Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือการใช้หลักสูตร วิชาฟิสิกส์ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย

คู่มือการใช้หลักสูตร วิชาฟิสิกส์ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย

Published by Nuttigar, 2018-06-11 04:50:15

Description: คู่มือการใช้หลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
วิชาฟิสิกส์ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย

Keywords: คู่มือ,การใช้หลักสูตร,ฟิสิกส์,มัธยมศึกษาตอนปลาย,วิทยาศาสตร์

Search

Read the Text Version

FFBB VVgg100   FF ll ผลการเรยี นร ู้ 8. อธบิ ายแบบจ�ำ ลองของแกส๊ อดุ มคติ ทฤษฎจี ลนข์ องแกส๊ และอตั ราเรว็ อารเ์ อม็ เอสของโมเลกลุ ของแกส๊ รวมทง้ั ค�ำ นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง การวเิ คราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทาAAงvกvารจคคัดา่ า่กคคางรงตเตรัวัวียนรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ ดา้ นความรู้ คค่าา่ คคงงตตัววั1. กตนับา�ำ มเแขแบา้ บบสบบู่จจำ�ท�ำลเลรอยีองนงขขอโPองดPงแยแกกก๊สา12๊สอร12อทุดุดมบvมvคท2ค2ตวตนิทิ กจฤาาgษรกgชhฎนhนีจ้ันแลอบนภบ์ขปิ อยรงดืาแยหกรย๊สว่ นุ่ มแแกลลันะะเสกใหมีย่ ค้บววกัตาับิขมกอรางเู้ แรกชกยี่ น๊สว ด้านความรู้ 1. แก๊สอุดมคติเป็นแก๊สท่ีมีแบบจำ�ลองเฉพาะ ของโมเลกลุ ของแกส๊ กบั ผนงั ภาชนPPะVVลกู บnาnRศRกTT์ จนสรปุ ไดว้ า่ ความดนั ของแกส๊ 1. แบบจำ�ลองแก๊สอุดมคติ จากแบบฝึกหัดและ พลงั งานจลนเ์ ฉลย่ี ของแกส๊ อดุ มคตหิ นง่ึ โมเลกลุ แบบทดสอบ ในภาชนะปิดเกิดจากผลรวมของแรงเนื่องจากโมเลกุลของแก๊ส ชนผนัง เปน็ ไปตามทฤษฎจี ลนข์ องแกส๊ และสอดคลอ้ ง 2. ความดัน พลังงานจลน์เฉล่ียของแก๊สหนึ่งโมเลกุล กบั แบบจ�ำ ลองของแกส๊ อดุ มคติ พลงั งานจลน์ ภาชนะตามสมการ PPVV3223NN1212mmvv22 และอัตราเร็วอาร์เอ็มเอสของแก๊สอุดมคติ จาก ในแก๊สมีความสัมพันธ์กับความดันปริมาตร PPVV3232NNEEkk แบบฝกึ หัดและแบบทดสอบ จ�ำ นวนโมเลกลุ และอณุ หภมู ขิ องแกส๊ 2. อัตราเร็วอาร์เอ็มเอสใช้อธิบายพลังงานจลน์ 2. ทบทวนความรเู้ กย่ี วกบั กฎของแกส๊ และใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั ความดนั ปรมิ าณ ด้านทักษะ 1. การใชจ้ �ำ นวน ในการหาปรมิ าณตา่ งๆ ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั เ ฉ ลี่ ย ข อ ง แ ก๊ ส อุ ด ม ค ติ ห นึ่ ง โ ม เ ล กุ ล ข อ ง จำ�นวนโมเลกลุ และอณุ หภูมิ จนสรุปได้ความสัมพนั ธต์ ามสมการ พลังงานจลน์เฉลี่ยของแก๊สหนึ่งโมเลกุล และ มีความสัมพันธ์กับอุณหภูมิและมวลของ อตั ราเรว็ อารเ์ อม็ เอส จากแบบฝกึ หดั และแบบทดสอบ โมเลกุล PPVVNNkkBBTT 2. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� ดา้ นทกั ษะ จากนน้ั เชอื่ มโยงสมการ กบั อภปิ ราย จากการอภปิ รายรว่ มกัน ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การใช้จำ�นวน (พลังงานจลน์เฉลี่ยของแก๊ส จนสรุปได้วP่าPพVVลังงา32น23NจNลEEนk์kเฉล่ียขPอPVงVแก๊สNNหkkนBTBึ่งTโมเลกุลเป็นไปตาม ด้านจิตวทิ ยาศาสตร์ กกับับร่วมกัน - หนึง่ โมเลกลุ อตั ราเร็วอารเ์ อม็ เอส) ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 สมการ ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ และอตั ราเร็วอาร์เอ็มเอสมีคา่ เปน็ ไปตามสมการ ดา้ นจติ วิทยาศาสตร์ - 3. ยกตัวอย่างการคำ�นวณปริมาณต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับพลังงานจลน์เฉล่ีย ของแก๊สหนึ่งโมเลกุล และอัตราเร็วอาร์เอ็มเอส จากน้ันให้นักเรียนสรุป เพ่ือตรวจสอบความรูค้ วามเข้าใจ

ฟสิ ิกส์ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 6ผลการเรยี นร ู้ 9. อธบิ ายและค�ำ นวณงานทท่ี �ำ โดยแกส๊ ในภาชนะปดิ โดยความดนั คงตวั และอธบิ ายความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความรอ้ น พลงั งานภายในระบบ และงาน 101 รวมทง้ั ค�ำ นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง และน�ำ ความรเู้ รอ่ื งพลงั งานภายในระบบไปอธบิ ายหลกั การท�ำ งานของเครอ่ื งใชใ้ นชวี ติ ประจ�ำ วนัการวิเคราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทEางkการ23จัดkกBTารเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ด้านความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยทบทวนความรู้เกี่ยวกับงาน และยกสถานการณ์ ด้านความรู้1. แก๊สในภาชนะปิด เม่ือมีการเปลี่ยนแปลง กกปารรระมิ หบาาตองรกาแนสบทบู บท่ีมค�ำคี โวา่ดาเยปมแด็นกนัไส๊ ปคทงข่ตี ตยาวัEามvยอkสrตmภมวัsปิกในรา32ารกยkรรBะ3Tว่บkมmอBกกTนั สจบู นใสนรกปุ รณไดที ว้ ม่ีา่ กี งาารนเปทลเี่ กย่ี ดินขแนึ้ปใลนง 1. พลังงานความร้อน พลังงานภายในระบบและงาน ปรมิ าตรจะมงี านเกดิ ขนึ้ งานมคี วามสมั พนั ธ์ จากแบบฝึกหัดและแบบทดสอบ กับความดนั และปริมาตรทเ่ี ปลย่ี นไป W PV 2. หลักการทำ�งานของเคร่ืองใช้ในชีวิตประจำ�วัน 2. ในระบบแก๊สใด ๆ เมื่อมีการรับหรือคาย 2. ใหค้ วามรเู้ กยี่ วกบั การใหพ้ ลvงั งrmาsนความ3รkอ้mBนTกบั ระบบแกส๊ เชน่ กระบอกสบู โดยใช้ความรู้เร่ืองพลังงานภายในระบบ จากการ พลังงานความร้อน ทำ�ให้มีการเปลี่ยนแปลง เขยี นรายงาน พ ลั ง ง า น ภ า ย ใ น ร ะ บ บ แ ล ะ มี ง า น เ กิ ด ข้ึ น อณุ หภมู ทิ เี่ ปลยี่ นไปจะมผี ลทQ�ำ ใหเ้ กดิ UการเWปลยี่ นแปลงของพลงั งานภายใน ความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานความร้อน ด้านทกั ษะ พลงั งานภายในระบบทเ่ี ปลย่ี นแปลงและงาน ระบบและปรมิ าตรทเ่ี ปลย่ี นไปจะมผี ลท�ำ ใหเ้ กดิ งาน จากนน้ั อภปิ รายรว่ มกนั 1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ จากการ เป็นไปตามกฎข้อท่ีหนึ่งของอุณหพลศาสตร์ ซึ่งเปน็ กฎการอนรุ กั ษ์พลังงาน จนสรุปได้ว่าพลังงานความรW้อน ท่ีPให้กVับระบบแก๊สมีความสัมพันธ์กับ อภิปรายร่วมกันและการนำ�เสนอผล พลังงานภายในระบบทเี่ ปลี่ยนEไป=แลnะงาน ตามสมการ 2. การใชจ้ �ำ นวน ในการหาปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั3. หลกั การท�ำ งานของเครอ่ื งใชใ้ นชวี ติ ประจ�ำ วนั งานในระบบแกส๊ พลงั งานภายในระบบ และพลงั งาน เช่น เครือ่ งยนตค์ วามร้อน ตู้เยน็ เครื่องปรบั QhUf  W ความรอ้ น จากแบบฝึกหัดและแบบทดสอบ 3. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� อากาศ อธิบายได้โดยความรู้เร่ืองพลังงาน 3. ให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลเกี่ยบกับการใช้ความรู้เรื่องพลังงานภายในระบบ ภายในระบบ จากการอภิปรายรว่ มกัน เพ่ือนำ�ไปอธิบายหลักการทำ�Eงาน=ขnองเครื่องใช้ในชีวิตประจำ�วันบางชนิดดา้ นทกั ษะ ด้านจิตวิทยาศาสตร์ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ยนเชกำ�่นเตสัวนเอคอยรผ่ื่าอลงงแกยลานะรตคอ์คำภ�วนิปาวรมณารยrป้อnรรน่วิมมตากณู้เนั ยmต็น่าkh2งefเ คๆ2รท่ือn่ีงเกป2่ียรวับขอ้อางกกาับศ หม้อความดันสูง 1. ความรอบคอบ จากการเขียนรายงาน การใชจ้ �ำ นวน (ปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั งานในระบบแก๊ส 2. ความอยากรู้อยากเหน็ จากการอภปิ รายร่วมกัน 4. งานในระบบแกส๊ พลงั งานภายในระบบ และ พลงั งานความรอ้ น) พลังงานภายในระบบ และพลังงานความร้อน จากน้ันให้นักเรียนสรุป เพื่อตรวจสอบความรูค้ วามเข้าใจ En   r1n mk22me4k2e 2n12 n2 2  En 112 mkR22He4n1f2n12 1  ni2  

102 การวเิ คราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ ทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ (การอภิปรายร่วมกันและการนำ�เสนอผล มีการอ้างอิงแหล่งที่มาและการเปรียบเทียบ ความถูกต้องของข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ หลากหลายได้อย่างสมเหตุสมผล) 2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ ด้านจติ วทิ ยาศาสตร์ 1. ความอยากรู้อยากเห็น 2. ความรอบคอบ

ผลการเรยี นร ู้ ฟิสิกส์ 103 ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 6 10. อธบิ ายสมมตฐิ านของพลงั ค์ ทฤษฎอี ะตอมEขkองEโkบ32ร์kแ32BลTะkกBTารเกดิ เสน้ สเปกตรมั ของอะตอมไฮโดรเจน รวมทง้ั ค�ำ นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง การวิเคราะหผ์ ลการเรียนรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี น โดยแใหนค้ ววทvาาrมmงรsกvเู้ ากrmรย่ี sจวดัก3กบั kmาวBร3ตั TเkถรmBดุยี T�ำน เรปู้ น็ วตั ถทุ สี่ ามารถรบั หรอื แนวทางการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ดา้ นความรู้ ปล่อยพลังงานในรูปคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าทุกย่านความถี่ แบบจำ�ลองของ ดา้ นความรู้ วัตถุดำ�และสมมติฐานของพลังค์ จากการอภิปราย1. วตั ถดุ �ำ สามารถรบั หรอื ปลอ่ ยพลงั งานออกมา วัตถดุ �ำ ท่ีนกั ฟิสิกสใ์ ช้ มกั จะเปW็นรWูทP่ผี  ิวขPVองโVพรงทอ่ี ณุ หภมู ใิ ด ๆ ในรปู คลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟ้าได้ทกุ ยา่ นความถี่ ร่วมกัน 2. ใหค้ วามรเู้ กยี่ วกบั สมมตฐิ านของพลงั คว์ า่ พลงั งานของคลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้2. สมมตฐิ านของพลงั คก์ ลา่ ววา่ พลงั งานทตี่ วั สนั่ ดา้ นทักษะ ที่ผนังของโพรงดูดกลืนหรือคายออกในรูป ทปี่ตริมัวาสณ่ันทพี่ผลนังงังาขนอพงโื้นพฐรางนดูดซQกึ่งเลปQืน็นหสรUมือบคัUตาิเWยฉอพอWากะขมอีคง่าผเิวปโ็นพจรำ�งนทว่ีสน่งพเตล็มังขงาอนง 1. การใชจ้ �ำ นวน ในการหาปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การดดู กลนื หรอื คายพลงั งานตามสมมตฐิ านของพลงั ค์ คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้ามีค่าเป็นจำ�นวนเต็มของ ออกมา โดยมีความสัมพนั ธ์ตามสมการ จากแบบฝกึ หัดและแบบทดสอบ ปรมิ าณพลงั งานพน้ื ฐาน ซงึ่ เปน็ สมบตั เิ ฉพาะ 2. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� ของผวิ โพรงท่ีส่งพลงั งานออกมา E =En= n โดยในทสี่ ดุ สามารถแสดงได้ว่า  hf hf จากการอภิปรายร่วมกันดา้ นทกั ษะทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 3. ยกตัวอย่างการคำ�นวณปริมาณต่าง ๆ ที่เก่ียวกับการดูดกลืนหรือคาย ด้านจิตวทิ ยาศาสตร์ การใชจ้ �ำ นวน (ปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั - การรับหรือปล่อยพลังงานตามสมมติฐาน พลงั งานตามสมมตฐิ านของพลังค์ จากนัน้ ใหน้ กั เรียนสรปุ เพ่อื ตรวจสอบ ของพลังค์) ความร้คู วามเข้าใจทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ rn rnmk2me2k2en2 2 n2ดา้ นจติ วทิ ยาศาสตร์ 12m12km22ek422e4n12 1  - n 2  En E n 1 1RH R nH1f2 1 1 1  nf2 ni2 n i2   min min hc hc eV0eV0

104 ผลการเรยี นร ู้ 10. อธบิ ายสมมตฐิ านของพลงั ค์ ทฤษฎอี ะตอมของโบร์ และการเกEดิ kเสน้ ส32เปkกBETตEvvรkrkrmmมั ssขอ2332งkอkvB3ะB3rTmWTตkkmmsBอBTTมไฮPโ3ดkVmรBเTจน รวมทง้ั ค�ำ นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง การวเิ คราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ด้านความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยให้นักเvรrียmนs สังเก3ตkmสBWเWTปก ตPรPQัมขVVองแUก๊สร้อWน เช่น ดา้ นความรู้ 1. อะตอมไฮโดรเจนตามแนวคิดของโบร์ แกส๊ ไฮโดรเจน จากการสาธิตหรือวีดทิ ศั น์ จากนัน้ ตง้ั ค�ำ ถามว่า สเปกตรัม 1. อะตอมไฮโดรเจนตามแนวคิดของโบร์ จากการ สามารถใชค้ �ำ นวณรศั มวี งโคจร และพลงั งาน อภปิ รายรว่ มกนั และการเขยี นรายงาน ของอิเล็กตรอน ในวงโคจรต่าง ๆ ขอภอปิงแรากย๊สรร่ว้อมนกทนั ่ีแสลังเะกนตำ�ไเสดน้เกอ่ียผวลขW้องกับPโคQVQรงสร้าUงUขEองWW=อะnตอมอย่างไร 2. การทดลองของฟรังก์และเฮิรตซ์ จากการอภิปราย 2. เมื่ออิเล็กตรอนเปลี่ยนวงโคจร จะมีการรับ 2. ทบทวนความรเู้ กยี่ วกบั แบบจ�ำ ลองอะตอมของรทั เทอรฟ์ อรด์ ทไี่ มส่ มบรู ณ์ รว่ มกัน หรอื ปลอ่ ยพลงั งานออกมาในรปู คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า และใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั แนวคดิ ขอQงโบร์ เพUอ่ื อธEบWิEา=ย=โคnnรงสรา้ งอhะfตอม จากนน้ั ด้านทักษะ 3. การทดลองของฟรงั กแ์ ละเฮริ ตซพ์ บวา่ พลงั งาน 1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ จากการ ของอะตอมไอปรอทมีค่าไม่ต่อเนอื่ ง ใหน้ กั เรยี นสบื คน้ แนวคดิ ของโบร์ และการน�ำ ไปอธบิ ายโครงสรา้ งอะตอม อภปิ รายร่วมกันและการนำ�เสนอผล ด้านทักษะ ของไฮโดรเจน นำ�เสนอผลและอภปิ รายรว่ มกนั จhhนffสรุปไดว้ ่ารัศมวี งโคจร 2. การใชจ้ �ำ นวน ในการหาปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ อะตอมไฮโดรเจนตามแนวคดิ ของโบร์ และรงั สเี อกซ์ การใช้จำ�นวน (ปรมิ าณต่าง ๆ ท่เี กย่ี วข้องกับ แมลีควะาพมลสังัมงพานนั ขธ์ตอางมอสิเลม็กกตารรอนในEวง=โhคnfจรต่าง ๆrnของอmะตk2อeม2 ไฮnโด2 รเจน แบบตอ่ เนื่อง จากแบบฝึกหัดและแบบทดสอบ 22 3. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� รศั มีวงโคจร rrnn   mmkkee22 nn22    อะตอมไฮโดรเจนตามแนวคิดของโบร์ และ พลงั งานของอิเลก็ ตรอนในrวnงโคจรm kE2en2  n2 1 mk 2e4  1  จากการอภิปรายรว่ มกัน รังสีเอกซ์แบบตอ่ เน่อื ง)  2 2  n2  ทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ดา้ นจติ วทิ ยาศาสตร์ 1. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ 3. มกรกขใหูปราีคอ้คะรควงเตวาแลกามนุ้ ื่นกิดมสเ๊สแสมรมั มไเู้เอ่ื ฮพปก่เอหโี่ยกันะดลวตธตร็กกต์รอเไEับัมาจมฟมอนnกจฟสะลา้ามตจบักอกอนนสอามส1สู่ั้นกร12ไรถมรฮุปEา่วEาโmนดมไnnโดRkะรกด้วเทHัน22ยจ่าeมี่ อคนอ4พี ภวตn1ะ1112าลิป1า2fต2มงัมรnอmง1ยmาแา2มายRนkนRkวแnเว1Hตกค22Hก2i22mคem�่ำ1่ียลe๊สiิดก4inว่ืน4nnไnขว1กฮ1ขf2า่fอ2ับโอตnRnงด1กงe1Eอ้eโ2hรค2HhาVบงVkmเcnรลcปnรmจ10i10ป่ืนin2์สiลaน2nx1ลแาอ่fใ2=่อมมนยยา่เพeสeหhรสVถลVถลcเnงัาป10็กอsiง2นกไธาฟะิบตนถฟราในูัมกย้า 1. ความรอบคอบ จากการเขียนรายงาน (การอภิปรายร่วมกันและการนำ�เสนอผล 2. ความอยากรู้อยากเห็น จากการอภปิ รายร่วมกนั มีการอ้างอิงแหล่งท่ีมาและการเปรียบเทียบ ความถูกต้องของข้อมูลจากแหล่งข้อมูล ท่หี ลากหลายไดอ้ ย่างสมเหตสุ มผล) 2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ ด้านจติ วิทยาศาสตร์ 1. ความอยากรู้อยากเห็น 2. ความรอบคอบ min  hc eVEE0kkmmaaxx== eeVVWss=hf0

E = n ฟสิ กิ ส์   hf ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 6การวิเคราะหผ์ ลการเรียนรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ 105 แนวทางการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 4. ใไหดค้แ้ กวา่ อมนรเู้กุ กรย่ี มวไกลบั มกาานรพrอnบนอุกนรกมุ mรบมลั kเเ2สeมน้ 2อสรเ์ปnอกน2ตุกรรมั มตพา่ างส ๆเชขนองออนะตุกอรมมแไฮบโรดกรเเจกนต และอนุกรมฟุนด์ 5. ให้ความรู้เกย่ี วกับการทดลองของฟรงั กแ์ ละเฮริ ตซ์ สนบั สนนุ แนวคิดของ โบรเ์ กยี่ วกบั ระดบั พลงั งานของอะตอมไฮโดรเจนมคี า่ ไมต่ อ่ เนอื่ ง อภปิ ราย ร่วมกัน จนEสรnุปได้ว่า12อmะตkอ22มeข4องไn1อ2ปรอทจะรับพลังงานได้เพียงบางค่า เท่านัน้ 6. ให้นักเรียนสืบค้นเก่ียวกับการเกิดรังสีเอกซ์ลักษณะเฉพาะท่ีสนับสนุน แนวคิดของโบร์เก่ียวกับระดับพลังงานไม่ต่อเน่ือง และกระบวนการเกิด ฃอรภังิปสรีเอากยซร์ท่วั้งมแกบันบตจ1่อนเนส่ือรRงุปแHไลดะ้nวร1ัง่fา2สคีเวอากnม1ซi2ย์ลักาษวคณละื่นเฉตพ่ำ�าสะุดนขำ�อเสงนรังอสผีเลอแกลซะ์ แบบต่อเนอื่ ง มคี วามสัมพันธ์ตามสมการ min  hc eV0 7. ยกตัวอย่างการคำ�นวณปริมาณต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกับอะตอมไฮโดรเจน ตามแนวคิดของโบร์ และรEังสkmีเอaxก=ซ์แeบVบsต่อเน่ือง จากนั้นให้นักเรียนสรุป เพือ่ ตรวจสอบความรูค้ วามเขา้ ใจ W=hf0 Ekmax= hf – W  h p

106 ผลการเรยี นร ู้ 11. อธบิ ายปรากฏการณโ์ ฟโตอเิ ลก็ ทรกิ และค�ำ นวณพลงั งานโฟตอน พลงั งานจลนข์ องโฟโตอเิ ลก็ ตรอนและฟงั กช์ นั งานของโลหะ การวเิ คราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ ด้านความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี น โดยใหน้ กั เรยี นศกึ ษาเกย่ี วกบั ปรากฏการณโ์ ฟโตอเิ ลก็ ทรกิ ดา้ นความรู้ 1. ปรากฏการณ์โฟโตอิเลก็ ทรกิ เกดิ ขึน้ เมอื่ แสง จากภาพหรือวีดิทัศน์ ตั้งคำ�ถามเก่ียวกับปริมาณที่มีผลต่อการหลุดของ ความถ่ีเหมาะสมตกกระทบผวิ โลหะ ทำ�ใหม้ ี 1. พลังงานของโฟตอน ฟงั กช์ นั งาน และพลังงานจลน์ โฟโตอเิ ลก็ ตรอนหลดุ ออกมา ซง่ึ พลงั งานจลน์ อิเล็กตรอนจากผิวโลหะเมื่อแสงตกกระทบ จากน้ันอภิปรายร่วมกันและ สู ง สุ ด ข อ ง อิ เ ล็ ก ต ร อ น ที่ ห ลุ ด จ า ก ผิ ว โ ล ห ะ ใ น น�ำ เสนอผล สูงสุดข้ึนกับความถี่ของแสงท่ีตกกระทบ 2. ให้นักเรียนศึกษาการทดลองเรื่อง ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก จากนั้น ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก และสมบัติอนุภาค ผวิ โลหะ และมคี วามสมั พนั ธก์ บั ความตา่ งศกั ย์ ใหอ้ ภปิ รายรว่ มกนั จนสรปุ ไดว้ า่ จ�ำ นวนโฟโตอเิ ลก็ ตรอนขนึ้ กบั ความเขม้ ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในปรากฏการณ์คอมป์ตัน หยดุ ยง้ั ของแสงที่ตกกระทบผิวโลหะ ต่อจากนั้นให้ความรู้เกี่ยวกับพลังงานจลน์ จากการอภปิ รายรว่ มกนั แบบฝกึ หดั และแบบทดสอบ 2. ไอน์สไตน์ได้อาศัยสมมติฐานของพลังค์ สงู สดุ ของโฟโตอเิ ลก็ ตรอน ขนึ้ กบั ความถขี่ องแสงทต่ี กกระทบผวิ โลหะและ ทแ่ี สงประกอบดว้ ยควอนตมั (กอ้ น) พลงั งาน มีความสมั พันธ์กับความตา่ งศักยห์ ยุดยง้ั ตามสมการ 2. ความสอดคล้องของปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ซึ่งเรียกว่า โฟตอน และตามแนวคิดของ กบั ปรากฏการณค์ อมปต์ นั จากการอภปิ รายรว่ มกนั ไอนส์ ไตนท์ แ่ี สงมสี มบตั เิ ปน็ อนภุ าคมาอธบิ าย 3. ให้ความรู้เกี่ยวกับการทำ�ให้อิเล็กตรอนหลุดออกจากผิวโลหะได้ ต้องใช้ ปรากฏการณโ์ ฟโตอิเล็กทริก พลงั งานแสงทต่ี กกระทบอยา่ งนอ้ ยทส่ี ดุ เทา่ กบั ฟงั กช์ นั งาน ซง่ึ สมั พนั ธก์ บั ดา้ นทักษะ 3. ฟังก์ชันงานเป็นพลังงานท่ียึดอิเล็กตรอน ความถ่ีขีดเรม่ิ ตามสมการ 1. ก า ร ส่ื อ ส า ร ส า ร ส น เ ท ศ แ ล ะ ก า ร รู้ เ ท่ า ทั น สื่ อ ซ่ึ ง มี ค่ า เ ท่ า กั บ พ ลั ง ง า น ข อ ง แ ส ง ท่ี ทำ � ใ ห้ อเิ ลก็ ตรอนหลุดออกจากผวิ โลหะ 4. ใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั การอธบิ ายของไอนส์ ไตนเ์ รอ่ื งปรากฏการณโ์ ฟโตอเิ ลก็ ทรกิ การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป จากการ 4. ปรากฏการณ์คอมป์ตันเกิดข้ึนเมื่อฉายรังสี โดยอาศัยสมมติฐานของพลังค์และกฎการอนุรักษ์พลังงาน จนได้ความ อภิปรายรว่ มกันและการนำ�เสนอผล เอกซค์ วามถคี่ า่ หนง่ึ ไปกระทบอเิ ลก็ ตรอนใน 2. การใชจ้ �ำ นวน ในการหาปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั แกรไฟต์ จะเกิดการกระเจงิ แล้วให้รงั สเี อกซ์ สัมพนั ธ์ตามสมการ ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก จากแบบฝึกหัดและ ท่ีมีความถี่เปล่ียนไปจากเดิม อธิบายโดยใช้ แบบทดสอบ หลักการตามกฎการอนุรักษ์พลังงานและ 5. ใหน้ กั เรยี นอภปิ รายรว่ มกนั เกย่ี วกบั การน�ำ สมการทใ่ี ชอ้ ธบิ ายปรากฏการณ์ 3. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� กฎการอนุรักษ์โมเมนตัม ซ่ึงสอดคล้องกับ โฟโตอเิ ลก็ ทรกิ ไปหาคา่ คงตวั พลงั ค์ โดยวเิ คราะหจ์ ากกราฟความสมั พนั ธ์ จากการอภิปรายร่วมกนั ความเปน็ อนภุ าคของคลน่ื ตามปรากฏการณ์ โฟโตอิเลก็ ทรกิ ระหว่างความต่างศักย์หยดุ ย้งั กบั ความถ่ี ด้านจติ วิทยาศาสตร์ -

การวเิ คราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ ฟสิ ิกส์ 107 ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 6 แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ด้านทักษะ 6. ให้นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับการทดลองของคอมป์ตัน อภิปรายร่วมกัน จนสรุปได้ว่าการชนระหว่างโฟตอนของรังสีเอกซ์กับอิเล็กตรอนในทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ แกรไฟต์เสมือนเป็นการชนระหว่างอนุภาคกับอนุภาค ซึ่งเป็นไปตาม1. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป กฎการอนรุ ักษ์พลังงาน และกฎการอนรุ ักษโ์ มเมนตัม (การวิเคราะห์กราฟความสัมพันธ์ระหว่าง 7. ตงั้ ค�ำ ถามเกย่ี วกบั ความสอดคลอ้ งระหวา่ งปรากฏการณโ์ ฟโตอเิ ลก็ ทรกิ กบั ความต่างศักย์หยดุ ยง้ั กบั ความถข่ี องแสง)2. การใชจ้ �ำ นวน (ปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ปรากฏการณค์ อมปต์ นั จากนน้ั ใหน้ กั เรยี นอภปิ รายรว่ มกนั และน�ำ เสนอผล ปรากฏการณ์โฟโตอิเลก็ ทรกิ ) 8. ยกตัวอย่างการคำ�นวณปริมาณต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ ทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 211. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ โฟโตอิเล็กทรกิ จากนั้นใหน้ ักเรียนสรุป เพือ่ ตรวจสอบความรคู้ วามเข้าใจ (การอภปิ รายรว่ มกนั และการนำ�เสนอผล)2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำด้านจิตวทิ ยาศาสตร์ -

hhhfffhf108 ผลการเรยี นร ู้ 12. อธบิ ายทวภิ าวะของคลน่ื และอนภุ าค รrrnrแวnnมนrnทวทง้ัอาmmธmงkบกิkmk2e2าาe2eร2kย22จ2eแดั ล2nnกะn22าค2nร�ำ เ2นรวียณนรคู้ วามยาวคลน่ื เดอบรอยล์ การวเิ คราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ดา้ นความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี น โดยตง้ั ค�ำ ถามเกยี่ วกบั คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ แสดงสมบตั ขิ อง ด้านความรู้ อนุภาคได้ ในทางตรงขา้ มอนภุ าคแสดงสมบตั ขิ องคลน่ื ได้หรือไม่ จากน้ัน 1. อนภุ าคขนาดเลก็ ทก่ี �ำ ลงั เคลอ่ื นท่ี แสดงสมบตั ิ ทวิภาวะของคล่ืนและอนุภาค ความยาวคล่ืน ของคลนื่ ได้ ซง่ึ มคี วามยาวคลนื่ เรยี กวา่ ความ 2. ใใหห้น้นักักเเรรียียนEนEEอสnnEภnืบิปnคร้นาเย1ก212ร12่ีย่วm1mว2มmกkกkmับkัน2222แe2k2eแนe4ล2424วeะค4นnิดn1�ำ1nข21เ2ส2nอ1น2งอเผดลอ บรอยล์ จากน้ันนำ�เสนอผล เดอบรอยล์ จากการอภปิ รายรว่ มกนั แบบฝกึ หดั และ ยาวคล่ืนเดอบรอยล์ มีค่าข้ึนกับโมเมนตัม และอภปิ รายรว่ มกนั จนสรปุ ไดว้ า่ อนภุ าคทกี่ �ำ ลงั เคลอื่ นทแี่ สดงสมบตั ขิ อง แบบทดสอบ ของอนุภาค ซ่งึ เปน็ แนวคดิ ของเดอ บรอยล์ 2. คลน่ื แสดงสมบตั ขิ องอนุภาคได้ และอนุภาค 3. คคใหลล้คนื่่นื วไแดาล้มะแอรลู้เนะกคุภ่ียลาวนค่ื กแับ1ส11คด1งวสาRRมมRHบHยRHตัาHขิวnn1อ1nคf21f2งfล2nอ1ื่นf2นเภุnดn11nาi21iอ2คi2nบ1ไi2ดร้อสยมลบ์ ตั ซนิ ึ่งเี้ รมยี ีคกววาา่ มทสวัมภิ พาวันะธข์กอับง ดา้ นทกั ษะ แสดงสมบัติของคลื่นได้ เรียกว่า ทวิภาวะ 1. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จากการ ของคล่นื และอนุภาค โมเมนตัมของอนภุ าค ตามสมการ อภิปรายร่วมกันและการน�ำ เสนอผล ดา้ นทักษะ mmmiinnimnineehheVpVhcVce0c0hV0c0 2. การใช้จำ�นวน ในการหาปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การใช้จ�ำ นวน (ความยาวคล่ืนเดอบรอยล)์ 4. ให้นักเรียนศึกษาการทดลองของเดวิสสันและเจอร์เมอร์ กับการทดลอง กับความยาวคล่ืนเดอบรอยล์ จากแบบฝึกหัดและ ทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 ของ จี พี ทอมสนั น�ำ เสนอผลและอภปิ รายรว่ มกนั จนสรปุ ไดว้ า่ อเิ ลก็ ตรอน แบบทดสอบ 1. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ 3. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� ซึ่งเปน็ อนภุ าคแสดงสมบEEัตEkิขkEmkmอmaakงxaxmคx==aล=xืน่e=eeVไVดVess้ Vs s จากการอภิปรายรว่ มกนั (การอภปิ รายรว่ มกนั มกี ารอา้ งองิ แหลง่ ทม่ี า และการเปรยี บเทยี บความถกู ตอ้ งของขอ้ มลู 5. ยกตัวอย่างการคำ�นวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความยาวคลื่น ด้านจติ วิทยาศาสตร์ จากแหลง่ ขอ้ มลู ทห่ี ลากหลายไดอ้ ยา่ งสมเหตุ ความอยากรูอ้ ยากเหน็ จากการอภปิ รายร่วมกัน สมผล) เดอบรอยล์ จากน้ันใหน้ ักเรWWียWน=W=ส=hรh=hปุ ff0f0h0เพf0่อื ตรวจสอบความรคู้ วามเขา้ ใจ 2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ EEEkkEmkmmaakxaxmx==a=xh=hhfffh–––f WW–WW ดา้ นจติ วิทยาศาสตร์ ความอยากรอู้ ยากเห็น hphphp hp

ฟสิ กิ ส์ ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 6ผลการเรยี นร ู้ 13. อธบิ ายกมั มนั ตภาพรงั สแี ละความแตกตา่ งของรงั สแี อลฟา บตี า และแกมมา 109การวเิ คราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ด้านความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี น โดยใหค้ วามรู้ เกย่ี วกบั การทดลองของเบก็ เคอเรล จากนน้ั ด้านความรู้ ร่วมกันอภิปราย เพื่อนำ�ไปสู่ข้อสรุปว่ารอยดำ�บนฟิล์ม มาจากรังสีจาก1. กัมมันตภาพรังสีเป็นปรากฏการณ์ท่ีธาตุ 1. ความหมายของกัมมันตภาพรังสี ชนิดของรังสีและ กมั มนั ตรงั สแี ผร่ ังสีได้เองอย่างต่อเน่อื ง สารประกอบยเู รเนียม ไมใ่ ชร่ งั สีเอกซ์ สมบัติท่ีแตกต่างกันของรังสีท่ีแผ่ออกมาจากธาตุ 2. ให้ความรู้เกี่ยวกับความหมายของกัมมันตภาพรังสี และธาตุกัมมันตรังสี กัมมันตรังสี จากการอภิปรายร่วมกัน แบบฝึกหัด2. รงั สที แ่ี ผอ่ อกมาจากธาตกุ มั มนั ตรงั สี มี 3 ชนดิ และแบบทดสอบ คือ รังสีแอลฟา รังสีบีตา และรังสีแกมมา จากนั้นให้นักเรียนศึกษาภาพหรือวีดิทัศน์เกี่ยวกับแนวการเคลื่อนที่ของ โดยมแี นวการเคลอ่ื นทใ่ี นสนามแมเ่ หลก็ ตา่ งกนั รังสีจากธาตุกัมมันตรังสี ในสนามแม่เหล็ก โดยการสังเกตและอภิปราย 2. การใช้สมมติฐาน โปรตอน-นิวตรอน อธิบาย3. สมมตฐิ าน โปรตอน-นิวตรอนใชอ้ ธบิ ายองค์ รว่ มกนั จนสรปุ ไดว้ า่ รงั สจี ากธาตกุ มั มนั ตรงั สมี ี 3 ชนดิ และบอกชนดิ ของ การแผ่รังสีบีตา จากการอภิปรายร่วมกัน การทำ� ประจุไฟฟา้ ของรังสไี ด้ แบบฝกึ หัดและแบบทดสอบ ประกอบของนิวเคลยี สและการแผร่ งั สีบีตา 3. ให้นักเรียนสืบค้นเก่ียวกับสมบัติของรังสีท้ัง 3 ชนิด นำ�เสนอผลและ อภปิ รายรว่ มกนั จนสรปุ ไดว้ า่ รงั สแี อลฟาคอื นวิ เคลยี สของฮเี ลยี ม รงั สบี ตี า ด้านทกั ษะดา้ นทกั ษะ คืออิเล็กตรอน และรังสีแกมมาคือคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า รังสีแต่ละชนิด การจ�ำ แนกประเภท จากการอภปิ รายร่วมกันทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ มอี �ำ นาจทะลุผ่านวัสดุตา่ งกนั การจ�ำ แนกประเภท (การระบรุ งั สที ง้ั 3 ชนดิ 4. ให้ความรู้เก่ียวกับการค้นพบนิวตรอนของแชดวิก เพื่อเช่ือมโยงไปสู่การ ด้านจติ วทิ ยาศาสตร์ ตั้งสมมติฐานโปรตอน-นิวตรอน ในการอธิบายโครงสร้างของนิวเคลียส ความมีเหตผุ ล จากการอภปิ รายรว่ มกัน ด้วยสมบตั ทิ แ่ี ตกตา่ งกนั ) ความหมายของเลขมวล เลขอะตอม และสญั ลักษณ์ของนิวเคลยี สทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 5. ให้นักเรียนวิเคราะห์และอภิปรายร่วมกันเก่ียวกับการนำ�สมมติฐาน - โปรตอน-นิวตรอนไปอธิบายการแผ่รังสีบีตาของนิวเคลียสกัมมันตรังสี จนสรุปได้ว่า ในการแผ่รังสีบีตา นิวตรอนเปลี่ยนไปเป็นโปรตอนแล้วให้ด้านจิตวิทยาศาสตร์ อนภุ าคบตี าลบ หรอื โปรตอนเปลย่ี นไปเปน็ นวิ ตรอนแลว้ ใหอ้ นภุ าคบตี าบวก ความมีเหตุผล 6. ยกตวั อยา่ งการเขยี นสมการแสดงการสลายใหอ้ นภุ าคแอลฟา อนภุ าคบตี า และรงั สแี กมมา จากนน้ั ใหน้ กั เรยี นสรปุ เพอื่ ตรวจสอบความรคู้ วามเขา้ ใจ

110 ผลการเรยี นร ู้ 14. อธบิ ายและค�ำ นวณกมั มนั ตภาพของนวิ เคลยี สกมั มนั ตรงั สี รวมทง้ั ทดลอง อธบิ าย และค�ำ นวณจ�ำ นวนนวิ เคลยี สกมั มนั ตภาพรงั สที เ่ี หลอื จากการสลาย และครง่ึ ชวี ติ การวิเคราะหผ์ ลการเรียนรู้ แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ ดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียนโดยตั้งคำ�ถามเกี่ยวกับ การสลายของธาตุกัมมันตรังสี ดา้ นความรู้ ใชเ้ วลานานเทา่ ไรและจะมกี ารหยดุ การสลายหรอื ไม่ จากนน้ั อภปิ รายรว่ มกนั 1. จำ�นวนนิวเคลียสกัมมันตรังสีท่ีสลายใน 1. ความหมายของกัมมนั ตภาพ และครึง่ ชีวิต จากการ หนึ่งหน่วยเวลา บ่งบอกถึงกัมมันตภาพ ซึ่ง และนำ�เสนอผล อภิปรายร่วมกัน แบบฝกึ หัดและแบบทดสอบ สมั พันธก์ บั จำ�นวนนวิ เคลียสท่มี ใี นขณะนั้น 2. ให้ความรู้เกี่ยวกับกัมมันตภาพ ซึ่งมีความสัมพันธ์กับค่าคงตัวการสลาย 2. ความสัมพันธ์ระหว่างจำ�นวนนิวเคลียสกัมมันตรังสี 2. คร่ึงชีวิต เป็นช่วงเวลาที่จำ�นวนนิวเคลียส และจ�ำ นวนนวิ เคลียสกมั มนั ตรงั สีท่มี ใี นขณะนัน้ ตามสมการ ทมี่ อี ยขู่ ณะหนง่ึ กบั เวลา จากรายงานผลการทดลอง ลดลงเหลอื ครง่ึ หนึ่งของจำ�นวนเริ่มตน้ และ จากการอภปิ รายรว่ มกัน AAAANNNN 3. จำ�นวนนิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสีที่มีอยู่ ดา้ นทักษะ ขณะหนง่ึ มีความสัมพันธ์กบั เวลา 3. ใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งจำ�นวนนวิ เคลียสกัมมนั ตรังสีทม่ี ี 1. การทดลอง การจัดกระทำ�และสื่อความหมายของ ด้านทกั ษะ ในขณะนนั้ กบั เวลา ตามสมการ ข้อมูล และ การตีความหมายของข้อมูลและลง ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ข้อสรุป ความร่วมมือและ การทำ�งานเป็นทีมและ 1. การทดลอง A  N ภาวะผู้นำ�จากการทดลอง รายงานผลการทดลอง 2. การจัดกระทำ�และส่ือความหมายของข้อมูล การอภปิ รายรว่ มกัน และ การน�ำ เสนอผล NNNNNNNN000e0eeett tt 2. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จากการ (การเขยี นกราฟ) อภิปรายรว่ มกนั และการนำ�เสนอผล 3. การตีความหมายข้อมูลและการลงข้อสรุป 4. ใหน้ กั เรยี นสบื คน้ เกย่ี วกบั ครงึ่ ชวี ติ ของธาตกุ มั มนั ตรงั สี จากนน้ั น�ำ เสนอผล 3. การใชจ้ �ำ นวน ในการหาปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การสลายของนวิ เคลยี สกมั มนั ตรงั สี จากแบบฝกึ หดั (การวเิ คราะหก์ ราฟ) แลกลาดระลสองลภเหาปิ ยลรือาตยคารรมว่่ึงสมหมกนกนั ่ึงาขรจอนงสจรำ�ปNุTTนไTT12ดว1212น12ว้ า่เรคN่ิมรllงึ่ต0nllnชe้นnnวี 22ติ แ22เลปt ะน็ มชีคว่ วงเาวมลสาัมทพจี่ �ำันนธว์กนับนควิ ่าเคคลงยีตสัว และแบบทดสอบ 4. การใชจ้ �ำ นวน (ปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั T1  ln 2 ด้านจิตวิทยาศาสตร์ การสลายของนิวเคลียสกัมมนั ตรังส)ี 1. ความซอื่ สัตย์ จากการทดลอง ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 EEEE  2 ((((mmmm))c))ccc2222 2. ความมีเหตผุ ล จากการอภปิ รายรว่ มกนั 1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ 5. ให้นักเรียนทดลองเพื่อศึกษา สถานการณ์จำ�ลองการสลายของนิวเคลียส (การอภปิ รายรว่ มกันและการนำ�เสนอผล) กมั มนั ตรงั สี น�ำ เสนอผล และEอภ ปิ ร(ายmรว่ ม)cกนั2 จนสรปุ ไดว้ า่ จ�ำ นวนนวิ เคลยี ส 2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ ยกขกัมอตงมธวันั าอตตยรกุา่ ังงมั สกมี าจนั ราคตก�ำรนนังน้ัสวใณที หมี่ ปน้ อี รกัEAยมิEAเEEEAขู่Aารณียณนตะสา่ห((ง(รน(( ปุๆึ่งmมmทmเAพAmmคีเ่ี AAก))่อื)วย่ีcc))ตาcวcc2ม2ร2ขวส22อ้ จัมงสพกอบัันบกธคาก์ รวบั สาเมลวารลยคู้ าขวอามงนเขวิ า้เคใจลยี ส 6. AA

การวเิ คราะห์ผลการเรียนรู้ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ ฟิสกิ ส์ 111ดา้ นจติ วทิ ยาศาสตร์ ชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 61. ความซ่อื สัตย์2. ความมเี หตุผล แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้

112 ผลการเรยี นร ู้ 15. อธบิ ายแรงนวิ เคลยี ร์ เสถยี รภาพของนวิ เคลยี ส และพลงั งานยดึ เหนย่ี ว รวมทง้ั ค�ำ นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง การวเิ คราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยตั้งคำ�ตามเก่ียวกับแรงพ้ืนฐานที่มีในธรรมชาติ ดา้ นความรู้ 1. แรงพื้นฐานในธรรมชาติมีอยู่ 4 แรง คือ อภิปรายรว่ มกนั และน�ำ เสนอผล แรงพน้ื ฐานในธรรมชาติ ความไมเ่ สถยี รของนวิ เคลยี ส แรงอย่างเข้ม แรงอย่างอ่อน แรงแม่เหล็ก พลังงานยึดเหนี่ยว และพลังงานยึดเหนี่ยวต่อ ไฟฟา้ แรงโน้มถ่วง 2. ตง้ั ค�ำ ถามเกย่ี วกบั สาเหตทุ ม่ี กี ารสลายของธาตกุ มั มนั ตรงั สี อภปิ รายรว่ มกนั นวิ คลอี อน จากการอภปิ รายรว่ มกนั แบบฝกึ หดั และ 2. นวิ คลอี อนยดึ เหนย่ี วกนั อยไู่ ดภ้ ายในนวิ เคลยี ส และนำ�เสนอผล แบบทดสอบ เนอ่ื งจากมแี รงนวิ เคลยี ร์ ซง่ึ เปน็ แรงยดึ พสิ ยั ใกล้ ที่มีค่ามากกว่าแรงไฟฟ้า แรงนิวเคลียร์ 3. ใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั นวิ เคลยี สของธาตจุ ากธาตเุ บาไปหาธาตหุ นกั วา่ เกย่ี วขอ้ ง ด้านทักษะ 1. การตีความหมายของข้อมูลและลงข้อสรปุ จากการ จัดเป็นแรงอย่างเข้ม ส่วนแรงที่ใช้อธิบาย กบั สดั สว่ นระหวา่ งจ�ำ นวนนวิ ตรอนกบั จ�ำ นวนโปรตอนอยา่ งไร จากนนั้ ให้ ก า ร ส ล า ย ใ ห้ อ นุ ภ า ค บี ต า ข อ ง นิ ว เ ค ลี ย ส วเิ คราะหแ์ ละการอภิปรายกราฟ กัมมนั ตรังสีจัดเปน็ แรงอย่างออ่ น นกั เรยี นวิเคราะหก์ ราฟระหว่างจำ�นวนนิวตรอนและจำ�นวนโปรตอนของ 2. การใช้จำ�นวน ในการหาปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับ 3. กัมมันตภาพเกิดจากความไม่เสถียรของ พลังงานยึดเหน่ียวและพลังงานยึดเหนี่ยวต่อ นิวเคลียสของธาตุ ซ่ึงมีความสัมพันธ์กับ นวิ เคลยี สตา่ ง ๆ อภปิ รายรว่ มกนั จนสรปุ ไดว้ า่ สดั สว่ นของจ�ำ นวนโปรตอน สั ด ส่ ว น ข อ ง จำ � น ว น โ ป ร ต อ น ต่ อ จำ � น ว น ตอ่ จำ�นวนนวิ ตรอนมีผลต่อเสถAียรภาพNของนิวเคลยี ส นิวคลีออน จากแบบฝึกหดั และแบบทดสอบ นิวตรอนในนวิ เคลียส 4. แรงนิวเคลียร์นำ�ไปใช้อธิบายสาเหตุท่ีทำ�ให้ A4. ตั้งคNำ�ถาม ทำ�ไมโปรตอนถึงอยู่ร่วมกันในนิวเคลียสได้ ท้ัง ๆ ที่มีแรงไฟฟ้า ด้านจติ วิทยาศาสตร์ สดั สว่ นของจ�ำ นวนโปรตอนตอ่ จ�ำ นวนนวิ ตรอน ความอยากรู้อยากเห็นและความมีเหตุผล จากการ ของนิวเคลียสมีผลต่อความไม่เสถียรของ ผลักกัน อภิปรายร่วมกัน จนAสรุปไดN้ว่าต้องมีแรงอ่ืนยึดโปรตอนเหล่านั้น นิวเคลยี ส อภิปรายรว่ มกนั 5. พลงั งานยดึ เหนย่ี วเปน็ พลงั งานทย่ี ดึ นวิ คลอี อน แไวร้ดงอ้วยยา่กงันออ่ ใหน้นจักาเกรนียั้นนนสำ�ืบเสคNน้นอเกผ่ียลNวแกล0ับะeอแภรปิtงรนาิวยเรคว่ ลมียกรัน์ แรงอย่างเข้มและ ในนวิ เคลยี สใหอ้ ยดู่ ว้ ยกนั ซงึ่ มคี วามสมั พนั ธ์ กบั มวลพร่อง N 5. Nให0้คeวามt รู้เก่ียวกับผลของแรงนิวเคลียร์ จำ�นวนโปรตอน และจำ�นวน 6. นวิ เคลยี สทม่ี พี ลงั งานยดึ เหนย่ี วตอ่ นวิ คลอี อน มากจะมีเสถียรภาพสูงกว่านิวเคลียสที่มี T1 นนนlวิิิววnเเตคค2รลลอยีียนสสทอซ่ีมองึ่ กีตมจ่อีคาเวกสากถมันียสทรมั ภำ�พไานั ดNพEธ้โTดขT์ก12ยอบั12ใงมNห(นว้พlิลว0nlลmเพenคัง2ร)ง2ล่อcาียtงน2สตเทาแ่ามลกสะับมกพกาลารรังแงยานกยนึดิวเคหลนีอ่ียอวนขใอนง พลงั งานยดึ เหนย่ี วต่อนวิ คลีออนนอ้ ย 2 E  (  m ) คcอื 2 มวลรวมของนิวคลีออนทง้ั หมดลบดว้ ยมวลของนิวเคลียส 6. ให้ความรู้เก่ียวกับพลังงานEEยึดเ(ห(นm่ียmว)ต)cc่อ22นิวคลีออน สามารถใช้อธิบาย (เสmถยี )รcภ2าพของนิวเคลยี สไดA้ มีความสAัมพนั ธ์ ตามสมการ E A E  (m)c2 A  AA

การวเิ คราะหผ์ ลการเรียนรู้ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ ฟิสิกส์ 113 ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 6 แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ด้านทกั ษะ 7. ใหน้ กั เรยี นวเิ คราะหก์ ราฟแสดงความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งเลขมวลกบั พลงั งาน ยดึ หนยี่ วตอ่ นวิ คลอี อน จากนนั้ อภปิ รายรว่ มกนั จนไดข้ อ้ สรปุ วา่ นวิ เคลยี สทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ที่มีพลังงานยึดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนสูงจะมีเสถียรภาพมากกว่านิวเคลียส1. การตีความหมายข้อมูลและการลงข้อสรุป ทมี่ ีพลงั งานยึดเหนีย่ วต่อนิวคลีออนต่ำ� (การวเิ คราะห์และการอภิปรายกราฟ) 8. ยกตัวอย่างการคำ�นวณปริมาณต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกับ พลังงานยึดเหน่ียว2. การใช้จำ�นวน (ปริมาณต่าง ๆ ที่เก่ียวกับ และพลงั งานยดึ เหนย่ี วตอ่ นวิ คลอี อน จากนน้ั ใหน้ กั เรยี นสรปุ เพอ่ื ตรวจสอบ พลังงานยึดเหนี่ยวและพลังงานยึดเหนี่ยว ความร้คู วามเขา้ ใจ ต่อนิวคลีออน)ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 -ด้านจิตวิทยาศาสตร์1. ความอยากรูอ้ ยากเห็น2. ความมเี หตุผล

114 ผลการเรยี นร ู้ 16. อธบิ ายปฏกิ ริ ยิ านวิ เคลยี ร์ ฟชิ ชนั และฟวิ ชนั รวมทง้ั ค�ำ นวณพลงั งานนวิ เคลยี ร์ การวิเคราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ด้านความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยทบทวนเกี่ยวกับการเปลี่ยนสภาพของนิวเคลียส ดา้ นความรู้ จากนน้ั ใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั การเปลย่ี นแปลงสภาพของนวิ เคลยี ส จากปฏกิ ริ ยิ า 1. ปฏิกิริยานิวเคลียร์ เป็นการเปลี่ยนแปลง ปฏกิ ริ ยิ านวิ เคลยี ร์ ฟชิ ชนั ฟวิ ชนั และการผลติ ไฟฟา้ สภาพของนวิ เคลยี ส โดยการยงิ อนภุ าคไปยงั นวิ เคลยี ร์ ซง่ึ ท�ำ ไดโ้ ดยการยงิ อนภุ าคไปยงั นวิ เคลยี ส ท�ำ ใหไ้ ดน้ วิ เคลยี สใหม่ โดยใช้พลังงานนิวเคลียร์ จากการอภิปรายร่วมกัน และมอี นภุ าคอนื่ ถูกปลอ่ ยออกมา แบบฝกึ หัดและแบบทดสอบ นิวเคลียส ทำ�ให้ได้นิวเคลียสใหม่และ 2. ใหน้ กั เรยี นอภปิ รายรว่ มกนั เกย่ี วกบั หลกั การเขยี นสมการปฏกิ ริ ยิ านวิ เคลยี ร์ มอี นภุ าคอน่ื ถูกปล่อยออกมา จากตัวอย่างสมการแสดงปฏิกิริยานิวเคลียร์จนสรุปได้ว่า ผลรวมของ ดา้ นทกั ษะ เลขอะตอมและผลรวมของเลขมวลก่อนและหลงั ปฏกิ ริ ิยามีค่าเทา่ กนั การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อและ 2. ฟิชชันเป็นปฏิกิริยาท่ีนิวเคลียสที่มีมวล 3. ใหน้ กั เรยี นสบื คน้ เกยี่ วกบั ฟชิ ชนั และฟวิ ชนั อภปิ รายรว่ มกนั จนสรปุ ไดว้ า่ มากแตกออกเป็นสองนิวเคลียสที่มีเลขมวล การเกิดฟิชชันและฟิวชัน จะมีพลังงานถูกปล่อยออกมา เรียกว่า ก า ร คิ ด อ ย่ า ง มี วิ จ า ร ณ ญ า ณ แ ล ะ ก า ร แ ก้ ปั ญ ห า ใกลเ้ คยี งกัน พรอ้ มปล่อยพลังงานออกมา พลงั งานนิวเคลยี ร์ จากการอภปิ รายรว่ มกันและการน�ำ เสนอผล 4. ให้นักเรยี นสบื ค้นเก่ียวกับการผลติ ไฟฟา้ โดยใชพ้ ลังงานนวิ เคลยี ร์ รวมทั้ง 3. ฟิวชันเป็นปฏิกิริยาท่ีนิวเคลียสท่ีมีมวลน้อย ขอ้ ดี ขอ้ จ�ำ กดั และผลกระทบตอ่ สง่ิ แวดลอ้ มของโรงไฟฟา้ พลงั งานนวิ เคลยี ร์ ดา้ นจิตวิทยาศาสตร์ รวมตัวกันเป็นนิวเคลียสที่มีมวลมากขึ้น จากนนั้ น�ำ เสนอผลและอภิปรายร่วมกนั ความอยากรอู้ ยากเหน็ ความมเี หตผุ ล ความใจกวา้ ง พร้อมปลอ่ ยพลงั งานออกมา และการเหน็ คณุ คา่ ทางวทิ ยาศาสตร์ จากการอภปิ ราย ร่วมกนั 4. พลงั งานนวิ เคลยี รจ์ ากฟชิ ชนั สามารถน�ำ มาใช้ ประโยชน์ในดา้ นตา่ ง ๆ เชน่ การผลติ ไฟฟ้า ดา้ นทักษะ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ - ทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ (มกี ารอา้ งองิ แหลง่ ทมี่ าและการเปรยี บเทยี บ ความถูกต้องของข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ หลากหลายไดอ้ ยา่ งสมเหตสุ มผล การอภปิ ราย ร่วมกนั และการน�ำ เสนอผล)

การวเิ คราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการจดั การเรียนรู้ ฟสิ กิ ส์ 1152. การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและการแกป้ ญั หา ชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 6 (จากการแสดงการประเมินความน่าเช่ือถือ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ ของที่มาของข้อมูลท่ีได้จากการสืบค้น และ การเปรียบเทียบข้อดีและข้อจำ�กัดในการ อภิปราย)ด้านจิตวิทยาศาสตร์1. ความอยากรอู้ ยากเห็น2. ความใจกวา้ ง3. ความมีเหตผุ ล4. การเห็นคุณค่าทางวิทยาศาสตร์

116 ผลการเรยี นร ู้ 17. อธบิ ายประโยชนข์ องพลงั งานนวิ เคลยี รแ์ ละรงั สี รวมทง้ั อนั ตรายและการปอ้ งกนั รงั สใี นดา้ นตา่ ง ๆการวเิ คราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ดา้ นความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี นโดยการทบทวนเกย่ี วกบั รงั สที ถ่ี กู ปลอ่ ยจากธาตกุ มั มนั ตรงั สี ดา้ นความรู้ จากนั้นให้นักเรียนยกตัวอย่างเก่ียวกับการประยุกต์ใช้กัมมันตภาพรังสี 1. รังสีจากการสลายของธาตุกัมมันตรังสี ประโยชน์ อันตราย และการป้องกันรังสี จากการ นำ�ไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น ด้าน ในชีวติ ประจำ�วนั อภปิ รายรว่ มกนั 2. ให้นักเรียนสืบค้นเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้กัมมันตภาพรังสี จากน้ัน การแพทย์ การเกษตร โบราณคดี อตุ สาหกรรม ด้านทักษะ2. เมอื่ รา่ งกายไดร้ บั รงั สใี นปรมิ าณทม่ี ากเกนิ ไป นำ�เสนอผลและอภิปรายร่วมกนั การสอ่ื สารสารสนเทศและการรเู้ ทา่ ทนั สอ่ื และการคดิ 3. ให้ความรู้เก่ียวกับหลกั การท�ำ งานของเคร่ืองวัดรงั สี วิธีการวดั และหนว่ ย อย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา จากการ จะท�ำ ใหเ้ กดิ อาการผิดปกติ3. การปอ้ งกนั อนั ตรายจากรงั สี สามารถกระท�ำ ได้ ที่ใชใ้ นการวดั จากการสาธิตหรอื วีดทิ ัศน์ อภิปรายร่วมกันและการน�ำ เสนอผล หลายแนวทาง เชน่ การลดชว่ งเวลาของการ 4. ใหน้ กั เรยี นสบื คน้ เกยี่ วกบั อนั ตรายจากรงั สี ผลกระทบทเ่ี กดิ ขน้ึ ตอ่ รา่ งกาย ด้านจติ วทิ ยาศาสตร์ ได้รับรังสี การหลีกเล่ียงแหล่งกำ�เนิดรังสี ส่ิงแวดล้อมและการป้องกันอันตรายจากรังสี จากนั้นนำ�เสนอผลและ ความอยากรอู้ ยากเหน็ ความมีเหตผุ ล และการเห็น และ การใชว้ สั ดกุ ำ�บังรังสี อภิปรายร่วมกัน คุณคา่ ทางวทิ ยาศาสตร์ จากการอภปิ รายร่วมกนัด้านทักษะทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ -ทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 211. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ (มกี ารอา้ งองิ แหลง่ ทมี่ าและการเปรยี บเทยี บ ความถูกต้องของข้อมูลจากแหล่งข้อมูล ท่ี ห ล า ก ห ล า ย ไ ด้ อ ย่ า ง ส ม เ ห ตุ ส ม ผ ล การอภปิ รายร่วมกันและการนำ�เสนอผล)2. การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและการแกป้ ญั หา (จากการแสดงการประเมินความน่าเชื่อถือ ของที่มาของข้อมูลที่ได้จากการสืบค้น และ การเปรียบเทียบประโยชน์และอันตรายที่ ไดร้ ับจากรงั สี)

การวเิ คราะห์ผลการเรียนรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ ฟสิ ิกส์ 117ด้านจิตวิทยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 61. ความอยากรูอ้ ยากเหน็2. ความมเี หตุผล แนวทางการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้3. การเหน็ คุณค่าทางวทิ ยาศาสตร์

118 ผลการเรยี นรู้ 18. อธบิ ายการคน้ ควา้ วจิ ยั ดา้ นฟสิ กิ สอ์ นภุ าค แบบจ�ำ ลองมาตรฐาน และการใชป้ ระโยชนจ์ ากการคน้ ควา้ วจิ ยั ดา้ นฟสิ กิ สอ์ นภุ าคในดา้ นตา่ ง ๆ การวเิ คราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ ดา้ นความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี นโดยการอภปิ รายรว่ มกนั เพอ่ื ทบทวนเกย่ี วกบั องคป์ ระกอบ ดา้ นความรู้ ของอะตอม รวมทง้ั องคป์ ระกอบในนวิ เคลยี ส จากนน้ั ตง้ั ค�ำ ถามวา่ อนภุ าค 1. การศกึ ษาโปรตอนและนวิ ตรอนในนวิ เคลยี ส ทเ่ี ปน็ องคป์ ระกอบของอะตอม มอี งคป์ ระกอบทเ่ี ลก็ กวา่ หรอื ไม่ อภปิ ราย คน้ ควา้ วจิ ยั ดา้ นฟสิ กิ สอ์ นภุ าค แบบจ�ำ ลองมาตรฐาน ด้วยเครื่องเร่งอนุภาคพลังงานสูงพบว่า รว่ มกนั และการใชป้ ระโยชนจ์ ากการคน้ ควา้ วจิ ยั ดา้ นฟสิ กิ ส์ โปรตอนและนิวตรอนประกอบด้วยอนุภาค อนุภาคในดา้ นต่าง ๆ อ่ืนที่มีขนาดเล็กกว่าเรียกว่า ควาร์ก ซึ่งยึด 2. ให้นักเรียนสืบค้นเก่ียวกับการค้นคว้าวิจัยด้านฟิสิกส์อนุภาค และ เหน่ียวกนั ไว้ด้วยแรงเขม้ แบบจ�ำ ลองมาตรฐาน จากนน้ั น�ำ เสนอผลและอภปิ รายรว่ มกนั ด้านทกั ษะ การสอ่ื สารสารสนเทศและการรเู้ ทา่ ทนั สอ่ื และการคดิ 2. อนุภาคที่เป็นสื่อของแรงเข้ม ได้แก่ กลูออน 3. ให้ความร้เู ก่ยี วกับการใช้ประโยชน์จากการค้นคว้าวิจัยด้านฟิสิกส์อนุภาค อย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา จากการ และ อนุภาคที่เป็นส่ือของแรงอ่อน ได้แก่ โดยอาจใชภ้ าพหรอื วดี ทิ ศั นป์ ระกอบ W-โบซอน และ Z-โบซอน อภิปรายร่วมกันและการน�ำ เสนอผล 4. ใหน้ กั เรยี นสรปุ เพอ่ื ตรวจสอบความรคู้ วามเขา้ ใจ 3. อนภุ าคทไ่ี มส่ ามารถแยกเปน็ องคป์ ระกอบได้ ด้านจิตวทิ ยาศาสตร์ รวมทง้ั อนภุ าคทเ่ี ปน็ สอ่ื ของแรง จดั เปน็ อนภุ าค ความอยากรอู้ ยากเหน็ ความมเี หตผุ ล และการเหน็ มูลฐานในแบบจำ�ลองมาตรฐาน 4. แบบจ�ำ ลองมาตรฐานเปน็ ทฤษฎที ใี่ ชอ้ ธบิ าย คุณค่าทางวทิ ยาศาสตร์ จากการอภิปรายรว่ มกนั พฤติกรรมและอันตรกิริยาระหว่างอนุภาค มลู ฐาน 5. การค้นคว้าวิจัยด้านฟิสิกส์อนุภาคนำ�ไปสู่ การพัฒนาเทคโนโลยีที่นำ�มาใช้ประโยชน์ ในดา้ นต่าง ๆ ด้านทกั ษะ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ -

การวิเคราะห์ผลการเรียนรู้ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ ฟสิ ิกส์ 119ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 61. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ (มกี ารอา้ งองิ แหลง่ ทมี่ าและการเปรยี บเทยี บ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ความถูกต้องของข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ หลากหลายไดอ้ ยา่ งสมเหตสุ มผล การอภปิ ราย ร่วมกันและการนำ�เสนอผล)2. การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและการแกป้ ญั หา (จากการแสดงการประเมินความน่าเช่ือถือ ของที่มาของข้อมูลที่ได้จากการสืบค้น และ การเปรียบเทียบประโยชน์และอันตรายท่ี ไดร้ บั จากรงั สี)ดา้ นจิตวิทยาศาสตร์1. ความอยากร้อู ยากเหน็2. ความมเี หตุผล3. การเหน็ คุณคา่ ทางวทิ ยาศาสตร์