Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการจัดการเรียนรู้ ฟิสิกส์เพิ่มเติม

แผนการจัดการเรียนรู้ ฟิสิกส์เพิ่มเติม

Description: แผนการจัดการเรียนรู้ นางสาวกนกวรรณ สัมฤทธิ์นอก เลขที่ 21

Keywords: ฟิสิกส์

Search

Read the Text Version

0 แผนการจดั การเรยี นรู้ 6รายวิชา ฟิสิกส์เพม่ิ เติม ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี มาตรฐานการเรียนรู้และผลการเรยี นรู้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง 2560)

1 รายงาน แผนการจัดการเรยี นรู้ วชิ าฟสิ กิ ส์เพ่มิ เตมิ ชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 6 เสนอ ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.พัชรภี รณ์ บางเขียว จดั ทำโดย นางสาวกนกวรรณ สมั ฤทธิ์นอก เลขที่ 21 รหสั นกั ศึกษา 6281114004 หม่เู รยี น D4 สาขาฟสิ กิ ส์ (ครุศาสตรบัณฑิต 4 ป)ี คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั บา้ นสมเดจ็ เจ้าพระยา รายงานเล่มนี้เปน็ ส่วนหนุ่งของราบวชิ าวิทยาการจดั การเรยี นรู้ รหัสวชิ า 1190301 ภาค เรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2564

2 คำนำ แผนการจัดการเรียนร้รู ายวิชาฟสิ ิกสเ์ พ่มิ เติม ระดบั ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6 จัดทำขึ้นเพ่ือใชเ้ ป็นแนวทาง ในการ จดั การเรยี นการสอนทีเ่ นน้ ผเู้ รยี นเปน็ สำคัญ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรุง พทุ ธศกั ราช 2560) แผนการจัดการเรียนรู้ประกอบด้วยเนื้อหาสาระดังต่อไปนี้ แผนการจัดการเรียนรู้รายภาคเรียนซ่ึง ประกอบด้วย มาตรฐานและผลการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แผนการจัดการ เรียนรู้รายชั่วโมงทัง้ หมด 3 หนว่ ยจดั การเรียนรู้ ประกอบดว้ ย แมเ่ หล็กและไฟฟ้า ความร้อนและแก๊ส และ ของแข็งและของไหล ซึ่งแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ได้ระบุ มาตรฐาน ผลการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้ กิจกรรมการเรยี นร้ตู ามรปู แบบการจดั การเรยี นรู้ ทีห่ ลากหลาย อันได้แก่ รูปแบบการจัดการ เรียนรู้แบบบรรยาย รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบใช้ชุดการทดลอง และรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบแฮร์ บาร์ต ซงึ่ แต่ละรปู แบบมีวธิ กี ารจัดการเรียนการสอนทแ่ี ตกตา่ งกนั แตท่ ้ังหมดนำมาซึง่ การบรรลจุ ดุ ประสงค์การ เรียนรู้ นอกจากน้ยี ังมีใบงานและเกณฑก์ ารประเมนิ ผล เพ่ือใช้ในการประเมินผลการเรยี นรู้ของนักเรียนแต่ละ คนว่าหลังจากเสร็จสิ้นการเรียน นักเรียนมีความรู้ ความเข้าใจ เนื้อหาสาระมากน้อยเพียงใด ผ่านเกณฑ์การ ประเมนิ หรอื ไม่ ผู้จดั ทำขอขอบพระคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. พชั รีภรณ์ บางเขยี ว เป็นอยา่ งยงิ่ ท่ใี ห้คำปรึกษาและ คำแนะนำตลอดระยะเวลาการจดั ทำแผนการจดั การเรียนรู้ และหวังเป็นอย่างยิง่ วา่ แผนการจดั การเรียนรเู้ ล่มนี้ เป็นประโยชน์กับการจัดการเรียนรู้ในห้องเรียน ทำให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธภิ าพ ตอ่ ไป กนกวรรณ สัมฤทธิ์นอก ผจู้ ัดทำ

สารบัญ 3 เร่อื ง หน้า คำนำ สารบัญ 15 แผนการจัดการเรยี นรรู้ ายภาคเรียน 16 คำอธิบายรายวิชา 17 โครงสรา้ งรายวชิ า . 17 แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 1 :ของแขง็ และสภาพยืดหยุ่นของของแข็ง 18 28 สภาพยืดหยนุ่ ของของแขง็ 35 ความเค้น 36 ความเครียด 36 สมการท่เี ก่ียวข้อง 36 แบบฝึกหัด 36 แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี 2 :ความตงึ ผิวและความหนดื ของของเหลว 45 ความตงึ ผิว 48 แรงยดึ ตดิ 49 แรงเช่อื มแน่น 49 แรงดงึ ผวิ 59 แบบฝึกหดั 62 แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 3 :ของไหลสถิต 63 ของไหลสถิต 63 ความดนั 72 แบบฝึกหดั แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 4 :พลศาสตร์ของของไหล 76 ของไหลอุดมคติ การไหลของของไหลอุดมคติ แบบฝึกหัด เอกสารอา้ งอิง

4 แผนการจดั การเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชา ฟสิ ิกสเ์ พ่มิ เตมิ ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 6 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564 เวลา 80 ช่วั โมง ครผู สู้ อน นางสาวกนกวรรณ สัมฤทธิน์ อก 1. มาตรฐานการเรียนร/ู้ ผลการเรยี นรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ สาระท่ี 3 เข้าใจแรงไฟฟา้ และกฎของคูลอมบ์สนามไฟฟา้ ศักยไ์ ฟฟา้ ความจไุ ฟฟ้า กระแสไฟฟ้า และกฎของโอห์ม วงจรไฟฟ้ากระแสตรง พลังงาน ไฟฟา้ และกำลงั ไฟฟ้า การ เปล่ียนพลงั งานทดแทนเปน็ พลงั งานไฟฟา้ สนามแม่เหลก็ แรงแม่เหลก็ ทกี่ ระทำกับประจุ ไฟฟ้า และกระแสไฟฟ้าการเหนยี่ วนำ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าและกฎของฟาราเดย์ ไฟฟ้ากระแสสลับ คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้าและการสื่อสาร รวมทง้ั นำ ความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ สาระท่ี 4 เข้าใจความสัมพนั ธข์ องความรอ้ นกับการเปลยี่ นอณุ หภูมิและสถานะของสสาร สภาพยืดหย่นุ ของวัสดแุ ละมอดุลัสของยัง ความดันในของไหล แรงพยงุ และหลกั ของอารค์ ิมี ดีส ความตึงผิวและแรงหนดื ของของเหลว ของไหลอุดมคติและสมการแบรน์ ูลลี กฎของแก๊ส ทฤษฎจี ลน์ของแก๊สอุดมคติ และพลังงานในระบบ ทฤษฎีอะตอมของโบร์ ปรากฏการณโ์ ฟ โตอิเลก็ ทรกิ ทวภิ าวะของคล่นื และอนภุ าค กมั มันตภาพรังสี แรงนิวเคลยี ร์ ปฏิกริ ยิ า นิวเคลยี ร์ พลงั งานนิวเคลียร์ ฟสิ กิ ส์อนภุ าค รวมทั้งนำ ความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ ผลการเรยี นรู้ สาระท่ี 3 เขา้ ใจแรงไฟฟา้ และกฎของคูลอมบ์สนามไฟฟา้ ศกั ยไ์ ฟฟ้า ความจไุ ฟฟ้า กระแสไฟฟ้า และกฎของโอห์ม วงจรไฟฟา้ กระแสตรง พลังงาน ไฟฟา้ และกำลังไฟฟา้ การเปล่ยี น พลงั งานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้า สนามแมเ่ หลก็ แรงแมเ่ หล็กทกี่ ระทำกับประจไุ ฟฟ้า และ กระแสไฟฟ้าการเหนย่ี วนำ แม่เหล็กไฟฟา้ และกฎของฟาราเดย์ ไฟฟา้ กระแสสลบั คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้ และการสอ่ื สาร รวมทงั้ นำ ความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ 1. สังเกต และอธิบายเสน้ สนามแม่เหลก็ อธบิ าย และคำนวณฟลักซ์แม่เหลก็ ในบริเวณที่ กำหนด รวมทั้งสังเกต และอธิบายสนามแม่เหล็ก ทีเ่ กิดจากกระแสไฟฟ้าในลวดตวั นำเส้นตรง และโซ เลนอยด์ 2.อธบิ าย และคำนวณแรงแมเ่ หล็กท่ีกระทำตอ่ อนภุ าคท่ีมีประจไุ ฟฟา้ เคลือ่ นทีใ่ น สนามแมเ่ หล็ก แรงแมเ่ หล็กที่กระทำตอ่ เสน้ ลวดท่ีมกี ระแสไฟฟ้า ผ่านและวางในสนามแม่เหล็ก รศั มี ความโค้งของ การเคลื่อนท่ีเมื่อประจุเคลอื่ นท่ีตัง้ ฉากกับ สนามแม่เหล็ก รวมทงั้ อธิบายแรงระหวา่ งเส้น ลวด ตวั นำคขู่ นานท่มี กี ระแสไฟฟ้าผ่าน 3.อธิบายหลกั การทำงานของแกลแวนอมิเตอร์ และมอเตอรไ์ ฟฟ้ากระแสตรง รวมท้งั คำนวณ ปรมิ าณตา่ งๆ ท่ีเก่ียวข้อง

5 4.สังเกต และอธบิ ายการเกิดอเี อม็ เอฟเหนี่ยวนำ กฎการเหนี่ยวนำของฟาราเดย์ และคำนวณ ปริมาณตา่ ง ๆ ทเี่ กีย่ วข้อง รวมทั้งนำความรู้ เรอื่ งอีเอม็ เอฟเหนี่ยวนำไปอธิบายการทำงาน ของ เครือ่ งใช้ไฟฟ้า 5.อธบิ าย และคำนวณความต่างศกั ย์อาร์เอ็มเอส และกระแสไฟฟ้าอาร์เอม็ เอส 6.อธิบายหลกั การทำงานและประโยชนข์ อง เครอื่ งกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ ๓ เฟส การแปลง อีเอม็ เอฟของหมอ้ แปลง และคำนวณ ปรมิ าณตา่ ง ๆ ท่เี ก่ียวขอ้ ง สาระที่ 4 เข้าใจความสมั พนั ธข์ องความร้อนกับการเปล่ียนอณุ หภมู ิและสถานะของสสาร สภาพยดื หยนุ่ ของวัสดแุ ละมอดุลสั ของยัง ความดันในของไหล แรงพยงุ และหลกั ของอารค์ ิมดี สี ความ ตงึ ผวิ และแรงหนดื ของของเหลว ของไหลอุดมคติและสมการแบร์นลู ลี กฎของแก๊ส ทฤษฎจี ลน์ของ แก๊สอดุ มคติ และพลังงานในระบบ ทฤษฎอี ะตอมของโบร์ ปรากฏการณโ์ ฟโตอิเลก็ ทริก ทวิภาวะของ คล่นื และอนภุ าค กมั มันตภาพรังสี แรงนวิ เคลียร์ ปฏกิ ิริยานิวเคลียร์ พลงั งานนวิ เคลยี ร์ ฟสิ ิกสอ์ นภุ าค รวมทั้งนำ ความรไู้ ปใช้ประโยชน์ 1.อธบิ ายและคำนวณความรอ้ นทที่ ำ ให้สสารเปลย่ี นอณุ หภมู ิ ความรอ้ นทท่ี ำ ให้สสารเปลี่ยน สถานะ และ ความรอ้ นท่ีเกิดจากการถ่ายโอนตาม กฎการอนรุ ักษพ์ ลังงาน 2.อธบิ ายกฎของแก๊สอุดมคตแิ ละคำนวณปรมิ าณ ต่าง ๆ ทเี่ กีย่ วข้อง 3.อธบิ ายแบบจำลองของแกส๊ อดุ มคติ ทฤษฎีจลน์ ของแก๊ส และอตั ราเร็วอาร์เอม็ เอสของ โมเลกุล ของแกส๊ รวมทง้ั คำนวณปริมาณตา่ ง ๆ ที่เกี่ยวขอ้ ง 4.อธิบาย และคำนวณงานท่ที ำโดยแก๊สในภาชนะปิด โดยความดันคงตวั และอธิบาย ความสมั พันธ์ ระหว่างความร้อน พลงั งานภายในระบบ และงาน รวมทง้ั คำนวณปริมาณต่าง ๆ ท่ี เกย่ี วข้อง และนำความรูเ้ ร่ืองพลงั งานภายในระบบ ไปอธิบายหลกั การทำงานของเครื่องใชใ้ นชีวิต ประจำวนั 5.อธบิ ายสภาพยืดหยุ่นและลกั ษณะการยืดและหดตวั ของวสั ดทุ ี่เปน็ แท่งเมอื่ ถกู กระทำ ด้วยแรง ค่าต่างๆ รวมทงั้ ทดลอง อธบิ าย และคำ นวณ ความเค้นตามยาว ความเครยี ดตามยาว และมอดุลัส ของยัง และนำ ความรเู้ ร่อื งสภาพยืดหย่นุ ไปใชใ้ นชวี ิตประจำ วัน 6.อธบิ าย และคำนวณความดันเกจ ความดัน สมั บูรณ์ และความดนั บรรยากาศ รวมท้ัง อธบิ าย หลกั การทำงานของแมนอมิเตอร์ บารอมเิ ตอร์ และเครื่องอดั ไฮดรอลกิ 7.ทดลอง อธิบาย และคำนวณขนาดแรงพยุง จากของไหล 8.ทดลอง อธบิ าย และคำนวณความตึงผวิ ของ ของเหลว รวมทัง้ สังเกตและอธบิ ายแรงหนดื ของของเหลว 9.อธิบายสมบตั ิของของไหลอุดมคติ สมการ ความต่อเนื่อง และสมการแบร์นูลลี รวมทงั้ คำนวณปรมิ าณต่าง ๆ ท่เี ก่ยี วขอ้ ง และนำความรู้ เกย่ี วกับสมการความตอ่ เนอื่ งและสมการแบร์นูลลี ไปอธบิ ายหลกั การทำงานของอุปกรณต์ ่าง ๆ จดุ ประสงค์การเรียนรู้

6 1.ความรู้ (K) 1.1. อธบิ ายแรงระหวา่ งลวดคขู่ นานที่มกี ระแสไฟฟา้ ผา่ น 1.2. อธิบายหลักการทำงานของแกลแวนอมิเตอร์มอเตอรไ์ ฟฟา้ กระแสตรงและคํานวณ ปริมาณทเ่ี กย่ี วข้อง 1.3. อธิบายและหาทิศทางของกระแสไฟฟา้ เหนย่ี วนำโดยใชก้ ฎของเลนซ์ 1.4. อธบิ ายการทาํ งานของเคร่ืองกำเนิดไฟฟ้าโดยใชค้ วามรู้เกี่ยวกับอีเอ็มเอฟเหนีย่ วนำ 1.5. อธิบายการทำงานของเครือ่ งใชไ้ ฟฟา้ ตา่ ง ๆ โดยใช้ความรู้เกีย่ วกบั อีเอ็มเอฟเหนี่ยวนำ 1.6. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความต่างศกั ย์กระแสไฟฟ้ากับเวลาในรปู ของฟงั กช์ ันแบบ ไซน์ของไฟฟ้ากระแสสลบั 1.7. อธบิ ายหลักการทำงานของเครือ่ งกำเนิดไฟฟา้ กระแสสลับ 3 เฟส และการส่งไฟฟ้า กระแสสลบั ไปตามบา้ นเรือน 1.8. บอกระดบั ความรอ้ นของวัตถุด้วยอณุ หภมู ิในหนว่ ยองศาเซลเซียสและเคลวิน 1.9. อธบิ ายแบบจําลองของแก๊สอุดมคติ 1.10. อธบิ ายความสัมพันธ์ระหว่างความร้อนพลงั งานภายในระบบกบั งานท่ที ำโดยแก๊สและ คาํ นวณปริมาณต่าง ๆ ท่ีเก่ียวขอ้ ง 1.11. อธิบายสภาพยดื หย่นุ และลกั ษณะการยดื และหดของวัสดทุ ่เี ปน็ แทง่ เม่ือถกู กระทำด้วย แรงค่าตา่ งๆ 1.12. อธิบายความดันในของเหลว ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งความดันในของเหลวกบั ความ หนาแน่นของของเหลว ความลึกของของเหลว และความเรง่ โนม้ ถ่วงของโลก 1.13. อธิบายหลกั การทำงานของแมนอมิเตอร์ บารอมิเตอร์ และเครอื่ งอดั ไฮตรอลกิ 1.14. อธิบายความดันในของเหลว ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งความดันในของเหลวกบั ความหนาแน่น ของของเหลว ความลึกของของเหลว และความเร่งโน้มถว่ งของโลก 1.15. อธบิ ายหลกั การทำงานของแมนอมเิ ตอร์ บารอมเิ ตอร์ และเครอ่ื งอัดไฮตรอลิก 2.ทกั ษะ (P) 2.1. สังเกตและอธิบายสนามแม่เหลก็ และเส้นสนามแม่เหลก็ 2.2. อธิบายและคำนวณฟลักซแ์ ม่เหลก็ ในบรเิ วณทกี่ ำหนด รวมทง้ั ปริมาณท่ีเกีย่ วข้อง 2.3. สังเกตและอธบิ ายสนามแมเ่ หลก็ ของลวดตวั นำวงกลม และโซเลนอยดเ์ มอื่ มี กระแสไฟฟ้าผา่ น

7 2.4. อธบิ ายและคำนวณแรงแม่เหลก็ ทกี่ ระทำตอ่ อนภุ าคทมี่ ีประจุไฟฟา้ เคลื่อนทใี่ น สนามแมเ่ หล็กรวมทั้งปรมิ าณทเ่ี กีย่ วข้อง 2.5. อธิบายและคำนวณรศั มีความโคง้ ของอนภุ าคมปี ระจุไฟฟา้ เคลือ่ นท่ตี ง้ั ฉากกับ สนามแมเ่ หลก็ รวมท้งั ปริมาณท่เี กยี่ วขอ้ ง 2.6. อธิบายและคำนวณแรงแมเ่ หล็กทก่ี ระทำต่อเสน้ ลวดตวั นำทม่ี ีกระแสไฟฟา้ ผา่ นและวาง ในสนามแม่เหล็กรวมทัง้ ปรมิ าณที่เก่ยี วข้อง 2.7. อธบิ ายและคำนวณโมเมนตข์ องแรงคูค่ วบกระทำต่อขดลวดตวั นำท่มี กี ระแสไฟฟา้ ผ่าน และวางในสนามแม่เหลก็ รวมทัง้ ปรมิ าณที่เกยี่ วขอ้ ง 2.8. สงั เกตและอธิบายการเกิดอีเอม็ เอฟเหนยี่ วนำโดยใชก้ ฎของฟาราเดย์ 2.9. อธบิ ายและคํานวณความตา่ งศักยอ์ าร์เอ็มเอสและกระแสไฟฟา้ อารเ์ อ็ม 2.10. อธิบายหลกั การทำงานของหม้อแปลงและคำนวณปริมาณต่าง ๆ ทีเ่ กี่ยวขอ้ ง 2.11. อธบิ ายความสัมพนั ธ์ระหว่างการเปล่ียนอุณหภมู กิ บั ความจุความร้อนความรอ้ น จำเพาะและคํานวณปริมาณต่าง ๆ ท่ีเกย่ี วข้อง 2.12. อธิบายการเปล่ียนสถานะของสสารทีเ่ กยี่ วข้องกับความร้อนแฝงและคำนวณปรมิ าณ ตา่ ง ๆ ทเี่ กยี่ วข้อง 2.13. อธิบายการถ่ายโอนความรอ้ นสมดุลความร้อนและคำนวณปริมาตรตา่ ง ๆ ท่ีเก่ียวข้อง 2.14. อธบิ ายกฎของแกส๊ อุดมคติและคำนวณปรมิ าณต่าง ๆ ทเ่ี ก่ยี วข้อง 2.15. อธบิ ายความสัมพันธ์ระหวา่ งความดันกบั อัตราเรว็ อาร์เอ็มเอสของโมเลกุลแกส๊ และ คาํ นวณปริมาณตา่ ง ๆ ทีเ่ กี่ยวข้อง 2.16. อธบิ ายความสมั พันธร์ ะหวา่ งพลังงานจลน์เฉลย่ี ของแก๊สกบั อณุ หภูมิและคำนวณ ปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กี่ยวขอ้ ง 2.17. อธิบายความสัมพนั ธ์ระหวา่ งอตั ราเร็วอารเ์ อ็มเอสของโมเลกุลของแกส๊ กับอณุ หภูมแิ ละ คํานวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ ก่ียวข้อง 2.18. อธิบายและคาํ นวณพลังงานภายในระบบ 2.19. อธิบายและคํานวณงานทที่ ำโดยแก๊ส 2.20. อธิบายการนำความร้เู รือ่ งพลงั งานภายในระบบไปใชป้ ระโยชนใ์ นชีวติ ประจำวัน 2.21. ทดลองอธิบายและคำนวณ ความเคน้ ตามยาว ความเครยี ดตามยาว มอดลู ัสของยงั และนำความรู้เร่อื งสภาพยดึ หยุ่นไปใช้ในชีวติ ประจำวัน 2.22. อธบิ ายความสมั พนั ธ์ระหวา่ งความดนั เกจ ความดนั สมั บูรณ์ และความดนั บรรยากาศ พรอ้ มทง้ั คำนวณหาความดนั ตา่ ง 2.23. ทดลอง อธิบายและคำนวณแรงพยุงจากของไหล 2.24. ทดลอง อธบิ ายและคำนวณความตงึ ผวิ ของของเหลว 2.25. สงั เกตและอธิบายแรงหนดื ของของเหลวง 2.26. อธบิ ายความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความดนั เกจ ความดันสมั บรู ณ์ และความดนั บรรยากาศ พร้อมทง้ั คำนวณหาความดันต่าง

8 3.เจตคติ (A) 3.1. มคี วามรบั ผดิ ชอบในการทำงาน 3.2. มีความกระตือรอื ร้นในการทำงาน 3.3. มมี นษุ ยส์ มั พันธ์ที่ดีกบั เพือ่ นในกลุ่ม สาระสำคัญ เรยี นรเู้ ก่ยี วกบั ธรรมชาติและการคน้ พบทางฟิสิกส์แรงและการเคลื่อนที่ และพลงั งาน สาระการเรยี นรู้ 1. เส้นสนามแม่เหล็กเป็นเสน้ สมมติที่ใช้แสดงบรเิ วณที่มสี นามแม่เหลก็ โดยบริเวณทม่ี ีเสน้ สนามแมเ่ หล็กหนาแน่นมากแสดงวา่ เปน็ บรเิ วณที่สนามแม่เหลก็ มีความเขม้ มาก 2. ฟลกั ซแ์ ม่เหลก็ คอื จำนวนเส้นสนามแม่เหล็กที่ผา่ นพนื้ ท่ที ่พี ิจารณา และอัตราส่วน ระหว่างฟลักซ์แมเ่ หลก็ ต่อพนื้ ท่ีตั้งฉากกับสนามแม่เหลก็ คอื ขนาดของสนามแมเ่ หลก็ เขยี นแทนได้ ดว้ ยสมการ ������ = ∅ ������ 3. เม่ือมกี ระแสไฟฟา้ ผ่านลวดตัวนําเสน้ ตรงหรือโซเลนอยด์จะเกิดสนามแมเ่ หลก็ ขน้ึ 4. อนุภาคทมี่ ีประจุไฟฟา้ เคลื่อนท่ีเขา้ ไปในสนามแมเ่ หลก็ จะเกิดแรงกระทาํ ตอ่ อนภุ าคนั้น คาํ นวณไดจ้ ากสมการ ������ = ������������ sin ������ 5. กรณที ่ปี ระจุไฟฟา้ เคลอ่ื นท่ีตั้งฉากเข้าไปในสนามแมเ่ หล็ก จะทาํ ให้ประจุเคลอื่ นทเ่ี ปลี่ยนไป โดยรศั มีความโคง้ ของการเคล่อื นที่คํานวณได้จากสมการ ������ = ������������ ������������ 6. ลวดตวั นาํ ท่ีมกี ระแสไฟฟ้าผา่ นและอยูใ่ นสนามแม่เหลก็ จะเกิดแรงกระทาํ ต่อลวดตวั นาํ น้ัน โดยทศิ ทางของแรงหาไดจ้ ากกฎมือขวา และคํานวณขนาดของแรงไดจ้ ากสมการ ������ = ������������ sin ������ 7. เม่อื วางเส้นลวดสองเส้นขนานกนั และมีกระแสไฟฟ้าผ่านทั้งสองเสน้ จะเกดิ แรงกรทำ ระหว่างลวดตัวนาํ ทัง้ สอง 8. เมอ่ื มีกระแสไฟฟา้ ผ่านขดลวดตัวนาํ ทีอ่ ยู่ในสนามแมเ่ หล็กจะมีโมเมนตข์ องแรงคู่ควบกระทํา ต่อขดลวดทําให้ขดลวดหมุน ซ่ึงนาํ ไปใช้อธบิ ายการทํางานของแกลแวนอมเิ ตอร์และมอเตอร์ไฟฟ้า กระแสตรง โดยโมเมนต์ของแรงคคู่ วบคาํ นวณไดจ้ ากสมการ ������ = ������������������������ cos ������ 9. เม่ือมฟี ลกั ซ์แม่เหล็กเปลีย่ นแปลงตัดขดลวดตัวนําจะเกิดอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนาํ ในขดลวดตัวนาํ น้นั อธิบายได้โดยใช้กฎการเหนี่ยวนําของฟาราเดยเ์ ขียนแทนไดด้ ้วยสมการ ������ = − ∆∅������ ∆������ 10. ทิศทางของกระแสไฟฟา้ เหน่ยี วนําหาได้โดยใช้กฎของเลนซ์

9 11. ความรเู้ กย่ี วกบั อีเอม็ เอฟเหนย่ี วนําไปใชอ้ ธบิ ายการทํางานของเคร่อื งกําเนดิ ไฟฟ้า และการ ทํางานของเครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ ต่าง ๆ เชน่ แบลลัสต์แบบขดลวดของหลอดฟลูออเรสเซนต์ การเกิดอีเอม็ เอ ฟกลบั ในมอเตอร์ไฟฟ้า มอเตอรไ์ ฟฟา้ เหนย่ี วนาํ และกีตาร์ไฟฟ้า 12. ไฟฟา้ กระแสสลบั ท่ีส่งไปตามบา้ นเรือน มีความต่างศกั ยแ์ ละกระแสไฟฟ้าเปล่ียนแปลงไป ตามเวลาในรูปของฟังกช์ ันแบบไซน์ 13. การวัดความตา่ งศักย์และกระแสไฟฟา้ สลับใชค้ ่ายังผลหรอื ค่ามิเตอร์ ซง่ึ เป็นคา่ เฉลี่ยแบบ รากท่สี องของกาํ ลงั สองเฉลีย่ คํานวณไดจ้ ากสมการ ������������������������ = ������0 , ������������������������ = ������0 √2 √2 14. เคร่อื งกาํ เนิดไฟฟา้ กระแสสลบั ๓ เฟส มขี ดลวดตัวนาํ ๓ ชดุ แต่ละชุดวางทํามมุ ๑๒๐ องศาซ่งึ กันและกัน ไฟฟ้ากระแสสลบั จากขดลวดแต่ละชุดจะมเี ฟสตา่ งกนั ๑๒๐ องศา ซง่ึ ชว่ ยให้มี ประสิทธิภาพในการผลิตและการสง่ พลังงานไฟฟา้ 15. ไฟฟ้ากระแสสลับที่ส่งไปตามบ้านเรอื นเป็นไฟฟา้ กระแสสลบั ท่ีตอ้ งเพมิ่ อเี อ็มเอฟจาก โรงไฟฟ้าแลว้ ลดอเี อ็มเอฟใหม้ ีคา่ ทต่ี ้องการโดยใช้หมอ้ แปลงซึ่งประกอบด้วยขดลวดปฐมภมู ิและ ขดลวดทุติยภมู ิ 16. ไฟฟา้ กระแสสลับที่ผา่ นขดลวดปฐมภมู ิของหมอ้ แปลงจะทําให้เกิดอีเอ็มเอฟเหนยี่ วนาํ ใน ขดลวดทุตยิ ภมู ขิ องหม้อแปลง โดยอีเอม็ เอฟในขดลวดทตุ ยิ ภมู ิขน้ึ กบั อีเอ็มเอฟในขดลวดปฐมภูมิและ จาํ นวนรอบของขดลวดท้ังสอง ตามสมการ ������2 = ������2 ������1 ������1 17. เมื่อสสารไดร้ บั หรอื คายความรอ้ น สสารอาจมอี ุณหภูมิเปล่ยี นไป และสสารอาจเปลยี่ น สถานะโดยไม่เปลย่ี นอุณหภูมซิ ึง่ ปริมาณความร้อนท่ที าํ ใหส้ สารเปลี่ยนอณุ หภูมิคาํ นวณไดจ้ ากสมการ Q = mc∆T ส่วนปรมิ าณของพลงั งานความร้อนทีท่ าํ ให้สสารเปลย่ี นสถานะคํานวณไดจ้ ากสมการ Q = mL 18. วัตถทุ ่มี ีอุณหภูมิสูงกวา่ จะถา่ ยโอนความร้อนไปสวู่ ัตถุทมี่ ีอุณหภมู ติ ่ำกว่า เป็นไปตามกฎการ อนรุ ักษพ์ ลังงาน โดยปริมาณความรอ้ นทวี่ ัตถหุ นึง่ ให้จะเท่ากบั ปรมิ าณความร้อนทวี่ ตั ถหุ นง่ึ รับเขียน แทนได้ด้วยสมการ ������ลด = ������เพิม่ 19. เมือ่ วตั ถมุ ีอุณหภูมิเท่ากนั จะไม่มีการถา่ ยโอนความร้อน เรยี กว่าวัตถอุ ยู่ในสมดุลความรอ้ น 20. แก๊สอุดมคตเิ ปน็ แกส๊ ทโ่ี มเลกลุ มขี นาดเล็กมากไมม่ แี รงยึดเหนี่ยวระหวา่ งโมเลกุล มกี าร เคล่ือนที่แบบสุ่ม และมกี ารชนแบบยืดหย่นุ 21. ความสัมพนั ธ์ระหว่างความดนั ปริมาตร และอณุ หภมู ขิ องแก๊สอดุ มคตเิ ป็นไปตามกฎของ แก๊สอดุ มคติ เขียนแทนไดด้ ว้ ยสมการ ������������ = ������������������ = ������������������������

10 22. จากแบบจําลองของแก๊สอดุ มคติ กฎการเคลื่อนทขี่ องนวิ ตัน และจากกฎของแก๊สอดุ มคติ ทําให้สามารถศกึ ษาสมบตั ทิ างกายภาพบางประการของแก๊สได้ ไดแ้ ก่ ความดัน พลงั งานจลน์เฉล่ีย และอตั ราเรว็ อารเ์ อ็มเอส ของโมเลกลุ ของแก๊สได้ 23. จากทฤษฎีจลนข์ องแกส๊ ความดันและพลังงานจลนเ์ ฉล่ยี ของโมเลกุลของแกส๊ มี ความสมั พันธ์ตามสมการ ������������ = 2 ���������̅��������� สว่ นอัตราเรว็ อาร์เอ็มเอสของโมเลกลุ แก๊สคำนวณได้จาก 3 สมการ ������������������������ = √3������������������ ������ 24. ในภาชนะปิดเม่อื มกี ารเปล่ียนแปลงปริมาตรของแก๊สโดยความดันคงตวั งานท่เี กิดขน้ึ คํานวณไดจ้ ากสมการ W = P∆V 25. โมเลกลุ ของแก๊สอดุ มคตใิ นภาชนะปดิ จะมพี ลงั งานจลน์ โดยพลังงานจลน์รวมของโมเลกุล เรยี กว่า พลังงานภายในของแก๊สหรือพลงั งานภายในระบบ ซึง่ แปรผนั ตรงกับจํานวนโมเลกุลและ อุณหภมู สิ ัมบูรณ์ของแกส๊ 26. พลังงานภายในระบบมคี วามสมั พนั ธ์กบั ความรอ้ นและงาน เชน่ เมือ่ มีการถา่ ยโอนความ รอ้ นในระบบปดิ ผลของการถ่ายโอนความร้อนน้จี ะเทา่ กับผลรวมของพลังงานภายในระบบท่ี เปล่ยี นแปลงกบั งาน เป็นไปตามกฎการอนุรักษ์พลังงานเรียกกฎขอ้ ทีห่ นง่ึ ของอณุ หพลศาสตรแ์ สดงได้ ดว้ ยสมการ Q =∆U+W 27. ความรู้เรื่องพลงั งานภายในระบบสามารถนําไปประยกุ ตใ์ นด้านต่าง ๆ เช่น การทํางานของ เคร่อื งยนตค์ วามรอ้ น ต้เู ย็น เคร่ืองปรับอากาศ 28. สมบตั ิทว่ี สั ดุเปลยี่ นรปู และกลับสูร่ ูปเดิม เมอ่ื หยดุ ออกแรงกระทาํ เรยี กว่า สภาพยดื หยนุ่ ถา้ ยงั ออกแรงต่อไป วัสดจุ ะขาดหรอื เสยี รูปอยา่ งถาวร 29. ในกรณที ว่ี ัตถุมกี ารเปลีย่ นแปลงความยาวถา้ ออกแรงกระทาํ ต่อเสน้ ลวดไม่เกินขดี จาํ กัดการ แปรผันตรง ความยาวทีเ่ พิ่มขึ้นของเส้นลวดแปรผนั ตรงกบั ขนาดของแรงดงึ ทาํ ให้ความเครียดตามยาว ท่ีเกิดขึ้นแปรผันตรงกับความเค้นตามยาว โดยความเค้นตามยาวคํานวณได้จากสมการ σ = ������ ส่วน ������ ความเครยี ดตามยาวคาํ นวณไดจ้ ากสมการ ε = ������������ ������0 30. อัตราสว่ นความเคน้ ตามยาวต่อความเครียดตามยาว เรยี กวา่ มอดุลัสของยงั ซ่ึงมีค่าขึ้นกับ ชนดิ ของวสั ดุ คาํ นวณได้จากสมการ Y = ������ หรอื Y = ������∕������ ������ ������������∕������0 31. ถา้ วัสดุมมี อดูลัสของยังสูงแสดงวา่ วัสดุน้นั เปลยี่ นแปลงความยาวได้นอ้ ย ถา้ ออกแรงเพิม่ ข้นึ เกินขีดจํากัดสภาพยืดหยุน่ วัสดไุ มส่ ามารถกลับคืนส่สู ภาพเดิมได้ สมบัติน้ีนาํ ไปใช้พจิ ารณาในการ เลอื กวสั ดุที่เหมาะสมกบั การใช้งาน 32. ภาชนะทม่ี ีของเหลวบรรจุอยจู่ ะมแี รงเนอ่ื งจากของเหลวกระทําตอ่ พืน้ ผวิ ภาชนะ โดยขนาด ของแรงท่ีของเหลวกระทําตง้ั ฉากตอ่ พ้ืนท่ีหนงึ่ หนว่ ยเปน็ ความดันในของเหลว

11 33. ความดนั ที่เครอื่ งมอื วดั ได้ เรียกวา่ ความดันเกจคาํ นวณไดจ้ ากสมการ ������ = ������������ℎ สว่ น ผลรวมของความดันบรรยากาศและความดันเกจ เรยี กว่าความดนั สัมบูรณ์ คาํ นวณไดจ้ ากสมการ ������ = ������0 ������������ 34. คา่ ของความดันอ่านได้จากเครือ่ งวัดความดัน เชน่ แมนอมิเตอร์ บารอมเิ ตอร์ 35. เมอ่ื เพิ่มความดัน ณ ตําแหน่งใด ๆ ในของเหลวทอี่ ยนู่ ่ิงในภาชนะปดิ ความดันท่ีเพมิ่ ข้ึนจะ ส่งผ่านไปทกุ ๆ จุดในของเหลวนัน้ เรียกว่า กฎพาสคัลกฎน้ีนาํ ไปใช้อธิบายการทํางานของเครือ่ งอดั ไฮ ดรอลกิ 36. วัตถุทอ่ี ยู่ในของไหลท้งั หมดหรือเพียงบางสว่ นจะถูกแรงพยงุ จากของไหลกระทาํ โดยขนาด แรงพยงุ เทา่ กบั ขนาดน้ำหนักของของไหลทถี่ ูกวตั ถุแทนทต่ี ามหลักของอาร์คมิ ีดีสซ่งึ ใชอ้ ธบิ ายการลอย การจมของวตั ถุต่าง ๆในของไหล ขนาดแรงพยงุ จากของไหลคํานวณได้จากสมการ ������������ = ������������������ 37. ความตงึ ผิวเปน็ สมบัตขิ องของเหลวที่ยึดผวิ ของเหลวไว้ด้วยแรงดึงผวิ ปรากฏการณ์ท่เี ปน็ ผลจากความตึงผิว เชน่ การเดนิ บนผิวนำ้ ของแมลงบางชนิด การซมึ ตามรเู ล็ก หรอื การโค้งของผวิ โดย ความตึงผิวของของเหลวคาํ นวณไดจ้ ากสมการ ������ = ������ ������ 38. ความหนืดเปน็ สมบตั ิของของไหล วัตถุทเ่ี คลื่อนทใ่ี นของไหลจะมแี รงเน่อื งจากความหนดื ต้านการเคลอื่ นทข่ี องวัตถุ เรียกว่า แรงหนดื 39. ของไหลอุดมคตเิ ปน็ ของไหลที่มีการไหลอย่างสม่ำเสมอ ไม่มคี วามหนดื บบี อัดไมไ่ ด้ และ ไหลโดยไมห่ มุน มีอัตราการไหลตามสมการความต่อเนอ่ื ง Av = ค่าคงตวั 40. ตําแหน่งสองตําแหน่งบนสายกระแสเดียวกันของของไหลอุดมคติท่ีไหลอย่างสม่ำเสมอ จะ มผี ลรวมของความดนั สัมบรู ณ์ พลงั งานจลน์ต่อหน่งึ หน่วยปริมาตร และพลังงานศกั ย์ต่อหนงึ่ หนว่ ย ปรมิ าตร เป็นคา่ คงตวั ตามสมการแบร์นลู ลี ������ + 1 ������������2 + ������������ℎ =คา่ คงตวั 2

12 คำอธบิ ายรายวิชา ศกึ ษาสนามแมเ่ หลก็ แรงแม่เหล็กโมเมนต์ของแรงคู่ควบกระทำกบั ขดลวดท่ีมกี ระแสไฟฟ้าผ่าน เมื่ออยู่ในสนามแม่เหล็กกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนำอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนำไฟฟ้ากระแสสลับความร้อนแก๊ส อุดมคติทฤษฎีจลน์ของแก๊สของแข็งสภาพยืดหยุ่นของของแข็งความตึงผิวความหนืดของของเหลว ความดันในของไหลแรงพยงุ ของไหลอุดมคตสิ มการความตอ่ เนื่องและสมการแบร์นลู ี โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์การสืบเสาะหาความรู้การสืบค้นข้อมูลการสังเกต วิเคราะห์เปรียบเทียบอธิบายอภิปรายและสรุปเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจมีความสามารถในการ ตัดสินใจมีทกั ษะปฏบิ ตั ิการทางวิทยาศาสตร์รวมทงั้ ทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี ๒๑ ในด้านการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศด้านการคดิ และการแก้ปัญหาด้านการส่อื สารสามารถสือ่ สารสง่ิ ท่ีเรยี นรแู้ ละนำความรู้ไปใช้ ในชีวิตของตนเองมีจติ วิทยาศาสตรจ์ รยิ ธรรมคุณธรรมและคา่ นิยมทเ่ี หมาะสม เพื่อให้ผู้เรียนตระหนักในการใช้ความรู้ความเข้าใจ และทักษะต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ วิทยาศาสตร์ กายภาพได้อย่างถูกต้อง เห็นคุณค่าและตระหนักถึงความสำคัญของการนำความรู้ไป ประยุกต์ใช่ในชีวิต ประจำวันในการแก้ไขปัญหาและสร้างประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเอง มีจิต วิทยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรม และค่านิยมที่เหมาะสมตามมาตรฐานการเรียนรู้สาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ฟสิ ิกสเ์ พมิ่ เตมิ รวม 15 ผลการเรยี นรู้

13 ตารางโครงสรา้ งรายวิชา รายวิชาเพิ่มเติม รหสั วิชา ว 32205 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 ปกี ารศึกษา 2564 จำนวนชวั่ โมง 80 ช่วั โมง หน่วยท่ี ชื่อหนว่ ยการเรียนรู้ เวลา (ชว่ั โมง) 1 แม่เหล็กและไฟฟ้า 28 1.1 สนามแมเ่ หลก็ 6 1.2 แรงแมเ่ หลก็ 6 1.3 โมเมนตข์ องแรงคู่ควบกระทำตอ่ ขดลวดท่มี กี ระแสไฟฟา้ ไหลผา่ นเมือ่ 4 อยใู่ นสนามแมเ่ หล็ก 1.4 กระแสไฟฟา้ เหนี่ยวนำและอเี อ็มเอฟเหนย่ี วนำ 6 1.5 ไฟฟ้ากระแสสลบั 6 2 ความร้อนและแก๊ส 24 2.1 ความร้อน 4 2.2 แกส๊ ออุดมคติ 5 2.3 ทฤษฎจี ลน์ของแก๊ส 8 2.4 กฎขอ้ ท่หี น่ึงของอณุ หพลศาสตร์ 7 3 ของแขง็ และของไหล 28 3.1 ของแขง็ และสภาพยืดหยนุ่ ของของแข็ง 6 3.2 ความตงึ ผวิ และความหนืดของของเหลว 6 3.3 ของไหลสถิต 10 3.4 พลศาสตร์ของของไหล 6 สอบปลายภาค รวม 80

14 แผนการจัดการเรียนรู้ 1 ของแข็งและสภาพยดื หยุ่นของของแข็ง รายวิชา ฟสิ ิกสเ์ พ่ิมเติม 6 ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ มาตรฐานการเรียนรแู้ ละผลการเรยี นรู้ กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรงุ 2560)

15 แผนการจดั การเรียนรู้ 1 สาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รายวิชา ฟิสกิ สเ์ พมิ่ เติม ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2564 เวลา 6 ชวั่ โมง หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 3 เรอ่ื ง ของแข็งและสภาพยดื หยุน่ ของของแข็ง ครผู ู้สอน นางสาวกนกวรรณ สัมฤทธนิ์ อก 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชว้ี ัด มาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ 4 เข้าใจความสัมพันธ์ของความร้อนกับการเปลี่ยนอุณหภูมิและสถานะของสสาร สภาพยดื หยุ่นของวัสดุและมอดุลัสของยงั ความดันในของไหล แรงพยุงและหลกั ของอารค์ ิมดี ีส ความ ตึงผิวและแรงหนืดของของเหลว ของไหลอุดมคติและสมการแบร์นูลลี กฎของแก๊ส ทฤษฎีจลน์ของ แกส๊ อดุ มคติ และพลงั งานในระบบ ทฤษฎีอะตอมของโบร์ ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทรกิ ทวิภาวะของ คลนื่ และอนภุ าค กมั มันตภาพรังสี แรงนวิ เคลียร์ ปฏิกิริยานวิ เคลียร์ พลงั งานนวิ เคลียร์ ฟิสิกส์อนุภาค รวมทง้ั นำ ความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ตวั ชี้วัด อธบิ ายสภาพยืดหย่นุ และลกั ษณะการยืดและหดตัวของวสั ดุท่เี ปน็ แท่งเมอื่ ถูกกระทำ ดว้ ยแรง ค่าต่างๆ รวมทั้งทดลอง อธิบาย และคำ นวณ ความเค้นตามยาว ความเครียดตามยาว และมอดุลัส ของยงั และนำ ความรเู้ รือ่ งสภาพยดื หยนุ่ ไปใชใ้ นชีวติ ประจำวัน 2. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1. อธิบายสภาพยืดหยุ่นและลักษณะการยืดและหดตัวของวัสดุที่เป็นแท่งเมื่อถูกกระทำด้วยแรงค่า ต่างๆ (K) 2. ทดลอง และคำนวณ ความเค้นตามยาว ความเครียดตามยาว มอดูลัสของยัง และนำความรู้เรื่อง สภาพยืดหย่นุ ไปใช้ในชีวิตประจำวัน (P) 3. มคี วามรับผิดชอบในการทำงาน (A) 3. สาระสำคัญ ในกรณีที่วัตถุมีการเปลี่ยนแปลงความยาวถ้าออกแรงกระทําต่อเส้นลวดไมเ่ กินขีดจาํ กัดการ แปรผนั ตรง ความยาวทีเ่ พม่ิ ขนึ้ ของเส้นลวดแปรผันตรงกบั ขนาดของแรงดึง ทาํ ใหค้ วามเครียดตามยาว ที่เกิดขึ้นแปรผันตรงกับความเค้นตามยาว โดยความเค้นตามยาวคํานวณได้จากสมการ σ = ������ ส่วน ������ ความเครยี ดตามยาวคาํ นวณไดจ้ ากสมการ ε = ������������ ������0

16 อัตราส่วนความเค้นตามยาวต่อความเครียดตามยาว เรียกว่า มอดุลัสของยัง ซึ่งมีค่าขึ้นกับ ชนดิ ของวสั ดุ คํานวณได้จากสมการ Y = ������ หรือ Y = ������∕������ ������ ������������∕������0 ถ้าวัสดุมีมอดูลัสของยังสูงแสดงวา่ วสั ดุนัน้ เปลี่ยนแปลงความยาวได้น้อย ถ้าออกแรงเพิ่มขน้ึ เกินขีดจํากัดสภาพยืดหยุ่น วัสดุไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ สมบัตินี้นําไปใช้พิจารณาในการ เลือกวัสดุท่เี หมาะสมกับการใชง้ าน 4. สาระการเรียนรู้ 1.สภาพยืดหยุ่นของของแข็ง เป็นสมบัติของของแข็งที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปรา่ งเมื่อมีแรงมากระทำ แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คอื 1. สภาพยืดหยุ่น (elasticity) คือสมบัติของวัสดทุ ี่มีการเปลี่ยนแปลงรูปรา่ ง เมื่อมีแรงมากระทำและสามารถคืนตวั กลับสู่รูปรา่ ง เดิมเมื่อหยดุ ออกแรงกระทำ A 2. สภาพพลาสติก (plasticity) คอื กรณวี สั ดเุ ปลี่ยนรูปร่างไปอยา่ งถาวร โดยผิววสั ดไุ มม่ กี ารฉีกขาดหรอื แตกหัก จากการดึงสปรงิ ใหย้ ดื ออก จะพบว่ากราฟระหวา่ งขนาดของแรงดงึ กับความยาวที่สปรงิ ยืดออก จะ มลี ักษณะดงั รปู จุด a คือ ขีดจำกัดการแปรผันตรง (Proportional limit) ซึ่งเป็นตำแหน่งสุดท้ายที่ความยาว สปริงยดื ออก แปรผันตรงกับขนาดของแรงดึง จุด b คือขีดจำกัดสภาพยืดหยนุ่ (Elastic limit) ซ่ึงเปน็ ตำแหนง่ สดุ ท้ายท่ีสปริงยืดออกแล้วกลับ สูส่ ภาพเดิม แต่แรงดงึ ไม่แปรผนั ตรงกบั ระยะยืด จดุ C คือ จุดแตกหัก (Breaking point) หมายถึงตั้งแต่จดุ b เปน็ ต้นไป ถา้ ดงึ ต่อไปกถ็ งึ จุด c ซึ่ง เป็นจดุ ท่เี ส้นวสั ดขุ าด

17 2.ความเค้น ความเคน้ (Stress) เปน็ การวัดแรงเฉล่ยี ต่อหน่วยพื้นทผ่ี ิวภายในวัตถุแปรรูปซ่งึ มีแรงภายใน กระทำ ความเคน้ เป็นการวัดความเข้มขน้ ของแรงภายในซง่ึ กระทำระหวา่ งอนุภาพของวัตถุแปรรปู ขา้ ม พน้ื ทผี่ ิวจินตนาการ แรงภายในเหลา่ นเี้ กิดข้ึนระหว่างอนภุ าพภายในวัตถุดังทีเ่ ป็นแรงปฏกิ ิริยาต่อแรง ภายนอกซ่ึงกระทำตอ่ วตั ถุแรงภายนอกต่างก็เป็นแรงพนื้ ผวิ หรอื แรงเนอื่ งจากน้ำหนัก หนว่ ยเอสไอ สำหรบั วดั ความเคน้ คอื ปาสคาล (สัญลักษณ์ Pa) ซง่ึ มคี ่าเทา่ กับหนึ่งนวิ ตนั (แรง) ตอ่ หนงึ่ ตารางเมตร (หนว่ ยพน้ื ท)่ี หนว่ ยของความเค้นคือหนว่ ยเดียวกันกับความดัน ซง่ึ เปน็ การวัด อตั ราสว่ นระหวา่ งแรงต่อพนื้ ที่ผิวเช่นกนั ความเคน้ (Stress) s = F/A เมอ่ื ออกแรงกระทำตอ่ วัตถุ อัตราสว่ นระหวา่ งแรงกระทำ (F) ตอ่ พน้ื ท่ี (A) เรียกว่า ความเค้น มหี น่วยในระบบเอสไอ เปน็ นิวตนั ต่อ ตารางเมตร ความเคน้ เป็น ปรมิ าณสเกลาร์ โดยทว่ั ไปความเค้น มี 2 ชนดิ ไดแ้ ก่ ความเค้นตามยาว และความเค้นเฉือน ความเคน้ ตามยาว (longitudinal stress) แบง่ ได้ 2 ชนดิ - ความเคน้ แบบดึง (tensile stress) ซึ่งแรง F กระทำต่อวตั ถใุ นลักษณะดึงให้ยืดออก - ความเคน้ แบบอดั (compressive stress) ซง่ึ แรง F กระทำตอ่ วัตถใุ นลักษณะอัดไดห้ ดสั้นลง ความเคน้ เฉือน (shear stress) นน้ั แรง F ทก่ี ระทำต่อวัตถุจะทำใหว้ ตั ถุบิดเบือนรปู รา่ งไปจากเดมิ 3.ความเครียด ความเครยี ด (Strain) หมายถึงอตั ราส่วนระหวา่ งรูปร่างที่เปลี่ยนไปตอ่ รปู ร่างเดิม มหี นว่ ย เป็นเท่าหรอื ไมม่ หี น่วย เปน็ ความเครยี ดทป่ี รากฏภายใตแ้ รงที่มากระทำตอ่ เน้ือของวัสดุ จนวสั ดุเกิดรบั แรงนนั้ ไวไ้ ม่ไหว ทำใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลงขนาดและรปู ร่างไปในทิศทางของแรงท่ีมากระทำ เช่น เกดิ การยดื ตัวออก(Elongation)หรือหดตวั เข้า(Contraction) ความยืดหย่นุ ของวัตถุ ความยืดหยุ่นของวัตถุ คือคณุ สมบัตกิ ารเปลี่ยนรูปรา่ งของวัตถเุ ม่อื ถกู แรงกระทำ ความเคน้ ของวตั ถใุ ดๆ จะแปรผนั โดยตรงกับความเครยี ดของวัตถนุ น้ั อัตราส่วนระหว่างความ เค้นและความเครยี ดของวตั ถุ เรยี กว่า ค่าโมดูลัสความยืดหยุน่ ของวตั ถุ และมคี ่าคงที่สำหรบั วตั ถุชนิด เดียวกนั 4.มอดลู ัสของยงั ค่ามอดูลสั ของยงั (Young'smodulus) คอื ค่าโมดูลัสของความยดื หยุ่นเม่ือวัตถุมกี าร เปลยี่ นแปลงตามความยาว(ทงั้ อัดเข้าหรอื ยดื ออก)โดยมอดลู สั สภาพยดื หยุ่น (modulus of elasticty) ของวสั ดตุ า่ งชนิดกันจะมคี ่าต่างกนั มอดูลสั ของยัง (Young's modulus) หรอื มอดลู ัสของสภาพยดื หยุ่น (modulus of elasticity หรอื elastic modulus) เปน็ ค่าบอกระดับความแข็งแกร่งของวัสดุ คา่ มอดูลัสของยงั หา จาก ค่าลมิ ิดของอัตราการเปลีย่ นแปลงของความเคน้ ( stress ) ต่อ ความเครยี ด ( strain ) ที่ค่าความ

18 เค้นน้อย สามารถหาจากความชนั ของ กราฟความสัมพันธ์ ความเค้น-ความเครียดทไ่ี ด้จาก การ ทดลองดงึ ค่ามอดูลัสของยงั ตั้งช่อื ตาม ชาวอังกฤษ โทมสั ยงั ซ่งึ เป็นทงั้ นกั ฟิสกิ ส์ แพทย์ แพทยน์ รเี วช และผ้ทู ่ีศกึ ษาวชิ าเกย่ี วกบั วัฒนธรรมและวตั ถุโบราณของอียิปต์ หน่วย SI ของมอดูลสั ของสภาพ ยืดหยุ่น คอื ปาสกาล (pascal) ค่ามอดุลสั ของยงั นัน้ มปี ระโยชน์ใชใ้ นการคำนวณพฤตกิ รรมในการรับ แรงของวสั ดุ ตวั อยา่ งเชน่ สามารถใช้ในการคาดคะเน ความยืดของลวดในขณะรับแรงดงึ หรือคำนวณ ระดับแรงดนั ท่ีกดลงบนแท่งวัสดุ แล้วทำให้แท่งวสั ดุยวบหกั ลง ในการคำนวณจริงอาจมีค่าอ่ืนๆ เกยี่ วข้องด้วยเชน่ มอดูลสั ของแรงเฉอื น(shearmodulus)ความหนาแน่น การคำนวณ มอดุลสั ของสภาพยดื หยนุ่ หาไดจ้ ากการหารคา่ ความเค้นด้วยค่าความเครยี ด Y = มอดูลัสของยัง มีหน่วยเป็น ปาสกาล (Pa) หรอื นิวตันตอ่ ตารางเมตร (N/������2) σ = ความเค้นตามยาว ε = ความเครียดตามยาว F = แรง ในหนว่ ย นวิ ตนั A = พื้นที่หน้าตัดรบั แรง ในหน่วย ตารางเมตร ∆L = สว่ นทยี่ ดื ออกของวสั ดุ ในหนว่ ย เมตร L = ความยาวปกติของวัสดุ ในหน่วย เมตร - วสั ดชุ นิดเดียวกนั มมี อดูลสั สภาพยดื หยนุ่ แบบอ่ืนๆ ท่ีนอกเหนือจากมอดูลสั ของยัง ไดแ้ ก่ มอดลู ัส เฉือน(shearmodulus)และมอดลู ัสเชงิ ปรมิ าตร(bulkmodulus) - มอดูลัสสภาพยืดหยนุ่ และขดี จำกดั สภาพยดื หยุ่นเปน็ สมบัตเิ ฉพาะตวั ของวัสดุ มปี ระโยชนม์ ากใน ดา้ นวศิ วกรรม วสั ดุท่ีมีค่ามอดูลสั ยืดหยุ่นสงู เปน็ วสั ดทุ ีส่ ามารถทนต่อแรงภายนอกได้มาก หรือทำให้ เปล่ียนรูปร่างได้ยาก และวสั ดุทม่ี ีความเค้นทม่ี ีขีดจำกดั สภาพยืดหยุ่นสงู จะบอกให้ทราบวา่ วัสดุนัน้ สามารถทนต่อแรงภายนอกได้มากท่ีสุด เพ่อื ให้สามารถกลับคนื สู่สภาพเดมิ ได้

19 5. สมรรถนะสำคัญของผ้เู รยี น (เฉพาะทเ่ี กดิ ในหนว่ ยการเรียนรู้น้)ี  ความสามารถในการสอ่ื สาร  ความสามารถในการคดิ  ความสามารถในการแกป้ ัญหา  ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ิต  ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี 6. ทักษะของผ้เู รียนในศตวรรษท่ี 21 (3R 8C + 2L) (จดุ เนน้ สูก่ ารพัฒนาคณุ ภาพผูเ้ รียน)  ทักษะการอา่ น (Reading)  ทักษะการ เขยี น (Writing)  ทักษะการ คิดคำนวณ (Arithmetic)  ทกั ษะดา้ นการคิดอย่างมวี ิจารณญาณและทักษะในการแก้ปญั หา (Critical thinking and problem solving)  ทักษะด้านการสร้างสรรค์และนวตั กรรม (Creativity and innovation)  ทกั ษะด้านความร่วมมือ การทำงานเป็นทมี และภาวะผ้นู ำ (Collaboration , teamwork and leadership)  ทักษะด้านความเขา้ ใจต่างวัฒนธรรม ตา่ งกระบวนทศั น์ (Cross-cultural understanding)  ทักษะด้าน การส่อื สาร สารสนเทศ และรู้เท่าทันส่ือ (Communication information and media literacy)  ทักษะด้านคอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Computing)  ทักษะอาชพี และทกั ษะการเรยี นรู้ (Career and learning self-reliance, change)  ทกั ษะการเปลี่ยนแปลง (Change)  ทักษะการเรยี นรู้ (Learning Skills)  ภาวะผ้นู ำ (Leadership)

20 7. ชิ้นงานหรือภาระงาน ( หลกั ฐาน / รอ่ งรอยแสดงความรู้ ) แบบฝกึ หัด 17.1 เรื่อง ของแข็งและสภาพยดื หย่นุ ของของแข็ง ใบงานกิจกรรม 17.1 เรือ่ ง ความเคน้ และความเครยี ดตามยาวของวสั ดุ 8. การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ (ใช้รูปแบบการเรียนรู้ 5 E ) ชั่วโมงที่ 1 ขัน้ ท่ี 1 ขั้นสรา้ งความสนใจ (Engagement) - ใหน้ ักเรยี นทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี น เรื่อง ของแขง็ และสภาพยืดหย่นุ ของของแขง็ (10 ขอ้ ) - ครเู ปดิ วิดีโอสื่อการเรียนร้เู กย่ี วกบั ของแข็งและสภาพยืดหยนุ่ ของของแขง็ - อธิบายพอสังเขป ขั้นท่ี 2 ขนั้ สำรวจและค้นหา (Exploration) - นักเรยี นศึกษา เรอื่ ง ของแขง็ และสภาพยดื หย่นุ ของของแขง็ จากหนงั สอื เรียน ฟิสกิ ส์เพ่มิ เติม เล่ม 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560 ) ตามหลักสูตร แกนกลางการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2550 ช่ัวโมงที่ 2 ข้ันท่ี 2 ขนั้ สำรวจและค้นหา (Exploration) - นักเรียนศึกษา เรอ่ื ง สภาพยืดหยุ่นของของแขง็ จาก PowerPoint ครู - นกั เรียนศึกษา เรอื่ ง ความเค้นและความเครียดของของแข็ง จาก PowerPoint ครู ช่ัวโมงท่ี 3 ขัน้ ท่ี 3 ข้ันอธบิ ายและลงข้อสรุป (Explanation) - ครใู ห้นกั เรียนตอบคำถาม ข้นั ท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration) - ครูอธบิ ายคำตอบทีถ่ ามนักเรียนเพอ่ื ใหน้ ักเรยี นเข้าใจถกู ตอ้ ง ขัน้ ที่ 5 ข้นั ประเมิน (Evaluation) - ทำแบบทดสอบหลงั เรยี น

21 ชั่วโมงที่ 4 ข้ันที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration) - นักเรียนศึกษา เรื่อง ของแข็งและสภาพยืดหยุ่นของของแขง็ จากหนังสือเรยี น ฟสิ ิกส์เพิม่ เติม เล่ม 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560 ) ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2550 - นกั เรยี นศึกษา เรอื่ ง มอดูลสั ของยัง จาก PowerPoint ครู ชว่ั โมงที่ 5 ข้ันท่ี 2 ขั้นสำรวจและคน้ หา (Exploration) - ครูให้นักเรยี นทำกจิ กรรมการทดลอง เร่ือง ความเคน้ และความเครยี ดตามยาวของวสั ดุ ชวั่ โมงท่ี 6 ขั้นท่ี 3 ขัน้ อธิบายและลงขอ้ สรปุ (Explanation) - ครใู ห้นักเรียนอภปิ รายผลการทดลองหลงั ทำกิจกรรม ขั้นท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration) - ครูสรุปผลการทดลองภาพรวมของกจิ กรรม ขน้ั ที่ 5 ข้นั ประเมิน (Evaluation) - ครูใหน้ กั เรียนทำแบบฝกึ หัด 9. สอื่ การสอน - หนังสือเรียน ฟิสิกส์เพิ่มเติม เล่ม 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับ ปรับปรงุ พ.ศ. 2560 ) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2550 - สื่อการสอน PowerPoint ครู - แบบฝกึ หดั 17.1 เรอื่ ง ของแข็งและสภาพยดื หย่นุ ของของแขง็ - ใบงานกิจกรรม 17.1 เรอื่ ง ความเคน้ และความเครียดตามยาวของวสั ดุ 10. แหล่งเรยี นรใู้ นหรือนอกสถานที่ 1. หอ้ งสมดุ ของโรงเรียน 2. แหล่งขอ้ มลู สารสนเทศ

22 11. การวัดและประเมนิ ผล จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ วิธวี ัด เครอื่ งมอื วัด เกณฑ์การประเมิน หรอื สิ่งท่ตี อ้ งการจะวัดและประเมนิ ผล 1.อธบิ ายสภาพยืดหยุ่นและลกั ษณะการยดื ประเมนิ จากการทำ แบบฝกึ หัด17.1เร่อื งของแข็ง ตอบถกู ตอ้ งตาม และหดตวั ของวัสดุท่ีเป็นแทง่ เมอ่ื ถูกกระทำ แบบฝกึ หัด และสภาพยดื หยุ่นของของแขง็ แบบฝึกหัด60% ดว้ ยแรงค่าต่างๆ(K) ขึน้ ไป 2. ทดลอง และคำนวณ ความเค้นตามยาว ความเครียดตามยาว มอดูลัสของยัง และนำ ประเมนิ จากใบงาน ใบงานกิจกรรม17.1เร่ือง ตอบถกู ตอ้ งตามใบงาน ความรู้เร่ืองสภาพยดื หยนุ่ ไปใช้ใน กิจกรรม ความเค้นและความเครียด กจิ กรรม60%ขน้ึ ไป ชวี ิตประจำวนั (P) ตามยาวของวัสดุ 3.มคี วามรบั ผิดชอบในการทำงาน (A) ประเมินจากการส่ง แบบฝกึ หัด17.1เรอ่ื งของแขง็ ตามตารางเกณฑก์ าร แบบฝึกหัดและใบ และสภาพยดื หยนุ่ ของของแข็ง ให้คะแนน70%ขึ้นไป และ งานกจิ กรรม ใบงานกจิ กรรม17.1เรือ่ ง ความเค้นและความเครียด ตามยาวของวัสดุ เกณฑ์การใหค้ ะแนน ระดับคะแนน 80 - 100% ให้ ดมี าก ระดับคะแนน 70 - 79% ให้ ดี ระดับคะแนน 60 - 69 % ให้ พอใช้ ระดับคะแนน 0 - 59% ให้ ปรับปรุง

23 สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน วธิ วี ัด เคร่อื งมือวดั เกณฑก์ ารประเมนิ 1.ความสามารถในการสือ่ สาร ประเมนิ จากพฤตกิ รรมของ แบบประเมินคุณลักษณะอัน ผา่ นเกณฑ์การให้ 2. ความสามารถในการคิด ผู้เรยี น ประเมินจากพฤตกิ รรมของ พงึ ประสงค(์ รายบคุ คล) คะแนนร้อยละ60 3.ความสามารถในการแกป้ ญั หา ผเู้ รียน แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอนั ผ่านเกณฑ์การให้ ประเมินจากพฤตกิ รรมของ พงึ ประสงค์(รายบุคคล) คะแนนร้อยละ60 ผเู้ รยี น แบบประเมินคุณลักษณะอนั ผ่านเกณฑ์การให้ พงึ ประสงค(์ รายบุคคล) คะแนนรอ้ ยละ60 เกณฑก์ ารให้คะแนน ระดับคะแนน 80 - 100% ให้ ดีมาก ระดับคะแนน 70 - 79% ให้ ดี ระดับคะแนน 60 - 69 % ให้ พอใช้ ระดับคะแนน 0 - 59% ให้ ปรบั ปรงุ

24 แบบประเมินพฤตกิ รรมการเรยี นและการมีส่วนร่วมในชนั้ เรยี น คําชแี้ จง : ให้ผ้สู อนสังเกตพฤตกิ รรมและการมสี ว่ นร่วมในชัน้ เรียนของนกั เรียนในระหวา่ งเรียนและนอก เวลาเรียน แล้วขีด ✓ลงในช่องทีต่ รงกบั ระดบั คะแนน ลำดบั ที่ รายการประเมิน 1 ระดับคะแนน 4 23 1 การแสดงความคิดเหน็ 2 การยอมรบั ฟงั ความคิดเห็นของผอู้ ่นื 3 การทํางานตามหนา้ ทท่ี ไ่ี ดร้ ับมอบหมาย 4 ความมีน้ำใจ 5 การตรงตอ่ เวลา ลงชอื่ ................................................... ผู้ประเมิน ................../................/............... เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัตหิ รือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 4 คะแนน ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤติกรรมบ่อยคร้งั ให้ 3 คะแนน ปฏิบตั ิหรอื แสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤติกรรมนอ้ ยคร้งั หรอื ไมเ่ คยปฏบิ ตั ิเลย ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสนิ คุณภาพ 0-5 คะแนน ระดบั คุณภาพ 1 หมายถงึ ปรบั ปรงุ 6-10 คะแนน ระดบั คณุ ภาพ 2 หมายถึง พอใช้ 11-15 คะแนน ระดบั คณุ ภาพ 3 หมายถงึ ดี 16-20 คะแนน ระดับคณุ ภาพ 4 หมายถึง ดีมาก

25 แบบประเมินคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ คำอธบิ ายคณุ ภาพ สิ่งทีต่ ้องการวัด/ ดีมาก (4) ดี (3) พอใช้ (2) ปรับปรงุ (1) ประเมนิ ผล 1.เข้าเรียนตรงตอ่ เวลา เข้าเรียนตรงตอ่ เวลา เข้าเรียนสายไมเ่ กนิ 10 เข้าเรียนสายเกิน เขา้ เรียนสาย สมำ่ เสมอดีมากไม่เข้าสาย นาที 15นาที มากกวา่ 30นาที เลยสักครั้ง 2.ความสนใจเรียน มีความกระตือรือร้น ใน มีควากระตือรือร้นใน มกี ารตอบคำถาม ไมต่ อบคำถามเลย การเรยี นดมี าก การเรียนดีมีการให้ บา้ งเลก็ นอ้ ย มีการให้ความร่วมมือใน ความร่วมมือในการทำ การทำกิจกรรมตลอดจนจบ กจิ กรรมบอ่ ยคร้ัง กิจกรรม 3.มรี ะเบยี บวินยั ทำงานเปน็ ระเบยี บ ทำงานเป็นระเบียบ ทำงานเปน็ ระเบยี บ ทำงานไมเ่ ปน็ และถูกต้องมากกวา่ 90% และถูกต้องมากกว่า มากกวา่ 50% ระเบยี บและไม่ 70% ถกู ต้อง 4.ความรับผิดชอบ ทำงานทไี่ ดร้ บั มอบหมายดี ทำง าน ท ี ่ ไ ด ้ รั บ ทำงานที่ได้รับ ไม่ทำงานที่ได้รับ มคี วามถูกต้องตรงเวลา มอ บหมายด ี มี มอบหมายดี มี มอบหมาย ทำงาน มากกว่า90% ความถูกต้องมากกว่า ความถ ู กต ้ อง ไมแ่ ล้วเสร็จ 70% มากกวา่ 50% เกณฑ์การตัดสนิ คะแนน ระดับคุณภาพ ดมี าก ช่วงคะแนน ดี 13 - 16 พอใช้ 9 - 12 ปรับปรุง 5-8 0-4

26 12. กจิ กรรมเสนอแนะ ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... 13. บนั ทึกผลหลงั การสอน สรุปผลการเรียนการสอน นกั เรยี นทัง้ หมดจำนวน.....................คน จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ขอ้ ท่ี จำนวนนกั เรียนทีผ่ ่าน จำนวนนกั เรยี นทีไ่ มผ่ ่าน จำนวนคน ร้อยละ จำนวนคน รอ้ ยละ 1 2 3 15. ปัญหา/อปุ สรรค/แนวทางแก้ไข ............................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................ 16. ข้อเสนอแนะ ............................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................ ลงชื่อ........................................................................ (........................................................................) ตำแหน่ง ครูวิทยฐานะ ....................................... ลงชื่อ................................................................หวั หน้ากลุม่ สาระการเรยี นรู้ (........................................................................) ลงชือ่ .......................................................... รองผอู้ ำนวยการกลุ่มบริหารวชิ าการ (………………………………………..)

27 ความเห็นของหวั หน้าสถานศกึ ษา ไดท้ ำการตรวจแผนการเรยี นรขู้ อง....................................................แล้วมีความคิดเห็นดังนี้ 1. เปน็ แผนการจดั การเรยี นรู้ที่  ดมี าก  ดี  พอใช้  ควรปรับปรุง 2. การจดั กิจกรรมไดน้ ำเอากระบวนการเรียนรู้  เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมาใชใ้ นการสอนได้อย่างเหมาะสม  ยังไม่เนน้ ผู้เรียนเปน็ สำคญั ควรปรบั ปรงุ พัฒนาต่อไป 3. ข้อเสนอแนะอ่นื ๆ ........................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ ลงชื่อ............................................................................................... ( …………………………………………………………………… ) ผอู้ ำนวยการโรงเรยี น…………………………………………………………..

28 แบบฝึกหดั 17.1 เรอ่ื ง ของแข็งและสภาพยดื หยุน่ ของของแข็ง คำชแ้ี จง : ให้นักเรยี นตอบคำถามต่อไปนี้ 1. ลวดโลหะเส้นหนึ่งยาว 120 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 2.2 มิลลิเมตร ออกแรงดึง 380 นิวตัน ทาให้ลวด โลหะมคี วามยาวเปน็ 120.10 เมตร จงหาความเค้นดึงและความเครียดดึงทเ่ี กดิ ข้ึนในลวดโลหะเสน้ นี้ 2. ลวดเหล็กสำหรบั ดงึ ลฟิ ตต์ ัวหนงึ่ มขี ดี จำกดั สภาพยดื หยุ่น 2 × 108 นิวตันต่อตารางเมตร และมพี ้นื ท่ีหน้าตัด 1 ตารางเซนตเิ มตร ถา้ ลิฟต์ตัวนีม้ คี วามสามารถเคลื่อนที่ขนึ้ ไปดว้ ยความเรง่ สงู สุด 6 เมตรต่อวินาที2 มวลรวม ของทัง้ ลิฟต์และสมั ภาระภายในลิฟต์ทีเ่ ป็นไปได้มากท่สี ดุ มีค่าเท่าใด

29 3. ลวดเหล็กกล้ายาว 4 เมตร พื้นที่หน้าตัด 1.5 ตารางเซนติเมตร ผูกวัตถุหนัก 7,000 นิวตัน แขวนห้อย ในแนวดิ่ง ลวดยืดออก 1.75 x 10-2 เมตร ค่ามอดุลัสของยังของลวดเหล็กเส้นนี้มีค่าเท่าใด 4. ลวดทองแดงเสนหนง่ึ มคี วามยาว 4 เมตร มพี น้ื ทภ่ี าคตัดขวางขนาด 1 × 10-8 ตารางเมตร และมีคามอดูลัส ของยงั เปน 1.1 × 1011 นวิ ตนั ต่อตารางเมตร อยากทราบว่า จะตองออกแรงดึงเทาใดจงึ จะทําใหลวดทองแดง เสนนี้ยืดออกจากความยาวเดมิ อกี 1 มิลลิเมตร

30 เฉลยแบบฝึกหัด 17.1 เร่อื ง ของแขง็ และสภาพยดื หยุ่นของของแข็ง คำช้ีแจง : ใหน้ ักเรียนตอบคำถามตอ่ ไปนี้ 1. ลวดโลหะเส้นหนึ่งยาว 120 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 2.2 มิลลิเมตร ออกแรงดึง 380 นิวตัน ทาให้ลวด โลหะมคี วามยาวเปน็ 120.10 เมตร จงหาความเค้นดงึ และความเครียดดงึ ที่เกดิ ขึ้นในลวดโลหะเส้นนี้ วิธที ำ หาความเคน้ ดงึ จากสมการ σ = ������ = ������ ������ ������������2 ������ σ = ������(���2���)2 σ = 380 N ������(2.2×120−3 m)2 σ = 380 N m2) ������(1.21×10−6 σ ≈ 100 × 106 N/m2 ≈ 100 MPa หาความเครียดดงึ จากสมการ ������ = ∆������ ������0 ������ = 120.10 m −120 m 120 m ������ = 0.10 m ≈ 8.33 × 10−4 120 m ดังนัน้ ความเค้นดงึ และความเครยี ดดงึ มีค่าประมาณ 100 เมกะพาสคลั และ 8.33 × 10-4 ตามลำดับ 2. ลวดเหล็กสำหรับดึงลิฟตต์ ัวหนึ่งมีขดี จำกดั สภาพยดื หยุ่น 2 × 108 นิวตันตอ่ ตารางเมตร และมพี น้ื ทีห่ น้าตัด 1 ตารางเซนตเิ มตร ถ้าลฟิ ต์ตวั นม้ี ีความสามารถเคลื่อนท่ีขน้ึ ไปดว้ ยความเร่งสูงสุด 6 เมตรต่อวินาที2 มวลรวม ของทั้งลฟิ ตแ์ ละสัมภาระภายในลิฟตท์ ่เี ปน็ ไปไดม้ ากทสี่ ดุ มีค่าเทา่ ใด วิธที ำ จากสมการ σ = ������ ������ ������ 2 × 108 N/m2 = 1×10−4 m2 ������ = (2 × 108 N/m2)(10−4 m2) ������ = 2 × 104 N จากสมการ Σ������ = ������������ ������ − ������������ = ������������ (2 × 104 N) − ������(9.8 m/s2) = ������(6 m/s2) 2 × 104 N = ������(6 m/s2) + ������(9.8 m/s2) 2 × 104 N = ������(15.8 m/s2) ������ = 2×104 N 15.8 m/s2 ������ ≈ 1.266 × 103 kg ดงั นั้น มวลรวมของทัง้ ลฟิ ต์และสมั ภาระภายในลฟิ ตท์ ่ีเป็นไปไดม้ ากที่สุดมคี ่าประมาณ 1,266 กิโลกรมั

31 3. ลวดเหล็กกล้ายาว 4 เมตร พื้นที่หน้าตัด 1.5 ตารางเซนติเมตร ผูกวัตถุหนัก 7,000 นิวตัน แขวนห้อยใน แนวดิ่ง ลวดยืดออก 1.75 x 10-2 เมตร ค่ามอดุลัสของยังของลวดเหล็กเส้นน้ีมีค่าเท่าใด วธิ ีทำ หาความเคน้ จากสมการ σ = ������ = ������ ������ ������ 7,000 N σ = 1.5 m2 σ = 4,666.67 N/ m2 หาความเครยี ดจากสมการ ������ = ∆������ ������0 ������ = 1.75×10−2 m 4m ������ = 4.375 × 10−3 ������ = σ หามอดลุ ัสของยังจากสมการ ������ 4,666.67 N/m2 ������ = 4.375×10−3 ������ ≈ 1.07 × 106 N ≈ 1.07 MPa m2 ดงั นั้น คา่ มอดุลัสของยงั ของลวดเหล็กเส้นน้มี ีค่าประมาณ 1.07 เมกะพาสคัล 4. ลวดทองแดงเสนหน่งึ มีความยาว 4 เมตร มีพนื้ ทีภ่ าคตัดขวางขนาด 1 × 10-8 ตารางเมตร และมคี ามอดูลัส ของยังเปน 1.1 × 1011 นิวตันตอ่ ตารางเมตร อยากทราบว่า จะตองออกแรงดงึ เทาใดจึงจะทําใหลวดทองแดง เสนนย้ี ืดออกจากความยาวเดิมอกี 1 มลิ ลิเมตร ������ = σ วธิ ีทำ หาความเค้นจากสมการ ������ ������ = ������/������ ∆������/������0 ������(4 m) 1.1 × 1011N/m2 = (1×10−8 m2)(1×10−3 m) 1.1 × 1011N/m2 = ������ [(1×10−8 4m m)] m2)(1×10−3 1.1 × 1011N/m2 = ������ (1×104−m11 m3) ������ = (1.1×1011N/m2)(1×10−11 m3) 4m ������ = 0.275 N ดังน้ัน จะตองออกแรงดงึ ขนาด 0.275 นวิ ตัน

32 ใบงานกิจกรรม 17.1 เรอื่ ง ความเคน้ และความเครยี ดตามยาวของวัสดุ ชอ่ื -สกุล ชนั้ เลขท่ี วนั ที่ จดุ ประสงค์ อธิบายความสมั พนั ธร์ ะหว่างความเคน้ และความเครยี ดตามยาวของวัสดุ วสั ดุและอปุ กรณ์ 1. ชดุ รางไม้ 1 ชดุ 2. สายกีตารห์ รือเส้นเอน็ 50 cm 1 เส้น 3. ถุงทราย 6 ถงุ 4. ไม้บรรทดั 1 อัน 5. เสน้ ดา้ ย ยาวประมาณ 5 cm 1 เสน้ ตารางบันทกึ ผลการทดลอง ความยาวของสาย ความเค้น ความเครียด การถ่วงถุงทราย มวลถุงทราย แรงที่ใชด้ ึง กตี าร์ทเี่ ปลี่ยนไป ตามยาว ตามยาว (ครง้ั ที)่ (g) F(N) ( )������������−������ ������ σ = ������ ε = ������������ 0 ������ ������������ 1 2 3 4 5 6 ช่องคำนวณ

33 กราฟความสมั พนั ธ์ระหว่างความเค้นและความเครียดตามยาวของวสั ดุ กราฟความสัมพันธร์ ะหว่างความเค้นและความเครียดตามยาวของวัสดุทไ่ี ดม้ ีลกั ษณะเป็นอยา่ งไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ความเค้นตารมยาวกับความเครยี ดตามยาวมีความสัมพันธ์กนั อยา่ งไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

34 แผนการจัดการเรียนรู้ 2 ความตงึ ผิวและความหนืดของของเหลว รายวิชา ฟสิ ิกส์เพิ่มเติม 6ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ มาตรฐานการเรยี นรแู้ ละผลการเรยี นรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรงุ 2560)

35 แผนการจดั การเรยี นรู้ 2 สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รายวิชา ฟิสิกสเ์ พิ่มเตมิ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2564 เวลา 6 ชว่ั โมง หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 3 เรอื่ ง ความตึงผิวและความหนดื ของของเหลว ครูผู้สอน นางสาวกนกวรรณ สัมฤทธิน์ อก 1. มาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวช้วี ัด มาตรฐานการเรยี นรู้ สาระที่ 4 เข้าใจความสัมพันธ์ของความร้อนกับการเปลี่ยนอุณหภูมิและสถานะของสสาร สภาพยืดหยนุ่ ของวัสดุและมอดุลัสของยงั ความดันในของไหล แรงพยุงและหลักของอารค์ ิมีดีส ความ ตึงผิวและแรงหนืดของของเหลว ของไหลอุดมคติและสมการแบร์นูลลี กฎของแก๊ส ทฤษฎีจลน์ของ แกส๊ อดุ มคติ และพลังงานในระบบ ทฤษฎอี ะตอมของโบร์ ปรากฏการณโ์ ฟโตอิเลก็ ทรกิ ทวิภาวะของ คลื่นและอนภุ าค กมั มนั ตภาพรังสี แรงนิวเคลียร์ ปฏิกิรยิ านิวเคลียร์ พลังงานนิวเคลยี ร์ ฟิสิกส์อนุภาค รวมทัง้ นำ ความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ตัวชวี้ ดั ทดลอง อธิบาย และคำนวณความตงึ ผวิ ของ ของเหลว รวมทงั้ สังเกตและอธบิ ายแรงหนดื ของ ของเหลว 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. ทดลอง อธิบายและคำนวณความตึงผิวของ ของเหลว (K) 2. สังเกตและอธบิ ายแรงหนดื ของของเหลว (P) 3. มคี วามรับผดิ ชอบในการทำงาน (A) 3. สาระสำคัญ ความตึงผิวเปน็ สมบัตขิ องของเหลวทีย่ ึดผวิ ของเหลวไวด้ ้วยแรงดงึ ผวิ ปรากฏการณ์ทีเ่ ปน็ ผล จากความตงึ ผวิ เชน่ การเดนิ บนผิวน้ำของแมลงบางชนิด การซมึ ตามรูเล็ก หรือ การโค้งของผวิ โดย ความตงึ ผวิ ของของเหลวคํานวณได้จากสมการ ������ = ������ ������ ความหนดื เป็นสมบัตขิ องของไหล วัตถุท่ีเคลอื่ นท่ีในของไหลจะมีแรงเนื่องจากความหนืดตา้ น การเคล่อื นท่ีของวัตถุ เรียกวา่ แรงหนืด

36 4. สาระการเรียนรู้ 1.ความตงึ ผวิ คือ แรงตอ่ ความยาวของผิวสัมผสั (ความพยายามในการยึดผิวของของเหลว) แรงดึงผวิ ของของเหลว คอื แรง ท่เี กดิ ข้ึนบริเวณที่ผวิ ของของเหลวสมั ผสั กับของเหลวอ่ืนหรือ กับผิวของแข็ง โดยมีพลังงานเพยี งพอตอ่ การยึดเหน่ียวระหวา่ งโมเลกุล ซึ่งมีขนาดสัมพนั ธ์กับแรงยดึ ตดิ และแรงเชอื่ มแน่นทำให้เกิดเป็นลกั ษณะคล้ายๆ กบั แผน่ บางๆ ท่สี ามารถต้านแรงดึงได้เล็กน้อย มี ทิศขนานกับผิวของเหลวและตั้งฉากกับเส้นขอบที่ของเหลวสัมผัส เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้นความตึงผิว ของเหลวจะมีค่าลดลง โมเลกุลใต้พื้นผิวของของเหลว จะมีแรงกระทำระหว่างกันในทุกทิศทาง ขณะที่โมเลกุลท่ี พน้ื ผวิ จะมแี รงกระทำจากดา้ นล่างเท่านน้ั ซง่ึ จะทำให้มีแรงตึงผิวเขา้ สูศ่ ูนยก์ ลาง ในของไหลทกุ ชนดิ จะมคี ุณสมบัติของแรงยึดเหน่ียวระหว่างโมเลกุล 2 ชนิด คอื แรงยึดติด (Cohesive Forces) คอื แรงยึดเหน่ียวระหว่างโมเลกุลของของเหลวชนิดเดียวกัน แรงนสี้ ามารถรับความเค้นดึง (tensile stress) ได้เล็กนอ้ ย แรงเชอ่ื มแนน่ (Adhesive force) คอื แรงยดึ เหนี่ยวระหวา่ งโมเลกลุ ของของเหลวกบั สารชนิด อื่น เชน่ น้ำกบั แกว้ ปรอทกับแกว้ เป็นตน้ 2.ความตงึ ผวิ (Surface tension) ของเหลว ประกอบด้วยอนุภาคจำนวนมาก และอนุภาคเหลา่ น้นั มีแรงยึดเหนี่ยวซ่งึ กันและกนั โมเลกุลของของเหลวท่ีอยตู่ รงกลางจะถูกลอ้ มรอบดว้ ยโมเลกุลข้างเคียงและดึงดูด กันทุกทิศทาง แต่ โมเลกุลที่ผิวหนา้ จะดึงดูดกับโมเลกุลข้างเคยี งทีอ่ ยู่ดา้ นข้างและด้าน ล่างเท่านั้น ผลรวมของแรงจึงมี ทิศทางลงสู่ด้านล่างเท่าน้ัน แรงที่ดึงผิวของของเหลวเข้ามาภายในเพือ่ ทำให้พื้นที่ของของเหลวเหลือ นอ้ ย ที่สดุ เรียกวา่ แรงดึงผวิ (Tension forces) แรงดึงผิว (Tension forces) หมายถึง แรงท่ีดงึ ผิวของของเหลวเข้ามาภายในเพ่ือทำให้พ้ืนท่ี ของของเหลวเหลอื น้อยทส่ี ดุ ความตึงผวิ หมายถึง งานที่ต้องใชใ้ นการขยายพ้ืนที่ผิวของของเหลว 1 หน่วย 5. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น (เฉพาะท่เี กดิ ในหน่วยการเรยี นรูน้ ี)้  ความสามารถในการสอ่ื สาร  ความสามารถในการคดิ  ความสามารถในการแก้ปญั หา  ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ิต  ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

37 6. ทักษะของผูเ้ รียนในศตวรรษท่ี 21 (3R 8C + 2L) (จดุ เนน้ สู่การพฒั นาคุณภาพผู้เรยี น)  ทกั ษะการอา่ น (Reading)  ทักษะการ เขยี น (Writing)  ทกั ษะการ คิดคำนวณ (Arithmetic)  ทกั ษะด้านการคดิ อยา่ งมวี ิจารณญาณและทักษะในการแกป้ ัญหา (Critical thinking and problem solving)  ทักษะดา้ นการสร้างสรรค์และนวตั กรรม (Creativity and innovation)  ทกั ษะด้านความร่วมมือ การทำงานเปน็ ทมี และภาวะผู้นำ (Collaboration , teamwork and leadership)  ทักษะด้านความเข้าใจตา่ งวัฒนธรรม ตา่ งกระบวนทัศน์ (Cross-cultural understanding)  ทกั ษะดา้ น การส่ือสาร สารสนเทศ และรู้เท่าทนั สอื่ (Communication information and media literacy)  ทกั ษะด้านคอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสอ่ื สาร (Computing)  ทกั ษะอาชีพและทักษะการเรยี นรู้ (Career and learning self-reliance, change)  ทักษะการเปล่ียนแปลง (Change)  ทกั ษะการเรยี นรู้ (Learning Skills)  ภาวะผ้นู ำ (Leadership) 7. ช้นิ งานหรือภาระงาน ( หลกั ฐาน / ร่องรอยแสดงความรู้ ) แบบฝกึ หัด 17.1 เรื่อง ของแขง็ และสภาพยืดหย่นุ ของของแขง็ ใบงานกิจกรรม 17.1 เรื่อง ความเคน้ และความเครียดตามยาวของวัสดุ 8. การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ (ใช้รปู แบบการเรียนรู้ 5 E ) ช่วั โมงท่ี 1 ข้นั ท่ี 1 ขนั้ สรา้ งความสนใจ (Engagement) - ให้นกั เรยี นทำแบบทดสอบกอ่ นเรียน เรือ่ ง ความตึงผิวและความหนืดของของเหลว (10 ขอ้ ) - ครูเปิดวิดโี อสือ่ การเรียนรู้เกยี่ วกับความตงึ ผวิ และความหนืดของของเหลว - อธิบายพอสงั เขป ขนั้ ที่ 2 ขัน้ สำรวจและคน้ หา (Exploration) - นกั เรียนศกึ ษา เรือ่ ง ความตงึ ผิวและความหนืดของของเหลว จากหนงั สอื เรียน ฟสิ กิ ส์เพม่ิ เตมิ เล่ม 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560 ) ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2550

38 ชวั่ โมงท่ี 2 ข้นั ที่ 2 ข้ันสำรวจและค้นหา (Exploration) - นกั เรยี นศึกษา เรอ่ื ง ความตึงผวิ ของของเหลวจาก PowerPoint ครู ช่วั โมงที่ 3 ขัน้ ที่ 3 ขัน้ อธิบายและลงข้อสรปุ (Explanation) - ครูให้นกั เรียนตอบคำถาม ข้นั ท่ี 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) - ครูอธบิ ายคำตอบทถี่ ามนักเรียนเพื่อใหน้ ักเรยี นเขา้ ใจถูกตอ้ ง ขัน้ ท่ี 5 ขน้ั ประเมนิ (Evaluation) - ทำแบบทดสอบหลงั เรยี น ช่ัวโมงท่ี 4 ขั้นที่ 2 ขน้ั สำรวจและคน้ หา (Exploration) - นกั เรยี นศึกษา เร่อื ง ความตึงผิวและความหนดื ของของเหลว จากหนังสือเรยี น ฟิสิกส์เพม่ิ เตมิ เล่ม 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560 ) ตามหลักสูตร แกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2550 - นักเรียนศกึ ษา เรื่อง ความหนืดของของเหลว จาก PowerPoint ครู ชวั่ โมงท่ี 5 ขั้นที่ 2 ข้นั สำรวจและค้นหา (Exploration) - ครใู หน้ ักเรียนทำกิจกรรมการทดลอง เรอื่ ง ความตงึ ผิวและความหนดื ของของเหลว ชวั่ โมงท่ี 6 ข้นั ท่ี 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) - ครใู ห้นักเรียนอภปิ รายผลการทดลองหลังทำกิจกรรม ขั้นท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration) - ครูสรุปผลการทดลองภาพรวมของกิจกรรม ข้ันท่ี 5 ข้ันประเมนิ (Evaluation) - ครูใหน้ กั เรียนทำแบบฝกึ หดั

39 9. สอื่ การสอน - หนังสือเรียน ฟิสิกส์เพิ่มเติม เล่ม 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับ ปรับปรุง พ.ศ. 2560 ) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2550 - ส่ือการสอน PowerPoint ครู - แบบฝึกหัด 17.2 เร่ือง ความตึงผิวและความหนืดของของเหลว - ใบงานกจิ กรรม 17.2 เร่อื ง ความตงึ ผวิ และความหนืดของของเหลว 10. แหล่งเรียนร้ใู นหรือนอกสถานที่ 1. ห้องสมดุ ของโรงเรียน 2. แหลง่ ขอ้ มลู สารสนเทศ 11. การวัดและประเมินผล จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีวดั เคร่ืองมือวดั เกณฑ์การประเมิน หรือสง่ิ ท่ตี ้องการจะวดั และประเมนิ ผล 1.ทดลอง อธบิ ายและคำนวณความตงึ ผิวของ ประเมนิ จากการทำ แบบฝึกหัด17.2เรื่องความตึง ตอบถูกตอ้ งตาม ของเหลว(K) แบบฝกึ หดั ผวิ และความหนดื ของของเหลว แบบฝึกหัด60% ขึน้ ไป 2.สงั เกตและอธิบายแรงหนืดของของเหลว ประเมินจากใบงาน ใบงานกิจกรรม17.2เรอ่ื ง ตอบถูกต้องตามใบงาน (P) กิจกรรม ความตึงผวิ และความหนดื ของ กิจกรรม60%ขนึ้ ไป ของเหลว 3.มคี วามรับผิดชอบในการทำงาน (A) ประเมนิ จากการสง่ แบบฝกึ หดั 17.2เรือ่ งความตงึ ตามตารางเกณฑก์ าร แบบฝกึ หดั และใบ ผิวและความหนืดของของเหลว ให้คะแนน70%ขน้ึ ไป และ งานกจิ กรรม ใบงานกิจกรรม 17.2 เรื่อง ความตึงผิวและความหนืดของ ของเหลว เกณฑ์การใหค้ ะแนน ระดบั คะแนน 80 - 100% ให้ ดมี าก ระดับคะแนน 70 - 79% ให้ ดี ระดบั คะแนน 60 - 69 % ให้ พอใช้ ระดบั คะแนน 0 - 59% ให้ ปรบั ปรงุ

40 สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน วธิ วี ัด เคร่อื งมือวดั เกณฑก์ ารประเมนิ 1.ความสามารถในการสือ่ สาร ประเมนิ จากพฤตกิ รรมของ แบบประเมินคุณลักษณะอัน ผา่ นเกณฑ์การให้ 2. ความสามารถในการคิด ผู้เรยี น ประเมินจากพฤตกิ รรมของ พงึ ประสงค(์ รายบคุ คล) คะแนนร้อยละ60 3.ความสามารถในการแกป้ ญั หา ผเู้ รียน แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอนั ผ่านเกณฑ์การให้ ประเมินจากพฤตกิ รรมของ พงึ ประสงค์(รายบุคคล) คะแนนร้อยละ60 ผเู้ รยี น แบบประเมินคุณลักษณะอนั ผ่านเกณฑ์การให้ พงึ ประสงค(์ รายบุคคล) คะแนนร้อยละ60 เกณฑก์ ารให้คะแนน ระดับคะแนน 80 - 100% ให้ ดีมาก ระดับคะแนน 70 - 79% ให้ ดี ระดับคะแนน 60 - 69 % ให้ พอใช้ ระดับคะแนน 0 - 59% ให้ ปรบั ปรงุ

41 แบบประเมินพฤตกิ รรมการเรยี นและการมีส่วนร่วมในชนั้ เรยี น คําชแี้ จง : ให้ผ้สู อนสังเกตพฤตกิ รรมและการมสี ว่ นร่วมในชัน้ เรียนของนกั เรียนในระหวา่ งเรียนและนอก เวลาเรียน แล้วขีด ✓ลงในช่องทีต่ รงกบั ระดบั คะแนน ลำดบั ที่ รายการประเมิน 1 ระดับคะแนน 4 23 1 การแสดงความคิดเหน็ 2 การยอมรบั ฟงั ความคิดเห็นของผอู้ ่นื 3 การทํางานตามหนา้ ทท่ี ไ่ี ดร้ ับมอบหมาย 4 ความมีน้ำใจ 5 การตรงตอ่ เวลา ลงชอื่ ................................................... ผปู้ ระเมนิ ................../................/............... เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัตหิ รือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 4 คะแนน ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤติกรรมบ่อยคร้งั ให้ 3 คะแนน ปฏิบตั ิหรอื แสดงพฤติกรรมบางครงั้ ให้ 2 คะแนน ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤติกรรมนอ้ ยคร้งั หรอื ไมเ่ คยปฏบิ ตั ิเลย ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสนิ คุณภาพ 0-5 คะแนน ระดบั คุณภาพ 1 หมายถงึ ปรบั ปรงุ 6-10 คะแนน ระดบั คณุ ภาพ 2 หมายถึง พอใช้ 11-15 คะแนน ระดบั คณุ ภาพ 3 หมายถงึ ดี 16-20 คะแนน ระดับคณุ ภาพ 4 หมายถึง ดีมาก

42 แบบประเมินคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ คำอธบิ ายคณุ ภาพ สิ่งทีต่ ้องการวัด/ ดีมาก (4) ดี (3) พอใช้ (2) ปรับปรงุ (1) ประเมนิ ผล 1.เข้าเรียนตรงตอ่ เวลา เข้าเรียนตรงตอ่ เวลา เข้าเรียนสายไมเ่ กนิ 10 เข้าเรียนสายเกิน เขา้ เรียนสาย สมำ่ เสมอดีมากไมเ่ ข้าสาย นาที 15นาที มากกวา่ 30นาที เลยสักครั้ง 2.ความสนใจเรียน มีความกระตือรือร้น ใน มีควากระตือรือร้นใน มกี ารตอบคำถาม ไมต่ อบคำถามเลย การเรยี นดมี าก การเรียนดีมีการให้ บา้ งเลก็ นอ้ ย มีการให้ความร่วมมือใน ความร่วมมือในการทำ การทำกิจกรรมตลอดจนจบ กจิ กรรมบอ่ ยคร้ัง กิจกรรม 3.มรี ะเบยี บวินยั ทำงานเปน็ ระเบยี บ ทำงานเป็นระเบียบ ทำงานเปน็ ระเบยี บ ทำงานไมเ่ ปน็ และถูกต้องมากกวา่ 90% และถูกต้องมากกว่า มากกวา่ 50% ระเบยี บและไม่ 70% ถกู ต้อง 4.ความรับผิดชอบ ทำงานทไี่ ดร้ บั มอบหมายดี ทำง าน ท ี ่ ไ ด ้ รั บ ทำงานที่ได้รับ ไม่ทำงานที่ได้รับ มคี วามถูกต้องตรงเวลา มอ บหมายด ี มี มอบหมายดี มี มอบหมาย ทำงาน มากกว่า90% ความถูกต้องมากกว่า ความถ ู กต ้ อง ไมแ่ ล้วเสร็จ 70% มากกวา่ 50% เกณฑ์การตัดสนิ คะแนน ระดับคุณภาพ ดมี าก ช่วงคะแนน ดี 13 - 16 พอใช้ 9 - 12 ปรับปรุง 5-8 0-4

43 12. กจิ กรรมเสนอแนะ ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... 13. บนั ทึกผลหลงั การสอน สรุปผลการเรียนการสอน นกั เรยี นทัง้ หมดจำนวน.....................คน จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ขอ้ ท่ี จำนวนนักเรียนที่ผ่าน จำนวนนกั เรยี นทีไ่ มผ่ า่ น จำนวนคน รอ้ ยละ จำนวนคน รอ้ ยละ 1 2 3 15. ปัญหา/อปุ สรรค/แนวทางแก้ไข ............................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................ 16. ข้อเสนอแนะ ............................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................ ลงช่อื ........................................................................ (........................................................................) ตำแหนง่ ครวู ิทยฐานะ ....................................... ลงชื่อ................................................................หัวหน้ากลุ่มสาระการเรยี นรู้ (........................................................................) ลงชือ่ .......................................................... รองผ้อู ำนวยการกลุม่ บริหารวชิ าการ (………………………………………..)

44 ความเห็นของหวั หน้าสถานศกึ ษา ไดท้ ำการตรวจแผนการเรยี นรขู้ อง....................................................แล้วมีความคิดเหน็ ดังนี้ 4. เปน็ แผนการจดั การเรยี นรู้ที่  ดมี าก  ดี  พอใช้  ควรปรับปรงุ 5. การจดั กิจกรรมไดน้ ำเอากระบวนการเรียนรู้  เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมาใชใ้ นการสอนได้อย่างเหมาะสม  ยังไม่เนน้ ผู้เรียนเปน็ สำคญั ควรปรบั ปรงุ พัฒนาต่อไป 6. ข้อเสนอแนะอ่นื ๆ ........................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ ลงชื่อ............................................................................................... ( …………………………………………………………………… ) ผอู้ ำนวยการโรงเรยี น…………………………………………………………..

45 แบบฝกึ หดั 17.2 เร่ือง ความตงึ ผิวและความหนดื ของของเหลว คำชแ้ี จง : ให้นกั เรียนตอบคำถามตอ่ ไปน้ี 1. แรงตงึ ผวิ 2. แรงยึดติด 3. ผวิ ของเหลวในหลอดแกว้ มลี กั ษณะโคง้ ข้นึ 4. แรงหนืด 5. แรงเชอ่ื มแน่น 6. แรงยดึ เหนี่ยวระหวา่ งอนภุ าค 7. กฎของสโตกส์

46 เฉลยแบบฝกึ หัด 17.2 เรื่อง ความตงึ ผวิ และความหนดื ของของเหลว คำชแ้ี จง : ใหน้ กั เรียนตอบคำถามต่อไปน้ี 1. แรงตึงผวิ เปน็ แรงทีเ่ กดิ จากการปรบั สภาพสมดุลของแรงยึดเหนีย่ วระหวา่ งอนภุ าคของของเหลวท่อี ยู่บรเิ วณผิว 2. แรงยดึ ติด เปน็ แรงยึดเหน่ียวระหว่างอนภุ าคของของเหลวกับผนัง เชน่ แรงยดึ เหน่ยี วระหวา่ งโมเลกุลของนาํ้ กับ แก้วทีใ่ ช้ 3. ผวิ ของเหลวในหลอดแก้วมลี ักษณะโค้งขน้ึ แรงเช่ือมแน่นมีค่ามากกวา่ แรงยึดติดทำให้ผวิ ของเหลวในหลอดอยู่ตํ่ากวา่ ระดับของเหลวปกติ 4. แรงหนดื เปน็ แรงต้านการเคลอื่ นท่ชี นดิ หน่งึ แปรผนั ตรงกบั ความเรว็ และมที ิศทางตรงข้ามกับการเคลอื่ นทข่ี อง วัตถุ 5. แรงเชือ่ มแน่น เปน็ แรงยดึ เหนย่ี วระหว่างอนภุ าคของของเหลวด้วยกันเอง เช่น แรงยดึ เหนี่ยวระหวา่ งโมเลกุลของนา้ํ กับนา้ํ 6. แรงยึดเหนย่ี วระหวา่ งอนภุ าค แรงยึดเหนยี่ วระหว่างอนุภาค ประกอบดว้ ยแรงเชอ่ื มแนน่ และแรงยึดติด 7. กฎของสโตกส์ อธิบายการหาแรงหนดื ของวัตถทุ ม่ี ีลักษณะเปน็ ทรงกลมดว้ ยสมการ ������ = 6������������������������

47 แผนการจัดการเรยี นรู้ 3 ของไหลสถติ รายวิชา ฟิสกิ ส์เพิม่ เตมิ 6 ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ มาตรฐานการเรียนรแู้ ละผลการเรยี นรู้ กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรุง 2560)

แผนการจดั การเรียนรู้ 3 48 สาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวชิ า ฟิสิกส์เพ่มิ เติม ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 6 เวลา 10 ชั่วโมง ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 เรอ่ื ง ของไหลสถิต หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 3 ครผู ้สู อน นางสาวกนกวรรณ สัมฤทธิ์นอก 1. มาตรฐานการเรยี นร้/ู ตวั ช้ีวัด มาตรฐานการเรยี นรู้ สาระที่ 4 เข้าใจความสัมพันธ์ของความร้อนกับการเปลี่ยนอุณหภูมิและสถานะของสสาร สภาพยืดหยนุ่ ของวสั ดุและมอดลุ ัสของยงั ความดันในของไหล แรงพยุงและหลกั ของอารค์ ิมดี ีส ความ ตึงผิวและแรงหนืดของของเหลว ของไหลอุดมคติและสมการแบร์นูลลี กฎของแก๊ส ทฤษฎีจลน์ของ แกส๊ อดุ มคติ และพลงั งานในระบบ ทฤษฎีอะตอมของโบร์ ปรากฏการณ์โฟโตอิเลก็ ทริก ทวิภาวะของ คลืน่ และอนภุ าค กัมมนั ตภาพรงั สี แรงนวิ เคลยี ร์ ปฏิกิริยานวิ เคลยี ร์ พลงั งานนวิ เคลยี ร์ ฟิสิกส์อนุภาค รวมท้ังนำ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ ตัวช้วี ัด อธบิ าย และคำนวณความดนั เกจ ความดัน สัมบูรณ์ และความดันบรรยากาศ รวมทง้ั อธิบาย หลักการทำงานของแมนอมิเตอร์ บารอมิเตอร์ และเครอ่ื งอัดไฮดรอลกิ 2. จุดประสงค์การเรยี นรู้ 1. อธิบายความดันในของเหลว ความสัมพันธ์ระหว่างความดันในของเหลวกับความหนาแน่นของ ของเหลว ความลกึ ของของเหลว และความเรง่ โนม้ ถ่วงของโลก (K) 2. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความดันเกจ ความดันสัมบูรณ์ และความดันบรรยากาศพร้อมทั้ง คำนวณหาความดนั ต่าง (P) 3. อธบิ ายหลักการทำงานของแมนอมเิ ตอร์ บารอมิเตอร์ และเคร่อื งอัดไฮตรอลกิ (K) 4. ทดลอง อธิบายและคำนวณแรงพยงุ จากของไหล (P) 5. มีมนษุ ยส์ มั พันธท์ ดี่ ีกับเพ่ือนในกลมุ่ (A) 3. สาระสำคัญ ภาชนะท่ีมีของเหลวบรรจอุ ยจู่ ะมีแรงเนื่องจากของเหลวกระทําตอ่ พ้ืนผิวภาชนะ โดยขนาด ของแรงที่ของเหลวกระทําตงั้ ฉากตอ่ พน้ื ท่ีหนึ่งหนว่ ยเป็นความดันในของเหลว

49 ความดนั ทเี่ คร่ืองมอื วัดได้ เรียกว่า ความดันเกจคํานวณไดจ้ ากสมการ ������ = ������������ℎ สว่ น ผลรวมของความดันบรรยากาศและความดันเกจ เรยี กว่าความดันสัมบรู ณ์ คาํ นวณไดจ้ ากสมการ ������ = ������0 ������������ คา่ ของความดันอ่านไดจ้ ากเครอ่ื งวดั ความดัน เชน่ แมนอมเิ ตอร์ บารอมิเตอร์ เมื่อเพม่ิ ความดัน ณ ตําแหน่งใด ๆ ในของเหลวที่อย่นู ง่ิ ในภาชนะปดิ ความดนั ท่ีเพ่ิมขึน้ จะ ส่งผา่ นไปทกุ ๆ จุดในของเหลวน้นั เรียกวา่ กฎพาสคลั กฎน้นี าํ ไปใชอ้ ธิบายการทํางานของเคร่ืองอดั ไฮ ดรอลิก 4. สาระการเรยี นรู้ ของไหลสถิต ( fluid statics ) หมายถึงของไหลที่อยู่นิ่ง ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นมีค่า น้อยและง่ายกว่าของไหลเคลื่อนที่ ( fluid motion ) เนื่องจากไม่มีความเร็วสัมพัทธ์ ระหว่างช้ันบางของของไหล ดังน้ัน ในการคำนวณเกี่ยวกับของไหลสถิตจะไม่คำนึงถึงผล ท่ีเกิดจากความหนืด ซ่ึงค่าความดันเฉล่ียในของไหลจะหาได้จากสมการ ความดันมีค่าเท่ากันทุกทิศทาง ซึ่งมีความหนา dy ในแนวตั้งฉากกับระดับ กระดาษ ให้ p,p และ p เป็นความดันที่เกิดข้ึนบนของไหลรูปล่ิมในทิศทางต่างๆ 5. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น (เฉพาะท่ีเกิดในหน่วยการเรยี นรนู้ ี้)  ความสามารถในการสือ่ สาร  ความสามารถในการคดิ  ความสามารถในการแกป้ ญั หา  ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ  ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี 6. ทกั ษะของผู้เรยี นในศตวรรษที่ 21 (3R 8C + 2L) (จุดเน้นสู่การพัฒนาคุณภาพผูเ้ รยี น)  ทักษะการอา่ น (Reading)  ทักษะการ เขียน (Writing)  ทกั ษะการ คิดคำนวณ (Arithmetic)  ทกั ษะด้านการคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณและทกั ษะในการแก้ปัญหา (Critical thinking and problem solving)  ทกั ษะด้านการสรา้ งสรรค์และนวัตกรรม (Creativity and innovation)  ทกั ษะดา้ นความร่วมมอื การทำงานเปน็ ทมี และภาวะผ้นู ำ (Collaboration , teamwork and leadership)  ทกั ษะด้านความเข้าใจต่างวฒั นธรรม ต่างกระบวนทศั น์ (Cross-cultural understanding)