Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือการใช้หลักสูตร วิชาฟิสิกส์ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย

คู่มือการใช้หลักสูตร วิชาฟิสิกส์ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย

Published by Nuttigar, 2018-06-11 04:50:15

Description: คู่มือการใช้หลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
วิชาฟิสิกส์ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย

Keywords: คู่มือ,การใช้หลักสูตร,ฟิสิกส์,มัธยมศึกษาตอนปลาย,วิทยาศาสตร์

Search

Read the Text Version

50 ผลการเรียนรู้ 10. ทดลองและอธบิ ายความสมั พันธร์ ะหว่างดรรชนหี ักเห มมุ ตกกระทบ และมุมหักเห รวมทัง้ อธิบายความสัมพันธร์ ะหวา่ งความลึกจรงิ และ ความลึกปรากฏ มมุ วกิ ฤตและการสะทd้อsนinกลบั หมnดของเแมสื่องnและ1,ค2�ำ,3น,.ว..ณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทีเ่ ก่ยี วข้อง การวิเคราะห์ผลการเรียนรู้ dแxนวทnางการจดั กาเมรอื่เรnยี นร1ู้ ,2,3,... แนวทางการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ดา้ นความรู้ D ดา้ นความรู้1. เมอ่ื แสงผา่ นรอยตอ่ ระหวา่ งตวั กลางทต่ี า่ งกนั 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยการสาธิตกิจกรรม เช่น นำ�วัตถุใสวางบนหนังสือ 1. การหักเหของแสง ความลึกจริง ความลึกปรากฏ อตั ราเรว็ ของแสงจะเปลย่ี นไป อตั ราสว่ นของ มมุ วกิ ฤต และการสะทอ้ นกลบั หมด จากการอภปิ ราย ให้นักเรียนสังเกตตำ�แหน่งของตัวหนังสือ อภิปรายร่วมกันเก่ียวกับ อัตราเร็วแสงในสุญญากาศกับอัตราเร็วแสง รว่ มกนั ในตวั กลางใด มคี า่ คงตวั เรยี กวา่ ดรรชนหี กั เห ต�ำ แหนsง่ จ' รงิ กบั sต�ำ แหนง่ ทเ่ี หน็ เปน็ ต�ำ แหนง่ เดยี วกนั หรอื ไม่ และน�ำ เสนอผล 2. ความสัมพันธ์ระหว่างดรรชนีหักเห มุมตกกระทบ ของตวั กลางนน้ั และการหกั เหของแสงจะเปน็ 2. ให้นักเรียนทดลอง เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างมุมตกกระทบ กับ มุมหักเห ความสัมพันธ์ระหว่างความลึกจริง ไปตามกฎการหกั เหของคลื่น ความลกึ ปรากฏ และกฎของสเนลล์ จากแบบฝกึ หดั2. ตำ�แหน่งภาพของวัตถุที่เกิดจากการหักเห มุมหักเห น�ำ เสนอผลและอภิปรายรว่ มกนั จนสรุปได้ว่า และแบบทดสอบ ของแสง ซึ่งเรียกว่า ความลึกปรากฏ จะอยู่ 1 11 คนละต�ำ แหนง่ กบั ต�ำ แหนง่ ของวตั ถุ เรยี กวา่ f s s' ด้านทักษะ ค ว า ม ลึ ก จ ริ ง ซึ่ ง มี ค ว า ม สั ม พั น ธ์ กั บ 1. การสงั เกต การวดั การทดลอง การตคี วามหมายขอ้ มลู มุมตกกระทบ มมุ หักเห และดรรชนีหกั เห และลงขอ้ สรปุ ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และ3. เมื่อแสงมีมุมตกกระทบที่ทำ�ให้มุมหักเห มคี า่ เทา่ กบั 90 องศา เรยี กมมุ ตกกระทบนวี้ า่ จากนMั้นให้ควyาม' รู้ เม่ือแสงตกกระทบในตัวกลางท่ีหนึ่งแล้วหักเหไปยังอีก ภาวะผนู้ �ำ จากการอภปิ รายรว่ มกนั และรายงานการ มมุ วกิ ฤตและเมอ่ื มมุ ตกกระทบโตกวา่ มมุ วกิ ฤต ตัวกลางหน่ึงyซึ่งเป็นตัวกลางคู่ใดๆ จะมีอัตราส่วนดังกล่าวเป็นค่าคงตัว ทดลอง จะเกดิ การสะทอ้ นกลับหมด 2. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ จากการ เรยี กวา่ กฎของสเนลล์ อภิปรายร่วมกันและการนำ�เสนอผลด้านทักษะ 3. การใช้จำ�นวน ในการหาปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 3. ให้ควา1มรู้เรื่อง2ดรรชนีหักเหของแสงผ่านตัวกลางใดๆ เป็นอัตราส่วน การหกั เหของแสง จากแบบฝกึ หดั และแบบทดสอบ1. การสังเกต (ต�ำ แหนง่ ตัวอกั ษร)2. การวัด (มุมตกกระทบและมุมหกั เห) ของอัตราเร็วแสงในสุญญากาศต่ออัตราเร็วแสงในตัวกลางใดๆ จากนั้น ดา้ นจติ วทิ ยาศาสตร์3. การใช้จ�ำ นวน (ปริมาณต่าง ๆ ทเี่ ก่ียวข้องกับ 1. ความซอื่ สัตย ์ จากรายงานผลการทดลอง เชอ่ื มโยงกับความรู้ในข้อ 2 จนสรุปไดค้ วามสัมพนั ธ์ ตามสมการ 2. ความมงุ่ มนั่ อดทน จากการทดลอง และการอภปิ ราย การหักเหของแสง) sinθ1 = ค่าคงตวั รว่ มกัน 4. สาธิตโดยการใหล้ ำ�แสงตกsกiรnะθท2บจากตวั กลางท่ีมีดรรชนหี ักเหมากไปยงั ตัวกลางที่มีดรรรชนีหักเหน้อย โดยปรับมุมตกกระทบให้โตข้ึนเร่ือยๆ ให้นักเรียนสังเกต จากนั้นnอ1ภsiิปnรθา1 ย=ร่วnม2sกinันθจ2 นสรุปได้ว่า มีมุมตกกระทบ มุมหนึ่งที่ทำ�ให้มีมุมหักเหเท่ากับ 90 องศา เรียกมุมตกกระทบน้ีว่า มมุ วิกฤต ซึ่งมคี วามสัมพันธ์ตามสมการ sinc  n2 n1 s'   n2 s n1

1 2 ฟสิ ิกส์ การวเิ คราะห์ผลการเรียนรู้ แนsวiทnาθงก1 า=รจัดคกา่ าครงเรตยี วั นรู้ ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 5 514. การทดลอง sinθ2 แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้5. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป และเม่ือมุมตกกระทบมากกว่ามุมวิกฤต แสงจะสะท้อนกลับหมด สาธิต (การสรุปผลการทดลอง) โดยนำ�แก้วน้ำ�ไปวางบนกระดาษที่มีตัวอักษร ให้นักเรียนสังเกตตำ�แหน่ง ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ตัวอักษรในแนวด่ิง ในขnณ1sะinทθี่ไม1 ่ม=ีน้ำ�nก2ับsiเnม่ือθค2 ่อยๆเติมนำ้�ลงไป อภิปราย1. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ รว่ มกนั จนสรปุ ไดว้ า่ ต�ำ แหนง่ ของตวั อกั ษรทเ่ี หน็ แตกตา่ งกนั ระหวา่ งไมม่ นี �ำ้ (การอภปิ รายร่วมกนั และการนำ�เสนอผล) กบั มนี �้ำ ระดบั สงู ตา่ ง ๆ เปน็ ผลมาจากการหกั เหของแสง โดยต�ำ แหนง่ ภาพ2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ ของวตั ถทุ เี่ กดิ จากการหกั เหของแสง เรยี กวา่ ความลกึ ปรากฏ จะอยคู่ นละดา้ นจิตวิทยาศาสตร์ ตกบัำ�แดหรรนช่งนกีหับกัตเำ�หแตหานม่งสขมอกงาวรsัตiถnุ เรcียกว่าnn12ความลึกจริง ซ่ึงมีความสัมพันธ์ 1. ความซ่อื สัตย์ s'   n22. ความมุ่งมน่ั อดทน s n1 5. ยกตัวอย่างการคำ�นวณปริมาณต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกับการหักเหของแสง จากน้ันใหน้ ักเรยี นสรปุ เพอ่ื ตรวจสอบความรู้ความเข้าใจ 1 11 f s s'และ M  y' y EF A

52 ผลการเรียนรู้ 11. ทดลองและเขียนรังสีของแสงเพ่ือแสดงภาพท่ีเกิดจากเลนส์บาง หาต�ำ แหน่ง ขนาด ชนดิ ของภาพ และความสัมพนั ธ์ระหวา่ งระยะวตั ถุ ระยะภาพ และความยาวโฟกสั รวมท้ังค�ำ นวณปริมาณตา่ ง ๆ ทเ่ี ก่ียวข้อง และอธบิ ายการน�ำ ความรูเ้ ร่ืองการหกั เหของแสงผา่ นเลนสบ์ างไปใชป้ ระโยชน์ ในชีวติ ประจำ�วันการวเิ คราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยการทบทวนความรู้เก่ียวกับการหักเหแสงเมื่อผ่าน ด้านความรู้ ตวั กลางสองชนดิ ตงั้ ค�ำ ถามเกยี่ วกบั ลกั ษณะของแสงทห่ี กั เหผา่ นเลนสบ์ าง วัตถุอยู่หน้าเลนส์บางจะเกิดภาพของวัตถุ ทง้ั เลนสน์ นู และเลนสเ์ วา้ จากนน้ั ใหน้ กั เรยี นอภปิ รายรว่ มกนั และน�ำ เสนอผล 1. การเขยี นรงั สขี องแสงเพอ่ื หาต�ำ แหนง่ ขนาดของภาพ โดยตำ�แหน่ง ขนาดและชนิดของภาพ หาได้ ชนดิ ของภาพทเี่ กดิ จากเลนสบ์ าง และการน�ำ ความรู้ จากการเขยี นแผนภาพของรงั สแี สง 2. ให้นักเรียนทดลองการหักเหแสงผ่านเลนส์นูน เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ เรอ่ื งการหกั เหแสงไปใชใ้ นประโยชนใ์ นชวี ติ ประจ�ำ วนั ระหวา่ งระยะวตั ถุ ระยะภาพ และความยาวโฟกัส รวมทั้งขนาดของภาพ จากการอภปิ รายร่วมกันดา้ นทักษะ จากนน้ั อภปิ รายรว่ มกนั จนสรปุ ได้ความสมั พนั ธ์ ตามสมการ 2. การเขียนแผนภาพ การหักเหแสงผ่านเลนส์บาง ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์1. การวดั (ตำ�แหนง่ วัตถุ และต�ำ แหน่งภาพ) จากแบบฝึกหัดและแบบทดสอบ2. การทดลอง และ 3. ความสัมพันธ์ระหว่างระยะวัตถุ ระยะภาพ และ3. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป 3. ยกตวั อยา่ งการค�ำ นวณระยะวตั ถุ ระยะภาพ ความยาวโฟกสั ชนดิ ของภาพ ความยาวโฟกสั จากการวเิ คราะหก์ ราฟผลการทดลอง (การสรปุ ผลการทดลอง) และขนาดของภาพ จากนน้ั ใหน้ กั เรยี นสรปุ เพอ่ื ตรวจสอบความรคู้ วามเขา้ ใจ4. การจัดกระทำ�และส่ือความหมายข้อมูล 4. ตง้ั ค�ำ ถามเกย่ี วกบั การน�ำ ความรเู้ รอ่ื งการหกั เหของแสงผา่ นเลนสบ์ างไปใช้ ด้านทักษะ5. การใชจ้ �ำ นวน (ต�ำ แหนง่ ขนาด และชนดิ ของ ประโยชนใ์ นชวี ติ ประจำ�วัน ใหน้ ักเรยี นอภปิ รายร่วมกนั และน�ำ เสนอผล 1. การวัด การทดลอง การตีความหมายข้อมูลและ ภาพทีเ่ กิดจากเลนส์บาง) ลงข้อสรุป ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 ภาวะผู้นำ� จากการอภิปรายร่วมกันและรายงาน 1. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ การทดลอง 2. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จากการ (การอภปิ รายร่วมกนั และการน�ำ เสนอผล) อภปิ รายรว่ มกันและการนำ�เสนอผล2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ 3. การใช้จำ�นวน ในการหาระยะวัตถุ ระยะภาพ ความยาวโฟกัสชนิดของภาพและขนาดของภาพ ด้านจิตวิทยาศาสตร์ จากแบบฝึกหัดและแบบทดสอบ1. ความซือ่ สตั ย์2. ความพยายามมุ่งมน่ั ด้านจติ วทิ ยาศาสตร์ 1. ความซือ่ สัตย์ จากรายงานผลการทดลอง 2. ความมงุ่ มน่ั อดทน จากการทดลองและการอภปิ ราย รว่ มกนั

ฟสิ กิ ส์ ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 5ผลการเรยี นร ู้ 12. อธบิ ายปรากฏการณธ์ รรมชาตทิ เ่ี กย่ี วกบั แสง เชน่ รงุ้ การทรงกลด มริ าจ และการเหน็ ทอ้ งฟา้ เปน็ สตี า่ ง ๆ ในชว่ งเวลาตา่ งกนั 53การวเิ คราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ดา้ นความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี น โดยการทบทวนความรเู้ กยี่ วกบั การหกั เหและการสะทอ้ น ดา้ นความรู้ ของแสง จากนั้นให้นักเรียนศึกษาจากวีดิทัศน์เกี่ยวกับการกระจายของ 1. เมื่อแสงขาวผ่านปริซึม จะเกิดการกระจาย แสงขาวผา่ นปรซิ ึม 1. การกระจายแสงเม่ือผ่านปริซึม จากการอภิปราย ของแสงออกมาเปน็ สเปกตรมั ของแสง อธบิ าย รว่ มกนั โดยใช้กฎการหักเหของแสง 2. ทบทวนกฎของสเนลล์และให้ความรู้เกี่ยวกับดรรชนีหักเหของแสง 2. ปรากฏการณธ์ รรมชาติ เชน่ รงุ้ การทรงกลด ในตวั กลางใด ๆ มคี า่ ขน้ึ กบั ความยาวคลน่ื ท�ำ ใหแ้ สงขาวทต่ี กกระทบปรซิ มึ 2. ความรู้เรื่องการหักเหแสงผ่านตัวกลางโดยใช้ ด้วยมุมตกกระทบค่าหนึ่ง แสงที่หักเหในปริซึมจะกระจายออกมาเป็น กฎของสเนลล์ จากการอภปิ รายรว่ มกนั และการเขยี น และมริ าจ อธบิ ายไดด้ ว้ ยกฎการสะทอ้ นและ การหักเหของแสง แถบสตี า่ งๆ เรยี กวา่ สเปกตรมั ของแสง จากนน้ั สงั เกตการเกดิ รงุ้ อภปิ ราย แผนภาพรงั สแี สง รว่ มกัน จนสรุปไดว้ ่า รุง้ ท่ีเกิดขนึ้ มสี องชนิด คือรุ้งปฐมภมู ิและรุง้ ทุตยิ ภมู ิ 3. การเกิดรุ้ง รุ้งปฐมภูมิ รุ้งทุติยภูมิ จากการอภิปรายดา้ นทักษะ ซงึ่ มกี ารเรยี งแถบสตี า่ งกนั เกดิ จากมมุ ทแ่ี สงตกกระทบละอองน�ำ้ ในอากาศทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ตา่ งกัน ร่วมกันและการเขียนแผนภาพรงั สีแสง - 4. การทรงกลด และมิราจ จากการเขียนรายงานทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 3. ใหน้ กั เรยี นสบื คน้ ปรากฏการณธ์ รรมชาตทิ เี่ กยี่ วกบั แสง เชน่ การทรงกลด1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ และมริ าจแตล่ ะชนดิ น�ำ เสนอและอภปิ รายรว่ มกนั จนสรปุ ไดว้ า่ ปรากฏการณ์ ด้านทกั ษะ (มกี ารอา้ งองิ แหลง่ ทม่ี าและการเปรยี บเทยี บ ข้างต้น อธิบายได้ด้วยหลักการสะท้อน การหักเห และการสะท้อนกลับ 1. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ จากการ ความถูกต้องของข้อมูลจากแหล่งข้อมูล หมดของแสง อภิปรายรว่ มกนั และการน�ำ เสนอผล ที่ ห ล า ก ห ล า ย ไ ด้ อ ย่ า ง ส ม เ ห ตุ ส ม ผ ล 2. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� การอภปิ รายร่วมกันและการน�ำ เสนอผล)2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ จากการกอภปิ รายร่วมกันด้านจติ วทิ ยาศาสตร์ ดา้ นจติ วิทยาศาสตร์1. ความอยากรู้อยากเห็น ความอยากรอู้ ยากเหน็ และความรอบคอบ จากการ2. ความรอบคอบ เขียนรายงาน

54 ผลการเรยี นรู้ 13 สงั เกตและอธบิ ายการมองเหน็ แสงสี สขี องวตั ถุ การผสมสารสี และการผสมแสงสี รวมทง้ั อธบิ ายสาเหตขุ องการบอดสีการวเิ คราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยการนำ�กล่องหลอดไฟท่ีบอกทั้งหน่วยวัตต์และ ดา้ นความรู้ ลูเมน ให้นักเรียนสังเกตและตั้งคำ�ถามว่า หน่วยที่ปรากฏข้างกล่องเป็น1. อตั ราการใหพ้ ลงั งานแสง หรอื ฟลกั ซส์ อ่ งสวา่ ง หน่วยของอะไร จากนั้นให้ความรู้เก่ียวกับกำ�ลังไฟฟ้าที่มีหน่วยเป็นวัตต์ ความสว่าง การมองเห็นแสงสี สีของวัตถุ การผสม ที่ตกกระทบต่อหนึ่งหน่วยพื้นท่ีตั้งฉาก มีความสมั พันธก์ บั ความสวา่ งของแสงทไ่ี ดจ้ ากหลอดไฟในหนว่ ยลูเมน สารสี การผสมแสงสี และความผดิ ปกติของนัยนต์ า จากการอภปิ รายรว่ มกัน ใช้บอกความสว่าง ความสว่างมีผลต่อการ 2. ใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั อตั ราการใหพ้ ลงั งานแสงหรอื ฟลกั ซส์ อ่ งสวา่ งของแหลง่ มองเห็น ก�ำ เนดิ แสงจากนน้ั อภปิ รายรว่ มกนั จนสรปุ ไดว้ า่ ความสวา่ งคอื อตั ราสว่ น ด้านทกั ษะ2. การดูดกลืนและการสะท้อนแสงสีของวัตถุ ของฟลักซ์สอ่ งสวา่ งต่อหน่งึ หนว่ ยพน้ื ที่ต้งั ฉาก ตามสมการ 1. การสังเกต จากการทำ�กิจกรรมและการอภิปราย ทำ�ให้มองเห็นสีของวัตถุน้ัน และความผิด ปกติของนัยน์ตา เช่น การบอดสี จะทำ�ให้ 3. ให้นักเรียนสืบค้นเกี่ยวกับความสว่างท่ีเหมาะสมที่ใช้ในชีวิตประจำ�วัน ร่วมกัน มองเห็นสีของวัตถุเปล่ียนไป การผสมแสงสี จากนน้ั นำ�เสนอผลและอภิปรายร่วมกัน 2. การสอ่ื สารสารสนเทศนแ์ ละการรเู้ ทา่ ทนั สอื่ จากการ และการผสมสารสีจะทำ�ให้ได้แสงสีและ สารสีตา่ ง ๆ 4. ใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั การมองเหน็ สขี องวตั ถุ แสงสี การท�ำ งานของแผน่ กรองแสงสี อภปิ รายร่วมกนั และการนำ�เสนอผล3. ตาปกติสามารถมองเห็นวัตถุชัดเจนเมื่อแสง การผสมสารสี การผสมแสงสี และความผดิ ปกตขิ องนยั นต์ า ไดแ้ ก่ การบอดสี 3. การใชจ้ �ำ นวนในการหาปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั จากวตั ถผุ า่ นเลนสต์ าแลว้ เกดิ ภาพทจี่ อตา ใน 5. ใหน้ กั เรยี นท�ำ กจิ กรรมการผสมแสงสบี นฉากขาว น�ำ เสนอผลและอภปิ ราย ความสว่าง การแก้ไขสายตาสั้นและสายตายาว กรณสี ายตาสน้ั และสายตายาว เกดิ จากภาพ ไม่เกิดที่จอตา อาจแก้ไขได้โดยใช้เลนส์ชนิด รว่ มกนั จนสรปุ ไดว้ า่ การผสมแสงสจี ะท�ำ ใหไ้ ดแ้ สงสใี หมท่ ต่ี า่ งไปจากเดมิ จากแบบฝึกหัดและแบบทดสอบ ต่าง ๆ 6. ใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั สายตาสนั้ สายตายาว อภปิ รายรว่ มกนั และสรปุ เกย่ี วกบั 4. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� ด้านทักษะ วธิ กี ารแกไ้ ขความผดิ ปกตขิ องสายตาโดยใชเ้ ลนสเ์ วา้ และเลนสน์ นู จากนนั้ จากการอภปิ รายรว่ มกนั ให้นักเรียนสืบคน้ วธิ ีการแก้ไขความผิดปกตขิ องสายตา ดว้ ยวิธอี ื่น ๆทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 7. ยกตัวอย่างการคำ�นวณปริมาณต่าง ๆ ที่เก่ียวกับความสว่าง การแก้ไข ด้านจิตวิทยาศาสตร์1. การสังเกต (แสงสีทเี่ ปลีย่ นไปบนฉากขาว) สายตาส้ันและสายตายาว จากนั้นให้นักเรียนสรุป เพื่อตรวจสอบความรู้ ความอยากรอู้ ยากเหน็ และความรอบคอบ จากการ2. การใชจ้ �ำ นวน (ปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ความเข้าใจ เขยี นรายงาน ความสวา่ ง)

การวเิ คราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ ฟสิ ิกส์ 55ทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 51. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ (มกี ารอา้ งองิ แหลง่ ทม่ี าและการเปรยี บเทยี บ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ ความถูกต้องของข้อมูลจากแหล่งข้อมูล ท่ีหลากหลายได้อย่างสมเหตุสมผล การ อภปิ รายรว่ มกันและการน�ำ เสนอ)2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำด้านจิตวทิ ยาศาสตร์1. ความอยากรู้อยากเห็น2. ความรอบคอบ

56 3. เข้าใจแรงไฟฟ้าและกฎของคลู อมบ์ สนามไฟฟ้า ศักยไ์ ฟฟ้า ความจไุ ฟฟา้ กระแสไฟฟ้า และกฎของโอหม์ วงจรไฟฟา้ กระแสตรง พลงั งานไฟฟา้ และกำ�ลังไฟฟ้า การเปลย่ี นพลังงานทดแทนเปน็ พลังงานไฟฟา้ สนามแมเ่ หลก็ แรงแมเ่ หลก็ ท่ีกระท�ำ กบั ประจุไฟฟ้า และกระแสไฟฟ้า การเหน่ยี วนำ�แม่เหลก็ ไฟฟ้าและกฎของฟาราเดย์ ไฟฟา้ กระแสสลบั คล่นื แม่เหล็กไฟฟา้ และการส่อื สาร รวมทง้ั นำ�ความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ผลการเรียนรู้ 1. ทดลองและอธิบายการทำ�วัตถุทเ่ี ปน็ กลางทางไฟฟา้ ให้มีประจุไฟฟ้าโดยการขัดสีกันและการเหนยี่ วนำ�ไฟฟา้ สถติการวเิ คราะหผ์ ลการเรียนรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ดา้ นความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรียน โดยทบทวนการทำ�ให้วตั ถุทเี่ ปน็ กลาง มปี ระจุไฟฟ้าโดย ด้านความรู้ เตรียมวัสดุต่างๆ เช่น แผ่นเปอร์สเปก แผ่นพีวีซี และผ้าสักหลาดมาให้ การนำ�วัตถุที่เป็นกลางมาขัดสีและการ นักเรียนได้ขัดสีและสังเกตผลที่เกิดขึ้น จากนั้นอภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับ การท�ำ ใหว้ ตั ถมุ ปี ระจโุ ดยการขดั สแี ละการเหนย่ี วน�ำ เหนี่ยวนำ�ไฟฟ้าสถิตของตัวนำ� ทำ�ให้วัตถุ ประจไุ ฟฟา้ ทปี่ รากฏบนวสั ดเุ ปน็ ประจชุ นดิ เดยี วกนั หรอื ไม่ โดยใชค้ วามรู้ ไฟฟา้ สถติ จากการอภปิ รายรว่ มกนั และการน�ำ เสนอผล มีประจไุ ฟฟา้ ประจุชนิดเดียวกันจะผลักกัน ประจุต่างชนิดกันจะดูดกนั ดา้ นทักษะดา้ นทักษะ 2. ใหน้ กั เรยี นท�ำ กจิ กรรมเกยี่ วกบั ชนดิ ของแรงระหวา่ งประจไุ ฟฟา้ และชนดิ 1. การสงั เกต การทดลอง การตีความหมายขอ้ มูลและทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์1. การสังเกต (แรงดึงดูดและแรงผลักกัน ของ ของประจไุ ฟฟา้ จากการขัดสี จากน้ันอภปิ รายร่วมกันและน�ำ เสนอผล ลงข้อสรุป ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและ 3. ให้ความรู้ว่า เม่ือนำ�วัตถุท่ีมีประจุไฟฟ้าเข้าใกล้ตัวนำ�ไฟฟ้าที่เป็นกลาง ภาวะผู้นำ� จากการอภิปรายร่วมกันและรายงาน วตั ถทุ ี่มปี ระจุไฟฟา้ ) การทดลอง2. การทดลอง จะทำ�ให้เกิดประจุไฟฟ้าชนิดตรงข้ามบนตัวนำ�ทางด้านท่ีใกล้วัตถุท่ีมี 2. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ จากการ3. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป ประจไุ ฟฟา้ เรียกกระบวนการน้ีว่าการเหนย่ี วน�ำ ไฟฟ้าสถิต อภปิ รายรว่ มกันและการนำ�เสนอผล 4. ใหน้ กั เรยี นทดลอง เพอ่ื ศกึ ษาการเหนย่ี วน�ำ ไฟฟา้ สถติ โดยใชอ้ เิ ลก็ โทรสโคป (การสรุปผลการทดลอง) จากนั้นนำ�เสนอผลและอภิปรายร่วมกัน จนสรุปกระบวนการเหน่ียวนำ� ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 ไฟฟา้ สถิตได้ 1. ความซอ่ื สัตย์ จากรายงานผลการทดลอง1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ 2. ความมงุ่ มนั่ อดทน จากการทดลอง และการอภปิ ราย (การอภิปรายร่วมกันและการนำ�เสนอผล) รว่ มกนั2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำดา้ นจติ วทิ ยาศาสตร์1. ความซอ่ื สตั ย์2. ความมงุ่ มนั่ อดทน

ฟิสิกส์ ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 5ผลการเรยี นรู้ 2. อธบิ ายและค�ำ นวณแรงไฟฟา้ ตามกฎของคลู อมบ์ 57การวิเคราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ด้านความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยให้นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับเคร่ืองมือทดลองและ ด้านความรู้ การทดลองของคูลอมบ์ นำ�เสนอผลและอภิปรายร่วมกันและให้ความรู้ แรงกระทำ�ระหว่างจุดประจุมีค่าแปรผัน เกี่ยวกับแรงระหวา่ งจดุ ประจุ จนได้ความสมั พนั ธ์ ตามสมการ แรงไฟฟา้ ตามกฎของคลู อมบ์ และผลของแรงไฟฟา้ กับผลคูณของขนาดของจุดประจุท้ังสอง ทีก่ ระทำ�ต่อจดุ ประจุ จากการอภิปรายร่วมกัน และแปรผกผันกับกำ�ลังสองของระยะห่าง 2. ยกตัวอย่างการคำ�นวณปริมาณต่างๆ ท่ีเกี่ยวกับแรงไฟฟ้าตามกฎของ ระหวา่ งจดุ ประจุ คูลอมบ์ จากนัน้ ใหน้ กั เรยี นสรปุ เพื่อตรวจสอบความร้คู วามเขา้ ใจ ดา้ นทักษะ 1. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จากการด้านทกั ษะทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ อภปิ รายร่วมกันและการนำ�เสนอผล การใช้จำ�นวน (แรงไฟฟ้าระหวา่ งจุดประจุ) 2. การใช้จำ�นวน ในการหาปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 แรงไฟฟ้าตามกฎของคูลอมบ์ จากแบบฝึกหัดและ1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ แบบทดสอบ (การอภิปรายร่วมกนั และการนำ�เสนอผล) 3. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� 2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ จากการอภิปรายร่วมกนัดา้ นจิตวิทยาศาสตร์ - ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ -

58 ผลการเรยี นรู้ 3. อธิบายและค�ำ นวณสนามไฟฟ้าและแรงไฟฟ้าทีก่ ระทำ�กับอนภุ าคทมี่ ีประจไุ ฟฟา้ ทีอ่ ยใู่ นสนามไฟฟา้ รวมทง้ั หาสนามไฟฟ้าลพั ธเ์ น่อื งจากระบบจดุ ประจุโดยรวมกันแบบเวกเตอร์การวเิ คราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ดา้ นความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี น โดยการทบทวนความรเู้ กย่ี วกบั แรงทก่ี ระท�ำ ตอ่ ประจไุ ฟฟา้ ดา้ นความรู้1. บริเวณรอบจุดประจุ มีสนามไฟฟ้า เมื่อนำ� จากนน้ั ใหน้ กั เรยี นศกึ ษา เกยี่ วกบั สนามไฟฟา้ และอภปิ รายรว่ มกนั จนสรปุ 1. แรงไฟฟ้าท่ีกระทำ�กับอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าท่ีอยู่ จดุ ประจอุ น่ื ไปวางจะมแี รงกระท�ำ กบั จดุ ประจุ ในสนามไฟฟ้า สนามไฟฟ้าของจุดประจุและระบบ ไดว้ า่ ต�ำ แหนง่ ใด ๆ ทมี่ สี นามไฟฟา้ เมอ่ื น�ำ ประจไุ ปวางจะมแี รงกระท�ำ ตอ่ จดุ ประจุ จากการอภิปรายรว่ มกนั ที่นำ�ไปวางนั้น โดยทิศทางของสนามไฟฟ้า แสดงไดด้ ้วยเส้นสนามไฟฟ้า ประจนุ นั้ 2. เส้นสนามไฟฟา้ จากการอภิปรายร่วมกัน2. อนุภาคท่ีมีประจุไฟฟ้า อยู่ในสนามไฟฟ้า 2. ให้ความรู้เกี่ยวกับเส้นสนามไฟฟ้า จากนั้นให้นักเรียนทำ�กิจกรรม ด้านทกั ษะ จะมีแรงกระทำ� ซึ่งมีขนาดขึ้นอยู่กับขนาด 1. การสังเกต การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป ของจดุ ประจุและสนามไฟฟา้ การแผก่ ระจายของดา่ งทบั ทมิ ในบรเิ วณสนามไฟฟา้ เพอ่ื ศกึ ษาลกั ษณะของ การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ จากการดา้ นทักษะ เส้นสนามไฟฟ้า อภิปรายร่วมกัน จนสรุปได้ว่าเส้นสนามไฟฟ้าใช้เขียน ทำ�กิจกรรมและการอภปิ รายร่วมกนัทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 2. การใชจ้ �ำ นวน ในการหาปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั1. การสงั เกต (จากการท�ำ กจิ กรรมการแผก่ ระจาย แสดงทิศทางของสนามไฟฟา้ ในบรเิ วณรอบ ๆ จุดประจุ แรงไฟฟา้ ทกี่ ระท�ำ กบั อนภุ าคทม่ี ปี ระจไุ ฟฟา้ ทอี่ ยใู่ น ของดา่ งทบั ทิม) สนามไฟฟ้า สนามไฟฟ้าของจดุ ประจแุ ละระบบ2. การใชจ้ �ำ นวน (ปรมิ าณต่าง ๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั 3. ทใในหม่ี คบ้ ีปวรราเิ วะมณจรุไเู้นกฟน้ัย่ี ฟมว้ากคี ตบัา่ ่าสบงมรช�ำ่เิ นวเสณดิ มกทอันม่ี เFเี ชส1น่ น้2 สสนนาkามมqไไฟrฟ11q22ฟฟ2า้า้ สเนมอ่ื �ำ่ งเสจมากอแแผสน่ ดตงวัวนา่ �ำ สทนข่ี านมาไนฟกฟนั า้ จดุ ประจุ จากแบบฝกึ หัดและแบบทดสอบ 3. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� แรงไฟฟา้ ทก่ี ระท�ำ กบั อนภุ าคทมี่ ปี ระจไุ ฟฟา้ จากการอภิปรายร่วมกนั ทอี่ ยใู่ นสนามไฟฟา้ สนามไฟฟา้ ของจดุ ประจุ และระบบจดุ ประจุ) 4. ใหค้ วามรเู้ กยี่ วกบั การหาสนามไฟฟา้ ของจดุ ประจใุ ด ๆ โดยคา่ สนามไฟฟา้ ด้านจิตวิทยาศาสตร์3. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป ความอยากรู้อยากเห็น จากการอภปิ รายร่วมกัน (จากการท�ำ กจิ กรรมและการอภปิ รายรว่ มกนั ) ของจดุ ประจุ มคี วามสมั พนั ธ์ ตามสมการทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 211. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ หลงั จากนน้ั ใหค้ วามรเู้ กย่ี วกEบั แรงkที่กrQร2 ะทำ�กับอนุภาคท่ีมีประจุไฟฟ้าและ (การอภปิ รายร่วมกันและการนำ�เสนอผล) อย่ใู นสนามไฟฟา้ มีความสมั พนั ธ์ ตามสมการ2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ 5. ใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั สนามไฟฟา้ ลพั Fธ์เนqอ่ื Eงจากจดุ ประจมุ ากกวา่ หนง่ึ จดุ ประจุ ว่าสนามไฟฟ้าลัพธ์ที่ตำ�แหน่งใด หาค่าได้จากการรวมสนามไฟฟ้า แบบเวกเตอร์ของสนามไฟฟ้าจากจุดประจุแต่ละจุดประจุท่ีตำ�แหน่งนั้น ตามสมการ n E   Ei i 1 Ep  k Qq

การวเิ คราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจดั การเรียนรู้ ฟิสิกส์ 59ดา้ นจิตวิทยาศาสตร์ 6. ยกตัวอย่างการคำ�นวณปริมาณต่างๆ ที่เกี่ยวกับสนามไฟฟ้าของจุดประจุ ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 5 ความอยากรู้อยากเหน็ และแรงไฟฟา้ ทกี่ ระท�ำ ตอ่ จดุ ประจทุ อ่ี ยใู่ นสนามไฟฟา้ จากนนั้ ใหน้ กั เรยี น สรุป เพือ่ ตรวจสอบความรคู้ วามเข้าใจ แนวทางการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้

60 ผลการเรยี นรู้ E kkrQr2Q2 E 4. อธบิ ายและค�ำ นวณพลงั งานศกั ยไ์ ฟฟา้ ศกั ยไ์ ฟฟา้ และ ความตา่ งศกั ยร์ ะหวา่ งสองต�ำ แหนง่ ใด ๆ การวิเคราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ด้านความรู้ F  qE ดา้ นความรู้1. บริเวณที่มีสนามไฟฟ้า เมื่อเคล่ือนจุดประจุ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยทบทFวนควqาEมรู้เกี่ยวกับพลังงานศักย์โน้มถ่วง 1. พลังงานศักย์ไฟฟ้า ศักย์ไฟฟ้าของจุดประจุและ จากจุดหนงึ่ ไปยังอกี จดุ หนึง่ จะท�ำ ใหเ้ กิดงาน ระบบจดุ ประจุ จากการอภปิ รายรว่ มกนั แบบฝกึ หดั และการเปล่ียนแปลงพลังงานศักย์ไฟฟ้า เป็นงานของแรงโน้มถ่วงซ่ึงเป็นแรงอนุรักษ์ นำ�มาเปรียบเทียบกับแรง และแบบทดสอบ โ ด ย ง า น แ ล ะ พ ลั ง ง า น ศั ก ย์ ท่ี เ ป ล่ี ย น แ ป ล ง มคี วามสัมพันธก์ นั ระหว่างประจุซึ่งเป็นแรงอนุรักษ์เช่นเด่ียวกัน จากน้ันให้ความรู้เกี่ยวกับ 2. งานในการเคล่ือนประจุไฟฟ้า และความต่างศักย์ จากการอภปิ รายร่วมกัน2. งานตอ่ หนง่ึ หนว่ ยประจใุ นการเคลอ่ื นจดุ ประจุ พลังงานศักย์ไฟฟ้าเนื่องจากประจุไnฟฟ้า Q เมื่อวางประจุไฟฟ้า q ห่าง จากจุดหน่ึงไปยังอีกจุดหน่ึง ในบริเวณ 3. ความสัมพันธ์ระหว่างสนามไฟฟ้ากับความต่างศักย์ E  E เสปมั ็นพรันะธย์ตะามrสอมภกิปารรายร่วมEกันจนiสni1รุป1Eไดi ้วi่า พลังงานศักย์ไฟฟ้ามีความ ระหว่างสองตำ�แหน่งภายในสนามไฟฟ้าสม่ำ�เสมอ ที่ มี ส น า ม ไ ฟ ฟ้ า มี ค ว า ม สั ม พั น ธ์ กั บ จากการอภิปรายร่วมกัน ความตา่ งศกั ยไ์ ฟฟ้าระหว่างสองจุดนั้น และ 2. รใหว่ ม้คกวาันมจรนู้เกส่ียรวปุ กไับด้วศา่ักศยกั ์ไฟยE์ไฟEฟ้าpฟขp้าอมงีคจkวุดkาปQมรrQสqะมัrจqพุ Qนั ธทต์ ี่ราะมยสะมกr าจรากนั้นอภิปราย ผลต่างของศักย์ไฟฟ้าระหว่างจุดสองจุด ด้านทกั ษะ ในสนามไฟฟ้าสม่ำ�เสมอมีความสัมพันธ์กับ จากนน้ั ใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั ศVกั Vยไ์ ฟฟา้ kรวkQมrขQrองระบบทมี่ ปี ระจไุ ฟฟา้ มากกวา่ 1. การใชจ้ �ำ นวน ในการหาปรมิ าณตา่ งๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งจาก สนามไฟฟ้า == ความสมั พนั ธ์ระหว่างงานในการเคลื่อนประจุไฟฟ้าดา้ นทกั ษะ กบั ความตา่ งศกั ยร์ ะหวา่ งสองต�ำ แหนง่ ความสมั พนั ธ์ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การใชจ้ �ำ นวน (พลงั งานศกั ยไ์ ฟฟา้ ศกั ยไ์ ฟฟา้ หน่ึงจุดประจุ จนสรุปได้ความสัมพนั ธ์ ตามสมการ ระหว่างสนามไฟฟ้ากับความต่างศักย์ระหว่างสอง ต�ำ แหนง่ ภายในสนามไฟฟา้ สม�ำ่ เสมอ จากแบบฝกึ หดั งานในการเคล่ือนประจุ สนามไฟฟ้า และ n QriQi i และแบบทดสอบ ความตา่ งศกั ย์) 2. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จากการทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 k n อภปิ รายร่วมกัน1. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ 3. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� (การอภปิ รายรว่ มกนั )  ki1 จากการอภปิ รายรว่ มกนั2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ V ด้านจิตวทิ ยาศาสตร์ดา้ นจิตวิทยาศาสตร์ V - - ri1 i 3. ให้ความรู้และอภิปรายร่วมกันเก่ียวกับความสัมพันธ์ระหว่างงานใน การเคลอ่ื นประจไุ ฟฟา้ จากต�ำ แหนง่ A ไปยงั ต�ำ แหนง่ B กบั ความตา่ งศกั ย์ จนสรปุ ไดว้ า่ งานตอ่ ปรWะWจAไุqAฟqฟBา้ Bทต่ี อ้ VงVกBาBรเคVลAVอ่ื นAมคี วามสมั พนั ธต์ ามสมการ E  VB  VA d

การวิเคราะหผ์ ลการเรียนรู้ V  k n Qi ฟิสกิ ส์ 61 ri1 i ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 5 แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ 4. ให้ความรู้เกี่ยวกับศักย์ไฟฟ้าที่ตำ�แหน่ง A และ B ซึ่งห่างกันเป็นระยะ d ตในง้ั คแ�ำนถวาขมนวาา่ นศกักยับไ์ สฟนฟาา้ มWสไอฟAงqตฟ�ำ้าBแหโดนยง่ VสนBนม้ี คีามา่ VเไทฟAา่ ฟก้านั มหีคร่อืาสไมม่ ่ำ�อเภสปิ มรอายจราว่ กมนกั้นัน จนสรปุ ไดว้ า่ ความตา่ งศกั ยไ์ ฟฟา้ ระหวา่ งต�ำ แหนง่ A และ B มคี วามสมั พนั ธ์ กับสนามไฟฟา้ ตามสมการ E  VB  VA d 5. ยกตัวอย่างการคำ�นวณปริมาณต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกับพลังงานศักย์ไฟฟ้า ศักย์ไฟฟ้า งานในการเคล่ือนประจุในสนามไฟฟ้าและความต่างศักย์ จากนน้ั ใหน้ ักเรียนสรปุ เพC่อื ตรวจQสอบความร้คู วามเขา้ ใจ V

62 ผลการเรยี นรู้ 5. อธบิ ายสว่ นประกอบของตวั เก็บประจุ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างประจุไฟฟา้ ความตา่ งศกั ย์ และความจขุ องตวั เก็บประจุ และอธบิ าย พลงั งานสะสมในตัวเกบ็ ประจุ และความจสุ มมลู รวมท้ังคำ�นวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกีย่ วข้องการวิเคราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ด้านความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี น โดยการทบทวนความรเู้ รอ่ื งศกั ยไ์ ฟฟา้ จากนน้ั ใหค้ วามรู้ ด้านความรู้ เกย่ี วกบั ความจไุ ฟฟา้ ของวตั ถุ และความหมายของความจไุ ฟฟา้ อภปิ ราย1. ตวั เกบ็ ประจทุ �ำ หนา้ ทเ่ี กบ็ ประจหุ รอื จา่ ยประจุ ร่วมกัน จนสรุปได้ความสัมพันธ์ระหว่างความจุไฟฟ้า ประจุไฟฟ้าและ ตวั เกบ็ ประจุ และปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ ง พลงั งาน ออกมาใช้งาน ซึ่งปริมาณประจุดังกล่าว ความต่างศกั ย์ ตามสมการ สะสมในตัวเก็บประจุและค่าความจุสมมูล จากการ อภิปรายรว่ มกัน ขึ้นอยู่กบั ความต่างศักยแ์ ละความจุ 2. ใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั การเปลย่ี นแปลงความตา่ งศกั ยข์ องตวั เกบ็ ประจุ จากนนั้2. เมอ่ื ความตา่ งศกั ยข์ องตวั เกบ็ ประจเุ ปลย่ี นแปลง ต้ังคำ�ถาม เม่ือความต่างศักย์ของตัวเก็บประจุเพิ่มข้ึนจะมีผลต่อปริมาณ ด้านทกั ษะ ทำ�ให้ปริมาณประจุและพลังงานสะสม ประจุไฟฟ้าของตัวเก็บประจุอย่างไร อภิปรายร่วมกันจนสรุปได้ว่าเม่ือ ความต่างศักย์เพ่ิมขึ้นปริมาณประจุจะเพิ่มขึ้น จากน้ันวิเคราะห์กราฟ 1. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ จากการ เกิดการเปลี่ยนแปลงด้วย ระหว่างความต่างศักย์กับประจุ จนสรุปได้ว่างานที่เกิดขึ้นในการเปลี่ยน อภิปรายรว่ มกนั และการนำ�เสนอผล3. การนำ�ตัวเก็บประจุมาต่อแบบอนุกรมหรือ ความต่างศักย์มคี วามสมั พันธก์ บั ประจุดงั สมการ 2. การใช้จำ�นวน ในการหาค่าความจขุ องตวั เก็บประจุ แบบขนานในวงจรมผี ลตอ่ ความจสุ มมลู ของ และปริมาณต่าง ๆ ที่เก่ียวข้อง พลังงานสะสมในตัว ตัวเกบ็ ประจุ งานทเี่ กิดข้ึนน้เี ปน็ พลงั งานสะสมในตวั เก็บประจุ ตามสมการ เก็บประจุและค่าความจุสมมูล จากแบบฝึกหัดและ แบบทดสอบด้านทักษะ 3. ตั้งคำ�ถามว่า ถ้านำ�ตัวเก็บประจุมาต่อกันแบบอนุกรมหรือต่อแบบขนานทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ แลว้ น�ำ ไปตอ่ กบั ความตา่ งศกั ย์ V จะมผี ลอยา่ งไร จากนน้ั ใหน้ กั เรยี นสบื คน้ 3. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� การใช้จำ�นวน (ค่าความจุของตัวเก็บประจุ นำ�เสนอผล และอภิปรายร่วมกัน จนสรุปได้ว่าเมื่อต่อตัวเก็บประจุแบบ จากการอภปิ รายร่วมกนั อนุกรม ความจุสมมูลมีค่าลดลงและต่อแบบขนานความจุสมมูลเพิ่มขึ้น และปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ ง พลงั งานสะสม ตามสมการ ด้านจิตวิทยาศาสตร์ ในตัวเก็บประจุและคา่ ความจุสมมลู ) แบบอนุกรม 1. ความรอบคอบ จากการเขยี นรายงานทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 แบบขนาน 2. ความอยากรูอ้ ยากเห็น จากการอภิปรายรว่ มกนั1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ (มกี ารอา้ งองิ แหลง่ ทม่ี าและการเปรยี บเทยี บ ความถูกต้องของข้อมูลจากแหล่งข้อมูล ท่ี ห ล า ก ห ล า ย ไ ด้ อ ย่ า ง ส ม เ ห ตุ ส ม ผ ล การอภิปรายร่วมกนั และการน�ำ เสนอผล)2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ

การวิเคราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการจดั การเรียนรู้ ฟิสิกส์ 63ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ 4. ยกตัวอย่างการคำ�นวณปริมาณต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวกับความจุของตัวเก็บประจุ ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 51. ความอยากรูอ้ ยากเหน็ พลังงานสะสมและความจุสมมูลเมื่อต่อตัวเก็บประจุแบบอนุกรมและ 2. ความรอบคอบ แบบขนาน จากน้ันให้นักเรยี นสรุป เพอ่ื ตรวจสอบความรคู้ วามเข้าใจ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้

64 ผลการเรยี นรู้ 6 . น�ำ ความรเู้ รอ่ื งไฟฟา้ สถติ ไปอธบิ ายหลกั การท�ำ งานของเครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ บางชนดิ และปรากฏการณใ์ นชวี ติ ประจ�ำ วนัการวเิ คราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยให้นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับการแตกตัวของแก๊ส ด้านความรู้ ในลกู บอลพลาสมา จากภาพหรอื วดี ทิ ศั น์ สงั เกตผลทเ่ี กดิ ขน้ึ ซง่ึ เปน็ การน�ำ หลักการทำ�งานของอุปกรณ์ท่ีนำ�ความรู้เร่ือง ความรู้เร่ืองไฟฟ้าสถิตนำ�ไปอธิบายหลักการ ท�ำ งานของอปุ กรณบ์ างชนดิ เชน่ เครอ่ื งถา่ ย ความรู้เร่ืองไฟฟ้าสถิตไปประดิษฐ์อุปกรณ์ให้เกิดประโยชน์ และช้ีให้ ไฟฟ้าสถิตไปประยุกต์ใช้ จากการอภิปรายร่วมกัน เอกสาร เคร่ืองฟอกอากาศ เครื่องกระตุก นักเรียนทราบว่าในชีวิตประจำ�วันมีการนำ�ความรู้เก่ียวกับไฟฟ้าสถิต และการเขยี นรายงาน หัวใจไฟฟา้ และเคร่อื งถ่ายลายนวิ้ มอื ไปใชใ้ นหลาย ๆ ดา้ น ดา้ นทกั ษะดา้ นทกั ษะ 2. ให้ความรู้เกี่ยวกับการนำ�ความรู้เรื่องไฟฟ้าสถิตมาใช้ประโยชน์ โดย 1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จากการทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ยกตวั อยา่ งอปุ กรณ์ เชน่ เครอ่ื งถา่ ยเอกสาร เครอ่ื งฟอกอากาศ เครอ่ื งกระตกุ - หัวใจไฟฟา้ และเครื่องถา่ ยลายนิ้วมอื อภปิ รายร่วมกนั และการนำ�เสนอผลทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 3. ให้นักเรียนสืบค้นเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่ใช้หลักการของไฟฟ้าสถิตในการ 2. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� 1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ (มกี ารอา้ งองิ แหลง่ ทม่ี าและการเปรยี บเทยี บ ท�ำ งาน น�ำ เสนอผล และอภปิ รายร่วมกัน จากการอภิปรายร่วมกัน 4. ใหน้ กั เรยี นสรปุ ความรเู้ กย่ี วกบั การน�ำ ความรเู้ รอ่ื งไฟฟา้ สถติ มาใชป้ ระโยชน์ ความถูกต้องของข้อมูลจากแหล่งข้อมูลท่ี เพ่อื ตรวจสอบความรูค้ วามเขา้ ใจ ดา้ นจิตวิทยาศาสตร์ หลากหลายไดอ้ ยา่ งสมเหตสุ มผลการอภปิ ราย 1. ความรอบคอบ จากการเขยี นรายงาน ร่วมกนั และการนำ�เสนอผล) 2. ความอยากร้อู ยากเห็น จากการอภิปรายร่วมกนั2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำด้านจิตวทิ ยาศาสตร์1. ความอยากรอู้ ยากเห็น2. ความรอบคอบ

ฟิสิกส์ ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 5ผลการเรยี นรู้ 7. อธิบายการเคลื่อนทข่ี องอิเลก็ ตรอนอสิ ระและกระแสไฟฟา้ ในลวดตัวนำ� ความสมั พันธ์ระหวา่ งกระแสไฟฟ้าในลวดตวั นำ�กับความเร็วลอยเลื่อน 65 ของอิเลก็ ตรอนอสิ ระ ความหนาแน่นของอเิ ล็กตรอนในลวดตวั น�ำ และพืน้ ทีห่ น้าตดั ของลวดตวั น�ำ และคำ�นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ที่เกี่ยวข้องการวเิ คราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ด้านความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยให้นักเรียนศึกษาการเคล่ือนที่ของประจุไฟฟ้าผ่าน ดา้ นความรู้ ภาคตัดขวางของลวดตัวนำ� จากภาพหรือวีดิทัศน์ สังเกตและอภิปราย1. ล ว ด ตั ว นำ � ท่ี ต่ อ กั บ แ ห ล่ ง กำ � เ นิ ด ไ ฟ ฟ้ า ร่วมกันจนสรุปได้ว่า กระแสไฟฟ้าเป็นปริมาณท่ีกำ�หนดจากปริมาณ 1. อเิ ลก็ ตรอนอสิ ระ ความเรว็ ลอยเลอ่ื นของ อเิ ลก็ ตรอนอสิ ระ อิเล็กตรอนอิสระในลวดตัวนำ�จะเคลื่อนที่ ประจุไฟฟ้าทผี่ า่ นภาคตัดขวางในหนง่ึ หนว่ ยเวลา ตามสมการ และความหนาแนน่ ของอเิ ลก็ ตรอนอสิ ระ ในลวดตวั น�ำ จากจดุ ทม่ี ศี กั ยไ์ ฟฟา้ ต�ำ่ ไปยงั จดุ ทม่ี ศี กั ยไ์ ฟฟา้ สงู จากการอภปิ รายรว่ มกนั แบบฝกึ หดั และแบบทดสอบ 2. กระแสไฟฟ้า และทิศของกระแสไฟฟ้า จากการ ทำ�ให้เกิดกระแสไฟฟ้าในลวดตัวนำ� โดยมี และการกำ�หนดทิศทางของกระแสไฟฟ้าในลวดตัวนำ� มีทิศทางตรงข้าม ทิศทางตรงข้ามกับทิศทางการเคล่ือนท่ีของ อภปิ รายรว่ มกนั อิเล็กตรอนอิสระ กับการเคล่ือนท่ีของอิเล็กตรอนอิสระ กระแสไฟฟ้าจะมีทิศทางจากจุด ท่มี ีศักย์ไฟฟ้าสูงไปยังจดุ ทมี่ ศี ักยไ์ ฟฟ้าต�่ำ ด้านทักษะ2. ป ริ ม า ณ ก ร ะ แ ส ไ ฟ ฟ้ า ใ น ล ว ด ตั ว นำ � มี 2. ให้ความรู้เกี่ยวกับกระแสไฟฟ้าในลวดตัวนำ�ท่ีมีพื้นท่ีหน้าตัดสม่ำ�เสมอ 1. การใชจ้ �ำ นวน ในการหาปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ความสัมพันธ์กับความเร็วลอยเล่ือนของ ซ่ึงเกิดจากอิเล็กตรอนอิสระเคลื่อนที่ด้วยความเร็วลอยเลื่อน จากนั้น กระแสไฟฟ้าในลวดตัวนำ� จากแบบฝึกหัดและ อิเล็กตรอนอิสระ ความหนาแน่นของ อภปิ รายรว่ มกนั จนสรุปได้วา่ กระแสไฟฟา้ มคี วามสมั พันธ์ ตามสมการ แบบทดสอบ อิเล็กตรอนอิสระและพื้นที่หน้าตัดของ 3. ยกตัวอย่างการคำ�นวณปริมาณต่าง ๆ เก่ียวกับกระแสไฟฟ้าในลวดตัวนำ� 2. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� ลวดตวั น�ำ จากน้นั ใหน้ กั เรียนสรุป เพือ่ ตรวจสอบความรคู้ วามเขา้ ใจ จากการอภิปรายรว่ มกันดา้ นทักษะทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ การใชจ้ �ำ นวน (ปรมิ าณตา่ ง ๆ เกย่ี วกบั กระแส - ไฟฟ้าในลวดตวั นำ�)ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำดา้ นจิตวิทยาศาสตร์ -

C1 UCC111 12QCC1V22  CC133 ... C  ...66 ผลการเรยี นร ู้ 8. อแธลบิ ะาคย�ำ กนฎวขณอปงรโอมิ หาณ์ม ตคา่วงา มๆสทัมเ่ี กพย่ี นั วธข์รอ้ะCCงหCแวรนC1ว่าวงมCCทคCWทUา11ว1้งังCา1กอม1าIICธตCCร1212ิบ้าจ222QนQาCดั 1ยQQทVttกV2แCาาCCลนร3ะเก33รCค1ับยี .�ำ3.คน.น...วร...ว.าู้..ณมคยวาวามพตน้ื ้าทน่ีหทนานา้ ตสดัมมแูลลเะมส่อื ภนาำ�พตตวั ้าตนแ้านทนวาททนาาขนงอมกงาาตตรวั อ่วนัดกำ�แันโลและบหปบะรทอะอ่ีนเณุมุกนิรหมผภแลมู ลกคิ ะางแรตเบรวั บยี นขนรู้ าน การวเิ คราะหผ์ ลการเรยี นรู้ด้านความรู้ 1. นอภำ�เปิ ขร้าาสยู่บรทว่ มเรกียนั นเกโยี่ ดวยกใCบัห1ป้ครวมิาCมา1ณ1รIู้เตกา่ี่ยCงQ1ว ๆ2กับทตม่ี Cัว1ผี 3นล.ำ�ต.โ.อ่ ลคหวะามมีคตวา้ านมทตา้านนขทอางนตแวั ลนะ�ำ ดา้ นความรู้ โลหะ เชน่ ความยาว พน้ื ทห่ี นIา้ ตดัขอnงลetวดvตdวั Aน�ำ สภาพตา้ นทาน สภาพน�ำ ไฟฟา้1. ความตา้ นทานของตวั น�ำ โลหะทอ่ี ณุ หภมู คิ งตวั และความนำ�ไฟฟ้า จCนสรปุCIไ1ดค้ Cวาn2มeสัมCvพ3d นัAธ..ต์ .ามสมการ 1. ปจั จยั ทมี่ ผี ลตอ่ ความตา้ นทานของตวั น�ำ เมอ่ื อณุ หภมู ิ ข้ึนอย่กู บั ชนดิ พ้นื ท่ีหน้าตัดและความยาว สสคคคภภววสควาาาาภวามมาพพามมพตตนนตตนI้้าา้าา้ําาํ �ำนนนนไไไIฟททฟฟททnาฟาฟฟาานนาe้Qนนtาา้้ vRdRRA l คงท่ี และกฎของโอห์ม จากการอภปิ รายร่วมกัน2. เมอ่ื อณุ หภมู ขิ องตวั น�ำ คงตวั อตั ราสว่ นระหวา่ ง   Al ความต่างศักย์และกระแสไฟฟ้าที่ผ่านตัวนำ�   2. ความต้านทานสมมูลในวงจรแบบอนุกรม และ 1A แบบขนานจากการอภิปรายร่วมกนั จะมีคา่ คงตัว  l13. เมอ่ื น�ำ ตวั ตา้ นทานมาตอ่ กนั แบบอนกุ รมและ  A 3. ประโยชน์ของการต่อตัวต้านทานแบบอนุกรม และ แบบขนาน ในชวี ติ ประจ�ำ วนั จากการอภปิ รายรว่ มกนั แบบขนาน ทำ�ให้มีความต้านทานสมมูลที่มี คคสววคภาาวามมาพมนนนนIําาํ �ำาํ ไไไไฟฟฟฟnฟฟฟฟeา้ า้า้้าv d AG1 1 ค่าแตกต่างกัน G R1 ด้านทักษะดา้ นทกั ษะ 2. ตใหัว้คตว้าานมทราู้เนก่ียจวะกมับีคก่าคสฎแวภปขาาอรมพผงตนนโันา้อํ ําตนหไไฟรฟท์มงฟฟากนเ้า้าับม่ือคRGอวุณามหต1ภR1่าAlูมงRศิคักงตยัว์ไฟกรฟะ้าแรสะไหฟวฟ่า้างทป่ีผล่าานย 1. การใชเ้ ทคโนโลยสี ารนเทศ และการสอ่ื สารสารสนเทศทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ทั้งสอง อภิปรายร่วมกัน จนสรุปได้ความสัมพันธ์ระหว่างความต่างศักย์ และการรู้เท่าทันส่ือ จากการอภิปรายร่วมกันและ การใช้จำ�นวน (คำ�นวณปริมาณต่าง ๆ ท่ี กับกระแสไฟฟา้ ตามคสวมากมานรIIําIไฟฟ้าR1RR11GVVV 1 การน�ำ เสนอผล เกี่ยวข้องกับกฎของโอห์ม ความต้านทาน R 2. การใชจ้ �ำ นวน ในการหาปรมิ าณตา่ งๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั และความต้านสมมูลเมื่อนำ�ตัวต้านทานต่อ แบบอนุกรมและแบบขนาน) กฎของโอห์ม ความต้านทาน และความต้านสมมูลทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 เมื่อนำ�ตัวต้านทานต่อแบบอนุกรมและแบบขนาน จากแบบฝึกหัดและแบบทดสอบ 3. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� 1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ เรียกสมการนี้ว่า กฎของโอห์ม จากการอภปิ รายร่วมกัน (มีการอ้างอิงแหล่งท่ีมาและการเปรียบ 3. ใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั การตอ่ วงจรไฟฟา้ อยา่ งงา่ ย จะใชต้ วั ตา้ นทาน เพอ่ื ควบคมุ ด้านจติ วทิ ยาศาสตร์ เทียบความถูกต้องของข้อมูลจากแหล่ง ความอยากรอู้ ยากเหน็ และความรอบคอบ จากการ ข้อมูลที่หลากหลายได้อย่างสมเหตุสมผล กแบระบแอสนไุกฟรฟม้าแลแะลแะบอRRบภRขิปนราRRาRนยI111ทรำ�่วใมRหRRกR12้ค22ันวเาVกRม่ียRR3ตว้า33กนับทกาานรสนมำ�มตูลัวมตีค้า่านแทตากนตม่าางกตัน่อ การอภปิ รายร่วมกนั และการน�ำ เสนอผล) จนสรุปได้ว่าในการต่อตัวต้านทานแบบอนุกรมจะมีความต้านทานสมมูล เขียนรายงาน2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ ตามสมการ RR11RR1R1RRR111111 R2R1RR112R223R13RR1133  1  1  1  1 

I   1 V ฟิสิกส์  R  ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 5 การวเิ คราะห์ผลการเรียนรู้ แนวทางการจดั การเรียนรู้ 67 R  R1  R2  R3  แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ดา้ นจติ วิทยาศาสตร์1. ความอยากรู้อยากเห็น และการต่อตวั ตา้ นทานแบบขนานจะมีความตา้ นทานสมมลู ตามสมการ2. ความรอบคอบ 1  1  1  1  R R1 R2 R3 4. ยกตวั อยา่ งการค�ำ นวณปรมิ าณตา่ งๆ เกยี่ วกบั กฎของโอหม์ ความตา้ นทาน และความต้านทานสมมูล เม่ือนำ�ตัวต้านทานต่อแบบอนุกรมและ แบบขนาน จากนัน้ ใหน้ ักเรยี นสรปุ เพือ่ ตรวจสอบความรคู้ วามเขา้ ใจ 5. ให้นักเรียนสืบค้นเก่ียวกับตัวต้านทานที่มีความต้านทานขึ้นกับอุณหภูมิ ความเข้มแสง และผลของการต่อตัวต้านทานมาใช้ประโยชน์ใน ชีวิตประจ�ำ วัน นำ�เสนอผลและอภิปรายร่วมกนั

68 ผลการเรยี นร ู้ 9. ทดลอง อธบิ ายและค�ำ นวณอเี อม็ เอฟของแหลง่ ก�ำ เนดิ ไฟฟา้ กระแสตรง รวมทง้ั อธบิ ายและค�ำ นวณพลงั งานไฟฟา้ และก�ำ ลงั ไฟฟา้การวิเคราะหผ์ ลการเรียนรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ดา้ นความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี น โดยใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั แรงเคลอื่ นไฟฟา้ ของแหลง่ ก�ำ เนดิ ด้านความรู้ ไฟฟ้ากระแสตรงเป็นพลังงานจากแหล่งกำ�เนิดไฟฟ้าที่ให้แก่หนึ่งหน่วย1. ในวงจรไฟฟา้ พลงั งานจากแหลง่ ก�ำ เนดิ ไฟฟา้ ประจุ เพ่ือใชใ้ นการเคลอ่ื นท่ีครบวงจรไฟฟา้ แรงเคลื่อนไฟฟ้าของแหล่งกำ�เนิดไฟฟ้ากระแสตรง ทใ่ี หแ้ กห่ นง่ึ หนว่ ยประจเุ พอ่ื ใชใ้ นการเคลอ่ื นท่ี พลังงานไฟฟ้า และกำ�ลังไฟฟ้า จากการอภิปราย ครบวงจรไฟฟา้ เรยี กแรงเคลือ่ นไฟฟ้า 2. ให้นักเรียนทดลองเร่ืองความต่างศักย์ระหว่างขั้วแบตเตอร่ีท่ีต่อเป็นวงจร รว่ มกนั2. พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในอุปกรณ์ไฟฟ้ามี กบั ตวั ตา้ นทาน สงั เกตและอภปิ รายรว่ มกนั จนสรปุ ไดว้ า่ แรงเคลอื่ นไฟฟา้ ความสมั พนั ธก์ บั กระแสไฟฟา้ ความตา่ งศกั ย์ ด้านทกั ษะ และเวลา ปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ใน ความต้านทานภายใน และความต่างศักย์ระหว่างขั้วแบตเตอร่ี มีความ 1. การวัด การทดลอง การตีความหมายข้อมูลและ หน่งึ หน่วยเวลาเป็นปริมาณที่บอกค่าของ สัมพนั ธต์ ามสมการ ลงข้อสรุป ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและ ก�ำ ลงั ไฟฟา้ ซง่ึ มคี วามสมั พนั ธก์ บั กระแสไฟฟา้ 3. ทบทวนความรู้เกี่ยวกับพลังงานและกำ�ลัง จากน้ันต้ังคำ�ถามเก่ียวกับ ภ า ว ะ ผู้ นำ � จ า ก ก า ร อ ภิ ป ร า ย ร่ ว ม กั น แ ล ะ ร า ย ง า น และความต่างศักย์ พลังงานไฟฟ้าและกำ�ลังไฟฟ้า อภิปรายร่วมกันจนสรุปความสัมพันธ์ การทดลอง ตามสมการ 2. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จากการด้านทกั ษะ อภปิ รายร่วมกนัทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 4. ให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าจะต้องใช้แหล่งจ่ายไฟให้ 3. การใชจ้ �ำ นวนในการหาปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั1. การวดั (คา่ ความต่างศักย์) ตรงตามความต่างศักย์ที่กำ�หนด เพ่ือให้เครื่องใช้ไฟฟ้าทำ�งานตรงตาม พลังงานไฟฟ้า กำ�ลังไฟฟ้า จากแบบฝึกหัดและ 2. การใชจ้ �ำ นวน (แรงเคลอ่ื นไฟฟา้ พลงั งานไฟฟา้ ข้อกำ�หนดการใช้งาน ในกรณีที่ความต่างศักย์ไม่ตรงตามที่กำ�หนด แบบทดสอบ ก�ำ ลังไฟฟา้ )3. การทดลอง อาจท�ำ ใหเ้ คร่อื งใชไ้ ฟฟ้าเสียหายได้ ด้านจติ วิทยาศาสตร์4. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป 5. ยกตัวอย่างการคำ�นวณปริมาณต่าง ๆ เก่ียวกับแรงเคล่ือนไฟฟ้า ความ 1. ความซื่อสตั ย ์ จากรายงานผลการทดลอง 2. ความมงุ่ มน่ั อดทน จากการทดลองและการอภปิ ราย (การสรุปผลการทดลอง) ต่างศักย์ไฟฟ้า พลังงานไฟฟ้า และกำ�ลังไฟฟ้า จากน้ันให้นักเรียนสรุป ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 เพ่ือตรวจสอบความรคู้ วามเขา้ ใจ ร่วมกัน1. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ (การอภิปรายร่วมกนั )2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ

การวเิ คราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจดั การเรียนรู้ ฟสิ ิกส์ 69ดา้ นจติ วทิ ยาศาสตร์ ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 51. ความซือ่ สตั ย์2. ความมุ่งม่นั อดทน แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้

70 ผลการเรียนรู้ 10. ทดลองและคำ�นวณอเี อม็ เอฟสมมูลจากการต่อแบตเตอรแ่ี บบอนกุ รมและแบบขนาน รวมท้ังค�ำ นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องในวงจรไฟฟ้ากระแสตรงซงึ่ ประกอบด้วยแบตเตอร่แี ละตัวต้านทานการวิเคราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยทบทวนความรู้จากการทดลองเร่ืองความต่างศักย์ ด้านความรู้ ระหวา่ งขว้ั แบตเตอร่ี จากนน้ั ใหน้ กั เรยี นทดลองการตอ่ แบตเตอรแ่ี บบอนกุ รม1. เมื่อนำ�แบตเตอร่ีมาต่อกันแบบอนุกรมและ แรงเคลื่อนไฟฟ้าสมมูลและกระแสไฟฟ้า เม่ือต่อ แบบขนานจะมีแรงเคลื่อนไฟฟ้าสมมูลที่ และแบบขนาน อภิปรายร่วมกันจนสรุปได้ว่าแรงเคลื่อนไฟฟ้าสมมูล แบตเตอรี่แบบอนุกรมและแบบขนาน โดยสังเกต แตกต่างกนั ในการต่อแบตเตอรี่แบบอนุกรม มคี ่าตามสมการ จากการอภปิ รายรว่ มกัน2. ในวงจรไฟฟ้ากระแสตรงที่ประกอบด้วย ด้านทกั ษะ แบตเตอรี่และตัวต้านทาน กระแสไฟฟ้าใน สำ�หรับการต่อแบบขนานที่ใช้แรงเคลื่อนไฟฟ้าจากแบตเตอร่ีทุกก้อน 1. การวัด การทดลอง การตีความหมายข้อมูลและ ลงขอ้ สรปุ ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะ วงจรจะมคี า่ สมั พนั ธก์ บั แรงเคลอ่ื นไฟฟา้ สมมลู เท่ากันจะมแี รงเคล่ือนไฟฟ้าสมมลู ตามสมการ ผนู้ �ำ จากการอภปิ รายรว่ กนั และรายงานการทดลอง และความตา้ นทานสมมลู 2. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ จากการ 2. ให้นักเรียนทดลองต่อแบตเตอร่ีทั้งแบบอนุกรมและแบบขนาน แล้วนำ�ด้านทกั ษะ ไปต่อเป็นวงจรกับตัวต้านทานท่ีต่อกันทั้งแบบอนุกรมและแบบขนาน อภิปรายร่วมกันทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ อภิปรายร่วมกัน จนสรุปได้ว่ากระแสไฟฟ้าในวงจรมีความสัมพันธ์กับ 3. การใชจ้ �ำ นวน ในการหาปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั1. การวัด (กระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์ วงจรไฟฟ้ากระแสตรง แรงเคลื่อนไฟฟ้าสมมูล แรงเคลอื่ นไฟฟา้ สมมูลและความตา้ นทานสมมลู ตามสมการ ความตา้ นทานสมมลู ทงั้ จากการตอ่ แบบอนกุ รมและ เม่อื ตอ่ วงจรแบบอนุกรมและแบบขนาน)2. การใช้จ�ำ นวน (ปริมาณตา่ ง ๆ เก่ียวกบั วงจร 3. ยกตัวอย่างการคำ�นวณปริมาณต่างๆเก่ียวกับวงจรไฟฟ้ากระแสตรง แบบขนาน จากแบบฝึกหดั และแบบทดสอบ แรงเคลื่อนไฟฟ้าสมมูล กระแสไฟฟ้าและผลของการต่อแบตเตอร่ีมาใช้ ไฟฟา้ กระแสตรง) ประโยชนใ์ นชวี ติ ประจ�ำ วนั จากนนั้ ใหน้ กั เรยี นสรปุ เพอื่ ตรวจสอบความรู้ ด้านจิตวทิ ยาศาสตร์3. การทดลอง 1. ความซือ่ สตั ย์ จากรายงานผลการทดลอง4. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป ความเขา้ ใจ 2. ความมงุ่ มน่ั อดทน จากการทดลอง และการอภปิ ราย (การสรปุ ผลการทดลอง) รว่ มกนัทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 211. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ (การอภปิ รายรว่ มกนั )2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ

การวเิ คราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจดั การเรียนรู้ ฟสิ ิกส์ 71ดา้ นจติ วทิ ยาศาสตร์ ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 51. ความซือ่ สตั ย์2. ความมุ่งม่นั อดทน แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้

72 ผลการเรยี นรู้ 11. อธิบายการเปลยี่ นพลังงานทดแทนเปน็ พลงั งานไฟฟา้ รวมท้งั สืบค้นและอภิปรายเกีย่ วกบั เทคโนโลยอี ่นื  ๆ ท่นี �ำ มาแก้ปญั หาหรือตอบสนองความตอ้ งการทางดา้ นพลงั งานการวิเคราะห์ผลการเรียนรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยการยกตัวอย่างขั้นตอนการผลิตพลังงานไฟฟ้าของ ดา้ นความรู้ โรงไฟฟา้ แตล่ ะประเภท เชน่ โรงไฟฟา้ พลงั น�้ำ โรงไฟฟา้ พลงั งานความรอ้ น1. พลังงานทดแทน เช่น พลังงานนิวเคลียร์ 1. การใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างประหยัด ผลกระทบต่อ พลังงานแสงอาทิตย์นำ�มาใช้ในการผลิต จากน้ันนำ�เสนอผลและอภิปรายร่วมกัน จนสรุปได้ว่าพลังงานไฟฟ้า สงิ่ แวดล้อม และพลงั งานทดแทน จากการอภปิ ราย พลังงานไฟฟ้าเพ่ือลดการใช้นำ้�มันเชื้อเพลิง จากโรงไฟฟ้าไดจ้ ากพลงั งานกลมาหมุนแกนเครอ่ื งก�ำ เนิดไฟฟ้า รว่ มกนั และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดลอ้ ม 2. ใหค้ วามรเู้ กยี่ วกบั การผลติ พลงั งานไฟฟา้ ของโรงไฟฟา้ พลงั งานความรอ้ น 2. การใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างประหยัด ผลของการใช้2. พลงั งานไฟฟา้ ควรใชอ้ ยา่ งประหยดั และควร ต้องใช้เช้ือเพลิง เช่น ถ่านหิน นำ้�มันเตา แก๊สธรรมชาติ ซ่ึงเป็นแหล่ง พลงั งานไฟฟา้ ทก่ี ระทบตอ่ สง่ิ แวดลอ้ ม และผลกระทบ ตระหนกั ถงึ ผลกระทบตอ่ สง่ิ แวดลอ้ มทเ่ี กดิ ขน้ึ พลงั งานสนิ้ เปลอื ง อกี ทงั้ ยงั สง่ ผลกระทบตอ่ สง่ิ แวดลอ้ ม ดงั นนั้ จงึ ตอ้ งศกึ ษา ทเ่ี กดิ จากอปุ กรณเ์ ครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ ทเ่ี กดิ จากเทคโนโลยี จากเคร่อื งใชไ้ ฟฟา้ ตา่ ง ๆ วจิ ยั และทดลองน�ำ แหลง่ พลงั งานอน่ื  ๆ มาทดแทน เชน่ พลงั งานนวิ เคลยี ร์ ใหม่ๆ โดยการเขียนผังมโนทศั น์ หรือเขยี นรายงาน พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานชีวภาพ เพ่ือตอบสนองความต้องการใช้ด้านทักษะ พลงั งานทเ่ี พิ่มขนึ้ และลดผลกระทบต่อสงิ่ แวดลอ้ ม ดา้ นทกั ษะทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 3. ใหน้ กั เรยี นศกึ ษาแผนภาพหรอื วดี ทิ ศั นก์ ารท�ำ งานของโรงไฟฟา้ นวิ เคลยี ร์ 1. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จากการ - จากน้ันอภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับการเปล่ียนพลังงาน จนสรุปได้ว่าการทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 เปลี่ยนพลังงานของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ มีการเปลี่ยนพลังงานจาก อภปิ รายร่วมกันและน�ำ เสนอผล1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ พลังงานนวิ เคลยี รเ์ ปน็ พลงั งานความรอ้ น พลงั งานกล และพลงั งานไฟฟา้ 2. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� (มกี ารอา้ งองิ แหลง่ ทมี่ าและการเปรยี บเทยี บ ตามล�ำ ดบั 4. ให้นักเรียนสืบค้นการทำ�งานของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบ จากการอภปิ รายรว่ มกนั ความถูกต้องของข้อมูลจากแหล่งข้อมูล เซลลส์ รุ ยิ ะ จากนนั้ น�ำ เสนอผลและอภปิ รายรว่ มกนั จนสรปุ ไดว้ า่ โรงไฟฟา้ ท่ีหลากหลายได้อย่างสมเหตุสมผล การ พลังงานแสงอาทิตย์ผลิตพลังงานไฟฟ้า โดยเซลล์สุริยะทำ�หน้าท่ีเปล่ียน ด้านจิตวิทยาศาสตร์ อภิปรายรว่ มกันและการนำ�เสนอผล) พลงั งานแสงอาทติ ยใ์ หเ้ ปน็ พลงั งานไฟฟ้าโดยตรง 1. ความรอบคอบ จากการเขยี นรายงาน2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ 5. ให้นักเรียนสืบค้นวิธีการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างประหยัด ผลของการใช้ 2. ความอยากรูอ้ ยากเห็น จากการอภิปรายรว่ มกัน พลังงานไฟฟ้าท่ีกระทบต่อส่ิงแวดล้อม และผลกระทบที่เกิดจากอุปกรณ์ดา้ นจิตวิทยาศาสตร์ ไฟฟา้ เครอื่ งใชไ้ ฟฟา้ ทเี่ กดิ จากเทคโนโลยใี หม ่ ๆ น�ำ เสนอผลและอภปิ ราย1. ความอยากรู้อยากเหน็2. ความรอบคอบ

73

74 ฟิสกิ ส์ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6

ฟสิ กิ ส์ ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 6ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 6 75สาระฟสิ ิกส์ 3. เข้าใจแรงไฟฟ้าและกฎของคูลอมบ์ สนามไฟฟ้า ศักย์ไฟฟ้า ความจไุ ฟฟา้ กระแสไฟฟ้า และกฎของโอหม์ วงจรไฟฟ้ากระแสตรง พลังงาน ไฟฟ้าและก�ำ ลงั ไฟฟ้า การเปล่ยี นพลังงานทดแทนเปน็ พลังงานไฟฟ้า สนามแมเ่ หล็ก แรงแมเ่ หลก็ ทก่ี ระท�ำ กับประจุไฟฟ้า และกระแสไฟฟ้า การเหนยี่ วนำ�แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าและกฎของฟาราเดย์ ไฟฟา้ กระแสสลบั คลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้ และการสือ่ สาร รวมทั้งนำ�ความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ผลการเรยี นรู้ 1. สังเกตและอธบิ ายเส้นสนามแม่เหลก็ อธบิ ายและคำ�นวณฟลกั ซ์แม่เหลก็ ในบรเิ วณทก่ี ำ�หนด รวมทงั้ สงั เกตและอธบิ ายสนามแมเ่ หล็กทเ่ี กิดจาก กระแสไฟฟ้าในลวดตัวนำ�เส้นตรงและโซเลนอยด์การวิเคราะห์ผลการเรียนรู้ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ด้านความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยให้ความรู้เกี่ยวกับเส้นสนามแม่เหล็ก จากนั้นให้ ดา้ นความรู้ นักเรียนศึกษาวีดีทัศน์หรือทำ�กิจกรรม เกี่ยวกับการนำ�เข็มทิศมาวาง1. เส้นสนามแม่เหล็กแสดงถึงสนามแม่เหล็ก ใกล้แทง่ แมเ่ หล็ก สังเกต และอภิปรายรว่ มกัน จนสรุปได้วา่ เข็มทศิ ที่วาง สนามแมเ่ หลก็ และฟลกั ซแ์ มเ่ หลก็ จากการอภปิ ราย ที่มีอยใู่ นบริเวณหนง่ึ ร่วมกัน แบบฝกึ หัดและแบบทดสอบ ใกล้แท่งแมเ่ หลก็ จะชไ้ี ปในทิศทางตา่ งๆ ตามแนวเสน้ สนามแมเ่ หล็ก2. ฟลักซ์แม่เหล็กบอกถึงเส้นสนามแม่เหล็ก 2. สาธิตการแขวนแท่งแม่เหล็กขนาดเล็กให้แกว่งได้อย่างอิสระในแนวราบ ดา้ นทกั ษะ ท่ี ผ่ า น พ้ื น ท่ี ใ ด  ๆ อั ต ร า ส่ ว น ร ะ ห ว่ า ง ฟลักซ์แม่เหล็กต่อพ้ืนท่ีต้ังฉากกับสนาม แท่งแม่เหล็กจะวางตัวในแนวทิศเหนือ-ใต้เสมอ จากน้ันอภิปรายร่วมกัน 1. การสังเกต จากการท�ำ กจิ กรรม จนสรุปได้ว่าโลกมีสนามแม่เหล็กโลก จึงมีแรงแม่เหล็กมากระทำ�ต่อ 2. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จากการ แมเ่ หลก็ เป็นขนาดของสนามแม่เหล็ก หรือ แทง่ แมเ่ หลก็ ท�ำ ใหแ้ ทง่ แมเ่ หลก็ วางตวั อยใู่ นแนวทศิ เหนอื -ใต้ โดยขว้ั โลกเหนอื ความหนาแนน่ ฟลกั ซ์แม่เหล็ก เป็นแมเ่ หลก็ ข้ัวใต้ อภปิ รายรว่ มกนั3. เมอ่ื กระแสไฟฟา้ ผา่ นเสน้ ลวดตวั น�ำ ตรงและ 3. ให้ความรู้เก่ียวกับฟลักซ์แม่เหล็ก ความหนาแน่นฟลักซ์แม่เหล็ก จากน้ัน 3. การใชจ้ �ำ นวน ในการหาปรมิ าณตา่ ง ๆ เกย่ี วกบั ฟลกั ซ์ ร่วมกันอภิปราย จนสรุปได้ว่าสนามแม่เหล็กมีความสัมพันธ์กับ แม่เหล็กและสนามแม่เหล็ก จากแบบฝึกหัดและ ยาวหรือโซลีนอยด์ยาว จะมีสนามแม่เหล็ก ฟลักซ์แมเ่ หล็กและพนื้ ท่ที ตี่ ้ังฉากกบั สนามแม่เหลก็ ตามสมการ เกดิ ข้นึ แบบทดสอบ B   4. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� ดา้ นทักษะ Aทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ จากการอภปิ รายรว่ มกัน1. การสงั เกต (การวางตวั ของเขม็ ทศิ และผงเหลก็ ) F  qvBsin2. การใช้จำ�นวน (ฟลักซ์แม่เหล็กและสนาม ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ - แม่เหลก็ ) F  qvB

76 แนวทางการจดั การเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การวิเคราะห์ผลการเรยี นรู้ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 4. ใหค้ วามรเู้ กยี่ วกบั สนามแมเ่ หลก็ เมอ่ื มกี ระแสไฟฟา้ ผา่ นเสน้ ลวดตวั น�ำ ตรง และยาวหรอื โซลีนอยด์ยาว โดยให้นักเรยี นสังเกตผงเหลก็ หรือการวางตัว1. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ ของเข็มทิศรอบๆ เส้นลวดตัวนำ�แและขดลวดตัวนำ�ที่มีกระแสไฟฟ้าผ่าน (การอภิปรายร่วมกัน) อภิปรายร่วมกัน จนสรุปได้ว่า เม่ือมีกระเสไฟฟ้าผ่านเส้นลวดตัวนำ�ตรง และยาวหรอื โซลีนอยดย์ าว จะเกิดสนามแม่เหลก็ ขน้ึ โดยรอบ2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ 5. ยกตัวอย่างการคำ�นวณปริมาณต่างๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับฟลักซ์แม่เหล็กและด้านจติ วทิ ยาศาสตร์ สนามแมเ่ หลก็ จากนน้ั ใหน้ กั เรยี นสรปุ เพอ่ื ตรวจสอบความรคู้ วามเขา้ ใจ -

ฟิสกิ ส์ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6ผลการเรียนร ู้ 2. อธิบายและคำ�นวณแรงแม่เหล็กทก่ี ระท�ำ ตอ่ อนภุ าคท่ีมปี ระจไุ ฟฟ้าเคล่ือนที่ในสนามแม่เหล็ก แรงแมเ่ หล็กทีก่ ระทำ�ต่อเสน้ ลวดท่มี ี 77 กระแสไฟฟ้าผ่านและวางในสนามแม่เหล็ก รศั มีความโคง้ ของการเคลอื่ นท่ีเมื่อประจเุ คลือ่ นทต่ี ัง้ ฉากกับสนามแมเ่ หล็ก รวมทงั้ อธิบายแรงระหวา่ งเสน้ ลวดตัวน�ำ คู่ขนานท่ีมกี ระแสไฟฟ้าผ่าน การวิเคราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ด้านความรู้ B   ดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยศึกษาการเบนAของรังสีแคโทดในสนามแม่เหล็ก 1. อนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าเคล่ือนที่เข้าไปใน 1. แรงแมเ่ หลก็ ทก่ี ระท�ำ กบั อนภุ าคทมี่ ปี ระจไุ ฟฟา้ และ สนามแม่เหล็ก จะมีแรงแม่เหล็กกระทำ� ใอจนาิเลกส็กวนีดตาิทรมอัศแนนมเ์่เปอหภ็นลิป็กสร่วแานลยโะรค่วก้งมาขกรอเันBBงบBBเวBนกBงBี่ยขกBวอลกAงมAับรAัAงแแAสรAลี งะจทแนี่เกรสงิดรทขุป่ีกึ้นไดรกะ้วับท่าอำ�นกตาุภ่อราอเคคิเอลลิเ็ก่ือลตน็กรตทอรี่ขนออนมงี เสน้ ลวดทม่ี กี ระแสไฟฟา้ ผา่ นในสนามแมเ่ หลก็ จากการ ต่ออนุภาค ทำ�ให้เคล่ือนท่ีในแนวโค้งของ วงกลม ขนาดของแรงแมเ่ หลก็ มคี วามสมั พนั ธ์ ความสัมพนั ธ์ ตามสมการF  qvABAsin อภปิ รายรว่ มกัน แบบฝกึ หัดและแบบทดสอบ 2. แนวการเคลอ่ื นทข่ี องอนภุ าคทมี่ ปี ระจไุ ฟฟา้ ทเี่ คลอื่ น กับขนาดของประจุ ความเร็ว ขนาดของ FFFFFFFqBqvqqvBvqBvqsBqvBsivBsvnisBnisBinsniinn สนามแม่เหล็ก และมุมระหว่างความเร็วกับ ภายใต้สนามแม่เหลก็ จากการอภปิ รายร่วมกนั สนามแม่เหล็ก FFFFFqqvvqBqBvqsvBsivBniBAn 3. แรงระหว่างเส้นลวดตัวนำ�คู่ขนานที่มีกระแสไฟฟ้า2. เส้นลวดท่ีมีกระแสไฟฟ้าผ่านและวางอยู่ใน 2. วใหาง้นใันกสเรนียานมศแมึกเ่ษหาลแก็ รจงาทกFี่วกFFดี รFFFFFFทิะFFFFFFศัทFFIFFนIFLำ�FIFILqmmqI์BตLLโmmqILBvvดrr่IอmsLvvBmvqBmqrrBBBLsยvviเ22mqrBBsvvvnirrสmqส22ssBvsvvnirBB2svii้vงันnr2iBsv2nniเ2Bninลก2nตวจดาทกี่มกีการรเะคแลสอื่ ไนฟทฟข่ี ้าอผงเ่าสนน้ แลลวดะ ผ่าน จากแบบฝึกหดั และแบบทดสอบ สนามแมเ่ หลก็ จะเกดิ แรงแมเ่ หลก็ กระท�ำ ตอ่ เสน้ ลวด ซงึ่ ขนาดของแรงมคี วามสมั พนั ธก์ บั สอนภปิามรแายมรเ่ หว่ มลก็กันจะจมนแี สรรงกปุ รFไดFะทว้่า�ำ Fเ IสมILL้นีคBBลวsmาวsiมดnivnสท2ัมมี่ พกี รนั ะธแต์ สาไมฟสฟม้ากผาา่ รนและวางอย่ใู น ด้านทักษะ กระแสไฟฟ้า สนามแม่เหล็ก ความยาวของ 1. การใช้จำ�นวน ในการหาปริมาณต่าง ๆ เกี่ยวกับ เส้นลวดและทิศการวางตัวของเส้นลวด MMMMMMMMMFNNNNNNIINIIAAINIIAANLIBBAAIABBBIAccBABBrccsooBcooiBcssconcssocossosss แรงแม่เหล็กท่ีกระทำ�ต่ออนุภาคท่ีมีประจุไฟฟ้า กับทศิ ของสนามแมเ่ หล็ก 3. ททใวหดี มี่เี่ ก้ทินกี ดิ ศัักรขะนเนึ้รแข์ ียสรออนไงฟบเศคฟลึกราว้ ษอ่ื ผดงาา่แชแนตงั่ รก่ลจงระะกะเมรสแMแีะ้นสรทงอำ�กภรรปิNะะรหทIาA�ำวยttซ่าBรttงึ่งtว่ctกลtมtoนัtวกsแดนัลตจะัวนกนสนั ำ�รเเปุนมไอื่ ื่อดงว้มจา่ ีากเกสรสนะ้ นแลาสวมดผแส่ามอนเ่ งหจเสลาน้กก็ แ ล ะ เ ค ล่ื อ น ที่ ใ น ส น า ม แ ม่ เ ห ล็ ก แ ร ง แ ม่ เ ห ล็ ก 3. เม่ือลวดตัวนำ�สองเส้นวางขนานกัน และ ที่กระทำ�ต่อเส้นลวดที่มีกระแสไฟฟ้าผ่าน และวาง มกี ระแสไฟฟา้ ผา่ น จะเกดิ แรงกระท�ำ ระหวา่ ง IIVIIrrImmIVrrrImmrssVrmmmVIrrssmmIVssrrsmmrVsrsmmrssmrsIIsmsIImm22VsImm22IVIm2mIVm2mt2Vm2Im22Vmm22mVmm ในสนามแม่เหล็กจากแบบฝึกหัดและแบบทดสอบ 2. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป จากการ ลวดตัวนำ�ท้ังสอง ซึ่งเป็นผลจากสนาม อภิปรายรว่ มกัน แมเ่ หล็กของลวดแตล่ ะเส้น 3. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� จากการอภปิ รายรว่ มกนั ดา้ นจิตวิทยาศาสตร์ ความอยากรอู้ ยากเหน็ จากการอภิปรายรว่ มกนั

78 แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การวิเคราะหผ์ ลการเรยี นรู้ดา้ นทกั ษะ 4. ยกตัวอย่างการคำ�นวณปริมาณต่าง ๆ เก่ียวกับแรงแม่เหล็กท่ีกระทำ�ต่อ อนุภาคท่ีมีประจุไฟฟ้า และเคลื่อนที่ในสนามแม่เหล็ก แรงแม่เหล็กที่ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กระท�ำ ตอ่ เสน้ ลวดทมี่ กี ระแสไฟฟา้ ผา่ นและวางในสนามแมเ่ หลก็ จากนนั้1. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป (แรงแมเ่ หลก็ ทก่ี ระท�ำ กบั อนภุ าคทม่ี ปี ระจไุ ฟฟา้ ใหน้ ักเรียนสรุป เพ่ือตรวจสอบความรูค้ วามเขา้ ใจ และเสน้ ลวดตวั น�ำ ทีม่ ีกระแสไหลผ่าน)2. การใช้จำ�นวน (แรงแม่เหล็ก และแนวการ เคลื่อนท่ีของอนุภาคภายใตส้ นามแม่เหลก็ )ทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำดา้ นจติ วิทยาศาสตร์ ความอยากรอู้ ยากเห็น

ฟิสิกส์ ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 6 F  qvBsin 79ผลการเรยี นร ู้ 3. อธบิ ายหลกั การท�ำ งานของแกลแวนอมเิ ตอรแ์ ละFมอเตqอvรBไ์ ฟฟา้ กระแสตรงและค�ำ นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง การวเิ คราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางกFารจัดmกvา2รเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ rด้านความรู้ ดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยให้นักเรียนศึกษาการทำ�งานของมอเตอร์ไฟฟ้า ขดลวดทมี่ กี ระแสไฟฟา้ ผา่ นและอยใู่ นสนาม หลักการทำ�งานของแกลแวนอมิเตอร์และมอเตอร์ แม่เหล็ก จะมีโมเมนต์ของแรงคู่ควบเกิดข้ึน กระแสตรงจากวดี ทิ ศั น์ อภปิ รFายรว่ IมLกBนั sจiนnสรปุ ไดว้ า่ เมอ่ื มกี ระแสไฟฟา้ ผา่ น ไฟฟา้ กระแสตรง จากการอภิปรายรว่ มกัน กบั ขดลวด ท�ำ ใหข้ ดลวดหมนุ ในสนามแมเ่ หลก็ ขดลวดตัวนำ�ท่ีวางในสนามแม่เหล็ก จะมีแรงคู่ควบกระทำ�และทำ�ให้เกิด ดา้ นทักษะ เป็นหลักการทำ�งานของแกลแวนอมิเตอร์ โมเมนตข์ องแรงคูค่ วบ มีความสมั พันธ์ตามสมการ 1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จากการ และมอเตอรไ์ ฟฟา้ กระแสตรง M  NIABcos อภิปรายร่วมกนั และการน�ำ เสนอผลดา้ นทักษะ 2. การใชจ้ �ำ นวน ในการหาปรมิ าณตา่ ง ๆ เกย่ี วกบั โมเมนต์ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 2. ยกตัวอย่างการนำ�มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรงไปใช้งาน เช่น มอเตอร์ของ ของแรงคู่ควบที่กระทำ�ต่อขดลวดท่ีมี กระแสไฟฟ้า การใชจ้ �ำ นวน (โมเมนต์ของแรงคูค่ วบ)ทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 รถวิทยุบังคับ มอเตอร์สตาร์ทรถยนต์ อภิปรายร่วมกันเก่ียวกับหลักการ ผ่านและอยู่ในสนามแม่เหล็ก จากแบบฝึกหัดและ1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ แบบทดสอบ (มกี ารอา้ งองิ แหลง่ ทม่ี าและการเปรยี บเทยี บ ทำ�งานของอปุ กรณแ์ ตล่ ะชนิดท่ีใชม้ อเตอรก์ ระแสตรง และนำ�เสนอผล 3. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� 3. ให้นักเรียนสืบค้นการทำ�งานของแกลแtวนอมิเตอร์ จากนั้นนำ�เสนอผล จากการอภิปรายร่วมกัน ความถูกต้องของข้อมูลจากแหล่งข้อมูล ทห่ี ลากหลายไดอ้ ยา่ งสมเหตสุ มผล การอภปิ ราย และอภปิ รายร่วมกนั จนไดข้ ้อสรปุ ว่าแกลแวนอมิเตอร์ มหี ลกั การท�ำ งาน ด้านจติ วทิ ยาศาสตร์ รว่ มกันและการนำ�เสนอผล) 1. ความรอบคอบ จากการเขยี นรายงาน2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ คล้ายกับมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง โดยเม่ือให้กระแสไฟฟ้าผ่านขดลวด 2. ความอยากรู้อยากเห็น จากการอภปิ รายรว่ มกันดา้ นจติ วิทยาศาสตร์ ตทวัม่ี นกี �ำรทะแอี่ สยไใู่ ฟนฟสนา้ ผามา่ นแมทเ่ �ำหใลหก็ ข้ จดะลIมวrโีmดมsหเมมนนุ Iตมm2ข์ ผี อลงใแหรเ้ งขคม็ คู่ ชวบ้ี บนทหกี่ นรา้ ะปทดั �ำ ทตต่ีอ่ ดิขอดยลกู่วบัด1. ความอยากรอู้ ยากเหน็2. ความรอบคอบ ขดลวดหมุนตามไปด้วย และการทำ�งานของแกลแวนอมิเตอร์นั้น ยังคง 4. ทำ�งานรว่ มกับสปริงก้นหอย Vrms  Vm เก2ี่ยวกับโมเมนต์ของแรงคู่ควบ ยกตัวอย่างการคำ�นวณปริมาณต่าง ๆ กระทำ�ต่อขดลวดท่ีมีกระแสไฟฟ้าผ่านและอยู่ในสนามแม่เหล็ก จากน้ัน ให้นกั เรยี นสรปุ เพอ่ื ตรวจสอบความรคู้ วามเข้าใจ E1  N1 E2 N2 m V Q  mc T

F  qvBsin80 ผลการเรยี นรู้ 4. สังเกตและอธิบายการเกิดอเี อม็ เอฟเหน่ยี วนำ� กFฎกาqรเvหBน่ียวน�ำ ของฟาราเดย์ และค�ำ นวณปริมาณต่าง ๆ ท่เี กยี่ วขอ้ ง รวมท้ังน�ำ ความรู้ เร่อื งอีเอม็ เอฟเหนี่ยวนำ�ไปอธบิ ายการทำ�งานของเครื่องใช้ไฟฟา้การวิเคราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางFการจmัดกrvา2รเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ด้านความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี น โดยใหน้ กั เรFยี นศกึ ษILากBาsรสinวา่งของหลอดไฟฟา้ ฟลอู อเรสเซนต์ ด้านความรู้1. เมื่อขดลวดตัวนำ�เคลื่อนที่ตัดสนามแม่เหล็ก แบบดั้งเดิมที่ต่ออยู่กับขดลวด อภิปรายร่วมกัน จนสรุปได้ว่า ในขดลวด 1. แรงเคลื่อนไฟฟ้าเหน่ียวนำ� และทิศทางของแรง หรอื ฟลกั ซแ์ มเ่ หลก็ เปลย่ี นแปลงผา่ นขดลวด เคลื่อนไฟฟ้าเหน่ียวนำ� จากการอภิปรายร่วมกัน ทม่ี กี ารเปลย่ี นแปลงฟลกั ซแ์ มเ่ หลก็ จะท�ำ ใหเ้ กดิ แรงเคลอ่ื นไฟฟา้ เหนย่ี วน�ำ แบบฝึกหดั และแบบทดสอบ จะทำ�ให้เกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวนำ� มีความสัมพันธ์กับอัตราการเปล่ียนแปลง ขน้ึ ในขดลวด หรอื มกี ระแสไฟฟา้ เหนย่ี วน�ำ ผา่ นหลอดไฟฟา้ ท�ำ ใหส้ วา่ งได้ 2. การท�ำ งานของเครอื่ งใชไ้ ฟฟา้ จากการเขยี นรายงาน ฟลกั ซ์แม่เหล็ก 2. ใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั แรงเคMลอ่ื นไฟNฟIา้ AเหBนcย่ี oวsน�ำ ทเ่ี กดิ จากการเปลยี่ นแปลง ดา้ นทักษะ2. หลักการทำ�งานของเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น 1. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จากการ แบลลาสต์ เตาเหนี่ยวนำ� มอเตอร์ไฟฟ้า ฟลักซ์แม่เหล็ก อภิปรายร่วมกัน จนสรุปได้ว่าแรงเคล่ือนไฟฟ้าเหน่ียวนำ� และแรงเคลื่อนไฟฟ้ากลับในมอเตอร์ไฟฟ้า อภิปรายรว่ มกนั และการน�ำ เสนอผล อธบิ ายไดด้ ว้ ยแรงเคลอื่ นไฟฟ้าเหนี่ยวนำ� ท่เี กิดข้ึน มีขนาดเปน็ ไปตามกฎการเหน่ียวนำ�ของฟาราเดย์ ตามสมการ 2. การใชจ้ �ำ นวน ในการหาปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบัดา้ นทักษะ     แรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวนำ� จากแบบฝึกหัดและทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ t แบบทดสอบ การใชจ้ �ำ นวน (ปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั 3. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� และมีทิศทางเปน็ ไปตามกฎของเลนซ์ แรงเคลอ่ื นไฟฟา้ เหนี่ยวนำ�) จากการอภปิ รายรว่ มกนัทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 3. ยกตัวอย่างการคำ�นวณปริมาณต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้องกับแรงเคล่ือนไฟฟ้า1. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ 4. เใหหนน้ กัย่ี เวรนยี ำ�น สจบืากคนน้ กัน้ าใรหทน้ �ำ กั งเารนียขนอIสงrmรเคปุsรอ่ืเพงใอ่ืIชmต2ไ้ ฟรวฟจา้ สเอชบน่ คแวบาลมลราู้คสวตา์ เมตเาขเ้าหในจย่ี วน�ำ 1. ความรอบคอบ จากการเขียนรายงาน (การอภิปรายร่วมกันและการนำ�เสนอผล 2. ความอยากรู้อยากเห็น จากการอภิปรายร่วมกัน มีการอ้างอิงแหล่งท่ีมาและการเปรียบเทียบ มอเตอรไ์ ฟฟา้ และแรงเคลอื่ นไฟฟา้ กลบั ในมอเตอรไ์ ฟฟา้ น�ำ เสนอผลและ ความถูกต้องของข้อมูลจากแหล่งข้อมูลท่ี หลากหลายได้อยา่ งสมเหตุสมผล) อภิปรายร่วมกัน Vrms  Vm2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ 2 E1  N1 E2 N2 m V Q  mc T

การวเิ คราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ ฟสิ ิกส์ 81ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 61. ความอยากรอู้ ยากเห็น2. ความรอบคอบ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้

82 ผลการเรยี นร ู้ 5. อธบิ ายและค�ำ นวณความตา่ งศกั ยอ์ ารเ์ อม็ เอส และกระแสไฟฟา้ อารเ์ อม็ เอสการวิเคราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ด้านความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยการทบทวนเกี่ยวกับไฟฟ้ากระแสสลับเกิดจาก ด้านความรู้ แรงเคลอื่ นไฟฟา้ เหนย่ี วน�ำ ทไ่ี ดจ้ ากการหมนุ ขดลวดในสนามแมเ่ หลก็ ดว้ ย ความตา่ งศกั ยแ์ ละกระแสไฟฟา้ ในวงจรไฟฟา้ อัตราเร็วเชิงมุมสมำ่�เสมอ จากน้ันให้ความรู้เกี่ยวกับแรงเคลื่อนไฟฟ้า ความตา่ งศกั ยอ์ ารเ์ อม็ เอส และกระแสไฟฟา้ อารเ์ อม็ เอส กระแสสลบั เปลยี่ นแปลงตามเวลาในรปู ของ จากการอภปิ รายร่วมกัน ฟังก์ชันไซน์จึงมีค่าเฉล่ียเป็นศูนย์ การหา เหนี่ยวนำ�ที่ได้มีการเปลี่ยนค่าตามเวลาขึ้นกับอัตราการเปลี่ยนแปลง ฟลกั ซแ์ มเ่ หลก็ ทต่ี ดั ขดลวด มลี ักษณะเปน็ กราฟรูปไซน์ ดา้ นทกั ษะ ปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ไฟฟา้ กระแสสลบั 2. ให้ความรู้เกี่ยวกับกระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์ไฟฟ้ากระแสสลับ 1. การใช้จำ�นวน ในการหาปริมาณต่าง ๆ เกี่ยวกับ จึงตอ้ งใช้คา่ อารเ์ อ็มเอส เชน่ ความต่างศกั ย์ ความต่างศักย์อาร์เอ็มเอสและกระแสไฟฟ้า มีค่าเปล่ียนแปลงตลอดเวลาจากค่าต่ำ�สุดถึงค่าสูงสุด จึงไม่สามารถใช้ อารเ์ อ็มเอสและกระแสไฟฟ้าอาร์เอ็มเอส แกลแวนอมิเตอร์วัดกระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์ของวงจรไฟฟ้า อาร์เอม็ เอส จากแบบฝึกหดั และแบบทดสอบ กระแสสลับได้ เนื่องจากเข็มของแกลแวนอมิเตอร์แกว่งตลอดเวลา 2. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� ด้านทักษะ อภิปรายร่วมกัน จนสรุปได้ว่าค่ากระแสไฟฟ้าและค่าความต่างศักย์ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทจ่ี ะน�ำ มาใชใ้ นวงจรไฟฟา้ กระแสสลบั เรยี กวา่ คา่ อารเ์ อม็ เอสมคี วามสมั พนั ธ์ จากการอภิปรายร่วมกัน การใชจ้ �ำ นวน (ความตา่ งศกั ยอ์ ารเ์ อม็ เอส และ ตามสมการ กระแสไฟฟา้ อาร์เอม็ เอส) ด้านจติ วิทยาศาสตร์ทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 - ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ ด้านจติ วิทยาศาสตร์ - จากนนั้ ใหค้ วามรวู้ า่ คา่ อารเ์ อม็ เอสนใี้ หผ้ ลทางพลงั งานไฟฟา้ เทยี บเทา่ กบั ไฟฟ้ากระแสตรง จึงเรียกค่าอาร์เอ็มเอสน้ีว่า ค่ายังผล และเม่ือใช้มิเตอร์ ชนิดกระแสสลับวัด ค่าทว่ี ัดได้เรียก คา่ มเิ ตอร์ 3. ยกตัวอย่างการคำ�นวณปริมาณต่าง ๆ เก่ียวกับความต่างศักย์อาร์เอ็มเอส และกระแสไฟฟา้ อารเ์ อม็ เอส จากนน้ั ใหน้ กั เรยี นสรปุ เพอ่ื ตรวจสอบความรู้ ความเขา้ ใจ

ฟสิ ิกส์ ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 6ผลการเรยี นร ู้ 6. อธบิ ายหลกั การท�ำ งานและประโยชนข์ องเครอ่ื งก�ำ เนดิ ไฟฟา้ กระแสสลบั 3 เฟส การแปลงอเี อม็ เอฟของหมอ้ แปลงและค�ำ นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ 83 ทเ่ี กย่ี วขอ้ งการวิเคราะห์ผลการเรียนรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ด้านความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี น โดยทบทวนความรเู้ กย่ี วกบั หลกั การของแรงเคลอ่ื น ไฟฟา้ ด้านความรู้ เหนยี่ วน�ำ ของไฟฟา้ กระแสสลบั จากนนั้ ใหน้ กั เรยี นศกึ ษาวดี ทิ ศั นเ์ กยี่ วกบั1. เคร่ืองกำ�เนิดไฟฟ้ากระแสสลับท่ีใช้ผลิต หลักการทำ�งานของเครื่องกำ�เนิดไฟฟ้า ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลง หลกั การท�ำ งานและประโยชนข์ องเครอ่ื งก�ำ เนดิ ไฟฟา้ พลงั งานไฟฟา้ ใชแ้ รงเคลอื่ นไฟฟา้ เหนยี่ วน�ำ พลงั งานกลเปน็ พลงั งานไฟฟา้ ทเี่ กดิ จากแมเ่ หลก็ หมนุ ตดั กบั ขดลวดตวั น�ำ กระแสสลับ 3 เฟส และการแปลงแรงเคลื่อนไฟฟ้า ที่เกิดจากแม่เหล็กหมุนตัดกับขดลวดตัวนำ� 3 ชดุ แตล่ ะชดุ ท�ำ มมุ 120 องศาตอ่ กนั ท�ำ ให้ 3 ชุด อภิปรายร่วมกัน จนสรุปได้ว่าไฟฟ้ากระแสสลับที่เกิดขึ้นเป็น ของหมอ้ แปลง จากการอภปิ รายรว่ มกนั แบบฝกึ หดั ไดก้ ระแสสลบั 3 เฟส ไฟฟา้ กระแสสลบั 3 เฟส และแบบทดสอบ 2. ให้นักเรียนสืบค้นเกี่ยวกับประโยชน์ของเครื่องกำ�เนิดไฟฟ้ากระแสสลับ2. หม้อแปลงไฟฟ้าใช้สำ�หรับเปล่ียนแปลง ด้านทักษะ แ ร ง เ ค ลื่ อ น ไ ฟ ฟ้ า ใ ห้ มี ค่ า สู ง ข้ึ น ห รื อ ต่ำ � ล ง 3 เฟส น�ำ เสนอผลและอภิปรายรว่ มกัน 1. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จากการ โดยอาศัยการเหนย่ี วน�ำ แม่เหล็กไฟฟา้ 3. ให้นกั เรยี นศกึ ษาหลักการท�ำ งานของหมอ้ แปลงท้ังแปลงขน้ึ และแปลงลง จากวีดิทัศน์ อภิปรายร่วมกัน จนสรุปได้ว่า เมื่อไฟฟ้ากระแสสลับผ่าน อภปิ รายร่วมกันและการน�ำ เสนอผลด้านทักษะ 2. การใชจ้ �ำ นวน ในการหาปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบัทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ขดลวดปฐมภมู ิ จะท�ำ ใหเ้ กดิ สนามแมเ่ หลก็ ทเ่ี ปลย่ี นแปลง ซง่ึ จะท�ำ ใหเ้ กดิ การใชจ้ �ำ นวน (ปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั แรงเคลื่อนไฟฟ้าเหน่ียวน�ำ ในขดลวดทุตยิ ภมู ิ ตามสมการ หมอ้ แปลงไฟฟา้ จากแบบฝึกหัดและแบบทดสอบ 3. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� หม้อแปลงไฟฟา้ ) 4. ยกตัวอย่างการคำ�นวณปริมาณต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกับหม้อแปลงไฟฟ้า ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 จากนนั้ ใหน้ กั เรียนสรุป เพอื่ ตรวจสอบความรคู้ วามเขา้ ใจ จากการอภปิ รายรว่ มกัน1. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ ดา้ นจติ วทิ ยาศาสตร์ (การอภิปรายร่วมกันและการนำ�เสนอผล ความอยากรอู้ ยากเหน็ และความรอบคอบ จากการ มีการอ้างอิงแหล่งที่มาและการเปรียบเทียบ ค ว า ม ถู ก ต้ อ ง ข อ ง ข้ อ มู ล จ า ก แ ห ล่ ง ข้ อ มู ล เขยี นรายงาน ท่หี ลากหลายได้อย่างสมเหตสุ มผล)2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำดา้ นจิตวิทยาศาสตร์1. ความอยากรูอ้ ยากเห็น2. ความรอบคอบ

84 ผลการเรียนรู้ 7. อธิบายการเกดิ และลักษณะเฉพาะของคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟา้ แสงไมโ่ พลาไรส์ แสงโพลาไรสเ์ ชงิ เส้น และแผ่นโพลารอยด์รวมทง้ั อธบิ ายการนำ� คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟา้ ในชว่ งความถตี่ า่ ง ๆ ไปประยุกตใ์ ชแ้ ละหลกั การท�ำ งานของอปุ กรณท์ เ่ี กย่ี วขอ้ งการวิเคราะหผ์ ลการเรียนรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ด้านความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยให้ความรู้เก่ียวกับการเคลื่อนที่ของอนุภาคท่ีมี ดา้ นความรู้ ประจไุ ฟฟา้ ดว้ ยความเรว็ ไมค่ งตวั จะท�ำ ใหแ้ ผค่ ลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ โดยเปน็1. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเกิดจากการเหนี่ยวนำ� 1. การเกิดและลักษณะเฉพาะของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ตอ่ เนอ่ื งระหวา่ งสนามไฟฟา้ กบั สนามแมเ่ หลก็ การเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้า ซึ่งตั้งฉากกันและ รวมถึงการประยุกต์ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในช่วง โดยสนามทั้งสองมีทิศทางตั้งฉากกัน ต้ังฉากกับทิศทางการแผ่ของคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นไปตามทฤษฎี ความถ่ีต่าง  ๆ จากการอภิปรายร่วมกัน แบบฝึกหัด และตง้ั ฉากกบั ทศิ ทางการแผข่ องคลน่ื แมเ่ หลก็ และแบบทดสอบ ไฟฟา้ คลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้ ของแมกซเ์ วลล์2. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีความถ่ีต่อเนื่องกันเป็น 2. ทบทวนความรเู้ กย่ี วกบั ลกั ษณะคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ซง่ึ มคี วามถต่ี อ่ เนอ่ื งกนั 2. การประยุกต์ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในช่วงความถ่ี เปน็ ชว่ งกวา้ ง เรยี กวา่ สเปกตรมั คลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ แตล่ ะชว่ งความถมี่ ชี อ่ื ตา่ งๆ จากการเขียนรายงาน ช่วงกว้าง แต่ละช่วงความถี่เรียกชื่อต่างกัน เรียกต่างกัน จากน้ันให้นักเรียนสืบค้นการนำ�คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าในช่วง และน�ำ ไปใช้ประโยชนต์ า่ งกนั 3. การประยุกต์ใช้แสงโพลาไรส์และแผ่นโพลารอยด์3. คลนื่ แสงทแ่ี ผใ่ นทศิ ทางเดยี วกนั แตม่ รี ะนาบ ความถี่ต่าง ๆ ไปประยุกต์ใช้ เช่น โทรศัพท์เคล่ือนท่ี เคร่ืองฉายรังสีเอกซ์ จากการอภิปรายร่วมกนั และการนำ�เสนอผล การสั่นของสนามไฟฟ้าทุกทิศทาง เรียกว่า เคร่ืองควบคุมระยะไกล เครื่องระบุตำ�แหน่งบนพื้นโลก เคร่ืองถ่ายภาพ แสงไม่โพลาไรส์ เมื่อให้แสงนี้ผ่านแผ่น เอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์ เครื่องถ่ายภาพการสั่นพ้องแม่เหล็ก และการรับ ด้านทกั ษะ โพลารอยด์ จะทำ�ให้เหลือแนวการสั่นเพียง สัญญาณดาวเทียม น�ำ เสนอผลและอภิปรายรว่ มกนั 1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จากการ แนวเดียว เรยี กวา่ แสงโพลาไรสเ์ ชงิ เสน้ 3. ให้ความรู้เก่ียวกับแสงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าประกอบด้วยสนามไฟฟ้า และสนามแม่เหล็ก คลื่นแสงที่แผ่ในทิศทางเดียวกันแต่มีระนาบการส่ัน อภปิ รายรว่ มกันและการน�ำ เสนอผลดา้ นทักษะ ของสนามไฟฟา้ ทกุ ทศิ ทาง เรยี กวา่ แสงไมโ่ พลาไรส์ เมอ่ื ใหแ้ สงนผ้ี า่ นแผน่ 2. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โพลารอยด์ จะท�ำ ใหเ้ หลอื แนวการสนั่ เพยี งแนวเดยี ว เรยี กวา่ แสงโพลาไรส์ - เชิงเส้น จากการอภปิ รายร่วมกนัทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 4. ให้นักเรียนสืบค้นเกี่ยวกับการนำ�แสงโพลาไรส์และแผ่นโพลารอยด์ 1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ ไปประยกุ ตใ์ ช้ และนำ�เสนอผล ด้านจิตวทิ ยาศาสตร์ 1. ความรอบคอบ จากการเขยี นรายงาน (การอภิปรายร่วมกันและการนำ�เสนอผล 2. ความอยากรู้อยากเหน็ จากการอภปิ รายรว่ มกนั มีการอ้างอิงแหล่งท่ีมาและการเปรียบเทียบ ค ว า ม ถู ก ต้ อ ง ข อ ง ข้ อ มู ล จ า ก แ ห ล่ ง ข้ อ มู ล ทีห่ ลากหลายไดอ้ ย่างสมเหตุสมผล)

การวเิ คราะห์ผลการเรียนรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ ฟิสกิ ส์ 852. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6ด้านจิตวิทยาศาสตร์ แนวทางการวัดและประเมินผลการเรียนรู้1. ความอยากรูอ้ ยากเห็น2. ความรอบคอบ

86 ผลการเรยี นร ู้ 8. สบื คน้ และอธบิ ายการสอ่ื สารโดยอาศยั คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ในการสง่ ผา่ นสารสนเทศและเปรยี บเทยี บการสอ่ื สารดว้ ยสญั ญาณแอนะลอ็ กกบั สญั ญาณดจิ ทิ ลัการวิเคราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ดา้ นความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี นโดยใหน้ กั เรยี นท�ำ กจิ กรรมเกย่ี วกบั การสง่ ขอ้ ความระยะไกล ดา้ นความรู้ จากน้ันให้ความรู้เก่ียวกับ ความสำ�คัญ ความจำ�เป็น และพัฒนาการของ1. ในการส่ือสารโดยอาศัยคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า การสื่อสารโดยอาศัยคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นพาหะ เปน็ พาหะ เพอื่ สง่ ผา่ นสารสนเทศจากทห่ี นงึ่ การสอื่ สารจากอดีตจนถงึ ปจั จบุ นั อภิปรายร่วมกนั และนำ�เสนอผล และ ความแตกต่างระหว่างสัญญาณดิจิทัลและ ไปอีกทห่ี นึ่ง สารสนเทศจะถูกแปลงใหอ้ ยูใ่ น 2. ให้นักเรียนสืบค้นเกี่ยวกับ การสื่อสารโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า สัญญาณแอนะล็อก จากการอภิปรายร่วมกัน รูปสัญญาณสำ�หรับส่งไปยังปลายทางซึ่งจะ เปน็ พาหะในการสง่ ผา่ นสารสนเทศ จากนน้ั อภปิ รายรว่ มกนั จนสรปุ ไดว้ า่ มีการแปลงสัญญาณกลับมาเป็นสารสนเทศ สญั ญาณทใ่ี ชใ้ นการสอ่ื สารมี 2 ชนดิ ไดแ้ ก่ สญั ญาณแอนะลอ็ ก เปน็ สญั ญาณ แบบฝกึ หัดและแบบทดสอบ ท่เี หมอื นเดิม ที่มีการเปลี่ยนขนาดแบบต่อเน่ือง และสัญญาณดิจิทัลเป็นสัญญาณที่มี ดา้ นทักษะ2. สัญญาณที่ใช้ในการส่ือสารมีสองชนิดคือ การเปลยี่ นแปลงขนาดเป็น 0 และ 1 หรอื สงู -ตำ่� หรอื เปดิ -ปดิ 1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จากการ แอนะลอ็ กและดจิ ทิ ลั การสง่ ผา่ นสารสนเทศ 3. ใหน้ กั เรยี นเปรยี บเทยี บขอ้ ดแี ละขอ้ จ�ำ กดั ของสญั ญาณทงั้ 2 แบบ จากนนั้ ด้วยสัญญาณดิจิทัลสามารถส่งผ่านได้ง่าย อภปิ รายรว่ มกนั และนำ�เสนอผล อภิปรายร่วมกัน จนสรุปได้ว่า สัญญาณดิจิทัลสามารถส่งผ่านได้ง่ายและ 2. ความร่วมมือการทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� และมีความผิดพลาดน้อยกว่าสัญญาณ มคี วามผิดพลาดน้อยกว่าสัญญาณแอนะลอ็ ก จากการอภิปรายร่วมกนั แอนะลอ็ ก ดา้ นจติ วิทยาศาสตร์ดา้ นทกั ษะ ความอยากรู้อยากเห็นและความรอบคอบ จากการทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ - เขียนรายงานทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 211. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ (การอภิปรายร่วมกันและการนำ�เสนอผล มีการอ้างอิงแหล่งท่ีมาและการเปรียบเทียบ ความถูกต้องของข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ หลากหลายได้อย่างสมเหตุสมผล)2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ

การวเิ คราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ ฟสิ ิกส์ 87ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 61. ความอยากรอู้ ยากเห็น2. ความรอบคอบ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้

FILBsin t88 4. เขา้ ใจความสมั พันธ์ของความรอ้ นกบั การเปลี่ยนอุณหภูมแิ ละสถานะของสสาร สภาพยืดหยนุ่ ของวสั ดแุ ละมอดุลัสของยัง ความดนั ในของไหล แรงพยงุ และหลกั ของอารค์ มิ ดี สี ความตงึ ผวิ และMแรงหนNดื ขIอAงขBอcงoเหsลว ของไหลอดุ มคตแิ ละสมการแบรน์ ลู ลี กฎของแกส๊ ทฤษฎจี ลนข์ องแกส๊ อดุ มคติ และพลงั งานในระบบ ทฤษฎอี ะตอมของโบร์ ปรากIฏrmกsารณโ์ Iฟm2โตอเิ ลก็ ทรกิ ทวภิ าวะของคลน่ื และอนภุ าค กมั มนั ตภาพรงั สี แรงนวิ เคลยี ร์ ปฏกิ ริ ยิ านวิ เคลยี ร์ พลงั งานนวิ เคลยี ร์ ฟสิ ิกส์อนภุ าค รวมทง้ั นำ�ความรู้ไปใช้ประโยชน์ผลการเรียนร้ ู 1. กอฎธิบกาายรอแนละรุ กัคษ�ำ นพ์ วลณงั งคาวนามรอ้ นทท่ี �ำ ใหส้ สารเปVลี่ยrmนsอุณหVภmูม2t ิ ความร้อนท่ีท�ำ ให้สสารเปลย่ี นสถานะ และ ความร้อนทเ่ี กดิ จากการถ่ายโอนตาม การวเิ คราะหผ์ ลการเรียนรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ดา้ นความรู้ 1. นขใหอำ�น้ เงขนกั ้าเ�้ำ รสแยี ู่บลนทะทตเร�ำ วียกงนจิปกรโรมิ ดรายมตกหราขารEEคอทวง12บานมท�ำ้I หวrคmนนN�ำNsคานแว12วนาณมน่ Iครขm2วู้เอกางี่ยมนวห�้ำ กน โับาดคแยนวชาน่ ง่ั มนขหอ�ำ้ นหงนานแ�้ำกั นแต่นลามว้ จหสาามกมกนวาั้นลร ดา้ นความรู้1. ความหนาแน่นเป็นสมบัติของสสาร มีความ VrmsVm Vm ความหนาแน่นของสสาร พลังงานความร้อน และ สัมพันธก์ ับมวลและปรมิ าตร 2 การถ่ายโอนพลังงานความร้อน จากการอภิปราย รว่ มกนั2. พลงั งานความรอ้ นท�ำ ใหส้ สารเปลย่ี นอณุ หภมู ิ จากนั้นให้นักเรียนหาความหนาแน่นของสสารอื่น ๆ อภิปรายร่วมกัน มคี วามสมั พนั ธก์ บั มวล ความรอ้ นจ�ำ เพาะและ ด้านทักษะ อุณหภมู ิทีเ่ ปลี่ยนไปของสสาร จนสรปุ ไดว้ า่ ความหนาแน่นของสสารเปน็ สมบตั เิ ฉพาะของสสาร 1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ จากการ3. พลงั งานความรอ้ นท�ำ ใหส้ สารเปลยี่ นสถานะ 2. ให้นักเรียนศึกษาข้อมQูลในตmาcรางTแสดงความหนาแน่นของนำ้�ท่ี อภปิ รายรว่ มกันและการน�ำ เสนอผล มีความสัมพันธ์กับมวลและความร้อนแฝง 2. การใชจ้ �ำ นวน ในการหาปรมิ าณตา่ ง ๆ เกย่ี วกบั ความ จ�ำ เพาะของสสาร อุณหภูมิต่าง ๆ จากนั้นอภEิป1รายร่วNม1กันจนสรุปได้ว่า ความหนาแน่น หนาแน่นของสสาร พลังงานความร้อน และการ4. การถา่ ยโอนพลงั งานความรอ้ นของวตั ถเุ กดิ ขน้ึ ของน้�ำ เปลย่ี นแปลง เมอื่ อุณEห2ภมู ิเปNลีย่ 2นแปลง เมอ่ื วตั ถทุ ง้ั สองมอี ณุ หภมู แิ ตกตา่ งกนั พลงั งาน ถ่ายโอนพลังงานความร้อน จากแบบฝึกหัดและ ความรอ้ นถา่ ยโอนจากวตั ถทุ อ่ี ณุ หภมู สิ งู ไปสู่ 3. ผใหล้คขวอางมกราู้เรกให่ียวพ้ กลับงั งคาวนาคมวรา้อมQนรจอ้ ำ�นเกพmบั าวะLตัขถอุ งmแสลสว้ าทร�ำ ใจหาว้ กตั นถ้ันมุ ตอี ั้งณุ คหำ�ถภามู มเิ ปเกลี่ยย่ี วนกไปับ แบบทดสอบ วัตถุอุณหภูมิต่ำ� และพลังงานความร้อนที่ 3. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป จากการ ถา่ ยโอนจะเปน็ ไปตามกฎการอนรุ กั ษพ์ ลงั งาน อภิปรายรว่ มกัน มีค่าข้ึนอยู่กับปริมาณใด อภิปรายร่วมVกัน โดยใช้ข้อมูลจากการทดลอง 4. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� จากการอภปิ รายรว่ มกัน จนสรุปได้ว่าพลังงานความร้อนท่ีทำ�ให้วัตถุมีอุณหภูมิเปลี่ยนไป เป็นไป ด้านจติ วทิ ยาศาสตร์ ตามสมการ - Q  mc T Q  mL

การวเิ คราะหผ์ ลการเรียนรู้ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ ฟสิ กิ ส์ 89 ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 6 แนวทางการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ด้านทักษะ 4. ใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั ความรอ้ นแฝงจ�ำ เพาะของสสาร จากนน้ั ตง้ั ค�ำ ถามเกย่ี วกบั ผลของการให้พลังงานความร้อนกับวัตถุ แล้วทำ�ให้วัตถุเปลี่ยนสถานะทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มคี า่ ขน้ึ อยกู่ บั ปรมิ าณใด อภปิ รายรว่ มกนั โดยใชข้ อ้ มลู จากการทดลองจน1. การใช้จำ�นวน (ความหนาแน่นของสสาร สรปุ ไดว้ า่ พลงั งานความรอ้ นทที่ �ำ ใหว้ ตั ถเุ ปลย่ี นสถานะ เปน็ ไปตามสมการ พลงั งานความรอ้ น และการถา่ ยโอนพลงั งาน ความรอ้ น) 5. ใหค้ วามรเู้ กยี่ วกบั การถา่ ยโอนพลงั งานความรอ้ นขนึ้ อยกู่ บั ความแตกตา่ ง2. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป ของอณุ หภมู ิ อภปิ รายรว่ มกนั จนสรปุ ไดว้ า่ การถา่ ยโอนพลงั งานความรอ้ น (การถ่ายโอนพลังงานความรอ้ น)ทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 จะถ่ายโอนจากวัตถุที่อุณหภูมิสูงกว่าไปสู่วัตถุท่ีอุณหภูมิตำ่�กว่า ซ่ึงเป็น 1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ ไปตามกฎการอนรุ กั ษ์พลังงาน ตามสมการ (การอภปิ รายร่วมกนั และการนำ�เสนอผล)2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ 6. ยกตัวอย่างการคำ�นวณหาปริมาณต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับความหนาแน่น ของสสาร พลงั งานความรอ้ น และการถา่ ยโอนพลงั งานความรอ้ น จากนนั้ด้านจติ วทิ ยาศาสตร์ - ใหน้ กั เรียนสรุป เพ่อื ตรวจสอบความรคู้ วามเขา้ ใจ

90 ผลการเรยี นร ู้ 2. อธบิ ายสภาพยดื หยนุ่ และลกั ษณะการยดื และหดตวั ของวสั ดทุ เ่ี ปน็ แทง่ เมอ่ื ถกู กระท�ำ ดว้ ยแรงคา่ ตา่ ง ๆ รวมทง้ั ทดลอง อธบิ าย และค�ำ นวณ ความเคน้ ตามยาว ความเครยี ดตามยาว และมอดลุ สั ของยงั และน�ำ ความรเู้ รอ่ื งสภาพยดื หยนุ่ ไปใชใ้ นชวี ติ ประจ�ำ วนัการวิเคราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ด้านความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี น โดยใหน้ กั เรยี นสงั เกตการเปลย่ี นแปลงรปู รา่ งของเสน้ ยาง ด้านความรู้ หรอื ฟองน�ำ้ กบั ดนิ น�ำ้ มนั เมอ่ื ออกแรงกระท�ำ ตอ่ วสั ดแุ ตล่ ะชนดิ เปรยี บเทยี บ1. แรงมีผลต่อการเปล่ียนรูปร่างของวัสดุ กบั เมอ่ื หยดุ ออกแรงกระท�ำ ตอ่ วสั ดุ อภปิ รายรว่ มกนั และน�ำ เสนอผล จากนน้ั 1. สภาพยดื หยนุ่ และลกั ษณะการยดื และหดตวั ของวสั ดุ ความพยายามในการคงรูปร่างของวัสดุ ให้ความรู้เกย่ี วกบั สภาพยดื หยุ่นของวสั ดุ ที่เป็นแท่งเม่ือถูกกระทำ�ด้วยแรงค่าต่าง ๆ จากการ ต่อแรงท่ีกระทำ� บ่งบอกถึงสภาพยืดหยุ่น 2. สาธติ การทดลองเสมอื นจรงิ เพอื่ ศกึ ษาความเคน้ ตามยาวและความเครยี ด อภปิ รายรว่ มกนั ของวสั ดุ ตามยาว จากน้ันมอบหมายให้นักเรียนทำ�การทดลองโดยใช้โปรแกรม 2. สภาพยืดหยุ่นไปใช้ในชีวิตประจำ�วัน จากการเขียน2. เมื่อมีแรงกระทำ�ต่อวัสดุที่เป็นแท่งให้ยืด การทดลองเสมอื นจรงิ นอกเวลาเรยี น เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจทฤษฎี การเตรยี ม รายงาน หรือหดตัว จะเกิดความเค้นตามยาวและ อุปกรณแ์ ละขนั้ ตอนการทดลอง กอ่ นทำ�การทดลองจริง ความเครยี ดตามยาว อตั ราสว่ นของความเคน้ ดา้ นทกั ษะ ตามยาวต่อความเครียดตามยาว เรียกว่า 3. ใหน้ กั เรยี นทดลองเพอื่ ศกึ ษาคQวาลมด=เคQน้ เตพิม่ ามยาว ความเครยี ดตามยาว และ 1. การวดั การทดลอง การจดั กระท�ำ และสอื่ ความหมาย มอดุลัสของยงั มอดลุ สั ของยงั อภปิ รายร่วมกันจนสรุปได้ความสัมพนั ธต์ ามสมการ ข้อมูล การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� ด้านทกั ษะ F ,   L , Y   หรอื Y  F / A จากการอภปิ รายรว่ มกนั และรายงานผลการทดลองทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ A L0  2. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ จากการ1. การวัด (ความยาวของเสน้ ลวดท่ีเปลี่ยนไป) L / L02. การทดลอง อภิปรายร่วมกันและการน�ำ เสนอผล3. การจัดกระทำ�และส่ือความหมายข้อมูล 4. ให้นักเรียนสืบค้นเก่ียวกับการPนgำ�ความgรhู้เรื่องสภาพยืดหยุ่น เพื่อใช้เลือก 3. การใชจ้ �ำ นวน ในการหาปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ความเคน้ ตามยาว ความเครยี ดตามยาวและมอดลุ สั (จากการเขียนกราฟ) วัสดุไปใช้ในกรณีต่างๆ เช่น โครงสร้างส่ิงก่อสร้าง สายกีตาร์ เส้นเอ็น 4. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป จากนน้ั นำ�เสนอผลและอภิปรายร่วมกนั ของยัง จากแบบฝกึ หัดและแบบทดสอบ 5. ยกตัวอย่างการคำ�นวณปริมาPณต่าPง0 ๆ Pทgี่เกี่ยวข้องกับความเค้นตามยาว (การสรปุ ผลการทดลอง) ความเครียดตามยาว และมอดุลัสของยัง จากน้ันให้นักเรียนสรุป ด้านจติ วิทยาศาสตร์5. การใชจ้ �ำ นวน(ความเคน้ ตามยาว ความเครยี ด เพอ่ื ตรวจสอบความร้คู วามเขMา้ ใ.จA. = W 1. ความรอบคอบ จากการเขยี นรายงาน ตามยาว และมอดลุ สั ของยงั ) 2. ความซอ่ื สตั ย์ จากรายงานผลการทดลอง F 3. ความมงุ่ มน่ั อดทน จากการทดลอง และการอภปิ ราย รว่ มกนั FB  Vg F l

การวิเคราะหผ์ ลการเรียนรู้ แนวทางการจดั การเรียนรู้ ฟิสิกส์ 91ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 61. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ (การอภิปรายร่วมกันและการนำ�เสนอผล มีการอ้างอิงแหล่งที่มาและการเปรียบเทียบ ค ว า ม ถู ก ต้ อ ง ข อ ง ข้ อ มู ล จ า ก แ ห ล่ ง ข้ อ มู ล ที่หลากหลายไดอ้ ยา่ งสมเหตสุ มผล)2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำดา้ นจิตวิทยาศาสตร์1. ความซื่อสตั ย์2. ความมุ่งมน่ั อดทน3. ความรอบคอบ

92 ผลการเรยี นร ู้ 3. อธบิ ายและค�ำ นวณความดนั เกจ ความดนั สมั บรู ณ์ และความดนั บรรยากาศ รวมทง้ั อธบิ ายหลกั การท�ำ งานของแมนอมเิ ตอร์ บารอมเิ ตอร์ และเครอ่ื งอดั ไฮดรอลกิการวเิ คราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยสาธิตกิจกรรมการพุ่งของน้ำ�ออกจากช่องเล็ก ๆ ดา้ นความรู้1. นำ้�หนักของของเหลวที่กระทำ�ต่อพ้ืนท่ี ขนาดเทา่ กนั สามชอ่ งขา้ งขวด ทร่ี ะดบั ความสงู ตา่ งกนั สงั เกตผลทเี่ กดิ ขนึ้ 1. ความดันเกจ ความดันบรรยากาศ และความดัน ในของเหลวท�ำ ใหเ้ กดิ ความดนั เกจ ซงึ่ มคี า่ ขน้ึ สัมบรู ณ์ จากการอภปิ รายรว่ มกนั กบั ความลกึ ผลรวมของความดนั บรรยากาศ และอภิปรายร่วมกันจนสรุปได้วQ่า ลนด=้ำ�ทQ่ีพุ่งเพอมิ่ อกมาตกลงบนพื้นท่ีตำ�แหน่ง กับความดันเกจ เรยี กวา่ ความดันสัมบรู ณ์ 2. หลกั การทำ�งานของแมนอมิเตอร์ บารอมเิ ตอรแ์ ละ หา่ งจากขวดตา่ งกนั เปน็ ผลจากความดนั และต�ำ แหนง่ ของชอ่ งทแ่ี ตกตา่ งกนั เครื่องอัดไฮดรอลิก จากการอภิปรายร่วมกัน2. เมื่อเพ่ิมความดันให้กับของเหลวท่ีอยู่น่ิง 2. ใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั ความดนั ในของเหลว เปน็ ความดนั เนอ่ื งจากน�ำ้ หนกั ของ แบบฝึกหัดและแบบทดสอบ และเต็มภาชนะปิด ความดันที่เพ่ิมข้ึนนี้ จะถูกถ่ายโอนไปยังทุกตำ�แหน่งในของเหลว ของเหลว เรียกว่า ความดันเกจ ซ่ึงสามารถวัดค่าได้ โดยใช้แมนอมิเตอร์ ด้านทกั ษะ และผนังภาชนะเป็นไปตามกฎของพาสคัล 1. การจัดกระทำ�และสื่อความหมายข้อมูล จากการ ซึ่งใช้อธิบายหลักการทำ�งานของเคร่ืองอัด , , หรอื จกโดบาั ยกคในวชาั้นข้ มอใหหงเน้นFAหาักลแเวรนทียน่ แ่ีนแตทลกำ�ะตกกา่ ิจรงากกLฟรนั L0รคเมวขาหยีQมานสคลกมดั วร=YพาามฟนัQดคธันเร์วพะาิ่มใมนหสวขาม่ัองพงคเนั วหธาลรม์ Yวะดทหนั ่ีควเา่วกงาจคมกFวลLบั าึกคม//ตวดALา่านั มง0เกลกันกึจ ไฮดรอลิก , , หรือ นำ�เสนอผลFAและอภปิ รายรLว่ มL0กันPจgนYสรุปไgดhค้ วามดนั เกYจตามสFมLก/า/รAL0 ทำ�กจิ กรรมและการนำ�เสนอผล 2. การส่อื สาร การจัดกระทำ�และส่อื ความหมายขอ้ มลู3. เครื่องอัดไฮดรอลิกสามารถยกน้ำ�หนัก หรือ 3. ตั้งคำ�ถามเกี่ยวกับความดันท่ีความลึกต่าง ๆ ของของเหลวที่อยู่น่ิง แรงต้านท่ีมีค่ามาก โดยใช้แรงพยายามที่มี การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป จากการ ค่าน้อย อัตราส่วนระหว่างแรงต้านต่อแรง จในนภสารชุปนไะดเ้วป่าิดคเปว็นามควดาันมทดี่ตันำ�เแกหจPเนPพ่งgียตง่าPอง0ย ๆ่าgงนPhเดg้ันียวเปห็นรือผไลมร่ วอมภขิปอรงาคยวรา่วมมดกัันน ท�ำ กจิ กรรม การอภปิ รายรว่ มกนั และการน�ำ เสนอผล พยายามบ่งบอกถึงการได้เปรียบเชิงกลของ 3. การใชจ้ �ำ นวน ในการหาปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั เคร่ืองอดั ไฮดรอลกิ บรรยากาศกบั ความดนั เกจ เรยี กความดนั นว้ี า่ ความดนั สมั บรู ณ์ ตามสมการ ความดันเกจ ความดนั สัมบรู ณ์ การได้เปรยี บเชงิ กล ของเคร่ืองอัดไฮดรอลิกอย่างง่าย จากแบบฝึกหัดด้านทกั ษะ MP.AP.0=WPFg และแบบทดสอบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 4. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� 1. การใชจ้ �ำ นวน (ความดนั เกจ ความดนั สมั บรู ณ์ 4. ให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้ความดันเกจ ความดันสัมบูรณ์ อธิบายหลักการ จากการอภปิ รายรว่ มกัน การได้เปรียบเชิงกลของเคร่ืองอัดไฮดรอลิก จใทหา�ำ ก้นงาภักนาเรขพียอหนงรแศอื มึกวนดีษอทิ ามกศั ิเานตร์ อจเปราแ์กลลน่ียะนั้นบอแาภปMFรปิ ลอB.รงมAาคเิ ยต.วรอา=ว่ มรมV์ดWกFgันนั ขจอนงสขรอปุ งเไหดว้ลา่วใเมนอื่ภมากีชานระเพปมิ่ิด ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ อย่างง่าย) 5. ความอยากร้อู ยากเหน็ จากการอภปิ รายรว่ มกนั ความดันให้กับของเหลวที่อยู่นิ่งและเต็มภาชนะปิด ความดันท่ีเพิ่มข้ึนนี้ จกะฎถขูกอถงพ่ายาโสอคนัลไปยังทุกตำ�แหน่งFในBของเหFVlลวgและผนังภาชนะ เป็นไปตาม Av คา่ คงFlตัว

การวิเคราะหผ์ ลการเรยี นรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ ฟิสกิ ส์ 93 ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 6 แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้2. การจัดกระทำ�และสื่อความหมายข้อมูล 6. ใหค้ วามรู้วา่ กฎพาสคลั ใช้อธบิ ายหลกั การท�ำ งานของเครื่องอดั ไฮดรอลกิ (การเขียนกราฟความสัมพันธ์ระหว่างความ ที่สามารถยกวัตถุหนักหรือแรงต้านท่ีมีค่ามาก โดยใช้แรงพยายามที่มี ดันเกจกับความหนาแน่น และกราฟความ สมั พนั ธร์ ะหว่างความดนั เกจกบั ความลกึ ) ค่านอ้ ย จงึ มกี ารได้เปรยี บเชงิ กล ตามสมการ3. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป 7. ยกตวั อยา่ งการค�ำ นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ความดนั เกจ ความดนั (การสรุปกราฟความสัมพันธ์ระหว่างความ สมั บรู ณ์ การไดเ้ ปรยี บเชิงกลของเครอ่ื งอัดไฮดรอลิกอย่างง่าย จากนนั้ ให้ ดันเกจกับความหนาแน่นและกราฟความ สมั พันธ์ระหว่างความดันเกจกบั ความลกึ ) นกั เรียนสรปุ เพือ่ ตรวจสอบความรคู้ วามเขา้ ใจทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 211. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ (การอภิปรายร่วมกนั และการนำ�เสนอผล)2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำดา้ นจิตวิทยาศาสตร์ ความอยากรอู้ ยากเหน็

94 ผลการเรยี นร ู้ 4. ทดลอง อธบิ ายและค�ำ นวณแรงพยงุ ของของไหลQลด=Qเพม่ิการวิเคราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยการทบทวนเกี่ยวกับแรงพยุงของของเหลว จากน้ัน ด้านความรู้ แรงพยุงเป็นแรงที่ของไหลกระทำ�ต่อวัตถุ , , หรอืแใหล้นว้ ปักลเรอ่ ียFยAนอสภังิปเกรตากยราว่รมกกดLนัแL0จผน่นสโฟรุปมไYหดร้วือ่านลำ�ู้กมบีแอรลงพพลยงุาสYติกให้จFมLล//งใALน0นำ้� การหาขนาดของแรงพยุง จากการอภิปรายร่วมกัน ท่ีอยู่ในของไหลมีค่าขึ้นกับปริมาตรของ แบบฝึกหัดและแบบทดสอบ ของไหลทถี่ กู วตั ถแุ ทนที่ และความหนาแนน่ 2. ให้นักเรียนทดลองหาขนาดของแรงพยุง โดยใชเ้ คร่อื งชั่งสปรงิ หานำ�้ หนกั ของของไหลนั้น ดา้ นทกั ษะ ของดนิ น�ำ้ มนั ในอากาศและในน�ำ้ โดยจมุ่ ดนิ น�ำ้ มนั ใหจ้ มน�ำ้ ในปรมิ าตรตา่ ง ๆ 1. การวดั การทดลอง การจดั กระท�ำ และสอ่ื ความหมายดา้ นทักษะทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ห า ผ ล ต่ า ง ข อ ง น้ำ � ห นั ก ดิ นPนg้ำ � มั นเ gมhื่ อ ชั่ ง ใ น อ า ก า ศ แ ล ะ ใ น น้ำ � ข้อมูล การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป1. การวดั (การอา่ นคา่ น�ำ้ หนกั จากเครอ่ื งชง่ั สปรงิ ) ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� 2. การทดลอง เปรียบเทียบกับน้ำ�หนักของน้ำ�ที่ถูกดินน้ำ�มันแทนที่ในแต่ละปริมาตร จากการอภปิ รายรว่ มกนั และรายงานผลการทดลอง3. การจัดกระทำ�และส่ือความหมายข้อมูล 2. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จากการ น�ำ เสนอผลการทดลองและอภปิ รายรว่ มกนั จนสรปุ ไดว้ า่ แรงพยงุ ขน้ึ อยกู่ บั (การเขียนกราฟ) อภปิ รายรว่ มกันและการน�ำ เสนอผล4. การตคี วามหมายและลงขอ้ สรปุ (ความสมั พนั ธ์ ปริมาตรของของเหลวที่ถูกวัตถPุแทนPท0ี่และPคgวามหนาแน่นของของเหลว 3. การใชจ้ �ำ นวน ในการหาปรมิ าณตา่ ง ๆ เกย่ี วกบั แรงพยงุ ระหว่างแรงพยุงกับปริมาตรของของเหลวที่ ของของไหล จากแบบฝกึ หดั และแบบทดสอบ 3. ทบทวนความรู้เก่ียวกับการเขียนแผนภาพของแรงที่กระทำ�ต่อวัตถุอิสระ ถกู แทนท่)ี ด้านจติ วิทยาศาสตร์5. การใชจ้ �ำ นวน (ปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั และการหาแรงลัพธ์ท่ีกระทำ�ต่อวัตถุ จากนั้นให้นักเรียนอภิปรายร่วมกัน 1. ความซือ่ สัตย์ จากรายงานผลการทดลอง 2. ความมงุ่ มนั่ อดทน จากการทดลอง และการอภปิ ราย แรงพยุง) เก่ียวกับการหาแรงพยุง ซึ่งหาMได.้จAาก. ผ=ลตW่างของความดันของของเหลว ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 ที่กระทำ�ต่อวัตถุที่อยู่ในของเหลว จนสรFุปได้ว่าแรงพยุงของของเหลว ร่วมกนั1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ มีความสัมพนั ธ์ตามสมการ (การอภปิ รายรว่ มกันและการนำ�เสนอผล)2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ FB  Vgดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ 1. ความซอื่ สตั ย์2. ความมุ่งมั่นอดทน จากนั้นให้ความรู้ว่า สมการของแรงพยุงของของเหลว สามารถใช้ได้กับ F ของไหลอนื่ ๆ เชน่ อากาศ 4. ยกตวั อยา่ งการค�ำ นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ กlยี่ วขอ้ งกบั แรงพยงุ ของของไหล และยกตัวอย่างการนำ�ความรู้เรื่องแรงพยุงของของไหลไปประยุกต์ใช้ใน คา่ คงตวัชวี ติ ประจ�ำ วนั จากนนั้ ใหน้ ักเรียนสรปุ เพ่อื ตรวจสอบความรคู้ วามเข้าใจ Av  P  1 v2  gh ค่าคงตัว 2 PV  nRT

F ,   L , Y   หรือ Y  F / A ฟสิ กิ ส์ A L0  L / L0 ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 6ผลการเรยี นร ู้ 5. ทดลอง อธบิ ายและค�ำ นวณความตงึ ผวิ ของของPเหg ลวรวgมhทง้ั สงั เกตและอธบิ ายแรงหนดื ของของเหลว 95 การวิเคราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทาPงการPจ0ัดกาPรgเรียนรู้ แนวทางการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ดา้ นความรู้ 1. นำ�เข้าสู่บทเรียน โดยยกสถานการณ์การลอยอยู่บนผิวน้ำ�ของแมลง ดา้ นความรู้1. ความตึงผิวเป็นสมบัติของของเหลวในการ อบภางปิ ชรนายิดรหว่ มรือกกนั าจรนลสอรยปุ ขไอดงว้ ลา่ Mแวดม.เลAสงียห. บ=รกอื ลรWะวดดาเสษยี บใหก้นระักดเราียษนลสอังยเบกตนผจวิ านก�ำ้ นไั้นด้ 1. แ ร ง เ นื่ อ ง จ า ก ค ว า ม ตึ ง ผิ ว แ ล ะ ค ว า ม ตึ ง ผิ ว คงขนาดพ้ืนที่ผิวเดิมไว้ เป็นผลเน่ืองมาจาก เน่ืองจากของเหลวมแี รงเนอ่ื งจากความFตึงผวิ จากการอภิปรายร่วมกนั แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกลุ ทผ่ี ิวของเหลว 2. ให้นักเรียนทดลองเพ่ือหาความตึงผิวของของเหลว นำ�เสนอผลและ 2. แรงหนืดของของเหลวและผลของแรงหนืดท่ีมีต่อ ความตึงผิวหาค่าได้จากแรงต่อหนึ่งหน่วย การเคลือ่ นที่ จากการเขยี นรายงาน ความยาวขอบทสี่ ัมผสั กับของเหลว อภิปรายร่วมกัน จนสรุปได้วF่าBความตVึงผgิวของของเหลวมีความสัมพันธ์ ดา้ นทกั ษะ2. เมื่อวัตถุเคลื่อนที่ในของเหลว จะมีแรงหนืด กบั แรงเนื่องจากความตึงผิว ตามสมการ 1. การวัด การทดลอง การตีความหมายข้อมูลและ เปน็ แรงตา้ นการเคลอ่ื นทจ่ี ากของเหลวกระท�ำ F ลงข้อสรุป ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและ ตอ่ วตั ถุ มคี วามสมั พนั ธก์ บั อตั ราเรว็ ของวตั ถุ l ภาวะผู้นำ� จากการอภิปรายร่วมกันและรายงาน การทดลองดา้ นทักษะ 2. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ จากการทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ อภปิ รายรว่ มกนั และการนำ�เสนอผล1. การวัด (น้ำ�หนักจากเครื่องช่ังสปริง) จากนั้นให้ความรู้เกี่ยวกับการลอยอยู่บนผิวน้ำ�ของแมลงและลวดเสียบ 3. การใชจ้ �ำ นวน ในการหาปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ กย่ี วกบั แรง2. การทดลอง เนอ่ื งจากความตงึ ผวิ และความตงึ ผวิ จากแบบฝกึ หดั3. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป คา่ คงตวักระดาษมีผลจากแรงเนอื่Aงvจากความตงึ ผิวของน้�ำ และแบบทดสอบ (การสรปุ ผลการทดลอง) 3. ต้งั ค�ำ ถามเก่ียวกบั การกวนน้ำ�เชอ่ื มจากเรม่ิ ต้นและเคย่ี วจนข้นข้นึ เรือ่ ย ๆ ด้านจติ วทิ ยาศาสตร์4. การใชจ้ �ำ นวน (ปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั 1. ความซือ่ สัตย์ จากรายงานผลการทดลอง จะมีสภาพของการต้านการเคลื่อนท่ีของแท่งกวนอย่างไร ให้นักเรียน 2. ความมงุ่ มน่ั อดทน จากการทดลองและการอภปิ ราย แรงเนื่องจากความตึงดึงผิวและความตงึ ผิว)ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 ค่าคงตวัอภิปรายร่วมPกันจน1สรุปvไ2ด้ว่าเมgื่อนhำ้�เชื่อมข้นขึ้น แรงต้านการเคล่ือนท่ี ร่วมกัน1. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ ของแท่งกวนจะเพิ่ม2ขน้ึ มผี ลมาจากแรงหนดื ของน�้ำ เชอ่ื ม (การอภิปรายร่วมกันและการนำ�เสนอผล มีการอ้างอิงแหล่งท่ีมาและการเปรียบเทียบ 4. ตั้งคำ�ถามเกี่ยวกับแรงหนืดว่า แรงหนืดของของเหลวจะมีค่ามากหรือ ความถูกต้องของข้อมูลจากแหล่งข้อมูลท่ี หลากหลายไดอ้ ย่างสมเหตุสมผล) น้อยขึ้นกับปริมาณใดบ้าง อภPิปVรายรn่วRมTกันจนสรุปได้ว่า ค่าของแรงหนืด2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ ของของเหลวข้ึนกับอตั ราเรว็ ของวัตถุและชนดิ ของของเหลว 5. ยใไปหกใ้นตชักัวใ้ อเนรยชีย่าีวนงิตกสปาืบรรคะค้จนำ�ำ�นเกววันี่ยณวPนปก�ำVรับเิมสกานาณอร32ตนผ่าลำ�Nงแค ๆลวะาท12มอ่ีเภกรmู้เี่ยปิ รvวรื่อกา2งยับครแว่วรามงมเกนตนั ่ือึงผงจิวาแกลคะวแารมงตหึงนผืดิว 6. และความตงึ ผวิ จากนน้ั PใหVน้ กัเร23ยี นNสEรปุ k เพอื่ ตรวจสอบความรคู้ วามเขา้ ใจ PV  NkBT

96 แนวทางการจัดการเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การวเิ คราะห์ผลการเรยี นรู้ ด้านจิตวิทยาศาสตร์ 1. ความซื่อสัตย์ 2. ความมงุ่ มนั่ อดทน

F ,   L Q, ลYด=Qเพิม่ หรอื Y  F/A ฟิสิกส์ A L0 L / L0 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6ผลการเรยี นร ู้ 6. , , หรอือคธวบาิ มาตยสอ่ มเนบอ่ื ตั งขิแอลงะขสอมงกไาหรลแอบดุรมน์ FคAลู ตลิไี สปมอกธาบิ ราคยวLหาL0มลกัตPกอ่ gาเนรYทอ่ื ง�ำ งgแาhลนะขสอมงกอาปุ รกแYรบณรน์ต์ ลาู่ งFลL ๆี ร//วALม0ทง้ั ค�ำ นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งและน�ำ ความรเู้ กย่ี วกบั สมการ 97 P P0  Pgการวเิ คราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางกาPรgจดัการgเhรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ดา้ นความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี น โดยใหค้ วามรเู้Mกย่ี .Aวก.บั =สมWบตั ขิ องของไหลอดุ มคติ ของไหล ดา้ นความรู้ อดุ มคตมิ กี ารไหลสม�ำ่ เสมอ ไมค่ P�ำ นงึ ถPงึ0ควFาPมg หนดื และไมส่ ามารถถกู อดั ได้1. ของไหลอดุ มคตจิ ะมกี ารไหลสม�ำ่ เสมอ ไมห่ มนุ 1. ของไหลอดุ มคติ อตั ราการไหล สมการความตอ่ เนอ่ื ง ไมค่ �ำ นงึ ถงึ ความหนดื และไมส่ ามารถถกู อดั ได้ จากน้ันให้ความรู้ว่า ในการศึกษาเบ้ืองต้นจะถือโดยประมาณว่านำ้�และ และสมการแบร์นูลลี จากการอภิปรายร่วมกัน ในการเคลื่อนท่ีของของไหลอุดมคติอธิบาย 2. อใหา้คกาวศามเปรน็ู้เกข่ียอวงกไหับลกอาุดรไมหคลตขิ องFขMBอ.งAไห.ล=VอWgุดมคติ จากน้ันอภิปรายร่วมกัน จากแบบฝึกหัดและแบบทดสอบ โดยสมการความต่อเน่ือง ซ่ึงสัมพันธ์กับ เก่ียวกับการไหลของน้ำ�ในท่อท่ีมีพืน้ ที่หน้าFตดั ตา่ งกัน จนสรปุ ไดว้ ่า อัตรา 2. การใช้สมการความต่อเนื่องและสมการแบร์นูลลี อัตราเร็วของของไหลกับพื้นที่หน้าตัดที่ ของไหลเคลอื่ นที่ผา่ น ท่ตี ำ�แหน่งใด ๆ การไหลของของไหลอุดมคติท่ีตำ�แหนF่งใด ๆ ในท่อของการไหลอธิบาย ไปใช้อธิบายหลักการทำ�งานของอุปกรณ์ต่าง ๆ2. สมการแบรน์ ลู ลเี ปน็ สมการทใ่ี ชใ้ นการอธบิ าย ได้ด้วยสมการความตอ่ เนอ่ื งตามFสBมการlVg จากการเขยี นรายงาน การไหลของของไหล ซง่ึ เกย่ี วขอ้ งกบั ความดนั พลังงานจลน์ต่อหนึ่งหน่วยปริมาตร และ Av  ค่าคงตFวั ดา้ นทกั ษะ พลังงานศักย์โนม้ ถว่ งต่อหนง่ึ หนว่ ยปริมาตร 1. การใช้จำ�นวน ในการหาปริมาณต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง3. หลักการทำ�งานของอุปกรณ์บางชนิด เช่น 3. ใหค้ วามรเู้ กยี่ วกบั การใชก้ ฎการอนรุ กั ษพ์ lลงั งานอธบิ ายของไหลทเ่ี คลอ่ื นท่ี หัวฉีดท่อน้ำ�ดับเพลิง อุปกรณ์พ่นสี และ กับสมการความต่อเนื่อง และสมการแบร์นูลลี แรงยกปกี เครอ่ื งบนิ อธบิ ายโดย หลกั การของ พผา่ลนังทงาอ่ นจจาลกนต�ำ์ตแ่อหPหนนง่ึ่งหหน12นง่ึ ่วไยปvปAอ2รกี vิมตา�ำ ตแคgรห่าhนพคง่ ลงหังตนงัวง่ึาคซนา่ ง่ึ ศคอักงยยตตู่ ์โัวา่นง้มรถะด่วงบั ตโ่อดหยนค่ึงวหามนด่วนัย จากแบบฝึกหดั และแบบทดสอบ สมการความตอ่ เน่ือง และสมการแบรน์ ูลลี ปริมาตร มคี วามสัมพนั ธ์เปน็ ไปPตVามสมnRกาTรแบร์นลู ลี 2. การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จากการดา้ นทกั ษะ P  1 v2  gh ค่าคงตวั อภปิ รายร่วมกันและการนำ�เสนอผลทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 3. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� การใชจ้ �ำ นวน (การใชจ้ �ำ นวนในการหาปรมิ าณ 4. ใสอหุปม้นกกักราเณรรแีย์พบน่นรสส์นืบี แูลคลล้นะีไเแปกรี่อยงวธย2กิบกับPPาปกยVVีกาหเรคลนรัPกำ�ื่2332อVกคงNNาบวราEินทมnk12ำน�Rรงู้เำ�Tmราเ่ือสนvงน2ขสออมผงกลหาแัวรลฉคะีดวอาทภม่อิปตนร่อำ้�าเดยนัรบื่อ่วงเมพแกลลันะิง ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสมการความต่อเนื่อง จากการอภิปรายรว่ มกนั และสมการแบร์นูลลี) ด้านจิตวทิ ยาศาสตร์ 1. ความรอบคอบ จากการเขียนรายงาน 2. ความอยากร้อู ยากเหน็ จากการอภปิ รายร่วมกัน 5. ยคกวาตมวั ตออ่ยเา่ นงอ่ืกงารแคลำ�ะนสวมณกาหราแปPบรVริมน์ าลู ณล32ตี จ่าNางก ๆน12ทน้ั ่เีใmกห่ียvน้ ว2กั ขเ้อรยีงกนับสรสปุ มกเพารอ่ื ตรวจสอบ ความรคู้ วามเขา้ ใจ PVPV32NNEkkBT PV  2 NEk กบั PV  NkBT 3

98 แนวทางการจัดการเรยี นรู้ แนวทางการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การวิเคราะห์ผลการเรยี นรู้ ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 1. การสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ (มกี ารอา้ งองิ แหลง่ ทมี่ าและการเปรยี บเทยี บ ความถูกต้องของข้อมูลจากแหล่งข้อมูล ที่ ห ล า ก ห ล า ย ไ ด้ อ ย่ า ง ส ม เ ห ตุ ส ม ผ ล การอภปิ รายรว่ มกันและการนำ�เสนอผล) 2. ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ ดา้ นจติ วทิ ยาศาสตร์ 1. ความอยากรู้อยากเห็น 2. ความรอบคอบ

ฟสิ กิ ส์ ช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 6ผลการเรยี นร ู้ 7. อธบิ ายกฎของแกส๊ อดุ มคตแิ ละค�ำ นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง 99การวเิ คราะห์ผลการเรยี นรู้ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ด้านความรู้ 1. น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี น โดยทบทวนความรเู้ กย่ี วกบั กฎของแกส๊ อดุ มคติ ตามสมการ ดา้ นความรู้ แก๊สอุดมคติมีสมบัติเฉพาะ ซ่ึงความดัน กฎของแก๊สอุดมคติ จากการอภิปรายร่วมกัน ปริมาตร จำ�นวนโมล และอุณหภูมิ มีความ อภปิ รายรว่ มกนั เกีย่ วกบั หนว่ ยของปริมาณต่าง ๆ ในระบบเอสไอ แบบฝึกหดั และแบบทดสอบ สัมพนั ธ์กนั ตามกฎของแกส๊ อดุ มคติ 2. ยกตัวอย่างการคำ�นวณปริมาณต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกับสมการของแก๊ส ด้านทกั ษะดา้ นทกั ษะ อุดมคติ จากนั้นใหน้ ักเรยี นสรุป เพ่ือตรวจสอบความรู้ความเขา้ ใจ 1. การใชจ้ �ำ นวน ในการหาปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบัทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ กฎของแกส๊ อดุ มคติ จากแบบฝกึ หดั และแบบทดสอบ การใชจ้ �ำ นวน (ปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั 2. ความร่วมมือ การทำ�งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ� กฎของแก๊สอดุ มคติ) จากการอภปิ รายรว่ มกนัทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ ดา้ นจติ วิทยาศาสตร์ -ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ -