การสรา้ งสรรคแ์ ละนวตั กรรม (ในการสรา้ ง พลังงานไฟฟา้ ของโรงไฟฟา้ นวิ เคลยี ร์ สอ่ื ส�ำ หรับนำ�เสนอ) 10. นำ�เข้าสู่หัวข้อเทคโนโลยีด้านพลังงาน โดยตั้งคำ�ถามว่า นอกจาก4. การสื่อสาร (การน�ำ เสนอ) เซลลส์ รุ ยิ ะ และเครอ่ื งปฏกิ รณน์ วิ เคลยี รแ์ ลว้ ยงั มวี ธิ กี ารหรอื นวตั กรรมอน่ื ๆ5. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะ ใดอกี บ้างทสี่ ามารถน�ำ มาแก้ปัญหาด้านพลังงาน อภปิ รายรว่ มกนั ผนู้ ำ� (ในการรว่ มกนั สบื คน้ ขอ้ มลู ) 11. ให้นักเรียนชมวีดิทัศน์หรือสาธิตเกี่ยวกับตัวอย่างการใช้เทคโนโลยีด้าน พลังงานอ่ืน ๆ เช่น เซลล์เช้ือเพลิง หรือ เตาแม่เหล็กไฟฟ้า จากน้ัน ด้านจิตวิทยาศาสตร์ ต้ังคำ�ถามเกี่ยวกับแหล่งพลังงานและหลักการทำ�งานเบ้ืองต้นที่เกี่ยวข้อง1. ความอยากรู้อยากเห็น (จากการสนใจ อภปิ รายร่วมกนั 12. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มและสืบค้นเกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านพลังงานอื่น ๆ สืบค้นข้อมูลจากหลากหลายท่ีมาและ ที่สนใจกลุ่มละหนึ่งเทคโนโลยี โดยกำ�หนดให้แต่ละกลุ่มต้องนำ�เสนอ ความกระตอื รอื รน้ ในการร่วมอภปิ ราย) ในประเด็น การช่วยแก้ปัญหาด้านพลังงาน ข้อดี และข้อจำ�กัดของ2. ความใจกว้าง (จากการอภปิ รายรว่ มกนั ) เทคโนโลยนี ้นั3. ความมีเหตุผล (จากการอภิปรายร่วมกัน) 13. ให้นักเรียนนำ�เสนอ จากนั้นร่วมกันอภิปรายและสรุปเก่ียวกับเทคโนโลยี4. ความรว่ มมอื ชว่ ยเหลอื (จากการรว่ มมอื กนั ด้านพลงั งาน สบื คน้ และนำ�เสนอ)5. การเห็นคุณค่าทางวิทยาศาสตร์ (จากการ แสดงออกถงึ การรบั รแู้ ละยอมรบั ในการใช้ วทิ ยาศาสตรม์ าชว่ ยแกป้ ญั หาดา้ นพลงั งาน)
วทิ ยาศาสตร์กายภาพ (ฟสิ ิกส)์ ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 5ตวั ช้วี ดั 79 13. สังเกตและอธบิ ายการสะท้อน การหักเห การเล้ียวเบน และการรวมคล่นืการวิเคราะหต์ ัวชี้วดั แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมินตวั ชว้ี ัดด้านความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี นโดยใหน้ กั เรยี นยกตวั อยา่ งคลน่ื ชนดิ ตา่ ง ๆ ในชวี ติ ประจ�ำ วนั ด้านความรู้ ต่อจากนั้น ให้นักเรียนอภิปรายร่วมกันเพื่อทบทวนเกี่ยวกับคล่ืนกล 1. เม่ือคล่ืนเคล่ือนที่ไปตกกระทบส่ิงกีดขวาง ความรเู้ กย่ี วกบั การสะทอ้ น การหกั เห และการเลย้ี วเบน จะเกิดการสะทอ้ น ส่วนประกอบของคลื่นและประเภทของคลนื่ กล ของคลื่น รวมท้ังการรวมคลื่นของคล่ืนสองคลื่น 2. ต้ังคำ�ถามว่า เม่ือคลื่นกล เช่น คลื่นน้ำ� เคล่ือนที่ไปในตัวกลางแล้วพบ2. เม่ือคล่ืนเคลื่อนที่เข้าไปในตัวกลางต่างกัน จากคำ�ถามตรวจสอบ ความเข้าใจระหว่างเรียน จะเกดิ การหกั เห ส่ิงกีดขวาง ขอบส่ิงกีดขวาง หรือ พบกับคล่ืนน้ำ�อีกขบวนหน่ึง จะแสดง การสรุป คำ�ถามทา้ ยบทและแบบทดสอบ พฤติกรรมอย่างไร อภปิ รายรว่ มกนั 3. เมอ่ื คลน่ื เคลอ่ื นทไ่ี ปตกกระทบขอบสง่ิ กดี ขวาง 3. สาธิตการสะท้อนของคล่ืน เช่น สะบัดขดลวดสปริงท่ีวางบนพื้นสองคร้ัง ด้านทกั ษะ จะเกดิ การเลีย้ วเบน คร้ังแรกให้ปลายขดลวดด้านที่ไม่ได้จับตรึงไว้กับผนัง คร้ังที่สองให้ปลาย การสังเกตและการลงความเห็นจากข้อมูล จากการ4. เมอ่ื คลน่ื สองขบวนเคลอ่ื นทม่ี าพบกนั จะเกดิ ขดลวดดา้ นทไี่ มไ่ ดจ้ บั สะบดั ไดอ้ สิ ระ ใหน้ กั เรยี นสงั เกตลกั ษณะการสะทอ้ น ของคลน่ื จากการสะบัดทัง้ สองกรณี อภิปรายร่วมกันและนำ�เสนอ อภิปรายรว่ มกันและการสรุป การรวมคลื่น 4. สาธิตกิจกรรมหรือให้นักเรียนชมวีดิทัศน์เก่ียวกับการสะท้อนของคลื่น เช่น การใช้ชุดถาดคลื่นแสดงให้เห็นการเคลื่อนที่ของคล่ืนผิวนำ้�หน้าตรง ด้านจิตวิทยาศาสตร์ด้านทักษะ ไปกระทบตวั กน้ั หนา้ ตรงทขี่ นานกนั และทท่ี �ำ มมุ ตา่ ง ๆ ใหน้ กั เรยี นสงั เกต ความมีเหตุผล จากการอภปิ รายร่วมกนัทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ จากน้ันร่วมกนั อภิปราย เพอื่ ลงข้อสรปุ เกีย่ วกับการสะทอ้ นของคล่นื1. การสงั เกต (การสะทอ้ น การหกั เห การเลย้ี วเบน 5. สาธติ กิจกรรมหรือใหน้ ักเรียนชมวดี ิทศั น์เกี่ยวกบั การหักเหของคล่ืน เชน่ และการรวมคลนื่ จากการสาธติ หรอื วดี ทิ ศั น)์ การใช้ชุดถาดคลื่นแสดงให้เห็นการเคลื่อนท่ีของคล่ืนผิวน้ำ�หน้าตรงผ่าน2. การลงความเหน็ จากขอ้ มลู (จากการอภปิ ราย บรเิ วณรอยตอ่ ระหวา่ งเขตน�ำ้ ลกึ และเขตน�้ำ ตน้ื โดยใหห้ นา้ คลนื่ ตกกระทบ เก่ียวกับผลที่ได้จากการสังเกตการสะท้อน ในแนวขนาน และท�ำ มมุ ตา่ ง ๆ กบั รอยตอ่ ระหวา่ งเขตน�้ำ ลกึ และเขตน�้ำ ตน้ื ให้นักเรียนสังเกตแล้วอภิปรายร่วมกัน เพ่ือลงข้อสรุปเก่ียวกับการหักเห การหักเห การเล้ียวเบน และการรวมคลื่น ของคลื่น ของคลื่น) 6. สาธิตกิจกรรมหรือให้นักเรียนชมวีดิทัศน์เกี่ยวกับการเล้ียวเบนของคล่ืนทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 เช่น การใช้ชุดถาดคลื่นแสดงให้เห็นการเคล่ือนท่ีของคล่ืนผิวนำ้�หน้าตรง - ไปตกกระทบขอบของแผ่นกั้น ให้นักเรียนสังเกตและอภิปราย จากน้ันดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ ความมีเหตุผล
80 แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ตัวช้วี ดั การวเิ คราะห์ตวั ชวี้ ดั เปล่ียนแผ่นกั้นเป็นช่องเปิดที่มีความกว้างต่าง ๆ กัน ให้นักเรียนสังเกต แลว้ อภิปรายรว่ มกนั เพื่อลงข้อสรปุ เกี่ยวกับการเลีย้ วเบนของคลน่ื 7. สาธติ กจิ กรรมหรอื ใหน้ กั เรยี นชมวดี ทิ ศั นเ์ กยี่ วกบั การรวมกนั ของคลน่ื เชน่ การสะบัดปลายขดลวดสปริงที่วางบนพ้ืนระดับทั้งสองปลายพร้อมกัน ให้เกิดคล่ืนที่มีการกระจัดในทิศทางเดียวกันเพ่ือให้เกิดการรวมคลื่น แบบเสริม จากน้ันสะบัดให้เกิดคลื่นที่มีการกระจัดในทิศทางตรงข้าม เพอ่ื ใหเ้ กดิ การรวมคลน่ื แบบหกั ลา้ ง ใหน้ กั เรยี นสงั เกตและอภปิ รายรว่ มกนั เก่ยี วกบั การรวมคลื่น 8. สาธติ กจิ กรรมหรอื ใหน้ กั เรยี นชมวดี ทิ ศั นเ์ กย่ี วกบั การรวมกนั ของคลน่ื เชน่ การใชช้ ดุ ถาดคลนื่ แสดงใหเ้ หน็ คลน่ื ผวิ น�ำ้ วงกลม 2 คลน่ื เคลอ่ื นทมี่ าพบกนั ใหน้ กั เรยี นสงั เกตและอภปิ รายรว่ มกนั เพอ่ื ลงขอ้ สรปุ เกยี่ วกบั การรวมคลนื่ 9. ร่วมกันอภิปรายและสรุปเก่ียวกับ การสะท้อน การหักเห การเล้ียวเบน และการรวมคลื่น
วิทยาศาสตร์กายภาพ (ฟสิ ิกส)์ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5ตัวช้ีวดั 81 14. สังเกตและอธบิ ายความถธี่ รรมชาติ การสนั่ พ้อง และผลทเ่ี กิดขน้ึ จากการสน่ั พอ้ งการวเิ คราะห์ตัวชี้วัด แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ตัวชว้ี ดัดา้ นความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี น โดยยกตวั อยา่ งสถานการณท์ เ่ี กย่ี วกบั การเคลอ่ื นทแ่ี บบสน่ั ดา้ นความรู้ เช่น การแกว่งของชิงช้า การเคล่ือนท่ีของวัตถุติดปลายสปริง จากนั้น1. เม่ือกระตุ้นให้วัตถุสั่นแล้วปล่อยให้วัตถุส่ัน ความถี่ธรรมชาติ การส่ันพ้อง และผลท่ีเกิดข้ึน อย่างอิสระ วัตถุจะส่ันด้วยความถี่ท่ีเรียกว่า อภิปรายร่วมกันเกีย่ วกับแอมพลิจดู คาบและความถ่ขี องการเคลอื่ นที่ จากการสั่นพ้อง จากคำ�ถามตรวจสอบความเข้าใจ ความถี่ธรรมชาติ 2. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มทำ�กิจกรรมการแกว่งของลูกตุ้มอย่างง่ายเพ่ือศึกษา ระหวา่ งเรยี น การสรปุ ค�ำ ถามทา้ ยบทและแบบทดสอบ2. เมื่อวัตถุถูกกระตุ้นให้ส่ันด้วยความถ่ีตรงกับ ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ร ะ ห ว่ า ง ค ว า ม ถ่ี กั บ ค ว า ม ย า ว เ ชื อ ก ข อ ง ลู ก ตุ้ ม อ ย่ า ง ง่ า ย ด้านทักษะ ความถี่ธรรมชาติของวัตถุน้ัน จะทำ�ให้วัตถุ โดยตอนท่ี 1 มกี ารเปลย่ี นมวลของลกู ตมุ้ โดยใหค้ วามยาวเชอื กคงตวั และ 1. การสังเกต การพยากรณ์ และการลงความเห็น นั้นสั่นด้วยแอมพลิจูดมากข้ึน เรียกว่า การ ตอนที่ 2 เปลี่ยนความยาวเชือกโดยให้มวลของลูกตุ้มคงตัว จากนั้น สน่ั พ้อง ใหน้ ักเรียนนำ�เสนอผล การท�ำ กจิ กรรม จากข้อมลู จากการอภิปรายร่วมกัน และการสรปุ 3. อภิปรายร่วมกันจนได้ข้อสรุปว่า ความถี่ของการแกว่งของลูกตุ้มขึ้นกับ 2. การส่ือสาร จากขอ้ มูลทีน่ �ำ เสนอและการนำ�เสนอ3. การส่ันพ้องส่งผลให้เกิดเสียงดังไพเราะใน ความยาวเชอื ก แตไ่ มข่ น้ึ กบั มวลของลกู ตมุ้ ซง่ึ ลกู ตมุ้ นจ้ี ะแกวง่ อยา่ งอสิ ระ 3. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� เครื่องดนตรี แต่การส่ันพ้องที่มากเกินไป ด้วยความถีค่ งที่ เรียกความถ่ีนี้ว่าความถี่ธรรมชาติ สามารถทำ�ให้เกิดอันตรายได้ เช่น ในกรณี 4. ตง้ั ค�ำ ถามวา่ ถา้ คอยกระตนุ้ ลกู ตมุ้ เปน็ จงั หวะดว้ ยการผลกั เบา ๆ แอมพลจิ ดู จากการท�ำ กจิ กรรม การสน่ั พอ้ งของอาคารเนอื่ งจากแผน่ ดนิ ไหว ของการแกว่งลกู ตุ้มจะเปล่ยี นแปลงอย่างไร อภิปรายร่วมกัน หรอื การสนั่ พ้องของสะพานเนื่องจากลม 5. ใหน้ กั เรยี นท�ำ กจิ กรรมโดยดงึ ลกู ตมุ้ แลว้ ปลอ่ ยใหแ้ กวง่ อยา่ งอสิ ระ แลว้ คอย ด้านจิตวิทยาศาสตร์ ผลกั ลกู ตมุ้ เบา ๆ เปน็ จงั หวะทไ่ี มต่ รงกบั ความถธ่ี รรมชาติ สงั เกตแอมพลจิ ดู 1. ความมเี หตผุ ล จากการอภปิ รายรว่ มกนั และการสรปุดา้ นทกั ษะ การแกวง่ ของลกู ต้มุ 2. ความร่วมมอื ช่วยเหลือ จากการท�ำ กจิ กรรมทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 6. จากน้ัน ให้นักเรียนผลักลูกตุ้มเป็นจังหวะให้ตรงกับความถี่ธรรมชาติของ1. การสังเกต (การแกวง่ ของลกู ตุ้ม) การแกว่ง สังเกตแอมพลิจูดการแกว่งของลูกตุ้ม อภิปรายร่วมกันจนได้2. การพยากรณ์ (การแกวง่ ของลกู ตมุ้ ในกจิ กรรม ข้อสรุปว่า เมื่อลูกตุ้มถูกกระตุ้นให้แกว่งด้วยความถี่ตรงกับความถี่ ชดุ ลกู ต้มุ ) ธรรมชาติน้ัน จะทำ�ให้ลูกตุ้มแกว่งด้วยแอมพลิจูดมากท่ีสุดเมื่อเทียบกับ3. การลงความเหน็ จากขอ้ มลู (จากการอภปิ ราย การกระตนุ้ ดว้ ยความถ่อี ืน่ ๆ เรยี กว่าเกดิ การสั่นพอ้ ง ผลการสังเกตในกิจกรรมเก่ียวกับความถ่ี 7. สาธติ กจิ กรรมการแกวง่ ของลกู ตมุ้ หลายลกู ทผ่ี กู ดว้ ยเชอื กความยาวตา่ ง ๆ โดยมีคู่หน่ึงยาวเท่ากัน แล้วให้นักเรียนสังเกตแอมพลิจูดการแกว่งของ ธรรมชาติ และ การแกว่งของลูกตุ้มใน ชุดลกู ตุม้ )
82 แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ตวั ชว้ี ดั การวเิ คราะห์ตัวชวี้ ดัทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 ลกู ตมุ้ เมอื่ ท�ำ ใหล้ กู ตมุ้ ลกู หนงึ่ ในคทู่ ม่ี คี วามยาวเชอื กเทา่ กนั แกวง่ อภปิ ราย1. การส่ือสาร (จากการอภิปรายร่วมกันและ ร่วมกันและสรุปเกย่ี วกับการส่ันพอ้ งของลูกตุม้ ทีม่ คี วามยาวเชือกเทา่ กนั 8. ให้นักเรียนสืบค้นเกี่ยวกับผลท่ีเกิดข้ึนจากการสั่นพ้องในชีวิตประจำ�วัน การนำ�เสนอ) และน�ำ เสนอ2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะ 9. ร่วมกันอภิปรายและสรุปเกี่ยวกับความถี่ธรรมชาติ การสั่นพ้อง และ ผลทีเ่ กิดข้ึนจากการสั่นพ้อง ผู้นำ� (จากการทำ�กิจกรรม)ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์1. ความมีเหตผุ ล2. ความร่วมมอื ช่วยเหลอื
วิทยาศาสตรก์ ายภาพ (ฟิสิกส)์ ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 5ตัวชีว้ ัด 83 15. สงั เกตและอธิบายการสะทอ้ น การหักเห การเลยี้ วเบน และการรวมคล่นื ของคลื่นเสียงการวเิ คราะหต์ ัวชีว้ ดั แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมินตวั ชว้ี ัดดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียนโดยอภิปรายร่วมกันเพื่อทบทวนเกี่ยวกับการสะท้อน ดา้ นความรู้ การหกั เห การเลย้ี วเบนและการรวมคลน่ื ของคลนื่ กล เชน่ คลน่ื ผวิ น�ำ้ หรอื คลน่ื เสยี งมกี ารสะทอ้ น การหกั เห การเลย้ี วเบน การสะทอ้ น การหกั เห การเลย้ี วเบน และการรวคลน่ื และการรวมคล่ืน เชน่ เดียวกบั คลน่ื อื่น ๆ คลน่ื ในเสน้ เชอื ก จากนนั้ ตง้ั ค�ำ ถามวา่ เสยี งซงึ่ เปน็ คลน่ื กลจะมกี ารสะทอ้ น ของคล่ืนเสียง จากคำ�ถามตรวจสอบความเข้าใจ การหกั เห การเลย้ี วเบน และการรวมคลน่ื ไดห้ รอื ไม่ อยา่ งไร อภปิ รายรว่ มกนัด้านทกั ษะ 2. สาธิตกิจกรรมเกี่ยวกับการสะท้อนของคล่ืนเสียง เช่น นำ�ส่ิงกีดขวาง ระหว่างเรียน การสรุป คำ�ถามท้ายบท และแบบทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ผิวเรียบแข็งมาวางหน้าแหล่งกำ�เนิดเสียง ให้ห่างจากแหล่งกำ�เนิดเสียง ทดสอบ1. การสงั เกต (การสะทอ้ น การหกั เห การเลย้ี วเบน เล็กน้อย ให้นักเรียนยืนหลังแหล่งกำ�เนิดเสียงและสังเกตเสียงท่ีได้ยิน และการรวมคลื่นของคลื่นเสียงจากการ จากน้ัน นำ�สิ่งกีดขวางออกโดยให้แหล่งกำ�เนิดเสียงยังอยู่ที่เดิม และให้ ด้านทกั ษะ ท�ำ กจิ กรรม) นักเรียนสังเกตเสียงที่ได้ยินและเปรียบเทียบกับเสียงที่ได้ยินในกรณีที่มี การสังเกต การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการลง2. การลงความเหน็ จากขอ้ มลู (จากการอภปิ ราย ส่ิงกีดขวาง อภิปรายร่วมกันเพ่ือลงข้อสรุปเกี่ยวกับการสะท้อนของคล่ืน ผลการสังเกต) เสียงเมอ่ื ตกกระทบสง่ิ กีดขวาง ความเหน็ จากขอ้ มลู จากการอภปิ รายรว่ มกนั เกย่ี วกบัทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 3. ตัง้ คำ�ถามเกยี่ วกับปรากฏการณก์ ารหักเหของเสียง เช่น นกั เรยี นเคยเหน็ ผลการสังเกต การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณ (จากการอภปิ ราย ฟา้ แลบแตไ่ มไ่ ดย้ นิ เสยี งฟา้ รอ้ งหรอื ไม่ คดิ วา่ เปน็ เพราะเหตใุ ด จากนน้ั รว่ มกนั และลงข้อสรุปเกี่ยวกับการสะท้อน หักเห อภิปรายเก่ยี วกับการเคล่ือนท่ขี องเสียงผ่านอากาศทร่ี ะดับความสงู ต่าง ๆ ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ เหนือพื้นดิน จนได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการหักเหของเสียงท่ีทำ�ให้บางคร้ัง ความอยากรู้อยากเห็นและความมีเหตุผล จากการ เลี้ยวเบน และการรวมคล่นื ของคล่นื เสยี ง) เราเห็นฟา้ แลบแต่ไม่ได้ยนิ เสยี งฟา้ ร้อง 4. สาธติ กจิ กรรมเกย่ี วกบั การเลย้ี วเบนของคลน่ื เสยี ง เชน่ วางแหลง่ ก�ำ เนดิ เสยี ง อภิปรายร่วมกนั และการสรปุดา้ นจิตวิทยาศาสตร์ ไว้ในห้องเรียน ห่างจากประตูท่ีเปิดอยู่ จากนั้น ให้นักเรียนฟังเสียงจาก1. ความอยากรู้อยากเห็น (จากความกระตือ แหล่งกำ�เนิดเสียงจากภายนอกห้องเรียนท่ีตำ�แหน่งต่าง ๆ ท่ีมองไม่เห็น รอื ร้นในการมีสว่ นร่วมในการอภิปราย) แหลง่ ก�ำ เนดิ เสยี ง แลว้ อภปิ รายรว่ มกนั จนไดข้ อ้ สรปุ เกย่ี วกบั การเลย้ี วเบน2. ความมีเหตุผล (จากการใช้หลักฐานและ ของเสยี งเมื่อเสียงเคล่ือนที่ไปตกกระทบขอบส่งิ กีดขวาง 5. สาธติ กจิ กรรมเกย่ี วกบั การรวมคลน่ื ของคลน่ื เสยี ง เชน่ น�ำ ล�ำ โพงทเ่ี หมอื นกนั เหตผุ ลในการอภิปรายและสรุป) สองตัววางห่างกัน และให้ลำ�โพงท้ังสองต่อเข้ากับแหล่งกำ�เนิดเสียงท่ีให้ เสยี งความถค่ี งทคี่ า่ ใดคา่ หนง่ึ จากนน้ั ใหน้ กั เรยี นเดนิ ชา้ ๆ ผา่ นหนา้ ล�ำ โพง
84 แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ตัวชว้ี ัด การวิเคราะหต์ วั ชี้วดั ในแนวขนาน พรอ้ มสงั เกตเสยี งทไี่ ดย้ นิ อภปิ รายรว่ มกนั เกย่ี วกบั ความดงั และคอ่ ยของเสยี งทไ่ี ดย้ นิ เพอ่ื ลงขอ้ สรปุ เกย่ี วกบั การรวมคลน่ื ของคลน่ื เสยี ง 6. ร่วมกันอภิปรายและสรุปเก่ียวกับ การสะท้อน การหักเห การเล้ียวเบน และการรวมคลนื่ ของคล่นื เสียง
วทิ ยาศาสตร์กายภาพ (ฟสิ ิกส)์ ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 5ตวั ชีว้ ดั 85 16. สบื ค้นข้อมูลและอธบิ ายความสมั พนั ธ์ระหวา่ งความเข้มเสียงกับระดับเสียง และผลของความถกี่ บั ระดบั เสยี งทม่ี ตี อ่ การไดย้ ินเสียงการวเิ คราะหต์ วั ช้ีวัด แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมินตวั ช้วี ดัด้านความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียนโดยการตั้งคำ�ถาม เช่น เสียงจากแหล่งกำ�เนิดใดบ้าง ด้านความรู้ ในชีวิตประจ�ำ วนั ทอ่ี าจเปน็ อันตรายต่อหู อภิปรายรว่ มกนั1. พลงั งานเสยี งทตี่ กตงั้ ฉากบนหนง่ึ หนว่ ยพน้ื ที่ ความเข้มเสียง ระดับเสียง และ ผลของความถี่กับ ในหนึ่งหนว่ ยเวลา เรียกว่า ความเขม้ เสียง 2. ยกสถานการณ์เกี่ยวกับการได้ยินเสียงท่ีดังค่อยต่างกันเมื่ออยู่ห่างจาก ระดบั เสยี งทม่ี ตี อ่ การไดย้ นิ เสยี ง จากค�ำ ถามตรวจสอบ แหลง่ ก�ำ เนดิ เสยี งเปน็ ระยะทางตา่ งกนั หรอื สาธติ กจิ กรรม เชน่ วางแหลง่2. ระดับเสียงเป็นปริมาณท่ีใช้บอกความดัง กำ�เนิดเสียงที่หน้าห้องเรียน และให้นักเรียนยืนใกล้แหล่งกำ�เนิดเสียง ความเข้าใจระหว่างเรียน การสรุป คำ�ถามท้ายบท ของเสยี ง ซง่ึ ขน้ึ กบั ความเขม้ เสยี ง และแบบทดสอบ จากน้ันให้นักเรียนเดินออกห่างจากแหล่งกำ�เนิดเสียงเรื่อย ๆ พร้อมกับ3. การได้ยินเสียงของมนุษย์ข้ึนกับทั้งความถ่ี สงั เกตเสยี งทไี่ ดย้ นิ อภปิ รายรว่ มกนั เพอื่ สรปุ เกย่ี วกบั ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง ดา้ นทกั ษะ ของเสียงและระดับเสียงที่เหมาะสม เสียงดงั คอ่ ยกบั ระยะหา่ งจากแหล่งก�ำ เนดิ เสียง 1. การสงั เกต และการลงความเหน็ จากขอ้ มลู จากการดา้ นทกั ษะ 3. ให้ความรู้เก่ียวกับความเข้มเสียง โดยเน้นว่า ความเข้มเสียงรับรู้ได้ในรูป อภิปรายรว่ มกันเก่ียวกับผลการสงั เกตทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ของความดัง ซึ่งความดงั วัดไดเ้ ปน็ ระดับเสยี ง มีหนว่ ยเป็น เดซเิ บล 2. การวัด และความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและ1. การสังเกต (จากการฟังเสยี ง)2. การลงความเหน็ จากขอ้ มลู (จากการอภปิ ราย 4. สาธิตกิจกรรมเก่ียวกับระดับสูงตำ่�ของเสียง เช่น ให้นักเรียนฟังเสียงจาก ภาวะผนู้ �ำ (ถา้ มกี ารท�ำ กจิ กรรม) จากการท�ำ กจิ กรรม แหลง่ ก�ำ เนดิ เสยี งทใี่ หเ้ สยี งความถตี่ า่ ง ๆ กนั แลว้ อภปิ รายรว่ มกนั เพอ่ื สรปุ ตรวจวดั ระดบั เสียงและความถเี่ สียง ผลการสงั เกต) 3. การสอ่ื สาร จากการน�ำ เสนอ3. การวัด (จากการตรวจวัดระดับเสียงและ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเสียงต่ำ�หรือเสียงทุ้มและเสียงสูงหรือ เสยี งแหลมท่ไี ดย้ ินกับความถ่เี สียง ดา้ นจติ วิทยาศาสตร์ ความถเี่ สียง ถา้ มกี ารใหท้ �ำ กจิ กรรม) 1. ความมเี หตผุ ล จากการอภปิ รายรว่ มกนั และการสรปุทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 5. อาจให้นักเรียนแบ่งกลุ่มทำ�กิจกรรมตรวจวัดระดับเสียงและความถี่เสียง 2. การเห็นคุณค่าทางวิทยาศาสตร์ จากการอภิปราย1. การสอ่ื สาร (จากการน�ำ เสนอ) จากสถานทตี่ า่ ง ๆ โดยใชอ้ ปุ กรณว์ ดั ระดบั เสยี งหรอื อปุ กรณว์ ดั ความถเ่ี สยี ง2. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะ จากนั้นให้นักเรียนนำ�เสนอข้อมูลของระดับเสียงหรือความถี่เสียงที่ ร่ ว ม กั น เ กี่ ย ว กั บ ก า ร ใ ช้ ค ว า ม รู้ เ รื่ อ ง เ สี ย ง ม า ช่ ว ย ในด้านกฎหมาย ผนู้ �ำ (จากการท�ำ กจิ กรรมตรวจวดั ระดบั เสยี ง ตรวจวัดได้ ร่วมกันอภิปรายเพื่อสรุปเก่ียวกับระดับเสียงหรือความถี่เสียง 3. ความซ่ือสัตย์และความร่วมมือช่วยเหลือ จากการ และความถเ่ี สียง ถา้ มีการใหท้ ำ�กจิ กรรม) ตามสถานที่ตา่ ง ๆ ทำ�กิจกรรมตรวจวัดระดับเสียงและความถ่ีเสียง (ในกรณีท่มี ีการใหท้ ำ�กจิ กรรม)ดา้ นจติ วทิ ยาศาสตร์ 6. ใหน้ กั เรยี นสบื คน้ เกย่ี วกบั ผลของระดบั เสยี งทม่ี ตี อ่ การไดย้ นิ ระดบั เสยี งท่ี1. ความมีเหตุผล (จากการใช้หลักฐานและ กฎหมายแรงงานก�ำ หนด และความถข่ี องเสยี งในชว่ งตา่ ง ๆ ทม่ี นษุ ย์ และ สง่ิ มชี วี ติ อน่ื ๆ รบั รไู้ ด้ รวมทงั้ ความถที่ สี่ ามารถสรา้ งขน้ึ ไดจ้ ากอปุ กรณแ์ ละ เหตผุ ลในการอภปิ รายและสรปุ ) สง่ิ มีชวี ิตต่าง ๆ จากนั้นใหน้ กั เรียนน�ำ เสนอ
86 แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ตวั ชวี้ ดั การวิเคราะหต์ วั ชว้ี ัด2. การเห็นคุณค่าทางวิทยาศาสตร์ (จากการ 7. รว่ มกนั อภปิ รายและสรปุ เกยี่ วกบั ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความเขม้ เสยี งกบั แสดงออกถงึ การรบั รแู้ ละยอมรบั ในการใช้ ระดบั เสียง และผลของความถี่กบั ระดบั เสยี งที่มีตอ่ การไดย้ นิ เสียง วทิ ยาศาสตรม์ าชว่ ยด้านกฎหมาย)3. ความซื่อสตั ย์ (จากการบันทกึ ผลการวัด)4. ความรว่ มมอื ชว่ ยเหลอื (จากการท�ำ กจิ กรรม ตรวจวดั ระดบั เสยี งและความถเ่ี สยี งถา้ มกี าร ให้ท�ำ กิจกรรม)
วทิ ยาศาสตร์กายภาพ (ฟสิ ิกส์) ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5ตัวชี้วดั 87 17. สงั เกตและอธิบายการเกิดเสียงสะทอ้ นกลบั เสียงกอ้ ง บตี ดอปเพลอร์ และการสัน่ พอ้ งของเสยี งการวิเคราะห์ตัวช้วี ัด แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมินตวั ช้วี ัดดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยให้นักเรียนบอกเล่าประสบการณ์ หรือ ชมวีดิทัศน์ ดา้ นความรู้ เกย่ี วกบั การไดย้ นิ เสยี งสะทอ้ นกลบั ในบรเิ วณทม่ี พี นื้ ทก่ี วา้ ง ๆ เชน่ บรเิ วณ1. เสยี งจากแหลง่ ก�ำ เนดิ เดนิ ทางไปกระทบวตั ถุ ภูเขา ห้องประชุมหรือห้องกีฬาในร่ม จากน้ัน อภิปรายร่วมกันจนได้ เสียงสะท้อนกลับ เสียงก้อง บีต ดอปเพลอร์ และ แลว้ สะทอ้ นกลบั มายงั ผฟู้ งั ถา้ ผฟู้ งั ไดย้ นิ เสยี ง ข้อสรุปเกยี่ วกับความหมายของเสยี งสะทอ้ นกลบั การส่ันพ้องของเสียง จากการคำ�ถามตรวจสอบ ที่ออกจากแหล่งกำ�เนิดและเสียงที่สะท้อน ความเข้าใจระหว่างเรียน การสรุป คำ�ถามท้ายบท 2. ใหค้ วามรเู้ กยี่ วกบั เสยี งกอ้ ง และยกตวั อยา่ งสถานทต่ี า่ ง ๆ ทม่ี กี ารออกแบบ และแบบทดสอบ กลับมาแยกจากกัน เสียงท่ีได้ยินนี้เป็นเสียง ใหล้ ดการเกดิ เสยี งกอ้ ง จากนนั้ ตง้ั ค�ำ ถามเกย่ี วกบั แนวทางการลดเสยี งกอ้ ง สะทอ้ นกลบั และเสยี งสะทอ้ นกลบั ในสถานที่ตา่ ง ๆ รว่ มกนั อภิปราย ดา้ นทกั ษะ2. ถา้ ผฟู้ งั ไดย้ นิ เสยี งทอ่ี อกจากแหลง่ ก�ำ เนดิ และ 1. การสังเกต การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณ และ การลง เสียงท่ีสะท้อนกลับมาอย่างต่อเนื่องเหมือน 3. อภิปรายเพ่ือทบทวนความรู้เกี่ยวกับการรวมคล่ืนของคล่ืนเสียง จากนั้น เปน็ เสยี งเดยี วกนั เสยี งทไ่ี ดย้ นิ นเ้ี ปน็ เสยี งกอ้ ง ตง้ั ค�ำ ถามวา่ ถา้ คลนื่ เสยี งจากแหลง่ ก�ำ เนดิ เสยี งสองแหลง่ ทมี่ คี วามถต่ี า่ งกนั ความเหน็ จากขอ้ มลู จากการอภปิ รายรว่ มกนั เกย่ี วกบั3. เสียงจากแหล่งกำ�เนิดสองแหล่งท่ีมีความถี่ ผลการสงั เกต ตา่ งกนั ไมม่ ากมารวมกนั จะท�ำ ใหไ้ ดย้ นิ เสยี ง เลก็ น้อยมาพบกนั เสยี งทีไ่ ด้ยนิ จะเป็นอยา่ งไร 2. การพยากรณ์ จากการตอบคำ�ถามเกี่ยวกับ ทด่ี งั คอ่ ยสลบั กนั เปน็ จงั หวะเรยี กวา่ บตี ของ 4. สาธิตกิจกรรมเพื่อศึกษาการเกิดบีตของคล่ืนเสียง เช่น ใช้เคร่ืองกำ�เนิด การรวมคลน่ื ของคลน่ื เสยี งทม่ี คี วามถต่ี า่ งกนั เลก็ นอ้ ย เสียง4. เมอื่ แหลง่ ก�ำ เนดิ เสยี งเคลอ่ื นท ่ี ผฟู้ งั เคลอ่ื นที่ สญั ญาณเสยี งตอ่ กบั ลำ�โพงเหมอื นกนั จำ�นวน 2 ชดุ ปรบั ความถเ่ี สยี งของ ด้านจติ วิทยาศาสตร์ หรือท้ังแหล่งกำ�เนิดและผู้ฟังเคลื่อนที่ ผู้ฟัง ลำ�โพงให้ต่างกันเล็กน้อย แล้วถามนักเรียนว่า ถ้าเสียงที่มีความถี่ต่างกัน ความอยากรอู้ ยากเหน็ และความมีเหตุผล จากการ จะได้ยินเสียงที่มีความถ่ีเปล่ียนไป เรียกว่า เล็กน้อยมาพบกัน จะได้ยินเสียงเป็นอย่างไร จากนั้นให้นักเรียนสังเกต ปรากฎการณ์ดอปเพลอร์ เสยี งทด่ี า้ นหนา้ ของล�ำ โพงทง้ั 2 ตวั อภปิ รายรว่ มกนั เพอ่ื ลงขอ้ สรปุ เกย่ี วกบั ร่วมทำ�กิจกรรม การอภิปรายรว่ มกนั และการสรุป5. ถ้าอากาศในท่อถูกกระตุ้นด้วยคล่ืนเสียงท่ีมี บตี ของเสยี ง ความถี่ตรงกับความถี่ธรรมชาติของอากาศ 5. น�ำ เขา้ สเู่ รอ่ื งปรากฏการณด์ อปเพลอรโ์ ดยใหน้ กั เรยี นบอกเลา่ ประสบการณ์ ในทอ่ น้ัน จะเกิดการสัน่ พอ้ งของเสยี ง เกี่ยวกับ การได้ยินเสียงไซเรนจากรถดับเพลิงหรือรถกู้ภัยท่ีวิ่งเข้าหาและ ว่ิงออกจากนักเรียน จากน้ันตั้งคำ�ถามว่า เสียงที่ได้ยินมีลักษณะอย่างไร อภิปรายร่วมกนั
88 แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ตวั ชว้ี ดั การวิเคราะหต์ ัวชวี้ ัดด้านทักษะ 6. สาธิตกิจกรรมเกี่ยวกับปรากฏการณ์ดอปเพลอร์ เช่น ใช้เชือกผูกแหล่ง กำ�เนิดเสียงเหวี่ยงเป็นวงกลมในแนวราบเหนือศีรษะ ให้นักเรียนสังเกตทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เสียงท่ีได้ยินขณะแหล่งกำ�เนิดเสียงเคลื่อนท่ีเข้าหาและเคลื่อนที่ออกจาก1. การสังเกต (บีตและเสียงท่ีเกิดจากการ นกั เรยี น อภปิ รายรว่ มกนั เพอ่ื ลงขอ้ สรปุ เกย่ี วกบั ปรากฏการณด์ อปเพลอร์ สนั่ พอ้ ง) ในกรณีที่แหล่งกำ�เนิดเสียงเคล่ือนท่ี โดยผ้ฟู งั อยู่น่งิ2. การลงความเห็นจากข้อมูล (จากการ 7. ให้ความรู้เกี่ยวกับปรากฏการณ์ดอปเพลอร์ ในกรณีท่ีแหล่งกำ�เนิดเสียง อยนู่ งิ่ โดยผฟู้ งั เคลอื่ นที่ และกรณที ท่ี งั้ แหลง่ ก�ำ เนดิ เสยี งและผฟู้ งั เคลอื่ นที่ อภิปรายผลการสงั เกต)3. การพยากรณ์ (ผลท่ีเกิดขึ้นเม่ือคล่ืนเสียง ดว้ ยความเรว็ ต่างกนั 8. น�ำ เขา้ สเู่ รอ่ื ง การสน่ั พอ้ งของเสยี งโดย อภปิ รายรว่ มกนั เพอ่ื ทบทวนความรู้ ความถีต่ า่ งกนั เลก็ นอ้ ย มารวมกัน) เกย่ี วกบั ความถธ่ี รรมชาตแิ ละการสน่ั พอ้ ง จากนน้ั ถามนกั เรยี นวา่ เสยี งมกี ารทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 สน่ั พอ้ งไดห้ รือไม่ อย่างไร อภิปรายร่วมกนั การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณ (จากการอภปิ ราย 9. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มทำ�กิจกรรมเพื่อศึกษาการสั่นพ้องของเสียง เช่น และลงข้อสรุปเกี่ยวกับการสะท้อนกลับ ใช้แหล่งกำ�เนิดเสียงให้เสียงท่ีมีความถี่ท่ีเหมาะสมไปจ่อที่ปากของท่อ บตี ดอปเพลอร์ และการสนั่ พอ้ งของเสยี ง) สูงท่ีปลายอีกด้านหน่ึงจุ่มอยู่ในถังนำ้�ซ่ึงมีนำ้�อยู่เกือบเต็มถัง สังเกตเสียง ที่ได้ยิน จากน้ันค่อย ๆ เล่ือนปลายท่อให้จมลงไปในน้ำ� สังเกตความดังดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ ของเสียงจนได้ยินเสียงดังที่สุด อภิปรายร่วมกันและสรุปเกี่ยวกับการ1. ความอยากรู้อยากเห็น (จากความกระตือ สั่นพ้องของเสียงในท่อ รือร้นในการมีส่วนร่วมทำ�กิจกรรมบีตและ การส่นั พ้องของเสียง)2. ความมีเหตุผล (จากการใช้หลักฐานและ เหตุผลในการอภปิ รายและสรุป)
วิทยาศาสตรก์ ายภาพ (ฟสิ กิ ส์) ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5ตวั ช้ีวัด 89 18. สืบคน้ ข้อมูลและยกตัวอยา่ งการน�ำ ความร้เู กยี่ วกบั เสียงไปใชป้ ระโยชนใ์ นชีวติ ประจ�ำ วนั การวเิ คราะหต์ ัวช้วี ัด แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ตัวช้วี ดัดา้ นความรู้ 1. น�ำ เขา้ ส่บู ทเรยี นโดยใหน้ กั เรยี นทำ�กิจกรรม เช่น เปิดเพลงทมี่ ที ่วงท�ำ นอง ด้านความรู้ และจงั หวะทแ่ี ตกตา่ งกนั ใหน้ กั เรยี นฟงั แลว้ ตงั้ ค�ำ ถามใหน้ กั เรยี นอภปิ ราย ความรู้เกี่ยวกับเสียงนำ�ไปใช้ประโยชน์ใน เกี่ยวกับ ความรู้สึกท่ีได้จากการฟังเพลง และความเหมาะสมของเพลง การนำ�ความรู้เรื่องเสียงมาใช้ประโยชน์ในชีวิต ด้านต่าง ๆ เช่น การออกแบบเครื่องดนตรี ทไ่ี ดย้ นิ กบั การน�ำ ไปเปดิ ในสถานทต่ี า่ ง ๆ จากนน้ั ตง้ั ค�ำ ถามวา่ ความรเู้ กย่ี วกบั ประจ�ำ วนั จากค�ำ ถามตรวจสอบความเขา้ ใจระหวา่ ง ก า ร ป รั บ เ ที ย บ เ สี ย ง ข อ ง เ ค รื่ อ ง ด น ต รี เรยี น การสรปุ ค�ำ ถามทา้ ยบทและแบบทดสอบ เสียงสามารถนำ�ไปใช้ประโยชนใ์ นดา้ นใดได้อีกบา้ ง อภปิ รายรว่ มกนั การอธิบายการเปล่งเสียงของมนุษย์ หรือ 2. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มและสืบค้นเก่ียวกับการนำ�ความรู้เรื่องเสียงมาใช้ ดา้ นทักษะ การตรวจวนิ ิจฉัยอวัยวะภายในรา่ งกาย 1. การส่ือสาร จากการนำ�เสนอผลการท�ำ กจิ กรรม ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ในชีวิตประจำ�วัน โดยกำ�หนดหัวข้อการสืบค้น 2. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ�ดา้ นทักษะ เชน่ การใชป้ ระโยชนข์ องเสยี งในดา้ นการแพทย ์ ดา้ นการออกแบบเครอื่ ง จากการร่วมกันสืบคน้ ขอ้ มูลและนำ�เสนอ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ดนตรี ดา้ นการเปลง่ เสียงของมนุษย์ จากนนั้ ให้นกั เรียนน�ำ เสนอ - 3. ร่วมกันอภิปรายและสรุปเก่ียวกับการนำ�ความรู้เก่ียวกับเสียงไปใช้ ด้านจติ วทิ ยาศาสตร์ทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 ประโยชนใ์ นชีวติ ประจ�ำ วนั 1. ความอยากรอู้ ยากเหน็ จากขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากการสบื คน้1. การสอ่ื สาร (จากการนำ�เสนอ)2. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะ และการอภิปรายรว่ มกนั 2. ความรว่ มมอื ชว่ ยเหลอื จากการรว่ มกนั สบื คน้ ขอ้ มลู ผู้นำ� (จากการร่วมกันสืบค้นข้อมูลและ การน�ำ เสนอ) และการน�ำ เสนอ 3. การเห็นคุณค่าทางวิทยาศาสตร์ จากการอภิปรายดา้ นจิตวิทยาศาสตร์1. ความอยากรู้อยากเห็น (ความสนใจสืบค้น ร่วมกนั การตอบคำ�ถาม และการนำ�เสนอ ข้อมลู จากหลากหลายแหล่งทมี่ า)2. ความร่วมมือช่วยเหลือ (จากการร่วมกัน สืบคน้ )3. การเห็นคุณค่าทางวิทยาศาสตร์ (จากการ แสดงออกถึงการรับรู้และยอมรับในการนำ� ความรทู้ างวทิ ยาศาสตรข์ องเสยี งมาประยกุ ต์ ใช้ในด้านต่าง ๆ)
90 ตวั ช้วี ัด 19. สังเกตและอธิบายการมองเหน็ สีของวัตถแุ ละความผิดปกตใิ นการมองเห็นสี การวิเคราะหต์ ัวชว้ี ัด แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมินตัวชว้ี ดัด้านความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียนโดยให้นักเรียนทำ�กิจกรรม เช่น สังเกตสิ่งของต่าง ๆ ด้านความรู้ รอบ ๆ ตัว จากนั้นตั้งคำ�ถามว่า ทำ�ไมเราจึงมองเห็นวัตถุเป็นสีต่าง ๆ ได้1. การมองเห็นสีของวัตถุ ขึ้นอยู่กับเซลล์ อภปิ รายรว่ มกนั การมองเห็นวัตถุเป็นสีต่าง ๆ และความผิดปกติ รับแสงภายในดวงตา 2. อภปิ รายรว่ มกนั เพอื่ ทบทวนความรเู้ กยี่ วกบั สเปกตรมั ของแสงขาว จากนนั้ ใ น ก า ร ม อ ง เ ห็ น สี จ า ก คำ � ถ า ม ต ร ว จ ส อ บ ค ว า ม2. เมอื่ แสงตกกระทบวตั ถุ วตั ถจุ ะดดู กลนื แสงสี เข้าใจระหว่างเรียน การสรุป คำ�ถามท้ายบทและ บางสี และจะสะท้อนหรือส่งผ่านแสงสี ใหค้ วามรู้เกี่ยวกบั การมองเห็นสีของวัตถวุ ่า ขนึ้ อย่กู บั เซลล์รบั แสงภายใน แบบทดสอบ ดวงตา โดยอาจใชแ้ ผนภาพหรอื วีดทิ ัศนแ์ สดงกระบวนการรบั รูแ้ สงสขี อง ทเ่ี หลอื ออกมา ท�ำ ใหม้ องเหน็ วตั ถเุ ปน็ สตี า่ ง ๆ ดวงตาประกอบการอธบิ าย ด้านทักษะ3. การท่ีวัตถุจะสะท้อนหรือส่งผ่านแสงสีอะไร 3. ตง้ั ค�ำ ถามวา่ ถา้ แสงสที แ่ี ตกตา่ งกนั ตกกระทบกบั วตั ถสุ ใี ดสหี นง่ึ เราจะมองเหน็ การสังเกต การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการลง สีของวัตถนุ ้นั เปล่ยี นแปลงไปหรอื ไม่ อยา่ งไร อภิปรายรว่ มกัน อ อ ก ม า ขึ้ น กั บ ส า ร สี บ น ผิ ว วั ต ถุ แ ล ะ แ ส ง สี 4. ให้นักเรียนทำ�กิจกรรมการฉายแสงบางสีบนวัตถุที่มีสีต่าง ๆ แล้วให้ ความเหน็ จากขอ้ มลู จากการอภปิ รายรว่ มกนั เกย่ี วกบั ท่ีตกกระทบ นักเรียนสังเกตและอภิปรายร่วมกัน เพื่อสรุปว่าการมองเห็นสีของวัตถุ ผลการสังเกต4. ความผดิ ปกตใิ นการมองเหน็ สหี รอื การบอดสี ขน้ึ กบั แสงสที ี่ตกกระทบวตั ถุและสขี องวตั ถุ เกิดจากความบกพร่องของเซลล์รูปกรวย 5. ให้ความรู้เกี่ยวกับสารสีบนผิววัตถุและผลของสารสีต่อการมองเห็นสี ดา้ นจติ วิทยาศาสตร์ บนจอตา ของสง่ิ ต่าง ๆ ความมเี หตผุ ล จากการอภปิ รายรว่ มกนั และการสรปุ 6. ให้นักเรียนทำ�กิจกรรมเก่ียวกับความผิดปกติในการมองเห็นสีหรือการดา้ นทกั ษะ บอดสี เช่น ใช้อุปกรณ์ทดสอบการบอดสีแล้วให้นักเรียนสังเกตสีหรือทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สัญลักษณ์ จากนั้นร่วมกันอภิปรายและสรุปเก่ียวกับสาเหตุท่ีทำ�ให้เกิด1. การสงั เกต (สบี นวตั ถจุ ากการท�ำ กจิ กรรมการ การบอดสี ฉายแสงบางสีบนวตั ถสุ ตี า่ ง ๆ)2. การลงความเหน็ จากขอ้ มลู (จากการอภปิ ราย ผลการสงั เกต)ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณ (จากการอภปิ ราย และลงขอ้ สรปุ เกย่ี วกบั การมองเหน็ สขี องวตั ถ)ุ
วิทยาศาสตร์กายภาพ (ฟสิ ิกส์) ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 5 91 การวเิ คราะหต์ ัวช้ีวัด แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ตวั ชว้ี ัดด้านจติ วทิ ยาศาสตร์ ความมีเหตุผล (จากการใช้หลักฐานและ เหตุผลในการอภิปรายและสรุป)
92 ตวั ชีว้ ดั 20. สังเกตและอธิบายการทำ�งานของแผ่นกรองแสงสี การผสมแสงสี การผสมสารสีและการนำ�ไปใชป้ ระโยชนใ์ นชวี ติ ประจ�ำ วนัการวิเคราะหต์ ัวชี้วัด แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมินตวั ชวี้ ัดด้านความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี นโดยตง้ั ค�ำ ถาม เชน่ ถา้ ฉายแสงขาวผา่ นตวั กลางโปรง่ แสง ดา้ นความรู้ ที่มสี ีต่าง ๆ ไปยังฉากสีขาว จะมองเหน็ สที ปี่ รากฏบนฉากเป็นสีอะไรบ้าง1. แผ่นกรองแสงสียอมให้แสงสีบางสีผ่านออก อภปิ รายร่วมกัน 1. การทำ�งานของแผ่นกรองแสงสีการผสมสารสี และ ไปได้และก้ันบางแสงสี การผสมแสงสี จากคำ�ถาม ตรวจสอบ ความเข้าใจ 2. สาธิตการนำ�แผ่นโปร่งแสงท่ีมีสีต่าง ๆ ไปวางไว้ระหว่างแหล่งกำ�เนิด ระหวา่ งเรยี น การสรปุ ค�ำ ถามทา้ ยบทและแบบทดสอบ2. การผสมแสงสีทำ�ให้ได้แสงสีที่หลากหลาย แสงขาวกบั ฉากขาว ใหน้ กั เรยี นสงั เกตสที ป่ี รากฏบนฉาก อภปิ รายรว่ มกนั เปลย่ี นไปจากแสงสเี ดมิ ถ้าน�ำ แสงสีปฐมภูมิ 2. การนำ�แผ่นกรองแสง หลักการผสมสารสี และ ในสดั สว่ นทเ่ี หมาะสมมาผสมกนั จะไดแ้ สงขาว จนไดข้ ้อสรปุ เกีย่ วกับ การท�ำ งานของแผน่ กรองแสงสี หลักการผสมแสงสีไปใช้ประโยชน์ใน ด้านต่าง ๆ 3. ให้ความรเู้ กี่ยวกับแสงสปี ฐมภมู ิ จากนั้นสาธิตหรอื ใหน้ ักเรยี นชมวีดทิ ัศน์ จากการนำ�เสนอ คำ�ถามทา้ ยบทและแบบทดสอบ3. การผสมสารสีทำ�ให้ได้สารสีที่หลากหลาย เปลีย่ นไปจากสารสีเดิม ถา้ น�ำ สารสีปฐมภมู ิ เกย่ี วกบั การผสมแสงสี อภปิ รายรว่ มกนั จนไดข้ อ้ สรปุ เกย่ี วกบั การผสมแสงสี ด้านทกั ษะ 4. ให้ความรู้เกี่ยวกับสารสีปฐมภูมิ จากน้ันสาธิตหรือให้นักเรียนชมวีดิทัศน์ 1. การสงั เกต และ การลงความเหน็ จากขอ้ มลู จากการ ใ น ป ริ ม า ณ ที่ เ ท่ า กั น ม า ผ ส ม กั น จ ะ ไ ด้ สารสีผสมเป็นสดี ำ� เกย่ี วกบั การผสมสารสี อภปิ รายรว่ มกนั จนไดข้ อ้ สรปุ เกย่ี วกบั การผสมสารสี อภปิ รายรว่ มกนั และการสรปุ4. การผสมแสงสีและการผสมสารสีสามารถ 5. ใหน้ กั เรยี นแบง่ กลมุ่ และสบื คน้ เกย่ี วกบั การน�ำ ความรเู้ กย่ี วกบั แผน่ กรองแสงสี 2. การจำ�แนกประเภทจากคำ�ถามตรวจสอบความ น�ำ ไปใชป้ ระโยชนใ์ นดา้ นตา่ ง ๆ เชน่ ดา้ นศลิ ปะ ด้านการแสดง การผสมแสงสี และการผสมสารส ี ไปใชป้ ระโยชนใ์ นชวี ติ ประจ�ำ วนั จากนน้ั เขา้ ใจระหวา่ งเรยี น ค�ำ ถามทา้ ยบทและแบบทดสอบ ให้นกั เรียนนำ�เสนอ 3. ความร่วมมือ การทำ�งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ ำ�และด้านทักษะ 6. ร่วมกันอภิปรายและสรุปเกี่ยวกับแผ่นกรองแสงสี การผสมแสงสี และ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การส่ือสาร จากการร่วมกันสืบค้นข้อมูลและการ 1. การสังเกต (สีบนฉาก และสีต่าง ๆ จากการ การผสมสารสี นำ�เสนอ ผสมแสงสี และการผสมสารสี) ดา้ นจติ วิทยาศาสตร์2. การจำ�แนกประเภท (จำ�แนกแสงสีและสาร 1. ความมีเหตุผลและการเห็นคุณค่าทางวิทยาศาสตร์ สีปฐมภูมิ และแสงสแี ละสารสที ตุ ิยภมู )ิ จากการอภปิ รายรว่ มกนั การสรปุ และการตอบค�ำ ถาม3. การลงความเหน็ จากขอ้ มลู (จากการอภปิ ราย 2. ความรว่ มมอื ชว่ ยเหลอื จากการรว่ มกนั สบื คน้ ขอ้ มลู ผลการสังเกตในกิจกรรมแผ่นกรองแสงสี และการน�ำ เสนอ การผสมแสงสี และการผสมสารสี)
วิทยาศาสตร์กายภาพ (ฟสิ ิกส์) ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 5 93 การวิเคราะหต์ ัวชวี้ ดั แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ตวั ชว้ี ัดทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 211. การสอ่ื สาร (การนำ�เสนอ)2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะ ผ้นู ำ� (จากการสบื คน้ และการนำ�เสนอ)ด้านจิตวทิ ยาศาสตร์1. ความมีเหตุผล (จากการใช้หลักฐานและ เหตผุ ลในการอภปิ รายและสรุป)2. ความร่วมมือช่วยเหลือ (จากการสืบค้น และการน�ำ เสนอ)3. การเห็นคุณค่าทางวิทยาศาสตร์ (จากการ แสดงออกถงึ การรบั รแู้ ละยอมรบั ในการน�ำ ความรู้ด้านการผสมแสงสี การผสมสารสี มาประยกุ ตใ์ ช้ในด้านต่าง ๆ)
94 ตวั ช้ีวดั 21. สบื คน้ ข้อมลู และอธิบายคล่นื แม่เหล็กไฟฟ้า ส่วนประกอบของคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ และหลกั การทำ�งานของอปุ กรณ์บางชนิดทีอ่ าศัยคล่นื แม่เหล็กไฟฟ้า การวิเคราะหต์ ัวช้ีวัด แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมินตวั ช้วี ดัดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียนและทบทวนความรู้เดิมเก่ียวกับคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า ดา้ นความรู้ โดยให้นักเรียนทำ�กิจกรรม เช่น ให้พิจารณาภาพแสดงอุปกรณ์หรือ1. คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ประกอบดว้ ยสนามแมเ่ หลก็ กิจกรรมที่มีการใช้ ประโยชน์จากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแล้วให้ระบุชนิด 1. ส่วนประกอบของคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า จากคำ�ถาม และสนามไฟฟ้าท่ีเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าท่ีเกี่ยวข้องในภาพน้ัน จากนั้นตั้งคำ�ถามว่า ตรวจสอบความเขา้ ใจระหวา่ งเรยี น การสรปุ ค�ำ ถาม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีส่วนประกอบอะไร จึงสามารถนำ�มาใช้ประโยชน์ ทา้ ยบทและแบบทดสอบ โดยสนามทั้งสองมีทิศทางตั้งฉากกัน และ ได้หลากหลายดา้ น อภิปรายร่วมกัน ต้งั ฉากกับทศิ ทางการเคล่ือนทขี่ องคลื่น 2. หลักการทำ�งานของเคร่ืองควบคุมระยะไกล 2. อปุ กรณบ์ างชนดิ ท�ำ งานโดยอาศยั คลน่ื แมเ่ หลก็ 2. ให้ความรู้เก่ียวกับส่วนประกอบของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จากนั้นถาม เคร่ืองถ่ายภาพเอกซเรย์ และเครื่องถ่ายภาพ ไฟฟ้า เช่น เคร่ืองควบคุมระยะไกล เคร่ือง นักเรียนว่า อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ทำ�งานโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น การสน่ั พอ้ งแมเ่ หลก็ จากการน�ำ เสนอ ค�ำ ถามทา้ ยบท เครอ่ื งควบคมุ ระยะไกล เครอ่ื งถา่ ยภาพเอกซเรยค์ อมพวิ เตอร์ เครอ่ื งถา่ ยภาพ ถ่ายภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ และ เคร่ือง และแบบทดสอบ ถ่ายภาพการสั่นพ้องแมเ่ หล็ก การส่ันพ้องแม่เหล็ก มหี ลักการท�ำ งานอยา่ งไร 3. ใหน้ กั เรยี นแบง่ กลมุ่ และสบื คน้ เกยี่ วกบั หลกั การท�ำ งานของเครอื่ งควบคมุ ดา้ นทกั ษะด้านทกั ษะ 1. การหาความสัมพันธ์ของสเปซกับเวลา จากคำ�ถามทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ระยะไกล เครื่องถ่ายภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ และ เครื่องถ่ายภาพ การหาความสัมพันธ์ของสเปซกับเวลา การสน่ั พอ้ งแมเ่ หลก็ จากนน้ั ใหน้ �ำ เสนอ อภปิ รายรว่ มกนั เพอ่ื ใหไ้ ดข้ อ้ สรปุ วา่ ตรวจสอบความเข้าใจระหว่างเรียน คำ�ถามท้ายบท (การอภปิ รายสว่ นประกอบของคลน่ื แมเ่ หลก็ - เครื่องควบคุมระยะไกลใช้แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์แปลงคำ�ส่ังต่าง ๆ และแบบทดสอบ ให้อยู่ในรูปของการส่งรังสีอินฟราเรด หรือ คลื่นวิทยุ ไปยังเคร่ืองใช้ 2. การสื่อสาร จากการน�ำ เสนอผลการทำ�กิจกรรม ไฟฟา้ ) หรอื อุปกรณ์ไฟฟา้ 3. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 - เครอ่ื งถา่ ยภาพเอกซเรยค์ อมพวิ เตอรค์ วบคมุ ใหแ้ หลง่ ก�ำ เนดิ รงั สเี อกซ์ จากการร่วมกนั สืบคน้ ข้อมูลและนำ�เสนอ1. การสือ่ สาร (จากการนำ�เสนอผลการสืบค้น) ฉายรังสีเอกซ์ไปยังอวัยวะท่ีต้องการวินิจฉัยพร้อมเคลื่อนที่ไปรอบ ๆ2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ และบนั ทกึ ผลการฉายรงั สที มี่ มุ ตา่ ง ๆ แลว้ สง่ ขอ้ มลู ไปยงั คอมพวิ เตอร์ ดา้ นจติ วิทยาศาสตร์ (จากการรว่ มกันสบื ค้นและนำ�เสนอ) สำ�หรับการประมวลผลและสร้างภาพ 3 มิติ ความมีเหตุผลและการเห็นคุณค่าทางวิทยาศาสตร์ - เครื่องถ่ายภาพการสั่นพ้องแม่เหล็กสร้างสนามแม่เหล็กความเข้มสูงด้านจติ วทิ ยาศาสตร์ รอบ ๆ อวัยวะที่ต้องการวินิจฉัย ส่งผลให้นิวเคลียสของไฮโดรเจน จากการอภิปรายร่วมกัน การสรุป และการตอบ1. ความมเี หตผุ ล (จากการใชข้ อ้ มลู และหลกั ฐาน ในน้ำ�และไขมันมีการเรียงตัวกันตามสนามแม่เหล็ก จากน้ัน คำ�ถาม ในการอภปิ รายและสรปุ ) จะมีการส่งและหยุดส่งคล่ืนวิทยุที่มีความถี่ส่ันพ้องกับนิวเคลียส
วิทยาศาสตร์กายภาพ (ฟสิ ิกส์) ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 5 95 การวิเคราะหต์ ัวชี้วัด แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ตวั ชว้ี ัด2. การเห็นคุณค่าทางวิทยาศาสตร์ (จากการ ของไฮโดรเจน ซึ่งส่งผลให้นิวเคลียสมีการปล่อยคล่ืนวิทยุออกมา แสดงออกถึงการยอมรับในการนำ�ความรู้ และถูกตรวจวัดด้วยเครื่องตรวจวัดคลื่นวิทยุรอบ ๆ ก่อนจะส่งไปยัง เกย่ี วกบั คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ มาใชป้ ระโยชน)์ คอมพวิ เตอร์สำ�หรบั ประมวลผลและสรา้ งภาพ 3 มติ ิ
96 ตัวชีว้ ัด 22. สบื ค้นขอ้ มลู และอธิบายการส่ือสารโดยอาศัยคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟา้ ในการส่งผ่านสารสนเทศและเปรียบเทยี บการสอ่ื สารด้วยสัญญาณแอนะล็อกกับสัญญาณดจิ ิทัลการวเิ คราะห์ตวั ชีว้ ัด แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ตัวช้ีวัดดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียนโดยตั้งคำ�ถาม เช่น การส่ือสารด้วย โทรศัพท์เคลื่อนที่ ด้านความรู้ การส่งสัญญาณโทรทศั น์ หรือ วิทยุ มีการใช้อะไรเปน็ ตัวนำ�สญั ญาณจาก1. การสื่อสารโดยอาศัยคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า ผู้สง่ ไปยงั ผ้รู บั อภปิ รายร่วมกนั 1. การสอื่ สารโดยอาศยั คลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ จากค�ำ ถาม ตรวจสอบความเข้าใจระหว่างเรียนการนำ�เสนอ เพอื่ สง่ ผา่ นสารสนเทศจากทหี่ นง่ึ ไปอกี ทห่ี นงึ่ 2. ใหน้ กั เรยี นแบง่ กลมุ่ และสบื คน้ เกย่ี วกบั การสอ่ื สารโดยอาศยั คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ คำ�ถามทา้ ยบทและแบบทดสอบ ในการสง่ ผ่านสารสนเทศ จากนน้ั ให้นักเรียนน�ำ เสนอ สารสนเทศจะถูกแปลงให้อยู่ในรูปสัญญาณ 3. อภิปรายร่วมกันเพ่ือให้ได้ข้อสรุปว่า การส่ือสารโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็ก 2. ความแตกตา่ งระหวา่ งการสอ่ื สารดว้ ยสญั ญาณดจิ ทิ ลั กับสัญญาณแอนะล็อก รวมท้ัง ข้อดี และข้อจำ�กัด ไฟฟ้า ซึ่งจะถูกส่งไปกับคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า ไฟฟา้ สารสนเทศ เชน่ เสยี งหรอื ภาพ จะถกู แปลงใหอ้ ยใู่ นรปู สญั ญาณไฟฟา้ ซึ่งจะถูกส่งไปกับคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า จนถึงปลายทาง แล้วจะมีการแปลง ในการสอ่ื สารดว้ ยสญั ญาณทงั้ สองประเภท จากการ จนถงึ ปลายทางแลว้ แปลงกลบั มาเปน็ สญั ญาณ อภิปรายร่วมกัน การนำ�เสนอ คำ�ถามท้ายบทและ กลับมาเปน็ สัญญาณไฟฟ้าและสารสนเทศทเ่ี หมอื นเดิม แบบทดสอบ ไฟฟา้ และสารสนเทศท่เี หมอื นเดิม 4. ให้ความรู้เก่ียวกับสัญญาณแอนะล็อกและสัญญาณดิจิทัล จากนั้น ด้านทกั ษะ2. สัญญาณนทท่ีใี่ใชช้ใ้ในนกกาารรส่ือ่ือสสารมีสองชนิดคือ ถามนักเรียนว่า การสื่อสารด้วยสัญญาณแอนะล็อกกับสัญญาณดิจิทัล 1. การสื่อสาร การสร้างสรรค์และนวัตกรรม จากการ มขี ้อดีหรือข้อจำ�กดั แตกตา่ งกนั อยา่ งไร อภิปรายร่วมกนั แอนะลอ๊็ กและดจิ ทิ ลั การสง่ ผา่ นสารสนเทศ 5. ให้นักเรียนสืบค้นเกี่ยวกับข้อดีและข้อจำ�กัดของการส่ือสารด้วยสัญญาณ นำ�เสนอ 2. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� ด้วยสัญญาณดิจิทัลสามารถส่งผ่านได้ง่าย ทง้ั 2 ชนิด จากนัน้ ให้นักเรียนนำ�เสนอ 6. อาจให้นักเรยี นทำ�กิจกรรมเพิม่ เตมิ เกย่ี วกับการรับสง่ สัญญาณแอนะลอ็ ก จากการร่วมกันสบื คน้ ขอ้ มูลและน�ำ เสนอ แ ล ะ มี ค ว า ม ผิ ด พ ล า ด น้ อ ย ก ว่ า สั ญ ญ า ณ กับสัญญาณดิจิทัล เพ่ือเปรียบเทียบข้อดีและข้อจำ�กัดของการรับส่ง 3. การจ�ำ แนกประเภท และการคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณ แอนะลอ๊ ็อกก สัญญาณทง้ั สอง จากคำ�ถามตรวจสอบความเข้าใจระหว่างเรียน 7. ร่วมกันอภิปรายเพ่ือเปรียบเทียบการส่ือสารด้วยสัญญาณดิจิทัลและ ค�ำ ถามทา้ ยบทและแบบทดสอบดา้ นทกั ษะททักกั ษษะะกกรระะบบววนนกกาารรททาางงววิทิทยยาาศศาาสสตตรร์์ สญั ญาณแอนะล็อก จากน้นั รว่ มกนั สรุป ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์11.. กกาารรจจำ��ำ แแนนกกปปรระะเเภภทท ((ปปรระะเเภภททขขอองงสสัญัญญญาาณณ)) ความอยากรู้อยากเห็น ความมีเหตุผล และการเหน็ททกัักษษะะแแหห่ง่งศศตตววรรรรษษทที่่ี 221111.. กกาารรสสือ่่ือสสาารร ((จจาากกกกาารรนนำ��ำ เเสสนนออ)) คุณค่าทางวิทยาศาสตร์จากข้อมูลที่ได้ จากการ22.. กกาารรคคดิดิ ออยยา่า่ งงมมวีวี จิจิ าารรณณญญาาณณ ((จจาากกกกาารรปปรระะเเมมนินิ สบื คน้ และการอภปิ รายร่วมกนั ขขอ้้อมมลู ูลททไ่ี ด่ีไดจ้ ้าจกากกากราสรบื สคืบน้ คแ้นละแกลาระเกปารรยี เบปเทรียยี บบ สเทญั ยี ญบาสณญั ดญจิ าทิ ณลั กดบัจิ ทสิ ญัลั กญบั าสณญั แญอนาณะลแอ๊ อกน) ะลอ็ ก)33.. กกาารรสสรราา้้ งงสสรรรรคคแแ์์ ลละะนนววตตัั กกรรรรมม((จจาากกกกาารรนน��ำำ เเสสนนออ))44.. คกวาารมทรำ�ว่ งมานมอืรว่ กมากรทัน�ำ (งจาานกเกปาน็ รททมี ำ�แกลจิ ะกภรารวมะ)ผนู้ �ำ (จากการท�ำ กจิ กรรม)
วิทยาศาสตร์กายภาพ (ฟสิ ิกส์) ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 5 97 การวเิ คราะห์ตัวช้วี ดั แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ตวั ชว้ี ัดดา้ นจิตวิทยาศาสตร์1. ความอยากรู้อยากเห็น (จากการสนใจ แ ส ว ง ห า ค ว า ม รู้ แ ล ะ ค ว า ม ก ร ะ ตื อ รื อ ร้ น ในการสบื ค้นและการอภิปราย)2. ความมีเหตุผล (จากการใช้ข้อมูลและ เหตุผลในการอภปิ รายและสรปุ )3. การเห็นคุณค่าทางวิทยาศาสตร์ (จากการ แสดงออกถึงการยอมรับในการนำ�ความรู้ เกย่ี วกบั คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ มาใชป้ ระโยชน)์
98 วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6
ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 6 วทิ ยาศาสตรโ์ ลกและอวกาศสาระท่ี 3 วทิ ยาศาสตร์โลก และอวกาศ ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6 99มาตรฐาน ว 3.1 เขา้ ใจองคป์ ระกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกิด และวิวฒั นาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสมั พนั ธภ์ ายในระบบสุริยะที่ ส่งผลต่อสิ่งมชี วี ติ บนโลก และการประยกุ ตใ์ ช้เทคโนโลยอี วกาศตัวชวี้ ัด 1. อธิบายการก�ำ เนดิ และการเปล่ยี นแปลงพลังงาน สสาร ขนาด อุณหภมู ขิ องเอกภพหลังเกิดบิกแบงในช่วงเวลาตา่ ง ๆ ตามวิวฒั นาการของเอกภพ 2. อธบิ ายหลักฐานทีส่ นบั สนนุ ทฤษฎีบิกแบง จากความสัมพนั ธ์ระหว่างความเรว็ กับระยะทางของกาแล็กซี รวมท้ังขอ้ มลู การคน้ พบไมโครเวฟพ้ืนหลังจากอวกาศการวเิ คราะห์ผลการเรียนรู้ แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ดา้ นความรู้ 1. นำ�เขา้ สบู่ ทเรยี น โดยเลือกใชต้ วั อยา่ งดงั ต่อไปน้ี ด้านความรู้ 1.1 บรรยายหรอื วาดรูป โดยเรม่ิ จากตัวเองขยายจนถึงขอบเขตเอกภพ 1. การกำ�เนิดเอกภพตามทฤษฎีบกิ แบง การกำ�เนิดเอกภพตามทฤษฎีบิกแบง วิวัฒนาการ2. ววิ ัฒนาการของเอกภพ ตามจนิ ตนาการของตนเอง แลว้ รว่ มกนั อภปิ รายเกย่ี วกบั องคป์ ระกอบ ของเอกภพ และหลักฐานสนับสนุนทฤษฎีบิกแบง3. หลกั ฐานสนบั สนนุ ทฤษฎีบกิ แบง ของเอกภพ และต�ำ แหน่งของเราในเอกภพ จากผลงานและการตอบค�ำ ถามระหวา่ งการน�ำ เสนอ 1.2 รว่ มกนั ตง้ั ค�ำ ถาม และอภปิ รายเกย่ี วกบั สง่ิ ทร่ี แู้ ลว้ หรอื สง่ิ ทน่ี กั เรยี น ผลงาน การร่วมอภิปรายเพ่ือสรุปองค์ความรู้ และดา้ นทกั ษะ อยากรู้เกี่ยวกบั เอกภพ แบบฝกึ หัดหรอื แบบทดสอบทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 2. ทำ�กิจกรรมร่วมกันเปน็ กล่มุ โดยปฏบิ ตั ดิ งั ต่อไปน้ี1. การจดั กระทำ�และสอื่ ความหมายข้อมลู 2.1 สบื คน้ ขอ้ มลู น�ำ เสนอผลงาน และรว่ มกนั อภปิ ราย เกย่ี วกบั การก�ำ เนดิ ด้านทักษะ2. การตีความหมายข้อมูลและลงขอ้ สรปุ และววิ ฒั นาการของเอกภพ ตามทฤษฏบี กิ แบง โดยมปี ระเดน็ ส�ำ คญั 1. การจัดกระทำ�และส่ือความหมายข้อมูล จากการ3. การหาความสัมพนั ธข์ องสเปซกับเวลา ดังต่อไปน้ีทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 - การเปลี่ยนแปลงพลังงาน สสาร(อนุภาค) ขนาดและอุณหภูมิ เขยี นกราฟแสดงความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความเรว็ และ1. การสือ่ สารสารสนเทศและการรเู้ ทา่ ทันส่ือ ของเอกภพ หลังการเกิดบกิ แบงจนถงึ ปจั จบุ ัน ระยะทางของกาแล็กซี2. การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและการแกป้ ญั หา 2. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป จากผลการ3. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและ อธบิ ายความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความเรว็ และระยะทาง ภาวะผ้นู �ำ ของกาแลก็ ซี 3. การหาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสเปซกบั สเปซ และสเปซ กับเวลา จากการนำ�เสนอให้เห็นการเปล่ียนแปลง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124